หัวข้อข่าวปีที่ 5 ฉบับที่ 46 ประจำวันที่ 2004-11-15

ข่าวการศึกษา

ราชมงคลรับ นศ.ปี 48 กว่า 4 หมื่นคน
แนะศธ.ใช้บทเรียนสอบครูอัดฉีดคุณภาพแม่พิมพ์
เหนือเฮรับห้องเรียนไอที ไอซีทีเพิ่มอีก 7 แห่งผลจาก ร.ร.นำร่องฉลุย
สกอ.รุกจัดมหกรรม"ยูนิเวอร์ซิตี้แฟร์"
เลขา กกอ. เชื่อสภามหาวิทยาลัยไม่บ้าอำนาจ
ม็อบน.ศ."ม.ทักษิณ"ต้านออกนอกระบบ
สภามหาวิทยาลัยราชภัฏ คลอดว่าที่อธิการฯ 9 แห่ง
มจธ.ผนึกกำลังเครือข่ายอุดมศึกษา นำร่องฟาร์มโคนมมาตรฐาน
วธ.ปิ๊งทำพิพิธภัณฑ์ออนไลน์ ย้ายที่ตั้งกระทรวงต้นปี"48
เด็กไทยเจ๋งชนะ"ญี่ปุ่น" คว้าแชมป์ประดิษฐ์รถประหยัดน้ำมัน
เอไอทีเจอวิกฤติการเงิน คุณภาพนักศึกษาตก
มอ.ปัตตานีระส่ำ นักศึกษา-อาจารย์ย้ายอื้อ ผู้บริหารเร่งเจรจาให้อยู่ต่อ
สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมฯ อบรม “สัทศาสตร์ปฏิบัติเพื่อการออกเสียงที่ดีกว่า”
บิ๊กมหา"ลัยเฮรับงด.ถึงซี11
น.ศ.จากจีนแลกเรียนเทพสตรี
ค่ายวิทย์เยาวชนช้างเผือกซิเมนต์ไทย ส่งเด็กไทยเป็นนักวิทยาศาสตร์ ระดับโลก
กระทรวงวิทย์ส่งหัวกะทิไปอินเดีย

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

ยกอิสราเอลต้นแบบใช้น้ำไทยอย่าปล่อยปัญหาจนยากเกินแก้
พบทุ่งหลุมบ่ออุกกาบาตใหญ่บนโลก ซุกซ่อนอยู่ใต้ทะเลทรายสฮารา
ใช้เอกซเรย์ตรวจคนเข้าประเทศเห็นลอดเสื้อผ้าสวมใส่ถึงเนื้อตัว
ภาวะโลกร้อนทำกะปิขาดแคลน
สร้างโครงข่ายเน็ตทั่วประเทศคืบหน้าไปได้แล้ว 16 จังหวัด
นาซาทดสอบสุดยอดอากาศยาน
รม.จับมือญี่ปุ่นพัฒนาการพิมพ์
สุดยอดอากาศยานบินเหนือเสียง

ข่าววิจัย/พัฒนา

ไทย-ญี่ปุ่นจดสิทธิบัตรวิจัย "วัคซีนเอดส์"
สมุนไพรบำบัดโรคผึ้ง งานวิจัยยกระดับน้ำผึ้งเลี้ยง
เครื่องตัดเสาเข็มหนึ่งเดียวในไทย มจธ.พัฒนามุ่งรักษาชีวิตคนงาน
พลังงานจับมือดัชต์พัฒนา “โซลาเซลล์”เครื่องยนต์เอ็นจีวี
เก้าอี้เคลื่อนที่เพื่อคนพิการ โครงงานคอมพิวเตอร์จากใจอาทร
ราชมงคลจับมือ มช.ผลิตเครื่องมือผ่าตัด
ห่อหัวใจด้วยถุงโพลีเอสเตอร์ช่วยเดินเครื่องให้แข็งขันขึ้นได้
กฟภ.อวดอุปกรณ์ช่วยประหยัดไฟบ้าน
ม.กรุงเทพพัฒนาระบบให้อาหารสุนัขอัตโนมัติ ติดเซ็นเซอร์คำนวณอาหารพอดีอิ่ม อนาคตสั่งผ่านมือถือได้
เพาะกล้ามให้สมองแบบเพาะกาย บำรุงสมองให้แข็งแรงก้าวหน้าได้
ดีไซน์กระเป๋าโน้ตบุ๊คอเนกประสงค์ แปลงร่างเป็นโต๊ะทำงานเคลื่อนที่
มศว พัฒนาแผ่นฟิล์มฟักทองถนอมอาหาร ใช้บรรจุเครื่องปรุงรส ไม่ต้องฉีกต้มได้ทั้งซอง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ทารกงอแงไร้เหตุผลส่งผลไอคิวต่ำ
พบโปรตีนสร้างความจำระยะยาว ความหวังรักษาผู้ป่วยอัลไซเมอร์
มธ.คิดระบบจ่ายน้ำอัตโนมัติโซลาร์เซลล์
พระนครเหนือ คิดค้นอิฐน้ำหนักเบา-กันร้อน
ทัพเรือไทยผลิตทุ่นระเบิดล่องหน ทำเองหมื่นเดียวของนอกเป็นล้าน
จุฬาฯ คิดระบบหาสายรถเมล์บนมือถือ

ข่าวทั่วไป

ชิงมหิดล-บีบราวน์ปี 48
ญาติพี่น้องร่วมหอลงโรงกันเองเสี่ยงมีลูกเป็นโรคปัสสาวะหอม
อย.ดึง 5 องค์กร ตรวจมาตรฐาน อาหารจีเอ็มพี
พบโครงกระดูกมนุษย์ยุคโบราณ สูงเต็มที่แค่หนึ่งเมตร เชื่อเป็นสายพันธุ์ใหม่
ชี้ไทยติดอันดับ 17 ของโลกคนป่วย "วัณโรค" พุ่ง
กรมวิชาการเกษตรแบนสารอันตรายเพิ่ม 2 ชนิด
แนะเปิดเพลงคลาสสิกให้ทารกฟัง ช่วยเสริมพัฒนาการอารมณ์-ภาษา
ใช้ภูเขาชันเป็นสถานฟิตเนสชาวที่ราบให้ใช้บันไดตึกแทน
แม่โจ้พบสารอันตรายในผักจีนทะลักเข้าไทย
ไทยลงนามกฎหมายบุหรี่โลก หยุดยั้งการตาย4.9ล้านคน
ขยะอิเล็กทรอนิกส์ระบบนิเวศน์ งานด่วนเวทีถกสิ่งแวดล้อมโลก





ข่าวการศึกษา


ราชมงคลรับ นศ.ปี 48 กว่า 4 หมื่นคน

ผศ.ดร.นำยุทธ สงค์ธนาพิทักษ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล (รม.) เปิดเผยว่า ปีการศึกษา 2548 รม.จะเปิดรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี 15 คณะ ใน 35 วิทยาเขต จำนวน 44,764 คน เพิ่มขึ้นจากปีการศึกษา 2547 ประมาณ 12,000 คน โดยเน้นให้วิทยาเขตต่างจังหวัดรับนักศึกษาในท้องถิ่นมากขึ้น เพื่อกระจายโอกาสทางการศึกษาให้แก่เยาวชนอย่างทั่วถึง การรับจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือรับตรง 85% ซึ่งมีทั้งการสอบและโควตา และการรับผ่านระบบเอ็นทรานซ์อีก 15% คณะที่เปิดรับ ได้แก่ ศิลปศาสตร์ 2,310 คน ศึกษาศาสตร์ 140 คน วิศวกรรมศาสตร์ 4,435 คน บริหารธุรกิจ 17,745 คน คหกรรมศาสตร์ 2,580 คน ศิลปกรรม 1,179 คน นาฏศิลป์และดุริยางค์ 285 คน วิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร 510 คน ครุศาสตร์อุตสาหกรรม 4,125 คน สถาปัตยกรรมศาสตร์ 1,715 คน วิทยาศาสตร์ 1,470 คน เทคโนโลยีสื่อสารมวลชน 705 คน เกษตร-ศาสตร์บางพระ 6,705 คน เกษตรศาสตร์นครศรีธรรมราช 920 คน และวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการประมง 240 คน.จะเปิดจำหน่ายใบสมัครตั้งแต่วันที่1 ธ.ค. 2547-31 ม.ค. 2548 ผู้สนใจสมัครเข้าศึกษาต่อได้ทางไปรษณีย์ ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2547-31 ม.ค. 2548 และสมัครด้วยตนเองได้ที่หน่วยรับสมัครวันที่ 22-31 ม.ค. 2548 นอกจากนี้ ยังเป็นปีแรกที่สถาบันเปิดให้ สมัครผ่านทางอินเตอร์เน็ตได้ทาง www.rit.ac.th ผู้สนใจถามรายละเอียดเพิ่มได้ที่โทร. 0-2549-3611-5 ได้ตั้งแต่บัดนี้ (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 8 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)





แนะศธ.ใช้บทเรียนสอบครูอัดฉีดคุณภาพแม่พิมพ์

จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เปิดสอบแข่งขันเพื่อบรรจุบุคคลเข้าเป็นข้าราชการครู ครั้งที่ 1 ปี 2547 โดยมีผู้เข้าสอบทั้งสิ้น 52,656 คน แต่ปรากฏว่ามีผู้สอบผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนด 70% เพียง 153 คนนั้น รศ.ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ คณบดีคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ตนคิดว่าผู้เข้าสอบทำคะแนนได้ไม่ดี มีสาเหตุหลายประการด้วยกัน คือข้อสอบอาจจะยากเกินไป และคุณภาพครูในเชิงเนื้อหายังไม่เข้มแข็งเพียงพอ ตนเห็นว่าผลที่ได้จากการสอบครั้งนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) หรือคณบดีคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ทั่วประเทศ น่าจะหยิบยกกรณีดังกล่าวมาคุยกันว่าควรจะเพิ่มเติมความรู้ให้ครูอย่างไร รวมทั้งการเตรียมผลิตนักศึกษาครูในอนาคตด้วย ด้าน รศ.ดร.ศิริชัย กาญจนวาสี ผู้อำนวยการศูนย์ทดสอบการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ข้อสอบที่ใช้ในการสอบแข่งขันดังกล่าว ยอมรับว่าเป็นข้อสอบที่ค่อนข้างยาก แต่ออกตามเนื้อหาที่เป็นมาตรฐานหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่เกินความรู้ในระดับปริญญาตรี ส่วนการกำหนดเปอร์เซ็นต์เป็นเรื่องของ ศธ. แต่ตนมองว่า การกำหนดวิชาเฉพาะ 70% ถือว่าค่อนข้างสูง ทั้งนี้ เมื่อ สพฐ.มีการบรรจุครูไปแล้วก็ควรมีการอบรมเพื่อเติมเต็มภายหลัง อย่างไรก็ตาม การสอบครั้งนี้มีผู้เข้าสอบเป็นจำนวนมากและหลากหลายสถาบัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเราควรมีการปรับปรุงแนวคิด และแนวทางการผลิตครูในอนาคตที่ให้นักศึกษาครูมีทั้งความเข้มแข็งทางวิชาการ และมีทักษะความเป็นครูที่ดี มี เทคนิคการสอนที่มีประสิทธิภาพ เพราะบางคนเนื้อหาดี แต่ขาดทักษะความเป็นครูก็สอนเด็กไม่ได้ (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 8 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)





เหนือเฮรับห้องเรียนไอที ไอซีทีเพิ่มอีก 7 แห่งผลจาก ร.ร.นำร่องฉลุย

น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่า โครงการโรงเรียนไอทีกับ ทศท เป็นการตอบสนองแผนแม่บทของรัฐบาล ที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็นสังคมความรู้ ทั้งนี้แต่เดิมการส่งเสริมให้ประชาชนมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต จึงต้องสนับสนุนให้นักเรียนมีความรู้ด้านอินเทอร์เน็ต เพื่อนำสู่การค้นคว้าหาความรู้ โรงเรียนต้นแบบด้านไอที จะเป็นการกระจายความรู้ด้านเทคโนโลยีไปสู่เยาวชนในทุกภูมิภาค เป็นการลดช่องว่างระหว่างเด็กในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ให้มีโอกาสได้เรียนรู้และเข้าถึงข้อมูลได้เท่าเทียมกัน และเชื่อว่าเด็กในโรงเรียนไอที จะเป็นโรงเรียนพี่ที่จะเผยแพร่ความรู้ให้กับน้องในโรงเรียนใกล้เคียง รวมทั้งประชาชนในท้องถิ่นได้ด้วย นายจำรัส ตันตรีสุคนธ์ รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทศท คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า โรงเรียนไอที กับ ทศท ภาคเหนือ เป็นโครงการที่ขยายผลจากโครงการแรกที่นำร่องใน 7 โรงเรียนภาคอีสาน ซึ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับจากครู นักเรียน รวมทั้งประชาชนในท้องถิ่นเป็นอย่างดี จึงขยายโครงการต่อสู่ภาคเหนือ โดยคัดเลือก 7 โรงเรียนที่มีความพร้อม ได้แก่ โรงเรียนประกอบด้วย ร.ร.อุทัยวิทยาคม จ.อุทัยธานี, ร.ร.นวมินทราชูทิศ มัชฌิม จ.นครสวรรค์, ร.ร.พุทธชินราชพิทยา จ.พิษณุโลก, ร.ร.อุตรดิตถ์ดรุณี จ.อุตรดิตถ์, ร.ร.ผดุงปัญญา จ.ตาก, ร.ร.สาธิตเทศบาลบ้านเชตวัน จ.แพร่ และ ร.ร.ศรีสวัสดิวิทยาคาร จ.น่าน ซึ่งจะได้รับเครื่องคอมพิวเตอร์ จำนวน 7 เครื่อง อุปกรณ์เซิร์ฟเวอร์ครบชุด พร้อมต่อระบบแลน และเครื่องอำนวยความสะดวกภายในห้องครบครัน เช่น เครื่องปรับอากาศ หนังสือไอที เป็นต้น ซึ่งจะส่งมอบอย่างเป็นทางการทั้ง 7 โรงเรียนในระหว่างเดือน พ.ย.-ธ.ค.นี้ (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 8 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)





สกอ.รุกจัดมหกรรม"ยูนิเวอร์ซิตี้แฟร์"

นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) จะจัดมหกรรม University Fair ระหว่างวันที่ 12-15 มกราคม 2548 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยจ้างบริษัทที่เป็นมืออาชีพมาบริหารจัดการ โดยมหกรรม University Fair จะเน้นการประชาสัมพันธ์ที่เกี่ยวกับแวดวงอุดมศึกษาใน 4 เรื่อง คือ 1.การให้มหาวิทยาลัยในสังกัด สกอ.ประกาศหรือประชาสัมพันธ์สิ่งที่แต่ละสถาบันมี โดยการออกบู๊ธเพื่อแสดงเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนการสอนที่มีอยู่ 2.สกอ.จะเคลื่อน E-Learning และเปิดโครงการใหม่ ไซเบอร์ ยูนิเวอร์ซิตี้ ในเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษา หรือ UniNet โดยจะเปิดให้ทุกมหาวิทยาลัยนำ E-Learning มาจัดแสดงได้ 3.จัดห้องแสดงนวัตกรรมของมหาวิทยาลัย โดยให้มหาวิทยาลัยนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาจัดแสดง โดยมีแนวคิดที่ว่านำการวิจัยเชิงนวัตกรรมจากหิ้งสู่ห้าง การจัดตั้งสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาของ สกอ.และของมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อจัดการทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ คาดว่าจะเป็นการพบปะกันระหว่างนักวิชาการกับผู้ประกอบการ และผู้ประกอบการอาจขอซื้อเทคโนโลยี หรือนวัตกรรมต่างๆ ไปผลิตได้ทันที และ 4.การแสดงสาขาวิชาเฉพาะเรื่อง เช่น MBA พลาซา ซึ่งเป็นส่วนที่จัดแสดงเฉพาะหลักสูตรบริหารธุรกิจ โดยในงานนี้มหาวิทยาลัยสามารถตั้งโต๊ะเพื่อรับนักศึกษาได้อีกด้วย (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 8 พ.ย. 47 http://www.matichon.co.th)





เลขา กกอ. เชื่อสภามหาวิทยาลัยไม่บ้าอำนาจ

รศ.ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าร่าง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) ว่าร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวจะมีผลใช้บังคับในเร็วๆนี้แล้วซึ่งจะเป็นผลให้มหาวิทยาลัยมีความคล่องตัวในการบริหารงานมากขึ้นและยังเป็นการมอบอำนาจให้กับสภามหาวิทยาลัยสามารถทำงานได้โดยเบ็ดเสร็จโปร่งใสและเป็นธรรมอย่างไรก็ตามที่ผ่านมามหาวิทยาลัยต่างๆก็ได้เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการบริการงานในส่วนต่างๆไว้แล้วและสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.)ก็ได้ทำความเข้าใจและชี้แจงเกี่ยวกับรายละเอียดของ พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษากับบุคลากรของมหาวิทยาลัยมาโดยตลอดซึ่งถึงวันนี้ตนเชื่อว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะมีความเข้าใจในรายละเอียดของกฎหมายฉบับนี้เป็นอย่างดี ต่อข้อถามหลายฝ่ายกังวลว่าพ.ร.บ.ดังกล่าวจะให้อำนาจแก่สภามหาวิทยาลัยมากเกินไปจนอาจมีการเล่นพรรคเล่นพวกกันได้เลขาธิการกกอ.กล่าวว่าตนไม่อยากให้มีการระแวงว่าสภามหาวิทยาลัยจะใช้อำนาจไปในทางที่ผิดหรือเล่นพรรคเล่นพวกเพราะเมื่อมีการให้อำนาจกับสภามหาวิทยาลัยก็ไม่ได้หมายความว่าสภามหาวิทยาลัยจะทำอะไรได้ตามใจทุกอย่างก็ยังต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์กลางที่ก.พ.อ.จะกำหนดให้กับสภามหาวิทยาลัยดำเนินการอยู่ ด้าน ศ.ดร. อมเรศ ภูมิรัตน คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่าการให้อำนาจสภามหาวิทยาลัยในการตัดสินใจมากขึ้นถือเป็นสิ่งที่ดีเพราะจะทำให้การบริหารงานมีความคล่องตัวและรวดเร็วยิ่งขึ้นส่วนที่หลายฝ่ายเกรงว่าสภามหาวิทยาลัยจะกุมอำนาจมากเกินไปนั้นตนมองว่าคงไม่เป็นเช่นนั้นเพราะทุกอย่างสามารถตรวจสอบได้อีกทั้งยังมีประชาคมของมหาวิทยาลัยนั้นๆคอยจับตาดูอยู่ตลอดเวลาดังนั้นหากสภามหาวิทยาลัยทำอะไรไม่ดีมหาวิทยาลัยก็จะเสียหายไปด้วย (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 8 พ.ย. 47 http://www.dailynews.co.th)





ม็อบน.ศ."ม.ทักษิณ"ต้านออกนอกระบบ

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 8 พฤศจิกายน นายนพรินทร์ สุบินรัตน์ นายกองค์การนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยทักษิณ และนายสุริยัน หมั่นเพียร ประธานสภานิสิต เป็นแกนนำนักศึกษาประมาณ 2,000 คน รวมตัวประท้วงและเปิดเวทีโจมตีฝ่ายบริหารอย่างรุนแรง ที่หอประชุมมหาวิทยาลัย เพราะไม่เห็นด้วยกับการทำประชาพิจารณ์ออกนอกระบบของมหาวิทยาลัย ที่ประชาคมหรือผู้มีส่วนได้เสียมหาวิทยาลัยไม่มีส่วนรับรู้ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการทำประชาพิจารณ์ พ.ศ.2539 นายนพรินทร์นายกองค์การนิสิตเปิดเผยว่า นักศึกษาร้อยละ 90 ไม่เห็นด้วยกับการนำมหาวิทยาลัยทักษิณออกนอกระบบ เพราะยังไม่มีความพร้อม และไม่เห็นด้วยกับการทำประชาพิจารณ์ที่ไม่โปร่งใส ขอเรียกร้องให้ฝ่ายบริหารถอนร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยทักษิณ เพื่อนำมาผ่านกระบวนการที่ถูกต้องตามเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ขณะที่กลุ่มนักศึกษาชุมนุมประท้วง มีเพียง ดร.สมศักดิ์ เอี่ยมพงศ์ศรี และนายประสิทธิ์ สกนธวุฒิ รองอธิการบดี ลงมาพบนักศึกษา แต่ไม่สามารถเจรจาหาข้อยุติได้ ส่วนอธิการบดีติดภารกิจที่กรุงเทพฯ กลุ่มนักศึกษาจึงสลายการชุมนุม (มติชนรายวัน 9 พ.ย. 47 http://www.matichon.co.th)





สภามหาวิทยาลัยราชภัฏ คลอดว่าที่อธิการฯ 9 แห่ง

ดร.พลสัณห์ โพธิ์ศรีทอง รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผย ถึงความคืบหน้าในการสรรหาอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) 41 แห่งว่า เมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา สภา มรภ. 27 สถาบันได้เสนอรายชื่อว่าที่อธิการบดีต่อนายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ไปเรียบร้อยแล้ว และล่าสุดสภา มรภ.จำนวน 9 สถาบันได้สรรหาว่าที่อธิการบดีเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดย ผศ.ดร.เรืองเดช วงศ์หล้า เป็นว่าที่อธิการบดี มรภ.เชียงใหม่ ผศ.มาณพ ภาษิตวิไลธรรม ว่าที่อธิการบดี มรภ.เชียงราย ผศ.สิทธิชัย หาญสมบัติ ว่าที่อธิการบดี มรภ.อุตรดิตถ์ ผศ.ดร.เศาวนิต เศาณานนท์ ว่าที่อธิการบดี มรภ.นครราชสีมา รศ.ดร.ชิรวัฒน์ นิจเนตร ว่าที่อธิการบดี มรภ.ภูเก็ต รศ.ดร.เปรื่อง กิจรัตน์ภร ว่าที่อธิการบดี มรภ.พระนคร รศ.ดร.ประเทือง ภูมิภัทราคม ว่าที่อธิการบดี มรภ.นครสวรรค์ ผศ.ดร.ปัญญา การพานิช ว่าที่อธิการบดี มรภ.กาญจนบุรี และนายสหัส หาญสินธุ์ ว่าที่อธิการบดี มรภ.กาฬสินธุ์ "ส่วนมหาวิทยาลัยราชภัฏที่เหลืออีกจำนวน 5 สถาบัน ประกอบด้วย มรภ.ชัยภูมิ,มรภ.สุรินทร์,มรภ.ยะลา,มรภ.นครปฐม,และมรภ.จอมบึง จ.ราชบุรี คาดว่าจะสรรหาว่าที่อธิการบดีเสร็จเรียบร้อย ภายในกลางเดือนพฤศจิกายน 2547 นี้ เป้นอย่างช้า สำหรับรายชื่อว่าที่อธิการบดีมรภ. 27 สถาบันได้ทยอยเสนอรายชื่อต่อนายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศธ.)เพื่อเสนอเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีให้พิจารณานำขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นอธิการบดีมรภ. ปรากฏว่าขณะนี้มีผู้ได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นอธิการบดีมรภ. 3 สถาบัน คือ ผศ.ดร.ศิโรจน์ ผลพันธิน เป็นอธิการบดีมรภ.สวนดุสิต , รศ.ดร.สุพล วุฒิเสน เป็นอธิการบดีมรภ.บ้านสมเด็จเจ้าพระยา และรศ.โกวิทย์ เชื่อมกลาง เป็นอธิการบดีมรภ.บุรีรัมย์ (คมชัดลึก พุธที่ 10 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)





มจธ.ผนึกกำลังเครือข่ายอุดมศึกษา นำร่องฟาร์มโคนมมาตรฐาน

นางกชกร กองแก้ว นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กล่าวว่าเครือข่ายอุดมศึกษาจังหวัดราชบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อจะยกระดับคุณภาพการศึกษาของทุกสถาบันให้สูงขึ้น และที่สำคัญคือเพื่อพัฒนาท้องถิ่น ภูมิภาคและประเทศ และหนึ่งในโครงการที่ดำเนินการภายใต้เครือข่ายนี้ก็คือ โครงการบทบาทเครือข่ายอุดมศึกษาจังหวัดราชบุรีต่อการพัฒนาธุรกิจโคนมตามแนวทางฟาร์มมาตรฐานกรมปศุสัตว์ของสมาชิกสหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรี จำกัด (ในพระบรมราชูปถัมภ์) กรณีศึกษาบ้านหุบมะกล่ำหมู่ 7 ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี โดยการสำรวจเบื้องต้นพบว่าฟาร์มโคนมในชุมชนอยู่กันอย่างค่อนข้างหนาแน่น และมีไม่ถึง 1% เท่านั้นที่ผ่านการเป็นฟาร์มมาตรฐาน ปัญหาของชุมชนนี้มีอยู่สองเรื่องหลักคือ เรื่องของสุขภาพของโคนม และน้ำเน่าเสียในคลองของหมู่บ้าน มจธ.จึงได้เข้ามาดูแลเรื่องของการแก้ไขปัญหาของเสียจากฟาร์มโดยการสร้างบ่อบำบัดตัวอย่างในพื้นที่ทั้งแบบที่บำบัดเฉพาะน้ำเสียอย่างเดียว และบำบัดทั้งน้ำเสียและมูลโค ซึ่งบ่อแบบหลังนี้ยังให้พลังงานก๊าชชีวภาพเป็นผลพลอยได้อีกด้วย โดยมี ดร.ธวัช เสียงลือชา อาจารย์จากมหาวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีราชบุรี ผู้ประสานงานบทบาทเครือข่ายอุดมศึกษาจังหวัด (สยามรัฐ พุธที่ 10 พ.ย. 47 http://www.siamrath.co.th)





วธ.ปิ๊งทำพิพิธภัณฑ์ออนไลน์ ย้ายที่ตั้งกระทรวงต้นปี"48

เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) เปิดเผยว่า วธ.จะจัดทำพิพิธภัณฑ์ออนไลน์ โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือไอที เพื่อแก้ไขปัญหาการเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม เช่น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ซึ่งเด็ก และเยาวชนในต่างจังหวัดยังไม่มีโอกาสเข้าเยี่ยมชม และศึกษาหาความรู้ หรือแม้แต่ห้องสมุดที่อยู่ในสถานศึกษาหรืออยู่ในแหล่งชุมชนก็มีข้อจำกัด หากนำเอาเทคโนโลยี หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book), ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ (E-library), พิพิธภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Museum) มาใช้ สิ่งเหล่านี้จะช่วยเปิดโลกทรรศน์ และให้โอกาสเด็ก เยาวชน และประชาชนเข้าถึงแหล่งข้อมูลความรู้ และเข้าใจประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์ ชุมชนไทย และประเทศไทย รวมทั้ง มีโอกาสเข้าถึงศิลปวัฒนธรรมต่างๆ ในรูปแบบเสมือนจริง (Virtual Reality) คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปีงบประมาณ 2548 (มติชนรายวัน พุธที่ 10 พ.ย. 47 http://www.matichon.co.th)





เด็กไทยเจ๋งชนะ"ญี่ปุ่น" คว้าแชมป์ประดิษฐ์รถประหยัดน้ำมัน

นับเป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปีที่ทีทีมนักศึกษาไทย คว้าถ้วยรางวัล "Soichiro cup" ในการแข่งขันฮอนด้าประหยัดเชื้อเพลิง ครั้งที่24 ที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเร็วๆ นี้ หลังจากเจ้าภาพอย่างญี่ปุ่นครองแชมป์มาตลอดกาล โดย นายปรัชกร อมแก้ว นักศึกษา ปวส. ชั้นปีที่ 2 โรงเรียนช่างกลขนส่งทหารบก(ขส.ทบ.) เป็นหนึ่งในสมาชิกทีมช่างกล ขส.ทบ.ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศครั้งนี้ (มติชนรายวัน พุธที่ 10 พ.ย. 47 http://www.matichon.co.th)





เอไอทีเจอวิกฤติการเงิน คุณภาพนักศึกษาตก

นายวิโรจน์ คลังบุญครอง นายกสมาคมศิษย์เก่า สถาบันเอไอที เผยขณะนี้สถาบันเอไอทีมีปัญรุมเร้า ทั้งด้านการเงิน คุณภาพการศึกษา ตลอดจนการบริหารจัดการ ที่ไม่เป็นมืออาชีพ คนไทยถูกลดบทบาทในสถาบัน ทั้งที่ประเทศไทย เป็นผู้สนับสนุนเงินมากที่สุด โดยมีการระบุว่าผู้บริหารคนปัจจุบันซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส ได้เข้ามาปรับเปลี่ยนกฎระเบียบภายในสถาบันที่มีแนวโน้มเป็นเผด็จการ รวบอำนาจไว้ที่ตัวคนเดียว นายวิโรจน์ ยังกล่าวด้วยว่า ปัญหาเรื่องมาตรฐานการศึกษาซึ่งมองว่าในระยะหลัง ที่สถาบันจำเป็นต้องรับนักศึกษาเข้าในวงกว้างมากขึ้น เนื่องจากเกิดภาวะกดดันทางการเงิน ทำให้คุณภาพของนักศึกษาลดลง การกำหนดเกรดเฉลี่ยของนักศึกษาต่ำลง รุ่นหลังๆ ได้เกรด 2.6 ก็เข้าได้แล้ว และที่น่าสังเกตนักศึกษาระดับหัวกะทิจากจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ ที่เข้าเรียนต่อกับเอไอทีมีอัตราลดลง จากเดิมที่มีนักศึกษาในระดับหัวกะทิเข้ามาเรียนเอไอทีจำนวนมาก เมื่อวันที่ 10 พ.ย. นี้ที่สถาบันเอไอทีได้มีการพิจารณาคัดเลือกตัวอธิการบดีคนใหม่ คาดว่าจะทราบผลภายในวันเดียวกัน (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 11 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





มอ.ปัตตานีระส่ำ นักศึกษา-อาจารย์ย้ายอื้อ ผู้บริหารเร่งเจรจาให้อยู่ต่อ

ผศ.ดร.วรวิทย์ บารู รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานักศึกษาและชุมชน มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (มอ.) ปัตตานี เปิดเผยว่า จากการรวบรวมตัวเลขนักศึกษาที่ไม่ประสงค์จะศึกษาต่อที่ มอ.ปัตตานี พบว่าหลังจากที่ทางมหาวิทยาลัยดำเนินมาตรการต่างๆ ในการสร้างความมั่นใจให้กับนักศึกษาและผู้ปกครอง ตั้งแต่วันเปิดเรียนเทอม 2 ของปีการศึกษา 2547 ล่าสุดมีนักศึกษาขอลาออกอย่างเป็นทางการ 15 คน ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาชั้นปี 1 เมื่อรวมตัวเลขตั้งแต่มิถุนายนที่ผ่านมา มีนักศึกษาลาออก ไม่ลงทะเบียน โอนย้ายไปเรียนสถาบันการศึกษาอื่น รวมประมาณ 141 คน อาจารย์ขอโอนย้ายแล้ว 23 ราย (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 12 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมฯ อบรม “สัทศาสตร์ปฏิบัติเพื่อการออกเสียงที่ดีกว่า”

รศ.ดร.อมร ทวีศักดิ์ สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ในสถานการณ์ของโลกยุคปัจจุบัน ภาษาอังกฤษเป็นเครื่องมือสื่อสารที่สำคัญอย่างยิ่ง การเตรียมความพร้อมด้านภาษาอังกฤษให้กับผู้เรียนในระดับต่างๆ จึงถือเป็นความจำเป็นเร่งด่วนอย่างหนึ่งสำหรับระบบการศึกษาไทยในปัจจุบัน และปัญหาหนึ่งที่ผู้เรียนชาวไทยประสบอยู่ประจำคือ การออกเสียงโดยใช้ท่วงทำนอง การเน้นเสียง เสียงพยัญชนะ และสระของภาษาไทยเข้าไปทดแทน ส่งผลให้การสื่อสารไม่เป็นไปตามที่ผู้พูดชาวไทยคาดหมาย ฉะนั้นการแก้ปัญหาให้ได้ผลที่สุดคือ การเรียนรู้การใช้ระบบสัทสัญลักษณ์สากล (International Phonetic Alphabet) เพื่อช่วยให้มีพื้นฐานในการออกเสียงได้อย่างถูกต้องจนใกล้เคียงกับเจ้าของภาษา ทั้งในระดับเสียง คำและประโยค จนทำให้สามารถสื่อความหมายได้ตามที่ต้องการ ทางสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมฯ จึงได้จัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ “สัทศาสตร์ปฏิบัติเพื่อการออกเสียงที่ดีกว่า” (Practical Phonetics for Better Pronunciation) ให้กับผู้สนใจทั่วไป ระหว่างวันที่ 23 - 24 ธัน วาคม 2547 ณ อาคารภาษาและวัฒนธรรมสยามบรมราชกุมารี สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา สมัครได้ตั้งแต่บัดนี้ ถึงวันที่ 20 ธันวาคม หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ งานบริการงานวิชาการและกิจการพิเศษ โทร. 0-2800-2301 , 2341 หรือ 0-6568-9895 website: http// www. lc.mahidol.ac.th (สยามรัฐ ศุกร์ที่ 12 พ.ย. 47 http://www.siamrath.co.th)





บิ๊กมหา"ลัยเฮรับงด.ถึงซี11

เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) เปิดเผยว่า นายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ได้ลงนามในกฎกระทรวงว่าด้วยการบริหารบุคคล ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย(ก.ม.) พ.ศ.2547 และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยกฎกระทรวงฉบับนี้เป็นการนำกฎกระทรวงว่าด้วยการบริหารบุคคลของ พ.ร.บ.กม.จำนวน 9 ฉบับมายำรวมกัน เพื่อให้ได้กฎกระทรวงที่เอื้อประโยขน์กับข้าราชการ ก.ม.ทุกคน โดยมีสิ่งที่แตกต่างจากฉบับที่ผ่านๆ มา โดยเฉพาะในเรื่องของผู้ที่ดำรงตำแหน่งทางวิชาการระดับรองศาสตราจารย์(รศ.) ระดับ(ซี) 9 ดำรงตำแหน่งอธิการบดี ซึ่งเดิมสามารถรับเงินเดือนซี 10 ได้ แต่ตามกฎกระทรวงฉบับใหม่หากเงินเดือนซี 10 เต็มขั้นแล้วสามารถขยับขึ้นรับเงินเดือนซี 11 ได้ เช่นเดียวกับ รศ.ซี 9 ที่ดำรงตำแหน่งรองอธิการบดี เมื่อรับเงินเดือนซี 9 เต็มขั้นแล้วสามารถรับเงินเดือนซี 10 ได้ แต่ทั้งนี้ ให้ได้เฉพาะรองอธิการบดีที่เป็นผู้รับเงินประจำตำแหน่งตามกฎหมายว่าด้วยเงินประจำตำแหน่ง คือมีรองอธิการบดีได้ไม่เกิน 5 คน กฎกระทรวงฉบับนี้จะมีผลย้อนหลังไปนับตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2545 และใช้บังคับไปจนกว่าร่าง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา(ก.พ.อ.) จะมีผลบังคับใช้ ซึ่งคาดว่าจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ราววันที่ 12 พฤศจิกายน ซึ่งได้ยกร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการบริหารบุคคลขึ้นมาใหม่ แต่สิทธิประโยชน์ที่ข้าราชการ ก.พ.อ.จะได้รับต้องไม่น้อยกว่าที่กำหนดในกฎกระทรวงฉบับปัจจุบัน (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 12 พ.ย. 47 (ข่าวสด ศุกร์ที่ 12 พ.ย. 47 http://www.matichon.co.th)





น.ศ.จากจีนแลกเรียนเทพสตรี

ผศ.ดร.กวี ศิริโภคาภิรมย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ต้อนรับคณะนักศึกษาจำนวน 13 คน จากมหาวิทยาลัยกุ้ยโจว ประเทศจีน เข้าเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนสู่รั้วมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี เมื่อเร็วๆ นี้ โดยผศ.สุภิตร อนุศาสน์ คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เผยว่า นักศึกษาจากจีนดังกล่าว เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่มาเรียนวัฒนธรรมความเป็นไทยที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี ในช่วงภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2547 ทางเราได้จัดเตรียมหลักสูตรที่เหมาะสมไว้จำนวน 3 หลักสูตร คือ ไทยศึกษา ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร และหลักการมัคคุเทศก์ พร้อมหลักสูตรระยะสั้น อาทิ การรำไทย มารยาทไทย ดนตรีไทย ฯลฯ เพื่อจัดให้นักศึกษาที่มีความสนใจเฉพาะกลุ่มได้ศึกษาตลอดภาคเรียนนี้ นักศึกษากลุ่มนี้ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการเรียนการสอนในโปรแกรมใหม่ที่คณะมนุษย์ฯ ได้จัดขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของผู้ที่สนใจในโปรแกรมวิชาภาษาจีน หวังว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรีจะเป็นศูนย์กลางการจัดการเรียนการสอนภาษาจีนของภาคกลาง (ข่าวสด ศุกร์ที่ 12 พ.ย. 47 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ค่ายวิทย์เยาวชนช้างเผือกซิเมนต์ไทย ส่งเด็กไทยเป็นนักวิทยาศาสตร์ ระดับโลก

เครือซิเมนต์ไทย ร่วมกับสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยมหิดล เปิดค่ายวิทยาศาสตร์เยาวชนช้างเผือกซิเมนต์ไทย ซึ่งจัดเป็นครั้งที่ 15 โดยทำการคัดเลือกนักเรียน ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากทั่วประเทศเกือบ 1,500 คน เหลือเพียง 100 คน ร่วมทำกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์ ที่คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ให้เยาวชนที่มีความสนใจในวิทยาศาสตร์ ได้มีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกันทั้งภาคทฤษฎี, การปฏิบัติในห้องทดลอง และการปฏิบัติทางภาคสนาม เมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมา กิจกรรมทางภาคสนามของกลุ่มเยาวชน ได้ลงพื้นที่ไปสัมผัสกับธรรมชาติจริง ที่โรงเรียนวัดสุวรรณ กิ่งอำเภอศาลายา จังหวัดนครปฐม เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้กลุ่มเด็กนักเรียน มีส่วนร่วมในการเรียนรู้ คิดวิเคราะห์ และหาคำตอบทางวิทยาศาสตร์ กิจกรรมแบ่งการทดลองออกเป็น 3 ประเภท ในการตรวจสอบคุณภาพ ดิน น้ำ และอากาศ เพื่อค้นคว้า และเก็บตัวอย่าง มาทำการทดลองในห้องแล็บ โดยมีวิทยากรที่เป็นอาจารย์และนักศึกษา จากคณะสิ่งแวดล้อมฯ มหาวิทยาลัยมหิดล มีการประเมินผลของเด็กแต่ละคนที่เข้าร่วมโครงการ โดยจะมีการสอบวัดผล ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ในสาขาชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ ของเยาวชนที่ได้ร่วมทำกิจกรรม โดยผู้ที่มีคะแนนสูงสุดในแต่ละสาขาวิชา จะได้รับรางวัลเยาวชนคนเก่ง พร้อมทุนการศึกษาและเกียรติบัตร (ข่าวสด ศุกร์ที่ 12 พ.ย. 47 http://www.matichon.co.th/khaosod)





กระทรวงวิทย์ส่งหัวกะทิไปอินเดีย

นายกร ทัพพะรังสี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า ทางกระทรวงฯ ได้คัดเยาวชนที่มีความเก่งด้านไอทีไทยเพื่อไปเข้ารับการฝึกอบรมที่สถาบันอินโฟซิส ลีดเดอร์ชิป (ไอแอลไอ) เมืองไมซอร์ ประเทศอินเดีย ทั้งหมดเป็นนักเรียนทุนในโครงการความร่วมมือไทย-อินเดีย ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยหวังสร้างบุคลากรต่อยอดองค์ความรู้ ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อแข่งขันในเวทีโลก โดยนักเรียนทุนนี้คัดเลือกจากบัณฑิตมหาวิทยาลัยและบุคคลทั่วไปที่จบทางด้านไอที 700 คน ให้เหลือเพียง 100 คน ซึ่งจะเริ่มเดินทางไปอินเดียในวันที่ 20 พ.ย. นี้ และเดินทางกลับในเดือน มี.ค. 2548 โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายในการสร้างบุคลากร โดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ภายใน 5 ปี จะสร้างคนทางด้านวิจัยให้ได้อย่างน้อย 5 คนต่อประชากร 10,000 คน และภายใน 10 ปี จะสร้างให้ได้อย่างน้อย 10 คนต่อประชากร 10,000 ผู้ที่เรียนจบกลับมาแล้วหวังจะนำความรู้มาพัฒนาการทำงานในหน่วยงานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 13 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


ยกอิสราเอลต้นแบบใช้น้ำไทยอย่าปล่อยปัญหาจนยากเกินแก้

ดร.อิสราเอล เกฟ และ นายดูบี เซกาล ผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำของประเทศอิสราเอล พูดถึง "การจัดการทรัพยากรน้ำ" โดยเฉพาะ มาตรการแก้ปัญหา การขาดแคลนน้ำ ที่คาดว่า จะเกิดขึ้นในอนาคต ว่า หลังจากอิสราเอลได้พัฒนา ระบบส่งน้ำแบบครอบคลุมโครงข่าย ช่วยให้ สามารถรับมือกับภาวะน้ำ ที่มีจำกัดได้แล้ว แต่ด้วยทรัพยากรน้ำในประเทศที่มีจำกัด จึงต้องเสาะหาแหล่งน้ำใหม่อยู่ตลอด โดยแนวทางแก้ปัญหาการขาด แคลนน้ำแบบใหม่ที่ผู้เชี่ยวชาญ มองเห็นในขณะนี้มุ่งไปที่...1. การใช้น้ำส่วนเกินจากฤดูหนาว 2. การนำน้ำเน่าเสียจากบ้านเรือน โรงงานอุตสาหกรรม โรงแรม กลับมาใช้ใหม่ 3. การทำน้ำจืดจากน้ำเค็ม 4. การเพิ่มปริมาณน้ำฝน (การทำฝนเทียม) และสุดท้ายคือ การอนุรักษ์ ซึ่งประการหลังนี้ ดูจะเป็นวิธีขยายแหล่งน้ำที่ยั่งยืนที่สุด การที่ประเทศอิสราเอล จัดการทรัพยากรน้ำ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะทุกส่วนภาคร่วมกัน วางมาตรการใช้น้ำ ไม่ว่าจะเป็นภาคการเกษตร ที่นำระบบน้ำหยด มาใช้ช่วยลดการสูญเสียได้ถึง 20% ภาคอุตสาหกรรมใช้เครื่องมือพิเศษ เพื่อนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ และเครื่องบำบัดน้ำเสีย ที่มีประสิทธิภาพ ส่วนรัฐบาลท้องถิ่นก็ช่วยกันโดยเน้น ไปที่การปรับปรุงการจัดการ อย่างมีประสิทธิภาพ ซ่อมแซม ควบคุมและตรวจสอบระบบน้ำอยู่เสมอ และมีการรณรงค์ให้ประชาชน ประหยัดน้ำอย่างต่อเนื่อง (ไทยรัฐ พุธที่ 10 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)





พบทุ่งหลุมบ่ออุกกาบาตใหญ่บนโลก ซุกซ่อนอยู่ใต้ทะเลทรายสฮารา

วารสารวิทยาศาสตร์ "นิว ไซเอนติสต์" ได้เปิดเผยว่า ได้มีการสำรวจพบทุ่งหลุมบ่อที่เกิดจากห่าอุกกาบาตใหญ่ที่สุดของโลก ที่ใต้ทะเลทรายสฮารา บางส่วนอยู่ในเขตแดนของอียิปต์ นับเป็นหลักฐานอันแรกที่แสดงว่า โลกก็เคยโดนถล่มด้วยห่าอุกกาบาต ในประวัติศาสตร์เมื่อไม่นานมานี้เช่นกัน ผู้สำรวจพบคือนายฟิลิป เปลลู แห่งหอดูดาวมหาวิทยาลัยบอร์กโด ของฝรั่งเศส ได้สังเกตพบลักษณะร่องรอยทางธรณีวิทยา ที่มีสัณฐานเป็นวงกลม ในทะเลทรายสฮาราแต่เมื่อปีกลาย ขณะที่ตรวจวิเคราะห์ภาพถ่ายด้วยคลื่นเรดาร์จากดาวเทียม จากการสำรวจทางภาคพื้นดินในเวลาต่อมา ทำให้พบทุ่งหลุมบ่ออุกกาบาตจำนวน 100 หลุม กระจายอยู่ในพื้นที่กว้าง 5,000 กว่า ตร.กม. มีขนาดโตตั้งแต่ 20 เมตร ไปจนถึง 2 กม. จากการสำรวจยังทำให้ทราบว่าอุกกาบาตต้นตอคงจะมีเพียง 2 ลูก หากแต่ได้แตกออกเป็นลูกเล็กลูกน้อยหลายลูกก่อนตกกระแทกพื้น เขากับผู้เชี่ยวชาญคนอื่นประมาณว่า ปรากฏการณ์ครั้งนั้นคงเกิดเมื่อสัก 50 ล้านปีมาแล้ว. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 11 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)





ใช้เอกซเรย์ตรวจคนเข้าประเทศเห็นลอดเสื้อผ้าสวมใส่ถึงเนื้อตัว

ทางการอังกฤษได้นำเครื่องตรวจค้นด้วยเอกซเรย์ตรวจหาอาวุธ ซึ่งสามารถมองเห็นลอดเสื้อผ้าคนเข้าไปถึงเนื้อตัวได้ เข้าติดตั้งประจำการไว้ที่ท่าอากาศยานสากลฮีทโธรว์ ประตูการเดินทางทางอากาศเข้าสู่มหานครลอนดอนแล้ว พนักงานประจำเครื่องจะสามารถตรวจพบอาวุธ หรือวัตถุระเบิดที่แอบพกติดตัวได้ทันที เนื่องจากรังสีเอกซเรย์ถูกฉายไปกระทบถึงเนื้อตัว แม้ว่าภาพที่มองเห็นจะเป็นเพียงภาพขาวดำ แต่ก็ยังมีคนอดหวงแหนในความเป็นส่วนตัวของตนเองไม่ได้ ทำให้ทางการสหรัฐฯยังไม่กล้าจะนำออกใช้ และกำลังพยายามปรับปรุงแก้ไขเครื่อง เพื่อมิให้กระทบกระเทือนจิตใจสาธารณชน ขณะนี้ ยังแค่เพียงขอตรวจผู้โดยสาร ด้วยกล้องเอกซเรย์โดยการเลือกสุ่มไปก่อน หรือไม่ก็ด้วยความสมัครใจของเจ้าตัวเอง หรือบางคนจะขอให้เจ้าหน้าที่ตรวจค้นด้วยตัวเองก็ได้ แต่ แจ้งว่าจะทดลองใช้เครื่องตรวจนี้ที่อาคาร 4 ของท่าอากาศยานขึ้นเป็นที่แรกไปจนกว่าจะถึงสิ้นปี ถ้าหากว่าได้ผลดีก็จะนำเข้าติดตั้งประจำการ ไว้ตามสนามบินในประเทศให้ครบทุกแห่งต่อไป ด้านเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรู้สึกจะพอใจในผลงานอย่างมาก โดยกล่าวว่า เป็นวิธีป้องกันผู้ก่อการร้ายอย่างได้ผลดี เพราะสามารถตรวจเห็นรูปเค้าราง ของวัตถุไม่เพียงแต่ที่ทำด้วยโลหะเท่านั้น หากยังรวมทั้งวัตถุที่เป็นของแข็งอย่างอื่นด้วย (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 11 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)





ภาวะโลกร้อนทำกะปิขาดแคลน

ภาวะโลกร้อนได้ส่งผลให้น้ำแข็งในขั้วโลกใต้แถบทวีปแอนตาร์กติกละลาย ส่งผลต่อจำนวนกุ้งเล็กที่เป็นอาหารของสัตว์ทะเลลดลงกว่าร้อยละ 80 ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วกุ้งเคยมักจะหากินตามสาหร่ายใต้ธารน้ำแข็งในมหาสมุทร แต่พออุณหภูมิที่สูงขึ้นต่อเนื่องกว่า 50 ปี ทำให้จำนวนของน้ำแข็งและกุ้งเคยลดลงไปมาก อุณหภูมิอากาศบริเวณคาบสมุทรแอนตาร์กติก เป็นถือว่ากุญแจสำคัญที่มีผลต่อการขยายพันธุ์ของกุ้งเคย โดยในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิสูงขึ้นกว่า 2.5 องศาเซลเซียส นักวิจัย กล่าวว่า พวกเขาได้ค้นพบความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างสภาพน้ำแข็งกับการขยายพันธุ์และความอุดมสมบูรณ์ของกุ้งเคย โดยปัจจุบันมีปริมาณกุ้งเคยเหลือเพียง 1 ใน 5 เท่านั้นจากที่มีอยู่เมื่อ 30 ปีก่อน ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์มาก และเป็นห่วงโซ่อาหารของสัตวที่ใช้ชีวิตอยู่ในแถบนั้น กุ้งเคยในยุคก่อนมีความยาว 6 เซนติเมตร หากินเป็นฝูง และเป็นห่วงโซ่อาหารสำคัญ โดยมันจะหากินตามไซโตแพลงตอนและสาหร่ายทะเล ในท้ายที่สุดมันก็ถูกกินโดย พวกปลาทะล ปลาหมึก นกทะเล วาฬ แมวน้ำ และเพนกวินบางชนิด ปริมาณของกุ้งเคยที่ลดลงนี้ได้ส่งผลถึงจำนวนนกเพนกวินแล้ว (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 11 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)





สร้างโครงข่ายเน็ตทั่วประเทศคืบหน้าไปได้แล้ว 16 จังหวัด

บมจ.ทศท สานนโยบายรัฐยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยติดต่อสื่อสารตามโครงการ "ไทยก้าวไกล หัวใจใส่เน็ต" ตั้งเป้าสร้างโครงข่าย 6,500 ตำบลทั่วประเทศ ดำเนินการแล้วใน 16 จังหวัด นายชูศักดิ์ กนะกาศัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ภาคปฏิบัติการบริหารภูมิภาคที่ 2 บริษัท ทศท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รายงานโครงการจัดอบรมอินเตอร์เน็ตชุมชนและอินเตอร์เน็ตเยาวชนว่า โครงการดังกล่าวสนองนโยบายรัฐบาลและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) สนับสนุนให้คนไทยทั่วประเทศรู้จักการใช้คอมพิวเตอร์และการอินเตอร์เน็ต เพื่อเสริมสร้างทักษะและลดช่องว่างการสื่อสารเทคโนโลยี ระหว่างคนเมืองกับคนในชนบทอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ หลักของประเทศในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ทัดเทียมกัน และสามารถเชื่อมโยงกับประเทศต่างๆ (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 12 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)





นาซาทดสอบสุดยอดอากาศยาน

"สแครมเจ็ต" (Scramjet) เป็นเครื่องยนต์ความเร็วสูงที่สามารถนำเครื่องบินจากซานฟรานซิสโกไปยังกรุงวอชิงตัน ดีซี ในเวลาเพียง 20 นาที หรือเร็วกว่านั้น แถมยังสามารถนำดาวเทียมไปวางไว้ในอวกาศได้อีกด้วย ไม่นับรวมการทิ้งจรวดนำวิถีไปยังฝ่ายตรงข้ามได้เร็วเหมือนดั่งลูกกระสุนจากปืนไรเฟิล องค์การบริหารการบินและอวกาศ สหรัฐ (นาซา) มีแผนจะทำลายสถิติความเร็วของอากาศยานในสัปดาห์หน้า ด้วยการทดสอบเที่ยวบินของเอ็กซ์-43เอ ซึ่งใช้เครื่องยนต์สแครมเจ็ต ที่ระดับความสูง 110,000 ฟุต เหนือมหาสมุทรแปซิฟิก ความเร็วกำหนดไว้ที่ 10 มัค หรือราว 11,600 กิโลเมตรชั่วโมง หรือ 10 เท่าของความเร็วเสียง เครื่องยนต์ชนิดใหม่นี้จากจรวดที่ต้องบรรทุกออกซิเจนติดไปด้วย เพื่อให้เป็น "คอมบัสเตอร์" หรือตัวจุดระเบิดให้เกิดการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ แต่สแครมเจ็ตจะดูดออกซิเจนจากชั้นบรรยากาศมาใช้แทน ช่วยลดภาระน้ำหนักของเครื่องบินลง ซึ่งเป็นสิ่งที่นักวิจัยทั่วโลกให้ความสนใจอย่างมาก การทดสอบเที่ยวบินในสัปดาห์หน้าเป็นการทดสอบครั้งที่ 3 และกำหนดความเร็วที่ 10 มัค ซึ่งหากทำได้ก็จะเป็นระดับความเร็วสูงสุดของโลก โดยหลังจากถูกปล่อยออกห่างจากชายฝั่งแคลิฟอร์เนียราว 80 กิโลเมตร เครื่องบินบี-52 ที่ติดกับเอ็กซ์-43เอจะถูกปล่อยลงในที่ความสูง 40,000 ฟุต จากนั้นตัวส่งจรวดจะจุดระเบิดเพื่อผลักให้เอ็กซ์-43เอ วิ่งที่ความเร็ว 10 มัค ความสูง 110,000 ฟุต จากนั้นตัวควบคุมจะเผาลูกสูบขนาดเล็ก 2 ตัว เพื่อขับจรวดทิ้งทะเล และเปิดท่อรับอากาศ เพื่อรับออกซิเจนในชั้นบรรยากาศเข้ามา ทั้งนี้ สแครมเจ็ตทำงานในหลักการเดียวกับเครื่องยนต์เจ็ต โดยจะจุดระเบิดเชื้อเพลิงในอากาศที่ถูกอัดเข้ามา ผ่านทางเทอร์โบเจ็ตมาตรฐานที่ใช้ใบพัดเป็นตัวอัดอากาศ ทำให้มีอากาศมีความดันสูง ดังนั้น เมื่อจุดระเบิดก็จะเกิดแรงผลักขับให้เครื่องบินเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 12 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





รม.จับมือญี่ปุ่นพัฒนาการพิมพ์

สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลผนึกกำลังสมาคมด้านการพิมพ์ญี่ปุ่น เร่งพัฒนาบุคลากรและการเรียนการสอนด้านการพิมพ์ อธิการบดีปลื้มญี่ปุ่นให้แปลตำราการพิมพ์เป็นภาษาไทยโดยไม่คิดค่าลิขสิทธิ์ ผศ.ดร.นำยุทธ สงค์ธนาพิทักษ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล (รม.) เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายและยุทธศาสตร์ให้ไทยเป็นศูนย์กลางการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์กระดาษในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ของรัฐบาล ทาง รม. และสมาคมส่งเสริมวิชาการพิมพ์ จึงได้รับความร่วมมือจากสมาคมด้านการพิมพ์ที่เป็นที่ยอมรับและมีชื่อเสียงด้านการพิมพ์ของญี่ปุ่นคือ Japan Association of Geaphic Arts Technology และ Japan Printing Academy ในการพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางด้านการพิมพ์ ให้ก้าวไปสู่ระดับมาตรฐานสากล โดยจะจัดการอบรม-สัมมนาดูงานทั้งในระดับช่างและระดับผู้บริหาร ทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทั้งสองสมาคมด้านการพิมพ์ของประเทศญี่ปุ่น จะจัดส่งผู้เชี่ยวชาญมาเป็นวิทยากรถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่ๆ อีกทั้งให้ความร่วมมือด้านการศึกษาควบคู่ไปกับการผลิตตำราการพิมพ์ โดยแปลเป็นภาษาไทยจากตำราการพิมพ์ของสมาคมญี่ปุ่นออกมาเผยแพร่ โดยไม่คิดค่าลิขสิทธิ์ (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 13 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)





สุดยอดอากาศยานบินเหนือเสียง

"สแครมเจ็ต" (Scramjet) เครื่องยนต์ความเร็วสูงที่สามารถนำเครื่องบินจากตะวันออกไปยังตะวันตกของสหรัฐได้ในเวลาเพียง 20 นาที หรือเร็วกว่านั้น ยังสามารถนำดาวเทียมไปวางไว้ในอวกาศได้อีกด้วย องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ สหรัฐ (นาซ่า) มีแผนจะทำลายสถิติความเร็วของอากาศยาน ด้วยการทดสอบเที่ยวบินของเอ็กซ์-43 เอ ซึ่งใช้เครื่องยนต์สแครมเจ็ต ที่ระดับความสูง 110,000 ฟุต เหนือมหาสมุทรแปซิฟิก ความเร็วกำหนดไว้ที่ 10 มัค หรือราว 11,600 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือเร็วกว่าเสียง 10 เท่า เครื่องยนต์ดูดอากาศดังกล่าว ต่างจากจรวดที่ต้องบรรทุกออกซิเจนติดไปด้วยเพื่อให้เป็นตัวจุดระเบิดให้เกิดการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ แต่สแครมเจ็ตจะดึงออกซิเจนจากชั้นบรรยากาศมาใช้แทน ทำให้น้ำหนักของเครื่องบินลดลง ซึ่งเป็นสิ่งที่นักวิจัยทั่วโลกกำลังต้องการอย่างมาก จากการทดสอบในครั้งที่สองเมื่อวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา ทีมงานสามารถทำความเร็วได้ 6.83 มัค (8,368 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ทำลายสถิติโลกได้ สำหรับการทดสอบเที่ยวบินในครั้งที่สาม หากท้องฟ้าอำนวยจะเริ่มในบ่ายวันนี้ตามเวลาในสหรัฐ กำหนดความเร็วที่ 10 มัค ซึ่งหากทำได้ก็จะเป็นระดับความเร็วสูงสุดของโลก โดยหลังจากถูกปล่อยออกห่างจากชายฝั่งแคลิฟอร์เนียราว 80 กิโลเมตร เอ็กซ์-43 เอ จะเกาะอยู่กับปีกของเครื่องบินบี 52 จนถึงควบสูง 40,000 ฟุต จากนั้นตัวส่งจรวดจะจุดระเบิดเพื่อผลักให้เอ็กซ์-43 เอ วิ่งที่ความเร็ว 10 มัค ความสูง 110,000 ฟุต สแครมเจ็ตทำงานในหลักการเดียวกับเครื่องยนต์เจ็ต โดยจะจุดระเบิดเชื้อเพลิงในอากาศที่ถูกอัดเข้ามา ผ่านทางเทอร์โบเจ็ตมาตรฐานที่ใช้ใบพัดเป็นตัวอัดอากาศ ทำให้อากาศมีความดันสูง ดังนั้นเมื่อจุดระเบิดก็จะเกิดแรงผลักขับให้เครื่องบินเคลื่อนไปข้างหน้า (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 13 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)





ข่าววิจัย/พัฒนา


ไทย-ญี่ปุ่นจดสิทธิบัตรวิจัย "วัคซีนเอดส์"

น.พ.ไพจิตร วราชิต อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการศึกษาวิจัยพัฒนาวัคซีน HIV สายพันธุ์ E ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุขไทยกับประเทศญี่ปุ่น และก่อนหน้านี้ มีปัญหาในเรื่องของการจดสิทธิบัตร เนื่องจากญี่ปุ่นได้ไปดำเนินการจดสิทธิบัตรเป็นเจ้าของผลงานวิจัยดังกล่าว ไว้ในหลายประเทศว่า เนื่องจากโครงการวิจัยดังกล่าวเป็นความร่วมมือของ 2 ประเทศ ไทยเราจึงได้ทำหนังสือถึงญี่ปุ่นให้ ทบทวนเรื่องการจดสิทธิบัตรที่ไทย ควรจะมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของผลงานวิจัยชุดนี้ ด้วย ซึ่งล่าสุดญี่ปุ่นตกลงให้มีการลงนามเป็นเจ้าของสิทธิบัตรร่วมกันแล้ว เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2547 ที่ผ่านมา ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการเจรจา เพื่อจัดทำรายละเอียดของสัญญาในโครงการวิจัยดังกล่าว รวมทั้งรายละเอียดของการแบ่งผลประโยชน์แยกตามสิทธิบัตร สำหรับแนวทางการจัดสรรผลประโยชน์ตามสิทธิบัตร อาจจะเป็นกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 50 ญี่ปุ่น 50 โดยสัดส่วนของผลประโยชน์ที่ลงนามในข้อตกลงสัญญาคู่ จะเป็นตัวกำหนดอัตราการจ่ายค่าธรรมเนียมสิทธิบัตรที่มีการจดไว้ในประเทศต่างๆด้วย "ต้องยอมรับว่าโครงการวิจัยนี้เป็นโครงการที่ลงทุนค่อนข้างสูง กว่าที่จะสำเร็จหรือสิ้นสุดโครงการ ที่สำคัญเมื่อทดลองวิจัยไปแล้วก็ยังไม่แน่ว่าผลที่ออกมาจะคุ้มค่ากับที่ลงทุนไปหรือไม่" น.พ.ไพจิตรกล่าวและว่า ขณะนี้ ขั้นตอนของการวิจัยอยู่ระหว่างการรอผลสุดท้ายของการทดสอบในลิง เพื่อดูประสิทธิผลว่าวัคซีนที่ทดลองสามารถป้องกันเชื้อเอชไอวีในลิงได้หรือไม่ หลังจากที่ผลการทดลองในหนูพบว่าหนูมีภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสเอชไอวี โดยผลการทดลองในลิงจะออกประมาณเดือน ก.พ. 48 จากนั้นก็ต้องมาดูว่าจะทดลองในคนต่อหรือไม่ ซึ่งถ้าทดลองในคนก็อาจจะต้องใช้เวลาดูผลของวัคซีนอย่างน้อย 5 ปี ทั้งนี้ หลังจากที่ผลการทดลองในลิงสรุปออกมาแล้ว ตนคิดว่าน่าจะจัดให้มีการประชุมระดับนานาชาติ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและหาผู้ร่วมทุนวิจัยเพิ่ม ซึ่งที่ผ่านมาโครงการนี้ใช้เงินไปแล้วประมาณ 20-25 ล้านเหรียญสหรัฐฯหรือประมาณเกือบ 100 ล้านบาท (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 8 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)





สมุนไพรบำบัดโรคผึ้ง งานวิจัยยกระดับน้ำผึ้งเลี้ยง

ดร.ภาณุวรรณ จันทวรรณกูร ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ "ศึกษาโรคที่เกิดจากแบคทีเรียและเชื้อราในผึ้งพันธุ์และผึ้งโพรง และการใช้สารสกัดจากธรรมชาติในการบำบัด" โดยได้รับทุนวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ดร.ภาณุวรรณ กล่าวว่า ปัญหาที่ต้องรีบแก้ไข สำหรับอุตสาหกรรมเลี้ยงผึ้งขณะนี้ ก็คือการระบาดของโรคที่เกิดจากจุลินทรีย์ เช่น โรคจากเชื้อราชอล์คบรูด, โรคจากแบคทีเรีย เช่น โรคตัวอ่อนเน่า และโรคตัวอ่อนเน่ายูโรเปียน เนื่อง จากโรคเหล่านี้ทำให้ตัวอ่อนผึ้งตาย อีกทั้งการแพร่ระบาดก็รวดเร็วด้วย การแก้ปัญหาที่ผ่านมาของเกษตรทั่วโลก จะใช้วิธีบำบัดและควบคุมโรคโดยใช้สารปฏิชีวนะ แต่ทำให้มีสารตกค้างในน้ำผึ้ง จนเป็นชนวนเหตุ ให้มีการกีดกันทางการค้าตามมา ในปี 2545 น้ำผึ้งจากประเทศจีนถูกห้ามส่งออก เนื่องจากทาง Food Standard Agency ตรวจพบสารปฏิชีวนะในน้ำผึ้ง สารปฏิชีวนะยังทำให้จุลินทรีย์บางชนิดต้านทานยาปฏิชีวนะด้วย ผู้วิจัยจึงได้ ศึกษาสารสกัดธรรมชาติ มาใช้เป็นทางเลือกในการควบคุมโรคผึ้งและไม่ทำให้เกิดสารตกค้าง โดยหา สารสกัดธรรมชาติตัวใหม่ที่ต้านทานจุลินทรีย์ทำให้เกิดโรค โดยทำการสำรวจโรคในตัวอ่อนผึ้งแถบภาคเหนือตอนบน และนำมาแยกเชื้อในห้องปฏิบัติการ จากนั้นนำตัวอย่างเชื้อก่อโรคที่แยก ได้มาทดสอบกับสารสกัดสมุนไพรเพื่อหาสารออกฤทธิ์ โดยพบว่า สารสกัดชะเอมและกานพลูสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้ ขณะที่สารสกัดอบเชยและพลูออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อราได้ดีที่สุด ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนดำเนินการ ทดสอบประสิทธิภาพ หากได้ผลจริงเหมือนในห้องทดลอง จะช่วยเพิ่มผลผลิตและรายได้ให้เกษตรกรเท่านั้น ยังส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ผึ้งไทย มาตรฐานทัดเทียมนานาประเทศด้วย อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการเลี้ยง ลดการบุกรุกทำลายรังผึ้งป่า ลงได้อีกด้วย ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.0-5394-3346 (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 8 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)





เครื่องตัดเสาเข็มหนึ่งเดียวในไทย มจธ.พัฒนามุ่งรักษาชีวิตคนงาน

นายสิริศักดิ์ ดุษฎีวนิช นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และกลุ่มเพื่อนประกอบด้วยนายพรรษวัฒน์ หลิมสกุล นายภานุมาส ศุภกุล โดยมี รศ.วีระชัย แก่นทรัพย์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ร่วมกันประดิษฐ์ "เครื่องตัดเสาเข็ม" ซึ่งนับเป็นชนิดแรกหรือรุ่นแรกในไทยหรืออาจจะในโลกก็ได้ ควบคุมด้วยรีโมตแทนแรงงานคน ระบุลดบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเศษใบมีดแตกกระเด็นถูกร่างกาย เครื่องตัดเสาเข็มที่ประดิษฐ์ขึ้นนี้ สามารถตัดเสาเข็มขนาดไม่เกิน 30x30 ตร.ซม. โดยป้อนคมใบตัดลึกไม่เกิน 6 ซม. ใช้รีโมตคอนโทรลควบคุมการทำงาน ซึ่งแตกต่างจากที่เคยใช้วิธีตัดเสาเข็มแบบเก่าคือ ตัวเราเองไม่ต้องลงไปตัดเสาเข็มให้เสี่ยงต่ออันตรายจากฝุ่น และใบตัดที่แตก เพียงแค่ใช้รีโมตคอนโทรลควบคุมเท่านั้น จึงลดปัญหาการเกิดอุบัติเหตุ ลดผลกระทบต่อสุขภาพคนงาน อีกทั้งเครื่องนี้ยังช่วยลดระยะทำงานเหลือประมาณ 20 นาทีจากวิธีตัดแบบเก่าที่ใช้เวลาประมาณ 30 นาที สำหรับการทำงานของเครื่องตัดเสาเข็ม จะประกอบติดกับเสา และปรับระดับการป้อนความลึกของใบตัดด้วยสกรู จากนั้นเครื่องจะเคลื่อนที่อัตโนมัติด้วยเกียร์มอเตอร์ เมื่อตัดใบลวดอันแรกขาดแล้ว จึงนำค้อนทุบเพื่อหักเสาเข็ม วัสดุที่ใช้ในการประกอบตัวเครื่องจะเป็นวัสดุที่ขายทั่วไป ซึ่งง่ายในกรณีเกิดการชำรุดและต้องเปลี่ยนวัสดุประกอบใหม่ ผลงานเครื่องตัดเสาเข็มของ นักศึกษา มจธ. ได้รับรางวัลที่ 1 โครงการรางวัลนวัตกรรมแห่งประเทศไทย สาขาวิศวกรรมและเทคโนโลยี จากงานไทยแลนด์ อินโนเวชั่น อวอร์ด ครั้งที่ 4 จากผู้เข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 51 ทีม ซึ่งจัดโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 8 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





พลังงานจับมือดัชต์พัฒนา “โซลาเซลล์”เครื่องยนต์เอ็นจีวี

นายเชิดพงษ์ สิริวิชช์ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า หลังจากได้หารือกับคณะทูตและนักธุรกิจด้านพลังงานจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ในการสัมมนา แลกเปลี่ยนความรู้ด้านพลังงาน ในโอกาสฉลองวาระครบรอบ 400 ปี สัมพันธ์ไมตรีระหว่างไทย - เนเธอร์แลนด์ที่ผ่านมาเมื่อเร็วนี้ ทางประเทศเนเธอร์แลนด์พร้อมที่ร่วมมือกับประเทศไทย ในการศึกษาและพัฒนาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ การผลิตโซล่าร์ เซลล์ขณะที่นักธุรกิจจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้ยืนยันที่จะพัฒนาและร่วมลงทุนกับประเทศไทย ในด้านการใช้ก๊าซธรรมชาติในเครื่องยนต์ โดยเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ ที่เป็นเครื่องยนต์ที่ใช้ทดแทนเครื่องยนต์ดีเซล โดยการใช้ก๊าซธรรมชาติได้ทันทีซึ่งจะได้มีการปรับใช้ในหัวรถจักรรถไฟ และรถยนต์ทั่วๆ ไป ในอนาคต นอกจากนี้ยังได้มีการหารือถึง การใช้พลังงานทดแทน และการจัดการระบบคมนาคมขนส่ง ซึ่งประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นประเทศที่ถือได้ว่ามีการจัดการด้านการขนส่งคนและขนส่งสินค้า โดยการประหยัดการใช้พลังงานได้สูงสุด และยังเป็นประเทศที่มีการให้ความสำคัญในการวิจัย และการพัฒนาทางด้านพลังงานทดแทนอย่างจริงจัง ด้านนายคลิสต์ตอฟ อิงกลิง กรรมการผู้จัดการ บริษัทเชลล์ โซล่าร์ (สิงคโปร์) จำกัด กล่าวว่า ประเทศไทยจะเป็นตลาดใหญ่ของประเทศในแถบเอเชียแปซิฟิก ที่มีโอกาสสูงทางด้านการลงทุนในธุรกิจ โซล่าร์ เซลล์ เนื่องจากเป็นประเทศที่อยู่ในเขตร้อน มีแสงแดดตลอดทั้งปี ระบบสายส่งที่พร้อม และที่สำคัญรัฐบาลได้ให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง (สยามรัฐ จันทร์ที่ 8 พ.ย. 47 http://www.siamrath.co.th)





เก้าอี้เคลื่อนที่เพื่อคนพิการ โครงงานคอมพิวเตอร์จากใจอาทร

สุวภา ทองพงษ์เนียม(ปุ๋ย) และพรพิมล พันแก้ว (น้อย) นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนเนินมะปรางศึกษาวิทยา อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก สองสาวที่ได้แรงบันดาลใจจากความเอื้ออาทรต่อคนพิการ จึงได้คิดทำโครงงานคอมพิวเตอร์ “เก้าอี้เคลื่อนที่เพื่อคนพิการ” ขึ้น โดยมีอาจารย์อานนท์ มากมี เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ใช้เวลาประมาณ 2 เดือนในการจัดทำ โดยสร้างจาก “วัสดุเหลือใช้” แล้วทั้งสิ้น อาทิ เก้าอี้คอมพิวเตอร์เก่าในโรงเรียนโครงเหล็กและล้อรถตัดหญ้า โซ่รถมอเตอร์ไซค์จากร้านขายของเก่า มอเตอร์ที่ใช้เป็นมอเตอร์ปัดน้ำฝนของรถยนต์จากร้านขายของเก่าเช่นกัน ตัวควบคุมหรือไมโครคอนโทรลเลอร์ของโรงเรียนมีอยู่แล้ว ส่วนแบตเตอรี่นั้นซื้อใหม่ สนนราคาของเก้าอี้เคลื่อนที่หากทำจากของใหม่ทั้งหมดจะตกอยู่ที่ประมาณ 3,000 บาท เก้าอี้เคลื่อนที่เพื่อคนพิการ ที่มีกลไกพิเศษ ตรงที่สามารถกดปุ่มให้เก้าอี้เดินหน้า เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาได้โดยไม่ต้องหมุนล้อ โดยอาศัยโปรแกรมภาษาซี ซึ่งจากการทดลองพบว่าเก้าอี้เคลื่อนที่เพื่อคนพิการสามารถเคลื่อนที่ได้จริงตามคำสั่งของผู้ใช้งาน โดยการกดปุ่มบังคับเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา และเดินหน้าค้างไว้ เก้าอี้ก็จะทำงานตามที่ผู้ใช้ต้องการ และถ้าผู้ใช้ต้องการให้หยุดก็เพียงแค่ไม่ต้องกดปุ่มใดเลย และถ้าต้องการจะเลี้ยวกลับหลัง ก็เพียงแค่กดปุ่มเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาปุ่มใดปุ่มหนึ่งค้างไว้ เก้าอี้ก็จะเลี้ยวกลับ 180 องศา เพื่อให้เก้าอี้เคลื่อนตัวไปด้านหลัง โครงงาน “เก้าอี้เคลื่อนที่เพื่อคนพิการ” ได้รางวัลที่ 3 จากการแข่งขันประกวดโครงงานคอมพิวเตอร์ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เนื่องในโอกาสวันสถาปนาของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ครบรอบ 32 ปี (สยามรัฐ จันทร์ที่ 8 พ.ย. 47 http://www.siamrath.co.th)





ราชมงคลจับมือ มช.ผลิตเครื่องมือผ่าตัด

รศ.สิทธิพร บุณยนิตย์ อาจารย์ประจำภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และประสาทศัลยแพทย์ประจำโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เปิดเผยว่า เครื่องสัมผัสสามมิติสุรดา เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับช่วยผ่านตัดทางประสาทศัลยศาสตร์ ทำให้ทำงานได้ง่ายขึ้น ตัวเครื่องแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นฮาร์ดแวร์ ทำหน้าที่เป็นตัวจับยึดศีรษะผู้ป่วย และวัดตำแหน่งภายในสมองผู้ป่วย โดยจะต้องทำงานร่วมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ไรท์ โฮโมกราฟฟี หรือเครื่อง CT SCAN เพื่อถ่ายภาพและวัดระยะทางจากตำแหน่งเป้าหมายที่อยู่ในสมอง กับเสาอ้างอิงที่อยู่บนโครงเครื่องมือ ที่ออกมาเป็นตัวเลข 6 จำนวนด้วยกัน หลังจากนั้นนำไปคำนวณในส่วนของซอฟต์แวร์ โดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จะได้พิกัดเป็นตัวแปร X Y Z ที่จะนำไปล็อกตำแหน่งเป้าหมายเพื่อแทงเข็มลงไปในสมองได้ถูกจุด แม่นยำ เครื่องมือนี้สามารถนำไปใช้ได้ในกรณี การตัดชิ้นเนื้อออกมาตรวจ ซึ่งส่วนมากชิ้นเนื้อที่ตัดออกมาตรวจนั้นจะมีขนาดประมาณ 1x3 มิลลิเมตร เครื่องนี้จะช่วยให้แทงเข้มเข้าไปได้ถูกจุด ไม่ว่าจะเป็นการเจาะดูดถุงน้ำ หรือเจาะฝีในสมอง นอกจากนั้นในการผ่าตัดเนื้องอกในสมอง เครื่องมือนี้จะช่วยให้เข้าถึงก้อนเนื้อได้อย่างแม่นยำ ตรงและระยะสั้น จะทำอันตรายต่อเนื้อเยื่อของสมองได้น้อยที่สุด ทั้งนี้ เครื่องสัมผัสสามมิติที่เป็นเครื่องต้นแบบจากต่างประเทศมีราคาถึง 7 ล้านบาท แต่ถ้าเป็นเครื่องที่ผลิตโดยฝีมือคนไทยนี้มีราคาเพียง 1 ล้านบาทเท่านั้น นอกจากนี้ได้ร่วมกับราชมงคลประดิษฐ์เครื่องดึงรั้งสมอง ซึ่งจากการทดลองใช้ในโรงพยาบาลหลายแห่งทั้งที่เชียงใหม่และ กทม. ปรากฏว่าใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผศ.วัชรินทร์ สิทธิเจริญ อาจารย์ประจำภาควิชาช่างกลโรงงาน สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตภาคพายัพ ผู้รับผิดชอบผลิตเครื่องสัมผัสสามมิติ ในส่วนฮาร์ดแวร์ ที่เป็นตัวเครื่อง เปิดเผยว่า วัสดุที่นำมาใช้ทำตัวเครื่องแบ่งออกเป็นส่วนที่ทำด้วย อะลูมิเนียม เกรด 6061 มีน้ำหนักเบาและมีราคาถูก เป็นวัสดุหลัก ส่วนต่อมาทำด้วยพลาสติค อะครีลิค และสแตนเลสสตีล ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ในเครื่องมือแพทย์โดยทั่วไป เครื่องดึงรั้งสมองนี้ผลิตโดยจำลองกลไกการใช้งานมาจากเครื่องต้นแบบของต่างประเทศ โดยประดิษฐ์ด้วยวัสดุที่เป็นโลหะเหล็กกล้าไร้สนิททางการแพทย์ ทำให้เครื่องมือมีขนาดเล็กและเบา ถอดประกอบได้ด้วยมือ ใช้งานซ้ำได้ไม่ต้องใช้น้ำมันหล่อลื่น ซึ่งราคาของเครื่องต้นแบบที่นำเข้ามาจากต่างประเทศนั้นมีราคาถึง 5 แสนบาท แต่สำหรับเครื่องที่ผลิตในประเทศไทยนี้มีราคาเพียง 5 หมื่นบาทเท่านั้น (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 8 พ.ย. 47 http://www.matichon.co.th)





ห่อหัวใจด้วยถุงโพลีเอสเตอร์ช่วยเดินเครื่องให้แข็งขันขึ้นได้

การใช้ถุงทอด้วยตาข่ายโพลีเอสเตอร์ห่อหัวใจที่เต้นอ่อนแรงของคนไข้หัวใจวาย กลับช่วยให้หัวใจทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตได้แข็งขันขึ้น และหดตัวเล็กลงเกือบเท่าขนาดปกติได้อย่างปาฏิหาริย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจของวิทยาลัยแพทย์เบย์เลอร์ แห่งสหรัฐฯ หมอดักลาส มานน์ ได้เปิดเผยในที่ประชุมแพทย์โรคหัวใจอเมริกา ที่นครนิวออร์ลีนส์ ว่า จากการทดลองรักษากับคนไข้ที่มีอาการหัวใจวายด้วยเทคนิคใหม่ นี้ จำนวนประมาณ 150 รายเปรียบเทียบกับคนไข้ที่ไม่ได้รักษาด้วยวิธีนี้ พบว่าคนไข้ที่รักษาแบบนี้มีอาการทุเลาขึ้นถึง 75% "ต้องนับว่ามันเป็นเทคโนโลยีที่เป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์" คนไข้ที่มีอาการหัวใจวาย เนื่องมาจากหัวใจอ่อนแรงลง หรือเกิดชำรุดลง จนไม่อาจสูบฉีดโลหิตได้เต็มที่ มันจะขยายตัวโตขึ้น เพราะต้องรับปริมาณโลหิตที่เพิ่มมากขึ้น เป็นเหตุให้ผู้ป่วยจะมีอาการเหนื่อยหอบอยู่ตลอดเวลา ลักษณะของถุงตาข่ายห่อหัวใจ จะทำหน้าที่เหมือนกับสาแหรกช่วยยก โดยที่ตัวมันไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดเคลื่อนไหว หรือต้องใช้แบตเตอรี่เลย เพียงแต่ผ่าตัดสอดเข้าไปในทรวงอกเข้าไปหุ้มห่อหัวใจเอาไว้ เทคนิค ที่อาจใช้ช่วยเหลือคนไข้โรคหัวใจ ผู้ซึ่งหมดทางรักษาด้วยยา หรือการใช้เครื่องคุมจังหวะหัวใจ หรือกับคนไข้ซึ่งไม่อาจใช้เครื่องหัวใจเทียมหรือการปลูกถ่ายเปลี่ยนหัวใจใหม่ได้. (ไทยรัฐ พุธที่ 10 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)





กฟภ.อวดอุปกรณ์ช่วยประหยัดไฟบ้าน

นายฐิติพงศ์ สมัครพงศ์ วิศวกรไฟฟ้าแผนกทดสอบ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กล่าวว่า เนื่องด้วยปัจจุบันการไฟฟ้าฝ่ายผลิตได้มีการกำหนดวิธีการคิดอัตราค่าไฟฟ้าแบบใหม่ขึ้น ซึ่งจะเป็นการคิดอัตราค่าใช้พลังงานไฟฟ้าตามเวลาที่ใช้ (Time of Use: TOU) ทำให้อัตราค่าพลังงานไฟฟ้าที่เวลาต่างๆ จะไม่เท่ากัน ดังนั้น หากผู้ใช้ตามบ้านสามารถเก็บกระแสไฟฟ้าในช่วงกลางคืน ซึ่งมีราคาถูกไว้ใช้ตอนกลางวัน จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ "ช่วง 18.00-20.00 น. เป็นช่วงที่ใช้ไฟฟ้ากันมาก อัตราค่าไฟฟ้าจึงแพงกว่าปกติ แต่ในช่วงเวลา 24.00-05.00 น. คนใช้น้อย ค่าไฟฟ้าในช่วงนี้จะถูกกว่าช่วงที่มีความต้องการใช้มาก (peak time) ส่วนต่างราคาของทั้งสองช่วงนี้ค่อนข้างต่างกันมาก จึงเกิดความคิดประดิษฐ์อุปกรณ์ที่สามารถช่วยเก็บไฟฟ้าในช่วงกลางคืนไว้ในแบตเตอรี่ แล้วนำมาใช้ในช่วงกลางวัน เพื่อลดใช้พลังงานไฟฟ้าที่ต่อมาจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต โดยเครื่องจะสลับไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ นายฐิติพงศ์ เผยว่า อุปกรณ์ประหยัดค่าไฟที่พัฒนานี้ ใช้แบตเตอรี่เป็นตัวเก็บพลังงาน และนอกจากนั้น ยังสามารถสำรองพลังงานไฟฟ้าไว้ใช้งาน ในกรณีที่เกิดไฟฟ้าดับได้อีกด้วย เขาได้ทดลองสร้างอุปกรณ์ต้นแบบขึ้นมา ซึ่งการทำงานของเครื่องจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง โดยใช้ตัวนับเวลา (Timer) เป็นตัวควบคุม เมื่อถึงช่วงเวลาที่อัตราค่าไฟฟ้ามีราคาถูก หรือหลังจากเกิดไฟฟ้าดับเครื่องก็จะทำงานโดยแปลงไฟฟ้ากระแสสลับแรงดัน 220 โวลต์ ที่มาจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ให้เป็นไฟฟ้ากระแสตรง ที่มีขนาดแรงดันประมาณ 50 โวลต์ โดยใช้วงจรเรียงกระแส (Rectifier) แล้วนำมาผ่านวงจรชาร์จแบตเตอรี่แบบกระแสคงที่ เพื่อเก็บพลังงานไฟฟ้าไว้ในแบตเตอรี่ วงจรชาร์จแบตเตอรี่แบบกระแสคงที่นี้มีข้อดี คือ ช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ และสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็วขึ้น เมื่อแบตเตอรี่เก็บกระแสไฟฟ้าไว้เต็มแล้ว เครื่องจะหยุดเก็บพลังงานเองโดยอัตโนมัติ เมื่อถึงช่วงเวลาที่อัตราค่าไฟฟ้ามีราคาแพง หรือเกิดไฟฟ้าดับขึ้น ระบบจะทำงานโดยจะนำพลังงานไฟฟ้าที่เก็บอยู่ในแบตเตอรี่มาผ่านวงจรแปลงกระแส (Inverter) จากไฟฟ้ากระแสตรงให้เป็นไฟฟ้ากระแสสลับ เพื่อจ่ายให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยพลังงานที่สามารถป้อนให้กับเครื่องไฟฟ้าได้นานแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับจำนวน และขนาดของแบตเตอรี่ที่ใช้ เครื่องประหยัดค่าทีโอยูที่ออกแบบขึ้นมานี้มีพิกัดกำลัง 3 กิโลโวลต์แอมแปร์ ใช้แบตเตอรี่ขนาด 75 แอมแปร์ต่อชั่วโมงจำนวน 4 ก้อน ซึ่งสามารถขยายเพิ่มได้อีก โดยใช้งบประมาณสำหรับพัฒนาเครื่องต้นแบบเพียงหมื่นกว่าบาทเท่านั้น (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 10 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ม.กรุงเทพพัฒนาระบบให้อาหารสุนัขอัตโนมัติ ติดเซ็นเซอร์คำนวณอาหารพอดีอิ่ม อนาคตสั่งผ่านมือถือได้

นายนราธิป โยธาศิริ นักศึกษาภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เจ้าของผลงานเครื่องให้อาหารสุนัขอัตโนมัติด้วยระบบควบคุมผ่านแผงวงจร กล่าวว่า อุปกรณ์ดังกล่าวสามารถช่วยให้สุนัขที่เลี้ยงไว้ในบ้านกินอาหารได้ตรงเวลาเมื่อเจ้าของต้องมีธุระออกนอกบ้านหรือเดินทางไปต่างจังหวัดเป็นเวลาหลายวัน เครื่องมือให้อาหารสุนัขอัตโนมัติสามารถตั้งเวลาให้อาหารล่วงหน้าได้ ขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าของสุนัขเองว่าอยากให้สุนัขของตนกินอาหารในเวลาใดบ้าง แต่ต้องศึกษาและปรับพฤติกรรมของสุนัขให้มากินอาหารจากเครื่องมือดังกล่าวด้วย สามารถตั้งโปรแกรมให้อาหารสุนัขล่วงได้ โดยทั่วไปสุนัขจะกินอาหารในช่วงเช้าและช่วงเย็นเท่านั้น ขณะเดียวกันผู้ใช้ก็ต้องปรับพฤติกรรมสุนัขให้มันเรียนรู้การมากินอาหารที่เครื่อง เมื่อถึงเวลาที่ตั้งโปรแกรมเอาไว้ก็จะมีเสียงกระดิ่งดังขึ้น และเครื่องมือก็จะปล่อยอาหารลงมาที่ถาดตามปริมาณที่ตั้งไว้ เมื่อสุนัขได้ยินเสียงกระดิ่งก็จะวิ่งมากินอาหาร เครื่องมือดังกล่าวยังสามารถกำหนดปริมาณอาหารที่ต้องการให้สุนัขในแต่ละมื้อได้อีกด้วย ต่างจากเครื่องให้อาหารอัตโนมัติที่อยู่ในท้องตลาดที่ไม่สามารถกำหนดปริมาณอาหารที่ต้องให้สุนัขได้ และยังสามารถคำนวณปริมาณอาหารได้อย่างเหมาะสมโดยดูจากปริมาณอาหารเหลือและความต้องการอาหารเพิ่มของสุนัขผ่านระบบเซ็นเซอร์ อุปกรณ์ตัวนี้ถูกออกแบบมาสำหรับอาหารเม็ดเท่านั้น ไม่เหมาะสำหรับอาหารเปียก เพราะอาจส่งผลกระทบต่อเครื่องมือได้ นอกจากนี้อุปกรณ์ดังกล่าวยังไม่สามารถเก็บรักษาคุณภาพอาหารที่อยู่ในถาดได้เป็นระยะเวลานาน เขามีแนวคิดสำหรับต่อยอดเครื่องนี้ให้สามารถทำงานมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิม โดยสามารถสั่งงานผ่านมือถือแบบออนไลน์ได้ (คมชัดลึก พุธที่ 10 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)





เพาะกล้ามให้สมองแบบเพาะกาย บำรุงสมองให้แข็งแรงก้าวหน้าได้

นักประสาทวิทยาศาสตร์ได้ความรู้จากการศึกษาสมองของพระสงฆ์ที่ธรรมศาลา สำนักขององค์ดาไล ลามะ ที่ในอินเดียว่า อาจจะบำรุงสมองของคนเราให้แข็งแรงได้ ด้วยการหมั่นใช้อยู่ประจำ และหากส่วนไหนไม่ค่อยได้ใช้มันก็จะอ่อนแอลงไปได้ คณะนักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาสมองของพุทธศาสนิกชนผู้ไปฝึกทำสมาธิ เปรียบเทียบกับเหล่าพระสงฆ์ที่ธรรมศาลา อันเป็นที่ประทับขององค์ดาไล ลามะ อดีตประมุขทิเบต ซึ่งได้ปฏิบัติทำสมาธิอยู่เป็นประจำ หากคิดเป็นเวลานานรวมกันก็คงมากถึงหมื่นๆชั่วโมง ได้สังเกตพบว่า สมองของผู้ที่เพิ่งมาฝึกเล่าเรียนสมาธิจะมีความเคลื่อนไหวที่มีความถี่สูง หรือคลื่นแกมมาเพียงแค่นิดหน่อย ต่างกับสมองของพระสงฆ์องค์เจ้าทั้งหลาย จะมีความเคลื่อนไหวอย่างหนาแน่นที่สุด โดยที่ไม่เคยมีการเอ่ยถึงในวารสาร ทางวิชาการประสาทวิทยาศาสตร์กันมาก่อนเลย นักประสาทวิทยาศาสตร์ นายริชาร์ด เดวิดสัน ของมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แห่งสหรัฐฯ ในฐานะหัวหน้าคณะศึกษา กล่าวว่า การฝึกสมาธิอาจสามารถช่วยยกสมอง ให้มีระดับสติปัญญาความสามารถขึ้นขั้นสูงได้ ทั้งยังเผยได้ว่า ในความคิดต่างๆของวิชาประสาทวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ความรู้ใหม่ที่ได้พบว่าสมองของคนเราสามารถปรับเปลี่ยนโครงรูปและหน้าที่การงานได้ กำลังเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากที่สุด (ไทยรัฐ อังคารที่ 9 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)





ดีไซน์กระเป๋าโน้ตบุ๊คอเนกประสงค์ แปลงร่างเป็นโต๊ะทำงานเคลื่อนที่

นายวิทวัส เกียรติศักดิ์ศรี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ภาควิชาออกแบบผลิตภัณฑ์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เปิดเผยว่าปัญหาใหญ่ที่คนทำงานอิสระในยุคดิจิทัลต้องประสบ ก็คือต้องพกพากระเป๋าหลายใบติดตัวไปทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็น กระเป๋าใส่โน้ตบุ๊ค กระเป๋าเอกสาร หรือแม้แต่กระเป๋าใส่ซีดี ด้วยเหตุนี้ วิทวัสจึงออกแบบกระเป๋าโน้ตบุ๊ค และกระเป๋าเอกสารที่นำโจทย์ทุกข้อข้างต้นมาพัฒนาให้เกิดความคล่องตัวในการใช้งานทุกด้าน โดยกระเป๋าโน้ตบุ๊คนี้วางแนวคิดไว้ว่าต้องเน้นคนใช้งานเป็นศูนย์กลาง ต้องเป็นกระเป๋าที่ไม่ธรรมดา และต้องผสานแฟชั่นและเทคโนโลยีเข้าด้วยกันอย่างลง ถูกออกแบบให้มีสายคล้องล็อกติดขาโต๊ะ หรือส่วนอื่นๆ ของสถานที่นั้นๆ โดยอาจติดตั้งระบบส่งสัญญาณผ่านคลื่นวิทยุที่จะแจ้งเตือนบอกเจ้าของหากมีผู้ที่พยายามจะขโมยกระเป๋า กระเป๋าต้นแบบชุดนี้ หลังจากประกอบเข้าเป็นชิ้นเดียวแล้ว จะกว้าง 39 เซนติเมตร สูง 29 เซนติเมตร หนา 13 เซนติเมตร และหนักเกือบ 2 กิโลกรัม เนื่องจากใช้ไม้เป็นโครงสร้างหลัก แต่สามาถเปลี่ยนวัสดุเป็นพลาสติกได้ ซึ่งจะทำให้น้ำหนักเบาขึ้น ผลงานชิ้นนี้ใช้เวลาพัฒนาราว 3 เดือน งบประมาณกว่า 2,000 บาท (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 9 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





มศว พัฒนาแผ่นฟิล์มฟักทองถนอมอาหาร ใช้บรรจุเครื่องปรุงรส ไม่ต้องฉีกต้มได้ทั้งซอง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ทีมนักศึกษาภาควิชาวิทยาศาสตร์การอาหารและโภชนาการ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้พัฒนาฟิล์มบรรจุภัณฑ์ที่สามารถบริโภคได้จากผลฟักทอง นอกจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่อำนวยความสะดวกในการบริโภคแล้ว ยังไม่ก่อปัญหามลพิษเหมือนกับพลาสติกสังเคราะห์ที่ใช้กันอยู่ทั่วไป ในขั้นตอนการผลิตฟิล์มฟักทอง เริ่มจากการนำผลฟักทองไปนึ่งให้สุกแล้วนำมาปั่นจนละเอียด จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดรวมเข้าด้วยกันซึ่งประกอบด้วย กลีเซอรอล สารแพคติน (pectin) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ฟักทองบดก่อตัวเป็นแผ่น น้ำมันพืช กรดมะนาว และกรดแอสคอร์บิค ซึ่งช่วยปรับความเป็นกรดเป็นด่างในฟักทองบด จากนั้นจึงนำส่วนผสมที่ได้ผ่านความร้อนในเตาอบประมาณ 20 นาที จึงนำมาเทในแม่แบบและขึ้นรูปจนได้ความหนาประมาณ 0.1 มิลลิเมตร จากการทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่า แผ่นฟิล์มฟักทองนี้สามารถอยู่ได้นาน 1-2 สัปดาห์ ในสภาวะอุณหภูมิห้องปกติ ทั้งนี้ฟิล์มฟักทองเป็นวัสดุประเภท Edible and coating ซึ่งมีลักษณะแผ่นบางและผู้บริโภคสามารถรับประทานได้ โดยนำมาใช้กับอาหารด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อกั้นไม่ให้แก๊ส ไอระเหยและสารต่างๆ เข้าออกจากอาหารได้ ข้อดีของฟิล์มและสารเคลือบที่รับประทานได้ สามารถบริโภคได้พร้อมกับผลิตภัณฑ์ที่บรรจุ เพียงแค่เติมน้ำร้อน หรือเมื่อนำเข้าปากก็ละลายได้ในทันที ซึ่งเป็นจุดเด่นที่เห็นได้ชัดในการลดปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อม หากไม่ต้องการบริโภคฟิล์มก็สามารถทิ้งและปล่อยให้ย่อยสลายทางชีวภาพได้โดยง่าย ซึ่งช่วยลดปัญหามลพิษ บรรจุภัณฑ์ฟิล์มฟักทองยังไม่สามารถใช้ได้ตามลำพัง จึงควรใช้ร่วมกับบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุสังเคราะห์ โดยให้บรรจุภัณฑ์จากวัสดุสังเคราะห์ทำหน้าที่บรรจุภัณฑ์ขั้นที่ 2 ร่วมกับฟิล์มชีวภาพนี้ และกำลังพัฒนาให้มีอายุการใช้งานให้นานขึ้นกว่าเดิม (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 9 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ทารกงอแงไร้เหตุผลส่งผลไอคิวต่ำ

สหรัฐเผยผลวิจัยล่าสุดจากการศึกษาพบว่าทารกที่ร้องไห้ไม่หยุดโดยไม่รู้สาเหตุนานติดต่อกันถึง 3 เดือน จะมีไอคิวต่ำเมื่อโตขึ้น รวมทั้งอาจมีโรคสมาธิสั้นเข้าแทรกอีกต่างหาก งานวิจัยชิ้นนี้สอดคล้องกับการศึกษาของ ศ.ดีเตอร์ วอลค์ มหาวิทยาลัยบริสทอล อังกฤษ เมื่อปี 2545 ซึ่งพบว่าทารกที่ร้องไห้อย่างหนักเป็นเวลาติดต่อกัน 3 เดือน มีโอกาสพัฒนาไปเป็นโรคสมาธิสั้นมากกว่าเด็กอื่นๆ เมื่ออายุครบ 8 ปี ถึง 14 เท่า โดยเขากล่าวถึงสาเหตุว่า น่าจะมาจากสมองของเด็กไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ไม่สามารถเรียนรู้ที่จะทำให้ตัวเองสงบ ผลวิจัยที่ได้น่าจะเป็นข้อแนะนำเบื้องต้นที่ดีสำหรับพ่อแม่ที่มีลูกร้องไห้อย่างหนักผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ เพื่อว่าจะได้เตรียมรับมือกับปัญหาหรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ (คมชัดลึก อังคารที่ 9 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)





พบโปรตีนสร้างความจำระยะยาว ความหวังรักษาผู้ป่วยอัลไซเมอร์

สถาบันสุขภาพแห่งสหรัฐรายงานในวารสารไซแอนซ์ว่า ได้มีการพิสูจน์กับหนูทดลองได้ผลยืนยันว่า โปรตีนเอ็มบีดีเอ็นเอฟ (mBDNF) เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความทรงจำระยะยาว ซึ่งสนับสนุนข้อสันนิษฐานก่อนหน้านี้ของนักวิทยาศาสตร์สังกัดอื่นที่สงสัยมานานแล้วว่า โปรตีนดังกล่าวมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาความจำ โปรตีนเอ็มบีดีเอ็นเอฟพบได้ในสมองหนู ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีของเอนไซม์ย่อยเคมีและโปรบีดีเอ็นเอฟ ทำหน้าที่บำรุงเลี้ยงเนื้อเยื่อที่ได้รับอิทธิพลจากเส้นประสาท ทีมงานได้ทำการทดลองกับสมองหนู เพื่อดูการทำงานของโปรตีนที่มีผลต่อความจำระยะยาว รวมถึงสิ่งจำเป็นต่อการสร้างโปรตีนด้วย จากการทดสอบพบว่าหากสมองหนูไม่สามารถผลิตเอ็มบีดีเอ็นเอฟได้ ก็จะไม่มีการสร้างความจำระยะยาวขึ้นมา แต่หากมีการผลิตโปรตีนดังกล่าวในสมอง การพัฒนาความจำระยะยาวก็มีทางเป็นไปได้ ดร.ไบ ลู จากสถาบันสุขภาพเด็กและพัฒนาการของมนุษย์ ภายใต้สังกัดของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ สหรัฐ บอกว่าการค้นพบดังกล่าวสร้างความหวังในการรักษาผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ได้ อีกทั้งยังจะเป็นประโยชน์ต่อแพทย์และนักวิจัยที่จะเข้าใจแง่มุมบางอย่างของโรคอัลไซเมอร์ การพัฒนาสู่วิธีรักษาที่เห็นผลอาจต้องใช้เวลาอีกสักระยะ (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 11 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





มธ.คิดระบบจ่ายน้ำอัตโนมัติโซลาร์เซลล์

นักศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ คิดค้นระบบควบคุม ช่วยเปิดปิดปั๊มน้ำอัตโนมัติ ติดตั้งเซ็นเซอร์ วัดความชื้นในดิน และสภาพแวดล้อมในอากาศ สั่งรดน้ำต้นไม้ ตามความต้องการของพืช พร้อมติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์ในตัว ช่วยประหยัดพลังงาน ตั้งเป้าใช้งานร่วมกับ ระบบจ่ายน้ำในสวนที่มีอยู่เดิม นักประดิษฐ์เผยว่า ได้คิดค้นระบบการใช้งานดังกล่าวขึ้น โดยศึกษาความต้องการน้ำของพืชมาเป็นตัวกำหนดการสั่งจ่ายน้ำ ซึ่งทำให้พืชได้ปริมาณเหมาะสมกับการเจริญเติบโตอย่างแท้จริง โดยเริ่มทำการศึกษาพฤติกรรมของพืชแต่ละชนิดก่อน เพื่อนำมากำหนดค่าให้กับเซ็นเซอร์ จากนั้นทีมศึกษาจึงเขียนโปรแกรมเพื่อกำหนดการทำงาน พร้อมออกแบบให้ระบบสามารถตรวจวัดและแสดงปริมาณทางกายภาพที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของพืช ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยด้านอุณหภูมิ ความชื้นในดิน ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ รวมถึงความสว่างของแสงที่พืชแต่ละชนิดต้องการ โดยใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมดังกล่าว และส่งข้อมูลมาประมวลผลที่ไมโครคอนโทรลเลอร์ เพื่อตัดสินใจส่งน้ำให้สอดคล้องกับความต้องการของพืช นอกจากนี้ ยังได้ดัดแปลงระบบจ่ายน้ำให้ทำงานร่วมกับเซลล์แสงอาทิตย์ เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน รวมถึงลดปัญหาที่ต้องลากสายไฟเข้าไปในสวนที่มีอาณาบริเวณกว้าง และยังเหมาะกับพื้นที่เกษตรที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึงด้วย ได้ใช้เวลากว่า 1 ปีในการศึกษาระบบควบคุมดังกล่าว ระบบดังกล่าวยังอยู่ในขั้นของการทดลอง หากต้องการนำระบบดังกล่าวไปใช้จริงนั้นจะต้องทำการปรับปรุงประสิทธิภาพให้มากขึ้น "ปัญหาที่พบในขณะนี้เกิดจากสายไฟที่เชื่อมต่อกับระบบเมื่อลากยาวเข้าไปในสวนที่มีบริเวณกว้าง จะส่งผลต่อสัญญาณที่ส่งไปยังระบบควบคุมเกิดการสั่งงานผิดพลาด ซึ่งนอกจากระบบโซลาร์เซลล์ที่นำมาใช้แล้ว จะต้องปรับปรุงระบบดังกล่าวให้ใช้ได้กับสภาวะไร้สาย โดยส่งข้อมูลผ่านทางคอมพิวเตอร์ที่จะต้องทำการศึกษาในรายละเอียดต่อไป (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 11 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





พระนครเหนือ คิดค้นอิฐน้ำหนักเบา-กันร้อน

สมบูรณ์ คงสมศักดิ์ศิริ อาจารย์จากภาควิชาเทคโนโลยีโยธา สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ซึ่งเป็นผู้คิดสูตรผสมอิฐน้ำหนักเบา กล่าวว่า ได้พัฒนาแนวคิดมาจากอิฐบล็อกประสาน ที่ทำด้วยดินซีเมนต์ในแบบเดิม เนื่องจากโฟมมีคุณสมบัติเป็นฉนวนกันความร้อนได้ดี จึงศึกษาเพื่อพัฒนาโฟมเป็นอิฐคอนกรีตมวลเบา เพื่อเพิ่มมูลค่าโฟมเหลือทิ้งให้นำมาใช้ประโยชน์ได้สูงสุด โดยใช้เวลาศึกษาประมาณ 1 ปี งานวิจัยซึ่งได้รับทุนสนับสนุนงานวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) อิฐคอนกรีตมวลเบาผสมโฟมนี้ ได้จากการนำเอาโฟมเหลือใช้มาเป็นส่วนประกอบในการผสมอิฐ โดยส่วนผสมประกอบด้วยปูนซีเมนต์พอร์ตแลนด์ ทรายหยาบ โฟมบดย่อย และน้ำมาคลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการขึ้นรูปภายใต้แรงดันที่เหมาะสม จนได้อิฐชนิดใหม่ซึ่งมีความแข็งแกร่ง และน้ำหนักเบากว่าอิฐมอญถึง 2 เท่า โดยปกติอิฐมอญ 1 ตารางเมตร จะหนักถึง 1,800 กิโลกรัม ในขณะที่อิฐมวลเบานี้หนักเพียง 1,000 กิโลกรัมต่อตารางเมตร โดยความพิเศษของอิฐมวลเบาดังกล่าว อยู่ที่สามารถนำมาใช้เป็นฉนวนกันความร้อนภายในบ้านและอาคารได้เป็นอย่างดี และจากการทดสอบพบว่าอิฐมวลเบา สามารถกันความร้อนได้มากกว่าอิฐมอญ 4-7 เท่า ทำให้ภายในบ้านและอาคารเย็นสบาย ช่วยประหยัดไฟจากการเปิดเครื่องปรับอากาศลงได้ถึงร้อยละ 25 และยังได้รับการรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรม มอก. 85 ปัจจุบันเทคนิคการพัฒนาอิฐมวลเบามีด้วยกันหลายรูปแบบ ทั้งที่ใช้ผงอะลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบเพื่อให้เกิดฟองอากาศ หรือรูพรุนภายใน และยังมีเทคนิคการเติมนำยาโฟมเป็นสารเติมแต่ง (additive) สำหรับใช้ผสมทำอิฐมวลเบาในเชิงอุตสาหกรรม แต่ต้นทุนด้านน้ำยายังคงสูงอยู่ และต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ขณะนี้ มีบริษัทเอกชนให้ความสนใจเข้าร่วมลงทุน แต่จะต้องทำการพัฒนาอิฐมวลเบาดังกล่าวให้มีขนาดบล็อกที่ใหญ่ขึ้น เพื่อช่วยประหยัดเวลาในการก่อสร้าง นอกจากนี้ จะทำงานวิจัยต่อสำหรับการนำโฟมเหลือให้มาผสมทำเป็นกระเบื้องมุงหลังคาต่อไปในอนาคต (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 12 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ทัพเรือไทยผลิตทุ่นระเบิดล่องหน ทำเองหมื่นเดียวของนอกเป็นล้าน

เรือโทประยูร อาษานอก นายทหารการอาวุธ เรือหลวงลาดหญ้า กองเรือทุ่นระเบิด เผยว่า กองทหารเรือได้ทำการศึกษาวิจัยเพื่อผลิตทุ่นระเบิดทอดประจำที่ชนิดสายดัก (Snag Line) ขึ้นเอง โดยใช้วัสดุที่หาได้จากในประเทศ ซึ่งมีคุณภาพเทียบเท่าทุ่นระเบิดนำเข้า หลังจากที่กองทัพเรือต้องสั่งซื้อทุ่นระเบิดราคาแพงมาจากต่างประเทศ ซึ่งราคาต่อลูกมีราคาสูงอยู่ในหลักล้านบาท ในขณะที่กองทัพเรือผลิตเองราคาอยู่ที่ลูกละ 1 หมื่นบาทเท่านั้น กองเรือทุ่นระเบิดได้ดำเนินการวิจัยและพัฒนาทุ่นระเบิดทะเล หรือ SEA MINE มาอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการที่ได้ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันคือโครงการทุ่นระเบิดปราบเรือดำน้ำ และโครงการทุ่นระเบิดล่องหน ซึ่งมีลักษณะเป็นทรงกลมที่ลอยปริ่มน้ำ มีเขารอบตัวเหมือนหอยเม่น พอเรือแล่นมาชนก็ระเบิดขึ้น เรือก็จมในที่สุด ทุ่นระเบิดชนิดสายดักที่คิดค้นขึ้นนั้น ประกอบด้วยระบบจุดระเบิด ตัวทุ่นระเบิด และเครื่องถ่วงทุ่น ซึ่งอยู่ประจำที่โดยมีตัวยึดอยู่บริเวณใต้น้ำ ทุ่นระเบิดดังกล่าวจะต้องมีคุณสมบัติล่องหน คือไม่ส่งคลื่นให้เรือดำน้ำข้าศึกตรวจจับได้ วัสดุที่นำมาใช้ทำทุ่นระเบิดนั้นต้องมีประสิทธิภาพสูง พร้อมทั้งสามารถสะท้อนคลื่นตรวจจับจากเรือดำน้ำได้มากที่สุด และจากการวิจัยเราได้คัดเลือกวัสดุที่เหมาะสมที่สุด จากวัสดุนานาชนิดที่ใช้ทำการทดสอบ อาทิ พลาสติก ไฟเบอร์ เรซิ่น โดยใช้ระยะเวลาในการศึกษากว่า 3 ปี จนได้วัสดุที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยใช้วัสดุจากในประเทศ เช่น แผ่นเหล็ก ปุ๋ยเอมโมเนียมไนเตรดเป็นดินระเบิดถ่านไฟฉาย ยางกันน้ำ เชือกในล่อน ทีมวิจัยยังได้พัฒนาทุ่นระเบิดล่องหน ลดการตรวจจับรังสีโซน่าจากเรือดำน้ำข้าศึก พร้อมศึกษาเพิ่มเติมในรายละเอียด หลังจากทดสอบหารูปทรงเรขาคณิตที่มีคุณสมบัติเหมาะสม รวมถึงศึกษาลักษณะพื้นผิวที่ดูดซับเสียงได้ดีที่สุด (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 12 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





จุฬาฯ คิดระบบหาสายรถเมล์บนมือถือ

นักศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คิดระบบค้นหา สายรถประจำทาง ผ่านโทรศัพท์มือถือ ให้ข้อมูลแม่นยำ กว่าระบบค้นหาด้วยดาวเทียม นำร่องใช้งานในกรุงเทพฯ ก่อนศึกษาเพิ่มเติม พร้อมนำเสนอบริษัทเอกชน นำร่องใช้งานจริง วิวัฒน์ วิวัฒนานันต์ หนึ่งในทีมพัฒนาระบบกล่าวว่า ระบบค้นหาด้วยการระบุตำแหน่งด้วยดาวเทียมหรือจีพีเอสที่ใช้กันอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน เป็นบางครั้งข้อมูลที่ได้อาจไม่มีประสิทธิภาพเมื่อท้องฟ้ามีเมฆบังสัญญาณดาวเทียม ทีมศึกษาจึงได้เริ่มคิดค้นระบบค้นหาสายรถประจำทางที่ใช้บนโทรศัพท์มือถือ ผู้ร่วมพัฒนาจึงเริ่มต้นโครงการด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลการเดินรถทั่วกรุงเทพฯ เพื่อจัดทำมาตราสัดส่วน แล้วนำไปเก็บไว้ในเครื่องแม่ข่าย หรือเซิร์ฟเวอร์ พวกเขายังได้พัฒนาโปรแกรมภาษาจาวาสำหรับติดตั้งลงบนโทรศัพท์มือถือเพื่อใช้แจ้งตำแหน่งเดินทาง และแสดงแผนที่การเดินทางด้วย การนำไปใช้งานจริงนั้นผู้ใช้จะต้องทำการดาวน์โหลดโปรแกรมมาติดตั้งที่โทรศัพท์มือถือก่อน โดยผู้ใช้สามารถระบุประเภทสถานที่ ชื่อสถานที่ต้นทางและจุดหมายปลายทางที่จะไปถึง ผ่านโปรแกรมดังกล่าว แล้วข้อมูลที่ต้องการจะถูกส่งมาจากเซิร์ฟเวอร์หลักของผู้ให้บริการผ่านจีพีอาร์เอส ในการแสดงผล โปรแกรมจะบอกรายละเอียดที่ตั้งของสถานที่ที่ทำการค้นหา เส้นทางเดินรถที่สั้นที่สุด สายรถประจำทางที่ผ่านพร้อมสายรถที่ต้องเดินทางต่ออย่างละเอียดพร้อมภาพ ทีมวิจัยกล่าวว่า ระบบยังอยู่ในขั้นตอนพัฒนาอยู่ ซึ่งหากสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วจะนำไปเสนอกับบริษัทเอกชนผู้ให้บริการนำไปใช้งานจริง จากนั้นจึงจะพัฒนาให้สามารถใช้กับจังหวัดอื่นๆ ต่อไป (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 12 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ข่าวทั่วไป


ชิงมหิดล-บีบราวน์ปี 48

ศ.ดร.ศรีสิน คูสมิทธิ์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย ม.มหิดล เปิดเผยว่า ม.มหิดล เปิดกำลังเปิดเสนอชื่อแพทย์ผลงานดีเด่นรับรางวัล มหาวิทยาลัยมหิดล-บีบราวน์ เพื่อการแพทย์และสาธารณสุขไทย ประจำปี 2548 ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 30 พ.ย.นี้ ผู้ที่ได้รับการพิจารณาให้ได้รับรางวัลมหาวิทยาลัยมหิดล-บี บราวน์ จะได้รับรางวัลเงินสดจำนวน 700,000 บาท และเข้ารับพระราชทานโล่และประกาศนียบัตรประกาศเกียรติคุณในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ ม.มหิดล คุณสมบัติของผู้ได้รับการเสนอชื่อ คือเป็นแพทย์ชาวไทย หรือชาวไทยผู้ปฏิบัติงานทางการแพทย์ อาจเป็นบุคคลเดียวหรือกลุ่มบุคคลก็ได้ มีถิ่นพำนักในประเทศไทย และเป็นผู้อยู่ในกรอบแห่งจริยธรรมของวิชาชีพ และมีผลงานที่ปฏิบัติในประเทศไทย เป็นที่ยอมรับในวงการวิชาชีพ มีความดีเด่นด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ หรือวิทยาศาสตร์การแพทย์เสนอชื่อและผลงาน โดยจัดทำเป็นเอกสารจำนวน 15 ชุด ส่งที่ ผอ.กองบริหารงานวิจัย สำนักงานอธิการบดี ม.มหิดล ถ.พุทธมณฑล สาย 4 จ.นครปฐม 73170 หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2849-6240-6 ในวันเวลาราชการ (สยามรัฐ จันทร์ที่ 8 พ.ย. 47 http://www.siamrath.co.th)





ญาติพี่น้องร่วมหอลงโรงกันเองเสี่ยงมีลูกเป็นโรคปัสสาวะหอม

ศ.พ.ญ.พรสวรรค์ วสันต์ หัวหน้าสาขาเวชพันธุศาสตร์ ภาควิชากุมาร-เวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า โรค "พันธุกรรมเมตาบอลิก" เป็นกลุ่มโรคที่แต่ละโรคพบได้น้อย แต่หากรวมเป็นกลุ่มใหญ่ทั้งหมดแล้ว ปัจจุบันมีถึงกว่า 500-600 โรค เช่น โรคปัสสาวะหอม โรคที่มีความบกพร่องของวงจรยูเรีย โรคที่มีความบกพร่องของกรดอินทรีย์ โรคที่มีความบกพร่องของไขมัน ฯลฯ พบได้ในทารกแรกเกิดและเด็ก แต่ละโรคล้วนเป็นโรคที่รักษายาก เพราะเป็นด้านชีวเคมี พันธุศาสตร์ พวกยีนบกพร่องทำให้เอนไซม์หรือน้ำย่อยในระดับเซลล์บกพร่อง และไม่สามารถย่อยสารอาหารที่เด็กรับประทานเข้าไปได้ ทำให้มีการสะสมในส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะทางสมอง ทำให้ร่างกายเสียสมดุล การทำงานของร่างกายไม่สามารถทำได้อย่างปกติ มีอาการซึม ทานอาหารและอาเจียน หายใจหอบและมีโคม่า ไม่รู้สึกตัว หากได้รับการวินิจฉัยล่าช้า นำไปสู่การรักษาที่ล่าช้า ก่อให้เกิดความพิการทางสมองอย่างรุนแรงตามมา เช่น ภาวะปัญญาอ่อน สมองพิการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ภาวะชักที่ควบคุมได้ยาก ภาวะหมดสติ หรือโคม่า และการรักษายาก และบางโรคต้องรักษาระดับยีนซึ่งเล็กมาก ปัจจุบันมีศูนย์ปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์ วินิจฉัยและรักษาโรคพันธุกรรมเมตาบอลิกขึ้นที่ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล (ไทยรัฐ พุธที่ 10 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)





อย.ดึง 5 องค์กร ตรวจมาตรฐาน อาหารจีเอ็มพี

ศ.ดร.ภักดี โพธิศิริ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า อย.ร่วมมือกับพันธมิตร 5 องค์กร เพื่อเป็นทางเลือกและลดขั้นตอนให้กับผู้ประกอบการผลิตอาหารในการผ่านตรวจสอบมาตรฐานจีเอ็มพี ในการประเมินผู้ประกอบการผลิตอาหารตามหลักเกณฑ์การผลิตอาหาร ที่สะอาด(จีเอ็มพี) เพื่อทำให้ประเทศไทยเป็นเมืองอาหารปลอดภัยภายในวันที่ 1 เมษายน 2548 นี้นั้น อย.จึงได้คัดเลือกหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีศักยภาพเข้ามาร่วมการประเมินตรวจสอบร่วมด้วย สำหรับหน่วยงานที่ผ่านการคัดเลือกในการเข้าร่วมประเมินกับทาง อย. มีจำนวน 5 บริษัท ได้แก่ บริษัท บีวีคิวไอ (ประเทศไทย) จำกัด, สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ, สำนักงานรับรองระบบคุณภาพ, สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปและสถาบันอาหาร ซึ่งขณะนี้ได้รับการอนุมัติจดทะเบียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะเริ่มนำร่องที่กรุงเทพฯ เพื่อทำการประเมินผลก่อน โดยขณะนี้มีสถานที่ผลิตอาหาร ที่ไม่ได้มาตรฐานจีเอ็มพีกว่า 200 แห่ง (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 10 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





พบโครงกระดูกมนุษย์ยุคโบราณ สูงเต็มที่แค่หนึ่งเมตร เชื่อเป็นสายพันธุ์ใหม่

เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วมีการค้นพบโครงกระดูกของมนุษย์แคระ ที่เชื่อว่าน่าจะเป็นสายพันธุ์ใหม่ และจากการตรวจสอบโครงกระดูกพบว่ามีอายุประมาณ 18,000 ปีที่แล้ว ร่วมสมัยเดียวกันกับช้างแคระ และตะกวดยักษ์ที่เคยพบในอินโดนีเซียมาก่อนหน้านี้ โครงกระดูกที่พบเป็นโครงกระดูกมนุษย์ผู้ใหญ่ที่มีความสูงเพียงหนึ่งเมตร และมีขนาดสมองเท่ากับหนึ่งในสามหรือราว 380 คิวบิก หรือประมาณหนึ่งในสามของขนาดกะโหลกมนุษย์ยุคใหม่ ทีมสำรวจเรียกเจ้าของโครงกระดูกนี้เล่นๆ ว่า "ฮอบบิท นักมนุษยวิทยายุคโบราณชาวออสเตรเลียและอินโดนีเซีย พบโครงกระดูกนี้ในถ้ำเขาหินปูนเหลียงบัว บนเกาะฟลอเรส เกาะแห่งนี้อยู่ห่างจากเกาะชวาไปทางตะวันออก โดยทีมงานสันนิษฐานว่ามนุษย์แคระพวกนี้ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวอยู่ที่เกาะแห่งนี้มาช้านานแล้ว นับตั้งแต่พวก โฮโมซาเปียน ได้อพยพไปตั้งถิ่นฐานอยู่ตามที่ต่างๆ บริเวณเอเชียแปซิฟิกใต้ โครงกระดูกที่พบนี้มีสภาพเกือบสมบูรณ์ เบื้องต้นสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นกระดูกของสตรี รวมทั้งหัวกะโหลก กราม และฟัน ทั้งยังพบชิ้นส่วนของฟันที่เป็นของโครงอื่นอีก 7 โครง ในบริเวณเดียวกันยังพบโครงกระดูกของกิ้งก่าโคโมโด และช้างแคระที่เรียกว่า สเตโกดอน ซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้วรวมอยู่ด้วย ที่แปลกก็คือ สภาพกระดูกของมนุษย์แคระไม่ได้อยู่ในสภาพที่เป็นฟอสซิล แต่มีสภาพที่ทีมสำรวจเรียกว่า "มันบด" อันเป็นผลมาจากสภาพแวดล้อมที่ชื้นแฉะ และอายุของโครงกระดูก พวกเขายังหวังด้วยว่าจะสามารถสกัดดีเอ็นเอจากกระดูกเหล่านี้ได้ ซึ่งจะช่วยให้เกิดภาพที่ชัดเจนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสายพันธุ์ด้วย ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์เคยทำการสกัดดีเอ็นเอจากมนุษย์นีลแอนเดอร์ธัลในยุโรป ซึ่งมีชีวิตอยู่ในสมัยเดียวกันนี้มาแล้ว แต่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถสกัดดีเอ็นเอจากช้างแคระสเตโกดอนที่พบจากถ้ำแห่งเดียวกันได้ (คมชัดลึก พุธที่ 10 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)





ชี้ไทยติดอันดับ 17 ของโลกคนป่วย "วัณโรค" พุ่ง

โดยองค์การอนามัยโลกจัดให้ ไทยอยู่ในอันดับที่ 17 จาก 200 ประเทศที่มีปัญหาวัณโรคแพร่ระบาด โดยคาดว่าขณะนี้ไทยมีผู้ป่วยวัณโรคประมาณ 80,000-100,000 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายวัยทำงานอายุระหว่าง 20-44 ปี ในจำนวนนี้ 70% ติดเชื้อเอชไอวีมาก่อน รมช.สาธารณสุขกล่าวว่า มาตรการสำคัญในการควบคุมป้องกันโรควัณโรคไม่ให้แพร่ระบาด ที่ต้องดำเนินการโดยเร็วคือการให้การรักษาโดยเร็วที่สุด เพื่อตัดวงจรของเชื้อไม่ให้แพร่ระบาด สู่คนอื่น วิธีการรักษายังคงใช้กลยุทธ์มีพี่เลี้ยงคอยดูแลการกินยาอย่างต่อเนื่อง เพื่อหายขาดภายใน 6 เดือน ป้องกันไม่ให้เชื้อวัณโรคชนิดดื้อยาหลายขนาน และว่าคนไทยโดยส่วนใหญ่เคยได้รับเชื้อวัณโรคแต่ไม่แสดงอาการ เนื่องจากมีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่แข็งแรงจึงไม่ป่วย ทั้งนี้คนป่วยวัณโรค 1 คน สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้ถึง 10 คน ส่วนคนที่ติดเชื้อเอดส์ มีโอกาสเป็นวัณโรค มากกว่าคนที่ไม่ติดเชื้อถึง 30 เท่า และถ้าเป็นทั้งวัณโรคและติดเชื้อไวรัสเอดส์ การรักษาจะยุ่งยากมาก โอกาสได้ผลดีไม่ถึงร้อยละ 50. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 11 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)





กรมวิชาการเกษตรแบนสารอันตรายเพิ่ม 2 ชนิด

นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้กรมวิชาการเกษตรได้เสนอคณะกรรมการวัตถุอันตราย กระทรวงอุตสาหกรรมประกาศห้ามประกอบกิจการ และมีไว้ครอบครองวัตถุอันตรายทางการเกษตรชนิดที่ 4 เพิ่มขึ้นอีก 2 ชนิด คือ พาราไทออนเมทธิล ซึ่งเป็นสารเคมีที่มีพิษเฉียบพลันสูง และปัจจุบันมีการสั่งห้ามใช้ในประเทศที่พัฒนาแล้ว และเอ็นโดซัลแฟน ซึ่งมีข้อบ่งชี้ว่าให้ใช้กำจัดศัตรูพืชไร่ แต่เกษตรกลับนำไปใช้กำจัดหอยเชอรี่ ส่งผล ทำให้ปลา สัตว์น้ำอื่นๆตายลง อีกทั้งยังเกิดสารพิษตกค้างต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีสารเคมีที่ต้องเฝ้าระวังการใช้อยู่อีก 10 ชนิด ได้แก่ อัลดีคาร์บ บลาสทิซินดินเอส คาร์โบฟูแรน ไดโครโทฟอส อีพีเอ็น อีโทโพรฟอส ฟอร์มีทาเนต เมทิดาไทออน เมโทมิล และอ๊อกซามิล อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีสารพาราไทออนเมทธิลและเอ็นโดซัลแฟน ไว้ในครอบครองสามารถแจ้งและส่งมอบสารทั้ง 2 ชนิด ได้ที่สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กทม. และส่วนภูมิภาคส่งมอบ ได้ที่สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร กรมวิชาการเกษตร ทั้ง 8 เขต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร.0-2940-6980, 0-2940-6670 ทุกวันในเวลาราชการ (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 11 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)





แนะเปิดเพลงคลาสสิกให้ทารกฟัง ช่วยเสริมพัฒนาการอารมณ์-ภาษา

ดอน แคมพ์เบลล์ นักดนตรี ครู และผู้แต่งหนังสือขายดีเรื่อง "เดอะ โมซาร์ท เอฟเฟคท์" เมื่อปี 2540 บอกว่า การฟังดนตรีตั้งแต่เด็กจะสร้างประโยชน์ได้อย่างมาก เขาเชื่อด้วยว่าเด็กทุกคนที่เริ่มฟังเพลงตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาและในช่วงขวบเดือนแรกของชีวิตจะแสดงความเป็นอัจฉริยะออกมาได้ "ไม่ใช่แค่ฟังเพลงจากซีดีแล้วจะทำให้เด็กฉลาดขึ้น แต่เราต้องรู้จักใช้ดนตรีในการพูดแทนบางสิ่ง เพื่อให้เด็กรับรู้ทางเสียงเพราะทุกสิ่งที่ผ่านเข้าไปในโสตจะออกมาเป็นภาษา อารมณ์ และการแสดงออกได้" จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในปี 2540 พบว่าเด็กคลอดก่อนกำหนดที่ฟังเพลงคลาสสิกขณะถูกนำไปดูแลในห้องอนุบาลมีน้ำหนักตัวมากขึ้น และมีโอกาสรอดชีวิตสูงกว่าเด็กที่ไม่ได้ฟังเพลง ขณะที่รายงานของคอลเลจบอร์ด สหรัฐ เมื่อปี 2541 แสดงให้เห็นว่าเด็กระดับมัธยมศึกษาที่ชอบร้องเพลงและเล่นดนตรีมีคะแนนสูงกว่าคนที่ไม่ได้เล่นดนตรี "เด็กจะเติบโตได้ดีขึ้นเมื่อฟังเพลงเป็นประจำ โดยเราอาจใช้เพลงเป็นตัวบอกเวลา อย่างเวลาเข้านอนก็เปิดเพลงเพลงนี้เพื่อให้เด็กรับรู้ว่านี่คือเวลานอนแล้วนะ" แคมพ์เบลล์ เผยและแนะนำว่า พ่อแม่ไม่ควรอายที่จะร้องเพลงร่วมกับลูก (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 11 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)





ใช้ภูเขาชันเป็นสถานฟิตเนสชาวที่ราบให้ใช้บันไดตึกแทน

นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ ดร.ไฮน์ซ เรกเซล แห่งโรงพยาบาลสถาบันฝึกหัดครูของออสเตรีย กล่าวแจ้งในที่ประชุมแพทย์สมาคมโรคหัวใจของสหรัฐฯว่า จากการศึกษาได้พบว่าการเดินขึ้นเขาช่วยบำรุงสุขภาพ โดยมันช่วยให้ปริมาณไขมันชนิด เลวให้ลดลง แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ แม้แต่การเดินลงเขา ก็ยังทำให้ระดับไขมันชนิดเลวลดลงด้วยเช่นกัน ทั้งยังพบด้วยว่า การเดินลงเขายังพลอยช่วยลดระดับกลูโคสลงมากเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นการป้องกันหรือบรรเทาอาการของโรคเบาหวานลงด้วย นับเป็นวิธีการออกกำลังอันเหมาะกับผู้ที่ไม่เคยออกกำลังมาก่อน จะออกกำลังกับเขาบ้าง เขากับคณะได้ศึกษา โดยชักชวนอาสาสมัครผู้ที่ไม่เคยออกกำลัง ให้ออกกำลังด้วยการเดินขึ้นลงเขา แบ่งกันเป็นพวกเดินขึ้นเขากับเดินลงเขาอย่างละเท่ากัน อาทิตย์ละ 3-6 วัน มีกำหนด 4 เดือน พร้อมกับคอยตรวจร่างกาย เช่น วัดปริมาณน้ำตาลและไขมันในเลือดอยู่เป็นระยะ ดร.ไฮน์ซกล่าวแนะนำว่า ส่วนผู้ที่ไม่ได้อยู่ในภูมิประเทศที่เป็นป่าเขา ก็อาจจะใช้บันไดแทนภูเขา ก็ได้ประโยชน์เช่นเดียวกัน อย่างเช่น ใช้การเดินขึ้นบันไดขึ้นไปยังสำนักงานบนชั้น 5 แล้วค่อยลงลิฟต์ตอนขากลับ (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 12 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)





แม่โจ้พบสารอันตรายในผักจีนทะลักเข้าไทย

แหล่งข่าวนักวิชาการ จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เปิดเผยว่า หลังจากสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ส่งออกผัก และผลไม้มายังประเทศไทย ตามบันทึกข้อตกลงเขตเสรีการค้า หรือ เอฟทีเอ ผัก - ผลไม้ ระหว่างไทย และจีน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546 ที่ผ่านมา นักวิชาการที่ทำวิจัยและติดตามผลกระทบการเปิดเอฟทีเอ ไทย - จีน ได้ตรวจสอบพบมีสารเคมีตกค้างเกินค่ามาตรฐานกำหนดจากจีนอยู่ในผักเกือบทุกชนิด ทั้งนี้ ส่วนใหญ่สารเคมีตกค้างที่พบ เป็นชนิดเดียวกันที่ประเทศไทยห้ามนำเข้าและมีไว้ในครอบครอง เนื่องจากเป็นอันตรายต่อระบบประสาท เช่น สารคาร์โบโฟเลสต์ แต่ที่ผ่านมาหน่วยงานภาครัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องยังไม่เข้มงวดการนำเข้าผัก - ผลไม้ จากจีนเท่าที่ควร แม้หลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา , ยุโรป และญี่ปุ่น จะมีรายงานระบุชัดเจนว่า ตรวจพบสารเคมีตกค้างในผักที่นำเข้าจากจีนเป็นจำนวนมากก็ตาม ส่วนหนึ่งเพราะไม่ต้องการให้เกิดผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นอกจากนี้อุปกรณ์ที่ใช้ตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในปัจจุบัน ตรวจได้เฉพาะสารเคมีที่ออกฤทธิ์ทำลายตับ , ไต แต่ไม่สามารถตรวจหาสารเคมีประเภทออกฤทธิ์ทำลายระบบประสาท ซึ่งเป็นชนิดที่ถูกห้ามใช้ทั่วโลกมาเป็นเวลานานแล้วแต่จีนยังคงใช้อยู่ รวมทั้งจำนวนอุปกรณ์และเจ้าหน้าที่ที่มีอยู่จำกัด เมื่อเปรียบเทียบกับจุดตรวจบริเวณด่านชายแดนที่มีอยู่กว่า 13 จุดทั่วประเทศ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากข้อมูลของสมาคมผู้บริโภคผักอินทรีย์ ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้มีการตรวจสอบสารเคมีตกค้างในผัก และผลไม้ที่ประเทศต่างๆ ที่นำเข้าในปี 2544 - 2545 พบว่าผักจากสาธารณรัฐประชาชนจีน มีสารเคมีตกค้างเกินค่ามาตรฐานถึงร้อยละ 47 ของปริมาณจากนำเข้าทั้งหมด (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 12 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ไทยลงนามกฎหมายบุหรี่โลก หยุดยั้งการตาย4.9ล้านคน

น.พ.หทัย ชินานนท์ ประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ลงนามสัตยาบันกฎหมายบุหรี่โลกแล้ว ที่องค์การสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากที่ได้ผลักดันมาเป็นเวลาเกือบ 2 ปีซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจอีกครั้งหนึ่งของประเทศไทยที่อยู่ในกลุ่มบุกเบิกงานนี้ โดยไทยเป็นประเทศที่ 36 ที่ลงนามให้สัตยาบันตามธรรมนูญของกรอบอนุสัญญาควบคุมยาสูบนี้ ซึ่งหากมีการลงนามสัตยาบันครบ 40 ประเทศตามกำหนด กรอบอนุสัญญาจะเริ่มมีผลบังคับใช้ และจะมีการตั้งคณะกรรมการระดับนานาชาติเข้าดำเนินการควบคุม ขณะนี้รออีก 4 ประเทศลงนามก็มีผลบังคับใช้ ควบคุมโฆษณา ส่งเสริมระหว่างประเทศ และสามารถหยุดยั้งการตาย ได้ถึง 4.9 ล้านคน ประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการลงนามในกรอบอนุสัญญาหากมีการบังคับใช้ แม้ว่าจะไม่เห็นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนนัก เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีความเข้มแข็งของกฎหมายการควบคุมบุหรี่อยู่แล้ว แต่จะได้รับประโยชน์ทางอ้อม อาทิเช่น การจัดการกับการโฆษณาส่งเสริมการขายข้ามประเทศผ่านทางโทรทัศน์ ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากนานาประเทศ โดยเฉพาะการโฆษณาในกีฬาประเภทต่างๆ ผ่านทางเคเบิลทีวี และห้ามบริษัทบุหรี่สนับสนุนกีฬาต่างๆ ที่ถือเป็นการโฆษณาทางอ้อม ซึ่งปัจจุบันพบว่า เด็กที่นิยมดูรายการดังกล่าวเริ่มเข้าเป็นลูกค้าหน้าใหม่ของบุหรี่ต่างประเทศมากขึ้นถือเป็นสิ่งที่น่าวิตก (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 12 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ขยะอิเล็กทรอนิกส์ระบบนิเวศน์ งานด่วนเวทีถกสิ่งแวดล้อมโลก

นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า วันที่ 17 พ.ย.นี้ ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมระดับรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิก ก่อนการประชุมใหญ่สมัชชาการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโลกครั้งที่ 3 มีปัญหาสำคัญ ได้แก่ ปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ มีกฎหมายเกี่ยวข้องกับหลายประเทศ และอาจต้องเสนอให้มีการออกกฎหมายควบคุมการนำเข้าเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์หรือขยะอิเล็กทรอนิกส์ควบคู่กับการใช้อนุสัญญาบาเซล รวมทั้งปัญหาหมอกสีน้ำตาลที่เกิดจากการเผาไหม้ในที่โล่ง ที่จับตัวเป็นหมอก บดบังแสงแดดทำให้เกิดผลกระทบต่อพืชไวแสง และผลผลิตทางการเกษตรลดลง นอกจากนี้ ปัญหาผงฝุ่นจากทะเลทราย ที่กระจายถึงสหรัฐอเมริกา และปัญหาการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ ที่เกิดจากการละลายของธารน้ำแข็ง ล้วนเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทั้งโลกให้ความสำคัญ ขณะที่ไทย จะเสนอให้ยกระดับศูนย์ป้องกันไฟป่า ศูนย์สิ่งแวดล้อมทางด้านสุขภาพ และศูนย์ข้อมูลทางภูมิศาสตร์ด้านการเสื่อมโทรมของดิน เป็นศูนย์ระดับอาเซียน รวมทั้งจะเสนอให้มีการทำความตกลงร่วมกันเรื่องมลพิษข้ามแดนด้วย (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 12 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215