หัวข้อข่าวปีที่ 5 ฉบับที่ 49 ประจำวันที่ 2004-12-04

ข่าวการศึกษา

เปิด "อุทยานเรียนรู้"
มก.ให้นิสิตทำกิจกรรมเสริมหลักสูตร จบแล้วออกใบรับรองใช้สมัครงานได้
แอดมิชชั่นนำร่อง "ลั่นฆ้อง" รับสมัครแล้ว คาด นร.สนใจคัดเลือกผ่านอินเตอร์เน็ตนับแสน
ม.รังสิตเปิด ป.โท ปั้นครูป้อน ร.ร.สองภาษา
หลักสูตรEPรร.รัฐ ขาดครูเก่งภาษา เข็นสู้นานาชาติยาก
ไขปริศนาการศึกษาฟินแลนด์
รัฐเตรียมทุ่ม1,500ล. อุ้มการศึกษาบุตรขรก.
ศธ.ให้ ม.มหิดลวิจัย "โครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน "

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

โลกได้เฮพบแหล่งพลังงานใหม่เป็นก๊าซฮีเลียมบนดวงจันทร์
จุลเทคโนโลยีปฏิวัติโลกกีฬาตีลูกกอล์ฟพุ่งไกลเป็นจรวด
ต้นแบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์
กรดที่สุดในโลก
ซิป้าทุ่มเกือบ400ล้าน สร้างเทคโนโลยี ปาร์ค
นักวิทย์ค้นหา เคล็ดลับกิ้งก่า วิ่งฉิวบนผิวน้ำ
เตรียมใช้งานโทรศัพท์มือถือเป็นอุปกรณ์เช็กอินขึ้นเครื่องบิน
ปืน "สตันกัน" ใช้ไฟฟ้าแรงสูงอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
เวทีวิชาการชู'พลังงานลม'สู้วิกฤติน้ำมัน เสนอรัฐทบทวนไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ เหตุขาดความคุ้มทุน
มะกันเผยโฉมเทคนิคส่งข้อมูลเร็วสูง ทุบสถิติเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโลก
รกเด็กช่วยรักษาอัมพาต นักวิทย์เกาหลีทดลองใช้รักษาสันหลังหัก
มีวิธีผลิตไฮโดรเจนราคาถูกน่าจะเป็นแหล่งพลังงานอนาคต
ประดิษฐ์ชุดตรวจดีเอ็นเอหมีป้องกันการค้าสัตว์ป่า
เตือนจนท.ห้องแล็บวิทย์ตายผ่อนส่ง

ข่าววิจัย/พัฒนา

กินโกโก้แก้ไอเรื้อรังหายได้ชะงัดยังไม่มียาใดรักษาจนหายขาด
เครื่องเกี่ยวนวดทานตะวันไฮเทค มก.โชว์ที่งานเกษตรกําแพงแสนปี '47
อ.อ.ป.ทำก๊าซชีวภาพจากมูลช้างเป็นพลังงานทดแทน
นักวิทย์รุ่นเยาว์ชู'เปลือกกุ้ง'ลดตะกอนน้ำ ลดเสี่ยงอัลไซเมอร์ จากดื่มน้ำแกว่งสารส้มระยะยาว
ราชมงคลน่านเพิ่มค่า “สาหร่ายไก” แปรรูปทำลูกชิ้น อุดมด้วยคุณค่า
ผลทับทิมปกปักพิทักษ์หัวใจเหนือกว่าชาเขียวเหล้าไวน์แดง
เภสัชกรนานาชาติเสนอวิจัยไทย เพรียงหัวหอมรักษามะเร็งเต้านม
ผ้านาโนสะอาดไม่เปลืองแรงขยี้ เคลือบสารกันรอยเปื้อนเกาะติด
หลอดทดลอง "นาโน" เล็กที่สุดในโลก
เมนูเด็ดจักจั่น ช่วยต้นไม้เจริญอาหาร
ฝ่ามือคนเรามีอภินิหารคุ้มครองไม่ให้เชื้อโรคเข้ามาทำอันตราย
เอ็มเทคดันผลิต'อีโค-คอมเพรสเซอร์’ ดึงวิศวกรญี่ปุ่นแนะนำเทคนิค คาด 1 ปีชิ้นงานแล้วเสร็จ
ม.เชียงใหม่รับทุนวิจัย100ล้าน เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรท้องถิ่น
ม.มหิดลตั้งเครือข่ายวิจัยกระดูก ระดมแพทย์-นักวิชาการแก้ปัญหา
พบสรรพคุณชาเขียวเพิ่มอีกช่วยเป็นเกราะคุ้มกันมะเร็ง
ชุดตรวจอาวุธชีวภาพ ทัพเรือพัฒนารับมือโจรไบโอเทค
มธ.คิดค้นระบบติดตามรถเมล์ ทราบล่วงหน้าเวลาจอดป้าย
งานวิจัยม.เชียงใหม่คว้ารางวัลดีเยี่ยม เทคนิคใหม่ถ่ายฝากดีเอ็นเอ ช่วยเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรม
เด็กไทยเจ๋งคว้าเหรียญทองหุ่นยนต์นานาชาติที่สิงคโปร์
เสื้อไฮเทควัดคลื่นหัวใจส่งเข้ามือถือต่อสายตรงถึงศูนย์แพทย์เช็คจังหวะเต้นผิดปกติ
นักวิจัยญี่ปุ่นโชว์นวัตกรรมผลิตไบโอดีเซล จุดเด่นใช้วัตถุดิบหลากหลายทั้งน้ำมันพืช-ไขมันสัตว์
ญี่ปุ่นเล็งวิจัยขีปนาวุธพิสัยไกล

ข่าวทั่วไป

ให้ผู้ชายใช้คาเฟอีนละเลงหัวป้องกันผมร่วงศีรษะล้านเตียน
เร่งวิจัยสมุนไพร 'ปัญจขันธ์' พร้อมหนุนเกษตรกรปลูก
หนุนปลูกไม้โตเร็วแทนพลังงาน
กลุ่ม ASEAN Plus Three ยกไทยเป็นศูนย์กลางข้อมูลด้านเกษตร
คพ.-เอกชน รีไซเคิลอะลูมิเนียม ทำ "ขาเทียม" ลดขยะตกค้าง
อย.ตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จแห่งเดียวในโลก
มกอช.เกาะติดกฎระเบียบใหม่สหรัฐ-อียู
ตึกสูงทำให้ป่วย
เกษตรกรจัดงานวันข้าวหอมมะลิโลก หนุนกุ๊กแปรรูปป้อนร้านในต่างแดน
สกอ.ชี้ตลาดโลกขาดนักไอที-พยาบาล





ข่าวการศึกษา


เปิด "อุทยานเรียนรู้"

เมื่อวันที่ 29 พ.ย. ที่ผ่านมา ดร.สิริกร มณีรินทร์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการสำนักงานอุทยานการเรียนรู้ เปิดเผยว่า รัฐบาลได้เตรียมการประเทศไทยให้เป็นสังคมฐานความรู้ โดยจัดตั้งอุทยานการเรียนรู้ขึ้น 5 แห่ง ได้แก่ กทม. เชียงใหม่ ชลบุรี มหาสารคาม ยะลา โดยใน กทม.จะเปิดให้บริการปลายเดือน ม.ค.2548 ซึ่งเป็นโครงการต้นแบบที่ชั้น 6 เซ็นทรัลเวิลด์ พลาซา ซึ่งภายในอุทยานจะมีสื่อทันสมัย ลานสานฝัน ซึ่งเป็นลานกิจกรรมให้เด็กได้แสดงความสามารถ ห้องสมุดมีชีวิต ซึ่งจะมีมุมต่างๆให้เด็กได้อ่านหนังสืออย่างผ่อนคลาย และมีมุมหนังสือที่แนะนำโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สื่อ Audio Visual ตลอดจนเทคนิคภาคเสมือนจริง หรือ Virtual Reality ทั้งยังเปิดโอกาสให้ตัวแทนเยาวชน 4 คน ร่วมเป็นกรรมการบริหารอุทยานการเรียนรู้ด้วย หลังจากนี้ก็จะเตรียมเปิดอุทยานการเรียนรู้ที่ จ.ยะลา ต่อไป. (ไทยรัฐ อังคารที่ 30 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)





มก.ให้นิสิตทำกิจกรรมเสริมหลักสูตร จบแล้วออกใบรับรองใช้สมัครงานได้

ข่าวจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์(มก.) แจ้งว่า มก.ได้จัดระบบการเรียนรู้แบบใหม่ เพื่อให้นิสิตของมหาวิทยาลัยเตรียมพร้อม และเข้ากับการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคนี้ได้ ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยจะเน้นการสร้างโอกาสการเรียนรู้ทั้งจากภายในชั้นเรียน และภายนอกชั้นเรียน รวมทั้งการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์จากเครือข่ายของ มก. โดยมีกิจกรรมเสริมหลักสูตร เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการเรียนรู้แบบใหม่ ซึ่งนิสิต มก.ทุกคนทุกวิทยาเขต จะต้องเข้าร่วมกิจกรรมเสริมหลักสูตรตลอดระยะเวลาที่ศึกษาใน มก.ไม่น้อยกว่า 15 กิจกรรม หรือจำนวน 100 หน่วยชั่วโมง ซึ่งเมื่อนำมาเทียบกับระบบการประกันคุณภาพการศึกษาแล้ว นิสิตจะต้องเข้าร่วมกิจกรรมอย่างน้อย 3 โครงการต่อคนต่อปี อันเป็นเกณฑ์ระดับปานกลาง ในขณะที่เกณฑ์ระดับยอดเยี่ยมอยู่ที่ 5 โครงการต่อปีต่อคน นอกจากนี้เมื่อจบการศึกษานิสิต มก.ทุกคนจะได้รับใบรับรองประสบการณ์เข้าร่วมกิจกรรมของนิสิต หรือใบทรานสคริปต์กิจกรรมเพิ่มเติมอีกหนึ่งใบ นอกเหนือจากใบทรานสคริปต์หลักสูตรการศึกษา ซึ่งสามารถนำไปยื่นให้กับบริษัท ห้างร้านต่างๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจในการรับเข้าทำงานได้ทันที นับว่า มก.เป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกที่ได้ดำเนินการในเรื่องนี้อย่างเต็มรูปแบบ โดยจะเริ่มดำเนินการกับนิสิตที่เข้าศึกษาชั้นปีที่ 1 ปีการศึกษา 2547 เป็นรุ่นแรก (มติชนรายวัน อังคารที่ 30 พ.ย. 47 http://www.matichon.co.th)





แอดมิชชั่นนำร่อง "ลั่นฆ้อง" รับสมัครแล้ว คาด นร.สนใจคัดเลือกผ่านอินเตอร์เน็ตนับแสน

นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ลงนามความร่วมมือกับ บมจ.ธนาคารกรุงไทย ในการให้บริการรับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกเข้าศึกษาต่อ ในสถาบันอุดมศึกษาผ่านทางอินเตอร์เน็ต ในโครงการนำร่องระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษา หรือระบบแอดมิชชั่น ซึ่งจะเริ่มรับสมัครตั้งแต่วันที่ 1-25 ธ.ค.นี้ ผ่านทางอินเตอร์เน็ตเท่านั้น ทางเว็บไซต์ www.cuas. or.th โดยผู้สมัคร เลือกคณะได้ 4 อันดับ เสียค่าใช้จ่าย 250 บาท และค่าธรรมเนียมบริการทางอินเตอร์เน็ต 15 บาท รวมผู้สมัคร 1 คนเสียค่าใช้จ่ายไม่เกินครั้งละ 265 บาท ทั้งนี้เมื่อผู้สมัครสมัครผ่านทางอินเตอร์เน็ตแล้ว ให้นำสำเนาใบสมัครมาชำระค่าสมัครได้ที่สาขาของธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ ซึ่งมีอยู่ 615 สาขา หรือผู้สมัครรายใดเปิดบัญชีกับธนาคารกรุงไทยไว้ ก็สามารถหักเงินจากบัญชีเงินฝากได้ สำหรับจำนวนรับผ่านระบบแอดมิชชั่นนำร่องปี 2548 มีมหาวิทยาลัยเข้าร่วม 24 แห่ง รวม 17,000 ที่นั่ง คาดว่าจะมีผู้สมัครประมาณ 70,000-80,000 คน ด้านนายสหัส ตรีทิพยบุตร รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า การรับสมัครผ่านทางอินเตอร์เน็ตนี้จะช่วยให้ผู้สมัครประหยัดค่าเดินทาง ผู้สนใจสอบถามได้ที่ 1551 หรือ 0-2260-8333 ต่อ 461-2 สำหรับจำนวนรับของแต่ละมหาวิทยาลัยมีดังนี้ ม.ขอนแก่น 120 คน ม.ทักษิณ 576 คน ม.เทคโนโลยีสุรนารี 255 คน ม.นเรศวร 360 คน ม.บูรพา 658 คน ม.มหาสารคาม 730 คน ม.แม่โจ้ 166 คน ม.แม่ฟ้าหลวง 250 คน ม.สงขลานครินทร์ 875 คน ม.อุบลราชธานี 299 คน ม.ราชภัฏภูเก็ต 295 คน สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 180 คน ม.กรุงเทพ 945 คน ม.เกษมบัณฑิต 60 คน ม.คริสเตียน 310 คน ม.เทคโนโลยีมหานคร 200 คน ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ 510 คน ม.พายัพ 1,300 คน ม.รังสิต 2,140 คน ม.ศรีปทุม 490 คน ม.สยาม 350 คน ม.หอการค้าไทย 2,990 คน ม.หัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ 1,415 คน ม.อัสสัมชัญ 1,360 คน. (ไทยรัฐ พุธที่ 1 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





ม.รังสิตเปิด ป.โท ปั้นครูป้อน ร.ร.สองภาษา

ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวในการเปิดตัวหลักสูตรปริญญาโทศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาระบบสองภาษาแห่งแรกของประเทศไทย ที่โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยรังสิต ว่ามหาวิทยาลัยเปิดหลักสูตรปริญญาโทศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาระบบสองภาษา ดร.มานิต บุญประเสริฐ คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า หลักสูตรดังกล่าวใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อการสอน ซึ่งลักษณะการเรียนมีทั้งแบบทำวิทยานิพนธ์และแบบศึกษารายวิชาอย่างเดียว หลังจากนั้นสอบประเมินความรู้ มี 36 หน่วยกิต ใช้เวลาเรียนไม่เกิน 1 ปีครึ่ง สำหรับผู้ที่จะมาเรียนต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านศิลปศาสตร์บัณฑิต ศึกษาศาสตร์บัณฑิต วิทยาศาสตร์บัณฑิต และสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องจากสถาบันที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) โดยต้องมีคะแนนเฉลี่ย 2.50 ขึ้นไป อีกทั้งผ่านการทดสอบภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัยหรือมีคะแนนมาตรฐานสอบโทเฟล หรือไอเอล โดยเปิดสอนรุ่นแรกไปแล้วในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2547 ซึ่งมีผู้สนใจเข้าเรียน 20 คน ผู้ที่สนใจเข้าศึกษาหลักสูตรนี้ในปีการศึกษา 2548 สอบถามได้ที่โทร.0-2792-7582 ทั้งนี้มหาวิทยาลัยรังสิตยังเปิดอีก 3 หลักสูตรคือ หลักสูตรศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ใช้ภาษาไทยเป็นสื่อการสอน และหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตทางการศึกษา รวมถึงหลักสูตรปริญญาตรีควบปริญญาโทด้านศึกษาศาสตร์เรียน 5 ปี (คมชัดลึก พุธที่ 1 ธ.ค. 47 http://www.komchadluek.net)





หลักสูตรEPรร.รัฐ ขาดครูเก่งภาษา เข็นสู้นานาชาติยาก

ตามที่นายอดิศัย โพธารามิก รมว.ศึกษาธิการ ระบุว่าต่อไปโรงเรียนที่สอนโดยหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ เป็นภาษาอังกฤษ หรือ English Programe (EP) จะต้องพัฒนาสามารถเป็นคู่แข่งของโรงเรียนนานาชาติได้นั้น นางพรนิภา ลิมปพยอม เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า โรงเรียนที่สอนด้วยรูปแบบ EP นั้น เป็นโรงเรียนที่เปิดโอกาสให้กับเด็กที่มีฐานะทางการเงินไม่มาก แต่อยากเรียนเป็นภาษาอังกฤษได้มีโอกาสเรียน เพราะโรงเรียนลักษณะนี้จะเก็บค่าเล่าเรียนประมาณ 70,000-80,000 บาท ซึ่งถูกกว่าค่าเทอมที่โรงเรียนนานาชาติเรียกเก็บเป็นแสนบาทถึงล้านบาท ขณะที่ รมว.ศึกษาธิการต้องการให้พัฒนาโรงเรียนที่สอนด้วยแบบมินิ EP เป็นระบบ EP เต็มรูปแบบไปเลย แต่ปัจจุบันนี้โรงเรียนที่เป็นรูปแบบ EP ของเอกชนนั้นจะได้รับการนิยมและพัฒนาได้มากกว่าของรัฐ เพราะเอกชนจะสนับสนุนทุกเรื่องอย่างเต็มที่ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถแข่งขันกับโรงเรียนนานาชาติได้ แต่ในส่วนโรงเรียนของรัฐนั้นยังติดปัญหาเรื่องของการหาครูผู้สอนที่ค่อนข้างยากอยู่ ขณะนี้กำลังเตรียมเสนอคณะกรรมการที่ทำหน้าที่พิจารณาปรับหลักเกณฑ์ของโรงเรียน รูปแบบ EP ที่จะนำมาใช้ทั้งของโรงเรียนรัฐและเอกชนโดยตนเป็นประธาน ให้ รมว.ศึกษาธิการ ลงนาม ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้จะทำหน้าที่พิจารณาปรับหลักเกณฑ์ของโรงเรียนที่สอนด้วยรูป แบบ EP ให้มีความเหมาะสม โดยเฉพาะเรื่องของมาตรฐาน ทั้งนี้ปัจจุบันมีโรงเรียนมินิ EP อยู่หลายโรงซึ่งจะต้องพัฒนาให้เป็นแบบ EP ให้ได้ แต่ถ้าทำเต็มรูปแบบไม่ได้ก็ต้องยกเลิกไปเลย โดยเชื่อว่าเมื่อได้รับการพัฒนาแล้วโรงเรียนรูปแบบ EP จะสามารถเข้ามาตีตลาดได้มากขึ้น เพราะทุกวันนี้ผู้ปกครองไทยก็สนใจส่งลูกเรียน เพราะสอนเป็นภาษาอังกฤษและยังได้วัฒนธรรมไทยได้ความเป็นไทยอยู่ (สยามรัฐ พุธที่ 1 ธ.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)





ไขปริศนาการศึกษาฟินแลนด์

นางทูลา ฮาไทเนน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาฟินแลนด์ กล่าวว่าเคล็ดลับที่ทำให้ฟินแลนด์ก้าวขึ้นมายืนอยู่ในระดับแถวหน้าในแวดวงการศึกษาทั้งในระดับทวีปและระดับโลกอย่างเต็มภาคภูมิว่า คณะรัฐบาลเฮลซิงกิทำงานอย่างหนัก และยอมทุ่มทุนการศึกษาให้แก่ผู้คนในชาติแบบเน้นๆ กันทุกระดับชั้น ตั้งแต่ประถมถึงมหาวิทยาลัย หรือแม้กระทั่งงานวิจัยต่างๆ ตลอดจนการฝึกวิชาชีพให้แก่บรรดานักเรียน นักศึกษา โดยมีเป้าหมายว่า การศึกษาเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ และผลนั้นก็สนองตอบ เพราะวันนี้ ฟินแลนด์สามารถก้าวขึ้นมาเป็นชาติที่พัฒนาแล้ว ทั้งในด้านอุตสาหกรรม และเกษตรกรรมอันเป็นรากฐานเศรษฐกิจดั้งเดิมของประเทศ การพัฒนาระบบการศึกษาของฟินแลนด์ ไม่ใช่มุ่งพัฒนาแต่เฉพาะในโรงเรียนหรือเฉพาะสถาบันการศึกษา เหมือนกับที่ประเทศอื่นๆ เขาทำกัน แต่เราให้การศึกษากระจายไปยังชุมชน หรือแม้แต่บ้านเรือนทุกครัวเรือนด้วย โดยการกระจายการศึกษาไปสู่ชุมชนท้องถิ่นต่างๆ นั้น รัฐบาลได้สร้างห้องสมุดสำหรับชุมชนขึ้น เรียกว่า สร้างขึ้นแบบทุกหัวระแหง มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนระดับผู้ใหญ่ในชุมชนนั้น ใช้เป็นสถานศึกษา แสวงหาความรู้ นอกโรงเรียน เป็นการศึกษากันแบบตลอดชีพ ขณะที่ระดับครัวเรือน ทางการก็ได้ให้ครอบครัวเข้ามามีส่วนร่วมต่อการพัฒนาการศึกษา ด้วยการสร้างจิตสำนึกแก่ทุกครอบครัวให้ตระหนักถึงคุณค่าของการศึกษาของเยาวชนโดยการให้พ่อ แม่ และผู้ปกครอง ดูแลเอาใจใส่การศึกษาของบุตรหลาน คอยหมั่นไต่ถามหรือพูดคุยกันแบบสบายๆ ภายในครอบครัวถึงเนื้อหาวิชาที่เรียน คือ มีสาระบนความบันเทิงภายในครอบครัวนั่นเอง จากผลงานที่ผ่านมาข้างต้นนั้น นอกจากจะทำให้ฟินแลนด์ มีระดับการศึกษาอยู่ในแถวหน้าของโลกแล้ว ทางโออีซีดี ยังจัดให้ดินแดนในภูมิภาคสแกดิเนเวียแห่งนี้ มีมาตรฐานของผู้รู้หนังสือ อ่านออกเขียนได้ ที่ดีที่สุดในโลกอีกด้วย (สยามรัฐ พุธที่ 1 ธ.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)





รัฐเตรียมทุ่ม1,500ล. อุ้มการศึกษาบุตรขรก.

เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 47 นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงร่างพระราชกฤษฎีกาการเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรข้าราชการ(ฉบับที่.) ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีคณะที่ 7 มีมติเห็นชอบ ให้บุตรข้าราชการสามารถเบิกค่าเล่าเรียนได้ หากต่ำกว่าอนุปริญญา ก็สามารถเบิกค่าเล่าเรียนได้เต็ม แต่ถ้าไม่เกินปริญญาตรีและอยู่ในหลักสูตรรวมก็สามารถเบิกค่าเล่าเรียนได้ครึ่งหนึ่ง ซึ่งรัฐบาลเกิดภาระรวมทั้งสิ้นกว่า 1,500 ล้านบาท แต่ก็คุ้มสำหรับการสนองกฎหมายการศึกษา เพื่อเป็นการขยายโอกาสทางการศึกษา สนองกฎหมายการศึกษาแห่งชาติ และเพื่อเป็นสวัสดิการแก่ข้าราชการ ไม่ใช่เพื่อหาเสียง เพราะยังไม่มีผลตอนนี้ จะมีผลในปีการศึกษาหน้า นายพินิจ จารุสมบัติ รองนายกฯ เปิดเผยว่า รัฐบาลได้รับการร้องเรียนมีผู้เกษียณอายุจากการทำงานยังต้องชำระเบี้ยประกันสังคมจำนวน 9% ตาม มาตรา39 พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 อยู่ ทั้งที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวไม่มีรายได้ มีเพียงเงินบำเหน็จบำนาญซึ่งน้อยกว่าเงินเดือน ดังนั้นรัฐบาลจึงได้เชิญกระทรวงแรงงาน มาหารือถึงความเป็นไปได้ในการแก้ พ.ร.บ.ประกันสังคม โดยให้กลุ่มผู้ที่เกษียณอายุราชการดังกล่าวไม่ต้องชำระค่าประกันสังคมอีกเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่กับผู้ชราที่ไม่มีเงินจะเสียค่าประกันสังคม โดยเฉพาะคนชราอายุ 60 ปีขึ้นไป (สยามรัฐ พฤหัสบดีที่ 2 ธ.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)





ศธ.ให้ ม.มหิดลวิจัย "โครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน "

คณะกรรมการพัฒนายุทธศาสตร์สำหรับแก้ปัญหาเด็กยากจน-ด้อยโอกาสให้ม.มหิดลทำวิจัยโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน ตั้งเป้านำข้อมูลมาปรับโฉมโครงการทั้งวิธีคัดเลือกเด็ก การเตรียมความพร้อมและพิจารณาประเทศที่ส่งไปเรียนต่อ ดร.จรวยพร ธรณินทร์ รองปลัด ศธ.ในฐานะประธานอนุกรรมประชาสัมพันธ์ของคณะกรรมการพัฒนายุทธศาสตร์สำหรับแก้ปัญหาเด็กยากจนและด้อยโอกาสที่มีนายจาตุรนต์ ฉายแสง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานว่า คณะกรรมการพัฒนาฯมีมติให้สถาบันวิจัยประชากรของมหาวิทยาลัยมหิดล ทำวิจัยโครงการ 1 ทุน 1 อำเภอ ให้ทุนนักเรียน ม.6 ที่ยากจนแต่เรียนดี อำเภอละ 1 คน รวมทั้งหมด 921 คน ไปศึกษาต่อต่างประเทศ ซึ่งการวิจัยนี้จะดำเนินการโดยส่งแบบสอบถามให้เด็กที่เข้าโครงการตอบกลับมา สัมภาษณ์ผู้ปกครอง ครูระดับมัธยมของนักเรียนด้วย และอาจจะให้นักวิจัยไปสัมภาษณ์นักเรียน และอาจารย์ระดับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศด้วย คณะกรรมการพัฒนายุทศาสตร์ฯจะนำข้อมูลมาประเมินว่า โครงการนี้บรรลุวัตถุประสงค์มากแค่ไหน อีกทั้งดูว่าโครงการนี้มีสิ่งใดที่สมควรปรับแก้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นวิธีคัดเลือกนักเรียน การเตรียมความพร้อม หรือดูว่าประเทศใดบ้างที่สมควร หรือไม่สมควรส่งนักเรียนทุนไปศึกษาต่อ (คมชัดลึก เสาร์ที่ 4 ธ.ค. 47 http://www.komchadluek.net)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


โลกได้เฮพบแหล่งพลังงานใหม่เป็นก๊าซฮีเลียมบนดวงจันทร์

นักวิทยาศาสตร์ของสถาบันภูมิฟิสิกส์ดวงดาวแห่งสหรัฐฯ กล่าวว่า จากการวิเคราะห์แร่ธาตุ ที่เก็บมาจากดวงจันทร์ ได้พบว่ามีก๊าซฮีเลียม 3 อยู่อย่างอุดม ก๊าซชนิดนี้ใช้อยู่ในตู้เย็นและ ใช้ในการสร้างลำแสงเลเซอร์ ผู้อำนวยการของสถาบันนายลอเรนซ์ เทย์เลอร์ กล่าวว่า หากเทียบกับโลกแล้ว ดวงจันทร์นับว่ามีก๊าซฮีเลียม 3 อยู่เป็นปริมาณมหาศาล หากนำเอาก๊าซฮีเลียม 3 มาผสมกับดิวเทอเรียม อันเป็นไอโซโทปของไฮโดรเจน ปฏิกิริยารวมตัวที่เกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิสูง จะก่อให้เกิดพลังงานเป็นปริมาณมหาศาล แค่เพียงด้วยก๊าซ 25 ตัน ที่อาจใช้บรรทุกมาด้วยยานอวกาศเที่ยวเดียว จะใช้ผลิตไฟฟ้าให้ อเมริกาใช้ไปได้ทั้งปี ลมสุริยะเป็นตัวพัดพาเอาก๊าซมาไว้บนดวงจันทร์ การที่จะสกัดมัน ออกจากดินและหินของดวงจันทร์ได้ จะต้องเอามาหลอมด้วยอุณหภูมิสูงถึง 800 องศาเซลเซียส ซึ่งจะต้องใช้ดินดวงจันทร์ถึง 200 ล้านตัน จึงจะสกัดก๊าซออกมาได้เป็นปริมาณ 1 ตัน ทำให้ดวงจันทร์จะมีปริมาณพลังงาน ที่จะได้จากก๊าซฮีเลียม 3 มากกว่าพลังงานที่โลกได้จากน้ำมันกว่ากันถึง 10 เท่า. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 29 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)





จุลเทคโนโลยีปฏิวัติโลกกีฬาตีลูกกอล์ฟพุ่งไกลเป็นจรวด

จุลเทคโนโลยี อันเป็นวิทยาศาสตร์แขนงใหม่ ว่าด้วยการย่อส่วน เหมือนกับการเล่นต่อตัวเลโก้ในระดับอะตอม สามารถใช้สร้างเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ที่มีคุณสมบัติวิเศษต่างๆ อย่างเช่น ลดความเสียดทานและขัดขวางแบคทีเรีย ที่สร้างกลิ่นเหม็นอันน่ารังเกียจเจริญเติบโตขึ้นได้ บริษัทนาโนไดนามิกส์ อันเป็นบริษัทที่สร้างอุปกรณ์กีฬา โดยจุลเทคโนโลยีของสหรัฐฯได้ประกาศว่า ได้คิดสร้างวัสดุพิเศษ ใช้การดัดแปลงระดับปรมาณูทำลูกกอล์ฟขึ้นได้ แค่เพียงหวดด้วยไม้กอล์ฟเพียงเบาๆ ก็ส่งลูกปลิวโลดแล่นไปไกล ขณะเดียวกัน บริษัท "นาโนซิส" บริษัทคู่แข่งอีกแห่งหนึ่ง ที่มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ก็แจ้งว่า ได้ประดิษฐ์วัสดุหุ้มเคลือบชนิดใหม่ขึ้นได้ ด้วยจุลเทคโนโลยี และนำมาตัดเย็บชุดว่ายน้ำขึ้น ทำให้นักว่ายน้ำที่สวมชุดนี้ ว่ายได้ลื่นไหล ยังมีบริษัทแห่งที่ 3 บริษัท "นาโนฮอริซันส์" ที่เพนซิลเวเนีย กล่าวแจ้งว่า ได้ผลิตรองเท้าวิ่งด้วยวัสดุสีเงิน ซึ่งดับกลิ่น ที่เกิดจากแบคทีเรียอันเนื่องมาจากเหงื่อของนักวิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะรู้สึกยินดีกับความสำเร็จในการสร้างอุปกรณ์กีฬาไฮเทคใหม่ๆไปหมด โดยเฉพาะจอห์น แมคเอนโร อดีตแชมเปี้ยนเทนนิสชายเดี่ยวของวิมเบิลดันถึง 3 สมัย กล่าวออกความเห็นถึงแร็กเกตเทนนิสแบบใหม่ที่ผลิตด้วยจุลเทคโนโลยี สามารถเสิร์ฟลูกได้แรง และด้วยความเร็วมากกว่าแร็กเกตกราไฟต์ในปัจจุบันว่า "ต่อให้ยอดนักเทนนิสของโลก ก็คงต้องใช้เรดาร์จับถึงจะเล่นได้ เพราะด้วยความเร็วสูงขนาดนั้น ไม่มีใครจะมองลูกได้ทัน" (ไทยรัฐ อังคารที่ 30 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)





ต้นแบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์

เปิดการใช้งานระบบใหม่ของโครงการเปลี่ยนการบริหารการเงินการคลังภาครัฐสู่อิเล็กทรอนิกส์หรือ GFMIS กันไปแล้วเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ปัจจุบันมีหน่วยงานทำรายการผ่านระบบดังกล่าวประมาณ 1 แสนรายการ เป็นยอดบันทึกการจัดสรรงบประมาณเกือบ 7 แสนล้านบาท หรือประมาณ 50% ของงบประมาณทั้งหมดของประเทศ และ 1 ธันวาคมนี้ 13 หน่วยงานใหญ่อาทิ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ สำนักงานปลัดกระทรวงไอซีทีและสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน นำร่องตัดปฏิบัติการคู่ขนาน หันหลังให้กับระบบที่ทำด้วยกระดาษหรือทำด้วยมือ พร้อมเดินหน้าทำรายการทั้งหมดผ่านระบบ GFMIS สำหรับกรมสรรพากร ที่รู้จักกันดีว่าเป็นผู้นำในเรื่องของการใช้ไอทีในภาครัฐ ก็เป็น 1 ใน 6,000 กว่าหน่วยงานที่ต้องใช้งานระบบ GFMIS นี้ มีการอัพเดทข้อมูลแบบเรียลไทม์วันต่อวัน คุณอัศวิน วราทร ผู้ช่วยผู้อำนวยการโครงการ GFMIS บอกว่า เนื่องจากกรมสรรพากรมีระบบ Front Office ที่ดี คือ e-Revenue ระบบ GFMIS จะเป็น Back Office ที่ทำให้กรมสรรพากรกลายเป็นต้นแบบของการเป็นรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์อย่างสมบูรณ์แบบตามนโยบายของรัฐบาล (เดลินิวส์ อังคารที่ 30 พ.ย. 47 http://www.dailynews.co.th)





กรดที่สุดในโลก

ล่าสุดนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน แห่ง University of California ประสบความสำเร็จในการสังเคราะห์กรดที่มีความเป็นกรดสูงที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีการค้นพบหรือสังเคราะห์กันมา มีความเข้มข้นมากกว่ากรดซัลฟิวริกเป็นล้านเท่า ก่อนหน้านี้ก็เคยมีการสังเคราะห์กรดที่มีความเป็นกรดสูงที่สุดกันมาก่อนหน้านี้ซึ่งก็คือกรดฟลูออโรซัลฟิวริก (Fluorosulphuric acid) ที่มีความเป็นกรดสูงเสียจนไม่สามารถเก็บไว้ในขวดแก้วได้ เนื่องจากว่าฟลูออไรด์จะทำปฏิกิริยากับซิลิกอนในขณะที่ไฮโดรเจนจะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนทำให้เกิดการกัดกร่อนจนขวดแก้วสามารถทะลุได้ แต่กับกรด "คาร์บอเรน" (Carborane acid) ที่นักวิทยาศาสตร์เพิ่งสังเคราะห์ได้และมีความเป็นกรดสูงกว่ามากนั้นกลับมีความเสถียรมากกว่าที่เราคิด และที่สำคัญก็คือสามารถเก็บไว้ในขวดแก้วได้นั่นเอง โดยที่สูตรโมเลกุลของกรดนี้ก็คือ H (CHB11Cl11) ความเสถียรดังที่กล่าวมาข้างต้นสามารถอธิบาย ได้ดังนี้คือหลังจากที่กรดดังกล่าวแตกตัวให้โปรตอน หรือไฮโดรเจนไอออนแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ ก็คือหมู่คาร์บอเรน CHB11 Cl11 ซึ่งมีความเสถียร มากและไม่ทำปฏิกิริยา กับสารอื่น ๆ ต่อไปอีก ซึ่งต่างจากกรดชนิดอื่น ๆ ที่สามารถ ทำปฏิกิริยาต่อเนื่องไปได้อีกทำให้เกิดสิ่งที่เราเรียกว่าการ "กัด กร่อน" ขึ้น ประโยชน์ของการสังเคราะห์กรดที่มีความเป็นกรดสูงมากเช่นนี้ (กรดที่สามารถให้โปรตอน ได้ดี) ก็คือว่าในปัจจุบันนี้มีผลิตภัณฑ์มากมายหลายชนิดที่ต้องอาศัยกรดหรือสารที่สามารถให้โปรตอนในขั้นตอนของการผลิต ตัวอย่างก็ได้แก่บรรดาวิตามินทั้งหลายที่เราชอบซื้อมารับประทานเป็นอาหารเสริมนั่นเอง นอกเหนือไปจากนั้นแล้วสารประกอบ ที่มีความเป็นกรดนั้นมักเกิดขึ้นได้ในกระบวน การย่อยอาหาร การกลั่น ปิโตรเลียมและการผลิตหรือสังเคราะห์ยา ซึ่งกรดคาร์บอเรนนี้เองที่จะ ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถทำการศึกษาสาร เคมีเหล่านี้ได้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งทำให้ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตหรือสังเคราะห์สารเคมีทั้งหลายเป็นไปอย่างมีประสิทธิ ภาพมากที่สุด แต่สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้หวังไว้มากที่สุดก็คือการที่กรดคาร์บอเรนจะช่วยให้พวกเขาสามารถสังเคราะห์สารเคมีชนิดใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีใครสังเคราะห์ได้มาก่อนในโลกนั่นเอง (เดลินิวส์ พุธที่ 1 ธ.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





ซิป้าทุ่มเกือบ400ล้าน สร้างเทคโนโลยี ปาร์ค

น.พ.ภานุทัต เตชะเสน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชียงใหม่ ดิจิตอล เวิร์ค จำกัด และกรรมการสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (ซิป้า) กล่าวว่า ในปีหน้า ซิป้าจะสร้างเทคโนโลยี ปาร์ค ที่เชียงใหม่ เป็นศูนย์บ่มเพาะกลุ่มเอสเอ็มอี ด้านแอนิเมชัน ผลิตงานออกสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งซิป้าจะจัดตั้งอนุกรรมการเพื่อรับผิดชอบปาร์คแห่งนี้ ให้สามารถเลี้ยงตัวเองได้ในอนาคตจากค่าเช่าที่คิดจากเอสเอ็มอี ทั้งนี้ จะใช้งบลงทุนประมาณ 362 ล้านบาท เป็นงบต่อเนื่อง 5 ปี แบ่งเป็นปีแรก 192 ล้านบาท สำหรับการจัดตั้งในเชียงใหม่ก่อนไอซีที ซิตี้แห่งอื่น เพราะเป็นงบประมาณเดิม ที่ได้รับอนุมัติจากสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ตามแผนพัฒนาขีดความสามารถภาคเหนือ ตั้งแต่ปี 2546 โดยศูนย์แห่งนี้ จะลงทุนเทคโนโลยี แล้วให้เอสเอ็มอีเช่าเครื่องมือในราคาประหยัด โดยขณะนี้ มีเอสเอ็มอี ภาคเหนือ กว่า 10 แห่ง รวมกลุ่มกันสร้างงาน และเข้ามาใช้ประโยชน์จากศูนย์แห่งนี้ ตามกระแสการเติบโตของงานแอนิเมชัน ซึ่งหากจัดตั้งเสร็จปาร์คแห่งนี้ จะเริ่มผลิตโครงการสร้างแอนิเมชัน "เวอร์ชวล ลานนา" เป็นภาพยนตร์ 3 มิติ มุ่งส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวภาคเหนือ ส่วนปีหน้าตลาดแอนิเมชันไทยจะเติบโตดีขึ้น และมีภาพยนตร์แอนิเมชันฉายในโรงภาพยนตร์ และสถานีโทรทัศน์กว่า 10 เรื่อง และแนวทางการพัฒนาแอนิเมชันปีหน้า จะมีรูปแบบลักษณะ "นอน รีเนีย แอนิเมชัน" ซึ่งตัวการ์ตูนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองกับผู้ชม โดยกำลังเจรจากับผู้จัดงานมอเตอร์โชว์ นำเสนอรูปแบบใหม่ของการโฆษณาปีหน้า (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 1 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





นักวิทย์ค้นหา เคล็ดลับกิ้งก่า วิ่งฉิวบนผิวน้ำ

อังกฤษวิจัยไขปริศนาความสามารถเดินบนผิวน้ำของกิ้งก่าบาซิลิสค์ ยืนยันความรู้ที่ได้จะทำให้โลกเข้าใจได้ว่า ทำไมสิ่งมีชีวิตแต่ละสายพันธุ์จึงเดินบนพื้นผิวได้ต่างกัน กิ้งก่าบาซิลิสค์ (basilisk/Jesus) หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Basiliscus plumifrons เป็นกิ้งก่าที่มีลำตัวยาวและเท้าใหญ่ บริเวณปลายนิ้วแต่ละนิ้วจะมีขนขึ้นในลักษณะที่คล้ายกับใบของเฟิร์น มีความสามารถพิเศษในการเดินบนผิวน้ำได้ไม่ต่างจากแมงมุม หรือจิงโจ้น้ำ เพียงแต่ว่าน้ำหนักของสัตว์ชนิดอื่นนั้นเบากว่ามาก และเบาพอที่จะไม่ทะลุแรงตึงผิวของน้ำลงไป นับเป็นเรื่องยากที่จะใช้กฎทางฟิสิกส์อธิบาย ดร.โทเนีย ซีห์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด จึงตัดสินใจศึกษาการเดินบนผิวน้ำของกิ้งก่า ด้วยการนำกิ้งก่ามาเดินในถังน้ำขนาด 1 เมตร ที่หยดอนุภาคเงินสะท้อนแสงลงไป จากนั้นก็จะใช้แสงเลเซอร์ส่องผ่านเข้าไปในน้ำ เพื่อให้เกิดการสะท้อนแสงของอนุภาคดังกล่าวออกมา ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์มองเห็นการไหลของน้ำที่เกิดจากการเคลื่อนเท้าของกิ้งก่า รวมทั้งสามารถคำนวณแรงที่กิ้งก่าสร้างขึ้นมาได้ "เราเชื่อว่ามันต้องสร้างแรงผลักไปด้านข้างที่มหาศาลพอจนทำให้มันวิ่งบนผิวน้ำได้ และก็จริงอย่างที่คิด เพราะจากการศึกษาพบว่าแรงดังกล่าวเกิดขึ้นตลอดเวลาที่เท้าของกิ้งก่าสัมผัสผิวน้ำ สิ่งนี้เองที่ทำให้สัตว์สายพันธุ์นี้ไม่จมน้ำ" (คมชัดลึก พุธที่ 1 ธ.ค. 47 http://www.komchadluek.net)





เตรียมใช้งานโทรศัพท์มือถือเป็นอุปกรณ์เช็กอินขึ้นเครื่องบิน

รายงานข่าวแจ้งว่า ตู้คีออส ที่ใช้ในการเช็กอินที่สนามบินนั้นเป็นอุปกรณ์ สำหรับให้นักเดินทางมาจัดการด้านข้อมูลต่างๆ เพื่อการเดินทาง โดยขณะนี้บริษัทซิต้า อินฟอร์เมชั่น เน็ตเวิร์กกิ้ง คอมพิวติ้ง และบริษัทซีเมนส์ บิสเนสส์ เซอร์วิส ได้เตรียมจะทำให้โทรศัพท์มือถือกลายเป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับกระบวนการดังกล่าว และโครงการนี้นับว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งสำหรับอนาคต ทั้ง 2 บริษัทกำลังทำงานร่วมกันในการพัฒนาระบบ ที่จะทำให้ผู้โดยสารเครื่องบินสามารถเช็กอิน เพื่อการเดินทางได้ด้วยโทรศัพท์มือถือของตนเอง โดยเรียกว่า ซิต้า โมบาย เช็กอิน (Sita Mobile Check-in) จะมีการนำออกมาทดสอบกันในเดือนหน้า และคาดว่าจะนำออกมาใช้ได้ในปี 2549 แต่จะเป็นการใช้ในวงจำกัดก่อน บริษัทซิต้าซึ่งเป็นผู้จัดทำระบบไอทีให้กับสายการบิน กล่าวว่า บริการใหม่ที่จะเกิดขึ้นนี้จะสามารถลดเวลาที่ผู้โดยสารจะต้องมายืนรอคิวเพื่อการเช็กอินได้ ทั้งยังจะช่วยลดต้นทุนการดำเนินการให้แก่ทางสายการบินได้ด้วย โดยผู้ใช้บริการสามารถที่จะเลือกที่นั่งบนเครื่องบินได้ และจะมีบาร์โค้ดปรากฏให้เห็นบนจอโทรศัพท์มือถือ ที่จะสามารถใช้เป็นบัตรผ่านขึ้นเครื่องได้ด้วย (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 2 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





ปืน "สตันกัน" ใช้ไฟฟ้าแรงสูงอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

องค์การนิรโทษกรรมสากลเปิดเผยรายงานพิเศษระบุปัญหาในการใช้สตัน กัน หรือปืนสะกดผู้ถูกยิงของหน่วยงานรักษากฎหมายทั่วโลก ที่สั่งซื้อจากเทเซอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ว่าอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต การทำงานของ "สตัน กัน" จะใช้หลักการกระแสไฟฟ้าแรงสูง ส่งผลให้ผู้ถูกช็อตเป็นอัมพาตชั่วคราว ทำให้เป็นที่นิยมในงานรักษากฎหมายทั้งตำรวจและเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ในการจับกุมหรือยุติความรุนแรงของผู้ต้องหา ในรายงานองค์การนิรโทษกรรมสากลเรียกร้องให้หน่วยงานทั้งหมดยุติการใช้สตัน กัน เป็นอาวุธประจำกายชั่วคราว จนกว่าจะมีผลการศึกษาที่เชื่อถือได้ยืนยันว่าสตัน กัน ไม่มีผลถึงแก่ชีวิต โดยรายงานอ้างว่า ในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตแล้วไม่ต่ำกว่า 74 ราย ทั้งในสหรัฐฯและแคนาดา หลังจากที่ถูกช็อตด้วยกระแสไฟฟ้าแรงสูงกว่า 50,000 โวลต์ ซึ่งจะมีอันตรายถึงแก่ชีวิตหากใช้กับผู้ที่มีปัญหาโรคหัวใจหรือกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติด นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่จำนวนมากนำสตัน กัน ไปใช้โดยไม่ใคร่ครวญถึงความเหมาะสมของกรณีที่เกิดขึ้น บริษัทเทเซอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ยืนยันว่ามีผลการศึกษาจากหน่วยงานกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯไม่พบว่าสตัน กัน เป็นสาเหตุของการเสียชีวิต แม้ว่าจะมีคำแนะนำให้ศึกษาผลกระทบการใช้สตัน กัน กับกลุ่มคนที่อาจจะมีผลข้างเคียงสูงกว่าปกติ ทั้งผู้ที่เป็นโรคหัวใจหรือใช้สารเสพติดที่มีผลกระตุ้นประสาทก็ตาม (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 2 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





เวทีวิชาการชู'พลังงานลม'สู้วิกฤติน้ำมัน เสนอรัฐทบทวนไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ เหตุขาดความคุ้มทุน

ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ในฐานะประธานจัดงานสัมมนา "พลังงานและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน" ซึ่งจัดขึ้นวันที่ 1-3 ธันวาคม ณ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นความร่วมมือระหว่างบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกียวโต ซึ่งเล็งเห็นว่าไทยมีศักยภาพผู้นำด้านพลังงานในภูมิภาค โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 200 คน ทั้งจากนักวิชาการ ภาคเอกชนและรัฐบาลจากประเทศญี่ปุ่นและไทย ดร.กฤษณพงศ์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน เพื่อนำมาใช้ภายในประเทศ การใช้ค่อนข้างต่ำหรือน้อยกว่าร้อยละ 5 ส่งผลให้ต้นทุนแพงกว่าพลังงานฟอสซิล อีกทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน อาทิ สายส่งไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับพลังงานหมุนเวียน ขณะเดียวกันงานวิจัยด้านพลังงานหมุนเวียนในไทยมีน้อยมาก สำหรับโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงดวงอาทิตย์ ที่คาดว่าจะผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 500 เมกะวัตต์นั้น ซึ่งต้องใช้พื้นที่จำนวนมากถึง 1 ล้านตารางเมตร และต้องสร้างในตัวเมืองใหญ่จึงจะคุ้มทุน และไม่สูญเสียพลังงานตามสายส่ง แต่หากสร้างในกรุงเทพฯ ต้องอาศัยหลังคาเรือนของบ้านประชาชนถึง 10 ล้านหลัง ทั้งนี้ รัฐบาลต้องทบทวนและพิจารณาโครงการนี้ให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ ปัจจุบันประเทศไทยยังต้องนำเข้าแผงโซล่าร์เซลล์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าในราคาแพง และที่ผลิตเองได้ก็ยังอยู่ในระดับต่ำ จึงเสนอให้รัฐบาลซื้อลิขสิทธิ์จากต่างประเทศ แล้วนำมาผลิตเองจะดีกว่าเพื่อลดต้นทุนนำเข้า เพราะปัจจุบันรัฐบาลต้องสูญเสียเงินตราต่างประเทศ เพื่อซื้อแผงโซล่าร์เซลล์เท่ากับการนำเข้าน้ำมัน อีกทั้งความต้องการใช้ยังอยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ รัฐบาลควรสนใจใช้พลังงานจากลมในทะเล โดยเฉพาะฝั่งทะเลอันดามัน ในแวดวงนักวิชาการเชื่อว่ามีกำลังลมแรงเพียงพอที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้า แต่ต้องวัดปริมาณแรงลมและสร้างกังหันลมขนาดความสูง 50-100 เมตรในกลางทะเล เพื่อทราบค่าความแรงของลมที่แน่นอน แม้จะลงทุนสูงแต่ถือว่าคุ้มค่ากับพลังงานที่ได้ ส่วนพลังงานชีวมวล ซึ่งหลายฝ่ายยังกังวลถึงความเพียงพอของวัตถุดิบที่นำมาใช้ และจำนวนพื้นที่สำหรับปลูกพืชวัตถุดิบ รัฐบาลต้องจัดแบ่งพื้นที่ให้เหมาะสม ระหว่างพื้นที่เพาะปลูกพืชเพื่อนำมาผลิตพลังงานและผลิตอาหาร ซึ่งทำให้วัตถุดิบเพียงพอต่อการผลิต และไม่เกิดการแย่งตลาด จากภาคอุตสาหกรรมอาหารและพลังงาน สำหรับภาพรวมงานสัมมนาดังกล่าว ในที่ประชุมจะมีการพูดคุยถึงนโยบายด้านการใช้พลังงานและการอนุรักษ์พลังงาน โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งประเด็นการพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงานให้ยั่งยืน เช่น นักวิจัยญี่ปุ่นนำเสนอแบบจำลองคณิตศาสตร์ เพื่อคำนวณและวางแผนการใช้พลังงานและการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งประเทศไทยยังไม่ได้นำเทคโนโลยีนี้มาใช้สำหรับการวางแผนพลังงาน (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 2 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





มะกันเผยโฉมเทคนิคส่งข้อมูลเร็วสูง ทุบสถิติเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโลก

เวบไซต์ซีเน็ต รายงานว่า ทีมวิจัย ไฮ อีเนอร์จี้ ฟิสิกส์ แห่งประเทศสหรัฐ ได้ค้นพบวิธีการโอนย้ายข้อมูลจำนวน 101 กิกะบิต หรือเทียบเท่าไฟล์ภาพยนตร์ดีวีดี 3 แผ่น ได้ภายในหนึ่งวินาที ในอัตราคงที่ โดยเป็นการทดลองส่งข้อมูลระหว่างเมืองพิตส์เบิร์ก และลอสแองเจลิส การรับส่งข้อมูลครั้งนี้ ทำลายสถิติการโอนย้ายข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และสามารถคว้าชัยชนะจากการแข่งขัน "ซูเปอร์คอมพิวติ้ง แบนด์วิธ" ซึ่งจัดขึ้นเพื่อหาวิธีพัฒนาความเร็วเชื่อมต่อเครือข่าย สำหรับเทคโนโลยีประมวลผลแบบกริด มาครองได้สำเร็จ เน้นรักษาอัตราความเร็วคงที่ ทีมวิจัยสามารถรักษาความเร็วส่งข้อมูล 101 กิกะบิต ต่อวินาที ในอัตราคงที่ ได้ราว 2-3 นาทีเท่านั้น "แต่เราเชื่อว่า ในการทดสอบครั้งต่อไป เราจะสามารถรักษาความเร็วระดับนี้ ได้เป็นเวลาหลายชั่วโมง" นายฮาร์วี่ย์ นิวแมน ศาสตราจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมวิจัยกล่าว จะสามารถพัฒนาให้มีความเร็วถึง 130-140 กิกะบิต ต่อวินาทีได้ พร้อมระบุว่า งานวิจัยครั้งนี้ อาจนำไปสู่การพัฒนาแอพพลิเคชั่น ที่สามารถรับส่งไฟล์วิดีโอ, ออดิโอ หรือข้อมูลรูปแบบอื่นๆ ได้เร็วขึ้น ในอนาคต จะสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล และรับส่งไฟล์โสตทัศนูปกรณ์ ออนดีมานด์ ที่มีขนาดใหญ่ และมีคุณภาพสูงได้ (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 2 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





รกเด็กช่วยรักษาอัมพาต นักวิทย์เกาหลีทดลองใช้รักษาสันหลังหัก

นักวิทยาศาสตร์เกาหลีใต้สร้างปาฏิหาริย์ด้วยวิทยาศาสตร์ ใช้เซลล์ ต้นกำเนิดหรือ สเต็มเซลส์ จากรกเด็กมาซ่อมกระดูกสันหลังผู้พิการจนสามารถเดินได้อีกครั้ง หลังจากประสบเหตุหลังหักมานานกว่า 20 ปี ทั้งนี้ ร่างกายของมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์เป็นจำนวนมาก โดยเซลล์แต่ละประเภทจะมีหน้าที่การทำงานเฉพาะตัว เซลล์เหล่านี้พัฒนามาจากสเต็มเซลส์ หรือเซลล์ระยะต้นที่ยังไม่ได้พัฒนาไปเป็นเซลล์ที่มีหน้าที่ทำงานเฉพาะ อย่างเช่นเซลล์ประสาท และเซลล์หัวใจ เซลล์เส้นเลือด ฯลฯ ความสำเร็จดังกล่าว นับเป็นครั้งแรกในวงการแพทย์สามารถนำสเต็มเซลส์จากรกเด็กมาบำบัดให้ผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตจากการบาดเจ็บที่ไขสันหลังจะกลับมาเดินได้อีกครั้ง แต่ทีมงานเผยว่าต้องทำวิจัยเพิ่มอีกมา ก่อนจะทำให้นานาชาติยอมรับงานวิจัยชิ้นนี้ แต่อย่างน้อยในตอนนี้ทุกคนก็ประจักษ์แล้วว่า นอกจากสเต็มเซลส์ หรือเซลล์ต้นกำเนิดที่ได้จากตัวอ่อนแล้ว ยังมีสเต็มเซลส์จากรกเด็กอีกตัวที่น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งได้ จากการวิจัยทางการแพทย์แสดงให้เห็นว่าสเต็มเซลส์สามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายได้หลากหลาย ช่วยรักษาโรคปัจจุบันที่ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายได้ หรือแม้แต่สร้างอวัยวะใหม่ทดแทนของเดิมที่เสียหาย สำหรับสเต็มเซลส์จากรกเด็ก หรือเลือดที่ได้มาจากสายสะดือ ซึ่งมีเซลล์ต้นกำเนิดของเม็ดเลือดที่ยังไม่มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไป โดยเซลล์เหล่านี้จะถูกนำไปแช่แข็งทันทีหลังจากที่ทารกคลอดแล้ว เพื่อจัดเก็บไว้ใช้สำหรับทารกผู้นั้น หรือเพื่อผู้อื่นต่อไป ด้วยการฉีดเซลล์ดังกล่าวเข้าไปยังอวัยวะที่เสียหายโดยตรง อย่างไรก็ตาม สเต็มเซลส์ที่ได้จากเลือดรกเด็ก อาจมีคุณสมับติไม่เท่าสเต็มเซลส์จากตัวอ่อน เพราะเติบโตไปเป็นเซลล์เฉพาะได้จำกัด แต่ข้อดีที่เห็นได้ชัดก็คือไม่มีปัญหาเรื่องข้อพิพาททางศีลธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง และสามารถใช้ทดลองทางคลินิกกับมนุษย์ได้โดยไม่มีปัญหา ต่างจากสเต็มเซลส์ตัวอ่อนที่อาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะได้รับการยอมรับให้ทดลองกับมนุษย์ได้ และหลายคนเชื่อว่าการใช้สเต็มเซลส์จากตัวอ่อนเป็นการทำลายชีวิตชีวิตหนึ่งโดยตั้งใจ (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 2 ธ.ค. 47ttp://www.komchadluek.net)





มีวิธีผลิตไฮโดรเจนราคาถูกน่าจะเป็นแหล่งพลังงานอนาคต

เมื่อปีที่แล้ว ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ประกาศแผนพัฒนารถยนต์ใช้พลังงานจากก๊าซไฮโดรเจน เพื่อลดการพึ่งพาน้ำมันจากต่างประเทศ ซึ่งล่าสุด นักวิจัยจากห้องทดลองสิ่งแวดล้อมและวิศวกรรมแห่งไอดาโฮของรัฐบาลอเมริกัน ร่วมมือกับบริษัทคารามาเทค ของเอกชน สามารถสร้างแบบจำลองจากเครื่องคอมพิวเตอร์ การแยกไฮโดรเจนออกจากน้ำร้อนโดยใช้เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ วิธีนี้จะให้จำนวนไฮโดรเจนมากกว่าวิธีการผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปในน้ำ เพื่อแยกไฮโดรเจนออกจากออกซิเจน นับเป็นก้าวสำคัญ ที่จะนำไปสู่การผลิตไฮโดรเจนในปริมาณมากๆ นอกจากนี้ การแยกไฮโดรเจนด้วยเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ยังมีราคาถูก และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าวิธีเดิม แต่ข้อเสียประการหนึ่งคือ วิธีการนี้ใช้กับเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์รุ่นที่ 4 ซึ่งสหรัฐฯเลิกผลิตไปแล้ว (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 3 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





ประดิษฐ์ชุดตรวจดีเอ็นเอหมีป้องกันการค้าสัตว์ป่า

นิตยสาร "นิวไซเอนทิสต์" รายงานว่า ปัจจุบันได้มีการลักลอบค้าดีหมี เพื่อนำไปเป็นส่วนประกอบของยาแผนโบราณในแถบเอเชีย และขณะนี้มีการลักลอบค้าสัตว์ป่าอย่างกว้างขวางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การมีชุดตรวจดีเอ็นเอ (หน่วยถ่ายพันธุกรรม) จะช่วยป้องกันให้การค้าสัตว์ป่าหมดไปได้ โดยบริษัทไวล์ไลฟ์ ดีเอ็นเอ เซอร์วิส ในอังกฤษ ได้ทำชุดตรวจที่สามารถใช้งานได้ง่ายเหมือนกับชุดตรวจการตั้งครรภ์ตามบ้าน โดยมันจะมีแอนตี้บอดี้ที่สนองตอบต่อโปรตีนเฉพาะ 7 อย่างต่อหมีแต่ละชนิด ยกเว้นแพนด้า ซึ่งเป็นหมีที่ไม่ค่อยได้มีการค้าอยู่แล้ว ความคิดที่จะทำชุดตรวจดีเอ็นเอของสัตว์ป่าขึ้นมานี้ ก็เพื่อจะช่วยให้การทำงานตรวจหาทำได้ง่ายขึ้น ให้มีราคาถูกและไม่เสียเวลา เป็นอีกทางเลือกหนึ่งแทนที่จะต้องส่งตัวอย่างชิ้นเนื้อสัตว์ไปตรวจที่ห้องทดลอง สำหรับชุดตรวจดีเอ็นเอหมีจะเป็นชุดตรวจแรกที่นำมาใช้ ส่วนชุดต่อไปจะนำไปใช้กับสัตว์ชนิดอื่น เช่น เสือ กวาง ปลาฉลาม และปลาวาฬ เป็นต้น (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 4 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





เตือนจนท.ห้องแล็บวิทย์ตายผ่อนส่ง

การสัมมนาเรื่อง "สุขภาพ ความปลอดภัยและการประหยัดพลังงานในห้องปฏิบัติการ" (Health, Safety and Energy Saving in Laboratories) ที่ห้องประชุมอาคารสถาบัน 3 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดโดยมูลนิธิศาสตราจารย์ ดร.แถบ นีละนิธิ ศ.ดร.ประดิษฐ์ เชี่ยวสกุล ประธานในพิธีกล่าวเปิดการประชุมตอนหนึ่งว่า เมื่อ 70 กว่าปีก่อนเริ่มมีห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ในจุฬาฯ ไม่มีปัญหาเพราะมีคนน้อย เพดานห้องก็สูงเพื่อการถ่ายเทอากาศที่ดี แต่สมัยนี้การออกแบบห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ที่ถูกต้อง รู้ไม่จริง ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ มากมายตั้งแต่ปัญหาต่อสุขภาพ ความปลอดภัย และการใช้พลังงานมากเหลือเกิน ศ.ดร.เบล่า เทอร์ไน ราชบัณฑิตทางเคมีแห่งประเทศอังกฤษและประเทศออสเตรเลีย เปิดเผยผลการสำรวจพบว่า ผู้ที่ทำงานในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์มีโอกาสเป็นโรคมะเร็งมากกว่าผู้ที่ทำงานในสำนักงาน 30% มีความบกพร่องในเรื่องต่างๆ มากมาย ยกตัวอย่างเช่น การถ่ายเทอากาศ ส่วนมากมีไม่เพียงพอทำให้มีกลิ่นเหม็นและมีสารพิษสะสมอยู่ในห้องนั้น เป็นอันตรายตายผ่อนส่ง บางทีก็มีความเข้าใจผิดคิดว่ามีเครื่องปรับอากาศก็ใช้ได้ แต่ความจริงเครื่องปรับอากาศเป็นการหมุนเวียนอากาศไม่ใช่ถ่ายเทอากาศ (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 4 ธ.ค. 47 http://www.matichon.co.th)





ข่าววิจัย/พัฒนา


กินโกโก้แก้ไอเรื้อรังหายได้ชะงัดยังไม่มียาใดรักษาจนหายขาด

วารสารวิทยาศาสตร์ "นิว ไซเอนติสต์" รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์ของอิมพีเรียล คอลเลจ ที่กรุงลอนดอน ได้ศึกษาพบว่า สารเคมีในโกโก้ชื่อ "ทีโอโบรมีน" มีสรรพคุณรักษาอาการไอเรื้อรังได้ชะงัดยิ่งกว่ายาโคดีอีน อันเป็นยาแก้ไอที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนั้น มันยังไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ เช่น ง่วงเหงาหาวนอน ท้องผูก เหมือนอย่างโคดีอีน ซึ่งเป็นสารเสพติดอย่างหนึ่งด้วย นักวิจัยได้ทำการทดลองเพื่อเปรียบเทียบสรรพคุณระหว่างทีโอโบรมีน โคดีอีนและยาหลอก ในการทดลองเล็กๆกับอาสาสมัครเพียงแค่ 10 นาย ซึ่งให้สูดหายใจก๊าซที่มีสารแคปไซซีน อันเป็นสารให้ความเผ็ด ที่ได้จากพริก เพื่อทำให้เกิดอาการไอจาม ปรากฏว่าทีโอโบรมีนมีสรรพคุณเหนือกว่าโคดีอีนถึง 1 ใน 3 (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 29 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)





เครื่องเกี่ยวนวดทานตะวันไฮเทค มก.โชว์ที่งานเกษตรกําแพงแสนปี '47

ผศ.ดร.วิชา หมั่นทำการ อาจารย์จากภาควิชาวิศวกรรมเกษตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ได้ร่วมกับ ศูนย์เครื่องจักรกลการเกษตรแห่งชาติ จัดทีมวิจัยอันนำไปสู่การผลิต "เครื่องเกี่ยวนวดทานตะวันขนาดเล็ก" (Sunflower combined Harvester) ออกมาเป็นผลงาน ล่าสุด...ที่พัฒนาดัดแปลงมาจาก เครื่องเกี่ยวนวดถั่วเหลือง เมื่อปี พ.ศ.2545 โดยใช้เวลา 3 เดือน ในการสร้างเครื่องนี้เครื่องเกี่ยวนวดทานตะวันขนาดเล็ก ประกอบด้วยรถยนต์ประกอบเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 19 แรงม้า เป็นต้นกำลังขับเคลื่อน มีพานหน้ากว้างของการเก็บเกี่ยว 2 เมตร น้ำหนักประมาณ 800 กก. มีความสามารถเก็บเกี่ยวดอกทานตะวันและนวดจนแยกเมล็ดจาก ฝักออกมาได้ในระยะเวลา ชั่วโมงละ 1 ไร่ ใช้แรงงานคนเพียง 2 คนเท่านั้น ราคาอยู่ที่ 1 แสนกว่าบาท อายุการใช้งานประมาณ 10 ปี นอกจากใช้เกี่ยวทานตะวันแล้ว ยังสามารถเปลี่ยนพานหน้า หรือหัวเกี่ยวไปใช้ใน การเก็บเกี่ยวพืชชนิดอื่นๆ ได้อีกหลายชนิด การวิจัยเครื่องเกี่ยวนวดทานตะวัน ที่ผลิตออกมาในครั้งนี้ ถือว่าเป็นเครื่องมือไฮเทคเครื่องแรกของประเทศไทย สามารถชมผลงานนี้ได้ในระหว่างวันที่ 4-10 ธันวาคมนี้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม จัดงาน "เกษตรกำแพงแสนปี '47 (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 29 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)





อ.อ.ป.ทำก๊าซชีวภาพจากมูลช้างเป็นพลังงานทดแทน

กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) ณ สถาบันคชบาลแห่งชาติ (ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย) ต.เวียงตาล อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง จัดทำ “ก๊าซชีวภาพ” ที่ได้จากมูลช้างนี้ เป็นพลังงานสะอาดที่เกิดจากการนำมูลช้างมาผ่านกระบวนการหมัก เพื่อให้เกิดการย่อยสลายสารอินทรีย์ในสภาวะไร้ออกซิเจนโดยแบคทีเรียหลายชนิด เมื่อสภาวะแวดล้อมเหมาะสมแบคทีเรียจะเจริญเติบโตและย่อยสลายสารอินทรีย์ เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน จนที่สุดเปลี่ยนสภาพเป็นก๊าซชีวภาพ มี ก๊าซมีเธนประมาณร้อยละ 50-75 ซึ่งเป็นก๊าซที่ติดไฟ โดยโครงสร้างของระบบประกอบ 1.บ่อเติมมูล เป็นที่ผสมมูลช้างที่ผ่านการปั่นให้เส้นใยมีขนาดเล็กลงแล้วผสมกับน้ำให้เข้ากัน หลังจากนั้นมูลที่ผสมกันดีแล้วจะถูกปล่อยสู่บ่อหมักผลิตก๊าซทางท่อที่เชื่อมต่อระหว่างบ่อเติมมูลกับบ่อหมักผลิตก๊าซ 2. บ่อหมักผลิตก๊าซ เป็นบ่อที่กักเก็บมูลช้าง ซึ่งภายในบ่อมีเชื้อตะกอนแบคทีเรียที่ทำให้เกิดก๊าซได้ บ่อจะต้องแข็งแรงและไม่รั่วซึม เนื่องจากส่วนโดมของบ่อจะเป็นที่เก็บก๊าซที่เกิดขึ้นก่อนการนำไปใช้ 3. บ่อมูลล้น มีหน้าที่รับมูลช้างที่ล้นมาจากบ่อหมักผลิตก๊าซ 4. บ่อแยกกากมูลช้าง เป็นที่รองรับมูลช้างที่ออกมาจากบ่อมูลล้น ก่อนส่วน ที่เป็นน้ำจะไหลลงบ่อน้ำทิ้ง ซึ่งกากมูลช้างที่แยกออกมาได้นี้ สามารถนำไปใช้เป็นปุ๋ยอัดแท่งเพาะชำและทำกระดาษได้ 5. บ่อพักน้ำเสีย เป็นบ่อที่รองรับน้ำหลังจากที่กากมูลช้างได้ถูกแยกออกไปแล้ว ซึ่งน้ำจากบ่อนี้สามารถนำไปใช้เป็นปุ๋ยน้ำรดพืช ผัก ได้เป็นอย่างดี และยังสูบกลับไปใช้ในการผสมกับมูลช้างเพื่อเติมลงในบ่อหมักผลิตก๊าซ สามารถผลิตก๊าซชีวภาพรวม 62 ลูกบาศก์เมตร/วัน หรือ 22,630 ลูกบาศก์เมตร/ปี สามารถทดแทนน้ำมันดีเซลได้ประมาณ 13,578 ลิตร/ปี หรือผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 22,630 กิโลวัตต์-ชั่วโมง/ปี จากผลสำเร็จของโครงการก๊าซชีวภาพทำให้ได้รับรางวัลดีเด่นด้านพลังงานและพลังงานหมุนเวียนประเภท off-grid (โครงการใน ไม่เชื่อมโยงกับสายส่งไฟฟ้า) ของประเทศไทยประจำปี 2547 จากกระทรวงพลังงาน และได้รับรางวัลดังกล่าวในระดับอาเซียนอีกด้วย. (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 29 พ.ย. 47 http://www.dailynews.co.th)





นักวิทย์รุ่นเยาว์ชู'เปลือกกุ้ง'ลดตะกอนน้ำ ลดเสี่ยงอัลไซเมอร์ จากดื่มน้ำแกว่งสารส้มระยะยาว

น.ส.ศศิพร ประเสริฐปาลิฉัตร นักเรียนโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จ. เชียงใหม่ ซึ่งเป็นนักเรียนทุนโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เปิดเผยว่า ได้ดำเนินโครงงานทดลองทางวิทยาศาสตร์มุ่งศึกษาประสิทธิภาพไคโตซานบางชนิด ในการนำไปใช้เป็นโพลีเมอร์ช่วยตกตะกอน ทำให้น้ำใสหรือหายขุ่นอย่างรวดเร็ว (Effectiveness of some type of chitosan as polymer flocculant) โดยไคโตซานซึ่งมีคุณสมบัติเป็นโพลีเมอร์ที่ช่วยในการตกตะกอน แทนการใช้สารส้ม การวิจัยพบว่าสารส้มนั้นมีฤทธิ์ต่อระบบประสาท และเป็นสาเหตุการเกิดโรคอัลไซเมอร์ "ไคโตซานยังสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้อีก จึงไม่ก่อให้เกิดการสิ้นเปลืองอีกทั้งยังสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ และไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม" นักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์จากเชียงใหม่ กล่าวและว่า จากโครงการวิทยาศาสตร์ข้างต้นทำให้ได้รับเลือกเป็นตัวแทนนักเรียนนักวิทยาศาสตร์ไทย ไปร่วมสัมมนาวิชาการที่มหาวิทยาลัยซิดนีย์ (University of Sydney) ประเทศออสเตรเลีย ด้วย ในการนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ จะต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมทางต้นทุนผลิตด้วย เพราะราคาไคโตซานค่อนข้างสูง ประกอบกับปัจจุบันมีการวิจัยใช้คาร์บอนเป็นตัวบำบัดน้ำเสีย เช่น วิจัยเผายางรถยนต์ให้กลายสภาพเป็นอัลตราคาร์บอนเพื่อดูดซับน้ำเสีย ซึ่งถือเป็นคู่แข่งทางเทคโนโลยีของไคโตซาน ทางผู้ประกอบการจะต้องพิจารณาเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมทั้งด้านต้นทุนและการนำไปใช้จริง (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 29 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ราชมงคลน่านเพิ่มค่า “สาหร่ายไก” แปรรูปทำลูกชิ้น อุดมด้วยคุณค่า

สาหร่ายไก เป็นพืชที่รู้จักกันดีในหมู่ประชาชนชาวเหนือ โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยในพื้นที่ที่ลำน้ำน่านไหลผ่าน เพราะสาหร่ายไกเป็นสาหร่ายสีเขียวชนิดหนึ่ง มาพบเห็นได้หลังฤดูน้ำหลาก ในบริเวณที่มีกรวดหินพอให้สาหร่ายได้ยึดเกาะ โดยจะเจริญเติบโตเป็นแผงเต็มที่ในระยะยาวประมาณ 100-200 เมตร ใช้เป็นอาหารพื้นบ้าน โดยสามารถนำมาแปรรูปได้หลายแบบ อาทิ ไกยี คั่วไก แอ๊บไก (ห่อหมก) และยำไก ซึ่งชาวบ้านมีความเชื่อว่าการบริโภคไกจะทำให้ผมดำไม่หงอกง่าย อาจารย์นพรัตน์ จันทรไชย อาจารย์ประจำคณะวิชาเทคโนโลยีการอาหาร สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตน่าน มีความคิดที่จะนำสาหร่ายไกเข้ามาเป็นส่วนผสมในลูกชิ้นหมู เพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหารให้ลูกชิ้น โดยนำสาหร่ายไกที่ผ่านการตากแห้งแล้วนำมาบดเป็นผง แล้วจึงนำมาผสมลงในเนื้อหมูที่เตรียมไว้เพื่อทำลูกชิ้น โดยการผสมนั้นจะใช้สาหร่ายไกประมาณ 10 กรัมต่อเนื้อหมู 1 กก. เพราะถ้าใส่มากไปจะทำให้ลูกชิ้นมีรสชาตขม และมีสีเขียวมากเกินไปดูไม่น่ารับประทาน พบว่ามีปริมาณโปรตีนสูงใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ และมีเบต้าแคโรทีนสูงกว่าแครอทถึง 4 เท่า ผู้ใดสนใจสูตรในการแปรรูปอาหารพื้นบ้านต่างๆ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ คณะวิชาเทคโนโลยีอาหาร สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตน่าน โทร.0-5477-5391,0-5471-0259 ต่อ 1160,1161 ในวันและเวลาราชการ (สยามรัฐ จันทร์ที่ 29 พ.ย. 47 http://www.siamrath.co.th)





ผลทับทิมปกปักพิทักษ์หัวใจเหนือกว่าชาเขียวเหล้าไวน์แดง

นักวิทยาศาสตร์ของอิสราเอลได้พบว่าการดื่มน้ำทับทิมคั้น วันละ 1 แก้ว จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบให้ต่ำลงได้ ศาสตราจารย์ไมเคิล อวิรัม ของศูนย์การแพทย์รามบัม ในเมืองไฮฟา หัวหน้าคณะวิจัยกล่าวว่า "น้ำทับทิมคั้นมีสารที่เป็นตัวล้างพิษ มีฤทธิ์แรงที่สุดยิ่งกว่าเหล้าไวน์แดงและชาเขียว ต้องถือว่าเรื่องนี้เป็นข่าวดี เพราะเหตุที่สารเป็นตัวล้างพิษที่เกิดจากสารเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ สามารถจะช่วยป้องกันร่างกายจากพวกสารอนุมูลอิสระ หรือสารเคมีที่เป็นพิษในเลือดได้" ในเวลาเดียวกัน คณะนักวิจัยของโรงพยาบาลแฮมเมอร์สมิธ ในกรุงลอนดอน ก็กำลังศึกษาเรื่องเดียวกันนี้อยู่ดร.ริชาร์ด โบเกิล นักวิจัยคนหนึ่งกล่าวอธิบายว่า ผลทับทิมมีสารโพลีฟีโนลิก กรดแทนนิค และวัตถุสีแดงของหัวบีต ซึ่งล้วนแต่เป็นสารประกอบที่เป็นคุณกับร่างกาย "เรากำลังศึกษาดูว่าการดื่มน้ำผลทับทิมคั้นทุกวันจะบำรุงเส้นเลือด ป้องกันเส้นเลือดแดงแข็ง และบำรุงหัวใจได้หรือไม่ แต่ผลจากการศึกษาในระยะแรกส่อว่า ลูกทับทิมอาจจะมีสรรพคุณอย่างชาเขียวและเหล้าไวน์แดง แต่สูงกว่ากันถึง 3 เท่า" (ไทยรัฐ อังคารที่ 30 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)





เภสัชกรนานาชาติเสนอวิจัยไทย เพรียงหัวหอมรักษามะเร็งเต้านม

ในการประชุมวิชาการนานาชาติของสมาพันธ์สมาคมเภสัชกรรมแห่งเอเชีย ครั้งที่ 20 ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพ ระหว่างวันที่ 30 พ.ย.-3 ธ.ค.นี้ จะนำเสนอถึงการผสมผสานวิทยาการทางด้านวิทยาศาสตร์และเภสัชศาสตร์ ในการประกอบวิชาชีพอย่างทันสมัย ที่นอกจากจะเสนอผลงานวิจัยด้านเภสัชกรรมจากนานาประเทศและการนำเสนอโปสเตอร์การวิจัยทั้งหมด 246 เรื่องแล้ว ยังมีการประชุมอภิปรายด้วย ซึ่งหนึ่งในโปรแกรมพิเศษนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์อัครราชกุมารี จะทรงบรรยายพิเศษในหัวข้อ ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติในการพัฒนายา สำหรับตัวอย่างผลงานวิจัยที่จะเสนอในเวทีประชุม คือ สารสำคัญของเพรียงหัวหอมมีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งทรวงอก โดย ดร.คณิต สุวรรณบริรักษ์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการทดสอบความเป็นพิษและการทดสอบทางคลินิก หากพบว่าปลอดภัยจะทำวิจัยต่อเพื่อพัฒนาเป็นยา ส่วนปัญหาที่พบอยู่ที่ทำอย่างไรจึงจะเพาะเลี้ยงเพรียงหัวหอมได้จำนวนมากเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการวิจัย (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 30 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ผ้านาโนสะอาดไม่เปลืองแรงขยี้ เคลือบสารกันรอยเปื้อนเกาะติด

นักวิจัยมหาวิทยาลัยเคลมสันของสหรัฐ นำนาโนเทคโนโลยี มาเพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมสิ่งทอ พัฒนาสารเคลือบที่สามารถฝังตัวเป็นเนื้อเดียวกับใยผ้าได้เป็นผลสำเร็จ โดยมีคุณสมบัติพิเศษตรงที่สามารถทำความสะอาดเสื้อผ้าได้โดยง่าย อาจใช้วิธีการฉีดพ่นน้ำใส่จุดที่เปื้อน หรือจะใช้ผ้าหมาดๆ ทีมวิจัยบอกว่า สารเคลือบที่พัฒนาขึ้นมานี้ มีกลุ่มเป้าหมายหลักไปที่บรรดาผู้ผลิตสิ่งทอ และคาดว่าในอนาคตจะวางจำหน่ายสารเคลือบในรูปสเปรย์ให้กับลูกค้าทั่วไปด้วย แต่คงไม่ใช่ในเร็ววันนี้ เฉพาะเส้นใยที่ผสมรวมตัวกับสารเคลือบดังกล่าวยังต้องใช้เวลาอีกราว 5 ปี ถึงจะวางตลาดได้ ศูนย์สิ่งทอแห่งชาติ ซึ่งเป็นพันธมิตรวิจัยร่วมระหว่างมหาวิทยาลัย 8 แห่ง รวมทั้งมหาวิทยาลัยเคลมสันด้วย (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 30 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





หลอดทดลอง "นาโน" เล็กที่สุดในโลก

ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และมหาวิทยาลัยนอตติ้งแฮม ประเทศอังกฤษ ได้สร้างหลอดทดลองที่มีขนาดจิ๋ว ทำจากนาโนคาร์บอน โดยทดลองเติมสารเคมีลงไป ซึ่งเป็นเทคนิคเดียวกันกับที่ใช้ทดลองในหลอดทดลองปกติ มีเป้าหมายเพื่อผสมสารเคมีใหม่ในหลอดแก้วนาโน ให้เป็นสารชนิดใหม่ นักวิจัยเชื่อว่า กระบวนการดังกล่าวนี้สามารถนำมาใช้สร้างวัสดุ ที่มีลักษณะทางโมเลกุลใหม่ หรืออาจใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับคอมพิวเตอร์ควอนตัม ซึ่งหมายถึงคอมพิวเตอร์ที่ใช้อะตอมเป็นหน่วยประมวลผล จุดเด่นของหลอดทดลองนาโนนี้คือ หลอดทดลองจิ๋วมีคุณสมบัติพิเศษ ไม่ถูกหลอมด้วยสารเคมีที่ทำปฏิกิริยากันในหลอดทดลอง หลอดทดลองนาโน แต่ละหลอดที่ใช้มีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 1.2 นาโนเมตร) ฉะนั้น จึงมีขนาดเล็กกว่าเส้นผมของคนเรา ทีมงานได้ทดลองนำเอาสารฟูลเลอรีน ซึ่งเป็นโครงสร้างนาโนคาร์บอนที่มีลักษณะเหมือนลูกฟุตบอลใส่ลงไปในหลอด แล้วนำอะตอมออกซิเจนหนึ่งอะตอมใส่ลงไปในลูกบอลฟูลเลอรีนแต่ละลูก เพื่อให้เกิดปฏิกิริยาเคมีเหมือนกับที่ใช้กับหลอดทดลองทั่วไป ออกซิเจนที่ใส่ลงไปส่งผลให้ฟูลเลอรีนมีคุณสมบัติในการยึดเกาะ หรือเกิดสภาพเป็นยางที่อุณหภูมิระดับสูง จากนั้นได้เปลี่ยนสถานะของคาร์บอนไดออกไซด์ จากที่เป็นก๊าซ ให้เป็นกึ่งก๊าซกึ่งของเหลว เพื่อไล่ให้ฟลูเลอรีนไปเกาะอยู่ข้างในคาร์บอนนาโนทิวบ์ อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้โมเลกุลที่อยู่ภายในหลอดเปลี่ยนสภาพเป็นยางเส้นยาว และหนาเพียงหนึ่งโมเลกุลเท่านั้น อย่างไรก็ดี ตอนนี้ยังไม่มีวิธีการที่จะแยกวัสดุที่ถูกทำให้เป็นยางออกมาจากหลอดทดลอง ซึ่งถ้าทำได้เมื่อไร นักวิจัยเชื่อว่าพวกเขาจะสามารถสร้างวัสดุที่มีคุณสมบัติในการใช้งานใหม่ๆ เช่น คุณสมบัติในการกำเนิดกระแสไฟ และสนามแม่เหล็ก ออกมาใช้งานได้ ด้านนักวิจัยอีกท่านหนึ่งแสดงความเห็นว่า เขาไม่ค่อยมั่นใจว่าวัสดุที่สร้างขึ้นมาด้วยวิธีนี้จะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ แต่ก็ยอมรับว่าเป็นวิธีการใหม่ที่ใช้ศึกษากระบวนการเคมีระดับพื้นฐาน (คมชัดลึก อังคารที่ 30 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)





เมนูเด็ดจักจั่น ช่วยต้นไม้เจริญอาหาร

ลุย เฮช หยาง นักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย หนึ่งในทีมวิจัยได้ตรวจสภาพพื้นดินที่พบซากจักจั่นตายเป็นจำนวน 300 ตัวต่อตารางหลา ระหว่างปี พ.ศ. 2545-2547 พบว่า ในพื้นดินที่ตรวจสอบมีสารประกอบไนโตรเจน ที่เป็นธาตุอาหารของพืชหลายเท่าหรือประมาณ 199 -412% เมื่อเทียบกับพื้นที่อื่นที่ไม่มีซากจักจั่นตาย นอกจากนี้ยังมีแบคทีเรียและราเพิ่มขึ้นด้วย นักวิจัยยังได้วัดปริมาณไนโตรเจนในใบไม้ของต้นดอกระฆัง เปรียบเทียบทั้งที่มีซากจักจั่นในดินและไม่มีซาก พร้อมกับตรวจขนาดเมล็ดของต้นดอกระฆัง ซึ่งเป็นพืชที่มักขึ้นอยู่ในแถบที่เกิดระบาดของจักจั่น พบว่า ต้นดอกระฆังที่ได้รับสารอาหารจากซากจักจั่นจะให้เมล็ดที่โตขึ้น 9% และยังมีขนาดใบใหญ่ขึ้น 12% เทียบกับต้นดอกระฆังที่ไม่ได้รับสารอาหารจากซากจักจั่น หยาง ยังพบว่า ซากเน่าเปื่อยของจักจั่นไปกระตุ้นธาตุอาหารในดินอย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยอธิบายได้ดีว่า ทำไมวงปีของต้นโอ๊คในพื้นที่ที่มีการระบาดของจักจั่นที่มีวงจรชีวิต 13 ปี และ 17 ปี ถึงมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นในช่วง 4 ปีแรกหลังจากเกิดการระบาดของจักจั่น ทั้งนี้ ไนโตรเจนเป็นธาตุอาหารสำคัญอย่างหนึ่งที่ช่วยให้พืชเจริญเติบโต และหากได้รับเพียงพอพืชจะมีใบสีเขียวสด แข็งแรงโตเร็ว และทำให้พืชออกดอกและได้ผลที่สมบูรณ์ ปกติ จักจั่นจะใช้เวลาส่วนใหญ่อาศัยอยู่ใต้ดิน คอยดูดรากไม้และขับถ่ายออกมาเป็นไนโตรเจน ซึ่งพืชจะนำไปใช้ประโยชน์ ในช่วงสองเดือนสุดท้ายของชีวิตมันจะโผล่ออกมาจากดินแล้วปีนขึ้นต้นไม้ และสลัดหนังแข็งออก อีกสองสามอาทิตย์ต่อมา มันจะส่งเสียงร้องเพลงเพื่อหาคู่ผสมพันธุ์ การที่มันมีวงจรชีวิตค่อนข้างยาวกว่าสัตว์ที่เป็นห่วงโซ่อาหารชั้นบน ทำให้มีจักจั่นเพียง 15% เท่านั้นที่ถูกกินเป็นอาหาร ส่วนที่เหลือจะตกลงบนพื้นและทิ้งซากจำนวนมหาศาลให้เน่าเปื่อย กลายเป็นปุ๋ยคุณภาพดีในดิน (คมชัดลึก อังคารที่ 30 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)





ฝ่ามือคนเรามีอภินิหารคุ้มครองไม่ให้เชื้อโรคเข้ามาทำอันตราย

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยเคียล ของเยอรมัน ได้พบว่าผิวหนังที่ฝ่ามือสามารถขับโปรตีนที่มีชื่อว่า "โซเรียซิน" มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียอี.โคลิ ปกติพบอยู่ในอุจจาระ ปนเปื้อนกับวัตถุดิบ มือ หรือเครื่องมือเครื่องไม้ติดเข้าไปในอาหารได้ บริโภคเข้าไปทำให้อุจจาระร่วงได้ โปรตีนที่ฝ่ามือฆ่าเชื้อโรคด้วยการกำจัดแร่ธาตุสังกะสี อันเป็นอาหารของเชื้อแบคทีเรียไปจนหมด คณะนักวิจัยได้ศึกษาด้วยการวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำที่ใช้ล้างส่วนต่างๆของร่างกาย รวมทั้งน้ำล้างมือพร้อมกับตัดชิ้นส่วนของผิวหนังตามส่วนต่างๆของร่างกายไปตรวจด้วย และรายงานผลการศึกษาในวารสารวิทยาศาสตร์การแพทย์ "วิทยาภูมิคุ้มกันโรค" ว่า ไม่พบร่องรอยของเชื้อโรคในตัวอย่างของน้ำล้างมือหลงเหลืออยู่เลย โปรตีนโซเรียซินนี้เคยพบเมื่อ 2-3 ปีมาแล้ว ในผู้ที่เป็นโรคผิวหนังที่เรียกกันว่าโรคสะเก็ดเงิน และยังพบตามผิวหนังของทารกเกิดใหม่ เพื่ออาจจะช่วยป้องกันทารกติดเชื้อตอนคลอด นักวิจัยกล่าวต่อไปว่า การค้นพบนี้ ช่วยให้เข้าใจสาเหตุที่ผิวหนังบางส่วนของร่างกาย ที่ต้องสัมผัสกับสิ่งที่มีเชื้ออี.โคลิปนเปื้อนอยู่หนาแน่น อย่างเช่นผิวหนังแถวทวารหนัก กลับไม่มีเชื้อเลย (ไทยรัฐ พุธที่ 1 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





เอ็มเทคดันผลิต'อีโค-คอมเพรสเซอร์’ ดึงวิศวกรญี่ปุ่นแนะนำเทคนิค คาด 1 ปีชิ้นงานแล้วเสร็จ

รศ.ดร.ปริทรรศน์ พันธุบรรยงก์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) เปิดเผยว่า โครงการนำร่องเรื่องการพัฒนาคอมเพรสเซอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ "อีโค-คอมเพรสเซอร์" เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมเทคโนโลยีการออกแบบ-ผลิตเพื่อสิ่งแวดล้อม และเพิ่มประสิทธิภาพอุตสาหกรรมไทย (Green Manufacturing Technical Asistance Program : GMTAP) หรือ จีเอ็มแท็ป ได้รับการสนับสนุนด้านเทคนิคจากรัฐบาลญี่ปุ่นผ่านโครงการกรีนเอดแพลน (Green Aid Plan Scheme) ซึ่งต่อเนื่องเป็นปีที่สามแล้ว วัตถุประสงค์หลักของโครงการนี้ ก็เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้อุตสาหกรรมไทย สามารถดำเนินการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยอาศัยเครื่องมือหลัก ได้แก่ การประเมินวัฏจักรชีวิต (แอลซีเอ) ของผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการผลิต และอีโคดีไซน์ หรือการออกแบบเชิงนิเวศน์เศรษฐกิจมาเป็นผู้ช่วยสำคัญ ซึ่งนอกจากจะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้วยังช่วยลดต้นทุนการผลิตได้อีกด้วยปัจจุบันประเทศพัฒนาแล้วได้ออกมาตรการบังคับใช้ด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งไม่ได้จำกัดเฉพาะการควบคุมผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการผลิตเท่านั้น แต่รวมไปถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการใช้ทรัพยากรการผลิต การขนส่ง การใช้งาน การจัดการสินค้าหลังหมดอายุการใช้งาน และการนำชิ้นส่วนและวัสดุกลับมาใช้ เป็นการพิจารณาผลกระทบสิ่งแวดล้อมตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ผศ.ดร.ปมทอง มาลากุล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสะอาด (ซีแทป) เอ็มเทค กล่าวว่า สาเหุตที่เลือกพัฒนาต้นแบบ "อีโค-คอมเพรสเซอร์ เป็นอันดับแรก เนื่องจากมีมูลค่าการส่งออกสูง ประกอบกับภาคอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เป็นอุตสาหกรรมแรกที่จะได้รับผลกระทบจากฎเหล็กอียูและญี่ปุ่น ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการออกแบบและผลิตชิ้นส่วน เพื่อทดสอบและปรับแก้ให้สมบูรณ์ คาดว่าไม่เกิน 1 ปี ต้นแบบอีโค-คอมเพรสเซอร์จะแล้วเสร็จ (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 1 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ม.เชียงใหม่รับทุนวิจัย100ล้าน เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรท้องถิ่น

ศ.ดร.จักรี เส้นทอง รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้สนับสนุนโครงการวิจัยของนักวิจัยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อทำการวิจัยในปี 2547 ร่วม 100 ล้านบาท รวมถึงการอนุมัติทุนอุดหนุนการวิจัยเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (โครงการวิจัยบูรณาการนำร่อง) เพื่อดำเนินโครงการวิจัยหลายเรื่อง อาทิ Branding Project - Thai Produce and Grains วงเงิน 60 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 7 เดือน ส่วนโครงการวิจัยอื่นมีกำหนดระยะเวลา 1 ปี อาทิ เรื่อง "พัฒนาผลิตภัณฑ์จากข้าวเพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออก" คณะอุตสาหกรรมเกษตร ได้รับทุนวิจัย 9 ล้านบาท, "การเพิ่มศักยภาพของห่วงโซ่อุปทาน สำหรับการผลิตข้าวไทยเพื่อการส่งออก" คณะวิศวกรรมศาสตร์ ได้รับทุน 2 ล้านบาท, "การวิจัยและพัฒนารูปแบบยาเตรียมจากพืชแมงลักคา" คณะเภสัชศาสตร์ ได้รับทุน 1 ล้านบาท, "การลดความเสี่ยงของผู้บริโภคจากสารตกค้างในผลผลิต:กรณีศึกษาในส้มและพืชตระกูลกะหล่ำ" คณะเกษตรศาสตร์ ได้รับทุน 950,000 บาท และโครงการวิจัยเรื่อง "การผลิตลำไยกึ่งแห้งโดยใช้ระบบสารต้านการเกิดสีน้ำตาลและสารออสโมติก เพื่อทดแทนการใช้ซัลเฟอร์ไดออกไซด์" คณะอุตสาหกรรมเกษตร ได้รับทุนอุดหนุน 800,000 บาท (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 1 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ม.มหิดลตั้งเครือข่ายวิจัยกระดูก ระดมแพทย์-นักวิชาการแก้ปัญหา

ศ.ดร.นทีทิพย์ กฤษณามระ หัวหน้าเครือข่ายวิจัยด้านแคลเซียมและกระดูก หรือโคแคบ (COCAB: Consortium for Calcium and Bone Research) มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงปัญหาในการแก้ปัญหาโรคที่เกี่ยวกับแคลเซียมและกระดูกของไทยว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีงานวิจัยที่เป็นของไทยเองน้อยมาก และงานวิจัยส่วนใหญ่ยังไม่บูรณาการ โดยแพทย์และนักวิทยาศาสตร์แยกกันทำงานวิจัย ทำให้การรักษาโรคกระดูกในประเทศยังไม่มีทิศทางที่แน่นอน โครงการที่เครือข่ายดำเนินงานในปัจจุบันมี 2 โครงการ คือ การวิจัยเกี่ยวกับฮอร์โมนโพรแลคติน ในฐานะฮอร์โมนตัวใหม่ที่มีผลควบคุมแคลเซียม และการศึกษากลไกของพยาธิสภาพในระดับเซลล์และโมเลกุลของกระดูกในผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย เครือข่ายที่ตั้งขึ้นมานี้ประกอบด้วยนักวิจัยมหาวิทยาลัยมหิดล แพทย์จากโรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒน์ สัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยใช้ห้องปฏิบัติการกลางของมหาวิทยาลัยมหิดลสำหรับดำเนินการวิจัย ได้รับเงินสนับสนุนด้านครุภัณฑ์จากคณะวิทยาศาสตร์ 30 ล้านบาท ในส่วนของเงินสนับสนุนงานวิจัยยังคงต้องขอจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) รศ.นพ.สมนึก ดำรงกิจชัยพร ภาควิชาอายุรศาสตร์โรคไต คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ขณะนี้โคแคบได้ดำเนินการวิจัยในส่วนของโรคกระดูกพรุนและโรคกระดูกที่แฝงมากับโรคอื่น ไม่ว่าจะเป็น ธาลัสซีเมียหรือโรคที่เกิดจากอาการที่ไตขับกรดไม่ได้ ซึ่งนักวิจัยได้ดำเนินการศึกษาถึงสิ่งผิดปกติที่พบอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาฮอร์โมนตัวใหม่ที่ชื่อว่า โพรแลคติน ที่มีผลควบคุมแคลเซียมและกระดูกในสตรีในวัยก่อนและหลังหมดประจำเดือนด้วย (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 2 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





พบสรรพคุณชาเขียวเพิ่มอีกช่วยเป็นเกราะคุ้มกันมะเร็ง

คณะนักวิจัยของสถานพยาบาลเมโย ของสหรัฐฯ ได้เค้าว่า การบริโภคชาเขียวยังอาจช่วยเป็นเกราะคุ้มกันมะเร็งบางชนิด และมีส่วนในการต่อสู้ทำลายเซลล์มะเร็งลงด้วย จากการศึกษาเซลล์จากผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง บี.เซลล์ อันเป็นโรคมะเร็งชนิดที่ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ ว่า ในชาเขียวมีสาร ประกอบสำคัญที่เรียกกันว่า "อีพิกอลโลคาเต-3 กอลลาเตอิน" ออกฤทธิ์ฆ่าเซลล์ของโรคมะเร็งเม็ดโลหิตขาวลงได้ โดยไปกั้นขวางการส่งสัญญาณติดต่ออันจำเป็นแก่การดำรงชีวิตของมัน การค้นพบดังกล่าวนับว่าเป็นการก้าวไปสู่หนทางการรักษา ที่จะป้องกันไม่ให้โรคลุกลามออกไปลงได้อีกก้าวหนึ่ง (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 3 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





ชุดตรวจอาวุธชีวภาพ ทัพเรือพัฒนารับมือโจรไบโอเทค

น.ท.กิติรัตน์ เงินมีศรี นักวิจัยกรมวิทยาศาสตร์ทหารเรือ กองทัพเรือ เปิดเผยว่า กรมวิทยาศาสตร์ฯ ได้พัฒนา "เครื่องตรวจสอบสารพิษชีวะในสนาม" สำหรับตรวจหาเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคในสถานะต่างๆ ทั้งที่เป็นเชื้อของแข็ง ของเหลวและแอโนซอล เพื่อสร้างความปลอดภัยเจ้าหน้าที่จากการถูกโจมตีด้วยอาวุธชีวภาพ โดยได้ดำเนินการคิดค้นและพัฒนามาตั้งแต่ปีงบประมาณ 2540 และปัจจุบันอยู่ระหว่างพัฒนาประสิทธิภาพให้มีความเฉพาะเจาะจงกับตัวเชื้อโรคมากขึ้นและราคาถูกลง โดยเครื่องดังกล่าวจะสามารถตรวจสอบสารตัวอย่างที่สงสัยว่าเป็นสารพิษชีวภาพหรือไม่ ซึ่งตรวจสอบและวิเคราะห์ผลได้ทันทีในสนาม ส่วนตัวเครื่องมีขนาดกะทัดรัด สามารถแจ้งผลตรวจได้รวดเร็ว พร้อมทั้งระบุจำนวนเชื้อแบคทีเรียก่อเกิดโรคได้ด้วย แต่ประสิทธิภาพของเครื่องยังไม่สามารถใช้ตรวจสอบสารพิษแบบเฉพาะเจาะจง จนกระทั่งถึงขั้นระบุชนิดของสารพิษ ทั้งนี้ เครื่องตรวจสอบสารพิษชีวภาพรุ่นแรกๆ ได้นำมาใช้ในการฝึกภาคสนามของทหาร เพื่อเรียนรู้วิธีแก้ปัญหาในหลักสูตรผสมป้องกันนิวเคลียร์และชีวเคมี โดยเริ่มจากการเก็บตัวอย่างสารพิษที่ต้องสงสัย ส่งเข้าห้องแล็บเพื่อตรวจสอบ ดูการตกตะกอน และการเปลี่ยนแปลงสีของเชื้อที่ทำปฏิกิริยากับสารทดสอบ ซึ่งประสิทธิภาพการตรวจสอบสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการตรวจหาจุลินทรีย์ในน้ำประปาและอาหาร ต่อมาในระยะหลัง เมื่อทั่วโลกเริ่มกังวลถึงการก่อเหตุวินาศกรรมทางชีวภาพ อาทิ ผู้ก่อการร้ายอาจจะปล่อยเชื้อแอนแทรกซ์โจมตีประชาชน ส่งผลให้หน่วยงานวิจัยต่างประเทศเริ่มวิจัยสร้างชุดตรวจสอบสารพิษแต่ละชนิดขึ้น เพื่อป้องกันเหตุก่อการร้ายที่จะเกิดซ้ำ (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 3 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





มธ.คิดค้นระบบติดตามรถเมล์ ทราบล่วงหน้าเวลาจอดป้าย

นักศึกษาธรรมศาสตร์ นายณตพร สุรพันธ์ไพโรจน์ หัวหน้าโครงการระบบประมาณเวลาการมาถึง บนรถประจำทางบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ พร้อมด้วยนายธชดล ยิ้มสู้ นางสาวอรภา ติณณภัทรกุล และนางสาวชฎา บูลศรี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า ระบบประมาณเวลาการมาถึงของรถประจำทางผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่" เป็นนวัตกรรมเพื่อสังคม ซึ่งสามารถช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัด และยังช่วยประหยัดเวลาในการรอรถประจำทางของประชาชนด้วย ทีมงานชุดนี้เลือกใช้ระบบระบุตำแหน่งรถเมล์ และผู้ใช้บริการโดยใช้โครงข่ายเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่(เซลล์ไซท์) เป็นผู้ช่วยสำคัญ หลักการทำงานจะเริ่มด้วยการติดตั้งอุปกรณ์ส่งข้อมูลบนรถเมล์ ซึ่งจะทำหน้าที่ส่งสัญญาณบอกตำแหน่งของรถ และรหัสประจำรถไปยังเครื่องแม่ข่ายส่วนกลางเมื่อมีการเปลี่ยนเซลล์ไซท์ โดยแม่ข่ายดังกล่าวจะทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลดังกล่าว และส่งสัญญาณแจ้งไปยังผู้โดยสารที่ต้องการใช้บริการ ขณะที่ฝั่งผู้โดยสารจะต้องติดตั้งโปรแกรมใช้งาน ลงบนโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อขอใช้บริการรับทราบเวลารถเมล์ โดยสามารถเลือกดูเที่ยวการเดินรถได้ทั้งขาเข้าและขาออก รวมทั้งสายรถเมล์ที่ต้องการได้ ซึ่งโทรศัพท์ที่รองรับได้นั้นจะเป็นโนเกีย ซีรีส์ 60 เช่น 6600, 7610, 6260 สำหรับโครงการนำร่องนี้จะทดลองใช้กับเส้นทางเดินรถ ระหว่างมหาวิทยาลัยกรุงเทพถึงสี่แยกรัชโยธิน คาดว่าทั้งระบบจะแล้วเสร็จและใช้งานได้จริงภายในสิ้นปีนี้อย่างแน่นอน (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 3 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





งานวิจัยม.เชียงใหม่คว้ารางวัลดีเยี่ยม เทคนิคใหม่ถ่ายฝากดีเอ็นเอ ช่วยเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรม

นักวิจัยม.เชียงใหม่พบวิธีถ่ายฝากดีเอ็นเอ จากภายนอกเข้าสู่เซลล์สิ่งมีชีวิตด้วยเทคนิคลำไอออนเป็นรายแรกของโลก คว้ารางวัลงานวิจัยดีเยี่ยมจากสภาวิจัยแห่งชาติ ขณะที่ วช.ประกาศทุ่มงบ 500 ล้านบาท ชูการวิจัยเชิงบูรณาการ หลังโครงการนำร่องปีแรกประสบผล เตรียมต่อยอดสานงานวิจัยอีก 22 โครงการ รศ.ดร.สมบูรณ์ อนันตลาโภชัย ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หนึ่งในทีมวิจัยเรื่องการถ่ายฝากดีเอ็นเอเข้าสู่เซลล์แบคทีเรีย โดยการชักนำด้วยลำไอออน เปิดเผยว่า ได้เริ่มวิจัยตั้งแต่ปี 2540 และประสบความสำเร็จในการถ่ายฝากดีเอ็นเอ 3 ชนิด ได้แก่ pGEM2, pGEM-T-easy, pGFP ขนาด 2.7-3.3 kb เข้าสู่แบคทีเรีย อี.คอไล สายพันธุ์ ดีเอช 5 อัลฟา โดยการชักนำด้วยเทคนิคลำไอออนเป็นแห่งแรกของโลก ในปีนี้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้ประกาศมอบรางวัลสภาวิจัยแห่งชาติให้กับนักวิจัยและเจ้าของสิ่งประดิษฐ์ในหลากหลายสาขา ได้แก่ นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ รางวัลผลงานวิจัย รางวัลวิทยานิพนธ์ประจำปี 2547 และรางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้นประจำปี 2548 โดยรางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ มี 8 ท่าน 8 สาขา ได้แก่ สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์ ศ.อำนวย ขนันไทย, สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ ศ.ธีระ ศิริสันธนะ ทั้งสองอยู่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, สาขาวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช ศ.ดร.สมศักดิ์ รุจิรวัฒน์ สถาบันวิจัยจุฬ่าภรณ์, สาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา ศ.ดร.เจริญศักดิ์ โรจนฤทธิ์พิเชษฐ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, สาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย ศ.ดร.สมชาย วงศ์วิเศษ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, สาขาปรัชญา ศ.ดร.อรศิริ ปาณินท์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, สาขานิติศาสตร์ ศ.ดร.สุพล นิติไกรพจน์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสาขาเศรษฐศาสตร์ ดร.ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 3 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





เด็กไทยเจ๋งคว้าเหรียญทองหุ่นยนต์นานาชาติที่สิงคโปร์

เด็กไทยได้รับรางวัลเหรียญทองการพัฒนาหุ่นยนต์ระดับนานาชาติ ที่สิงคโปร์ พร้อมรับอีก 2 เหรียญเงิน 1 ทองแดง 1 รางวัลชมเชย และรางวัลที่ 2 ประเภทคะแนนรวม ได้รับสิทธิเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันปี 2005 นายเทพฤทธิ์ อิงคศิริ หัวหน้าทีมชาติไทยในการแข่งขันพัฒนาหุ่นยนต์ระดับนานาชาติ เปิดเผยว่า ในการแข่งขันการพัฒนาหุ่นยนต์ระดับนานาชาติ (World Robot Olympiad 2004 หรือ WRO 2004) ที่ประเทศสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 5-7 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ประเทศไทยส่งทีมเข้าร่วมแข่งขันทั้งสิ้น 12 ทีม แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ รุ่นระดับประถมศึกษาอายุไม่เกิน 12 ปี รุ่นระดับมัธยมศึกษา อายุไม่เกิน 18 ปี และรุ่นประเภทความคิดสร้างสรรค์ ผลปรากฏว่า ทีมเซนต์คาเบรียล 3 ประกอบด้วย ด.ช.ฐิติวัฒน์ บวรวานิชยกูร ด.ช.ภูมิ ณรงค์เกียรติคุณ และด.ช.กฤช เกียรติพิริยะวงศ์ คว้าตำแหน่งชนะเลิศ ได้รับเหรียญทองและถ้วยรางวัลจากการส่งหุ่นยนต์โรบอท เทเบิลเทนนิส เข้าแข่งขัน โดยเฉือนชนะคู่แข่งในประเภทนี้ถึง 40 ทีม จาก 13 ประเทศทั่วโลก หัวหน้าทีมชาติไทยในการแข่งขันพัฒนาหุ่นยนต์ ระดับนานาชาติ กล่าวว่า ส่วนรุ่นระดับประถมศึกษาฯ หุ่นยนต์เขาวงกต ของทีมพระยามน 1 จากโรงเรียนพระยามนธาตุราชศรีพิจิตร์ กรุงเทพฯ และระดับมัธยมฯ หุ่นยนต์ซูโม่ ของทีมรีเทิร์น 1 จากโรงเรียนอัสสัมชัญและเตรียมอุดมศึกษา คว้ารางวัลรองชนะเลิศเหรียญเงิน อีกทั้งหุ่นยนต์เก็บสิ่งกีดขวาง จากทีมซีพีซี โรบอท ของโรงเรียนชัยภูมิภักดีชุมพล จ.ชัยภูมิ คว้าเหรียญทองแดง นอกจากนี้ หุ่นยนต์ความคิดสร้างสรรค์ ของทีมแอคคอมพานี โรงเรียนอัสสัมชัญ กรุงเทพฯ ได้รับรางวัลชมเชย (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 3 ธ.ค. http://www.komchadluek.net)





เสื้อไฮเทควัดคลื่นหัวใจส่งเข้ามือถือต่อสายตรงถึงศูนย์แพทย์เช็คจังหวะเต้นผิดปกติ

บริษัทในเยอรมนีพัฒนาเสื้อยืดที่มีคุณสมบัติพิเศษสามารถวัดจังหวะของหัวใจได้ โดยติดตั้งตัวตรวจจับ หรือเซ็นเซอร์ที่พัฒนาขึ้นมาให้วัดอัตราการเต้นของหัวใจด้วยคลื่นไฟฟ้าไร้สาย ไม่ต้องมีสายไฟแปะติดหน้าอก ผลงานนวัตกรรมดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างบริษัทฟัลเก ผู้ผลิตชุดกีฬาและบริษัทวิต้าโฟน ซึ่งเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีล้ำหน้า โดยเสื้อยืดดังกล่าวมีแผ่นฟอยล์ไฮเทค ติดเซ็นเซอร์สองตัวสำหรับวัดอัตราการเต้นของหัวใจด้วยคลื่นไฟฟ้า แล้วค่อยส่งข้อมูลเข้าโทรศัพท์มือถือ ในการตรวจจังหวะเต้นของหัวใจด้วยคลื่นไฟฟ้าที่ศูนย์แพทย์บริการทั่วไป เจ้าหน้าที่เทคนิคแพทย์จะนำขั้วไฟฟ้ามาแปะตามร่างกายเพื่อให้ส่งสัญญาณไฟฟ้าไปยังเครื่องวัด ซึ่งจะแสดงผลออกมาเป็นเส้นกราฟบนกระดาษแผ่นยาวๆ แต่สำหรับเสื้อไฮเทคตัวนี้ ไม่มีสายไฟและขั้วไฟฟ้ามาต่อเข้ากับร่างกาย แต่จะส่งคลื่นไฟฟ้าตรงจากแผ่นฟอยล์มายังโทรศัพท์มือถือ ข้อมูลที่แสดงบนโทรศัพท์มือถือสามารถเก็บไว้เป็นบันทึกประจำวัน หรือจะให้ส่งข้อมูลไปยังศูนย์แพทย์บริการเพื่อวิเคราะห์ก็ได้ นอกจากนี้ ศูนย์แพทย์ยังสามารถเรียกข้อมูลคลื่นหัวใจล่าสุดมาวิเคราะห์เป็นระยะตามที่ได้ตกลงกับผู้ป่วยไว้ เสื้อยืดไฮเทคตัวนี้ยังเหมาะที่จะนำมาใช้กับนักกีฬาเพื่อวัดจังหวะเต้นหัวใจของนักกีฬาได้อย่างแม่นยำ และสามารถประยุกต์ไปใช้งานในลักษณะต่างๆ ได้อีกหลากหลาย เสื้ออัจฉริยะที่พัฒนาขึ้นมานี้มีเนื้อผ้าที่ระบายอากาศและยังระบายเหงื่อได้รวดเร็ว ส่วนแผ่นฟอยล์ที่ติดไว้สำหรับวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ สามารถลอกออกได้เมื่อนำเสื้อไปซัก บริษัทไฮเทคทั้งสองเตรียมจะนำออกจำหน่ายในช่วงหน้าหนาวนี้ (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 3 ธ.ค. http://www.komchadluek.net)





นักวิจัยญี่ปุ่นโชว์นวัตกรรมผลิตไบโอดีเซล จุดเด่นใช้วัตถุดิบหลากหลายทั้งน้ำมันพืช-ไขมันสัตว์

ศาสตราจารย์ ดร.ชิโร ซากะ คณะวิทยาศาสตร์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมและสังคม มหาวิทยาลัยเกียวโต เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีการวิจัยถึงเทคโนโลยีผลิตไบโอดีเซล ที่เรียกว่า catalyst-free method โดยไม่ต้องใช้กรดหรือด่างเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาดังเช่นการผลิตทั่วไป เพราะสามารถใช้ได้กับวัตถุดิบอย่างน้ำมันพืชและไขมันสัตว์ใช้แล้ว รวมถึงวัตถุดิบน้ำมันที่สกัดได้จากพืชที่มีความชื้น หรือกรดไขมันแตกต่างกันได้ ซึ่งเป็นการหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ในรูปแบบของเชื้อเพลิงทดแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อันเป็นการสร้างความหลากหลายของวัตถุดิบ ที่จะนำมาใช้ผลิตเป็นไบโอดีเซลได้เป็นอย่างดี ส่วนเทคโนโลยีผลิตไบโอดีเซลที่มีอยู่ในปัจจุบัน เป็นการใช้กรดหรือด่าง เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเพื่อแยกเอทานอลออกมานั้น ยังมีข้อจำกัดในการทำงาน เพราะหากใช้ด่างเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ก็จะได้น้ำมันคุณภาพต่ำโดยมีปริมาณกรดไขมันสูงมาก ขณะเดียวกัน หากใช้กรดเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ก็อาจมีปัญหาวัตถุดิบมีความชื้นสูง อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นได้ทดลองใช้เชื้อเพลิงผสมในรถยนต์ โดยผสมเอทานอลในน้ำมันเบนซินในสัดส่วน 3% ทั้งนี้ เชื้อเพลิงทดแทนดังกล่าวให้ประสิทธิภาพที่มีค่าออกเทนสูงกว่าเดิม และสามารถใช้งานได้โดยไม่เพิ่มมลพิษ และไม่ต้องมีการดัดแปลงเครื่องยนต์ ขณะเดียวกัน คณะวิทยาศาสตร์พลังงาน กำลังวิจัยถึงความเป็นไปในการเชื้อเพลิงเบนซิน ที่มีเอทานอลผสมอยู่ 10% หรือเรียกว่าเชื้อเพลิงอี 10 (E 10) โดยคาดว่าเชื้อเพลิงนี้น่าจะนำมาใช้จริงภายในปี 2563 และจะช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1 ใน 6 จากปริมาณที่ต้องลดให้ได้ตามพิธีสารโตเกียว แต่ต้องรอบริษัทผู้ผลิตรถยนต์พัฒนาเครื่องยนต์ ให้เหมาะสมกับเชื้อเพลิงชนิดนี้จริงๆ เสียก่อน และคณะนักวิจัย ม.เกียวโตอยู่ระหว่างเร่งศึกษาเทคโนโลยีล่าสุด ในการผลิตไบโอเอทานอลและไบโอดีเซล โดยใช้สารชีวภาพในเศษไม้หรือลิกโนเซลลูโลซิกส์ ( lignocellulosics) เป็นวัตถุดิบ ซึ่งแตกต่างจากสารชีวภาพที่ได้จากน้ำตาล อ้อย และมันสำปะหลัง โดยใช้เทคโนโลยี "ซูเปอร์คริติคัลวอเตอร์" ซึ่งเป็นน้ำภายใต้ความดันและความร้อนสูงมาก เพื่อผลิตเชื้อเพลิงเหลวทดแทนจากเศษไม้ หากการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้ในการผลิตเพื่อการตลาดได้จริง ญี่ปุ่นจะสามารถผลิตเอทานอลจากเศษไม้ได้ถึงปีละ 8,400 ล้านลิตร (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 4 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ญี่ปุ่นเล็งวิจัยขีปนาวุธพิสัยไกล

หนังสือพิมพ์โยมิอุริ รายงานวานนี้อ้างคำกล่าวของเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมญี่ปุ่น ว่า ทางกระทรวงได้รวบรวมเค้าโครงนโยบายด้านการป้องกันประเทศช่วงปี 2549-2552 ที่รวมถึงการเริ่มวิจัยขีปนาวุธระยะไกล จากพื้นสู่พื้น เพื่อป้องกันการรุกรานเกาะต่างๆ ของญี่ปุ่นที่อยู่ห่างไกลจากเกาะหลักหลายร้อยกิโลเมตร แผนการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการทบทวนนโยบายกลาโหมแบบครอบคลุม ซึ่งคาดว่าจะมีการเพิ่มบทบาทความร่วมมือทางทหารในโลกให้มากยิ่งขึ้น ขีปนาวุธพิสัยไกลนี้ สามารถยิงไปได้ไกลถึงฐานทัพทหารในเขตแดนของศัตรู ทั้งยังก่อให้เกิดความวิตกว่าการพัฒนาขีปนาวุธทำนองนี้ จะเป็นการหันเหไปอย่างสิ้นเชิงจากนโยบายปัจจุบันของญี่ปุ่นที่เน้นป้องกันตนเองเท่านั้น อีกทั้งประเด็นด้านกลาโหมหลายประเด็นที่มีการทบทวน อาจเกินขอบเขตของรัฐธรรมนูญที่จำกัดบทบาทของทหาร และก่อให้เกิดความวิตกในหมู่เพื่อนบ้านเอเชีย คาดว่านโยบายกลาโหมฉบับทบทวน จะได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีในเดือนนี้ โดยนายโยชิโนริ โอห์โน รัฐมนตรีกลาโหม แถลงว่า เขาหวังว่ารัฐบาลจะอนุมัติการทบทวนเค้าโครงแผนการกลาโหมแห่งชาติ และโครงการป้องกันประเทศระยะ 5 ปี(กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 4 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ข่าวทั่วไป


ให้ผู้ชายใช้คาเฟอีนละเลงหัวป้องกันผมร่วงศีรษะล้านเตียน

ศาสตราจารย์ปีเตอร์ เอลสเนอร์ แห่งมหาวิทยาลัยเจนากล่าวอธิบายว่า สาเหตุที่ทำให้พวกผู้ชายกลายเป็นคนหัวล้านหัวเหลือง อย่างหนึ่งก็เพราะรากผมมีปฏิกิริยาแพ้ต่อฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตโรน แต่ถ้าหากว่าเอาสารคาเฟอีนทาละเลงหัวไว้ มันจะออกฤทธิ์ช่วยกระตุ้นรากผมไม่ให้เสียหาย เขายังบอกเสริมว่า "สำหรับผู้ชายคนที่กลัวว่าหัวจะล้าน ให้รีบเอาคาเฟอีนทาหัวไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ตั้งแต่ตอนหนุ่มเป็นต้นไปยิ่งดี" สารคาเฟอีนเป็นสารอินทรีย์อย่างหนึ่ง เป็นผงผลึกสีขาว มีในใบชา เมล็ดกาแฟ และพืชอย่างอื่น มีอิทธิพลอย่างแรงต่อหัวใจ ใช้ในทางการแพทย์ (ไทยรัฐ อังคารที่ 30 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)





เร่งวิจัยสมุนไพร 'ปัญจขันธ์' พร้อมหนุนเกษตรกรปลูก

ปัญจ ขันธ์ หรือ คำ จีน ว่า เจียว กู่ หลาน เซียน เฉ่า คำ ญี่ปุ่น ว่า อะ มา ซา ซู รู อังกฤษ ว่า Miracle grass, Southern ginseng หรือ 5-Leaf ginseng ข้อมูล จาก สถาบัน วิจัย สมุนไพร กรม วิทยา ศาสตร์ การ แพทย์ กระทรวง สาธารณ สุข ระบุ ว่า มี สาร ที่ มี ฤทธิ์ ใน การ เป็น สาร ต้าน อนุมูล อิสระ ช่วย ให้ นอน หลับ ลด ระดับ ไขมัน ใน เลือด เสริม ระบบ ภูมิ คุ้ม กัน เป็น ต้น โดย ปัญจ ขันธ์ เป็น พืช ล้ม ลุก ชนิด เถา เลื้อย ขนาน กับ พื้น ดิน รากงอกออก จาก ข้อ เป็น ประเภท แตง น้ำเต้า มี ใบ 3-5 ใบ ด้าน บน และ ด้าน ล่าง ใบ มี ขน อ่อน สี ขาว ปก คลุม ส่วน ที่ นำ มา ใช้ คือ ส่วน เหนือ ดิน ของ พืช ที่ มี อายุ 4-5 เดือน ขึ้น ไป สถาบัน วิจัย สมุนไพร จึง ได้ ร่วม มือ กับ อ .อ .ป . ส่ง เสริม การ เพาะ ปลูก พืช สมุนไพร ปลอด สาร เคมี ใน พื้นที่ ป่า สวน สัน กำแพง และ พื้นที่ ใกล้ เคียง ไป ใช้ ใน งาน วิจัย ของ สถาบัน โดย เบื้อง ต้น ได้ คัด เลือก ปัญจ ขันธ์ ซึ่ง เป็น พืช สมุนไพร ที่ ทาง สถาบัน กำลัง ดำเนิน การ อยู่ และ ส่ง เสริม ให้ เกษตรกร ใน ท้อง ถิ่น ปลูก เพื่อ เพิ่ม ราย ได้ และ ศึกษา วิจัย ร่วม กัน ถึง วิธี การ ปลูก การ เก็บ เกี่ยว และ การ ขยาย พันธุ์ ซึ่ง จาก การ ดำเนิน งาน ที่ ผ่าน มา พบ ว่า ผล การ ผลิต ปัญจ ขันธ์ ใน พื้นที่ สวน ป่า หลวง สัน กำแพง มี ปริมาณ สาร สำคัญ สูง ตาม เกณฑ์ มาตรฐาน และ ไม่ มี สาร ปน เปื้อน ซึ่ง สามารถ นำ ไป ใช้ เป็น วัตถุ ดิบ ใน การ ผลิต ผลิตภัณฑ์ เสริม คุณภาพ ได้ เป็น อย่าง ดี (เดลินิวส์ พุธที่ 1 ธ.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





หนุนปลูกไม้โตเร็วแทนพลังงาน

นายฉัตรชัย รัตโนภาส อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวว่า ในขณะนี้ทางกรมป่าไม้ได้เตรียมเสนอแผนยุทธศาสตร์การจัดทำโครงการพัฒนาการปลูกไม้โตเร็ว จำพวก กระถินณรงค์ ยูคาลิปตัส กระถินเทพา และเลี่ยน เพื่อทดแทนพลังงานเชื้อเพลิง เนื่องจากประชาชนและภาคอุตสาหกรรมได้รับความเดือดร้อนจากภาวะราคาน้ำมันที่ดีดตัวสูงขึ้น ขณะที่น้ำมันดิบคาดว่าจะให้ใช้ได้อีกเพียง 17 ปีเท่านั้น ดังนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาแนวทางรองรับพลังงานที่จะหดหายดังกล่าว ซึ่งขณะนี้มองว่าไม้เนื้ออ่อนเหล่านี้จะสามารถปลูกหมุนเวียนทดแทนได้ตลอดเวลาโดยไม่มีวันหมด ที่สำคัญเชื้อเพลิงจากไม้เนื้ออ่อนไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายกับมนุษย์เหมือนถ่านหินลิกไนต์ ที่ทำให้เกิดฝนกรดได้ ด้าน นายธานี วิริยะรัตนพร ผอ.สำนักวิจัยการจัดการป่าไม้และผลิตผลป่าไม้ กรมป่าไม้ กล่าวว่า การสนับสนุนโครงการปลูกไม้โตเร็ว นอกจากจะทำให้ให้เกิดพลังงานทดแทนแล้ว ยังสามารถช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศไทยทางอ้อมด้วย ซึ่งภาครัฐพร้อมที่จะให้การสนับสนุน โดยคาดว่าในอนาคตจะต้องมีการพัฒนาศักยภาพการปลูกไม้โตเร็วเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 1 ล้านไร่ เพื่อให้สามารถนำมาใช้ทดแทนพลังงานเชื้อเพลิงได้อย่างพอเพียง (คมชัดลึก พุธที่ 1 ธ.ค. 47 http://www.komchadluek.net)





กลุ่ม ASEAN Plus Three ยกไทยเป็นศูนย์กลางข้อมูลด้านเกษตร

นายมลฑล เจียมเจริญ ผู้อำนวยการศูนย์สารสนเทศการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ สศก.ได้จัดอบรมการพยากรณ์ ข้อมูลทางการเกษตรขึ้นในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นการดำเนินการตามแผนโครงการ "ASEAN Food Security Information System" โดยก่อนหน้านี้มีการประชุม วางระบบฐานข้อมูลการผลิต การเพาะปลูก ราคาตลาด ปริมาณการใช้ ฯลฯ เพื่อดูว่าแต่ละฤดูกาลของแต่ละประเทศมีผลผลิตออกมาเท่าไหร่ อันจะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ ผู้อำนวยการศูนย์สารสนเทศฯกล่าวว่า องค์กรอาเซียนเป็นองค์กรระหว่างประเทศ ที่ได้มอบให้ประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินการแ ละเป็นแกนนำกลุ่มประเทศภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี (ASEAN Plus Three) รวม 13 ประเทศ ในการเป็นศูนย์กลางฐานข้อมูลทางเศรษฐกิจการเกษตร โดยมีประเทศญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพในการสนับสนุนทุนงบประมาณดำเนินการ เพื่อทำให้เกิดฐานข้อมูลระหว่างประเทศเครือข่ายสมาชิก ซึ่งแต่ละประเทศจะต้องส่งข้อมูลด้านการผลิตสินค้าเกษตรมายังประเทศไทย ในเดือนมกราคมปีหน้านี้จะมีการจัดประชุมระดับอธิบดีด้านสถิติการเกษตร ในสังกัดกระทรวงเกษตรของแต่ละประเทศตามโครงการดังกล่าว เพื่อประชุมตกลงจัดทำฐานข้อมูลด้านสถิติการเกษตรต่างๆ ในการนี้ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพหลัก โดยมีประเทศพม่าเสนอขอเข้ามามีส่วนร่วม ด้วยการให้ใช้ประเทศเป็นสถานที่จัดประชุม (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 2 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





คพ.-เอกชน รีไซเคิลอะลูมิเนียม ทำ "ขาเทียม" ลดขยะตกค้าง

นายอภิชัย ชวเจริญพันธ์ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ(คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) เปิดเผยว่า คพ.ร่วมกับมูลนิธิขาเทียมในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี บริษัทบางกอกแคน แมนนูแฟคเจอริ่ง จำกัด และบริษัทไทยเบอเวอร์เรจแคน จำกัด ผลิตขาเทียมจากซากอะลูมิเนียม 72 ตัน เพื่อช่วยเหลือผู้พิการ ตามโครงการเดินได้อีกครั้งเพื่อ ถวายแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 72 พรรษา ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และบริษัทบีเอ็นที เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด(มหาชน) เปิดรับบริจาคซากอะลูมิเนียม ที่ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซีทุกสาขา และสำนักงาน คพ. เพื่อเป็นการนำของเสียประเภทอะลูมิเนียมกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ และลดค่ากำจัดขยะอะลูมิเนียม (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 2 ธ.ค. 47 http://www.matichon.co.th)





อย.ตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จแห่งเดียวในโลก

วันที่ 2 ธ.ค. นายภักดี โพธิศิริ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แถลงถึงการจัดตั้งศูนย์ให้บริการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์สุขภาพแบบเบ็ดเสร็จ One Stop Services ว่า ศูนย์บริการดังกล่าวถือเป็นนวัตกรรมใหม่ของ อย.และเป็นสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งเดียวในโลกที่ให้บริการในลักษณะนี้ แม้แต่ในสหรัฐอเมริกาหรือยุโรปก็ยังไม่มีการบริการที่สามารถให้บริการได้ ณจุดเดียวในลักษณะนี้ โดยศูนย์จะให้บริการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ และขออนุญาตโฆษณาผลิตภัณฑ์ โดยบางเรื่องสามารถให้บริการแล้วเสร็จได้ภายในวันเดียว ทั้งนี้อย.จะเปิดศูนย์ให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ ในวันที่ 17 ธ.ค.นี้ และในอนาคต อย.จะปรับกระบวนการทำงานเพื่อตรวจสอบผลิตภัณฑ์ ในท้องตลาดอย่างเข้มข้นมากขึ้น รวมทั้งเน้นการกำกับดูแลเป็นพิเศษกับผลิตภัณฑ์ ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น ผลิตภัณฑ์ยาใหม่หรือผลิตภัณฑ์สุขภาพที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 3 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





มกอช.เกาะติดกฎระเบียบใหม่สหรัฐ-อียู

นายสมชาย ชาญณรงค์กุล รองผู้อำนวยการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศสหรัฐ และสหภาพยุโรป (อียู) เป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญยิ่งของไทย ซึ่งในระยะ 2-3 ปีนี้ทั้งสองประเทศได้มีการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบการค้าสินค้าเกษตรและอาหารค่อนข้างมาก ล่าสุดประเทศสหรัฐได้ออกระเบียบฉบับใหม่ว่าด้วยการติดฉลากอาหารก่อภูมิแพ้และการติดฉลากประเทศแหล่งกำเนิดสินค้า ส่วนอียูได้ออกระเบียบการติดฉลากอาหารก่อภูมิแพ้และระเบียบการติดฉลาก GMO ซึ่งทั้ง 2 มาตรการดังกล่าวหากไทยไม่เร่งปรับตัวและรับมือจะส่งผลกระทบไม่มากก็น้อยต่อผู้ผลิต ผู้ประกอบการและผู้ส่งออกสินค้าไปยังตลาดสหรัฐในอนาคตได้ สำหรับสินค้าที่เป็นต้นเหตุของการก่อภูมิแพ้ในสินค้า 8 ชนิดที่ทางสหรัฐ ออกระเบียบต้องติดฉลากระบุ คือ นม ไข่ สัตว์น้ำ สัตว์ไม่มีกระดูก สัตว์น้ำกลุ่ม crustacean shellfish เมล็ดถั่ว เช่น อัลมอนด์ แป้งสาลีและถั่วเหลือง โดยกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2549 เป็นต้นไป (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 3 ธ.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





ตึกสูงทำให้ป่วย

คณะกรรมการ ความปลอดภัยแห่งชาติ ในสหรัฐอเมริกา เรียกตึกสูงทำให้ป่วยว่า "ซิค บิลดิ้ง ซินโดรม" หรือแปลตรงตัวได้ว่า "กลุ่มอาการป่วยจากอาคาร" ซึ่งความเจ็บป่วยจำนวนมากนั้น อาจจะเกี่ยวพันกับการใช้เวลานานในตึกนั้นๆกลุ่มอาการ ที่จะแสดงออกมาประกอบด้วย อาการปวดหัว ปวดตา จมูก และคันคอ ไอแห้งๆ รู้สึกผิวแห้ง หรือคันผิวหนัง มึนงง วิงเวียน ยากที่จะมีสมาธิกับงานที่ทำ รู้สึกเหนื่อยง่าย และมีความรู้สึกไวต่อกลิ่น กลุ่มอาการส่วนใหญ่ที่ว่าจะหาย หรือคลายลงเมื่อเดินออกจากตึกนั้น ในขณะที่ยังไม่สามารถระบุสาเหตุ ของการเกิดอาการขึ้นมา แต่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าอาการที่ว่ามานั้นเกี่ยวโยงกับระบบระบายอากาศ หรือมีการปนเปื้อนของสารเคมี หรือเชื้อโรค (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 4 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





เกษตรกรจัดงานวันข้าวหอมมะลิโลก หนุนกุ๊กแปรรูปป้อนร้านในต่างแดน

นายธงชาติ รักษากุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ 11-13 ธันวาคม 2547 นี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จัดงานวันข้าวหอมมะลิโลกครั้งที่ 7 ประจำปี 2547 ขึ้น ณ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลวิทยาเขตสุรินทร์ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ถึงความสำคัญของประเทศไทย ในฐานะที่ทุ่งกุลาถือเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิที่ดีที่สุดในโลก โดยในแต่ละปีไทยสามารถส่งออกข้าวหอมมะลิได้ปีละกว่า 1.2 ล้านตันข้าวหอมมะลิ และมีแนวโน้มที่จะส่งออกได้มากขึ้น เนื่องจากมีผู้นิยมและเสาะหาเพื่อการบริโภคมากขึ้น และโลก พร้อมประชาสัมพันธ์ข้าวหอมไทยเทียบชั้นไวน์ฝรั่งเศส ขณะที่ภาคเอกชนขานรับนโยบายเร่งผลิตกุ๊กอาหารไทยป้อนร้านอาหารไทยในต่างประเทศ (สยามรัฐ เสาร์ที่ 4 ธ.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)





สกอ.ชี้ตลาดโลกขาดนักไอที-พยาบาล

สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) เผยสถานการณ์ตลาดวิชาชีพทั่วโลกพบว่า มีหลายสาขาวิชาที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ มีการขาดแคลนบุคลากรระดับวิชาชีพในประเทศต่างๆ ค่อนข้างมากโดยเฉพาะสาขาไอที และสาขาวิชาพยาบาล ซึ่งอาจจะเป็นช่องให้ประเทศไทย สามารถส่งบุคลากรที่มีคุณภาพเป็นแรงงานชั้นสูงในต่างประเทศ นั้น ศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า เรื่องนี้ทาง บมจ.ธนาคารกรุงไทย ได้มาหารือกับ สกอ.ว่า ประเทศไทยก็มีพยาบาลอยู่เป็นจำนวนหนึ่ง ที่ต้องการไปทำงานในต่างประเทศอยู่แล้ว แต่การทำงานในต่างประเทศได้นั้นต้องมีใบอนุญาตด้วย ซึ่งเมื่อจบพยาบาลก็จะได้ใบอนุญาตอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้การได้รับใบอนุญาตแต่ละครั้งก็จะต้องมีกระบวนการ ไม่ว่าจะเป็น การสอบหรือการเรียนเพิ่มเติม ทำให้ต้องมีค่าใช้จ่าย ด้วยเหตุนี้ ทาง ธ.กรุงไทย จึงอยากเข้ามาช่วยเหลือในกลุ่มนี้โดยออกกองทุนกู้ยืมเงินไปทำงาน เพราะเชื่อว่าหากไปทำงานในต่างประเทศคงใช้เวลาไม่นานในการชำระเงินคืน ซึ่งเรื่องนี้ทาง สกอ. ยังพิจารณาดูอยู่ว่าจะเข้าไปประสานอย่างไร เพราะในประเทศไทยเองก็ยังขาดบุคลากรวิชาชีพประเภทพยาบาลอยู่เช่นกัน (สยามรัฐ เสาร์ที่ 4 ธ.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215