หัวข้อข่าวปีที่ 5 ฉบับที่ 21 ประจำวันที่ 2004-05-24

ข่าวการศึกษา

เด็กเตรียมอุดมยอดเก่งคว้าชัยวิทยาศาสตร์โลก
ผนึกกำลังครูวิทย์ ปฏิวัติการเรียนการสอน
"อดิศัย"คุมกำเนิด ร.ร.มินิสองภาษา
ยืดเวลาเปลี่ยนวิธีกู้ยืมเรียนมหา"ลัยแบบใหม่
ค่ายวิทย์ช้างเผือกซิเมนต์ไทยไปโอลิมปิก
ส่งนักศึกษาฝึกงานอิสราเอล
รมต.20ปท. นัดถกสมัชชาการศึกษา
มศวดึงแคนาดาพัฒนาแพทย์
พระเทพฯเสด็จเปิดสมัชชาการศึกษาโลก รมต.20ชาติดังร่วมพัฒนาการสอนและสื่อ
ศธ.เจอวิกฤติครูขาดแคลนร่วม1.2แสนคน
ปอมท.ยก8เหตุผลไม่ควรใช้มาตรการลดอาจารย์
การสอนไอซีทีที่อังกฤษ
Partners in Learning “ไมโครซอฟท์” ดันครูไทยเก่งไอซีที
นิวซีแลนด์ดูปฏิรูปการศึกษาไทย
กลั่นกรองไฟเขียวงบ2หมื่นล้านผลิตแพทย์เพิ่ม
มอ.เผยปัญหาใต้ ไม่กระทบรับนศ.

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

พบหลุมอุกาบาตลูกยักษ์พุ่งชนโลกตัวการสัตว์โลกดึกดำบรรพ์สูญพันธุ์
พบภูเขาไฟวิตถารอยู่ใต้มหาสมุทร ขับยางมะตอยออกมาราดเป็นลาน
ชักโครกมหัศจรรย์
โน้ตบุ๊กไวร์เลสใช้งานไว-ไฟไกล5เท่า
ทดลองทำนาปลูกข้าวขึ้นในอวกาศ จีนจะเอาขึ้นไปทำบนสถานีอวกาศ
สถาบันนิร์นาวาจัดสัมนาฟรีปลุกกระแสเทคโนโลยีจาวาในเมืองไทย เน้นการต่อยอดนำจาวาไปพัฒนาธุรกิจ
ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์8มิ.ย.
จีนจะตั้งสถานีอวกาศของตนเอง น้อยใจสหรัฐกันไม่ให้เข้าสมาคม
อังกฤษส่องกล้องสำรวจกาแล็กซี ย้ำทฤษฎีจักรวาลขยายตัวไม่รู้จบ
"วีระศักดิ์" เปิดโปง 10 เว็บไซต์อันตราย

ข่าววิจัย/พัฒนา

กินผลส้มที่ถูกควรเลือกกินแต่เปลือกเพราะของดีรวมกันอยู่ที่ ผิวด้านนอก
"ไรน้ำนางฟ้า" สัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่
ถวายลิขสิทธิ์แด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ สบู่ผงรังไหมเปิดตัวงานศิลป์แผ่นดิน
ขยะคอมเป็นพิษ รีไซเคิล..เป็นทอง
ยีนบำบัดหยุดเอดส์ ใช้เทคนิคเพิ่มพลังเซลล์ภูมิคุ้มกันให้ผู้ป่วย
คิดเองทำเอง - "เครื่องกลั่นเอทานอล" ฝีมือคนไทย นวัตกรรมใหม่ใช้เทคนิคปั๊มฟอง
เกษตรวิจัยหนุนเอกชนสร้างสินค้าใหม่ คิดค้นสูตรกะทิพร้อมดื่มเจาะตลาดส่งออกคู่น้ำผลไม้
วิจัยทุเรียนทอดไขมันต่ำ
สร้างพืชจีเอ็ม ผลิตกรดไขมัน ทดแทนเนื้อปลา
มลพิษต้นเหตุโรคพันธุกรรม แนะใช้เครื่องดักฝุ่นช่วยแก้ไข
ประยุกต์พลังงานชีวมวลอบแห้งผลผลิต ม.แม่โจ้คิดค้นช่วยเกษตรกรลดต้นทุนเชื้อเพลิงดีเซล
หนาวแค่ไหนก็ไม่แข็ง
'ชุดผจญเพลิง'สัญชาติไทย
กลุ่มแสงประทีปรับทุนนวัตกรรม เจ้าแรกผลิตกระดาษผักตบชวา
คนไทยผลิตสำเร็จ เครื่องสปาไฮเทค
รักษาหัวใจด้วยเตาไมโครเวฟ แก้อาการเต้นผิดจังหวะจะโคน
เทคนิคใหม่วิธีช่วยคนตาบอดให้มองเห็น

ข่าวทั่วไป

เตือนคอสุราประเภท "เมาแล้วสูบ" ล่อแหลมกับเป็นมะเร็งช่องปากจัด
กินปลาช่วงตั้งครรภ์อัตราการเติบโตสูง
ให้สังเกตปัสสาวะออกเป็นสีเทคนิค เป็นปรอทบอกสภาพของร่างกาย
นักวิชาการเสนอรัฐห้ามนำเข้าเคมีกำจัดศัตรูพืช 3 ชนิด
ดื่มน้ำอัดลมมากเสี่ยงกับมะเร็งกระเพาะ เห็นตัวอย่างเกี่ยวพันจากคนอเมริกัน
มก.ชี้แนวทางไต่อันดับผู้นำอาหาร หลังผลิตบุคลากรป้อนตลาดทั่วโลก
สภาอาจารย์ฯยื่นเสนอรัฐ ยกเลิกพรบ.มาตรการที่3
ลดเปิบข้าวเห็นผลชงัก ผอมเพรียวเร็วกว่างดกินไขมัน
วิจัย 'เร่วหอม' ใส่ถุงปรุงก๋วยเตี๋ยวเลียง
ภัย "ไวรัส" คร่าชีวิตปีละ 5 แสน ระวังไข้หวัด-ปอดบวม
ดื่มน้ำอัดลมรสซ่า ระวังมะเร็งมาเยือน
พบอาหารตกมาตรฐานเพียบ
วัดรอบเอว ช่วยบอกภาวะสุขภาพ





ข่าวการศึกษา


เด็กเตรียมอุดมยอดเก่งคว้าชัยวิทยาศาสตร์โลก

นายจารุพล นายณัฐดนัย ปุณณะนิธิ และนายภูมิยศ วิมลกิตวัฒน์ นักเรียนชั้น ม.6 จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา สามารถนำชื่อเสียงมาให้ประเทศไทยอีกครั้ง โดยได้รับรางวัลที่ 1 ประเภททีม (Team, Multitdisciplinary Science Project) ของ Sigma International Society of Science จากการนำเสนอโครงงานคลื่นการเดินของกิ้งกือ ซึ่งเป็นโครงการได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากได้นำความรู้ทางวิทยาศาสตร์หลาย สาขามาผสมผสานบูรณาการ จนเกิดเป็นโครงงานที่ยอดเยี่ยมจนคว้ารางวัล ประกวด โครงการวิทยาศาสตร์ ของสมาคมวิทยาศาสตร์นานาชาติ ระหว่างวันที่ 8-15 พ.ค. ที่เมืองพอร์ธแลนด์ รัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา สำหรับการศึกษาคลื่นการเดินของกิ้งกือนั้น ก่อนหน้านี้เคยได้รับรางวัลชนะเลิศ ระดับประเทศสาขากายภาพ จากการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ ของสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำปี 2546 โดยเยาวชนกลุ่มนี้ได้ผสมผสานวิชาฟิสิกส์ ชีวะและคณิตศาสตร์จนได้เป็นสมการคลื่นทางเดินของกิ้งกือขึ้น โดยนายจารุพลเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เริ่มต้นจากการสังเกตเห็นว่ากิ้งกือ เป็นที่รังเกียจของคนทั่วไป และส่วนใหญ่มองว่าเป็นสัตว์สกปรก ทั้งที่จริงกิ้งกือชอบอยู่ตามเศษใบไม้ ใบหญ้าไม่มีพิษภัยอันตรายต่อมนุษย์ จากจุดนี้จึงทำให้เกิดความสนใจกิ้งกือและลักษณะการเดินของมัน เพราะกิ้งกือมีขาถึง 240 ข้าง แต่มีการจัดการที่ดีมาก สามารถเดินได้โดยไม่สะดุดขาตัวเองล้ม จึงได้นำแนวความคิดทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มาคิดเป็นสมการ เพื่อนำข้อมูลหรือรูปแบบการเดินของกิ้งกือ ไปประยุกต์ใช้ในโปรแกรมการเดินของหุ่นยนต์ที่มีหลายขาเหมือนกิ้งกือนั่นเอง ( ไทยรัฐ จันทร์ที่ 17 พ.ค. 47 http://www.thairath.co)





ผนึกกำลังครูวิทย์ ปฏิวัติการเรียนการสอน

เครือซิเมนต์ไทย ได้จัดอบรมครูวิทยาศาสตร์ใน โครงการ “SCG T-Sci” เพื่อพัฒนาศักยภาพการเรียนการสอนของตัวแทนครูวิทยาศาสตร์จากทั่วประเทศให้ก้าวทันกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคม เป็นการเปิดโอกาสให้ครูรุ่นใหม่ ที่สอนวิชาวิทยาศาสตร์ ได้เรียนรู้การสอนแบบใหม่ที่เหมาะสมกับนักเรียนมากขึ้น รวมถึงการพาครูที่เข้าร่วมโครงการไปนอกสถานที่เพื่อศึกษาแหล่งความรู้รอบๆ ตัว พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแนวการสอนจากผู้รู้และครูทั่วประเทศ โดย ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ วิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนรู้ และการพัฒนาระบบความคิดแนวใหม่ กล่าวในงานอบรมครูวิทยาศาสตร์ ครั้งนี้ ว่าปัจจุบันเด็กไทยยังมีความรู้ด้านเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ไม่ทัดเทียมกับเด็กวัยเดียวกันในต่างประเทศ แม้แต่กับจีนหรือญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ในเอเชียด้วยกัน เพราะนอกจากฐานทางสังคมและระบบการเรียนการสอนแบบเก่าแล้ว ยังขาดแคลนผู้รู้-ผู้เชี่ยวชาญที่มีความสนใจและรักในวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง หัวใจสำคัญของวิทยาศาสตร์ คือ การออกแบบการทดลองด้วยตนเอง ภายใต้เงื่อนไขทางวิทยาศาสตร์ 2 ข้อ คือ ความสัมพันธ์ และตัวแปรกลุ่ม จุดเริ่มต้นของการปฏิรูประบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ คือ การส่งเสริมให้ครูผู้สอนมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในวิทยาศาสตร์ เพื่อถ่ายทอดให้นักเรียนได้มีพัฒนาการอย่างเป็นระบบ รวมถึงตัวผู้ปกครองเองก็มีบทบาทสำคัญที่ต้องปลูกฝังเด็กให้ใฝ่หาความรู้เพิ่มเติมจากแหล่งความรู้อื่นๆ โดยครูมีหน้าที่ชี้แนะแนวทางจากตำราสู่แหล่งความรู้รอบตัวพร้อมสอนวิธีคิด กระตุ้นให้นักเรียนสังเกต ตั้งสมมติฐาน และทดลองด้วยตัวเอง ควรเผยแพร่ให้ครูเรียนรู้ระบบการสอนแบบ PBL(Project Bascd Learning) คือการสอนแบบโครงการโดยครูผู้สอนเขียนโครงการ สอนว่าเรื่องที่ตนสอนสอดคล้องกับวิชาไหนบ้างแล้วเขียนโครงสร้างความสัมพันธ์สอนเด็กว่ามีความเกี่ยวพันกันอย่างไร ทำให้เด็กไม่จำกัดความคิดอยู่เพียงแค่วิชาเดียวและจะเป็นการเสริมสร้างเด็กให้มีความสนใจในการหาความรู้เพิ่มเติมจากสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว (สยามรัฐ จันทร์ที่ 14 พ.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)





"อดิศัย"คุมกำเนิด ร.ร.มินิสองภาษา

นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยถึงนโยบายโรงเรียนสองภาษาว่า ดร.อดิศัย โพธารามิก รมว.ศึกษาธิการ มีนโยบายให้พัฒนาโรงเรียนสองภาษาไม่เต็มรูปแบบ (Mini English Program หรือ MEP) ให้เป็นโรงเรียนสองภาษา (English Program หรือ EP) เต็มรูปแบบทั้งหมด และไม่อนุญาตให้เป็น MEP เพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นต่อไปหากจะมีการเปิดโรงเรียนสองภาษาก็ต้องเปิดเป็น EP เท่านั้น โดยให้เหตุผลว่าถ้าจะเป็นโรงเรียนสองภาษาก็ต้องทำอย่างมีคุณภาพไปเลย ไม่ต้องเป็น MEP ก่อน และการจัดการเรียนการสอนก็ให้เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดยกเว้นวิชาภาษาไทย เนื่องจากแต่เดิมการเปิด EP จะมีปัญหาความไม่พร้อมของโรงเรียนจึงได้มีการยืดหยุ่นให้เปิดเป็นโรงเรียน MEP ไปก่อน เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและพัฒนาให้เป็น EP ต่อไป แต่เมื่อรมว.ศึกษาธิการไม่ต้องการให้เป็น MEP ก่อน ตนก็จะดำเนินการปรับปรุงระเบียบและข้อบังคับในการเปิดโรงเรียน สองภาษาให้เป็นไปตามนโยบายของ รมว.ศึกษาธิการต่อไป (เดลินิวส์ อังคารที่ 18 พ.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





ยืดเวลาเปลี่ยนวิธีกู้ยืมเรียนมหา"ลัยแบบใหม่

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการอำนวยการปฏิรูประบบการเงินเพื่อการอุดมศึกษา เมื่อวันที่ 17 พ.ค.ว่า ที่ประชุมได้รับทราบหลักการและแนวทางการปฏิรูประบบการเงินเพื่อการอุดมศึกษาตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ให้ความเห็นชอบ โดยปรับจากระบบกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) มาเป็นกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) ซึ่งรัฐจะให้เงินกู้ยืมกับนักศึกษาทุกคนตามอัตราค่าใช้จ่ายมาตรฐาน และให้ทุนกับผู้เรียนที่ยากจน และให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ในขณะที่รัฐยังรับภาระไม่น้อยไปกว่าเดิมและให้กรมสรรพากรเป็นผู้รับชำระหนี้ ซึ่งที่ประชุมได้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมา 5 คณะ คือ คณะพัฒนาระบบการบริหารจัดการทางการเงินตามแนวทางการสนองทุนผ่านด้านอุปสงค์, คณะพัฒนาระบบการบริหารจัดการ กองทุน กรอ., คณะปรับระบบกองทุน กยศ.มาเป็นกองทุน กรอ., คณะพัฒนาระบบงบประมาณเพื่อการอุดมศึกษา และคณะรณรงค์และประชาสัมพันธ์ฯ รวมทั้งให้ความเห็นชอบประเด็นต่าง ๆ ที่ต้องทำการวิจัย เช่น อัตรารายได้ขั้นต่ำที่ต้องชำระหนี้ สัดส่วนการรับภาระค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมระหว่างรัฐและเอกชน เป็นต้น ตลอดจนการเตรียมของบประมาณมาดำเนินการด้วย คงต้องเลื่อนการปรับเปลี่ยนรูปแบบการชำระหนี้ของ กยศ. มาเป็นแบบ กรอ. ตั้งแต่ปีการศึกษา 2548 และนำระบบเงินกู้ยืมแบบ กรอ.มาใช้ทั้งระบบตั้งแต่ปีการศึกษา 2549 เป็นต้นไป ด้าน ดร.เปรมประชา ศุภสมุทร ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา กล่าวว่า เงื่อนไขสำคัญในการเปลี่ยนระบบคือ กระบวนการ แก้ไขกฎหมาย กยศ.ในปัจจุบันให้สอดรับกับแนวคิดการกู้ยืมแบบใหม่ ซึ่งปกติจะใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี (เดลินิวส์ อังคารที่ 18 พ.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





ค่ายวิทย์ช้างเผือกซิเมนต์ไทยไปโอลิมปิก

เครือซิเมนต์ไทย ร่วมกับสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์และคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลเปิดตัว "Cementhai Sci-Camp โครงการค่ายวิทยาศาสตร์เยาวชนช้างเผือกซิเมนต์ไทย" รุ่น 15 โดยได้คัดเลือกเยาวชนที่เก่ง ระดับ ม.3 ทั่วประเทศ ร่วมกิจกรรมในโครงการมีทั้งการเรียนรู้ทางทฤษฎี ปฏิบัติ และศึกษาดูงานในโรงงานที่ทันสมัยของเครือซิเมนต์ไทย เรียนรู้โลกวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม นักเรียนที่ผ่านการเข้าร่วมโครงการหลายรุ่นที่ผ่านมา มีโอกาสได้ร่วมกิจกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากมาย เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์ระดับโลก นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศ ซึ่งปีนี้มีนักเรียนที่ผ่านการเข้าร่วมโครงการ ในรุ่นที่ 11 และ 12 เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกและฟิสิกส์โอลิมปิก (เดลินิวส์ อังคารที่ 18 พ.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





ส่งนักศึกษาฝึกงานอิสราเอล

นายสุรชัย สายน้อย ผอ.วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุดรธานีเปิดเผยถึงการฝึกอบรมเพื่อการพัฒนาการเกษตรสำหรับเกษตรกรรุ่นใหม่ จำนวน 100 คน ที่ผ่านการคัดเลือก เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการอาชีวะศึกษากับสำนักงานที่ทำการวิจัยด้านการเกษตรและฝึกอบรมนักศึกษานานาชาติ ที่ประเทศอิสราเอล ซึ่งเป็นหน่วยงานเพื่อพัฒนาความรู้และประสบการณ์ด้านการเกษตร จึงได้จัดให้มีโครงการฝึกอบรมนักศึกษาระดับ ปวช. เดินทางไปฝึกอบรมและเรียนรู้เทคโนโลยีด้านการเกษตร ที่อิสราเอลเป็นเวลา 1 ปี (เดลินิวส์ อังคารที่ 18 พ.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





รมต.20ปท. นัดถกสมัชชาการศึกษา

ดร.ม.ร.ว.รุจยา อาภากร รอง ผอ.สำนักงานเลขาธิการรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือซีมีโอ เปิดเผยว่า องค์การซีมีโอร่วมกับสำนักงานศึกษาแห่งภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ และกระทรวงศึกษาธิการประเทศไทย จัดงานประชุมสมัชชาการศึกษาและนิทรรศการด้านการศึกษา โดยองค์การซีมีโอและยูเนสโก ในวันที่ 27-29 พ.ค.นี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีรัฐมนตรีด้านการศึกษากว่า 20 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วมประชุม เช่น สหรัฐ ไทย เวียดนาม บรูไน ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย มาเลเซีย และประเทศแถบสแกนดิเนเวีย เป็นต้น ทั้งนี้ได้รับพระกรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงาน ในวันที่ 27 พ.ค. ในการประชุมจะมีการพูดถึงการปฏิรูปการศึกษา สถานการณ์เกี่ยวกับธุรกิจการศึกษาที่มีเงินหมุนเวียนหลายพันล้านบาทในประเทศไทย การนำเสนอนโยบายการพัฒนาวงการการศึกษา และการจัดนิทรรศการการเรียนต่อในต่างประเทศ พร้อมทุนที่จะให้กับนักเรียนที่ไปเรียนต่อในแต่ละประเทศด้วย รวมไปถึงการบรรยายเรื่อง ความเสมอภาคในการเข้าถึงคุณภาพทางการศึกษา : วิถีทางเพื่อขจัดความยากไร้ และการตอบรับต่อการเปลี่ยนแปลงและความหลากหลาย จากวิทยากรที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ นอกจากนี้ยังมีการสาธิตการผสานเทคโนโลยีสำหรับผู้เรียนและผู้สอนจากผู้เชี่ยวชาญด้านไมโครซอฟท์ รวมทั้งสาธิตการใช้เทคโนโลยีอี-เลิร์นนิ่ง สำหรับการเรียนการสอนในยุคศตวรรษที่ 21 สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร.0-2391-0144, 0-2391-0258 (คมชัดลึก อังคารที่ 18 พ.ค. 47 http://www.komchadluek.com)





มศวดึงแคนาดาพัฒนาแพทย์

ศ.ดร.วิรุณ ตั้งเจริญ อธิการบดี ม.ศรีนครินทรวิโรฒ(มศว) เปิดเผยว่าในปีการศึกษา 2547 นี้ มศว ได้ทำความร่วมมือทางวิชาการกับ 3 มหาวิทยาลัยในประเทศแคนาดา ได้แก่ ม.โตรอนโต เน้นความร่วมมือด้านการแพทย์และการวิจัยโรคเขตร้อน เช่น มาลาเรีย วัณโรค ซึ่ง ม.โตรอนโต มีศูนย์วิจัยโลกเขตร้อนที่ประเทศกัมพูชา นอกจากนี้ มศว จะเป็นฐานค้นคว้าวิจัยภาคสนามด้านสังคมวิทยา และยังทำความร่วมมือเกี่ยวกับห้องสมุด เพราะห้องสมุดประเทศไทยยังล้าหลังประเทศอื่นๆ มากเราจะย่ำอยู่กับที่ไม่ได้อีกแล้ว ทั้งนี้ความร่วมมือยังมีเรื่องของภาษาอังกฤษ ที่ต้องมีการร่วมมือกันอย่างจริงจัง ส่วนม.บล๊อก เป็นสถาบันการศึกษาที่โดดเด่นเรื่องสิ่งแวดล้อม มีการเรียนการสอนและมีงานภาคสนามที่ดีมาก มศว จะร่วมร่างหลักสูตรด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมทำวิจัยร่วมกับ ม.บล็อก อีกความร่วมมือคือ วิทยาลัยเซเนก้า ที่จะเน้นด้านวิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์เทคโนโลยีศิลปะแฟชั่นและการออกแบบ ความร่วมมือที่เกิดขึ้นจะไม่ใช่ลักษณะดูงานทั่วไป แต่จะเป็นการร่วมมือที่จริงจังเพื่อให้ มศว ได้รับประสิทธิภาพสูงสุดทั้งการครู-อาจารย์ไปศึกษาเฉพาะเรื่อง เพื่อให้เกิดการพัฒนาตัวเอง และต้องทำอย่างต่อเนื่อง (สยามรัฐ อังคารที่ 18 พ.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)





พระเทพฯเสด็จเปิดสมัชชาการศึกษาโลก รมต.20ชาติดังร่วมพัฒนาการสอนและสื่อ

ดร.ม.ร.ว.รุจยา อาภากร รองผู้อำนวยการสำนักงานเลขาธิการรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเซียตะวันออกเฉียงใต้(Southeast Asian Ministers of Education Organization:SEAMEO) เปิดเผยว่า องค์การซีมีโอ ได้ร่วมกับสำนักงานศึกษาแห่งภูมิภาคเอเซียและแปซิฟิค ขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒธรรมแห่งสหประชาชาติ และกระทรวงศึกษาธิการ ประเทศไทย จัดงานประชุมสมัชชาการศึกษา และนิทรรศการด้านการศึกษาโดยองค์การซีมีโอ และยูเนสโก(SEAMO-UNESCO Education Congress and Expo) ระหว่างวันที่ 27-28 พ.ค.2547 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดงานโดยการประชุมครั้งนี้จะมีรัฐมนตรีทางด้ารการศึกษา กว่า 20 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วม อาทิ สหรัฐอเมริกา ไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา บูรไน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย มาเลเซีย อินเดีย ฮ่องกง อังกฤษ ไต้หวัน ไนจีเรีย สแกนดิเนเวีย เดน มาร์ก เปรู อัฟริกาใต้ และเคเมอรูน เป็นต้น งานดังกล่าว ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมวันที่ 27 พ.ค.นี้ ส่วนประเด็นสำคัญในการการประชุมนี้ จะหารือถึงการพัฒนารูปแบบการสอนใหม่ล่าสุด และสื่อที่ใช้ในโรงเรียนทั่วโลก เรื่องการปฏิรูปการศึกษาในแต่ละประเทศทั่วโลก ประเด็นที่เกี่ยวกับธุรกิจการศึกษาที่มีเงินหมุนเวียนหลายพันล้านบาทในประเทศไทย การนำเสนอนโยบายการพัฒนาวงการการศึกษาร่วมกันด้วย มีนิทรรศการเกี่ยวกับการเรียนต่อในต่างประเทศ พร้อมมีกองทุนที่จะให้นักเรียนที่จะไปเรียนต่อในแต่ละประเทศ ในส่วนของนิทรรศการจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Smart Education” ซึ่งแบ่งเป็น2 โซน คือ โซนที่ 1 “Knowledge and Worldwide Opportunities” เน้นการให้ข้อมูลทุนการศึกษา โครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษา และโครงการฝึกงานระหว่างประเทศ โดยตัวแทนสถาบันการศึกษาชั้นนำจากต่างประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย แคนาดา เยอรมันและสิงคโปร์ และโซนที่ 2 “Power of Knowledge and Technology” เน้นเรื่องนวัตกรรมไอซีทีเพื่อการศึกษา อาทิ ฮาร์ดแวร์ ซอฟแวร์ด้านการเรียนรู้ อุปกรณ์และเทคโนโลยีล่าสุด ที่ช่วยพัฒนาการเรียนการสอน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมน่าสนใจจากผู้ผลิตสื่อการสอน เช่น การสาธิตระบบ World Wide Web, elibrary การสาธิต Fowerof ICT สำหรับผู้เรียน รวมทั้งเทคโนโลยี elearning สำหรับการเรียนการสอนในยุคศตวรรษที่ 21 (สยามรัฐ อังคารที่ 18 พ.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)





ศธ.เจอวิกฤติครูขาดแคลนร่วม1.2แสนคน

นายเฉลียว อยู่สีมารักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครู (ก.ค.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ประสบปัญหาขาดแคลนครูอย่างหนัก โดยมีครูเกษียณราชการปีละ 5,000 คน และได้รับอัตราเกษียณคืนแค่ 20% หรือประมาณ 1,000 คน ส่งผลให้ขาดแคลนครูไปประมาณ 80,000 คน หากนับรวมข้าราชการครูสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่ขอเกษียณก่อนกำหนดไปประมาณ 22,000 คน จะทำให้ขาดแคลนครูอยู่ถึง 120,000 คน แนะ สพฐ.แก้ปัญหาระยะยาว ออกหลักเกณฑ์จ้างครูเป็นพนักงานราชการตามอย่างระเบียบสำนักนายกฯ ระบุบุคลากรจะได้รับประโยชน์มากกว่าเป็นครูอัตราจ้าง มีทั้งความมั่นคง และยังได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับข้าราชการ ไม่ต้องต่อสัญญาจ้างทุก 4 ปี แถมยังเลื่อนขั้นเงินเดือนทุกปี สามารถดึงคนเก่งมาเป็นครูได้ง่ายขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 19 พ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ปอมท.ยก8เหตุผลไม่ควรใช้มาตรการลดอาจารย์

ผศ.น.พ.พิศิษฐ์ โจทย์กิ่ง ประธานที่ประชุมประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ปอมท.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 พ.ค. ที่ผ่านมา ปอมท. ได้ประชุมและมีมติไม่เห็นด้วยกับโครงการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบราชการในมาตรการ 3 ที่ให้หน่วยงานพิจารณาให้ออกหรือพัฒนาข้าราชการร้อยละ 5 รวมทั้งขอให้ยกเลิกใช้มาตรการ 3 กับสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ปอมท. จึงได้ออกแถลงการณ์พร้อมระบุเหตุผล 8ข้อ ได้แก่ 1. สถาบันอุดมศึกษามีลักษณะงานที่แตกต่างจากหน่วยงานราชการอื่น โดยเฉพาะภาระงานของคณาจารย์ในแต่ละภาคการศึกษาไม่เท่ากัน ดังนั้นถ้าจะมาประเมินผลเพียง 3-4 เดือนเท่านั้นคงไม่สามารถสะท้อนถึงประสิทธิภาพการทำงานที่แท้จริงได้ 2. การประเมินประสิทธิภาพการทำงานจะต้องมีการศึกษาพัฒนาเครื่องมือประเมินให้ครอบคลุมตรงกับลักษณะงานและใช้เกณฑ์ที่เป็นบรรทัดฐานเดียวกัน และควรประเมินภาระงานทั้งปีไม่ควรกระทำอย่างเร่งรีบ เพื่อป้องกันมิให้บุคลากรที่มีคุณภาพถูกประเมินให้ออกอย่างไร้ความเป็นธรรม 3. กระบวนการตามมาตรการที่ 3 ขัดต่อหลักธรรมาภิบาล เนื่องจากการจัดทำแบบประเมินผลการปฏิบัติงานกระทำโดยคณะกรรมการชุดเดียวกัน 4. ประสิทธิภาพในการทำงานมิได้ขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติงานอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับการจัดการและภาวะผู้นำของผู้บริหาร ดังนั้นควรหาวิธีพัฒนาภาวะผู้นำก่อนที่จะนำมาตรการ 3 มาใช้ 5. ระบบธรรมาภิบาลในมหาวิทยาลัยยังไม่มีมาตรการที่โปร่งใสเพียงพอ หากนำมาตรการดังกล่าวมาใช้ อาจกลายเป็นเครื่องมือให้ผู้บริหารใช้วิธีการที่ไม่สุจริตยุติธรรมมาประเมินบุคลากรที่มีคุณภาพออกจากราชการได้ แม้ผู้ถูกประเมินจะสามารถร้องเรียนได้ก็ตาม 6. ระบบราชการมีระเบียบพิจารณาบุคลากรที่ไม่มีประสิทธิภาพให้ออกจากราชการอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องนำมาตรการ 3 มาใช้ 7. หากข้าราชการถูกให้ออกจำนวนมากจะเกิดผลเสียต่อคุณภาพชีวิต เนื่องจากในภาวะเศรษฐกิจที่วิกฤติตกต่ำ โอกาสที่จะมีงานทำเป็นไปได้น้อยอยู่แล้ว ซึ่งจะส่งผลให้เกิดปัญหาสังคมอื่น ๆ ตามมาอีกมาก และ 8. การพัฒนาข้าราชการในสถาบันอุดมศึกษาต้องใช้งบฯมากและระยะเวลาอันยาวนาน ซึ่งประเทศไทยยังคงขาดแคลนบุคลากรกลุ่มนี้และจะขาดแคลนมากขึ้นใน อีก 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากการเกษียณอายุราชการ จึงไม่สามารถผลิตและพัฒนาบุคลากรใหม่ได้ทัน ดังนั้นการใช้มาตรการ 3 จะก่อให้เกิดการสูญเสียทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่าไปโดยเปล่าประโยชน์ (เดลินิวส์ พุธที่ 19 พ.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





การสอนไอซีทีที่อังกฤษ

การเรียนการสอนวิชาไอซีที หรือเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารนั้น ที่ประเทศสหราชอาณาจักร หรือประเทศอังกฤษ ที่เขาประสบความสำเร็จแล้ว สำหรับที่ประเทศอังกฤษนั้นได้มีความก้าวหน้าด้านนี้ชัดเจนตั้งแต่ปี 1997 หรือเพียง 6-7 ปีที่ผ่านมา โดยที่การสำรวจพบว่า ครูถึง 90% เป็นผู้ที่ใช้สารสนเทศและการสื่อสารได้อย่างดี และผลของการสอนอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจและดีขึ้นถึง 77% ของโรงเรียนที่ได้รับการตรวจเยี่ยม สิ่งเหล่านี้ได้มา 1 การฝึกอบรมครู แทนที่จะดูว่าเทคโนโลยีเหล่านี้นำมาเพื่อการสอนในห้องเรียนอย่างไร ก็จะนำไปเน้นที่การทำให้คุณครูมีความเก่งในเรื่องเทคโนโลยีจะดีกว่า ซึ่งก็เหมือนใจคิดจริง ๆ 2 จะต้องให้คุณครูทุ่มเทความสามารถในการที่จะนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเอาไปใช้เพื่อเพิ่มเติมประสิทธิภาพการสอน การเรียนรู้ และมาตรฐานของนักเรียน 3 จะต้องมีการฝึกอบรมครูในเรื่องที่จะสามารถนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารไปประยุกต์ใช้กับวิชาเรียนต่าง ๆ หลากหลายสาขาให้มาก 4 จะต้องมีการเพิ่มจำนวนโรง เรียนไอซีทีครอบคลุมพื้นที่ให้มากขึ้น รวมทั้งสิ่งสำคัญ 5 ให้ครูมีแล็บ ท็อป หรือคอมพิวเตอร์หิ้วไปใช้ได้ตลอดเวลา เพื่อการเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีตลอดเวลา (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 20 พ.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





Partners in Learning “ไมโครซอฟท์” ดันครูไทยเก่งไอซีที

กระทรวงศึกษาธิการ และบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัดได้ร่วมกันแถลงความคืบหน้าการดำเนินนโยบายพัฒนาทักษะด้านไอซีที แก่ครู-อาจารย์ในโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศ ภายใต้โครงการ Partners in Learning โดยนายอุบล เล่นวารี ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในฐานะตัวแทนกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า กระทรวงศึกษาธิการ มีเป้าหมายในการพัฒนาบุคลากรครูซึ่งมีอยู่ประมาณ 600,000 กว่าคน ให้มีทักษะพื้นฐานด้านคอมพิวเตอร์ โดยมุ่งเน้นให้ครูต้องมีความสามารถทางคอมพิวเตอร์ การใช้อินเตอร์เน็ต และ e-learning สามารถออกแบบหลักสูตรที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาประกอบการสอน ซึ่งหากครู อาจารย์ มีทักษะเหล่านี้แล้วนักเรียนก็จะได้รับประโยชน์ตามมา การพัฒนาศักยภาพของครู และนักเรียนด้านไอที ภายใต้โครงการ Partners in Learning ที่สัมฤทธิ์ผลไปแล้ว อาทิ การจัดทำหลักสูตรอบรมด้านทักษะด้านไอซีที ให้แก่ครูซึ่งมีทั้งหมด 13 หลักสูตร แยกเป็นระดับพื้นฐาน ระดับกลาง และระดับสูง ซึ่งได้มีการนำหลักสูตรไปใช้อบรมครูโรงเรียนขนาดเล็ก จำนวน 2,000 คน เสร็จสิ้นไปเมื่อไม่นานมานี้ ความร่วมมือระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ และบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่อยู่ภายใต้โครงการ Partners in Learning ยังรวมถึงการช่วยโรงเรียนทั่วประเทศที่ได้รับบริจาคเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยไมโครซอฟท์ ได้จัดมอบโปรแกรมวินโดว์ส 98 หรือ 2000 ให้ฟรี!เมื่อโรงเรียนลงทะเบียนแจ้งความจำนงเข้ามาซึ่งปัจจุบันมีโรงเรียนจำนวน 721 แห่ง หรือจำนวนคอมพิวเตอร์ 25,807 เครื่อง ที่แจ้งเข้ามา ซึ่งไมโครซอฟท์กำลังทยอยจัดส่งให้ (สยามรัฐ พฤหัสบดีที่ 20 พ.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)





นิวซีแลนด์ดูปฏิรูปการศึกษาไทย

วันที่ 20 พ.ค. ที่สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) รัฐมนตรีศึกษาธิการประเทศนิวซีแลนด์พร้อมคณะได้เดินทางมาเยี่ยมชมการดำเนินงานของ สมศ. พร้อมทั้งหารืองานด้านการศึกษาร่วมกับ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายจาตุรนต์ เปิดเผยภายหลังการหารือว่า ทางนิวซีแลนด์ต้องการมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับไทยในการประเมินระบบการปฏิรูปการศึกษาโดยรวม เนื่องจากก่อนที่จะมีการจัดตั้ง สมศ. และมีการปฏิรูปการศึกษาไทยก็ได้ไปศึกษาวิธีการดำเนินงานมาจากหลายประเทศ ซึ่งนิวซีแลนด์ก็เป็นประเทศหนึ่งที่ไทยได้ไปศึกษาดูงานและนำมาปรับใช้ โดยในส่วนของการประเมินและประกันคุณภาพการศึกษาของเราก็มีความคืบหน้าไปพอสมควร อาจจะติดขัดบ้างในเรื่องของงบประมาณเป็นระยะซึ่งต้องแก้ไขปัญหาต่อไป ขณะนี้สมศ.ทำการประเมินว่าโรงเรียนแต่ละแห่งเป็นอย่างไรแล้วต้องสะท้อนด้วยว่าการปฏิรูปการศึกษามีความคืบหน้าไปอย่างไร นอกจากนี้จะมีโครงการการแลกเปลี่ยนและให้ทุนนักศึกษาระดับปริญญาเอก และโครงการผลิตบัณฑิตร่วมกัน โดยผู้เรียนอาจจะเรียนที่ประเทศหนึ่งเป็นระยะเวลา 2 ปีครึ่ง และเรียนในอีกประเทศหนึ่งเป็นเวลาประมาณ 1 ปีครึ่งแล้วให้ปริญญาร่วมกัน เป็นต้นไป ศ.ดร.สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ ผอ.สมศ. กล่าวว่า นิวซีแลนด์มีโรงเรียนทั้งประเทศอยู่ 2,648 โรง ในขณะที่ไทยมีโรงเรียนทั้งหมด 40,205 โรง ซึ่งทางนิวซีแลนด์ยังใช้รอบการประเมินสถานศึกษาในทุก ๆ 3 ปี ส่วนไทยใช้รอบระยะเวลาการประเมิน 5 ปี และจากการหารือ รมต.ศึกษานิวซีแลนด์ก็เห็นด้วยกับการใช้รอบระยะเวลาการประเมิน 5 ปี แบบของไทยเพราะเป็นระยะเวลาที่สามารถนำแผนไปสู่การปฏิบัติได้ และทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่ทางนิวซีแลนด์ได้ดำเนินการเพิ่มเติม คือ การทำให้โรงเรียนรู้สึกว่าการประเมินภายนอกเป็นเรื่องที่โรงเรียนต้องดำเนินการ ไม่ใช่เรื่องของกระทรวงหรือหน่วยงานภายนอก รวมทั้งทำการพัฒนาครูเป็นรายบุคคล และให้ความสำคัญกับเรื่องความโปร่งใสทางการศึกษา เพราะความโปร่งใสจะนำไปซึ่งคุณภาพการศึกษาด้วย (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 21 พ.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





กลั่นกรองไฟเขียวงบ2หมื่นล้านผลิตแพทย์เพิ่ม

เมื่อวันที่ 20 พ.ค ที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 (ฝ่ายการศึกษา) โดยมีนายจาตุรนต์ ฉายแสง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติเห็นชอบในหลักการโครงการผลิตแพทย์เพิ่มของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาตามความต้องการของกระทรวงสาธารณสุข และเห็นชอบงบประมาณดำเนินการสำหรับการผลิตแพทย์เพิ่มตามโครงการฯ ดังกล่าว เป็นงบดำเนินการประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป 300,000 บาท/คน/ปี รวม 19,221 ล้านบาท ส่วนงบลงทุนได้ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรให้ตามเหตุผลความจำเป็นของสถาบันผลิตแพทย์แต่ละแห่งต่อไป พร้อมกันนี้ที่ประชุมเห็นชอบให้ใช้งบกลางของปีงบประมาณ 2547 สำหรับนักศึกษาที่รับเพิ่มอีกจำนวน 596 คน ตามโครงการฯ ในวงเงินจำนวน 59.6 ล้านบาท สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้ประสานกับกระทรวงสาธารณสุข ประมาณความต้องการแพทย์แล้ว โดยกำหนดอัตราส่วนแพทย์ต่อประชาชน 1 : 1,800 และจัดทำแผนตามจำนวนประชากรในความรับผิดชอบของโรงพยาบาลแต่ละแห่ง ควบคู่กับการวางแผนการกระจายกำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการและภาระงานที่ต้องดูแลประชากรในความรับผิดชอบจริง ทั้งนี้ เห็นควรเพิ่มการผลิตแพทย์ในโครงการผลิตแพทย์เพิ่มของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาฯ โดยแบ่งเป็น 2 โครงการ งบประมาณรวม 19,221 ล้านบาท ดังนี้ 1. โครงการเร่งรัดการผลิตแพทย์เพิ่มของสถาบันผลิตแพทย์ พ.ศ.2547 -2556 สามารถรับนักศึกษาแพทย์ 6,871 คน ใช้งบประมาณ 12,368 ล้านบาท และ2.โครงการเร่งรัดการผลิตแพทย์ของโครงการผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท พ.ศ. 2547 -2556 (โครงการความร่วมมือผลิตแพทย์ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา) สามารถรับนักศึกษาแพทย์ตลอดโครงการ 3,807 คน ใช้งบประมาณ 6,853 ล้านบาท (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 21 พ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





มอ.เผยปัญหาใต้ ไม่กระทบรับนศ.

ดร.สุรเดช จารุธนเศรษฐ์ ผู้ช่วยอธิการบดี ฝ่ายการรับนักศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) เผยข้อมูลการรับนักศึกษาประจำปีการศึกษา 2547 ว่า ในภาพรวมทุกวิทยาเขตของ มอ. มีผู้เข้ารายงานตัว และผ่านการสอบสัมภาษณ์เข้าเป็นนักศึกษาใหม่ ตรงตามเป้าหมายที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้ โดยเฉพาะวิทยาเขตปัตตานี ที่กำหนดรับนักศึกษาประมาณ 1,500 คน และมีการประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกเพื่อเข้าสอบสัมภาษณ์เผื่อไว้เป็น 3,000 คน ปรากฏว่ามีผู้เข้ารายงานตัวประมาณครึ่งหนึ่งหรือ 1,500 คน เท่าที่จำนวนประกาศรับพอดี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนในพื้นที่ภาคใต้ และผู้ที่สละสิทธิ์ส่วนใหญ่ก็เป็นคนต่างพื้นที่ บางวิทยาเขตที่รับนักศึกษาได้น้อย เพราะเป็นสาขาวิชาที่เปิดใหม่เป็นปีแรก เช่น สาขาวิชาการบัญชี และการประกันภัย ทั้งนี้ มอ.จะเปิดรับรอบสองในวิทยาเขตปัตตานี, ตรัง, สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 24 พ.ค. นี้ ผู้สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.tsu.ac.th นศ.วิทยาเขตปัตตานี จะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ขอให้ผู้ปกครองไว้วางใจ เพราะเรามีมาตรการป้องกัน ทั้งในส่วนยามรักษาความปลอดภัย ร้านค้า โรงอาหาร หอพัก ที่มีพร้อมในวิทยาเขต เด็กแทบไม่จำเป็นต้องออกนอกสถาบัน" ดร.สุรเดช กล่าว (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 21 พ.ค. 47 http://www.komchadluek.com)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


พบหลุมอุกาบาตลูกยักษ์พุ่งชนโลกตัวการสัตว์โลกดึกดำบรรพ์สูญพันธุ์

ลูแอน เบคเกอร์ จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย หัวหน้าทีมวิจัยบอกว่า หลักฐานชิ้นสำคัญที่ทำให้มั่นใจว่าแอ่งเบห์ดูเป็นหลุมที่เกิดจากการพุ่งชนของอุกกาบาตลูกใหญ่คือ ตัวอย่างหินบริเวณกลางแอ่งที่บริษัทขุดสำรวจน้ำมันขุดมาจากบริเวณนั้นตอนเจาะหาน้ำมัน เบคเกอร์ บอกว่า เขาถึงกับตะลึงเมื่อตรวจสอบเนื้อหินและพบว่ามีส่วนประกอบของแร่ธาตุที่มักพบในอุกกาบาตอยู่ในนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควอทซ์ "ช็อก" ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับถูกกระแทกด้วยพลังมหาศาล ตลอดหลักฐานอื่นๆ ที่บ่งชี้ถึงการพุ่งชนปรากฏอยู่บริเวณดังกล่าว นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังพบแร่ควอทซ์และแร่ธาตุอื่นที่ระเบิดออกมาจากการพุ่งชนของอุกกาบาตนี้ตามทวีปออสเตรเลีย แอนตาร์กติกา และอาจมีในอินเดียด้วย นักวิจัยอีกรายหนึ่งจากมหาวิทยาลัยโรเชสตา ในนิวยอร์ก บอกว่า เมื่อวิเคราะห์อายุของแอ่งเบห์ดูแล้วพบว่า มีอายุในช่วงเดียวกับที่สิ่งมีชีวิตยุคดึกดำบรรพ์สูญพันธุ์ไปจากโลก จึงน่าจะเป็นคำอธิบายที่ดี ทฤษฎีที่เชื่อกันทั่วไปว่าเป็นต้นเหตุของการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ น่าจะเกิดจากภูเขาไฟระเบิดอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหลายพันปี ส่งผลให้เกิดก๊าซพิษลอยฟุ้งอยู่ในชั้นบรรยากาศ และทำให้อากาศของโลกเปลี่ยนแปลง หลักฐานที่สนับสนุนทฤษฎีนี้คือ หินละลายที่พบอยู่ใต้ไซบีเรียในปัจจุบัน "การค้นพบครั้งล่าสุดนี้เป็น 'เบาะแส' แต่อาจจะไม่ถึงกับเป็นหลักฐานมัดตัวว่าการพุ่งชนของอุกกาบาตมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของสิ่งมีชีวิตบนโลก" ดักลาส เออร์วิน นักชีววิทยาโลกดึกดำบรรพ์จากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติสมิธโซเนียนแสดงความเห็นแย้ง ส่วนทฤษฎีใหม่ที่ว่ากันนี้จะเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหนนั้นยังต้องมีการศึกษากันมากกว่านี้เพื่อหาข้อมูลมายืนยัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมีการวัดขนาดของปากแอ่ง ซึ่งจะบอกได้ว่าอุกกาบาตมีขนาดใหญ่โตแค่ไหน (คมชัดลึก จันทร์ที่ 17 พ.ค. 47 http://www.komchadluek.com)





พบภูเขาไฟวิตถารอยู่ใต้มหาสมุทร ขับยางมะตอยออกมาราดเป็นลาน

ศูนย์วิจัยพรมแดนใต้มหาสมุทร ที่เมืองเบรเมน ประเทศเยอรมนีแจ้งว่า สำรวจพบภูเขาไฟ ประหลาดใต้น้ำ ที่ในบริเวณอ่าวเม็กซิโก อยู่ใต้ทะเลลึกระหว่าง 450-800 เมตร และได้กลายเป็นแหล่งพักอาศัยของสัตว์และแบคทีเรียนานาชนิด นักวิทยาศาสตร์ของศูนย์กล่าวว่า "ตามปกติ แล้วยางมะตอยอาจจะเกิดพบตามใต้ทะเลได้ เนื่องจากพวกจุลชีพบางอย่าง ดูดกินน้ำมันดิบที่เกิดมีอยู่ใต้น้ำเป็นอาหาร เท่าที่เคยพบบ่อยๆ มีแต่เป็นจำนวนเล็กน้อย ไม่เคยพบเป็นปริมาณมากมาย ปกคลุมท้องทะเลเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ ไม่ต่ำกว่า 1 ตารางกิโลเมตรแบบนี้ ยิ่งกว่านั้น ตัวยางมะตอยเองยังเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม แต่ในการพบครั้งนี้ กลับได้พบโลกของสิ่งมีชีวิต ซึ่งทำรังอยู่กับยางมะตอยและยังกินมัน เป็นอาหารด้วยซ้ำ" พวกผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ภูเขาไฟยางมะตอยนี้ คงจะเกิดขึ้นได้ภายใต้ภาวะบางอย่างเท่านั้น อย่างเช่น จะเกิดในระดับน้ำลึกๆ และท้องทะเลแถบนั้นจะต้องมีเกลือแร่และน้ำมันดิบอยู่มาก (ไทยรัฐ พุธที่ 19 พ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





ชักโครกมหัศจรรย์

ที่เมืองเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน นักประดิษฐ์ผู้หนึ่งได้คิดค้นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดจิ๋วที่สามารถส่งเสียงร้องเตือนคุณผู้ชายที่ชอบใช้ชักโครกโดยการยืนปัสสาวะแล้วไม่ยอมปิดฝารองนั่งลงอย่างเดิม อุปกรณ์ตัวจิ๋วนี้มีชื่อว่า "ดับเบิ้ลยูซี โกสต์" จะถูกติดไว้ที่ขอบของชักโครก เมื่อที่รองนั่งของชักโครกถูกยกขึ้น อุปกรณ์จิ๋วนี้ก็จะร้องเตือนด้วยน้ำเสียงของผู้หญิงว่า..."ว่าไง ทำอะไรอยู่จ๊ะ? ถ้าเสร็จธุระแล้วช่วยเอาที่รองนั่งกลับลงไปด้วยนะ แน่นอนว่าคุณต้องยืนปัสสาวะ เจ้า "ดับเบิ้ลยูซี โกสต์" ประดิษฐ์ขึ้นโดย อเล็กซ์ เบนค์ฮาร์ดท วัย 46 ปี "ดับเบิ้ลยูซี โกสต์" ได้ถูกจำหน่ายไปแล้วกว่า 1.6 ล้านเครื่อง และขณะนี้ "ดับเบิ้ลยูซี โกสต์" กำลังออกวางจำหน่ายในตลาดประเทศอังกฤษ แคนดา และอิตาลี (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 20 พ.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





โน้ตบุ๊กไวร์เลสใช้งานไว-ไฟไกล5เท่า

นายธีระชัย ชูบรรเจิด ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า เทรนด์เทคโนโลยีโน้ตบุ๊กของเอเซอร์ต่อจากนี้ จะฝัง เอเซอร์ ซิงนัลอัพ เทคโนโลยี (Acer SingalUp Technology) ไว้ในตัวเครื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมต่อสัญญาณ ไวร์เลส แลน ให้สูงขึ้นถึง 5 เท่า จากเดิมที่เชื่อมต่อในรัศมี 60-80 เมตร เป็นประมาณ 300 เมตร โดยโน้ตบุ๊ก TravelMate รุ่น TM 8004LMi จะเปิดตัวครั้งแรกในงานคอมมาร์ต ไทยแลนด์ 2004 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 20-23 พ.ค.นี้ TravelMate รุ่น TM 8004LMi เป็นโน้ตบุ๊กที่มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน หน่วยความจำ 1 กิกะไบต์ โมบายล์ อินเทล เพนเทียม เอ็ม 1.7AGHz. ฮาร์ดดิสก์ 80 GB. และสามารถเล่นดีวีดีได้ในทุกฟอร์แมท ราคา 95,900 บาท นอกจากนี้ ในงานคอมมาร์ต เอเซอร์เปิดตัวโน้ตบุ๊กอีก 12 รุ่น อาทิ โน้ตบุ๊กตระกูล Aspire รุ่น Aspire 2025WLMi และตระกูล Ferrari รุ่น Ferrari 3200LMi รวมทั้งคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) ราคาประหยัด ได้แก่ Acer Power S200 สองรุ่นที่ใช้ อินเทล เซเลอรอน โปรเซสเซอร์ 2.6 GHz. และอินเทล เพนเทียม โฟร์ 2.8 GHz. ราคา 14,900 บาท และ 18,490 บาท ตามลำดับ (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 20 พ.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





ทดลองทำนาปลูกข้าวขึ้นในอวกาศ จีนจะเอาขึ้นไปทำบนสถานีอวกาศ

จีนจะส่งพันธุ์ข้าวขึ้นไปทดลองปลูก บนสถานีอวกาศ ลองทำนาข้าวในอวกาศดูว่า จะได้รับผลเป็นอย่างไรบ้าง สำนักข่าวของจีนกล่าวว่า แผนการดังกล่าวเป็นการร่วมมือกับสหภาพยุโรป ญี่ปุ่นและแคนาดา ทำการศึกษาวิจัยการเพาะปลูกพืชในอวกาศ โดยทีมนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัย โปลีเทคนิคฮาร์บิน ซึ่งตั้งอยู่ปลายเหนือสุดของจีน จะได้ศึกษาดูภาวะการเปลี่ยนแปลง ของพันธุ์ข้าวในอวกาศ และการปรับตัวให้เข้ากับสภาพไร้น้ำหนัก ด้วยความหวังว่า จะทำให้ได้รับความรู้ที่เป็นประโยชน์ นำมาปรับปรุงพันธุ์ข้าวต่างๆให้ดีขึ้นต่อไป ข่าวกล่าวว่า นักวิทยาศาสตร์จีนได้เคยทดลองศึกษาพันธุ์ข้าว โดยส่งขึ้นไปกับดาวเทียม และยานอวกาศมาก่อนแล้ว แต่ยานเหล่านั้นยังไม่มีอุปกรณ์สนับสนุนชีวิต และอยู่ในสภาวะ ไร้น้ำหนักชั่วเวลาเพียงไม่กี่วัน ผิดกันกับที่จะทำบนสถานีอวกาศซึ่งจะได้มีเวลานานกว่า เป็นที่คาดว่า โครงการทดลองปลูกข้าวบนสถานีอวกาศ คงจะได้ลงมือในปีหน้า นักวิทยาศาสตร์จีน ได้เตรียมพันธุ์ข้าวที่จะใช้ เป็นปริมาณ 1 กิโลกรัม (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 20 พ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





สถาบันนิร์นาวาจัดสัมนาฟรีปลุกกระแสเทคโนโลยีจาวาในเมืองไทย เน้นการต่อยอดนำจาวาไปพัฒนาธุรกิจ

นางนทีทอง ทองไทย ผู้จัดการสถาบันนิร์นาวา เปิดเผยว่านักพัฒนาทั่วโลกมีความสนใจหาความรู้ด้านเทคโนโลยีจาวากันมากขึ้น เนื่องจากการเขียนโปรแกรมจาวา สามารถทำงานบนระบบปฏิบัติการใดก็ได้ รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้หลากหลายทั้งระดับคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ จนกระทั่งถึงระดับคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานตามบ้านทั่วไปหรือแม้แต่การสื่อสารผ่านอุปกรณ์ไร้สายอย่างมือถือสถาบันจึงจัดงาน "Java กับอนาคตของการพัฒนาโปรแกรมและโอกาสทางธุรกิจ" ขึ้น เป็นการสัมมนาฟรีเพื่อปลุกกระแสจาวาให้กับนักพัฒนาและบุคคลทั่วไปที่สนใจศึกษาความรู้ด้านจาวาและนำไปต่อยอดความรู้ในสายอาชีพ ภายในงานมีการบรรยายเรื่องแอพพลิเคชั่นบนมือถือ ภาพรวมและโอกาสทางธุรกิจจากผู้เชี่ยวชาญของบริษัทซีเมนส์โมบาย ประเทศไทย การเตรียมตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญ ด้านจาวากับโอกาสในการพัฒนาธุจกิจจากซัน ไมโครซิสเต็มส์ เจ้าของเทคโนโลยีจาวา และฟังประสบการณ์จากผู้ที่พัฒนาวิชาชีพจากจาวาด้วยตนเองงานสัมมนาดังกล่าวจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 22 พ.ค.นี้ เวลา 09.00-12.00 น. ห้องจูปิเตอร์ ชั้น 9 อาคารชินวัตร 3 โทร. 0-2247-6868 (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 21 พ.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์8มิ.ย.

น.ท.ฐากูร เกิดแก้ว หัวหน้าโครงการเรียน รู้เรื่องวิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ (LESA Pro ject) ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 8 มิ.ย. นี้ เวลาประมาณ 12.13-18.23 น. จะเกิดปรากฏการณ์ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุก 120 ปี แต่ปรากฏการณ์ครั้งนี้ได้เกิดห่างจากครั้งที่แล้วถึง 122 ปี (ครั้งที่แล้วเกิดปี พ.ศ. 2425) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์คู่แฝดที่เกิดขึ้นทีละ 2 ครั้ง ห่างกัน 8 ปี คือเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2547 และ พ.ศ. 2555 โดยต้องรอไปอีก 105 ปีถึงจะเกิดขึ้นอีกครั้ง น.ท.ฐากูร กล่าวว่า การดูปรากฏการณ์นี้ หากดูไม่ถูกวิธีจะส่งผลเสียต่อดวงตาอย่างมาก แม้ไม่ทำให้ตาบอดทันที แต่จะทำให้สูญเสียการมองเห็นตอนอายุมากขึ้น วิธีดูปรากฏการณ์ทางดารา ศาสตร์ดังกล่าวให้ถูกต้อง ควรดูผ่านแผ่นกรองแสงที่ได้มาตรฐาน ซึ่งเป็นแผ่นกระจกฉาบโลหะหรือแผ่นไมลาร์ ห้ามดูดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่า หรือมองดวงอาทิตย์ผ่านเลนส์กล้องโทรทรรศน์โดยตรง เพราะความร้อนจากการรวมแสงภายในลำกล้อง อาจทำให้เกิดอันตรายกับดวงตา ทั้งนี้ ปรากฏการณ์ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ เป็นเหตุการณ์ที่สามารถมองเห็นในทั้งสามทวีป คือ ยุโรป เอเชีย และแอฟริกา ดังนั้นจึงได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ "VT-2004 ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ ดาราศาสตร์ข้ามชาติทางอินเทอร์เน็ต" ในวันที่ 22 พ.ค. นี้ เพื่อเตรียมความพร้อมครู-นักเรียน ที่สนใจร่วมส่งข้อมูลการสังเกตการณ์ และคำนวณระยะทางระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ เพื่อขึ้นเว็บไซต์ www.vt-2004.org ผู้ที่สนใจ สามารถสอบถามข้อมูลและสมัครได้ที่ www.lesa project.com ในวันที่ 8 มิ.ย. 47 ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ จะจัดกิจกรรมสังเกตปรากฏการณ์ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ หรือร่วมชมปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ที่ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพฯ ตั้งแต่เวลา 12.00-18.30 น (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 21 พ.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





จีนจะตั้งสถานีอวกาศของตนเอง น้อยใจสหรัฐกันไม่ให้เข้าสมาคม

นายยัง หลีเหว่ยมนุษย์อวกาศจีน ซึ่งเพิ่งเดินทาง ในวงโคจรในอวกาศรอบโลก เมื่อเดือนตุลาคมที่แล้วนี้ เขาได้เอ่ยถึงโครงการ อวกาศอันยิ่งใหญ่อันใหม่ของจีนว่า อาจจะเป็นการตั้งสถานีอวกาศนอกโลกขึ้นในราว พ.ศ. 2563 นี้ จีนจะตีเสมอชาติมหาอำนาจทางอวกาศอย่างรัสเซียและอเมริกา ด้วยการจะสร้างสถานีอวกาศเพื่อส่งคนไปประจำเป็นการถาวรของตนเอง ขึ้นบ้าง แต่จะต้องใช้เวลาอย่างเบาะๆ ก็อีก 15 ปี จีนเพิ่งแสดงความรู้สึกน้อยใจ เมื่อสหรัฐฯไม่ค่อยแสดงความยินดีดียินร้าย กับการที่จีนสามารถส่งมนุษย์ เดินทางในอวกาศนอกโลกได้อีกชาติหนึ่งเท่าใดนัก ซ้ำยังแสดงท่าทีว่า จะไม่ยอมต้อนรับจีนเข้าร่วมโครงการสถานีอวกาศระหว่างชาติของกลุ่ม 16 ชาติ ซึ่งใช้งบมหาศาลถึง 3,800,000,000,000 บาทด้วย ผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐฯเคยกล่าวแย้มบอกว่า อเมริการู้สึกไม่สบายใจ ที่โครงการอวกาศ ซึ่งฝ่ายทหารเป็นผู้รับผิดชอบของจีนนั้น สักวันหนึ่งอาจเป็นภัยกับฐานะเจ้าแห่งการสื่อสาร ด้วยดาวเทียมทางทหาร ของสหรัฐฯที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 21 พ.ค. 47 http://www.thairath.co.th/thairath)





อังกฤษส่องกล้องสำรวจกาแล็กซี ย้ำทฤษฎีจักรวาลขยายตัวไม่รู้จบ

กล้องโทรทรรศน์อวกาศจันทรา ซึ่งเป็นกล้องที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ตรวจจับคลื่นรังสีเอ็กซ์ในจักรวาลพบว่า กาแล็กซีทั้งหมดที่อยู่ขอบจักรวาลกำลังขยายตัวห่างออกไปจากกันอย่างรวดเร็ว โดยอัตราเร่งของการขยายตัวเริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 6,000 ล้านปีมาแล้ว อย่างไรก็ดี เหล่านักดาราศาสตร์เองยังไม่แน่ใจว่าจักรวาลจะขยายตัวในอัตราเร่งคงที่อย่างนี้ตลอดไปหรือไม่ นักดาราศาสตร์ได้ตั้งสมมติฐานอธิบายการขยายตัวของดาราศาสตร์ว่า เป็นเพราะพลังงานชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "พลังงานมืด" ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไร แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นพลังที่มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 75 ของมวลและพลังงานทั้งหมดในจักรวาล โดยสังเกตพบครั้งแรกเมื่อปี 2541 ว่า จักรวาลขยายตัวหลังจากใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล สังเกตปรากฏการณ์การระเบิดของดาวฤกษ์ยักษ์ หรือที่เรียกว่า "ซูเปอร์โนวา" ในการตรวจสอบอัตราขยายตัวของกลุ่มกาแล็กซี ผ่านทางกล้องโทรทรรศน์จันทราโดยนักดาราศาสตร์จากสถาบันดาราศาสตร์เคมบริดจ์แห่งอังกฤษ เป็นการเฝ้าสังเกตกาแล็กซี 26 กลุ่ม ที่ล้อมรอบโดยก๊าซร้อนและเกาะรวมกลุ่มกันได้ด้วยสสารมืด ซึ่งเป็นสสารลึกลับอีกตัวหนึ่งที่เป็นตัวการทำให้กาแล็กซีเกาะอยู่ในกลุ่มเดียวกัน พวกเขาศึกษาขนาดของกลุ่มกาแล็กซี และระยะห่างแต่ละกลุ่ม โดยพบว่ากลุ่มกาแล็กซีที่พวกเขาศึกษาอยู่นี้ได้ขยายตัวห่างกัน โดยในอดีตเคยชะลอความเร็วลงและเพิ่มอัตราเร็วขึ้นในเวลาต่อมา (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 21 พ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





"วีระศักดิ์" เปิดโปง 10 เว็บไซต์อันตราย

นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ผช.รมว.วัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยว่า จากการประสานและตรวจสอบกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เกี่ยวกับเว็บไซต์ผิดกฎหมาย พบว่าขณะนี้มีมากกว่า 13,000 เว็บ เป็นเว็บลามกอนาจารอันดับ 1 กว่า 7,000 เว็บ และมีเว็บที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ อีก 10 ประเภท ประกอบด้วย 1.เว็บโป๊ทั่วไป 2.เว็บที่มีเรื่องราวแปลกๆ วิปริต เด็กที่เข้าไปดูนานๆ จะชินชา ดูจนรู้สึกว่าไม่เสียหาย เช่น เว็บสาธิตการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างคนกับสัตว์ ศพ 3.เว็บตอบปัญหาทางเพศแบบผิดๆ 4.เว็บสอนการฆ่าคน ทำอาชญากรรม ผลิตยาพิษ 5.เว็บส่งเสริมใช้ภาษาลามก หยาบคาย 6.เว็บสอนวิธีฉ้อโกงข้อมูลสำคัญของคนอื่นหรือส่วนราชการ 7.เว็บสั่งสอนให้ตกเป็นสาวก ครอบงำความคิดผิดๆ และตอบโต้ สังคมในแบบผิดๆ ทำลายสาธารณประโยชน์ เช่นเสาไฟ สายไฟ ตู้โทรศัพท์สาธารณะ 8.เว็บสอนความโหดเหี้ยม ฆ่าและฆาตกร ค้ากาม 9.เว็บขายสินค้าประหลาดๆ เชื้อโรค สารเคมี และ 10.เว็บขายบริการทางเพศ ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาขายตัว มีรูปขณะมีเพศสัมพันธ์ รูปใส่ชุดนักศึกษา พร้อมที่อยู่และเบอร์ โทรติดต่อ ผช.รมว.วธ. กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม วธ. ได้ ทำการบล๊อกไว้แล้วกว่า 100 เว็บ และได้ผลิตเว็บการ์ดขึ้นมาช่วยสกัดกั้น มีคุณสมบัติช่วยสกัดกั้นเว็บผิดกฎหมาย เว็บไม่ดีทั้งหลายได้กว่า 1,000 ล้านเว็บ สามารถความคุมการเล่นอินเตอร์เน็ตของบุตรหลานได้ นายวีระศักดิ์กล่าวอีกว่า นอกจากนั้นตนจะหารือกับนายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ผช.รมว.ศึกษาธิการ เพื่อร่วมกันสกัดกั้นเว็บลามกอนาจารในสถานศึกษาทั่วประเทศ โดยจะนำเว็บการ์ดจำนวน 2,000 แผ่นไปมอบให้เพื่อนำไปแจกแก่โรงเรียนในสังกัดและจะขอความร่วมมือจากทาง สตช. ให้ปราบปรามเว็บและสื่อลามกอย่างเข้มงวด (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 22 พ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





ข่าววิจัย/พัฒนา


กินผลส้มที่ถูกควรเลือกกินแต่เปลือกเพราะของดีรวมกันอยู่ที่ ผิวด้านนอก

การศึกษาค้นคว้าทั้งในสหรัฐฯและแคนาดาพบว่า การกินผลไม้อย่างส้มและส้มเปลือกหนาอย่าง ส้มจีน ถ้าหากกินเปลือกจะได้ประโยชน์ยิ่งกว่ากินเนื้อ เพราะมันมีสรรพคุณเป็น ยาลดไขมันอย่างดี โฆษกของคณะนักวิจัยกล่าวเปิดเผยว่า "ในเปลือกของมันมีสารประกอบ ที่มีสรรพคุณไม้แพ้ยาลด ไขมันบางขนาน และอาจจะเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำไป" รายงานในหนังสือพิมพ์ของอังกฤษ ยังกล่าวต่อไปว่า สารประกอบในเปลือกของ มันที่มีอยู่หลายชนิด สารบางอย่างยังมีสรรพคุณในการต่อต้านโรคมะเร็ง โรคหัวใจและแก้การอักเสบ ( ไทยรัฐ จันทร์ที่ 17 พ.ค. 47 http://www.thairath.co)





"ไรน้ำนางฟ้า" สัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่

"ไรน้ำนางฟ้าไทย" หรือ "แมงอ่อน-ช้อย" แหล่งอาหารเสริมโปรตีน ของชาวอีสานบ้านเฮาเวลานี้ กำลังจะได้ขึ้นทำเนียบ สัตว์เศรษฐกิจอีกตัวแล้ว หลังจากที่ นายนุกูล แสงพันธุ์ นักศึกษาโครงการ ปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) ซึ่งได้รับทุนอุดหนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ศึกษา การเพาะเลี้ยง ไรน้ำนางฟ้าไทย ให้มีอัตรารอดตายสูง ได้เป็นผลสำเร็จ โดยมี รศ.ดร.ละออศรี เสนาะเมือง คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ไรน้ำนางฟ้าในประเทศไทย ที่ค้นพบมีทั้งหมด 3 ชนิด ได้แก่ ไรน้ำนางฟ้าสิรินธร ไรน้ำนางฟ้าไทย และไรน้ำนางฟ้าสยาม (ทั้ง 3 ชนิดมักอาศัยอยู่ในบ่อที่มีน้ำขังชั่วคราว โดย เฉพาะพื้นที่แห้งแล้งใน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) แต่จากการ ศึกษาพบว่า ชนิดที่มีศักยภาพ ในการเพาะเลี้ยงคือ "ไรน้ำนางฟ้าไทย" เนื่องจากเป็นชนิดที่โตเร็วกว่า ไรน้ำนางฟ้าชนิดอื่น กล่าวคือ จะฟักเป็นตัวอ่อนเมื่ออายุราว 1 สัปดาห์ และวางไข่ครอกแรก จากนั้นจะวางไข่อีกทุกๆ 27 ชม. ประมาณ 16 ครั้ง เฉลี่ยวางไข่ทั้งหมดประมาณ 6,000 ฟอง โดยจากการทดลองเลี้ยง น้ำ 1 ลิตร ต่อไรน้ำฯ 50 ตัว ใช้เวลา 2 สัปดาห์ จะได้ ผลผลิต 1.5-1.7 กก. ยังพบว่าไรน้ำชนิดนี้มีโปรตีนสูงถึง 64-69% สำหรับอาหารของไรน้ำนางฟ้าไทย เป็นสาหร่ายเซลล์เดียว อินทรียวัตถุ ขนาดเล็ก รวมถึงแบคทีเรียและ เชื้อราที่อยู่ในน้ำ จึงเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย โตเร็ว ไม่ยุ่งยากในการดูแล แต่ทั้งนี้ต้องอาศัย ความชำนาญพอตัว เหมือนกัน ส่วนด้านต้นทุนการเตรียม บ่อเพาะเลี้ยง ก็ไม่สูงนัก และสามารถเลี้ยงจนเพิ่ม ปริมาณได้อย่างรวดเร็ว สะดวกที่จะนำตัวเต็มวัยมาแช่แข็ง ส่งไปขายเป็น อาหารกุ้งกุลาดำ ที่มีการเพาะเลี้ยงอยู่บริเวณชายทะเล และยังใช้เป็นอาหารเลี้ยง ปลาสวยงามหรือปลาที่มีความ สำคัญทางเศรษฐกิจทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม ผู้สนใจ สอบถามข้อมูล โทร.0-9861-9159, 0-1480-1165 ( ไทยรัฐ จันทร์ที่ 17 พ.ค. 47 http://www.thairath.co)





ถวายลิขสิทธิ์แด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ สบู่ผงรังไหมเปิดตัวงานศิลป์แผ่นดิน

งาน "ศิลป์แผ่นดิน" ซึ่งมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จัดขึ้นได้รับการตอบรับด้วยดีมาตลอด ซึ่งการจัดงานครั้งที่ 4 ในปีนี้ ถือเป็นครั้งพิเศษที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนม พรรษา 6 รอบท่านผู้หญิงอรนุช อิศรางกูร ณ อยุธยา ประธานฝ่ายจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพ กล่าวว่า ในส่วนที่สามเป็นงานจำหน่ายผลงานหัตถกรรมศิลปาชีพ มีผลิตภัณฑ์ของมูลนิธิศิลปาชีพฯ ทุกภาคมาจัดจำหน่าย ไม่ว่าจะเป็นผ้าไหม ผ้าฝ้าย ไหมพื้น ผ้าชาวเขา เครื่องเงิน เครื่องจักสาน เครื่องปั้นดินเผา ดอกไม้ประดิษฐ์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป ย่านลิเภา เสื่อกระจูด กระเป๋า ฯลฯ "พิเศษสุดถือเป็นการเปิดตัวครั้งแรกสำหรับสบู่ทำจากผงของรังไหม ซึ่งกรมวิชาการเกษตรร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ คิดค้นขึ้นและทูลเกล้าฯ ถวายลิขสิทธิ์แด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งทรงชื่นชมความสามารถของคนไทยที่พัฒนาผลิตภัณฑ์อยู่ตลอด จากเส้นไหมนำมาทอเป็นผ้าจนถึงนำผงรังไหมมาทำสบู่ สร้างคุณค่าให้เกิดขึ้นตลอดเวลา ขณะนี้กำลังรอพระราชทานชื่ออยู่ สำหรับการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จะเปิดจำหน่ายระหว่างวันที่ 15 ก.ค.-3 ส.ค.ที่สวนอัมพร" ท่านผู้หญิงอรนุชกล่าว (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 14 พ.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





ขยะคอมเป็นพิษ รีไซเคิล..เป็นทอง

ดร.ขวัญฤดี โชติชนาทวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพลังงาน อุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อม สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย บอกว่า คอมพิวเตอร์ที่กลายสภาพเป็นขยะมีปริมาณมาก โลหะในคอมพิวเตอร์ แบ่งตามศักยภาพในการรีไซเคิลได้ 4 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 มีศักยภาพในการรีไซเคิลสูง รีไซเคิลได้มากกว่า 80%...อะลูมิเนียม เหล็ก ทองแดง นิกเกิล ทองคำและเงิน กลุ่มที่ 2 มีศักยภาพในการรีไซเคิลปานกลาง รีไซเคิลได้ 50-80%...สังกะสี อินเดียม ซิลีเนียมและโรเดียม กลุ่มที่ 3 มีศักยภาพในการรีไซเคิลต่ำ รีไซเคิลได้น้อยกว่า 50%...ตะกั่ว และพลาสติก กลุ่มที่ 4 ไม่มีศักยภาพในการรีไซเคิล ได้แก่ เจอร์มาเนียม แกลเลียม แบเรียม แทนทาลัม วาเนเดียม แบริลเลียม ยูโรเปียม ตัวอย่างการรีไซเคิลที่เพิ่มมูลค่าขยะคอมพิวเตอร์ ได้มากกว่านำไปทำลายทิ้ง หรือฝังกลบหลายเท่าตัว...นำหลอดภาพบดกับซีเมนต์ ทำหินขัด อิฐบล็อกปูพื้น ทำผนังกันรังสีเอกซเรย์ หรือเซลล์บอโรซิลิเกต สำหรับภาชนะบรรจุของเสียนิวเคลียร์ ดร.ขวัญฤดี บอกว่า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บนแผงวงจรยิ่งมีค่า นำมาสกัดเอาทองออกจากตะกั่ว ทองแดง โลหะ เทคโนโลยีนี้ประเทศไทยก็มีโรงงานทำได้แต่ยังมีปัญหาขาดวัตถุดิบ แม้ว่าระบบรีไซเคิลในไทยยังไม่ครบสมบูรณ์ทุกชิ้นส่วน แต่ประเทศไทยก็ยังมีร้านรับอัพเกรดคอมพิวเตอร์ ปัจจัยสำคัญในการคัดแยกชิ้นส่วนเสีย “ขยะคอมพิวเตอร์...โดนน้ำ แดด ฝน...ถ้าเป็นฝนกรดก็แย่ ฝนกรดกัดกร่อนแผงวงจร ซึมพิษสู่ดิน...เจอน้ำเป็นด่างก็ละลาย ทำปฏิกิริยากลายเป็นพิษ” โดยเฉพาะ สารฟอสฟอรัส...เคลือบผิวหน้าภายในหลอดรังสีแคโทด...จอภาพ การทหารเรือเตือนว่าสารนี้มีความเป็นพิษสูงมากอาจมีผลต่อผิวหนัง ระบบการย่อยอาหาร หากได้รับในปริมาณมากทำให้ถึงตายได้ แบเรียม...เคลือบผิวด้านหน้าจอภาพ ป้องกันการแผ่รังสี ผลกระทบระยะสั้นทำให้สมองบวม กล้ามเนื้ออ่อนล้า ทำลายหัวใจ ตับ ม้าม ปรอท ในสวิตช์ จอภาพแบบแบน ได้รับในปริมาณสูงจะส่งผลต่อสมอง ตับ ไต แคดเมียมจากแผงวงจร แบตเตอรี่ จอภาพแบบเก่า สะสมในร่างกายมากๆจะทำให้เป็นโรคไต กระดูกผุกร่อน ตะกั่ว จากหลอดรังสีแคโทด ปะเก็น โลหะบัดกรีบนแผงวงจร ทำลายระบบประสาทส่วนกลางและคู่ขนาน ระบบโลหิต ส่งผลต่อการพัฒนาสมองของเด็ก “พิษตะกั่วสะสมในบรรยากาศ อาจเกิดผลแบบเฉียบพลัน หรือเรื้อรังกับพืช สัตว์ และจุลชีพ” แบริลเลียม จากแผงวงจรหลัก เป็นสารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งปอด ผู้ที่ได้รับสารนี้อย่างต่อเนื่องจากการสูดดม จะกลายเป็นโรค Beryllicosis ที่มีผลกับปอด หากสัมผัสถูกผิวหนังโดยตรงจะเกิดแผลรุนแรง สารทนไฟทำจากโบรมีน สาร Plybromited Diphenylethers (PBDE) มีผลต่อการพัฒนาสมองเด็ก และมีผลต่อการเจริญเติบโตของตัวอ่อนในครรภ์ และ พลาสติก องค์ประกอบในส่วนต่างๆของเครื่องคอมพิวเตอร์ หากนำไปเผาจะเกิดสารไดออกซิน ส่งผลต่อคุณภาพอากาศและมนุษ ย์เมื่อสูดดมเข้าไป การนำคอมพิวเตอร์มารีไซเคิลจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด ดร.ขวัญฤดี แนะนำว่า ถึงเทคโนโลยีของไทยจะรีไซเคิลไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ควรให้เหลือส่งกำจัด ทำลายให้น้อยที่สุด “ขยะคอมพิวเตอร์เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่า ฝังกลบต้นทุนมีแต่เพิ่ม ขณะที่การรีไซเคิลมีแต่เพิ่มมูลค่า นำขยะมาแปรรูปเป็นของที่มีมูลค่ามากกว่า และลดการใช้ทรัพยากรให้น้อยลง” (ไทยรัฐ อังคารที่ 18 พ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





ยีนบำบัดหยุดเอดส์ ใช้เทคนิคเพิ่มพลังเซลล์ภูมิคุ้มกันให้ผู้ป่วย

บริษัทเวอร์เอ็กซิส (VIRxSYS) ในสหรัฐ เปิดเผยว่า คณะนักวิทยาศาสตร์ของตนใช้วิธีตัดแต่งยีนเพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยเอดส์ให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และการทดลองในเบื้องต้นก็ให้ผลเป็นที่น่าพอใจ โดยบริษัทเตรียมทดสอบกับผู้ป่วยอีก 2 ราย ก่อนที่จะขยายกลุ่มทดลองให้ใหญ่ขึ้น เทคนิคดังกล่าว หรือที่บริษัทเรียกว่า "วีอาร์เอ็กซ์496" (VRX496) เป็นการนำทีเซลล์ (T cells) หรือเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งในตัวของผู้ป่วยมาตัดต่อทางพันธุวิศวกรรม เพื่อให้มีคุณสมบัติในการทำลายเชื้อเอชไอวีได้โดยตรง หลังจากทดลองในห้องปฏิบัติการจนเห็นได้ชัดว่าเซลล์ที่ผ่านการตัดต่อนี้สามารถหยุดการทำสำเนาตัวเองของไวรัสเอชไอวีและหยุดการแพร่กระจายไปยังเซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้ จากนั้นคณะทำงานก็จัดการนำเซลล์กลับเข้าร่างกายอีกครั้ง เพื่อรอรับมือการจู่โจมของเชื้อเอชไอวี ทีมงานเชื่อว่าทีเซลล์ที่ผ่านการตัดแต่งทางพันธุกรรมจะเข้าไปหยุดการทำงานของเอชไอวี และป้องกันมันแพร่กระจายไปยังเซลล์อื่น ด้วยการแทรกสารพันธุกรรมหรือยีนเข้าไปในไวรัสเอชไอวี จากการศึกษาในผู้ป่วย 3 ราย ซึ่งได้รับการรักษาด้วยวิธีดังกล่าว พบว่าในเบื้องต้นสามารถต้านทานการแพร่การะจายของเชื้อได้ดี โบโร ดรูพูลิก หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ประจำบริษัท รายงานว่าไวรัสเอชไอวีในร่างกายไม่ได้เพิ่มจำนวนขึ้น ขณะที่ปริมาณซีดี 4 หรือเซลล์เม็ดเลือดแดงยังคงอยู่ในระดับคงที่ (คมชัดลึก อังคารที่ 18 พ.ค. 47 http://www.komchadluek.com)





คิดเองทำเอง - "เครื่องกลั่นเอทานอล" ฝีมือคนไทย นวัตกรรมใหม่ใช้เทคนิคปั๊มฟอง

ศ.ดร.ทนงเกียรติ เกียรติศิริโรจน์ อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ร่วมกับบริษัท ทีซัส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน สามารถวิจัยและผลิต "เครื่องกลั่นเอทานอลด้วยเทคนิคปั๊มฟอง" สำหรับใช้ทดแทนเครื่องผลิตสุราแบบเดิมประสบผลสำเร็จ ที่พิเศษสุดคือ ประหยัดพลังงาน ลดต้นทุนการผลิต และช่วยให้ความเข้นข้น เครื่องกลั่นเอทานอลด้วยเทคนิคปั๊มฟองที่ว่านี้ ปัจจุบันผลิตได้ 2 ขนาดคือ ขนาดอัตราการกลั่น 20 ลิตรต่อชั่วโมง และ 10 ลิตรต่อชั่วโมง ขณะที่เครื่องกลั่นสุราแบบเดิม ต้องใช้เวลากลั่นประมาณ 2 ชั่วโมง อีกทั้งยังได้ความเข้มข้นของสุราที่กลั่นไม่สม่ำเสมอ ทั้งนี้คุณสมบัติที่ทำให้มีความแตกต่างกันคือ เครื่องกลั่นแบบใหม่นี้ จะมีภาชนะขนาดเล็กสำหรับต้ม ทำให้การแยกไอและการกลั่นตัวทำได้เร็วขึ้น และลดขั้นตอนในการนำแอลกอฮอล์ที่กลั่นได้มาผสมใหม่เพื่อปรับความเข้มข้น ศ.ดร.ทนงเกียรติ บอกว่า ข้อดีของการกลั่นด้วยเทคนิคปั๊มฟองคือ เวลาในการอุ่นสารละลายสั้น เนื่องจากจะให้ความร้อนผ่านท่อเล็กๆ ต่อเชื่อมเข้ากับตัวถัง ซึ่งมีมวลของสารละลายน้อย ทำให้ประหยัดพลังงานในการต้ม ที่สำคัญเครื่องกลั่นที่ใช้เทคนิคปั๊มฟองนี้ สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องหยุดระบบ เพื่อเติมหรือเปลี่ยนถ่ายน้ำหมัก เนื่องจากมีน้ำหมักเข้าและออกจากเครื่องตลอดเวลา ได้มีการผลิตเครื่องกลั่นเอทานอลด้วยเทคนิคปั๊มฟองออกมาจำหน่าย โดยราคาเบื้องต้นประมาณ 70,000-120,000 บาท แต่ก็มีข้อจำกัดคือ กำลังการผลิตยังน้อย เพราะตามหลักน่าจะผลิตได้มากกว่า 30 ลิตร นับเป็นทางเลือกใหม่ให้แก่วงการอุตสาหกรรมผลิตสุราในบ้านเราให้ได้มาตรฐานยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน (คมชัดลึก อังคารที่ 18 พ.ค. 47 http://www.komchadluek.com)





เกษตรวิจัยหนุนเอกชนสร้างสินค้าใหม่ คิดค้นสูตรกะทิพร้อมดื่มเจาะตลาดส่งออกคู่น้ำผลไม้

น.ส.อภิรดี อินจันทร์ ร่วมกับน.ส.ผกากรอง สวนโน นิสิตภาควิชาพัฒนาผลิตภัณฑ์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คิดค้นสูตรและรรมวิธีผลิตเครื่องดื่มจากน้ำกะทิ ซึ่งจะเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ของตลาดเมืองไทยในอนาคต โดยยังไม่มีการวางจำหน่ายในขณะนี้ และจากการค้นคว้าในเบื้องต้นได้ใช้ส่วนผสมในน้ำผลไม้ 3 ชนิดคือสับปะรด แครอทและมะม่วง พร้อมทั้งนำเสนอภาคเอกชนผู้ผลิตและส่งออกน้ำผลไม้เรียบร้อยแล้ว ประเทศจีน ซึ่งนิยมบริโภคกะทิพร้อมดื่มในลักษณะดื่มอุ่นๆ "โจทย์ของงานวิจัยคือ ทำอย่างไรให้อนุภาคน้ำกะทิ ซึ่งมีลักษณะเป็นน้ำมันในน้ำให้เกิดความคงตัวของขนาดเม็ดไขมัน และสามารถเข้าได้ดีกับน้ำผลไม้ แทนที่จะแยกชั้นกันชัดเจนทำให้ไม่น่ารับประทาน อีกทั้งทำอย่างไรให้ตะกอนของน้ำกะทิ สามารถเข้าเป็นเนื้อเดียวกันกับตะกอนน้ำผลไม้ โดยสารที่ได้ดูเป็นเนื้อเดียวกันหมด ไม่มีปัญหาเนื้อผลไม้ตกตะกอน และสามารถรักษากลิ่นรสให้คงอยู่ด้วย" ผู้ร่วมวิจัย กล่าว ในการพัฒนาสูตรและกรรมวิธีการผลิตได้เพิ่มความคงตัว ด้วยการเติมสารให้ความคงตัวซึ่งใช้ทั่วไปในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น ไอศกรีม เยลลี่ ส่วนกรรมวิธีผลิตหลังการผสมวัตถุดิบต่างๆ นำไปทำให้เป็นเนื้อเดียวกัน ด้วยเครื่องโฮโมจีไนเซอร์ความดันสูง แล้วฆ่าเชื้อด้วยอุณหภูมิ 121 องศาเซลเซียส 16 นาที ก่อนบรรจุในกระป๋อง โดยผลิตภัณฑ์สุดท้ายมีปริมาณไขมัน 3% น้ำผลไม้ 8-10% น้ำตาล 8-10% พร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของกะทิ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและตรงตามที่ผู้บริโภคต้องการ (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 18 พ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





วิจัยทุเรียนทอดไขมันต่ำ

น.ส.จินดาพร จำรัสเลิศลักษณ์ นักศึกษาโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) จากภาควิชาวิศวกรรมเคมี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เปิดเผยถึง การแปรรูปทุเรียนให้เป็นอาหารเช้ากึ่งสำเร็จรูป ด้วยเทคนิคการอบแห้งด้วยไอน้ำร้อนยวดยิ่ง (superheated steam) ว่า สามารถทำให้ทุเรียนมีความกรอบ โดยไม่ต้องทอดด้วยน้ำมัน จึงตัดปัญหาเรื่องสุขภาพและกลิ่นเหม็นหืน รสชาติใกล้เคียงซีเรียลของชาวตะวันตก เทคนิคไอน้ำร้อนยวดยิ่งได้ใช้สำหรับงานอบแห้งอยู่แล้ว ทั้งการอบถ่านหิน ไม้ กระดาษ ผลผลิตการเกษตร เช่น มันฝรั่ง เส้นก๋วยเตี๋ยว ข้าว ถั่วเหลือง จึงเกิดแนวคิดว่าน่าจะประยุกต์ใช้กับการอบแห้งผลไม้ไทย และเลือกศึกษากับทุเรียนหมอนทอง จากนั้นจะขยายการทดลองสู่ขนุนและกล้วย โดยองค์ความรู้งานวิจัยนี้หากสามารถต่อยอดไปสู่ภาคการผลิตในเชิงธุรกิจได้ จะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรส่งออกของไทยได้อีกทางหนึ่ง สำหรับข้อดีของการใช้ไอน้ำร้อนยวดยิ่ง จะปลอดภัยในแง่ของการติดไฟหรือระเบิด เพราะในไอน้ำร้อนไม่มีออกซิเจน ช่วยประหยัดพลังงานโดยสามารถนำเอาไอน้ำร้อนกลับมาใช้ใหม่ได้ สีผิวทุเรียนจะไม่เกิดสีน้ำตาลคล้ำที่ผิว ทั้งนี้ การวิจัยพบว่าอุณหภูมิที่เหมาะสมในการผลิตทุเรียนแผ่นอบแห้ง ด้วยไอน้ำร้อนยวดยิ่งประมาณ 150 องศา 25 นาที คาดหวังว่าจะเป็นทางเลือกใหม่ในการส่งออกทุเรียนแปรรูป ในรูปแบบอาหารเช้ากึ่งสำเร็จรูปหรืออาหารซีเรียล (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 18 พ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





สร้างพืชจีเอ็ม ผลิตกรดไขมัน ทดแทนเนื้อปลา

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบริสตอล และออกซ์ฟอร์ด ชาวอังกฤษตัดแต่งพันธุกรรม สร้างพืชพันธุ์ใหม่ให้สามารถผลิตกรดไขมันโอเมกา-3 ได้เหมือนปลา เผยทดแทนเนื้อปลาราคาแพง พร้อมทั้งช่วยเพิ่มทางเลือกให้กลุ่มมังสวิรัติ คาดหวังจะนำไปสู่อาหารยุคใหม่ โดยนำยีนที่ผลิตกรดไขมัน 3 ชนิด ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายใส่เข้าไปในพืชชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายหัวกะหล่ำ ผลที่ได้คือพืชบางชนิดที่มีเนื้อเยื่อสีเขียว มีความสามารถที่จะผลิตกรดไขมันแบบห่วงโซ่ยาว ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายได้ นับเป็นครั้งแรกที่นำยีนใส่เข้าไปในพืช เพื่อให้มันผลิตกรดไขมันในปริมาณที่มากขึ้น ซึ่งกรดไขมันที่ว่านี้ เป็นประเภทที่สามารถลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ชะลอการเกิดภาวะผนังหลอดเลือดแข็งตัว จึงช่วยลดอัตราการตีบของหลอดเลือด ช่วยลดความดันโลหิตสูง และช่วยยับยั้งการรวมตัวของเกร็ดเลือด สามารถบรรเทาอาการโรคภัยไข้เจ็บบางประเภท เช่น ข้อต่ออักเสบ โรคหัวใจ นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ บ่งชี้ว่า กรดไขมันดังกล่าวสามารถป้องกันโรคเบาหวานได้ด้วย (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 19 พ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





มลพิษต้นเหตุโรคพันธุกรรม แนะใช้เครื่องดักฝุ่นช่วยแก้ไข

ดร.โจนาธาน ซาเมท มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกิ้นส์ และเป็นหัวหน้าสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ สหรัฐเผยผลวิจัยล่าสุด ชี้ชัดมลพิษทางอากาศส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของยีน และอาจถ่ายทอดทางพันธุกรรมสู่รุ่นลูกได้รวมทั้งยังไม่รู้แน่ชัดว่ายีนที่เปลี่ยนแปลงส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น โรคหืด โรคหัวใจ และปัญหาสุขภาพด้านอื่นๆ หรือไม่ ผลการวิจัยล่าสุดของเจมส์ ควินน์ นักชีววิทยาและทีมงาน ซึ่งแบ่งหนูออกเป็นสองกลุ่ม และนำกลุ่มแรกไปเลี้ยงใกล้โรงงานถลุงเหล็กเป็นเวลา 10 สัปดาห์ ส่วนอีกกลุ่มนำไปเลี้ยงในห้องที่มีตัวกรองอากาศประสิทธิภาพสูง ที่ออกแบบมาสำหรับดักจับอนุภาคที่มองไม่เห็นได้โดยเฉพาะ หลังจากตรวจสอบลูกหนูที่ถือกำเนิดออกมา เห็นได้ชัดว่าหนูที่หายใจเอาอากาศที่ผ่านการกรองแล้วเข้าไป มีการเปลี่ยนแปลงของดีเอ็นเอ 52% ซึ่งน้อยกว่าหนูที่สูดดมอากาศภายนอกที่เป็นมลพิษอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ควินน์เชื่อว่าจะต้องทำการศึกษาเพิ่มเพื่อดูว่า ยีนที่เปลี่ยนแปลงมีผลต่อสุขภาพ และสามารถถ่ายทอดผ่านทางพันธุกรรมได้หรือไม่ สำหรับข้อสรุปเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่า อนุภาคจิ๋วในอากาศสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านทางการหายใจและลงไปสู่ปอด จากนั้นก็จะเข้าสู่กระแสเลือดและเคลื่อนที่ไปทั่วร่างกาย ดังนั้นการใช้ตัวกรองอากาศประสิทธิภาพสูง จึงเป็นทางแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่ง (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 19 พ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ประยุกต์พลังงานชีวมวลอบแห้งผลผลิต ม.แม่โจ้คิดค้นช่วยเกษตรกรลดต้นทุนเชื้อเพลิงดีเซล

ผศ.ณัฐวุฒิ ดุษฎี อาจารย์ประจำคณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.เชียงใหม่ ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัยเทคโนโลยีการอบแห้งผลผลิตทางการเกษตรด้วยพลังงานชีวมวลรวม เปิดเผยว่า ทีมงานได้วิจัยและพัฒนาเครื่องอบแห้งผลผลิตทางการเกษตรแบบประหยัด โดยใช้เชื้อเพลิงจากเศษไม้และขี้เลื่อยแทนน้ำมันดีเซล ทำให้ช่วยลดต้นทุนของเกษตรกรได้อย่างมาก และในปี 2548 เตรียมผลิตแจกเกษตรกรและกลุ่มสหกรณ์ทั่วประเทศ 40 เครื่อง โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานได้เสนอตั้งงบประมาณ 3 ล้าน สำหรับสนับสนุนการผลิตเครื่องอบแห้งแจกจ่ายเกษตรกร เพื่อใช้งานอบแห้งผลผลิตทางการเกษตร เช่น ลำไย พริก กระเทียม กุนเชียงและพืชสมุนไพรต่างๆ สำหรับโครงการวิจัยเทคโนโลยีการอบแห้งฯ ได้ดำเนินการร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตภาคพายัพ จ.เชียงใหม่ โดยได้รับงบสนับสนุนจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนฯ ระยะแรก 1.0 ล้านบาท (2542-2543) เพื่อวิจัยเครื่องอบพลังงานชีวมวลรวมต้นแบบ ส่วนระยะที่ 2 ระหว่างปี 2544 - 2546 เป็นช่วงของการเผยแพร่ผลงานวิจัย ทีมวิจัยได้รับงบสนับสนุนอีกจำนวน 400,000 บาท เพื่อนำมาผลิตเครื่องต้นแบบ ซึ่งมีต้นทุนในการผลิตประมาณ 45,000 บาทต่อเครื่อง แจกจ่ายให้เกษตรกรและกลุ่มสหกรณ์ จำนวน 8 กลุ่มๆ ละ 1 เครื่อง ได้ทดลองอบผลผลิตทางการเกษตร และปรากฏว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ในอนาคตทีมวิจัยจะพัฒนาให้เครื่องอบมีระบบการป้อนเชื้อเพลิงในตัว เพื่อความสะดวกในการใช้งาน ส่วนเชื้อเพลิงเคยทดลองนำขยะมาใช้เป็นเชื้อเพลิง แต่ยังมีปัญหาเรื่องการยอมรับจากเกษตรกรและผู้บริโภค จึงต้องเลือกใช้เศษไม้ และขี้เลื่อยแทน สำหรับขั้นตอนการผลิตตัวเครื่องมี 2 ส่วน คือ ส่วนผลิตความร้อน หรือเตาเผาเชื้อเพลิง และส่วนของห้องอบ โดยจะมีพัดลมดูดความร้อน จากตู้เตาเผาเชื้อเพลิงมายังตู้อบผ่านเครื่องแลกเปลี่ยนพลังงานความร้อน จะทำให้ความร้อนที่ดูดมาไม่มีกลิ่นของเชื้อเพลิงที่นำมาเผาไหม้เป็นพลังงานชีวมวลรวม โดยความร้อนที่ดูดมาจะเข้ามาทางด้านบน และด้านล่างของตู้อบ ทำให้ความร้อนกระจายได้ทั่วถึง และมีความสม่ำเสมอกัน นอกจากนี้ยังมีตัวปรับแรงลมที่ดึงพลังงานความร้อนเข้ามายังตู้อบ ช่วยในการปรับอุณหภูมิการอบให้เหมาะสมกับผลผลิตด้วย (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 19 พ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





หนาวแค่ไหนก็ไม่แข็ง

นักวิจัยจาก Queen's University ประเทศแคนาดา ได้เปิดเผยถึงผลการศึกษาครั้งล่าสุดที่จะช่วยตอบข้อสงสัยในเรื่อง สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในท้องทะเลแถบประเทศเขตหนาวหรือแถว ๆ ขั้วโลกเหนือที่อุณหภูมิของน้ำทะเลลดต่ำลงกว่าศูนย์องศาเซลเซียสนั้น พวกมันสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะแวดล้อมนั้นได้อย่างไรโดยไม่แข็งตายไปเสียก่อน คณะนักวิจัยได้ทำการศึกษาปลาทะเลชนิดหนึ่งชื่อว่า Flounder โดยที่นักวิจัยรุ่นก่อน ๆ สามารถระบุได้ว่า Antifreeze Plasma Proteins (AFPs) ชนิด I ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีคุณสมบัติต้านทานการแข็งตัวของเลือดหรือของเหลวในร่างกายของปลาชนิดดังกล่าวที่อุณหภูมิต่ำสุดที่ -1.5 องศาเซลเซียส แต่สิ่งที่นักวิจัยคณะนี้ค้นพบก็คือ AFPs อีกชนิดหนึ่งที่ช่วยตอบข้อสงสัยของนักวิจัยได้ในเรื่องที่ว่าปลา Flounder สามารถทนอยู่ในน้ำที่มีอุณหภูมิต่ำกว่านั้นซึ่งก็คือประมาณ -1.9 องศาเซลเซียส ที่เป็นจุดเยือกแข็งของน้ำทะเลได้อย่างไร นั่นก็แสดงว่าต้องมีโปรตีนชนิดอื่น ๆ ที่สามารถช่วยให้มันสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้นอกเหนือไปจาก AFPs ชนิด I ที่ถูกค้นพบไปก่อนหน้า นักวิจัยค้นพบ AFPs ชนิดใหม่ในห้องทดลองโดยกระบวนการที่เรียกว่า Ice Affinity Purification โดยพบว่าเมื่อลดอุณหภูมิของของเหลวให้ต่ำลงจนกระทั่งน้ำเริ่มก่อตัวเป็นผลึกน้ำแข็งขึ้นมานั้น โปรตีนดังกล่าวจะเข้าไปรวมตัวกับผลึกน้ำแข็งและยับยั้งไม่ให้ผลึกน้ำแข็งก่อตัวใหญ่ขึ้น ซึ่งนักวิจัยพบว่าหลังจากที่โปรตีนชนิดนี้เข้าไปรวมตัวกับผลึกน้ำแข็งแล้วจะทำให้ผลึกมีลักษณะรูปร่างเหมือนผลมะนาว ต่างจาก AFPs ชนิดอื่น ๆ ที่ทำให้ผลึกน้ำแข็งมีลักษณะรูปร่างเป็นแบบหกเหลี่ยม แต่ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์และอาจเป็นประโยชน์ก็คือการนำโปรตีนลักษณะดังกล่าวหรือที่สังเคราะห์เลียนแบบขึ้นมาใช้ในการขนส่งเลือดหรืออวัยวะที่ใช้ในการผ่าตัดจากบุคคลหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง ซึ่งอุณหภูมิที่ต่ำลงจะช่วยยืดอายุและคงคุณสมบัติเดิมไว้ได้นานมากขึ้น นอกจากนี้ยังอาจนำมาใช้กับการผ่าตัดด้วยความเย็นที่เรียกว่า Cryosurgery ที่ใช้ในการรักษาเนื้องอกด้วยความเย็นจนเกิดผลึกน้ำแข็ง หรืออาจจะปลูกถ่ายยีนที่ทำให้เกิดโปรตีนชนิดดังกล่าวมายังปลาแซลมอนเพื่อที่ชาวประมงจะได้สามารถขยายพื้นที่การทำฟาร์มออกไปได้ รวมไปถึงการปลูกถ่ายยีนให้พืชเพื่อช่วยให้พืชสามารถต้านทานความหนาวเย็นในฤดูหนาวได้เช่นเดียวกับการเกิดแม่ขะนิ้งในบ้านเรานั่นเอง (เดลินิวส์ พุธที่ 19 พ.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





'ชุดผจญเพลิง'สัญชาติไทย

นายมาโนช จังหวัด หัวหน้าฝ่ายขายบริษัท ครีเอทีฟ โพลิเมอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า ชุดเครื่องแบบและชุดปฏิบัติการภาคสนามของกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ รวมถึงโรงงานด้านเคมีมีราคาต่อชุดค่อนข้างสูง เช่น ชุดผจญเพลิงที่นำเข้าจากต่างประเทศที่ราคากว่า 30,000 บาท ด้วยเหตุที่หาวิธีเพิ่มมูลค่าสินค้าจากวัตถุดิบผ้า ด้วยการแปรสภาพเป็นชุดผจญเพลิงและชุดป้องกันรังสีความร้อน ป้อนให้กลุ่มอุตสาหกรรมเฉพาะ เผยราคาต่ำกว่าชุดนำเข้า ขณะที่คุณภาพไม่แตกต่าง ผ้าที่บริษัทนำเข้าจะมีสองชนิด ได้แก่ โนเม็กซ์ และเคฟลาร์ จากดูปองท์" นายมาโนช กล่าว สำหรับชุดเครื่องแต่งกายที่ออกแบบมามีสองรูปแบบ ได้แก่ ชุดผจญเพลิงสำหรับอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งโรงงานด้านเคมีที่เกี่ยวเนื่องกับสารประกอบที่มีความไวต่อการเกิดลูกไฟ และชุดอลูมิไนซ์ เคฟลาร์ สำหรับป้องกันรังสีความร้อนและผู้ที่ทำงานหน้าเตาหลอม โดยที่ผ่านมาอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ให้การยอมรับชุดเครื่องแต่งกายของบริษัทอย่างมาก เนื่องจากใช้วัสดุที่มีประสิทธิภาพสูง น้ำหนักเบา ที่สำคัญสามารถป้องกันอุบัติเหตุได้อย่างดี "ผ้ากันไฟโดยทั่วไปจะเป็น เอฟอาร์ทีคอทตอน (flame-retardant treated cotton) เวลาเกิดอุบัติเหตุเกิดไฟโหมเข้ามา ตัวผ้าจะเกิดปฏิกิริยาคายความร้อน โดยจะเปลี่ยนแก๊สพิษให้กลายเป็นขี้เถ้าหลอม ซึ่งสามารถติดตัวผู้สวมใส่ได้ แต่ผ้าโนเม็กซ์ จะไม่เป็นเชื้อไฟ หากเกิดไฟลุกจะดับด้วยตัวเองอย่างรวดเร็ว ไม่มีเกิดการผลิตแก๊ส และไม่มีขี้เถ้าหลอม" หัวหน้าฝ่ายขาย อธิบายและเพิ่มเติมว่า คุณสมบัติที่ดีอีกอย่างของโนเม็กซ์ คือ เมื่อเกิดลูกไฟขึ้น เส้นใยที่ตีเกลียวกันอยู่จะหลอม และจับตัวกันเพื่อดักอากาศไว้ ทำงานเหมือนฟองน้ำ โดยความร้อนจากภายนอกจะไม่ทำลายผิวหนังผู้สวมใส่ ที่สำคัญน้ำหนักของตัวผ้ายังเบากว่า ทำให้เมื่อชุดที่ตัดเย็บออกมาดูไม่หนาจนเกินไป นอกจากนี้ บริษัทยังได้ผลิตสินค้าส่งออกอื่น อาทิ ถุงมือที่ใช้ผ้าเคฟลาร์เป็นวัสดุสำคัญ คุณสมบัติเด่นคือสามารถทนการบาดเฉือน เหมาะสำหรับสายการผลิตแบบอัตโนมัติ กลุ่มขึ้นรูปและการประกอบชิ้นส่วน (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดี ที่ 20 พ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





กลุ่มแสงประทีปรับทุนนวัตกรรม เจ้าแรกผลิตกระดาษผักตบชวา

นายพรชัย ช่วงบุญศรี กรรมการที่ปรึกษากลุ่มแสงประทีป จ.นนทบุรี ซึ่งประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์จากผักตบชวา เปิดเผยว่า สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) โดยโครงการนวัตกรรมดีไม่มีดอกเบี้ยได้สนับสนุนดอกเบี้ยเงินกู้ในวงเงินไม่เกิน 108,000 บาท จากวงเงินกู้ทั้งหมด 820,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 ปี เพื่อทำการคิดค้นและสร้างเครื่องจักรผลิตกระดาษจากผักตบชวาเพื่อทดแทนแรงงานคน พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือเป็นที่ปรึกษาด้านเทคนิคการผลิตและการวิเคราะห์ตลาด รวมถึงติดตามผลการดำเนินโครงการตลอดเวลา "ผลงานกระดาษจากผักตบชวาถือเป็นนวัตกรรม เพราะเป็นผลงานการคิดค้นที่เกิดใหม่และเจ้าแรกของประเทศ อย่างไรก็ตาม ในการผลิตที่ใช้แรงงานคนมีความยุ่งยาก ใช้เวลานาน ผลผลิตต่ำและควบคุมคุณภาพลำบาก จึงเสนอขอรับการสนับสนุนดังกล่าวจาก สนช.เพื่อนำมาจัดซื้อและสร้างเครื่องจักรช่วยผลิต ประกอบด้วย ชุดต้ม-ตีเยื่อไม้ ซึ่งในการปรับปรุงคุณภาพกระดาษที่ผ่านมาได้ยืมใช้เครื่องของกรมวิทยาศาสตร์บริการ และเครื่องขึ้นแผ่นที่สามารถกำหนดความหนาของกระดาษให้สม่ำเสมอกัน กำลังผลิต 70 แผ่น/ชม. โดยปัจจุบันยังไม่มีผู้ผลิตและจำหน่ายที่มีการนำมาใช้งานจริง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน โดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ได้คิดค้นและสร้างเครื่องขึ้นแผ่นกระดาษต้นแบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นผลงานของมหาวิทยาลัย แต่เครื่องมีราคาสูงหลักแสน ซึ่งเกินกำลังซื้อของกลุ่ม จึงประสานขอความร่วมมือจากนักวิจัยในการถ่ายทอดเทคโนโลยีของเครื่อง เพื่อที่จะผลิตเองในราคาที่ต่ำลงพร้อมทั้งปรับปรุงประสิทธิภาพบางจุดให้เหมาะสมกับการผลิตกระดาษของกลุ่ม ทั้งนี้ นักวิจัยเจ้าของเครื่องยินดีให้ความช่วยเหลือ เครื่องนี้คาดว่าจะทดแทนแรงงานคนได้ 70-80% ผลผลิตกระดาษที่ได้ยังมีคุณสมบัติเด่น นอกจากพิมพ์งานกับเครื่องพิมพ์ได้โดยตรงแล้ว ยังสามารถดัดแปลงเป็นกระดาษอัดนูน เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าสำหรับตลาดต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันกลุ่มได้เริ่มผลิตผลิตภัณฑ์ออกจำหน่าย และอยู่ในช่วงของการทำการตลาดไปบางส่วนแล้ว" นายพรชัย กล่าว (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดี ที่ 20 พ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





คนไทยผลิตสำเร็จ เครื่องสปาไฮเทค

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 20 พ.ค. ที่สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เทคโนธานี จ.ปทุมธานี นายพีรศักดิ์ วรสุนทโรสถ ผู้ว่าการ วว. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แถลงข่าวความสำเร็จในการผลิตนวัตกรรมใหม่เอี่ยมจากฝีมือนักวิจัย วว.ถึง 3 ผลงานเพื่อนำออกโชว์และจำหน่ายในงานโลกทัศน์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฉลองครบรอบ 41 ปี การสถาปนา วว. ระหว่างวันที่ 28 พ.ค.-1 มิ.ย.นี้ ได้แก่ เครื่องฟอกอากาศไฮเทค สำหรับที่พักอาศัยและในรถยนต์ เครื่องอัลทราโซนิกส์ไฮเทคสำหรับเสริมความงาม ลบรอยเหี่ยวย่น และเครื่องสุคนธบำบัดอัลทราโซนิกส์ หรือสปาไทยไฮเทค เครื่องฟอกอากาศไฮเทค สำหรับติดตั้งในที่พักอาศัยและในรถยนต์ โดยเครื่องมีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และ สามารถกำจัดฝุ่นละอองในอากาศที่มีขนาดเล็กกว่า 1 ไมครอน ได้อย่างหมดจด ดูแลรักษาง่ายเพียงปัดฝุ่นออกแล้วสามารถนำมาใช้ใหม่ได้ทันที โดยไม่ต้องเปลี่ยนแผ่นกรอง และมีอายุการใช้งานกว่า 10 ปี นอกจากนี้ เครื่องฟอกอากาศดังกล่าวยังสามารถขับไล่ยุง แมลงสาบ นกพิราบ หรือสัตว์ที่ไม่พึงประสงค์อีกด้วย ราคาประมาณเครื่องละ 3,500 บาทเท่านั้น และจดสิทธิบัตรไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนเครื่องสุคนธบำบัดอัลทราโซนิกส์ หรือสปาไทยไฮเทคนั้น นายยุทธนา ตันติวิวัฒน์ ผอ.ฝ่ายวิศวกรรม วว.กล่าวว่า สปาทั่วไปนิยมให้บริการบำบัดร่างกายและจิตใจด้วยกลิ่น โดยอาศัยความร้อนจากตะเกียงหรือเทียน ซึ่งให้ความร้อนที่ไม่สม่ำเสมอทำให้ประสิทธิภาพไอระเหยของน้ำมันหอมที่ใช้ลดลง ทาง วว.จึงต่อยอดพัฒนาออกมาเป็นเครื่องสปาไทยไฮเทค โดยออกแบบตัวเครื่องที่อาศัยคลื่นอัลทราซาวด์ที่จะสั่นด้วยความถี่ 1 ล้านครั้งต่อวินาที ทำให้น้ำเกิดการแตกอะตอมจนลอยขึ้นมาเป็นไอ และเครื่องจะช่วยกระจายกลิ่นของน้ำมันหอมระเหยออกไปในอากาศในอัตราที่สม่ำเสมอ มีระบบตั้งเวลาเปิดปิด และมีระบบควบคุมการปล่อยไอระเหยของน้ำมันหอมระเหย ขณะนี้ได้จดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว และอาจเป็นสปาบำบัดเครื่องแรกของโลก โดยคาดว่าจะวางขายในราคา 5,000 บาทพร้อมกับน้ำมันหอมระเหยสูตรต่างๆ ที่ วว.ผลิต (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 21 พ.ค. 47 http://www.thairath.co.th/thairath)





รักษาหัวใจด้วยเตาไมโครเวฟ แก้อาการเต้นผิดจังหวะจะโคน

นักวิทยาศาสตร์เมืองจิงโจ้ จะใช้ไมโครเวฟเข้ามาใช้อบหัวใจ เพื่อป้องกันอาการหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะอัน เป็นสาเหตุให้เกิดหัวใจวายและเส้นเลือดในสมองแตก ซึ่งเป็นอันตรายร้ายแรงถึงแก่ชีวิต จะปลอดภัยยิ่งกว่าวิธีรักษาอย่างอื่น หมอจะใช้อุปกรณ์ไมโครเวฟอบหัวใจ ตรงที่เกิดความผิดปกติ ด้วยอุณหภูมิสูงถึง 55 องศาเซลเซียส "แบบเดียวกับที่เตาไมโครเวฟอบเนื้อให้สุกนั่นแหละ ผิดกันตรงที่มันสามารถควบคุมได้ เที่ยงกว่า ตรงจุดมากกว่ากันมาก" โดยหมอจะสอดเสาอากาศของเครื่องเข้าไปตามหลอดสวน ไปถึงที่ตรงเนื้อเยื่อหัวใจที่เป็นเป้าหมาย ปล่อยรังสีไปก่อให้เกิดความร้อนอุณหภูมิสูง 55 องศา ให้ไปทำลายและตัดคุณสมบัติ ทางด้านไฟฟ้าของเนื้อเยื่อเหล่านั้นลงเสีย แพทย์โรคหัวใจกล่าวว่า สาเหตุที่หัวใจเกิดเต้นไม่เป็นจังหวะ เนื่องจากระบบนำไฟฟ้า ของหัวใจตามปกติ เกิดรวนหรือไม่ก็ขาดสะบั้นลง นักวิจัยกล่าวแจ้งว่า จะได้ทดลองใช้ อุปกรณ์ไมโครเวฟกับหัวใจแกะสดๆ ดูก่อน หลังจากประสบความสำเร็จ ก็จะได้ทดลองกับแกะเป็นๆอีกทีหนึ่ง ก่อนจะได้ทดลอง ทำกับคนต่อไป (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 21 พ.ค. 47 http://www.thairath.co.th/thairath)





เทคนิคใหม่วิธีช่วยคนตาบอดให้มองเห็น

ศาสตราจารย์เทรุโอะ โอกาโน จากมหาวิทยาลัยการแพทย์สตรีโตเกียว พบวิธีช่วยคนตาบอดให้กลับมามองเห็นได้ดังเดิม ด้วยเทคนิคพันธุวิศวกรรมเนื้อเยื่อ สามารถปลูกกระจกตาขึ้นจากเซลล์ขนาดเล็กภายในจานทดลอง และสามารถนำไปใส่ในดวงตาได้เลยโดยไม่ต้องเย็บติดเหมือนวิธีการก่อนหน้านี้ ใช้เวลาผ่าตัดเพียง 10 นาที เซลล์กระจกตาก็จะยึดติดกับดวงตาอย่างไร้รอยต่อ โดยไม่ต้องวิตกกังวล กับปัญหาภูมิคุ้มกันร่างกายปฏิเสธเนื้อเยื่อแปลกปลอม และสามารถเพาะเซลล์ได้เป็นจำนวนมากด้วยเซลล์กระจกตาของผู้ป่วยเอง ไม่ต้องรอกระจกตาจากผู้บริจาคอีกต่อไป เทคนิคสำคัญที่ช่วยให้การปลูกถ่ายกระจกเป็นผลสำเร็จ อยู่ที่การลอกเซลล์กระจกตาออกจากจานทดลองหลังจากขยายจำนวนได้ขนาดพอเหมาะแล้ว ส่วนใหญ่เซลล์ที่เพาะไว้จะดึงออกจากจานได้ยาก และต้องใช้เอนไซม์เข้าช่วย ส่งผลให้โปรตีนที่ทำหน้าที่เหมือนกาวซึ่งติดอยู่กับเซลล์ได้รับความเสียหาย แต่วิธีการของโอกาโนนั้น ช่วยให้เซลล์กระจกในจานเพาะ ดึงออกง่ายเหมือนกับกระดาษโพสต์-อิท ขั้นตอนการเพาะเซลล์กระจกตาของโอกาโน เริ่มด้วยการเคลือบจานเพาะเซลล์ด้วยโพลิเมอร์ไวความร้อน โดยช่วงแรกจะใช้ระดับอุณหภูมิสูงในการเพาะเซลล์กระจกตา หลังจากเซลล์โตพร้อมนำไปปลูกถ่ายแล้ว ทีมงานจะลดระดับอุณหภูมิจนทำให้โพลิเมอร์อุ้มน้ำ ช่วยให้กระจกตาใหม่สามารถดึงออกจากการเพาะได้อย่างง่ายดาย ที่สำคัญไม่ทำลายโปรตีนที่ติดอยู่ด้วย ทั้งนี้คาดว่าการทดลองทางคลินิกครั้งใหญ่จะต้องใช้เวลาหลายเดือน และกว่าจะสมบูรณ์จนได้รับการอนุมัติให้ใช้รักษาผู้ป่วยได้จริงนั้นคงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ปี ในญี่ปุ่นเอง มีผู้ป่วยรอคิวเข้ารับการปลูกถ่ายมากถึง 20,000 รายต่อปี แต่มีเพียง 1,800 ราย เท่านั้นที่มีสิทธิเข้ารับการรักษา (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 21 พ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ข่าวทั่วไป


เตือนคอสุราประเภท "เมาแล้วสูบ" ล่อแหลมกับเป็นมะเร็งช่องปากจัด

นางนิตยา จันทร์เรือง มหาผล โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ขณะนี้ปัญหา การดื่มเครื่องดื่ม ที่มีแอลกอฮอล์ ได้สร้างผลกระทบมากทั้งสุขภาพคนดื่ม ครอบครัว สังคม จากการสำรวจที่ผ่านมาพบว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 15 ล้านคน หรือเกือบ 1 ใน 4 ของประชากรทั้งหมด ผู้ดื่มส่วนใหญ่เป็นชายถึง 13 ล้านคน โดยเฉพาะจุดที่น่าห่วงพบว่า หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ประมาณ 1 ใน 4 ยังไม่เลิกดื่มเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อสุขภาพเด็กในครรภ์ อาจทำให้ลูกพิการ แคระแกร็น เสี่ยงปัญญาอ่อนแต่กำเนิด เพราะสมองถูกทำลาย และเด็กที่เกิดมาจะมีโอกาสเป็น คนติดเหล้าถึงร้อยละ 10 เมื่อเร็วๆนี้ นักวิจัยพบว่า คนดื่มสุราจัดและสูบบุหรี่ด้วย จะมีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง ในช่องปากได้พอๆ กับการติดเชื้อไวรัสฮิวแมนแพบพิลโลมา ไวรัสซึ่งพบที่อวัยวะเพศชาย จากการทำออรัลเซ็กซ์และ เป็นต้นเหตุของการเกิดมะเร็งที่ปาก ได้เช่นกัน ทั้งนี้ การวิจัยดังกล่าวได้ศึกษาในกลุ่มคนป่วยโรคมะเร็งในช่องปาก จำนวน 1,600 ราย และคนที่มีสุขภาพดีอีกจำนวน 1,700 รายในแถบยุโรป ออสเตรเลีย แคนาดา คิวบา และซูดาน ซึ่งถือว่าเป็นการศึกษาครั้งใหญ่ และครั้งสำคัญ ผลการวิจัยครั้งนี้พบว่า มีผู้ป่วยโรคมะเร็งช่องปาก ราวร้อยละ 75-90 เป็นผู้ที่เคยดื่มสุราจัดและสูบบุหรี่มาก่อน ดังนั้น ทั้งสุราและบุหรี่จึงจัดว่าเป็นต้นเหตุให้เกิดโรคมะเร็งได้ ( ไทยรัฐ จันทร์ที่ 17 พ.ค. 47 http://www.thairath.co)





กินปลาช่วงตั้งครรภ์อัตราการเติบโตสูง

ดร.ไอโมเจน โรเจอร์ส มหาวิทยาลัยบริสตอล ในอังกฤษ ศึกษาผู้หญิงกว่า 11,580 คน พบว่ายิ่งผู้หญิงบริโภคเนื้อปลาในช่วง 32 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์มากเท่าไร จะยิ่งลดโอกาสทารกตัวแคระแกร็นมากเท่านั้น สนับสนุนสมมติฐานก่อนหน้านี้ที่ว่าการบริโภคเนื้อปลา หรือกรดไขมันโอเมก้า-3 ระหว่างตั้งครรภ์ จะช่วยให้ทารกในครรภ์เติบโตได้มากยิ่งขึ้น ปลาเป็นอาหารที่เต็มไปได้กรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่แบ่งออกเป็น กรดไอโคซาเพนตาโนอิค หรือ อีพีเอ และกรดดีโคซาเฮกซาโนอิก หรือ ดีเอชเอ ที่มีมากในปลาทะเล นอกจากนี้ โอเมก้า-3 ยังมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของหัวใจและสมอง ช่วยขยายหลอดเลือด ลดการเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดอุดตัน อีกทั้งยังช่วยป้องกันการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากอาหารเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ปริมาณไตรกรีเซอร์ไรด์ ซึ่งเป็นไขมันที่ทำให้เส้นเลือดอุดตันลดลงด้วย (คมชัดลึก จันทร์ที่ 17 พ.ค. 47 http://www.komchadluek.com)





ให้สังเกตปัสสาวะออกเป็นสีเทคนิค เป็นปรอทบอกสภาพของร่างกาย

โฆษกสมาคมศัลยแพทย์ระบบปัสสาวะ (ประเทศไทย) อธิบายว่า สีของน้ำปัสสาวะสามารถบอกได้ถึงสภาพร่างกายเราว่าปกติดีไหม ถ้าปัสสาวะมีสีน้ำตาล ต้องถามตัวเองก่อนว่า วันนั้นคุณอาจรับประทานถั่วมากเกินไปหรือเปล่า ถ้าใช่ ก็จะส่งผลให้ปัสสาวะมีสีน้ำตาล แต่ถ้าไม่ใช่ นั่นอาจเป็นสัญญาณชี้ว่าเป็นสีของลิ่มเลือดที่ปนออกมากับน้ำปัสสาวะ ถ้าอยู่ในข่ายต้องสงสัยแบบนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ ถ้าปัสสาวะมีสีอมแดง ก็ต้องถามตัวเองก่อนเหมือนกันว่า วันนั้น รับประทานอะไรที่มีสีแดงเป็นพิเศษไหม ถ้าไม่ใช่ ก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า อาจเป็นสีของเลือด อาจเป็นไปได้ว่าไตหรือกระเพาะปัสสาวะเกิดการอักเสบจนเลือดออก ส่วนคนที่มีปัสสาวะสีเหลืองอ่อน อาจเป็นไปได้ว่าร่างกายได้รับวิตามินบี 2 มากเกินไป จนร่างกายต้องขับออกมา ถ้าเป็นสีเหลืองเข้ม แสดงว่าดื่มน้ำน้อยเกินไป แต่ถ้ามั่นใจว่าตัวเองดื่มน้ำมากอยู่แล้ว คงต้องรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นโรคไตแทรกซ้อน ถ้าปัสสาวะสีส้ม อาจเกิดจากผลข้างเคียงของการรับประทานยาบางอย่าง ที่ใช้รักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ซึ่งทำให้มีปัญหาปัสสาวะติดขัดหรือปัสสาวะลำบาก และในทางกลับกัน สำหรับคนที่รับประทานยารักษาโรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะจะมีสีน้ำเงิน เพราะร่างกายขับสารเมธิลีนบางส่วนในยาออกมา (ไทยรัฐ อังคารที่ 18 พ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





นักวิชาการเสนอรัฐห้ามนำเข้าเคมีกำจัดศัตรูพืช 3 ชนิด

ดร.พญ.นุศราพร เกษสมบูรณ์ อาจารย์ประจำคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่าผลการวิจัย ผลกระทบต่อสุขภาพจากการใช้สารเคมีเกษตร จากสารเคมี 3 ชนิด คือ Parathion Methyl, EPN, และ Endosulfan พบสารเคมีทั้ง 3 ชนิด มีพิษเฉียบพลันเรื้อรัง ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยา และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของยีน รวมทั้งเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งและความผิดปกติของสิ่งมีชีวิต ดังนั้น สมควรมีมาตรการห้ามจำหน่ายและห้ามใช้ในประเทศไทยเพื่อไม่ให้ลูกหลานตกเป็นหนูทดลอง เพราะในหลายประเทศทั่วโลกได้ประกาศให้เป็นสารต้องห้าม สาร Parathion Methyl ใช้กำจัดศัตรูพืชในถั่วเหลือง ปัจจุบันห้ามใช้ในญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา และแทนซาเนีย ในจีนจำกัดการใช้โดยห้ามใช้ในพืชผัก ผลไม้ ชาและสมุนไพรจีน ในสหรัฐจัดเป็นสารเคมีที่มีสูตรและลักษณะการใช้ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรง EPN ใช้กำจัดหนอนเจาะสมอฝ้ายและหนอนเจาะลำต้นข้าวโพด ซึ่งห้ามใช้ ตั้งแต่ปี 1987 และกำลังถูกพิจารณาห้ามใช้ในกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) ส่วน Endosulfan เป็นสารเคมีที่ใช้กำจัดแมลงศัตรูพืชในฝ้าย งา และกาแฟ นางอรพรรณ ศรีสุขวัฒนา ผู้ประสานงานวิชาการเพื่อการปฏิรูประบบสุขภาพ กล่าวว่า ในที่ประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ เมื่อปี 2546 มีมติร่วมกันว่าอันตรายของวัตถุมีพิษด้านการเกษตรที่มีต่อสุขภาพของเกษตรกร ผู้บริโภคไปจนกระทั่งสิ่งแวดล้อมนั้นมีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จึงยื่นข้อเสนอเชิงนโยบายต่อรัฐบาลให้ออกประกาศห้ามการนำเข้าสารเคมีทางการเกษตรเพื่อเป็นการปกป้องเกษตรกรผู้บริโภคและห่วงโซ่อาหาร เพื่อให้ข้อเสนอปฏิบัติได้จริงในงานสมัชชาสุขภาพประจำปี 2547 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-9 กันยายน นี้ สปสร.จะเสนอให้รัฐบาลนำร่องด้วยการขึ้นทะเบียนสารเคมีที่มีพิษร้ายแรงสูง 3 ชนิด เป็นสารเคมีที่ต้องห้าม ขณะเดียวกันควรมีการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาชีวภัณฑ์ที่ทดแทนสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 19 พ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ดื่มน้ำอัดลมมากเสี่ยงกับมะเร็งกระเพาะ เห็นตัวอย่างเกี่ยวพันจากคนอเมริกัน

ทีมนักวิจัยของโรงพยาบาลตาตา เมมมอเรียลในอินเดีย ได้ศึกษาวิจัยพบว่า การที่คนอเมริกันดื่มน้ำอัดลมกันมากขึ้น ในรอบระยะเวลา 50 ปีที่แล้วมานี้ มีความเกี่ยวพันกับการที่มียอดผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารสูงขึ้น พวกเขาได้พบว่าคนอเมริกันพากันดื่มน้ำอัดลมเพิ่มขึ้น จากอัตราคนละ 49 ลิตร ต่อปี ในปี พ.ศ. 2489 ขึ้นเป็น 224 ลิตร ในปี พ.ศ. 2543 สูงถึง 4 เท่าครึ่ง ยอดผู้ป่วยที่เป็นชาวอเมริกันผิวขาว ในรอบระยะเวลา 25 ปีที่แล้ว ได้เพิ่มสูงขึ้นอีกกว่า 570% โดยเฉพาะเมื่อปีกลายมีผู้ป่วยทั้งหญิงชายทั้งหมด 13,900 คน และก็ต้องเสียชีวิตลงหมด เกือบถ้วนหน้า "ยอดผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหารที่สูงขึ้น มีส่วนสัมพันธ์กับการดื่ม น้ำอัดลมกันมากขึ้นอย่างชัดเจน" รายงานระบุและยังเสริมว่า "ยังพบด้วยว่า ชาติที่ประชาชนดื่มน้ำอัดลมกันมากกว่าชาติอื่น ก็มีแนวโน้มเป็นแบบเดียวกัน ชาติที่พลเมืองดื่มน้ำอัดลมมากเกินกว่าคนละ 113.5 ลิตรต่อปี ล้วนแต่มีผู้ป่วยสูงขึ้นด้วยกันทั้งสิ้น" (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 20 พ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





มก.ชี้แนวทางไต่อันดับผู้นำอาหาร หลังผลิตบุคลากรป้อนตลาดทั่วโลก

รศ.ดร.นภาวรรณ นพรัตนาภรณ์ ประธานโครงการพัฒนาทรัพยากรบุคคลเพื่อป้อนธุรกิจ อาหารไทยทั่วโลก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยภายหลังการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อ พัฒนาหลักสูตรการพัฒนา ทรัพยากรบุคคลเพื่อป้อนธุรกิจอาหารไทยทั่วโลก ซึ่งเป็นโครงการ ภายใต้การสนับสนุนของภาครัฐว่า เนื่องจากการอบรมได้ดำเนินมาครบหนึ่งปีแล้ว จึงมีการจัดประเมินปรับปรุงหลักสูตรเพื่อให้เป็นประโยชน์กับผู้เรียนมากขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมนำไปใช้ในปีถัดไป สำหรับในปีแรก โครงการสามารถผลิตบุคลากรได้เกินเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยจากจำนวน ผู้ที่ผ่านการอบรมหลักสูตรที่ 1 (ผู้ประกอบการอาหารไทยมืออาชีพ) และหลักสูตรที่ 2 (ผู้บริหารจัดการธุรกิจร้านอาหาร) มีการนำความรู้ที่ได้จากการฝึกอบรม ไปประกอบอาชีพในต่างประเทศแล้วประมาณ 250 คน จากจำนวนผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมกว่า 700 คน โดยแยกเป็นหลักสูตรที่ 1 จำนวน 120 คน และหลักสูตรที่ 2 จำนวน 26 คน ซึ่งส่วนใหญ่มีผู้ประกอบการติดต่อผ่านโครงการเข้ามา ประธานโครงการฯ กล่าวว่า อาหารไทยเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีอาหารจานเดียวที่มีคุณค่าโภชนาการครบ 5 หมู่ อีกทั้งราคาไม่แพง เป็นทั้งอาหารตา อาหารปาก และอาหารเพื่อสุขภาพ เวลานี้อาหารไทยเป็นที่นิยมอยู่ในอันดับ 4-5 บี้คู่มากับญี่ปุ่น ส่วนอันดับ 1 เป็นอาหารของอิตาเลียน 2 อาหารจีน และ 3 เป็นอาหารของฝรั่งเศส ส่วนอาหารไทยเรานั้นยังมีโอกาสเติบโตในตลาดโลกได้อีก หากแต่คนไทยทั้งใน และต่างประเทศต้องร่วมมือกัน ขณะที่รัฐบาลเองก็ต้องให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องด้วย ไม่ใช่ทำแบบไฟไหม้ฟาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องสนับสนุนให้มีการวิจัยนำ เพื่อให้ก้าวไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม คงจะต้องมีการประเมินอีกครั้ง หลังจากจบโครงการนี้แล้ว (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 20 พ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





สภาอาจารย์ฯยื่นเสนอรัฐ ยกเลิกพรบ.มาตรการที่3

ผศ.พิศิษฐ์ โจทย์กิ่ง ประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ปอมท.)เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลมีมติเห็นชอบให้มีการประเมินผลการทำงานของอาจาย์จากสถาบันการศึกษาของรัฐทั่วประเทศ เพื่อการพัฒนาและบริหารกำลังคนในการรองรับการเปลี่ยนแปลงระบบราชการ โดยมีการกำหนดแนวทางและหลักการโดยเฉพาะ มาตรการที่3 การพัฒนาและบริหารกำลังตนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบราชการ โดย ก.พ.ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของอาจารย์ผุ้ถูกประเมินและเกิดผลเสียต่อระบบได้ สภาอาจารย์ฯ จึงเสนอให้รัฐ ยกเลิกการใช้มาตรการดังกล่าว กับอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา ของรัฐทุกแห่ง สำหรับเหตุผลที่ต้องการให้ยกเลิกมาตรการที่ 3 เนื่องจากสถาบันอุดมศึกษามีลักษณะงานที่แตกต่างจากหน่วยงานราชการอื่น โดยเฉพาะงานของคณาจารย์ อีกทั้งยังเป็นการประเมินผลงานเพียงแค่ 3-4 เดือนเท่านั้นจึงไม่สามารถสะท้อนประสิทธิภาพการทำงานได้จริง รวมถึงระบบธรรมาภิบาลในมหาวิทยาลัยยังไม่มีมาตรฐานที่โปร่งใส หากนำมาตรการที่ 3 มาใช้อาจเป็นเครื่องมือให้ผู้บริหารใช้วิธีการที่ไม่สุจริต ยุติธรรม มาประเมินบุคลากรที่มีคุณภาพให้ออกจากราชการได้ และแม้ว่าผู้ถูกประเมินให้ออกราชการจะสร้างร้องเรียนขอความเป็นธรรมได้ แต่ชื่อเสียงได้หายไปแล้ว ก็จะต้องใช้เวลานานกว่าจะได้รับความเป็นธรรม ซึ่งจะมีผลกระทบต่อขวัญกำลังใจในการทำงานด้วย ซึ่งหากต้องการเพิ่มประสิทธิภาพข้าราชการและระบบราชการจริงๆ ก็สามารถนำเอามาตรา 144(6) แห่งพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน มาใช้ในการกำจัดข้าราชการที่ไร้ประสิทธิภาพ ไร้ความสามารถ และบกพร่องต่อหน้าที่ตามหลักเกณฑ์และวิธีที่กำหนดไว้ใน กฎก.พ.ได้ (สยามรัฐ พฤหัสบดีที่ 20 พ.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)





ลดเปิบข้าวเห็นผลชงัก ผอมเพรียวเร็วกว่างดกินไขมัน

วารสารด้านการแพทย์ของสหรัฐได้ตีพิมพ์งานวิจัยสองชิ้นที่กล่าวถึงเทคนิคการลดน้ำหนัก ซึ่งได้ข้อสรุปพ้องกันว่า ผู้ที่ลดน้ำหนักด้วยวิธีการลดอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต หรือพวกที่ให้แป้งอย่างข้าวและมันสำปะหลัง สามารถลดน้ำหนักได้เร็วกว่ากลุ่มที่ลดด้วยวิธีการลดอาหารจำพวกไขมัน งานวิจัยชิ้นแรกศึกษาผลการลดน้ำหนักจากการรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ กับการลดน้ำหนักด้วยการรับประทานอาหารไขมันต่ำ จากกลุ่มวิจัย 132 คนที่เป็นโรคอ้วน โดยแยกเป็นกลุ่มที่รับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำกว่า 30 กรัมต่อวัน กับกลุ่มรับประทานไขมันแคลอรีต่ำ หลังผ่านไป 6 เดือน ทำการวัดผลพบว่า กลุ่มแรกมีน้ำหนักตัวลดลงเร็วกว่ากลุ่มที่กินอาหารไขมันต่ำ ขณะเดียวกัน อาสาสมัครที่เป็นเบาหวานและรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำยังมีการควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีกว่าด้วย กลุ่มที่รับประทานคาร์โบไฮเดรตต่ำและไขมันต่ำต่างมีน้ำหนักลดลงเหลือระดับใกล้เคียงกัน โดยกลุ่มที่รับประทานคาร์โบไฮเดรตต่ำลดลง 5-9 กิโลกรัม ขณะที่กลุ่มรับประทานไขมันต่ำลดลง 3-9 กิโลกรัม นักวิจัยกล่าวถึงผลการศึกษาครั้งนี้ว่า เป็นการยืนยันว่าการลดน้ำหนักด้วยวิธีการลดแคลอรีเป็นวิธีการที่ได้ผล เนื่องคนอเมริกันที่เป็นโรคอ้วนพีนั้น เป็นเพราะรับประทานอาหารมากเกินความต้องการ และสะสมแคลอรีไว้ในร่างกายมากเกินไป "คนส่วนใหญ่มักจะชอบรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง แต่ถ้าต้องการลดน้ำหนักให้ได้ผล การรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำเป็นทางเลือกที่ดี" นักวิจัย ว่า (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 20 พ.ค. 47 http://www.komchadluek.com)





วิจัย 'เร่วหอม' ใส่ถุงปรุงก๋วยเตี๋ยวเลียง

เร่วหอมนี้พบเฉพาะที่แถบจังหวัดจันทบุรีและตราด ถูกจัดเป็นเครื่องเทศชนิดหนึ่งที่คนไทยในอดีตต่างรู้จักกันดี เพราะมีการนำมาใช้ประโยชน์หลายรายการในด้านเครื่องเทศและสมุนไพร เร่วนี้อยู่ในสกุลเดียวกับกระวาน และนับได้ว่าเป็นว่านชนิดหนึ่ง จะต่างอยู่บ้างก็ตรงที่ลูกเร่วจะไม่มีเปลือกหุ้มผลติดไปกับผลแห้งเหมือนกระวาน เมื่อเก็บไว้นาน ๆ จะมีกลิ่นระเหยออกมาแต่จะไม่หอมเท่ากับกระวานราคาจึงถูกกว่า ได้มีการนำมาเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องปรุงน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวแถบเมืองจันท์ ในนามของก๋วยเตี๋ยวเลียง ซึ่งที่ผ่านมาแทบทั้งหมดจะนำเร่วหอมแบบสด ๆ มาใส่ในหม้อต้มซุป จากจุดนั้นได้เข้ามาเป็นประเด็นเพื่อการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับกรรมวิธีของการถนอมอาหารด้วยการตั้งสมมุติฐานเบื้องต้นว่าทำอย่างไรถึงจะสามารถนำเร่วหอมนี้มาเก็บรักษาและสามารถนำมาใช้ได้เมื่อต้องการโดยที่คุณสมบัติประจำของเร่วหอมไม่สูญเสียไป คุณมณีรัตน์ ปัญญพงษ์ เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของราชมงคล บอกมาว่า มีแล้ว ณ วันนี้ในการศึกษาวิจัยเรื่องนี้ คือที่ราชมงคลจันทบุรี โดยมี ผศ.อร่าม อรรถเจดีย์ อาจารย์แผนกพืชเครื่องเทศสมุนไพร สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตจันทบุรี เป็นหัวหน้าคณะศึกษาวิจัย ด้วยคิดผลิตเร่วหอมผงสำเร็จรูปขึ้นมา สำหรับเป้าหมายในการศึกษาวิจัยครั้งนี้อยู่ที่ต้องการหาแนวทางของการแปรรูปจากเร่วสดมาทำให้แห้งแล้วบดเป็นผง ทั้งนี้ก็เพื่อใช้เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อการศึกษาและเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้ซื้อหาในราคาที่ถูกขึ้น หลังจากการศึกษาวิจัยมาระยะหนึ่งก็ได้ข้อสรุปว่ามีความเป็นไปได้ ตามเป้าหมาย จนสามารถผลิตขึ้นมาสนองความต้องการของผู้สนใจได้แล้วในทุกวันนี้ โดยมีการบรรจุในซองอย่างดีพร้อมใช้งานตามที่ต้องการได้ทันที นอกจากนี้ภายในถุงหนึ่ง ๆ นั้นยังมีอบเชย โป๊ยกั๊ก ลูกผักชี ผสม อยู่ด้วย ในหนึ่งซองจะสามารถนำมาทำน้ำซุปสำหรับ ก๋วยเตี๋ยวเลียงได้ในปริมาณน้ำ 4-5 ลิตร สนใจต้องการข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อสอบถามโดยตรงได้ที่ แผนกพืชเครื่องเทศ-สมุนไพร สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตจันทบุรี ต.พลวง กิ่งอำเภอคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี โทร. 0-3930-7167 ในวันและเวลาราชการ (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 21 พ.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





ภัย "ไวรัส" คร่าชีวิตปีละ 5 แสน ระวังไข้หวัด-ปอดบวม

น.พ.วัลลภ ไทยเหนือ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ขณะนี้มีโรคใหม่ๆเกิดขึ้น เชื้อโรคมีการพัฒนาตัวเอง ทำให้เกิดเชื้อสายพันธุ์ใหม่ๆ เช่น เชื้อโคโรน่าไวรัส (coronavirus) ต้นเหตุโรคซาร์ส เชื้อไข้หวัดนกจากเอเวียน อินฟลูเอนซ่า (Avian Influenza) สามารถติดต่อข้ามประเทศได้ กลายเป็น ภัยระดับโลก ประมาณกันว่าโรคซาร์สที่ระบาดในปี 2546 ทำให้เศรษฐกิจโลกเสียหายประมาณ 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ และจุดกำเนิดทั้ง 2 โรคนี้ล้วนเกิดขึ้นในเอเชีย ดังนั้น ไทยจึงต้องมีระบบการเฝ้าระวังโรคที่เข้มแข็ง ป้องกันความเสียหายทางสุขภาพให้คนไทยและของโลกได้ โดยเฉพาะโรคไข้หวัดใหญ่จากเชื้อไวรัส ทำให้มีผู้เสียชีวิตปีละ 250,000-500,000 ราย สร้างความเสียหายทั่วโลกปีละ 167,000 ล้านบาท และโรค ปอดบวม ทั่วโลกมีรายงานป่วยปีละเกือบ 3 ล้านราย เสียชีวิตปีละกว่า 1 ล้านราย เฉพาะไทยป่วยปีละ 120,000 ราย และเสียชีวิตประมาณ 1,000 ราย ในระดับภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ ไข้เลือดออก มีรายงานป่วยปีละ 1 ล้านกว่าราย ส่วนของประเทศไทยเรามีระบบเฝ้าระวังครอบคลุม 78 โรค ในจำนวนนี้เป็นโรคติดต่ออันตราย 14 โรค ซึ่งต้องจับตาดูว่ามีโรคใดที่มีการระบาดขึ้นในกลุ่มคนจำนวนมาก และมีผู้ป่วยมากกว่าปกติที่เคยเกิดมาแล้ว ขณะนี้โรคที่เรากำลังเฝ้าระวังก็คือ โรคอุจจาระ ร่วงอย่างแรง ตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้มีผู้ป่วย 1,676 ราย เสียชีวิต 7 ราย (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 21 พ.ค. 47 http://www.thairath.co.th/thairath)





ดื่มน้ำอัดลมรสซ่า ระวังมะเร็งมาเยือน

ในงานประชุมผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งและทางเดินอาหาร ซึ่งจัดขึ้นในสหรัฐเมื่อไม่นานมานี้ นักวิจัยจากแพทย์โรงพยาบาลตาต้าเมโมเรียล ในอินเดีย ได้นำเสนอผลงานวิจัย ที่ศึกษาพบความสัมพันธ์ระหว่างการดื่มน้ำอัดลมกับโรคมะเร็งหลอดอาหาร โดยศึกษาจากข้อมูลที่กระทรวงเกษตรของสหรัฐรวบรวมไว้เกี่ยวกับการบริโภคเครื่องดื่มน้ำอัดลมของคนอเมริกันในช่วง 50 ปีก่อน ที่เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 450 จากปริมาณเฉลี่ย 49 ลิตรต่อคน ในปี 2489 เป็น 224 ลิตรต่อคน ในปี 2543 จากนั้นทีมวิจัยได้นำไปเปรียบเทียบกับข้อมูลคนอเมริกันที่เป็นโรคมะเร็งหลอดอาหารในช่วง 25 ปีก่อน พบว่ามีคนอเมริกันผิวขาวป่วยด้วยโรคนี้เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 570 นักวิจัยพบว่าจำนวนของผู้ป่วยมะเร็งหลอดอาหาร เพิ่มตามจำนวนการบริโภคเครื่องดื่มที่มีสารคาร์บอเนต ซึ่งแม้ว่าอาจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่ทีมวิจัยยังพบข้อมูลที่สนับสนุนว่า การบริโภคน้ำอัดลมเป็นสาเหตุให้กระเพาะบวมได้ และส่งผลให้เกิดภาวะน้ำย่อยในกระเพาะย้อนกลับซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องกับมะเร็งหลอดอาหาร นอกจากนี้นักวิจัยยังพบว่า ทั่วโลกก็มีทิศทางแบบเดียวกันคือ ประเทศที่มีรายงานการบริโภคเครื่องดื่มประเภทโซดามากกว่า 20 แกลลอนต่อคน มีอัตราของโรคมะเร็งหลอดอาหารเพิ่มขึ้นเช่นกัน (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 21 พ.ค. 47 http://www.komchadluek.com)





พบอาหารตกมาตรฐานเพียบ

นางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รมว.สาธารณสุข เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงสาธารณสุข จัดทำแผนยุทธศาสตร์ความปลอดภัยด้านอาหาร ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้จัดให้มีรถหน่วยตรวจสอบเคลื่อนที่ (Mobile Unit) พร้อมอุปกรณ์ตรวจวิเคราะห์เป็นหน่วยปฏิบัติการนอกสถานที่ ที่สามารถตรวจวิเคราะห์หาสารปนเปื้อนในอาหารได้อย่างรวดเร็ว ณ แหล่งจำหน่ายและสถานที่ผลิตอาหาร เช่น การตรวจสารปนเปื้อนในอาหาร การตรวจหาเชื้อโคลิฟอร์มและอีโคไลในน้ำดื่ม น้ำแข็ง อาหารพร้อมบริโภค ไอศกรีม นมพร้อมดื่ม และเพิ่มการตรวจหายีสต์ รา ในเครื่องดื่ม อีกทั้งสามารถ ตรวจหาสเตียรอยด์ในยาแผนโบราณและยาแผนปัจจุบัน โดยมีเป้าหมายในการตรวจสอบตัวอย่างอาหารทั่วประเทศมากกว่า 300,000 ตัวอย่างต่อปี เพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจในการบริโภคอาหารอย่างปลอดภัย สำหรับรถตรวจสอบสารปนเปื้อนจำนวน 2 คัน ตั้งแต่เดือน ต.ค.2546-เม.ย. 2547 ได้ตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างอาหาร ทางด้านเคมี รวมทั้งสิ้น 42,589 ตัวอย่าง จากตลาดสดทุกอำเภอในส่วนภูมิภาค ผลปรากฏว่าตกมาตรฐาน 460 ตัวอย่าง เช่น พบสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในผักคะน้า พริก ถั่วฝักยาว พบสารฟอร์มาลินในปลาหมึก และพบกรดซาลิซิลิค ในผักกาดดอง เป็นต้น. (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 22 พ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





วัดรอบเอว ช่วยบอกภาวะสุขภาพ

ดรรชนี มวลกายที่มีค่าตัวเลข สูง จะเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วย บ่งบอกได้ว่า ร่างกายอยู่ในภาวะเสี่ยง กับโรคหลอด เลือด หัวใจ และเบาหวาน แต่จากงานวิจัยโดย มูลนิธิโรคหัวใจ และลม ปัจจุบันแคนาดา บอกว่า การเอาใจใส่ ในร่างกาย หรือการวัด ร่างกายในส่วน อื่นๆ เช่น วัดรอบเอวมีส่วนที่จะบอก ได้ว่า ร่างกายเป็นอะไร การวัด ยืนให้เท้าชิดกันแล้วเริ่ม วัดรอบส่วนปลายสุดท้ายของชายซี่โครง จดตัวเลขเอาไว้ก่อน วัดตะโพก เป็นส่วนต่อ ได้ตัวเลขมาแล้วก็ต้องคิดคำนวณกันเล็กน้อย ถ้าหากเส้นรอบวงตรงเอววัดได้ 36 นิ้วหรือ กว่านั้น การกระจายน้ำหนักตัวอาจจะอยู่ในภาวะที่ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไร และก็อยู่ในภาวะ เสี่ยงสูงที่จะเป็นเบาหวานและโรคหัวใจได้ สำหรับตัวเลขเส้นรอบเอวกับตะโพกนั้นให้นำเส้นรอบเอวเป็นตัวตั้ง หารด้วยตะโพก ผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะบอกได้ว่า คุณมีสุขภาพเป็นอย่างไร เช่น หากคุณสุภาพสตรีมีเอว 30 นิ้ว และตะโพก 40 นิ้ว ก็จะได้อัตราส่วนของเอวต่อตะโพกเป็น .74 จัดว่าอยู่ ในประเภทอัตราเสี่ยงต่ำ แต่ถ้าหากเอว 41 นิ้ว กับตะโพก 39 นิ้ว ผลที่ได้เป็น 1.05 ก็แสดงว่ามีอัตราเสี่ยงที่จะเป็นโรคได้สูง. (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 22 พ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215