หัวข้อข่าวปีที่ 6 ฉบับที่ 30 ประจำวันที่ 2005-08-14

ข่าวการศึกษา

แพทย์"จุฬาฯ"จัดบรรยาย เทคนิคสอบเข้า10สิงหาฯ
มช.ใช้หลักสูตรไทยศึกษาดึงเด็กจีนเรียน
มอ.ปัตตานีร่วมมาเลเซีย ทำพจนานุกรมไทย-มลายู
ม.อิเล็กทรอนิกส์ เกษตร-จุฬาฯ ติดโผเวบโลก
มหิดลผนึกยุติธรรมพัฒนานิติวิทยาศาสตร์
สรอรรถ กลิ่นประทุม โน้ตบุ๊กนักเรียน เสริมเด็กไทยรักการอ่าน
มรภ.สุรินทร์จับมือ4ประเทศลุ่มน้ำโขง
แพทย์จุฬาฯรับตรง100% ไม่ใช้เกรดเฉลี่ยม.ปลาย
ยกไทยเป็นศูนย์อาชีวะเอเซีย ชิมลางอบรมข้อมูลกลุ่มสมาชิก
"จาตุรนต์ ฉายแสง" ปักธง7ยุทธศาสตร์ ลุยงาน"ศธ."ใน3เดือน
ม.เกษตรผุด “สถาบันขงจื้อ” หวังเป็นฮับภาษาจีนในไทย
เปิดงานวิจัย"ปัญหา-5มาตรการส่งเสริม" "ม.เอกชน"ในประเทศไทย!!
ศูนย์พัฒนาภาษาอังกฤษพัฒนาเว็บไซต์ เน้น6สาขา23หลักสูตร-เรียนด้วยตัวเอง
จุฬาฯแชมป์ไซฟ์ประเทศไทย สู่เวทีโลก-ประเทศแคนาดา
บ้านสมเด็จฯจับมือกับ4มหา"ลัยเมืองจีน
"มหิดล" โกอินเตอร์ เฟส 2 ปรับทัพใหญ่

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

ระบบรักษาความปลอดภัยไฮเทค
ไวรัสเปลี่ยนแนวโจมตีรถยนต์ อาศัยช่องโหว่มือถือเจาะเข้าสมองกลรถ
สัปดาห์วิทย์โชว์"นาโนบับเบิ้ล" ฟองออกซิเจนปลุกสุขภาพปลา
หนุนไทยทำชิพข้อมูลไร้สายเองขืนชักช้าตกเป็นทาสเทคโนโลยีต่างชาติ
"ยุโรป"ผวาโครงการ "ห้องทดลองอวกาศ"ล่ม
'ดิสคัฟเวอรี่' กลับสู่โลกปลอดภัย
ซีเกทเตรียมเปิดตัวฮาร์ดดิสก์จุ 500กิกะไบต์
‘เล็บมือ’ สื่อบันทึกข้อมูลแบบใหม่
เผยงานกระทรวงไอซีทีเอ็กซ์โปปีหน้าจัดยิ่งใหญ่
หวั่นหลังปี 2550 คอมพิวเตอร์ป่วน เหตุสหรัฐปรับเวลาราชการเร็วขึ้นหนึ่งชั่วโมง
สหรัฐเริ่มใช้อี-พาสปอร์ตปลายปีนี้
วช.สัมมนาถนอมเครื่องมือวิทย์
ประวิช รัตนเพียร สั่งแผนใช้"วิทยาศาสตร์นำสังคม"
มือถือที่เล็กที่สุดในโลก
ความลับในไม้เลน
ดาวเทียม"ไทยคม4" เข้าสู่วงโคจรสำเร็จ แรงส่งเน็ตพุ่ง20เท่า

ข่าววิจัย/พัฒนา

ในหลวงพระราชทานสูตรปฏิบัติการฝนหลวง
"เอ็คไคนาเซีย"ต้านหวัดไม่ได้
นักวิทยาศาสตร์มะกันคิดวัคซีน'หวัดนก'สำเร็จ
ผสมเทียมฉลามในหลอดทดลอง พันธุ์กินกันเองตั้งแต่ในท้องแม่
ระบบพยากรณ์อากาศล่วงหน้าเรียลไทม์
ตรวจสอบข้าวชนิดอื่นปนในข้าวหอมมะลิ ด้วยวิธีการทางกายภาพ
นักเคมีมหิดลจับงานวิจัยวัสดุนาโน
เอ็นอีซีนำร่องพัฒนาแบตเตอรี่สีเขียว
.เทคนิคคิดสูตรปูนฉาบมวลเบา ต่อยอดทำผนังฉนวนกันร้อนในตัว
อ่านจิตใจมนุษย์ได้ด้วยเครื่องตรวจสมองแม่เหล็ก
ทดสอบวัคซีนหวัดนกได้ผลดี สร้างภูมิคุ้มกันเชื้อโรคครั้งแรก
ทำยาแก้ไอจากเมือกของทาก ตำรับยาสมัยดึกดำบรรพ์
‘ปทุมฯ’เล็งตั้งโรงไฟฟ้าขยะรีไซเคิล
นักวิทย์น้อยหาวิธีปรับปรุงพันธ์ข้าวสุพรรณฯ1
เครื่องหยอดทองหยอดอัตโนมัติ นวัตกรรมตอบแทนพระคุณแม่
"แป๊ะตำปึง"รักษาเริม
รังสีคอสมิกบาดตามนุษย์อวกาศ ทำให้ตาเป็นต้อกระจกมืดมัว
บรอคโคลิมีฤทธิ์ช่วยปราบมะเร็ง ปิดล้อมโรคร้ายไว้ไม่ให้ขยายวง
เครื่องย้อมสีผ้าพลังแดดต้มน้ำร้อนเร็วทันใจไม่เปลืองก๊าซหุงต้ม
“เครื่องหั่นกล้วยฉาบ” กะทัดรัด ประสิทธิภาพเยี่ยม
สองล้อโซลาร์เซลล์ คู่ใจยุคน้ำมันแพง
ราชภัฏเลยทำวิจัย"เศรษฐกิจพอเพียง"
ถุงมือเคลือบยางพารา เพิ่มมูลค่าทางเลือกใหม่ในอาชีพ
ถอดรหัสพันธุกรรมข้าวสำเร็จ ใช้เป็นฐานศึกษาธัญพืชอื่นต่อ
เรื่องรู้เกี่ยวกับโรคและยา
ยากับน้ำผลไม้อันตรายกว่าที่คิด
มือถือแจ้งล่วงหน้าฝนตกเอไอทีมุ่งบรรเทาทุกข์จากน้ำท่วม รถติด
“วรวิทย์ ตันติดีเลิศ” ยังดีไซน์เนอร์คนเก่ง
วิจัย"กะเพราสด" มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง

ข่าวทั่วไป

พบรอยพระพุทธบาท-ฟอสซิสไดโนเสาร์
ปรับพิพิธภัณฑ์เหมือนห้างกรมศิลป์รื้อใหม่ทุก 3 สัปดาห์
กทม.จับมือ 16 มหาวิทยาลัย ทำแผนพัฒนาเมืองน่าอยู่ยั่งยืน
'WHO'ทูลเกล้าฯถวายรางวัลอาหารปลอดภัยแด่'สมเด็จพระราชินี'
น้ำสมุนไพรพร้อมดื่ม ‘สำรอง’ อย.รับประกัน
สหรัฐเร่งศึกษาภาษาใกล้ตาย เชื่อไขความเข้าใจมนุษย์กับโลก
ญี่ปุ่นเสิร์ฟเนื้อปลาวาฬให้เด็กนักเรียน





ข่าวการศึกษา


แพทย์"จุฬาฯ"จัดบรรยาย เทคนิคสอบเข้า10สิงหาฯ

หน่วยประชาสัมพันธ์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า คณะแพทย์จุฬาฯได้กำหนดวิธีการรับตรงนิสิตคณะแพทย์ ประจำปีการศึกษา 2549 โดยการสอบคัดเลือกเข้าศึกษา ดังนั้น เพื่อเป็นการสร้างเสริมความเข้าใจที่ถูกต้อง จึงได้จัดกิจกรรมการอภิปรายพิเศษเรื่อง "สอบเข้าแพทย์จุฬาฯ ไม่ยากอย่างที่คิด" ในวันที่ 10 สิงหาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 13.30-15.30 น. ที่ห้องเฉลิม พรมมาส ตึก "อปร" โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โดยผู้ร่วมอภิปรายทำความเข้าใจประกอบด้วย ศ.นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล คณบดีคณะแพทย์ ผศ.พญ.นันทนา ศิริทรัพย์ รองคณบดีฝ่ายวิชาการ รศ.นพ.อดิศร ภัทราดูลย์ รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา และ รศ.จันทนี อิทธิพานิชพงศ์ รองคณบดีฝ่ายกิจการนิสิต การอภิปรายครั้งนี้เป็นการมุ่งอธิบายสร้างเสริมความเข้าใจ และเผยแพร่ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับจำนวนนิสิตคณะแพทย์ที่จะรับ ขั้นตอนการสมัคร กระบวนการสอบคัดเลือก หลักเกณฑ์การตัดสิน และการเตรียมตัวของนักเรียนเพื่อการสอบวิชาเฉพาะ จึงขอเชิญชวนนักเรียน ผู้ปกครอง และคณาจารย์เข้าร่วมรับฟังการอภิปรายได้ฟรี ทั้งนี้ในกรณีโรงเรียนที่ต้องการพานักเรียนมาร่วมฟังเป็นหมู่คณะ ให้ติดต่อสำรองที่นั่งล่วงหน้าที่ฝ่ายวิชาการ โทร.0-2256-4183, 0-2256-4462, 0-2252-5959 (มติชนรายวัน อังคารที่ 9 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





มช.ใช้หลักสูตรไทยศึกษาดึงเด็กจีนเรียน

นายพงษ์ศักดิ์ อังกสิทธิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) เปิดเผยว่า มช.มีนโยบายส่งเสริมความร่วมมือ และแลกเปลี่ยนทางวิชาการกับนานาชาติ เพื่อพัฒนามาตรฐานทางวิชาการของ มช.ให้ไปสู่ระดับนานาชาติ และผลักดันให้ มช.เป็นศูนย์การเรียนรู้ในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ได้แก่ ลาว กัมพูชา พม่า เวียดนาม และจีนตอนใต้(ยูนนาน) และเพื่อให้นโยบายดังกล่าวบรรลุวัตถุประสงค์ โดยเฉพาะการมุ่งเน้นที่ส่งเสริม และพัฒนาความร่วมมือทางวิชาการจีนมากขึ้น เพื่อรองรับนโยบายการเปิดเสรีด้านการค้า และบริการ หรือ FTA กับจีน มช.จึงได้ทำโครงการร่วมกับจีน ได้แก่ การเปิดหลักสูตรไทยศึกษา เพื่อตอบสนองความต้องการของนักศึกษาต่างชาติ โดยเฉพาะจีนที่ต้องการเข้ามาศึกษาด้านภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง และภาษา ประเพณี วัฒนธรรม ทั้งนี้ คณะสังคมศาสตร์ มช.ได้เปิดการเรียนการสอนระดับปริญญาตรี หลักสูตรไทยศึกษา เพื่อรองรับความต้องการดังกล่าว และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง รวมถึง เป็นช่องทางที่ทำให้เกิดความร่วมมือ และแลกเปลี่ยนทางวิชาการเพิ่มขึ้น โดย มช.ได้เปิดศูนย์ข้อมูล มช. หรือ CMU Center ที่มหาวิทยาลัยยูนนานนอมอล YUNNAN NORMAL UNIVERSITY (YNNU) คุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อเร็วๆ นี้ ศูนย์ดังกล่าวตั้งขึ้นเพื่อรองรับบทบาทการนำของ มช.ด้านการศึกษา วิจัยร่วม และเพิ่มนักศึกษาต่างชาติ และให้นักศึกษา มช.มีโอกาสเรียนต่อ และปฏิบัติงานจริงที่จีน รวมทั้งเป็นศูนย์เผยแพร่ข้อมูล และข่าวสารของ มช.สู่ต่างประเทศ และพัฒนาให้ มช.เป็นศูนย์การเรียนรู้ โดยเฉพาะในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งในศูนย์จะมีข้อมูลหลักสูตร และข้อมูลทั่วไปของประเทศไทย นอกจากนี้ มช.ยังได้ลงนามความร่วมมือกับ NATIONAL OFFICE OF TEACHING CHINESE AS A FOREIGN LANGUAGE (HANBAN) ประเทศจีน ในการก่อตั้ง "CONFUCIUS INSTITUTE" ที่ มช. ตามนโยบายของรัฐบาลจีนที่ต้องการส่งเสริม เผยแพร่ และจัดการเรียนการสอนด้านภาษา และวัฒนธรรมจีนในต่างประเทศ โดยจะเปิดอย่างเป็นทางการวันที่ 16 พฤศจิกายนนี้ (มติชนรายวัน อังคารที่ 9 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





มอ.ปัตตานีร่วมมาเลเซีย ทำพจนานุกรมไทย-มลายู

ผศ.ดร.วรวิทย์ บารู รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานักศึกษาและชุมชน มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (มอ.ปัตตานี) เปิดเผยว่า มอ.ปัตตานี ได้ร่วมมือกับ Dewan Bahasa dan Pustaka (DBP) หรือสถาบันภาษาและหนังสือแห่งมาเลเซีย ซึ่งเทียบเท่ากับกรมหนึ่งในประเทศมาเลเซียได้จัดทำพจนานุกรมภาษาไทย-มลายู เพื่อประโยชน์ทางด้านวิชาการ ธุรกิจการค้า การประสานงานระหว่างสองประเทศ คณะทำงานจัดทำพจนานุกรมไทย-มลายู ประกอบด้วย ผศ.ดร.วรวิทย์ บารู อาจารย์แวมายิ ปารามัล หัวหน้าภาควิชาภาษาตะวันออก ดร.รุสลัน อุทัย หัวหน้าแผนกภาษามลายู และอาจารย์สาเหะอับดุลลอฮ อัล-ยุฟรี ผศ.เสถียร แป้นเหลือ และ รศ.สมปราชญ์ อัมมะพันธ์ แผนกวิชาภาษามลายูได้เสนอโครงการจัดทำพจนานุกรมภาษาไทย-มลายู โดยคำนึงถึงปัญหาของนักศึกษาที่เรียนภาษามลายู และเพื่อใช้ในการค้นคว้า อ้างอิง รวมทั้งประชาชนผู้สนใจภาษามลายูโดยทั่วไป ช่วยอำนวยความสะดวกให้นักศึกษาไทยที่เรียนภาษามลายู จึงได้จัดทำพจนานุกรมฉบับนี้ขึ้น ประกอบกับพจนานุกรมภาษาไทย-มลายูที่วางขายตามร้านหนังสือ ยังมีข้อผิดพลาดและยังไม่ได้มาตรฐาน เราคาดหวังว่าพจนานุกรมภาษาไทย-มลายูฉบับ DBP นี้ จะมีข้อผิดพลาดน้อย เพราะคณะกรรมการจัดทำประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญภาษาไทย ขณะนี้พจนานุกรมภาษาไทย-มลายู ดำเนินการไปแล้ว 90% อีกไม่กี่เดือนก็จะเสร็จสมบูรณ์ ถือได้ว่าเป็นพจนานุกรมภาษาไทย-มลายูฉบับที่ค่อนข้างสมบูรณ์กว่าเล่มอื่นๆ ที่ผ่านมา (คมชัดลึก พุธที่ 10 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ม.อิเล็กทรอนิกส์ เกษตร-จุฬาฯ ติดโผเวบโลก

สถาบันอินเทอร์เน็ต แล็บในประเทศสเปน ได้จัดอันดับมหาวิทยาลัยอิเล็กทรอนิกส์โลก โดยใช้เครื่องมือชื่อ ไซเบอร์เมทริกส์ ซึ่งพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้วิเคราะห์และใช้เป็นเกณฑ์พิจารณาจากการสืบค้นเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ และข้อมูลดิจิทัลต่างๆ จากมหาวิทยาลัยทั่วโลก ซึ่งมีหลายหมื่นแห่ง ปรากฏว่า มีมหาวิทยาลัยรัฐของไทย 2 แห่งเท่านั้นที่ติดอันดับคือ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นอันดับที่ 69 และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในอันดับที่ 94 ของภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย (Asia & Oceania) หรือเท่ากับอันดับที่ 599 และ 794 ของโลก นอกจากนี้ยังมีสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที) ซึ่งเป็นสถาบันนานาชาติตั้งอยู่ในประเทศไทย ติดอันดับ 80 ของโอเชียเนีย และอันดับ 680 ของโลกรวมอยู่ด้วย สำหรับเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดอันดับ 3 เกณฑ์ ประกอบด้วย ขนาดของเวบไซต์คือ จำนวนหน้าที่เครื่องมือสืบค้นเสาะหาได้ ทั้งจาก กูเกิล ยาฮูและเอ็มเอสเอ็น เกณฑ์ที่สองคือ การเข้าถึงและสืบค้นข้อมูลได้อย่างกว้างขวางจากภายนอก โดยไม่ต้องล็อกอินหรือถูกบล็อกไว้ ส่วนเกณฑ์ที่สามคือ จำนวนแฟ้มข้อมูลทางวิชาการที่ปรากฏในเครือข่ายไฟล์พีดีเอฟ (pdf) ไฟล์เอกสาร (.doc) ไฟล์นำเสนอเอกสาร (ps) เป็นต้น "การที่เกษตรศาสตร์ ก้าวสู่มหาวิทยาลัยอิเล็กทรอนิกส์อันดับหนึ่งของไทย ย่อมแสดงถึงความสำเร็จอีกระดับหนึ่ง ในการดำเนินนโยบายการเป็น อี-ยูนิเวอร์ซิตี้ ของมหาวิทยาลัยสู่การปฏิบัติ จนเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปของสังคมโลก" รศ.ดร.วิโรจ อิ่มพิทักษ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าว ส่วนผู้ที่สนใจข้อมูลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยอิเล็กทรอนิกส์ ดูรายละเอียดได้ที่เวบไซต์ www.webometrics.info (คมชัดลึก พุธที่ 10 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





มหิดลผนึกยุติธรรมพัฒนานิติวิทยาศาสตร์

ดร.ณัฏฐินี พันธ์วิศวาส ประธานหลักสูตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขานิติวิทยาศาสตร์ (นานาชาติ) คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ภารกิจของสถาบันฯมีความเกี่ยวข้องกับการตรวจพิสูจน์หลักฐาน ซึ่งสอดคล้องกับหลักสูตรการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัย ที่ปัจจุบันได้เปิดหลักสูตรนิติวิทยาศาสตร์ ระดับปริญญาโท เพื่อผลิตบุคลากรที่กำลังขาดแคลนอยู่ อีกทั้งมหาวิทยาลัยมีหน่วยงานอื่นที่สนับสนุนภารกิจของสถาบันฯ อาทิ หน่วยอาชญาวิทยา หน่วยนิติเวชของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชและโรงพยาบาลรามาธิบดี และคณะทันตแพทยศาสตร์ สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว จะมุ่งประสานความร่วมมือทั้งการพัฒนาบุคลากร วิจัยและพัฒนา โดยเน้นศึกษาวิจัยที่สามารถใช้ประโยชน์ช่วยตรวจพิสูจน์หลักฐาน และวิชาการด้านนิติวิทยาศาสตร์อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งใช้ห้องปฏิบัติการและเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ร่วมกัน และพัฒนามาตรฐานการปฏิบัติงาน แลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการวิจัย ประเมินผลและขยายผล นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการให้ความร่วมมือระหว่างกันในการแสวงหาทรัพยากรจากแหล่งทุนภายนอก เช่น ทุนการศึกษาวิจัยที่จะสนับสนุนให้บุคลากรของทั้งสองหน่วยงาน สามารถเพิ่มพูนความรู้ ส่งผลให้การปฏิบัติงานของทั้งสองหน่วยงานมีประสิทธิภาพและขีดความสามารถสูงขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 10 ส.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





สรอรรถ กลิ่นประทุม โน้ตบุ๊กนักเรียน เสริมเด็กไทยรักการอ่าน

สรอรรถ กลิ่นประทุม จากรัฐมนตรีแรงงาน ผันมาสู่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) แรกรับเข้าตำแหน่ง ก็มีนโยบายถูกใจนักเรียนประกาศออกมา นั่นคือ โครงการคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กราคาถูกจำหน่ายให้นักเรียน ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดของกระทรวงศึกษาธิการกับสถาบันเอ็มไอที คาดภายใน 1 ปี หากผลิต 6 ล้านยูนิต สามารถขายได้เครื่องละ 4,000 บาท เพื่อให้มีโน้ตบุ๊กใช้ในราคาที่ถูก โดยมีปริมาณครอบคลุมทั่วพื้นที่ และมีกระทรวงศึกษาธิการควบคุม ซึ่งจะตั้งคณะทำงานร่วมกับเอ็มไอทีว่าจะดำเนินการอย่างไร ปริมาณการผลิตเท่าใด โดยปริมาณการผลิตต้องมีมาก ไม่เช่นนั้นจะไม่คุ้มกับการผลิต ซึ่งการผลิตหรือศักยภาพการซื้อของเราคงจะได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าได้ในราคาเครื่องละ 4,000 บาท จำนวนการผลิตจะมีประมาณ 6 ล้านยูนิต และไม่ใช่ผลิตเฉพาะในไทยประเทศเดียว แต่จะสั่งมาจากหลายประเทศ เช่น บราซิล จีน อยู่ที่คณะทำงานดูในรายละเอียด การให้เด็กทุกคนได้เข้าถึงข้อมูลโดยคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กก็จะเปลี่ยนวัฒนธรรมการเรียนของนักเรียนใหม่ จากเดิมที่สนใจอ่านหนังสือค่อนข้างต่ำ แต่เมื่อมีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเข้ามาจะทำให้เกิดความสะดวก ให้ข้อมูลมาอยู่ที่ปลายนิ้ว ทำให้เด็กมีศักยภาพ มีความรู้ ประสบการณ์ได้อย่างรวดเร็ว แทนที่เราจะให้หนังสือกับเด็กก็เปลี่ยนเป็นให้คอมพิวเตอร์ เพราะทุกวันนี้ค่าหนังสือ ภาครัฐก็รับภาระอยู่แล้ว เพียงแต่อาจจะต้องเพิ่มการสนับสนุนอีก ทั้งนี้ โครงการนี้มีความแตกต่างจากคอมพิวเตอร์เอื้ออาทร เพราะไม่ได้ขายให้กับคนทั่วไป แต่มีเป้าหมายขายเฉพาะให้กับนักเรียน นักศึกษา ดังนั้น จึงมีต้นทุนค่อนข้างต่ำ (มติชนรายวัน พุธที่ 10 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





มรภ.สุรินทร์จับมือ4ประเทศลุ่มน้ำโขง

เมื่อเร็วๆ นี้ น.พ.อนันต์ อริยะชัยพาณิชย์ นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ เป็นประธานเปิดงานการประชุมสัมมนาทางวิชาการ สถานการณ์ลุ่มแม่น้ำโขงและการลงนามความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยแถบลุ่มแม่น้ำโขง โดยมีอธิการบดีมหาวิทยาลัยจากประเทศเวียดนาม ประเทศลาว ประเทศกัมพูชา และประเทศไทยเข้าร่วม ที่ห้องทัณฑวาล์ เธียเตอร์ ศูนย์วิเทศสัมพันธ์และศูนย์ศึกษาประเทศเพื่อนบ้าน มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ทั้งนี้เพื่อพัฒนาหลักสูตรการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา การแลกเปลี่ยนความรู้ด้านวิชาการ และการขยายงานด้านงานวิจัย อีกทั้งเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อประเทศเพื่อนบ้าน และให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพต่อไปในอนาคต (ข่าวสด พุธที่ 10 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





แพทย์จุฬาฯรับตรง100% ไม่ใช้เกรดเฉลี่ยม.ปลาย

ผศ.พ.ญ.นันทนา ศิริทรัพย์ รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวอภิปรายพิเศษเรื่อง "สอบเข้าแพทย์จุฬาฯ...ไม่ยากอย่างที่คิด" ว่า ปีการศึกษา 2549 คณะแพทยศาสตร์ เปิดรับนิสิตด้วยระบบแอดมิชชั่นส์รับตรงทั้งหมด ผ่านโครงการที่เคยรับด้วยวิธีพิเศษ ได้แก่ โอลิมปิกวิชาการชีววิทยา 5 คน โครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท 20 คน โครงการกระจายแพทย์หนึ่งอำเภอหนึ่งทุนแพทย์ 20 คน โครงการแพทย์จุฬาฯ รอบรู้คู่คุณธรรม 200 คน เปิดรับวันที่ 1-30 กันยายน ผู้สมัครต้องสอบวิชาเฉพาะที่จุฬาฯ วันที่ 25-26 ตุลาคม มีค่าน้ำหนัก 30% โดยข้อสอบมีวิชาจริยธรรมและทักษะการคิดแบบองค์รวม 10% ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์และกระบวนการคิดทางวิทยาศาสตร์ 10% และทดสอบข้อเขียนด้านสุขภาพจิต 10% และพิจารณาผลสอบวัดความรู้ทางวิชาการในการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) 5 กลุ่มสาระ คือ ภาษาไทย ให้ค่าน้ำหนัก 5% สังคม 5% อังกฤษ 5% คณิตศาสตร์ 5% วิทยาศาสตร์ 5% และการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง (เอเน็ต) สาระวิชาวิทยาศาสตร์ 20% ภาษาอังกฤษ 10% และคณิตศาสตร์ 10% โดยต้องทำคะแนนสอบผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 35% สอบวันที่ 28 กุมภาพันธ์-1 มีนาคม 2549 ดูข้อมูล http://www.academic.chula.ac.th หรือโทร. 0-2256-4478, 0-2256-4338 (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 11 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ยกไทยเป็นศูนย์อาชีวะเอเซีย ชิมลางอบรมข้อมูลกลุ่มสมาชิก

นายวีระศักดิ์ วงษ์สมบัติ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) เปิดเผยว่าศูนย์อาชีวศึกษานานาชาติของยูเนสโก(UNESCO-UNEVOC) กรุงบอน์น ประเทศเยอรมันนีได้เล็งเห็นบทบาทและศักยภาพของศูนย์ข้อมูลอาชีวศึกษาไทย (UNESCO-UNEVOC-Thailand) จึงได้ขอความร่วมมือในการจัดฝึกอบรมด้านข้อมูลอาชีวศึกษานานาชาติ ให้แก่ประเทศสมาชิก และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการอาชีวศึกษา ระดับภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งปัจจุบันไทยมีศูนย์ข้อมูลอาชีวศึกษา จำนวน 5 แห่ง คือ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา วิทยาลัยเทคนิคลำพูน วิทยาลัยเทคนิคอุดรธานี วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ และวิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี โดยแต่ละแห่งมีหน้าที่บริหารจัดการข้อมูลเป็นเครือข่ายซึ่งกันและกัน ทั้งให้และรับข้อมูล แลกเปลี่ยนเทคนิค และประสบการณ์ด้านการอาชีวศึกษาและอาชีพต่างๆ เป็นแหล่งรวมข้อมูลข่าวสาร งานวิจัย ผลงานเกี่ยวกับการอาชีวศึกษาของไทยและของนานาชาติ ซึ่งนักการอาชีวศึกษาและประชาชนผู้สนใจจากนานาประเทศ สามารถเข้าไปศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง การฝึกอบรมเครือข่ายข้อมูลอาชีวศึกษานานาชาติในครั้งนี้ จะมีผู้แทนจาก 11 ประเทศเข้าร่วม ได้แก่ ออสเตรเลีย จีนคัมโบเดีย อินเดีย อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซี มองโกเลีย พม่า ศรีลังกา และเวียดนามและเจ้าหน้าที่จากศูนย์อาชีวศึกษาไทยทั้ง 5 แห่ง และใช้เวลาอบรม 2 วัน ณ ศูนย์ฝึกอบรมสำนักพัฒนาสมรรถนะครูและบุคลากรอาชีวศึกษา (สยามรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 11 ส.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





"จาตุรนต์ ฉายแสง" ปักธง7ยุทธศาสตร์ ลุยงาน"ศธ."ใน3เดือน

เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)คนใหม่ ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าเกี่ยวกับแนวนโยบายการทำงานของกระทรวงศึกษาธิการที่ชัดเจนมากขึ้นนับแต่นี้ไป จากการประชุมร่วมกับนายรุ่ง แก้วแดง รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ. กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ศธ. และผู้บริหารระดับสูงใน 5 หน่วยงานบริหารหลักของ ศธ. ผมจึงได้กำหนดยุทธศาสตร์การทำงานเรื่องต่างๆ ที่มีความชัดเจนภายใน 3 เดือนนี้ รวม 7 เรื่อง ประกอบด้วย การปฏิรูปหลักสูตรการเรียนการสอน การพัฒนาครู การปฏิรูปการอาชีวศึกษา การปรับทิศทางและพัฒนาการศึกษานอกโรงเรียนและการศึกษาตามอัธยาศัย การพัฒนาเด็กเล็กปฐมวัย การปฏิรูปอุดมศึกษา และการมีส่วนร่วมของเอกชนและชุมชนในการจัดการศึกษา เดือนแรกจะเน้นการปฏิรูปหลักสูตรการเรียนการสอนทุกระดับการศึกษาใหม่ เดือนที่สองจะต้องเข้าไปเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษ เดือนที่สาม จะเน้นพัฒนาเด็กปฐมวัย และปฏิรูปการอุดมศึกษา และยังได้เน้นให้แต่ละหน่วยงานบริหารหลักใน ศธ.ไปติดตามโครงการตามนโยบายสำคัญๆ ของรัฐบาลอย่างใกล้ชิดด้วย เช่น โครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งโรงเรียนในฝัน โครงการคาราวานเสริมสร้างเด็กและสร้างนิสัยรักการอ่าน โครงการจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์และติดตั้งระบบอินเตอร์เน็ตในโรงเรียน และโครงการพัฒนาอาคารเรียนในสถานศึกษาต่างๆ ให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสม อีกทั้งผมยังได้มอบหมายให้แต่ละหน่วยงานไปสรุปประเด็นปัญหาที่มีผลมาจากการปรับโครงสร้างกระทรวง การออกกฎหมาย กฎกระทรวง เพื่อจะได้หาข้อสรุปและเข้าไปแก้ไขปัญหาให้ได้ภายใน 1 เดือน โดยจะให้มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 11 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ม.เกษตรผุด “สถาบันขงจื้อ” หวังเป็นฮับภาษาจีนในไทย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธันวา จิตต์สงวน รองอธิการบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ ม.เกษตรศาสตร์ (มก.) เปิดเผยว่า จากพระราชดำรัสของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการประชุมภาษาจีนนานาชาติ ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่า ภาษาจีนเป็นภาษาผสมในวงจรธุรกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และขณะนี้คนไทยสนใจไปศึกษาในประเทศจีนมาก ดังนั้นกระทรวงศึกษาธิการของจีน จึงขอความร่วมมือจากนานาประเทศ ร่วมเป็นเครือข่ายจัดตั้งศูนย์การสอนและสอบภาษาจีน มาตรฐาน สำหรับประเทศไทยดำเนินการจัดตั้งที่ ม.เชียงใหม่ และ มก. ซึ่งในส่วนของมก.กำลังเตรียมความพร้อมในการจัดตั้งสถาบันขงจื้อ (Confucius Institute in Bangkok) ซึ่งเป็นสถาบันสร้างมาตรฐานทางด้านภาษาจีน ให้กับผู้ที่จะเดินทางไปศึกษาต่อประเทศจีน หรือผู้ที่จะใช้ประโยชน์จากภาษาจีนให้ถูกต้อง โดยจะเปิดหลักสูตรการเรียนการสอนทางด้านภาษาจีนแบบครบวงจร ตลอดจนความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนนักศึกษา นักวิจัย อาจารย์ เพื่อเรียนรู้ด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมร่วมกัน ทั้งนี้สถาบันขงจื้อ จะอยู่ภายใต้ความดูแลของคณะมนุษยศาสตร์ ด้าน ดร.กนกพร นุ่มทอง หัวหน้าสาขาวิชาภาษาจีน ภาควิชาภาษาต่างประเทศ คณะมนุษยศาสตร์ มก. กล่าวว่า สถาบันขงจื้อ นอกจากจะเป็นสถาบันที่เปิดสอนภาษาจีนที่ได้มาตรฐานแล้ว ยังเป็นศูนย์จัดสอบ HSK หรือ TOFEL Chinese Language รวมถึงการทำวิจัยเกี่ยวกับวัฒนธรรมจีน ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน และการพัฒนาการศึกษาทางด้านภาษาศาสตร์ ขณะนี้ทางคณะ กำลังเร่งจัดทำหลักสูตร และโครงสร้างของสถาบันขงจื้อ ส่งให้กับกระทรวงศึกษาธิการจีน เพื่ออนุมัติหลักการจัดตั้งเครือข่ายสถาบันสอนภาษาจีนในไทย และจัดสรรงบประมาณในการบริหารจัดการให้กับ มก. สำหรับหลักสูตรการเรียนการสอนที่วางไว้ จะประกอบด้วยหลักสูตรภาษาจีนขั้นพื้นฐาน หลักสูตร HSK หลักสูตรครูสอนภาษาจีน หลักสูตรเฉพาะด้าน เช่น ธุรกิจ การท่องเที่ยว การค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น และในอนาคตจะเปิดหลักสูตรเพื่อการเกษตรระหว่างประเทศด้วย ทั้งนี้หากไม่มีอะไรผิดพลาด ก็จะสามารถเปิดการเรียนการสอนในต้นปี 2549 ทันที (สยามรัฐรายวัน เสาร์ที่ 13 ส.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





เปิดงานวิจัย"ปัญหา-5มาตรการส่งเสริม" "ม.เอกชน"ในประเทศไทย!!

จากกรณีศึกษาเกี่ยวกับนโยบาย และมาตรการการสนับสนุนช่วยเหลือสถาบันอุดมศึกษาเอกชนใน 5 ประเทศ คณะผู้วิจัยซึ่งประกอบด้วย ดร.มานิต บุญประเสริฐ หัวหน้านักวิจัย ผศ.ดร.สุรพงษ์ พินิจกลาง ดร.อัญชลี จันทาโภ ดร.ประกิจ เปรมธรรมกร อ.เปรมจิต เสาวคนธ์ ผู้วิจัย ผศ.มุกดา โควหกุล และนางรัชดา วิวัฒน์สกุลเจริญ ผู้ช่วยวิจัย โดยมี ผศ.ดร.จันทร์จิรา วงษ์ขมทอง ดร.ธนู กุลชน ดร.บัญชา แสงหิรัญ และ ดร.ชวลิต หมื่นนุช เป็นที่ปรึกษา มีข้อเสนอเชิงนโยบาย และมาตรการในการส่งเสริมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนสำหรับประเทศไทย ดังนี้ 1.ความเสมอภาค (Equity) เชิงนโยบาย 2.ความเป็นเลิศ (Excellence) ทางวิชาการ 3.การสนับสนุนทางด้านการเงิน (Financing) 4.ความเป็นสากล (Internationalisation) 5.การมีส่วนร่วม (Participation) และ สัดส่วนสาขาวิชาที่เปิดสอนในสถาบันอุดมศึกษาของเอกชนและของรัฐ สัดส่วนสาขาวิชาสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ในมหาวิทยาลัยเอกชนต่อรัฐ อาจมีสัดส่วนเป็น 65 : 35 สัดส่วนสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยเอกชนต่อรัฐ อาจมีสัดส่วนเป็น 35 : 65 สัดส่วนในระดับการศึกษาที่มหาวิทยาลัยของเอกชนและรัฐเปิดสอน สัดส่วนระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยเอกชนต่อรัฐ อาจมีสัดส่วนเป็น 60:40 สัดส่วนในระดับบัณฑิตศึกษาของมหาวิทยาลัยเอกชนต่อรัฐ อาจมีสัดส่วนเป็น 30 : 70 (มติชนรายวัน อาทิพย์ที่ 14 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ศูนย์พัฒนาภาษาอังกฤษพัฒนาเว็บไซต์ เน้น6สาขา23หลักสูตร-เรียนด้วยตัวเอง

ศ. ดร.อัจรา วงศ์โสธร ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ(ศสษ.) แถลงเรื่อง "วิกฤตหรือโอกาสของภาษาอังกฤษในสังคมไทย" ที่โรงแรมอินเตอร์คอนนิเนตัล เมื่อเร็วๆ นี้ ว่าการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทยตั้งแต่ระดับประถมถึงระดับมัธยม ทว่าการสอนยังไม่บรรลุความสำเร็จ ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขเพื่อเพิ่มขีดความสามารถบุคคลในการแข่งขันของประเทศให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐที่จะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง 6 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ การท่องเที่ยว,แฟชั่น,อาหาร,วิทยาศาสตร์สุขภาพ,ยานยนต์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ศ.ดร.อัจรากล่าวว่า จากการวิเคราะห์ความต้องการภาษาอังกฤษของบุคลากรในกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่าทักษะด้านการฟัง การพูด และการเขียนสำคัญมากที่สุดสำหรับบุคลากรทุกอาชีพ ยกเว้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศที่ต้องใช้ทักษะด้านการอ่านมากกว่ากลุ่มอื่นๆ และพนักงานระดับผู้บริหารและระดับผู้ปฏิบัติการไม่มีเวลาเรียนภาษาอังกฤษ จึงมีแผนพัฒนาเว็บไซต์ www.eldc.go.th เป็นศูนย์บริการสำหรับผู้สนใจพัฒนาความสามารถด้านภาษาอังกฤษด้วยตนเองแบบ One-stop service โดยในเว็บไซต์จะบริการข้อมูลหลักสูตรที่เปิดสอนในสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ แบบทดสอบระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษ ซึ่งจะสามารถวัดได้ว่าตนอยู่ในมาตรฐานระดับไหน หรือข้อบกพร่องทางแกรมมาอย่างไร และข้อมูล template แบบฟอร์มภาษาอังกฤษที่สามารถดาวน์โหลดใช้งานได้ ศูนย์พัฒนาฯคือการจัดทำมาตรฐานภาษาอังกฤษสำหรับบุคลากรอาชีพต่างๆ โดยนึงถึงผู้ใช้เป็นสำคัญ เพื่อพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษบุคลากรภายใน 5 ปี และเพื่อความเป็นมาตรฐานในการอบรมภาษาอังกฤษแต่ละหลักสูตร ขณะนี้ทำแล้วเสร็จไป 23 มาตรฐาน เช่น หลักสูตรภาษาอังกฤษสำหรับทันตแพทย์,แพทย์และพยาบาล หลักสูตรภาษาอังกฤษเพื่อประกอบอาหารไทย,ธุรกิจท่องเที่ยว,ภาษาอังกฤษสำหรับพนักงานโรงแรมแผนรักษาความปลอดภัย,ภาษาอังกฤษสำหรับพนักงานขายของที่ระลึกภาษาอังกฤษสำหรับธุรกิจอัญมณีและภาษาอังกฤษสำหรับพนักงานสนามกอล์ฟ โดยจะมอบให้แก่สถาบันการศึกษาของรัฐและเอกชนมากกว่า 100 แห่ง นำไปใช้ในการอบรมฟรีโดยไม่ต้องพัฒนาหลักสูตรขึ้นมาเอง ซึ่งอาจใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรสำหรับอาชีพอื่นและใช้เป็นแนวทางคัดคนเข้าทำงานในองค์กรต่อไป ขณะนี้อยู่ในช่วงการขยายผลสู่การประชาวิจารณ์เพื่อนำมาปฏิบัติได้จริงวันที่ 18 สิงหาคม ศสษ.ยังได้รับความร่วมมือจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) จัดสัมมนา "English @ Work for All" พัฒนาภาษาอังกฤษ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการที่สนใจ 3 ภูมิภาค ได้แก่ ที่กรุงเทพมหานครวันที่ 24 สิงหาคม เชียงใหม่ 26 สิงหาคม และนครราชสีมา 29 สิงหาคม ซึ่งจะอบรมเรื่อง Business Negotiation Skill โดยวิทยากรต่างชาติที่เชี่ยวชาญ หากบริษัทหรือหน่วยงานใดต้องการหลักสูตรภาษาอังกฤษเฉพาะทางสำหรับพัฒนาบุคลากรของบริษัทติดต่อที่ศูนย์พัฒนาความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ โทรศัพท์ 0-2628-5279 (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 12 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





จุฬาฯแชมป์ไซฟ์ประเทศไทย สู่เวทีโลก-ประเทศแคนาดา

การแข่งขัน "2005 SIFE Thailand National Competition" ซึ่งจัดโดยกลุ่มเคพีเอ็มจีภูมิไชย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมมือกับ 5 พันธมิตรภาคธุรกิจ ประกอบด้วย ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ ธนาคารกสิกรไทย บริษัทโออิชิ กรุ๊ป บริษัท เกรียงพัฒน์ จำกัด และบริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด ได้สิ้นสุดลงแล้วเมื่อเร็วๆ นี้ การแข่งขันครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้นิสิตนักศึกษาจาก 4 มหาวิทยาลัยชื่อดัง แข่งขันนำเสนอโครงงานด้านธุรกิจพัฒนาสังคมในระดับอุดมศึกษาเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ทีมที่เข้าแข่งขัน ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประชันแผนงานธุรกิจ เพื่อหาทีมที่จะเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าแข่งขันใน "2005 SIFE World Cup" กับตัวแทนจากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก สำหรับผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศได้แก่ ทีม "จุฬาไซฟ์" (Chulasife) จากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนรางวัลรองชนะเลิศ เป็นทีมนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ทีม "จุฬาไซฟ์" ทั้ง 8 คน จะเดินทางไปแข่งขัน "2005 SIFE World Cup" ซึ่งจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 5-7 ต.ค.นี้ ที่เมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา (ข่าวสด ศุกร์ที่ 12 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





บ้านสมเด็จฯจับมือกับ4มหา"ลัยเมืองจีน

รศ.ดร.สุพล วุฒิเสน อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา (มบส.) เปิดเผยว่า มบส.ลงนามความร่วมมือทางการศึกษาต่อกันกับมหาวิทยาลัยยูนนาน (Yunnan University) มหาวิทยาลัยฉงชิ้ง (Chongqing University) มหาวิทยาลัยวิศวกรรมฮาร์บิน (Harbin University) และมหาวิทยาลัยเทียนจิน (Tianjin University) ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งความร่วมมือทางการศึกษาครั้งนี้ทางมหาวิทยาลัย ได้ตระหนักดีถึงคุณภาพทางการศึกษา มุ่งเน้นการผลิตบัณฑิตคุณภาพเพื่อสนองรับต่อการพัฒนาระบบเศรษฐกิจ สังคม ตามกระแสโลกาภิวัตน์ที่การสื่อสารไร้ขอบเขต รศ.ดร.สุพลกล่าวว่า แต่ละมหาวิทยาลัยที่ตกลงร่วมมือทางวิชาการจะมีความหลากหลาย และแตกต่างกันไป ได้แก่ 1. มหาวิทยาลัยยูนนาน (Yunnan University) จะจัดให้มีการเรียนภาษาจีนที่ มบส. แล้วส่งไปอบรมเข้มที่มหาวิทยาลัยยูนนาน โดยมหาวิทยาลัยจะเปิดเป็นศูนย์อบรมภาษาจีน เปิดสอนระดับปริญญาตรีทางภาษาจีน 2. มหาวิทยาลัยฉงชิ้ง (Chongqing University) เป็นมหาวิทยาลัยที่เน้นหนักในทางวิศวกรรมเครื่องจักรกล และคอมพิวเตอร์ เป็นมหาวิทยาลัยที่อยู่ในโครงการ 211 ของรัฐบาล มีความเพียบพร้อมในหลายด้าน มีโรงแรม โรงพยาบาล ภัตตาคาร เป็นของตนเอง ทาง มบส.เคยส่งอาจารย์โปรแกรมศิลปกรรมเข้าฝึกอบรมระยะสั้น เรื่องการเขียนพู่กันจีนมาแล้ว 3. มหาวิทยาลัยวิศวกรรมฮาร์บิน (Harbin Engineering University) และมบส.ร่วมกันจัดโครงการเปิดสอนหลักสูตร Dual Degree ซึ่งมหาวิทยาลัยวิศวกรรมฮาร์บิน เป็นมหาวิทยาลัยที่เน้นด้านวิศวกรรมต่อเรือ และ 4. มหาวิทยาลัยเทียนจิน (Tianjin Normal University) เป็นมหาวิทยาลัยที่เคยเป็นวิทยาลัยครูมาก่อน มีประวัติความเป็นมาคล้าย มบส.ที่พัฒนามาจากวิทยาลัยครูจนเป็นมหาวิทยาลัยในปัจจุบัน จึงเน้นความร่วมมือทางด้านการได้แก่ โครงการส่งนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพ โครงการส่งอาจารย์เข้ารับการอบรมระยะสั้น และโครงการร่วมมือปริญญาโท และปริญญาเอก ทั้งนี้ มบส.ได้มอบหมายให้ผู้เกี่ยวข้องรับผิดชอบโครงการ หรือกิจกรรมต่างๆ นำไปดำเนินการให้เป็นรูปธรรมสอดคล้องกับการจัดการศึกษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์แก่นักศึกษา บุคลากรทางการศึกษา มหาวิทยาลัย และประเทศชาติ ลวกชนิดใด มีคุณค่าต่อร่างกายมากกว่ากัน (ข่าวสด ศุกร์ที่ 12 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





"มหิดล" โกอินเตอร์ เฟส 2 ปรับทัพใหญ่

ศ.ดร.เลียงชัย ลิ้มล้อมวงศ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดลกล่าวว่า การก้าวสู่การดำเนินการในระยะที่ 2 นั้นจะมุ่งพัฒนาโครงสร้างหลักสูตรและคณาจารย์คุณวุฒิสูง โดยปรับนโยบายในการรับนักศึกษา รวมถึงพัฒนาบรรยากาศและเทคโนโลยีทางการศึกษา เพื่อให้เป็นไปตามเป้าวิสัยทัศน์ที่องค์กรวางไว้นั่นคือการเป็น 1 ใน 10 ของมหาวิทยาลัยด้านการจัดการธุรกิจที่พึงประสงค์ของภูมิภาคเอเชีย ซึ่งต้องมาจากคุณภาพการเรียนการสอน คุณภาพนักศึกษาที่จบผลงานด้านวิจัย การฝึกอบรม และการให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการธุรกิจ โดยในการดำเนินงานระยะที่ 2 ได้เริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2547 โดยลดและตัดทอนงานที่ไม่สอดคล้องกับภารกิจหลักออกไป โดยมีเป้าหมายในการพัฒนา 4 ส่วน ส่วนแรก การพัฒนาอาจารย์ โดยเน้นให้อาจารย์ทำวิจัยอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มอาจารย์ประจำที่มีคุณวุฒิสูงทั้งไทยและต่างชาติ รวมถึงวิทยากรที่มีประสบการณ์ตามความเหมาะสมของลักษณะวิชาที่เปิดสอน ส่วนที่ 2 จะมีการจัดและปรับโครงสร้างของหลักสูตรที่เปิดสอนใหม่ โดยไม่มีการแบ่งแยกหลักสูตรไทยและหลักสูตรนานาชาติ จากเดิมที่มีที่วิทยาลัยการจัดการมี 2 วิทยาเขตแยกจากกันคือ วิทยาเขตที่เปิดสอนเป็นหลักสูตรภาษาอังกฤษ โปรแกรมนานาชาติ และหลักสูตรภาษาไทย "หลักการในการปรับครั้งนี้เราดูที่อนาคตคนเรียน แนวโน้มของโลก รวมไปถึงความพร้อมของอาจารย์" "กลยุทธ์ใหม่ของเรา ประการแรก จะรวมอาจารย์ทั้ง 2 โปรแกรมเข้าด้วยกัน ส่วนใครถนัดแบบไหนก็สอนแบบนั้น ประการที่ 2 หลักสูตรอินเตอร์บางหลักสูตรที่ไม่เหมาะจะเป็นหลักสูตรอินเตอร์ ส่วนบางหลักสูตรที่เหมาะจะเป็นทั้งไทยทั้งอินเตอร์อย่างสาขาการเงินก็จะมีอยู่ในหลักสูตรไทยและอินเตอร์" ส่วนที่ 3 จะปรับนโยบายในการรับสมัคร ซึ่งภายใน 1-2 ปีข้างหน้าจะเริ่มทำการปรับลดจำนวนนักศึกษาลงจากเดิม ที่ทั้งหลักสูตรภาษาไทยและนานาชาติรวมกัน ให้เหลือไม่เกิน 500 คนต่อปี เพื่อสามารถพัฒนาคุณภาพนักศึกษาได้มากขึ้น ส่วนที่ 4 การพัฒนาให้เป็นสถาบันการศึกษาด้านธุรกิจนานาชาติ โดยตั้งเป้ามีนักศึกษาจากประเทศในภูมิภาคเอเชียไม่ต่ำกว่า 40% โดยเริ่มที่จะออกไปให้ทุนการศึกษากับนักศึกษาจากจีน เวียดนาม และอินเดีย จากปัจจุบันมีนักศึกษาและนักศึกษาแลกเปลี่ยนจาก 8 ประเทศ มีสัดส่วนไทย ต่างชาติ 70 : 30 อาจารย์ไทยและต่างชาติ 60 : 40 นอกจากนี้วิทยาลัยยังจะเพิ่มโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษา เพิ่มโครงการ Doubel Degree Program และทำโครงการวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยต่างประเทศอีกด้วย (ประชาชาติธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 11 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/prachachart)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


ระบบรักษาความปลอดภัยไฮเทค

บริษัท วิชั่น แอนด์ ซีเคียวริตี้ ซิสเต็ม (Vision and Security System Co.,Ltd) ได้นำเข้าระบบรักษาความปลอดภัย Smart CCTV System หรือชื่อที่ใช้ทางการค้า Security System ซึ่งเป็นแอพพลิเคชั่นในการตรวจจับสิ่งผิดปกติของอิสราเอล นายสมหมาย ดำเนินเกียรติ กรรมการผู้จัดการบริษัท Vision and Security System Co.,Ltd กล่าวว่า Security System เป็นระบบรักษาความปลอดภัย ที่ใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์ภาพจากสัญญาณภาพของกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (Video Content Analysis) ซึ่งจะแจ้งเตือนตามเงื่อนไขในการตรวจจับที่กำหนดไว้ เช่น ขนาดของวัตถุ คน ทิศทางการเคลื่อนไหว รูปแบบการเคลื่อนที่ ระยะเวลาที่เกิดการเคลื่อนไหวโดย จะแจ้งเตือนเมื่อเกิดความผิดปกติตามที่กำหนดไว้อย่างแม่นยำ Security System ต่างจาก CCTV ทั่วไป เพราะภาพที่ปรากฏในโทรทัศน์ วงจรปิดจะวิเคราะห์และแจ้งเตือนเองโดยอัตโนมัติ ส่วน CCTV ปกติเจ้าหน้าที่ต้องนำวิดีโอมาเปิดดูแล้วสังเกตเอง ระบบรักษาความปลอดภัยดังกล่าวได้รับการติดตั้งเพื่อเฝ้าระวังภัยในสถานที่สำคัญของหลาย ๆ ประเทศแล้ว อาทิ สนามบินแชงกิ ของประเทศสิงคโปร์ สนามบินซิดนีย์ ของประเทศออสเตรเลีย สนามบินไมอามี ของสหรัฐอเมริกา และลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ส่วนประเทศไทยขณะนี้ได้ติดตั้งให้กับการท่าอากาศยาน และสำนักงานตำรวจนครบาลแล้ว (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 8 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ไวรัสเปลี่ยนแนวโจมตีรถยนต์ อาศัยช่องโหว่มือถือเจาะเข้าสมองกลรถ

รายงานข่าวแจ้งว่า บรรดาแฮกเกอร์กำลังหันมาสนใจเขียนโปรแกรมไวรัส เพื่อก่อกวนระบบคอมพิวเตอร์ในรถยนต์ ผ่านทางอุปกรณ์เชื่อมต่อไร้สาย ซึ่งได้รับการติดตั้งมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้ ในการถ่ายโอนข้อมูลทั้งจากเครื่องเล่นเพลงเอ็มพี 3 และโทรศัพท์เคลื่อนที่ นอกจากนี้ โอกาสของไวรัสมือถือที่จะแพร่กระจายไปสู่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ซึ่งเชื่อมต่อกันโดยเทคโนโลยีบลูทูธก็มีความเป็นไปได้สูงเช่นกัน เยฟเจนี คาสเปอร์สกี หัวหน้าหน่วยวิจัยป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์ จากศูนย์วิจัยคาสเปอร์สกี ในรัสเซีย บอกว่า การใช้งานบลูทูธของโทรศัพท์มือถือในรถยนต์จะเป็นช่องโหว่ให้ไวรัสเจาะระบบได้ง่าย และเขาเชื่อว่า ในไม่ช้าแฮกเกอร์จะเห็นช่องโหว่ดังกล่าว และใช้เป็นช่องทางก่อกวนระบบคอมพิวเตอร์ภายในรถยนต์ในที่สุด ไมว่าจะเป็นระบบควบคุม ตั้งแต่ระบบแสดงผล และระบบจ่ายพลังงาน ระบบนำทาง และระบบเชื่อมต่อความบันเทิงภายในรถจะหยุดทำงานทั้งหมด ความวิตกดังกล่าว เป็นผลมาจากการตรวจพบไวรัสคอมพิวเตอร์ตัวแรกที่ชื่อ "คาบีร์ (Cabir)" เป็นโปรแกรมที่เคยทำให้โทรศัพท์มือถือที่ใช้ระบบปฏิบัติการซิมเบียนรวนมาแล้ว โดยอาศัยเทคโนโลยีเชื่อมต่อไร้สาย "บลูทูธ" ปัจจุบันยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับการติดไวรัสในระบบคอมพิวเตอร์รถยนต์ ขณะเดียวกันได้มีการศึกษาหาความเป็นไปได้ที่ไวรัสจะแพร่ระบาดในระบบคอมพิวเตอร์ของรถยนต์ด้วย ด้านผู้ผลิตรถยนต์ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ยังคงมีการตรวจสอบความเป็นไปได้ของการแพร่ระบาดของไวรัสอย่างเต็มที่ (คมชัดลึก จันทร์ที่ 8 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





สัปดาห์วิทย์โชว์"นาโนบับเบิ้ล" ฟองออกซิเจนปลุกสุขภาพปลา

งานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ ประจำปี 2548 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-28 สิงหาคม ที่ศูนย์การแสดงสินค้าอิมแพค เมืองทองธานี ปีนี้ได้เน้นแนวทางแก้ไขปัญหาน้ำมันแพงภายใต้สโลแกน "น้ำมันแพง วิทยาศาสตร์ มีคำตอบ" ส่วนสัญลักษณ์ประจำงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ปีนี้คือ "มิสเตอร์ไบรทแมน" ซึ่งเป็นมนุษย์ที่มีศีรษะเป็นรูปหลอดไฟ และเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม ปีนี้ วท.ได้หยิบยกเรื่องราวเกี่ยวกับนาโนเทคโนโลยีมาจัดแสดงในงานดังกล่าว อย่าง Nano bubble(ฟองอากาศขนาดนาโน) เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถผลิตฟองนาโน ที่มีความเสถียรสูงได้เป็นครั้งแรก โดยสถาบัน IEMT (The Institute for Environment Management Technology) แห่ง AIST (The National Institute of advanced Industrial Science and Technology ร่วมกับ REO institute,Co.,Ltd. จากประเทศญี่ปุ่น Nano bubbles คือฟองก๊าซที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า 1 ไมโครเมตร(1ไมโครเมตรคือ 1 ใน 1,000,000 เมตร) ซึ่งโดยปกติมักจะเกิดขึ้นอย่างชั่วคราวในระหว่างการผลิต micro bubbles แต่จะสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสภาวะไม่เหมาะสม และมีเสถียรภาพต่ำ จากความร่วมมือของ 2 สถาบันดังกล่าว ทำให้สามารถผลิตฟองอากาศนาโนที่มีเสถียรภาพสูงได้สำเร็จ โดยการทำให้ micro bubbles แตกออกในน้ำที่ประกอบด้วยไอออนที่นำไฟฟ้า โดยกระบวนการในการทำให้ micro bubbles แตกตัวออกนั้น ไอออนในสารละลายจะต้องมีความเข้มข้นสูง อาจเป็นไปได้ว่าความเข้มข้นสูงของไอออน ช่วยเป็นเปลือกหุ้ม ป้องกันไม่ให้อากาศภายในฟองอากาศระเหยไปอย่างรวดเร็ว เป็นผลให้แหล่งน้ำเหล่านี้กลับมาสะอาดอีกครั้ง น้ำที่มีฟองโอโซนขนาดนาโน สามารถนำไปใช้ในการฆ่าเชื้อการแพทย์หรือในกระบวนการผลิตอาหาร และการทำปศุสัตว์ ที่สำคัญยังพบว่าสามารถทำให้ปลาน้ำจืดอยู่ร่วมกับปลาน้ำเค็มได้ประมาณ 6 เดือน หรือนานกว่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังพบว่าเมื่อนำปลาทั้งหมดที่อ่อนแอลงกลับมาอยู่ในสภาวะที่เหมาะสม และมีฟองออกซิเจนขนาดนาโนความเข้มข้นประมาณ ร้อยละ 1 ก็สามารถทำให้ปลากลับมามีสุขภาพดีได้ อย่างรวดเร็ว (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 8 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





หนุนไทยทำชิพข้อมูลไร้สายเองขืนชักช้าตกเป็นทาสเทคโนโลยีต่างชาติ

ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์หนุนอุตสาหกรรมชิพไร้สายเต็มตัว พร้อมผลักดันให้รัฐบาลตั้งโรงงานผลิตชิพในไทย หวังตั้งไข่ให้ได้ภายใน 2-3 ปีนี้ แนะผู้ประกอบการไทยให้เตรียมพร้อมเป็นผู้ผลิต ไม่อย่างนั้นต้องซื้อเทคโนโลยีต่างชาติมาบริโภคเหมือนโทรศัพท์มือถือ ดร.อิทธิ ฤทธาภรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ทีเมค) สังกัดศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เปิดเผยว่า ขณะนี้เนคเทคกำลังผลักดันเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดีที่อาศัยคลื่นวิทยุส่งผ่านข้อมูล ให้แจ้งเกิดภายใต้คอนเซ็ปต์ "แคตส์" (CATS) โดย "ซี" แรก ย่อมาจาก "ชิพ" เน้นการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้ออกแบบและผลิตชิพด้วยตัวเอง ขณะที่ "เอ" หมายถึง "แอพพลิเคชั่น" คือการพัฒนารูปแบบการใช้งานเพื่อเอาอาร์เอฟไอดีไปใช้ ส่วน "ที" หมายถึง "เทอร์มินัล" หรือเครื่องอ่าน ซึ่งปัจจุบันเนคเทคเอง และผู้ประกอบการไทยหลายรายสามารถผลิตได้เองใน 2 คลื่นความถี่ ได้แก่ 125 กิโลเฮิรตซ์ และ 13.56 เมกะเฮิรตซ์ และสุดท้าย "เอส" ย่อมาจากคำว่า โซลูชั่น หรือการนำระบบที่เกี่ยวข้องกับอาร์เอฟไอดีมารวมกันเพื่อนำไปใช้งานจริง ไม่ว่าจะเป็นฐานข้อมูล ป้ายอิเล็กทรอนิกส์ ที่เรียกว่า เครื่องอ่าน และเครือข่ายสื่อสาร โดยเนคเทคต้องการให้บริษัทไทยสามารถทำโซลูชั่นอาร์เอฟไอดีป้อนให้กับลูกค้าในประเทศให้ได้ "จริงๆ แล้วตอนนี้เอกชนไทยสามารถออกแบบชิพระดับ 125 กิโลเฮิตรซ์ได้แล้ว แต่ยังต้องส่งไปผลิตที่สิงคโปร์ ดังนั้นงานหลักของเนคเทคในตอนนี้ คือการผลักดันให้รัฐบาลเข้าใจว่า การที่อุตสาหกรรมนี้เกิดได้ ต้องสนับสนุนให้เกิดโรงงานผลิตชิพในประเทศให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทต่างชาติหรือไทยเองก็ตาม เพราะนี่เป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำที่แท้จริง" ดร.อิทธิ กล่าว นอกจากนี้ ดร.อิทธิ ยังเห็นว่าการใช้งานอาร์เอฟไอดีจะเริ่มเห็นอย่างชัดเจนพร้อมกันทั่วโลก ในอีก 2-3 ปีนี้ เนื่องจากแนวโน้มที่อาร์เอฟไอดีจะเข้ามาแทนที่บาร์โค้ดต้องเกิดขึ้นแน่นอน แต่ถ้าไทยยังผลิตอะไรเองไม่ได้ ผู้บริโภคก็ต้องซื้อของต่าง ทั้งนี้ เทคโนโลยีอาร์เอฟไอดียังถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนไทย ผู้สนใจสามารถชมการสาธิตรูปแบบการใช้งานกับ "ร้านค้าอนาคต" ได้ในงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2548 วันที่ 23-28 สิงหาคม นี้ ณ ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพ็ค เมืองทองธานี (คมชัดลึก อังคารที่ 9 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





"ยุโรป"ผวาโครงการ "ห้องทดลองอวกาศ"ล่ม

ความบกพร่อง-ปฏิบัติการที่ผิดพลาดของ "กระสวยอวกาศ" สหรัฐอเมริกา ส่งผลกระทบต่อโครงการก่อสร้างสถานีอวกาศนานาชาติ (ไอเอสเอส) อย่างแน่นอนในฐานะที่สหรัฐเป็นโต้โผใหญ่ นับตั้งแต่เกิดโศกนาฎกรรมกระสวยอวกาศโคลัมเบียระเบิด กระทั่งเหตุการณ์สดๆ ร้อนๆ ชิ้นส่วนฉนวนกันความร้อนของยานดิสคัฟเวอรี่หลุดขณะทะยานออกนอกโลก ทำให้รัฐบาลสหรัฐมองว่าอาจต้องปลดระวางกระสวยอวกาศภายใน 5 ปีข้างหน้าหรือเร็วกว่านั้น หนึ่งในโครงการที่จะต้องได้รับผลกระทบเต็มๆ ถ้าสหรัฐตัดสินใจเช่นนั้นก็คือ โครงการสร้างห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ "โคลัมบัส" ของสำนักงานอวกาศยุโรป (อีเอสเอ) ซึ่งมีมูลค่าสูงหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ปัญหาใหญ่ๆ ของห้องทดลองโคลัมบัส ได้แก่ การที่มันออกแบบขึ้นมาเพื่อบรรทุกขึ้นไปกับกระสวยอวกาศโดยเฉพาะ ดังนั้นถ้ากระสวยอวกาศออกนอกโลกไม่ได้ อนาคตของโครงการนี้ก็คงระส่ำมากพอดู และยิ่งถ้าแผนส่งห้องทดลองล่าช้าไปเท่าไหร่ ต้นทุนค่าดูแลรักษาก็เพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น โดยขณะนี้ "อีเอสเอส" ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายไปแล้ว 14,000 ล้านบาท ฝ่าย "อีเอสเอ" จึงตั้งความหวังว่าสำนักงานอวกาศสหรัฐ (นาซ่า) จะสามารถส่งห้องทดลองโคลัมบัสออกไปติดตั้งกับไอเอสเอสได้ภายในปีหน้า หรือ อย่างช้าที่สุดก็ไม่ควรเกินปี 2550 แต่ถ้าทำไม่ได้จริงๆ "อีเอสเอ" ก็เริ่มประชุมวางแผนหาทางเลือกอื่นๆ ในการส่งห้องทดลองอยู่เช่นกัน (ข่าวสด อังคารที่ 9 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





'ดิสคัฟเวอรี่' กลับสู่โลกปลอดภัย

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจาก ฐานทัพอากาศเอ็ดเวิร์ด รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 9 ส.ค. ว่า ยานขนส่งอวกาศดิสคัฟเวอรี่ของสหรัฐ พร้อมด้วยลูกเรือทั้ง 7 คน นำโดยนักบินอวกาศหญิงไอลีน คอลลินส์ ผู้บังคับการยาน ซึ่งเดินทางขึ้นไปปฏิบัติภารกิจบนสถานีอวกาศนานาชาติเป็นเวลา 14 วัน ได้เดินทางกลับสู่พื้นโลกแล้วโดยปลอดภัย โดยยานซึ่งเดินทางกลับก่อนกำหนด 1 ชั่วโมง ร่อนลงที่ฐานทัพอากาศเอ็ดเวิร์ด ในเขตทะเลทรายโมฮาเว่ของรัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อเวลา 05.11 น. ช่วงรุ่งสางของวันอังคารตามเวลาในท้องถิ่น หรือตรงกับเวลา 19.11 น. ที่ประเทศไทย ทันทีที่ยานลงจอดนิ่งบนรันเวย์ ศูนย์ควบคุมภารกิจที่องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ นาซ่า ยานดิสคัฟเวอรี่ออกเดินทางจากโลกเมื่อวันที่ 26 ก.ค. ตลอดภารกิจ 14 วันบนอวกาศยานโคจรรอบโลก 219 รอบ รวมระยะทาง 5.8 ล้านไมล์ เดิมทียานดิสคัฟเวอรี่กำหนดจะร่อนลงที่แหลมคานาเวอรัล ในรัฐฟลอริดา แต่องค์การนาซ่าได้เปลี่ยนจุดลง เนื่องสภาพอากาศไม่อำนวย ท้องฟ้ามีพายุฝนฟ้าคะนองและฝนตกหนักเหนือศูนย์อวกาศเคนเนดี้ ซึ่งการเปลี่ยนจุดลงทำให้นาซ่าต้องเสียเงินเพิ่มอีกประมาณ 1 ล้านดอลลาร์ จากค่าใช้จ่ายในการลำเลียงยานจากแคลิฟอร์เนียซึ่งอยู่ฝั่งตะวันตก กลับไปยังรัฐฟลอริดาทางฝั่งตะวันออกของประเทศ ภารกิจเที่ยวนี้นับเป็นครั้งแรก หลังเกิดโศกนาฎกรรมยานขนส่งอวกาศโคลัมเบียเกิดการระเบิดกลางอากาศ ขณะกลับคืนสู่ชั้นบรรยากาศของโลก เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2546 องค์การนาซ่าแสดงความชื่นชมต่อความสำเร็จโดยสมบูรณ์ของภารกิจครั้งนี้ แม้ว่าจะเกิดปัญหาขัดข้องแผ่นโฟมฉนวนกันความร้อน หลุดปลิวออกจากผนังด้านนอกของถังเชื้อเพลิงของยานหลังพุ่งขึ้นจากฐานปล่อยได้ไม่นาน ซึ่งเป็นปัญหาเดียวกันกับที่เคยขึ้นกับยานโคลัมเบีย (เดลินิวส์ พุธที่ 10 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ซีเกทเตรียมเปิดตัวฮาร์ดดิสก์จุ 500กิกะไบต์

ฮาร์ดดิสก์บาร์ราคูดาของซีเกท ยอดขายมากกว่า 150 ล้านตัว ซีเกทเตรียมเปิดตัวฮาร์ดดิสก์รุ่น 9 จุ 500 กิกะไบต์ ความเร็วในการส่งผ่านข้อมูล 3 กิกะบิตต่อวินาที เหมาะกับการใช้งานเกมและบันเทิงบนเครื่องพีซี ข่าวจากบริษัทซีเกท แจ้งว่า หลังจากเปิดตัวฮาร์ดดิสก์ตระกูลบาร์ราคูดา 7200 RPM สำหรับคอมพิวเตอร์พีซี จนถึงปัจจุบันได้จำหน่ายไปแล้วกว่า 150 ล้านตัว และล่าสุดซีเกทเตรียมเปิดตัวบาร์ราคูดา 7200.9 หรือฮาร์ดดิสก์รุ่นที่ 9 ที่มีความจุ 500 กิกะไบต์ ความเร็วในการส่งผ่านข้อมูล 3 กิกะบิตต่อวินาที ช่วยเพิ่มสมรรถนะและทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์พีซีมีความเสถียรมากขึ้น ยังเหมาะกับเครื่องเวิร์คสเตชั่นประสิทธิภาพสูงสำหรับงานด้านวิดีโอดิจิทัล พีซีบันเทิง เกมและเครื่องเซิร์ฟเวอร์ราคาถูก สำหรับฮาร์ดดิสก์บาร์ราคูดา ถูกกำหนดให้เป็นมาตร ฐานของฮาร์ดดิสก์สำหรับพีซี เป็นฮาร์ด ดิสก์ที่มีความจุ 40-500 กิกะไบต์ ทำงานได้เทียบเท่าความเร็วขนาด 10,000 RPM ทำให้มอ เตอร์เงียบ การส่งผ่านข้อมูลผ่านสาย SATA และเทคโนโลยี NCQ ทำให้ช่วยยืดอายุการใช้งานของ ฮาร์ดดิสก์ (เดลินิวส์ พุธที่ 10 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





‘เล็บมือ’ สื่อบันทึกข้อมูลแบบใหม่

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Tokushima และมหาวิทยาลัย Hokkaido ได้สาธิตเทคโนโลยีใหม่ที่สามารถนำไปใช้ในการพิสูจน์บุคคลเช่นเดียวกับข้อมูลทางชีวภาพอื่น ๆ โดยที่ข้อมูลนั้นถูกเก็บไว้บนอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายเรา นั่นก็คือ “เล็บมือ” นั่นเอง ข้อมูลต่าง ๆ จะถูกบันทึกลงบนเล็บมือของเราโดยการฉายลำแสงเลเซอร์ความถี่สูงมาก ๆ ลงบนเล็บมือ โดยที่ลำแสงเลเซอร์จะเป็นลำแสงเล็ก ๆ เพื่อใช้สร้างจุดที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางในระดับไมครอน (1 ในล้านส่วนของเมตร) ซึ่งเลเซอร์ที่ตกกระทบลงบนนิ้วมือจะเกิดปฏิกิริยาทำให้โมเลกุลของโปรตีน “เคราติน” ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของเล็บมือเราเปลี่ยนโครงสร้างและคุณสมบัติไปในที่สุด จุดเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อโครงสร้างของเคราติน เปลี่ยนไปจะมีความกว้างเพียง 3 ไมครอนและลึกเพียง 20 ไมครอน โดยที่แต่ละจุดจะอยู่ห่างกันประมาณ 5 ไมครอน คุณสมบัติที่เปลี่ยนไปบริเวณดังกล่าวก็คือบริเวณนั้นจะมีอัตราการดูดซับและปล่อยแสงไม่เท่ากับพื้นที่บริเวณข้างเคียงในส่วนที่ไม่โดนลำแสงเลเซอร์ นั่นทำให้จุดดังกล่าวสามารถมองเห็นได้ภายใต้แสงสีน้ำเงินภายใต้กล้องไมโคร สโคป ซึ่งลำแสงเลเซอร์สามารถบันทึกข้อมูลซึ่งอาจเป็นอักขระในภาษาต่าง ๆ ลงบนเล็บมือได้หลายชั้นด้วยกัน จากผลการทดลอง พื้นที่ที่มีความกว้าง 5 มิลลิเมตร ยาว 5 มิลลิเมตร และลึก 1 ในสิบของมิลลิเมตร (100) ไมครอน สามารถบรรจุข้อมูลได้ราว 5 เมกะบิต หรือคิดเป็นข้อมูลตัวหนังสือได้ราว 300 หน้า ซึ่งถ้ามีการบันทึกลงทั้งสิบเล็บมือก็จะคิดเป็นปริมาณข้อมูลราว 1 ในร้อยของความจุคอมแพ็คดิสก์เลยทีเดียว จากการสาธิต นักวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าข้อมูลที่ได้รับการบันทึกลงบนเล็บมือยังคงสามารถอ่านได้แม้ว่าเวลาจะผ่านไปกว่า 170 วัน ซึ่งก็เป็นเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากเล็บมือของคนเราจะยาวขึ้นเรื่อย ๆ และส่วนที่โดนบันทึกข้อมูลก็น่าจะโดนตัดออกไปตามปกติเมื่อเวลาผ่านไปราว 6 เดือน อย่างไรก็ดี นักวิจัยยังคงต้องหาวิธีที่เสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าปัจจุบันนี้ในการบันทึกข้อมูลลงบนเล็บมือ รวมทั้งเทคนิคที่จะช่วยให้การฉายลำแสงเลเซอร์มีความถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น เพราะอย่าลืมว่ามือเป็นอวัยวะที่มักไม่อยู่นิ่ง (มือผู้ชาย ?) และการขยับเพียงเล็กน้อยก็ส่งผลถึงคุณภาพของข้อมูลที่ถูกบันทึกลงไปด้วยเช่นกัน (เดลินิวส์ พุธที่ 10 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





เผยงานกระทรวงไอซีทีเอ็กซ์โปปีหน้าจัดยิ่งใหญ่

นายไกรสร พรสุธี ปลัดกระทรวงเทคโน โลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ให้สัมภาษณ์ถึงผลสรุปการจัดงานบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล ไอซีที เอ็กซโป 2005 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-7 สิงหาคม 2548 ที่ผ่านมา ณ เมืองทองธานี ปรากฏว่า ประสบความสำเร็จทั้งจำนวนผู้เข้าชมงานซึ่งมีมากกว่า 300,000 คน และมีผู้ประกอบการจากทั้งในและต่างประเทศร่วมงานกว่า 300 ราย ปลัดกระทรวงไอซีที กล่าวว่า วัตถุประสงค์หลักของการจัดงาน ต้องการให้ผู้ประกอบการธุรกิจไอซีทีของไทย โดยเฉพาะเอสเอ็มอี ได้มีโอกาสเพิ่มช่องทางการเจรจาธุรกิจลักษณะ B2B ซึ่งในระหว่างการจัดงานได้มีการเจรจาเชื่อมโยงธุรกิจของผู้ประกอบการจากบริษัททั้งในประเทศและต่างประเทศ จำนวน 28 คู่ จากทั้งหมด 37 บริษัท และมีพิธีลงนามความร่วมมือเป็นพันธมิตรระหว่างผู้ผลิตซอฟต์แวร์ของไทยและบังกลาเทศด้วย ส่วนการประชุมนานาชาติ ขององค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียแปซิฟิค หรือ APT และสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) ก็มีนักวิชาการจากทั่วโลกมาร่วมสัมมนากว่า 200 คน เสนอผลงานวิชาการ 45 เรื่อง ในจำนวนนี้เป็นผลงานจากต่างประเทศ 16 เรื่อง ปลัดกระทรวงไอซีที เปิดเผยด้วยว่า ได้วางแผนเตรียมการจัดงานไอซีทีเอ็กซโป ปี 2006 ไว้แล้ว โดยใช้พื้นที่อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี ซึ่งเป็นอาคารหลังใหม่ มีพื้นที่จัดงานมากถึง 60,000 ตารางเมตร กำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 2-6 สิงหาคม 2549 กระทรวงไอซีทีจะเริ่มโรดโชว์เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป. (เดลินิวส์ พุธที่ 10 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





หวั่นหลังปี 2550 คอมพิวเตอร์ป่วน เหตุสหรัฐปรับเวลาราชการเร็วขึ้นหนึ่งชั่วโมง

ผู้ใช้อุปกรณ์ไฮเทคที่มีระบบเก็บตัวเลขเวลาเกิดความหวั่นวิตกกันอีกครั้งว่า หลังจากปี 2550 แล้ว ระบบจดจำตัวเลขวันเดือนปีของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิสก์จะปั่นป่วนวุ่นวาย เนื่องจากสหรัฐเตรียมประกาศกฎหมายใหม่เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน โดยขยับเวลากลางวันให้เร็วขึ้นจากปกติ 1 ชั่วโมง ล่าสุด สหรัฐเตรียมประกาศใช้กฎหมายพลังงานใน ค.ศ.2007 (ปี 2550) โดยจะปรับเวลาราชการเร็วขึ้นจากเดิม 1 ชั่วโมง ทำให้ผู้บริโภคกังวลว่าระบบการทำงานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีหน่วยความจำเกี่ยวกับเวลาจะทำงานผิดปกติ เช่น เครื่องบันทึกวิดีโอ หรือดีวีดี รวมถึงซอฟต์แวร์ปฏิทินนัดหมายที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ และการคิดค่าบริการของผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากระบบบันทึกเวลาทำงานเป็นระบบอัตโนมัติ เครื่องบันทึกวิดีโอและดีวีดีรุ่นใหม่ จะมีปฏิทินในตัวที่สามารถปรับเวลาได้เองโดยอัตโนมัติ แต่หากมีการใช้กฎหมายนั้นจริง ผู้ใช้ก็สามารถควบคุมระบบปฏิทินได้ด้วยตัวเอง เพื่อจะได้มั่นใจได้ว่าระบบสามารถบันทึกรายการทีวีได้อย่างต่อเนื่องและถูกต้อง ส่วนคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ของไมโครซอฟท์ ผู้ใช้อาจต้องปรับเวลาใหม่ด้วย โดยเฉพาะในส่วนของระบบปฏิทินที่ใช้ในการนัดหมายต่างๆ ด้านอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ก็กำลังดูเตรียมความพร้อมเช่นกัน เพราะพวกเขาต้องมั่นใจว่าเวลาถูกต้อง จะได้ปรับมาใช้ร่วมในการคิดค่าบริการของโปรโมชั่นได้อย่างถูกต้อง ส่วนนาฬิกาดิจิทัลในมือถือนั้น ปกติจะเชื่อมต่อกับเครือข่ายนาฬิกาของผู้ให้บริการมือถืออยู่แล้ว ขณะที่ระบบปฏิบัติการทั้งจากค่ายไมโครซอฟท์ บริษัท แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ อิงค์. และบริษัท ซิสโก ซิสเต็ม อิงค์. ต่างก็มีระบบตรวจสอบและปรับปรุงตัวเองผ่านแม่ข่ายหลักของตนทางอินเทอร์เน็ตเป็นระยะๆ อยู่แล้ว จึงไม่น่าเป็นห่วงอะไร (คมชัดลึก พุธที่ 10 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





สหรัฐเริ่มใช้อี-พาสปอร์ตปลายปีนี้

กระทรวงต่างประเทศสหรัฐเผยว่า สหรัฐจะเริ่มใช้หนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ อี-พาสปอร์ตในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อคุมเข้มการรักษาความปลอดภัยบริเวณชายแดนและบุคคล หนังสือเดินทางแบบใหม่นี้จะมีการฝังชิพไว้บนปกของหนังสือเดินทางและจะบันทึกข้อมูลเหมือนกับที่บันทึกอยู่ด้านใน เช่น ชื่อ วันเดือนปีเกิด เพศ สถานที่เกิด วันออกและวันหมดอายุของหนังสือเดินทาง เลขหนังสือเดินทาง และรูปถ่าย ชิพดังกล่าวยังมีลายเซ็นดิจิตอลที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการเข้าไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อมูลด้วย นายทอม ริดจ์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงภายในของสหรัฐให้ข้อแสนอแนะว่า ควรนำเทคโนโลยีพิมพ์ลายนิ้วมือมาใช้ด้วย แต่อี-พาสปอร์ต ที่กำลังจะเริ่มใช้นี้จะไม่มีเทคโนโลยีนี้ สหรัฐกำหนดให้หน่วยงานออกหนังสือเดินทางของสหรัฐทั้งหมดจะต้องออกหนังสือเดินทางแบบนี้ภายในเดือนตุลาคมปีหน้า (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 10 ส.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





วช.สัมมนาถนอมเครื่องมือวิทย์

เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ศ.ดร.อานนท์ บุณยะรัตเวช เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เป็นประธานแถลงการจัดสัมมนาทางวิชาการการใช้และดูแลเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อนราคาแพง ร่วมกับ ศ.นพ.ยงยุทธ วัชรดุล ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์และประธานเครือข่ายสหวิทยาการแห่งราชบัณฑิตยสถาน และนางจินตนา พันธุฟัก เลขาธิการราชบัณฑิตยสถาน ศ.นพ.ยงยุทธกล่าวว่า ในโอกาสที่ราชบัณฑิตยสถานครบรอบ 70 ปี จึงได้จัดการสัมมนาหัวข้อเครือข่ายสหวิทยาการแห่งราชบัณฑิตยสถาน เพื่อความร่วมมือในการประสานด้านสหวิทยาการ ระหว่างวันที่ 17-18 สิงหาคม ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี จะเสด็จเป็นองค์ประธานเปิดการสัมมนา เวลา 16.00-17.00 น. และทรงบรรยายพิเศษเรื่อง เครื่องมือวิทยาศาสตร์กับงานวิจัย พร้อมทั้งเสด็จเปิดและทอดพระเนตรนิทรรศการภายในงาน ศ.นพ.ยงยุทธกล่าวว่า ปัญหาของนักวิทยาศาสตร์ไทย คือ ขาดผู้เชี่ยวชาญในการดูแลรักษาหรือการให้คำปรึกษาการใช้เครื่องมือที่ทันสมัยมีราคาแพงในการวิจัย จึงจะขอความร่วมมือผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคจากสาขาวิศวกรรมมาช่วยดูแล รวมทั้งซ่อมแซมเครื่องมือวิทยาศาสตร์ราคาแพงที่ชำรุด ในลักษณะไทยช่วยไทย เป็นการช่วยชาติประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาดูแลรักษา (มติชนรายวัน พุธที่ 10 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ประวิช รัตนเพียร สั่งแผนใช้"วิทยาศาสตร์นำสังคม"

นายประวิช รัตนเพียร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคนใหม่ ในคณะรัฐมนตรี "ทักษิณ 2/2" ประกาศนโยบาย "นำวิทยาศาสตร์พัฒนาสังคม" กล่าวถึงนโยบายในวันรับมอบตำแหน่งว่า "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้เข้ามาดูแลเกี่ยวกับการใช้วิทยาศาสตร์ เพื่อพัฒนาการแข่งขันในสังคม เพราะวิทยาศาสตร์เป็นพื้นฐานของการดำรงชีวิต เราสามารถใช้วิทยาศาสตร์พัฒนาสิ่งต่างๆ ได้ เช่น การผลิตไบโอดีเซล การพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตและพัฒนาเพื่อการค้า โดยจะนำความสามารถด้านการค้าที่ตนเองถนัดมายกระดับวงการวิทยาศาสตร์ของประเทศไทย เพื่อพัฒนาเป็นสินค้า และนำรายได้เข้าประเทศ" (มติชนรายวัน พุธที่ 10 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





มือถือที่เล็กที่สุดในโลก

NEC N930 นอกจากจะเป็นโทรศัพท์มือถือที่มีขนาดเล็กมากๆ แล้ว มันยังมีฟังก์ชันที่น่าสนใจมากมายไม่ว่าจะเป็น Bluetooth, GPRS และหน้าจอระบบสัมผัส (จอ TFT สว่างสดใส ชัดเจนทุกมุมมอง, 176 x 220 พิกเซล แสดงผลได้ 65,000 สี) ด้วยขนาดที่เล็กจนน่าตกใจ (85.5 x 54 x 11.9 ม.ม.) และมีน้ำหนักเพียง 72 กรัม พูดต่อเนื่องได้นาน 2 ชั่วโมง แสตนด์บายได้ 100 ชั่วโมง มือถือรุ่นนี้มีกล้องดิจิตอล VGA (ความละเอียด 640 x 480 พิกเซล) สามารถบันทึกวิดีโอ ราคา 400 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณหนึ่งหมื่นหกพันบาท) (สยามรัฐรายวัน พฤฆัสบดีที่ 11 ส.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ความลับในไม้เลน

ป่าชายเลนเป็นแหล่งอาหารที่มีแร่ธาตุอาหารอุดมสมบูรณ์ มีห่วงโซ่อาหารและการหมุนเวียนของธาตุอาหารสลับซับซ้อน การดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตในป่าชายเลนทั้งพืชและสัตว์ล้วนแต่น่าอัศจรรย์ใจ เพราะสามารถปรับตัวเองให้อยู่ในสภาพ ทั้งมีน้ำและไร้น้ำ เรียกปรากฏการณ์ธรรมชาตินี้ว่า น้ำขึ้นน้ำลง ดังนั้นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในที่นี้จึงต้องปรับตัวมากพอตัว ดังเช่นหอยบางชนิดจะไต่ขึ้นไปเกาะตาม ต้นไม้ ในขณะที่น้ำกำลังขึ้น ปลาตีนจะมีอวัยวะพิเศษ เพื่อเก็บน้ำไว้บริเวณโพรงเหนือเหงือก เพื่อให้ สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ทั้งในสภาพน้ำขึ้นและน้ำลง ส่วนพืชในป่าชายเลนก็เช่นกัน มีการปรับตัวให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในสภาพที่มีความเค็มสูง โดยการสร้างต่อมขับเกลือไว้ที่บริเวณใบ ให้มีหน้าที่ควบคุมระดับความเข้มข้นของเกลือในพืช พิสูจน์ได้ด้วยการลองใช้ลิ้นแตะชิมด้านล่างของใบแสม จะพบว่ามีความเค็มไม่ต่างจากเกลือ ตามลำต้นของต้นไม้หลายชนิดในป่าชายเลน จะมีตุ่มหรือจุดสีน้ำตาล หรือบางชนิดเป็นจุดสีขาว ๆ กระจายทั่วไป ซึ่งเรียกว่า “เลนติเซล”(Lenticel) ทำหน้าที่ในการหายใจ เป็นกระบวนการในการปรับตัวเองให้สามารถดำรงชีพอยู่ในสภาวะที่มีน้ำท่วมขัง นอกจากนี้พรรณไม้ในป่าชายเลนส่วนมากจะมีผิวใบที่มีความหนา เป็นมัน และมีปากใบที่ด้านล่าง มีหน้าที่สำหรับป้องกันการระเหยของน้ำ อย่างใบโกงกาง เป็นต้น สิ่งพิเศษของใบไม้ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ให้ดำรงอยู่ได้ในป่าชายเลน คือเรื่องของ “ใบ” ใบของต้นโกงกางและไม้ถั่วเป็นลักษณะใบอวบน้ำ เพื่อเก็บรักษาน้ำไว้เลี้ยงลำต้นยามที่น้ำลด ชาวประมงจะใช้ใบของต้นไม้ป่าชายเลน เช่นใบของโกงกาง ห่อหรือรองสาหร่ายทะเลที่ใช้เป็นอาหารเพื่อไม่ให้เซลล์ของสาหร่ายแตก นั่นเป็นเพราะใบไม้เหล่านี้มีระดับความเค็มอยู่ในใบใกล้เคียงกับความเค็มในน้ำทะเล นั่นเอง. (เดลินิวส์ อาทิตย์ที่ 14 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ดาวเทียม"ไทยคม4" เข้าสู่วงโคจรสำเร็จ แรงส่งเน็ตพุ่ง20เท่า

เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ที่สถานีดาวเทียมไทยคม ถนนรัตนาธิเบศร์ บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) ได้ถ่ายทอดสดสัญญาณภาพการส่งดาวเทียมไทยคม 4 หรือ "ไอพีสตาร์" ขึ้นสู่วงโคจรจากศูนย์อวกาศอานา เมืองคูรู เมืองเฟรนช์กิอานา ของประเทศฝรั่งเศส ในทวีปอเมริกาใต้ โดยมีผู้เข้าร่วมชมประมาณ 500 คน มีนายสรอรรถ กลิ่นประทุม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) เป็นประธาน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ไอพีสตาร์กำหนดส่งขึ้นอวกาศด้วยจรวดแอเลียน 5 จี ของบริษัท แอเลียน สเปซ ในเวลา 03.39 น. ตามเวลาท้องถิ่น ตรงกับเวลา 13.39 น.ตามเวลาประเทศไทย ระหว่างการนับถอยหลังเตรียมปล่อยจรวดใน 15 วินาที สุดท้ายเกิดข้อขัดข้องทางเทคนิคบริเวณฐานยิงจรวดทำให้การยิงล่าช้าจากกำหนดเดิมเกือบสองชั่วโมง และเริ่มนับถอยหลังครั้งใหม่ ส่งไอพีสตาร์ขึ้นสู่อากาศได้ในเวลา 15.20 น. นายบุญคลี ปลั่งศิริ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไอพีสตาร์เป็นดาวเทียมบรอดแบนด์ดวงแรกของโลก เป็นดาวเทียมระบบใหม่ที่ใช้ในการรับส่งสัญญาณอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในรูปแบบอินเตอร์เน็ตโปรโตคอลหรือไอพี มีขีดความสามารถในการรับส่งสัญญาณเพิ่มขึ้นจากระบบเดิมถึง 20 เท่า สามารถลดต้นทุนของระบบสื่อสารผ่านดาวเทียมลงได้ประมาณ 10 เท่า ทำให้ผู้ใช้ดาวเทียมมีต้นทุนถูกลงกว่าเดิม ไอพีสตาร์มีพื้นที่บริการครอบคลุม 14 ประเทศ ในเอเชียแปซิฟิก เข้าถึงประชากรกว่า 2,000 ล้านคน เมื่อไอพีสตาร์เริ่มให้บริการได้ คาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุนได้ภายในเวลา 2 ปี หรือคิดเป็นปริมาณการใช้ 30-35% ของความสามารถในการรองรับของดาวเทียมได้ ไอพีสตาร์จะอยู่ภายใต้สัญญาสัมปทานของไอซีที ซึ่งยังเหลือระยะเวลาสัมปทานอีกประมาณ 20 ปี เมื่อเริ่มดำเนินการ ทางไอพีสตาร์จะจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้กับไอซีที 15.5% ของรายได้ตามสัญญา ที่ผ่านมาบริษัท ชินแซทฯจ่ายส่วนแบ่งรายได้ประมาณ 600-700 ล้านบาทต่อปี ไอพีสตาร์จะมีลูกค้าในประเทศไทยประมาณ 10% นายดำรงกล่าวด้วยว่า จากการยิงดาวเทียมไอพีสตาร์ ผู้ใช้บริการในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะได้รับบริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงถึง 4 ล้านจุด ทุกตารางเมตรของภูมิภาคในอัตราค่าบริการประมาณ 50 เหรียญสหรัฐต่อเดือน ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือจะสามารถขยายเครือข่ายไปชนบทได้ คิดค่าบริการในอัตรา 2 เหรียญสหรัฐต่อเดือนต่อคน โรงเรียน สถานที่ราชการและบริษัทเอกชนจะมีเครือข่ายของตนเองที่สามารถส่งสัญญาณภาพ เสียง และข้อมูลได้พร้อมๆ กัน และสถานีโทรทัศน์สามารถรับข่าวได้จากทั่วทุกมุมของทวีปภายใน 30 นาที ของเหตุการณ์ด่วน สำหรับโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงิน ได้แก่ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งสหรัฐอเมริกา(ยูเอส เอ็กซิม), COSACE, ซิตี้คอร์ป, บีเอ็นพี-พาริบัส, ธนาคารไทยพาณิชย์, ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารกรุงไทย, Korea Exchange Bank, ธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ, แบงก์ ออฟ ไชน่า และแบงก์ ออฟ โตเกียว (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 12 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ข่าววิจัย/พัฒนา


ในหลวงพระราชทานสูตรปฏิบัติการฝนหลวง

เมื่อวันที่ 7 ส.ค.48 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในวันที่ 8 ส.ค.นี้ จะแถลงแผนปฏิบัติการฝนหลวงตามแนวพระราชโชบายที่ทรงมีพระกระแสดำรัสให้ปฏิบัติการฝนหลวงต่อเนื่องตลอดปี49 เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง และทรงพระราชทานพระราชโชบายเทคนิคการทำฝนหลวงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะต้องอาศัยความพยายามอุตสาหวิริยะของนักบินฝนหลวงเป็นหลัก ในการปฏิบัติการแต่ละครั้ง เพราะจะต้องให้ได้ประสิทธิผลตามเป้าหมายที่กำหนด โดยเฉพาะบริเวณเหนือเขื่อนทั่วประเทศ พื้นที่ภาคตะวันออกที่มีสภาพอากาศ มีลมทะเล และพื้นที่เป็นภูเขาเป็นอุปสรรค ซึ่งยากต่อการปฏิบัติการฝนหลวง ในหลวงจึงได้พระราชทานเทคนิคการบังคับเมฆ การจูงเมฆ และการกดเมฆในระหว่างการเข้าเฝ้าถวายรายงานแผนการทำฝนหลวงต่อเนื่องตลอดทั้งปี ยังได้เปลี่ยนให้ใช้สารฝนหลวงโซเดียมคลอไรด์แทนโซเดียมไนเตรท เป็นสูตรพระราชทานเช่นเดียวกัน เนื่องจากหาซื้อง่าย (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 8 ส.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





"เอ็คไคนาเซีย"ต้านหวัดไม่ได้

สมุนไพรที่ชื่อเอ็คไคนาเซีย(Echinacea) ซึ่งเป็นพืชที่พบได้ทั่วไปในทวีปอเมริกาเหนือ และเชื่อกันว่ามีสรรพคุณในการกระตุ้นภูมิต้านทานของร่างกายให้ต่อสู้กับเชื้อโรค แต่จากผลการวิจัยล่าสุดที่สำนักข่าวเอพีรายงานมาพบว่า สมุนไพรนี้ไม่สามารถป้องกันหรือรักษาหวัดได้อย่างที่เข้าใจกันมาก่อนหน้านี้ โดยศูนย์ศึกษาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและการแพทย์ทางเลือก(National Center for Complementary and Alternative Medicine) สังกัดสถาบันวิจัยเพื่อการสาธารณสุขแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ และการวิจัยนี้ได้ผ่านการทดสอบและวิจัยตามหลักวิชาการอย่างเข้มงวด ดังนั้น การทดลองจึงเชื่อถือได้ ดร.โรนัลด์ เทอร์เนอร์(Dr. Ronald Turner) จากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์เวอร์จิเนีย ซึ่งทำการศึกษาเรื่องนี้ระบุว่าการศึกษา การใช้เอ็คไคนาเซีย ซึ่งเป็นพืชล้มลุกที่อยู่ในวงศ์เดียวกับเบญจมาศ และในท้องตลาดมีสารสกัดจากสมุนไพรชนิดนี้จำหน่ายหลายรูปแบบ และเอ็คไคนาเซียเป็นหนึ่งในสมุนไพรยอดนิยมที่ใช้รักษาหวัด จนมีรายงานว่าในแต่ละปีมียอดขายไม่ต่ำกว่า 300 ล้านเหรียญสหรัฐ การวิจัยนี้มีทั้งการวิจัยในสัตว์ทดลอง และการทดลองในมนุษย์กลุ่มเล็ก เพื่อหาความเป็นไปได้ว่าสมุนไพรชนิดนี้สามารถป้องกันการติดเชื้อโรคทางเดินหายใจได้หรือไม่ ซึ่งจากการศึกษาในเด็ก 407 คน ในปี 2546 พบว่าสมุนไพรนี้ไม่ได้ผลในการป้องกันหวัด และในเด็กบางคนยังพบว่าทำให้เกิดผื่นคันที่ผิวหนังอีกด้วย และจากการทดลองล่าสุดที่ใช้อาสาสมัครร่างกายแข็งแรงจำนวน 399 คน ให้รับประทานยาที่มีสารสกัดจากเอ็คไคนาเซีย และยาหลอกที่ไม่มีสารสกัดจากสมุนไพรชนิดนี้ นักวิจัยพบว่าไม่ว่าอาสาสมัครจะได้รับประทานยาที่มีสารสกัดจากเอ็คไคนาเซียหรือไม่ ก็ติดหวัดเหมือนกันหากได้รับไวรัสเชื้อหวัด (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 8 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





นักวิทยาศาสตร์มะกันคิดวัคซีน'หวัดนก'สำเร็จ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯ ประสบความสำเร็จในการค้นคว้าเพื่อผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดนกสายพันธุ์ "เอช 5 เอ็น 1" ในมนุษย์ได้สำเร็จ โดย ดร.แอนโทนี่ ฟอซี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า วัคซีนดังกล่าวได้ผ่านการทดสอบกับอาสาสมัคร 452 คน มีผลสามารถสร้างภูมิต้านทานป้องกันเชื้อไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำนวน 113 คน ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ ดร.ฟอซี่ ระบุว่าผลการทดลองครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า หากการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกลุกลามจากทวีปเอเชียไปทั่วโลก ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าน่าจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ วัคซีนที่ได้จากการค้นคว้าวิจัยนี้ก็จะสามารถป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับมนุษย์ได้ ในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา โรคไข้หวัดนกที่เกิดจากไวรัสสายพันธุ์ เอช 5 เอ็น 1 ได้แพร่ระบาดอย่างหนักในทวีปเอเชีย และบางส่วนของประเทศรัสเซีย ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากโรคร้ายนี้ไปแล้ว 60 คน ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกต่างดำเนินการค้นคว้าวิจัยเพื่อพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันโรคดังกล่าวอย่างเร่งด่วน. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 8 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ผสมเทียมฉลามในหลอดทดลอง พันธุ์กินกันเองตั้งแต่ในท้องแม่

นักวิทยาศาสตร์ออสเตเรียพยายามจะกู้ชีวิตของปลาฉลามพยาบาลเทา อันเป็นพันธุ์ที่จวนจะสูญพันธุ์ เนื่องจากหายหดลดน้อยลงไป สาเหตุใหญ่ เป็นเพราะพวกมันทำลายกันเอง ลูกฉลามตัวอ่อนพวกนี้มักจะกินกันเองตั้งแต่ยังอยู่ ในท้องแม่ พวกเขาจะลองทดลองผสมเทียมพวกมันในหลอดทดลอง หากว่าทำได้ ก็จะช่วยแพร่พันธุ์ฉลาม ซึ่งเป็นปลานักล่าพันธุ์นี้ในมหาสมุทรให้เพิ่มขึ้น ปลาฉลามพยาบาลเทา แม้ว่ารูปร่างจะดูดุร้าย แต่ชาวทะเลยกย่องมันว่าเป็นปลาฉลามพันธุ์ที่สุภาพมากที่สุด ทางการออสเตรเลียได้ประกาศให้มันเป็นสัตว์สงวนมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 เพราะเห็นว่ามันหายากลงทุกที หากปล่อยไว้ พวกมันคงจะหายไปจากโลกในเวลาอีกไม่เกิน 20 ปีนี้. (ไทยรัฐ อังคารที่ 9 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ระบบพยากรณ์อากาศล่วงหน้าเรียลไทม์

นายชัยยศ สุนทรวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัทซีพีเอส ไอ-วิชั่น จำกัด ตัวแทนของ Baron Weather Solutions ประจำประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย ให้สัมภาษณ์ว่า Baron Weather Solutions เป็นบริษัทของสหรัฐอเมริกา เกิดจากโปรแกรมรวบรวมข้อมูลที่บริษัทพัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ ผ่านระบบของบริษัทในเครือ 4 แห่งที่มีความเชี่ยวชาญด้านเรดาร์ เดต้าโปรเซสเซอร์ ดิสเพลย์ และดิสทริบิวชั่น เป็นระบบที่ใช้ในสถานีโทรทัศน์ในสหรัฐอเมริกากว่า 100 แห่งและกรมอุตุนิยมวิทยาของสหรัฐอเมริกาก็ใช้โซลูชั่นนี้ ระบบดังกล่าวมีความแม่นยำสูงมาก สามารถติดตามสถานการณ์พายุ เช่น เฮอริเคน ไต้ฝุ่น ได้อย่างใกล้ชิด และสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ รวมถึงปริมาณน้ำฝนที่จะตกในชั่วโมงข้างหน้า และปรับข้อมูลการพยากรณ์อากาศได้ทุก 15 นาที ยังเสนอข้อมูลสภาพอากาศประจำวัน ใน สภาพอากาศปกติมีความแม่นยำสูงถึงร้อยละ 70 วิเคราะห์และพยากรณ์สภาพอากาศในสถานการณ์วิกฤติและอันตรายได้แม่นยำถึงร้อยละ 90 ทำให้มีความสำคัญต่อการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ส่วนการติดตามพายุ ระบบจะแสดงผลในรูปกราฟิกแอนิเมชั่นสองและสามมิติ ภาพที่ ได้จะมีความชัดเจนมาก นายชัยยศ ยอมรับว่า ระบบนี้อาจมีต้นทุนสูงถึง 1,000 ล้านบาท แต่ก็สามารถนำคอนเท้นต์เกี่ยวกับการพยากรณ์อากาศมาใช้ได้เต็มที่ เพราะระบบพยากรณ์อากาศที่มีความแม่นยำสูงและรวดเร็วจะช่วยรักษาชีวิตและทรัพย์สินได้มาก ในสหรัฐอเมริกาก็ใช้กันมานานกว่า 15 ปีแล้ว. (เดลินิวส์ อังคารที่ 9 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ตรวจสอบข้าวชนิดอื่นปนในข้าวหอมมะลิ ด้วยวิธีการทางกายภาพ

ปารณีย์ จิวะราพงศ์ และ สิริรัตน์ พันสันกาน สองนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้ร่วมกันศึกษาวิจัยถึงวิธีการตรวจสอบการปลอมปนของข้าวอื่นในข้าวหอมมะลิขึ้นโดยมี อาจารย์สุนันท์ ปานสาคร เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ เจ้าของงานวิจัยนี้บอกกับเราว่า “โดยปกติแล้วกระบวนการตรวจสอบการปลอมปนของข้าวในปัจจุบันมักต้องใช้ความชำนาญของผู้ทำการทดสอบในการสังเกตคุณลักษณะภายนอก ร่วมกับการทดสอบทางเคมี ซึ่งก็มีทั้งการย้อมสี การสลายเม็ดในด่าง และการตรวจสอบค่า อไมเลส ซึ่งก็ค่อนข้างจะใช้เวลานานและต้องอาศัยความชำนาญของผู้ปฏิบัติงาน อีกทั้งเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ค่อนข้างยุ่งยาก ดังนั้นจึงเป็นที่มาของงานวิจัยที่มุ่งหาวิธีการที่สะดวกและรวด เร็วในการตรวจสอบการปลอมปนของข้าวชนิดอื่น ๆ ในข้าวหอมมะลิ โดยเราได้ ศึกษาการตรวจสอบข้าวชนิดอื่นปลอมปน ในข้าวหอมมะลิโดยวิธีทางกายภาพ ซึ่งประกอบด้วย การตรวจสอบค่าความแข็ง ตรวจปริมาณการดูดซึมน้ำ ตรวจการใช้ ไอน้ำความดันสูงและอุณหภูมิสูง เริ่มจากวัดค่าความแข็งของข้าวหุงสุกแล้วโดยข้าวหอมมะลิ 100% ที่หุงสุกแล้วจะพบว่ามีค่าความแข็งต่ำกว่าข้าวชนิดอื่นคือ 20.078 (เปรียบเทียบกับข้าวปทุมธานี 1 เท่ากับ 22.940 และข้าวสุพรรณ บุรี 1 เท่ากับ 40.082) ดังนั้นหากมีการปลอมปนเกิดขึ้นค่าที่ได้ก็จะสูงกว่าข้าวหอมมะลิอย่างแน่นอน ส่วน การตรวจปริมาณการดูดซึมน้ำมัน นั้น ก็สามารถบอกได้ว่ามีการปลอมปนของข้าวเกิดขึ้นเช่นกัน คือเราได้ทดสอบการใช้เวลาในการหุงที่ 20 นาที (ซึ่งเป็นเวลาในการหุงต้มข้าวหอมมะลิ 105 ที่สุก 100% ใน Water Bath) ซึ่งพบว่า ข้าวหอมมะลิ 105 มีการดูซึมน้ำได้ดีกว่า ข้าวปทุมธานี 1 และ ข้าวสุพรรณบุรี 1 นั่นย่อมแสดงว่าหากข้าวหอมนั้นมีการปลอมปนในเวลาการหุงข้าวสุกที่เท่ากัน เม็ดข้าวที่ปลอมปนอยู่ก็จะใช้เวลาในการสุกมากกว่า ข้าวหอมมะลิ 105 สำหรับการใช้ไอน้ำร้อนนั้น เราพบว่าที่อุณหภูมิ 130 C ความดัน 1.9 Kg./cm เมื่อใช้เวลาในการทดสอบ 1 นาที เวลาที่ใช้ให้ ความร้อน 30-35 นาที เวลาที่ใช้ลดอุณหภูมิ 3-4 นาที ก็สามารถระบุได้ว่ามีการปลอมปนของข้าวอื่นในข้าวหอมมะลิหรือไม่ คือ ถ้าหากมีการปลอมปนในข้าวมะลิแล้วก็จะใช้เวลาในการทดสอบที่นานขึ้น เนื่องจากข้าวหอมมะลิอยู่ในกลุ่มของข้าวเจ้า อไมเลสต่ำ แต่ในข้าวที่มาผสมอยู่ ส่วนมากจะเป็นข้าวเจ้าอไมเลสสูงกว่า ดังนั้นจึงมีอิทธิพลต่อค่าเวลาในการทดสอบทำให้ใช้เวลาเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นการทดสอบทางกายภาพที่ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องมีการตระเตรียมสารเคมี จึงสามารถลดต้นทุนในการจัดซื้อสารเคมีและใช้เวลาในการทดสอบค่อนข้างสั้น ท่านใดที่สนใจ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ อ.สุนัน ปานสาคร หมายเลขโทรศัพท์ 0-9671-2945. (เดลินิวส์ อังคารที่ 9 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





นักเคมีมหิดลจับงานวิจัยวัสดุนาโน

นักวิจัยมหาวิทยาลัยมหิดลใช้คอมพิวเตอร์คำนวณการเคลื่อนที่ของโมเลกุล เพื่อนำมาจัดโครงสร้างปูทางไปสู่การผลิตวัสดุระดับอะตอมที่มีคุณสมบัติในการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ผศ.ดร.ยุทธนา ตันติรุ่งโรจน์ชัย จากภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าว กล่าวว่า การนำเอากลศาสตร์ควอนตัมมาใช้ในทางเคมี หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เคมีคำนวน หรือเคมีคอมพิวเตอร์ โดยมุ่งที่จะพยายามเข้าใจปัญหาทางเคมีของอะตอม โมเลกุล ว่ามีสมบัติพื้นฐานอย่างไร โดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการคำนวณ เป็นพื้นฐานในการพัฒนาวัสดุที่มีโครงสร้างในระดับนาโนเมตรต่อไป "โมเลกุลเป็นประจุที่มีกฎการเคลื่อนที่ของมัน สามารถคำนวณได้โดยใช้สมการชโรดิงเจอร์ แต่การแก้ปัญหาทางเคมีนั้นซับซ้อนมาก และการแก้สมการชโรดิงเจอร์ด้วยมือทำได้ยาก จึงต้องใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยคำนวณ ทำให้คำนวณออกมาได้เร็วกว่าเดิม" ผศ.ดร.ยุทธนา นักวิจัย ซึ่งได้รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ประจำปี 2548 กล่าว สมการชโรดิงเจอร์เป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีทางควอนตัม ซึ่งระบบของอะตอม โมเลกุล จะมีการเคลื่อนที่อย่างไร หรือมีโครงสร้างแบบไหนนั้น ต้องใช้กลศาสตร์ควอนตัมอธิบาย สำหรับการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจพื้นฐานต่อโมเลกุลนั้น นักวิทย์รุ่นใหม่ ปัจจุบัน เขาได้ร่วมกับศูนย์โลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ศึกษาการเปล่งแสงของสารที่ใช้ผลิตโซลาร์ เซลล์ ซึ่งทางเอ็มเทคต้องการจะออกแบบโมเลกุลรับแสงตัวใหม่ และถ้าใช้คอมพิวเตอร์ในการคำนวณก่อนจะทำให้สามารถช่วยทำนายได้ หากว่ามีการเปล่งแสงที่ไม่ดีจะได้ไม่ต้องสังเคราะห์ โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการทดสอบการคำนวณเทียบกับผลการทดสอบจริง เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าเป็นวิธีที่เชื่อถือได้ (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 9 ส.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





เอ็นอีซีนำร่องพัฒนาแบตเตอรี่สีเขียว

รายงานข่าวจากบริษัท เอ็นอีซี กล่าวว่า แบตเตอรี่ ซึ่งมีส่วนประกอบจากสารอินทรีย์ หรืออาร์โอบี (organic radical battery) จะใช้สารที่มีโครงสร้างเซลล์คล้ายกับแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ซึ่งปัจจุบันใช้ในโทรศัพท์เคลื่อนที่ และคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค โดยมีจุดแตกต่างสำคัญคือ การใช้ส่วนประกอบของสารอันตราย เช่น ลิเธียม และโคบอลต์ มาเป็นการใช้สารอินทรีย์ที่เรียกว่า "พีทีเอ็มเอ" แทน ปัจจุบัน ทีมวิจัยได้พัฒนาแบตเตอรี่อาร์โอบีต้นแบบออกมา ในขนาด 55 มม. ด้วยความหนา 43x4 มม. หรือเท่ากับบัตรเครดิตการ์ดซ้อนกัน 3 ใบ นายมาซาฮารุ ซาโตะ หัวหน้าคณะวิจัยและกลุ่มเทคโนโลยีอุปกรณ์พลังงาน ของเอ็นอีซี กล่าวว่า แบตเตอรี่รูปแบบใหม่นี้ จะมีความหนาแน่นของพลังงานสูง ให้พลังงานได้มากกว่าแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ในขนาดเดียวกัน ยังมีข้อด้อยในเรื่องของระยะเวลาจ่ายพลังงาน ซึ่งสั้นกว่าแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน จึงเหมาะกับการใช้งานสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่ต้องการพลังงานสูงในช่วงระยะเวลาสั้นๆ คุณสมบัติอื่นๆ ของแบตเตอรี่ต้นแบบดังกล่าว ได้แก่ ระบบสำรองพลังงานเพื่อให้สามารถเก็บข้อมูลในเครื่องพีซี และปิดระบบในกรณีที่ระบบกระแสไฟฟ้าหลักขัดข้อง ในช่วงระยะเวลาประมาณ 10-20 วินาที ซึ่งแตกต่างจากระบบสำรองไฟ (ยูพีเอส) ที่สามารถจ่ายกระแสไฟสำรองให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ประมาณ 1 ชั่วโมง แบตเตอรี่โออาร์บีสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ โดยการประจุไฟฟ้าใหม่ และยังรักษาระดับการปล่อยกระแสไฟในระหว่างการใช้งานได้ รวมถึงมีอัตราการสูญเสียพลังงานเมื่อชาร์จไฟเต็มที่แล้วน้อยกว่าของคู่แข่งมาก ทั้งยังสามารถประจุพลังงานได้เร็วมาก โดยภายใน 1 นาที สามารถชาร์จไฟได้ราว 80% เหมาะสำหรับใช้งานกับแอพพลิเคชั่นไร้สาย ซึ่งต้องการความเร็วในการชาร์จพลังงาน เอ็นอีซีก็วางแผนวางจำหน่ายเทคโนโลยีดังกล่าว ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 9 ส.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com) สเปนอวดเรือนกระจก แก้ปัญหาภัยแล้ง เรือนกระจกสำหรับปลูกพืชเกษตรที่เมืองอัลเมอเรียทางตอนใต้ของสเปนแห่งนี้ ได้รับการออกแบบให้พึ่งพาระบบหมุนเวียนของน้ำภายในโรงเรือนกระจกที่ปิดมิดชิด และมีอุณหภูมิภายในสูงจัดเพื่อให้เกิดวงจรการควบแน่นของไอน้ำอยู่ตลอดเวลา ระบบเรือนกระจก (Green House) แบบใหม่นี้ ได้ออกแบบให้ทำงานเป็นวัฏจักร โดยน้ำที่ระเหยจากพืชจะลอยพร้อมกับอากาศร้อนไต่ไปตามผนังโค้งของเรือนกระจก หลังจากผ่านเข้าสู่อุโมงค์เย็นเพื่อให้เกิดการควบแน่นแล้วก็จะตกเป็นหยดน้ำลงมาใหม่ เรือนกระจกต้นแบบนี้ได้ทำการทดลองปลูกหน่อต้นโอกราเขียว ซึ่งขึ้นอยู่เต็มไปหมดภายในเรือนเพาะเลี้ยงที่มีอุณหภูมิ 41 องศาเซลเซียส เรือนกระจกแบบทั่วไปที่ใช้ในพื้นที่ที่มีอากาศร้อนและแล้งจำเป็นต้องใช้น้ำสำหรับจ่ายให้กับต้นไม้จำนวนมาก ยิ่งในช่วงหน้าร้อนอุณหภูมิยิ่งสูงขึ้นเกินพิกัดที่หลังคาจะรับไหว ดังนั้นเรือนกระจกแบบนี้จึงใช้งานไม่ได้ช่วงนั้น ส่วนเรือนกระจกปิดแบบใหม่เป็นแห่งแรกที่ไม่มีช่องถ่ายอากาศออกสู่นอก และแทบจะไม่ต้องพึ่งพิงการจัดส่งน้ำเลย โดยวิศวกรได้ติดตั้งท่อทำความเย็นไว้กลางเรือนกระจก จากนั้นอากาศร้อนและชื้นจากการคายน้ำของพืชจะลอยตัวขึ้นไปที่ยอดหลังคาตามหลักทางธรรมชาติ อากาศจะไหลผ่านท่อถ่ายเทความร้อนจนเย็นลง และกลั่นตัวเป็นหยดน้ำลงมายังพื้นเรือนกระจก ทำให้อากาศชุ่มชื่นและเย็นให้กับพืช และนำไปสู่กระบวนการควบแน่นรอบใหม่หมุนเวียนไปตลอดเวลา ทำให้ประหยัดน้ำได้2 ใน 3 และไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลง และปุ๋ยที่ผสมคาร์บอนไดออกไซด์ก็สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก พืชที่ปลูกมีลักษณะที่สมบูรณ์ดี เรือนกระจกแห่งนี้เป็นอาคารปิดมิดชิด และน้ำที่ใช้ภายในอาคารเป็นระบบที่พึ่งตัวเองอย่างสมบูรณ์ ความร้อนจากดวงอาทิตย์ตลอดช่วงกลางวันจะถ่ายเทมายังแท็งค์น้ำ ทำให้อุณหภูมิคงที่ในระดับเดิมทั้งคืนทั้งวัน ใช้ปั๊มน้ำขนาด 300 วัตต์ คอยปั๊มให้น้ำเย็นหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 9 ส.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





.เทคนิคคิดสูตรปูนฉาบมวลเบา ต่อยอดทำผนังฉนวนกันร้อนในตัว

นายกัมปนาท บุญกัน อาจารย์วิทยาลัยเทคนิคดุสิต เปิดเผยว่า กลุ่มนักศึกษาอาชีวเทคนิคดุสิตได้ร่วมกันค้นหาส่วนผสมสำหรับทำปูนฉาบมวลเบา รวมถึงทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานเทียบเท่ากับปูนทั่วไปที่มีขายอยู่ในท้องตลาด ปูนฉาบมวลเบานอกจากจะมีน้ำหนักเบาแล้ว ยังฉาบผนังได้ง่ายทั้งผนังแบบปกติและผนังมวลเบา อีกทั้งปูนฉาบลักษณะนี้ยังไม่มีขายในท้องตลาด จึงเป็นที่มาของการคิดค้นปูนฉาบมวลเบาขึ้น โดยนำดินเบา ซึ่งเป็นแร่ธรรมชาติที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในภาคเหนือมาใช้เป็นวัสดุทดแทนทรายซึ่งเป็นส่วนผสมหลักของการผสมปูน โดยเริ่มต้นจากอัตราส่วนผสมที่ใช้ ซีเมนต์ 1 ส่วน ทรายละเอียด 1 ส่วน และดินเบา 4 ส่วน มาผสมให้เข้ากัน และนำไปทดลองฉาบที่ผนัง แต่หลังจากที่ทดลองฉาบปูนทิ้งไว้ประมาณ 3 เดือน กลับพบว่าปูนเกิดแตกร้าว ซึ่งคาดว่าอาจเกิดจากเทคนิคของการฉาบของช่างแต่ละคนซึ่งมีเทคนิคแตกต่างกัน อย่างไรก็ตามทีมงานได้ปรับอัตราส่วนผสมใหม่โดยเพิ่มปริมาณซีเมนต์และทรายในส่วนผสม ก่อนนำไปทดลองฉาบอีกครั้ง รวมถึงทำการทดสอบคุณสมบัติของปูนเมื่อฉาบทิ้งไว้ ทั้งคุณสมบัติในเรื่องของความทนทานต่อสภาพภูมิอากาศ ทนร้อน ทนฝน ตลอดจนปัญหาการแตกร้าว หลุดร่อนที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต พร้อมทั้งหาสารที่ใช้ลดการแตกร้าวในเนื้อปูน โดยกำหนดระยะเวลาทดสอบไว้หนึ่งปี ได้พัฒนาคุณภาพ ให้ปูนฉาบมวลเบาสามารถใช้เป็นฉนวนกันความร้อนให้กับผนังอาคารได้ในตัว ราคาขายของปูนฉาบมวลเบา คาดว่าจะสูงกว่าปูนทั่วไปแต่ไม่เกิน 5-10 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากมีคุณสมบัติเชิงกลที่ดีกว่า และถ้ามองในมุมกว้างจะพบว่าเมื่อใช้ปูนมีน้ำหนักเบาก็จะทำให้โครงสร้างของอาคารเบาตามไปด้วย โดยตัวเหล็กและคานที่นำมาใช้เป็นฐานในการรับน้ำหนักก็จะเล็กลง ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างไปได้มาก (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 9 ส.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





อ่านจิตใจมนุษย์ได้ด้วยเครื่องตรวจสมองแม่เหล็ก

ทีมนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยคอลเลจ ลอนดอน และแคลิฟอร์เนีย ของสหรัฐฯ ต่างแจ้งว่า ได้ศึกษาพบว่าสามารถอ่านความคิดนึกของคนได้ รู้ได้ว่าคนผู้นั้นกำลังดูอะไรอยู่ หรือได้ยินเสียงอะไร เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า ความเคลื่อนไหวของสมองเกิดจากปฏิกิริยาทางไฟฟ้าของเซลล์สมอง พร้อมกับแสดงความหวังว่า การค้นพบนี้ อาจจะช่วยให้ได้พบหนทาง ช่วยให้ผู้เป็นอัมพาตจะสามารถติดต่อกับคนอื่นได้ โดยผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์อ่านความคิด ขณะที่ทางด้านนักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯ ซึ่งได้ศึกษาค้นคว้าแบบเดียวกัน ได้เปิดเผยในวารสารวิชาการ “วิทยาศาสตร์” ว่า ได้ศึกษาความเคลื่อนไหวของสมอง โดยใช้วิธีผ่าตัดฝังขั้วไฟฟ้าไว้ในกะโหลกศีรษะคนไข้ และได้ติดตามปฏิกิริยาของเซลล์สมอง ตรงเปลือกสมองส่วนการได้ยิน ขณะที่ให้ชมวีดิโอภาพยนตร์ หัวหน้าคณะวิจัย ศาสตราจารย์อิทซฮัค ไฟรด์ ผู้เป็นศัลยแพทย์ประสาท เปิดเผยว่า“เราสามารถอ่านจากเครื่อง รู้เรื่องตอนหนึ่งของภาพยนตร์ที่คนไข้ดูได้” ในขณะที่ ดร.จอห์น ไดลัน เฮย์นส์ แห่งสถาบันประสาทวิทยาของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ผู้ร่วมวิจัยอีกคนหนึ่ง กล่าวให้ความเห็นว่า ผลของการศึกษาได้แสดงให้เห็นว่า การใช้เครื่องตรวจสมองด้วยคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังสูง จะสามารถอ่านความคิดกันได้ “แต่คงจะต้องใช้เวลาอีกนานทีเดียว กว่าจะสร้างเครื่องมือที่เป็นสากลอ่านใจใครๆขึ้นมาได้” (ไทยรัฐ พุธที่ 10 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ทดสอบวัคซีนหวัดนกได้ผลดี สร้างภูมิคุ้มกันเชื้อโรคครั้งแรก

หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ ในสหรัฐฯรายงานว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯได้ทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันไข้หวัดนก ซึ่งปรากฏว่าใช้ได้ผล หลังจากที่ไข้หวัดนกระบาดทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 60 คน ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาตั้งแต่ปี 2546 หนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทม์ส รายงานว่า ผลการศึกษาในอาสาสมัคร จำนวน 113 คน ด้วยการฉีดวัคซีน 2 ขนาน ซึ่งช่วยในการสร้างระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย เพื่อต้านเชื้อไวรัสเอช 5 เอ็น 1 ได้ผลดี ซึ่งแอนโทนี ฟอซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติของสหรัฐฯ กล่าวว่า นับเป็นข่าวดีล่าสุด แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถผลิตวัคซีนได้เพียงพอกับความต้องการ ดังนั้น สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการคือการผลิตวัคซีนให้ทั่วถึง เชื้อไวรัสเอช 5 เอ็น 1 ระบาดในหมู่สัตว์ทำให้ล้มตาย และต้องฆ่าทิ้งสัตว์ปีกหลายล้านตัวทั่วเอเชีย ผู้เชี่ยวชาญกลัวว่าเชื้อไวรัสดังกล่าวจะกลายพันธุ์และสามารถติดต่อจากสัตว์สู่คน หรือระบาดในคนด้วยกัน ซึ่งอาจทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายล้านคน ทั้งนี้ ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย 3 แห่งในสหรัฐฯเป็นผู้ทำการทดลองวัคซีนป้องกันไข้หวัดนก ซึ่งผลิตโดยบริษัทซาโนฟี ปาสเตอร์ บริษัทวัคซีนของฝรั่งเศส นับเป็นวัคซีนขนานแรกที่มีประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันเชื้อโรคดังกล่าวได้. (ไทยรัฐ พุธที่ 10 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ทำยาแก้ไอจากเมือกของทาก ตำรับยาสมัยดึกดำบรรพ์

บริษัทเภสัชยาในประเทศชิลีได้ทำยาแก้ไอ โดยทำขึ้นจากเมือกของหอยทาก อวดว่าเป็นสูตรตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ นางมาเรีย ซานนิโน เจ้าของบริษัทได้กล่าวบอกกับหนังสือพิมพ์ “ลา ฟลอริดา” ของชิลีว่า ได้เลี้ยงหอยทากเพื่อใช้ทำยา ตามสูตรตำรับยาดึกดำบรรพ์ไว้เกือบ 10,000 ตัว แล้วอธิบายว่า “เมือกของมันมีสรรพคุณเหมือนกับเป็นยาแก้อักเสบ รวมทั้งยาฆ่าเชื้อในตัวเสร็จ” ยาจะมีรสชาติของผลสตรอเบอรี่ และอโวคาโด. (ไทยรัฐ พุธที่ 10 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





‘ปทุมฯ’เล็งตั้งโรงไฟฟ้าขยะรีไซเคิล

นายนิวัตน์ สวัสดิ์แก้ว ผวจ.ปทุมธานี เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับ นายเฉลิมพล รัตนวงศ์ รอง ผวจ.ปทุมธานี ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และบริษัทเอกชนผู้แทนรับกำจัดขยะมูลฝอย เข้าร่วมประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง ซึ่งในการประชุมครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 เพื่อพิจารณาการนำเสนอรูปแบบ และเทคโนโลยีในการจัดเก็บขยะมูลฝอยของภาคเอกชนที่จะเข้ามาดำเนินการกำจัดขยะมูลฝอยในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 7 บริษัท โดยทางจังหวัดได้ให้ตัวแทนของแต่ละบริษัทนำเสนอรูปแบบและเทคโนโลยีเพื่อพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสมในการกำจัดขยะในพื้นที่ซึ่งมีปริมาณเกือบ 1,000 ตันต่อวัน และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับแนวทางของแต่ละบริษัทนั้น ได้นำเสนอหลากหลายวิธี เช่น การพัฒนาบ่อกำจัดขยะเดิมในพื้นที่ตำบลคูคต และตำบลลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี ในระบบฝังกลบ ให้สามารถนำขยะกลับมาใช้ได้ใหม่ อีกครั้งในรูปแบบโรงหมักปุ๋ย หรือการผลิตก้อนพลังงานเชื้อเพลิง รวมทั้งผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งมีเทคโนโลยีในการก่อสร้างโรงงานกำจัดขยะจากประเทศเยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา ประกอบกับการใช้แรงงานคนในชุมชนในพื้นที่ และการจ่ายค่าตอบแทนให้ประชาชนบริเวณที่ตั้งจุดกำจัดขยะมูลฝอยของจังหวัดปทุมธานี ซึ่งคิดว่าจะสามารถพิจารณาให้บริษัทใดบริษัทหนึ่ง หรือร่วมกันตั้งแต่ 2 บริษัทขึ้นไปดำเนินการได้ในเร็ว ๆ นี้. (เดลินิวส์ พุธที่ 10 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





นักวิทย์น้อยหาวิธีปรับปรุงพันธ์ข้าวสุพรรณฯ1

น.ส.ชลลวัลย์ แสงเจริญธรรม นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนศรีบุณยานนท์ นักเรียนทุนในโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ให้ความสนใจและต้องการศึกษาการขยายพันธุ์ข้าวเจ้าสุพรรณบุรี 1 ให้มีคุณภาพมากขึ้น เธอได้ทำโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง ปริมาณ 2, 4-D kinetin และ BAP ต่อการเจริญเติบโตของแคลลัสข้าวเจ้าสุพรรณบุรี 1 ทำการศึกษาสูตรอาหารที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดกลุ่มเซลล์เจริญที่ยังไม่มีการพัฒนาเป็นรูปร่าง หรือที่เรียกกันว่า แคลลัส ให้มีขนาดใหญ่และมีปริมาณมาก วิธีการทดลองได้เติมสารควบคุมการเจริญเติบโต ซึ่งเป็นฮอร์โมนพืชในกลุ่มออกซิน ในปริมาณแตกต่างกัน จากการทด ลองพบว่า แคลลัสที่เพาะเลี้ยงบนสูตรอาหารที่มีการเติมสารควบคุมการเจริญเติบโต 2 mg/l มีการเกิดแคลลัสมากที่สุดถึงร้อยละ 77.38 โครงงานนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการเพิ่มจำนวนต้นข้าวเจ้าสุพรรณบุรี 1 ให้มีปริมาณมากขึ้น และยังสามารถนำไปใช้เป็นฐานข้อมูลในการพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้มีลักษณะที่ดีต้านทานโรค ทั้งยังเพิ่มผลผลิตให้กับเกษตรกรอีกด้วย (เดลินิวส์ พุธที่ 10 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





เครื่องหยอดทองหยอดอัตโนมัติ นวัตกรรมตอบแทนพระคุณแม่

นายพิภาค จอมพงษ์ นักศึกษาจากสาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ วิทยาเขตสุพรรณบุรี ก็เช่นกัน ที่เปิดเผยถึงแรงบันดาลใจในการคิดค้นและออกแบบ เครื่องหยอดทองหยอดอัตโนมัติ ว่า “อยากใช้วิชาความรู้ที่ได้เรียนมา ให้เป็นประโยชน์กับกิจการที่บ้าน เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระแม่” โดยมี นายภัทธนพ ศุภลักษณ์ นักศึกษาจากสาขาวิชาเดียวกันเป็นผู้ร่วมออกแบบ และ อาจารย์ณรงค์ศักดิ์ แสงป้อม เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา เครื่อง หยอดทองหยอดอัตโนมัติช่วยลดระยะเวลาในขั้นตอนการหยอด และลดแรงงานคนที่มีฝีมือในการหยอดให้ได้ขนาดที่เท่ากัน เพียงแค่ผู้ทำเตรียมส่วนผสมสำหรับทำทองหยอดไว้เท่านั้น แล้วนำส่วนผสมเทลงในภาชนะรับแป้ง เครื่องก็จะทำการตัด หยอดพร้อมทั้งนับจำนวนให้โดยอัตโนมัติ นายภัทธนพ ผู้ร่วมออกแบบเครื่องฯได้เปิดเผยถึงหลักการทำงานของเครื่องหยอดทอง หยอดว่า “ใช้หลักการทำงานพื้นฐานของของไหล โดยอาศัยการทำงานของ MCS เข้ามาช่วยควบคุมการทำงานของ COUNTER CONTROL และใช้เซ็นเซอร์เป็นตัวตรวจจับ โดยเมื่อเทส่วนผสมที่เตรียมไว้ลงในภาชนะรับแป้งที่อยู่ด้านข้างตัวเครื่องแล้ว ส่วนผสมก็จะไหลมาที่ตัวเซ็นเซอร์ เมื่อโดนตัวเซ็นเซอร์ ใบมีดตัดก็จะตัด ซึ่งเครื่องจะหน่วงเวลาเล็กน้อยเพื่อให้เกิดหางด้านบนของลูกทองหยอด ทำให้ลูกทองหยอดมีรูปร่างลักษณะสวยงามเหมือนปาดด้วยมือ จากนั้นใบมีดตัดก็จะถูกดึงกลับโดยอัตโนมัติ เพื่อไปตัดทองหยอดลูกต่อไป โดยใช้เวลาเฉลี่ยในการหยอดประมาณ 2 วินาทีต่อ 1 ลูก” เครื่องนี้ยังสามารถประยุกต์ใช้กับขนมไทยชนิดอื่น เช่น เม็ดขนุนได้ โดยเพิ่มกลไกที่ใช้ในการบีบอัดแป้งเข้าไป เพราะส่วนผสมของเม็ดขนุนนั้นทำจาก ถั่วกวน ซึ่งมีความหนืดสูงกว่าส่วนผสมของทองหยอด รวมทั้งยังนำไปประยุกต์ใช้กับการทำลูกชิ้นได้อีกด้วย เครื่องมีราคาประมาณ 20,000-30,000 บาท ผู้ใดสนใจสามารถติดต่อสอบถามได้โดยตรงที่ อาจารย์ณรงศักดิ์ แสงป้อม สาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ วิทยาเขตสุพรรณบุรี หมายเลขโทรศัพท์ 0-3554-4301-3. (เดลินิวส์ พุธที่ 10 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





"แป๊ะตำปึง"รักษาเริม

ข่าวดีสำหรับผู้ป่วยโรคเริม รวมทั้งเกษตรกรไทย เมื่อหน่วยโรคผิวหนัง ภาคอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กำลังทดลองนำสมุนไพร "แป๊ะตำปึง หรือ จักรนารายณ์" (Gynura procumbens) มาพัฒนาให้เป็นยาทาสำเร็จรูปเพื่อสะดวกในการใช้รักษาโรคเริม เป็นแนวทางหนึ่งในการประหยัดเงินตราจากการซื้อยาต่างประเทศ ส่งเสริมอาชีพเกษตรกรและพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตยาสมุนไพรไทย แป๊ะตำปึง มีสรรพคุณที่ระบุไว้ในตำรายาไทยว่าเป็นยาใช้ภายนอก บรรเทาอาการอักเสบ ปวดบวม ผื่นคัน แก้พิษแมลงกัดต่อย และโรคเริม ซึ่งพืชในสกุลเดียวกันคือ ว่านมหากาฬ (G. psudochina var. hispida) มีสรรพคุณบรรเทาอาการอักเสบเนื่องจากเริมและงูสวัด สารสกัดเอทานอลจากส่วนเหนือดินของแป๊ะตำปึง สามารถบรรเทาอาการคัน อักเสบและสมานแผล จากการศึกษาด้านพฤกษเคมีและคุณสมบัติทางชีวภาพ พบว่าสารสกัดเอทานอลมีคุณสมบัติต้านไวรัสเฮอร์ปีส์ ซึ่งเป็นไวรัสทำให้เกิดโรคเริม และสารสำคัญที่แสดงฤทธิ์ต้านไวรัสตัวนี้คือสารผสมของกรมคาฟีออยควินิก ซึ่งจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ดังกล่าว ร่วมกับการศึกษาในสัตว์ทดลองไม่พบว่าแป๊ะตำปึงมีพิษ แต่มีศักยภาพเป็นยาทาภายนอก บรรเทาอาการอักเสบระคายเคืองที่ผิวหนังที่เกิดจากการแพ้ แมลงกัดต่อยและโรคเริม ขณะนี้ หน่วยโรคผิวหนัง ภาควิชาอายุรศาสตร์ ร.พ.รามาธิบดี กำลังทดลองใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเริมที่ปากในระยะเป็นซ้ำ อายุมากกว่า 18 ปี และมีอาการกำเริบภายในไม่เกิน 48 ชั่วโมง หากท่านเป็นผู้หนึ่งที่มีปัญหาจากโรคนี้ มีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพฯ และสามารถติดตามการรักษาได้ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 2 สัปดาห์ ขอเชิญรับการรักษาด้วยยาสมุนไพรแป๊ะตำปึงได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0-1870-5758, 0-9923-6456, 0-1846-0369 และ 0-1488-7338 (ข่าวสด พุธที่ 10 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





รังสีคอสมิกบาดตามนุษย์อวกาศ ทำให้ตาเป็นต้อกระจกมืดมัว

มนุษย์อวกาศแม้กระทั่งนักบินเครื่องบินโดยสาร ต่างต้องผจญกับรังสีคอสมิกจากนอกโลกด้วยกัน โดยเฉพาะนักบินมีโอกาสเสี่ยงที่ตาจะเป็นโรคต้อกระจกสูงกว่าคนทั่วไปถึง 3 เท่า จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยเรคยาวิกของไอซ์แลนด์ ได้ศึกษาผู้ชายที่อยู่ในวัย 50 ปีขึ้นไป 445 คน ในจำนวนนี้เป็นนักบิน 79 คน และได้พบว่ามีผู้เป็นโรคต้อกระจกมากถึง 71 คน เมื่อศึกษาเปรียบเทียบอาชีพต่างๆ ของผู้ชายเหล่านั้นกับจำนวนผู้ป่วย สรุปได้ว่า ผู้ที่มีอาชีพเป็นนักบิน มีโอกาสที่จะเป็นต้อกระจกมากยิ่งกว่าคนอื่น 3 เท่า รังสีคอสมิกเป็นอนุภาคที่มาจากดวงอาทิตย์และกลุ่มดาว ตกใส่โลกของเราอยู่ตลอดเวลา เคยเป็นที่รู้กันว่าบรรดามนุษย์อวกาศ ก็ต้องเสี่ยงกับการเป็นต้อกระจก เนื่องมาจากการเดินทางในอวกาศสูง โรคต้อกระจกเกิดจากแก้วตามีความขุ่นมัวขึ้น หากไม่ไปให้จักษุแพทย์รักษาด้วยการผ่าตัดลอกตาเสีย ปล่อยทิ้งไว้ก็อาจทำให้ตาบอดได้. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 11 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





บรอคโคลิมีฤทธิ์ช่วยปราบมะเร็ง ปิดล้อมโรคร้ายไว้ไม่ให้ขยายวง

ค้นพบผักบรอคโคลิมีสารประกอบในตัว ที่มีฤทธิ์สกัดไม่ให้มะเร็งของกระเพาะปัสสาวะลุกลามออกไปมากขึ้นได้ นายสตีเวน คลินตันนักวิจัยมหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอ ของสหรัฐฯ ได้สกัดสารพฤกษเคมีในบรอคโคลิ ได้ในรูปของสารประกอบ เรียกว่าไอโซทิโอไซยานาเนตส์ เชื่อว่าเป็นตัวยาที่ออกฤทธิ์ต่อต้านกับมะเร็ง ในการทดลองในห้องปฏิบัติการ มันได้แสดงให้เห็นว่า สามารถสกัดมะเร็งของกระเพาะปัสสาวะไม่ให้ลุกลามออกไปได้ และโดยเฉพาะได้แสดงว่า มันชอบรับมือกับมะเร็งกระเพาะปัสสาวะชนิดรุนแรงที่สุดด้วย (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 11 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





เครื่องย้อมสีผ้าพลังแดดต้มน้ำร้อนเร็วทันใจไม่เปลืองก๊าซหุงต้ม

นายสมรัฐ พุฒนวล นักศึกษาสาขาวิชาวิศวกรรมเคมีสิ่งทอ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เปิดเผยว่า กลุ่มนักศึกษาวิศวกรรมเคมีสิ่งทอ ได้ออกแบบเครื่องย้อมผ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โดยใช้ความร้อนจากแสงอาทิตย์ต้มน้ำร้อนแทนก๊าซหุงต้มหรือเชื้อเพลิงอื่นๆ และถือเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ เพราะที่ผ่านมายังไม่มีหน่วยงานใดนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ประโยชน์ในกระบวนการย้อมสี หลักการทำงานของเครื่องย้อมที่คิดค้นขึ้น เริ่มจากการนำน้ำเย็นมารับแสงอาทิตย์ โดยผ่านแผงผลิตน้ำร้อนในลักษณะของวัสดุทาสีดำวางรับแสง และปล่อยให้น้ำไหลผ่านท่อทองแดงเข้าสู่ถังเก็บน้ำร้อน จากนั้นป้อนสู่ถังเหล็กหล่อในส่วนของอ่างย้อม ขณะที่อ่างย้อมจะหมุนด้วยกลไกของการถีบจักรยานโดยอาศัยแรงคน เมื่อใส่น้ำสี ผ้า ป้อนน้ำร้อนพร้อมกับปั่นให้เข้ากันจนน้ำสีแทรกซึมเข้าเส้นใยผ้าทั่วถึงจึงนำผ้าออก สำหรับจุดเด่นของเครื่องย้อมผ้าดังกล่าว อยู่ที่ระบบทำน้ำร้อนจากพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ทำให้อุณหภูมิน้ำสูงขึ้นในเวลารวดเร็ว โดยออกแบบให้สามารถบรรจุน้ำได้ 50-60 ลิตร และย้อมผ้าได้ครั้งละ 2-10 กิโลกรัม ส่วนอุณหภูมิสูงสุดของการย้อมจะอยู่ที่ 70 องศาเซลเซียส ซึ่งสามารถย้อมได้กับสีบางชนิด เช่น สีของผ้าบาติก อย่างไรก็ตาม เครื่องย้อมผ้าดังกล่าวยังเป็นผลงานต้นแบบ ที่ต้องการการปรับปรุงให้เครื่องสามารถผลิตน้ำร้อนได้ในอุณหภูมิ 85 องศาเซลเซียส แต่ในเบื้องต้นต้องศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม ด้าน ดร.อภิชาติ สนธิสมบัติ อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ กล่าวว่า ผลงานของนักศึกษาช่วยประหยัดพลังงาน ทั้งในส่วนของพลังงานไฟฟ้าและพลังงานจากก๊าซได้อย่างมาก แต่จะต้องศึกษาและออกแบบเพิ่มเติมให้มีระบบทดแรงในการปั่น เพื่อให้ได้รอบการหมุนถังอ่างย้อมมากขึ้น โดยเปลี่ยนใช้พลังงานลมจากกังหันลมแทนแรงงานคน ประกอบกับเพิ่มประสิทธิภาพการย้อม โดยติดตั้งใบพัดภายในถังย้อม รวมทั้งพัฒนาให้สามารถใช้งานได้จริงกับอุตสาหกรรมย้อมผ้าขนาดย่อม โดยเน้นประหยัดพลังงานจากการเผาไหม้ในกระบวนการย้อม ซึ่งคาดว่าต้นทุนผลิตเครื่องละประมาณ 4 หมื่น บาท (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 11 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





“เครื่องหั่นกล้วยฉาบ” กะทัดรัด ประสิทธิภาพเยี่ยม

เครื่องหั่นกล้วยฉาบเป็นผลงานของ อาจารย์ภาณุมาศ สุยบางดำ แผนกวิชาช่างกลเกษตร คณะวิชาเครื่องกล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตภาคใต้ อาจารย์ภานุมาศ เล่าว่า ก่อนที่จะทำเครื่องหั่นกล้วยฉาบเครื่องนี้ ก็เคยทำเครื่องหั่นกล้วยฉาบให้กับโครงการพระราชดำริลุ่มน้ำปากพนังมาแล้ว แต่ถึงแม้เครื่องนั้นจะมีประสิทธิภาพดี แต่ก็ยังมีขนาดและรูปร่างใหญ่และหนัก ต้องใช้จำนวนคนอย่างน้อย 3 คนยกการถอดประกอบทำความสะอาดค่อนข้างยุ่งยาก ดังนั้น จึงได้คิดออกแบบและพัฒนาเครื่องขึ้นมาใหม่ และในที่สุดก็ได้เครื่องหั่นกล้วยฉาบที่มีคุณสมบัติอย่างที่ต้องการอยู่นี้ คือ เครื่องนี้มีขนาดกะทัดรัดน้ำหนักเบา สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก ระบบการจับยึด ง่ายต่อการถอดประกอบ ใช้เวลาน้อยในการถอดออกทำความสะอาด และเครื่องนี้ยังสามารถทำงานได้ทั้งระบบมือหมุนและไฟฟ้าอีกด้วย ซึ่งถือได้ว่าสามารถทำงานได้ในทุกๆ สถานที่ทีเดียวไม่ว่าจะมีไฟฟ้าใช้หรือไม่ก็ตาม โดยตัวเครื่อง มีขนาดความกว้าง 40 เซนติเมตร สูง 50 เซนติเมตร ประกอบด้วยมอเตอร์ขนาด 1/4 แรงม้า ใช้ไฟฟ้า 220 โวลล์ ความเร็วรอบ 1440รอบ/นาที ชุดใบมีดหั่นกล้วยมีความเร็ว 200 รอบ/นาที อัตราการทำงานได้ 150 กิโลกรัม/ชั่วโมง ส่วนการทำงานโดยการหมุนด้วยมือนั้นจะใช้เฟืองดอกจอกในการเปลี่ยนทิศทางการหมุนจากแนวระดับไปเป็นแนวดิ่งโดยใช้อัตรา 1:1 อัตราการทำงานเท่ากับ 75 กิโลกรัม/ชั่วโมง ความเร็วรอบในการทำงานประมาณ 70-80 รอบ/นาที(ขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติงานด้วย) มีท่อส่งกล้วยด้านบนของตัวเครื่อง 3 ท่อ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.2 นิ้ว ชุดมีดหั่น 1 ชุดติดใบมีด 2 ใบ ผู้ใช้สะดวกที่จะใช้หั่นด้วยไฟฟ้า หรือใช้มือหมุนในการหั่นก็แล้วแต่จะสะดวกวิธีไหน ท่านใดที่สนใจเครื่องหั่นกล้วยฉาบก็สามารถติดต่อไปได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 074-388-134 (สยามรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 11 ส.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





สองล้อโซลาร์เซลล์ คู่ใจยุคน้ำมันแพง

นักศึกษาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ช่วยกันคิดค้นนวัตกรรมยานยนต์ยุคใหม่ เพื่อช่วยแก้ปัญหามลพิษ และประจวบเหมาะกับนโยบายรณรงค์ประหยัดเชื้อเพลิงในยุค “น้ำมัน” แพงอีกด้วย “จักรยานอนุรักษ์พลังงาน” หรือ Solar Bicycle คิดค้นโดย วิทยา โพธิ์ถาวร,สุทร นุ่นแก้ว และธนู หมุนวงศ์ สามหนุ่มจากภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล โดยมีอาจารย์วิทยา พันธุ์เจริญศิลป์ และอาจารย์เอกพล เตี้ยชั้ว อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ เป็นที่ปรึกษา ช่วยกันประดิษฐ์ยานพาหนะที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และช่วยประหยัดพลังงานได้มาก สมรรถนะของจักรยานโซลาร์เซลล์คันนี้ว่ามีน้ำหนัก เพียง 25 กิโลกรัมเท่านั้น สามารถขับเคลื่อนได้ทั้งการปั่นแบบจักรยานทั่วไป โดยปรับความเร็วได้ 3 ระดับ และยังสามารถขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ ติดตั้งมอเตอร์และแผงโซลาเซลล์ ขนาด 20 วัตต์ไว้ที่ด้านท้ายเพื่อเก็บพลังงานแสงอาทิตย์มาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าใช้ขับเคลื่อน ซึ่งจะชาร์จไฟเก็บไว้ที่แบตเตอรี่ เมื่อจักรยานเคลื่อนที่ด้วยมอเตอร์จะดึงกระแสไฟฟ้าจากแบตฯ ไปใช้ ผู้ขับขี่สามารถปรับความเร็วด้วยคันเร่งที่แฮนด์บังคับด้านขวามือ ซึ่งความเร็วสูงสุดที่ทำได้ คือ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และวิ่งได้ระยะทางไกลได้ 27.22 กิโลเมตร เป็นเวลา 54 นาที อัตรากินกระแสไฟ 8 Ah ซึ่งต่างจากการขับขี่จักรยานแบบปั่น ที่จะใช้ความเร็วประมาณ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากการทดสอบความเร็วดังกล่าว จักรยานโซลาร์เซลล์คันนี้สามารถทำสถิติขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ได้ไกลถึง 64.49 กิโลเมตร เป็นเวลา 6 ชั่วโมง 18 นาที อัตรากินกระแสไฟ 2 Ah ซึ่งเหมาะสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน หรือขับขี่ช่วงระยะทางใกล้ๆ ช่วยประหยัดน้ำมัน และบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดได้ด้วย (สยามรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 11 ส.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ราชภัฏเลยทำวิจัย"เศรษฐกิจพอเพียง"

ผศ.วัชรินทร์ สายสาระ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย กล่าวว่า ได้ดำเนินโครงการการวิจัยและพัฒนาการบูรณาการกลไกในท้องถิ่นระดับจังหวัด เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ศึกษากรณีต.บ้านเพิ่ม อ.ผาขาว จ.เลย ผู้เข้าร่วมการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย อาจารย์สมพงษ์ ดุลยอนุกิจ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย นายธีระวัฒน์ มะเริงสิทธิ์ สำนักงานเกษตรอำเภอผาขาว จังหวัดเลย และนักวิจัยในพื้นที่ สืบเนื่องจากประเทศไทยประสบปัญหาความยากจน แม้ว่าภาครัฐจะให้ความสนใจแก้ปัญหามาโดยตลอด แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาให้บรรลุอย่างเป็นรูปธรรม ขณะเดียวกัน ช่องว่างของการกระจายรายได้ระหว่างคนจนกับคนรวยยังอยู่ในระดับสูง ผศ.วัชรินทร์กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำรัสแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและแก้ปัญหาความยากจน และทางสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ยึดถือเป็นปรัชญาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 ในการแก้ไขปัญหาความยากจน ตามแนวความคิดเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้คณะผู้วิจัยสนใจศึกษาตามแนวทางดังกล่าว โดยจัดทำเป็นชุดโครงการออกเป็น 2 โครงการ เพื่อเป็นการศึกษาสภาพการแก้ไขปัญหาความยากจนในระดับจังหวัดและปัจจัยต่างๆ ที่เป็นเงื่อนไขส่งผลต่อสภาพการแก้ไขปัญหาความยากจนระดับจังหวัด เป็นการพัฒนาและส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง โดยบูรณาการแผนงานและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับตำบล เชื่อมโยงระดับอำเภอ จังหวัด เพื่อแก้ไขปัญหายากจนตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง (ข่าวสด พฤหัสบดีที่ 11 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ถุงมือเคลือบยางพารา เพิ่มมูลค่าทางเลือกใหม่ในอาชีพ

ดร.พลภัทร พฤษานานนท์ ที่ปรึกษากองทุนสงเคราะห์ การทำสวนยาง เล็งเห็นว่า เมื่อยางสังเคราะห์ทำได้ ยางจากธรรมชาติก็น่าจะทำได้ อีกทั้งในเมื่อประเทศไทย ผลิตยางมากที่สุดในโลก หากเราสามารถผลิตถุงมือดังกล่าวได้ และยังทำจากน้ำยางสดๆ ต้นทุนน่าจะถูกกว่า ประจวบเหมาะกับทางประเทศสิงคโปร์ ซึ่งมีบริษัทกลางทำการซื้อมาขายไป มีความต้องการถุงมือดังกล่าวจำนวน 1 ล้านคู่ ดังนั้น จึงซื้อถุงมือจากประเทศเบลเยียม กลับมาศึกษาและปรับต้นแบบ โดยเริ่มแรก จะใช้ถุงมือตัดอ้อยมาเคลือบน้ำยาง ซึ่งน้ำยางที่ได้จากการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีนาโนมาใช้ กล่าวคือการเอาน้ำยางสดมาวิเคราะห์ จากนั้นเอาน้ำยางมาดีแตกโมเลกุล โดยใช้เทคนิคทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งทำให้น้ำยางสดใช้ได้หมดทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่เหมือนการทำยางแผ่นที่มีส่วนของน้ำที่ต้องทิ้งไป สำหรับขั้นตอนกรรมวิธี การสร้างชิ้นงาน เริ่มแรกจะนำถุงมือตัดอ้อย มาใส่ลงในแป้นแบบมือ เสร็จแล้วนำน้ำยาง ที่เตรียมไว้มาทาเคลือบ นำไปผึ่งแดดที่จัด รอให้น้ำยางแห้งเสร็จแล้ว แกะแบบมือออก ส่งให้กลุ่มชาวบ้านทดลองใช้ เพื่อเก็บข้อมูลมาปรับคุณลักษณะ ให้ได้มาตรฐานให้คงที่ ซึ่งผลที่ได้พบว่าได้รับความสนใจ เพราะหนามแหลมไม่สามารถทะลุ ผ่านถุงมือเคลือบยางพาราได้ สามารถใช้หยิบภาชนะร้อนๆ ที่สำคัญแนวโน้มการใช้งานของถุงมือเคลือบยางพารา คาดว่าน่าจะมีอายุนานเกือบปี ขณะนี้กำลังปรังปรุงให้ได้มาตรฐาน (ไทยรัฐ อาทิตย์ที่ 14 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ถอดรหัสพันธุกรรมข้าวสำเร็จ ใช้เป็นฐานศึกษาธัญพืชอื่นต่อ

โจอาคิม เมสซิง นักวิจัยของมหาวิทยาลัยรัทเจอร์ รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ความสำเร็จจากการถอดรหัสพันธุกรรมจะช่วยเป็นฐานในการศึกษาพันธุกรรมของธัญพืชอื่นๆ ต่อไป รายงานแจ้งว่า ขณะนี้ได้ศึกษาการเรียงลำดับพันธุกรรมข้าวได้ถึง 95 เปอร์เซ็นต์แล้ว โดยพบว่ามี 400 ล้านดีเอ็นเอเบส มียีน 37,544 ตัวใน 12 โครโมโซม จากแผนที่พันธุกรรมข้าวแสดงว่ามีความคล้ายคลึงกับของข้าวฟ่าง ข้าวโพดและอ้อย จากการศึกษานี้ยังจะช่วยให้ในอนาคตมีการปลูกพืชได้ผลผลิตดีขึ้น และช่วยปกป้องโรคพืชต่างๆได้ การศึกษาพันธุกรรมข้าวเป็นความร่วมมือของนักวิจัยจาก 10 ชาติ ภายใต้โครงการลำดับพันธุกรรมข้าวนานาชาติ (IRGSP) จากข้อมูลพบว่ามนุษย์ รู้จักปลูกข้าวมาราว 10,000 ปีแล้ว และจนถึงปัจจุบันนี้เป็นอาหารหลักของประชากรโลกถึง 3 พันล้านคน. (ไทยรัฐ อาทิตย์ที่ 14 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





เรื่องรู้เกี่ยวกับโรคและยา

ขณะนี้ Dr.Eric Kandel นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบียได้ทำการค้นคว้าระบบสมองของสัตว์ที่ไม่มีผู้ใดนึกถึงคือ หอยทากชนิดหนึ่ง (Aplysia Californicus) ซึ่งมีระบบสมองที่ไม่ซับซ้อนแต่ประการใด แต่สามารถช่วยให้ Dr.Kandel ค้นพบแล้วว่าสมองจะรับข้อมูลเบื้องต้นที่เป็นข้อมูลระยะสั้นก่อนโดย neurotransmitters แล้วจึงจะแปรข้อมูลเหล่านี้ให้เป็นความจำระยะยาวโดยส่วนของสมองที่เรียกว่า hippocampus ซึ่งอยู่ที่บริเวณเหนือหูทั้งสองข้าง การค้นพบดังกล่าวนำไปสู่การผลิตยาใหม่ ๆ ออกมาหลายตัวในปัจจุบัน ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยสมองทำงานด้านความจำได้ดีขึ้น และยังเชื่อว่าช่วยขจัดสาเหตุเบื้องต้นของโรคอัลไซเมอร์ได้ด้วยแม้ว่าสองโรคนี้จะไม่เกี่ยวกันก็ตาม นอกจากนั้นก็ยังมียาตัวอื่น ๆ อีกซึ่งส่วนใหญ่ยังอยู่ในระหว่างการทดลองใช้ ทั้งหมดนี้ผู้รู้เตือนว่า แม้จะเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญ แต่ก็ยังเป็นการเร็วเกินไปที่จะกล่าวได้ว่าโลกได้ค้นพบตัวยาที่ช่วยความจำได้อย่างที่แท้จริงแล้ว เพราะอยู่ในระหว่างการทดลองกับสัตว์ทดลองเท่านั้น ยังไม่ได้มีการทดลองกับมนุษย์ และจำเป็นที่จะต้องรอไปอีกประมาณสองปี ผลต่าง ๆ จึงจะแน่ชัดขึ้น เกี่ยวกับยาปฏิชีวนะ ซึ่งหลัง ๆ ยาปฏิชีวนะทั้งหลายหมดประสิทธิภาพไปแล้วทีละชนิดสองชนิด และโรคภัยต่าง ๆ ในปัจจุบันก็ดื้อยาขึ้นทุกวัน คำพูดดังกล่าวมีความจริงอยู่ไม่ใช่น้อย เนื่องจากเพิ่งมีการศึกษาในสหรัฐที่ปรากฏผลว่า ปัจจุบันมีโรคติดเชื้อถึงร้อยละ 70 ที่จะสามารถดื้อยาได้อย่างน้อยก็ 1 ตัว และทุกอาทิตย์จะมีคนไข้ตาย ซึ่งหมอไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากไม่มียาใดที่จะรักษาได้ เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็อาจสามารถอธิบายได้ง่าย ๆ ว่า แบคทีเรียก็เหมือนมนุษย์ คือมี ความแตกต่างในตัวเองมากมาย มีตัวยาน้อยมากที่จะมีผลในการรักษาได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ตัวยาที่ดีอาจมีผลควบคุมแบคทีเรียและการติดเชื้อได้ประมาณเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อใช้ไปเรื่อย ๆ ก็จะมีแบคทีเรียส่วนหนึ่งสร้างภูมิป้องกันของตัวเองได้และจะดื้อยา ซึ่งทำให้การรักษาไม่เป็นผล ตัวอย่างเช่นยาเพนนิซิลิน ซึ่งเคยถือกันว่าเป็นยาวิเศษของโลก ขณะนี้ก็ใช้รักษาโรคได้เพียงส่วนน้อยจากที่เคยรักษาได้เท่านั้น นักวิทยาศาสตร์สหรัฐและยุโรปได้เริ่มพยายามแก้ไขปัญหานี้ด้วยการพยายามปรับปรุงยาปฏิชีวนะตัวเดิม ๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะนี้มียาตัวใหม่ผลิตออกมาเรื่อย ๆ ซึ่งปลอดภัยและสามารถรักษาโรคต่าง ๆ ได้มากชนิดกว่าเพนนิซิลิน กล่าวคือในแบคทีเรียจะมีโปรตีนตัวหนึ่งที่ทำหน้าที่เหมือน สวิตช์ปิด-เปิดสั่งการให้เชื้อโรคแทรกเข้ากับเนื้อเยื่อมนุษย์ หรือปล่อยกรดออกมา ตัวยาใหม่นี้จะไม่ฆ่าหรือเข้าไปหยุดยั้งการเพิ่มตัวของเชื้อโรค แต่เพียงจะเข้าไปปิดสวิตช์ดังกล่าวเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์จึงมีความเชื่อมั่นว่าจะไม่มีปัญหาเรื่องดื้อยาเกิดขึ้นอีก (เดลินิวส์ อาทิตย์ที่ 14 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ยากับน้ำผลไม้อันตรายกว่าที่คิด

คณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ซานฟรานซิสโกได้เปิดเผยผลการวิจัยซึ่งบ่งว่า น้ำผลไม้ส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานของร่างกาย ที่จะทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาของยาหมดไป เพราะก่อนที่ยานั้นจะซึมเข้าสู่กระแสเลือด น้ำผลไม้จะต่อต้านการดูดซึมของยาที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว และโรคภูมิแพ้ต่าง ๆ รวมไปถึงยาที่ใช้กับผู้ป่วยที่ทำการปลูกถ่ายอวัยวะใหม่ ผลการวิจัยที่ได้รับการเปิดเผย ก่อนหน้านี้ บ่งบอกถึงอันตรายของน้ำผลไม้ ในแง่ที่ส่งผลต่อการรับประทานยาเช่นกัน เพราะฤทธิ์ในการทำลายเอนไซม์ในร่างกายที่ทำหน้าที่สกัดกั้นไม่ให้ยาเข้าสู่กระแสเลือดมากเกินไป เมื่อเอนไซม์ชนิดนี้ลดลงทำให้ตัวยาบางชนิดรวมถึงยาที่ใช้ในการรักษาโรคความดันโลหิตและแอนติฮิสตามีน (Antihistamines) มีฤทธิ์ในการรักษารุนแรงขึ้น เพราะในบางกรณีที่ร่างกายได้รับตัวยามากเกินขนาด จะเป็นผลเสียต่อการรักษาและร่างกายผู้ป่วย (เดลินิวส์ อาทิตย์ที่ 14 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





มือถือแจ้งล่วงหน้าฝนตกเอไอทีมุ่งบรรเทาทุกข์จากน้ำท่วม รถติด

ดร.สุทัศน์ วีสกุล อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำและการจัดการ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที) เปิดเผยว่า เอไอทีได้ทดลองให้บริการแจ้งพยากรณ์สภาพอากาศ ทางข้อความสั้นหรือเอสเอ็มเอสบนโทรศัพท์มือถือ ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับหน่วยงานทำหน้าที่ควบคุมสถานีสูบน้ำในพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วม รวมถึงการจัดการระบบจราจรบริเวณที่เกิดปัญหาจราจรติดขัดเมื่อเกิดน้ำท่วมขัง การพยากรณ์และเตือนภัยมีบทบาทสำคัญ ในการป้องกันความเสียหายและทรัพย์สินอันเนื่องมาจากฝน อาทิ รถติดเป็นเวลานาน น้ำท่วม ปัญหาไฟฟ้าขัดข้อง รวมถึงกิจกรรมในชีวิตประจำวันที่จะต้องหยุดชะงัก ดังนั้นการทราบสภาวะของฝนล่วงหน้าจะสามารถช่วยจัดการปัญหาเหล่านี้ได้ด้วยประสิทธิภาพของระบบเรดาร์ของกรมอุตุนิยมวิทยาที่ใช้กันในปัจจุบัน ด้านนายวัชระ ศิลปสุวรรณชัย ผู้ดูแลระบบ กล่าวว่า บริการพยากรณ์ฝนและการเตือนภัยน้ำท่วมฉับพลันทางมือถือนี้ สามารถใช้ได้กับพื้นที่ในประเทศไทย ที่ระบบเรดาร์ครอบคลุมถึง โดยส่งข้อมูลให้แสดงบนหน้าจอมือถือประชาชนทั่วไป และแบบข้อความสั้นเตือนภัยล่วงหน้าสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโดยตรง ส่วนข้อมูลที่ส่งผ่านมือถือจะเป็นข้อมูลที่ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย ในลักษณะของระดับความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วม แบ่งเป็น 4 ระดับ ได้แก่ เสี่ยงมาก เสี่ยงปานกลาง เสี่ยงน้อย และไม่มีความเสี่ยง โดยแบ่งตามสี แต่หากต้องการทราบผลวิเคราะห์เจาะลึกทางด้านวิศวกรรมในส่วนของปริมาณน้ำฝนจะต้องคลิกเข้าไปทางเวบไซต์เพื่อตรวจสอบอีกครั้ง ระบบที่นำมาใช้เป็นโครงข่ายแบบประสาทเทียม หากทำการพยากรณ์ในระยะเวลา 1 ชั่วโมง ประสิทธิภาพความแม่นยำอยู่ในระดับ 90% แต่หากต้องการรู้ผลพยากรณ์ล่วงหน้า 6 ชั่วโมง ความแม่นยำจะลงเหลือ 50% ระบบดังกล่าวจะทำงานอัตโนมัติ ไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่ควบคุม ในส่วนของความคงที่ของระบบ ขึ้นอยู่กับข้อมูลจากภาครัฐและระบบอินเทอร์เน็ต หากเซิร์ฟเวอร์ของภาครัฐเกิดหยุดทำงานไปชั่วขณะ ข้อมูลที่อัพเดตผ่านเวบไซต์ก็จะช้าลงไปด้วย ผู้ที่ต้องการทราบการพยากรณ์ฝนสามารถลงทะเบียนได้ใน www.rain.ait.ac.th/pdadims (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 12 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





“วรวิทย์ ตันติดีเลิศ” ยังดีไซน์เนอร์คนเก่ง

“วรวิทย์ ตันติดีเลิศ” นักศึกษาออกแบบสิ่งทอ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร วิทยาเขตชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ คลื่นลูกใหม่ในวงการแฟชั่น ที่มีดีทั้งความกล้า และกึ๋นที่ไม่เหมือนใครนี่แหล่ะ จากผลงาน 2 รางวัล ทั้งรางวันดีเด่นประเภทเครื่องแต่งกายสตรี (The best womens wear) และรางวัลสูงสุดชนะเลิศคะแนนรวม (WINNER) จากเวทีการประกวดสหกรุ๊ป บางกอก ยังดีไซน์เนอร์ อะวอร์ด (SAHA GROU BANGKOK YOUNG DESIENER AWARDS 2005) มาได้สำเร็จ จุดเด่นในงานดีไซน์ของ “วรวิทย์” อยู่ที่เสน่ห์ลายไทยอันอ่อนช้อย ที่นำมาเสนอในรูปแบบกราฟฟิกลงลายผ้าได้อย่างลงตัว และเมื่อตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าก็สามารถสวมใส่ในชีวิตประจำวันได้จริง จุดนี้แหล่ะที่เอาชนะใจกรรมการและผู้ชมที่ร่วมโหวตให้คะแนน ผลงานของวรวิทย์ มีทั้งหมด 9 ชุด ภายใต้ชื่อสยามสมัย หรือ Siamese Chic มีทั้งความหรูหรา จากดิ้นทอง ไหม การปักฉลุ และความเซอร์จากการกรีดเกล็ดผ้าให้ขาดลุ่ย อยู่ในชุดเดียวกันได้อย่างลงตัว แถมยังสามารถหยิบมาสวมใส่ได้จริง ไม่ดูโอเวอร์จนเกินไปด้วย นอกเหนือจากถ้วยรางวัลและทุนการศึกษาแล้ว วรวิทย์ ยังมีโอกาสเดินทางไปดูงานที่ประเทศญี่ปุ่นถึง 2 อาทิตย์ งานนี้เขาบอกว่า จะเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาใช้พัฒนาฝีมืองานออกแบบตัวเองให้มากที่สุด (สยามรัฐรายวัน เสาร์ที่ 13 ส.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





วิจัย"กะเพราสด" มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง

มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม โดย อาจารย์นันทนา ศรีพันลม และอาจารย์รุ่งทิวา ชิดทอง ได้วิจัยเรื่อง การทดสอบฤทธิ์ต้านออกซิเดชันของสารสกัดจากผัก ในเขตเทศบาลเมืองจังหวัดนครปฐม การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อหาปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระ พร้อมทั้งเปรียบเทียบสารต้านอนุมูลอิสระ ในผักสดและผักลวก และยังเป็นข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญ ในการเลือกบริโภคผักที่มีคุณค่าและมีประโยชน์อีกด้วย ผู้วิจัยใช้วิธีการเก็บข้อมูลจากผักทั้ง 15 ชนิด คือ กะเพรา กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี ข่า ขิง คะน้า ชะอม ตะไคร้ ตำลึง ถั่วฝักยาว ผักบุ้งจีน มะระจีน ผักกาดขาว มะเขือเปราะ ต้นหอม ที่จำหน่ายในเขตเทศบาลเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม ผลจากการศึกษาวิจัย พบว่า สารที่มีค่า IC50 ต่ำสุด คือ กระเพราสด ซึ่งมีค่า IC50 = 6.05 mg / ml หมายความว่า กระเพราสดมีปริมาณของสารที่มีฤทธิ์ต้านออกซิเดชันอยู่สูง ไม่ว่าจะสดหรือลวก ส่วนผักที่มีค่า IC50 มากที่สุด คือ กะหล่ำลวก มีค่า IC50 = 103.32 mg / ml ซึ่งแสดงว่ากะหล่ำปลีลวกมีปริมาณของสารที่มีฤทธิ์ต้านออกซิเดชันต่ำที่สุด เมื่อเทียบกับผักอื่นที่ทำการวิจัย เมื่อเปรียบเทียบผักชนิดเดียวกันพบว่า ผักสดจะมีค่าแนวโน้มของสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าผักลวก ได้แก่ กะเพรา, กะหล่ำดอก, กะหล่ำปลี, ข่า, คะน้า, ตะไคร้, ตำลึง, ต้นหอม, ถั่วฝักยาว, ผักบุ้งจีน, ผักกาดขาว แต่ก็พบผักบางชนิดที่เมื่อลวกแล้วกลับมีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าผักสด ได้แก่ ขิง ชะอม มะระจีน มะเขือเปราะ ซึ่งในที่นี้ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ เนื่องจากว่า สารต้านอนุมูลอิสระในผักแต่ละประเภทนั้นมีชนิดของสารที่มีสมบัติต้านออกซิเดชันแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านปริมาณหรือชนิด ดังนั้น ในการบริโภคพืช ผักหรือผลไม้ เพื่อควบคุมภาวะที่สมดุลของสารเคมีในร่างกายเราจึงควรหันมาบริโภคพืช ผักที่หลากหลายชนิด หรือผักพื้นบ้านตามฤดูกาล มากกว่า ที่จะบริโภคผักที่ชอบรับประทานเพียงอย่างเดียว พร้อมกับการพิจารณาด้วยว่า ผักสดหรือผักลวกชนิดใด มีคุณค่าต่อร่างกายมากกว่ากัน (ข่าวสด ศุกร์ที่ 12 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ข่าวทั่วไป


พบรอยพระพุทธบาท-ฟอสซิสไดโนเสาร์

ไดโนเสาร์” อยู่ในความสนใจของนักวิทยาศาสตร์และคนทั่วไปกับความมหัศจรรย์ของสัตว์โลกล้านปี มีการศึกษาค้นคว้ามายาวนานหลายยุคหลายสมัย พระทองคำ ศีลโชโต อายุ 64 ปี รักษาการเจ้าอาวาสสำนักสงฆ์เสลบรรพตวนาราม บ้านโคกกลาง อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร เปิดเผยว่า ได้ค้นพบ รอยพระพุทธบาทที่สมบูรณ์ มีรอยเท้าและนิ้วเท้าครบถ้วน และยังได้พบ ซากกระดูกสัตว์ขนาดใหญ่เชื่อว่าเป็นฟอสซิล ของไดโนเสาร์ ซึ่งรอยพระพุทธบาทและฟอสซิลดังกล่าวอาตมาได้ค้นพบโดยบังเอิญเมื่อปี 2530 ในขณะที่ไปทำแนวกันไฟป่าบริเวณเชิงภูเขาน้อยอันเป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์แห่งนี้ ตอนแรกที่พบคิดว่าจะเป็นรอยเท้าของ ผู้มีบุญญาธิการที่ต้องการประทับไว้เป็นอนุสรณ์แก่คนรุ่นหลังเท่านั้น แต่ต่อมาได้สังเกตว่าน่าจะเป็น รอยพระพุทธบาท ซึ่งการพิสูจน์รอยเท้าดังกล่าวนั้นเป็นรอยเท้าข้างขวาที่กดจมลึกลงไปในแผ่นหินปรากฏเป็นรอยเท้า และนิ้วเท้าทั้งห้านิ้วอย่างชัดเจน มีขนาดกว้าง 25 ซม. ยาวประมาณ 50 ซม. หันปลายเท้าไปทางทิศเหนือ และห่าง ออกไปทางด้านหน้าและด้านหลังปรากฏรอยเท้าในลักษณะเดียวกันอีก 2 รอย นอกจากนี้ยังพบ กระดูกสัตว์โบราณเหล่านี้มีจำนวนนับเป็นร้อย ๆ ชิ้นทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เมื่อนำมาวางเรียงกันแล้วต่อกันยาวประมาณ 85 ซม. กว้าง 22 ซม. หนา 8 ซม. และนอกจากนี้ยังมีฟอสซิลหอยแครงขนาดใหญ่อีกเป็นจำนวนมากด้วย (เดลินิวส์ อังคารที่ 9 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ปรับพิพิธภัณฑ์เหมือนห้างกรมศิลป์รื้อใหม่ทุก 3 สัปดาห์

นางสมลักษณ์ เจริญพจน์ ผู้อำนวยการสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร เปิดเผยแนวทางการพัฒนาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติปัจจุบันมี 44 แห่ง ให้มีชีวิตว่า จะนำร่องไปทีละแห่ง เช่น ในส่วนกลางที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ภูมิภาคที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา จ.พระนครศรีอยุธยา เพราะลงทุนไม่มาก มีนักท่องเที่ยวประจำอยู่แล้ว โดยจะพัฒนารูปแบบคล้ายกับห้างสรรพสินค้าใช้สินค้าเดิมแต่มีการปรับเปลี่ยนหน้าร้านทุก 3 สัปดาห์ หรือทุก 3 เดือน ใช้เงินประมาณ 2-3 ล้านบาท คาดว่าโครงการแผนแม่บทปรับปรุงใหม่พิพิธภัณฑ์แบบใหม่ จะแล้วเสร็จเร็วๆ นี้ และจะเสนอรัฐมนตรีพิจารณาได้ในเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในประเทศไทย แบ่งเป็น เกรดเอ ได้แก่ พระนคร เชียงใหม่ สุโขทัย พิมาย ระดับบี ได้แก่ อุบลราชธานี ราชบุรี เขาวัง ส่วนระดับซีจะเป็นพิพิธภัณฑ์ในวัด สถิติของผู้ชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ปีละ 3-4 แสนคน ส่วนภูมิภาคพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เขาวัง มีผู้ชมปีละ 1-2 แสนคน น้อยที่สุดปีละพันคน เช่น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อินทร์บุรี สิงห์บุรี ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการบริหารงานแต่ละแห่ง (คมชัดลึก อังคารที่ 9 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





กทม.จับมือ 16 มหาวิทยาลัย ทำแผนพัฒนาเมืองน่าอยู่ยั่งยืน

เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร(กทม.) นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม. ประชุมหารือแนวทางการพัฒนากรุงเทพมหานครให้เป็นเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืนร่วมกับอธิการบดีมหาวิทยาลัยต่างๆ ในกรุงเทพฯ 16 แห่ง โดยนายอภิรักษ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า จะให้สถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยต่างๆ มีส่วนร่วมในการจัดทำแผนการพัฒนาเมืองในด้านต่างๆ ร่วมกับ กทม. 3 ด้าน คือ 1.Agenda Base กำหนดนโยบายการบริหารงานของ กทม. ตามยุทธศาสตร์การบริหารของตนทั้ง 7 ด้าน อาทิ การบริหารจัดการแนวใหม่ ด้านคุณภาพชีวิต ด้านการศึกษา ด้านผังเมืองและการท่องเที่ยว ฯลฯ 2.Area Base กำหนดแผนงานโครงการพัฒนาตามพื้นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศึกษาการอนุรักษ์ฟื้นฟูแม่น้ำเจ้าพระยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ศึกษาการพัฒนาพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ และ 3.ให้มหาวิทยาลัยต่างๆ สะท้อนปัญหาเมืองในด้านต่างๆ เพื่อให้ กทม. จัดทำแผนแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยจะลงพื้นที่เข้าไปในมหาวิทยาลัยทั้ง 16 แห่ง พร้อมให้สำนักยุทธศาสตร์ฯ รวบรวมรายชื่อเมืองน่าอยู่ เมืองน่าท่องเที่ยว และเมืองน่าลงทุนทั่วโลก พร้อมศึกษาการจัดทำดัชนีชี้วัดของแต่ละเมืองเพื่อพัฒนากรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองน่าอยู่ต่อไป (มติชนรายวัน อังคารที่ 9 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





'WHO'ทูลเกล้าฯถวายรางวัลอาหารปลอดภัยแด่'สมเด็จพระราชินี'

ที่พระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 9 ส.ค. สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานพระราชวโรกาสให้ ศ.น.พ.สุชัย เจริญรัตนกุล รมว.สาธารณสุข นำ น.พ.ลี จง-วุก ผอ.ใหญ่องค์การอนามัยโลก(WHO) พร้อมคณะ เข้าเฝ้าฯเพื่อทูลเกล้าฯถวายประกาศนียบัตรและรางวัลเกียรติยศอาหารปลอดภัย (Food Safety Award) ศ.น.พ.สุชัย กล่าวว่า รางวัลเกียรติยศอาหารปลอดภัย เป็นรางวัลที่องค์การอนามัยโลกจัดทำขึ้น เพื่อมอบแก่บุคคลสำคัญของประเทศที่เป็นผู้ริเริ่ม ผลักดัน และให้การส่งเสริม สนับสนุน การดำเนินงานความปลอดภัยด้านอาหาร เพื่อส่งเสริมสุขภาพของประชาชน ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ โดยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นพระองค์แรกของโลกที่ได้รับรางวัลนี้ เนื่องจากทรงมีความห่วงใยพสกนิกรไทย ในเรื่องความปลอดภัยของอาหารอย่างมาก ทรงเห็นว่าทุกวันนี้มีการนำสารเคมีมาใช้ในกระบวนการผลิตอาหารมากขึ้น ทั้งยาปราบศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง สารเคมีที่ใช้ในการถนอมอาหารหรือปรุงอาหาร ซึ่งเป็นพิษภัยต่อ ผู้บริโภคโดยตรง ทรงมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงเกษตรฯ ร่วมกันจัดทำแผนยุทธศาสตร์ความปลอดภัยด้านอาหาร เพื่อให้ไทยเป็นประเทศที่ผลิตอาหารปลอดภัย (เดลินิวส์ พุธที่ 10 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





น้ำสมุนไพรพร้อมดื่ม ‘สำรอง’ อย.รับประกัน

สำรองหรือพุงทลาย พบมากในจันทบุรี เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ ลำต้นกลม ชอบขึ้นในอากาศร้อนชื้น ผลสำรองเป็นสมุนไพรที่ตลาดต่างประเทศต้องการมากโดยเฉพาะประเทศจีน โดยเป็นที่ยอม รับและรู้จักกันดีในวงการแพทย์และเภสัชกรรมโบราณ เมื่อนำสำรองมาแช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จะพองตัวแตกออก เนื้อมีลักษณะเป็นชิ้นบาง ๆ คล้ายสาหร่ายสีน้ำตาล พองตัวได้ดีในน้ำ มีความสามารถในการดูดซับน้ำ เนื้อสำรองเป็นพวกสารเมือก มีสรรพคุณในการแก้ร้อนในกระหายน้ำ ชาวเมืองจันท์นำเนื้อสำรองที่แช่น้ำแล้วมาต้มรับประทานทั้งน้ำและเนื้อ อาจใส่น้ำตาลกรวดหรือน้ำเชื่อมก็ได้เพื่อให้รสชาติหวานหอมน่ารับประทานยิ่ง ขึ้น ในประเทศอินเดียมีรายงานว่า สำรองสามารถใช้รักษาอาการอักเสบ แก้ไข้และขับเสมหะ ในประเทศจีน ฮ่องกง และไต้หวัน นิยมใช้สำรองร่วมกับชะเอม จีนต้มกับน้ำ แล้วนำมาจิบบ่อย ๆ เพื่อแก้อาการเจ็บคอ ปัจจุบันมีผู้นำสำรองไปรับประทานเพื่อลดความอ้วนเนื่องจากสำรองสามารถพองตัวได้ดี ส่วนที่ จันทบุรีพบว่าชาวชองนำสำรองมาแช่น้ำรับประทานเป็นอาหารว่าง สำหรับขั้นตอนในการทำน้ำสำรอง เริ่มจากนำผลสำรองมาแช่น้ำประมาณ 2 ชั่วโมง เมื่อพองแล้วนำมาแยกเปลือกและเมล็ดออก จากนั้นนำเนื้อที่ได้มาบีบบนตาข่าย แล้วนำมาบรรจุกระป๋องที่ล้างน้ำและนึ่งฆ่าเชื้อแล้วด้วยปริมาณ 30 กรัม ก่อนจะเติมน้ำเชื่อมและส่วนผสม เช่น ดอกเก๊กฮวย ดอกคำฝอย มะตูม ชาเขียว เป็นต้น หลังจากนั้นปิดฝากระป๋องแล้วนำไปนึ่งฆ่าเชื้อ เสร็จแล้วให้นำไปแช่ในน้ำเย็นทันที จนกระทั่งเย็นจึงนำมาเก็บไว้ 7-10 วันเพื่อรอตรวจดูว่ามีกระป๋องไหนเสียหรือไม่ หาก ไม่เสียก็นำไปติดสติกเกอร์ตราไพลินเพื่อรอการจำหน่ายต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก ๆ ที่เมื่อกลางปี 2547 ทางกลุ่มฯได้รับเครื่องหมาย “อย.” เป็นเครื่องหมายการันตีคุณภาพ ผู้สนใจติดต่อได้ที่ สำนักงานเกษตร กิ่ง อ.เขาคิชฌกูฏ โทร. 0-3930-9092 หรือที่ทำการกลุ่มฯ 0-3945-2143 หรือ 0-1377-0549. http://www.dailynews.co.th)





สหรัฐเร่งศึกษาภาษาใกล้ตาย เชื่อไขความเข้าใจมนุษย์กับโลก

รัฐบาลสหรัฐฯจัดสรรเงิน 4.4 ล้านดอลลาร์ ให้สถาบันวิชาการ 26 แห่ง และนักวิชาการอีก 13 คน ให้ศึกษาภาษา 70 ภาษาที่เชื่อว่าใกล้ตายเพื่อเป็นการอนุรักษ์ภาษา ที่เชื่อว่าเป็นกุญแจไขความเข้าใจที่มนุษย์มีต่อโลกรอบตัว โครงการศึกษาจะเก็บเสียงภาษาพูด ศึกษาไวยากรณ์ และบันทึกเป็นระบบดิจิตอล รวมทั้งให้คนรุ่นใหม่เรียนรู้จากคนรุ่นเก่าด้วย เพราะการศึกษาภาษายังหมายรวมถึงการอนุรักษ์ประเพณีที่ไม่ได้เป็นลายลักษณ์ อักษร ศิลปะศาสนาและอื่นๆด้วย นักภาษาศาสตร์ เชื่อว่ามีภาษาที่มนุษย์ใช้กันในโลกมากกว่า 10,000 ภาษา ทุก 2 สัปดาห์ จะมีผู้สูงอายุที่มีความสามารถด้านภาษาเฉพาะเสียชีวิต โดยคาดว่าภายในปี 2648 หรืออีก 95 ปีข้างหน้า จะมีภาษาท้องถิ่นหายสาบสูญไปกว่า 2,500 ภาษา ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการศึกษาภาษาจะทำให้ เข้าใจจิตของมนุษย์ทำงานอย่างไร การรับรู้ความสัมพันธ์ในห้วงจักรวาล ยกตัวอย่างภาษากูกูยิมัดจีร์ (Guguyimadjir) ที่พูดกันในรัฐควีนส์แลนด์ ของออสเตรเลียจะไม่มีคำว่าซ้าย หรือขวา เพราะพวกเขาจะกำหนดขอบเขตโลกและตัวพวกเขาจากจุดที่เขาเดินผ่าน ซึ่งแสดงถึงการเชื่อมโลกจากภาพรวมไม่ใช่จากตัวมนุษย์เอง หรือภาษากว่า 820 ภาษาในแอฟริกา หรือปาปัวนิวกินี อาจไขความรู้เกี่ยวกับยารักษาโรคอัลไซเมอร์ก็เป็นได้ นอกจากนี้แม้หลายภาษาที่ตายไปแล้ว เช่น ภาษาอินเดียนแดงก็อาจฟื้นกลับมาใช้ได้อีก เช่นเดียวกับภาษาฮิบรู และภาษาไอริช. (ไทยรัฐ อาทิตย์ที่ 14 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ญี่ปุ่นเสิร์ฟเนื้อปลาวาฬให้เด็กนักเรียน

ปลาวาฬเป็นสัตว์อนุรักษ์ที่ทั่วโลกกำลังหวั่นว่ากำลังจะสูญพันธุ์ แต่ญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่นิยมล่าและกินเนื้อปลาวาฬกลับไม่แยแสต่อกระแสการอนุรักษ์ปลาวาฬเท่าใดนัก เมื่อพบว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้โรงเรียนระดับประถมในเมืองวากายา ได้นำอาหารที่ปรุงจากเนื้อปลาวาฬออกมาเสิร์ฟให้นักเรียนกิน โดยนำมาทำเป็นเบอร์เกอร์และลูกชิ้นอีกครั้ง หลังจากหยุดเสิร์ฟเมนูที่ทำจากเนื้อปลาวาฬมานานกว่า 20 ปีแล้ว เจ้าหน้าที่ทางด้านการศึกษาของเมืองวากายา ระบุว่า แต่ละโรงเรียนในเมืองวากายาได้นำเนื้อปลาวาฬมาปรุงเป็นอาหารกลางวันให้เด็กนักเรียนกว่า 57,000 คน ซึ่งเด็ก ๆ ต่างก็ชื่นชอบอาหารจากเนื้อปลาวาฬเป็นอย่างมาก โดยระบุว่ามีรสชาติดี และจุดประสงค์ที่มีการนำเนื้อปลาวาฬมาปรุงอาหารให้นักเรียนรับประทาน ก็เพื่อให้เด็กรุ่นใหม่รู้จักวัฒน ธรรมการล่าปลาวาฬและการกินเนื้อปลาวาฬของประเทศญี่ปุ่น ทั้งนี้รัฐบาลได้ช่วยเหลือลดราคาเนื้อปลาวาฬลงในราคาใกล้เคียงกับเนื้อหมูและไก่ จากเดิมซึ่งมีราคาแพงมาก จนโรงเรียนไม่สามารถซื้อมาปรุงอาหารให้นักเรียนรับประทานได้ (เดลินิวส์ อาทิตย์ที่ 14 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215