หัวข้อข่าวปีที่ 6 ฉบับที่ 1 ประจำวันที่ 2005-01-09

ข่าวการศึกษา

แนะ 6 แนวทาง “สร้างเด็กดี” แต้มผ้าขาวด้วยความรักความเข้าใจ
ม.นเรศวรรับป.โท-เอกปี"48
เผยยอดสมัครแอดมิชชั่นทะลุ6หมื่น
อ้อนของบรัฐขึ้นเงินเดือนพนักงาน ม.
.บูรพารุกเปิดหลักสูตรปั้นผู้ประกอบการรายใหม่
วันเด็กปีนี้ เพิ่มพัฒนาการทางปัญญาที่ ICT Learning Centerend
นักวิชาการเสนอ10 นโยบาย แก้ปัญหาเด็กไทยทั้งระบบ
ม.รามฯ เปิดบ้าน สร้างโลกธุรกิจ
อพวช.จัดมหกรรม กระตุ้นเด็กไทย อ่านหนังสือวิทย์
ราชมงคลเล็งไกล ชงหลักสูตรแรงงาน อุตสาหกรรมแม่พิมพ์
แจกทุน60ล้านสร้างนักวิจัยใหม่
คำขวัญวันเด็ก โจทย์ที่สังคมไทยต้องคิดต่อ

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

นโยบายพลังงานชาติ '48
ไอซีทีแจกเกมผู้ว่าซีอีโอ ฝึกเยาวชนรู้ทักษะบริหารจัดการ
นักวิทย์ในแล็ปสุขภาพเสีย อายุขัยสั้นกว่าคนปกติ 10 ปี
นักวิทย์ม.บูรพาเจ๋งพบฟองน้ำทะเลชนิดใหม่ของโลก
พลังงานชูโรดแมพดันไบโอดีเซล ผุด3โมเดลลงทุนสร้างโรงงานผลิต
การเตือนภัยสึนามิ
ญี่ปุ่นหนุนเชื่อม เครือข่ายในบ้าน ผ่านสายไฟฟ้า
สทอภ.ระดมภาพดาวเทียมวางผังเมือง ปรับภูมิทัศน์-ฟื้นฟูระบบนิเวศวิทยา
วว.ยกมาตรฐานสินค้า เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

ข่าววิจัย/พัฒนา

คลื่นมือถือทำลายดีเอ็นเอ แนะต่อสายหูฟังแทนโทรแนบหูตรงๆ
สหรัฐพึ่งฐานจีโนมสุนัข ค้นหายีนมะเร็งในคน
เอกชนวิจัยอาหารกุ้งอ่อนคุณภาพสูง ทดแทนนำเข้าไรแดง - คุณค่าโภชนาการเพียบ
"เด็กปั๊ม" เสี่ยงมะเร็งจากสารเพิ่มออกเทนเบนซิน
อิฐเสริมฉนวนกันร้อน ม.เกษตรคิดค้นมุ่งลดค่าแอร์
ถุงลมนิรภัยจักรยานยนต์ เสริมความปลอดภัยให้ผู้ขับขี่
ประชุมกรรมการนโยบายวิทย์ตั้งผู้บริหารวิทย์นั่ง 9 กระทรวงหลัก บูรณาการงานวิจัยและพัฒนาให้เป็นระบบ
กรมวิชาการเกษตรจับมือสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ(อีรี่)
เกาหลีพัฒนา 'หุ่นอัจฉริยะ' สนทนาโต้ตอบทันใจ
วิจัยย้ำ "ภัยบุหรี่"ทำลูกโง่ อ่านหนังสือ-คำนวณเลขไม่ทันเพื่อน
ราชมงคลภาคพายัพ สร้างเทคโนโลยีใหม่เพื่อเกษตรกร "เครื่องคัดมะเขือเทศเชอรี่"
SMART Guard : เทคโนโลยีหุ่นยนต์เฝ้ารถ ต้นแบบสมบูรณ์ พร้อมพัฒนาสู่เชิงพาณิชย์

ข่าวทั่วไป

สมเด็จพระเทพดำริสร้าง'หอเตือนภัย'
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างการวิจัยพื้นฐานและการวิจัยประยุกต์
(ส่องเวบ) รวมรายชื่อ เหยื่อสึนามิ
ศิลปินแห่งชาติ
ก.วัฒนธรรม ตื่นสำรวจศิลปะวรรณกรรมขึ้นทะเบียน
สรรพากรกระตุ้นเอกชนวิจัยนวัตกรรม จับมือ สวทช.กลั่นกรองก่อนลดหย่อนภาษี 200%
พิษสึนามิทำเกาะขาดแคลนน้ำจืด-ดินเค็ม ตะกอนเกลือค้างชั้นดินกระทบพืชเกษตร
ไทยคดีฯ มธ.จัดโครงการ “รอบรู้เรื่องเมืองพม่า”
ไทยเจ้าภาพประชุมประเทศประสบสึนามิ





ข่าวการศึกษา


แนะ 6 แนวทาง “สร้างเด็กดี” แต้มผ้าขาวด้วยความรักความเข้าใจ

แผนพัฒนาเด็กและเยาวชน ในระยะแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 พ.ศ.2545-2549 ได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก และเยาวชนอย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ 6 ประการ คือ 1. มีความผูกพันในครอบครัว ภาคภูมิใจในความเป็นไทย มีทักษะในอาชีพและดำรงชีวิตที่รู้จักเคารพสิทธิของผู้อื่น 2. มีสุขภาพและพลานามัยแข็งแรง และรู้จักการป้องกันตนเองจากโรคและสิ่งเสพติด 3. มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ จริยธรรมคุณธรรม และมีพฤติกรรมด้านความรับผิดชอบตามวัย 4. มีเจตคติที่ดีต่อการทำงาน มีศักดิ์ศรีและความภูมิใจในการทำงานสุจริต 5. รู้จักคิดอย่างมีเหตุผลรอบด้าน และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง 6. รู้จักช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและมีส่วนร่วมเพื่อการพัฒนาชุมชนและประเทศชาติ และ กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) กระทรวงวัฒนธรรม ขอนำเสนอ 6 แนวทางในการสร้างเด็กดี ที่พ่อแม่ และผู้ใหญ่สามารถทำได้ โดยคำนึงถึงจิตใจของเด็กและเยาวชนเป็นสำคัญ ดังนี้ 1. เด็กต้องการเป็นบุคคลสำคัญ การมองเห็นคุณค่าในตนเองเกิดขึ้นจากความรู้สึกในส่วนลึกว่า “ฉันเป็นที่รักของคนอื่น” “ฉันเป็นคนที่มีคุณค่า” และ “คนชอบฉันอย่างที่ฉันเป็น” 2. เด็กต้องการความมั่นคงปลอดภัย 3. เด็กต้องการคำชมเชย 4. เด็กต้องการระเบียบวินัย ซึ่งการสร้างวินัยให้กับเด็กมี 3 แนวทางด้วยกันคือ 1) การตั้งกฎระเบียบ 2) การเลียนแบบ เด็กๆ จะเลียนแบบคนที่อยู่ใกล้ตัว 3) การสร้างแรงบันดาลใจ 4) เด็กต้องการผู้รับฟัง 5) เด็กต้องการความรัก 6) แนวทางสร้างเด็กดีที่ทาง สวช.รวบรวมมานำเสนอนี้ ไม่ได้เป็นวิธีการที่ยุ่งยากหรือต้องลงทุนทางวัตถุใดๆ เลย ขอเพียงแต่พ่อแม่และผู้ใหญ่ ที่อยู่รอบๆ ตัวเด็กและเยาวชน จะเป็นตัวอย่างที่ดี ประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างที่เด็กและเยาวชนจะสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตได้ ดังที่พระวรธัมโมวาท จากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้กล่าวไว้ว่า “...จะเห็นเด็กเป็นอย่างไร ผู้ใหญ่ต้องเป็นตัวอย่างให้ชัดเจนแก่ความรู้เห็นของเด็กก่อนผู้ใหญ่คืออนาคตของเด็ก เด็กคืออนาคตของชาติ ชาติในอนาคตจะเป็นเช่นไร น่าจะขอให้ท่านผู้ใหญ่ทั้งหลายท่องไว้เช่นเดียวกับเด็กดีกว่า ผู้ใหญ่คืออนาคตของเด็ก เด็กคืออนาคตของชาติ” (สยามรัฐ อังคารที่ 4 ม.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)





ม.นเรศวรรับป.โท-เอกปี"48

มหาวิทยาลัยนเรศวรเปิดรับสมัครสอบคัดเลือกเข้าเรียนต่อปริญญาโท และเอก ประจำปีการศึกษา 2548 ในภาคปกติ ภาคพิเศษ และภาคฤดูร้อน ทั้งใน และนอก จ.พิษณุโลก ดังนี้ 1.โครงการครู–อาจารย์ประจำการ ประจำภาคเรียนฤดูร้อน 2548 ได้แก่ หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา, จิตวิทยาการแนะแนว, หลักสูตรและการสอน, วิทยาศาสตร์ศึกษาเน้นเคมี ชีววิทยา, ฟิสิกส์ และหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย, อังกฤษ, ฝรั่งเศส รับสมัครถึง 21 มกราคม 2.โครงการจัดการศึกษาหลักสูตร/สาขาวิชาที่ต้องเรียนปรับพื้นฐานความรู้ ได้แก่ หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ รับสมัครถึง 30 มกราคม 3.โครงการจัดการศึกษาหลักสูตร/สาขาวิชาที่ไม่ต้องเรียนปรับพื้นฐานความรู้ แบ่งเป็น ปริญญาโท ได้แก่ หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต, การศึกษามหาบัณฑิต, ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต, สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต, เภสัชศาสตรมหาบัณฑิต, เศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต, พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต, วิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต, บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต, สังคมศาสตรมหาบัณฑิต รับสมัครถึง 20 มีนาคม และปริญญาเอก ได้แก่ หลักสูตรวิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิต, ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิต, ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต, การศึกษาดุษฎีบัณฑิต, สาธารณสุขศาสตรดุษฎีบัณฑิต ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่กองบริการการศึกษา โทร.0-5526-1000 ต่อ 1317 หรือ 0-5526-1081 ทุกวัน-เวลาราชการ (มติชนรายวัน อังคารที่ 4 ม.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





เผยยอดสมัครแอดมิชชั่นทะลุ6หมื่น

วันที่4 ม.ค.48 ศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) เปิดเผยถึงยอดรับและสมัครโครงการนำร่องแอดมิชชั่นปีการศึกษา 2548 ว่า จากจำนวนมหาวิทยาลัยที่ร่วมนำร่องแอดมิชชั่นทั้งหมด 24 แห่ง ผลปรากฏว่ามียอดรับสมัคร 16,834 คน มาสมัคร 68,399 คน แบ่งเป็น ม.ขอนแก่น รับ 120 คน มีผู้มาสมัคร 2,495 คน ม.ทักษิณ 576 คน สมัคร 3,733 คน ม.เทคโนโลยีสุรนารี คน 255 คน สมัคร 1,493 คน ม.นเรศวร รับ 360 คน สมัคร 3,348 คน ม.บูรพารับ 658 สมัคร 10,919 คน ม.มหาสารคาม รับ 730 คน สมัคร 8,115 คน ม.แม่โจ้ รับ 166 คน สมัคร 2,955 คน ม.แม่ฟ้าหลวง รับ 250 คน สมัคร 4,731 คนม.สงขลานครินทร์ รับ 875 คน สมัคร 14,171 คน ม.อุบล รับ 299 คนสมัคร 5,810 คน ม.ราชภัฏเก็ต รับ 295 คน สมัคร 1997 คน สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ(สจพ.) รับ 180 คน สมัคร 3,029คน ม.กรุงเทพ รับ 945 คน สมัคร 860 คน ม.เกษมบัณฑิต รับ 60 คน สมัคร 32 คน ม.คริสเตียน รับ 310 คน สมัคร 255 คน ม.เทคโนโลยีมหานคร รับ 200 คน สมัคร 203 คน ม.ธุรกิจบัณฑิต รับ 510 คน สมัคร 376 คน ม.พายัพ รับ 1,300 คน สมัคร 242 คน ม.รังสิต รับ 2,140 คน สมัคร 927 คน ม.ศรีปทุม รับ 490 คน สมัคร 103 คน ม.สยาม รับ 350 คน สมัคร 272 คน ม.หอการค้า รับ 2,990 คน สมัคร 495 คน ม.หัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ รับ 1,415 คน รับ 1543 และ ม.อัสสัมชัญรับ1,360 คน สมัคร 295 คน การประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสอบสัมภาษณ์จะประกาศในวันที่ 15 ม.ค.2548 ผ่านทางเว็บไซด์ www.cuas.or.th และเว็บไซต์ของสถาบันอุดมศึกษาที่ร่วมนำร่อง “ระบบนำร่องแอดมิชชชั่น ทำให้นักเรียนได้มีโอกาสและทางเลือกในการเข้าศึกษาต่อมากขึ้น เพราะเมื่อผ่านนำแอดมิชชั่นแล้ว ถ้ายังไม่พอใจก็ไปสอบวัดความรู้ได้อีกเพื่อดูคะแนนมีทางเลือกหลายทางในการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย” ศ.(พิเศษ)ภาวิช กล่าว (สยามรัฐ พุธที่ 5 ม.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)





อ้อนของบรัฐขึ้นเงินเดือนพนักงาน ม.

ศ.ดร.เกื้อ วงศ์บุญสิน รองอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะประธานคณะทำงานศึกษาการขอขึ้นเงินเดือนพนักงานในมหาวิทยาลัย ของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เปิดเผยว่า คณะทำงานประกอบด้วยตัวแทนมหาวิทยาลัย กรมบัญชีกลาง ได้ประชุมและมีข้อสรุปเสนอไปยัง ศ. (พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เพื่อเสนอรัฐบาลแล้ว ดังนี้ ในส่วนของพนักงานมหาวิทยาลัย ซึ่งเข้าใหม่ตั้งแต่ 1 เม.ย. 2547 ซึ่งเป็นวันที่ข้าราชการได้รับเงินเดือนขึ้นใหม่ จะขอให้ทางสำนักงบประมาณจัดงบฯให้เพิ่มเติม โดยใช้หลักเกณฑ์เดิมที่เคยตกลงไว้ คือ พนักงานมหาวิทยาลัยสายวิชาการ ได้รับ 1.7 เท่าของเงินเดือนข้าราชการ พนักงานฯ สายสนับสนุน 1.5 เท่าของเงินเดือนข้าราชการ โดยของบฯให้พนักงานฯมีผลตั้งแต่ 1 เม.ย. 2547 แทนที่จะเป็นงบฯที่จะเริ่มให้ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2548 ซึ่งล่าช้าเกินไป และที่มีข้อเสนอแนะว่า สภามหาวิทยาลัยแต่ละแห่งสามารถอนุมัติขึ้นเงินเดือนพนักงานฯได้อยู่แล้ว แต่มหาวิทยาลัยไม่ได้รับเม็ดเงินเพิ่มจากรัฐบาล จึงต้องขอเม็ดเงินเพิ่มเพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงเริ่มต้นของการออกนอกระบบ ทั้งนี้ เงินเดือนที่พนักงานฯได้รับมากกว่าเงินเดือนข้าราชการ 1.7 เท่าดังกล่าว เป็นส่วนที่พนักงานฯจะนำมาชดเชยค่ารักษาพยาบาลพ่อ แม่ สามี ภรรยา และบุตร ซึ่งพนักงานฯไม่มีสิทธิเบิก ทั้งยังไม่ได้รับบำเหน็จบำนาญด้วย ประธานคณะทำงานฯกล่าวต่อว่า สำหรับพนักงานฯที่บรรจุก่อนวันที่ 1 เม.ย. 2547 จะขอให้สำนักงบฯจัดงบฯอุดหนุนเพิ่มให้ 11% ตั้งแต่ 1 เม.ย.2547 โดยคำนวณจากที่ข้าราชการระดับ 1-7 ซึ่งได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้น 3% และยังได้รับอีก 2 ขั้น ซึ่งเฉลี่ยแล้วได้เงินเดือนเพิ่ม 11-13% ส่วนระดับ 8 ขึ้นไปก็ได้เพิ่มในสัดส่วนเดียวกัน ส่วนเม็ดเงินรวมที่จะขอเพิ่มขึ้นเป็นเงินเท่าไรนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้คำนวณ เนื่องจากต้องรอให้รัฐบาลอนุมัติในหลักการก่อน (ไทยรัฐ พุธที่ 5 ม.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





.บูรพารุกเปิดหลักสูตรปั้นผู้ประกอบการรายใหม่

รศ.สุดา สุวรรณาภิรมย์ ผอ.วิทยาลัยพาณิชยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา เปิดเผยว่า วิทยาลัยพาณิชยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ได้ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ ไทย (ส.อ.ท.) จัดทำโครงการความร่วมมือทางวิชาการ เพื่อจัดทำหลักสูตรปริญญาโทบริหารธุรกิจ สาขาการประกอบการ ซึ่งเป็นหลักสูตรใหม่ในปีการศึกษา 2548 โดยมุ่งเน้นการร่วมมือการผลิตบัณฑิตปริญญาโทบริหารธุรกิจ ให้ตรงกับความต้องการของตลาด และสนองนโยบายรัฐบาล โดยการสนับสนุนสร้างผู้ประกอบการรายใหม่ปีละไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นราย ทั้งนี้ หลักสูตรเดิมของการบริหารธุรกิจที่ผ่านมานั้น จะเน้นการสร้างบุคลากรเพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้บริหารในองค์กร แต่หลักสูตรใหม่ในสาขาการประกอบการจะเน้นการส่งเสริมสนับสนุน สร้างกลยุทธ์ การเรียนรู้แบบใหม่ให้ผู้เรียนสามารถนำไปประกอบอาชีพ และเป็นเจ้าของกิจการ เน้นการนำบุคลากรที่มีชื่อเสียง และประสบความสำเร็จในแวดวงธุรกิจอุตสาหกรรม มาเป็นวิทยากรให้ความรู้ และฝึกงานในสถานประกอบการจริง ด้านนายนิพนธ์ สุรพงษ์รักเจริญ รองประธาน ส.อ.ท. ที่ปรึกษาสถาบันเสริมสร้างขีดความสามารถของมนุษย์ กล่าวว่า กรณีที่มีการคาดการณ์ว่าในปี 2548 ภาวะเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวลดลง จากหลายปัจจัยนั้น สิ่งที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้รอดพ้นภาวะวิกฤติได้ จำเป็นต้องอาศัยการลงทุนจากภาคเอกชนและภาครัฐ เพื่อกระตุ้นให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศมากขึ้น ดังนั้น การจัดทำโครงการความร่วมมือทางวิชาการ เพื่อจัดทำหลักสูตรปริญญาโทบริหารธุรกิจ สาขาการประกอบการระหว่าง ส.อ.ท.กับวิทยาลัยพาณิชยศาสตร์ ม.บูรพา จึงถือเป็นอีกมิติใหม่ของการเรียนรู้สู่การสร้างอาชีพแบบบูรณาการที่แท้จริง. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 7 ม.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





วันเด็กปีนี้ เพิ่มพัฒนาการทางปัญญาที่ ICT Learning Centerend

ศูนย์กลางการเรียนรู้ ICT แห่งชาติ (National ICT Learning Center) ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพราะ ที่นี่เป็นแหล่งเรียนรู้รูปแบบใหม่สำหรับคนไทยที่แตกต่างจาก แหล่งเรียนรู้เดิมที่มีอยู่ เน้นการใช้เทคโนโลยีสาร สนเทศและการสื่อสาร (ICT) เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการแสวงหาองค์ความรู้ และวิถีชีวิต สร้างบรรยากาศของการเรียนรู้ให้สนุกสนาน เน้นพลังความคิดสร้างสรรค์ สร้างนิสัยรักการอ่าน โดยการจัดให้มีห้องสมุดและสื่อการเรียนรู้ประเภทต่าง ๆ ที่จะช่วยสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต ที่นี่ถือเป็นแหล่งเรียนรู้รูปแบบใหม่ ที่เน้นสร้างสรรค์กิจกรรมที่มีความสนุก ท้าทาย ดึงดูดความสนใจ ซึ่งประกอบด้วยคอนเซปต์ 4e คือ ส่วนที่ 1 e -Content เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้แบบ Digital ในรูปแบบของห้องสมุด (e-Library) และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning) ในส่วนของห้องสมุด จะเป็น แหล่งรวบรวมหนังสือทางด้านไอทีใหม่ล่าสุด รวมถึงหนังสือที่หาอ่านได้ยาก หนังสือเพื่อการเรียนรู้สาขาต่าง ๆ กว่า 3,000 เล่ม ทั้งยังมีหนังสือการ์ตูนเพื่อผ่อนคลายอีกด้วย และได้นำเอาเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้กับระบบการค้นคว้า อีกสองเดือนจะเปิดให้มีการยืมหนังสือในห้องสมุดได้ โดยจะมีคอมพิวเตอร์ในการสืบค้น ส่วนระบบ e-Learning เป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาผนวกใช้ในการเรียนการสอนที่สร้างช่องทางการเรียนรู้ที่ทันสมัย ส่วนที่ 2 e-Training ทางศูนย์ฯ จัดให้มีการเรียนการสอน ความรู้ด้าน ICT โดยได้รับความร่วมมือจากบริษัทไอที ชั้นนำของประเทศ ในการจัดอบรมหลักสูตรต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทางด้าน การสร้างแอนิเมชั่น 3 มิติ การฝึกอบรมด้านความรู้ทางคอมพิวเตอร์เบื้องต้นไปจนถึงระดับสูง รวมทั้งหลักสูตรอบรมภาษาอังกฤษ British Council จากเจ้าของภาษา รวมถึงการจัดฝึกอบรมด้าน ICT ที่ศูนย์จัดขึ้นให้ผู้ใช้ทุกระดับ ในราคาที่เหมาะสม ส่วนที่ 3 e-Expo ให้บริการทางด้าน ไอทีเอ็นเตอร์เทน เมนท์ มีโรงภาพยนตร์ 4 มิติ แห่งแรกของประเทศไทย ในส่วนนี้เป็นส่วนที่เด็กชอบมากที่สุด ส่วนที่ 4 e-Technology เป็นเวทีการแสดงเทคโนโลยี ฮาร์ด แวร์และซอฟต์แวร์ที่ทันสมัย เพื่อใช้งานโดยกลุ่มเป้าหมายและบุคคลทั่วไปสามารถเข้ามาลองใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาบุคลากรและเยาวชนให้มีศักยภาพมากขึ้น ซึ่งช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทย พัฒนาขีดความสามารถใน การสร้างสินค้าทางด้านไอที และบริษัทชั้นนำ ต่าง ๆ ได้นำเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดมาแสดง อยากให้ที่นี่เปลี่ยนแปลงเด็กไทยในวันเด็กปีนี้เพื่อความรู้ความสามารถและพัฒนาการที่ดีขึ้น ไม่ว่าตอนนี้เด็กไทยจะประสบพบเจอกับอะไรอยู่ไม่ว่าจะดีหรือร้ายคงจะไม่ขอให้ลืมง่าย ๆ เพราะรู้ว่าบางเรื่องคงหนักเกินไปที่จะลืมสำหรับเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง แต่ก็ขอให้สู้ต่อไปเป็นเด็กไทยที่ดีตามคำขวัญวันเด็กปีนี้ที่มีว่า “เด็กรุ่นใหม่ต้องขยันอ่าน ขยันเรียน กล้าคิด กล้าพูด” ( เดลินิวส์ เสาร์ที่ 8 ม.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





นักวิชาการเสนอ10 นโยบาย แก้ปัญหาเด็กไทยทั้งระบบ

นักวิชาการ คัดสรร 10 นโยบายเสนอรัฐบาล เป็นของขวัญวันเด็กแห่งชาติ เน้นการสร้างกระบวนการ จัดการแก้ไขเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบ มุ่งสร้างสังคมปลอดภัย ให้ครอบครัว ชุมชน ศาสนามีส่วนร่วมในเชิงบูรณาการ รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยถึงข้อสรุปการเสวนา "10 นโยบายที่เด็กไทยต้องการ" จากข้อเสนอของนักวิชาการ นักการเมือง องค์กรเอกชน เพื่อเสนอต่อรัฐบาล และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สำหรับกำหนดเป็นยุทธศาสตร์ ว่า การกำหนดนโยบายด้านเด็กให้เป็นวาระแห่งชาติ เชื่อมโยงกระบวนการจัดการแก้ไขอย่างเป็นระบบ เพื่อแก้ปัญหากระทรวง ทบวง กรม ต่างคนต่างทำ โดยเฉพาะส่งเสริมรายการโทรทัศน์ วิทยุ สื่อมวลชนที่มีรายการเด็กเยาวชน ครอบครัว และการศึกษา ในช่วงไพร์มไทม์อย่างเพียงพอ และรัฐควรมีช่องเฉพาะรายการเด็ก และส่งเสริมให้ภาคเอกชน ครอบครัว เด็กผลิตรายการเอง ทั้งนี้ มีระบบข้อมูลอย่างถูกต้องเพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์ปัญหาในทุกจังหวัดครอบคลุมทั่วประเทศ สร้างสังคมปลอดภัยให้เด็ก ควบคุมปราบปรามสื่อลามกอนาจาร ยาเสพติด ความรุนแรงจากเกม จัดโซนนิ่งร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ เป็นต้น ทั้งต้องส่งเสริมโอกาสความเท่าเทียม ให้ทุนการศึกษากับเด็กด้อยโอกาสยากจน พิการ ตั้งสภาเด็ก และเยาวชนทางการเมืองเพื่อให้ใช้เวลาว่างอย่างสร้างสรรค์ ควรส่งเสริมระบบคุณธรรม และสติปัญญา มีระบบบนิเวศน์เชิงลึกของศาสนา และวัฒนธรรมในการเลี้ยงดูของครอบครัว และให้ความสำคัญแก่เด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ รัฐส่งเสริมการจัดทำพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ระดับชั้นนำของโลก ที่เน้นกิจกรรมหลากหลายให้ครอบครัวมาศึกษาหาความรู้ร่วมกันได้ (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 8 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ม.รามฯ เปิดบ้าน สร้างโลกธุรกิจ

รศ.ดร.นภาพร ขันธนภา ประธานโครงการบริหารธุรกิจมหาบัณฑิตสำหรับผู้บริหาร (M.B.A. for Executives) คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรามคำแหง (มร.) เปิดเผยว่า คณะบริหารธุรกิจ มร.ได้จัดโครงการบริหารธุรกิจมหาบัณฑิตสำหรับผู้บริหาร เปิดรับสมัครนักศึกษา รุ่นที่ 8 ซึ่งโครงการนี้เป็นหลักสูตรที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ เพื่อมอบความได้เปรียบสำหรับผู้บริหารชั้นนำ ให้สามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของโลกธุรกิจ พร้อมสร้างวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกลให้แก่ผู้เรียน ผ่านการทัศนศึกษา ดูงานและเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศ อาทิ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กเลย์ (University of California at Berkeley) มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (New York University) มหาวิทยาลัยวอชิงตัน (University of Washington) ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดการทำงานร่วมกันเป็นทีม มีการเรียนรู้จากกรณีศึกษาที่เป็นข้อมูลจริงจากธุรกิจ และกิจกรรมเสริมหลักสูตร ที่ให้ผู้เรียนได้ประยุกต์ความรู้และหาข้อสรุปภายในกลุ่ม เพื่อนำไปใช้ปฏิบัติจริงในโลกธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้สนใจรับฟังข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตร และการจัดการเรียนการสอน ในงาน "Open House" ในวันที่ 29 มกราคมนี้ เวลา 09.00-12.00 น. ณ อาคารหอประชุมพ่อขุนรามคำแหงมหาราช มหาวิทยาลัยรามคำแหง หัวหมาก สำหรับปีการศึกษา 2548 นี้ โครงการบริหารธุรกิจมหาบัณฑิตสำหรับผู้บริหาร มร.จะเปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์นี้ ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดใบสมัครได้จาก www.xmba.ru.ac.th หรือติดต่อขอรับใบสมัครและสมัครได้ที่ โครงการ ชั้น 2 คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรามคำแหง สอบถามข้อมูลได้ที่ โทร.0-2310-8230, 0-1431-3822 (คมชัดลึก เสาร์ที่ 8 ม.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





อพวช.จัดมหกรรม กระตุ้นเด็กไทย อ่านหนังสือวิทย์

ศ.ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า ในปัจจุบันคนไทยมีนิสัยรักการอ่านมากขึ้น แต่หนังสือวิทยาศาสตร์กลับไม่มีแหล่งซื้อที่หลากหลาย สถานที่จำหน่ายอยู่กระจัดกระจาย สำนักพิมพ์เองก็ขาดการรวมกลุ่ม ทั้งยังขาดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านแนววิทยาศาสตร์เท่าที่ควร ดังนั้น องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) จึงจัดงาน "มหกรรมหนังสือและของเล่นวิทยาศาสตร์สำหรับเด็ก ปี 2548" ขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงวันเด็ก วัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างรากฐานด้านวิทยาศาสตร์ให้เด็กไทย โดยเน้นปลูกฝังนิสัยรักการอ่านและเล่นอย่างสร้างสรรค์ เข้ากับคำขวัญวันเด็กที่ว่า "เด็กรุ่นใหม่ ต้องขยันอ่าน ขยันเรียน กล้าคิด กล้าพูด" เนื่องจากการเรียนรู้มิได้จำกัดอยู่เพียงแต่ชิ้นงานนิทรรศการเท่านั้น แต่ยังสามารถเสริมสร้างจินตนาการและความรู้และประสบการณ์ได้จากหนังสือและของเล่น งานมหกรรมในครั้งนี้จัดขึ้นแล้ว ตั้งแต่วันที่ 6-9 มกราคมนี้ เวลา 09.30-17.00 น. ที่พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศ อพวช. คลองห้า ปทุมธานี (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 7 ม.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ราชมงคลเล็งไกล ชงหลักสูตรแรงงาน อุตสาหกรรมแม่พิมพ์

นายณรงค์ วรงค์เกรียงไกร ผู้อำนวยการสถาบันไทย-เยอรมัน เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันไทย-เยอรมัน ได้ลงนามความร่วมมือกับสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล (รม .) เพื่อจัดเตรียมพัฒนากำลังคนด้านอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ ตามโครงการพัฒนากำลังคนด้านอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาแม่พิมพ์ของไทย ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญและทุ่มงบเต็มที่กว่าพันล้านบาทเป็นระยะเวลา 5 ปี ในการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งปัจจุบันผู้ที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย มักพบปัญหาเรื่องของแม่พิมพ์ ขาดแรงงานช่างในด้านดังกล่าว อีกทั้งที่มีอยู่ก็มีคุณภาพน้อย งานแม่พิมพ์เป็นงานละเอียดเทคโนโลยีก็มีเฉพาะ จึงจำเป็นต้องสั่งแม่พิมพ์มาจากทั้งยุโรปเยอรมัน ญี่ปุ่น เกาหลี รวมไปถึงไต้หวันเป็นหลัก มูลค่านำเข้าแม่พิมพ์แต่ละปีประมาณสองหมื่นกว่าล้านบาท และส่งออกชิ้นส่วนที่ใช้ในอุตสาหกรรมแม่พิมพ์เพียงปีละสี่พันล้านบาท และหากเรายังไม่คิดที่จะพัฒนาคนในด้านนี้ก็คงต้องนำเข้าแม่พิมพ์มากขึ้นไปอีก ด้านนายยุทธนา หริรักษาพิทักษ์ ผอ.ราชมงคล วิทยาเขตนนทบุรี กล่าวว่า วิทยาเขตจะเปิดรับสมัครผู้ที่จบ ม.3 หรือ ม.6 ที่ยังไม่มีงานทำ หรือประสงค์จะทำงานในภาคอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ โดยจะอบรมความรู้ด้านดังกล่าวให้ฟรีและมีเบี้ยเลี้ยง เมื่อจบหลักสูตรและผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนดสามารถไปสอบเทียบมาตรฐานวิชาชีพ แล้วนำไปสมัครงานในโรงงานอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ ซึ่งบุคคลเหล่านี้จะมีอัตราค่าจ้างเหนือกว่าระดับพื้นฐานโดยทั่วๆ ไป นอกจากนี้ราชมงคล ยังยินดีให้คำปรึกษาแก่โรงงานอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ที่มีปัญหาด้วย (สยามรัฐ เสาร์ที่ 8 ม.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





แจกทุน60ล้านสร้างนักวิจัยใหม่

ศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) ให้สัมภาษณ์ถึงการรับสมัครทุนเพิ่มขีดความสามารถด้านการวิจัยของอาจารย์รุ่นกลาง ในสถาบันอุดมศึกษา ประจำปีการศึกษา 2548 ว่า ทุนดังกล่าวเป็นโครงการนำร่องระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในทำวิจัยของอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาอย่างต่อเนื่อง อันจะไปสู่การสร้างองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่เป็นพื้นฐานต่อการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง ตลอดจนเป็นการสนับสนุนให้นักวิจัยได้พัฒนาไปสู่การเป็นนักวิจัยที่มีคุณภาพระดับสูงของประเทศ และทำให้งานวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันและวิชาชีพอาจารย์ สำหรับงบประมาณในการสนับสนุนงานวิจัยอาจารย์ครั้งได้เบื้องต้นประมาณ 60 ล้านบาท จัดสรรได้ 50 ทุน ทุนละไม่เกิน 1,200,000 บาท ภายใต้เงื่อนไขเวลาในการดำเนินงานวิจัยไมเกิน 3 ปี โดยคณะกรรมการจัดสรรทุนวิจัย จะพิจารณาให้ทุนจากหลักเกณฑ์ดังนี้ ผู้เสนอขอรับทุนต้องเป็นอาจารย์ประจำในมหาวิทยาลัย ไม่มีตำแหน่งบริหารตั้งแต่ระดับหัวหน้าภาควิชาขึ้นไป สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก ขึ้นไป มีผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติที่เป็นเจ้าของบทความชื่อแรกไม่น้อยกว่า 1 เรื่อง ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยต้องเป็นงานวิจัยที่ทำในประเทศไทย ไม่ใช่งานวิทยานิพนธ์ เป็นโครงการวิจัยเพื่อหาองค์ความรู้ใหม่อย่างแท้จริง และสามารถพื้นฐานต่อการพัฒนาประเทศได้ โดยสามารถเสนอขอรับทุนได้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย อาคารเอส เอ็ม ทาวเวอร์ หรือติดต่อที่โทร.0-2298-0445-75 ต่อ149 และที่เว็บไซต์ www.trf.or.th, www.mua.go.th (สยามรัฐ เสาร์ที่ 8 ม.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





คำขวัญวันเด็ก โจทย์ที่สังคมไทยต้องคิดต่อ

คำขวัญวันเด็กของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีให้กับเด็กไทยทุกคนในปี 2548ว่า “เด็กรุ่นใหม่ต้องขยันอ่าน ขยันเรียน กล้าคิดกล้าพูด” ถือเป็นโจทย์ที่ท้าทายให้กับบรรดานักการศึกษาไทยต้องคิดต่อยอด จากคำขวัญ สะท้อนให้เห็นว่านายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการศึกษามากขึ้น กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ที่ดูแลงานด้านการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือในส่วนของการศึกษาระดับอุดมศึกษา น่าจะช่วยกันทำงานเพื่อทำให้คำขวัญเกิดเป็นรูปธรรมขึ้น ไม่ใช่พูดขึ้นลอยๆ ในแต่ละปี แล้วก็จบกันไปเพียงแค่นั้นคงไม่มีประโยชน์ โจทย์ที่บอกว่าเด็กไทยรุ่นใหม่ต้อง “ขยันอ่าน” ถือเป็นโจทย์ที่สำคัญมาก ครู พ่อแม่มีส่วนสำคัญมาก เนื้อหาสาระการอ่านไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับวิชาที่เด็กเรียนก็ได้ ซึ่งการส่งเสริมการอ่านยังมีข่าว เหตุการณ์ วรรณกรรม บทกวี เรื่องสั้น สาระน่ารู้อีกมากที่เราจะช่วยกันส่งเสริม “ขยันเรียน” ซึ่งคิดว่าการขยันอ่าน ขยันเรียนต้องไปด้วยกันการขยันเรียนไม่ได้หมายความว่าจะขยันอ่านเพียงอย่างเดียว แต่การขยันเรียนนั้นต้องมีสุ จิ ปุ ริ ซึ่งก็คือฟัง อ่าน คิด เขียน การขยันเรียนต้องสร้างพฤติกรรมให้มีความต่อเนื่อง “กล้าคิด กล้าพูด” ยิ่งสำคัญสังคมไทยไม่ค่อยเปิดโอกาสให้เด็กกล้าคิดกล้าพูด กล้าทำ และคิดอะไรแปลกๆ มากนัก นอกเหนือจากครู พ่อแม่ เรามักจะให้เด็กไทยหรือนักเรียนไทยอยู่ในกรอบ ให้ทำสิ่งต่างๆ คล้ายๆ กัน อย่างที่ครู หรือพ่อแม่พอใจ หลายคนบอกว่าสังคมวัฒนธรรมไทย ไม่ได้ช่วยส่งเสริมให้เด็กไทยกล้าพูด กล้าคิด การศึกษาแบบใหม่ได้เปิดโอกาสให้เด็กกล้า จะเห็นได้จากการเรียนการสอนของโรงเรียนสาธิตต่างๆ สิ่งที่ตามมาซึ่งถือว่าสำคัญมากคือความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งทุกสาขาอาชีพต้องการคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ การฝึกให้เด็กไทย กล้าคิด กล้าพูดจึงเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างนวัตกรรมใหม่ให้กับสังคมไทยการสร้างให้เด็กไทยเป็นได้ตามคำขวัญวันเด็กนั้น ทุกส่วนของสังคมต้องช่วยกัน ตั้งแต่ครอบครัว สังคม โรงเรียน สื่อทุกสื่อ โดยเฉพาะโทรทัศน์ไอที อินเตอร์เน็ท ควรจะออกแบบรายการเพื่อเด็กที่ไม่ได้เน้นแต่ความสนุกเท่านั้น คำขวัญวันเด็กประจำปี 2548 ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงเป็นการเตรียมคนเพื่อสังคมวันข้างหน้า (สยามรัฐ ศุกร์ที่ 7 ม.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


นโยบายพลังงานชาติ '48

รัฐบาลได้กำหนด ‘ยุทธศาสตร์พลังงานแห่งชาติ’ เพื่อสร้างสมดุลใหม่ในการพัฒนาอย่างรอบด้านทุกมิติทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม นโยบายใหม่นี้มีจุดประสงค์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และสร้างระบบพลังงานแห่งชาติที่มั่นคงกว่า พึ่งพาได้มากกว่า ตัวอย่างของการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของประเทศ ได้แก่ การขยายโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มประเภทของการขนส่งให้มีความหลากสะอาดกว่า ฉลาดกว่า และยั่งยืนกว่า ทั้งนี้ รัฐบาลได้วางมาตรการกำหนดให้การลงทุนด้านการผลิตกระแสไฟฟ้าในอนาคต ให้กันเงินลงทุน 5 เปอร์เซ็นต์ สำหรับพัฒนาแหล่งพลังงานทดแทน ควบคู่ไปกับการพัฒนาแหล่งพลังงานหลัก ในระดับพื้นที่ เช่น โครงการไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ (Solar Home System) หรือการใช้ประโยชน์จากเมืองฝายเดิมที่มีอยู่มาผลิตกระแสไฟฟ้า เพื่อส่งให้กับประชาชนในพื้นที่ห่างไกล รวมถึงความพยายามหาหนทางนำการผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์ มาใช้ทดแทนโรงไฟฟ้าเดิมในส่วนภูมิภาคให้ได้ 500 เมกะวัตต์ ที่สำคัญคือ การส่งเสริมการใช้ผสมเอทานอล 10 เปอร์เซ็นต์ในน้ำมันเชื้อเพลิง และโครงการไบโอดีเซล ที่รัฐบาลดำเนินการอย่างจริงจัง และจะทำต่อไปในปี 2548 ประเทศไทยจะเดินไปตามเส้นทางการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ที่จะมีส่วนในการสร้างเสริมความมั่นคงทางพลังงาน และการรักษาสิ่งแวดล้อมแก่ประชาคมโลกได้แค่ไหน เพียงใด ยังต้องติดตามต่อไป ที่มา : บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 5 ม.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ไอซีทีแจกเกมผู้ว่าซีอีโอ ฝึกเยาวชนรู้ทักษะบริหารจัดการ

น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที เป็นประธานเปิดตัวเกมซีอีโอ ซิตี้ (CEO City) หรือเกมผู้ว่าซีอีโอสร้างเมือง ซึ่งจะเป็นต้นแบบของเกมในแนวสร้างสรรค์ และเป็นหนึ่งในแนวทางแก้ปัญหาเกมออนไลน์ โดยตั้งเป้าว่าภายใน 1-2 ปีนับจากนี้ จะมีเกมแนวนี้ออกสู่ตลาดมากขึ้น อาทิ เกมท่องเที่ยวไทยที่อยู่ในรูปแบบของเกมแข่งรถ หลังจากก่อนหน้านี้ได้เปิดตัวเกมมูนทราคิด ซึ่งเป็นเกมต่อต้านยาเสพติดไปแล้ว สำหรับเกมผู้ว่าซีอีโอสร้างเมืองนี้ เป็นการผลิตร่วมกันระหว่างบริษัท ไซเบอร์แพลนเน็ต อินเตอร์แอ็คทีฟ จำกัด โดยสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือซิป้า หน่วยงานภายใต้กระทรวงไอซีทีเป็นผู้ร่วมลงทุนไม่เกินร้อยละ 30 และเกมนี้ถือเป็นต้นแบบที่กระทรวงไอซีทีให้การสนับสนุน ซึ่งขณะนี้ยังคงเปิดรับโครงการจากภาคเอกชนที่สนใจผลิตเกมแนวนี้อีกจำนวนมาก เนื่องจากสามารถนำศิลปะและวัฒนธรรมของไทยเข้าแทรกไว้ในเนื้อหาของเกม เพื่อให้ทั้งความสนุกและมีประโยชน์ เชื่อว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับเด็กไทยหันมาพัฒนาเกมมากขึ้น จากเดิมที่ประเทศไทยนำเข้าเกมจากเกาหลีใต้มากที่สุด เกมซีอีโอซิตี้ได้สอดแทรกการบริหารงานของผู้ว่าซีอีโอ และการพัฒนาสินค้าโอท็อป ซึ่งเป็นสินค้าในท้องถิ่น เพื่อสร้างพื้นฐานการบริหารจัดการที่ดีแก่เยาวชนอายุ 19-22 ปี ก่อนหน้านี้บริษัทได้จัดกิจกรรมสร้างกระแสความนิยมในมหาวิทยาลัย 12 แห่ง พร้อมจะแจกฟรีเกมซีอีโอ ซิตี้ 2 แสนแผ่นให้เยาวชน เริ่มที่งานไทยแลนด์แอนิเมชั่น แอนด์ มัลติมีเดีย 2005 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์เป็นที่แรก ระหว่างวันที่ 6-9 มกราคมนี้ (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 5 ม.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





นักวิทย์ในแล็ปสุขภาพเสีย อายุขัยสั้นกว่าคนปกติ 10 ปี

มูลนิธิศาสตราจารย์ ดร.แถบ นีละนิธิ ได้จัดการสัมมนาเรื่อง "สุขภาพ ความปลอดภัยและการประหยัดพลังงานในห้องปฏิบัติการ" โดย ศ.ดร.เบลา เทอร์ไน ราชบัณฑิตทางเคมีประเทศอังกฤษและออสเตรเลีย เปิดเผยผลการสำรวจสภาพห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์หรือห้องแล็ปว่า ผู้ที่ทำงานในห้องแล็ปมีโอกาสเป็นมะเร็ง หรือเนื้องอกมากกว่าผู้ที่ทำงานในสำนักงานถึง 30% อีกทั้งมีความบกพร่องของระบบสืบพันธุ์มากกว่า 16% และมีอายุขัยสั้นกว่าถึง 10 ปี ที่เป็นเช่นนั้นเพราะมีความบกพร่องในเรื่องต่างๆ มากมาย เช่น การถ่ายเทอากาศไม่เพียงพอ ทำให้มีกลิ่นเหม็นและมีสารพิษสะสมอยู่ในห้องนั้น บางทีก็มีความเข้าใจผิดคิดว่ามีเครื่องปรับอากาศก็ใช้ได้ แต่ความจริงเครื่องปรับอากาศเป็นการหมุนเวียนอากาศไม่ใช่ถ่ายเทอากาศ นอกจากนี้ตู้ดูดควันในห้องปฏิบัติการทางเคมีและชีววิทยา ส่วนใหญ่ยังออกแบบและติดตั้งไม่ถูกต้อง เช่น การต่อท่อหักงอ และตรงปลายท่อมักจะมีที่ครอบ หรืองอ 90 องศา ทำให้แก๊สพิษในตู้ดูดควันพุ่งออกไปไม่เต็มที่ อีกทั้งยังมีเสียงดังและใช้พลังงานไฟฟ้าสูงเกินไป ขณะที่ รศ.ดร.พิชัย โตวิวิชญ์ ประธานกรรมการจัดงาน ระบุว่า การออกแบบห้องแล็ปเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ เพราะเกี่ยวข้องกับสารเคมีและเชื้อจุลินทรีย์ มีมลภาวะและเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานอยู่เป็นประจำ อีกทั้งยังเกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย จึงจำเป็นจะต้องอาศัยผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์จริงๆ จึงจะได้ผลดี มิฉะนั้น ก็อาจจะเกิดอันตรายตายผ่อนส่งได้ (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 5 ม.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





นักวิทย์ม.บูรพาเจ๋งพบฟองน้ำทะเลชนิดใหม่ของโลก

ดร.พิชัย สนแจ้ง ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา เปิดเผยว่า จากการที่นายสุเมตต์ ปุจฉาการ นักวิทยาศาสตร์ สังกัดฝ่ายวิจัย สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล ทำวิทยานิพนธ์ในระดับปริญญาเอก เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพฟองน้ำทะเลจากอ่าวไทย โดยได้เก็บรวมตัวอย่างฟองน้ำทะเลทั่วอ่าวไทยจากระบบนิเวศต่างๆ เช่น หาดหิน หาดทราย แหล่งหญ้าทะเล และแนวปะการังตั้งแต่ปี พ.ศ.2543 ถึง 2545 พบว่ามีฟองน้ำมากกว่า 90 ชนิด และหนึ่งในจำนวนนั้น เป็นฟองน้ำชนิดใหม่ของโลกโดยได้ส่งตัวอย่างฟองน้ำที่พบในครั้งนี้ไปเทียบ และดำเนินการขอตั้งชื่อเรียบร้อยแล้วโดยใช้ชื่อว่า "ฟองน้ำบูรพา" Cladocroce burapha Putchakarn, Sonchaeng, de Weerdt & van Soest, 2004 การตั้งชื่อในครั้งนี้เพื่อเป็นเกียรติแก่มหาวิทยาลัยบูรพาที่ให้การสนับสนุนการศึกษา การค้นพบครั้งนี้ได้ลงตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารนานาชาติชื่อ "Beaufortia" ปีที่ 59 ฉบับที่ 9 วันที่ 15 ธันวาคม 2547 สำหรับ "ฟองน้ำบูรพา" เป็นฟองน้ำทะเลชนิดใหม่ที่พบได้ตั้งแต่เขตน้ำขึ้นน้ำลง จนถึงนอกชายฝั่งทะเลลักษณะรูปทรง เป็นท่อยกตัวสูง ท่อน้ำออกอยู่ตรงปลายท่อ สีลำตัวเป็นสีขาวอมชมพู พบครั้งแรกเกาะอยู่บนก้อนหิน ที่บริเวณแหลมแท่น ชายหาดบางแสน จ.ชลบุรี ที่ระดับน้ำลึกประมาณ 2 เมตร ฟองน้ำชนิดอื่นๆ ในสกุลนี้ ส่วนมากแล้วเป็นฟองน้ำที่อาศัยอยู่ในทะเลลึก และจัดเป็นฟองน้ำที่หายากชนิดหนึ่งของโลก (มติชนรายวัน พุธที่ 5 ม.ค. 47 http://www.matichon.co.th)





พลังงานชูโรดแมพดันไบโอดีเซล ผุด3โมเดลลงทุนสร้างโรงงานผลิต

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้ คณะทำงานไบโอดีเซล ได้เสนอโรดแมพส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซล (B10) ให้ที่ประชุมผู้บริหารกระทรวงแล้ว โดยเสนอ 3 โมเดล ประกอบด้วยโมเดลที่ 1 เป็นโครงการสร้างโรงงานไบโอดีเซล กรณีที่มีน้ำมันปาล์มดิบและโรงไฟฟ้าอยู่แล้ว โมเดลที่ 2 เป็นโครงการสร้างโรงงานไบโอดีเซลใหม่ และโมเดลที่ 3 โครงการสร้างโรงงานน้ำมันปาล์มดิบและโรงงานไบโอดีเซล รวมถึงโรงไฟฟ้าใหม่ทั้งหมด ทั้งนี้ ความเป็นไปได้ของ 3 โมเดลนั้นคาดว่า โมเดลที่ 1 และ 2 น่าจะเกิดได้ง่ายสุด เพราะเป็นการต่อยอดจากโรงสกัดน้ำมันปาล์มดิบที่มีอยู่แล้ว ขณะที่โมเดลที่ 3 คงเกิดยาก เพราะต้องลงทุนตั้งแต่โรงงานไบโอดีเซล โรงงานน้ำมันปาล์มดิบและโรงไฟฟ้า (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 6 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





การเตือนภัยสึนามิ

ระบบเตือนภัยที่บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกใช้ระบบที่มีเครื่องตรวจจับ 7 เครื่องนับจากเกาะฮาวายถึงแผ่นดินใหญ่สหรัฐอเมริกา ได้ใช้งบประมาณ 18 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 720 ล้านบาท จากที่ได้ทราบก็มีนักการเมืองในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อยากได้ระบบนี้จากมหาสมุทรแปซิฟิกมาปรับใช้ที่มหาสมุทรอินเดีย โดยใช้ลักษณะประสบการณ์ที่คล้าย ๆ กัน ซึ่งจะทำให้ราคาต่างจากการพัฒนาระบบเหลือแค่ 2 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 80 ล้านบาท สึนามิไม่ได้เกิดจากแผ่นดินไหว เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นดินใต้มหาสมุทรด้วย ที่เรียกว่า Landsllide เพราะฉะนั้นสึนามิ พยากรณ์ยาก จะต้องเกิดคลื่นยักษ์เท่านั้นจึงจะทราบ เพราะฉะนั้นระบบการมีสัญญาณเตือนภัยให้มนุษย์บนแผ่นดินให้หนีอย่างรวดเร็วสุดขีดและปลอดภัยนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญกว่า เราอาจจะสร้างแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ ถึงความ สูงต่ำของแผ่นดินเมื่อเกิดคลื่นสึนามิสูงระดับกี่เมตรพัดผ่านชายฝั่งแล้ว บริเวณไหนที่เป็นที่สูงที่ปลอดภัยที่สามารถอพยพผู้คนบริเวณนั้นไปได้อย่างเร็วที่สุดก็ควรจะทำ เช่น มีบริเวณภูเขา หรือเนินเขาสูง บริเวณไหนบ้างที่มนุษย์สามารถวิ่งด้วยเท้าขึ้นไปทันก่อนที่คลื่นยักษ์จะมาถึง สัญญาณเตือนภัยสำหรับประเทศจน ๆ รอบบริเวณมหาสมุทรอินเดียอาจจะใช้วิทยุก็ได้ เพราะคนฟังมากและราคาถูก ทีวีก็เป็นไป การเกิดสึนามิครั้งนี้เกิดขึ้นพร้อมกันหลายประเทศ ดังนั้นการตรวจจับ, การเตรียมรับมือ และการเตือนภัย ต้องมีการเชื่อมต่อกันทั่วทั้งโลก ต้องมีการประชุมใหญ่ต้องแบ่งความรู้และประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญหลายประเทศ และร่วมมือกันเพื่อรับมือกับภัยธรรมชาติในอนาคต. (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 6 ม.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ญี่ปุ่นหนุนเชื่อม เครือข่ายในบ้าน ผ่านสายไฟฟ้า

สำนักข่าว เอเอฟพี รายงานว่า บริษัทพานาโซนิค โซนี่ และมิตซูบิชิ อิเล็กทริก ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น ประกาศร่วมมือกันตั้งมาตรฐานการใช้สายไฟ เชื่อมโยงเครือข่ายภายในบ้าน โดยตั้งเป้าให้เป็นมาตรฐานกลางระดับโลก มาตรฐานดังกล่าว จะช่วยให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ของผู้ผลิตต่างค่าย สามารถสื่อสารกันได้ โดยที่ข้อมูลต่างๆ จะถูกส่งไปตามสายไฟ แทนการส่งผ่านสายโทรศัพท์ ซึ่งในทางทฤษฎีแล้ว วิธีการเช่นนี้ จะช่วยให้ทุกห้องที่เดินสายไฟฟ้าภายในบ้าน สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้ เทคโนโลยีดังกล่าว ยังต่างจากการเชื่อมต่อผ่านสายโทรศัพท์ทั่วไป เนื่องจากช่วยให้สามารถรันคอมพิวเตอร์ บนเครือข่ายเดียวกับอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน อาทิ โทรทัศน์, ตู้เย็น และเครื่องทำความร้อนได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภค สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายในบ้านจากระยะไกล ได้ปลอดภัยมากขึ้น "การสื่อสารผ่านสายไฟ เป็นช่องทางการสื่อสาร 2 ทิศทาง ที่มีประสิทธิภาพมาก และจะช่วยรองรับเครือข่ายภายในบ้านได้ในอนาคต" บริษัทกล่าวในแถลงการณ์ร่วม ทั้งนี้ เทคโนโลยีการสื่อสารผ่านสายไฟฟ้า ได้เริ่มมีผู้นำมาใช้งานแล้วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่การทดลองยังคงจำกัดอยู่ในแถบสหรัฐ, ออสเตรเลีย และเอเชีย ตะวันออก บางประเทศ ขณะที่ประเทศญี่ปุ่น ยังไม่อนุญาตให้มีการใช้เครือข่ายสายไฟฟ้า เนื่องจากกลัวว่าอาจแทรกแซงการสื่อสารผ่านสัญญาณวิทยุ บนเครื่องบินและเรือ (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 8 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





สทอภ.ระดมภาพดาวเทียมวางผังเมือง ปรับภูมิทัศน์-ฟื้นฟูระบบนิเวศวิทยา

ดร.สุวิทย์ วิบูลย์เศรษฐ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) เผยว่า ขณะนี้ทางสำนักงานฯ ได้รวบรวมภาพถ่ายดาวเทียมซึ่งแสดงสภาพพื้นที่ความเสียหายจากคลื่นยักษ์สึนามิพัดถล่มภาคใต้ฝั่งอันดามัน และภาพดาวเทียมที่ถ่ายไว้ก่อนหน้านี้ เพื่อนำมาใช้เปรียบเทียบความเสียหายทางทรัพยากรธรรมชาติ ภาพถ่ายดาวเทียมเหล่านี้มาจากดาวทียม TERRA, AQUA, IKONOS และ LANDSAT โดยภาพเหล่านี้พร้อมที่จะส่งต่อไปยังหน่วยงานที่ต้องการนำภาพไปวิเคราะห์ฟื้นฟูพื้นที่เสียหาย ภาพถ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ถึงสาเหตุ ทิศทางการเข้าโจมตีของคลื่น เพื่อการเฝ้าระวังในอนาคต และที่สำคัญคือ การนำเอาข้อมูลที่ได้ไปช่วยในการฟื้นฟูสภาพภูมิประเทศ โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างภูมิทัศน์ การนำสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ออกให้ห่างจากชายฝั่ง รวมถึงปรับพื้นที่ให้สูงกว่าระดับน้ำทะเล เพื่อเป็นที่หลบภัยหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวซ้ำ นอกจากนี้ ภาพถ่ายดาวเทียมยังสามารถนำไปใช้ในส่วนของการตรวจสอบสิ่งมีชีวิตในทะเล เพื่อประโยชน์สำหรับการทำประมง ข้อมูลการตรวจสอบรังสีอินฟราเรดจากดาวเทียมสามารถบอกการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิในน้ำ พร้อมแสดงแหล่งที่อยู่ของสิ่งมีชีวิต ซึ่งจะช่วยกำหนดทิศทางในการเริ่มกำหนดอันดับความสำคัญในการพัฒนาพื้นที่ที่เสียหาย นอกจากนี้ ในส่วนของดาวเทียมสื่อสารสามารถนำมาใช้ถ่ายทอดสัญญาณการรายงานสภาพผิดปกติของคลื่นทะเลจากทุ่นลอยที่วางเครือข่ายไว้ในมหาสมุทร ทุ่นดังกล่าวจะเชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์วัดความดันใต้ทะเล และจะส่งสัญญาณจีพีเอสแจ้งเตือนไปยังดาวเทียมเมื่อระดับความดันใต้น้ำเกิดการเปลี่ยนแปลง ผู้อำนวยการ สทอภ.กล่าวเพิ่มเติมว่า ในตอนนี้ภัยธรรมชาติที่น่ากลัวไม่ใช่ภัยจากคลื่นใต้ทะเล เนื่องจากภัยดังกล่าวจะเกิดนานๆ ครั้ง แต่ภัยที่ต้องพึงระวังคือภัยจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นอีกครั้งบริเวณประเทศพม่า คาบเกี่ยวมายังจังหวัดกาญจนบุรี เนื่องจากอยู่ในแนวการเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งประเทศเรายังไม่มีระบบป้องกันแผ่นดินไหวที่มีประสิทธิภาพมากพอ (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 7 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





วว.ยกมาตรฐานสินค้า เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ร่วมโครงการเติมความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพิ่มมูลค่าผลผลิต สินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ หวังยกระดับขีดความสามารถ SMEs ไทย แข่งขันในตลาดในประเทศและต่างประเทศ ดร.พีรศักดิ์ วรสุนทโรสถ ผู้ว่าการ วว. ชี้แจงว่า จากแนวนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ทำให้เกิดผู้ประกอบการรายใหม่ขึ้นทั่วประเทศ แต่อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการยังคงประสบปัญหาในด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์อาหาร มีอายุการเก็บสั้น บรรจุภัณฑ์ที่ใช้ และการออกแบบยังขาดมาตรฐาน ตลอดจนขาดการพัฒนาเครื่องจักรในการส่งเสริมการผลิต ทำให้เกิดอุปสรรคในการพัฒนาธุรกิจ วว.ในฐานะหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย มีความเชี่ยวชาญในการวิจัยพัฒนาด้านเทคโนโลยีอาหารอย่างครบวงจร ตลอดจนการพัฒนาเทคโนโลยีด้านบรรจุภัณฑ์ จึงได้เข้าร่วมในโครงการเติมความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิตสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ โดยได้นำองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปพัฒนาและส่งเสริมสินค้าในโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์มีมาตรฐานมากยิ่งขึ้น ทำการฝึกอบรมให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการในการผลิตและแปรรูปสินค้า การยืดอายุผลิตภัณฑ์อาหาร รวมทั้งการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ให้มีความเหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ นับเป็นการนำเทคโนโลยีเข้าไปพัฒนากระบวนการผลิตให้มีคุณภาพและมาตรฐานสูงขึ้น ทั้งยังช่วยยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการให้มีขีดความสามารถสูงขึ้นในการแข่งขันในตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศ อันจะเป็นการเสริมสร้างมาตรฐานให้กับสินค้าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (สยามรัฐ ศุกร์ที่ 7 ม.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ข่าววิจัย/พัฒนา


คลื่นมือถือทำลายดีเอ็นเอ แนะต่อสายหูฟังแทนโทรแนบหูตรงๆ

สถาบันวิจัย 12 แห่งใน 7 ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ได้ศึกษาผลกระทบจากคลื่นโทรศัพท์มือถือ ภายใต้สภาพแวดล้อมในห้องทดลองพบว่าคลื่นวิทยุจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ มีอันตรายต่อเซลล์ในร่างกายและอาจทำลายดีเอ็นเอได้ ขณะที่ทีมวิจัยออกตัวว่ารายงานนี้ยังไม่ได้สรุปถึงอันตรายของโทรศัพท์มือถือที่มีต่อสุขภาพ และควรค้นคว้าเพิ่มเติม เพื่อศึกษาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นภายใต้สภาพแวดล้อมปกติต่อไป โครงการวิจัยดังกล่าวใช้เวลาค้นคว้าทดลองราว 4 ปี พบว่าหลังจากเซลล์ได้รับคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ชนิดเดียวกับที่ปล่อยจากโทรศัพท์มือถือ ดีเอ็นเอภายในเซลล์ ซึ่งเป็นตัวเก็บโครงสร้างทางพันธุกรรมของร่างกาย และเซลล์อื่นๆ เอาไว้ มีอัตราการถูกทำลายเพิ่มขึ้นมาก โดยที่เซลล์ไม่สามารถซ่อมแซมดีเอ็นเอเหล่านี้ได้ทุกครั้ง ผลกระทบจากดีเอ็นเอที่ถูกทำลาย จะยังคงเหลือค้างอยู่ในเซลล์รุ่นต่อไป ซึ่งหมายความว่า การเปลี่ยนแปลงของดีเอ็นเอจะถูกถ่ายทอดต่อไป และการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ อาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งได้ ผู้บริโภคควรหลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือ หากสามารถใช้โทรศัพท์สายพื้นฐานได้ และควรใช้หูฟังในการคุยมือถือทุกครั้ง (คมชัดลึก อังคารที่ 4 ม.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





สหรัฐพึ่งฐานจีโนมสุนัข ค้นหายีนมะเร็งในคน

เคอร์สติน ลินบลาด-โทห์ สถาบันมะเร็งไวท์เฮดเพื่องานวิจัยจีโนม ในแมสซาชูเซตส์ สหรัฐ ได้จัดทำฐานข้อมูลรหัสพันธุกรรมของสุนัขฉบับสมบูรณ์ เพื่อช่วยนักวิทยาศาสตร์ตามหายีนที่เป็นสาเหตุของโรค โดยเฉพาะมะเร็งทั้งในตัวสุนัขและคน อาทิ มะเร็งกระดูก มะเร็งผิวหนัง และมะเร็งน้ำเหลือง การค้นหายีนก่อโรคในจีโนมสุนัขง่ายกว่าการหาในจีโนมมนุษย์ เนื่องจากสุนัขมีความหลากหลายในยีนน้อยมาก ซึ่งเป็นผลมาจากการที่มนุษย์คัดเลือกแต่สายพันธุ์สุนัขที่มีคุณสมบัติเฉพาะมาผสมพันธุ์กัน นอกจากนี้ ลูกสุนัขจำนวนมากที่เกิดมาก ส่วนใหญ่มาจากพ่อพันธุ์สุนัขเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น การค้นหายีนต้นเหตุมะเร็งในสุนัข นักวิจัยจะใช้เครื่องหมายพันธุกรรมเป็นตัวระบุตำแหน่งในโครโมโซม โดยสุนัขที่มีเครื่องหมายดังกล่าว จะเป็นสุนัขที่มีแนวโน้มเกิดโรคสูง ขณะที่สุนัขสุขภาพแข็งแรงจะไม่พบเครื่องหมายใดๆ ซึ่งหลักการวิเคราะห์ดังกล่าว แตกต่างกับวิธีที่ใช้ในมนุษย์ โดยนักวิจัยจะต้องศึกษาตัวอย่างดีเอ็นเอจากสมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วยที่เกิดโรค เพื่อระบุตำแหน่งของยีนต้นเหตุของโรค แต่ปัญหาอยู่ที่มนุษย์มีจำนวนสมาชิกในครอบครัว ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันเพียงไม่กี่รุ่น ทำให้ตัวอย่างที่ได้ไม่เพียงพอ ต่างจากครอบครัวสุนัข ที่มีช่วงอายุสั้น และมีลูกหลานเกิดใหม่จำนวนมาก ล่าสุดนักวิทยาศาสตร์สามารถระบุตำแหน่งยีนที่เกี่ยวพันกับมะเร็งไตได้แล้ว ด้วยการศึกษายีนในโครโมโซม 5 ของสุนัขสายพันธุ์เยอรมัน เชฟเฟิร์ด ซึ่งเมื่อนำไปเทียบกับจีโนมมนุษย์ ก็พบว่ายีนดังกล่าวเป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็งไตในมนุษย์เช่นกัน ทั้งนี้ จีโนมสุนัขเปิดให้นักวิจัยเข้าถึงฐานข้อมูลได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 5 ม.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





เอกชนวิจัยอาหารกุ้งอ่อนคุณภาพสูง ทดแทนนำเข้าไรแดง - คุณค่าโภชนาการเพียบ

นายสัตวแพทย์วินัย โชติเธียรชัย กรรมการผู้จัดการบริษัทเวท ซุปพีเรีย คอนซัลแตนท์ จำกัด จ.สมุทรสาคร ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำ เปิดเผยว่า บริษัทเป็นเอกชนรายแรกของประเทศที่รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตโปรตีนเข้มข้นจากหัวกุ้งแบบครบวงจร จากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ซึ่งสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับเศษเหลือทิ้งจากหัวกุ้ง และช่วยลดต้นทุนนำเข้าอาหารกุ้งอ่อนราคาแพงถึง 15,000 บาท/กก. สำหรับโปรตีนเข้มข้นที่ผลิตได้นั้น สามารถใช้ทดแทนอาหารเลี้ยงกุ้งอ่อนคือ อาทีเมีย (ไรชนิดหนึ่งใช้เป็นอาหารกุ้งวัยอ่อน) ซึ่งไม่มีในประเทศไทยจึงต้องนำเข้าเท่านั้นจากอเมริกาและจีนแดงกว่า 2,000 ตัน/ ปี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 25,000 ล้านบาท โดยผลการวิจัยระบุว่า คุณค่าสารอาหารจากโปรตีนเข้มข้นที่ผลิตได้ไม่แตกต่างจากอาทีเมีย มีราคาถูกกว่ามาก ดร.นงลักษณ์ ปานเกิดดี ผู้ว่าการ วว. กล่าวว่า การวิจัยดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างบริษัทเอกชน กรมประมง สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย สำหรับเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตโปรตีนเข้มข้นจากหัวกุ้ง ประกอบด้วย 4 ส่วนคือ เครื่องบด ถังหมัก เครื่องกรองแยกกากและเครื่องระเหย โดยขั้นตอนการทำงานเริ่มจากนำหัวกุ้งที่เหลือจากโรงงานแช่เยือกแข็ง โรงงานกุ้งกระป๋องต่างๆ มาบดหยาบด้วยเครื่องบดให้ได้ขนาดหนึ่งเซนติเมตร โดยหัวกุ้ง 100 กิโลกรัมจะใช้เวลาในการบดประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นจะนำมาหมักในถัง ในขั้นตอนนี้จะมีการใส่อาหารเลี้ยงเชื้อที่มีจุลินทรีย์ ซึ่งเตรียมได้จากห้องปฏิบัติการของศูนย์จุลินทรีย์ วว.โดยในการหมักนี้จะต้องรักษาอุณหภูมิ รักษาความเป็นกรด-ด่าง 5-5.5 และนำมากรองแยกกาก โดยกากส่วนนี้คือวัตถุดิบที่นำไปทำไคติน ซึ่งจะส่งต่อให้สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียนำไปวิจัยต่อไป ในส่วนของน้ำหมัก (Hydrolysate) ที่แยกได้จะนำเข้าเครื่องระเหยเพื่อฆ่าเชื้อ และจะได้น้ำโปรตีนเข้มข้นที่สามารถนำไปผสมเป็นอาหารสัตว์ตามสัดส่วนที่ต้องการ เช่น เป็นอาหารของกุ้งวัยอ่อน กุ้งอนุบาล นอกจากนี้ น้ำโปรตีนเข้มข้นที่เหลือจากการผสมสามารถเก็บไว้ในห้องเย็นที่อุณหภูมิต่ำ เพื่อเป็นวัตถุดิบที่พร้อมนำไปผสมกับอาหารสัตว์ในสูตรต่างๆ โดยปกติจะเก็บได้ประมาณ 1-2 เดือน หากเก็บไว้นานก็จะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 5 ม.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





"เด็กปั๊ม" เสี่ยงมะเร็งจากสารเพิ่มออกเทนเบนซิน

น.ส.เจริญศรี กี้ประเสริฐทรัพย์ นักศึกษาปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) จากบัณฑิตวิทยาลัย ร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวว่า จากการทำวิทยานิพนธ์เรื่องการประเมินความเสี่ยงอันตรายจากสารเพิ่มออกเทนที่ใช้แทนตะกั่ว (MTBE) ในน้ำมันเบนซินในพื้นที่ กทม. พบว่าบริเวณปั๊มน้ำมัน และบริเวณสี่แยกไฟแดง เป็นจุดที่น่าจะมีสาร MTBE ปริมาณสูงในบรรยากาศ โดยเด็กปั๊มซึ่งต้องทำงานใกล้กับหัวจ่ายน้ำมัน มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบแบบเฉียบพลัน และความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งในระยะยาว โดยเฉพาะปั๊มที่มียอดการจำหน่ายน้ำมันเบนซินเฉลี่ยสูงกว่า 500 ลิตรต่อชั่วโมง โดยประมาณก็จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น ส่วนในปั๊มที่มียอดขายเฉลี่ยไม่มากนักนั้น หากสภาพพื้นที่มีลักษณะปิด เช่น มีรถใหญ่เข้าไปเติมน้ำมันจำนวนมาก หรือล้อมรอบด้วยอาคารสูง ซึ่งมีการระบายอากาศไม่ดี เด็กปั๊มก็มีโอกาสได้รับ MTBE ในปริมาณสูงเช่นกัน ได้เสนอแนวทางป้องกันอย่างง่ายๆ ที่ทำได้ก็คือ เมื่อเริ่มปล่อยน้ำมันใส่ช่องเติมในรถแต่ละคันแล้ว ให้รีบออกมาห่างจากจุดนั้น และเข้าไปอีกครั้งเมื่อเติมเสร็จ เพราะระหว่างบริเวณหัวจ่ายที่มีการระเหย กับจุดที่ห่างออกมาเพียงไม่กี่เมตรนั้น ความเข้มข้นของ MTBE ในอากาศก็ต่างกันมากพอสมควร นอกจากนี้ การติดตั้งหัวจ่ายน้ำมันแบบมีระบบดูดไอน้ำมันกลับ เพื่อลดการสูญเสียน้ำมันไปในอากาศขณะเติมน้ำมัน ก็จะช่วยให้ MTBE ไม่ระเหยออกมาด้วยก็ป้องกันได้ดังนั้นจึงควรพิจารณากำหนดให้ สถานีบริการจำหน่ายน้ำมันที่มียอดการจำหน่ายสูง ต้องติดตั้งระบบดูดไอน้ำมันกลับ และควบคุมให้สามารถใช้งานได้ตลอดเวลา รวมทั้งการให้ความรู้ในการปฏิบัติตัวเพื่อลดการได้รับสารระเหยจากน้ำมัน (ไทยรัฐ พุธที่ 5 ม.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





อิฐเสริมฉนวนกันร้อน ม.เกษตรคิดค้นมุ่งลดค่าแอร์

นายสมาน นิลสกุล นิสิตชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาวิศวกรรมโยธาภาคสมทบ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (กำแพงแสน) เปิดเผยว่า เขาและกลุ่มเพื่อนร่วมกันคิดค้นอิฐคอนกรีตประหยัดพลังงาน โดยดัดแปลงนำอะลูมินัมฟอยล์ ซึ่งใช้เป็นฉนวนกันความร้อนประสิทธิภาพสูง ที่ใช้กันความร้อนบริเวณใต้หลังคาและแผ่นฟิวเจอร์บอร์ด ที่มีรูระบายความร้อนมาประยุกต์แทรกในเนื้ออิฐ ทำให้อิฐสามารถกันความร้อนที่ผนังแทน อิฐดังกล่าว ซึ่งเรียกว่า KPS1 สามารถนำไปก่อสร้างบ้านชั้นเดียว อาคารโรงงานที่ต้องการลดปริมาณการใช้เครื่องปรับอากาศภายในอาคาร โดยสามารถลดขนาดบีทียูเครื่องปรับอากาศ ขณะที่บางอาคารที่ได้รับการออกแบบตั้งแต่ต้น โดยคำนึงถึงการประหยัดพลังงานอยู่แล้ว และได้ใช้อิฐนี้เป็นส่วนประกอบ อาจไม่ต้องใช้เครื่องปรับอากาศ ทั้งนี้ อิฐคอนกรีตทั่วไปแม้จะมีจุดเด่นด้านความแข็งแรง ซึ่งเหมาะสำหรับก่อสร้างผนังอาคาร แต่ก็เป็นตัวนำความร้อนที่ดีเช่นกัน โดยปล่อยให้ความร้อนจากแสงแดดผ่านผนังเข้าสู่ภายในบ้านได้มากถึง 75% และป้องกันความร้อนได้เพียง 25% ขณะที่อิฐที่มีส่วนผสมของวัสดุกันความร้อน เช่น แผ่นกันความร้อนหรืออะลูมินัมฟอยล์ ผนวกกับแผ่นฟิวเจอร์บอร์ด ซึ่งช่วยสะท้อนความร้อนได้ถึง 95% หรือเกือบทั้งหมด จึงเหลือความร้อนส่วนที่ผ่านเข้าสู่ตัวบ้านน้อยกว่า 5% ส่งผลให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกเย็นสบายโดยธรรมชาติ อิฐ KPS1 ราคาประมาณ 10 บาท หรือ 135 บาทต่อ ตร.ม. ซึ่งถูกกว่าอิฐมวลเบาทั่วไปประมาณ 2 เท่า ขณะที่ประสิทธิภาพการกันความร้อนสูงกว่า อีกทั้งสามารถก่อและฉาบปูนได้ง่ายโดยไม่ต้องใช้น้ำยาประสาน แต่หากนำมาเทียบกับอิฐบล็อกธรรมดาแล้ว อิฐ KPS1 จะมีราคาสูงกว่าเท่าตัว อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของอิฐ KPS1 ที่ช่วยประหยัดค่าไฟ จะช่วยให้คืนทุนได้ในระยะเวลาเพียง 9 เดือน (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 6 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ถุงลมนิรภัยจักรยานยนต์ เสริมความปลอดภัยให้ผู้ขับขี่

ฮอนด้า มอเตอร์ ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์รายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น มุ่งพัฒนาถุงลมนิรภัยจักรยานยนต์ โดยออกแบบการติดตั้งไว้บริเวณใต้แฮนด์รถ ระบุลักษณะการใช้งานเหมือนกับถุงลมนิรภัยรถยนต์ หวังช่วยปกป้องชีวิตผู้ขับขี่ให้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุ และลดการบาดเจ็บรุนแรงเหลือเพียงรอยฟกช้ำ ฮอนด้าขอเวลาอีก 3 ปี สำหรับถุงลมนิรภัยติดรถจักรยานยนต์นี้ ทางฮอนด้าวางแผนที่จะพัฒนาถุงลมนิรภัยที่สามารถติดตั้งไว้ใต้มือจับของจักรยานยนต์ และเมื่อเกิดอุบัติเหตุถุงลมนิรภัยจะกางออกปกป้องตั้งแต่ศีรษะไปจนถึงแผ่นหลังของผู้ขับขี่ โดยเชื่อว่าผลงานสิ่งประดิษฐ์ดังกล่าวจะสามารถปกป้องชีวิตผู้ขับขี่ให้ปลอดภัยที่สุด หรือลดการบาดเจ็บรุนแรงให้เหลือเพียงรอยฟกช้ำเพียงเล็กน้อย เนื่องจากในแต่ละปีมีจำนวนผู้เสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุจักรยานยนต์สูงมาก อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีความปลอดภัยที่ว่านี้ ค่ายผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ต่างแข่งขันที่จะพัฒนา โดยก่อนหน้านี้เคยมีการนำเสนอมาแล้วในรถจักรยานยนต์ของบีเอ็มดับเบิลยู แต่ราคานั้นอยู่ในระดับที่สูงมาก คืออยู่ที่ประมาณ 79,000 บาท ซึ่งสูงเกินกว่าที่คนส่วนใหญ่จะสามารถซื้อได้ (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 6 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ประชุมกรรมการนโยบายวิทย์ตั้งผู้บริหารวิทย์นั่ง 9 กระทรวงหลัก บูรณาการงานวิจัยและพัฒนาให้เป็นระบบ

ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (กนวท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการได้เห็นชอบให้ดำเนินการจัดตั้งตำแหน่งผู้บริหารวิทยาศาสตร์ระดับสูง (Chief Science Officer : CSO) ประจำ 9 กระทรวงหลัก ได้แก่ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพลังงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงกลาโหม และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บทบาทของซีเอสโอจะเป็นกลไกในการประสานงานระหว่าง กนวท.กับกระทรวงต่างๆ โดยมุ่งเน้นเรื่องการจัดการงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนา และการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือ และโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีอยู่ในหน่วยงานต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดด้วย โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยของรัฐ โดยจะจัดตั้งให้แล้วเสร็จพร้อมทำงานในปีงบประมาณ 2549 กนวท.ซึ่งจัดการประชุมขึ้นเมื่อวานนี้ (5ม.ค.48) โดย ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ยังได้เห็นชอบการวางโรดแมพ หรือแผนกลยุทธ์เพื่อให้พิจารณาอนุมัติงบประมาณทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในสัดส่วนร้อยละ 1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ หรือจีดีพี โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างนักวิจัย 10 คนต่อประชากร 10,000 คน และยังให้ความเห็นชอบเพิ่มค่ายวิทยาศาสตร์มากขึ้น เพิ่มการเผยแพร่สารคดีด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงข้อมูลอย่างทั่วถึง นอกจากนี้ กนวท. ยังได้เห็นชอบในการเร่งพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มทุนการศึกษาระดับปริญญาโท-เอกให้เพียงพอ โดยปัจจุบันมีทุนการศึกษาระดับโท-เอกทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ได้แก่ ทุนกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจำนวน 1,400 คน ตั้งแต่ปี 2548-2552 โครงการกาญจนาภิเษก ซึ่งเป็นทุนระดับปริญญาเอกภายในประเทศ จำนวน 300-400 ทุน/ปี ในส่วนของการสร้างนักเทคโนโลยี เป็นการพัฒนาทรัพยากรบุคคลผ่านโครงการนำร่องสองโครงการคือ โครงการผลิตไมโครชิพสมาร์ทการ์ด และโครงการวิจัยและพัฒนาระบบเซลล์แสงอาทิตย์ต้นทุนต่ำ (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 6 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





กรมวิชาการเกษตรจับมือสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ(อีรี่)

ดร.ลัดดาวัลย์ กรรณนุช นักวิชาการสถาบันวิจัยข้าว กรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ในขณะนี้สถาบันวิจัยข้าวได้ทำโครงการร่วมกับสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ (IRRI) ในการดำเนินการศึกษาการวิจัยการใช้แผ่นเทียบสี หรือ LCC ในการจัดการปุ๋ยไนโตรเจน เพื่อปรับปรุงการผลิตข้าวในพื้นที่ชลประทาน ทั้งนี้เนื่องจากพื้นที่ทำนาในเขตชลประทานโดยเฉพาะภาคกลางของไทยพบว่า เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีการใช้ปุ๋ยยูเรีย ซึ่งมีธาตุไนโตรเจนอัตราค่อนข้างสูงในการเพิ่มธาตุอาหารให้ดิน โดยมีการใส่ในปริมาณที่มากจนเกินความต้องการทำให้เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดปัญหาโรคระบาดในข้าว ดังนั้น สถาบันวิจัยข้าวจึงได้นำผลการศึกษาการจัดการธาตุอาหาร N P และ K และนำวิธีการใช้แผ่นเทียบสีในการจัดการปุ๋ยไนโตรเจน ถ่ายทอดให้แก่เกษตรกร โดยจะขออนุมัติงบกว่า 2 ล้านบาท เพื่อใช้ดำเนินการเผยแพร่ผลงาน แผ่นสีดังกล่าวจะใช้วัดสีของใบข้าว เพื่อแสดงความต้องการธาตุอาหารตามความต้องการจริงของต้นข้าว เกษตรกรควรจะใส่ปุ๋ยยูเรียให้ถูกต้องตามเวลาที่ข้าวหิว ซึ่งจะทำให้ข้าวไม่เกิดปัญหาโรคระบาด อาทิ โรคไหม้ตายอันเกิดจากการใส่ปุ๋ยยูเรียในปริมาณมากเกินไป สำหรับการศึกษานำร่องในพื้นที่นาชลประทานจังหวัดฉะเชิงเทรา พบว่า หลังจากที่มีการศึกษาการจัดการธาตุอาหารและใช้แผ่นเทียบสีในการใส่ปุ๋ยไนโตรเจน พบว่าสามารถเพิ่มผลผลิตได้โดยผลผลิตข้าวก่อนการทดลองเฉลี่ยประมาณ 672 กก./ไร่ เพิ่มเป็น 896 กก./ไร่ หรือประมาณ 20% นอกจากนี้ยังสามารถช่วยลดต้นทุนการผลิต เนื่องจากการใส่ปุ๋ยยูเรียให้กับต้นข้าวได้ตรงตามเวลาที่ข้าวต้องการ โดยใส่ปุ๋ย 16-16-8 ครั้งแรกในปริมาณ 30-35 กก./ไร่ และใส่ปุ๋ยยูเรียเมื่อวัดสีใบข้าวได้ค่าเท่ากับ 3 ใช้อัตรา 7-8 กก./ไร่ ซึ่งสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ประมาณ 16% ( เดลินิวส์ เสาร์ที่ 8 ม.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





เกาหลีพัฒนา 'หุ่นอัจฉริยะ' สนทนาโต้ตอบทันใจ

ยู บุม-แจ นักวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกาหลี ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาล เปิดเผยว่า "เอ็นบีเอช-1" เป็นหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ตัวแรกของโลกที่ทำงานผ่านเครือข่ายไร้สาย มีรูปร่างเหมือนเด็กวัยรุ่นตัวเล็กๆ ที่สวมชุดอวกาศสีเทา และน้ำเงิน มาพร้อมกับความสูง 150 เซนติเมตร และหนัก 67 กิโลกรัม เจ้าเอ็นบีเอช-1 แตกต่างจากหุ่นยนต์ตัวอื่นตรงที่อุปกรณ์ภายในตัว จะเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ภายนอกทั้งหมด โดยอาศัยเครือข่ายไร้สายความเร็วสูงเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างตัวหุ่นยนต์กับเครื่องแม่ข่าย ทำให้สามารถตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมในชีวิตประจำวันได้อย่างรวดเร็ว หลักการทำงานของหุ่นยนต์เอ็นบีเอช-1 เริ่มที่เซ็นเซอร์กำลัง และการมองเห็น ที่จะคอยตรวจจับการเคลื่อนไหวและคำพูดต่างๆ จากนั้นจะส่งข้อมูลไปยังแม่ข่ายกำลังสูงเพื่อประมวลผล และรับคำสั่งเพื่อใช้สื่อสารกับคนหรือตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมได้อย่างเหมาะสม ทีมพัฒนา บอกว่า แม้ความสามารถด้านการเคลื่อนไหวและการก้าวเดิน จะสู้ "อาซิโม" หุ่นยนต์ที่พัฒนาโดยบริษัท ฮอนด้า ไม่ได้ แต่ก็สามารถเดินไปในทิศทางต่างๆ ได้ดี ด้วยความเร็วสูงสุด 0.9 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะที่อาซิโมสามารถเดินด้วยความเร็ว 3 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดกันว่าในอนาคต หุ่นยนต์ตัวนี้จะถูกนำไปใช้เป็นผู้ช่วยตามบ้าน และสำนักงาน (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 8 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





วิจัยย้ำ "ภัยบุหรี่"ทำลูกโง่ อ่านหนังสือ-คำนวณเลขไม่ทันเพื่อน

ศูนย์สุขภาพสิ่งแวดล้อมเด็กสหรัฐ รายงานว่า ปัจจุบันเด็กอเมริกันเกือบ 4,000 คน มีสติปัญญาลดน้อยถอยลง ซึ่งเป็นผลมาจากการได้รับควันบุหรี่จากสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัว งานวิจัยชิ้นนี้ ศึกษาจากข้อมูลที่เก็บรวบรวมตั้งแต่ปี 2531-2537 เป็นการดูภาพรวมด้านสุขภาพของชาวอเมริกันในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งเน้นศึกษาเรื่องควันบุหรี่ที่มีผลกระทบต่อเยาวชนอายุ 6-16 ปี ซึ่งได้รับควันทางอ้อมเป็นหลัก โดยนักวิทยาศาสตร์ได้วัดระดับ "โคตินิน" สารประกอบที่เกิดขึ้นหลังจากนิโคตินถูกเผาผลาญในร่างกายแล้ว นักวิจัยบอกว่า การวัดหาระดับสารโคตินินนั้นสามารถตรวจได้จากเลือด ปัสสาวะ น้ำลาย และเส้นผม ซึ่งทีมงานจะตรวจวัดว่าสารดังกล่าวอยู่ในระดับ 15 นาโนกรัมต่อมิลลิลิตร หรือต่ำกว่า จากนั้นก็จะนำไปเปรียบเทียบกับระดับการรับรู้ และความสามารถด้านการเรียน ที่เกี่ยวข้องกับทักษะ เช่น คณิตศาสตร์ การอ่าน ตรรกะเชิงเหตุและผล ผลพบว่าเด็กที่มีระดับสารโคตินินสูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ยทุก 1 นาโนกรัมต่อมิลลิลิตร จะมีคะแนนด้านการอ่านลดลงเป็นสัดส่วนตามกัน 1 คะแนน นอกจากนี้ผลการทดสอบด้านคณิตศาสตร์ยังพบว่าเด็กที่ได้รับควันบุหรี่ทางอ้อมมีคะแนนลดลง 2 คะแนน ในทุกหน่วยที่เพิ่มขึ้นของสารโคตินินด้วย นักวิจัยกล่าวว่า สติปัญญาที่ลดลงนี้ส่งผลถึงสังคมโดยรวมของประเทศ ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้บอกให้เรารู้ว่ายังมีเด็กอีกนับล้านรายที่ต้องตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยควันบุหรี่ รายงานดังกล่าวอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้ประเทศต่างๆ กำหนดมาตรฐานด้านสุขภาพเชิงสาธารณะเพื่อป้องกันเด็กจากควันบุหรี่ที่มีอยู่ในสภาพแวดล้อมได้ โดยเฉพาะในบ้านของตัวเด็กเอง นอกจากนี้ ยังมีรายงานระบุด้วยว่าผู้หญิงที่สูบบุหรี่ขณะตั้งครรภ์ มีผลทำให้เด็กแรกเกิดมีน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์ และยังอาจทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจได้อีกด้วย (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 7 ม.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ราชมงคลภาคพายัพ สร้างเทคโนโลยีใหม่เพื่อเกษตรกร "เครื่องคัดมะเขือเทศเชอรี่"

นายศรีธร อุปคำ อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตภาคพายัพ จังหวัดเชียงใหม่ ผู้คิดค้นและประดิษฐ์เครื่องคัดมะเขือเทศพันธุ์เชอรี่ เผยว่า การคิดค้นและประดิษฐ์เครื่องคัดมะเขือเทศพันธุ์เชอรี่นี้ เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตภาคพายัพ จังหวัดเชียงใหม่ และมูลนิธิโครงการหลวง โดยเริ่มต้นโครงการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 เหตุที่ทำให้เกิดความร่วมมือครั้งนี้ขึ้นเนื่องจากสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตภาคพายัพ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นสถาบันการศึกษาที่มีการฝึกและพัฒนา ทั้งอาจารย์ และนักศึกษาให้มีการสร้างสรรค์และพัฒนาอุปกรณ์และเครื่องทุ่นแรงในการทำงาน โดยสามารถนำสิ่งประดิษฐ์ดังกล่าวไปทดลองใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพในการทำงานจริงดังนั้น หากลดขั้นตอนในการคัดแยกลง โดยสร้างเครื่องคัดขนาดมะเขือเทศพันธุ์เชอรี่ให้กับเกษตรกร จะทำให้เกษตรกรสามารถคัดขนาดได้รวดเร็วและจำหน่ายได้ในราคาที่สูง สำหรับเครื่องคัดมะเขือเทศพันธุ์เชอรี่ เครื่องนี้ประดิษฐ์ขึ้นภายใต้ระบบกลไกการทำงานป้องกันความช้ำของผล ด้วยการนำระบบกลไกของพลังน้ำหมุนวนมาใช้เพื่อเป็นตัวนำในการคัดแยกไปยังช่องแยกขนาดผลที่มีความแตกต่างกันอยู่ 4 ขนาด ภายใต้ระบบกำลังไฟฟ้าและมอเตอร์ไฟฟ้าที่เป็นตัวควบคุมการทำงานของเครื่อง ซึ่งวิธีการใช้เครื่องสามารถทำได้ง่าย โดยการนำมะเขือเทศเทใส่ลงไปในช่องป้อนมะเขือเทศอย่างสม่ำเสมอ ลงในถังคัดขนาด เมื่อมะเขือเทศถูกแรงปะทะและแรงลอยตัวของน้ำ ทำให้มะเขือเทศแต่ละขนาดถูกแยกไปตามน้ำหนักของมะเขือเทศ โดยมะเขือเทศที่มีขนาดใหญ่น้ำหนักมากจะจมอยู่ด้านล่างสุดของตัวเครื่องและไหลไปตามช่องแยกขนาดมะเขือเทศที่มีน้ำหนักรองลงมาก็จะลอยขึ้นและเข้าไปยังถังขนาดต่างๆ จากนั้นน้ำที่ไหลเข้าถังเก็บ ก็จะถูกส่งด้วยปั๊มย้ำกลับเข้ามาที่ถังคัดขนาดอีกครั้ง และคัดแยกขนาดของมะเขือเทศต่อ ในการคัดแยกขนาดมะเขือเทศแต่ละครั้ง มีอัตราการคัดอยู่ที่ 100-150 กิโลกรัม ต่อชั่วโมง ขนาดความจุน้ำประมาณ 1,000 ลิตร ขณะนี้เครื่องคัดมะเขือเทศพันธุ์เชอรี่ได้มีการทดลองใช้แล้ว ซึ่งต้องพบกับปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไขโดยเร็ว ต้องปรับปรุงวิธีการคัดเลือกมะเขือเทศจากน้ำหนัก โดยเฉพาะปริมาณน้ำในผลของมะเขือเทศ เนื่องจากในฤดูฝน มะเขือเทศมีปริมาณน้ำมากกว่าเมื่อเทียบกับการเก็บผลผลิตในช่วงฤดูหนาวและฤดูแล้ง การทำงานของเครื่องคัดก็สามารถทำได้ดีกว่า หากมีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้แล้วก็จะนำเครื่องคัดมะเขือเทศพันธุ์เชอรี่ เครื่องนี้ส่งมอบให้กับสถานีวิจัยโครงการหลวงอินทนนท์ เพื่อนำไปใช้ในการคัดมะเขือเทศพันธุ์เชอรี่ต่อไป ผู้ใดสนใจเครื่องคัดมะเขือเทศพันธุ์เชอรี่เครื่องต้นแบบเครื่องนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นายศรีธร อุปคำ อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตภาคพายัพ จังหวัดเชียงใหม่ โทรศัพท์ (053) 892-780 หรือ (01) 783-1973 ทุกวัน (เทคโนโลยีชาวบ้าน 1 ม.ค. 48 http://www.matichon.co.th/techno)





SMART Guard : เทคโนโลยีหุ่นยนต์เฝ้ารถ ต้นแบบสมบูรณ์ พร้อมพัฒนาสู่เชิงพาณิชย์

รศ.ดร.ปิติเขต สู้รักษา อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เจ้าของผลงาน "SMART Guard : เทคโนโลยีหุ่นยนต์เฝ้ารถ" ได้ร่วมกับ ดร.วีระพล โมนยากุล อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี ในฐานะนักวิจัยพี่เลี้ยง ทำการพัฒนาฐานความรู้เดิมคือ "เทคโนโลยีหุ่นยนต์" มาสู่ "เทคโนโลยีหุ่นยนต์เฝ้ารถ" มีชื่อเท่ๆ ว่า SMART Guard โดยมีรศ.ดร.ถวิล พึ่งมา คณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ให้ความอนุเคราะห์การทำวิจัย รศ.ดร.ปิติเขต อธิบายต่อว่า หลักการทำงานของ SMART Guard คือ สมองกลและระบบการตรวจรับและส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือ เป็นระบบอัจฉริยะที่บรรยายความสามารถไว้ในตัวเอง ดังนี้ คือ S-Security ความสามารถรักษาความปลอดภัยของรถ ด้วยระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวและตรวจจับรังสีอินฟราเรด เปรียบเสมือนตาหุ่นยนต์คอยระวังภัยให้ตลอดเวลา ทันทีที่มีผู้บุกรุกเข้ารถ ตาหุ่นยนต์จะแจ้งเตือนผ่านสมองกลไปที่โทรศัพท์มือถือของผู้เป็นเจ้าของในช่วงเสี้ยววินาที M-Monitoring ความสามารถในการตรวจสอบการทำงานของระบบรักษาความปลอดภัย เสมือนเป็นผู้ตรวจสอบภายในว่าระบบทำงานเป็นปกติหรือไม่ A-Automation ความสามารถในการทำงานแบบอัตโนมัติ ซึ่งเป็นระบบสำรอง หากไม่มีการสั่งงานจากมือถือของผู้ใช้ซึ่งสามารถควบคุมรถด้วยตนเองในระยะ 20,000 กิโลเมตร ระบบอัตโนมัตินี้จะทำงานเองทันที หลังจากที่ได้รับแจ้งจากตาหุ่นยนต์ว่า มีผู้บุกรุกและได้แจ้งเตือนไปยังเจ้าของรถแล้วถึงสามครั้ง และไม่มีการตอบรับ ในกรณีนี้ระบบจะตัดไฟฟ้าภายในรถทันที และจะส่งสัญญาณไซเรนให้ผู้อยู่ข้างเคียงรับทราบ R-Reciprocity ความสามารถในการสื่อสารสองทาง นอกจาก SMART Guard จะโทร. แจ้งหาเจ้าของแล้ว เจ้าของสามารถใช้โทรศัพท์มือถือโทร. หา SMART Guard ได้อีกด้วย โดยการใช้รหัสลับบอกกับ SMART Guard ว่าจะให้ทำคำสั่งใด เช่น บอกตำแหน่งว่าขณะนี้รถอยู่ที่ไหน หรือจะสั่งให้สตาร์ตรถ หรือสั่งดับเครื่องยนต์ในกรณีที่รถถูกขโมย ก็สามารถทำได้ทันที T-Tracking ความสามารถนี้เป็นความสามารถพิเศษที่ SMART Guard สามารถส่งตำแหน่งตัวเองรายงานตัวเจ้าของได้ทุกช่วงเวลาที่เจ้าของตั้งไว้ เช่น ทุก 10 นาที หรือทุกครึ่งชั่วโมงก็ได้ โดยเจ้าของสามารถเห็นตำแหน่งที่รถอยู่ได้จากแผนที่อิเล็กทรอนิกส์ ผิดพลาดไม่เกิน 3 เมตร ต้นแบบชนิด Full option (ฟูล ออพชั่น) นั้น อยู่ที่ประมาณ 50,000 บาท แต่หากมีการพัฒนาไปสู่เชิงพาณิชย์ มีการผลิตเพื่อออกจำหน่ายเป็นจำนวนมาก ต้นทุนในการผลิตย่อมต้องลดลง กลุ่มธุรกิจหรือประชาชนทั่วไปสนใจ "SMART Guard : เทคโนโลยีหุ่นยนต์เฝ้ารถ" ขอรับคำปรึกษาเพิ่มเติมได้ที่ รศ.ดร.ปิติเขต สู้รักษา ภาควิชาวิศวกรรมสารสนเทศ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ถนนฉลองกรุง เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ 10520 โทรศัพท์ (09) 444-2106 Email : kspitikh@kmitl.ac.th





ข่าวทั่วไป


สมเด็จพระเทพดำริสร้าง'หอเตือนภัย'

โดยเมื่อวันที่ 3 ม.ค. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกา ผู้อำนวยการสภากาชาดไทย เสด็จฯ มาทรงงาน ณ สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย ถนนอังรีดูนังต์ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้เจ้าหน้าที่สภากาชาดไทยและอาสา ขณะเดียวกัน นายโภคิน พลกุล รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ภายหลังจากการตรวจสอบพื้นที่และหารือกับรัฐมนตรีที่รับผิดชอบใน จ.กระบี่ และพังงา ผ่านระบบวีดิโอคอนเฟอเรนซ์ว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะพระราชทานเงินที่ได้รับบริจาคเพื่อจัดสร้างหอสังเกตการณ์เตือนภัยคลื่นยักษ์ใน 23 จังหวัดในพื้นที่ที่ติดทะเล เพื่อป้องกันและบรรเทาความรุนแรงจากภัยธรรมชาติด้วย (ไทยรัฐ อังคารที่ 4 ม.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ปฏิสัมพันธ์ระหว่างการวิจัยพื้นฐานและการวิจัยประยุกต์

ปาฐกถาโดย ริคคาร์โด จิอาโคนี ได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ เมื่อปี 2545 ปัจจุบันท่านเป็นนักวิจัยประจำมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปคินส์ ที่บัลติมอร์ และเป็นประธาน Associated Universities Inc แห่งวอชิงตัน ดี.ซี. สำหรับผลงานที่สำคัญคือ การประดิษฐ์อุปกรณ์สำหรับตรวจสอบการแผ่รังสีของรังสีคอสมิกเอ็กซเรย์ ท่านเป็นผู้ค้นพบว่า มีแหล่งกำเนิดรังสีเอ็กซ์นอกระบบสุริยะจักรวาลของเราเป็นคนแรก รวมทั้งแหล่งกำเนิดรังสีเอ็กซ์ ที่ปัจจุบันเชื่อกันว่า เป็นบริเวณที่หลุมดำ นอกจากนี้ ยังเป็นผู้พัฒนากล้องโทรทรรศน์เอ็กซเรย์คนแรก ซึ่งทำให้เรามีความเข้าใจเกี่ยวกับดวงอาทิตย์ ดวงดาว กาแล็กซี และซุเปอร์โนวา สิ่งที่ท่านค้นพบนับได้ว่าเป็นการวางรากฐานสำคัญ เกี่ยวกับนำแสงเอ็กซเรย์มาใช้ในการศึกษาดาราศาสตร์ และเปลี่ยนมุมมองที่มนุษย์มีต่อเอกภพ ศาสตราจารย์จิอาโคนี มีกำหนดการปาฐกถาตามสถานที่ต่างๆ ดังต่อไปนี้ วันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2548 เวลา 14.00 น. ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันอังคารที่ 11 มกราคม เวลา 10.00 น. ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ร่วมกับสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (เป็นการภายใน) วันพุธที่ 12 มกราคม เวลา 10.00 น. ที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย เวลา 13.30 น. ที่อุทยานวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย ร่วมกับเนคเทค (เป็นการภายใน) วันศุกร์ที่ 14 มกราคม เวลา 10.30 น. ที่มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (สยามรัฐ พุธที่ 5 ม.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)





(ส่องเวบ) รวมรายชื่อ เหยื่อสึนามิ

หลังจากคลื่นยักษ์ถล่มภาคใต้ สร้างความสูญเสียมากมาย ทั้งผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ ผู้สูญหาย ไม่รู้ว่าใครเป็นใครก็มาก กระทรวงไอซีทีจึงร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนหลายแห่ง จัดทำฐานข้อมูลผู้ประสบภัยพร้อมเปิดเวบไซต์ www.thaitsunami.com ให้บริการแก่ประชาชน โดยจะรวบรวมข้อมูลต่างๆ ของผู้สูญหาย ผู้เสียชีวิต เอาไว้ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ พร้อมกับบริการค้นหาบุคคล และมีการเชื่อมต่อไปยังเวบไซต์ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ รวมถึงรวบรวมข่าวคลื่นยักษ์ นอกจากนี้ยังมีในส่วนของข้อมูลสำหรับผู้เกี่ยวข้องเท่านั้น อาทิ ภาพผู้เสียชีวิต ซึ่งต้องใช้รหัสผ่านในการเข้าชม ญาติผู้สูญหายสามารถขอรหัสผ่านได้จากผู้ว่าราชการจังหวัด สำหรับชาวต่างชาติสามารถขอได้ที่สถานทูต 30 แห่ง และยังมีการนำภาพถ่ายดีเอ็นเอติดตั้งในเวบไซต์เพื่อให้ญาติที่สงสัยนำมาเปรียบเทียบได้ทางอินเทอร์เน็ต (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 6 ม.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ศิลปินแห่งชาติ

นายอนุรักษ์ จุรีมาศ รมว.วัฒนธรรม กล่าวถึงผลการคัดเลือกสรรหาศิลปินแห่งชาติประจำปี 2547 จำนวน 8 ท่าน ว่า ทางคุณหญิงวินิตา ดิถียนต์ เจ้าของนามปากกาชื่อดัง “ว.วินิจฉัยกุล” หรืออีกนามปากกาหนึ่งคือ “แก้วเก้า” พร้อมด้วยนายชาติ กอบจิตติ เจ้าของผลงานวรรณกรรมแนวนวนิยายที่วิพากษ์สังคม และเจ้าของรางวัลซีไรต์ปี2525 และปี2537 ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ นอกจากนี้ยังมี นายไพรัช สังวริบุตร ได้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง(ภาพยนตร์และละคร) ส่วนศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง(ดนตรีสากล-ขับร้อง) เป็นของนางจินตนา ปาละวงศ์ ณ อยุธยา(นางจินตนา สุขสถิตย์) นายราฆพ โพธิเวส ได้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง(นาฏศิลป์โขน) นายสันต์ สารากรบริรักษ์ ได้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) นายไพบูลย์ มุสิกโปดก ได้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์(ภาพถ่ายศิลปะ) และนายจุลทัศน์ กิติบุตร ได้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาสถาปัตยกรรม(แบบร่วมสมัย) โดยศิลปินแห่งชาติ ประจำปี 2547 ทั้ง 8 ท่านนี้จะเข้ารับรางวัลพระราชทานเข็มเชิดชูเกียรติในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2548 นี้ (สยามรัฐ พฤหัสบดีที่ 6 ม.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ก.วัฒนธรรม ตื่นสำรวจศิลปะวรรณกรรมขึ้นทะเบียน

นางปริศนา พงษ์ทัดศิริกุล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) กระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ตนได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่น เพื่อเข้าร่วมประชุมอนุกรรมการสมาชิกองค์การยูเนสโกว่าด้วยเรื่อง “วัฒนธรรมจับต้องไม่ได้” ซึ่งเนื้อหาสาระที่ประชุมกล่าวถึงปัจจุบันประเทศโลกที่สามที่มีศิลปะต้นแบบ เช่น นาฏกรรม หรือท่าร่ายรำ ดนตรีกรรม ภูมิปัญญาความคิดและช่างฝีมือดั้งเดิม เหล่านี้กำลังถูกประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศคุกคามอย่างหนัก ทั้งทางตรงและทางอ้อม เห็นชอบสิ่งใดขึ้นมาทำการส่งคนมาเรียนรู้ พอศึกษาเสร็จสรรพกลับไปประเทศของตนแล้วจดเป็นลิขสิทธิ์ประกาศหรือโฆษณาแสดงความเป็นเจ้าของทันที ตรงนี้ยูเนสโกมีความเป็นห่วงมาก ถ้าขืนปล่อยให้มีการกระทำแบบนี้เรื่อยๆ เกรงเจ้าของต้นแบบศิลปะและวัฒนธรรมจะไม่เหลืออะไรให้เป็นของตนเอง จึงให้ประเทศสมาชิกช่วยกันสำรวจว่าในประเทศของตนมีอะไรบ้างที่ต้องทำการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกชาติไว้ก่อน ด้านนายอนุรักษ์ จุรีมาศ รัฐมนตรีวัฒนธรรม ให้ทางสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ สอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ดู นอกจากนี้ให้เครือข่ายวัฒนธรรมอยู่ทั่วประเทศ พร้อมจะขอความร่วมมือไปทางกระทรวงศึกษาธิการอีกแรงหนึ่ง ให้ทางสถาบันศึกษาช่วยกันสำรวจศิลปะการแสดง วรรณคดีท้องถิ่นและระดับชาติ ที่ยังไม่ได้บันทึกไว้ ให้ทำการรวบรวมแล้วส่งมาที่สวช. สำนักหอสมุดแห่งชาติ ได้ทำรายการแจ้งมาแล้วว่า มีวรรณกรรมของชาติตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงเปลี่ยนแปลงการปกครองมีอยู่ถึง 1595 เรื่อง เช่น อักษรไทยในหลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง ไตรภูมิพระร่วง ลิลิตยวนพ่าย ลิลิตพระลอ ชินมาลีปกรณ์ โครงนิราศหริภุญไชย เป็นต้น และยังมีวรรณกรรมโบราณที่เก็บไว้ในหอสมุดในส่วนภูมิภาคที่ยังไม่ได้ตรวจสอบชำระอีกนับพันเรื่อง อย่างไรก็ตามศิลปะต้นแบบของท้องถิ่นทุกแขนงนั้นต้องให้ทางผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะนำมาวิเคราะห์อีกที ว่าชิ้นไหนเข้าหลักเกณฑ์ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของชาติ จนไปถึงการจดลิขสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อเป็นการป้องกันชาวต่างชาติฮุบไปเหมือนหลายเรื่องเช่นที่ผ่านมา (สยามรัฐ พฤหัสบดีที่ 6 ม.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





สรรพากรกระตุ้นเอกชนวิจัยนวัตกรรม จับมือ สวทช.กลั่นกรองก่อนลดหย่อนภาษี 200%

นายเกียรติศักดิ์ ว่องพานิช หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์กรมสรรพากร กล่าวว่า การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีมีความจำเป็นและเป็นประโยชน์ต่อประเทศค่อนข้างมาก และเป็นแนวทางที่รัฐบาลให้การสนับสนุนผลักดันอยู่แล้ว เพื่อให้เอกชนพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสินค้าพื้นฐานไปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สู่ตลาด ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ที่นำไปสู่สินค้าเชิงพาณิชย์ กรมสรรพากรจึงกำหนดให้ผู้ประกอบการสามารถนำค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากการทำวิจัย สามารถนำมาขอยกเว้น หรือขอคืนภาษีได้ถึง 2 ต่อ หรือคิดเป็น 200% โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องเป็นสถาบัน หรือ ศูนย์วิจัยและพัฒนา ที่จดทะเบียนไว้กับกรมสรรพากรเท่านั้น จึงจะสามารถดำเนินการยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ดังกล่าวได้ และจะต้องผ่านการรับรองจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำหรับบริษัทที่ต้องการทำวิจัยสามารถนำฝ่ายวิจัยมาทำเรื่องจดทะเบียนกับกรมสรรพากร ส่วนเอกชนใดที่ไม่มีหน่วยวิจัย จะสามารถใช้บริการของหน่วยงานวิจัยของหน่วยงานรัฐ และสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ ที่จดทะเบียนไว้กับกรมสรรพากร จากนั้นนำค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาขอคืนภาษีเงินได้ โดยให้ยื่นโครงการไปยังสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการรับรองโครงการวิจัยและพัฒนา (RDC) ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่ง ภายใต้การกำกับของศูนย์บริหารเทคโนโลยี (TMC) สวทช. มาตรการยกเว้นภาษีเงินดังกล่าวไม่ได้จำกัดเฉพาะภาคอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง แต่เปิดกว้างให้ทุกอุตสาหกรรม สำหรับผลการดำเนินงานที่ผ่านมา มีโครงการที่ยื่นขอใช้สิทธิประโยชน์แล้วทั้งสิ้น 231 โครงการ รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 1,091 ล้านบาท โดยมีโครงการที่ได้รับการรับรองแล้ว 151 โครงการ เป็นวงเงินรวมทั้งสิ้น 372 ล้านบาท สำหรับโครงการที่ไม่ได้รับการรับรอง มีเพียง 5 โครงการ อยู่ระหว่างการดำเนินการ 53 โครงการ และขอถอนตัวไป 22 โครงการ (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 8 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





พิษสึนามิทำเกาะขาดแคลนน้ำจืด-ดินเค็ม ตะกอนเกลือค้างชั้นดินกระทบพืชเกษตร

นายสมโภชน์ นิ้มสันติเจริญ หัวหน้าสถานีวิจัยทรัพยากรชายฝั่งระนอง สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากคลื่นสึนามิด้วย กล่าวถึงผลกระทบที่ตามมาจากคลื่นยักษ์ถล่มว่า นอกจากความเสียหายทางด้านสิ่งปลูกสร้างตลอดแนวอันดามันแล้ว ในแง่ทรัพยากรเองก็กำลังประเมินกันอยู่ว่าได้รับผลกระทบอย่างไร สึนามิก่อปัญหาดินเค็ม และทำบ่อน้ำผิวดินมีรสเค็มจัดจนไม่สามารถนำมาใช้งานได้ อาจต้องใช้เวลานับปีฟื้นฟูสภาพพื้นดินและแหล่งน้ำ ตอนนี้ทำได้เพียงรอน้ำฝนมาชะล้างน้ำเค็มและเกลือที่เกาะติดอยู่ที่ชั้นดิน ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำนานาชาติย้ำชัดภัยน้ำเค็มทะลักท่วมเกาะหลังวิกฤติคลื่นสึนามิถล่ม ส่งผลชาวเกาะขาดแคลนน้ำดื่มต้องพึ่งพาแหล่งน้ำแผ่นดินใหญ่เป็นหลัก นอกจากนี้ ปัญหาน้ำเค็มยังส่งผลกระทบต่อทรัพยากรต่างๆ ด้วย โดยเฉพาะพืชในพื้นที่ถูกน้ำท่วม ซึ่งอาจไม่สามารถทนความเค็มได้ เชื่อว่าภายใน 1 เดือน จะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของพืชได้อย่างชัดเจน ขณะที่ปัญหาเกลือสะสมในชั้นดินจนทำให้ดินเค็ม ก็จะส่งผลให้ไม่สามารถเพาะปลูกพืชได้อีก ซึ่งหากคิดจะปลูกพืชฟื้นฟูก็จะปลูกได้เฉพาะพืชทนดินเค็มเท่านั้น "การฟื้นคืนน้ำจืดให้สามารถใช้งานได้ เป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องรีบดำเนินการ ซึ่งขั้นตอนแรกที่ต้องทำก็คือต้องสูบน้ำเค็มออกจากบ่อมาให้หมด จากนั้นก็ฆ่าเชื้อด้วยคลอรีนให้สิ้นซาก" นักวิชาการ กล่าว (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 7 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ไทยคดีฯ มธ.จัดโครงการ “รอบรู้เรื่องเมืองพม่า”

สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะจัดโครงการบริการวิชาการด้านศิลปวัฒนธรรมแก่ผู้สนใจทั่วไป โดยกำหนดจัดโครงการรอบรู้เรื่องเมืองพม่า การเสวนาทางวิชาการและทัศนศึกษาเหนือ-ใต้ในพม่า เพื่อขยายพรมแดนความรู้เกี่ยวกับประเทศพม่า อันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการศึกษาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชาติไทย ในโครงการครั้งนี้ได้จัดกิจกรรม 2 ประเภทคือ 1. กิจกรรมเสวนาทางวิชาการ เรื่อง รอบรู้เมืองพม่าเหนือ-ใต้ ในวันที่ 24 มกราคม 2548 เวลา 09.00-15.45 น. ณ ห้องประชุมชั้น 4 ตึกอเนกประสงค์ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ผู้บรรยาย ได้แก่ รองศาสตราจารย์ ดร.พิริยะ ไกรฤกษ์, ดร.สุเนตร ขุตินธรานนท์ และ นางกชภรณ์ ตราโมท 2. กิจกรรมทัศนศึกษาประเทศพม่า จัดเป็น 2 รายการ ได้แก่ทัศนศึกษา 1 รายการรอบรู้เรื่อง ร่างกุ้ง พุกาม มัณฑเลย์ ตั้งแต่วันที่ 26-30 มกราคม 2548 ทัศนศึกษา 2 ทัศนศึกษาหงสาวดี, สะเทิม, พระธาตุอินทร์แขวนและรัฐมอญตั้งแต่วันที่ 16-20 กุมภาพันธ์ 2548 รับจำนวนจำกัดไม่เกินรายการละ 30 ท่าน สอบถามรายละเอียดได้ที่ คุณรัชนี สุวรรณวงศ์, คุณโศรยา สุรัญญาพฤติ โทร. 0-2613-204-5 ต่อ 20 และ 25 (สยามรัฐ เสาร์ที่ 8 ม.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ไทยเจ้าภาพประชุมประเทศประสบสึนามิ

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันที่ 28 ม.ค.นี้ ไทยจะเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีของประเทศอาเซียน ที่ประสบปัญหากับประเทศที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นประเทศผู้สังเกตุการณ์ที่มีความชำนาญในด้านการให้ความช่วยเหลือ ซึ่งคิดว่าหลังจากวันที่ 28 ม.ค.น่าจะได้ข้อสรุป เพราะเมื่อครั้งที่ประชุมที่ประเทศอินโดนีเซีย ก็มีความคืบหน้า โดยในการประชุมวันที่ 28 ม.ค. จะมีการพิจารณาเรื่องการจัดตั้งระบบการเตือนภัยล่วงหน้า เออรี่ วอลนิ่ง ซิสเต็มท์ ซึ่งไทยอาสาเป็นศูนย์กลาง วันนี้หลายประเทศก็สนับสนุน แต่ต้องดูที่ประชุมอีกครั้ง การที่ไทยจะเป็นศูนย์กลางการเตือนภัยจะเป็นในรูปแบบใด พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ต้องนำประสบการของประเทศที่พัฒนาแล้วมาช่วยกันทำ โดยใช้ไทยเป็นศูนย์ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ระบบรีโมท ซึ่งศูนย์ไม่จำเป็นต้องอยู่ใน กทม. เพราะมันสามารถเชื่อมโยงกันได้ (กรุงเทพธุรกิจ 9 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215