หัวข้อข่าวปีที่ 6 ฉบับที่ 11 ประจำวันที่ 2005-03-27

ข่าวการศึกษา

เร่งวางระบบหนุนเด็กพิการเรียนมหาวิทยาลัย
นศ.จีนเรียนไทยสถิติพุ่งชี้อนาคตยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ข่าวการศึกษา
รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา ภารกิจใหม่ที่'ราชภัฏสวนดุสิต' ปั้นดอกเตอร์นักยุทธศาสตร์การจัดการ
โรดโชว์จีน แห่แจกทุน นศ.
ยกนิ้วครูไทย “แกนนำ”พิทักษ์โลก
มหาวิทยาลัยรัฐ-เอกชนผนึกร้องรัฐบาล21มี.ค. ยื่น"ทักษิณ"ช่วย11ข้อ/ดัน"คุณภาพ"สู่สากล
สงขลาจัดหลักสูตร แพทย์แผนไทยแท้
"อดิศัย" ถกกระทรวงอุดมฯหลังแจงนโยบาย ชี้โครงสร้างไม่ใช่ปัญหา
สมศ.ขึ้นบัญชีร.ร.อ่อนคุณภาพรอเอกชนช่วยโอบอุ้ม
อุดมศึกษาชงครม.หนุนยาวหน่วยบ่มเพาะ คาดหวังผลงานสร้างนักธุรกิจใหม่บนฐานงานวิจัย
ไมโครซอฟท์หนุน 1 ล้าน ทุนวิจัยคอมพ์สมรรถนะสูง
สวทช.-เนคเทค-เอไอทีเปิดหลักสูตรพิเศษ
จอมบึง-เทคโนฯบางมดเปิดสอนป.โท
ปรับโฉมใหม่พิพิธภัณฑ์เด็กรองรับโครงการใหม่รอบข้าง-กำหนดแล้วเสร็จ พ.ค. นี้
ม.ขอนแก่น-จุฬาฯเข้ายื่น"ทักษิณ" ลงชื่อค้านออกนอกระบบกว่าครึ่ง

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

จอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กแพ้แดด โดนเข้ามากๆทอนอายุลงให้สั้น
ไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุม COMEST ครั้งที่4
แผ่นดินไหวญี่ปุ่นตาย1เจ็บกว่า300
สมาร์ทการ์ด...รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์เรื่องด่วน! ไอซีทีทักษิณ 2/1
ไทย’ กับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ(2) เอเชียเป้าหมายคาร์บอนเครดิต
ข้อแนะนำในการป้องกัน "แบตเตอรี่"ร้อนจัดจนบึ้ม!
"มหาสมุทร"ร้อน
สวทช.โชว์ไฮเทคยุคโมเลกุล
กรมวิทย์ฯจัดทำมาตรฐานสมุนไพร
ไขความลับมนุษย์หลังยุคจีโนม แตกแขนงศาสตร์ใหม่มุ่งรักษาโรค
"สมเด็จพระเทพฯ" ชี้ความรู้คู่จริยธรรม ระบุนักวิทย์ฯต้องไม่เห็นแก่ตัว
รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์
ไอบีเอ็มงัดเทคโนโลยีเด็ดฮึดสู้สแปม
ตั้งธนาคารเชื้อพันธุ์สัตว์น้ำ
ใช้กระดาษดีบุกห่มธารน้ำแข็ง ป้องกันละลายกลางฤดูร้อน
วิจัยพบทั่วโลกปลูกจีเอ็มโอสูง ติงรัฐบาลไทยไม่กล้าตัดสินใจ

ข่าววิจัย/พัฒนา

สาวแตกตื่นเคี้ยวหมากฝรั่งให้อกโต บริษัทญี่ปุ่นผลิตใส่กวาวเครือขาย
เนคเทคพัฒนา อุปกรณ์ประหยัด'เอ็นจีวี'
อุปกรณ์ควบคุมเม้าส์ ช่วยคนมือสั่นคลิกแม่น
เครื่องพาสเจอร์ไรซ์แบบขด นวัตกรรมใหม่ มทร.ขอนแก่น
ผลิตภัณฑ์แปรรูปข้าวกล้องผง
"เครื่องผ่าและเหลาไม้ไผ่"
เครื่องสาวไหม กึ่งอัตโนมัติ 4 กระบวนการในหนึ่งเดียว
เครื่องรีดยางพาราชนิดให้ความร้อนด้วยก๊าซหุงต้ม
นำเศษถุงปุ๋ยเพิ่มค่าเป็นสายรัดกล่องสินค้า
พลิกความเชื่อสารอาหารอบทอด ไม่ได้เป็นตัวการก่อมะเร็งเต้านม
ความอ้วนเป็นเพื่อนตายเบาหวาน ยิ่งอ้วนมากยิ่งใกล้โรคถึง 80 เท่า
เครื่องพิมพ์วัตถุ 3 มิติ สำเนาอะไหล่เครื่องใช้อัตโนมัติ
มหิดลเดินหน้าทดลองวัคซีนไข้เลือดออก จับมือ สธ.หาอาสาสมัครราชบุรี 2500 คนให้ครบก่อน 4 ปี
ทีมวิจัยเชียงใหม่พัฒนาวิธีทดสอบ ยาสมุนไพรต้านโรคกระดูกเสื่อม
ผู้ดีคิดค้นบ้านถุงสำเร็จรูป เปิดถุงเติมน้ำ-ลมเข้าพักได้ทันที
"เกือกกะลานวดฝ่าเท้า"ผลิตภัณฑ์ใหม่ ฝีมือคนสะเดา
"รัตนิน"แก้สายตายาว ใช้คลื่นวิทยุแทนผ่าตัด
เด็กอีสานไอเดียกระฉูด! ประเทศไทยประดิษฐ์เครื่องชาร์จแบตเตอรี่จากแสงอาทิตย์
ไทยวิจัยอุปกรณ์ปล่อยก๊าซ ติดตั้งในแท็กซี่ ช่วยประหยัดค่าเอ็นจีวี
ชุดไฮโดรโปนิกส์ ไอเดียเด็กช่าง
เด็กวัดสุทธิฯ เจ๋งสุดๆ สั่งมือถือรดน้ำต้นไม้-ให้อาหารปลา
คุณค่าแห่ง "น้ำมะกอก" สารต้านอนุมูลอิสระสูงสุด
กินโยเกิร์ตตะเพิดโรคปากเหม็น แถมยังป้องกันฟันผุรักษาเหงือก
ยาเลือดแพะแก้ทุกข์สาววัยทอง ช่วยบรรเทาประสาทตาอักเสบ
พัฒนาเครื่องดำนาข้าว ไม่ต้องใช้แรงงานมาก
สารเร่งจุลินทรีย์ "พด.8" ฮีโร่ตัวใหม่สลายฟอสฟอรัส
เครื่องผลิตน้ำจากอากาศแก้ขาดแคลนน้ำดื่ม
พันธุ์พืชน้ำมันทำต้นหญ้าลด ส่งผลสัตว์กินวัชพืชขาดแคลนอาหาร
เทคโนฯ ขอนแก่นคิดแผงวงจร ช่วยจักรยานยนต์ประหยัดน้ำมัน
ลุยตั้งระบบก๊าซชีวภาพประหยัดพลังงาน
หลอดไฟ"ซีลวาเนีย"
เทคโนโลยีค้นหาและช่วยชีวิต
'กล้วยไม้จิ๋ว' นักวิจัยไทยสุดเจ๋งคิดค้น 5 พันธุ์ใหม่
ไบโอเทคดันสร้างห้องทดสอบหวัดนก ศึกษาประสิทธิภาพวัคซีนก่อนใช้จริง
หนุนเตาประหยัดรับมือแก๊สแพง
หุ่นยนต์ล้มลุกต้นแบบกู้ภัย ประยุกต์วิชาฟิสิกส์ช่วยออกแบบ
สร้างกระดูกเทียมด้วยเครื่องดินเผา ใช้แทนกระดูกแท้เข้ากับเนื้อหนังดี

ข่าวทั่วไป

ขึ้นเงินเดือนราชการอิงฐานรายได้อัยการ
ฮือฮาขุมทองคำ 'เขาสอยดาว'
วาระแห่งชาติกู้วิกฤติภัยแล้ง
ยูเนสโกร่วมฉลอง100ปีศรีบูรพา
หนุนใช้ต้นสบู่ดำผลิตไบโอดีเซล
ญี่ปุ่นใช้"หุ่นยนต์"รปภ.คุ้มกันงาน"เวิลด์เอ็กซ์โป" เน้นต้านภัยก่อการร้ายปกป้องแขก 15 ล้านคน
โรคหลอดเลือดแดงตีบตันแชมป์ นำหน้ามะเร็งไปถึง 2 เท่ากว่า
หมากฝรั่งขยายอกถือเป็นยา จะมาขายต้องขออนุญาตกับ อย.
ยูเนสโกยกย่องนักฎหมายไทย ผลงานสิทธิมนุษยชนโดดเด่น
ร.ฟ.ท.ยึดเสา-ตอม่อโฮปเวลล์ผุดรถไฟยกระดับ
ไข้เลือดออกสายพันธุ์ที่ 4
ไทยอ่วมซื้อยาแพงขึ้นเหตุอินเดียใช้ก.ม.สิทธิบัตร หวั่นกระทบการเข้าถึงยาของคนจน ชี้ทางออกต้องเร่งวิจัยพัฒนาตัวยาใหม่ๆ
ไขปริศนามือถือบึ้มปั๊มจริงหรือ
พิธีสารส่องออกผักผลไม้ไทย-จีนบังคับใช้ กรมวิชาการเร่งชาวสวนเข้าระบบ GAP
อมตะทุ่มงบฯหลายสิบล้านให้รางวัลศิลปิน-นักเขียน หนุนเด็ก"อัจฉริยะ"สายวิทย์แต่ย้ำต้องยากจนจริง
มหัศจรรย์รูปจิ๋วแค่1ม.ม.รัชกาลที่4





ข่าวการศึกษา


เร่งวางระบบหนุนเด็กพิการเรียนมหาวิทยาลัย

นายวิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ ที่ปรึกษาอนุกรรมการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ หรือผู้ที่มีความจำเป็นพิเศษในระดับอุดมศึกษา เปิดเผยหลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้เตรียมแผนการทำงาน เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ และแผนงานเพื่อให้คนพิการทุกประเภทได้เรียนในระดับอุดมศึกษาอย่างมีคุณภาพ มีการวางระบบการช่วยเหลือสนับสนุนทั้งระดับมหาวิทยาลัย และระดับรัฐบาลผ่านสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) โดยวางเป้าหมายไว้ว่า จะจัดทำยุทธศาสตร์ให้เสร็จในเดือน เม.ย. 48 และนำเสนอมหาวิทยาลัยต่างๆ ร่วมแสดงความคิดเห็น ทั้งวางระบบสวัสดิการ ฐานข้อมูลผู้พิการ และให้ได้ข้อยุติภายในเดือน พ.ค.นี้ ที่ผ่านมายังไม่เป็นระบบ และยังไม่ได้รับการสนับสนุนจาก สกอ.เท่าที่ควร จึงต้องมีการวางยุทธศาสตร์และแผนงานว่ามหาวิทยาลัยควรดำเนินการอย่างไร และ สกอ.จะเข้ามาช่วยเหลืออย่างไร โดยในเบื้องต้นมีข้อเสนอให้ระดับมหาวิทยาลัย ควรมีหน่วยช่วยเหลือนักศึกษาพิเศษที่ชัดเจน ซึ่งขณะนี้มหาวิทยาลัยที่พยายามจัดทำระบบช่วยเหลือ คือ คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ แต่ยังไม่มีการสนับสนุนจากภาครัฐที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม สำหรับมหาวิทยาลัยอื่นๆทั่วไป อาจยังไม่มีการวางระบบ ซึ่งอาจใช้แนวทางของ มธ.เป็นต้นแบบการสนับสนุน เพื่อใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า จึงมีข้อเสนอว่าอาจจะใช้รูปแบบเหมือนต่างประเทศ โดยจัดโซนมหาวิทยาลัยขึ้นรองรับนักศึกษาที่พิการในแต่ละประเภท และจัดสิ่งอำนวยความสะดวกช่วยอย่างเต็มรูปแบบ. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 21 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





นศ.จีนเรียนไทยสถิติพุ่งชี้อนาคตยิ่งเพิ่มมากขึ้น

ศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิ การคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัย 46 แห่ง และองค์กรวิชาการของไทย จัดงานนิทรรศการการศึกษาขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 19-20 มี.ค. 2548 ที่โรงแรมกรีนเลค นครคุนหมิง มณฑลยูนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน ซึ่งงานนี้นับว่าบรรยากาศของงานดีมาก โดยผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงศึกษาธิการของสาธารณ รัฐประชาชนจีนได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และยังได้พูดถึงความร่วมมือครั้งแรกที่ทำโดย กระทรวงศึกษาธิการของจีน และทบวงมหาวิทยาลัยของไทยในอดีต ซึ่งได้ทำให้เกิดความร่วมมือในหลายรูปแบบทั้งในระดับทวิภาคีและกลุ่มมหาวิทยาลัย รวมทั้งได้หารือถึงความร่วมมือในระดับอื่น ๆ ต่อไปอีกด้วย ยังมีสถานศึกษาระดับโรงเรียนของภาคเอกชน โดยเฉพาะโรงเรียนนานาชาติเข้าร่วมการจัดงานด้วย จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ในอนาคตจะเกิดความร่วมมือระดับที่ต่ำกว่าอุดมศึกษามากขึ้น นอกจากนี้สำหรับความร่วมมือที่เกิดขึ้นที่ผ่านมามีในหลายลักษณะทั้งการรับนักศึกษาไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยของไทย ทำให้ในแต่ละปีมีนักศึกษาจีนเข้าศึกษาต่อในไทยมากขึ้น โดยสถิติในปีนี้พบว่ามีนักศึกษาจีนมากกว่า 3,000 คน ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี –เอก ขณะเดียวกันก็มีความร่วมมือระดับสถาบันทั้งการทำงานวิจัยร่วมกัน หรือการแลกเปลี่ยน นักศึกษาและอาจารย์ เป็นต้น อย่างไรก็ตามภายในงานนิทรรศการครั้งนี้มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของไทยได้มีการจัดสรรทุนศึกษาต่อให้รวมกันประมาณ 80 ทุน ทั้งทุนแบบเต็มรูปแบบและทุนเฉพาะค่าเล่าเรียน พร้อมทั้งแจกตั๋วเครื่องบินไปกลับ ไทย–จีน จำนวน 4 ใบ สำหรับผู้ร่วมงานด้วย ซึ่งทำให้ได้รับความสนใจจากนักศึกษาจีนเป็นอย่างมาก (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 21 มี.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ข่าวการศึกษา

คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เจ้าภาพประชุมวิชาการระดับชาติด้านวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์เชิงคอมพิวเตอร์ (The 9th Annual National Symposium on Computational Science and Engineering) เพื่อให้นักวิชาการไทยมีโอกาสเสนอผลงานวิจัยและรับรู้ถึงความก้าวหน้าล่าสุดในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้จัดเป็นประจำทุกปี ภายใต้การสนับสนุนของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) โดยคาดว่าในปีนี้จะมีการเสนอผลงานวิจัยประมาณ 100 เรื่อง และมีผู้ร่วมประชุมกว่า 200 ท่าน งานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 - 25 มีนาคม ณ อาคารปาฐกถา (ตึกกลม) คณะวิทยาศาสตร์ ผู้สนใจเข้าร่วมประชุมติดต่อลงทะเบียนได้ที่ ดร.เดวิด รูฟโฟโล โทรศัพท์ 0-2201-5756 และดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://csep.hpcc.nectec.or.th/ansce (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 21 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา ภารกิจใหม่ที่'ราชภัฏสวนดุสิต' ปั้นดอกเตอร์นักยุทธศาสตร์การจัดการ

รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา ในฐานะผู้อำนวยการหลักสูตรการจัดการดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต อธิบายเหตุผลของการเปิดหลักสูตรว่า ประเทศไทยยังมีความต้องการบุคลากรทางด้านนี้จำนวนมาก โดยเฉพาะในแวดวงการศึกษา ซึ่งบ้านเรามีสถาบันอุดมศึกษาเยอะมาก แต่กลับมีสัดส่วนของคนที่จบปริญญาเอกที่อยู่ในวงการศึกษาจริงๆ น้อย และเมื่อถูกจัดอันดับ ประเทศไทยยังไม่ติด 1 ใน หรือถ้ามองในแง่ของโอกาส สำหรับคนที่ไม่มีโอกาสไปเรียนต่อต่างประเทศ ก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่จะตอบสนองกลุ่มคนเหล่านี้ได้ 'ที่ส่วนดุสิต เราเปิดดุษฎีบัณฑิตด้านการจัดการ ซึ่งเป็นรายแรกของไทย ถึงแม้ว้าปริญญาเอกของประเทศไทยจะมีมาก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นปรัชญาดุษฎีบัณฑิตซึ่งมักจะเน้นในเรื่องของการเป็นผู้เชี่ยวชาญทางเชิงวิชาการ แต่ของเราตั้งชื่อหลักสูตรว่า การจัดการดุษฎีบัณฑิต 'Doctor of Management Program' เราเน้นทางด้านการเป็นมืออาชีพทางด้านยุทธศาสตร์การจัดการ โดยเปิดเป็น 4 สาขา ได้แก่ 1.การจัดการภาครัฐ 2.การจัดการการศึกษา 3.การจัดการธุรกิจ และ4.การจัดการการสื่อสาร' รศ.ดร.เสรี กล่าวและว่า ทั้ง 4 สาขาดังกล่าวจะเป็นยุทธปัจจัยในแง่ของการสร้างศักยภาพการแข่งขันให้กับประเทศได้ สำหรับความแตกต่างของหลักสูตรเมื่อเปรียบเทียบกับที่อื่นๆ หลักสูตรนี้เปิดกว้างสำหรับคนที่มีความสามารถ โดยที่ไม่เอาภาษาอังกฤษมาเป็นตัวสกัดกั้น เนื่องจากพบว่าหลายแห่งจะใช้ภาษาอังกฤษมาเป็นตัวสกัดกั้นตอนสอบเข้า ทั้งนี้ มองว่าคนไทยที่เก่งมีเยอะแต่มีจุดอ่อนตรงที่ภาษาอังกฤษ ทำให้เสียโอกาสที่จะเรียนต่อระดับปริญญาเอกไปจำนวนมาก ดังนั้น การสอบเข้าของหลักสูตรนี้จึงไม่เอาวิชาภาษาอังกฤษมาเป็นเงื่อนไขในการสอบเข้าเรียน รศ.ดร.เสรี กล่าวถึงจุดแข็งของหลักสูตรว่า นอกจากความได้เปรียบด้านผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ที่พร้อมเปิดรับนวัตกรรมและกล้าลงทุนแล้ว ยังมีคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงเป็นผู้ซึ่งมีผลงานและมีความรู้เป็นที่ประจักษ์ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐที่มาจาก ส.ว., เลขาธิการฯ ผู้ว่าราชการจังหวัด ระดับอธิบดี ส่วนภาคธุรกิจก็จะมาจากผู้ประกอบการ ที่ปรึกษาธุรกิจ ส่วนภาคการศึกษาก็เป็นผู้ที่ผ่านงานบริหารการศึกษามาแล้วทั้งสิ้น และภาคการสื่อสาร ก็จะมาจากผู้ที่ทำธุรกิจสื่อมาแล้ว หรือมาจากวงการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ส่วนหนึ่งความน่าสนใจก็คือ หลักสูตรเน้นวิธีการบริหารการจัดการที่จะทำให้นักศึกษาสามารถเรียนจบได้ภายในเวลาที่กำหนด โดยทางโครงการจะเร่งรัดในเรื่องของการค้าหาหัวข้อวิจัย ทำอย่างไรให้สอบหัวข้อให้ผ่าน เร่งในเรื่องของวิธีการนำเสนอดุษฎีนิพนธ์แต่ละขั้นตอน ทั้งมีวิธีการเรียนการสอนแบบบล็อกคอร์ส ที่ให้ผู้เรียนเรียนจบไปทีละวิชาภายในเวลาที่กำหนด หลักสูตรการจัดการดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้จนถึงเดือนเมษายน 2548 เปิดภาคเรียน 14 พฤษภาคมนี้ (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 21 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





โรดโชว์จีน แห่แจกทุน นศ.

เมื่อวันที่ 19 มีนาคม ที่คุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ร่วมกับมหาวิทยาลัย 46 แห่ง องค์กรวิชาการของไทย จัดนิทรรศการอุดมศึกษาและการสัมมนาเมื่อวันที่ 19-20 มีนาคม ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่า การจัดนิทรรศการครั้งนี้มีโรงเรียนนานาชาติของเอกชนเข้าร่วมจัดงานมากขึ้น จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ในอนาคตจะเกิดความร่วมมือระดับต่ำกว่าอุดมศึกษามากขึ้น ส่วนความร่วมมือระหว่างไทยกับจีน แต่ละปีมีนักศึกษาจีนมาเรียนต่อในมหาวิทยาลัยไทยมากขึ้น โดยปีนี้มีกว่า 3,000 คน ที่มาศึกษาระดับปริญญาตรีจนถึงเอก ความร่วมมือระดับสถาบันที่มีการจัดงานวิจัยร่วมกัน แลกเปลี่ยนนักศึกษาและอาจารย์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในงานมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้จัดสรรทุนศึกษาต่อ 80 ทุน ทั้งทุนแบบเต็มรูปแบบและเฉพาะค่าเล่าเรียน พร้อมทั้งแจกตั๋วเครื่องบินไปกลับไทย-จีน ให้ 4 ใบสำหรับผู้ร่วมงาน (คมชัดลึก จันทร์ที่ 21 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ยกนิ้วครูไทย “แกนนำ”พิทักษ์โลก

เยาวชนในโรงเรียนกว่า 11,000 แห่ง จาก 97 ประเทศทั่วโลก ที่ร่วมเป็นสมาชิกโครงการ Global Learning and Observations to Benefit the Environment หรือที่รู้จักในนาม GLOBE ร่วมมือกันเป็นหูเป็นตาเฝ้าระวังปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชนของตนเอง แล้วส่งข้อมูลที่ได้ผ่านอินเตอร์เน็ตให้หัวเรือใหญ่ของโครงการ GLOBE สหรัฐอเมริกา ประมวลผลสภาวะสิ่งแวดล้อมโลกในองค์รวม เพื่อหาทางแก้ไขและปกป้องโลกต่อไป สำหรับ GLOBE ในประเทศไทย มีสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.) สนับสนุน โดยร่วมมือกับครูพี่เลี้ยง คอยกระตุ้นให้เยาวชนรู้จักคุณค่าของสิ่งแวดล้อมในถิ่นอาศัย จากระดับชุมชนขยายกว้างไปจนถึงสิ่งแวดล้อมโลก และเมื่อเร็วๆ นี้ สสวท.ได้จัดกิจกรรมอบรมครูพี่เลี้ยง ซึ่งเป็นอาจารย์จากเครือข่ายมหาวิทยาลัยครูโรงเรียนแกนนำ GLOBE ที่สำคัญยังมีเพื่อนครูจากสิงคโปร์ ลาว เวียดนาม สนใจเข้าร่วมกิจกรรมด้วย เป้าหมายครั้งนี้ เน้นไปที่การศึกษาวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับทะเล โดยลงพื้นที่สำรวจที่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จ.นครศรีธรรมราช เพื่อเปิดโอกาสให้ครู อาจารย์ได้ลงมือทดลองเก็บตัวอย่างและวัดคุณภาพน้ำ ศึกษาสิ่งมีชีวิตบริเวณชายฝั่ง ทั้งที่เป็นหาดทราย หาดหิน หาดเลน Mr.EricStonebreaker ผู้อำนวยการภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกของ GLOBE ประทับใจและตื่นเต้นมากเพราะไม่เคยลงภาคสนามที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ทั้งครู อาจารย์ และนักวิทยาศาสตร์ก็เก่งมีฝีมือทั้งนั้น โดยเฉพาะที่สุขสำราญ ทุกคนตั้งใจสูงมาก (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 21 มี.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





มหาวิทยาลัยรัฐ-เอกชนผนึกร้องรัฐบาล21มี.ค. ยื่น"ทักษิณ"ช่วย11ข้อ/ดัน"คุณภาพ"สู่สากล

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม นางจันทร์จิรา วงษ์ขมทอง นายกสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย(สสอท.) เปิดเผยว่า จะมีการนำข้อเสนอของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐและเอกชนที่ได้จากการประชุมร่วมกันระหว่างผู้แทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยของรัฐ 24 แห่ง สถาบันอุดมศึกษาเอกชน 51 แห่ง มหาวิทยาลัยราชภัฏ 41 แห่ง และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล 9 แห่ง นำเสนอต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในวันที่ 21 มีนาคม เพื่อใช้ในการกำหนดนโยบายด้านการอุดมศึกษาและแถลงต่อรัฐสภาในปลายเดือนมีนาคมนี้ โดยข้อเสนอดังกล่าวมีทั้งหมด 11 ข้อ ดังนี้ 1.เร่งรัดยกระดับคุณภาพการผลิตบัณฑิตให้ได้มาตรฐานในระดับสากล โดยรัฐบาลจะกำหนดเป็นนโยบายด้านมาตรฐานและคุณภาพการอุดมศึกษาให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม 2.เร่งรัดในการประสานความร่วมมือและกำหนดความต้องการทรัพยากรบุคคลที่มีสมรรถนะเชิงวิชาชีพตรงกับความต้องการของภาครัฐ สถานประกอบการ และตลาดแรงงาน 3.เร่งรัดให้มีการพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐและเอกชน ให้มีคุณวุฒิทางการศึกษาระดับปริญญาเอก รวมทั้งพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาที่อยู่ในสถาบันอุดมศึกษาให้ทันสมัยและทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม 4.ส่งเสริมการใช้และการร่วมใช้ทรัพยากรทางการศึกษาให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่สถาบันอุดมศึกษาของรัฐและเอกชน ตลอดจนสังคมโดยรวม 5.ส่งเสริมให้มีระบบโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ให้เอื้ออำนวยต่อการจัดการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐและเอกชน 6.ส่งเสริมการจัดโครงสร้างพื้นฐานด้านอุปกรณ์และเครื่องมือเพื่อการทำวิจัยและนวัตกรรมของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐและเอกชน 7.ส่งเสริมและสนับสนุนการทำวิจัยและนวัตกรรมของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐและเอกชน ที่สอดคล้องกับความต้องการของภาครัฐและภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการบริการ 8.เร่งรัดการระดมทรัพยากรจากภาคธุรกิจเอกชน เพื่อพัฒนาการศึกษา นวัตกรรม และการทำวิจัยของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐและเอกชน 9.เร่งรัดการกำหนดมาตรการในการลดหย่อนภาษีและการยกเว้นภาษีให้แก่ภาคธุรกิจเอกชนที่บริจาคเงินและทรัพยากรสนับสนุนการจัดการศึกษา นวัตกรรม และการวิจัย ของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐและเอกชน 10.เร่งรัดการปฏิรูปการเงินเพื่อการอุดมศึกษาให้เกิดประโยชน์แก่นักศึกษาที่ต้องการเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐและเอกชนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม และ 11.เร่งรัดการกำหนดสัดส่วนการมีส่วนร่วมในการแบ่งเบาภาระของรัฐบาลในการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนให้ชัดเจน (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 21 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





สงขลาจัดหลักสูตร แพทย์แผนไทยแท้

นายสวัสดิ์ สุคนธ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา (มรภ.สงขลา) เปิดเผยว่า สถาบันวิจัยฯ ร่วมมือกับคณะกรรมการโครงการสืบสานภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย จัดทำหลักสูตรอบรมเป็นหลักสูตรระยะสั้น และหลักสูตรระยะยาว ให้ผู้เข้ารับการอบรมได้มีความรู้ด้านแพทย์แผนไทยที่ถูกต้อง เป็นแพทย์แผนไทยพันธุ์แท้ โดยใช้อาจารย์ผู้สอนที่มีประสบการณ์ และมีความรู้ด้านแพทย์แผนไทยโดยเฉพาะประมาณ 30 คน อาทิ นายประกอบ อุบลขาว นายจิตตะเสน เจริญ นายประดิษฐศักดิ์ เดชบุญญาอภิชาติ เป็นต้น การอบรมระยะสั้น 2 หลักสูตร คือ การอบรมการนวดฝ่าเท้า (40 ช.ม.) การอบรมนวดตัว (60 ช.ม.) โดยทั้งสองหลักสูตรจะเริ่มอบรมระหว่างวันที่ 18-29 เมษายนนี้ เปิดรับสมัครหลักสูตรละ 20 คนเท่านั้น กำหนดเปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ผู้สนใจสมัครได้ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา โทร. 0-7433-6933 ต่อ 175 นอกจากนี้ทางสถาบันวิจัยฯ ยังได้ทำหลักสูตรแพทย์แผนไทย สาขาเวชกรรม เภสัชกรรม หลักสูตร 3 ปี หลักสูตรนวดแผนไทย และผดุงครรภ์ หลักสูตร 1 ปี คาดว่าจะเปิดสอนได้ในภาคเรียนที่ 1 เดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งผู้เรียนจบจะได้รับประกาศนียบัตรจากมหาวิทยาลัย สามารถนำไปใช้ในการประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนในท้องถิ่น (ข่าวสด จันทร์ที่ 21 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





"อดิศัย" ถกกระทรวงอุดมฯหลังแจงนโยบาย ชี้โครงสร้างไม่ใช่ปัญหา

วันที่ 21 มี.ค. ที่กระทรวงศึกษาธิการ นายประเสริฐ ชิตพงษ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศ ไทย (ทปอ.) พร้อมด้วย นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) และคณะได้เข้าพบนายอดิศัย โพธารามิก รมว.ศึกษาธิการ โดย นายประเสริฐกล่าวหลังการเข้าพบว่า ได้นำเสนอปัญหาของชาวอุดมศึกษา โดยเฉพาะข้อเรียกร้องที่จะแยกสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จาก ศธ. ไปตั้งเป็นกระทรวงการอุดมศึกษา ซึ่ง ทปอ.เห็นว่าในหลักการควรอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการ แต่ต้องแก้ไขเรื่องวิธีการ เพราะยังมี พ.ร.บ.เดิมของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ต้องนำมาใช้อยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อนำมาใช้ในขณะที่รูปแบบและองค์ประกอบของ ศธ.เปลี่ยนไป กลายเป็นว่าแก้แต่โครงสร้าง แต่ไม่แก้ระบบบริหารจัดการ จึงทำให้เกิดความสับสน และกระทบไปถึงมหาวิทยาลัยที่ควรจะเป็นหน่วยงานที่เป็นอิสระ มีการพัฒนาที่ทันเหตุการณ์ นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องพนักงานมหาวิทยาลัย ในมหาวิทยาลัยต่างๆ แห่งละประมาณ 30% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเรียนทุน แต่ไม่ได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการทำให้เกิดความรู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรม นายอดิศัยเห็นว่าปัญหาการบริหารจัดการอุดมศึกษาไม่ได้อยู่ที่โครงสร้าง แต่หลักใหญ่อยู่ที่มหาวิทยาลัยควรเป็นอิสระมากที่สุด ดังนั้น หากส่วนใดยังมีปัญหาก็ต้องทำให้ชัดเจน ส่วนจะมีการใช้โครงสร้างใหม่หรือไม่ คงต้องถกเถียงทางวิชาการต่อไป ซึ่ง รมว.ศึกษาธิการให้ ทปอ. ไปรวบรวมปัญหาอุดมศึกษา และหารืออีกครั้งหลังรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ในวันที่ 28 มี.ค.นี้ เวลา 14.00 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้นัด ทปอ.หารือถึงปัญหาของอุดมศึกษา (ไทยรัฐ อังคารที่ 22 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





สมศ.ขึ้นบัญชีร.ร.อ่อนคุณภาพรอเอกชนช่วยโอบอุ้ม

ศ.ดร.สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหาร สมศ. ซึ่งมี ดร.โอฬาร ไชยประวัติ เป็นประธาน เมื่อวันที่ 22 มี.ค.ว่า ที่ประชุมได้หารือถึงการให้ความช่วยเหลือสถานศึกษาที่ประเมินภายนอกแล้วพบว่าต้องได้รับ ความช่วยเหลือในหลายด้าน ซึ่ง ดร.โอฬารเห็นว่าขณะนี้รัฐบาลได้อนุมัติมาตรการทางภาษีให้เอกชน หรือบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ที่ช่วยการศึกษาสามารถนำจำนวนเงินที่ช่วยเหลือไปหักลดหย่อนภาษีได้ ซึ่ง สมศ.จะทำฐานข้อมูลของโรงเรียนที่ต้องได้รับความช่วยเหลือ พร้อมทั้งประสานกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เพื่อประกาศรายชื่อโรงเรียนที่ต้องได้รับการพัฒนาและหากเอกชนรายใดมาช่วยเหลือก็จะได้รับการลดหย่อนภาษีตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนด ซึ่ง สมศ. เห็นว่าถ้า ศธ.เห็นด้วยกับเรื่องดังกล่าวก็จะมีการประกาศรายชื่อโรงเรียนที่ได้คะแนนต่ำกว่า 1.5 ซึ่งอยู่ในระหว่างปรับปรุงกับพอใช้ โดยขึ้นทะเบียนไว้ที่กรมสรรพากร โดยอาจจะนำร่องประกาศประมาณ 30 โรงเรียนก่อน ทั้งนี้เรื่องดังกล่าวจะไม่ซ้ำซ้อนกับโรงเรียนในฝัน ส่วนโรงเรียนที่มีปัญหาต้องส่งเสริมมากจะอยู่ในระดับล่างลงไปและมีทั้งโรงเรียนของรัฐบาลและเอกชน ที่ประชุมยังได้เห็นชอบในหลักการประเมินเพื่อรับรองมาตรฐานการศึกษาในส่วนของอุดมศึกษาในรอบ 2 ว่าน่าจะประเมินโดยใช้ 7 มาตรฐาน ซึ่งส่วนแรกที่เป็นผล ลัพธ์ตามพันธกิจของอุดมศึกษา มี 4 มาตรฐาน ได้แก่ มาตรฐานคุณภาพบัณฑิต มาตรฐานด้านงานวิจัยงานสร้างสรรค์ มาตรฐานด้านการบริการวิชาการ และมาตรฐานด้านศิลปวัฒนธรรม ส่วนค่าน้ำหนักจะมีการกำหนดค่าน้ำหนักในแต่ละด้านไว้รวมกันแล้วประมาณ 80% ส่วนที่เหลืออีก 20% จะให้มหาวิทยาลัยเป็นผู้เลือกว่าจะเติมค่าน้ำหนักคะแนนไป ในพันธกิจด้านใด ส่วนที่ 2 เป็นการบริหารจัดการองค์กรมี 3 มาตรฐาน คือ มาตรฐานการพัฒนาคณาจารย์ นิสิต นักศึกษา มาตรฐานการบริหารหลักสูตรและการเรียนการสอน และมาตรฐานการประกันคุณภาพภายใน ซึ่งในส่วนนี้อาจจะให้ค่าน้ำหนัก เท่า ๆ กันอย่างละ 30% ส่วนที่เหลืออีก 10% จะให้มหาวิทยาลัยเป็นผู้เติมว่าจะให้ค่าน้ำหนักไปด้านใด ซึ่งถือเป็นการออกแบบน้ำหนักการประเมินให้สอดคล้องกับปณิธาน วัตถุประสงค์ จุดเน้นและเอกลักษณ์ของมหาวิทยาลัยได้มากยิ่งขึ้น ที่ประชุมได้มอบให้คณะกรรมการพัฒนาระบบการประเมินคุณภาพการศึกษาระดับอุดมศึกษานำแนวทางดังกล่าวไปประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นต่อไป จากนั้นจะนำเข้าคณะกรรมการ กลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี และเป็นไปได้ ว่าจะนำแนวทางดังกล่าวมาใช้ประเมินรุ่น 2 ในปี 2549 เป็นต้นไป ส่วนอาชีวศึกษาและการศึกษา ขั้นพื้นฐานจะนำแนวคิดดังกล่าวไปหารือและกำหนดทิศทางอีกครั้งเช่นกัน (เดลินิวส์ พุธที่ 23 มี.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





อุดมศึกษาชงครม.หนุนยาวหน่วยบ่มเพาะ คาดหวังผลงานสร้างนักธุรกิจใหม่บนฐานงานวิจัย

รศ.ดร.วันชัย ดีเอกนามกูล ประธานคณะกรรมการหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษา (ยูบีไอ) เปิดเผยว่า จากการที่สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) สนับสนุนมหาวิทยาลัยต่อยอดผลงานวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรมสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ ผ่านทางโครงการหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจ โดยได้พิจารณาคัดเลือกสถาบันอุดมศึกษาที่มีความพร้อม 22 แห่งเข้าร่วมโครงการ จากทั้งหมด 37 แห่งที่เสนอโครงงานเข้ามา โดย สกอ.จะสนับสนุนงบประมาณในเบื้องต้นแห่งละ 5 ล้านบาท และขณะนี้กำลังพิจารณาคัดเลือกโครงการเพิ่มเติม คาดว่าภายในปี 2548 จะเพิ่มหน่วยบ่มเพาะตามมหาวิทยาลัยต่างๆ เป็น 25 แห่ง อีกทั้งตั้งเป้าหมายไว้สำหรับแต่ละแห่ง ต้องสามารถจัดตั้งบริษัทธุรกิจใหม่ 2 บริษัทเป็นอย่างต่ำ นอกจากนี้ สำนักงานอุดมศึกษายังได้จัดตั้ง "สำนักงานประสานงานหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจสถาบันอุดมศึกษา" (ยูบิโก) หน่วยงานกลางเพื่อดำเนินกิจกรรมในเชิงพัฒนาและสนับสนุนหน่วยบ่มเพาะต่างๆ ให้มีความเชี่ยวชาญและทักษะเพิ่มขึ้น และจัดทำ "เวอร์ชวล ยูบีไอ" หรือยูบีไอกลางสำหรับช่วยเหลือมหาวิทยาลัย ที่ยังไม่พร้อมจัดตั้งหน่วยบ่มเพาะของตนเอง แต่มีผลงานด้านนวัตกรรมที่สามารถให้บริการหรือถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่เอกชน สำหรับการจัดการระบบนั้น หน่วยบ่มเพาะแต่ละแห่งต้องออกแบบและจัดการโครงสร้างภายในกันเอง ส่วนผลดำเนินการที่เกิดขึ้นจะช่วยให้มหาวิทยาลัยมองเห็นช่องทาง ที่จะนำนวัตกรรม องค์ความรู้ของมหาวิทยาลัยออกสู่ภายนอก และกลุ่มเป้าหมายของ สกอ.ที่หวังผลักดันให้สามารถทำธุรกิจ จัดตั้งเป็นบริษัทของตนเองขึ้นมาก็คือ นิสิตนักศึกษา บัณฑิต นักวิจัย อาจารย์ของทางมหาวิทยาลัย โดยจะรวมกลุ่มกันหรือดึงภาคเอกชนมาร่วมด้วยก็ได้ ทั้งนี้ หน่วยเพาะบ่มของสถาบันอุดมศึกษาแต่ละแห่ง จะมีลักษณะแตกต่างกันไปตามจุดเด่นของสถาบัน ยกตัวอย่าง มหาวิทยาลัยศิลปากรมีความเชี่ยวชาญด้านศิลปะ มหาวิทยาลัยแม่โจ้เชี่ยวชาญด้านการเกษตร-ป่าไม้ มหาวิทยาลัยมหิดลเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น ผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของมหาวิทยาลัย จะมี 2 ช่องทางสู่เชิงพาณิชย์คือ การจดสิทธิบัตรและขายสิทธิบัตรผ่านทีแอลโอ หรือจัดตั้งธุรกิจในรูปแบบของบริษัทผ่านหน่วยบ่มเพาะ และสำหรับทีแอลโอคาดว่าน่าจะเริ่มได้ภายในปีนี้ เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกันหมด (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 23 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ไมโครซอฟท์หนุน 1 ล้าน ทุนวิจัยคอมพ์สมรรถนะสูง

นายแอนดรูว์ แม็คบีน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้สนับสนุนทุนวิจัย 1 ล้านบาท ให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ใช้ในการวิจัยด้านคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง โดยมุ่งส่งเสริมให้นักศึกษาได้เรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการประมวลผลข้อมูลจำนวนมากและซับซ้อนในเวลาอันสั้น อาทิ ใช้ในงานวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลด้านการเงิน วิเคราะห์ความเสี่ยงการลงทุน การวิจัยด้านพันธุวิศวกรรม แอนิเมชั่น-มัลติมีเดีย เป็นต้น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จะเป็นสถาบันแห่งแรกในประเทศ ที่ใช้เทคโนโลยีการประมวลผลของคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงของไมโครซอฟท์บน วินโดวส์ เซิร์ฟเวอร์ ถือเป็นสถานที่ทดสอบที่สมบูรณ์แบบที่สุด ก่อนที่เราจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ตัวนี้เพื่อการพาณิชย์ ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จะจัดให้มีหลักสูตรการเรียนการสอน ที่ใช้แพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง และแอพพลิเคชั่นของไมโครซอฟท์เป็นเครื่องมือประกอบการเรียนการสอน รวมทั้งจะจัดฝึกอบรมให้บุคลากร นิสิต บุคคลทั่วไปตลอดจนบริษัทคู่ค้าของไมโครซอฟท์ นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยจะจัดทำรายงานการวิจัยเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง 3 ฉบับ เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจและประโยชน์ของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงให้กว้างขวางยิ่งขึ้น (คมชัดลึก พุธที่ 23 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





สวทช.-เนคเทค-เอไอทีเปิดหลักสูตรพิเศษ

นายชัชนาถ เทพธานนท์ รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ( สวทช.) เปิดเผยว่า โครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย(เอไอที) ได้เปิดโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ หลักสูตร “พัฒนาผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี” ขึ้นเป็นปีที่ 3 เพื่อพัฒนาทักษะการประกอบธุรกิจให้กับผู้ประกอบการธุรกิจด้านเทคโนโลยีรุ่นใหม่ ในเรื่องของการเขียนแผนธุรกิจ ตลอดจนครอบคลุมถึงการบริหารจัดการ การตลาดและการบริหารการเงิน เพื่อให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่สามารถจัดตั้งและดำเนินธุรกิจให้อยู่รอดได้อย่างมีคุณภาพ ซึ่งจะเป็นโครงการฯที่มุ่งให้การสนับสนุนสำหรับธุรกิจใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์ หรือมีการประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ โดยจะเริ่มเปิดอบรมดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 23 เม.ย. - 2 ก.ค. นี้ ด้านนายพันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ รองผู้อำนวยการ กล่าวว่า สำหรับหลักสูตรนี้ เป็นการอบรมเชิงปฏิบัติการ ได้นำเทคโนโลยีมาประกอบธุรกิจเป็นการเพิ่มมูลค่าให้สูงขึ้น และยังเป็นก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge Based Economy) มีเนื้อหาครอบคลุมการจัดการธุรกิจในทุกด้าน ทั้งการบริหารองค์การ การผลิตสินค้า/ให้บริการ การตลาดและบริหารการเงิน ซึ่งจะเปิดรับผู้ที่มีแนวความคิดด้านธุรกิจใหม่ที่อิงกับเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นนาโนเทคโนโลยี ชีวภาพเทคโนโลยี หรือ การเขียนซอฟต์แวร์ให้มีความสามารถในการเขียนแผนธุรกิจที่นำไปใช้ได้จริง และจัดตั้งบริษัท เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาด หรือ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ภายในบริษัทให้สามารถอยู่รอดได้ สำหรับโครงการดังกล่าวเริ่มมาตั้งแต่ปี 2546 มีผู้เข้ารับการฝึกอบรมที่ผ่านมาการอบรมไปแล้ว 31 คน เกิดธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น 19 ธุรกิจ และในปีนี้ จะพิเศษกว่าใน 2 ปีที่ผ่านมา โดยจะมีการคัดเลือกผู้ประกอบการที่มีไอเดียดีในการเขียนแผนธุรกิจดีที่สุด 10 อันดับแรกจากทั้งหมด 35 คน เข้ารับการบ่มเพาะธุรกิจภายในหน่วยบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี ในพื้นที่ของอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (สยามรัฐรายวัน ศุกร์ที่ 25 มี.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





จอมบึง-เทคโนฯบางมดเปิดสอนป.โท

ข่าวจากมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง แจ้งว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เปิดรับนักศึกษาระดับปริญญาโท ภาคพิเศษ (เสาร์-อาทิตย์) เรียน 2 ปี 6 ภาคเรียน ในโครงการปริญญาโทครุศาสตร์อุตสาหกรรม ณ ศูนย์การศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่าง มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรีและมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง จัดตั้งขึ้นภายใต้นโยบายการสร้างความเข้มแข็งทางวิชาการแก่ภูมิภาคตะวันตกและเพื่อตอบสนองเครือข่ายอุดมศึกษาภาคตะวันตก นักศึกษาที่เข้าเรียนในโครงการฯ จะได้รับปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โดยนักศึกษาต้องทำการศึกษาในวันเสาร์-อาทิตย์ ที่ศูนย์การศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง จ.ราชบุรี โครงการจะเปิดรับสมัครนักศึกษาในหลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรม สาขาวิชาที่เปิดสอน 1.สาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ สื่อสารและโทรคมนาคม 2.สาขาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ 3.วิศวกรรมอุตสาหกรรม ทั้งนี้นักศึกษาที่มีคะแนนสอบ Toefl มากกว่า 500 คะแนน จะไม่ต้องเรียนภาษาเพื่อปรับพื้นฐานก่อนเรียนจริงแต่อย่างใด (ข่าวสด ศุกร์ที่ 25 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ปรับโฉมใหม่พิพิธภัณฑ์เด็กรองรับโครงการใหม่รอบข้าง-กำหนดแล้วเสร็จ พ.ค. นี้

คุณหญิงณฐนนท ทวีสิน ปลัด กทม. ได้เป็นประธานการประชุมพิพิธภัณฑ์เด็กกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 1/2548 เมื่อวันที่ 23 มี.ค.48 ทั้งนี้ พิพิธภัณฑ์เด็ก กทม. ถือเป็นองค์กรหนึ่งของ กทม. แต่ได้ จัดตั้งมูลนิธิ พิพิธภัณฑ์เด็ก กทม. บริหารจัดการเพื่อ ให้การดำเนินงานคล่องตัวขึ้น โดยมูลนิธิดังกล่าวซึ่ง ถือเป็นตัวแทนของ กทม. ได้ทำสัญญาร่วมกับบริษัท แฟมิลี่ ครีเอชั่นส์ จำกัด ให้บริหารงานพิพิธภัณฑ์ในระยะเวลาสัญญา 5 ปี และขณะนี้ดำเนินงานไปแล้ว 3 ปีกว่า มีผู้เข้าชมลดลง ประกอบกับพื้นที่พิพิธภัณฑ์เด็กได้เปิด ให้ใช้บริการมาเป็นเวลา 3 ปีแล้ว นิทรรศการต่างๆ ที่จัดอยู่เริ่มเสื่อมสภาพลง ดังนั้น เพื่อเป็นการรองรับโครงการใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยรอบ 2-3 โครงการ อาทิ โครงการ อาคารยูนิลีเวอร์ แฟมิลี่ เลิร์นนิ่ง เซ็นเตอร์ โครงการ อาคารไม้หอมของมูลนิธิสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ การปรับปรุงและจัดสร้างน้ำพุดนตรี การเปลี่ยนพื้นที่จอดรถฯ เพื่อให้พื้นที่ดังกล่าวเชื่อมโยงกันและมี ภูมิทัศน์ที่สวยงามสอดคล้องกับผู้ใช้บริการที่เป็น ครอบครัวเด็กเล็ก จึงเห็นควรปรับปรุงรูปแบบของพิพิธภัณฑ์เด็กให้ทันสมัยขึ้น โดยเดิมพิพิธภัณฑ์ได้จัดรูปแบบการเรียนรู้เป็นแบบ Learning by Doing เป็นการเรียนรู้ที่มีปฏิสัมพันธ์ กันทั้งครอบครัว เน้นให้บริการเรียนรู้ตั้งแต่ระดับปฐมวัย ซึ่งถือเป็นวันเริ่มต้นที่สำคัญในการปูพื้นฐานใฝ่รู้โดยนับถึงปัจ-จุบัน มีผู้เข้าชมแล้วกว่า 1 ล้าน 5 แสนคน เป็นเด็ก 58% ผู้ใหญ่ 42% สำหรับแนวคิดในการปรับปรุงพิพิธภัณฑ์เด็กใหม่ คือ ให้เป็นผู้นำในการให้บริการการเรียนรู้แบบ Discovery Learning Center หรือ DLC โดยให้เด็กที่เข้ามาใช้บริการได้สังเกต สงสัย และสัมผัส เป็นการเรียนรู้ที่เน้นให้เด็กลงมือค้นหาศักยภาพของตัวเองด้วยตนเอง และสามารถพัฒนาไปสู่การสร้างองค์ ความรู้และสร้างสรรค์ได้ โดยมีผู้ใหญ่เป็นผู้ให้การสนับสนุนและส่งเสริมการเรียนรู้ ทั้งนี้ ที่ประชุมมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษารูปแบบ และงบประมาณที่เหมาะสมในการปรับปรุง โดยจะมีการศึกษารายละเอียดให้เสร็จภายใน 1 สัปดาห์ และคาดว่าจะปรับปรุงพิพิธภัณฑ์เด็กให้เสร็จภายในเดือนพ.ค.นี้. (ไทยรัฐ อาทิตย์ที่ 27 มี.ค.48 http://www.thairath.co.th)





ม.ขอนแก่น-จุฬาฯเข้ายื่น"ทักษิณ" ลงชื่อค้านออกนอกระบบกว่าครึ่ง

ผศ.พิศิษฐ์ โจทย์กิ่ง ประธานสภาคณาจารย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยวานนี้ (25 มี.ค.) ว่า ตนได้เดินทางมายื่นหนังสือ ถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อคัดค้านการออกนอกระบบ ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ตามมติของนายกรัฐมนตรี ที่ตกลงร่วมกันกับที่ประชุมประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัย แห่งประเทศไทย(ปอมท.) เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2547 ที่ให้แต่ละมหาวิทยาลัยทำสำรวจความเห็นของประชาคมของตัวเอง เพื่อเป็นข้อมูล ในการพิจารณาการออกนอกระบบของมหาวิทยาลัยต่อไป ทั้งนี้ ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาคมมหาวิทยาลัยขอนแก่นเกี่ยวกับการเป็นมหาวิทยาลัยในการกำกับรัฐบาล จากการส่งแบบสอบถามไปยังประชาคมทั้งหมด 6,149 คน ปรากฏว่ามาผู้ร่วมลงชื่อคัดค้าน โดยให้ยุติการดำเนินการเกี่ยวกับการนำมหาวิทยาลัยขอนแก่นออกนอกระบบราชการ จำนวนทั้งสิ้น 3,096 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 50.34 นอกจากนี้ ในวันเดียวกันก็มีตัวแทนสภาคณาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เดินทางมายื่นหนังสือด้วยเช่นกัน โดยจากการที่ทางมหาวิทยาลัยได้จัดรับฟังความคิดเห็นของประชาคมเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2545 ปรากฏว่าประชาคม 3,089 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 81 ที่คัดค้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบราชการ (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 26 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


จอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กแพ้แดด โดนเข้ามากๆทอนอายุลงให้สั้น

นายวรรณวิสุทธิ์ วีรวรรณ ผู้จัดการแผนกฟินิชเชท กู้ด บริษัท ดี คอมพิวเตอร์ จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่ายสินค้าไอทีรายใหญ่ เปิดเผยผ่านทางรายการเอ็มคอทดอทเน็ตว่าผู้ที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ไม่ควรนำเครื่องเก็บไว้ในที่ที่โดนแสงแดด หรือเก็บในรถยนต์ที่จอดกลางแจ้ง เนื่องจากจอภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเป็นจอภาพแบบแอลซีดี ซึ่งทำงานด้วยผลึกเหลวและมีความแปรผันกับอุณหภูมิ โดยผลึกเหลวจะหดตัวและยืดตัวในอุณหภูมิที่สูงและต่ำ และเมื่อผู้ใช้นำเครื่องมาเปิดใช้งาน ผลึกเหลวที่จอภาพจะพยายามกู้สภาพผลึกเหลวให้กลับมาเหมือนเดิม แต่การยืดและหดตัวของจอภาพบ่อยจะส่งผลให้เกิดรอยจุดจ้ำดำที่จอภาพ และส่งผลให้จอภาพไม่เรียบ จนทำให้จอภาพมีอายุสั้นลงในที่สุด นอกจากนี้ การเก็บเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้ในกระเป๋าโน้ตบุ๊กจะช่วยป้องกันแสงแดดได้แต่ ไม่ควรเกิน 1 ชั่วโมง เนื่องจากคุณสมบัติกันแสงแดดนั้น ในทางตรงกันข้ามก็จะสามารถเก็บความร้อนที่ผ่านเข้าไปในเครื่องได้เป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 21 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุม COMEST ครั้งที่4

ศ.ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า กระทรวง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้รับเลือกจากยูเนสโกให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมาธิการโลกว่าด้วยจริยธรรมในความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือโคเมสต์ ครั้งที่ 4 (The Forth Session World Commission on the Ethics of Scientific Knowledge and Technology: COMEST) ขึ้นระหว่างวันที่ 23-25 มีนาคมนี้ ที่โรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์ปาร์ค เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ จากนักวิทยาศาสตร์ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ทั้งนี้วาระการประชุมที่สำคัญมีทั้งการประชุมคณะกรรมาธิการ COMEST ซึ่งมา จาก 18 ประเทศ การประชุมรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์จากประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เพื่อร่วมร่างปฏิญญากรุงเทพ (Bangkok declaration) ซึ่งประเทศไทยจะเสนอใน 4 หัวข้อหลักคือ เรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์จากงานวิจัยที่เห็นแก่มนุษยธรรมมากกว่าด้านการค้า การใช้การค้าแบบยุติธรรม บทบาทของเยาวชน และเรื่องของนวัตกรรมการเกิดของเทคโนโลยีใหม่ ๆ นอกจากนี้ยังมีการประชุมนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ นักเทคโนโลยีในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีบนพื้นฐานจริยธรรม อย่างเรื่องของสิ่งแวดล้อม ปัญหาโลกร้อน สึนามิ การโคลนนิ่งหรือเรื่องของความเหมาะสมในการใช้เทคโนโลยีจีเอ็มโอ และการประชุมของนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่และเยาวชน คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 500 คน. (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 21 มี.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





แผ่นดินไหวญี่ปุ่นตาย1เจ็บกว่า300

สื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นเผยวานนี้ว่า เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหววัดความรุนแรงได้ 7.0 ตามมาตรวัดของญี่ปุ่น ซึ่งใกล้เคียงกับมาตรวัดริกเตอร์ แต่มีการดัดแปลงให้เข้ากับสภาพธรณีวิทยาของญี่ปุ่น โดยแผ่นดินไหวเกิดใกล้เกาะคิวชู เกาะหลักที่ตั้งอยู่ทางใต้สุดของญี่ปุ่น จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ในทะเลนอกเมืองฟูกูโอกะ เมืองใหญ่บนชายฝั่งด้านเหนือของเกาะคิวชู แรงสั่นสะเทือนรู้สึกได้ถึงกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เจ้าหน้าที่ประกาศเตือนภัยจากคลื่นใต้น้ำสึนามิ ที่อาจพัดกระหน่ำหลายพื้นที่รวมทั้งชายฝั่งเกาะคิวชู แต่มีการยกเลิกคำเตือนในเวลาต่อมา กระนั้นทางการระบุว่าอาจเกิดอาฟเตอร์ช็อกความแรงถึงระดับ 6 ได้ แผ่นดินไหวเกิดขึ้นเวลา 10.53 น. ตามเวลาท้องถิ่น มีจุดศูนย์กลางไม่ลึกมาก มีรายงานท่อน้ำและท่อแก๊สรั่ว กับไฟฟ้าดับในบางจุด มีการระงับการให้บริการรถไฟและรถไฟหัวกระสุนเป็นการชั่วคราว เพราะระบบรักษาความปลอดภัยอัตโนมัติทำงานเมื่อเกิดแรงสั่นสะเทือน ส่วนท่าอากาศยานฟูกูโอกะปิดรันเวย์ชั่วคราวเพื่อประเมินความเสียหาย แต่เปิดให้บริการใหม่หลังไม่พบรอยร้าว มีหญิงชราวัย 75 เสียชีวิต และมีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 340 คน ส่วนใหญ่ไม่มีอาการสาหัส ต้องการเพียงการปฐมพยาบาลเท่านั้น แต่เขตฟูกูโอกะซึ่งได้รับผลกระทบรุนแรงสุด (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 21 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





สมาร์ทการ์ด...รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์เรื่องด่วน! ไอซีทีทักษิณ 2/1

คาดเมษายนนี้ประชาชนได้ใช้แน่! ก็เพื่อสนองนโยบายนายกฯ ให้เด็กแรกเกิดมีบัตรประจำตัวประชาชนอเนกประสงค์เป็นสมบัติติดตัวแทนใบสูติบัตร พ่วงประโยชน์ในการเข้ารักษาสุขภาพตามโครงการ 30 บาท (รักษาทุกโรค) ของ กระทรวงสาธารณสุข เป็นบัตรนักเรียนใช้ตรวจสอบรายชื่อป้องกันชื่อผีกินเงินรัฐ เป็นบัตรนักศึกษาขอกู้เงินเรียนระดับมหาวิทยาลัย เป็นบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีและตรวจสอบสถานะความสามารถในการใช้เงินกู้ยืมเรียนคืน ฝ่ายอี-กอฟเวิร์นเมนท์ หรือรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ เร่งรวบรวมข้อมูลสถิติที่กระจัดกระจายให้มีมาตรฐาน เพื่อสร้างศูนย์กลางข้อมูลที่ทุกหน่วยงานของรัฐสามารถนำไปใช้วางแผนบริหารจัดการได้ แทนการออกสำรวจเก็บข้อมูลสถิติเอง สำหรับผู้ขับเคลื่อนอี-กอฟฯ ยังพึ่งผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (ซีไอโอ) ต่อด้วยการพัฒนาความปลอดภัยในการใช้งาน การสร้างมาตรฐานโอเพ่นซอร์ส และจัดทำกฎหมายอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ที่ยังต้องปรับปรุงอีกหลายฉบับ รวมทั้งส่งเสริม อี-เอดูเคชั่น โดยขยายเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าสู่โรงเรียน เจรจาลดค่าใช้บริการพื้นฐานทั้งหมดของบริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ทศท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้ถูกลง เช่น อัตราค่าโทรศัพท์ทั้งในประเทศ-ต่างประเทศ ค่าบริการอินเทอร์เน็ตปกติ และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอด แบนด์) ฯลฯ ส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ โดยให้สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (ซิป้า) เป็นตัวกลางประสานงานเพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย และจัดทำข้อมูลและระบบค้นหาตำแหน่งบ้าน ข้อมูลดิน และพืชผลการเกษตรผ่านดาวเทียม ซึ่งรวบรวมไว้ที่เว็บไซต์ท่า ด้วยระบบจีไอเอสแห่งชาติ เพื่อบริหารจัดการการให้ความช่วยเหลือในภาวะฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว (เดลินิวส์ อังคารที่ 22 มี.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ไทย’ กับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ(2) เอเชียเป้าหมายคาร์บอนเครดิต

กลไกที่พิธีสารเกียวโตกำหนดไว้ให้เป็นทางเลือกแก่ประเทศพัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินโครงการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร่วมกันของประเทศพัฒนาแล้ว การพัฒนากลไกสะอาดขึ้นมาทดแทน หรือวิธีการที่ง่ายที่สุดอย่างการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งวิธีหลังทั้ง 2 แบบนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นที่สนใจของบรรดาประเทศพัฒนาแล้วอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งหมายถึงการลงทุนเพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพป่าด้วยการปลูกต้นไม้ทดแทน เพื่อหวังจะให้ช่วยฟอกก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ปัจจุบันประเทศที่มีการซื้อคาร์บอนมากที่สุดคือญี่ปุ่น โดยในปี 2003 มีสถิติการซื้อถึงร้อยละ 41 ขณะที่ธนาคารโลกคือผู้ซื้อในลำดับรองลงมาที่ร้อยละ 24 ตามมาด้วยเนเธอร์แลนด์ร้อยละ 23 ส่วนประเทศพัฒนาแล้วอย่างอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลียกับนิวซีแลนด์ และประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปกลับมีสถิติการซื้อคาร์บอนเครดิตเฉลี่ยเพียงร้อยละ 3 ขณะที่ทวีปเอเชียเป็นผู้ขายคาร์บอนเครดิตอันดับหนึ่งถึงร้อยละ 51 ในช่วงปี 2003 ถึงพฤษภาคม 2004 โดยมีประเทศในเขตลาติน อเมริกาอยู่ในอันดับรองลงมาที่ร้อยละ 27 และประเทศไทย เองก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ประเทศพัฒนาแล้วจะมาซื้อคาร์บอนเครดิต แต่ทว่าความชัดเจนในแง่ของนโยบายต่อพิธีสาร เกียวโตนี้ยังค่อนข้างคลุมเครือ โดยประเทศที่ให้ความสนใจที่จะแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตกับประเทศไทยนั้น มีทั้งญี่ปุ่นและเนธอร์แลนด์ ซึ่งเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระบุว่า ทั้งสองประเทศสนใจที่จะเข้ามาลงทุนเกี่ยวกับกลไกการพัฒนาสะอาดทั้งสิ้น สำหรับประเทศไทยการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ด้วยการแลกกับการปลูกป่าอาจไม่ใช่แนวทางที่ควรจะเป็น เพราะวิธีการนี้เป็นสิ่งที่ไทยสามารถลงทุนได้เอง กลไกการพัฒนาสะอาดต่างหากที่เป็นเป้าหมายที่รัฐบาลไทยควรจะพิจารณา และศึกษาความเป็นไปได้ให้รัดกุมก่อนที่จะตัดสินใจใด ๆ ลงไป. (เดลินิวส์ อังคารที่ 22 มี.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ข้อแนะนำในการป้องกัน "แบตเตอรี่"ร้อนจัดจนบึ้ม!

ข้อแนะนำในการป้องกัน "แบตเตอรี่"ร้อนจัดจนบึ้ม! 1.เวลาถอดแบตเตอรี่ พยายามอย่าให้สัมผัสกับวัสดุโลหะ เช่น เหรียญ กุญแจ ฯลฯ 2. อย่าให้โดนน้ำ หรือเก็บในที่ร้อนมากๆ 3. พยายามอย่าทำหล่น หรือให้กระทบกระแทกกับพื้นผิวแข็งๆ โดยเฉพาะเวลาที่ชาร์จไฟเต็มแล้ว 4. ตรวจสอบให้ดีว่าซื้อถูกรุ่น โดยแบตเตอรี่ที่วางขายอยู่นั้นไม่ใช่ของปลอม ของใช้แล้ว และไม่ได้ผลิตสำหรับโทรศัพท์ของประเทศอื่น 5. ควรซื้อจากตัวแทนจำหน่ายที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น (ข่าวสด อังคารที่ 22 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





"มหาสมุทร"ร้อน

ปัจจุบันนี้ผลจากการที่นักวิทยาศาสตร์หวั่นเกรงกันมากว่าอุณหภูมิโลกที่กำลังร้อนขึ้นเรื่อยๆ จากการสะสมของก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์" ต้นเหตุหนึ่งของปฏิกิริยาเรือนกระจก ได้ทำให้การรณรงค์ลดการปล่อยก๊าซดังกล่าวสู่ชั้นบรรยากาศเกิดขึ้นทั่วโลก แต่ข้อมูลล่าสุดจาก "ศูนย์วิจัยสภาพชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา" (NCAR) รายงานว่า การยับยั้งการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ตอนนี้อาจไม่ทันการณ์เสียแล้ว เนื่องจากความร้อนที่ส่งผ่านชั้นบรรยากาศโลกลงมาได้แทรกตัวลงไปสะสมในมวลน้ำของมหาสมุทรทำให้อุณหภูมิของน้ำอุ่นขึ้นผิดปกติ จากการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์จำลองรูปแบบสภาพชั้นบรรยากาศของโลกที่เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจก "เจรัลด์ มีห์ล" นักวิเคราะห์ชั้นบรรยากาศของ NCAR เตือนว่า "แม้ว่าจะมีการตื่นตัวให้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในขณะนี้ แต่ความร้อนที่ส่งผ่านลงมาจากบรรยากาศและถูกกักไว้ในโลกจากปฏิกิริยาเรือนกระจกตลอดเวลาที่ผ่านมา ได้แทรกลงไปสะสมในมวลของมหาสมุทร อุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้น้ำแข็งและธารน้ำแข็งขั้วโลกละลาย ยังผลให้ระดับน้ำทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น" ด้าน "แอนดรูว์ วีเวอร์" นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยวิกตอเรีย แคนาดา ให้ความเห็นว่า นอกจากจะต้องกระตุ้นให้มีการลดกระบวนการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์โดยทันทีเพื่อลดความรุนแรงของวิกฤติโลกร้อนแล้ว นักวิทยาศาสตร์ยังต้องเร่งหาวิธีช่วยให้พลเมืองโลกเตรียมพร้อมปรับตัว เพื่อรับมือกับปัญหาที่จะตามมาในอนาคต จากสภาวะบรรยากาศโลกเปลี่ยนแปลง (ข่าวสด อังคารที่ 22 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





สวทช.โชว์ไฮเทคยุคโมเลกุล

รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า เพื่อเผยแพร่ผลงานความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทยและต่างประเทศ ซึ่งถึงยุคของการพัฒนาองค์ความรู้ระดับโมเลกุลเป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดงานวิจัยและพัฒนาด้านต่าง ๆ และต่อยอดไปจนถึงระดับเศรษฐกิจ สวทช. จะจัดงานประชุมประจำปี 2548 ในหัวข้อ “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทยสู่เศรษฐกิจยุคโมเลกุล” ขึ้นระหว่างวันที่ 28-30 มีนาคมนี้ ที่ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย รังสิต ในงานประกอบด้วยงานประชุมวิชาการเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างนักวิชาการทั้งในและต่างประเทศ และงานนิทรรศการรวบรวมผลงานจาก 4 ศูนย์แห่งชาติคือ เนคเทค เอ็มเทค ไอโอเทค และนาโนเทค ซึ่งมีผลงานเด่น อาทิ ต้นแบบระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ (ECU) สำหรับยานยนต์ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นการบูรณาการเทคโนโลยี 3 ด้านเข้าด้วยกัน คือเทคโนโลยีสมองกลฝังตัว เทคโนโลยีวัสดุศาสตร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งระบบ ECU จะเป็นตัวควบคุมการทำงานของระบบจ่ายก๊าซธรรมชาติอย่างเหมาะสม เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อการปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์ ผลิต ภัณฑ์จากเถ้าแกลบ และนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ยืดอายุผักและผลไม้ในเขตร้อน. (เดลินิวส์ พุธที่ 23 มี.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





กรมวิทย์ฯจัดทำมาตรฐานสมุนไพร

นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ร่วมกับนักวิจัยภายนอก จัดทำมาตรฐานสมุนไพร และจัดตั้ง “ศูนย์ตรวจสอบและรับรองคุณภาพสมุนไพร” ประกอบด้วยเครือข่ายห้องปฏิบัติการ ที่ได้รับการรับรองคุณภาพด้านการตรวจวิเคราะห์ตามมาตรฐานสากล รวมทั้งจัดระบบการขอรับสัญลักษณ์เครื่องหมาย “คุณภาพสมุนไพรไทย” ให้กับผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน สำหรับการวิจัยเพื่อหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุน ในด้านคุณภาพความปลอดภัยและประสิทธิผลของสมุนไพร ยังมีปัญหาหลายด้าน เช่น การขาดกำหนดทิศทางการวิจัยที่ชัดเจน งานวิจัยไม่ตอบสนองต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม การให้ทุนวิจัยซ้ำซ้อนขาดการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่ให้ทุน นักวิจัยที่มีความสามารถบริหารโครงการวิจัยที่ครบวงจรยังขาดแคลนห้องปฏิบัติการวิจัยที่มีมาตรฐานที่ดี (Good Laboratory Practice) ยังไม่เพียงพอ ทำให้การควบคุมความสม่ำเสมอคุณภาพสมุนไพร และผลิตภัณฑ์ทำได้ยาก ส่งผลให้การวิจัยทางคลินิกที่ได้มาตรฐานที่ดี (Good Clinical Practice) ทำได้ยาก ผลงานวิจัยที่ออกมาจึงไม่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ดังนั้น การที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงควรสร้างพันธมิตรในการวิจัยร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ เพื่อเร่งรัดให้มีการวิจัยสมุนไพรที่มีศักยภาพสูงทางเศรษฐกิจและสอดคล้องกับนโยบายการวิจัยและพัฒนาสมุนไพรแห่งชาติ รวมถึงการพัฒนาห้องปฏิบัติการการวิจัยให้เข้าสู่มาตรฐานสากล ให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นและได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดี (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 23 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ไขความลับมนุษย์หลังยุคจีโนม แตกแขนงศาสตร์ใหม่มุ่งรักษาโรค

รศ.ดร.เพทาย เย็นจิตโสมนัส จากหน่วยอณูชีววิทยาการแพทย์ สถานส่งเสริมการวิจัย คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า หลังจากการศึกษาโครงสร้างจีโนมมนุษย์สำเร็จ ก็เริ่มมีการนำเอาความรู้ที่ได้มาใช้ประโยชน์ เช่น วิธีการรักษาด้วยยีนบำบัดที่เริ่มมีให้เห็นในการรักษาโรคบางโรคกันบ้างแล้ว และคาดว่าจะมีการนำมาใช้มากขึ้นในอนาคต รวมถึงศาสตร์ต่างๆ ที่มีให้เห็นเพิ่มมากขึ้นในยุคจีโนมิกส์ ทั้ง จีโนม ทรานสคิปโตรม โปรตรีโอม และเมตะบอโลม ซึ่งล้วนเป็นการศึกษาเพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงกลไกการเกิดโรค รวมถึงการคิดค้นยาใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ผลพวงหนึ่งจากการศึกษาข้อมูลทางพันธุกรรมของโครงสร้างจีโนม คือ ศาสตร์ว่าด้วยทรานสคริปโตมิกส์ ซึ่งเป็นการศึกษาการแสดงออกของยีน ทำให้รู้ว่าบทบาทสำคัญการแสดงออก หรือการผิดปกติของยีนแต่ละตัว มีผลต่อระบบการทำงานของร่างกายและโรคอย่างไร ผศ.ดร.นพ.ชัชวาล ศรีสวัสดิ์ จากภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าว นอกจากความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับบทบาทของยีน หรือคลังข้อมูลสำคัญที่เก็บคำสั่งเพื่อให้เซลล์ทำการผลิตโปรตีนให้กับร่างกายแล้ว ความรู้เกี่ยวกับชนิดของโปรตีน หรือโปรโตรมิกส์ ซึ่งเป็นการศึกษาทำความเข้าใจเซลล์ และอวัยวะในแง่ของสรีรวิทยา จัดเป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ทราบถึงต้นเหตุของการเกิดโรคและนำไปสู่การผลิตยาใหม่ในการรักษา น.พ.วิศิษฏ์ ทองบุญเกิด จากหน่วยอณูชีววิทยาการแพทย์ สถานส่งเสริมการวิจัย คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล อธิบายถึงการศึกษาโปรโตรมิกส์ว่า นับเป็นศาสตร์ที่ค่อนข้างใหม่ นอกจากนี้ ยังมีศาสตร์ที่ศึกษาปฏิกิริยาเคมีที่เร่งโดยเอนไซม์ในสิ่งมีชีวิตที่บ่งบอกการเจริญเติบโต และการรักษาสภาวะสมดุลของร่างกาย หรือเมตะบิอโลม เป็นความรู้ที่สามารถนำไปใช้ในการจัดกลุ่มยีนทั้งหมดที่อยู่ในยีน รวมถึงติดตามการเปลี่ยนแปลงของยีน ซึ่งศิริราชได้นำเอาองค์ความรู้ดังกล่าวไปใช้เพื่อทำการศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงของเซลล์มะเร็งเพื่อการรักษาต่อไป (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 23 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





"สมเด็จพระเทพฯ" ชี้ความรู้คู่จริยธรรม ระบุนักวิทย์ฯต้องไม่เห็นแก่ตัว

เมื่อวันที่ 23 มีนาคม สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดการประชุมคณะกรรมาธิการโลก ว่าด้วยจริยธรรมความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ครั้งที่ 4 ที่โรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์ปาร์ค และทรงมีพระราชดำรัสเปิดงาน ว่า เรื่องของจริยธรรมความรู้ด้านวิทยาศาสตร์นั้นถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก สำหรับการพัฒนางานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทั้งนี้ ความเจริญก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้น จะต้องอยู่บนพื้นฐานของจริยธรรมความเท่าเทียมกันและสิทธิมนุษยชนในยุคโลกไร้พรมแดน ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นไปอย่างรวดเร็ว การพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์สามารถที่จะเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาการผลิต สร้างสรรค์ ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และปรับปรุงมาตรฐานการดำรงชีพได้ อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานปราศจากฉันทาคติและความเห็นแก่ตัว และเคารพต่อธรรมชาติและวัฒนธรรม นอกจากนั้น นักวิทยาศาสตร์และนักเทคโนโลยีในอนาคต จำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนให้เกิดความชำนาญ เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และพิทักษ์โลกโดยรวม นายไพรัช ธัชยพงศ์ ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์กับจริยธรรม ที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกมักจะนำมาถกกันก็คือ เรื่องผลประโยชน์ทางสิทธิบัตรและภูมิปัญญา ที่บางประเทศผลิตยาได้และต้องขายในราคาแพง ขณะที่ประเทศที่ซื้อยานั้น ไม่มีเงินซื้อ การทำโคลนนิ่งมนุษย์ หรือกรณีการทดลองวัคซีนหวัดนกในประเทศไทย คนไทยจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง ที่ประชุมจะถกกันและช่วยกันหาทางออก แล้วตั้งเป็นปฏิญญาร่วมกันว่ามีอะไรบ้าง แม้จะไม่มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการระหว่างประเทศ แต่ทุกคนรับรู้ ซึ่งในแง่จริยธรรมแล้วส่วนใหญ่จะปฏิบัติร่วมกันได้ ด้าน นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ นักวิทยาศาสตร์อาวุโส สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า การจะทดลองและสร้างผลงานด้านวิทยาศาสตร์ขึ้นมาสักชิ้น สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงคือ จริยธรรมและความถูกต้อง และควรต้องนำเอาหลักการทางพุทธศาสนา มาประยุกต์ใช้กับงานด้านวิทยาศาสตร์ คือ ทำความดี ละเว้นความชั่วและทำจิตใจให้บริสุทธิ์ คือ พิจารณาก่อนว่า ผลงานที่ออกมาของตัวเอง จะสร้างความเดือดร้อนให้ใครบ้าง ต้องคิดให้ลึกและรอบคอบ (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 24 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์

คำว่ารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์หรือ อี กัฟเวอร์นเมนต์ หรือ eGovernment ก็มักจะเป็นศัพท์ที่เขามักจะใช้เรียกเสมอในทุกประเทศ รวมทั้งรัฐบาลไทยซึ่งก็ได้มีการพูดคุยถึงการให้มีกระทรวงทบวงต่าง ๆ สามารถใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตและคอมพิว เตอร์ให้ความสะดวกในการติดต่อกันมากขึ้นและให้มีการบริการประชาชนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์และดิจิทัลมากขึ้น ผลการรายงานสรุปความพยายามของกลุ่มประเทศยุโรป เพื่อให้รัฐบาล อิเล็กทรอนิกส์สามารถใช้งานได้ดีขึ้น รวมทั้งการจัดอันดับของประเทศที่สามารถสร้างระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การสำรวจครั้งนี้ได้ครอบคลุมถึงประเทศ ต่าง ๆ ในยุโรป 28 ประเทศ และสำรวจไปยังหน่วยงานสาธารณะจำนวน 14,000 แห่ง ในยุโรปช่วง ปลายปี 2004 นี้เอง โดยเรียงลำดับดังต่อไปนี้ 1. สวีเดน 2. ออสเตรีย 3. สหราชอาณาจักรอังกฤษ 4. ไอร์แลนด์ 5. ฟินแลนด์ 6. นอร์เวย์ 7. เดนมาร์ก 8. ไอซ์แลนด์ 9. ฝรั่งเศส และ 10. สเปน ที่น่าสนใจคือประเทศสวีเดนพุ่งมาอันดับหนึ่ง และอังกฤษมาเป็นอันดับ 3 ประเทศยุโรปตอนเหนือหรือ นอร์ดิค ซึ่งมี สวีเดน, ไอร์แลนด์, ฟินแลนด์, นอร์เวย์, เดนมาร์ก และไอซ์แลนด์ เป็นประเทศเล็ก ๆ พลเมืองน้อยไม่เกิน 10 ล้านคนแต่ประชากรมีคุณภาพมากและมีอันดับการใช้ประโยชน์จากไอซีที หรือเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นอันดับต้นๆของโลก อังกฤษแม้จะเป็นประเทศใหญ่สามารถแซงฝรั่งเศสและสเปนรวมทั้งเยอรมนีจนเป็นอันดับสามก็นับว่าดีมาก แต่เยอรมนีไม่ติดหนึ่งในสิบอันดับแรกของยุโรป ที่น่าสังเกตคือประเทศเหล่านี้จะทำการออนไลน์ในเรื่องเกี่ยวกับเงินรายได้แผ่นดินได้ดีมาก เช่น ภาษีเงินได้, ภาษีรถยนต์, ภาษีสรรพสามิตเรียกว่าถึงจะจัดเก็บรายได้จากประชาชนเข้ารัฐบาลก็จะใช้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตที่ดี มีประสิทธิภาพ ส่วนประเภทที่ไม่ได้สร้างรายได้ให้กับรัฐบาลหรือนำภาษีไปใช้มักจะบริการไม่ค่อยดี เช่น การขอใบอนุญาตต่าง ๆ ทุกประเภท (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 24 มี.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ไอบีเอ็มงัดเทคโนโลยีเด็ดฮึดสู้สแปม

เว็บไซต์พีซีเวิร์ลด์ รายงานว่า ไอบีเอ็ม ประกาศเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ "แฟร์ยูส" (FairUCE) สำหรับใช้ในการป้องกันเมลสแปม โดยอ้างถึงผลการสำรวจเมื่อเร็วๆ นี้ ที่พบว่า เมลสแปมครองสัดส่วนถึง 76% ของอีเมลบนเครือข่ายทั้งหมด และทำให้ผู้ประกอบการสหรัฐเสียค่าใช้จ่ายถึง 17 ล้านดอลลาร์ ในปีนี้ เทคโนโลยีดังกล่าว จะอาศัยฟังก์ชันบ่งชี้ตัวตน เชื่อมโยงอีเมลที่เข้ามาในระบบ กับที่อยู่โปรโตคอลอินเทอร์เน็ต (IP) ดั้งเดิม เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างอีเมล, โดเมนอินเทอร์เน็ต และคอมพิวเตอร์ที่ส่งอีเมลนั้นมา ทั้งนี้ ไอบีเอ็มได้เผยแพร่เทคโนโลยีดังกล่าว ให้กับนักพัฒนาโปรแกรมทดลองใช้ ผ่านทางโครงการ "อัลฟ่าเวิร์ค" ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการกระจายนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ ไปสู่นักพัฒนาโปรแกรมทั่วโลก ที่สมัครเป็น "ผู้ทดสอบเทคโนโลยีในระยะแรก" ของไอบีเอ็ม และเชื่อว่า โปรแกรม "แฟร์ยูส" จะช่วยให้สมาชิกสามารถสร้างเทคโนโลยีกรองเมลสแปม ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมเปิดเผยถึงหลักการทำงานว่า "แฟร์ยูส" จะรันบนแม่ข่ายอีเมล และทำหน้าที่ดึงไอพี แอดเดรสจาก อีเมลที่เข้ามาในระบบ แล้วเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลรายชื่อผู้ส่งเมลสแปมที่มีอยู่ และขณะที่เทคโนโลยีกรองสแปมต่างๆ จะพิจารณาจากเนื้อความในจดหมาย ว่าเป็นเมลสแปมหรือไม่ โปรแกรมแฟร์ยูส จะเชื่อมโยงอีเมลกับไอพีเอดเดรสที่ส่งมา ช่วยให้ไอบีเอ็มสามารถตรวจจับจดหมาย ที่มาจากคอมพิวเตอร์ที่ติดเชื้อไวรัส หรือ "ซอมบี้" ได้ (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 24 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ตั้งธนาคารเชื้อพันธุ์สัตว์น้ำ

นายนิวัติ สุธีมีชัยกุล รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมประมงได้เตรียมจัดทำแผนการดำเนินงานด้านการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพในการศึกษาวิจัยและปรับปรุงพันธุกรรมสัตว์น้ำให้ดีขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมา การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำยังขาดสายพันธุ์ที่ดี รวมถึงไม่มีการระบุแหล่งที่มา หรือการรับรองสายพันธุ์สัตว์น้ำที่จำหน่ายในท้องตลาด ดังนั้น กรมจึงเตรียมตั้งธนาคารเชื้อพันธุ์สัตว์น้ำกรมประมง เพื่อผลิตเชื้อพันธุ์สัตว์น้ำพันธุ์ดีจำหน่ายให้แก่เกษตรกร รวมถึงการจัดเก็บรักษาเชื้อพันธุ์สัตว์น้ำ เพื่อการอนุรักษ์และการศึกษาวิจัยพันธุกรรมในอนาคต (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 24 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ใช้กระดาษดีบุกห่มธารน้ำแข็ง ป้องกันละลายกลางฤดูร้อน

นายคาร์ดล์ ดานีโอท หัวหน้าแผนกช่วยเหลือผู้ประสบภัยบนเขา ที่เมืองอันเดอร์แมตต์ แจ้งว่าจะทดลองปูเสื่อดีบุกคลุมปิดธารน้ำแข็ง กินพื้นที่เป็นอาณาบริเวณ 30,000 ตารางฟุต ที่ธารน้ำแข็งเกรเชนบน ตอนต้นเดือนพฤษภาคมนี้ดูก่อน เหล่านักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า การใช้เสื่อกระดาษดีบุกปูทับ จะป้องกันไม่ให้แดดส่องโดนธารน้ำแข็งในบริเวณซึ่งเป็นสถานเล่นสกีอันมีชื่อเสียงเหล่านั้น ในระหว่างช่วงเดือนในฤดูร้อน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องธารน้ำแข็ง นายมาร์ติน ฟุงค์ กล่าวว่า "เสื่อกระดาษเหล่านี้จะสามารถสะท้อนแสงแดดออกไปได้หมด ซึ่งจะกันน้ำแข็งไม่ให้ละลายได้ แม้ว่าบรรดาสถานตากอากาศเล่นสกีอื่นๆ ต่างจะพากันเห็นดีกับวิธีนี้ และพากันจะเอาอย่างเป็นแถว ในช่วงฤดูร้อนนี้ด้วย แต่บรรดานักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ต่างพากันวิจารณ์ความคิดนี้ว่าเป็นเรื่อง "เหลวไหล" โดยเฉพาะนายไรมันด์ โรสวอล์ดประธานมูลนิธิปกป้องทิวทัศน์บอกว่า "ไม่มีใคร จะเอากระดาษดีบุกไปป้องกันธารน้ำแข็งไม่ให้ ละลายของมันได้หรอก" (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 25 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





วิจัยพบทั่วโลกปลูกจีเอ็มโอสูง ติงรัฐบาลไทยไม่กล้าตัดสินใจ

องค์กรบริหารการใช้เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อการเกษตร (ISAAA ) ร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สมาคม เทคโนโลยีชีวภาพสัมพันธ์ (สทส.) ร่วมแถลงผลการวิจัยสรุปผลการปลูกพืชตัดแต่งพันธุกรรม (จีเอ็มโอ) ทั่วโลก โดยพบว่าในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ 2539-2547) พื้นที่เพาะปลูกพืชจีเอ็มโอเพิ่มสูงขึ้นถึง 20% และผู้ใช้เทคโนโลยีชีวภาพ 90% เป็นเกษตรกรในประเทศกำลังพัฒนา ดร.ไคลฟ์ เจมส์ ประธานบริหารองค์กรไอซ่า กล่าวถึงผลวิจัยเรื่องการเติบโตของพืชจีเอ็มโอว่า พื้นที่เพาะปลูกพืชเทคโนโลยีชีวภาพหรือพืชตัดแต่งพันธุกรรม(จีเอ็มโอ) เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 หรือพื้นที่ปลูกเพิ่มมากขึ้น 82.25 ล้านไร่ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาสูงถึง 27 ล้านไร่ มากกว่าประเทศพัฒนาแล้วถึง 22.87 ล้านไร่ ซึ่งตัวเลขในปี 2547 มีเกษตรกรที่ปลูกพืชจีเอ็มโอราว 9.50 ล้าน คนใน 18 ประเทศ ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีว่าประเทศกำลังพัฒนา สนับสนุนปลูกพืชจีเอ็มโอ ซึ่งส่วนใหญ่ปลูกข้าวโพด รองลงมาปลูกถั่วเหลืองต้านยาปราบวัชพืชและฝ้าย นายไคลฟ์ กล่าวต่อว่า ตอนนี้รัฐบาลจีนไฟเขียวให้ปลูกข้าวจีเอ็มโอได้แล้ว แต่เป็นการปลูกเพื่อเลี้ยงคนภายในประเทศเท่านั้น ซึ่งการที่จีนจะปลูกข้าวจีเอ็มโอ ไม่เพียงแต่จะกระทบกับประเทศไทยซึ่งเป็นแหล่งปลูก ข้าว บริโภคข้าวและส่งออกข้าวเท่านั้น แต่ยังกระทบกับประเทศในแถบเอเชียทั้งหมดอย่างแน่นอน ดร.ไคลฟ์ กล่าวว่า รัฐบาลไทยยังไม่มีการตัดสินใจในเชิงนโยบายที่ชัดเจนของเรื่องจีเอ็มโอว่าจะเดินไปทางไหน ทั้งที่มีศักยภาพเป็นผู้นำในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากมีฐานด้านการเกษตรและกำลังผลักดันประเทศให้เป็นครัวของโลกและความพร้อมในด้านนักวิทยาศาสตร์ และความพร้อมในการปลูกพืชจีเอ็มโอเชิงพาณิชย์ 2 ตัว ได้แก่ ฝ้ายบีทีและมะละกอ ด้านดร.สุทัศน์ ศรีวัฒนพงศ์ ที่ปรึกษาองค์การไอซ่าประเทศไทย กล่าวว่า รัฐบาลควรรีบตัดสินใจในประเด็นนโยบายจีเอ็มโอของประเทศ เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกรมีทางเลือกในด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ไม่ควรให้คนอื่นเป็นคนตัดสินใจแทนเกษตรกร เพราะตอนนี้เทคโนโลยีจีเอ็มโออยู่ในเมล็ดพืชแล้ว เกษตรกร นักวิจัยสามารถพัฒนาเมล็ดพืชจีเอ็มโอได้โดยไม่กลัวว่าต้องพึ่งพาเมล็ดพันธุ์จากต่างชาติตลอดไป (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 25 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ข่าววิจัย/พัฒนา


สาวแตกตื่นเคี้ยวหมากฝรั่งให้อกโต บริษัทญี่ปุ่นผลิตใส่กวาวเครือขาย

บริษัทญี่ปุ่นผู้ผลิตจำหน่ายยังอวดอ้างสรรพคุณไว้ว่า ชั่วเคี้ยวมันวันละ 3-4 ครั้งเท่านั้น จะช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี คลายเครียดได้และยังชะลอความแก่อีกด้วย หมากฝรั่งนั้นมีส่วนผสมของสารสกัดจากกวาวเครือ พืชซึ่งขึ้นอยู่ในไทยและพม่า ตามทฤษฎีกล่าวว่า มีสรรพคุณรักษาเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อให้สมบูรณ์ดีขึ้น พวกชาวป่าชาวเขาได้ใช้เป็นยาสมุนไพร หัวกวาวเครือซึ่งขึ้นอยู่ใต้ดิน ในตัวมีสารเคมี ที่มีชื่อว่า "ไฟโตเอสโตรเจน" อันเป็นพฤกษ์ฮอร์โมน ชนิดหนึ่งซึ่งออกฤทธิ์เหมือนกับฮอร์โมนเพศเอสโตรเจนของผู้หญิง สำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษรายงานว่า ทางบริษัทยังได้อ้างว่าจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยได้พบในการทดลองว่ากวาวเครือมีสรรพคุณเป็นยา และสามารถขยายทรวงอกให้โตขึ้นได้ถึง 80% นอกจากนั้น การทดลองในอังกฤษ ยังพบว่านอกจากมีสรรพคุณทำให้ทรวงอกโตแล้ว มันยังเป็นคุณประโยชน์กับผิวหนังและผมด้วย ขณะเดียวกัน โฆษกของมูลนิธิโภชนาการอังกฤษ ได้แจ้งว่า ผลการวิจัยส่อว่าไฟโตเอสโตรเจน อาจเป็นผลดีกับสตรีวัยทอง ช่วยบรรเทาอาการเลือดจะไปลมจะมาลงได้ และยังอาจช่วยลดปัจจัยเสี่ยงของการทำให้เป็นโรคหัวใจและโรคข้ออักเสบด้วย. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 21 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





เนคเทคพัฒนา อุปกรณ์ประหยัด'เอ็นจีวี'

ดร.สุธี ผู้เจริญชนะชัย หัวหน้าทีมวิจัยโครงการอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เปิดเผยถึงความสำเร็จในการพัฒนาระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ (อีซียู) สำหรับยานยนต์ก๊าซธรรมชาติ (เอ็นจีวี) ซึ่งเป็นอีซียูต้นแบบที่พัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ว่า เป้าหมายการวิจัยมุ่งการใช้งานกับรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซทดแทนอีซียูนำเข้า และความคืบหน้าอยู่ระหว่างทดสอบใช้งานในรถยนต์ โดยได้ติดตั้งระบบลงเครื่องยนต์เรียบร้อยแล้ว ระบบเอ็นจีวีในแท็กซี่ปัจจุบันได้นำเข้าจากยุโรป ซึ่งราคารวมค่าติดตั้งสูงถึง 62,000 บาท หากพัฒนาอีซียูขึ้นมาในประเทศจะช่วยทดแทนการนำเข้า และขณะนี้แม้ว่าจะสามารถพัฒนาอีซียูได้แล้ว แต่อุปกรณ์อื่นๆ ในระบบเอ็นจีวียังต้องนำเข้า ต่อไปหากการทดสอบอีซียูสำเร็จก็จะพัฒนาอุปกรณ์อื่นๆ ในระบบด้วย เพื่อทดแทนการนำเข้าทั้งระบบ ขณะนี้ อยู่ในช่วงต้นของการทดลองวิ่ง และการทดสอบในห้องปฏิบัติการทดสอบยานยนต์ของเนคเทค ซึ่งตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หลังจากนี้ จะส่งไปทดสอบที่ห้องปฏิบัติการทดสอบ ปตท.และกรมการขนส่งทางบก คาดว่า ภายในสิ้นปีนี้น่าจะผ่านการทดสอบทั้งหมด ด้าน นายถนัด เหลืองนฤทัย นักวิจัยในโครงการ กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบกกำหนดให้ทดสอบ 2 เรื่องคือ ประสิทธิภาพและสมรรถนะของเครื่องยนต์ โดยการติดตั้งระบบเอ็นจีวีต้องไม่ทำให้สมรรถนะของรถยนต์ลดลงเกินร้อยละ 20 และในการทดสอบจะดูตัวแปรต่างๆ ที่เกิดขึ้น คือ ความเร็ว กำลัง และแรงบิด และเรื่องที่ 2 คือ มลภาวะที่ปล่อยออกมา หลังจากพัฒนาอีซียูสำหรับแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติแล้ว การวิจัยในระยะต่อไปจะมุ่งถึงการนำไปใช้งานกับรถราชการ รถยนต์ดีเซล เช่น รถประจำทางของ ขสมก.และระบบเอ็นจีวีสำหรับใช้ในรถไฟ ตามลำดับ (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 21 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





อุปกรณ์ควบคุมเม้าส์ ช่วยคนมือสั่นคลิกแม่น

อุปกรณ์เครื่องแปลงสัญญาณเม้าส์แบบใหม่ที่ไอบีเอ็มคิดค้นนี้ เป็นกล่องอิเล็กทรอนิกส์ที่มีระบบลดการสั่นไหวจากอาการมือสั่น โดยใช้หลักการเดียวระบบควบคุมภาพสั่นไหวของกล้องถ่ายรูป โดยอุปกรณ์ตัวนี้สามารถทำงานได้กับคอมพิวเตอร์ที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการทุกระบบ จึงสามารถใช้งานได้ทั้งในบ้าน สำนักงาน ห้องสมุด หรือมหาวิทยาลัย ส่วนการใช้งานก็ไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่ม เพียงเสียบเข้าระหว่างคอมพิวเตอร์และเม้าส์ ก็สามารถเริ่มเปิดหรือปิดการใช้งานได้ และมีปุ่มปรับระดับความสั่น และสามารถตั้งค่าเพื่อลดการคลิกซ้ำโดยไม่ตั้งใจ อันเนื่องมาจากอาการนิ้วสั่นได้ ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกรายงานว่า ผู้พิการทั่วโลกมีมากกว่า 750 ล้านคน โดยไอบีเอ็มเห็นว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญ และยังสามารถนำเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนจำนวนมาก (คมชัดลึก จันทร์ที่ 21 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





เครื่องพาสเจอร์ไรซ์แบบขด นวัตกรรมใหม่ มทร.ขอนแก่น

ดร.ภานุวัฒน์ ทรัพย์ปรุง อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเทคโนโลยีอาหาร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยัราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น ได้คิดค้นเครื่องพาสเจอร์ไรซ์แบบขดประหยัดพลังงาน (Low Energy Pasturizer) ขึ้นมาช่วยแก้ปัญหาจุลินทรีตกค้างอยู่ในไวน์หรือน้ำผลไม้ ซึ่งเป็นผลมาจากการฆ่าเชื้อที่ไม่มาตรฐาน โดยทดลองใช้นำร่องกับกลุ่มแม่บ้านสตรีโนนทัน 1 อ.เมือง จ.ขอนแก่น ที่ผลิตไวน์เป็นสินค้า OTOP ปรากฏว่าเครื่องพาสเจอร์ไรซ์ฯ นี้ช่วยให้กลุ่มแม่บ้านสามารถผลิตไวน์ได้รวดเร็วขึ้น และได้มาตรฐาน จนได้รับรางวัลสินค้า OTOP ห้าดาว เครื่องพาสเจอร์ไรซ์ฯ นี้ มีส่วนประกอบสำคัญ คือ ถังน้ำร้อน ถังน้ำเย็น ส่วนให้ความร้อน ความเย็น ส่วนผลิตภัณฑ์ก่อนและหลังพาสเจอร์ไรซ์ และส่วนของชุดควบคุมซึ่งเป็นระบบวงจรไฟฟ้า สำหรับการทำงาน จะเริ่มจากกระบวนการทำน้ำให้น้ำเย็นจนมีอุณหภูมิคงที่ประมาณ 5-10 องศาเซลเซียสและสู่กระบวนการทำน้ำร้อน ให้ร้อนถึง 90-95 องศาเซลเซียส จากนั้นก็นำน้ำร้อน น้ำเย็นที่ได้มาเก็บในส่วนของถังน้ำร้อนและถังน้ำเย็น แล้วจึงเข้าสู่กระบวนการพาสเจอร์ไรซ์ โดยเริ่มเปิดสวิตซ์เพื่อให้น้ำร้อนไหลไปตามท่อน้ำเย็น จากนั้นก็สูบเอาไวน์ หรือน้ำผลไม้ ให้ไหลตามเข้ามาในท่อที่มีน้ำร้อนหุ้มอยู่ชั้นนอก ไวน์ หรือน้ำผลไม้ก็ได้รับความร้อนตามอุณหภูมิที่ได้กำหนด แล้วจึงผ่านการทำความเย็นอย่างรวดเร็ว เพื่อเป็นการน็อคเชื้อจุลินทรีย์ไม่ให้เจริญเติบโตได้อีก กระบวนการพาสเจอร์ไรซ์นี้ จะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ก็จะได้ไวน์ หรือน้ำผลไม้ครั้งหนึ่งประมาณ 50 ลิตร ที่สำคัญคือเครื่องพาสเจอร์ไรซ์ฯ นี้ยังป้องกันการสูญเสียพลังงานความร้อนไปโดยเปล่าประโยชน์ได้ด้วย เพราะจะมีฉนวนหุ้มท่อที่ให้ความร้อน เพื่อให้ความร้อนถ่ายเทไปที่ไวน์หรือน้ำผลไม้เท่านั้น โดยจะไม่สูญเสียออกด้านนอก ผู้สนใจเครื่องพาสเจอร์ไรซ์แบบขด ประหยัดพลังงาน สามารถติดต่อได้ที่ ดร.ภานุวัฒน์ ทรัพย์ปรุงมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น โทร.0-4323-5403, 0-986 1-7415 (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 21 มี.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ผลิตภัณฑ์แปรรูปข้าวกล้องผง

ผลิตภัณฑ์แปรรูปข้าวกล้องผง ผลิตจากข้าวกล้องหอมมะลิแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ ใช้ผสมชงกับเครื่องดื่มต่างๆ โดยการตักข้าวกล้องผงจำนวนช้อนตามต้องการ ผสมกับไมโล โอวัลติน โกโก้ ช็อกโกแลต กาแฟ นมผง ขิงผง มะตูมผง ลำไยผง ดอกคำฝอยผง อาจใส่น้ำตาล ครีมเทียม เติมน้ำร้อนใส่นมข้นหรือนมสดตามชอบ แล้วชงให้เข้ากันดื่มได้ทันที นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปผสมใส่ในน้ำเต้าหู้ นมถั่วเหลืองร้อนๆ ได้ ข้อแนะนำจากกลุ่มแม่บ้านเกษตรกร อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ สำหรับเด็กอ่อนเล็กให้นำข้าวกล้องผงเติมด้วยน้ำร้อนหรือน้ำต้มซุปร้อนๆ ผสมคนให้เข้ากัน นำไปผสมปนในอาหารต่างๆ เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ สนใจติดต่อกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านสันทรายก้อม เลขที่ 99 ม.2 ต.ขัวมุง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ โทร.0-5342-8779 (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 21 มี.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





"เครื่องผ่าและเหลาไม้ไผ่"

เครื่องจักสาน เป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากภูมิปัญญาชาวบ้าน ซึ่งสื่อให้เห็นถึงวิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่เรายังสามารถพบเห็นการทำเครื่องจักสานในหลายท้องถิ่น ทุกภูมิภาคของประเทศ และวัสดุสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการจักสานคือ ไม้ไผ่ ซึ่งต้องนำมาผ่านขั้นตอนการผ่า เหลา และแต่งให้เรียบร้อยก่อน โดยการผ่าและเหลาไม้ไผ่นี้ยังคงใช้แรงงานคน ทำให้ผู้ผ่าหรือเหลานั้นมักจะโดนบาดเป็นประจำ ด้วยปัญหาดังกล่าว ทำให้ นายภานุมาศ สุยบางดำ นักศึกษาจากสาขาเกษตรกลวิธาน แผนกวิชาเครื่องจักรกล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตภาคใต้ จังหวัดสงขลา คิดค้น "เครื่องผ่าและเหลาไม้ไผ่" ขึ้น โดยมี ผศ.พงษ์เทพ เกิดเนตร เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา โดยมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อลดการเสี่ยงจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากความคมของไม้ไผ่และมีด ผู้สนใจ "เครื่องผ่าและเหลาไม้ไผ่" ภูมิปัญญาเด็กไทย สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ สาขาเกษตรกลวิธาน แผนกวิชาเครื่องจักรกล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตภาคใต้ จังหวัดสงขลา หมายเลขโทรศัพท์ (074) 316-263 ต่อ 1951 (เทคโนโลยีชาวบ้าน 15 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th/techno)





เครื่องสาวไหม กึ่งอัตโนมัติ 4 กระบวนการในหนึ่งเดียว

เครื่องสาวไหมกึ่งอัตโนมัติ 4 ใน 1 เดียว สำหรับครัวเรือนการเกษตร จึงถูกพัฒนาขึ้น โดยฝีมือ ผศ.วิทยา ชื่นอุปการนันท์ และคณะ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล อีสาน ซึ่งทีมงานเปิดเผยว่า "เครื่องสาวไหมนี่จะมีความพิเศษอยู่ที่ มันสามารถทำงานตั้งแต่กระบวนการต้มรังไหมจนถึง สามารถกรอเส้นไหมได้ภายในตัวเดียว ซึ่งไม่ต้องแยกไปทำใหม่อีกต่างหาก โดยตัวเครื่องประกอบด้วยเครื่องต้มรังไหม 2 หม้อ คือ หม้อร้อนและหม้อเย็น เครื่องสาวไหมสามารถปรับให้เป็นร้อนและเย็นได้ เพื่อใช้ละลายกาวไหมเพื่อให้กาวไหมคลายตัว ส่วนของเครื่องสาวไหมจากอ่างสาว สุดท้ายคือเครื่องกรอไหม สำหรับเก็บไว้ใช้ต่อไป ซึ่งทั้ง 4 ส่วน จะอยู่ในเครื่องเดียว เครื่องนี้ใช้พลังงานไฟฟ้า ซึ่งทำหน้าที่ 2 ส่วน คือส่วนของการทำความร้อน ในการต้มน้ำของหม้อต้ม และส่วนที่ใช้ในการเดินเครื่องจักร ในการสาวไหมออกเป็นเส้นใย และกรอไหมทำเป็นเข็ด ส่วนความสามารถในการสาวไหมเมื่อเปรียบเทียบกับการสาวไหมของชาวบ้านทั่วๆ ไป อยู่ที่ 2 ขีด ต่อวันแล้ว เครื่องนี้สามารถสาวได้ถึง 1-2 กิโลกรัม ต่อวัน มีเครื่องช่วยเตือนให้เติมรังไหมเมื่อเส้นไหมเริ่มเหลือบางขึ้น ผู้สนใจ สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ ผศ.วิทยา ชื่นอุปการนันท์ หมายเลขโทรศัพท์ (09) 713-7277 ได้มีการนำเอาโปรแกรม WinWeave Thai version 1.5 ความสามารถของโปรแกรมนี้นั้น สามารถออกแบบลายทอในลักษณะของการยกตะกอได้สูงถึง 15 ตะกอ สามารถปรับเปลี่ยนชุดสีในการออกแบบและบันทึกชุดสีต่างๆ เก็บไว้ได้ สามารถพิมพ์ตัวอย่างผ้าทอ และตารางออกแบบทางเครื่องพิมพ์ได้ คำนวณเส้นด้ายที่ใช้ในการทอว่าต้องใช้ได้ในการทอจำนวนมากน้อยเท่าไหร่ และสามารถสร้างไฟล์ WIF (Weave Information File) เพื่อนำเข้าโปรแกรมออกแบบลายทอตัวอื่นๆ หรือใช้สั่งเครื่องทอที่รองรับระบบการยกตะกอด้วยคอมพิวเตอร์ได้ และยังสามารถนำผ้าที่ได้ออกแบบจากโปรแกรมไปใช้งานในลักษณะอื่นๆ ได้อีก เช่น นำไปใช้ในการสร้างภาพเสมือนจริงของผลิตภัณฑ์ในลักษณะต่างๆ หรือใช้ประกอบกับแบบร่างผลิตภัณฑ์เพื่อให้ลูกค้าเห็นภาพผลิตภัณฑ์ได้อย่างชัดเจนขึ้น สร้าง E-Catalog ฯลฯ โดย อาจารย์เผ่าภิญโญ ฉิมพะเนาว์ สาขาวิชาออกแบบสิ่งทอ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ล้านนา ผู้ที่ได้พัฒนาโปรแกรมว่า "ในลักษณะต่างๆ หรือใช้ประกอบกับแบบร่างผลิตภัณฑ์เพื่อให้ลูกค้าเห็นภาพผลิตภัณฑ์ได้อย่างชัดเจนขึ้น สร้าง E-Catalog ฯลฯ ผู้สนใจสามารถติดต่อไปได้ที่ อาจารย์เผ่าภิญโญ ฉิมพะเนาว์ หมายเลขโทรศัพท์ (053) 414-250-2 (เทคโนโลยีชาวบ้าน 15 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th/techno)





เครื่องรีดยางพาราชนิดให้ความร้อนด้วยก๊าซหุงต้ม

เครื่องรีดยางพาราชนิดให้ความร้อนโดยใช้ก๊าซหุงต้ม ผลงานของ สิรวิชญ์ อินวงศ์ และ สุทธิศักดิ์ วิจิตรสมบัติ นักศึกษาจากภาควิชาเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวและแปรสภาพ คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี โดยมี อาจารย์มโน สุวรรณคำ เป็นที่ปรึกษา เป็นอีกสิ่งประดิษฐ์หนึ่งจากมันสมองของเด็กไทย ซึ่งในปัจจุบันนี้กระบวนการผลิตยางแผ่นจะมี 2 ขั้นตอน คือการรีดยาง และการตากแห้งหรือรมควัน ซึ่งในขั้นตอนการรีดยางนั้นได้มีการพัฒนาเครื่องรีดโดยใช้แหล่งความร้อนจากหลอดรังสีอินฟาเรดที่บรรจุอยู่ภายในลูกรีดช่วยลดความชื้นแผ่นยางพาราไปพร้อมๆ กัน การใช้แหล่งความร้อนจากไฟฟ้าก็ยังประสบปัญหา เจ้าของผลงานบอกว่า "โดยจุดมุ่งหมายหลักของเราคือ การแก้ปัญหาที่เกิดจากการรีดแผ่นยางแบบเดิมที่ใช้แหล่งความร้อนจากระบบไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายเทความร้อนที่ไม่สม่ำเสมอของผิวลูกรีด ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานและต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้น เราจึงได้ศึกษาและพัฒนาระบบการให้ความร้อนของต้นแบบเครื่องรีดยางพาราชนิดให้ความร้อน โดยใช้ก๊าซหุงต้ม (LPG) เป็นแหล่งความร้อนแทนพลังงานจากไฟฟ้า ผู้ใดสนใจสามารถติดต่อสอบถามไปได้ที่ คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี หมายเลขโทรศัพท์ (02) 549-3300 (เทคโนโลยีชาวบ้าน 15 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th/techno)





นำเศษถุงปุ๋ยเพิ่มค่าเป็นสายรัดกล่องสินค้า

ผศ.ชวลิต แสงสวัสดิ์ และ อาจารย์วีรศักดิ์ หมู่เจริญ อาจารย์ประจำภาควิชาวัสดุและโลหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ทำการวิจัยเรื่อง "การพัฒนาสูตรคอมเปานด์สำหรับงานอัดรีดจากเศษพลาสติกพอลิพรอพิลีน" โดยนำเศษวัสดุที่เหลือจากการผลิตถุงปุ๋ยในอุตสาหกรรมสิ่งทอมาหลอมตัดเม็ดใหม่ เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสายรัดกล่องสินค้า ซึ่งพบว่าคุณสมบัติของเม็ดพลาสติกที่หลอมใหม่นั้น มีความใกล้เคียงกับวัสดุที่นำมาทำสายรัดกล่องสินค้าพอลิพรอพิลีนมาตรฐาน ที่ใช้กันอยู่ทั่วไปทั้งในและต่างประเทศ ผศ.ชวลิต แสงสวัสดิ์ หัวหน้าโครงการวิจัยฯ ดังกล่าว เปิดเผยว่า "งานวิจัยนี้เป็นการบูรณาการองค์ความรู้ในด้านวิศวกรรมวัสดุและโลหการ คือความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเม็ดพลาสติกพอลิพรอพิลีนที่ใช้ในอุตสาหกรรมพลาสติกเข้ากับเม็ดพลาสติกที่นำมาทอทำถุงปุ๋ยของวิศวกรรมสิ่งทอ ซึ่งมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับเม็ดพลาสติกพอลิพรอพิลีนที่นำมาทำสายรัดกล่องสินค้า ซึ่งในการทำการวิจัยนั้น เริ่มต้นจากการทดสอบชนิดและคุณสมบัติของวัสดุที่ใช้ผลิตสายรัดกล่องสินค้าก่อน แล้วจึงมาศึกษาเรื่องการนำเศษพลาสติกมาใช้ใหม่ โดยเลือกชนิดของพอลิพรอพิลีนเกรดที่นำมาใช้ผลิตถุงปุ๋ย แล้วจึงนำมาเข้ากระบวนการหลอมตัดเม็ดซ้ำ เพื่อนำมาผลิตสายรัดกล่องสินค้า และจากการทดสอบสายรัดกล่องสินค้าที่ผลิตได้ โดยทดสอบด้านการทนต่อแรงดึง การยืดตัว ความแข็ง และการต้านทานต่อการขีดข่วน ปรากฏว่ามีคุณสมบัติเป็นที่น่าพอใจ ใกล้เคียงกับสายรัดกล่องสินค้าจากต่างประเทศ และใน ผู้ใดสนใจการวิจัยดังกล่าว สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ภาควิชาวัสดุและโลหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี หมายเลขโทรศัพท์ (02) 549-3491-92 ในวันและเวลาราชการ (เทคโนโลยีชาวบ้าน 15 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th/techno)





พลิกความเชื่อสารอาหารอบทอด ไม่ได้เป็นตัวการก่อมะเร็งเต้านม

วารสารสมาคมแพทย์อเมริกัน มีรายงานการศึกษาเกี่ยวกับสารอครีลามายด์ ซึ่งค้นพบครั้งแรกเมื่อ 3 ปีก่อน โดยองค์การอนามัยโลก รายงานว่า จากการทดลองในห้องปฏิบัติการทดลอง พบว่า สารอครีลามายด์ เป็นสารก่อมะเร็ง ที่เป็นผลมาจากการทำปฏิกิริยาระหว่างกรดอะมิโน และน้ำตาล ซึ่งพบในอาหารที่ผ่านการปรุงด้วยความร้อนสูง จากการศึกษาในผู้หญิงจำนวน 43,000 คน เกี่ยวกับนิสัยใน การรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีส่วนประกอบของสารอครีลามายด์ พบว่า ความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งไม่มีความแตกต่างกันในหมู่ผู้หญิง ที่กินอาหารที่มีสารอครีลามายด์ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม ซึ่งปริมาณการบริโภคสารเคมีดังกล่าวของอาสาสมัครโดยเฉลี่ยอยู่ที่วันละ 25.9 ไมโครกรัม นักวิจัยศึกษาพบว่าสารอครีลามายด์ มีมากในกาแฟ 54 เปอร์เซ็นต์ มันฝรั่งทอด 12 เปอร์เซ็นต์ และขนมปังกรอบ 9 เปอร์เซ็นต์ ทีมนักวิจัยบอกว่า จากการศึกษาพบว่า สารอครีลามายด์ในอาหารไม่มีผลกระทบต่อการเกิดมะเร็งเต้านมในคน อย่างไรก็ตาม คงต้องมีการศึกษาต่อยอดต่อไปเพื่อยืนยันผลวิจัยให้แน่ชัด นักวิจัยแนะนำว่า วิธีที่ดีที่สุดเพื่อลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง ก็คือการเลือกรับประทานอาหารอย่างเหมาะสม คือการรักษาสมดุลระหว่างการรับประทานอาหารไขมันและเนื้อแดงให้น้อยลง และเพิ่มการบริโภคผัก ผลไม้ และอาหารที่มีเส้นใยให้มากขึ้น. (ไทยรัฐ อังคารที่ 22 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ความอ้วนเป็นเพื่อนตายเบาหวาน ยิ่งอ้วนมากยิ่งใกล้โรคถึง 80 เท่า

รายงานผลการศึกษาเรื่องใหม่ ผู้ที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนอ้วนอาจจะทำให้เกิดรู้สึกผวากันยิ่งขึ้น เมื่อปรากฏว่าพวกเขาอาจต้องล่อแหลมกับการเป็นโรคเบาหวานแบบที่ 2 ยิ่งกว่าเพื่อนที่มีน้ำหนักปกติกว่ากันถึง 80 เท่ารายงานการศึกษาขององค์การป้องกันโรคเบาหวาน อันเป็นองค์การการกุศลของอังกฤษ กล่าวในรายงานเรื่อง "ความอ้วนกับโรคเบาหวาน" แสดงให้เห็นถึงความอ้วนเกี่ยวพัน กับโรคเบาหวานอย่างใกล้ชิด และยิ่งอ้วนขึ้นมากเท่าใด ก็ยิ่งล่อแหลมกับโรค อย่างแบบก้าวกระโดดมากขึ้นเท่านั้น รายงานระบุว่า โดยการใช้ดัชนีมวลรวมร่างกาย อันเป็นสูตรคำนวณความอ้วน ใช้น้ำหนักที่คิดเป็น กก. หารด้วยส่วนสูงคิดเป็นเมตร ยกกำลังสอง เป็นมาตรฐาน ผู้ที่ได้ผลลัพธ์เกิน 30 ขึ้นไปจะเสี่ยงกับการเป็นโรคเบาหวานยิ่งกว่าผู้มีน้ำหนักปกติ 10 เท่า และยิ่งหากว่าได้ผลลัพธ์เกิน 35 ขึ้นไป ก็จะยิ่งน่าหวาดหวั่นมากว่าล่อแหลมเกินหน้าผู้ที่ได้ผลลัพธ์ไม่เกิน 22 กว่ากันถึง 80 เท่า. (ไทยรัฐ อังคารที่ 22 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





เครื่องพิมพ์วัตถุ 3 มิติ สำเนาอะไหล่เครื่องใช้อัตโนมัติ

นักวิจัยอังกฤษพัฒนาเครื่องพิมพ์ 3 มิติที่สามารถทำสำเนาตัวเองได้ หรือที่เรียกว่า เรพแรพ (RepRap) ที่อยู่ระหว่างการพัฒนานั้น จะช่วยลดต้นทุนการผลิตเครื่องพิมพ์ 3 มิติ แถมยังสามารถผลิตชิ้นส่วน ที่แตกหักของเครื่องใช้ภายในบ้าน ให้กลายเป็นอะไหล่ใหม่ได้โดยง่าย เอเดรีย โบว์เยอร์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบาธ ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า เครื่องพิมพ์วัตถุ 3 มิติหรือที่เรียกกันว่า "เครื่องผลิตต้นแบบอย่างรวดเร็ว" (rapid prototyping) สามารถเปลี่ยนพิมพ์เขียวในคอมพิวเตอร์ ให้กลายเป็นวัตถุของจริงได้ตามต้องการ ด้วยการสร้างชั้นวัสดุทีละชั้น และหลอมติดด้วยเลเซอร์หรือกาว ได้รับการพัฒนาขึ้นครั้งแรกเมื่อกลางทศวรรษ 1990 และในปัจจุบันราคายังสูงอยู่มาก โดยราคาผลิตต่อชิ้นประมาณ 25,000 ดอลลาร์ หรือ 1 ล้านบาท อีกทั้งยังไม่สามารถพิมพ์อะไหล่เครื่องใช้ภายในบ้าน เพราะนิยมนำไปใช้ในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนของอุปกรณ์ต่างๆ อาทิ เครื่องยนต์ของเครื่องบิน ยานอวกาศ และเครื่องช่วยคนหูตึง ด้วยเหตุนี้ นักวิจัยจึงเห็นช่องทางด้วยการพัฒนาเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ที่สามารถสำเนาตัวเองขึ้นมาได้ รวมถึงสิ่งของที่เครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน โดยราคาน่าจะลดเหลือเพียง 500 ดอลลาร์ หรือราว 20,000 บาท ภายใต้เงื่อนไขที่เครื่องพิมพ์ 3 มิติทุกเครื่อง สามารสร้างตัวเองขึ้นมาอีกนับร้อยเครื่องหรือกว่านั้น เพราะไม่ต้องเสียต้นทุนอะไรเลย นอกจากวัตถุดิบเท่านั้น ทั้งนี้ เครื่องพิมพ์รุ่นใหม่จะมีขีดความสามารถเพิ่มขึ้น ด้วยซอฟต์แวร์ที่จะช่วยให้กระบวนการจำลองตัวเองของเครื่องพิมพ์เป็นไปได้ง่ายขึ้น ซึ่งโบว์เยอร์มีแผนนำกระบวนการสร้างเครื่องพิมพ์ดังกล่าวเผยแพร่ผ่านทางออนไลน์ เพื่อให้ชุมชนคนเน็ตช่วยกันพัฒนาและปรับปรุงให้ดีขึ้น เหมือนอย่างที่ระบบปฏิบัติการลินิกซ์เคยประสบความสำเร็จมาแล้ว (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 22 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





มหิดลเดินหน้าทดลองวัคซีนไข้เลือดออก จับมือ สธ.หาอาสาสมัครราชบุรี 2500 คนให้ครบก่อน 4 ปี

นายแพทย์สุธี ยกส้าน ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาวัคซีนไข้เลือดออก โครงการวิจัยและพัฒนาวัคซีน มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า นักวิจัยไทยพัฒนาวัคซีนไข้เลือดออกสูตรรวมเข็มเดียวคุมได้ 4 สายพันธุ์หรือสูตรค็อกเทล มีความคืบหน้าระดับแถวหน้าของโลก คาดว่า 3-4 ปีข้างหน้าจะสามารถทดลองวัคซีนระยะ 3 ในคน โดยประสานกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้รับผิดชอบการเตรียมความพร้อมของชุมชน โดยการวิจัยและพัฒนาครั้งนี้ ถือเป็นความสำเร็จอันเนื่องมาจากนโยบายวิจัยบูรณาการของรัฐบาล ผลการทดลองในคนระยะที่ 3 ให้กรมควบคุมโรคเตรียมชุมชนไว้ที่จังหวัดราชบุรีประมาณ 2,500 คน ระหว่างปี 2548-2550 สำหรับไวรัสไข้เลือดออกที่ระบาดในประเทศไทยมี 4 สายพันธุ์ ที่ผ่านมาพบว่า สายพันธุ์ที่ 1-3 ระบาดรวมกันร้อยละ 95 ขณะที่สายพันธุ์ที่ 4 มีการระบาดร้อยละ 5 ผู้ที่รับเชื้อไวรัสไข้เลือดออกสายพันธุ์ใด จะมีภูมิต้านทานโรคในสายพันธุ์นั้นๆ หากได้รับเชื้อไวรัสสายพันธุ์อื่นๆ เพิ่มเติมจะทำให้ป่วยเป็นไข้เลือดออกได้อีก แต่ละปีจะพบคนป่วยไข้เลือดออก 50,000-100,000 คน โครงการนี้ถือเป็นโครงการที่ใกล้เคียงความจริงที่สุด และเป็นความหวังของโลก หากสำเร็จไทยจะได้ใช้วัคซีนป้องกันไข้เลือดออกเป็นแห่งแรกในโลก นอกจากนี้กรมร่วมกับบริษัทผู้ผลิตหลายแห่งทำชุดทดสอบไข้เลือดออกเบื้องต้น และทดลองใช้ในจังหวัดที่มีการระบาดของโรคสูง ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที จะทราบว่าเป็นไข้เลือดออกหรือไม่ จากเดิมที่ต้องมีการเจาะเลือดไปตรวจที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่ต้องใช้เวลารอผลการตรวจสอบประมาณ 2-3 วัน จึงถือว่าเป็นการส่งไปตรวจสอบเพื่อยืนยันผลการวินิจฉัยเท่านั้น ซึ่งหากผลการทดลองใช้ชุดทดสอบเบื้องต้นได้ผล จะตั้งงบประมาณเพื่อซื้อชุดทดสอบสำหรับใช้ทั่วประเทศ (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 22 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ทีมวิจัยเชียงใหม่พัฒนาวิธีทดสอบ ยาสมุนไพรต้านโรคกระดูกเสื่อม

ผศ.ดร.ศิริวรรณ องค์ไชย อาจารย์ประจำภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หัวหน้าโครงการวิจัยการพัฒนาวิธีการทดสอบในเบื้องต้น เพื่อค้นหาและพิสูจน์ฤทธิ์ของยาต้านการเสื่อมสลายของกระดูกอ่อน เปิดเผยว่า ทีมงานประสบความสำเร็จในการพัฒนาวิธีการพิสูจน์ฤทธิ์ของยา สารเคมี และสมุนไพร ที่มีฤทธิ์ลดการเสื่อมสลายของกระดูกอ่อน หรือป้องกันการเสื่อมสลายของกระดูกอ่อน ให้ง่ายและรวดเร็วขึ้น โดยใช้วิธีตรวจวัดปริมาณสารบ่งชี้ได้พัฒนาขึ้นในห้องปฏิบัติการวิจัย สำหรับเทคนิคที่พัฒนาเรียกว่า Cartilage explant culture โดยนำกระดูกอ่อนของหมู มาเลี้ยงในอาหารเลี้ยงเชื้อ พร้อมกับสารกระตุ้นที่ทำให้เกิดการเสื่อมสลายของกระดูดอ่อนและยา สารเคมีหรือสมุนไพรที่ต้องการทดสอบ จากนั้นวัดปริมาณของสารชีวโมเลกุลที่ปลดปล่อยออกมาในอาหารเลี้ยงเชื้อ พร้อมกับหาปริมาณสารชีวโมเลกุลที่หลงเหลือในกระดูกอ่อน ทำให้ทราบว่าสารที่ทดสอบนั้นมีฤทธิ์ยับยั้งการเสื่อมสลายของกระดูกอ่อนหรือไม่ โดยความสำเร็จของโครงการวิจัย สร้างประโยชน์ต่อวงการยาและสมุนไพร เนื่องจากสมุนไพรไทยมีการใช้ต่อๆกันมา โดยขาดหลักฐานยืนยันด้านวิทยาศาสตร์ จึงไม่สามารถนำไปจดสิทธิบัตร หรือประยุกต์ใช้ได้อย่างแท้จริง และปัจจุบันทีมงานอยู่ระหว่างจดสิทธิบัตรเทคนิค และยังได้รับความสนใจจากบริษัทยาต่างประเทศด้วย (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 22 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ผู้ดีคิดค้นบ้านถุงสำเร็จรูป เปิดถุงเติมน้ำ-ลมเข้าพักได้ทันที

สองวิศวกรชาวอังกฤษพัฒนาเต็นท์บรรจุใส่ถุงยังชีพ หวังช่วยผู้ลี้ภัยและผู้ประสบภัยที่ไร้ที่อยู่อาศัย ชูคุณสมบัติขนส่งง่าย และมีความทนทานกว่าเต็นท์ผ้าใบทั่วไป แถมยังสร้างได้ง่ายเพียงลำพัง บ้านถุงสำเร็จรูปดังกล่าว เป็นถุงที่บรรจุโครงบ้านที่มีลักษณะทรงกระบอกมาพร้อมกับซีเมนต์พร้อมใช้ ซึ่งหากต้องการใช้งานก็แค่ใส่น้ำลงไปในถุง และใช้เท้าปั๊มอากาศเข้าไป ทิ้งไว้ 12 ชั่วโมง เต็นท์คอนกรีตก็จะแห้งพร้อมเข้าอยู่ทันที เหมาะที่จะเป็นที่พักฉุกเฉิน สำหรับบรรทุกขึ้นเครื่องบินแล้วไปหย่อนลงยังพื้นที่ห่างไกลได้ง่าย ที่สำคัญมีความทนทานอย่างมาก เจ้าของสิ่งประดิษฐ์ที่ได้รับรางวัลที่สองในการแข่งขันของสมาคมคอนกรีตประจำปี 2547 ได้แก่ วิลเลียม ครอว์ฟอร์ด และปีเตอร์ บรีวิน วิศวกรระดับปริญญาโท คณะวิศวกรรมออกแบบอุตสากรรม วิทยาลัยศิลปะแห่งชาติ ในกรุงลอนดอน ทั้งสองบอกว่า จุดเริ่มต้นของชิ้นงานนี้เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาได้ยินเรื่องโครงสร้างที่พองตัวได้ สำหรับใช้วางรอบๆ ท่อส่งแก๊สที่ชำรุด เต็นท์คอนกรีตสำเร็จรูปนี้ บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกปิดผนึก ที่ควบคุมอัตราส่วนของน้ำและซีเมนต์ให้พร้อมสรรพ วิธีใช้ก็เพียงแค่เติมน้ำใส่เข้าไปตามที่ระบุไว้ข้างถุงเท่านั้น สำหรับน้ำหนักของตัวบ้านถุงใบนี้หนัก 230 กิโลกรัม และสามารถพองตัวเป็นที่พักขนาด 16 ตารางเมตรได้ ราคาประมาณ 2,100 ดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยได้ราว 84,000 บาท (คมชัดลึก อังคารที่ 22 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





"เกือกกะลานวดฝ่าเท้า"ผลิตภัณฑ์ใหม่ ฝีมือคนสะเดา

นางบุญธรรม มะโนเพ็ชร วัย 40 ปีเศษ อยู่บ้านเลขที่ 100 (ข้างวัดเขารูปช้าง) หมู่ 6 ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา เป็นอีกผู้หนึ่งที่คร่ำหวอดอยู่กับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ทำจากกะลามะพร้าวมาอย่างยาวนาน ล่าสุด พบว่าเธอได้คิดค้นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ขึ้นมาเพื่อเจาะกลุ่มตลาดสำหรับ ผู้รักสุขภาพ โดยการนำกะลามะพร้าวมาทำเป็นรองเท้านวดฝ่าเท้า ซึ่งเธอระบุว่า เธอเป็นคนแรกที่คิดค้นรองเท้ากะลานวดฝ่าเท้าเพื่อสุขภาพนี้ขึ้นมา และตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างการขอจดลิขสิทธิ์ บุญธรรม เจ้าของผลิตภัณฑ์ บอกว่า กะลามะพร้าวเป็นวัตถุดิบที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ทำขึ้นจากกะลามะพร้าว ออกวางจำหน่ายมากมายทั้งในและต่างประเทศ ล่าสุด ได้คิดและทำ เกือก หรือ รองเท้ากะลานวดฝ่าเท้า เพื่อต้องการสร้างสรรค์ผลงานที่แปลกใหม่และแตกต่างจากผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกทั้งเป็นการตอบสนองกลุ่มผู้บริโภค จะได้มีทางเลือกใหม่ๆ ในการเลือกซื้อ เลือกอุดหนุนผลิตภัณฑ์ที่ทำจากกะลามะพร้าว สำหรับรองเท้านวดฝ่าเท้านี้ มีจุดเด่นที่เป็นส่วนของกะลามะพร้าวคือ เม็ดกลมๆ ที่ถูกนำมาขัดเกลาจนได้ขนาด ที่สำคัญต้องเป็นกะลาที่มีความหนาพอสมควร จากนั้นนำมาเจาะรู ร้อยเรียงด้วยเชือกเอ็นใสอย่างดี เพื่อทำเป็นพื้นรองฝ่าเท้า ส่วนราคาจำหน่ายต่อคู่ในขณะนี้ จำหน่ายคู่ละ 250 บาท แต่หากขายส่งราคาคู่ละ 180 บาท ผู้ใดสนใจที่จะเรียนรู้วิธีการทำหรือต้องการรายละเอียด เธอไม่หวง สามารถติดต่อได้ทุกเวลาตามที่อยู่ข้างต้น (คมชัดลึก อังคารที่ 22 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





"รัตนิน"แก้สายตายาว ใช้คลื่นวิทยุแทนผ่าตัด

วันที่ 21 มีนาคม ที่ รพ.จักษุ รัตนิน เปิดศูนย์รักษาสายตายาวรัตนิน-กิมเบิล โดยให้บริการรักษาสายตายาวด้วยคลื่นวิทยุ(Conductive Keratoplasty : ck) พญ.ภัทรมน บรรณประดิษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ กล่าวว่า เทคนิค ck สามารถทำการรักษาได้ทั้งผู้ที่สายตายาวตั้งแต่กำเนิด และผู้ที่มีอาการทางสายตายาวตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป โดยอาศัยคลื่นวิทยุผ่านทางเข็ม จี้ลงไปยังขอบกระจกตาเพื่อไปปรับความโค้งและการหักเหของแสงของกระจกตา พญ.ภัทรมนกล่าว วิธีนี้จะช่วยให้คนไข้ลดการพึ่งพาแว่นสายตาและสามารถมองขนาดของตัวอักษร เช่น ขนาดตัวอักษรที่ติดไว้ที่ฉลากยา หรือตัวอักษรในหนังสือพิมพ์ และวิธีนี้มีผลข้างเคียงน้อยกว่าการผ่าตัดเพียงแค่หยอดยาชาแล้วทำการจี้ด้วยคลื่นวิทยุแล้วภายหลังการรักษาก็สามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ สำหรับบุคคลที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ที่จะทำการรักษาต้องมีสายตาคงที่หรือเปลี่ยนแปลงไม่เกิน 50(0.5D) มาประมาณ 1 ปี และมีสายตายาวในระดับไม่เกิน 225 เอียงไม่เกิน 75 สำหรับค่ารักษาสายตายาวด้วยคลื่นวิทยุ ck อยู่ที่ 30,000-40,000 บาท (มติชนรายวัน อังคารที่ 22 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





เด็กอีสานไอเดียกระฉูด! ประเทศไทยประดิษฐ์เครื่องชาร์จแบตเตอรี่จากแสงอาทิตย์

อาจารย์ศักดิ์ระวี ระวีกุล นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น และ พรร ศักดิ์ จำปาสา, มงคล แก้วบุตดา และ ศักดา ภูบานเช้า นักศึกษาในสถาบันการศึกษาดังกล่าวได้ คิดเครื่องชาร์จแบตเตอรี่จากแสงแดดราคาถูก สำหรับหากบ หาเขียด และยังชาร์จมือถือได้ทีละหลาย ๆ เครื่องพร้อมกัน ไม่เสียเงินค่าไฟ ที่สำคัญใช้เวลาในการชาร์จน้อยกว่าใช้ไฟบ้าน โดยใช้เวลาในการชาร์จเพียงชั่วโมงกว่า ๆ ก็เต็มแล้ว เคลื่อนย้ายสะดวกใช้งานง่ายแม้ที่มีแสงน้อยก็สามารถใช้ได้เป็นอย่างดี โดยประดิษฐ์ขึ้นจากวัสดุอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่หาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป มุ่งเน้นให้มีราคาที่ถูก อายุการใช้งานยาวนาน คงทน ไม่มีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตลอดอายุการใช้งาน นับว่าเป็นผลงานวิจัย เพื่อเพิ่มโอกาสและเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน ให้อยู่ดีมีชีวิตสมบูรณ์โดยคำนึงถึงการประยุกต์ความรู้ ความคิดใหม่ ๆ ให้ผสมผสานกับภูมิปัญญาอีสาน เพื่ออำนวยให้สามารถเผชิญสภาวะวิกฤติและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีความเป็นอยู่ทางด้านวัตถุและจิตใจดียิ่งขึ้นด้วยความสมดุลและยั่งยืนโดยแท้ สนใจติดต่อ มหา วิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตขอน แก่น โทร. 0-9416-3433. (เดลินิวส์ พุธที่ 23 มี.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ไทยวิจัยอุปกรณ์ปล่อยก๊าซ ติดตั้งในแท็กซี่ ช่วยประหยัดค่าเอ็นจีวี

ดร.สุธี ผู้เจริญชนะชัย หัวหน้าทีมวิจัยโครงการอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เปิดเผยว่า เนคเทคร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์ (อีซียู) สำหรับควบคุมปริมาณการปล่อยก๊าซในรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงเอ็นจีวีหรือก๊าซธรรมชาติ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ระบบดังกล่าวต้องนำเข้าจากยุโรปในราคาสูงถึง 62,000 บาท แต่หากไทยสามารถพัฒนาขึ้นเองจะช่วยทดแทนการนำเข้า อีซียูฝีมือนักวิจัยไทยนี้ได้ติดตั้งในรถยนต์เรียบร้อยแล้ว เพื่อทดสอบประสิทธิภาพและดูว่าระบบส่งผลต่อสมรรถนะเครื่องยนต์หรือไม่ โดยในช่วงแรกได้ดำเนินการทดสอบในห้องปฏิบัติการทดสอบยานยนต์ของเนคเทค ซึ่งตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หลังจากนั้นจะส่งไปทดสอบที่ห้องปฏิบัติการทดสอบ ปตท.และกรมการขนส่งทางบก คาดว่า ภายในสิ้นปีนี้น่าจะผ่านการทดสอบทั้งหมด หากการทดสอบอีซียูสำเร็จ ก็จะพัฒนาอุปกรณ์อื่นๆ ในระบบด้วย เพื่อทดแทนการนำเข้าทั้งระบบ ขณะเดียวกัน จะขยายผลการวิจัยโดยนำระบบอีซียูไปใช้งานกับรถราชการ รถยนต์ดีเซล เช่น รถประจำทางของ ขสมก.และระบบเอ็นจีวีสำหรับใช้ในรถไฟ ตามลำดับ ด้าน นายถนัด เหลืองนฤทัย นักวิจัยในโครงการ กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบกกำหนดให้ทดสอบ 2 เรื่องคือ ประสิทธิภาพและสมรรถนะของเครื่องยนต์ โดยการติดตั้งระบบเอ็นจีวีต้องไม่ทำให้สมรรถนะของรถยนต์ลดลงเกินร้อยละ 20 และในการทดสอบจะดูตัวแปรต่างๆ ที่เกิดขึ้น คือ ความเร็ว กำลัง และแรงบิด และเรื่องที่ 2 คือ มลภาวะที่ปล่อยออกมา เมื่อใช้ก๊าซธรรมชาติกำลังรถจะตกลงเล็กน้อย ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะในก๊าซธรรมชาติออกเทนจะต่ำกว่าน้ำมัน แต่ข้อดีก๊าซธรรมชาติอยู่ที่ราคา ซึ่งขณะนี้ประมาณ 7.9 บาทต่อกิโลกรัมต่ำกว่าน้ำมันเกือบ 3 เท่า อีกทั้งการใช้ก๊าซธรรมชาติจะประหยัดกว่าน้ำมันคิดเป็นกิโลเมตรละบาท ซึ่งอาจจะไม่คุ้มทุนสำหรับผู้ใช้รถทั่วไป แต่จะช่วยแท็กซี่ประหยัดได้ถึง 400 บาทในแต่ละวัน (คมชัดลึก พุธที่ 23 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ชุดไฮโดรโปนิกส์ ไอเดียเด็กช่าง

กระบวนวิธีการปลูกพืชด้วยระบบไฮโดรโปนิกส์ คือการปลูกพืชที่ได้รับการพัฒนาขึ้นให้สามารถปลูกพืชได้โดยไม่ใช้ดิน แต่เป็นการใช้สารละลายที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตเท่านั้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีสถานที่จำกัดหรือสามารถปลูกได้บนตึกสูงที่ไม่มีพื้นที่มากนัก สะดวกสบายไม่ต้องคอยถอนหญ้าซึ่งเป็นศัตรูพืช ผัก ที่คอยมาแย่งสารอาหาร นอกจากนั้นการปลูกพืชด้วยระบบไฮโดรโปนิกส์ยังสามารถควบคุมแมลงศัตรูพืช ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีกำจัดและพืชผักที่ได้ก็เป็นผักปลอดสารพิษ นักศึกษาจากภาควิชาวิศวกรรมดินและน้ำคณะวิศวกรรและเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี นายกิตติเทพ น้อยวัย และ นายชาญชัย เย็นสุขศิริ ได้พัฒนารูปแบบการปลูกพืชด้วยระบบไฮโดรโปนิกส์ ให้ผู้ปลูกได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น โดยได้สร้างชุดไฮโดรโปนิกส์ที่ควบคุมด้วยระบบอัตโนมัติขึ้น ความพิเศษของเครื่องนี้เมื่อติดตั้งเครื่องปลูกแล้วเครื่องสามารถควบคุมการจ่ายธาตุอาหารให้ได้ในปริมาณที่พอเหมาะ โดยเราไม่ต้องคอยกังวลว่า พืชจะได้รับสารอาหารน้อยไปหรือมากเกินไปหรือไม่ และเมื่อสารอาหารที่อยู่ในน้ำกำลังจะหมด เครื่องก็จะมีระบบเตือนให้ผู้ปลูกเติมธาตุอาหารได้ทันต่อความต้องการของพืชหรือเมื่อเราเติมสารละลายถึงระดับที่ต้องการแล้วเครื่องก็จะมีสัญญาณไฟเตือนเพื่อป้องกันน้ำล้น เครื่องปลูกพืชไฮโรโปนิกส์อัตโนมัตินี้สามารถติดตั้งใช้กับไฟบ้านได้ ส่วนค่าไฟฟ้าที่ใช้เฉลี่ยต่อเดือนตกประมาณเดือนละ 40 บาท นอกจากนั้น เมื่อเกิดไฟฟ้ารั่ว ไฟเกินระบบจะตัดเพื่อป้องกันปั๊มเสียหาย โดยชุดปลูกพืชไฮโดโปนิกส์แต่ละชุดสามารถปรับจำนวนต้นพืชที่ปลูกได้ตามความต้องการตั้งแต่ 10-80 กระถาง การจากทดสอบปลูกพืชเห็นว่าการปลูกพืชไฮโดรโปนิกส์ แบบทั่วๆ ไป เราจะเห็นปลูกพวกผักสลัด ซึ่งบางที่อาจจะไม่เหมาะกับรสนิยมคนไทย ดังนั้น จึงได้ทดลองผลปลูกพืชชนิดอื่น คือ แตงกวา ซึ่งผลปรากฏว่าสามารถเจริญเติบโตมีผลดก โดยผู้ปลูกเพียงแค่เพาะเมล็ดและคอยเติมสารละลายเมื่อมีเสียงเตือน โดยเฉลี่ยสัปดาห์ละ 1 ครั้งก็สามารถมีผักที่ปลูกเองและปลอดภัยจากสารพิษไว้บริโภค สำหรับผู้สนใจไอเดียดีๆ สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ภาควิชาวิศวกรรมดินและน้ำ คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยีการเกษตรมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัยบุรี คลองหก อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี โทร.02-549-3370 (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 23 มี.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





เด็กวัดสุทธิฯ เจ๋งสุดๆ สั่งมือถือรดน้ำต้นไม้-ให้อาหารปลา

ไอเดียของนักเรียนโรงเรียนวัดสุทธิวราราม ที่นำเอาเทคโนโลยีใกล้ตัวอย่างโทรศัพท์มือถือ มาดัดแปลงใช้ควบคุม “การให้อาหารปลา และรดน้ำต้นไม้” เพื่ออำนวยความสะดวกยามที่ไม่มีใครอยู่บ้าน ...แค่สั่งการผ่านโทรศัพท์มือถือ โปรแกรมที่ตั้งไว้ก็จะทำงานโดยอัตโนมัติ ผลงานนี้คิดค้นโดย “ภัคชนม์ หุ่นสุวรรณ์” และ “วรสิทธิ์ เตชะวีระพงศ์” นักเรียนชั้น ม.6 โดยมีอาจารย์พัชรี เนตรน้อย เป็นที่ปรึกษา ผลงานนี้ไม่ธรรมดาตรงที่มีรางวัลชนะเลิศ จากการแข่งขันประกวดโครงงานคอมพิวเตอร์ ระดับ ม.ปลาย ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เครื่องรดน้ำต้นไม้และให้อาหารปลาอัตโนมัติ นี้สร้างขึ้นด้วยอุปกรณ์เพียงไม่กี่ชิ้น ประกอบด้วย “ฮาร์ดแวร์” สำหรับติดตั้งโปรแกรม ซึ่งหาซื้อได้จากร้านแถวบ้านหม้อ และ “ซอฟท์แวร์” เขียนจากโปรแกรม Visual Basic 6.0 ที่ขาดไม่ได้คือ “โทรศัพท์มือถือ” เครื่องเก่าแต่ยังใช้งานได้ ท่อพีวีซี โซลินอยวาล์วปิด-เปิดน้ำ มอเตอร์เกียร์ตัวเล็ก สายไฟ แท่นไม้ และกรวยเก็บอาหาร หลักการทำงานของเครื่องนี้ เมื่อโทรศัพท์มือถือ ที่ติดตั้งไว้ได้รับสัญญาณโทรเข้าเครื่องจะสั่น จากนั้นวงจรจะเริ่มงานโดยโปรแกรม Visual Basic 6.0 ที่เขียนด้วยภาษาซี จะสั่งให้วงจรควบคุมเครื่องรดน้ำต้นไม้ โซลินอยวาว์ลจะเปิด น้ำจะไหลไปตามท่อที่วางไว้ซึ่งติดหัวฉีดพ่นไปถึงต้นไม้ ส่วนเครื่องให้อาหารปลา มอเตอร์เกียร์ก็จะหมุนให้เม็ดอาหารไหลออกมาจากเกลียวดอกสว่านลงไปยังตู้ปลา เป็น อันเสร็จเรียบร้อย ...โปรแกรมนี้จะตั้งเวลาปิดเครื่องอัตโนมัติ แถมต้องไม่กลัวว่าไฟดับแล้วจะใช้งานไม่ได้ เพราะเขามีแบตเตอร์รี่สำรองกันเหตุฉุกเฉิน ผลงานนี้ถูกนำมาใช้จริงโดยสร้างเป็นเครื่องรดน้ำต้นไม้อัตโนมัตที่บริเวณสวนหย่อมหน้าเสาธงโรงเรียน และเป็นที่น่ายินดีว่า กำลังจะได้จดอนุสิทธิบัตร รับรองฝีมือของเด็กไทยอีกด้วย (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 23 มี.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





คุณค่าแห่ง "น้ำมะกอก" สารต้านอนุมูลอิสระสูงสุด

จากการศึกษาค้นคว้าของทีมนักวิทยาศาสตร์ประจำสถาบันวิจัยอิสระของโลกค้นพบว่า น้ำมะกอกมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระชื่อ "ไฮดรอกซีไทโรซอล" (Hydroxytyrosol)สูงที่สุด มีปริมาณมากกว่าชาเขียวถึง 3 เท่า มากกว่าคิวเทน 3 เท่า และเมล็ดองุ่นถึง 4 เท่า คุณสมบัติของน้ำมะกอกที่เติบโตต่างที่ย่อมมีคุณค่าแตกต่างกัน ซึ่งสถานที่ๆ เป็นที่ยอมรับว่า ติดอันดับแหล่งเพาะปลูกดีที่สุดในโลก ได้แก่ ไร่มะกอกในเอสตูบลอง (Chateau d" Estoublon) ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งได้รับการรับรองคุณภาพผลผลิต และสายพันธุ์ของพืชที่ทำการเพาะปลูกจาก A.O.C. (Appellation de Origin Controlee) ของรัฐบาลประเทศฝรั่งเศส (มติชน พุธที่ 23 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





กินโยเกิร์ตตะเพิดโรคปากเหม็น แถมยังป้องกันฟันผุรักษาเหงือก

นักวิทยาศาสตร์เมืองปลาดิบ ได้พบในการศึกษาค้นคว้าว่า การกินนมเปรี้ยวชนิดที่ไม่มีน้ำตาล ช่วยดับกลิ่นก๊าซไข่เน่า ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้ปากเหม็นในปากลงได้เกือบหมดถึง 80% เป็นผลงานของแบคทีเรียที่มีอยู่ในโยเกิร์ต 2 ชนิดด้วยกัน อันได้แก่ แบคโตบาซิลลัส บุลการีคัส และสเตรปโตค็อกคัส เทอโมฟิลัส คณะนักวิจัยญี่ปุ่นได้รายงานในที่ประชุมสมาคมนักวิจัยทันตกรรมระหว่างประเทศว่า ได้ศึกษากับอาสาสมัคร 24 คน ให้กินโยเกิร์ตวันละ 90 กรัม อยู่เป็นเวลา 6 อาทิตย์ เมื่อครบกำหนดเวลาได้ศึกษาตัวอย่างของน้ำลายและเมือกตามลิ้น เปรียบเทียบกับผลการศึกษาตอนก่อนหน้าการทดลอง ได้พบว่า ในปากของพวกเขามีระดับของก๊าซไข่เน่าหายหมดไปถึง 80% อีกทั้งคราบตามฟัน และโรคเหงือกอักเสบก็พลอยลดน้อยลงด้วย หัวหน้าผู้บริหารของมูลนิธิสุขภาพฟันแห่งอังกฤษ (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 24 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ยาเลือดแพะแก้ทุกข์สาววัยทอง ช่วยบรรเทาประสาทตาอักเสบ

มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดพบหนทางใช้ยาทำจากเลือดแพะ ช่วยให้หญิงวัยทอง พ้นทุกข์ มีสายตามองเห็นได้สว่างขึ้น นักวิจัยของมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงของอังกฤษ กล่าวว่า แต่ละปีจะมีผู้หญิงอังกฤษที่เข้าสู่วัยทอง ต้องประสบความทุกข์ เนื่องจากประสาทตาอักเสบไม่ต่ำกว่า 80,000 คน และเมื่อทดลองนำยาที่ทำจากเลือดแพะมาใช้รักษาให้ ช่วยให้สตรีวัยทองที่มีสายตาสว่างขึ้นได้ 11 ราย และขณะนี้ได้ขยายการทดลองให้ใหญ่ขึ้น เพื่อทดลองรักษาให้กับคนไข้เพิ่มเป็น 200 กว่ารายแล้ว ศาสตราจารย์วิชาประสาทวิทยา ปอล แมทธิวส์ กล่าวว่า "ด้วยการศึกษาผลของยา ที่มีกับสายตาของคนไข้ประสาทตาอักเสบ ทำให้เราพอเชื่อได้ว่าจะช่วยให้เกิดความเข้าใจในฤทธิ์ของยาที่มีต่อโรค ซึ่งสร้างความกระทบกระเทือนให้กับสมองบางส่วนด้วย" (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 24 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





พัฒนาเครื่องดำนาข้าว ไม่ต้องใช้แรงงานมาก

นายวีระชัย เชาว์ชาญกิจ กรรมการผู้จัดการบริษัทสยามคูโบต้าอุตสาหกรรมจำกัด เปิดเผยว่า ได้พัฒนารถแทรกเตอร์รุ่นใหม่เพื่อเกษตรกรไทยได้นำมาใช้ให้ เหมาะสมกับแปลงนาข้าวและไร่ผลไม้ เนื่องจากทุกวันนี้การเกษตรให้เกิดผลผลิตที่ดี ทุกอย่างต้องมีคุณภาพดี ตั้งแต่ผลผลิตดี และเกษตรกรมีร่างกายแข็งแรงดี ปัจจุบันมีการใช้สารเคมีกันมาก ทำให้ดินมีความแข็งหากใช้ควายไถนาเหมือนในอดีตไม่ได้แล้ว ตอนนี้มีการเปิดตัวเครื่องดำนาแบบติดตั้งบนรถแทรกเตอร์ ซึ่งเกษตรกรจะไม่ต้องลงไปเดินย่ำในแปลงข้าวให้เกิดมีอันตรายจากเชื้อโรค และสัตว์ร้ายที่อาศัยอยู่ในแปลงนาข้าวอีกแล้ว ซึ่งเครื่องดำนากำลังทดสอบดำนา จนพบว่าสามารถดำนาได้ถึง 20 ไร่ต่อวัน โดยใช้แรงงานคนเพียง 2 คน เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้คนดำนาจะต้องใช้ถึง 80 คนในการที่จะดำนาได้ 20 ไร่ต่อวัน คาดว่าในปี พ.ศ. 2550 จะสามารถนำออกมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 24 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





สารเร่งจุลินทรีย์ "พด.8" ฮีโร่ตัวใหม่สลายฟอสฟอรัส

นายอรรถ สมร่าง อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้พัฒนาสารเร่งจุลินทรีย์ "พด.8" ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติเพิ่มการสลายตัวของฟอสฟอรัสที่ถูกตรึงอยู่ในดิน ให้เป็นประโยชน์ต่อพืช และจะเปิดตัวของสารเร่งจุลินทรีย์ พด.8 ในวันที่ 23 พ.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันสถาปนากรมพัฒนาที่ดิน และทางเจ้าหน้าที่กำลังเร่งทดสอบคุณสมบัติ ของสารเร่งจุลินทรีย์ "พด.8" ในพื้นที่ภาคสนาม หลังจากที่มีการทดสอบในห้องปฏิบัติการจนได้ผลเป็นที่น่าพอใจ แต่อย่างไรก็ดีการใช้สารเร่งจุลินทรีย์ "พด.8" นี้อย่างเดียวคงไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาดินเป็นกรดได้ เกษตรกรต้องให้ความร่วมมือไม่เผาตอซังข้าว และทำลายเศษพืชหลังฤดูการเก็บเกี่ยวให้ไถกลบ หรือสับกลบเศษพืชเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยทำให้การใช้สารเร่งจุลินทรีย์ "พด.8" เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และทางกรมพัฒนาที่ดินจะสามารถผลิต ให้เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกร คาดว่าจะสามารถผลิตได้ถึง 50,000 ชุดเป็นอย่างต่ำ และหากในจำนวนดังกล่าวยังไม่เพียงพอ ก็จะต้องเร่งกำลังผลิตให้สอดรับกับความต้องการของเกษตรกรให้ทันท่วงที (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 24 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





เครื่องผลิตน้ำจากอากาศแก้ขาดแคลนน้ำดื่ม

บริษัท อะควา-โซไซตี เผยถึงความสำเร็จในการประดิษฐ์อุปกรณ์ผลิตน้ำดื่มจากความชื้นในอากาศให้กลั่นตัวเป็นหยดน้ำ โดยใช้เทคโนโลยีการควบแน่นที่ใช้ทำแอร์ในเหมืองแร่เยอรมนี ไม่ต้องง้อน้ำจากแหล่งน้ำ ลดค่าใช้จ่ายในการกักเก็บและขนส่งน้ำ ทั้งนี้ ในชั้นบรรยากาศมีน้ำมากกว่าแม่น้ำทั่วโลกถึง 10 เท่า โดยน้ำเหล่านี้กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคในชั้นบรรยากาศ ด้านปริมาณของน้ำในอากาศนั้นขึ้นอยู่กับสภาวะอากาศของในแต่ละพื้นที่ (ความชื้นสัมพัทธ์ และอุณหภูมิ) และปริมาณน้ำที่สามารถกลั่นจากอากาศก็ขึ้นอยู่กับปัจจัย ความชื้นสัมพัทธ์ และอุณหภูมิ บริเวณพื้นที่น้ำเกิดการควบแน่น และปริมาณอากาศที่ไหลไปยังพื้นที่ดังกล่าว ประเทศส่วนใหญ่ที่เผชิญวิกฤติขาดแคลนน้ำตั้งอยู่ในพื้นที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยมากกว่า 23 องศาเซลเซียส และความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ย ร้อยละ 75 ซึ่งที่สภาพอากาศแบบนี้ในชั้นบรรยากาศจะมีน้ำอยู่เฉลี่ย 16 กรัมต่ออากาศ 1 กิโลกรัม หากทำให้อากาศเย็นตัวลงจนถึง 10 องศาเซลเซียส จะมีน้ำในอากาศเพียง 8 กรัมต่ออากาศ 1 กิโลกรัม นั่นคือ จะมีน้ำจำนวน 8 กรัม ถูกกลั่นออกมาจากอากาศ เพื่อให้กลั่นได้น้ำปริมาณมากจากอากาศ จึงต้องมีการทำให้อากาศเย็นตัวลงในปริมาณมาก และทางบริษัท อะควา-โซไซตี ได้ทำการติดตั้งโรงทำความเย็นขนาดใหญ่ ที่สามารถทำให้อากาศเย็นตัวลง 30,000 กิโลกรัมต่อชั่วโมง ทำให้ได้ปริมาณน้ำเท่ากับ 30,000 x 8 (กรัม) เป็น 240,000 กรัม หรือน้ำ 240 ลิตรต่อชั่วโมง โดยกระบวนการของการกลั่นสามารถเลียนแบบการเกิดน้ำค้างยามเช้าในธรรมชาติ หรือหยดน้ำที่เกาะกระจกห้องน้ำขณะอาบน้ำ ก็ได้ หลักเกณฑ์หลักของการกลั่นน้ำคือระดับของความชื้น และการลดอุณหภูมิของอากาศ "อะควา-โซไซตี ใช้องค์ความรู้เฉพาะของบริษัทในด้านเทคโนโลยีทำความเย็น เพื่อสร้างโรงทำความเย็นสำหรับผลิตน้ำดื่มจากอากาศ ระบบดังกล่าวสามารถใช้งานได้แม้ในพื้นที่ลำบาก อย่างเช่น เหมืองถ่านหิน และอุโมงค์ คือ น้ำถูกทำให้บริสุทธิ์โดยใช้ตัวกรอง และได้น้ำที่มาตรฐานน้ำดื่มขององค์การอนามัยโลก นอกจากนี้ทางบริษัทยังได้มีการสร้างต้นแบบที่ขนาดต่างๆ กัน และทำการทดสอบ ในที่สภาวะที่เหมาะสม ระบบที่เล็กที่สุด (ประมาณ 40x40x60 เซนติเมตร) ผลิตน้ำได้ 24 ลิตร ส่วนระบบใหญ่ที่สุด (240x600x240 เซนติเมตร) สามารถผลิตน้ำดื่มได้มากถึง 6,000 ลิตรต่อวัน โดยภายในระบบมีองค์ประกอบคือ ตัวถ่ายเทความร้อน พัดลม ตัวเก็บน้ำ ตัวกรองน้ำ และช่องอากาศเข้า (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 24 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





พันธุ์พืชน้ำมันทำต้นหญ้าลด ส่งผลสัตว์กินวัชพืชขาดแคลนอาหาร

เดวิด โบฮาน หนึ่งในทีมวิจัยจากประเทศอังกฤษ เปิดเผยว่า อังกฤษได้ทดลองปลูกพืชน้ำมันที่ผ่านการดัดแปรพันธุกรรมหรือจีเอ็มโอ เพื่อศึกษาถึงผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอื่นในธรรมชาติ พบว่าวัชพืชที่เติบโตในแปลงทดลองมีความหลากหลายน้อยกว่าวัชพืชในแปลงธรรมชาติ และความแตกต่างดังกล่าวเห็นได้ชัดเจนในช่วงฤดูหนาว ซึ่งส่งผลกระทบต่อสัตว์ป่า อาทิ นก ผึ้ง และแมลงที่พึ่งพิงวัชพืชเหล่านี้เป็นแหล่งอาหารสำคัญ ผลวิจัยครั้งนี้อาจกระทบอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพ เนื่องจากการเจริญเติบโตของพืชน้ำมันที่ผ่านการดัดแปรพันธุกรรม มีผลกระทบด้านลบต่อสัตว์ป่าที่มีแหล่งอาหารอยู่ในแปลงปลูก และการทดลองครั้งนี้ถือเป็นการลงแปลงปลูกพืชน้ำมันจีเอ็มโอที่ใหญ่สุดในโลก ซึ่งมีมูลค่ามากถึง 9.5 ล้านดอลลาร์ หรือราว 380 ล้านบาท นักวิจัยรายงานอีกว่า เมื่อเปรียบเทียบจำนวนวัชพืชที่พบในแปลงปลูกพืชน้ำมัน ทั้งแบบจีเอ็มโอและไม่ใช่จีเอ็มโอในช่วงฤดูหนาว พบว่า โดยภาพรวมแล้ว แปลงจีเอ็มโอมีจำนวนวัชพืชเทียบเท่ากับแปลงปกติ เพียงแต่จุดที่แตกต่างกันอยู่ที่แปลงจีเอ็มโอจะมีวัชพืชที่เป็นหญ้ามากกว่าวัชพืชใบกว้าง ขณะที่แปลงปกติจะมีความหลากหลายของวัชพืชมากกว่า หลายฝ่ายมองว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าพืชผ่านกระบวนการจีเอ็มโอหรือไม่ แต่อยู่ที่ความหลากหลายของวัชพืชที่เอื้อต่อสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติมากกว่า ดังนั้น สังคมจึงต้องเลือกระหว่างการปลูกพืชน้ำมันในช่วงฤดูหนาว เพื่อให้ได้ผลผลิตที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร แต่สรรพสัตว์ในธรรมชาติจะต้องขาดแคลนอาหาร หรือจะหาทางออกด้วยการเลือกปลูกพืชอื่นแทนในช่วงฤดูหนาว เพื่อรักษาชีวิตของเพื่อนร่วมโลกไว้ (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 24 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





เทคโนฯ ขอนแก่นคิดแผงวงจร ช่วยจักรยานยนต์ประหยัดน้ำมัน

คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น ได้คิดค้นสิ่งประดิษฐ์ที่จะช่วยผู้ขับขี่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างประหยัดที่สุด โดยใช้เทคโนโลยีที่มีในประเทศเป็นหลัก สิ่งประดิษฐ์ดังกล่าวคือแผงวงจรควบคุมการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์แบบ 4 จังหวะ ทั้งนี้ รถจักรยานยนต์ที่ควบคุมการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลงด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นระบบที่ได้รับการยอมรับว่าประหยัดและมีประสิทธิภาพสามารถจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงได้เหมาะตามความต้องการของเครื่องยนต์ มากกว่าระบบเดิมที่ใช้คาร์บูเรเตอร์ เพราะมีตัวตรวจจับสภาวะแวดล้อมในการทำงานของเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นเงื่อนไขในการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ในการออกแบบวงจรควบคุมการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงระบบอิเล็กทรอนิกส์ เราได้จัดหาอุปกรณ์ที่มีคุณสมบัติตรงตามต้องการ โดยใช้ไมโครคอนโทลเลอร์ ตระกูลเอ็มซีเอส 51 เบอร์ 89 ซี 51 อาร์ดี 2 ทำหน้าที่ประมวลผล เนื่องจากราคาถูกและมีคุณสมบัติเหมาะสมตามหน้าที่ ส่วนโปรแกรมสำหรับสั่งงานไมโครคอนโทรลเลอร์นั้นใช้ภาษาซี ซึ่งเป็นภาษาระดับสูงที่สามารถเขียนและหาจุดบกพร่องได้ง่ายกว่าภาษาต่ำอย่างภาษาแอสเซมบลี จากการทดสอบสิ่งประดิษฐ์กับรถจักรยานยนต์ ปรากฏว่า วงจรสามารถควบคุมการจ่ายน้ำมันให้เครื่องยนต์ทำงานได้ดี การปรับแก้โปรแกรมสั่งงานไมโครคอนโทรลเลอร์ เพื่อควบคุมการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง สามารถทำงานได้สะดวกรวดเร็ว อีกทั้งการวัดสัญญาณจากวงจรเพื่อตรวจสอบการทำงานยังทำได้สะดวกด้วย (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 24 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ลุยตั้งระบบก๊าซชีวภาพประหยัดพลังงาน

นายเมตตา บันเทิงสุข ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) กระทรวงพลังงาน เปิดเผยการดำเนินโครงการ "ส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3" ที่กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสนับสนุนว่า ขณะนี้มีฟาร์มเลี้ยงสัตว์เข้าร่วมโครงการแล้ว 53 ฟาร์ม โดยติดตั้งระบบก๊าซชีวภาพแล้วรวม 100,700 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งสามารถนำก๊าซชีวภาพมาใช้เป็นพลังงานทดแทนได้เทียบเท่าก๊าซหุงต้ม มูลค่า 736,000 บาทต่อวัน และทดแทนไฟฟ้ามูลค่า 326,268 บาทต่อวัน ผลิตปุ๋ยอินทรีย์มูลค่า 72,750 บาทต่อวัน (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 24 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





หลอดไฟ"ซีลวาเนีย"

บริษัท ซีลวาเนีย(ประเทศไทย) จำกัด แนะนำหลอดไฟซีลวาเนียรุ่นใหม่ Mini-Lynx Spiral หลอดประหยัดไฟทรงเกลียวช่วยประหยัดไฟสูงสุดถึง 80% ให้ความสว่างสูงกว่าหลอดตะเกียบทั่วไป 10% อายุการใช้งานยาวนานถึง 10,000 ชั่วโมง ดีไซน์ทันสมัย ขนาดเล็กกะทัดรัด (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 24 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





เทคโนโลยีค้นหาและช่วยชีวิต

ในการประชุมนานาชาติเพื่อหาเทคโนโลยีมารับมือกับภัยพิบัติเพื่อลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินในหัวข้อ เรียนรู้จากสึนามิ ซึ่งจัดขึ้นที่ภูเก็ตเมื่อไม่นานมานี้ ผู้อำนวยการฝ่ายต่างประเทศ บริษัทควอล คอมม์ Ms.Shawn A.Covell ได้เล่าถึงการใช้ระบบโทรศัพท์มือถือ CDMA เข้ามาช่วยในกรณีฉุกเฉิน โดยยกตัวอย่างบริการฉุกเฉินบนมือถือในหลาย ประเทศที่ใช้เครือข่ายซีดีเอ็มเอ ในสหรัฐอเมริกา มีบริการ E911 เป็นการหาตำแหน่งในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งมือถือในอเมริกาทุกเครื่องจะมีปุ่มกดฉุกเฉินเพื่อติดต่อกับ E911 หากได้รับอันตรายต้องการความช่วยเหลือ เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องจะทำการค้นหาแล้วส่ง ทีมเข้าทันที พิกัดตำแหน่งมีความแม่นยำมากภายในพื้นที่ 20 ตร.ม. เมื่อโทรฯ เข้า E911 ข้อมูลจะถูกส่งเข้าศูนย์กลางดิจิทัลแล้วดาวเทียมจะค้นหาตำแหน่งของ ผู้โทรฯ จากนั้นส่งข้อมูลไปยังหน่วยค้นหาและศูนย์ฉุกเฉิน ซึ่งจะไปถึงที่หมายภายใน 5 นาที กรณีที่พบส่วนใหญ่คือ เด็กหาย คนแก่พลัดหลง ในญี่ปุ่นและจีนก็ใช้เทคโนโลยีบนมือถือตามหาเด็กหาย เด็กพลัดหลง มีปุ่มให้ขอความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษถึง 3 ปุ่มบนมือถือ ในเกาหลีใต้ก็มีกรณีเด็กหาย โดยตำรวจได้ส่งรูปเด็กหายเข้าระบบมือถือในเครือข่ายทั่วประเทศให้ช่วยกันค้นหาเด็กหาย ทำให้พบเด็กพลัดหลงได้ในเวลารวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีบริการ Securetruck เป็นระบบตรวจสอบรถบรรทุกตลอดเส้นทางการขับขี่ หากพบเหตุน่าสงสัยก็สามารถสั่งดับเครื่องยนต์ได้ทันที (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 25 มี.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





'กล้วยไม้จิ๋ว' นักวิจัยไทยสุดเจ๋งคิดค้น 5 พันธุ์ใหม่

เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 23 มี.ค. ร.ศ. ดร. ประสาทพร สมิตะมาณ ผ.อ. ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีชีวะภาพด้านพืช มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับมูลนิธิโครงการหลวง ได้เปิดเผยว่าสามารถ ทำการคิดค้นผสมพันธ์กล้วยไม้พันธุ์ใหม่ของโลก เป็นกล้วยไม้จิ๋ว ที่มีขนาดเล็กที่สุดในประเทศไทย จำนวน 5 สายพันธุ์ และทางดร.ประสาทพร ได้นำกล้วยไม้จิ๋ว ที่มีขนาดเล็กที่สุดในประเทศไทย มาเผยให้แก่ผู้สื่อข่าวดูโดยบรรจุในขวดแก้วขนาดเล็ก และมีสีสันสวยงาม และได้มีแนวคิดที่จะพัฒนากล้วยไม้ไทยเพราะกล้วยไม้ไทยเดิมสวยงาม แต่มีข้อเสียคือออกดอกปีละ 1 ครั้ง ทางทีมวิจัย ก็สามารถคิดค้นกล้วยไม้ได้จำนวน 5 สายพันธุ์ ที่มีคุณสมบัติเล็ก ออกดอกได้ตลอดปี มีความสวยงาม และมีกลิ่นหอม ได้แก่”มรกต” สีขาวอมม่วงแดง “ปัจฉิมา” สีขาว “ประสาทพร”สีม่วงแดง “แจ่มจรัส” สีม่วงแดงดอกใหญ่ “ประพิจ” สีขาวอมน้ำตาลม่วง ซึ่งทุกพันธ์ มีความสูงสุด 6 นิ้วซึ่งจะพัฒนาให้เกษตรกรหรือผู้สนใจนำไปปลุกเป็นพืชเศรษฐกิจพันธ์ใหม่ต่อไป. (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 25 มี.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ไบโอเทคดันสร้างห้องทดสอบหวัดนก ศึกษาประสิทธิภาพวัคซีนก่อนใช้จริง

รศ.นพ.ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์ รองผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) กล่าวว่า ขณะนี้ในกลุ่มนักวิจัยด้านไข้หวัดนกมีแนวความคิดสร้างห้องทดลองวัคซีนไข้หวัดนก เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนหากนำมาใช้ป้องกันโรคไข้หวัดนกภายในประเทศไทย เนื่องจากวัคซีนบางตัวอาจจะไม่เหมาะสมต่อสภาพของสัตว์ปีกภายในประเทศ หากมีการทดสอบจะสามารถบอกได้ว่าวัคซีนที่จะนำมาใช้จริงนั้นได้ผลมากน้อยเพียงใด การทดสอบวัคซีนจะช่วยทำให้รู้ว่าเมื่อเอามาใช้ในสัตว์แล้ว มีประสิทธิภาพดีมากน้อยอย่างไรบ้าง ได้ผลแค่ไหน ซึ่งตามหลักในการนำวัคซีนไปใช้แล้วจะต้องมีการทดสอบวัคซีนก่อน แต่ปัจจุบันยังไม่มีการทดสอบวัคซีนและสร้างห้องทดลองขึ้นมา ทั้งนี้ การสร้างห้องทดลองวัคซีนจำเป็นต้องใช้งบประมาณสูงมากประมาณ 100 ล้านบาทต่อการสร้างห้องทดลองหนึ่งแห่ง โดยเฉพาะเครื่องทำลายสัตว์ทดลองหรือ autoclave ที่ราคาแพง และจำเป็นสำหรับการทดลองวัคซีน เพราะเมื่อฉีดเชื้อไข้หวัดนกและวัคซีนเข้าไปในตัวไก่หรือสัตว์ทดลองต้องทำลายทันที เพื่อป้องกันเชื้อหลุดลอดออกไปภายนอกห้องทดลอง นอกจากนี้ยังต้องมีความระมัดระวังในเรื่องความปลอดภัยและการเตรียมความพร้อมของบุคลากรสำหรับห้องทดลองซึ่งจะต้องเข้าใจถึงความปลอดภัย รายงานข่าวระบุเพิ่มเติมว่า ทางกลุ่มนักวิจัยโรคไข้หวัดนกเตรียมเสนอโครงการถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อไข้หวัดนกทั่วประเทศ เพื่อติดตามวิวัฒนาการของเชื้อไข้หวัดนกในแต่ละภูมิภาคของประเทศ หากมีการกลายพันธุ์จะได้เตรียมความพร้อมสำหรับป้องกันและแก้ไขปัญหาในอนาคต (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 25 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





หนุนเตาประหยัดรับมือแก๊สแพง

นายสุรพล ทวีเลิศนิธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นิธิฟู้ดส์ จำกัด ประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารเกษตรแปรรูป เปิดเผยว่า บริษัทได้ทดลองนำเตาแก๊สประสิทธิภาพสูง มาใช้ในกระบวนการผลิตกระเทียมและหอมแดงเจียว ซึ่งเป็นสินค้าหลักของบริษัท ตั้งแต่ปี 2546 ปรากฏว่าสามารถประหยัดค่าแก๊สได้ 30% ของค่าแก๊สที่จ่ายเฉลี่ยปีละกว่า 1 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มผลผลิตขึ้นอีก 20% จากเดิมผลิตได้วันละ 1,000 กิโลกรัมเพิ่มเป็น 1,200 กิโลกรัม รวมทั้งได้สภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีขึ้นโดยอัตโนมัติ เนื่องจากเตาประสิทธิภาพสูงจะแผ่รัศมีความร้อนไกลเพียง 50 เซนติเมตร ขณะที่เตาแก๊สแบบเดิมจะรู้สึกถึงความร้อนได้ไกลถึง 2 เมตร และล่าสุด บริษัทเตรียมขยายการพัฒนาเทคโนโลยีไปสู่ไลน์การผลิตประเภทเตาอบ เพื่อรองรับวิกฤติพลังงานในอนาคต รวมถึงนำ "เทคโนโลยีสะอาด" มาใช้ในระบบบำบัดน้ำเสียเป็นโครงการต่อไป สำหรับเตาแก๊สประสิทธิภาพสูงเป็นผลงานของ ดร.สำเริง จักรใจ อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ที่พัฒนาเพื่ออุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม โดยได้ออกแบบโครงสร้างของตัวเรือนเตาใหม่ พร้อมทั้งออกแบบวัสดุพรุนสำหรับแผ่รังสีความร้อน วัสดุพรุนสำหรับดูดซับรังสีความร้อน และพัฒนาหัวเผาแบบใหม่เพื่อให้เปลวไฟที่พุ่งสู่ภาชนะหุงต้มมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ภายหลังการออกแบบส่งผลให้เตาแก๊สมีประสิทธิภาพเชิงความร้อน สูงขึ้นจากเดิม 50% เท่ากับว่าสามารถนำความร้อนมาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นถึงครึ่งหนึ่ง หรือประหยัดแก๊สได้ถึง 30% นอกจากนี้ นักวิจัยยังเตรียมหาทางปรับปรุงเตาแก๊สประสิทธิภาพสูง สำหรับขยายสู่กลุ่มผู้ใช้ในครัวเรือนและผู้ประกอบการร้านอาหารทั่วไป ด้าน นางสมศรี พุทธานนท์ ที่ปรึกษาเทคโนโลยีโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP) กล่าวเพิ่มเติมว่า นิธิฟู้ดส์ ถือเป็นบริษัทนำร่องของภาคอุตสาหกรรม ที่หันมาพัฒนาเตาแก๊สประสิทธิภาพสูงเพื่อประหยัดพลังงาน ซึ่งถือเป็นนโยบายหลักของภาครัฐ ที่โครงการ ITAP ต้องการสนับสนุน เนื่องจากประเทศไทยกำลังประสบปัญหาทางด้านพลังงานมากขึ้นเรื่อยๆ (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 25 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





หุ่นยนต์ล้มลุกต้นแบบกู้ภัย ประยุกต์วิชาฟิสิกส์ช่วยออกแบบ

นายอาณัฒน์ จะรคร โรงเรียนปิยะมหาราชาลัย จ.นครพนม ซึ่งออกแบบและประดิษฐ์หุ่นยนต์ล้มลุก เปิดเผยว่า ผลงานของเขาได้แรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ โดยออกแบบให้หุ่นยนต์สามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยการกลิ้ง และสามารถยืดหดแขนขาได้ด้วย จึงเหมาะนำไปใช้งานด้านการกู้ภัย หรือสำรวจพื้นที่เสี่ยงอันตรายและไม่สามารถเข้าถึง รวมทั้งใช้เป็นต้นแบบในการออกแบบวิศวกรรมยานยนต์ในอนาคต เนื่องจากหุ่นยนต์ดังกล่าวสามารถพัฒนาศักยภาพไปได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม หากจะนำผลงานดังกล่าวไปใช้งานจริง จะต้องออกแบบเพิ่มในส่วนแขนหุ่นยนต์ ซึ่งจะช่วยในการหยิบจับวัตถุ รวมถึงกล้องตรวจจับภาพที่ผู้บังคับสามารถติดตามการทำงานได้ทางมอนิเตอร์ นอกจากนี้ ยังต้องศึกษาความเป็นไปได้ ที่จะปรับลดน้ำหนักให้หุ่นยนต์เบาขึ้นจากปัจจุบันที่หนักถึง 3.4 กิโลกรัม เพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้ายและนำไปใช้งาน ในการออกแบบหุ่นยนต์ล้มลุกนี้ ได้อาศัยหลักการทรงตัวแบบเดียวกับตุ๊กตาล้มลุก โดยใช้ความรู้ทางฟิสิกส์ในการคำนวณเรื่องจุดศูนย์ถ่วง จุดศูนย์กลางมวลและคานจุดหมุนโมเมนต์ของแรง เพื่อควบคุมการทรงตัวในขณะเคลื่อนที่ และเพิ่มเสถียรภาพในการทำงานอีกด้วย สำหรับการประดิษฐ์หุ่นยนต์ล้มลุก ได้คำนวณน้ำหนักศูนย์ถ่วงไว้ที่ 1.8 กิโลกรัม พบว่าหุ่นยนต์สามารถล้มลุกได้เฉพาะมุม 30 และ 90 องศาเท่านั้น จึงได้เพิ่มน้ำหนักศูนย์ถ่วงเป็น 3.6 กิโลกรัม ทำให้สามารถล้มลุกที่มุม 60 องศา ขณะเดียวกันได้ออกแบบอุปกรณ์มาถ่วงน้ำหนักบริเวณส่วนโค้งของฐานล้อทั้งสองข้าง โดยวางไว้ใต้คานล้อ เพียงเท่านี้หุ่นก็สามารถทรงตัวตรงได้ตลอดเวลา แม้จะถูกผลักหรือโยกให้ล้มไปแล้ว แต่ก็สามารถลุกขึ้นใหม่ได้เสมอ (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 25 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





สร้างกระดูกเทียมด้วยเครื่องดินเผา ใช้แทนกระดูกแท้เข้ากับเนื้อหนังดี

นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยโลซานน์ ประเทศสวิตฯได้พัฒนาวัสดุสังเคราะห์ ซึ่งทำขึ้นจากโพลีเมอร์และเซรามิก อันเป็นผลิตภัณฑ์ เครื่องกระเบื้อง เครื่องดินเผา ทั้งโพลีเมอร์และเซรามิก ต่างก็ไม่เหมาะที่จะใช้ผลิตเป็นกระดูกเทียมด้วยตัวมันเอง แต่ เมื่อนำใช้ร่วมกัน กลับมีคุณสมบัติเหมาะสมขึ้น กระดูกเทียมชนิดนี้ นอกจากจะเหมาะใช้แทนกระดูกที่เสียหายหรือสูญหายไปแล้ว มันยังเปิดให้เนื้อเยื่องอกเข้ามาแทนที่อย่างเดิมอีกด้วย. (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 26 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ข่าวทั่วไป


ขึ้นเงินเดือนราชการอิงฐานรายได้อัยการ

นายบุญศักดิ์ เจียมปรีชา อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังอยู่ในระหว่าง การพิจารณา เพื่อปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการเป็นการทั่วไปให้ทันในวันที่ 1 ต.ค. 2548 เพื่อเป็นการต้อนรับปีงบประมาณ 2549 โดยจะพยายามเทียบเคียงกับเงินเดือนของภาคเอกชน และนำเงินเดือนของข้าราชการบางกลุ่ม เช่น อัยการและผู้พิพากษามาประกอบในการพิจารณา ปรับขึ้น เงินของข้าราชการทั้งระบบ เนื่องจากอัตราเงินเดือนของข้าราชการทั่วไปยังมีช่องว่าง ที่แตกต่างกันอยู่มาก ทั้งนี้ คาดว่ารัฐบาลจะไม่ปรับเพิ่มเงินเดือนข้าราชการทั้งระบบเพียง อย่างเดียว แต่จะต้องติดตามมาด้วยมาตรการเกษียณก่อนกำหนด เพื่อปรับลดกำลังคนภาครัฐ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม การดำเนินการดังกล่าวเพื่อสนองนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการปรับเพิ่มเงินเดือนข้าราชการใน 2 ช่วงระยะเวลาคือ ในปีงบประมาณ 2549 และปี งบประมาณ 2551 ซึ่งการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการครั้งนี้ จะปรับขึ้นแบบภาพรวม กล่าวคือ จะปรับขึ้นทั้งระบบ ไม่ได้ปรับขึ้นเฉพาะส่วนราชการใดราชการหนึ่งเหมือนเช่นในอดีต เพื่อลดความไม่เท่าเทียมในระดับเงินเดือนของข้าราชการในแต่ละส่วน. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 21 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ฮือฮาขุมทองคำ 'เขาสอยดาว'

พบแหล่งแร่ทองคำติดชายแดนไทย-กัมพูชา คาดมีจำนวนมากบริเวณคลองด่าน เส้นแบ่งเขตแดนประเทศ ชาวเขมรร่อนทองมีรายได้ดีมานานนับสิบปี แต่ฝั่งไทยกลับประกาศเป็นพื้นที่หวงห้าม ราษฎรไทยไม่รู้เรื่องมีอาชีพเพียงทำไร่ไถนา ผู้สื่อข่าวนำคณะบุกพิสูจน์พบเป็นสายแร่ทองคำบริสุทธิ์ ทองคุณภาพเยี่ยม 100 เปอร์เซ็นต์ วอนทางการเข้าสำรวจอาจจะนำรายได้เข้าประเทศมหาศาล นายชัยวัฒน์ คุประตกุล อายุ 65 ปี อดีตอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร กรุงเทพฯ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวทางโทรศัพท์เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ตามปกติหากมีการค้นพบสายแร่ชนิดใดชนิดหนึ่งในที่บริเวณใด ๆ เป็นไปได้ที่จะเจอสายแร่ชนิดเดียวกันในพื้นที่อาณาบริเวณนั้นขึ้นอยู่กับสภาพทางธรณีวิทยาว่าในอดีตพื้นที่นั้นเคยมีการค้นแร่ชนิดใดชนิดหนึ่งหรือไม่ ซึ่งหากเคยมีการพบทองหรืออัญมณีในพื้นที่ใดพื้นที่นั้นจะพบทองและอัญมณีด้วย ทั้งนี้ทองเป็นโลหะที่มักจะอยู่รวมกันเป็นจุด ๆ เหมือนธาตุอื่น ๆ และเป็นไปได้ที่ทองกับอัญมณีจะเกิดในจุด เดียวกัน. (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 21 มี.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





วาระแห่งชาติกู้วิกฤติภัยแล้ง

นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณ ต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างล้นพ้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชกระแสรับสั่ง ให้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงพิเศษ ขึ้นที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อแก้ไขวิกฤติภัยแล้ง ที่มีความรุนแรง ในขอบเขตกว้างขวาง ทั่วประเทศ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงบัญชาการ ปฏิบัติการฝนหลวง ด้วยพระองค์เอง ซึ่งจะมีการอบรม ทบทวนทักษะ ให้เจ้าหน้าที่นักบิน และผู้ปฏิบัติการทั่วประเทศ 140 คน ในระหว่างวันที่ 20-21 มีนาคม แล้วเริ่มปฏิบัติการฝนหลวง ในขอบเขตทั่วประเทศ ในวันที่ 22 มีนาคม เพื่อให้เกิดผลพร้อมๆ กัน ซึ่งน่าจะบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนชาวไทยจากวิกฤติภัยแล้งในครั้งนี้ได้ในระดับหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังมีพระเนตรยาวไกลมองเห็นถึงการทำฝนหลวงอย่างสม่ำเสมอในช่วงก่อนฤดูฝนด้วย เพื่อไม่ให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วงนานเกินไป จนกระทบต่อระบบชลประทาน และสภาพความแห้งแล้งของพื้นดินที่มีผลต่อการเพาะปลูก วิกฤตการณ์ภัยแล้งในครั้งนี้ จึงเป็นวิกฤติใหญ่ที่เป็น "วาระแห่งชาติ" ที่ทุกฝ่ายจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาทั้งในระยะสั้น และระยะยาว นายกรัฐมนตรีทักษิณ ที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ ผ่านการเติมพลังพักผ่อนอย่างเต็มที่ จึงควรถือเป็นภารกิจเร่งด่วนในการประกาศภาวะวิกฤติของชาติในการแก้ปัญหาภัยแล้งให้เป็น "วาระแห่งชาติ" เพื่อสนองตอบพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เสียสละแรงกาย และกำลังทรัพย์ในการจัดตั้งศูนย์บัญชาการปฏิบัติการฝนหลวงที่อำเภอหัวหิน เรียกร้องให้ประชาชนชาวไทยทุกคนได้เข้ามามีส่วนร่วมใน "วาระแห่งชาติ" กู้วิกฤติภัยแล้ง เพื่อไม่ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องเหน็ดเหนื่อยมากไปกว่านี้ ในการปฏิบัติภารกิจสำคัญ บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงแห่งนี้ ที่เป็นแนวทางการแก้ปัญหาภัยแล้งในวงกว้าง ได้อย่างรวดเร็ว มากกว่าแต่ละกระทรวง ที่เพิ่งตื่นขึ้นมารับรู้ความรุนแรงของภัยแล้งในปีนี้ (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 21 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ยูเนสโกร่วมฉลอง100ปีศรีบูรพา

เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) ท่าพระจันทร์ นายอำนวย จั่นเงิน รองผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม นายสันติสุข โสภณศิริ นายสุชาติ สวัสดิ์ศรี นักเขียนรางวัล "ศรีบูรพา" และนางถิรนันท์ อนวัชศิริวงศ์ รองคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมแถลงข่าวการจัดงาน "พิธีเชิดชูเกียรติ 100 ปี ศรีบูรพา(กุหลาบ สายประดิษฐ์)" ในวันที่ 31 มีนาคม ที่หอประชุมเล็ก มธ. นายอำนวยกล่าวว่า องค์การวิทยาศาสตร์การศึกษาและวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(ยูเนสโก) มีมติให้บรรจุรายการฉลองครบรอบ 100 ปีของกุหลาบ สายประดิษฐ์ ในวันที่ 31 มีนาคม อยู่ในรายการที่ยูเนสโกจะร่วมเฉลิมฉลองในปี 2548 (มติชนรายวัน อังคารที่ 22 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





หนุนใช้ต้นสบู่ดำผลิตไบโอดีเซล

รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลไทยมีนโยบายในการลดการนำเข้าน้ำมัน โดยกระตุ้นให้มีการใช้น้ำมันไบโอดีเซลจากน้ำมันปาล์มเป็นทางเลือกมากขึ้น แต่เนื่องจากปาล์มส่วนใหญ่ปลูกในภาคใต้ จึงเห็นว่าต้นสบู่ดำน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า โดยจะมีการจัดประชุมเชิงวิชาการในหัวข้อเรื่อง "น้ำมันไบโอดีเซลจากสบู่ดำ ทางเลือกใหม่ของพลังงานทดแทน" ในวันที่ 30 มีนาคม ที่โรงแรมพลาซ่า เอทธินี โดยจะมีผู้มีเชี่ยวชาญที่ประสบความสำเร็จในการทำสวนสบู่ดำและการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลในหลายประเทศ ร่วมอภิปราย (มติชนรายวัน อังคารที่ 22 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ญี่ปุ่นใช้"หุ่นยนต์"รปภ.คุ้มกันงาน"เวิลด์เอ็กซ์โป" เน้นต้านภัยก่อการร้ายปกป้องแขก 15 ล้านคน

ญี่ปุ่นเตรียมการป้องกันภัยก่อการร้ายขนานใหญ่ ภายในงาน "เวิลด์ เอ็กซ์โป-2005" หรืองานออกบู๊ธแสดงสินค้า นวัตกรรม หรือสิ่งประดิษฐ์ไฮเทคต่างๆ ระดับโลกประจำปี 2548 จัดขึ้นที่อำเภอไอจิ เมืองเซโตะ เป็นระยะเวลา 185 วัน หรือ 6 เดือนเต็ม ซึ่งจะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคมนี้ จนถึง 25 กันยายน โดยมีประเทศต่างๆ 121 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วมออกบู๊ธในงานที่คาดว่าจะมีผู้คนหลั่งไหลกันเข้ามาชมถึง 15 ล้านคน ในงานจะมีทีมตำรวจพิเศษรักษาการถึง 3,000 นาย ร่วมกับหน่วยรักษาความปลอดภัยของเอกชนอีก 1,000 นาย แล้วยังมีหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัย หรือ "ลิกูริโอะ" อีก 8 ตัว ที่คอยให้บริการผู้ชมในช่วงกลางวัน และเดินตรวจตรารักษาความปลอดภัยในตอนกลางคืน ด้วยความสามารถพิเศษที่มันสามารถตรวจสอบวัตถุระเบิดและตรวจหาสารเคมีร้ายแรงได้ และหากพบก็สามารถเคลื่อนย้ายวัตถุอันตรายเหล่านี้ไปไว้ยังที่ที่ปลอดภัยนอกงานได้ นอกจากนี้เจ้าหุ่นยนต์ลิกูริโอะยังสามารถจดจำคนแปลกหน้าได้ในระยะ 50 เมตร แม้ในเวลากลางคืน และยังมีระบบเตือนภัยด้วยเสียงด้วย ส่วนสนนราคาตัวละประมาณ 60 ล้านเยน(ราว 23 ล้านบาท) (มติชนรายวัน อังคารที่ 22 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





โรคหลอดเลือดแดงตีบตันแชมป์ นำหน้ามะเร็งไปถึง 2 เท่ากว่า

พล.ท.น.พ.ประวิชช์ ตันประเสริฐ เจ้ากรมแพทย์ทหารบก ประธานโครงการให้ความรู้โรคหลอดเลือดแดงตีบตัน กล่าวว่า โรคหลอดเลือดแดงตีบตันเป็นสาเหตุทำกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดในสมองตีบตัน และการตีบของหลอดเลือดแดงส่วนปลาย โดยรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2544 พบว่าโรคหลอดเลือดแดงตีบตัน เป็นสาเหตุหลักในการเสียชีวิตของประชากรทั่วโลก ถึง 55,694,000 คน คิดเป็นร้อยละ 52 ของสาเหตุการตายทั้งหมด ในขณะที่โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายของประชากร 25,704,000 คน คิดเป็นร้อยละ 24 ของการตายทั้งหมดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงตีบตัน มีหลายสาเหตุคือ พฤติกรรมการดำเนินชีวิตที่ไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น การสูบบุหรี่ รับประทานอาหารไม่เหมาะสม และขาดการออกกำลังกาย โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง พันธุกรรม หรือภาวะไขมันในเลือดสูง เป็นต้น การป้องกันโรคนี้ นอกจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาลดความดันเลือด ยาลดระดับไขมัน หรือยาต้านเกร็ดเลือด รวมไปถึงการถ่างขยายหลอดเลือดด้วยอุปกรณ์ หรือการผ่าตัดต่อหลอดเลือด หรือใส่ขดลวดเพื่อถ่างหลอดเลือด. (ไทยรัฐ พุธที่ 23 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





หมากฝรั่งขยายอกถือเป็นยา จะมาขายต้องขออนุญาตกับ อย.

นายภักดี โพธิศิริ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวถึงกรณีที่ญี่ปุ่นมีการใช้ส่วน ประกอบจากกวาวเครือในอาหาร และขนมอย่างแพร่หลาย โดยล่าสุดได้ผลิตหมากฝรั่งผสมกวาวเครือที่อ้างว่าเคี้ยวแล้วจะทำให้หน้าอกของผู้ หญิงขยายใหญ่ขึ้นว่า จากที่ได้ตรวจสอบพบว่าผลิตภัณฑ์ที่ขายนั้นจะขายที่ญี่ปุ่น ยังไม่ได้เข้ามาขายในเมืองไทย ดังนั้น ทาง อย. จึงยังไม่ได้ดำเนินการอะไร แต่ได้เฝ้าระวังว่าจะเข้ามาขายในเมืองไทยหรือไม่ (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 24 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ยูเนสโกยกย่องนักฎหมายไทย ผลงานสิทธิมนุษยชนโดดเด่น

องค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมขององค์การสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ประกาศมอบรางวัลสิทธิมนุษยชนด้านการศึกษา ประจำปี 2547 ให้ ศ.วิฑิต มัณตราภรณ์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่ได้รับเกียรตินี้ ยูเนสโกได้คัดเลือกผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อทั่วโลก 55 คน และพิจารณาเห็นว่า ศ.วิฑิต มีผลงานที่หลากหลายทั้งงานเขียนทางวิชาการและบทความ ทั้งยังเป็นผู้รายงานพิเศษเรื่องสิทธิมนุษยชนในประเทศเกาหลีเหนือในปี 2547 ก่อนหน้านี้เคยเป็นผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติด้านการค้าเด็ก และปัจจุบันเป็นกรรมการกองทุนสหประชาชาติเพื่อสิทธิมนุษยชน ภายใต้สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 24 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ร.ฟ.ท.ยึดเสา-ตอม่อโฮปเวลล์ผุดรถไฟยกระดับ

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ในช่วงปีนี้ ว่า คาดว่า จะสามารถดำเนินการประมูลการก่อสร้างโครงการได้ประมาณ 2-3 เส้นทาง เพื่อแก้ปัญหาการจราจรทั้งในส่วนของ กทม.และปริมณฑล นอกเหนือจากโครงการส่วนต่อขยายโครงการรถไฟฟ้ามหานครสายสีม่วง (บางใหญ่-บางซื่อ) ระยะทาง 23 กม.วงเงินลงทุน 46,704 ล้านบาท โดยเส้นทางส่วนต่อขยายที่คาดว่าจะประมูลได้ภายในปีนี้ ประกอบด้วย โครงการสร้างทางรถไฟยกระดับ หรือโฮปเวลล์ ซึ่งจะใช้โครงสร้างเสาและตอม่อ ในการดำเนินการก่อสร้างโครงการทางรถไฟยกระดับ (บางซื่อ-รังสิต) แทน เพื่อแก้ปัญหาการจราจรส่วนที่เป็นถนนทางแยก ที่ผ่านมาได้ให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้จัดจ้างสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย หรือเอไอที สำรวจโครงสร้างเสาและตอม่อของโฮปเวลล์ไว้แล้ว ประมาณ 972 ต้น ส่วนใหญ่ยังสามารถใช้การได้เป็นอย่างดี เส้นทางที่คาดว่าจะประมูลได้ภายในปีนี้ คือ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค ระยะทาง 14 กม.เพื่อรองรับการจราจรช่วงเยาวราชได้เป็นอย่างดี ดังนั้น ตนเชื่อว่า ภายในปีนี้จะมีเส้นทางก่อสร้างส่วนต่อขยายเกิดขึ้น และจะช่วยแก้ปัญหาการจราจรได้บางส่วน "ช่วง 4 ปีจากนี้การดำเนินงานในส่วนของโครงการขนาดใหญ่ และจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 24 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ไข้เลือดออกสายพันธุ์ที่ 4

ผลการเฝ้าระวังโรคไข้เลือดออกทั่วประเทศ พบเป็น เชื้อไวรัสเดงกี่ สายพันธุ์ที่ 4 ซึ่งคนไทยทั่วไปยังไม่มีภูมิต้านทาน พบมากที่สุดที่ภาคอีสาน จากการเฝ้าระวังในปี 2548 มีแนวโน้มมากขึ้น ตั้งแต่เดือน มกราคม-กุมภาพันธ์ 2548 มีรายงานผู้ป่วยทั้งหมด 2,769 ราย เสียชีวิต 2 ราย เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา พบว่า เพิ่มขึ้นร้อยละ 75 หรือเพิ่มขึ้น 1,190 ราย จึงเป็นสัญญาณเตือนเมื่อเข้าสู่ฤดูฝนปีนี้ สถานการณ์อาจรุนแรง กระทรวงสาธารณสุข ขอความร่วมมือไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ทำการเฝ้าระวัง โดยให้แพทย์/เจ้าหน้าที่ตั้งข้อสงสัยไข้เลือดออก ในผู้ป่วยทุกกลุ่มอายุที่ไข้สูงลอยติดต่อกัน 3 วันขึ้นไป หลังกินยาลดไข้ แล้วไข้ไม่ลด และไม่มีอาการของไข้หวัด แนวโน้มพบในเด็กโตมากขึ้น ให้รับตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลทุกราย ขณะเดียวกันได้สั่งการให้ทุกจังหวัดจัดสัปดาห์รณรงค์ให้ประชาชน โรงเรียน วัดทุกแห่ง กำจัดลูกนํ้ายุงลายในบ้านเรือนทุก 7 วัน หรือทุกวันศุกร์ เนื่องจากยุงลายร้อยละ 95 จะอาศัยอยู่ในบ้านเรือน อีกร้อยละ 5 อาศัยนอกบ้าน ตามป่า หรืออยู่ตามภาชนะที่มีนํ้าขังได้ เช่น กระถางแตก ตามไม้ไผ่ (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 24 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ไทยอ่วมซื้อยาแพงขึ้นเหตุอินเดียใช้ก.ม.สิทธิบัตร หวั่นกระทบการเข้าถึงยาของคนจน ชี้ทางออกต้องเร่งวิจัยพัฒนาตัวยาใหม่ๆ

.ดร.ภักดี โพธิศิริ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยถึงกรณีประเทศอินเดียออกกฎหมายสิทธิบัตร ตามข้อตกลงทรัพย์สินทางปัญญาขององค์การการค้าโลก ซึ่งจะส่งผลต่อราคายาในประเทศไทย ว่า เรื่องนี้ความจริงทางประเทศอินเดียควรจะบังคับใช้กฎหมายนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา ตามข้อผูกพันภายใต้ข้อตกลง ทริปส์ขององค์การการค้าโลก (WTO) สำหรับผลกระทบต่อประเทศไทยนั้น ศ.ดร.ภักดี กล่าวว่า ขณะนี้อาจยังไม่ส่งผลกระทบโดยตรง แต่อนาคตจะเกิดผลกระทบอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในเรื่องของตัวยาใหม่ เดิมเราจะนำเข้าวัตถุดิบและตัวยาจากประเทศอินเดีย เพราะเขาสามารถทำเลียนแบบขึ้นมาได้เนื่องจากยังไม่มีกฎหมายบังคับใช้ โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมให้กับเจ้าของสูตรยา ทั้งนี้ ทางออกประเทศไทยต้องเร่งรัดการวิจัยและพัฒนา โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนจะต้องหันหน้าเข้าหากันและดึงทรัพยากรที่มีอยู่มาร่วมกันพัฒนาในการผลิตตัวยาใหม่ๆ ขึ้นมาให้ได้ ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนก่อนที่จะเดินเข้าไปเป็นผู้คิดค้นยาใหม่ได้เอง ณ วันนี้เรายังต้องซื้อยาราคาแพง เพราะบริษัทยาจะกำหนดราคายาเท่าไรก็ได้ ซึ่งเราไม่มีกลไกในการควบคุม ดังนั้นจึงต้องคิดแล้วว่าจะมีกลไกอะไรในการต่อรองเพื่อกำหนดเงื่อนไขเรื่องราคายากับทางบริษัทยา อย่างไรก็ตามหากราคายายังคงสูงเกินไป เราอาจใช้กฎหมายบังคับใช้สิทธิบัตรเพื่อผลิตยาเลียนแบบ โดยอาจให้องค์การเภสัชกรรม(อภ.) หรือบริษัทยารายใดเป็นผู้ผลิต เพื่อประโยชน์ทางสาธารณสุข ที่ผ่านมาไทยประสบปัญหาการจดสิทธิบัตรยาเนื่องจากบริษัทยาได้มีการปรับสูตรยาเพียงเล็กน้อยและนำกลับมาจดสิทธิบัตรยาใหม่ทำให้ขยายระยะเวลาคุ้มครองสิทธิบัตรมากขึ้น ซึ่งตรงนี้ถือว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญาถูกหลอก เพราะไม่มีความรู้ในเรื่องของยาดีพอ ถือเป็นข้อเสีย นอกจากนี้เลขาธิการฯ อย. ยังได้แสดงความเป็นห่วงในเรื่องการเจรจาเอฟทีเอกับสหรัฐในเรื่องของยา เนื่องจากทางสหรัฐจะต้องรุกในเรื่องนี้อย่างแน่นอน เพราะมีผลประโยชน์มหาศาล ซึ่งมีการให้ข้อมูลบิดเบือนกับทางสหรัฐ เพื่อนำมาบีบเราโดยอ้างข้อกฎหมายมาตรา 301 ขอใช้ ทริปส์ พลัส ในการขยายสิทธิบัตร (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 25 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ไขปริศนามือถือบึ้มปั๊มจริงหรือ

ดร.อดัม เบอร์เกส จากมหาวิทยาลัยเคนท์ ในอังกฤษ บอกว่า ในช่วง 11 ปีที่ผ่านมา เกิดเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นที่ปั๊มน้ำมันจำนวน 243 แห่งทั่วโลก ที่อ้างว่าเกิดจากมือถือนั้น ดูไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริงไฟฟ้าสถิตในร่างกายเราก็น่าจะก่อเหตุสลดนั้นได้เช่นกัน ดังนั้น เรื่องราวระหว่างมือถือและปั๊มน้ำมัน จึงยังคงเป็นข่าวลือและเรื่องเล่าขานที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่แจ่มชัด ดร.เบอร์เกส เชื่อว่าต้นเหตุของความเชื่อน่าจะมาจากความรู้สึกที่ต้องการป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายร้ายแรงขึ้นมากกว่า โดยได้รับแรงกระตุ้นจากโศกนาฏกรรมแท่นขุดเจาะน้ำมันไปเปอร์ อัลฟาเกิดระเบิดขึ้นเมื่อปี 2531 จนทำให้มีคนงานเสียชีวิตมากถึง 167 คน ในบริเวณชายฝั่งทะเลของสกอตแลนด์ และเหตุการณ์นี้เองที่ส่งผลให้ทุกหน่วยงานหันมาให้ความสนใจกับเรื่องความปลอดภัยมากขึ้น ดร.เบอร์เกส บอกว่า การห้ามใช้มือถือในปั๊มน้ำมัน เป็นการเตือนภัยโดยสัญชาตญาณ ขณะที่คำเตือนของบรรดาผู้ผลิตมือถือที่ไม่ให้ใช้มือถือในปั๊มน้ำมัน เพราะอาจเสี่ยงต่อการเกิดประกายไฟนั้น ยิ่งย้ำความเชื่อให้หนักแน่นขึ้นไปอีก ซึ่งจริงๆ แล้ว มือถือใช้ไฟแรงดันต่ำมาก ไม่น่าจะก่อให้เกิดเหตุระเบิดได้ อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติยังคงใช้ข้อบังคับไม่ให้ใช้มือถือในสถานที่ต้องห้ามดังกล่าวอยู่ แม้จะยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่แจ่มชัดออกมาให้เห็นกันโดยถ้วนหน้าก็ตาม (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 25 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





พิธีสารส่องออกผักผลไม้ไทย-จีนบังคับใช้ กรมวิชาการเร่งชาวสวนเข้าระบบ GAP

นายฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ อธิบดรกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า จากความร่วมมือด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชระหว่างประเทศไทยกับจีน โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ร่วมลงนามในพิธีสารการส่งออกผักและผลไม้ กับกระทรวงควบคุมคุณภาพและตรวจสอบกักกันโรค(AQSIQ)ของจีน ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2548 นี้ โดยข้อสรุปของพิธีสารดังกล่าว ได้กำหนดมาตรการดำเนินการด้านศัตรูพืชและสารตกค้างต่างๆ ในผักผลไม้จากจีนมาไทย ได้แก่ แอปเปิล แพร์ พืชตระกูลส้ม พุทรา และองุ่น และจากไทยไปจีน 5 ชนิด คือ ทุเรียน มะม่วง มังคุด ลิ้นจี่ และลำไย โดยเฉพาะลำไย ทุเรียน และมะม่วงของไทยที่จะส่งออกไปจีนต้องมาจากสวนที่ได้รับการับรองการรับรองระบบเกษตรดีที่เหมาะสมหรือ GAP จากกรมวิชาการเกษตร ซึ่งคาดว่าจะมีมากกว่า 20,000 สวนที่พร้อมจะเข้าสู่ระบบ GAP ได้ในขณะนี้ โดยพิธีสารดังกล่าวจะทำให้เกิดการสร้างเครือข่ายระหว่างเกษตรกร ผู้ตรวจรับรองแหล่งผลิต โรงคัดบรรจุ รวมถึงผู้ส่งออก ซึ่งจะสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ในกรณีที่สินค้ามีปัญหา โดยเฉพาะเรื่องสารพิษตกค้าง ว่ามาจากสวนใด ซึ่งจะสามารถตรวจสอบได้จากโค้ด(Code)ที่ติดอยู่กับภาชนะบรรจุสินค้า อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการควรมีการเตรียมการล่วงหน้า โดยจะต้องเร่งยื่นขอรับรองแหล่งผลิตตามระบบ GAP และโรงคัดบรรจุสินค้าต้อองเข้าสู่ระบบ GMP ซึ่งผลไม้ 5 ชนิดดังกล่าวที่จะส่งไปจีนต้องมีสลากติดกับภาชนะที่บรรจุ โดยระบุทะเบียนผู้ส่งออก ทะเบียนโรงบรรจุสินค้า และมีทะเบียนสวนด้วย ส่วนสินค้าพืชผักและผลไม้อื่นๆ ที่มีการค้าขายกันอยู่นอกเหนือจากที่บรรจุไว้ในพิธีสาร ประเทศจีนจะไม่ออกมาตรการพิเศษใดๆ ที่จะเป็นอุปสรรคกับการค้าของไทย เพื่อไม่ให้เกิดการหยุดชะงักทางการค้า (สยามรัฐรายวัน ศุกร์ที่ 25 มี.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





อมตะทุ่มงบฯหลายสิบล้านให้รางวัลศิลปิน-นักเขียน หนุนเด็ก"อัจฉริยะ"สายวิทย์แต่ย้ำต้องยากจนจริง

นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานมูลิธิอมตะ กล่าวตอนหนึ่งในการแถลงเปิดตัวหนังสือ "มองโลกแบบวิกรม" เมื่อเร็วๆ นี้ที่ศูนย์แห่งชาติสิริกิติ์ว่า เป็นหนังสือเล่มที่ 2 ที่เขียนต่อจากเรื่องแรก คือเรื่อง "ผมจะเป็นคนดี" ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและการศึกษา โดยให้ "วิมล ไทรนิ่มนวล" นักเขียนรางวัลซีไรท์ ช่วยเรียบเรียง ทั้งนี้ มีเป้าหมายจะเขียนหนังสือทั้งหมด 6 เล่ม เล่มที่ 3 เป็นเรื่อง "ผมจะเป็นคนดี เล่ม 2" เล่มที่ 4 เป็นเรื่อง "ความรัก" ของตนเอง เล่มที่ 5 เป็นเรื่อง "คนล่าฝัน" และเล่มที่ 6 เรื่อง "เมื่อวันนั้นมาถึง" นายวิกรมกล่าวอีกว่า ขณะนี้มูลนิธิอมตะได้บริจาคเงิน 50 ล้าน เพื่อสนับสนุนให้ศิลปินมีกำลังใจในการทำงานและเพื่อค้นหาอัจฉริยะในวงการศิลปิน โดยได้ตั้งรางวัล อาร์ตจีเนียส อะวอร์ด ปรากฏว่ามีศิลปินส่งผลงานมาร่วมเกือบ 400 ชิ้น เชื่อว่าอีก 10 ปี จะมีศิลปินเกิดขึ้นมหาศาล และยังมีโครงการอมตะ ไรท์เตอร์ อะวอร์ด ให้รางวัลแก่นักเขียนที่มีผลงานดีเด่น 1 ล้านบาท ปีหนึ่งจะจัดงบฯให้ 2 ล้าน 10 ปี จะได้เงิน 20 ล้าน นอกจากนี้ยังมีโครงการส่งเสริมเด็กอัจฉริยะทางวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างเวทีหาคนเก่ง โดยจะคัดเลือกเด็กที่มีความสามารถพิเศษ ในสายวิทยาศาสตร์ แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นเด็กจนเท่านั้น ซึ่งทางมูลนิธิจะให้ทุนทางการศึกษา และจะสนับสนุนการทำวิจัย (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 25 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





มหัศจรรย์รูปจิ๋วแค่1ม.ม.รัชกาลที่4

เมื่อวันที่ 24 มี.ค. ที่สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ร่วมกับหนังสือศิลปวัฒนธรรม จัดบรรยายพิเศษเรื่อง "มหัศจรรย์รูปจิ๋ว 1 ม.ม. รัชกาลที่ 4" ขึ้น โดยได้ประสานกับพิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีทางภาพ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้เชิญ Mrs.Jean Scott นักสะสมของเก่าชาวอังกฤษ ที่ได้นำ "สมบัติล้ำค่า" ของตระกูล Dagron เจ้าของเทคนิคการทำรูปจิ๋วรายแรกเมื่อ 150 ปีก่อน มาจัดแสดงและบรรยายว่า ประวัติและเทคนิคการถ่ายภาพขนาดจิ๋วที่ใส่ลงไปในเครื่องประดับต่างๆ นั้นอยู่ในช่วงพ.ศ. 2396 หรือค.ศ. 1853 ซึ่งตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.4) ที่ทรงสนพระทัยและได้ส่งพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ พระราชโอรสและพระบรมวงศ์ไปทำภาพขนาดจิ๋วนี้ โดยมีหลักฐานเอกสารจดหมายเหตุพระราชหัตถเลขาที่ทรงโต้ตอบกับนาย Rene Dagron ช่างภาพชาวฝรั่งเศสและเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องมือและคิดค้นเทคนิคการถ่ายภาพขนาดจิ๋วในสมัยนั้น พร้อมด้วยพระบรมฉายาลักษณ์ปัจจุบันได้เก็บรักษาอยู่ที่ Dagron Family Archives ที่ประเทศฝรั่งเศส Mrs.Jean กล่าวต่อว่า เทคนิคการทำภาพถ่ายขนาดจิ๋วได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในเวลานั้น เป็นการนำภาพขนาดเล็กบรรจุในของที่ระลึกและเครื่องใช้ที่มีขนาดเล็ก มีรูปแบบหลากหลาย เช่น พวงกุญแจ ตลับเมตร ขวดน้ำหอม ต่างหู เป็นต้น สามารถส่องมองเห็นภาพได้ด้วยตาเปล่า ส่วนใหญ่เป็นภาพสถานที่ บุคคลสำคัญต่างๆ เช่น พระมหากษัตริย์ และเหตุการณ์สำคัญๆ ในช่วงเวลานั้น ซึ่งเป็นที่รู้จักของสังคมชั้งสูงและขยายเป็นของที่ระลึกในประเทศต่างๆ การสั่งซื้อจะสั่งทางไปรษณีย์ เมื่อร.4 สวรรคตก็ไม่ได้มีการติดต่ออีกเลย นางโสมสุดา ลียะวณิช ผอ.สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กล่าวว่า ข้อมูลตรงนี้ค่อนข้างสำคัญมาก เพราะในหอจดหมายเหตุนั้นไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นนามบัตรของร.4 ที่ทรงให้กับประมุขทางยุโรป และนาย Rene Dagron ไว้ จดหมายโต้ตอบและอื่นๆ สิ่งที่ Mrs.Jean นำมาถือเป็นของส่วนตัวและส่วนใหญ่เอกสารก็เป็นสำเนา แต่ทราบว่าภาพดังกล่าวเหล่านี้มีแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีทางภาพ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่ง Mrs.Jean บอกว่าจะส่งภาพที่ชัดเจนมากกว่านี้มาให้ดูใหม่ และทางเราคงจะมีการจัดนิทรรศการเพื่อให้ประชาชนได้รับทราบถึงรายละเอียดส่วนนี้ต่อไป ขณะนี้ทราบว่าเหลนของนาย Rene Dagron เก็บไว้เป็นส่วนตัว ไม่ได้มีการแสดง แต่เราก็มีความหวังว่าเขาอาจจะยกให้ หากถ้าไม่ให้สิ่งของดังกล่าวก็ตกเป็นของรัฐบาลฝรั่งเศส ซึ่งเราคงไม่ไปตามซื้อกลับเพราะถือเป็นสิ่งของส่วนตัว (ข่าวสด ศุกร์ที่ 25 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215