หัวข้อข่าวปีที่ 6 ฉบับที่ 27 ประจำวันที่ 2005-07-17

ข่าวการศึกษา

ย้ำระบบแอดมิสชันไม่มีทางลดการกวดวิชาลงได้
"พระเทพฯ"ทรงเปิดประชุมอธิการบดีนานาชาติ 2อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์-คอสตาริกาเข้าร่วม
เอเจเอฟ-สกอ.จัดแข่งขันลงทุนทางเน็ต
ชี้ผลเสียกวดวิชาฉลาดทำข้อสอบแต่โง่เรียนรู้
เด็กไทยคว้า 5 เหรียญฟิสิกส์โอลิมปิก
ครม.ทุ่ม 6,380 ล้านจัดตั้งกองทุนกรอ.
ยุบสูตร"อักษร-ศิลปศาสตร์-มนุษย์"เหลือ9แบบ
ไทย-จีนรับรองวุฒิระดับ ป.ตรีกันและกัน
หลักสูตร "ผู้นำ" ขาดแคลน
สกว.รุกพัฒนาครูวิทยาศาสตร์
เสนอ"ครม."เพิ่มเงินเดือน "พนง."มหาวิทยาลัย2ต่อ
พาณิชย์ฯมธ.แจ๋วจัดหลักสูตรเรียน"ตรีควบโท"5ปี คุยเรียนจบเก่งเรื่องธุรกิจ-จัดติว17ก.ค.ศูนย์สิริกิตติ์
KITS ศูนย์ไอทีครบวงจรของชาวมก.
ผู้ทรงคุณวุฒิพ้ออุดมศึกษาไทยตกต่ำ

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

ไอซีทีดันอี-กัฟเวิร์นเม้นท์กระตุ้นคนใช้เน็ต
สุดยอดดีไซเนอร์แก้วครั้งแรกในไทย
“กัลปังหา” เป็นสัตว์ทะเล แต่กฎหมายห้ามมีไว้ในครอบครอง
รีดยางจากกบ “กางเขนศักดิ์สิทธิ์” ใช้เป็นกาวปิดติดแผลผ่าตัดใหญ่
ใกล้ประกาศแผนแม่บทโทรคมนาคม
สารพัดเคล็ดลับ ฉลาดปลูกบ้านแบบประหยัดพลังงาน
สหรัฐเตรียมใช้ปืนคลื่นอิเล็กทรอนิกส์ ยิงให้ตายหรือแค่สลบเหมือดก็ได้
ตรวจมะเร็งเต้านมทางไกล
ป้ายรถเมล์อัจฉริยะกลางเดือนใช้ 2 สาย
การจัดการน้ำแบบบูรณาการ บูรณาการอะไร?
พีดีเอโฟนเชื่อมดาวเทียมแจ้งเส้นทางก่อนเดินทาง
หาคนไทยเก่งซอฟต์แวร์ ประชันเวทีเอเชียแปซิฟิก
จุฬาฯผุดโรงงานกลั่นน้ำทะเล ผลิตน้ำจืดป้อนวิทยาเขตเกาะสีชัง
ญี่ปุ่นส่งยานอวกาศสำรวจกาแล็กซี-หลุมดำ
สธ.ผลิตมุ้งชุบเคมีน็อคยุง แจกสวนยางกันมาลาเรีย
สนุกกับ “นิทรรศการแม่เหล็ก” ที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์
สกัดติดสร้าง “มนุษย์วานร” ด่วน หวั่นเกิดลิงหัวแหลมเท่ากับคน
โดเมนเนมใหม่สำหรับมือถือ .mobi
เผยสึนามิ 26ธ.ค.เปลือกโลกร้าวถึงคุนหมิง

ข่าววิจัย/พัฒนา

ตื่นสับปะรดมียาขนานทรงพลังรักษามะเร็งได้เกือบหมดทุกชนิด
ดื่มน้ำขวางมะเร็งกับโรคหัวใจหนีห่างโรคได้ไกลถึงครึ่งเท่า
สารสกัดสมุนไพรไทยยับยั้งศัตรูพืช
อย่าขังเด็กในรถจอดเป็นอันขาด อากาศภายในร้อนขึ้นได้รวดเร็ว
ผลิต “เนื้อวิทยาศาสตร์” ขึ้นได้แล้วใช้บริโภคแทนเนื้อวัวควายกันได้
นำของเหลือใช้จากการผลิตสุราแช่ แปรรูปเป็นปุ๋ยหมักประสิทธิภาพเยี่ยม
เปิดตัว “ฟาร์มต้นแบบบำบัดน้ำทิ้งจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ” ฟื้นทะเลสาบสงขลา สานฝันเกษตรรายย่อยสู่ COC
บริษัทยาจีนคุย พัฒนายาเอดส์ รุ่นใหม่สำเร็จ
รักษามะเร็งด้วยคณิตศาสตร์
จีนอ้างคิดยาป้องกันโรคเอดส์ ราคาถูกกว่ายาฝรั่งด้วยกันมาก
ศึกษาโปรตีนในนมช่วยน้องในชนบท
‘เครื่องหั่นกล้วยฉาบ’ เอาใจกลุ่มแม่บ้านแปรรูปผลิตภัณฑ์
วิจัยปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุด นำร่องพืชเศรษฐกิจส่งออก 8 ชนิด
มังคุดทำลายเซลล์มะเร็งเล็งทำยาดียื้อชีวิตผู้ป่วย
โปรแกรมวางแผนเรียน ฝีมือมจธ.-คำนวณให้เสร็จจนจบปริญญา
สหรัฐโชว์รถบินส่วนบุคคล ขับขี่ได้จริงตั้งราคา2แสนบ.
นักวิจัยคิดสูตรคลอเรตปลอดระเบิด
ขวดติดชิพบอกคุณภาพไวน์
เภสัชฯสกัดเศษผักทำ'ยาเม็ดลอยตัว' เหมาะผลิตยากระเพาะ
แบคทีเรียสีทองเป็นเชื้อโรคร้าย หุ้มเกราะป้องกันภูมิคุ้มโรคได้
มข.สร้างจักรยานติดเครื่องสู้น้ำมันแพง
ผอ.FIBO "ชิต เหล่าวัฒนา" มุ่งมั่นปลดแอกเมืองขึ้นเทคโนโลยี
"ยีนส์"กำหนด"คอเลสเตอรอล"
สารสกัด"หญ้าหวาน" ธุรกิจมีอนาคต

ข่าวทั่วไป

"ข้าวกล้อง" กับสารก่อมะเร็ง
จับตา ISO 26000 มาตรฐานสากลใหม่ "ความรับผิดชอบต่อสังคม"
เตือนพลโลกจะทะลุ 6.5 พันล้าน ปีหนึ่งๆ เพิ่มมากเท่ากับทั้งประเทศ
รับรองโรงคัด-แปรรูปสินค้าเกษตรได้มาตรฐานโลก
“บุหงาใบโพธิ์” งานฝีมือ สร้างรายได้
จีนเปิดคลินิกเด็กติดเน็ต ปรับสมดุลสมอง-ฝังเข็มรักษา
หนุนแพทย์ทางเลือก’ไคโรแพรกติก’น่าสน
พบกระดูกมนุษย์ อายุกว่า4,000ปี





ข่าวการศึกษา


ย้ำระบบแอดมิสชันไม่มีทางลดการกวดวิชาลงได้

การอภิปรายเรื่อง “แอดมิสชันเข้ามหาวิทยาลัย” ซึ่งจัดโดยมหาวิทยาลัยเอเชียน เมื่อเร็ว ๆ นี้ รศ.ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า โดยส่วนตัวมองว่าไม่ว่าระบบเอนทรานซ์หรือระบบแอดมิสชัน ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาของการอุดมศึกษาได้ เนื่องจากยังไม่สามารถเปลี่ยนค่านิยมผู้ปกครองและเด็กที่ว่าจบ ม.ปลาย แล้วจะต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัยชื่อดังหรือคณะยอดนิยมได้ แม้แต่การกวดวิชาก็ไม่ลดลงกลับมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น เพราะนอกจากจะต้องกวดวิชาเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ในโรงเรียนก็ต้องกวดวิชาเพื่อให้ได้คะแนนเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นจึงอยากบอกว่าถ้าเด็กอยากจะกวดวิชาก็ให้ไปกวดได้เลย แต่ไม่ใช่เป็นการกวดวิชาตลอดปีควรจะกวดเฉพาะช่วงใกล้สอบเพื่อให้เกิดความมั่นใจ ถ้าสอบไม่ได้ก็จะได้ไม่ต้องมาโทษกันระหว่างเด็กกับผู้ปกครอง “เวลานี้คงจะเปลี่ยนระบบแอดมิสชันไม่ได้แล้ว ดังนั้นนักเรียนทุกคนต้องทำใจและตั้งใจเรียนให้เต็มที่ และต้องช่วยกันลดค่านิยมที่ว่า ถ้าเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้จะไม่มีโอกาสและชีวิตจะตกต่ำ รวมทั้งผู้ปกครองก็ต้องไม่กดดันลูก ควรให้ลูกได้เรียนตามสบาย อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่าระบบแอดมิส ชันคงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 5 ปี หรืออย่างเก่งไม่เกิน 10 ปีก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง โดยขณะนี้หลายมหาวิทยาลัยต้องยอมทำตามระบบแอดมิสชันไปก่อน แต่เมื่อถึงจุดที่ต้องออกนอกระบบการแข่งขันทุกส่วนจะต้องเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะเรื่องของการคัดเลือกเด็ก เพื่อให้ได้เด็กที่เก่ง ทำให้มหาวิทยาลัยจะต้องหาทางออกเพื่อให้สามารถรับตรงได้มากขึ้น” รศ.ดร.ไพฑูรย์กล่าว ด้าน ศ.ดร.อุทุมพร จามรมาน ประธานคณะทำงานศึกษาระบบแอดมิสชัน กล่าวว่า ขณะนี้หลักเกณฑ์และองค์ประกอบต่าง ๆ ของระบบแอด มิสชันใกล้จะลงตัวแล้ว ซึ่งตนอยากให้เด็ก อาจารย์ และผู้ปกครองคอยติดตามข้อมูลทางเว็บไซต์หลัก ๆ ดังนี้ www.cuaf.or.th, www.entrance. mis.mua.co.th, www.ntthailand.com อย่างไรก็ตามขณะนี้ได้มีคำถามเข้ามามากว่าระบบแอดมิสชันจะช่วยให้เด็กลดการกวดวิชาได้หรือไม่ ซึ่งตนเห็นว่าการกวดวิชากับแอดมิสชันไม่เกี่ยวกันเลย และระบบแอดมิสชันก็ไม่ได้ช่วยให้การกวดวิชาลดลงได้ (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 11 ก.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





"พระเทพฯ"ทรงเปิดประชุมอธิการบดีนานาชาติ 2อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์-คอสตาริกาเข้าร่วม

ดร.พรชัย มงคลวนิช อธิการบดีมหาวิทยาลัยสยามและนายกสมาคมอธิการบดีนานาชาติ เปิดเผยว่า ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสมาคมอธิการบดีนานาชาติ ครั้งที่ 14 ระหว่างวันที่ 11-15 กรกฎาคม ในหัวข้อ "ความท้าทายของโลกาภิวัตน์และบทบาทของอุดมศึกษา" ที่มหาวิทยาลัยสยาม และมีการจัดนิทรรศการในวันที่ 13-15 ที่โรงแรมรอยัล คลิฟ บีช รีสอร์ท และศูนย์ประชุมและการจัดนิทรรศการ พัทยา โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯเป็นองค์ประธานเปิดการประชุม ในเวลา 13.00 น. วันที่ 11 กรกฎาคม พร้อมกันนั้นยังมีวิทยากรกิตติมศักดิ์ให้เกียรติร่วมเปิดงานหลายท่าน ได้แก่ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายฟิเดล รามอส อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ และ Dr.Rodrigo C arazo อดีตประธานาธิบดีคอสตาริกา การประชุมครั้งนี้มีสมาชิกจากสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ กว่า 600 แห่ง จาก 100 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วม ประกอบด้วยการอภิปรายประเด็นที่น่าสนใจต่างๆ เช่น โลกาภิวัตน์กับการศึกษาเพื่อสันติภาพ,โลกาภิวัตน์กับความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงอุดมศึกษา, คุณภาพและความท้าทายของนวัตกรรม, การส่งเสริมโอกาสการเข้าถึงอุดมศึกษาของชนกลุ่มน้อยและผู้ด้อยโอกาส, การประกันคุณภาพการศึกษา, ผลกระทบของโลกาภิวัตน์ต่ออุดมศึกษา, ผลกระทบของเทคโนโลยีการศึกษา ฯลฯ ซึ่งมีวิทยากรกิตติมศักดิ์หลายท่าน เช่น คุณหญิงสุชาดา กีระนันท์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอธิการบดีจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในหลายประเทศ สิ่งที่ต้องรีบดำเนินการด้านการประกันคุณภาพการศึกษาระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศที่กำลังพัฒนาคือให้นักศึกษาระดับอุดมศึกษาสามารถเรียนข้ามประเทศได้ เช่น ให้นักศึกษาระดับปริญญาโทสามารถเรียนที่ประเทศเยอรมนี 1 เทอม เรียนที่ประเทศจีน 1 เทอม และเรียนที่ญี่ปุ่น 1 เทอม จากนั้นถึงรับปริญญาที่ประเทศใดประเทศหนึ่ง ในส่วนของประเทศไทยทราบว่ายังไม่ได้พัฒนาถึงขั้นนี้ เนื่องจากมาตรฐานการศึกษายังไม่ได้รับการรับรองจากประเทศอื่น ซึ่งต้องมีมาตรฐานที่ใกล้เคียงกัน จึงต้องมีสมาคมที่ทำหน้าที่รับรองคุณภาพการศึกษาให้สามารถโอนย้ายไปเรียนประเทศอื่น (มติชน จันทร์ที่ 11 ก.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





เอเจเอฟ-สกอ.จัดแข่งขันลงทุนทางเน็ต

นายเรืองวิทย์ นันทาภิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อยุธยาเจเอฟ จำกัด (เอเจเอฟ) เปิดเผยว่า เอเจเอฟร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) จัดโครงการ AJF Young Fund Award 2005 ปีที่ 5 เพื่อชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รวมทั้งทุนการศึกษามากมาย การแข่งขันดังกล่าวเป็นการแข่งขันลงทุนทางอินเตอร์เน็ตสำหรับนิสิตนักศึกษาระดับอุดมศึกษาทั่วประเทศ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ตราสารหนี้ และตราสารทุน รับสมัคร 200 ทีม ทีมละ 3 คน ใช้ระยะเวลาในการแข่งขันรวม 50 สัปดาห์ โดยในปีนี้ เอเจเอฟมีวัตถุประสงค์เพิ่มการพัฒนาด้านความรู้ควบคู่กับความสามารถในทางปฏิบัติของผู้แข่งขัน จึงได้เพิ่มการสอบภาคทฤษฎี 30% ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดีจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมอบหมายให้สถาบันพัฒนาความรู้ตลาดทุนเป็นผู้จัดสอบก่อนการแข่งขันภาคปฏิบัติผ่านระบบอินเตอร์เน็ต 70% ผู้สนใจดาวน์โหลดแบบฟอร์มใบสมัครได้จากเว็บไซต์ www.ajfaward.com และรับสมัครทางโทรสาร 0-2263-0199 ในวันที่ 11-12 กรกฎาคม สอบถาม โทร.0-2657-5757 ต่อ 7000 (ข่าวสด จันทร์ที่ 11 ก.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ชี้ผลเสียกวดวิชาฉลาดทำข้อสอบแต่โง่เรียนรู้

ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยความคืบหน้าในการกำหนดสัดส่วนองค์ประกอบระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษา หรือระบบแอดมิสชัน ของกลุ่มสาขาวิชาสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ว่า ในกลุ่มสาขาดังกล่าวมีความแตกต่างกันมาก แต่ละกลุ่มก็จะเสนอสัดส่วนองค์ประกอบในหลายรูปแบบ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ตนเห็นว่าจะสร้างความลำบากให้กับนักเรียนมาก คือเด็กจะเกิดความสับสน เพราะมีหลายรูปแบบ และเด็กมีความเสี่ยงเลือกรูปแบบผิดพลาดได้ ซึ่งผลเสียก็จะตกมาอยู่ที่เด็ก อย่างไรก็ตาม สำนักทดสอบกลางจะพยายามจัดกลุ่มและรูปแบบน้อยที่สุด โดยเบื้องต้นจะทำให้เหลือ 8 รูปแบบ จากนั้นจะทำหนังสือถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัย เพื่อชี้แจงเหตุผลต่าง ๆ และให้คณะวิชาเลือกสัดส่วนองค์ประกอบ ต่อข้อถามที่มีข่าวว่าสำนักพิมพ์เอกชนจัดพิมพ์ตัวอย่างข้อสอบแบบทดสอบขั้นพื้นฐาน หรือ O-NET และข้อสอบแบบทดสอบชั้นสูง หรือ A-NET จำหน่ายนั้น เลขาธิการ กกอ. กล่าวว่า ตนยืนยันได้ว่าขณะนี้ทางสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ยังสร้างข้อสอบไม่เสร็จ อย่างไรก็ตามสิ่งน่าห่วงมากเวลานี้คือ ที่ผ่านมานักเรียน ม.ปลายมุ่งกวดวิชา เพื่อสอบเอนทรานซ์ โดยมุ่งกวดวิธีการสอบ แต่เมื่อเข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็พบว่า พื้นฐานความรู้มีไม่เพียงพอจึงทำให้ไม่สามารถเรียนปี 1 ได้ และที่เลวร้ายมากกว่านั้นคือ เด็กเหล่านี้จะกลับไปขอความช่วยเหลือจาก ร.ร.กวดวิชา ดังนั้น ร.ร.กวดวิชาจึงเปลี่ยนแปลงตัวเองจากการโฆษณาว่ากวดวิชาเพื่อสอบ O-NET และ A-NET แล้ว ยังมีการกวดวิชาเพื่อการเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 ด้วย ด้าน ศ.ดร.อุทุมพร จามรมาน ประธานคณะทำงานศึกษาระบบแอดมิสชัน กล่าวถึงกรณีที่เด็กจำนวนมากกังวลเกี่ยวกับข้อสอบ O-NET ที่อาจจะทำให้นักเรียนสายวิทย์ได้เปรียบเด็กสายศิลป์ เนื่องจากเด็กสายวิทย์จะมีพื้นฐานเข้มกว่าว่า เรื่องการได้เปรียบหรือเสียเปรียบขึ้นอยู่กับตัวข้อสอบที่ว่าผู้ออกข้อสอบจะมีฝีมือในการออกข้อสอบมากน้อยเพียงใด ตนจึงอยากฝากคนที่จะมาออกข้อสอบว่าควรจะต้องมีความรู้ในเนื้อหาที่จะออกเป็นอย่างดี ตีโจทย์แตก และรู้เทคนิควิธีการออกข้อสอบว่าข้อสอบจะวัดอะไร เพราะข้อสอบที่จะวัดความรู้ วัดความเข้าใจ วัดความคิดวิเคราะห์ และวัดความจำจะไม่เหมือนกัน. (เดลินิวส์ อังคารที่ 12 ก.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





เด็กไทยคว้า 5 เหรียญฟิสิกส์โอลิมปิก

น.ส.ดาราวรรณ เหลืองอร่ามโชติ หัวหน้าสาขาโอลิมปิกวิชาการและพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เผยว่า ตามที่ประเทศไทยได้ส่งผู้แทนนักเรียนจำนวน 5 คน เข้าร่วมการแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ณ เมืองซัลลาแมนกา ประเทศสเปน ระหว่างวันที่ 3-12 ก.ค. ที่ผ่านมา ผลการ แข่งขันปรากฏว่าผู้แทนประเทศไทยสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการคว้ารางวัลมาครองได้ถึง 5 เหรียญ แบ่งเป็นเหรียญทอง 2 เหรียญ ได้แก่ นายภัคพงศ์ จิระรัตนานนท์ และนายอภิวัฒน์ เกรียงวัฒนากุล จาก ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เด็กไทยประสบความสำเร็จคว้าเหรียญทองมาได้ถึง 2 เหรียญ ทองพร้อมกัน ทั้งยังได้เหรียญเงินอีก 2 เหรียญ ได้แก่ นายรณชัย เจริญศรี จาก ร.ร.สวนกุหลาบ และนายวุฒิวัฒน์ เกรียงวัฒนากุล จาก ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา และเหรียญทองแดงอีก 1 เหรียญ ได้แก่ นายเพชระ ภัทรกิจวานิช จาก ร.ร.มหิดลวิทยานุสรณ์ จ.นครปฐม โดยผู้แทนประเทศไทยที่เข้าร่วมการแข่งขันฟิสิกส์ครั้งนี้ และคณะอาจารย์ที่ปรึกษาจะเดินทางกลับถึงประเทศไทยในวันที่ 14 ก.ค. นี้ เวลา 06.45 น. ด้วยสายการบินไทยเที่ยวบินที่ TG 921 หัวหน้าสาขาโอลิมปิกวิชาการและพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และ คณิตศาสตร์ สสวท. กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาผู้แทนประเทศไทยยังไม่เคยสามารถ คว้าเหรียญทองฟิสิกส์โอลิมปิกวิชาการได้พร้อมกันถึง 2 เหรียญ ถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของประเทศไทย นับตั้งแต่มีการส่งนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ และความจริงเท่าที่ดูข้อมูลคะแนนของเด็กทั้ง 5 คนแล้ว เป็นที่น่าเสียดายว่านายรณชัยทำคะแนนขาดไปเพียง 0.1 คะแนน ขณะที่นายวุฒิวัฒน์ ทำคะแนนขาดไปเพียง 0.3 คะแนน ก็จะได้เหรียญทองมาครองได้เป็นผลสำเร็จ (ไทยรัฐ พุธที่ 13 ก.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ครม.ทุ่ม 6,380 ล้านจัดตั้งกองทุนกรอ.

เมื่อวันที่ 12 ก.ค.48 นายอดิศัย โพธารามิก รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภาย หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการให้จัดตั้งกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) หรือ Income Contigent Loan(ICL) โดยให้ใช้งบประมาณจำนวน 6,380 ล้านบาท และกองทุนเงินให้เปล่า จำนวน 4,330 ล้านบาท ที่จะเริ่มดำเนินการในปี 2549 ทั้งนี้ ครม.ได้มอบหมายให้คณะผู้บริหารกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.) เดิม เป็นผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการกองทุน กรอ. ซึ่งจะต้องมีการพิจารณาการให้กู้ยืมเงินนักเรียน และวางแผนการกู้ยืมเงินของกรอ.ในปี 2549 สำหนับกองทุนเงินให้เปล่าที่จะให้ กยศ.เป็นผู้ดูแลนั้น ขณะนี้ได้รับอนุมัติงบประมาณมาเพียง 800-900 ล้านบาทก่อน โดยกองทุนเงินให้เปล่าจะเป็นกองทุนที่จะมอบให้แก่ นักเรียนยากจน แต่เรียนดีในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายทั้งสายสามัญและสายอาชีพต่อเนื่อง ในระยะยาวและจะมีการประเมินผลปีต่อปีว่าเด็กจะควรได้รับทุนต่อหรือไม่ ในเบื้องต้นเด็กที่จะได้รับทุนนี้จะต้องมีคุณสมบัติ มีความยากจนรายได้ของพ่อแม่ผู้ปกครอง 100,000 บาทต่อปีหรือ 150,000 บาทต่อปียังไม่ได้ข้อสรุป มีผลการเรียนดีและมีความประพฤติดี ซึ่งผู้จะได้รับทุนจะต้องผ่านการประเมินจากกองทุนคาดว่าจะสามารถช่วยเหลือเด็กยากจนได้หลายแสนคนทั่วประเทศ ซึ่งในปี 2549 เงินกู้ยืม กยศจะไม่มีการให้กู้ยืม เพราะมีเพราะจะมีกองทุนเงินให้เปล่าและกรอ.มาทดแทน และในส่วนของผู้ที่กู้ยืมเงินกยศ.มาก่อนหน้านี้ก็ยังต้องมีการชำระเงินกู้ยืมต่อไป ด้านนายเปรมประชา ศุภสมุทร ผู้จัดการกองทุน กยศ. กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2549 จะมีกองทุนอยู่ 3 กองทุน โดยกองทุนกรอ. กองทุนให้เปล่า และกองทุน กยศ.ซึ่งในส่วนของกองทุน กยศ.นี้จะดำเนินการตามแผนงานเดิมต่อไปอีก 4 ปี สำหรับขั้นตอนการดำเนินงานในกองทุน กรอ. นั้นสำนักงาน กยศ.จะประสานงานไปยังมหาวิทยาลัยต่างๆ รวมทั้งวิทยาลัยอาชีวศึกษาที่สอนในระดับ ปวส. ทั้งหมดว่าในปีการศึกษา 2549 ผู้ที่เรียนในชั้นปีที่ 1 สามารถกู้ยืมเงินได้ทุกคน ทั้งนี้ ในส่วนของกองทุนให้เปล่านี้จะจัดสรรให้สำหรับเด็กชั้น ม.4-ม.6 ที่ครอบครัวมีฐานะยากจน โดยใช้เส้นแบ่งความยากจนจากค่าใช้จ่ายของแต่ละครอบครัวประกอบ ไม่ใช่กำหนดว่าต้องไม่เกิน 150,000 บาทต่อปีเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าในปีการศึกษา 2549 จะมีเด็กได้รับทุนให้เปล่าประมาณ 200,000-250,000 คน (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 13 ก.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ยุบสูตร"อักษร-ศิลปศาสตร์-มนุษย์"เหลือ9แบบ

เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) เปิดเผยว่า กรณีกลุ่มสาขาวิชาสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์เสนอรูปแบบเกี่ยวกับรายละเอียดขององค์ประกอบ และค่าน้ำหนัก ในระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษา(Central University Admissions System) หรือระบบแอดมิสชั่นส์ ที่จะใช้ในปีการศึกษา 2549 รวมถึง 70 รูปแบบนั้น ขณะนี้ได้ข้อยุติเบื้องต้นในสาขาต่างๆ รวม 20 รูปแบบ ดังนี้ 1.สาขานิเทศศาสตร์/วารสารศาสตร์ 3 รูปแบบ 2.สังคมวิทยา 1 รูปแบบ 3.รัฐศาสตร์ 5 รูปแบบ 4.สังคมสงเคราะห์ 1 รูปแบบ 5.นิติศาสตร์ 1 รูปแบบ และ 6.อักษรศาสตร์/ศิลปศาสตร์/มนุษยศาสตร์ รวม 9 รูปแบบ เนื่องจากมีบางสาขาวิชาที่ไม่เลือกคะแนนเฉลี่ยรายกลุ่มสาระการเรียนรู้ หรือ GPA และผลการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน(Ordinary National Educational Test : O-NET) ในกลุ่มสาระฯ คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ หรือบางสาขาเลือก GPA และ O-NET ในกลุ่มสาระฯ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ฉะนั้น สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) จะส่ง 9 รูปแบบนี้ให้คณะอักษรศาสตร์/ศิลปศาสตร์/มนุษยศาสตร์ เลือกว่าจะใช้รูปแบบใดบ้าง และให้แจ้ง สกอ. ภายใน 2 สัปดาห์ นอกจากนี้ หากมีรูปแบบใดในกลุ่มสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ซ้ำกันก็จะยุบรวมอีก ทั้งนี้ ในการประชุมอธิการบดีในวันที่ 19 กรกฎาคมนี้ ตนจะแจ้งเรื่องนี้ให้อธิการบดีทราบ "ส่วนระบบแอดมิสชั่นส์โครงการต่างๆ ของมหาวิทยาลัย ได้แก่ รับตรง โควต้า และโครงการพิเศษ หรือเรียกว่าแอดมิสชั่นส์รับตรงนั้น ขณะนี้มีหลายมหาวิทยาลัยทยอยแจ้งจะเข้าร่วม เช่น มหาวิทยาลัยบูรพา(มบ.) มหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยในส่วนกลางก็ทยอยแจ้งเข้ามาหลายที่ เช่น รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล(มม.) แจ้งว่าการรับตรงของคณะแพทยศาสตร์จะเข้าร่วมแอดมิสชั่นส์รับตรงด้วย" นายภาวิชกล่าว ด้านนางวรรณี เตโชโยธิน รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) กล่าวว่า ที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มธ. ไม่เข้าร่วมในระบบแอดมิสชั่นส์รับตรง ไม่ใช่ไม่ให้ความร่วมมือ แต่การรับตรงของคณะได้วางแผนล่วงหน้ามานาน อีกทั้งเห็นว่าแบบทดสอบ O-NET และ A-NET ไม่สามารถคัดนักศึกษาได้อย่างที่คณะต้องการ จึงต้องใช้ข้อสอบ SMART-I ที่ออกแบบและพัฒนาโดยศูนย์ทดสอบทักษะด้านการจัดการแห่ง มธ. เพื่อประเมินความพร้อมและความเหมาะสมของผู้ที่จะเข้าเรียนระดับปริญญาตรีด้านการบัญชีและบริหารธุรกิจ นอกจากนี้ ที่ผ่านมาพบว่านักศึกษาที่คณะคัดเองมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าที่คัดผ่าน สกอ. และก่อนหน้านี้มีเด็กสนใจสอบถามเข้ามามาก หากเปลี่ยนรูปแบบการคัดเลือกอีกจะทำให้เด็กสับสน (มติชนรายวัน พุธที่ 13 ก.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ไทย-จีนรับรองวุฒิระดับ ป.ตรีกันและกัน

นายโฆษิต ฉัตรไพบูรณ์ กงสุลใหญ่ ประจำนครคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน เปิดเผยว่า ตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางไปเยือนประเทศจีน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยจีน เมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีของไทยได้พบกับนายหู จิ่น เทา ประธานา ธิบดีของจีน และได้มีการหารือกันเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรมและการศึกษา โดยในส่วนของด้านการศึกษานั้น รัฐบาลจีนและไทยมีแผนที่จะร่วมมือกันในการรับรองวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีของทั้งสองประเทศ จากเดิมที่พิจารณาให้การรับรองเป็นรายบุคคล แต่ในอนาคตหากนักเรียนจีนมาเรียนมหาวิทยาลัยในประเทศไทยรัฐบาลจีนก็จะให้การรับรองวุฒิการศึกษาได้ทันที ขณะเดียวกันหากนักเรียนไทยไปเรียนในมหาวิทยาลัยของจีนทางรัฐบาลไทย ก็จะให้การรับรองวุฒิการศึกษาที่ได้เช่นกัน ทั้งนี้ ตนคาดว่าจะมีการลงนามความร่วมมือดังกล่าวและเริ่มการรับรองวุฒิการศึกษาได้ภายในปีการศึกษา 2548 นี้ ปัจจุบันมีนักเรียนจีนเข้ามาศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่ประเทศไทยประมาณปีละ 1,000-2,000 คน ซึ่งจำนวนก็พอ ๆ กับที่นักเรียนไทยจะไปเรียนต่อที่ประเทศจีน โดยส่วนใหญ่นักเรียนไทยจะไปเรียนหลักสูตรระยะสั้นเวลาไม่เกิน 3 เดือน ขณะที่ระดับปริญญาตรียังมีจำนวนไม่มากนัก สำหรับมหาวิทยาลัยจีนที่เด็กไทยนิยมไปเรียนมีประมาณ 10 แห่ง เช่น มหาวิทยาลัยปักกิ่ง มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ มหาวิทยาลัยยูนนาน เป็นต้น ซึ่งส่วนมากจะเลือกศึกษาทางด้านภาษาจีนและธุรกิจ เพราะที่ผ่านมาคนที่มีความทั้งรู้ภาษาไทยและภาษาจีนส่วนใหญ่จะไม่ตกงาน และบริษัทเอกชนก็มักจะดึงตัวไปทำงานด้วย เนื่องจากนับว่าประเทศไทยกับประเทศจีนจะมีการค้าและการลงทุนร่วมกันมากขึ้น ด้าน ดร.อนุสนธิ์ ชินวรรโณ กงสุลใหญ่ประจำนครเซี่ยงไฮ้ กล่าวว่า ปัจจุบันมีคนไทยทั้งที่ยังเป็นนักเรียน และคนที่จบระดับปริญญาแล้วเดินทางมาเรียนที่นครเซี่ยงไฮ้ปีละหลายร้อยคน โดยส่วน มากจะมาเรียนภาษาจีนหลักสูตรภาคฤดูร้อน และหลักสูตรที่ใช้เวลาเรียนประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี สำหรับการดูแลนักเรียน นักศึกษาไทยที่มาเรียนในประเทศจีนนั้น หากนักเรียนและนักศึกษาไทยมาติดต่อกับสถานกงสุลประจำนครเซี่ยงไฮ้เราก็จะขอให้ลงทะเบียนว่าอยู่ที่ไหนและทำอะไร เมื่อเกิดปัญหาขึ้นจะได้ติดตามดูแลและให้การช่วยเหลือได้อย่างเต็มที่. (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 13 ก.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





หลักสูตร "ผู้นำ" ขาดแคลน

ผู้นำในความหมายของ "วิทยากร เชียงกูล" คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม แห่งมหาวิทยาลัยรังสิต นั้น "ต้องมีความรู้ ฉลาดทางอารมณ์ เข้าใจปัญหา และวิเคราะห์สังคมได้" เขากล่าวว่า ที่ผ่านมาปัญหาเรื่องการขาดภาวะผู้นำของคนในสังคมเป็นปัญหาในเชิงวัฒนธรรม การทำให้เด็กไม่มีวุฒิภาวะ ทางอารมณ์ และหลงตัวเอง ไม่เฉพาะนักการเมือง ปัญหานี้ทำให้คนส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องการรับฟังผู้อื่น และติดกับค่านิยมในการใช้อำนาจ แม้ว่าจะมีความรู้ความสามารถแต่จิตใจไม่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ดังนั้น การสร้างผู้นำต้องเปลี่ยนคนให้เป็นคนใหม่โดยสร้างตัวตนทั้งหมด ไม่ใช่แค่ไปเอาเทคนิคการบริหารจัดการจากต่างประเทศมาใช้ในระบบการทำงานแบบไทย แต่แท้จริงแล้วผู้นำต้องมีทักษะที่มากกว่านั้น เช่น การมีจิตวิทยาสูง ขณะเดียวกันต้องมีความรู้ครอบคลุมในทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และเพื่อให้โอกาสผู้นำในสังคมมีโอกาสปรับวิสัยทัศน์ ทัศนคติ เป็นเหตุผลให้หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาผู้นำทางสังคม ธุรกิจ การเมือง แห่งมหาวิทยาลัยรังสิตเกิดขึ้น โดยจุดเด่นของหลักสูตรน่าจะอยู่ที่เป็นหลักสูตรเดียวของประเทศไทยที่มีการรวมเอาศาสตร์ทางด้านรัฐศาสตร์ สังคม ธุรกิจ และการบริหารเข้าด้วยกัน โดยใช้วิธีการเรียนการสอนที่ใช้นักศึกษาเป็นตัวตั้งในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของผู้เรียน ที่สำคัญ หลักสูตรนี้สามารถเรียนจบได้ด้วยระยะเวลาเพียง 1 ปี โดยผู้เรียนจะเตรียมหัวข้อวิทยานิพนธ์ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียน โดยเป้าหมายของหลักสูตรเพื่อให้คนรู้สึกถึงความเป็นผู้นำมากขึ้น ทั้งยังมีจิตสำนึกและเข้าใจส่วนรวม สำหรับวิชาที่เรียนจะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มวิชา ได้แก่ กลุ่มวิชาการพัฒนาวิสัยทัศน์ผู้นำ กลุ่มวิชาความรู้สำหรับผู้นำ กลุ่มทักษะผู้นำ และกลุ่มวิชาเลือกที่เกี่ยวข้องกับผู้นำ โดยผู้ที่จะสามารถเข้าเรียนได้นอกจากจะจบปริญญาตรีแล้ว ยังเปิดโอกาสให้นักศึกษาในกลุ่มที่กำลังศึกษาปริญญาตรีให้เรียนปริญญาโทควบไปด้วย นอกจากนี้ ยังสามารถเทียบผลการเรียนของนักศึกษาผ่านหลักสูตร 7 หลักสูตรของสถาบันพระปกเกล้า และหลักสูตรปริญญาโทมหาวิทยาลัยรังสิตสามารถเทียบโอนได้ 12 หน่วยกิต ซึ่งทำให้มีเวลาในการทำวิทยานิพนธ์ได้อย่างเต็มที่ (ประชาชาติธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 13 ก.ค. 48 http://www.matichon.co.th/prachachart)





สกว.รุกพัฒนาครูวิทยาศาสตร์

เมื่อเวลา 13.30 น. ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) มีการลงนามความร่วมมือการสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ของเยาวชน และการพัฒนาศักยภาพครู ครุวิจัย : กระบวนการพัฒนาศักยภาพครูไทย ระหว่างกรมทรัพยากรธรณี กับ สกว. โดย รศ.สุชาตา ชินะจิตร ผอ.ฝ่ายสวัสดิภาพสาธารณะ สกว. กล่าวว่า ครุวิจัยเป็นการต่อยอดความรู้ด้านการสอนวิทยาศาสตร์ และให้ครูนำไปพัฒนาการสอนให้เด็กเกิดการอยากเรียนวิทยาศาสตร์ จุดประสงค์หลักคือให้ครูพัฒนาศักยภาพตัวเอง ขั้นตอนการสมัคร ครูจะต้องเขียนในใบสมัครว่าต้องการจะเรียนรู้เรื่องอะไร โดย สกว.จะมีศูนย์อบรม 3 ศูนย์ คือ ศูนย์เรียนรู้วิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์จ.กาญจนบุรี ศูนย์วิจัยไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว จ.กาฬสินธุ์ และโครงการบัณฑิตศึกษาวิทยาการสิ่งแวดล้อม ม.มหาสารคาม สามารถอบรมได้ประมาณศูนย์ละ 3 คน ใช้เวลาอบรม 1 เดือน การรับสมัครให้ดาวน์โหลดใบสมัครที่ www.trf.or.th และส่งมาที่ สกว. อาคารเอสเอ็มทาวเวอร์ ถ.พหลโยธิน เขตพญาไท กทม. 10400 ถึงวันที่ 15 ส.ค. สอบถาม โทร.0-2298-0455-75 ต่อ 139,124 (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 15 ก.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





เสนอ"ครม."เพิ่มเงินเดือน "พนง."มหาวิทยาลัย2ต่อ

เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) เปิดเผยความคืบหน้าการเสนอขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงานมหาวิทยาลัย ภายหลังข้าราชการได้ปรับขึ้นไปรอบที่แล้ว 3% และล่าสุดรัฐบาลยังจะปรับเพิ่มให้อีก 5% ในเดือนตุลาคมว่า คาดว่าเรื่องเสนอการเพิ่มค่าตอบแทนให้กับพนักงานมหาวิทยาลัย จะเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเพื่อเสนอ คณะรัฐมนตรี(ครม.) คณะที่ 4 ที่มีนายจาตุรนต์ ฉายแสง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ในวันที่ 19 กรกฎาคมนี้ โดยได้เสนอว่านอกจากจะขึ้นเงินเดือนแก่พนักงานมหาวิทยาลัยให้เท่ากับที่ปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการในรอบที่แล้ว ยังขอให้ปรับเพิ่มได้อีก ดังนั้น หาก กรรมการกลั่นกรองฯเห็นชอบและเสนอ ครม. ก็สามารถขึ้นเงินเดือนให้พนักงานมหาวิทยาลัยได้เท่ากับเงินเดือนข้าราชการที่ขึ้นไปแล้ว และที่กำลังจะขึ้น ซึ่งจะทำให้เงินเดือนพนักงานมหาวิทยาลัยจะมากกว่าข้าราชการอยู่ 1.5-1.7 ตามแนวทางเดิม (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 15 ก.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





พาณิชย์ฯมธ.แจ๋วจัดหลักสูตรเรียน"ตรีควบโท"5ปี คุยเรียนจบเก่งเรื่องธุรกิจ-จัดติว17ก.ค.ศูนย์สิริกิตติ์

รองศาสตราจารย์(รศ.)เกศินี วิฑูรชาติ คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้จัดทำหลักสูตรใหม่เพื่อรับนักเรียนเข้าศึกษาในปี 2549 แบ่งเป็นสองหลักสูตรคือ หลักสูตรที่ 1 เรียน 4 ปี ที่ศูนย์รังสิต นักศึกษาสามารถเลือกสอบเข้าในสาขาบัญชี หรือบริหารธุรกิจ โดยจะรับตรง 270 คน และรับผ่านสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) 90 คน ส่วนหลักสูตรที่ 2 เป็นหลักสูตรใหม่ที่คณะได้พัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เป็นหลักสูตรควบปริญญาตรี-โท ใช้เวลาเรียน 5 ปี ซึ่งนักเรียนสามารถเลือกที่จะเรียนจบ 5 ปีได้ปริญญาโท หรือเลือกเรียน 4 ปี เพื่อรับปริญญาตรี มี 2 สาขาวิชาคือ สาขาบูรณาการบัญชี และสาขาการจัดการธุรกิจ ทั้งสองสาขาจะเรียนตลอดหลักสูตรที่ มธ. ท่าพระจันทร์ โดยจะรับตรง 75 คน และรับผ่าน สกอ. อีก 75 คน คณบดีคณะพาณิชย์ฯกล่าวว่า หลักสูตรควบ 5 ปีนี้ถือเป็นนวัตกรรมทางการศึกษาของประเทศไทย มีการจัดทำเนื้อหาหลักสูตรขึ้นใหม่ทั้งหมด โดยในสาขาบูรณาการบัญชีนักศึกษาจะต้องเรียน 162 หน่วยกิต และสาขาการจัดการธุรกิจเรียน 156 หน่วยกิต เพื่อรับปริญญาโท ทั้งนี้ เนื้อหาวิชาจะเน้นการบูรณาการ โดยการนำปัญหาธุรกิจ และการตัดสินใจทางการบริหารเป็นหลักแล้วจัดเนื้อหาองค์ความรู้ด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาประสานเพื่อฝึกฝนให้นักศึกษามีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์และแก้ปัญหาต่างๆ ทำให้เมื่อจบการศึกษาหลังจาก 5 ปีแล้วบัณฑิตจะสามารถปฏิบัติงานได้ทันที โดยมีทักษะที่เป็นที่ต้องการอย่างแท้จริงของธุรกิจ หรือสามารถออกไปเป็นผู้ประกอบการได้จากความรู้ในเรื่องของการวางแผนธุรกิจ การจัดทำโครงการนวัตกรรมทางธุรกิจ และการฝึกงาน นอกจากนั้น รศ.เกศินีกล่าวอีกว่า หลักสูตรใหม่นี้จะเน้นให้นักศึกษามีความเชี่ยวชาญไม่เฉพาะธุรกิจในประเทศ แต่ยังครอบคลุมถึงความเข้าใจในธุรกิจระดับภูมิภาคและระดับโลกอีกด้วย จุดเด่นอีกประการหนึ่งของหลักสูตร 5 ปีนี้ คือการเน้นให้นักศึกษาให้ความสนใจกับปัญหาของบ้านเมืองและสังคม ซึ่งจะตอกย้ำปรัชญาของ มธ.ในฐานะมหาวิทยาลัยของประชาชน โดยนักศึกษาจะต้องจัดทำโครงการรณรงค์ทางธุรกิจเพื่อสังคมและประเทศชาติก่อนจบการศึกษาอีกด้วย จะมีวิชาใหม่ๆ เช่น ธรรมาภิบาลและการจัดการความเสี่ยงทางธุรกิจ วัฒนธรรมและธรรมเนียมทางธุรกิจ กลยุทธ์และการดำเนินธุรกิจในภูมิภาคเอเชียและธุรกิจระดับโลก ซึ่งนับเป็นความจำเป็นสำหรับการเตรียมบัณฑิตเพื่อรับกับสภาพโลกาภิวัตน์ปัจจุบัน นักเรียนที่สนใจสามารถเข้าร่วมฟังการแนะนำหลักสูตรใหม่ เกณฑ์การรับและวิธีการทดสอบแบบใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลงในปีการศึกษาหน้านี้ ในวันที่ 17 กรกฎาคม ตั้งแต่เวลา 08.00 น.เป็นต้นไป ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยจะมีการให้นักเรียนลองทำข้อสอบ SMART ที่จะใช้ในการสอบคัดเลือกด้วย หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.0-2986-9620-31 ต่อ 151-153 หรือดูที่ www.bus.tu.ac.th (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 15 ก.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





KITS ศูนย์ไอทีครบวงจรของชาวมก.

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดตั้ง "เกษตรศาสตร์ไอทีสแควร์" หรือ Kasetsart IT Square (KITS) ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์แห่งใหม่ที่เพียบพร้อมด้วยระบบคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายที่ทันสมัยภายใต้แนวคิด "Living Lab" ด้วยความมุ่งหวังที่จะให้นิสิตได้ใช้ชีวิตอยู่ในมหาวิทยาลัยร่วมกับเทคโนโลยีได้อย่างมีความสุขและสร้างสรรค์ ศูนย์นี้มีคอมพิวเตอร์มากถึง 120 เครื่อง โดยแบ่งเป็นพื้นที่บริการทั่วไป 169 เครื่อง ห้องฝึกอบรม 41 เครื่อง ห้องสนทนากลุ่มย่อย 5 เครื่อง ห้องเจ้าหน้าที่ 2 เครื่อง และคอมพิวเตอร์บริการระบบจอง 3 เครื่อง โดยคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงเข้ากับเครือข่ายมหาวิทยาลัยภายในอาคารสามารถใช้เครือข่ายไร้สายได้ทุกตารางนิ้ว รศ.ยีน ภู่วรวรรณ รองอธิการบดีฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ บอกว่า ห้องปฏิบัติการ KITS นี้ จะมีกิจกรรมที่หลากหลาย นอกจากการให้บริการคอมพิวเตอร์ทั่วไปแล้ว ยังมีห้องฝึกอบรมขนาด 40 ที่นั่ง พร้อมคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โสตฯ ครบถ้วน เพื่อให้นิสิตจัดกิจกรรมฝึกอบรมเสริมทักษะระหว่างกันเอง ในรูปแบบพี่สอนน้องและเพื่อนสอนเพื่อน รวมทั้งการจัดติว หรือสนทนากลุ่มย่อมในห้องที่จัดไว้โดยเฉพาะอีก 5 ห้อง และยังมีห้องอเนกประสงค์ที่พร้อมจัดนิทรรศการทางวิชาการด้านไอที เพื่อสนับสนุนให้นิสิตใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่ โดยอาจารย์ทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำปรึกษา (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 15 ก.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ผู้ทรงคุณวุฒิพ้ออุดมศึกษาไทยตกต่ำ

นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) เปิดเผยผลการประชุมระดมความคิดเห็นเรื่อง "ทิศทางการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการอุดมศึกษา" เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ที่ประชุมซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี นายสิปปนนท์ เกตุทัต นายชัยอนันต์ สมุทวานิช นายปราโมทย์ นาครทรรพ นายพจน์ สะเพียรชัย นายเทียนฉาย กีระนันทน์ และนายสมบัติ ธำรงธัญญวงศ์ ได้เสนอให้ทำยุทธศาสตร์หรือโรดแมปเรื่องกระบวนการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการอุดมศึกษา ซึ่งสังคมให้ความคาดหวังมาก แต่ขณะนี้คุณภาพการศึกษาไทยกลับตกต่ำทุกระดับ โดยเฉพาะอุดมศึกษาที่เมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศจะเห็นชัดเจนว่าอุดมศึกษาไทยต่ำกว่ามาก จึงมีข้อเสนอให้ไปดูกลไกของประเทศอื่น โดยเฉพาะประเทศที่มีการจัดอันดับและจัดระดับมหาวิทยาลัย ที่ทำให้อุดมศึกษาของประเทศเหล่านั้นพัฒนาอย่างรวดเร็ว ที่ประชุมเห็นว่าอุดมศึกษาไทยควรมีการแยกกลุ่มให้ชัดเจน อีกทั้งการตั้งมหาวิทยาลัยที่ผ่านมาไม่ได้อยู่บนพื้นฐานคุณภาพ แต่ใช้เหตุผลด้านการเมือง จึงมีปัญหาในตัวเอง ประกอบกับคนมุ่งเอาปริญญา แต่อาจารย์ไม่ทำวิจัย จึงต้องทำมาตรฐานการจัดตั้งมหาวิทยาลัยใหม่ รวมทั้งสร้างเครือข่ายอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ยังมองว่าการแทรกแซงทางการเมืองในกฎหมาย ที่ประชุมยังมองว่ากลไกสำคัญคือ สภามหาวิทยาลัยยังไม่ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่ออุดมศึกษาและเรื่องคุณภาพ ทั้งยังมีปัญหาหลากหลาย เช่น นักการเมืองที่ไม่เข้าใจมาแทรกแซง เป็นต้น ดังนั้น จึงเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) ได้รื้อระบบใหม่ทั้งหมด รวมทั้งให้ทำหน้าที่กำกับและมีบทลงโทษที่เฉียบขาด ในกรณีมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้คุณภาพ (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 16 ก.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


ไอซีทีดันอี-กัฟเวิร์นเม้นท์กระตุ้นคนใช้เน็ต

นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เปิดเผยว่า ตามการจัดอันดับของ Network Readiness Index ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ในปี 2003-2004 พบว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 41 จาก 82 ประเทศทั่วโลก ตกจากอันดับที่ 38 ในปี 2002 โดยอัตราการเข้าถึงบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต และจำนวนคอมพิวเตอร์/ประชากรยังอยู่ในอัตราที่ต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนการเติบโตของอุตสาหกรรมไอซีทีในประเทศไทยปี 2004 มีมูลค่าถึง 103,191 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2003 ซึ่งอยู่ที่ 79,720 ล้านบาท หรือคิดเป็น 29.44% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเติบโตของฮาร์ดแวร์กว่า 66% และซอฟต์แวร์ 18% นายสุวิทย์ กล่าวอย่างเชื่อมั่นว่า หากการผลักดันอี-กัฟเวิร์นเม้นท์เป็นผล ก็จะกระตุ้นให้มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นร้อยเปอร์ เซ็นต์ จากปัจจุบันที่มีอยู่ 11.9 ล้านราย โดยสัปดาห์หน้าจะเสนอเรื่องแผนการดำเนินงาน มาตรฐานการเชื่อมโยง การพัฒนาเว็บไซต์เชื่อมโยงข้อมูลต่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งปัญหาหลักของการผลักดัน คือ มีเครื่องมือแต่ขาดข้อมูล และไม่รู้ว่าจะใช้อย่างไร สำหรับประเด็นเรื่องสมาร์ทการ์ด นาย สุวิทย์ กล่าวว่า สมาร์ทการ์ดลอตแรก 6 ล้านใบที่คณะกรรมการตรวจรับเมื่อก.พ.ที่ผ่านมาตรงตามสเปกทุกอย่าง แต่อีก 6 ล้านใบที่มีการประชุมเมื่อวันที่ 7 ก.ค.นั้นยังไม่ได้ข้อสรุป และหากตรวจแล้วไม่ตรงตามสเปกก็ต้องยกเลิกไป แต่อย่างไรก็ตามมั่นใจว่าประชาชนจะได้ใช้สมาร์ท การ์ดในอีก 6 เดือนหน้าแน่นอน. . (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 11 ก.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





สุดยอดดีไซเนอร์แก้วครั้งแรกในไทย

บอมเบย์ แซฟไฟร์ เฟ้นหาสุดยอดดีไซเนอร์แก้วเพื่อเป็นตัวแทนประเทศไทยไปประกวดชิงชนะเลิศ ในระดับภูมิภาคที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และเพื่อเป็นตัวแทนภูมิภาคเอเชียไปแข่งขันระดับโลกที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี บริษัท บาร์คาดี (ประเทศไทย) ร่วมกับกรมส่งเสริมการส่งออก โดยสำนักพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อการส่งออก จัดงานประกาศผลชิงชนะเลิศ "การประกวดออกแบบแก้ว บอมเบย์ แซฟไฟร์ ครั้งที่ 1" (Martini Glass Inspired by Bombay Sapphire) เมื่อวันศุกร์ที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่ศูนย์การค้าเกษร ชั้น G (ข่างสด จันทร์ที่ 11 ก.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





“กัลปังหา” เป็นสัตว์ทะเล แต่กฎหมายห้ามมีไว้ในครอบครอง

กัลปังหา-กะละปังหา หรือพัดทะเล มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า GORGONIAN sea fan G0rgonia sp เป็นสัตว์อยู่ในกลุ่มเดียวกับปะการังอ่อน ไม่มีกระดูกสันหลังชั้นต่ำ... ลักษณะทั่วไป มีขนาดความสูง 50-150 เซนติเมตร โครงสร้างภายในเป็นหินปูน ซึ่งเปรียบเสมือนโครงกระดูกของสัตว์ชั้นสูง อุปนิสัยชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม โดยจะร่วมกันสร้างเป็นโครงการ หรือแกนกลางเป็นที่อยู่อาศัย แกนแข็ง ซึ่งเกิดจากการมีเกล็ดหินปูนที่อัดแน่น และสารพวก gorgonin ซึ่งเป็นองค์ประกอบทำให้เหนียวและแข็งแรง รอบๆแกนถูกหุ้มด้วยชั้นของเนื้อเยื่อที่อ่อนนุ่ม มีรูปร่างและสีสันแตกต่างกันไปตามชนิดของกัลปังหา บางชนิดรูปร่างคล้ายต้นไม้, หวีผมหรือขนนก สำหรับสีมีตั้งแต่สีขาว, เหลือง, ชมพู, ม่วง, แดง ไปจนถึงแดงเข้ม สีอิฐแดงสนิมเหล็ก และสีน้ำตาลเข้ม แต่กัลปังหาจะไม่มีสีดำ!ซึ่งกัลปังหาแต่ละตัวจะร่วมกันสร้างหินปูนจากส่วนของโคนที่ยึดติดกับแกน ส่วนของหัวมีหนวดอยู่โดยรอบ...คอยทำหน้าที่หาอาหารเลี้ยงชีวิต อาหารของมันคือ อินทรียสารขนาดเล็กที่ล่องลอยอยู่ตามกระแสน้ำ...มักพบกัลปังหาบริเวณร่องน้ำลึก ประมาณ 15 เมตร ซึ่งมีกระแสน้ำไหลแรง เนื่องจากมันสามารถโอนเอน ไปตามกระแสน้ำได้... การสืบพันธุ์โดย 2 วิธี วิธีแรกโดยการแตกหน่อที่โคน เมื่อตัวเก่าตาย ตัวใหม่จะเจริญเติบโตทำหน้าที่ต่อไป... ส่วนวิธีที่ 2 เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างไข่ และน้ำเชื้ออสุจิ ไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์แล้ว จะเจริญเติบโตในตัวเพศเมีย เมื่อตัวอ่อนโตขึ้นจะว่ายน้ำจากตัวแม่ แล้วไปเกาะบนก้อนหิน เพื่อสร้างกัลปังหาต้นใหม่ขึ้นมา และขยายขนาดตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จากการศึกษาของนักชีววิทยาทางทะเลพบว่ากัลปังหางอกได้ยาวแค่ 5-200 มิลลิเมตรต้องใช้ระยะเวลานานนับปีๆ สามารถใช้เป็นประโยชน์ในการประดับตู้ปลา บางคนเชื่อว่าเป็นเครื่องรางของขลังที่สามารถป้องกันภูตผีปีศาจได้ ส่วนคนจีนโบราณถือว่าเป็นสมุนไพรที่มีคุณค่ายิ่ง และสิ่งที่สำคัญเป็นสัตว์ต้องห้ามมีไว้ในครอบครองตามสนธิสัญญา CITES และสัตว์น้ำคุ้มครองตามกฎหมาย แต่ก็ยังมีพ่อค้าเห็นแก่ได้แอบนำมาวางขายในตลาดซันเดย์ ตำรวจก็มาตามจับไปบ้างก็ยังไม่เข็ดหลาบ หรืออาจจะมีอะไรบังตาไว้ก็ไม่รู้ (ไทยรัฐ อังคารที่ 12 ก.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





รีดยางจากกบ “กางเขนศักดิ์สิทธิ์” ใช้เป็นกาวปิดติดแผลผ่าตัดใหญ่

ค้นพบยางจากกบที่ชื่อว่า “กางเขนศักดิ์สิทธิ์” มีสรรพคุณเป็นกาว มีอภินิหารในการผ่าตัด ช่วยบำบัดรักษาแผลผ่าตัดให้หายได้อย่างรวดเร็ว นับเป็นประโยชน์คิดเป็นมูลค่าหลายร้อยล้านบาท หนังสือพิมพ์ “ซันเดย์ เมล์”ของอังกฤษรายงานว่า นักวิทยาศาสตร์ต้องใช้เวลาโคลนนิ่งยางเหนียวจากกบ ที่มีสรรพคุณในการรักษาแผลผ่าตัดอย่างสูง ช่วยให้แผลหายเร็วโดยไม่เป็นพิษ นับเป็นการปฏิวัติการรักษาแผลเสียใหม่มานานถึง 6 ปี ศาสตราจารย์ไมค์ ไทเลอร์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องกบ ที่เมืองอเดเลด ได้พากเพียรศึกษาจนพบวิธีสกัดเอายางจากหลังกบที่มีชื่อเรียกกันว่ากบ “กางเขนศักดิ์สิทธิ์” เพราะเครื่องหมายเหมือนกับกางเขนบนหลังของมัน โดยใช้ไฟฟ้าอย่างอ่อนช็อกมันก่อน แล้วจึงค่อยรีดเอาออกจากหลังของมัน. (ไทยรัฐ อังคารที่ 12 ก.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ใกล้ประกาศแผนแม่บทโทรคมนาคม

นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร เลขาธิการคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เปิดเผยว่า หลังจากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. จัดประชุมเพื่อระดมความคิดเห็นสาธารณะ ได้ข้อสรุปว่าภาคประชาชนหรือผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับแนวทางและกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นหลัก โดยเห็นว่าควรจัดทำมาตรฐานขั้นต่ำของการให้บริการรวมถึงกลไกการร้องเรียน และระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจากการให้บริการของภาคเอกชน ซึ่งขณะนี้ กทช. อยู่ระหว่างการปรับแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน อาทิ กำหนดมาตรฐานสัญญาการให้บริการของธุรกิจเอกชนที่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค ทั้งราคา คุณภาพ และการให้บริการ รวมถึงกำหนดกลไกและช่องทางสำหรับการร้องเรียนรวมทั้งข้อพิพาทของผู้บริโภคที่เกิดจากการให้บริการของภาคเอกชน ส่วนภาคเอกชนผู้ให้บริการ ได้ให้ความสำคัญต่อการกำหนดมาตรการและแนวทางในการสร้างพื้นฐานการแข่งขันที่เท่าเทียมกันในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของประเทศ เนื่องจากที่ผ่านมาการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมยังมีความเหลื่อมล้ำและไม่อยู่บนพื้นฐานที่เท่าเทียมกันในการแข่งขันและยังมีการทุ่มตลาด ซึ่ง กทช. จะนำความเห็นจากการประชุมรับฟังความคิดเห็นในครั้งนี้ไป ปรับปรุงแผนแม่บทให้มีความชัดเจนมากขึ้นต่อไป ทั้งนี้ กทช.จะนำข้อสรุปที่ได้จากการประชุมดังกล่าวใช้ในการปรับแก้ร่างแผนแม่บทฯ โดยจะเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปเข้าไปแสดงความคิดเห็นได้อีกครั้งในเว็บไซต์ www.ntc.or.th ก่อนจะประกาศใช้จริงในเดือนกรกฎาคม 2548 นี้. (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 12 http://www.dailynews.co.th)





สารพัดเคล็ดลับ ฉลาดปลูกบ้านแบบประหยัดพลังงาน

เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกับ "ประชาชาติธุรกิจ" POLAR Home และธนาคารกสิกรไทย ได้จัดสัมมนาหัวข้อ "ฉลาดปลูกบ้านประหยัดพลังงาน" มาบรรยายเพื่อให้ความรู้จาก 3 วิทยากร "พงศ์พัฒน์ มั่งคั่ง" จากสำนักงานส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน ให้ข้อมูลว่า ในแง่ของการทำบ้านให้ประหยัดพลังงาน การติด "ฉนวนกันความร้อน" บริเวณผนังหรือหลังคา ควรติดจากภายนอกเพราะจะเป็นการป้องกันความร้อนจากด้านนอกไม่ให้เข้าสู่ตัวบ้านได้ดีกว่า จากผลการศึกษายังพบว่า บ้านที่ก่อสร้างด้วยผนัง 3 แบบ 1) อิฐมอญ ความร้อนที่สะสมภายในผนังจะขึ้นถึงจุดสูงสุดในเวลา 3 ทุ่ม จากนั้นความร้อนจะค่อยๆ ลดลงเรื่อยจนถึงจุดต่ำสุดในเวลา 7-8 โมงเช้า 2) ผนังที่ก่ออิฐมอญ 2 ชั้น พบว่าวงจรของความร้อนในตัวบ้านไม่แตกต่างกัน เพียงแต่ช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดจะมีอุณหภูมิต่ำกว่าบ้านที่ก่ออิฐชั้นเดียว 50% และ 3) ผนัง 2 ชั้นที่เว้นช่องว่างตรงกลาง แบบนี้บ้านจะร้อนน้อยที่สุด แต่สิ้นเปลืองค่าก่อสร้างสูงมาก ข้อมูลที่น่าสนใจคือ บ้านที่ก่อสร้างด้วยอิฐมวลเบาจะป้องกันความร้อนได้ดีกว่าบ้านที่ก่อสร้างด้วยผนังคอนกรีต 3 เท่า ส่วนบ้านที่ก่อสร้างด้วยผนังที่มีฉนวน ESP อยู่ตรงกลาง จะป้องกันความร้อนได้ดีกว่าผนังคอนกรีตถึง 40 เท่า ที่สำคัญควรปลูกต้นไม้เพื่อให้เกิดร่มเงาโดยเฉพาะด้านทิศตะวันตก-ทิศใต้ รวมถึงเปิดจุดที่ให้บ้านได้รับแสงจากธรรมชาติเพื่อลดการใช้ไฟฟ้า ถัดมา "รศ.ดร.วรสัณฑ์ บูรณากาญจน" อาจารย์ภาควิชาสถาปัตยฯ จุฬาฯ แนะเทคนิคเกี่ยวกับการใช้เครื่องปรับอากาศว่า หลังปิดแอร์แล้วไม่ควรเปิดประตู-หน้าต่างในทันที เหตุผลก็คือผิวห้องที่ชื้นเมื่อปะทะกับความร้อนที่เข้ามาจะทำให้เกิดเชื้อราสะสมในผนัง ทางแก้คือไม่ควรเปิดประตู-หน้า ต่างในทันที วิธีการนี้ดีต่อสุขภาพและยังประหยัดไฟในตัวอีกด้วย เพราะในห้องยังมีความเย็นสะสมอยู่ ส่วนการกันความร้อนจากใต้หลังคา ควรเว้นช่องว่างระบายลมใต้หลังคาไว้ประมาณ 1 เซนติเมตรเพื่อให้อากาศถ่ายเท เพราะ 70% ของความร้อนที่เข้ามาในตัวบ้านจะมาจากเพดาน "สมยศ เชื้อเพชระโสภณ" ที่ปรึกษาบริษัท ซีเอสเอส อัลไลแอนซ์ จำกัด ศูนย์สร้างบ้านประหยัดพลังงาน POLAR Home แนะนำว่า การเลือกสร้างบ้านด้วยผนังคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้น เสริมด้วยฉนวน EPS ตรงกลาง เป็นระบบที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศออสเตรียมานาน มีราคาเฉลี่ยตารางเมตรละ 450-500 บาท ถือว่าสูงกว่าผนังที่ก่อสร้างด้วยอิฐมวลเบาที่มีราคาตารางเมตรละ 180 บาท อยู่ถึง 2.5 เท่า แต่สิ่งที่ได้คือความรวดเร็วในการติดตั้งที่รวดเร็วกว่าอิฐมอญถึง 7 เท่า เฉลี่ยใช้เวลา 1-2 เดือน ดังนั้นจึงประหยัดค่าแรงได้มากกว่า จึงถือว่ามีต้นทุนค่าก่อสร้างใกล้เคียงกัน เมื่อวัสดุที่จะช่วยทำให้บ้านประหยัดพลังงานมีให้เลือกมากมาย จึงต้องเลือกให้เหมาะสมเพื่อความคุ้มค่า และคำนึงว่าอยู่แล้ว "เย็น" และ "ประหยัดพลังงาน" (ประชาชาติธุรกิจ 11 ก.ค. 48 http://www.matichon.co.th/prachachart)





สหรัฐเตรียมใช้ปืนคลื่นอิเล็กทรอนิกส์ ยิงให้ตายหรือแค่สลบเหมือดก็ได้

กองทัพอเมริกันคิดอาวุธปืนแบบใหม่ได้แล้ว ใช้พลังคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ายิงได้ทันควันอย่างแม่นยำโดยแทบไม่ขาดสาย และที่สำคัญอานุภาพเหมือนกับปืนในหนังเรื่อง“สตาร์ เทรค” จะยิงเหยื่อให้ตายหรือเพียงแต่แน่นิ่งไปเท่านั้นก็ได้ วงการใกล้ชิดกองทัพสหรัฐฯเปิดเผยว่า อาวุธปืนแบบนั้นใกล้จะเป็นจริงขึ้นแล้ว เพียงแต่รอที่จะเผยโฉมให้เห็นในสนามรบที่เหมาะๆเท่านั้น ที่ผู้เชี่ยวชาญกำลังจับตาดูอยู่อย่างใกล้ชิด ก็คือในอิรัก เพื่อรอจังหวะที่จะอำนวย ทีเด็ดของปืนแบบนี้ ก็คือไม่มีสิ่งไหนจะหลบรอดพ้นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือวัตถุ ด้วยเหตุว่า มันมีความเร็วเท่ากับความเร็วของแสง และหากใช้คลื่นความถี่บางอัน ยังยิงให้ทะลุกำแพงเข้าไปได้ พูดง่ายๆก็คือ มันไม่ได้ใช้วัตถุเคมีหรือลูกกระสุนธรรมดา ซึ่งอาจจะยิงผิด หรืออาจหลงไปถูกคนอื่นเข้าได้ หากแต่ใช้ คลื่นของแสงหรือคลื่นวิทยุเป็นกระสุน อาวุธไฮเทคนี้แบบหยาบๆ และราคาถูกที่สุด ที่อาจเห็นกันอยู่ ได้แก่ ปืนลำแสงเลเซอร์ ที่เอาไปใช้อยู่ในอิรักบ้างแล้ว สามารถยิงกราดเข้าที่ใบหน้า จะทำให้ตาบอดมองไม่เห็นอะไรเลยไปชั่วครู่ได้ และแบบที่กำลังพัฒนาอยู่ ใช้ยิงลำคลื่นอิเล็กทรอนิกส์ทำลายทุ่นระเบิด หรืออาวุธปล่อยหรือแม้แต่รถยนต์ได้. (ไทยรัฐ พุธที่ 13 ก.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ตรวจมะเร็งเต้านมทางไกล

การประยุกต์เทคโนโลยีทางด้านหุ่นยนต์และอินเทอร์เน็ตเข้าด้วยกันก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความพยายามที่จะนำเทคโนโลยีที่มีอยู่มาใช้ในการแก้ปัญหาบริการด้านสาธารณสุข ศัลยแพทย์และวิศวกรจาก Michigan State University ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีความสนใจในเทคโนโลยี “Haptic” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกและการสัมผัส ทีมงานได้สร้างต้นแบบของหุ่นยนต์ (แขนกล) ที่สามารถใช้ตรวจ “เต้านม” ของคนไข้แทนการตรวจด้วยมือของแพย์หรือผู้เชี่ยวชาญ โดยเหตุผลที่ต้องสร้างหุ่นยนต์ขึ้นมาตรวจเต้านม แทนก็คือการขยายขอบเขตการเข้าถึงบริการนี้จากพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลออกไป ไม่ว่าจะเป็นต่างเมืองหรือต่างประเทศก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญจะมีถุงมือพิเศษที่สามารถส่งข้อมูลจากที่เกิดจากการเคลื่อนไหวในทุก ๆ ส่วนไปผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์อย่างเช่นอินเทอร์เน็ตไปยังแขนกลของหุ่นยนต์ที่อยู่ปลายทาง ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถรับความรู้สึกที่เกิดจากการสัมผัส (เต้านม) กลับมายังถุงมือที่ผู้เชี่ยวชาญสวมใส่อยู่ได้อีกด้วย นอกเหนือไปจากนั้นแล้วที่แขนกลยังติดกล้องความคมชัดสูงไว้อีก 3 ตัว รวมทั้งอุปกรณ์ ที่ใช้ในการทำอัลตราซาวด์ไว้ที่บริเวณมือจับของ แขนกลอีกด้วย ทั้งนี้เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจมะเร็งเต้านมในระยะแรกเริ่ม อย่างไรก็ดี เสถียรภาพของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจจะมีผลต่อความถูกต้องแม่นยำสำหรับการวินิจฉัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ห่างไกลหรือในประเทศที่มีข้อจำกัดในด้านสาธารณูป โภคพื้นฐานทั้งหลาย ดังนั้นจึงมีผู้เสนอว่าแทนที่จะสร้างหุ่นยนต์เพื่อเอาไปติดตั้งไว้ตามที่ต่าง ๆ ก็ให้สร้างอุปกรณ์ที่สามารถ รับความรู้สึกที่เกิดจากการสัมผัส ซึ่งอาจจะเป็นถุงมือคล้าย ๆ กับที่ทางฝั่ง ผู้เชี่ยวชาญสวมใส่ จากนั้นจึงถ่ายข้อมูลลงยังสื่อบันทึกต่าง ๆ แล้วค่อยส่งข้อมูลกลับมายังผู้เชี่ยวชาญในภายหลัง ส่วนทางฝั่งผู้เชี่ยวชาญนั้นก็ให้พัฒนาหุ่นยนต์ แขนกล หรือจะเป็นอุปกรณ์ ใด ๆ ก็ได้ ที่สามารถนำข้อมูลที่ถูกส่งมาแปลง กลับเป็นความรู้สึกจากการสัมผัสในแบบเสมือนให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้รู้สึกเช่นเดียวกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผู้ตรวจที่อยู่อีกแห่งหนึ่งนั่นเอง ด้วยวิธีนี้ ต้นทุนของการพัฒนาและ การนำระบบดังกล่าวไปใช้งานจะถูกลงอย่างมาก โดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงความพร้อมหรือศักยภาพข องฝั่งผู้ใช้งานที่อยู่ปลายทางมากเท่ากับกรณีแรก และอาจจะช่วยร่นระยะเวลาการผลิตออกมาในเชิงพาณิชย์ให้เร็วขึ้นจากเดิมที่คาดการณ์กันไว้ที่ 5 ปีก็เป็นได้. (เดลินิวส์ พุธที่ 13 ก.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ป้ายรถเมล์อัจฉริยะกลางเดือนใช้ 2 สาย

นายจุมพล สำเภาพล รองผู้อำนวยการสำนัก การจราจรและขนส่ง (สจส.) กล่าวว่า โครงการตระกูลอัจฉริยะทั้งหมด 4 โครงการมีความคืบหน้าดังนี้ ที่จอดรถเมล์อัจฉริยะ 200 จุด ที่ติดตั้งระบบจีพีเอสที่เป็นแผนที่ในการกำหนดตำแหน่งเชื่อมสัญญาณ กับรถเมล์ในการแสดงผลที่ป้ายว่ารถคันใดสายใดจะมาถึงป้ายที่รอภายในกี่นาที กลางเดือนนี้บริษัทจะ เริ่มติดตั้งก่อน 2 สาย เพื่อทดลองระบบใน สาย 73 (สะพานพุทธ-ห้วยขวาง) และสาย 18 (อู่ท่าอิฐ-อนุสาวรีชัยฯ) จำนวน 30 คัน จากนั้นจะทยอยติดตั้งจนครบในเดือน ต.ค. เพื่อเปิดให้บริการ โครงการที่จอดรถแท็กซี่ อัจฉริยะ 150 จุด เริ่มติดตั้งเดือน ส.ค. แต่ทั้งหมดเสร็จ ต.ค. โครงการป้ายจราจรอัจฉริยะ 40 จุด เสร็จเดือนนี้ประมาณ 10 จุดบนถนนสายหลัก และเสร็จสมบูรณ์เดือน ก.ย. ส่วนที่จอดรถอัจฉริยะซึ่งสภาตัดโครง การออกและเห็นชอบให้ใช้งบ 4 ล้านบาทเพื่อศึกษานั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างเชิญชวนเอกชนที่สนใจที่มีประมาณ 4-5 รายมาเสนอรายละเอียดในการศึกษา คาดว่าภายในกลางเดือนนี้จะได้ข้อสรุปเพื่อคัดเลือกบริษัทที่ดีที่สุด และให้ศึกษาเสร็จภายใน 2 เดือน สำหรับโครงการรถนักเรียนนั้น ได้ของบผู้บริหารประมาณ 30 ล้าน บาท เพื่อติดตั้งระบบจีพีเอสบนรถนักเรียนนำร่องก่อน 1,000 คัน จากที่มาลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการกับ กทม. 3,000 คัน เพื่อติดตามตำแหน่งของรถ เพื่อความปลอดภัยของเด็กนักเรียน สร้างความมั่นใจให้ผู้โดยสาร คาดว่าภายในปีนี้จะติดตั้งได้เสร็จเพื่อทดลองและติดตั้งให้ครบต่อไป. (เดลินิวส์ พุธที่ 13 ก.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





การจัดการน้ำแบบบูรณาการ บูรณาการอะไร?

ในการประชุมเวทีสิ่งแวดล้อมที่จัดโดย สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ(มสช.) เป็นสปอนเซอร์ โชคดีได้ผู้เชี่ยวชาญน้ำชั้นยอดจากต่างประเทศคือ ดร.ฟรังซัวส์ มอลล์ มาให้คำอรรถาธิบาย เริ่มด้วยการพูดถึงวิวัฒนาการด้านการจัดการน้ำชลประทานอย่างบูรณาการเมื่อประมาณ 90 ปีมาแล้วที่สเปน ต่อมาพัฒนาเป็นการบูรณาการการจัดการเขื่อนอเนกประสงค์ในหุบเขาเทนเนสซี ในปัจจุบันการบูรณาการมักหมายถึงการดูแลปัญหารอบด้านสำหรับโครงการยักษ์ๆ แต่ความเข้าใจเช่นนี้ออกจะแคบเกินไป ดร.มอลล์ได้ยกตัวอย่างเรื่องที่จะต้องบูรณาการดังต่อไปนี้ @ การใช้น้ำของผู้ที่อยู่ต้นน้ำย่อมมีผลกระทบต่อผู้ใช้น้ำปลายน้ำ ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ หากผู้ที่อยู่ต้นน้ำกักน้ำไว้ใช้หรือถ่ายเทมลพิษลงมา ผู้อยู่ปลายน้ำก็จะเดือดร้อน ดังนั้น การบูรณาการก็ต้องบูรณาการการใช้น้ำของต้นน้ำกับปลายน้ำ รวมทั้งการดูแลคุณภาพกับปริมาณไปพร้อมๆ กัน @ การสูบน้ำใต้ดินขึ้นมาอาจมีผลกระทบต่อปริมาณการไหลของน้ำผิวดิน การดึงน้ำผิวดินมาใช้ในที่สูงก็อาจมีผลต่อน้ำใต้ดินในที่ลุ่ม ดังนั้น การบูรณาการก็คือ การใช้และการอนุรักษ์น้ำผิวดินกับน้ำใต้ดินทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ @ การใช้ประโยชน์ที่ดินไม่ว่าจะเป็นการเพาะปลูกพืชต่างๆ การทำสนามกอล์ฟ และการสร้างรีสอร์ตล้วนมีผลต่อระบบอุทกและระดับสารแขวนลอยในน้ำ จึงต้องมีการบูรณาการการจัดการน้ำและการจัดการที่ดิน ดังนั้น การจัดการน้ำแบบบูรณาการจึงไม่ใช่แค่การจัดการน้ำภายในทบวงน้ำที่จะตั้งขึ้นใหม่แต่เพียงทบวงเดียว@ นิคมอุตสาหกรรม อาบอบนวด เมืองท่องเที่ยว เกษตรกร ต่างก็ต้องการน้ำ ดังนั้น การบูรณาการจึงหมายถึง การจัดสรรน้ำระหว่างภาคเศรษฐกิจให้มีประสิทธิภาพและความยุติธรรม@ พื้นที่ลุ่มน้ำ ระบบนิเวศแม่น้ำ ปากแม่น้ำและชายฝั่งทะเลฯ ต่างก็มีความต้องการน้ำในปริมาณที่เหมาะสมต่างกัน ดังนั้น จึงต้องบูรณาการความต้องการใช้น้ำของระบบนิเวศประเภทต่างๆ@ พิธีชักพระ แข่งเรือ ลอยกระทง ต่างก็เป็นวัฒนธรรมที่ต้องการน้ำ สงกรานต์คงไม่สนุกถ้าไม่มีน้ำหรือหากน้ำที่ใช้สาดกันไม่สะอาด ดังนั้น การจัดการน้ำแบบบูรณาการจึงต้องบูรณาการคุณค่าของน้ำของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้านศาสนาและวัฒนธรรมด้วย@ ส่วนราชการต่างๆ และจังหวัดต่างๆ ก็ต้องการใช้น้ำ ดังนั้น จึงต้องบูรณาการระบบการบริหารกับระบบลุ่มน้ำ และจัดสรรให้เกิดความยุติธรรม@ คนรวย คนจน มีโอกาสได้ใช้น้ำต่างกัน คนรวยดึงน้ำใช้ได้มากก็เท่ากับใช้โภคทรัพย์ของแผ่นดินได้มาก ดังนั้น การจัดการน้ำอย่างบูรณาการ จึงต้องมีการกำกับความต้องการของคนรวยและต้องคิดถึงผู้ด้อยโอกาสด้วย าถึงจุดนี้ก็เริ่มเห็นชัดว่า การจัดการน้ำอย่างบูรณาการไม่ใช่งานเฉพาะเจาะจงของหน่วยใด หรือกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งเท่านั้น แต่การบูรณาการยังเป็นการจัดการทางสังคมด้วย สรุปได้ว่า การจัดการน้ำแบบบูรณาการเป็นกระบวนการที่ส่งเสริมการพัฒนา และการจัดการแบบผสมผสานของทรัพยากรน้ำ ทรัพยากรที่ดิน และทรัพยากรอื่นๆ เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม อย่างเป็นธรรมและยั่งยืนถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะเอาการจัดการแบบบูรณาการที่เขียนไว้เสียสวยหรูในแผน มาแปลงผลให้เกิดการปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจังเสียที (มติชนรายวัน พุธที่ 13 ก.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





พีดีเอโฟนเชื่อมดาวเทียมแจ้งเส้นทางก่อนเดินทาง

นายวรพจน์ ถาวรวรรณ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาการตลาด บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) จำกัด หรือ เอชพี กล่าวว่า เอชพีได้เปิดตัวพีดีเอโฟนรุ่นล่าสุด ที่เพิ่มขีดความสามารถด้านการค้นหาเส้นทาง ผ่านสัญญาณดาวเทียม 12 ดวงที่โคจรอยู่นอกโลก และถือเป็นพีดีเอเครื่องแรกในโลก ที่มีเทคโนโลยีนำทางจีพีเอสแบบครบวงจร โดยบริการเสริมใหม่นี้เกิดจากความร่วมมือของบริษัท แมพพอยด์ เอเชีย ผู้ให้บริการแผนที่จากภาพถ่ายดาวเทียม พีดีเอโฟนรุ่นดังกล่าวชื่อ เอชดับบลิว 6515 (hw6515) จะติดตั้งซอฟต์แวร์ซึ่งส่งสัญญาณเชื่อมกับดาวเทียม เพื่อค้นหาและคำนวณเส้นทางที่จะนำไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างรวดเร็วและใกล้ที่สุด โดยค่าความคลาดเคลื่อนในการค้นหาเส้นทาง 0.5% แต่ในกรณีอยู่ในช่วงที่ท้องฟ้าปิด หรือสัญญาณจากซอฟต์แวร์ถูกบดบังด้วยอาคารสูง สัญญาณที่ส่งไปยังดาวเทียมอาจเกิดการขัดข้องได้เช่นกัน "แมพพอยด์ เอเชียจะปรับปรุงข้อมูลบนซอฟต์แวร์ทุก 6 เดือน เพื่อให้ข้อมูลทันสมัย และภายในสิ้นปีนี้คาดว่าโปรแกรมรุ่นใหม่จะพร้อมให้บริการ ซึ่งจะช่วยคำนวณเส้นทาง ระยะเวลาถึงจุดหมาย รวมถึงแจ้งเตือนในเส้นทางที่จราจรหนาแน่น เพื่อให้ผู้ใช้ได้วางแผนก่อนออกเดินทาง อย่างไรก็ตาม ซอฟต์แวร์ดังกล่าวเป็นลิขสิทธิ์ของเอชพี แต่ผู้ใช้จะรับภาระเฉพาะค่าบริการจีพีอาร์เอส ส่วนการค้นหาแผนที่จากดาวเทียมแต่ละครั้งนั้นไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด" นายวรพจน์ กล่าว (คมชัดลึก พุธ13 ก.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





หาคนไทยเก่งซอฟต์แวร์ ประชันเวทีเอเชียแปซิฟิก

สมาคมธุรกิจคอมพิวเตอร์ไทย หรือ เอทีซีไอ เชิญชวนผู้สนใจส่งผลงานด้านซอฟต์แวร์เข้าร่วมประกวด ในงานบางกอก ไอซีที เอ็กซ์โป 2005 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-7 สิงหาคมนี้ ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ภายใต้ความร่วมมือของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ ซิป้า เพื่อค้นหาตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมประกวดในงาน "เอเชียแปซิฟิก ไอซีที อวอร์ด 2005" ณ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ในวันที่ 8-11 ธันวาคมนี้ เวทีประกวดซอฟต์แวร์ในไทย หรือโครงการไทยแลนด์ ไอซีที อวอร์ด 2005 ได้จัดขึ้นเป็นปีที่สองแล้ว เพื่อส่งเสริมธุรกิจซอฟต์แวร์ของผู้ประกอบการไทย และยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์กัน ระหว่างผู้ประกอบการด้านซอฟต์แวร์ในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยแบ่งหมวดการประกวดเป็น 10 หมวดซอฟต์แวร์คือ การศึกษาและฝึกอบรม, สุขภาพและสาธารณสุข, อุตสาหกรรม, ธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเงิน, ธุรกิจการเงิน, ท่องเที่ยวการโรงแรม, ความบันเทิง เกม, โครงการของหน่วยงานรัฐบาล, การสื่อสารและหมวดสุดท้ายซอฟต์แวร์ที่พัฒนาโดยนักเรียนนักศึกษา สำหรับผู้ชนะการประกวดจะได้รับโล่ พร้อมใบประกาศเกียรติคุณ และทุนสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปร่วมประกวดผลงานในงานเอเชียแปซิฟิก ณ ประเทศอินโดนีเซีย ส่วนผู้สนใจส่งผลงานร่วมประกวด ติดต่อรับเอกสารการสมัครที่สมาคมธุรกิจคอมพิวเตอร์ไทย ภายในวันที่ 15 กรกฎาคม หรือสอบถามเพิ่มเติมโทร.0-2216-5862, 0-2219-5991-2 (คมชัดลึก พุธ 6 ก.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





จุฬาฯผุดโรงงานกลั่นน้ำทะเล ผลิตน้ำจืดป้อนวิทยาเขตเกาะสีชัง

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยศึกษาความเป็นไปได้ สำหรับการจัดหาแหล่งน้ำใหม่บนเกาะสีชัง ภายใต้โครงการศึกษารูปแบบที่เหมาะสมของระบบน้ำในเขตพระจุฑาธุชราชฐาน เนื่องจากภาควิชาฯได้วางแผนเปิดวิทยาเขตใหม่บนเกาะสีชัง ดังนั้น การจัดหาแหล่งน้ำใหม่โดยไม่แย่งชิงน้ำจากชุมชนจึงเป็นสิ่งจำเป็น "เพื่อให้น้ำเพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำในปริมาณ 4 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน เราพบว่าน้ำทะเลมีความเหมาะสมมากที่สุดในการนำมากลั่นให้เป็นน้ำจืดสำหรับป้อนให้กับสาธารณูปโภคต่างๆ ในวิทยาเขตของจุฬาฯ และความต้องการใช้น้ำของบุคลากรภายในสำนักงาน รวมทั้งนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมเขตพระจุฑาธุชราชฐาน " รีเวิร์สออสโมซิสกลั่นน้ำบริสุทธิ์ ในการกลั่นน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืดบริสุทธิ์ จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีการกลั่น ที่มีความละเอียดสูงและสามารถกรองจุลชีพ หรือสิ่งสกปรกที่มีขนาดเล็กมาก เพื่อความปลอดภัยในสุขภาพ เทคโนโลยีการผลิตน้ำประปาแบบรีเวิร์ส ออสโมซิส (RO) จึงถูกเลือกใช้สำหรับภารกิจนี้ ด้วยงบประมาณ 5 แสนบาท สำหรับการผลิตน้ำปริมาณ 4 ลบ.ม.ต่อวัน ผศ.ดร.ชวลิต อธิบายถึงการทำงานของระบบผลิตน้ำแบบรีเวิร์สออสโมซิส หรือ อาร์โอ ว่า เป็นการทำงานโดยอาศัยหลักการการใส่ความดัน เข้าไปในสารละลายเข้มข้น โดยความดันที่ใส่เข้าไปต้องมากกว่าความดันออสโมซิสของสารละลาย จากผลความดันนี้ทำให้น้ำบริสุทธิ์ ถูกบังคับให้ไหลผ่านเมมเบรน ชนิดยอมให้โมเลกุลขนาดเล็กผ่านได้ โดยจะทิ้งเกลือและสิ่งปนเปื้อนเอาไว้ ทั้งนี้กระบวนการกรองจะมีรูพรุนขนาดเล็กมากที่สุด ทำให้กระบวนการผลิตน้ำประปาจากน้ำทะเลมีความบริสุทธิ์ แต่หากจะให้น้ำที่ผลิตได้นั้นมีความบริสุทธิ์มากและปลอดจากเชื้อโรค ที่อาจเล็ดลอดมาได้ จะต้องผ่านการฆ่าเชื้อโรคโดยใช้แสงอัลตราไวโอเลตอีกหนึ่งขั้นตอน จึงจะปล่อยน้ำเข้าสู่ท่อประปา ด้าน เกษมศรี หอมชื่น รองผู้ว่าการ (ปฏิบัติการ) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การนิคมฯ มีแผนงานที่จะนำเทคโนโลยีผลิตน้ำประปาจากน้ำทะเลแบบอาร์โอ มาใช้ผลิตน้ำป้อนโรงงานอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรม จ.ระยองและจ.ชลบุรี ซึ่งติดกับทะเล และประสบภาวะขาดแคลนน้ำ แต่เนื่องจากเทคโนโลยีดังกล่าวยังมีต้นทุนที่สูงมาก และราคาน้ำยังแพง โดยใช้เงินลงทุนสร้างระบบและโรงงานผลิตสูงถึง 2 พันล้านบาท สำหรับการผลิตน้ำจำนวน 5 หมื่นลูกบาศก์เมตร ซึ่งจำนวนงบประมาณนี้ยังไม่รวมค่าระบบท่อ ทำให้ราคาผลิต ณ หัวจ่ายตกยูนิตละ 35 - 40 บาท อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีการกลั่นน้ำโดยใช้วิธีการรีเวิร์สออสโมซิส ยังมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถกลั่นน้ำทะเลในปริมาณมากได้ หากคุณภาพของน้ำทะเลที่นำมากลั่น มีความเข้มข้นของเกลือมากเกินไป อาจทำให้ระบบการกรองอุดตัน และหากไม่สามารถจัดหาแหล่งน้ำใดๆ ให้เพียงพอต่อความต้องการภายในนิคมฯ การผลิตน้ำประปาจากน้ำทะเลจึงเป็นทางเลือกที่จำเป็น (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 13 ก.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ญี่ปุ่นส่งยานอวกาศสำรวจกาแล็กซี-หลุมดำ

สำนักงานอวกาศญี่ปุ่นแถลงว่า ญี่ปุ่นได้ตัดสินใจที่จะส่งจรวดเอ็ม-5 เพื่อนำดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจร เพื่อทำการศึกษาหลุมดำและกาแล็กซีในวันอาทิตย์นี้ เดิมกำหนดปล่อยจรวดดังกล่าวมีขึ้นเมื่อวันศุกร์ แต่จำเป็นต้องเลื่อนออกไปเนื่องจากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นหลังจากมีการวิเคราะห์สภาพอากาศแล้ว การปล่อยยานจะมีขึ้นที่จังหวัดคาโกชิมะ ห่างจากกรุงโตเกียวไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 985 กม. รายงานระบุว่า ดาวเทียมดังกล่าวจะมีการติดตั้งกล้องโทรทรรศน์ 5 ตัวเพื่อศึกษาโครงสร้างและความเคลื่อนไหวของหลุมดำและกาแล็กซี (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 11 ก.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





สธ.ผลิตมุ้งชุบเคมีน็อคยุง แจกสวนยางกันมาลาเรีย

ศ.นพ.สุชัย เจริญรัตนกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย น.พ.ธวัช สุนทราจารย์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เดินทางไปติดตามการควบคุมโรคไข้มาลาเรียที่สถานีอนามัยบ้านเหนือคลอง ต.บ้านส้อง อ.เวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี พร้อมทั้งมอบมุ้งชุบสารเพอร์มิตริน (Permethrin) 100 หลัง และเสื้อตาข่ายชุบสารตัวเดียวกันอีก 200 ตัว ให้ชาวสวนยาง เพื่อใช้ป้องกันยุงก้นปล่องกัด สารเพอร์มิตรินไม่เป็นพิษต่อคน มีฤทธิ์ฆ่ายุง เมื่อยุงมาเกาะและสัมผัสกับสาร จะทำให้ยุงเป็นอัมพาตและตายภายใน 24 ชั่วโมง ในส่วนของสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 11 กรมควบคุมโรค ได้ทำโครงการเสื้อตาข่ายชุบสารเพอร์มิตรินเสริมให้เป็นพิเศษ สำหรับกลุ่มกรีดยางตอนกลางคืน ซึ่งตกเป็นเหยื่อยุงก้นปล่องที่ออกหากินตลอดคืน โดยเสื้อตาข่ายนี้อาจกล่าวได้ว่ามีแห่งแรกในโลก มุ้งและเสื้อจะชุบสารเพอร์มิตรินความเข้มข้น 10% ให้ได้สารออกฤทธิ์ในขนาด 0.3 กรัมต่อ 1 ตารางเมตรของพื้นที่เสื้อและมุ้ง เป็นโครงการศึกษาวิจัยตั้งแต่ พ.ศ.2545-2546 ผลิตแจกฟรีทั้งหมด 9,000 ตัวให้ชาวสวนยาง จากการติดตามประเมินผลพบว่าได้ผลดี จำนวนผู้ป่วยโรคมาลาเรียลดลงกว่า 3 เท่าตัว จาก 3,969 รายในปี 2545 เหลือ 975 รายในปี 2547 สำหรับเสื้อตาข่ายชุบสารเพอร์มิตริน จะต้องชุบทุก 6 เดือน โดยไม่ซักล้างและให้เก็บไว้ในที่ร่ม เพื่อป้องกันสารเคมีเสื่อมคุณภาพ (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 5 ก.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





สนุกกับ “นิทรรศการแม่เหล็ก” ที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์

โดยจุดมุ่งหมายของงานครั้งนี้ก็คือ การมาทำความรู้จักและเรียนรู้กับนิทรรศการที่มีชื่อว่า “แม่เหล็ก” ซึ่งจัดแสดงอยู่ ณ บริเวณชั้น 3 หมวดวิทยาศาสตร์พื้นฐานและพลังงาน นิทรรศการแม่เหล็ก เป็นนิทรรศการที่จะแสดงให้ได้เห็นถึงคุณสมบัติของแม่เหล็ก วัสดุที่เป็นสารแม่เหล็ก แรงจากแม่เหล็กขนาดต่างๆ รวมไปถึงการนำแม่เหล็กมาใช้งาน หรือใช้เป็นชิ้นส่วนสำคัญในการทำงานของอุปกรณ์หลายชนิด อาทิ เข็มทิศ ไมโครโฟน หรือเครื่องเล่นสเตอริโอ ซึ่งภายในนิทรรศการนี้จะมีการแบ่งหัวข้อของการจัดแสดงออกเป็น 4 กลุ่มด้วยกัน เริ่มด้วย แรงแม่เหล็ก แม่เหล็กไฟฟ้า หมุนขดลวดสร้างไฟฟ้า สุดท้ายกับหัวข้อ การใช้งานแม่เหล็กไฟฟ้า สัมผัสกับนิทรรศการแม่เหล็กนี้ได้ด้วยตนเอง ณ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ คลองห้า ปทุมธานี ซึ่งเปิดให้บริการทุกวันอังคาร - ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 9.30 - 16.00 ส่วนวันเสาร์ - อาทิตย์ เปิดให้บริการเวลา 9.30 - 17.00 น. (สยามรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 13 ก.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





สกัดติดสร้าง “มนุษย์วานร” ด่วน หวั่นเกิดลิงหัวแหลมเท่ากับคน

ตามที่มีเว็บไซต์แห่งหนึ่งของออสเตรเลียเปิดเผยว่า ได้มีนักวิทยาศาสตร์กำลังทำการทดลองอันก้าวหน้าที่สุด นำเอาเซลล์สมองมนุษย์ฉีดเข้าไปในครรภ์ของลูกลิงตัวอ่อนอยู่หลายราย เพื่อจะดูว่ามันจะเกิดเป็นลิงประหลาดอะไรขึ้นมา ขณะเดียวกันคณะกรรมการนักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐฯคณะหนึ่ง ได้เรียกร้องให้มีการจำกัดการวิจัยทดลองแบบนี้เสีย ด้วยเหตุว่า อาจจะเกิดผลที่ไม่อาจทำนายได้ขึ้น อย่างเช่น อาจจะเกิดสัตว์วิเศษที่ทรงภูมิปัญญาขึ้นมา คณะกรรมการชุดนี้ ประกอบด้วยนักพฤติกรรมศาสตร์ ทนายความ นักปรัชญา นักชีวจริยธรรมและนักวิทยาศาสตร์ ด้านประสาทวิทยา ถูกตั้งขึ้นเพื่อคอยสอดส่อง การทดลองทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับคนกับวานร ที่กำลังแพร่หลายมากขึ้น มีผู้พยายามที่จะสร้างสิ่งที่มีชีวิตที่มีเชื้อพันธุ์ 2 ชนิด อยู่ในตัวเดียวกัน โดยการนำเอาเซลล์เนื้อเยื่อและดีเอ็นเอมาผสมกันเข้า (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 15 ก.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





โดเมนเนมใหม่สำหรับมือถือ .mobi

รายงานข่าวเปิดเผยว่าในการประชุมของกลุ่ม icann หรือ (Internet Corporation for Assigned Names) ณ กรุงอัมสเตอร์ดัม เนเธอร์ แลนด์ ที่ประชุมได้อนุมัติใช้งานโดเมนเนม .mobi ได้ตามที่กลุ่มพันธมิตรบริษัทผู้ผลิตและให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือเสนอมา สำหรับกลุ่มพันธมิตรบริษัทผู้ผลิตและให้บริการโทรศัพท์มือถือที่ขอใช้โดเมมเนม .mobi ประกอบด้วยฮัทชิสัน 3 สมาคมจีเอสเอ็ม อีริคสัน ไมโครซอฟท์ โนเกีย ซัมซุง เทเลโฟนิกา โมไวลส์ ทีโมบายและโวดาโฟน เว็บไซต์ที่ใช้โดเมนเนม .mobi จะให้บริการแก่กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจโทรศัพท์มือถือและกลุ่มผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่มีเว็บไซต์ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ สามารถให้ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ ที่มีหน้าจอขนาดเล็กเข้ามาใช้บริการดาวน์โหลดข้อมูลทั้งสาระและบันเทิงด้วยวิธีง่าย ๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้งานอินเทอร์เน็ตมากขึ้น โดย icann ระบุว่า ผู้ใช้โดเมนเนม .mobi จะต้องสามารถรองรับการทำงานของโทรศัพท์มือถือที่มีหน่วยความจำน้อย จอขนาดเล็ก ใช้แบนด์วิธไม่มากนัก คาดว่าจะเริ่มใช้งานได้อย่างเป็นทางการภายใน ค.ศ. 2006 ปัจจุบันเว็บไซต์ที่ให้บริการดาวน์โหลดข้อมูลบนอุปกรณ์ไร้สายยังมีฟังก์ชันการทำงานค่อนข้างยากและรองรับอุปกรณ์ที่มีหน้าจอขนาดใหญ่ เช่น คอมพิวเตอร์พีซีและแล็ปท็อป หากมีเว็บไซต์สำหรับผู้ใช้โทรศัพท์มือถือโดยเฉพาะก็จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้และอัพเกรดเพิ่มขีดความสามารถของมือถือต่อไป สำหรับชื่อ mobi เป็นชื่อที่เนเธอร์แลนด์เป็นผู้เสนอและได้รับการคัดเลือกมาใช้ หมายถึงโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์พกพาเคลื่อนที่ ทั่วโลกจะมีนิคเนมเรียกแตกต่างกัน เช่น เบลเยียม เรียก GSM เยอรมนี เรียก handy ฝรั่งเศสเรียก portable หรือ mobile อังกฤษ เรียก mobile และสหรัฐอเมริกาใช้คำว่า cell. (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 15 ก.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





เผยสึนามิ 26ธ.ค.เปลือกโลกร้าวถึงคุนหมิง

ผลการศึกษาล่าสุดโดยนักธรณีวิทยาฝรั่งเศสพบว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่จนเกิดคลื่นยักษ์สึนามิ ในทะเลนอกชายฝั่งเกาะสุมาตราของอินโดนีเซียเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. ที่ผ่านมา ทำให้เปลือกโลกใต้มหาสมุทรอินเดียแตกเป็นรอยแยก เป็นแนวยาวอย่างน้อย 1,000 กม. ถึงดินแดนภาคใต้ของประเทศจีน ข้อมูลที่ได้จากหลายเครือข่ายสถานีระบบดาวเทียมบอกพิกัด (จีพีเอส) ที่ตรวจสอบการเคลื่อนไหวของแผ่นดินทุกจุดทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยืนยันว่า เกิดรอยแยกเป็นแนวยาวอย่างน้อย 1,000 กม. จากบริเวณใต้ทะเลทางตะวันตกของเกาะสุมาตราลากขึ้นทางเหนือ จากเดิมที่เชื่อกันว่ารอยแยกยาวประมาณ 450 กม. และแรงสั่นสะเทือนมีพลังมหาศาลถึงขั้นแผ่นดินทั้งจังหวัดภูเก็ตของไทย ถูกเขย่าจนขยับขึ้นสู่ท้องฟ้าสูงถึง 27 ซม. เพียงไม่ถึง 10 นาทีหลังเกิดแผ่นดินไหว ผลการศึกษานำโดยนายคริสตอฟ วินเญ่ นักธรณีวิทยาชาวฝรั่งเศส ซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่ลงในวารสารแนววิทยาศาสตร์รายสัปดาห์เนเจอร์เล่มล่าสุด ยังพบอีกว่า พบรอยแยกของเปลือกโลกประมาณ 5-10 มม. ในรัศมีประมาณ 3,000 กม. จากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว โดยพบว่ามณฑลคุนหมิง ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน รวมทั้งที่เมืองบังดาลอร์และเมืองไฮเดอราบาดทางใต้ของอินเดีย และที่รัฐซาบาห์ ทางตะวันออกของมาเลเซีย เมื่อเดือน มี.ค. บรรดานักวิทยาศาสตร์ประเมินว่า แผ่นดินไหวที่ทำให้เกิดสึนามิ 26 ธ.ค. มีแรงสั่นสะเทือน 9.3 ตามมาตราริค เตอร์ รุนแรงกว่าที่เชื่อกันในตอนแรกกว่า 2 เท่า และกลายเป็นแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก เท่าที่เคยมีการบันทึก. (เดลินิวส์ เสาร์ที่ 16 ก.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ข่าววิจัย/พัฒนา


ตื่นสับปะรดมียาขนานทรงพลังรักษามะเร็งได้เกือบหมดทุกชนิด

นักวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิจัยการแพทย์รัฐควีนส์แลนด์ ได้พบว่าโมเลกุลของโบรเมลีน อันเป็นเอนไซม์อย่างหนึ่งของสับปะรด ที่สกัดจากแกนสับปะรดบด ซึ่งใช้ในการคลุกกับเนื้อเพื่อให้เปื่อยนุ่ม ใช้ในอุตสาหกรรมทำเบียร์ เพื่อให้น้ำเบียร์บริสุทธิ์ และในการฟอกหนัง 2 ชนิดด้วยกัน โมเลกุลชนิดหนึ่งเรียกว่า “ซีซีแซด” กับอีกชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า “ซีซีเอส” ต่างมีฤทธิ์ปลุกภูมิคุ้มโรคให้ตื่นตัว และฆ่าเซลล์มะเร็งลงได้ กำลังศึกษาหาดูว่าเหตุใดโบรเมลีนอันอุดมด้วยเอนไซม์ จึงทรงอานุภาพกับชีววัตถุขนาดนั้น “เราได้พบในการศึกษาว่า มันสามารถขัดขวางการเติบโตของมะเร็งต่างๆ ได้หลายชนิด ตั้งแต่มะเร็งทรวงอก ปอด ลำไส้ รังไข่ ตลอดจนผิวหนัง” นักวิจัยเทรซี ไมนอตต์ กล่าวต่อไปว่า “โมเลกุลทั้งคู่ออกฤทธิ์เหนื่อกว่ายามะเร็งที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันทั้งหมด ด้วยเหตุนั้นมันจึงอาจจะเป็นยามะเร็งชั้นใหม่เอี่ยมได้ สถาบันได้ค้นคว้ามานาน 2 ปีแล้ว เพื่อหาวิธีเอามาใช้ให้ได้ผลโดยปลอดภัย และหากพบความสำเร็จก็จะร่วมหุ้นกับบริษัทใดๆ เพื่อผลิตยาขึ้น”. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 11 ก.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ดื่มน้ำขวางมะเร็งกับโรคหัวใจหนีห่างโรคได้ไกลถึงครึ่งเท่า

นักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯได้ศึกษาพบว่า ผู้ที่ดื่มน้ำมากวันละเกิน 4 แก้วขึ้นจะเป็นโรคมะเร็งลำไส้ได้ยากกว่าคนที่ดื่มแค่เพียงวันละแก้วเดียวหรือไม่ถึงด้วยซ้ำ นอกจากนั้นยังมีรายงานว่า การดื่มน้ำมากๆ ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ จากการศึกษากับบุคคลไม่ต่ำกว่า 20,000 คน นักวิจัยได้พบว่า หากใครดื่มน้ำให้มากวันละ 5 แก้วเป็นประจำ จะสามารถหนีโรคหัวใจได้มากถึง 40% ขณะเดียวกันสมาคมโภชนาการเมืองน้ำชา ถึงกับให้คำแนะนำว่า ผู้ที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว ควรจะดื่มน้ำให้ได้มากวันละไม่ต่ำกว่า 2.5 ลิตร เพื่อร่างกายจะได้แข็งแรง เคยมีการทดสอบพบว่า ผู้ที่มีอาการร่างกายขาดน้ำขนาดปานกลาง จะมีความคิดความอ่านเสื่อมลง ทำคะแนนในการทดสอบในเรื่องความจำระยะสั้น สมาธิและการคำนวณไม่ได้ดี. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 11 ก.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





สารสกัดสมุนไพรไทยยับยั้งศัตรูพืช

ดร.จีรพันธ์ วรพงษ์ โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ สถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การเก็บตัวอย่างพืชที่ใช้ในงานวิจัยครั้งนี้ได้มาจากพืชสมุนไพรในสวนสิรีรุกขชาติมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา ในการเก็บตัวอย่างจากพืชมาทำการทดลองนั้นต้องคัดเลือกใบ กิ่งไม้ หรือลำต้นที่สด ไม่แห้งและไม่อ่อนแอเกินไป โดยรีบนำพืชมาแยกเชื้อเอนโดไฟท์ ถ้าทำการแยกเชื้อไม่ทันภายในวันที่เก็บ ให้นำมาเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส ก่อนทำการแยกเชื้อเอนโดไฟท์จากพืชตัวอย่างมากกว่า 50 ชนิด อาทิ จากต้นอบเชย ชมพูพันธ์ทิพย์ จันทน์เทศ ฝาง เป็นต้น “จากผลการทดลองพบว่า เชื้อเอนโดไฟท์ Muscodor albus สายพันธุ์ MFC2 สามารถสร้างสารทุติยภูมิที่เป็นก๊าซยับยั้งเชื้อราที่ก่อโรคในเมล็ดข้าว นั่นคือสารทุติยภูมิที่เชื้อเอนโดไฟท์สร้างขึ้นนั้นจะล่องลอยไปในอากาศ แล้วออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราที่ก่อโรคในเมล็ดข้าว ทั้งนี้ยังมีเชื้อราเอนโดไฟท TRL2 สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา Phytophthora palmivora ที่ก่อให้เกิดโรครากเน่า โคนเน่าในทุเรียน เชื้อราเอนโดไฟท์ VFIB1 และCSC28 สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ Phytophthora capsici ที่ก่อให้เกิดโรครากเน่า โคนเน่าในพริก สำหรับการวิจัยในขั้นตอนต่อไปนั้น จะเป็นไปในแนวทางของการศึกษากระบวนการยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคพืชชนิดต่างๆ ของเชื้อเอนโดไฟท์ ไม่ว่าจะเป็นการเจาะลึกลงไปถึงกระบวนการสร้างสารยับยั้งเหล่านั้นในระดับพันธุกรรม การทำงานของสารเหล่านั้น ทั้งในแบบการแพร่ผ่านของแข็ง ของเหลว และก๊าซ การสกัดหรือสร้างสารยับยั้งเหล่านี้ขึ้นมาในห้องปฏิบัติการเพื่อเพิ่มปริมาณสารกำจัดศัตรูพืชแบบชีววิธี และส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือการทดสอบว่าการใช้สารเอนโดไฟท์กำจัดจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ แล้วจะไม่มีผลกระทบต่อเนื่องไปยังผู้บริโภค การใช้สารเอนโดไฟท์เป็นชีววิธีควบคุมศัตรูพืช และเพิ่มแร่ธาตุที่สำคัญให้กับพืชเศรษฐกิจ เป็นอีกก้าวหนึ่งของการพัฒนาที่จะทำให้การผลิตพืชเกษตรของไทย มีจำนวนเพียงพอกับความต้องการของคนในประเทศและตลาดโลกได้อย่างมีคุณภาพ ปลอดภัยจากสารเคมีด้วยวิธีทางชีวภาพจากการศึกษาค้นคว้าและทำการทดลองโดยฝีมือของคนไทยทั้งยังทำให้เห็นถึงคุณประโยชน์ของพืชสมุนไพรพื้นบ้านอันเป็นภูมิปัญญาไทยที่นำมาใช้ได้อย่างลงตัว (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 11 ก.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





อย่าขังเด็กในรถจอดเป็นอันขาด อากาศภายในร้อนขึ้นได้รวดเร็ว

หัวหน้านักวิทยาศาสตร์แคทเธอรีน แมคลาเรน แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ที่สหรัฐฯ แจ้งว่า รถที่จอดอยู่ในที่อากาศอุ่นพอสบาย อากาศในรถจะร้อนขึ้นได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉลี่ยได้สูงถึงชั่วโมงละ 22 องศาเซนติเกรด ในการศึกษาหนก่อนเคยพบว่า หากอากาศข้างนอกสูงถึง 35 องศา อากาศในรถจะร้อนพุ่งสูงขึ้นได้ถึง 65 องศา ภายในเวลา 15 นาทีเท่านั้น นักวิจัยแคทเธอรีนกับคณะ ได้หันมาศึกษาในวันที่มีอากาศค่อนข้างเย็นดูบ้าง เพราะเท่าที่ศึกษากันมา ก็ทำแต่วันที่มีอากาศร้อน อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 28 องศาทั้งสิ้น ได้พบว่า ในวันที่อากาศภายนอกอุณหภูมิอยู่ในระหว่าง 22-35 องศา อากาศในรถมีอุณหภูมิ สูงขึ้นอีก 80% ภายในเวลา 30 นาที อย่างเช่น อากาศตอนที่เพิ่งจอดอยู่ อุณหภูมิแค่ 22 องศา หากรถจอดตากแดดอยู่ด้วย อุณหภูมิจะสูงขึ้นได้เป็น 47 องศา ชั่วภายใน 60 นาทีเท่านั้น ถึงจะแง้มกระจกเอาไว้ก็ไม่ช่วยอะไรได้มาก. (ไทยรัฐ อังคารที่ 12 ก.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ผลิต “เนื้อวิทยาศาสตร์” ขึ้นได้แล้วใช้บริโภคแทนเนื้อวัวควายกันได้

นักวิจัยแจ้งว่า สามารถใช้เทคโนโลยีวิศวกรรมเนื้อเยื่อเพาะเลี้ยง “เนื้อวิทยาศาสตร์” ขึ้นในห้องปฏิบัติการทดลองได้แล้ว ซึ่งจะช่วยลดภาวะสกปรกจากการเลี้ยงดูปศุสัตว์อย่างในปัจจุบันนี้ลงได้ นักวิจัยของมหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ของสหรัฐฯ ได้รายงานในวารสาร “วิศวกรรมเนื้อเยื่อ” กล่าวว่า นักวิทยาศาสตร์สามารถเพาะเลี้ยงเซลล์เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อของวัว ควาย หมู หรือปลา บนเยื่อบางให้เป็นแผ่นโตขึ้นได้ และแผ่นเซลล์นั้นจะเอาไปเลี้ยงให้เติบโตและแผ่ขยายใหญ่ออกไปได้ จากนั้นก็แกะลอกออกจากแผ่นเยื่อ นำไปซ้อนกันหลายๆ ชั้นจนหนาและมีลักษณะอย่างกับเนื้อสัตว์ นายเจสัน แมเธอนี หัวหน้านักวิจัยกล่าวอ้างว่า เนื้อที่เพาะเลี้ยงขึ้นนี้จะมีคุณประโยชน์หลายอย่าง อย่างหนึ่งก็คือ การควบคุมให้มีธาตุอาหาร นอกจากนั้นมันยังช่วยลดมลภาวะอันมาจากการเลี้ยงดูฝูงวัวควาย ไม่ต้องเปลืองยาที่ใช้กับสัตว์ที่เลี้ยงเพื่อใช้เนื้อเป็นอาหารอีกด้วย การเลี้ยงวัวควาย ยังจำเป็นต้องใช้น้ำและพื้นที่เป็นอันมาก ในขณะที่เนื้อที่เพาะเลี้ยงขึ้นไม่จำเป็นต้องใช้เลย (ไทยรัฐ อังคารที่ 12 ก.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





นำของเหลือใช้จากการผลิตสุราแช่ แปรรูปเป็นปุ๋ยหมักประสิทธิภาพเยี่ยม

บริษัท ซี.เอ็ม. โภคภัณฑ์ จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตสุราแช่พื้นบ้าน เป็นอีกบริษัทหนึ่งที่มีปัญหาในเรื่องการจัดการกับกากข้าวจำนวนมาก การวิจัยเรื่อง “การศึกษาประสิทธิภาพถังทำปุ๋ยหมักแบบไร้อากาศโดยใช้กากของเสียจากโรงงานสุราแช่พื้นบ้าน” จึงเกิดขึ้นเพื่อจัดการกับปัญหา ดังกล่าว โดย นายไพโรจน์ โชติพณิชเศรษฐ์, นายทศพล สว่างพักตร์ นักศึกษาจากภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี โดยมีอาจารย์อรวรรณ ชื่นคุ้ม เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ได้ร่วมกันประดิษฐ์ ถังทำปุ๋ยหมักแบบไร้อากาศ ขึ้น เพื่อนำกากข้าวมาแปรรูปเป็นปุ๋ยหมักใช้ในการเกษตร โดยการวิจัยนี้ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ด้วย นายไพโรจน์ หนึ่งในคณะผู้วิจัย เปิดเผยว่า “ถังหมักไร้อากาศที่ผลิตขึ้นนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นส่วนตัวถังด้านนอกใช้ในการบรรจุส่วนผสมที่จะนำมาทำปุ๋ยหมัก คือ กากข้าวซึ่งต้องนำมาล้างน้ำให้สะอาด และปรับ PH ให้เป็นกลางเพราะกากข้าวที่ได้จาก กระบวนการสุราแช่จะมีสภาพเป็นกรด และนำมาผสมกับฟางข้าว เยื่อกระดาษ หรือขี้เลื่อย ซึ่งจะเป็นตัวช่วยให้กากข้าวที่นำมาหมักนั้นไม่เน่า แต่ในการทดลองครั้งนี้เราเลือกใช้ฟางข้าว เพราะเป็นวัสดุที่หาได้ง่าย โดยนำเอาส่วนผสมที่ได้มาใส่ลงในตัวถังประมาณ 3 ใน 4 ของตัวถัง ส่วนที่สอง เป็นชุดใบกวนภายในเครื่องที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ ซึ่งจะทำหน้าที่กลับกวนส่วนผสมไม่ให้เกิดเชื้อรา โดยการกลับกวนจะถูกควบคุมด้วยระบบการตั้งเวลา (TIMER) โดยจะทำทุกวัน เช้า-เย็น ครั้งละ 10 นาที เป็นเวลาประมาณ 2 เดือนครึ่ง ก็จะได้ปุ๋ยหมักจากกากข้าว และจากการนำไปทดลองใช้ พบว่ามีประสิทธิภาพในระดับหนึ่ง สำหรับการผลิต “ถังทำปุ๋ยหมักแบบไร้อากาศ” นี้ วัสดุที่นำมาทำตัวถังบรรจุส่วนผสม สามารถนำถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร มาใช้แทนตัวถังที่ทำมาจากสเตนเลสได้ ซึ่งจะมีส่วนช่วยลดต้นทุนการผลิตเครื่องลงไปได้อีก ผู้ใดสนใจ “ถังทำปุ๋ยหมักแบบไร้อากาศ” สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศว กรรมและเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี หมายเลขโทรศัพท์ 0-2549-3377 ในวันและเวลาราชการ. (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 12 http://www.dailynews.co.th)





เปิดตัว “ฟาร์มต้นแบบบำบัดน้ำทิ้งจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ” ฟื้นทะเลสาบสงขลา สานฝันเกษตรรายย่อยสู่ COC

กรมควบคุมมลพิษหวังช่วยเกษตรกรรายย่อย เปิดตัว “ฟาร์มต้นแบบบำบัดน้ำทิ้งจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ” ณ อำเภอปากพยูน จังหวัดพัทลุง เผยบำบัดน้ำทิ้งจากนากุ้งให้ได้มาตรฐานภายใน 7 วัน สามารถผันน้ำกลับมาใช้ใหม่ เกษตรกรระบุคุ้ม ทำได้ง่าย ต้นทุนต่ำ เชื่อหากทุกพื้นที่ร่วมกันทำ ไม่เพียงช่วยรักษาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ยังมีโอกาสได้มาตรฐานการรับรองฟาร์ม COC ทำให้กุ้งราคาดี และเป็นอาชีพที่ยั่งยืน นายอดิศัย ชวเจริญพันธ์ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยถึงที่มาโครงการฟาร์มต้นแบบบำบัดน้ำทิ้งจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ที่จัดทำขึ้น ณ ตำบลเกาะหมาก อำเภอปากพยูน จังหวัดสงขลา ว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาประสบปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำเสีย การตื้นเขินและการลดลงของทรัพยากร เนื่องจากต้องรองรับมลพิษจากทั้งแหล่งชุมชน โรงงานอุตสาหกรรม เกษตรกรรม ยิ่งเฉพาะนากุ้ง ซึ่งมีพื้นที่เพาะเลี้ยงมากถึง 33,218 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 9 อำเภอใน 3 จังหวัด ด้วยเหตุนี้ทางกรมควบคุมมลพิษ จึงมอบหมายให้ทางคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดทำ “ฟาร์มต้นแบบบำบัดน้ำทิ้งจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ” เพื่อหาแนวทางการบำบัดน้ำในรูปแบบที่ง่าย ต้นทุนต่ำ ใช้ระยะเวลาสั้น เหมาะสำหรับทั้งเกษตรกรผู้ที่มีฟาร์มเพาะเลี้ยงกุ้งขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดใหญ่ โดยมุ่งหวังเสริมสร้างศักยภาพการจัดการมลพิษจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่ทะเลสงขลา และแก้ปัญหาการเพาะเลี้ยงกุ้งของเกษตรกรให้ได้มาตรฐานและมีการจัดการน้ำที่ปล่อยลงสู่ทะเลอย่างเหมาะสม ในส่วนโครงสร้างของฟาร์มหากเป็นเกษตรกรรายย่อย เสนอให้ผู้เพาะเลี้ยงมีการรวมกลุ่มกัน ดังเช่นฟาร์มต้นแบบสาธิตบำบัดน้ำทิ้งจากเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ปากพยูน ผู้เพาะเลี้ยง 11 รายมีการรวมตัวกัน จัดหาพื้นที่บ่อส่วนกลางขึ้น 2 บ่อ คือ 1. บ่อตกตะกอน 2. บ่อเติมอากาศ จากนั้นเสียสละพื้นที่เพียงเล็กน้อยทำการขุดคูให้เป็นเส้นทางที่เชื่อมถึงกันทุกบ่อในชุมชน เมื่อมีการเก็บเกี่ยวกุ้งให้ระบายน้ำทิ้งลงในคู จากนั้นน้ำจะไหลไปยังบ่อตกตะกอน ทิ้งไว้เป็นเวลา 1 วัน จากนั้นต่อท่อผันน้ำไปยังบ่อเติมอากาศเป็นเวลา 7 วัน การบำบัดน้ำจะได้มาตรฐาน สำหรับในกรณีไม่สามารถรวมกลุ่มได้ ผู้เพาะเลี้ยงอาจลองสังเกตในพื้นที่ว่ามีคู คลองหรือไม่ หากมีเกษตรกรสามารถปั๊มน้ำลงไปทิ้งให้ตกตะกอนและสูบกลับมาใช้ใหม่ได้เช่นกัน ในกรณีที่บ่อเดียวแต่มีพื้นที่มากอาจจะใช้วิธีแบ่งบ่อเอา ที่สำคัญเมื่อมีระบบบำบัด มีการจัดการที่ดีทางฟาร์มก็สามารถยื่นขอมาตรฐานการรับรองฟาร์ม (COC)ได้ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ซื้อมีความมั่นใจในผลิตและสามารถขายกุ้งได้ในราคาที่ดีขึ้น สำหรับเกษตรกรที่สามารถรวมกลุ่มได้ และมีความสนใจทำระบบบำบัดน้ำเสียในฟาร์ม สามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมและคำแนะนำได้ที่กรมควบคุมมลพิษ 0-2298-2000 (สยามรัฐ อังคารที่ 12 ก.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





บริษัทยาจีนคุย พัฒนายาเอดส์ รุ่นใหม่สำเร็จ

หนังสือพิมพ์ไชน่า เดลี่ ของทางการจีน รายงานเมื่อวันจันทร์ว่า นพ.เกา ฟู่ หัวหน้าสถาบันวิจัยไมโครไบโอโลยีแห่งสถาบันวิทยาศาสตร์จีน กล่าวระหว่างการสัมมนาเอชไอวี/เอดส์ ที่กรุงปักกิ่ง ระบุว่า การพัฒนายาต้านไวรัสเอดส์ของบริษัทฟูโซเจน ฟามาซูติคอลส์ ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ในห้องทดลองขณะนี้อยู่ระหว่างการทดลองทางคลินิก ล่าสุดได้รับการรับรองจากสำนักงานอาหารและยาของจีนแล้ว และคาดว่าน่าจะนำออกวางจำหน่ายปลายปีหน้า ยาต้านไวรัสเอดส์ดังกล่าว พัฒนาจากแนวทางของยาที 20 ของสหรัฐ ที่องค์การอาหารและยาสหรัฐ หรือเอฟดีเอ อนุมัติวางจำหน่ายเมื่อ 2 ปีก่อน โดยใช้วิธีป้องกันไม่ให้ไวรัสเอดส์โจมตีเซลล์ของผู้ติดเชื้อ ตลอดจนป้องกันการเกิดกระบวนการฟิวชั่นของไวรัสเอดส์ที่บริเวณเนื้อเยื่อของเซลส์ นายโจว เกินฟะ แห่งบริษัทฟูโซเจน ระบุว่า ด้วยรูปแบบที่แตกต่างจากยาที 20 ทำให้ยาต้านไวรัสเอดส์ตัวใหม่นี้มีค่าใช้จ่ายลดลงเป็นจำนวนมาก เมื่อเทียบกับการใช้ยาที 20 ที่ผู้ป่วยต้องใช้เงิน 20,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 800,000 บาทต่อปี (สยามรัฐ อังคารที่ 12 ก.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





รักษามะเร็งด้วยคณิตศาสตร์

รายงานข่าวจาก Slashdot และ EuroResidentes ซึ่งทางเว็บ http://knowmoretech.com นำมาบอกต่อว่า ขณะนี้มีการทดลองรักษาในคนด้วยการนำคณิตศาสตร์มาใช้เป็นครั้งแรก ในผู้ป่วยโรคมะเร็งตับขั้นสุดท้ายได้ผลดี จนปัจจุบันผู้ป่วยกลับไปทำงานได้แล้ว โดยเนื้อหาระบุว่า ผู้เป็นหัวหน้าและริเริ่มค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับการนำคณิตศาสตร์มาช่วยในการรักษามะเร็งคือ มร.แอนโตนิโอ บรู(Antonio Bru) นักฟิสิกส์ที่เชี่ยวชาญการคำนวณนั่นเอง จาก Complutense University in Madrid แอนโตนิโอ บรู สนใจค้นคว้าวิจัยมาตั้งแต่ปี 2531(ค.ศ.1998) มีการตั้งสมมติฐานว่า การแพร่กระจายของเนื้อร้าย(tumor) สามารถอธิบายได้ด้วยสมการทางคณิตศาสตร์ ซึ่งเมื่อสามารถระบุตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับการแพร่กระจายได้ก็จะสามารถวางแผนในการรักษา เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานให้กับผู้ป่วย ให้ต่อสู้กับเนื้อร้ายได้ การรักษาด้วยคณิตศาสตร์แบบนี้ยังอยู่ในช่วงทดสอบในห้องปฏิบัติการอีกพอสมควร ขณะเดียวกันทีมวิจัยก็คาดว่าวิธีทางคณิตศาสตร์นี้น่าจะนำไปประยุกต์ใช้กับการรักษามะเร็งประเภทอื่นๆ ได้ด้วย เป็นอีกหนึ่งทางเลือก และอีกหนึ่งความหวังของผู้ป่วยมะเร็งและญาติๆ ทั้งหลาย (มติชนรายวันรายวัน อังคารที่ 12 http://www.matichon.co.th)





จีนอ้างคิดยาป้องกันโรคเอดส์ ราคาถูกกว่ายาฝรั่งด้วยกันมาก

หนังสือพิมพ์ “ไชน่า เดลี่” อันเป็นสื่อของรัฐบาลจีน เสนอข่าวว่าบริษัทยาของจีนได้คิดยาต้านเอดส์ขนานใหม่ มีสรรพคุณสกัดไม่ให้เชื้อไวรัสเอดส์เข้าไปสู่เซลล์ได้ ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นทดลองยาในสถานพยาบาล นักข่าวของสำนักข่าวเอเอฟพีกล่าวว่า ประธานของบริษัทเภสัชกรรมฟูโซ เจน นายซู เกนฝ่า ได้ใช้เวลาพัฒนายานี้มานานถึง 4 ปีแล้ว เขาอธิบายว่าตามปกติเชื้อไวรัสเอดส์เข้าสู่ร่างกายคนได้ โดยเข้ารวมตัวติดเข้ากับเปลือกเซลล์ ดังนั้นจึงพยายามหาทางไม่ให้เชื้อไปเข้ารวมกับเปลือกเซลล์ได้ ยาขนานใหม่นี้จะต้านมันไม่ให้เข้าไปเชื่อมรวมติดได้ เพื่อป้องกันไวรัสไม่ให้โจมตีเซลล์สำเร็จ นายเจนผู้เป็นผู้อำนวยการสถาบันวิจัยจุลชีววิทยาของสมาคมวิทยาศาสตร์จีนด้วย กล่าวยอมรับว่า ได้เห็นตัวอย่างมาจากยาที 20 ของบริษัทยาสหรัฐฯแห่งหนึ่ง ส่วนยาของเขาซึ่งขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยาจีนไว้แล้ว ใช้แบบโมเลกุลต่างกัน เขากำหนดว่าจะส่งยาออกจำหน่ายได้ในราวปลายปีหน้า ด้วยราคาถูกกว่ากันมาก. (ไทยรัฐ พุธที่ 13 ก.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ศึกษาโปรตีนในนมช่วยน้องในชนบท

นางสาวชนินาถ รุ่งทิวาสุวรรณ หรือน้องกิ่ง นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) นักเรียนทุนโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เจ้าของโครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง “การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการแยกโปรตีนเคซีนจากน้ำนม” เคซีนเป็นโปรตีนที่มีประโยชน์มาก เพราะเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็ก แต่เราจะสามารถพบโปรตีนเคซีนได้เฉพาะในนมเท่านั้น ดังนั้น เธอก็ทดลองแยกโปรตีนเคซีนสำเร็จรูปเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา ทั้งยังเป็นความหวังในการส่งไปช่วยเด็ก ๆ ในพื้นที่ห่างไกล โดยใช้กรดสกัดจากมะนาวและน้ำส้ม ซึ่งเป็นกรดอินทรีย์จากธรรมชาติมาใช้แยกเคซีนด้วยวิธีทำให้ตกตะกอน ผลการทดลอง พบว่า อุณหภูมิมีผลต่อการแยกโปรตีนเคซีนจากน้ำนม โดยปริมาณโปรตีนเคซีนมีแนวโน้มลดปริมาณลงเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น สำหรับอุณหภูมิที่ 50 องศาเซลเซียส และเวลาที่ให้ความร้อนไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงปริมาณโปรตีน ซึ่งน้ำมะนาวมีประสิทธิภาพในการแยกโปรตีนเคซีนได้ดีกว่ากรดชนิดอื่น ๆ ซึ่งโครงการนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการแปรรูปน้ำนมดิบให้เป็นโปรตีนเคซีนผง เพื่อยืดอายุของน้ำนมดิบ และยังสะดวกต่อการขนส่งไปสู่เด็ก ๆ ในพื้นที่ห่างไกล นอกจากนี้ยังสามารถนำโปรตีนเคซีนที่แยกได้ไปใช้เป็นส่วนผสมในอาหาร เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ โครงงานนี้เป็นความหวังสำคัญที่ จะทำให้เด็กชนบทพื้นที่ห่างไกลได้รับโปรตีน เคซีน เช่นเดียวกับเด็กที่อยู่ในเมือง. (เดลินิวส์ พุธที่ 13 ก.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





‘เครื่องหั่นกล้วยฉาบ’ เอาใจกลุ่มแม่บ้านแปรรูปผลิตภัณฑ์

เครื่องหั่นกล้วยฉาบ ผลงานของ อาจารย์ภาณุมาศ สุยบางดำ แผนกวิชาช่างกลเกษตร คณะวิชาเครื่องกล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตภาคใต้ อ.ภาณุมาศ เล่าว่า ก่อนที่จะทำเครื่องหั่นกล้วยฉาบเครื่องนี้ ก็เคยทำเครื่องหั่นกล้วยฉาบให้กับโครงการพระราชดำริลุ่มน้ำปากพนังมาแล้ว แต่ถึงแม้เครื่องนั้นจะมีประสิทธิภาพดี แต่ก็ยังมีขนาดและรูปร่างใหญ่และหนัก ต้องใช้จำนวนคนอย่างน้อย 3 คนยก การถอดประกอบทำความสะอาดค่อนข้างยุ่งยาก ดังนั้น จึงได้คิดออกแบบและพัฒนาเครื่องขึ้นมาใหม่ และในที่สุดก็ได้เครื่องหั่นกล้วยฉาบที่มีคุณสมบัติอย่างที่ต้องการอยู่นี้ คือ เครื่องนี้มีขนาดกะทัดรัดน้ำหนักเบา สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก ระบบการจับยึด ง่าย ต่อการถอดประกอบใช้เวลาน้อยในการถอดออกทำความสะอาด และเครื่องนี้ยังสามารถทำงานได้ทั้งระบบมือหมุนและไฟฟ้าอีกด้วย ซึ่งถือได้ว่าสามารถทำงานได้ในทุก ๆ สถานที่ทีเดียวไม่ว่าจะมีไฟฟ้าใช้หรือไม่ก็ตาม โดยตัวเครื่อง มีขนาดความกว้าง 40 เซน ติเมตร สูง 50 เซนติเมตร ประกอบด้วย มอเตอร์ขนาด 1/4 แรงม้า ใช้ไฟฟ้า 220 โวลต์ ความเร็วรอบ 1,440 รอบ/ นาที ชุดใบมีดหั่นกล้วยมีความเร็ว 200 รอบ/ นาที อัตราการทำงานได้ 150 กิโลกรัม/ชั่วโมง ส่วนการทำงานโดยการหมุนด้วยมือนั้นจะใช้เฟืองดอกจอกในการเปลี่ยนทิศทาง การหมุนจากแนวระดับไปเป็นแนว ดิ่ง โดยใช้อัตรา 1:1 อัตราการทำงาน เท่ากับ 75 กิโล กรัม/ชั่วโมง ความเร็วรอบในการทำงานประมาณ 70-80 รอบ/นาที (ขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติงานด้วย) มีท่อส่งกล้วยด้านบนของตัวเครื่อง 3 ท่อ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.2 นิ้ว ชุดมีดหั่น 1 ชุด ติดใบมีด 2 ใบ ผู้ใช้สะดวกที่จะใช้หั่นด้วยไฟฟ้า หรือใช้มือหมุนในการหั่นก็แล้วแต่จะสะดวกวิธีไหน นับว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เอาใจกลุ่มแม่บ้านที่กำลังมองหาเครื่องมือทุ่นเวลาและแรงงาน อย่างแท้จริงทีเดียว ส่วนประชาชนท่านใดที่สนใจเครื่องหั่นกล้วยฉาบก็สามารถติดต่อไปได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 0-7438-8134. (เดลินิวส์ พุธที่ 13 ก.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





วิจัยปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุด นำร่องพืชเศรษฐกิจส่งออก 8 ชนิด

นางพรรณพิมล ชัญญานุวัตร ผู้อำนวยการสำนักวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่าเนื่องจากสนธิสัญญาด้านสุขอนามัยขององค์การการค้าโลก (WTO) กำหนดให้มีการตรวจวิเคราะห์ สารพิษตกค้างในผลผลิตการเกษตร เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ขณะเดียวกันยังมีการกำหนดค่าปริมาณสูงสุดของสารพิษตกค้างหรือ MRLs ที่ยอมให้มีได้ในผลิตผลเกษตรและอาหารขึ้นมาใช้เป็นมาตรฐานสากล ดังนั้น กรมวิชาการเกษตรจึงเร่งดำเนินการศึกษาวิจัยเพื่อหาค่า MRLs นำร่องในพืช 8 ชนิด ประกอบด้วย ทุเรียน ลำไย ส้มโอ มะม่วง กระเจี๊ยบเขียว พริก หน่อไม้ฝรั่ง และถั่วเหลือง ผักสด โดยได้จัดทำแปลงศึกษาทดลอง 120 แปลง พร้อมกับศึกษาข้อมูลทางพิษวิทยา ใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตร 11 ชนิด ได้แก่ Cypermethrin, Lamda-cyhalothrin, Mancozeb, Carbaryl, Chlorpyrifos, Deltamet-hrin, Ethion, Prothiophos, Triazop-hos, Phosalone, และ Malathion ขณะนี้ได้เก็บข้อมูลภาคสนามเรียบร้อยแล้วสำหรับการทดลองที่เสร็จสมบูรณ์ เพื่อนำไปกำหนดค่า MRLs ของพืช 3 ชนิด คือ การวิจัยปริมาณสารพิษตกค้างของ Triazophos ในถั่วเหลืองฝักสด สาร Chlorpyrifos ในทุเรียน รวมทั้งสาร Chlorpyrifos และ Prothiophos ในพริกที่อยู่ระหว่างการวิเคราะห์ตัว อย่าง ซึ่งคาดว่า ในปี 2548 นี้ ประเทศไทยจะมีข้อมูลค่า MRLs ของพืชที่สมบูรณ์ไม่น้อยกว่า 4 ชนิด ปัจจุบันมีการกำหนดค่า MRLs ขึ้นหลายรูปแบบ เช่น ดับเบิลยูทีโอและเอฟเอโอได้ร่วมกันกำหนด Codex MRL ขึ้น กลุ่มสหภาพยุโรปกำหนด EU MRL นอกจากนี้ยังมี Asian MRL, Japan MRL, Canada MRL และ USA Tolerance Limits ด้วย ซึ่งประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่ได้เพิ่มความเข้มงวดและยกประเด็นนี้มาเป็นเครื่องมือกีดกันทางการค้ามากขึ้นโดยเฉพาะญี่ปุ่น อียู และสหรัฐอเมริกา ทำให้ประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรที่ไม่มีค่า MRLs ของตัวเองเสียเปรียบในการค้าขาย (เดลินิวส์ พุธที่ 13 ก.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





มังคุดทำลายเซลล์มะเร็งเล็งทำยาดียื้อชีวิตผู้ป่วย

รศ.ดร.รมิดา วัฒนโภคาสิน ภาควิชาเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร เปิดเผยว่า ใช้เวลากว่า 2 ปีศึกษาฤทธิ์ต้านมะเร็งจากสมุนไพร หลังจากเชื่อว่าสมุนไพรบางชนิด อาทิ มังคุด ขมิ้นชัน ใบพุทรา สามารถต้านเซลล์มะเร็ง ทั้งนี้ ผลจากการทดสอบพบว่า สารสกัดจากเปลือกมังคุดสามารถจัดการกับเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี แม้จะใช้เพียงเล็กน้อยเพียง 4 มิลลิกรัมก็ตาม สารสกัดจากเปลือกมังคุดที่นำมาใช้ในการศึกษานี้ ได้รับการสนับสนุนจากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยการทดสอบพบว่า สารสกัดในปริมาณ 4 มิลลิกรัมดังกล่าว สามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้กว่า 50% ของเซลล์มะเร็งทั้งหมด และจากการขยายผลนำสารสกัดไปทดสอบกับเซลล์มะเร็งอื่น ก็พบว่าสามารถออกฤทธิ์ดีในการทำลายเซลล์มะเร็งลำไส้และเซลล์มะเร็งตับ นอกจากนี้ นักวิจัยยังได้ศึกษาเทคนิคการรักษามะเร็งด้วยยีนบำบัด โดยนำสารสกัดจากมังคุดใส่ในเม็ดบีดขนาดจิ๋วระดับนาโน จากนั้นอาศัยไวรัสที่ถูกทำให้อ่อนตัวและไม่เป็นอันตราย เป็นตัวนำเม็ดบีดนั้นเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ ซึ่งวิธีดังกล่าวสามารถที่จะประยุกต์ใช้ในการรักษาโรคทางพันธุกรรม เช่น ธาลัสซีเมีย หรือโรคเลือดจาง ส่วนสารสกัดจากสมุนไพรขมิ้นชันและใบพุทรา ยังอยู่ระหว่างการศึกษา ทั้งนี้ จากผลงานการศึกษาเกี่ยวกับสารสกัดจากสมุนไพร กับการทำลายเซลล์มะเร็ง ซึ่งมีความเป็นไปได้ในการผลิตเป็นยามะเร็งประสิทธิภาพสูงต่อไปในอนาคต จึงส่งผลให้ รศ.ดร.รมิดา วัฒนโภคาสิน ผ่านการพิจารณาคัดเลือกให้ได้รับรางวัลสตรีนักวิทยาศาสตร์ ประจำปี 2547 จากลอรีอัล โดยได้รับทุนสนับสนุนการวิจัย 1.5 แสนบาท (คมชัดลึก พุธ13 ก.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





โปรแกรมวางแผนเรียน ฝีมือมจธ.-คำนวณให้เสร็จจนจบปริญญา

มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี เปิดหลักสูตรใหม่สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประเดิมใช้ระบบโปรแกรมช่วยเลือกหลักสูตร ช่วยนักศึกษาเห็นรายวิชาที่ต้องเรียนตั้งแต่ปีหนึ่งจนปีสุดท้าย คำนวณเสร็จจบออกมาจะได้รับปริญญาตามสาขาไหน เน้นอิสระให้นักศึกษาสามารถเลือกหลักสูตรได้ด้วยตัวเอง น.ส.พร พันธุ์จงหาญ ร่วมกับนายขจรพงษ์ อัครจิตสกุล นักศึกษาปริญญาโท คณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) พัฒนาโปรแกรมหลักสูตรเฉพาะบุคคล เพื่อช่วยนักศึกษาวางแผนและจัดหลักสูตรการเรียนของตนเอง โดยเปิดโอกาสให้เลือกวิชาที่สนใจเรียน จากนั้นโปรแกรมจะคำนวณอัตโนมัติว่า นักศึกษาจะต้องเรียนเพิ่มในกลุ่มวิชาใดบ้าง หากต้องการสำเร็จการศึกษาในสาขาวิชาที่สนใจ และจะได้รับปริญญาสาขาวิชาใด ขณะนี้ ทางมหาวิทยาลัยโดย รศ.ดร.สมชาย จันทร์ชาวนา รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการของมหาวิทยาลัย ได้คิดค้นหลักสูตรการเรียนการสอนใหม่ ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มีอิสระเลือกวิชาเรียนตามความสนใจ หรือสร้างสรรค์หลักสูตรของตนเองขึ้น โดยในหลักสูตรจะเป็นวิชาพื้นฐาน 30 หน่วยกิต และวิชาเฉพาะ 90 หน่วยกิต ซึ่งในวิชาเฉพาะนี้จะจัดเป็นวิชาโครงงาน ให้ไปคิดโครงงานว่าจะทำเรื่องอะไร หลักสูตรนี้เริ่มใช้ในปีการศึกษา 2548 โดยในขณะนี้อยู่ในระหว่างการคัดเลือกผู้เข้ามาเรียน จากผู้ที่สมัครเข้ามา ตั้งเป้ารับปริญญาตรีไม่ต่ำกว่า 30 คน และปริญญาโทไม่ต่ำกว่า 20 คน ในระยะแรกจะเริ่มจากสาขาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดังนั้น หลักสูตรใหม่นี้จำเป็นต้องมีโปรแกรมคำนวณข้างต้นมาสนับสนุน โดยนักศึกษาสามารถพึ่งพาโปรแกรมนี้ สำหรับชี้แนะแนวทางการเลือกวิชาเรียน รวมทั้งแจ้งว่ามีการเรียนการสอนอย่างไร และการให้ข้อมูลว่าในกลุ่มวิชานั้นๆ จะต้องลงเรียนวิชาใดบ้าง สุดท้ายโปรแกรมจะแจ้งว่าเรียนจบในสาขาวิชาอะไร จากตัวเลือกที่เป็นตัวแทนของกลุ่มวิชา สำหรับโปรแกรมดังกล่าวพัฒนาด้วยจาวา ตัวระบบจะรับข้อมูลกลุ่มวิชาจากการสแกนบาร์โค้ด ซึ่งติดอยู่ที่แบบจำลองที่ระบุรายวิชา เมื่อเลือกครบแล้วระบบจะคำนวณและแสดงผลที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้โปรแกรมยังเป็นแบบจำลอง ที่ช่วยให้เห็นภาพของหลักสูตร แต่ยังไม่ได้นำมาใช้จริงโดยอยู่ระหว่างรอทางมหาวิทยาลัยจัดทำโครงร่างหลักสูตรใหม่ให้สมบูรณ์ จากนั้นจึงจะนำโปรแกรมคำนวณวิชาเรียนมาใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกวิชาเรียนของนักศึกษา (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 7 ก.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





สหรัฐโชว์รถบินส่วนบุคคล ขับขี่ได้จริงตั้งราคา2แสนบ.

ทีมประดิษฐ์ชาวอเมริกันสร้างรถต้นแบบบินได้ ที่ใครก็สามารถเป็นเจ้าของ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะต้องหาสนามบินบินขึ้นหรือลงจอดเครื่อง ด้านนาซารับลูกออกแบบระบบจราจรการบินในอนาคตเรียบร้อยแล้ว ความคิดหลุดโลกนี้เป็นผลงานของกลุ่มนักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน ที่ทำงานอยู่ในสำนักงานการบินและอวกาศแห่งสหรัฐ หรือ นาซา รถเหาะเหล่านี้โดยภาพภายนอก ดูไม่เหมือนรถยนต์อย่างที่เห็นกันทั่วไป แต่ค่อนไปทางเฮลิคอปเตอร์ขนาดเล็ก เนื่องจากเครื่องบินแมลงปอนี้สามารถขึ้นลงได้ง่าย ไม่ต้องอาศัยลู่วิ่งเหมือนกับเครื่องบินแบบปีก หนึ่งในรถเหาะส่วนบุคคลที่ประดิษฐ์ขึ้นมา และพร้อมจำหน่ายในปลายปีนี้คือ แอร์สกูเตอร์ ของนายวูดดี้ นอร์ริส ซึ่งเป็นนักประดิษฐ์ที่ศึกษาด้วยตัวเอง ในการสาธิตขับรถเหาะเป็นเวลา 1 ชั่วโมงนั้น แอร์สกูเตอร์สามารถทำความเร็วได้ 88 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และทำเพดานบินสูง 10,000 ฟุต เหนือระดับน้ำทะเล สามารถบินโฉบลง บินไปด้านข้าง ลดเพดานบิน และหยุดได้อย่างรวดเร็ว แอร์สกูเตอร์ลำนี้บังคับด้วยพวงมาลัย ที่คล้ายกับแฮนด์มอเตอร์ไซค์ เมื่อผลักแฮนด์ไปข้างหน้า เดือยใบพัดคอปเตอร์สองใบพัดที่หมุนสลับทิ้งทางเพื่อรักษาการทรงตัวจะโน้มไปข้างหน้า และเมื่อดึงกลับมาแอร์สกูเตอร์ก็ถอยมาข้างหลัง ทั้งนี้ ตามกฎหมายสหรัฐ ถ้าบินที่เพดานบินต่ำกว่า 400 ฟุต ในเขตอนุญาตบิน ก็ไม่จำเป็นต้องขอใบอนุญาตบิน แอร์สกูเตอร์ลำนี้นักประดิษฐ์ตั้งราคาไว้ที่ สองแสนกว่าบาท รถยนต์เหาะอีกคันหนึ่งมีชื่อว่า "สกายคาร์" มีลักษณะเป็นลูกผสมระหว่างรถเฟอร์รารี่กับรถมนุษย์ค้างคาว ใช้เครื่องยนต์แบบโรตารีสามารถบินด้วยความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่ความสูง 20,000 ฟุต อุปสรรคสำคัญสำหรับยานพาหนะลูกครึ่งนี้คือ ความยุ่งยากในการจัดการระบบจราจร เพื่อรองรับยานพาหนะลักษณะนี้ในจำนวนนับล้านๆ คัน ดังนั้น หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์ของนาซา จึงออกแบบระบบจราจรการบินในอนาคต เรียกว่า "ทางหลวงบนฟ้า" โดยจำลองการจราจรด้วยคอมพิวเตอร์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะช่วยให้การจราจรทางอากาศสะดวกและสามารถจัดระบบการบินได้ (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 13 ก.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





นักวิจัยคิดสูตรคลอเรตปลอดระเบิด

รศ.ดร.จริยา วิสิทธิ์พานิช อาจารย์ประจำคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในฐานะผู้ประสานโครงการวิจัยและพัฒนาลำไย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เปิดเผยว่า ตามที่ สกว.ได้สนับสนุนทุนวิจัยในเรื่องลำไยมาตั้งแต่ปี 2539 รวม 20-30 ล้านบาท โดยมีงานวิจัยประมาณ 30 เรื่อง ครอบคลุมตั้งการการผลิต แปรรูป เทคโนโลยีและการตลาด อาทิ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ดูแลงานวิจัยเรื่องโรคแมลง, มหาวิทยาลัยแม่โจ้ทำวิจัยเรื่องโปแทสเซียมคลอเรต ส่วนสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตลำปาง วิจัยเกี่ยวกับปุ๋ยลำไย ดังนั้น ทางทีมวิจัยจึงได้นำองค์ความรู้เหล่านั้นลงสู่การปฏิบัติจริงในแปลงลำไยของเกษตรกรจากหน่วยงานต่างๆ โดยได้จัดทำแปลงสาธิตขนาด 5 ไร่นำร่องใน 5 พื้นที่ของ จ.เชียงใหม่และลำพูน เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต การใช้ปุ๋ย การแปรรูป การเก็บรักษาและยืดอายุลำไย โดยพิจารณาให้เหมาะสมกับสภาพแต่ละพื้นที่ ที่เผชิญปัญหาแตกต่างกันไป ขณะที่เกษตรกรเจ้าของแปลงสาธิต จะรับหน้าที่ถ่ายทอดความรู้จากงานวิจัยให้เกษตรกรรายอื่นต่อไป โครงการวิจัยและพัฒนาลำไยในปีนี้ กำหนดเป้าหมายให้เกษตรกรมีความมั่นคง โดยคิดค้นเทคโนโลยีสนับสนุนการผลิตลำไยคุณภาพสูง และปลอดภัยออกสู่ตลาด รวมทั้งคิดค้นผลิตภัณฑ์แปรรูปใหม่จากลำไย นอกเหนือจากใช้ทำลำไยกระป๋อง ลำไยอบแห้ง แต่น่าจะนำไปใช้ประโยชน์ด้านยา เครื่องสำอาง เป็นต้น ซึ่งขณะนี้นักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ ได้ทดลองในเบื้องต้น เกี่ยวกับสารสกัดจากลำไยอบแห้งมีฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเม็ดเลือด ถือเป็นงานวิจัยที่จะนำไปสู่การใช้ประโยชน์รูปแบบใหม่จากลำไยในอนาคต ผลงานวิจัยนี้ได้เสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและควบคุม โดยมุ่งหวังให้เป็นข้อมูลสำหรับการยุติให้เกษตรกรครอบครองสารบริสุทธิ์โปแทสเซียมคลอเรต และส่งเสริมให้เอกชนมากกว่า 1 รายผลิตสารผสมดังกล่าวในรูปแบบคล้ายปุ๋ย โดยมีการควบคุมคุณภาพจากกระทรวงเกษตรฯ เพื่อนำไปสู่การจำหน่ายในรูปแบบที่ปลอดภัยจากการระเบิดต่อไป (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 13 ก.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ขวดติดชิพบอกคุณภาพไวน์

ความคิดดังกล่าวเป็นของบริษัทโมดูลกราฟ ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองทัสกัน ประเทศอิตาลี โดยดาเนียล บารอนตินี ผู้บริหารของบริษัทแห่งนี้เล่าว่า บริษัทของเขาได้พัฒนาฉลากติดขวดไวน์แบบใหม่ที่ประกอบด้วยชิพข้อมูลฝังอยู่ในขวด เมื่อนำไปจ่อกับเครื่องอ่านข้อมูลที่มีขนาดเท่ากับซองบุหรี่ ซึ่งจะติดอยู่ในร้านขายสินค้า หรือร้านอาหารจะมีเสียงแจ้งข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับไวน์ขวดนั้นออกมา ฉลากไวน์ฝังชิพดังกล่าวสามารถบอกข้อมูลเกี่ยวกับไวน์ ตั้งแต่ผลิตมาจากที่ไหน ใช้องุ่นพันธุ์อะไร ผลิตปีไหน เหมาะจะรับประทานกับอาหารประเภทไหน เหมือนกับมีกูรูไวน์มาสาธยายอยู่ตรงหน้า "บางทีอาจมีเสียงเพลงประกอบคำบรรยายด้วย" ผู้บริหารโมดูลกราฟ บริษัทผลิตฉลากไวน์กล่าว ปัจจุบัน มีบริษัทผลิตไวน์รสเลิศในอิตาลีหลายรายอย่างเช่น บรูเนลโล ได้แสดงความสนใจที่จะนำฉลากติดชิพนี้ไปใช้กับไวน์ของตน โมดูลกราฟ เป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการผลิต และผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับไวน์ การนำชิพมาใช้แทนฉลากนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการปลอมแปลง โดยเทคโนโลยีฉลากติดไวน์นี้เป็นสิทธิบัตรของวิศวกรชาวเยอรมันชื่อ ฟลอเรนติน ดอริง (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสที่ 7 ก.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





เภสัชฯสกัดเศษผักทำ'ยาเม็ดลอยตัว' เหมาะผลิตยากระเพาะ

รศ.ดร.พรศักดิ์ ศรีอมรศักดิ์ ภาควิชาเทคโนโลยีเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เปิดเผยว่า ทีมงาน ซึ่งประกอบด้วย รศ.ดร.สาธิต พุทธิพิพัฒน์ขจร และ ภก.ญ.นาตยา ถีระวงษ์ ได้พัฒนาระบบนำส่งยาชนิดลอยตัวในกระเพาะอาหารในรูปของแคลเซียมเพคติเนตเจลบีด เหมาะที่จะนำไปใช้กับยาที่ต้องการให้ออกฤทธิ์เฉพาะที่ในกระเพาะอาหาร หรือยาที่มีปัญหาเกี่ยวกับการดูดซึมยา รวมทั้งยาที่มีปัญหาความคงตัวเมื่ออยู่ในลำไส้ สำหรับการทำให้เม็ดยาลอยตัวได้นั้น ทีมงานต้องบรรจุยาใน 'เม็ดบีด' ทรงกลมที่มีโครงสร้างหลักเป็นรูพรุนคล้ายกับฟองน้ำ ซึ่งได้จากการนำ 'เพคติน' สารโพลีเมอร์จากธรรมชาติ ที่สามารถสกัดได้จากเปลือกหรือกากของผลไม้และพืชผัก มาผสมกับตัวยาในสภาพของเหลว จากนั้นจึงนำของเหลวดังกล่าวมาหยดลงในสารละลายที่มีส่วนผสมของแคลเซียม เช่น แคลเซียมคลอไรด์ ซึ่งแคลเซียมจะเข้ามาเกาะรวมกับเพคติน ในรูปแบบของโครงร่างแบบตาข่าย ทำให้เกิดเป็นโครงสร้างของเม็ดบีดที่มีรูพรุนอยู่ภายใน เทคนิคทำให้เม็ดยาลอยตัวอยู่ในกระเพาะอาหาร ที่เลือกใช้มี 2 เทคนิค ได้แก่ การผสมน้ำมันที่สามารถรับประทานได้ทั่วไป เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน หรือน้ำมันสะระแหน่ ลงในสารละลายเพคตินและตัวยาในตอนต้น ก่อนหยดลงในสารละลายแคลเซียมคลอไรด์ โดยน้ำมันจะแทรกอยู่ในโครงร่างรูพรุน ช่วยให้เม็ดบีดมีคุณสมบัติลอยอยู่ในของเหลวในกระเพาะอาหารได้ เทคนิคที่สองคือการใช้สารสร้างแก๊สกลุ่มคาร์บอเนต เช่น แคลเซียมคาร์บอเนต ด้วยการหยดสารละลายเพคติน ที่ผสมอยู่กับตัวยาและแคลเซียมคาร์บอเนต ลงในสารละลายแคลเซียมคลอไรด์ ที่ผสมกรดเจือจาง เมื่อโครงสร้างของเม็ดบีดก่อตัวขึ้น กรดจะทำปฏิกิริยากับแคลเซียมคาร์บอเนต เกิดเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ภายในเม็ดบีด และทำให้เกิดโพรงขนาดใหญ่ภายในโครงสร้างของเม็ดบีด ช่วยทำให้ยาลอยได้ในของเหลวเมื่อยาเม็ดแข็งตัวแล้ว เมื่อเม็ดบีดลอยอยู่ในของเหลวภายในกระเพาะอาหาร ตัวยาที่อยู่ในเม็ดบีดจะถูกปลดปล่อยออกมาทีละน้อย และจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดผ่านทางลำไส้เล็กส่วนต้น โดยปัจจัยที่มีผลต่อการลอยตัวของเม็ดบีด และการปลดปล่อยยาของทั้งสองเทคนิค ได้แก่ ชนิดของเพคติน ชนิดและปริมาณของน้ำมันที่ใช้ชนิดและปริมาณของสารคาร์บอเนต รวมทั้งเทคนิคการทำให้เม็ดบีดแห้งก่อนที่นำไปใช้ด้วย จากการทดลองด้วยเครื่องทดสอบการปลดปล่อยยา ที่ออกแบบให้มีสภาพเป็นกรด เลียนแบบกระเพาะอาหารของมนุษย์ พบว่าเม็ดยาสามารถลอยตัวอยู่ได้นานกว่า 6 ชั่วโมง โดยที่มีการปลดปล่อยยาไปด้วย เมื่อเม็ดบีดปลดปล่อยยาหมดแล้ว จะถูกบีบให้ออกจากกระเพาะอาหารไปสู่ลำไส้เล็กในที่สุด สำหรับงานวิจัยชิ้นนี้ ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และส่งผลให้ รศ.ดร.พรศักดิ์ ได้รับรางวัลนักวิจัยรุ่นใหม่ดีเด่นประจำปี 2547 จาก สกว. และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 4 ก.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





แบคทีเรียสีทองเป็นเชื้อโรคร้าย หุ้มเกราะป้องกันภูมิคุ้มโรคได้

นักวิจัยวิคเตอร์ นิเวต ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย รายงานผลการค้นพบในวารสารทางการแพทย์สหรัฐฯว่า เชื้อแบคทีเรีย สแตฟฟีโลคอกคัส ออเรียส วึ่งมีสีทอง นับเป็นแบคทีเรียร้ายยิ่งกว่าแบคทีเรียที่ไร้สีทั้งหมด เป็นตัวก่อโรคขึ้นหลายชนิด เพราะมีสารที่เป็นตัวล้างพิษคุ้มเป็นเกราะ ทำให้ระบบภูมิคุ้มโรคไม่อาจทำอะไรมันได้ สารที่ห่อหุ้มตัวอยู่นั้นเป็นพวกคาโรเทนอยด์ อันเป็นสารชนิดเดียวกับที่ทำให้หัวผักกาดแดงมีสีแดง สารคาโรเทนอยด์ช่วยคุ้มให้มันรอดพ้นจากโมเลกุลซึ่งเป็นอาวุธของเซลล์ ระบบภูมิคุ้มโรค ที่เรียกว่า “นิวโตรฟิล” ไปได้ เขาแนะนำว่า จึงต้องหายาซึ่งมีฤทธิ์ขัดขวาง ไม่ให้มันสร้างสารคาโรเทนอยด์ขึ้นมาได้ ถึงจะทำ ให้ยาปฏิชีวนะสามารถปราบมันลงได้. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 14 ก.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





มข.สร้างจักรยานติดเครื่องสู้น้ำมันแพง

อาจารย์กิตติ วิเชฏฐะพงษ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) เปิดเผยว่าได้ร่วมกับนายนฤมิตร เสาะสมบูรณ์ และนายนิคมศักดิ์ ถึงแสง นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ คิดค้นและพัฒนาจักรยานติดตั้งเครื่องยนต์อเนกประสงค์ แบบ 4 จังหวะ ขนาด 4 แรงม้า เป็นต้นกำลัง ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เพราะประสิทธิภาพการใช้งานใกล้เคียงกับจักรยานยนต์ แต่ประหยัดพลังงานและต้นทุนการผลิตไม่เกิน 10,000 บาท สำหรับแนวคิดการพัฒนา จักรยานติดเครื่องดังกล่าว อาจารย์กิตติ เผยว่า เนื่องจากจักรยานยนต์เป็นพาหนะที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน เพราะสะดวก มีขนาดเล็ก มีความคล่องตัวในการขับเคลื่อนสูง สามารถใช้งานได้หลากหลายพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียน นักศึกษา รวมทั้งเกษตรกรที่ใช้ในการเดินทางไปทำสวนไร่นา แต่จักรยานก็มีข้อจำกัดในหลายด้าน เช่น อัตราความเร็วยังล่าช้า ต้องใช้กำลังคนในการขับเคลื่อนไม่สะดวก หากต้องใช้เป็นพาหนะเดินทางระยะค่อนข้างไกลบรรทุกน้ำหนักได้ไม่มาก จึงนำข้อดีและข้อเสียต่างๆ ของจักรยานและจักรยานยนต์มาพัฒนาบูรณาการเป็นจักรยานติดเครื่องยนต์ต้นแบบ โดยใช้เกียร์ของรถจักรยานเสือภูเขาแบบ 4 จังหวะ ซึ่งมีน้ำหนักเบาและมีประสิทธิภาพในการส่งกำลังสูง เป็นรถจักรยานกึ่งรถจักรยานยนต์ที่จะช่วยผ่อนแรงในการปั่น จากการทดสอบสามารถทำความเร็วสูงสุด 76 กิโลเมตร/ชั่วโมง การสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ความเร็ว 60 กิโลเมตร/ลิตร ที่ความเร็ว 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง อัตรา77.63 กิโลเมตร/ลิตร และที่ความเร็ว 20 กิโลเมตร/ชั่วโมง อัตรา 79.2 กิโลเมตร/ลิตร จักรยานติดเครื่องต้นแบบ มีข้อดีตรงที่น้ำหนักเบา ผ่อนแรงในการเดินทาง ประหยัดน้ำมันกว่าจักรยานยนต์ เดินทางได้ไกลกว่าจักรยานบรรทุกได้มากกว่า โดยเฉพาะเกษตรกรยังสามารถนำเครื่องยนต์ไปใช้งานกับเครื่องมือทางการเกษตรได้อีกด้วย สำหรับจักรยานติดเครื่องต้นแบบที่ร่วมกับนักศึกษาคิดค้นขึ้นนี้ หากมีการพัฒนาด้านรูปแบบให้สวยงาม มีการผลิตเชิงธุรกิจต้นทุนจะถูกประมาณคันละไม่เกิน 10,000 บาท และสามารถพัฒนาการผลิตเป็นธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อม (SMEs)ได้ (สยามรัฐรายวัน ศุกร์ที่ 15 ก.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ผอ.FIBO "ชิต เหล่าวัฒนา" มุ่งมั่นปลดแอกเมืองขึ้นเทคโนโลยี

รศ.ดร.ชิต เหล่าวัฒนา ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม(Inspitute of fleld robotics) หรือ FIBO มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ซึ่งเป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่นและเพียรพยายามที่จะทำให้สถาบันแห่งนี้เป็นแหล่งสร้างคนสร้างผลงานออกมา เพื่อให้ใช้ประโยชน์ได้จริงในวงการอุตสาหกรรมและวงการอื่นๆ การจัดงาน "เทคโนโลยี 2548" ที่ผ่านมา ที่อิมแพค เมืองทองธานี ถือว่าเป็นความสำเร็จอีกขั้นหนึ่งของการกระตุ้นให้เด็กและเยาวชนไทยหันมาให้ความสนใจในเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้แข่งขันกับประเทศที่พัฒนาได้ งานดังกล่าวจัดมา 10 กว่าปีแล้ว แต่ไม่ค่อยคึกคักเท่าครั้งนี้ รศ.ดร.ชิตเล่าถึงความสำคัญของการสร้างหุ่นยนต์ให้ฟังว่า ปัจจุบันหุ่นยนต์มีความจำเป็นต่อชาวโลกอย่างมาก โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม งานหลายๆ อย่างที่ค่อนข้างอันตราย การใช้หุ่นยนต์เข้าไปทำงานแทนแรงงานคน ก็จะทำให้เกิดความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ส่วนนอกเหนือจากภาคอุตสาหกรรม ผู้คนเริ่มเห็นคุณค่าของหุ่นยนต์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่สำรวจและช่วยชีวิตมากขึ้นอย่างอเมริกาเมื่อตอนที่เกิดเหตุตึกเวิลด์เทรดฯถล่ม ก็ใช้หุ่นยนต์เข้าไปค้นหาและช่วยชีวิตผู้คน ตอนนี้ที่ FIBO ก็ผลิตหุ่นยนต์ "ซีเคียวริตี้ โรบ็อต" ให้กับหน่วยงานทหารอยู่เป็นประจำ และเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ก็ใช้หุ่นยนต์เฮลิคอปเตอร์ติดกล้องอินฟราเรด บินไปสำรวจจุดที่เกิดเหตุไฟไหม้ที่พรุโต๊ะแดง จ.นราธิวาส ซึ่งสามารถสำรวจได้ถูกต้องถึง 11 จุด จากที่เกิดเหตุทั้งหมด 15 จุด "สำหรับประเทศไทย เราอยู่ในฐานะผู้ใช้ประโยชน์จากหุ่นยนต์ แต่ผมก็ได้พยายามจะทำให้เราก้าวมาเป็นผู้พัฒนามากขึ้น เห็นได้จากงานวิจัยในมหาวิทยาลัยต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เริ่มมีจำนวนมากขึ้นแล้ว และในการแข่งขันทางด้านหุ่นยนต์ในระดับนานาชาติ เด็กไทยก็สามารถคว้ารางวัลได้บ่อยครั้ง อย่างการแข่งขันหุ่นยนต์ ABU 2002 ทีมหุ่นยนต์ไทยก็ได้เป็นแชมป์เอเชีย ผมบอกได้เลยว่าในแง่ความคิดสร้างสรรค์เราไม่แพ้ใคร แต่ในแง่ของการประยุกต์และใช้งานได้จริงยังขาดแคลนความรู้อยู่มาก (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 15 ก.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





"ยีนส์"กำหนด"คอเลสเตอรอล"

ผลการวิจัยของพอล วิลเลียมส์ นักวิจัยแห่ง U.S. Department of Energy"s Lawrence Berkeley National Laboratory สหรัฐอเมริกา อาจเป็นคำตอบคลายปมข้อสงสัยในเรื่องนี้ นั่นก็คือว่า "ยีนส์" ของมนุษย์แต่ละคน อาจมีบทบาทสำคัญต่อระดับคอเลสเตอรอลที่เรียกว่า LDL (low-density-lipoprotein) ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลที่ส่งผลร้ายต่อร่างกาย นักวิจัยได้ทำการทดลองกับฝาแฝดหน้าตาเหมือนกัน จำนวน 28 คู่ แต่มีวิถีการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันอย่างมาก คือคนหนึ่งเอาแต่กินมันฝรั่งทอดอยู่หน้าทีวี อีกคนขยันออกกำลังกายอย่างมาก ใน 6 สัปดาห์แรก ให้ฝาแฝดกินอาหารไขมันต่ำหรือสูงอย่างใดอย่างหนึ่ง จากนั้นใน 6 สัปดาห์สุดท้ายให้เปลี่ยนไปกินอีกอย่างหนึ่ง จากนั้นก็ทำการตรวจระดับคอเลสเตอรอล อย่างไรก็ตามผลการวิจัยพบความเหมือนกันอย่างมากในการตอบสนองของฝาแฝดต่ออาหารที่พวกเขากินไม่ว่าพวกเขาจะออกกำลังกายหรือไม่ โดยหาก 1 ในฝาแฝดสามารถกินอาหารไขมันสูงโดยคอเลสเตอรอลไม่เพิ่มขึ้น คู่แฝดอีกคนก็จะมีลักษณะเดียวกันคือคอเลสเตอรอลไม่เพิ่มแม้จะกินอาหารไขมันสูง ในทางกลับกันหากแฝดคู่ไหน กินอาหารไขมันสูงแล้วคอเลสเตอรอลเพิ่มขึ้น คู่แฝดของเขาอีกคนหนึ่งก็จะมีอาการเดียวกันนี้ ดังนั้นนำมาสู่ข้อสรุปว่า ยีนส์ของมนุษย์อาจมีส่วนสำคัญต่อระดับคอเลสเตอรอล และนี่ก็อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมคนบางคนจึงต้องระมัดระวังเรื่องอาหารอย่างมาก ขณะที่อีกหลายคนไม่ต้องกังวลเรื่องการกินเลย อย่างไรก็ตามนักวิจัยกลุ่มนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่า ยีนส์ตัวไหนทำหน้าที่เกี่ยวพันกับระดับคอเลสเตอรอล (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 16 ก.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





สารสกัด"หญ้าหวาน" ธุรกิจมีอนาคต

หลังจากคว้าแชมป์โลกแผนธุรกิจ "โกลบอล มูท คอร์ป" ระดับปริญญาโทที่ยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ เท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ช่วงต้นเดือนพฤษภาคมมาเรียบร้อยแล้ว ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ชุดนี้ก็ได้มาเล่าประสบการณ์แบบเปิดอกให้รุ่นน้องรับฟัง เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้อยากร่วมประกวดครั้งต่อไปหรือผู้คิดจะทำธุรกิจของตนเอง สุทธิพันธ์ สุทัศน์ ณ อยุธยา สมาชิกในทีม "Idyll Lift" อธิบายถึงการนำเสนอแผนธุรกิจสำหรับผลิตภัณฑ์สารทำความหวานธรรมชาติที่สกัดจากหญ้าหวานที่ชนะใจกรรมการว่า กว่าจะได้ไอเดียนี้มาต้องผ่านการหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต สอบถามผู้เชี่ยวชาญ และมองหางานวิจัยด้านเทคโนโลยีที่ได้รับการค้นคว้าแล้วแต่ไม่ได้ทำการตลาด เพราะมีข้อจำกัดเรื่องเวลา ค้นคว้าแล้วเก็บไว้บนหิ้งหลายสิบปี การประกวดครั้งนี้เป็นการประกวดแผนธุรกิจระดับปริญญาโทที่ต้องคิดแผนธุรกิจ สินค้าและบริการใหม่ๆ โดยเกณฑ์การตัดสินดูจากแผนธุรกิจ 40 เปอร์เซ็นต์ วีธีการนำเสนอ 20 เปอร์เซ็นต์ และความเป็นไปได้ในการลงทุนอีก 20 เปอร์เซ็นต์ คณะกรรมการตัดสินล้วนแต่อยู่ในแวดวงธุรกิจที่จะตัดสินใจว่าจะลงทุนในแผนธุรกิจใด จริงๆ แล้วหญ้าหวานไม่ใช่สิ่งใหม่ ผลิตภัณฑ์นี้ใช้ชื่อว่า "Pure Lift" ซึ่งมีจุดเด่นคือมีความหวานจากธรรมชาติแท้ๆ ที่หวานกว่าน้ำตาลถึง 3 เท่า ทนต่อความเป็นกรด ด่างและความร้อนได้ดี ที่สำคัญปราศจากแคลอรี แรกๆ ผลิตภัณฑ์จะมีคุณสมบัติขมติดปลายลิ้น จึงได้สกัดเอาความขมไปเหลือแต่ความหวาน สุทธิพันธ์เล่าว่า สิ่งที่ทำให้ชนะครั้งนี้ เพราะกรรมการเชื่อว่าธุรกิจนี้เกิดขึ้นได้ถ้าอยู่ในมือของเรา บางครั้งธุรกิจให้ความสำคัญกับองค์กรและผลิตภัณฑ์จนลืมให้ความสำคัญกับคนทำธุรกิจ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะทำธุรกิจนี้สำเร็จหากจะต้องเป็นคนที่เหมาะสม สนใจจริงและศึกษาให้นานๆ ก่อนจึงจะสำเร็จได้ นั่นหมายความว่าต้องทำการบ้านหนักในการหาข้อมูลที่ลึก ชัด และวัดได้ อีกอย่างที่สำคัญคือการสื่อสารระหว่างบุคคลที่ต้องรู้จักใช้วิธีการสื่อสารให้กรรมการตัดสินให้ชนะ (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 16 ก.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ข่าวทั่วไป


"ข้าวกล้อง" กับสารก่อมะเร็ง

ข้าวกล้องมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ทั้งวิตามิน เกลือแร่ และสารอาหารอื่นๆ เนื่องจากข้าวกล้องเป็นข้าวที่ถูกขัดสีเพียงครั้งเดียวเพื่อเอาเปลือกออก แต่ยังคงไว้ด้วยจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ด ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งที่รวมสารอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย ทั้งคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงาน โปรตีน ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ไขมันชนิดไม่อิ่มตัวช่วยให้พลังงานและความอบอุ่นต่อร่างกาย เส้นใย ช่วยเพิ่มการอาหารทำให้สะดวกในการขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งลำไส้ใหญ่ วิตามินบี 1 ที่ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ช่วยให้การทำงานของระบบประสาทเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ วิตามินบี 2 ช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอก ช่วยเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงาน ไนอาซิน ช่วยในการทำงานของระบบผิวหนังและระบบประสาท แคลเซียม-ฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ธาตุเหล็กช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง ส่วนในจมูกข้าว มีวิตามินอี ซิลิเนียม และแมกนีเซียม ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบต่างๆในร่างกายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ป้องกันโรคมะเร็ง และวิตามินอีที่ช่วยชะลอความแก่ สารก่อมะเร็งนี้จะสังเกตได้จากเมล็ดข้าวที่มีสีน้ำตาลเข้ม หรือสีดำแต้มอยู่มากหรือเกือบทั้งเม็ด ตรงส่วนนี้นักวิทยาศาสตร์ได้สังเกตและนำไปเพาะเชื้อดูพบว่า เป็นเชื้อราแอสเปอร์จิรัส ซึ่งเป็นเชื้อราที่สร้างสารอะฟลาท็อกซิน ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งตับ เพราะข้าวกล้องจะมีเยื่อบางๆที่หุ้มอยู่ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากต่อร่างกายเราดังที่กล่าวไปแล้วในข้างต้น และที่สำคัญยังเป็นแหล่งอาหารที่สมบูรณ์ของเจ้าเชื้อราอีกด้วย ซึ่งเราจะสังเกตได้ว่าเมล็ดข้าวสารที่เป็นสีขาวนั้นเชื้อราจะไม่ขึ้น การเลือกข้าวกล้องควรเลือกที่ขัดสีใหม่ๆ และคัดเมล็ดข้าวที่เสีย เมล็ดลีบ และไม่สมบูรณ์ออก ที่สำคัญห้ามเก็บข้าวกล้องไว้ในที่ชื้นเด็ดขาด เพราะจะทำให้ข้าวขึ้นราได้ง่าย (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 11 ก.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





จับตา ISO 26000 มาตรฐานสากลใหม่ "ความรับผิดชอบต่อสังคม"

"ความรับผิดชอบต่อสังคม" กำลังจะกลายเป็นมาตรฐานสากล ภายใต้มาตรฐานใหม่ของการค้าระหว่างประเทศที่เรียกว่า ISO 26000 ISO 26000 เป็นมาตรฐานสากลว่าด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการเริ่มร่างมาตรฐานระหว่างประเทศ และจะถูกนำมาใช้กันแบบเป็นจริงเป็นจังในปี 2550 หรืออีกเพียง 2 ปีนับจากนี้ไป เพราะเชื่อกันว่า ผลของมันจะเกิดแรงกระเพื่อม ส่งผลกระทบในวงกว้างโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อการค้าระหว่างประเทศ และอาจจะกลายเป็นประเพณีปฏิบัติขององค์กรภาคธุรกิจทั่วโลก เหตุผลสำคัญที่องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (international organization for standardization) มีการจัดทำข้อเสนอระหว่างประเทศที่ว่าด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมนี้ เป็นเพราะในปัจจุบันมีเอกสารแนะนำและมาตรฐานเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม ใช้อยู่ในประเทศต่างๆ มาก มาย แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือมีมาตรฐานของแต่ละประเทศแตกต่างกัน ทำให้คู่ค้าเกิดปัญหา จึงมีการเรียกร้องให้ทำเป็นมาตรฐานสากลขึ้นมา นายศุภชัย เทพัฒนพงศ์ ผู้อำนวยการกองกิจกรรมมาตรฐานระหว่างประเทศ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณท์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว โดยชี้ให้เห็นว่า จุดเริ่มต้นของมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคม เริ่มที่การประชุม โกลบอล คอนเฟอเรนซ์ ที่กรุงสตอกโฮล์ม ปี 2547 เพราะก่อนหน้านั้นมีมาตรฐานเรื่อง CSR มากกมายทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป กระทั่งญี่ปุ่น และการมีหลายมาตรฐานจะทำให้เกิดอุปสรรคทางการค้า ก่อนจะประชุมครั้งแรกที่ประเทศบราซิลเมื่อเดือนมิถุนายน 2547 ก่อนที่จะมาประชุมครั้งที่ 2 ในวันที่ 24-30 กันยายนที่จะถึงนี้ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ (ประชาชาติธุรกิจ จันทร์ที่ 11 ก.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





เตือนพลโลกจะทะลุ 6.5 พันล้าน ปีหนึ่งๆ เพิ่มมากเท่ากับทั้งประเทศ

มูลนิธิประชากรโลกของเยอรมันเปิดเผยสถิติว่า จำนวนพลโลกอาจจะเพิ่ม ขึ้นเป็น 9.3 พันล้านคน ในปี พ.ศ. 2593 นี้ ซึ่งจะเฉลี่ยได้ว่าแต่ละปีจะเพิ่มมากถึง 80 ล้านคน ผู้เชี่ยวชาญของมูลนิธิได้แถลงที่ประเทศออสเตรียว่า ประชากรที่เพิ่มส่วนใหญ่มากถึง 96% นี้ ล้วนแต่เป็นพลเมืองตามชาติที่กำลังพัฒนาอยู่ทั้งสิ้น อย่างเช่น ทวีปแอฟริกา จะมีพลเมืองเพิ่มขึ้นสูงเป็น 1 พันล้านคน ก่อน พ.ศ. 2593 นี้ ขณะเดียวกัน เอเชียก็จะมีมากถึง 1.4 พันล้านคน และชาวละตินอเมริกัน ก็จะเพิ่มเป็น 246 ล้านคน มีแต่ชาติอุตสาหกรรมที่เจริญแล้วเท่านั้น ที่กลับมีจำนวนพลเมืองลดน้อยลง รายงานได้ย้ำว่าหนทางเดียวที่จะสกัดกั้น ไม่ให้จำนวนประชากรโลกเพิ่มทะลุขึ้นสูงโด่งเท่านี้ก็คือ จะต้องให้ประชาชนทั่วไปได้มีความรู้ในการคุมกำเนิด มูลนิธิได้วิงวอนสังคมโลกให้ช่วยกันลงทุนในโครงการวางแผนครอบครัวกันเถิด เพราะเท่าที่เป็นอยู่ ผู้ชายแอฟริกันคนหนึ่ง ปีหนึ่งๆ จะได้รับถุงยางคุมกำเนิดเพียงคนละ 3 อันเท่านั้น ในขณะที่ผู้หญิงกาฬทวีปก็ไม่เคยพบหนทางจะคุมกำเนิดของตัวเองเลย. (ไทยรัฐ พุธที่ 13 ก.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





รับรองโรงคัด-แปรรูปสินค้าเกษตรได้มาตรฐานโลก

นายวิชา ธิติประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า กรมวิชาการเกษตรเร่งดำเนินการขึ้นทะเบียนและตรวจรับรองโรงงานคัดบรรจุสินค้าเกษตรเพื่อการส่งออกและโรงงานแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรเพื่อการส่งออก ตามมาตรฐาน GMP และ HACCP ภายใต้นโยบายความปิดภัยทางด้านอาหาร (Food Safety) ของรัฐบาล ทั้งนี้เพื่อให้สินค้าเกษตรของไทยมีความปลอดภัย คุณภาพได้มาตรฐานสากล ถูกสุขอนามัย รักษาชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งลดปัญหาประเทศผู้นำเข้าใช้มาตรการด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชมากีดดันสินค้าเกษตรกรไทย ซึ่งจะเป็นการเพิ่มมูลค่าสินค้าอีกด้วย โดยปัจจุบัน ในส่วนของโรงคัดบรรจุสินค้าเกษตรเพื่อการส่งออกได้ขอขึ้นทะเบียน และให้กรมวิชาการเกษตรตรวจรับรองมาตรฐานทั้งสิ้น 247 แห่ง แบ่งเป็นโรงคัดบรรจุผลไม้ 147 แห่ง โรงคัดบรรจุพืชผัก 63 แห่ง โรงคัดบรรจุผลไม้และพืชผัก 24 แห่ง โรงคัดบรรจุข้าว 10 แห่ง และประเภทอื่นๆ 3 แห่ง ขณะนี้มีโรงคัดบรรจุฯ ที่ผ่านการรับรองและได้สัญลักษณ์ Q ตามมาตรฐาน GMP แล้ว 134 แห่ง และในจำนวนดังกล่าวได้ขอรับรองตามมาตรฐาน HACCP ซึ่งเป็นมาตรฐานที่สูงกว่า GMP อีกประมาณ 4-5 แห่ง ส่วนโรงงานแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรฯ นั้น ได้ยื่นจดทะเบียนของการรับรองมาตรฐาน จากกรมวิชาการเกษตรจำนวน 175 แห่ง ผ่านการรับรองและได้สัญลักษณ์ Q จำนวนทั้งสิ้น 94 แห่ง แบ่งเป็นมาตรฐาน GMP 67 แห่ง มาตรฐาน HACCP 27 แห่ง นอกจาก่นี้ยังมีอีกประมาณ 20 แห่งอยู่ในขั้นตอนการออกใบรับรอง โดยโรงงานที่ขอใบรับรองจะมีทั้งโรงงานอาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็ง อาหารอบแห้ง และโรงงานน้ำตาล (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 13 ก.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





“บุหงาใบโพธิ์” งานฝีมือ สร้างรายได้

บุหงารำไปมักจะถูกนำมาใส่ในถุงผ้าฉลุลาย หรือภาชนะดินเผา เพื่อให้กลิ่นนั้นฟุ้งกระจาย หอมอบอวล ได้ตามที่ต้องการ แต่ด้วยความคิดสร้างสรรค์ ของ อาจารย์จันทนา อำพันสุข หัวหน้าแผนกวิชาบริหารงานคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตภาคใต้ จังหวัดสงขลา ทำให้เกิดการนำ บุหงารำไป มาบรรจุลงในเยื่อใบโพธิ์แห้งย้อมสี หรือเรียกว่าการทำ “บุหงาใบโพธิ์” ขึ้น สูตรเฉพาะของอาจารย์จันทนาฯนั้น เริ่มจากการทำ บุหงารำไปก่อน โดยใช้ดอกไม้แห้งและพืชที่มีกลิ่นหอม อาทิ ดอกพิกุล ใบเตย มะลิ กระดังงาไทย เป็นต้น ซึ่งส่วนหนึ่งเราสามารถใช้ดอกไม้ไหว้พระที่แห้งแล้ว หรือดอกไม้แห้งจากพานพุ่มก็ได้ แล้วนำดอกไม้แห้งทั้งหมดมาผสมกัน ใส่เครื่องหอม ได้แก่ การบูร กำยาน จันท์เทศ และชะมดเช็ด ต่อมาให้ใส่น้ำปรุงกลิ่นที่ต้องการลงไป และอย่าลืมใส่พิมเสนลงไปด้วย เพราะพิมเสนนี้จะเป็นตัวดูดความชื้นจากน้ำปรุงที่ใส่ลงไป จากนั้นให้จุดเทียนหอมที่ใช้สำหรับอบขนม รอจนมีควันออกจากเทียน แล้วจึงนำเทียนใส่ลงไปในถังดอกไม้แห้งที่เตรียมไว้ และปิดฝา โดยหมั่นจุดเทียนทุกวัน วันละ 2 ครั้ง ทำเช่นนี้ ประมาณ 1 เดือน ก็จะได้บุหงารำไป ซึ่งจะนำมาเป็นวัตถุดิบในการทำบุหงาใบโพธิ์ ในส่วนของการเตรียมใบโพธิ์ สำหรับการทำบุหงาใบโพธิ์เป็นกอดอกบัวนั้น ขั้นแรกให้นำใบโพธิ์ หรือใบยางแช่น้ำ ซึ่งอาจจะผสมน้ำยาขจัดคราบที่ใช้ในการซักผ้าด้วย เพื่อเร่งให้ใบโพธิ์เปื่อยยุ่ยได้เร็วขึ้น รอจนใบโพธิ์ถูกทำให้เปื่อยยุ่ย จนเหลือแต่โครงของใบ นำไปผึ่งลมหรือใช้ไดร์เป่าผมเป่าให้แห้ง แล้วจึงนำไปย้อมสี ตามที่ต้องการและนำไดร์เป่าผมมาเป่าให้แห้งอีกครั้งหนึ่ง และเมื่อนำใบโพธิ์ที่ย้อมสีเรียบร้อยแล้ว นำมาตัดเป็นกลีบดอก ให้มีขนาดลดหลั่นกันไปตามแบบที่เตรียมไว้ เช่น ดอกบัวขนาดมาตรฐานจะมีกลีบดอกชั้นละ 11 กลีบ แบ่งเป็น 3 ชั้น แต่ละชั้นจะมีขนาดลดหลั่นกันไป โดยเวลานำมาประกอบเป็นดอกบัวให้นำมาวางสับหว่างกัน และแต่ละกลีบให้นำดิ้นทองมาติดไว้ตรงขอบกลีบแต่ละอันด้วย ส่วนเกสรนั้นให้ใช้ถ้วยขนมพลาสติกขาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 ซม. บรรจุ บุหงารำไป ปิดด้วยใบโพธิ์ย้อมสี และเดินขอบด้วยดิ้นทอง สำหรับส่วนที่เป็นใบบัวให้นำบุหงารำไปบรรจุลงใน ใบโพธิ์ขนาดต่างๆ ที่ตัดเตรียมไว้ แล้วเดินเส้นใบด้วยดิ้นทอง โดยใส่ลวดไว้ตรงกลางเพื่อให้สามารถดัดใบได้ในภายหลัง ก้านของใบบัวให้ใช้ก้านดอกไม้สำเร็จรูปที่มีวางขายตามท้องตลาดได้ ผู้ใดสนใจ อยากสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ อาจารย์จันทนา อำพันสุข แผนกวิชาการบริหารงานคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตภาคใต้ จังหวัดสงขลาหมายเลขโทรศัพท์ 074-316263 ต่อ 1731 ในวันและเวลาราชการ (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 13 ก.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





จีนเปิดคลินิกเด็กติดเน็ต ปรับสมดุลสมอง-ฝังเข็มรักษา

รัฐบาลจีนเปิดคลินิกบำบัดอาการติดเน็ตของเยาวชน ดึงหลากวิธีมาช่วยรักษาแบบผสมผสาน อาทิ กระตุ้นไฟฟ้า ปรับสมดุลสมอง ฝังเข็มและเล่นกีฬา ระบุช่วยให้อาการดีขึ้น แต่หากกลับไปเจอสิ่งเร้า อาจเสี่ยงกลับมาติดอีกครั้ง ดร.เต๋า รัน ผู้อำนวยการคลินิกบำบัดการติดอินเทอร์เน็ต ที่ถูกต้องตามกฎหมายแห่งแรกของจีน กล่าวว่า เด็กทุกคนที่เข้ารับการรักษา มีปัญหาติดเกมและห้องสนทนาออนไลน์ (แชท) อย่างงอมแงม จนทำให้หนีโรงเรียน และต้องทนทุกข์ทรมานกับความเครียด ประหม่า ไม่รู้จักการมีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก อีกทั้งมือไม้ก็ยังสั่น และบางรายถึงขั้นหมดความรู้สึกก็มี สำหรับคลินิกบำบัดที่รัฐบาลตั้งขึ้นมา เริ่มเปิดรับผู้ป่วยตั้งแต่เดือนมีนาคม มีแพทย์ 11 คน และพยาบาล 12 คน คอยดูแลผู้ป่วยซึ่งส่วนใหญ่อายุ 14-24 ปี ทุกคนอยู่ในสภาพอิดโรย เพราะนอนน้อย กินน้อยและไร้มิตรสหาย สาเหตุก็เพราะพวกเขาใช้เวลาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา ดร.เต๋า ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาอาการเสพติดมากว่า 20 ปี คาดว่ามีชาวจีนมากถึง 2.5 ล้านคน ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการเสพติดอินเทอร์เน็ต ส่วนการรักษาของคลินิกจะเริ่มจากวินิจฉัยว่าเด็กเข้าข่ายติดอินเทอร์เน็ตหรือไม่ จากนั้นก็จะใช้การบำบัดแบบผสมผสาน ทั้งแพทย์แนวใหม่ ฝังเข็ม และเล่นกีฬา อย่างว่ายน้ำ และบาสเกตบอล เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีชีวิตที่เป็นปกติอีกครั้ง แต่ละคนจะต้องใช้เวลาอยู่ที่คลินิก 10-15 วัน คิดค่ารักษาวันละ 48 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2,000 บาท กิจวัตรประจำวันจะเริ่มตั้งแต่เวลา 06.00 น. โดยการเข้าไปยังเครื่องกระตุ้นประสาท ที่ใช้แรงดันไฟฟ้าขนาด 30 โวลต์ ในบางรายอาจต้องให้ของเหลวใส่ผ่านทางเส้นเลือดเพื่อเข้าไปปรับสมดุลของสมอง อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่คลินิกไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ เพิ่มเติมอีก แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วการรักษาจะได้ผลดี แต่ไม่ง่ายที่จะรักษาให้หายขาด เพราะผู้ป่วยสามารถกลับไปเจอสิ่งเร้าจนยากจะเอาชนะการยั่วยวนจากอินเทอร์เน็ตได้ รัฐบาลจีนรายงานว่า ปัจจุบันประชากรจีนที่ออนไลน์มีจำนวนมากเป็นอันดับ 2 ของโลก หรือราว 94 ล้านคน ตามหลังเพียงสหรัฐเท่านั้น แม้จีนจะสนับสนุนให้มีการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อธุรกิจและการศึกษา แต่ดูเหมือนว่าการเปิดให้บริการอย่างผิดกฎหมายของอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ จะสร้างปัญหาให้รัฐบาลอย่างมาก (คมชัดลึก พุธ 6 ก.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





หนุนแพทย์ทางเลือก’ไคโรแพรกติก’น่าสน

ที่โรงแรมเจดับลิว แมริออท เมื่อวันที่ 13 ก.ค. มีการเสวนาแพทย์ทางเลือก “ไคโรแพรกติก” (Chiropractic) ในประเทศไทย โดยมี นายจาตุรนต์ ฉายแสง รองนายกรัฐมนตรี น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีต รมช.สาธารณสุข ดร.ดอนเนิล นากาย่า เนียลสัน ประธานชมรมไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล ไคโรแพรกติก ผู้ให้การรักษาด้วยไคโรแพรกติก เข้าร่วมเสวนา และมีนายดอม เหตระกูล ดารานักแสดงชื่อดัง เป็นผู้ดำเนินรายการ ดร.ดอนเนิลกล่าวว่า การรักษาวิธีนี้ถูกค้นพบตั้งแต่ปี 1895 เป็นการบำบัดกล้ามเนื้อโครงร่าง คือ กระดูก ข้อ กล้ามเนื้อ และเอ็นด้วยการนวดและจัดกระดูกโดยใช้มือ ซึ่งเป็นเทคนิคพิเศษที่คิดค้นพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หลีกเลี่ยงการใช้ยาและการผ่าตัด เป็นการใช้วิธีทางธรรมชาติเพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวกลับสู่สภาวะสมดุลด้วยพลังของร่างกาย ปัจจุบันการรักษาโดยไคโรแพรกติกเป็นที่ยอมรับกว้างขวางในระดับนานาชาติ มีกฎหมายรองรับกว่า 80 ประเทศ ส่วนในประเทศไทย อยู่ระหว่างขั้นตอนการขออนุญาตจากกองการประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสาธารณสุข ด้าน นายจาตุรนต์ ซึ่งเคยรับการรักษาด้วยไคโรแพรกติก กล่าวว่ารู้จักศาสตร์นี้เมื่อ 7-8 ปีก่อน โดยได้รับคำแนะนำจากเพื่อนให้ลองไปรักษาอาการปวดหลัง และขา 2 ข้างที่ไม่เท่ากัน ทำให้ต้องตัดขากางเกงไม่เท่ากัน จึงต้องเสริมส้นรองเท้า โดยแพทย์ปัจจุบันรักษาไม่หาย ซึ่งอาการดังกล่าวเป็นมา 30 ปีแล้ว แต่พอลองไปใช้บริการปรากฏว่ากด 2 ทีที่ตะโพกหาย ส่วนขาไม่เท่ากันก็กลับมาเท่ากัน ดังนั้นคิดว่าการรักษาด้วยสาขานี้มีประโยชน์มาก แต่ประเทศไทยยังไม่เป็นที่ยอมรับเท่าที่ควร และยังมีปัญหาอยู่ ขณะนี้ยังไม่มีทางออกว่าจะทำให้ถูกกฎหมายอย่างไร แต่คิดว่าผู้ที่เกี่ยวข้องควรคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนมากกว่าผลประโยชน์ทางวิชาชีพของตน. (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 13 ก.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





พบกระดูกมนุษย์ อายุกว่า4,000ปี

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 13 กรกฎาคม นายเทอดศักดิ์ กรรณสูต รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี นายประสิทธิ์ ดอนศรีคุ้ม ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 ต.หนองกุ่ม อ.บ่อพลอย และนายอรุณศักดิ์ กิ่งมณี นักโบราณคดี 8 ว. หัวหน้ากลุ่มวิชาการโบราณคดี สำนักงานศิลปากรที่ 2 สุพรรณบุรี เดินทางไปที่บริเวณบ้านรางขาม-รางน้ำตก หมู่ที่ 8 ต.หนองกุ่ม เพื่อพิสูจน์ทราบกรณีชาวบ้านขุดพบโครงกระดูกมนุษย์และเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ สมัยโบราณ พบว่าบริเวณดังกล่าวห่างจากถนนสายแก่งเสี้ยน-บ่อพลอย ประมาณ 500 เมตร ซึ่งเป็นไร่ของนายทอง สามสาลี สมาชิก อบต.หนองกุ่ม มีการขุดหลุมขนาดกว้าง 3 เมตร ลึก 1 เมตร ภายในหลุมพบชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์ เครื่องมือหินขัด ขวาน และเศษหม้อโบราณจำนวนมาก โดยมีการกั้นแนวเชือกไว้เรียบร้อยแล้วจากการพิสูจน์เบื้องต้น นายอรุณศักดิ์คาดว่าพื้นที่บริเวณนี้เป็นหลุมฝังศพของมนุษย์สมัยโบราณอายุไม่ต่ำกว่า 4,000 ปี ซึ่งในสมัยนั้นหากมนุษย์เสียชีวิตลงก็จะนำไปฝังพร้อมกับข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของบุคคลนั้น พร้อมกับให้เจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากรมาทำการสำรวจ เพื่อนำสิ่งของที่ขุดพบไปขึ้นทะเบียนไว้กับกรมศิลปากร เพราะจะได้ไม่สูญหาย (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 13 ก.ค. 48 http://www.matichon.co.th)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215