หัวข้อข่าวปีที่ 6 ฉบับที่ 31 ประจำวันที่ 2005-08-21

ข่าวการศึกษา

วิจัยพบครูสอนไม่ตรงสาขาเรียนห่วงคุณภาพวิกฤติ
มอบพาสปอร์ตปั้น นร.โอลิมปิกสู่นักวิทย์
เสนอ ทปอ.ออกระบบกลางชั่วคราว เปิดช่องเด็กเรียนล่วงหน้าเทียบโอนหน่วยกิต
ศธ.ตั้งเป้า1ปีขยายสอนภาษาจีน
ขยายเครือข่าย ‘กู๊ดเน็ต’ แก้ปัญหาเด็กหนีเรียน
มหิดลจัดโอเพ่นเฮ้าส์24ส.ค.
แพทย์มศวร่วมรับตรงแอดมิชชั่นส์
อุดมฯ ลุ่มน้ำโขงผนึกกำลัง เสนอตั้ง "สำนักคิดบูรพาทิศ"
คลอดแผน 4 มรภ.ใหม่ เพิ่มคณะเทียบชั้นรุ่นพี่
เปิดรายชื่อปริญญาดุษฎีบัณฑิตราชภัฏปีนี้ ถวายดร."พระเทพฯ"ยุทธศาสตร์พัฒนา"สังฆราช"การศึกษา
"สทศ."นำตัวอย่าง"O-NET"-"A-NET"ขึ้นเว็บ
เสนอเวทีรมต.อาเซียน-ดันตั้งมหา"ลัย
เผยคนไทยอ่านหนังสือวันละ1ชม.59นาที
ระดม100ผู้ทรงคุณวุฒิ ปรับสอนภาษาอังกฤษ
อาเซียนเน้นร่วมมืองานศึกษาขยายเรียนบนเน็ต-เบรกตั้ง ม.
ไอเดียบรรเจิด... เด็กไทยซิว 2 ทอง 1 เงิน "ความคิดสร้างสรรค์โลก"
ม.รังสิตจับมือบริษัทสวีเดนเปิดปริญญาโท
ศศินทร์ลุยปริญญาโทไบโอเทค

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

ซิป้าจัดงานใหญ่เชียงใหม่ฯเอกซโป’05
มะกันเจ๋งทำอุปกรณ์สยบบึ้มมือถือ
ทีโอทีตั้งรร.สร้างนักพัฒนาเกม จับมือมหาวิทยาลัยเกาหลีต้นตำรับเกมออนไลน์
ฝังไมโครชิปลูกเต่า70ตัว หวังไขปริศนาวงจรสัตว์ดึกดำบรรพ์
ถกนักวิชาการนาซา
ทำเตาปรมาณูเท่าบัตรเครดิต แอบผลิตคลังอาวุธเคมีสารพิษ
โลกาภิวัตน์ : HL7
ตั้งศูนย์ทดสอบมือถือไทยเทียบชั้นโวดาโฟน
ประชุม ‘วิชาการปุ๋ยโลก’ ครั้งที่ 14
ชิพอัจฉริยะเก็บข้อมูลผักหนุนเกษตรซื้อขายสินค้าไม่พลาด
เปิดตัวธนาคาร"เสต็มเซลล์"เพาะอวัยวะสำรองสร้างอะไหล่ประกันชีวิต
ผอ.สวทช.ยัน"อุทยานวิทย์ฯ"ไม่ผลาญงบฯชาติ
"ซุปเปอร์แบคทีเรีย"ระบาด ฆ่า"ทหารสหรัฐ"จากสมรภูมิอิรัก
โรงงาน"โซลาร์เซลล์"ใหญ่สุดในโลก
ยานอวกาศ"นาซ่า" มุ่งหน้าสู่ดาวแดง
จีนส่งดาวเทียมสำรวจดวงจันทร์ปี"50
จีนหันมาผลิตไฟฟ้าด้วยแรงลม หวังจะได้ไฟใช้อย่างเหลือเฟือ
ไทยติดอันดับ 3 อาเซียน ลงทุนด้านไบโอเทค
จีนเร่งผลิตไฟฟ้าพลังงาน"ลม"
ยุ่นทดสอบแขนกล ส่งแข่งจับปลาทอง
ระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Tractability) กับอนาคตการส่งออกสินค้าไทยในตลาดอียู
ออกซิเจนมีส่วนสร้าง แมลงยักษ์ดึกดำบรรพ์
ทวีปแอตแลนติกใต้ทะเล โดนเดชสึนามิถล่มสมัยหมื่นกว่าปี

ข่าววิจัย/พัฒนา

สมองหมูปลูกฝังสมองคน รักษาลิงสมองเสื่อมได้ผล
ดื่มโกโก้ป้องกันโลหิตจับตัวอุดตัน มีสารอย่างเดียวกับเหล้าไวน์แดง
เอไอทีจับหญ้าแฝกทำยุ้งฉางหายใจได้
แพทย์ไทยเพาะเลี้ยงเซลล์มะเร็งสำเร็จ
อาชีวะเปิดตัว “ตู้จ่ายนมอัตโนมัติ” ตัดตอนขบวนการโกงนมเด็ก
"ตู้ยาอัจฉริยะ" หมอประจำบ้าน
แปรรูปก.วิทย์-ICT ล้างแนวคิดราชการ บริหารแบบ"ธุรกิจ"
ดื่มกาแฟช่วยป้องกันมะเร็งตับ แต่ยังไม่รู้สาเหตุว่าด้วยธาตุอันใด
เครื่องผ่าจาวตาล...ผ่าได้เร็วอย่างที่ใจต้องการ
วัยรุ่นสายเดี่ยวเสี่ยงมะเร็งผิวหนัง
"หลังคายาง"ขี้เลื่อยไม้ยางพาราคลายร้อนเยี่ยม-ผลงานนักวิจัย มจธ.
รถเหาะ"พัลวี"
รู้จักดร.ธวัช วิรัตติพงศ์ นักวิทย์เลือดไทยใน"นาซ่า"
พบวิธีผลิตเนื้อในจานแก้วทดลอง ไม่ต้องเลี้ยงสัตว์เพื่อใช้กินเนื้อ
เติมธาตุเหล็กให้กับสมองคนไทย ผสมใส่ในข้าวและขนมขบเคี้ยว
รีโมตคอนโทรล ควบคุมมนุษย์
ยุ่นพัฒนารีโมทบังคับคน สั่งเซซ้ายขวาได้-เล็งใช้ในเกมสมจริง
ฟิลิปส์ชวนนศ. ทำเครื่องไฟฟ้า เสริมสมองกล
ฮาร์วาร์ดโดดร่วมวงวิจัย ต้นกำเนิดสิ่งกำเนิดสิ่งมีชีวิตบนโลก
ศูนย์นาโนเทคเปิดตัว'ฟองน้ำจิ๋ว'
มะกันเปิดตัวหุ่นยนต์ชีววิทยา สำรวจหาสิ่งมีชีวิตในทะเลทรายชิลี
สกูตเตอร์...พลังงานแสงอาทิตย์
ดนตรีช่วยพัฒนาสมองเด็กได้ดี นักดนตรีเอกล้วนแต่ฝึกยังเล็ก
สาหร่ายช่วยชะลอความหนุ่มสาว ควบคุมกลไกของความตาย
ผิวหนังเทียมรู้ร้อนรู้หนาวติดเซ็นเซอร์วัดแรงกดและอุณหภูมิ
วงการแพทย์ตื่นทำวิจัย หลังพบเลือดจระเข้ฆ่าเชื้อเอดส์ได้
พลาสติกมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ออสซี่เคร่งพัฒนาหุ่นยนต์ / ใช้งานภารกิจเสี่ยงตาย
เด็กอาชีวะโชว์ฝีมือ"ต่อเรือ"
ปลูกฟันแท้ใหม่ให้กับมนุษย์ได้ เหมือนกับฟันของปลาฉลาม
ผิวสวยด้วยสบู่มะพร้าว แถมกลิ่นสมุนไพรให้ความสดชื่น
ชวนชิมผักผลไม้สีส้มและเหลือง ต่อต้านโรคข้ออักเสบ
แคปซูลวัดความร้อนในกายป้องกันนักกีฬาหัวใจวาย
รากฟันเทียม” ฝีมือไทย ก้าวแรกของ “ศูนย์เทคโนโลยีทันตกรรม”
เด็กไทยเจ๋งผลิตสิ่งประดิษฐ์ "เครื่องตากผ้าอัตโนมัติ....อยู่ที่ไหนก็หายห่วง"
นวัตกรรมใหม่แป้งฝุ่นเลิกทัลคัม หันใช้แป้งข้าวเจ้าลดสารก่อมะเร็ง
ทีมนักวิทยาศาสตร์อังกฤษประกาศ เพาะ"เซลล์ประสาท"มนุษย์ได้แล้ว

ข่าวทั่วไป

ช้างเจ้าป่ายังยอมศิโรราบให้พริก ชาวนาปลูกป้องกันไร่นา
กฎหมายมีผลแล้ว-บังคับหน่วยงานรัฐ จัดสิ่งอำนายความสะดวกคนพิการ
ตร.สวิสหันมาใส่สเกตแทนขี่ม้าสู้กับราคาน้ำมันแพงขึ้นรายวัน
มหกรรมพืชสวนโลกฯเทิดพระเกียรติ
จิตรกรน้อยไทย … คว้าชัยศิลปะโลก
ชุดแรกของโลก
ทูตไทยทั่วโลกเข้าเฝ้าฯในหลวง กราบบังคมทูลพลังงานทางเลือก
Trans fats ไขมันอันตราย
หวัดนกรัสเซียเป็นสายพันธุ์อันตราย
เตือนเด็กสาวอดข้าวอยากสวย เป็นโรคกระดูกผุบางยังไม่ทันแก่
นานาชาติเข้าร่วมชิงชัยความเป็นหนึ่ง แข่งขันภาษาจีนเพชรยอดมงกุฎ
ปล่อยเด็กเล็กกินเฟรนช์ฟรายบ่อย เสี่ยงมะเร็งเต้านมเมื่อสาว
"ผลเสีย"การลดน้ำหนักแบบ"รวดเร็ว"





ข่าวการศึกษา


วิจัยพบครูสอนไม่ตรงสาขาเรียนห่วงคุณภาพวิกฤติ

รศ.ดร.พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์ คณบดีคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะประธานคณะวิจัยเรื่อง “การขาดแคลนครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานตามกลุ่มสาระการเรียนรู้” เปิดเผยว่า ในการทำวิจัยเรื่องดังกล่าวจากการเก็บข้อมูลครูในสังกัดสำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาใน 115 เขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 84,206 คน โดยแยกเป็น 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ พบว่าครูสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย จำนวน 11,016 คน แยกเป็นสอนตรงวิชาเอก 8,330 คน คิดเป็น 76% สอนตรงวิชาโท 274 คน คิดเป็น 2% สอนไม่ตรงวิชาเอกและโท 2,412 คน คิดเป็น 22% คณิตศาสตร์ 12,057 คน สอนตรงวิชาเอก 8,890 คน คิดเป็น 74% สอนตรงวิชาโท 314 คน คิดเป็น 3% สอนไม่ตรงวิชาเอกและโท 2,853 คน คิดเป็น 24% วิทยาศาสตร์ 13,082 คน สอนตรงวิชาเอก 11,111 คน คิดเป็น 85% สอนตรงวิชาโท 156 คน คิดเป็น 1% สอนไม่ตรงวิชาเอกและโท 1,815 คน คิดเป็น 14% ส่วนสังคมศึกษา/ ศาสนา 12,882 คน สอนตรงวิชาเอก 9,187 คน คิดเป็น 73% สอนตรงวิชาโท 257 คน คิดเป็น 2% สอนไม่ตรงวิชาเอกและโท 3,138 คน คิดเป็น 25% ในส่วนภาษาต่างประเทศ 9,587 คน สอนตรงวิชาเอก 7,717 คน คิดเป็น 80% สอนตรงวิชาโท 299 คน คิดเป็น 3% สอนไม่ตรงวิชาเอกและโท 1,571 คน คิดเป็น 16% อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่สำรวจพบว่าการขาดแคลนครูที่สอน ไม่ตรงกลุ่มสาระการเรียนรู้ถือว่ามีจำนวนมาก และถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ ต่อไปก็จะทำให้การขาดแคลนครูวิกฤติทั้งด้านปริมาณ และคุณภาพมากขึ้น. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 15 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





มอบพาสปอร์ตปั้น นร.โอลิมปิกสู่นักวิทย์

ดร.ประวิช รัตนเพียร รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า ได้มอบหมาย ให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) จัดทำหนังสือเดินทางสู่เส้นทางนักวิทยาศาสตร์ (Young Scientist Passport) แก่ผู้ได้รับรางวัลโอลิมปิกวิชาการ โดยผู้ถือบัตรจะได้รับสิทธิพิเศษ ที่จะมีนักวิทยาศาสตร์พี่เลี้ยง ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของประเทศทำหน้าที่ดูแล ให้คำแนะนำด้านวิชาการ และทำวิจัยร่วมกันอย่างใกล้ชิด ตลอดทั้งสามารถใช้อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือ ทางวิทยาศาสตร์ของกระทรวงในการฝึกปฏิบัติการ และดำเนินการวิจัยตามความถนัดและศักยภาพพิเศษที่มีอยู่ นอกจากนั้นยังได้รับการดูแลเสมือนเป็นนักเรียนวิทยาศาสตร์ในสังกัดกระทรวงวิทย์ ที่จะได้รับการส่งเข้าอบรม ดูงาน ประชุมสัมมนา ตลอดจนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก ซึ่งโครงการดังกล่าวจะเป็นการบ่มเพาะเยาวชนของชาติ ที่มีอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์ ให้พร้อมที่จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของประเทศและของโลกต่อไป และยังเป็นการเตรียมกำลังคนเพื่อรองรับศักยภาพการแข่งขัน ที่ต้องใช้ฐานความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในระบบเศรษฐกิจใหม่ด้วย โดยจะมีพิธีมอบหนังสือเดินทางสู่เส้นทางนักวิทยาศาสตร์ ให้กับนักเรียนโอลิมปิกวิชาการในเร็วๆนี้. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 15 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





เสนอ ทปอ.ออกระบบกลางชั่วคราว เปิดช่องเด็กเรียนล่วงหน้าเทียบโอนหน่วยกิต

ดร.กอปร กฤตยากีรณ ประธานคณะทำงานโครงการนำร่องโครงการเรียนล่วงหน้า กล่าวในการสัมมนา "โครงการเรียนล่วงหน้าสำหรับประเทศไทย" เมื่อเร็วๆ นี้ว่า สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดโครงการเรียนล่วงหน้า เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนมัธยมได้เรียนวิชาที่มีความถนัดสูงในมหาวิทยาลัย หากสอบผ่านตามเกณฑ์จะได้รับหน่วยกิตการเรียนในวิชานั้น เมื่อเข้าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมโครงการ ขณะนี้มีมหาวิทยาลัย 2 แห่งร่วมโครงการแล้ว คือ ม.มหิดล ที่ให้นักเรียนโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ เรียนหลักสูตรชั้นปีที่ 1 คณะวิทยาศาสตร์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมถึงมีอีก 4 แห่งสนใจเข้าร่วมโครงการ คือ ม.เชียงใหม่ ม.ขอนแก่น ม.สงขลานครินทร์ และ ม.อุบลราชธานี "อาจารย์และเด็กในโครงการเป็นห่วงว่า ไม่สามารถเทียบโอนหน่วยกิตกับมหาวิทยาลัยอื่นที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการ ทำให้ผลการเรียนเด็กไม่ได้ใช้ประโยชน์ จะเสนอที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ให้มีระบบกลางชั่วคราว เพื่อให้เด็กกลุ่มนี้เทียบโอนหน่วยกิตกับมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการได้ โดยในอนาคตจะผลักดันให้มีระบบกลางที่มหาวิทยาลัยทุกแห่งเปิดให้เด็กกลุ่มนี้เทียบโอนหน่วยกิต" ดร.กอปร กล่าว รศ.ดร.วีระศักดิ์ อุดมกิจเดชา รองอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปีนี้มหาวิทยาลัยเริ่มโครงการเรียนล่วงหน้ากับโรงเรียนในเครือข่าย 3 แห่ง คือ โรงเรียนสาธิตจุฬา โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน และโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา มีเด็ก ม.ปลายเข้าร่วมโครงการใน 7 รายวิชา คือ เคมี ชีววิทยา ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และคอมพิวเตอร์ โดยเรียนเนื้อหาวิชานิสิตชั้นปีที่ 1 จุฬาฯ ผศ.ดร.วันชัย สุ่มเล็ก ผู้อำนวยการวิทยาเขตหนองคาย ม.ขอนแก่น กล่าวว่า มหาวิทยาลัยโดยคณะต่างๆ เช่น คณะวิทยาศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ร่วมกับโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น และโรงเรียนในพื้นที่อีก 3 แห่ง เริ่มโครงการในวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ภาษาอังกฤษและภาษาไทยในปีการศึกษา 2549 ผศ.วรรณวิไล อธิวาสน์พงศ์ คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ ม.อุบลราชธานี กล่าวว่า สภามหาวิทยาลัยเห็นชอบให้คณะวิทยาศาสตร์ทำโครงการร่วมกับโรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัยมุกดาหาร เริ่มนำร่องสาขาวิชาเคมีในปีการศึกษา 2549 คาดว่ามีเด็กร่วมโครงการ 20 คน หากสอบได้เกรดเอ จะให้โควตาเข้าเรียน ทั้งนี้ ม.เชียงใหม่ และ ม.สงขลานครินทร์ คาดว่าจะเริ่มโครงการเรียนล่วงหน้าได้ในปีการศึกษา 2549-2550 (คมชัดลึก จันทร์ที่ 15 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ศธ.ตั้งเป้า1ปีขยายสอนภาษาจีน

คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงแนวทางการจัดการเรียนการสอนภาษาจีน ตามนโยบายของนายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ว่า ขณะนี้กำลังรวบรวมประสบการณ์ของหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนที่จัดการเรียนการสอนภาษาจีน ซึ่งเบื้องต้นมีตั้งแต่ศูนย์การเรียนการสอนภาษาอังกฤษของวัดไตรมิตร โรงเรียนจีนที่เปิดสอนในภาคเหนือ ซึ่งมีอยู่จำนวนมาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งทราบว่าจะเปิดการเรียนการสอนในเร็วๆ นี้ ก็จะเชิญมาหารือร่วมกัน ซึ่งแนวทางที่ ศธ.วางไว้คืออยากขยายการเรียนการสอนภาษาจีนให้กว้างขวางมากขึ้น ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหา เพราะเราเคยมีประสบการณ์จัดการเรียนการสอนภาษาจีนมาแล้ว เช่น โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) เปิดสอนภาษาจีนประมาณ 80 โรงเรียน สถานศึกษาสังกัดสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(สช.) ประมาณ 100 โรงเรียน อีกทั้งก่อนหน้านี้เคยมีการหารือร่วมกับสถาบันสอนภาษาจีน ซึ่งสนใจที่จะจัดทำหลักสูตรคู่มือแบบเรียนร่วมกับ ศธ. รวมถึงการสนับสนุนเรื่องของครูจีนทุกวันนี้ก็มีความร่วมมืออยู่แล้วในหลายหน่วยงานเช่น มหาวิทยาลัยยูนานของจีน ได้จัดส่งบุคลากรมาช่วยสอน โดยสรุปเป็นไปได้สูงที่จะขยายการเรียนการสอนภาษาจีน โดยเฉพาะประเทศจีนเองก็พร้อมให้ความร่วมมือ ซึ่งปีนี้เป็นปีครบรอบ 30 ปี ความสัมพันธ์ไทย-จีน จึงน่าทำให้เรื่องนี้ชัดเจนขึ้นได้ ฉะนั้นคิดว่าภายในปีหน้าจะสามารถเปิดสอนภาษาจีนได้กว้างขวางกว่านี้ ส่วนในเรื่องความสามารถของครูและนักเรียนในการใช้ภาษาจีนคงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-4 ปี ซึ่งรายละเอียดคงต้องหารือกันต่อไป (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 15 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ขยายเครือข่าย ‘กู๊ดเน็ต’ แก้ปัญหาเด็กหนีเรียน

คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เผยหลังการประชุมเพื่อหามาตรการในการป้องกันการหนีเรียนของนักเรียน ร่วมกับผู้แทนจากกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ผู้บริหารโรงเรียน นักเรียน และเจ้าของร้านอินเตอร์เน็ต ว่า สืบเนื่องจาก ศธ.ได้รับแจ้งข้อมูลจาก สายด่วนการศึกษา 1579 พบว่ามีนักเรียนหนีเรียนเป็นจำนวนมาก และจากการติดตามแหล่งมั่วสุมรอบๆโรงเรียน พบว่าส่วนใหญ่แวดล้อมไปด้วยร้านอินเตอร์เน็ต ร้านเหล้า และแหล่งบันเทิง จึงได้หารือถึงแนวทางแก้ปัญหา ซึ่งจากการหารือ ทางโรงเรียนยอมรับว่าเป็นปัญหาจริง และปัญหาไม่ใช่เฉพาะร้านอินเตอร์เน็ตเท่านั้น ยังมีร้านเหล้า แก๊งซิ่งมอเตอร์ไซค์และอื่นๆ แต่การหารือครั้งนี้เจาะลึกที่ปัญหาอินเตอร์เน็ต ซึ่งเท่าที่ฟังมีหลายระดับทั้งที่ห้ามไม่ให้ผู้ปกครองและครูเข้าไปในร้าน และร้านอินเตอร์เน็ตที่ดี ผู้แทนกระทรวงไอซีทีแจ้งว่า ขณะนี้มีมติคณะรัฐมนตรีที่ห้ามไม่ให้ร้านอินเตอร์เน็ตรับเด็กเข้าร้านก่อนเวลา 14.00 น. และหลัง 22.00 น. แต่ยังไม่เป็นที่ทราบโดยทั่วกัน ที่ประชุมจึงมีมติให้เผยแพร่ มติ ครม.ให้กว้างขวาง และขยายเครือข่ายร้านกู๊ดเน็ตที่มีอยู่ 180 กว่าแห่ง เป็น 5,000 กว่าแห่ง และกระทรวงไอซีทีอยากให้ ศธ.นำเนื้อหาดีๆไปใส่ในอินเตอร์เน็ต รวมทั้งเสนอพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยนำเด็กที่เล่นเกมเก่งๆมาสอนโปรแกรมและแอนิเมชั่น ซึ่งอาจทำให้เด็กพัฒนาศักยภาพของตัวเองในเชิงสร้างสรรค์ ทั้งนี้ได้นำเสนอมาตรการดีๆที่โรงเรียนทำอยู่และได้ผล อาทิ ร.ร.เทพศิรินทร์ที่มีการสำรวจเด็กทุกเช้าว่ามีใครหายไปบ้างและแจ้งผู้ปกครองให้ทราบทันที บางโรงมีการประสานกับตำรวจให้ตัดตอน ด้วยการเจอเด็กหนีเรียนที่ไหนให้อุ้มกลับโรงเรียนทันที แต่มีปัญหาที่สถานีตำรวจบางแห่งยังไม่ให้ความร่วมมือ ซึ่ง ศธ.จะพยายามขอความร่วมมือต่อไป ทั้งนี้ มีหลายฝ่ายเรียกร้องอยากให้ฟื้นสารวัตรนักเรียนกลับมา ซึ่งตนชี้แจงว่าไม่สามารถทำได้ แต่ต่อไปจะมีเจ้าหน้าที่ส่งเสริมความประพฤตินักเรียนมาแทน ซึ่งจะมีการอบรมในเดือน ก.ย.นี้. (ไทยรัฐ อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





มหิดลจัดโอเพ่นเฮ้าส์24ส.ค.

ศ.ดร.อมเรศ ภูมิรัตน คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้จัดให้มีงานโอเพ่นเฮ้าส์เพื่อเปิดคณะให้เยาวชนและครูจากโรงเรียนต่างๆ ในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงกว่า 7,000 คน ได้ศึกษาดูงานห้องปฏิบัติการและการวิจัยของคณะวิทยาศาสตร์ตลอดจนได้เห็นวิถีชีวิตของนักวิทยาศาสตร์ และเห็นที่มาของผลงานวิจัยคุณภาพระดับสากลจำนวนมาก ภายในงานนี้ ในช่วงเช้าวันที่ 24 สิงหาคม ได้จัดให้มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ โดย ศ.ดร.อมเรศ ภูมิรัตน คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นประธาน มีการมอบรางวัลนักศึกษาวิทยาศาสตร์ดีเด่น และมีการบรรยายพิเศษ "Watching The Universe (เฝ้ามองเอกภพ)" โดย Dr.David Ruffolo จากภาควิชาฟิสิกส์ ในห้อง L01 ตึกกลม และในภาคบ่าย 13.00-15.00 น. จะมีการประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลการรับเข้าศึกษาต่อในคณะต่างๆ ของมหาวิทยาลัยมหิดล ในห้อง L05 และการบรรยายสาธิต (Science Lecture) เรื่อง "Biology The New Era" โดยอาจารย์รุ่นใหม่ของภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ที่ห้อง L01 รวมถึงเปิดให้เข้าเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการวิจัยต่างๆ ของคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยการชมนิทรรศการสามารถชมได้ทั้งวันตั้งแต่ 09.00-16.00 น. สอบถามโทร. 0-2201-5070, 0-2201-5071 (คมชัดลึก อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





แพทย์มศวร่วมรับตรงแอดมิชชั่นส์

รศ.น.พ.อรุณวงศ์ เทพชาตรี คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยว่า คณะแพทย์ มศวรับนิสิตปีการศึกษา 2549 จำนวน 130 คน แบ่งเป็น 1.สอบตรงโดยคณะเป็นคนคัดเลือกเพื่อเข้าโครงการความร่วมมือกับ ม.นอตติ้งแฮม ประเทศ อังกฤษ โดยไปเรียนในชั้นปีที่ 1-3 ที่ ม.นอตติ้งแฮม จากนั้น ปี 4-6 กลับมาเรียนที่คณะแพทย์มศว จนจบการศึกษา โครงการนี้รับนิสิตจำนวน 10 คน 2.โครงการแพทย์วันดอกเตอร์วันตำบล หรือเรียกว่าแพทย์หนึ่งตำบลหนึ่งแพทย์ เรียกย่อๆ ว่าโอดอท อยู่ภายใต้โครงการของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จำนวน 30 คน ซึ่งจะให้โควตาพิเศษกับจังหวัดทางภาคอีสาน ได้แก่ มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด และสกลนคร ทั้งนี้ จำนวนอีก 90 คนที่เหลือคณะแพทย์ มศวจะรับด้วยวิธีรับตรงแอดมิชชั่นส์ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ซึ่งจะคัดเลือกร่วมกับกลุ่มสถาบันแพทย์หลายๆ สถาบัน โดยให้เด็กเลือกได้ 3 อันดับ แต่มีสิทธิเลือกเรียนได้สถาบันเดียว ตอนนี้กลุ่มสถาบันแพทย์กำลังหารือเพื่อดูว่านอกจากจะต้องสอบโอเน็ต เอเน็ต และใช้จีพีเอมาพิจารณาแล้ว จะมีการทดสอบพิเศษแบบไหนอีกบ้าง เพื่อให้ได้นิสิต นักศึกษาแพทย์ตามปณิธานความเป็นแพทย์ (คมชัดลึก อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





อุดมฯ ลุ่มน้ำโขงผนึกกำลัง เสนอตั้ง "สำนักคิดบูรพาทิศ"

สถาบันอุดมศึกษาประเทศแถบลุ่มน้ำโขงผนึกกำลัง เสนอตั้งสำนักคิดบูรพาทิศ เพื่อเป็นแหล่งความรู้ด้านมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และประวัติศาสตร์ ระดับปริญญาโทและเอก แก้ปัญหานักวิชาการบริโภคแต่ความรู้จากตะวันตก ผศ.ดร.อรรถ กล่าวอีกว่า โดยสำนักคิดบูรพาทิศจะตั้งให้เสร็จภายในปี 2548 นี้ ซึ่งอาจตั้งที่ มมส.หรือ ม.นครพนม ทั้งนี้จะได้นำกรอบยุทธศาสตร์อุดมศึกษาในประเทศลุ่มน้ำโขง และการจัดตั้งสำนักคิดบูรพาทิศเข้าหารือกับเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ในการประชุมคณะกรรมการวิชาการโครงการจัดตั้ง ม.นครพนม ระหว่างวันที่ 28-29 สิงหาคม (คมชัดลึก อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





คลอดแผน 4 มรภ.ใหม่ เพิ่มคณะเทียบชั้นรุ่นพี่

ดร.พลสัณห์ โพธิ์ศรีทอง รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดทำแผนปฏิบัติการหรือโรดแม็พ ของมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) เกิดใหม่ทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ มรภ.ร้อยเอ็ด มรภ.ชัยภูมิ มรภ.กาฬสินธุ์ และ มรภ.ศรีสะเกษ ว่า ขณะนี้ทั้ง 4 แห่งได้จัดทำแผนปฏิบัติการโรดแม็พเสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างการเสนอสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) โดยแผนปฏิบัติการโรดแม็พจะเป็นแผนระยะยาว 3 ปี มุ่งยกระดับ มรภ.ทั้ง 4 แห่งให้เทียบเท่า มรภ.รุ่นพี่ และได้เสนอขอเปิดคณะและขยายสาขาวิชาเพิ่มเติม เนื่องจากโครงสร้าง มรภ.ทั้ง 4 แห่ง จะมีเพียง 2 คณะหรือเทียบเท่า ประกอบด้วย สำนักงานอธิการบดี และคณะศิลปศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และจากการสำรวจความต้องการของชุมชน ส่วนใหญ่สนใจด้านบริหารธุรกิจ การบัญชีเพื่อท้องถิ่น และคอมพิวเตอร์เพื่อการพัฒนาชุมชน การขอเปิดคณะและสาขาเพิ่มเติม ไม่ถือว่าขัดกับโครงสร้างเดิมที่ สกอ.กำหนดให้มีเพียง 2 คณะ เนื่องจาก มรภ.ทั้ง 4 แห่ง สามารถเสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการการอุดมศึกษา เพื่อขอแบ่งส่วนราชการได้ และการขอจัดตั้งคณะและสาขาเพิ่ม อาจจะเริ่มจัดตั้งใน 2549 หรือปีต่อไป ขึ้นอยู่กับความพร้อมของ มรภ.แต่ละแห่ง (คมชัดลึก อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





เปิดรายชื่อปริญญาดุษฎีบัณฑิตราชภัฏปีนี้ ถวายดร."พระเทพฯ"ยุทธศาสตร์พัฒนา"สังฆราช"การศึกษา

นายพลสัณห์ โพธิ์ศรีทอง รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวถึงกำหนดการพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตมหาวิทยาลัยราชภัฏในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จแทนพระองค์ไปในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏและสถาบันการศึกษาพลศึกษาในโครงการสมทบ ประจำปีการศึกษา 2546-2547 ในส่วนภูมิภาค โดยภาคเหนือที่หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 16-20 ส.ค. โดยมีบัณฑิตที่เข้ารับพระราชทานปริญญาทั้งสิ้น 24,135 คน แบ่งเป็นระดับปริญญาโท 382 คน และระดับปริญญาตรี 23,753 คน สำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี จ.อุบลราชธานี ระหว่างวันที่ 22-26 ส.ค.นี้ โดยมีบัณฑิตเข้ารับพระราชทานปริญญาทั้งสิ้น 28,906 คน แบ่งเป็นระดับปริญญาโท 806 คน และระดับปริญญาตรี 28,100 คน นายพลสัณฑ์กล่าวอีกว่า ปีนี้มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ดและมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขายุทธศาสตร์การพัฒนา แด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขณะที่มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ถวายปริญญาครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการบริหารการศึกษา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช นอกจากนี้ยังมีบุคคลที่มีชื่อเสียงที่ประกอบคุณความดีต่อระบบการศึกษาไทยเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในครั้งนี้ด้วย ได้แก่ ด.ต.วิชัย สุริยุทธ นักปลูกต้นไม้ 2 ล้านต้น ได้รับปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาสังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนา จากมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ และวิทยาศาสตรมหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ส่วนนายอดิศร เพียงเกษ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ได้รับปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาสังคมเพื่อการพัฒนา ขณะที่นายอัสนี โชติกุล และนายวสันต์ โชติกุล นักร้องชื่อดังได้รับปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาดนตรี จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเลย (ข่าวสด อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





"สทศ."นำตัวอย่าง"O-NET"-"A-NET"ขึ้นเว็บ

นายประทีป จันทร์คง รักษาการผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ(สทศ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ สทศ.ได้จัดทำและนำตัวอย่างข้อสอบแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือ O–NET และแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง หรือ A–NET ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ขึ้นในเว็บไซต์ของสถาบัน www.ntthailand.com เพื่อให้นักเรียนที่สนใจเข้าไปทดลองทำตัวอย่างข้อสอบ ด้านนายประเสริฐ ชิตพงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.) กล่าวว่า ระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษา หรือระบบแอดมิสชั่นส์กลาง ที่จะนำมาใช้แทนระบบเอ็นทรานซ์ในปีการศึกษา 2549 ในส่วนของหลักการในขณะนี้ลงตัวแล้ว จากนี้ไปสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) จะต้องออกประกาศและดำเนินการในขั้นตอนต่างๆ เช่น การรับสมัครสอบวิชาเฉพาะในระหว่างวันที่ 15 สิงหาคม-5 กันยายน นางศศิธร อหิงสโก ผู้อำนวยการสำนักทดสอบกลาง(สทก.) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กล่าวว่า ในขั้นตอนการรับสมัครสอบวิชาเฉพาะ ผู้สมัครจะต้องคำนวณค่าสมัครและค่าวิชาที่จะสอบ จากนั้นให้ไปจ่ายเงินผ่านธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารทหารไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือผ่านตู้ ATM หรือผ่าน Internet Banking โดยค่าสมัครสอบวิชาเฉพาะวิชาละ 100 บาท ค่าธรรมเนียมธนาคาร 15 บาท และค่าธรรมเนียมเซิร์ฟเวอร์อีก 5 บาทต่อการจ่ายเงิน 1 ครั้ง เมื่อจ่ายค่าสมัครแล้วจึงจะมีสิทธิเข้าไปกรอกรายละเอียดเพื่อสมัครเข้าสอบที่เว็บไซต์ www.cuas.or.th โดยดูรายละเอียดการสมัครได้จากเว็บไซต์เดียวกัน ทั้งนี้ ผู้สมัครสามารถยื่นแก้ไขข้อมูลได้ภายในวันที่ 15 กันยายน ประกาศผังที่นั่งสอบ และอุปกรณ์ วันที่ 1 ตุลาคม สอบข้อเขียนและภาคปฏิบัติ วันที่ 15-21 ตุลาคม และแจ้งผลการสอบ วันที่ 29 พฤศจิกาย (มติชนรายวัน พุธที่ 17 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





เสนอเวทีรมต.อาเซียน-ดันตั้งมหา"ลัย

นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีด้านการศึกษาของอาเซียน ในวันที่ 18-19 ส.ค. ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่น กรุงเทพฯ โดยมีรัฐมนตรีด้านการศึกษาจากบรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม และไทย พร้อมด้วยสำนักเลขาธิการอาเซียน และสำนักงานเลขาธิการรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เข้าร่วมประชุม เพื่อผลักดันให้ร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียนให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น จะช่วยลดช่องว่างทางวิทยาการระหว่างประเทศสมาชิก และก่อให้เกิดการพัฒนาร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการผลักดันให้รัฐมนตรีด้านการศึกษาของอาเซียน มีบทบาทในการเสนอวาระสำคัญด้านการศึกษา สู่การประชุมระดับผู้นำของอาเซียนในเดือนพ.ย.นี้ ขณะนี้ สกอ. กำลังรวบรวมวาระการประชุมที่ประเทศอาเซียนเสนอ ในส่วนของประเทศไทย สกอ.จะเสนอความร่วมมือด้านต่างๆ ได้แก่ 1.การกำหนดรูปแบบการประชุมด้านการศึกษาปีละ 1-2 ครั้ง 2.การแลกเปลี่ยนนักเรียนและนักศึกษา เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพการศึกษา 3.ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และ 4.การเสนอจัดตั้งมหาวิทยาลัยอาเซียน หลังจากมีการตกลงดำเนินโครงการเครือข่ายมหาวิทยาลัยในภูมิภาคอาเซียนมากว่า 10 ปีแล้ว โดยจะหารือในที่ประชุมรัฐมนตรีด้านการศึกษาของอาเซียน เกี่ยวกับรูปแบบการตั้งมหาวิทยาลัยอาเซียน อาจจะเป็นรูปแบบวิทยาเขต หรือแคมปัส ในสถานที่ของประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ ผ่านเครือข่ายไซเบอร์ยูนิเวอร์ซิตี้ (ข่าวสด พุธที่ 17 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





เผยคนไทยอ่านหนังสือวันละ1ชม.59นาที

เมื่อวันที่ 17 ส.ค.48 รายงานข่าวจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ เปิดเผยผลการสำรวจพฤติกรรมการอ่านหนังสือของประชากร ประจำปี 2548 โดยเก็บข้อมูลจากประชากรอายุ 6 ปีขึ้นไป จำนวน 59.2 ล้านคน ช่วงเดือนพฤษภาคม 2548 เพื่อเก็บข้อมูลจำนวนผู้อ่านหนังสือ พฤติกรรมการอ่านหนังสือ และเหตุผลของผู้ที่ไม่อ่านหนังสือ ตลอดจนความคิดเห็นต่อการส่งเสริมให้ประชาชนรักการอ่าน ทั้งนี้สำนักงานสถิติแห่งชาติ กำหนดว่าการอ่านหนังสือในที่นี่หมายรวมทั้งตำราเรียน ตลอดจนการอ่านจากอินเตอร์เน็ต โดยพบว่า จากกลุ่มสำรวจ 59.2 ล้านคน มีผู้อ่านหนังสือประจำประมาณ 40.9 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 69.1 และพบว่าเพศชายอ่านหนังสือมากถึงร้อยละ 51.5 ขณะที่เพศหญิง อยู่ที่ร้อยละ 48.5 ในเด็กอายุ 10-14 ปี มีอัตราการอ่านหนังสือสูงสุด คิดเป็นร้อยละ 95.2 ซึ่งอาจเป็นเพราะอยู่ในวัยกำลังเรียน รองลงมาคือเยาวชน 15-24 ปีคิดเป็นร้อยละ 83.1 สำหรับกลุ่มคนวัยทำงาน 25-59 ปี พบว่ามีค่าเฉลี่ยของการอ่านหนังสือ ร้อยละ 65.0 ส่วนกลุ่มที่อ่านหนังสือน้อยที่สุด คือ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป คือร้อยละ37.4 สำหรับประเภทของหนังสือ ที่ประชาชนให้ความสนใจอ่านเป็นอันดับหนึ่ง ได้แก่ หนังสือพิมพ์ซึ่งส่วนมากจะอ่านเพื่อรับรู้ข่าวสาร คิดเป็นร้อยละ 72.9 รองมาคือนวนิยาย การ์ตูน หนังสืออ่านเล่น ส่วนกลุ่มหนังสือธรรมะ มีเพียงร้อยละ 5.7 เท่านั้น ที่น่าสนใจคือมีประชากรร้อยละ 10.2 ให้ความสนใจอ่านหนังสือผ่านอินเตอร์เน็ต แม้จะเป็นสัดส่วนที่ไม่มาก แต่ก็สะท้อนถึงความสำคัญของสื่ออินเตอร์เน็ตที่มีบทบาทในชีวิตมากขึ้น ทั้งนี้ ประชากรส่วนใหญ่ใช้เวลาอ่านหนังสือ ในแต่ละวันประมาณ 1 ชั่วโมง 59 นาที ส่วนสาเหตุที่ประชากรไม่อ่านหนังสือ นั้นพบว่า มีผู้อ่านหนังสือไม่ออกประมาณ 18.3 ล้าน ขณะเดียวกันผู้ที่อ่านหนังสือ ออกแต่ไม่อยากอ่านส่วนใหญ่ ร้อยละ 48.8 ให้เหตุผลว่าเพราะชอบดูทีวีมากกว่า อีกร้อยละ 36.0 บอกไม่มีเวลาอ่าน อย่างไรก็ตามกลุ่มตัวอย่าง ได้เสนอแนะแนวทางส่งเสริมการอ่านแก่ประชาชนทุกเพศทุกวัยว่า รัฐควรส่งเสริมเรื่องห้องสมุดประจำหมู่บ้าน/ชุมชน หนังสือที่ผลิตจำหน่ายในท้องตลาดไม่ควรมีราคาแพงเกินไป ควรมีเนื้อหาสาระที่น่าสนใจ สามารถหาซื้อได้ง่าย ที่สำคัญควรส่งเสริมพ่อแม่ปลูกฝังให้เด็กรักการอ่านหนังสือ และควรมีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์รักการอ่านหนังสือแก่คนไทยให้มากขึ้น แล้ว (สยามรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 18 ส.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ระดม100ผู้ทรงคุณวุฒิ ปรับสอนภาษาอังกฤษ

เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) เปิดเผยว่า ได้เชิญประชุมคณะทำงานปรับปรุงการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ตามนโยบายนายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการ ศธ. มาหารือเพื่อจัดทำแผนยุทธศาสตร์การปรับปรุง โดยคณะทำงานประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น สถาบันสอนภาษา AUA, British Council สมาคมโรงเรียนนานาชาติ สมาคมโรงเรียนสองภาษา รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิจากสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ ซึ่งต่างเห็นว่าน่าจะมีการจัดทำรายงานสถานภาพการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในปัจจุบันเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการ ศธ. และก่อนจะจัดทำแผนปรับปรุงควรจะทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่า กรอบความคิดพื้นฐานของรูปแบบการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเป็นอย่างไร นอกจากนี้ เห็นควรต้องพัฒนาครูให้มีความเข้มแข็ง โดยต้องเป็นการพัฒนาที่ต่อเนื่อง และทำเป็นเครือข่าย ทั้งนี้ ในวันที่ 27-28 สิงหาคมนี้ จะจัดประชุมโต๊ะกลมเชิญผู้เกี่ยวข้องประมาณ 100 คน มาร่วมให้ความเห็นในประเด็นต่างๆ ด้วย (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 18 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





อาเซียนเน้นร่วมมืองานศึกษาขยายเรียนบนเน็ต-เบรกตั้ง ม.

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมรัฐมนตรีด้านการศึกษาของอาเซียนว่า ที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันว่า การศึกษาเป็นแกนหลักของการพัฒนาทั้งปวง และช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยตกลงกำหนดให้พัฒนาการศึกษาในการสร้างความเป็นปึกแผ่นของประชาคม สังคม วัฒนธรรมอาเซียน ลดช่องว่างของระดับการพัฒนาระหว่างประเทศอาเซียน เสริมสร้างขีดความสามารถด้านการศึกษาโดยการแลกเปลี่ยนครูอาจารย์ บุคลากรการศึกษา นักเรียน ให้มากขึ้น ในส่วนของการตั้งมหาวิทยาลัยอาเซียนนั้น เดิมมีแนวคิดจะจัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้น แต่ที่ประชุมเห็นว่า ควรใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ในระหว่างนี้ควรจะส่งเสริมความร่วมมือกันให้มากขึ้น โดยขยายโปรแกรมอาเซียนศึกษาบนอินเตอร์เน็ตในวงกว้างมากขึ้น ทั้งนี้ความร่วมมือในอนาคตนั้น ที่ประชุมตกลงร่วมกันที่จะให้มีการประชุมรัฐมนตรีด้านการศึกษาอาเซียน และนำข้อเสนอของที่ประชุมดังกล่าวเสนอต่อที่ประชุมผู้นำอาเซียนด้วย เพราะการศึกษาถือเป็นเสาหลักในการสร้างสังคมอาเซียน อย่างไรก็ตาม ในฐานะ รมว. ศธ.ไทย ก็ได้มีการหารือกับรัฐมนตรีศึกษาแต่ละประเทศ เพื่อหารือถึงความร่วมมือด้านการศึกษาให้มากขึ้น เช่น ประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ ได้มีการหารือถึงปัญหาการศึกษาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้นหารือ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานร่วมกัน. (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 20 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ไอเดียบรรเจิด... เด็กไทยซิว 2 ทอง 1 เงิน "ความคิดสร้างสรรค์โลก"

นักเรียนจากโรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ(มศว) ที่ไปสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยได้รับรางวัลชนะเลิศการแข่งขันความคิดสร้างสรรค์โลกในงาน "เวิล์ด ครีเอทีฟวิตี้ เฟสติวัล 2005 " ณ เมืองแดเจิน (Daejeon) ประเทศเกาหลี โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร.สมชาย ชูชาติ คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ และอาจารย์พูลศักดิ์ เทศนิยม ผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิต มศว. และปทุมวัน เป็นผู้นำทีมนักเรียนระดับประถมและมัธยมศึกษาจำนวน 4 ทีมๆละ 3 คน พร้อมด้วยคณะครูผู้ดูแลทีม การแข่งขันครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ประเทศเกาหลีจัดแข่งขันในระดับนานาชาติ โดยมีนักเรียนระดับประถมศึกษาถึงระดับอุดมศึกษาเข้าร่วมมากถึง 14 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ เวียดนาม จีน รัสเซีย มองโกเลีย ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา แคนาดา อิตาลี ฝรั่งเศส เกาหลี และประเทศไทย ซึ่งแต่ละประเทศจะส่งตัวแทนเข้าร่วมทำกิจกรรมที่บ่งบอกถึงความคิดสร้างสรรค์ ผลปรากฏว่า ทีมผู้เข้าแข่งขันจากประเทศไทย คว้ารางวัลเหรียญทองมาให้เชยชมถึง 2 รางวัล ได้แก่ ทีมนักเรียนมัธยมปลายจากโรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร ที่ชนะเลิศการคิดค้นอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในโลกแห่งอนาคต มีนักเรียนคนเก่ง 3 คน คือ นางสาวปานรวี มีทรัพย์,นายธิติทัต พัววิไลรัตน์ และนางสาววิริษฐา ธรรมวิวัฒน์ ด้วยผลงานการออกแบบโรงเรียนในอนาคตที่นักเรียนจะมีกำไลข้อมือที่สามารถเปิดดูข้อมูลทุกอย่างรวมถึงตรวจสอบอารมณ์ด้วย อีกหนึ่งเหรียญทองได้แก่นักเรียนมัธยมต้น จากโรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม) จากโจทย์ให้เสนอชื่อสถานที่เป็นมรดกโลกของประเทศของตัวเอง ซึ่งทีม Wheel of Culture เสนอให้ปราสาทหินพนมรุ้งเป็นมรดกโลก ด้วยเหตุผลที่ว่า ที่นี่เป็นแหล่งองค์ความรู้ด้านวัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์ ทีม Genesis Imago นักเรียนโรงเรียนสาธิต มศว ปทุมวัน ยังได้รับเหรียญเงินในการแข่งขันหัวข้อเดียวกัน โดยมี ด.ญ.อติพร เทอดโยธิน, ด.ญ.อรอุษา จารุวรรณ และ ด.ญ.วัฒนวารุณ กับโครงการเสนอให้ "วัดพระแก้ว" เป็นมรดกโลก ส่วนระดับประถม ทีม Bumper Car ที่มีสาวน้อยจากฝ่ายประถม ได้รับรางวัลชมเชยกับผลงานออกแบบอุปกรณ์หรือระบบในรถยนต์เพี่อลดอุบัติเหตุ ซึ่งออกแบบให้ทั้งคันรถมีความยืดหยุ่นสูง ดังนั้น เมื่อรถกระแทกสิ่งใดก็จะยืดหยุ่นไม่ทำให้เกิดการบาดเจ็บ (มติชนรายวัน อาทิตย์ที่ 21 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ม.รังสิตจับมือบริษัทสวีเดนเปิดปริญญาโท

ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยและบริษัท Enterpreneurship(Sweden Thai) จำกัด หรือ "EST" ได้จัดพิธีบันทึกความเข้าใจในการร่วมมือเปิดหลักสูตรนานาชาติใหม่ระดับปริญญาโท สาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมและผู้ประกอบการใหม่ขึ้น โดยหลักสูตรดังกล่าวจะสามารถกระตุ้นความคิดใหม่ๆ ให้กับประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากๆ ที่ประเทศไทยจะสามารถประดิษฐ์นวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นเองในประเทศ และผู้ผลิตก็จะสามารถเป็นผู้ประกอบการได้เอง ด้าน ดร.โทนี่ ไอเวอร์การ์ด ประธานบริษัท EST กล่าวว่า EST จะรับผิดชอบในด้านการจัดการเรียนการสอนตลอดหลักสูตร ซึ่งนักศึกษาจะมีโอกาสศึกษาทั้งในประเทศไทยและสวีเดน โดยในปีการศึกษาแรกจะเปิดราวเดือนกุมภาพันธ์ 2549 นี้ ที่ศูนย์ศึกษาสาทรธานี คาดว่าจะมีนักเรียนมาสมัครเรียนอย่างน้อย 10 คน ซึ่งในขณะนี้มีนักศึกษาจากประเทศสวีเดนประสงค์จะเรียนในหลักสูตรนี้แล้ว 6 คน โดยหลักสูตรนี้เป็นการผสมผสานความรู้ ความชำนาญของการสร้างสรรค์นวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ของประเทศสวีเดน กับทักษะของการเป็นผู้ประกอบการของประเทศไทยเข้าด้วยกัน ซึ่งจะเปิดโกาสให้นักศึกษาไทยได้เรียนรู้ทักษะในการประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ ของชาวสวีเดน และได้แลกเปลี่ยนความรู้ ความสามารถกันได้โดยตรง ซึ่งจะสามารถทำงานและประสานงานกันได้ง่ายขึ้น (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 19 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ศศินทร์ลุยปริญญาโทไบโอเทค

ผศ.ดร.ศิริยุพา รุ่งเริงสุข ผู้ดูแลโครงการศึกษาปริญญามหาบัณฑิตด้านการจัดการทรัพยา กรมนุษย์ สถาบันศศินทร์ เปิดเผยว่า กำลังดำเนินการในโครงการสร้างหลักสูตรปริญญาโทและพัฒนางานวิจัยด้าน Bioethics (จริยศาสตร์ชีวภาพ) Biotechnology Management (การบริหารจัดการเทคโนโลยีชีวภาพ) นี่เป็นหลัก สูตรแรกของประเทศไทย โดยเป็นโครงการร่วมมือทางวิชาการของประเทศในกลุ่มอาเซียนและสหภาพยุโรป เรียกว่าเป็นโครงการร่วมมือโครงการ ASEAN-EU-Lemlife มีจุฬาฯ, Vietnam National University, Liineberg University, University of Philippines, Lancaster University, Universiti Sains Malaysia, Jena University และ University of the Basque Country ในส่วนของจุฬาฯนั้นคณะอักษรศาสตร์จะไปทำทางด้านปรัชญา ทางด้านจริยธรรมธุรกิจ ศศินทร์จะรับทางด้านจัดการไบโอเทคโดยเฉพาะ และนิติศาสตร์จะมองถึงเรื่องแง่มุมของกฎหมายที่ควรจะรู้ ผศ.ดร.ศิริยุพากล่าวว่า ในเรื่องนี้ยังมีสิ่งที่ไม่ได้ทำอีกมาก อย่างทางด้านกฎหมายพร้อมหรือยัง อย่างคิดว่าแค่จะทดลองไบโอเทคนั้นจะทดลองกับสัตว์หรือคน เมื่อขั้นตอนไม่เสี่ยงต่อศีลธรรม แล้วขั้นตอนต่อไปคือการนำเข้าสู่ตลาด อย่างข้าวโพด จีเอ็มโอนั้นเวลาเรารับประทานเราควรมีสิทธิ์รู้ไหม ชาวบ้านไม่รู้ว่าตัดต่อพันธุกรรมมันแปลว่าอะไร เราควรจะรู้ไหม ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีกฎหมายออกมารองรับ เหมือนมือถือที่เร็วมากจนกฎหมายรองรับไม่ทัน ขั้นตอนต่อไปเราก็ต้องเทสต์หลักสูตร โดยเราจะไปคุยกับผู้เชี่ยวชาญทางด้านไบโอเทค และจะไปถามซีอีโอของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับไบโอเทค เช่น ซี.พี.ว่าถ้าเราจะเปิดหลักสูตรนี้ขึ้นมาเราจะบรรจุเนื้อหาอะไรลงไปบ้าง รวมทั้งคุยกับผู้จัดการระดับกลาง และคนที่ไม่อยู่ในไบโอเทคว่ารู้เรื่องนี้แค่ไหน ศศินทร์เชื่อว่าน่าจะเป็นธุรกิจที่บูมในศตวรรษนี้ ! (ประชาชาติธุรกิจ อาทิตย์ที่ 21 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/prachachart)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


ซิป้าจัดงานใหญ่เชียงใหม่ฯเอกซโป’05

นายภาณุทัต เตชะเสน ผู้จัดการสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือซิป้า สาขาเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 24-25 ก.ย.นี้ ซิป้าได้จัดนิทรรศการโชว์ซอฟต์แวร์และเทคโนโลยีเพื่อคนภาคเหนือชื่อ “Chiang Mai Software and Multimedia Expo 2005” ที่ห้องบ้านล้านตอง ชั้น 4 โรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว บนเนื้อที่ 2,800 ตารางเมตร ภายในงานประกอบด้วย นิทรรศการของบริษัทซอฟต์แวร์ทั่วภาคเหนือ การเจรจาทางธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ การโชว์ผลงานแอนิเมชั่น การสัมมนา และโชว์เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด สำหรับการโชว์เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด เบื้องต้นได้ติดต่อให้บริษัทไมโครซอฟท์ และบริษัท ไอบีเอ็ม นำเทคโนโลยีใหม่ๆ ไปจัดแสดงให้กับประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจซอฟต์แวร์ในภาคเหนือได้ชมถึงที่ คาดงานนี้จะมีผู้เข้าชมงานราว 30,000 คน. (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 15 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





มะกันเจ๋งทำอุปกรณ์สยบบึ้มมือถือ

บริษัทเรย์ธีออน ซึ่งเป็นบริษัทที่รับจ้างกระทรวงกลาโหมของสหรัฐพัฒนาเทคโนโลยี ที่ใช้ในการทหารได้ออกแบบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งประกอบด้วยเครื่องส่งสัญญาณ ที่เลียนแบบตัวเองเป็นสถานีรับส่งโทรศัพท์มือถือ และกรวยโลหะที่ใช้ดูดสัญญาณจากอุปกรณ์สื่อสารที่แพร่กระจายคลื่นขนาด 10 มิลลิวัตต์ ขึ้นไป เมื่อนำอุปกรณ์ดังกล่าว ไปตรวจจับตามกระเป๋าเดินทางที่ต้องสงสัย เครื่องมือชนิดนี้จะไปหลอกโทรศัพท์ที่ถูกซุกอยู่กับระเบิด ให้คิดว่ามันเข้ามาอยู่ในรัศมีของสถานีฐานใหม่ และยังขัดขวางมือถือต้องสงสัยไม่ให้รับสัญญาณจากสถานีฐานตัวจริงด้วย โทรศัพท์มือถือต้องสงสัยยังสามารถติดต่อกับ "สัญญาณต่อสาย" ของหมายเลขโทรศัพท์ประจำเครื่องได้อยู่ ดังนั้น ผู้ให้บริการมือถือจึงสามารถสั่งระงับหมายเลขดังกล่าว ไม่ให้ติดต่อกับเครือข่ายที่แท้จริงได้ชั่วคราว และยังสามารถระงับไม่ให้มันรับสายจากโทรศัพท์ ที่โทรเข้ามาเพื่อสั่งให้ระเบิดทำงานได้ด้วย (คมชัดลึก จันทร์ที่ 15 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ทีโอทีตั้งรร.สร้างนักพัฒนาเกม จับมือมหาวิทยาลัยเกาหลีต้นตำรับเกมออนไลน์

นางสุดาภรณ์ วิมลเศรษฐ์ ผู้จัดการสถาบันวิชาการทีโอที บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถาบันได้เปิดรับสมัครบุคคลทั่วไป เพื่อคัดเลือกเข้าเรียนหลักสูตรพัฒนาเกมออนไลน์ 3 มิติ ซึ่งถือเป็นแห่งแรกในประเทศไทยที่จัดการเรียนการสอนด้านนี้ โดยร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาเกมออนไลน์ จากมหาวิทยาลัยตงเมียง ประเทศเกาหลี เพื่อสร้างนักพัฒนาเกมไทยรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมเกมออนไลน์ ดร.คุง ฮุค ลี มหาวิทยาลัยตงเมียง ประเทศเกาหลี กล่าวว่า หลักสูตรนี้มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยตงเมียนทั้งหมด 10 คน เข้ามาสอนประจำและอยู่ที่สถาบันแห่งนี้เป็นเวลา 1 ปี โดยร่วมสอนกับนักวิชาการของทีโอทีที่ผ่านการอบรมจากมหาวิทยาลัยตงเมียน 3 คน ส่วนหลักสูตรพัฒนาเกมออนไลน์ 3 มิติ จะครอบคลุมเนื้อหาด้านวิศวกรรมและออกแบบโปรแกรมเกม รวมถึงการพัฒนากราฟฟิกในเกมด้วย หลักสูตรนี้จะใช้เวลาเรียน 1 ปี ทั้งวัน จันทร์-ศุกร์ สำหรับนักศึกษารุ่นแรกของสถาบันวิชาการทีโอทีกำหนดไว้ที่ 60 คน ทั้งนักศึกษาที่เป็นคนไทยและต่างชาติ โดยใน 3 เดือนแรกจะเรียนในภาคทฤษฎี และปฏิบัติอีก 3 เดือน ก่อนที่จะฝึกสร้างเกมออนไลน์อย่างจริงจัง ทั้งนี้สถาบันวิชาการทีโอทีจะเปิดรับสมัครนักเรียนรุ่นแรกตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 20 กันยายน (คมชัดลึก จันทร์ที่ 15 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ฝังไมโครชิปลูกเต่า70ตัว หวังไขปริศนาวงจรสัตว์ดึกดำบรรพ์

ดร.ไมตรี ดวงสวัสดิ์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง(ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) กล่าวว่า ทช.ร่วมกับกองเรือภาคที่ 3 กองเรือยุทธการ จัดกิจกรรมปล่อยลูกเต่าทะเล จำนวน 70 ตัว เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาสวันพระราชสมภพ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ณ บริเวณชายหาดหน้ากองบัญชาการกองเรือภาคที่ 3 กองเรือยุทธการ ลูกเต่าที่ปล่อยในพิธีดังกล่าวเป็นลูกเต่าอายุ 8 เดือน ขนาดความยาวกระดองเฉลี่ย 18 เซนติเมตร ซึ่งกองเรือภาคที่ 3 กองยุทธการทหารเรือได้รวบรวมจากแหล่งวางไข่บนเกาะหนึ่ง หมูเกาะสิมิลัน จ.พังงา มาฟักและได้นำมาอนุบาลไว้ที่สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งและป่าชายเลนของ ทช. โดยลูกเต่าทุกตัวจะมีไมโครชิปฝังอยู่ใต้ผิวหนังบริเวณไหล่ซ้าย และบันทึกเป็นฐานข้อมูลเพื่อใช้ติดตามประวัติเมื่อเต่ากลับมาวางไข่ ปัจจุบันเต่าทะเลจัดเป็นสัตว์ทะเลที่หายากและใกล้จะสูญพันธุ์ชนิดหนึ่ง โดยทั่วโลกกำลังตระหนักถึงการลดจำนวนลงและมีแนวโน้มว่าจะสูญพันธุ์ไปในไม่ช้า โดยเฉพาะเต่าทะเลในน่านน้ำไทย ซึ่งเหลือจำนวนน้อยมาก ถึงแม้ว่าจะมีกฎหมายคุ้มครองและอนุรักษ์เต่าทะเลแล้วก็ตาม จึงถึงเวลาที่ทุกๆ ฝ่ายควรให้ความร่วมมือร่วมใจกันอนุรักษ์อย่างจริงจัง เพื่อให้เต่าทะเลคงอยู่ในทะเลไทยสืบไป (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 15 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ถกนักวิชาการนาซา

นายประวิช รัตนเพียร รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ ดร.ธวัช วิรัตติพงศ์ ผู้จัดการห้องปฏิบัติการสำรวจอวกาศที่ไม่ใช่มนุษย์ โครงการออกแบบประกอบและติดตั้งเครื่องรับสัญญาณอวกาศจากนอกโลก องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งสหรัฐฯ (นาซา) ออกมาคัดค้านโครงการดาวเทียมสำรวจทรัพยากรธรรมชาติหรือดาวเทียม “ธีออส” ที่ไทยจะซื้อจากรัฐบาลฝรั่งเศส มูลค่า 6,000 ล้านบาท โดยให้เหตุผลว่าไม่คุ้มค่ากับเงินที่ลงทุนนั้น ตนได้มอบให้ปลัด วท.และประธานคณะผู้บริหารของศูนย์วิจัยด้านอวกาศ หารือและรับฟังความคิดเห็นจากดร.ธวัช เพื่อรับฟังทิศทางการดำเนินการต่อไป ทั้งข้อดีและข้อเสียของการเดินหน้าโครงการต่อ ส่วนจะระงับโครงการหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถสรุปได้ในขณะนี้. (ไทยรัฐ อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ทำเตาปรมาณูเท่าบัตรเครดิต แอบผลิตคลังอาวุธเคมีสารพิษ

ผู้เชี่ยวชาญการทหารของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถจะย่อส่วนเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณู ให้มีขนาดเล็กลงเท่ากับบัตรเครดิตเท่านั้น แต่ใช้ผลิตสารพิษออกมาได้ ทำให้ข้อห้ามระหว่างประเทศในเรื่องอาวุธเคมีลงนามถึง 170 ชาติ หมดความหมาย นักวิทยาศาสตร์ปรมาณู นายตวน เหงียน แห่งห้องปฏิบัติการแห่งชาติลอเรนซ์ ลิเวอร์มอร์ ของอเมริกา ได้กล่าวเตือนว่า มีการสร้างเตาปฏิกรณ์ปรมาณูขนาดจิ๋ว ใช้แอบผลิตคลังอาวุธเคมีปริมาณมากขึ้นได้ เขาชี้ว่าการสร้างเครื่องมืออุปกรณ์ขนาดเล็กและมีขนาดไม่กินที่มากเท่าใด จะเย้ายวนให้พวกก่อการร้ายดำเนินกิจกรรมลับหนักข้อขึ้น เขาบอกว่า เตาปฏิกรณ์ปรมาณูขนาดเล็ก มีขนาดโตตั้งแต่คอมพิวเตอร์กระเป๋าจนถึงบัตรเครดิต ที่ผลิตสารพิษขึ้นได้นั้น ยังทำขึ้นได้ไม่แพงด้วย ใช้ผลิตสารพิษร้ายกาจต่างๆ ตั้งแต่ไฮโดรเจนไซยาไนด์ ก๊าซฟอสยีนอันเป็นก๊าซพิษชนิดหนึ่ง และอื่นๆอีก เขายังอ้างด้วยว่า ได้ มีการใช้เทคโนโลยีนี้ทำเตาปฏิกรณ์ขนาดเล็กนี้ ผลิตวัตถุระเบิดไนโตร กลีเซอรีนได้ถึงชั่วโมงละ 10 กก. ในชาติแห่งหนึ่งเมื่อเร็วๆนี้เอง. (ไทยรัฐ อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





โลกาภิวัตน์ : HL7

ในการจัดโรดโชว์ HL7 ครั้งที่ 1 ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกของ HL7 ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ องค์กร HL7 และออราเคิล โดยเชิญคุณหมอ ผู้บริหารโรงพยาบาลรัฐและเอกชน รวมทั้งผู้ดูแลไอทีในวงการแพทย์มาทำความรู้จักและเรียนรู้ HL7 คุณณัฐศักดิ์ โรจนพิเชฐ กรรมการผู้จัดการบริษัทออราเคิล (ประเทศไทย) บอกว่า เอชแอล 7 เป็นมาตรฐานการรับส่งข้อมูลของแพทย์ และหน่วยงานด้านสาธารณสุข ซึ่งแพทย์และผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกได้คิดค้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 จนมาถึงปัจจุบันเป็นเวอร์ชั่น 3 แล้ว มี 32 ประเทศที่ใช้มาตรฐานนี้ ทั้งในยุโรป อเมริกาเหนือ อังกฤษ ในเอเชีย-แปซิฟิก ก็มีญี่ปุ่น จีน อินเดีย มาเลเซีย เกาหลีใต้ และไต้หวันที่ใช้มาตรฐานนี้ สำหรับประเทศไทย เอชแอล 7 ยังเป็นของใหม่ จึงต้องมีการเรียนรู้กันอีกระยะ แต่จากการสัมมนาผู้ที่อยู่ในวงการแพทย์ต่างเห็นประโยชน์จากการใช้มาตรฐานนี้ร่วมกัน ปัจจุบันโรงพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชน ต่างก็มีระบบไอทีของตัวเอง แต่เวลาที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลคนไข้ อาจจะเป็นในกรณีที่คนไข้ประสบอุบัติเหตุในต่างจังหวัด ห่างไกลแพทย์ประจำตัว หากแพทย์เจ้าของไข้ในต่างจังหวัดต้องการข้อมูลเวชระเบียนของคนไข้ วิธีการจัดส่งข้อมูล อาจจะเป็นการแลกเปลี่ยนทางโทรศัพท์ อีเมล หรือแฟกซ์ เพราะแต่ละองค์กรอาจใช้ระบบไอทีแตกต่างกัน หากต้องการให้ข้อมูลที่แตกต่างกัน ข้อมูลที่มาจากวิธีการจัดเก็บที่หลากหลายสามารถรับส่งและอ่านกันได้ง่าย ๆ ไม่มีปัญหาติดขัด ไม่ต้องแปลงสารเหมือนกับผู้คนที่พูดกันละภาษา หากต้องการสื่อสารกันก็ต้องผ่านล่าม เอชแอล 7 ก็จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในจุดนี้ ช่วยให้ข้อมูลเวชระเบียนของผู้ป่วยมีการจัดเก็บแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ Electronic Patient Record โรงพยาบาลที่ต้องการใช้มาตรฐาน HL7 ไม่จำเป็นต้องรื้อระบบไอที หรือลงทุนด้านไอทีใหม่ เพียงแต่ต้องเขียนโปรแกรมตัวกลางเพื่อทำหน้าที่เชื่อมโยงระบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน หรือศูนย์กลางจัดเก็บสารสนเทศระบบงานสาธารณสุขโดยใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ต โปรแกรมระบบที่จะทำหน้าที่เชื่อมโยงระบบต่าง ๆ เข้าหากันนั้น ออราเคิลเรียกว่า HTB API (Application Program Interfac โรงพยาบาลรามาธิบดีซึ่งเป็นสมาชิกของ HL7 ก็ให้ความสนใจกับมาตรฐานใหม่นี้ ส่วนกระทรวงสาธารณสุขก็อยู่ระหว่างพูดคุย อาจจะเป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจกันยาก แต่ประโยชน์ที่เกิดกับคนไข้และวงการสาธารณสุขนั้นคุ้มค่า. (เดลินิวส์ อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ตั้งศูนย์ทดสอบมือถือไทยเทียบชั้นโวดาโฟน

นายกิตติพงษ์ สาระจันทร์ ที่ปรึกษาโครงการ “Mobile Testing Center” หนึ่งในโครงการของสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือซิป้า สาขาเชียงใหม่ กล่าวว่า ศูนย์ดังกล่าวจะทำหน้าที่ทดสอบวัดมาตรฐานซอฟต์แวร์ โดยทดสอบครอบคลุมโทรศัพท์มือถือทุกรุ่นทุกยี่ห้อในท้องตลาด ซึ่งทำการทดสอบโดยใช้มาตรฐานเทียบเคียงกับของโวดาโฟนที่ใช้ทดสอบซอฟต์แวร์โทรศัพท์มือถือ ซึ่งการทดสอบโวดาโฟนจะคิดอัตราค่าทดสอบครั้งละ 600 ยูโร แต่ที่ศูนย์ดังกล่าวยังไม่ได้กำหนด นายกิตติพงษ์ กล่าวต่อว่า ศูนย์ดังกล่าวจะเปิดให้บริการได้เดือน ก.ย.นี้ โดยใช้งบในการซื้อเครื่องมือทดสอบทั้งหมด 1 ล้านบาท ซึ่งจุดประสงค์ของการตั้งศูนย์ฯ เพราะผู้ประกอบการซอฟต์แวร์โทรศัพท์มือถือของไทยยังเป็นบริษัทขนาดเล็ก บุคลากรน้อย ซึ่งการทดสอบมาตรฐานซอฟต์แวร์ต้องใช้เงินมากและเวลานาน ที่สำคัญยังไม่มีการกำหนดมาตรฐานซอฟต์แวร์โทรศัพท์มือถือระหว่างประเทศ มีแต่ผู้จัดจำหน่ายและโอปเรเตอร์รายใหญ่เท่านั้นที่เป็นผู้ทดสอบ เช่น โวดาโฟน ดังนั้นซิป้า จึงใช้มาตรฐานแบบเดียวกับของโวดาโฟนในการทดสอบ โดยมุ่งให้ศูนย์นี้เป็นที่ยอมรับจากผู้ประกอบการ และผู้จัดจำหน่ายซอฟต์แวร์สำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก. (เดลินิวส์ อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ประชุม ‘วิชาการปุ๋ยโลก’ ครั้งที่ 14

นายชัยวัฒน์ สิทธิบุศย์ รองอธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน เปิดเผยว่า กรมพัฒนาที่ดินร่วมกับสมาคมอนุรักษ์ดินและน้ำแห่งประเทศไทย และสมาคม CIEC (International Scientific Center of Fertilizers) ได้กำหนดจัดประชุมวิชาการปุ๋ยโลก ครั้งที่ 14 ขึ้น ภายใต้หัวข้อ “ปุ๋ย อาหารมั่นคง ธำรงธรรมชาติ” ในระหว่างวันที่ 22-27 มกราคม 2549 ณ โรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว จ.เชียงใหม่ ทั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้นักวิชาการด้านปุ๋ย และด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งของไทย และต่างประเทศทั่วโลก ได้แลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มพูนความรู้ให้แก่นักวิชาการไทย ได้นำความรู้และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้านปุ๋ยมาใช้ในการวางแผนพัฒนาประเทศ พัฒนาผลผลิตทางการเกษตรและสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป สำหรับนักวิจัยที่ต้องการเข้าร่วมเสนอผลงานวิจัย หรือผู้สนใจที่จะเข้าร่วมงาน สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมพัฒนาที่ดิน โทร. 0-2579-8515 หรือที่เว็บไซต์ http:// www.ldd.go.th/wfc_14/. (เดลินิวส์ อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ชิพอัจฉริยะเก็บข้อมูลผักหนุนเกษตรซื้อขายสินค้าไม่พลาด

นายกำพล โชคสุนธสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเซนเทค (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการชิพอัจฉริยะ "อาร์เอฟไอดี" ในไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้ออกแบบ และพัฒนาระบบการนำเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี ไปใช้ในตลาดกลางประมูลสินค้าเกษตรของเชียงใหม่ เพื่อควบคุมระบบสินค้าคงคลัง และการจัดลำดับการประมูลสินค้าเกษตรโดยเฉพาะ หลักการทำงานจะเริ่มจากการที่เกษตรการนำสินค้า ที่ต้องการขายมาไว้ที่สหกรณ์ แต่ปัญหาเกิดขึ้นเนื่องจากสินค้าหลายอย่างมีลักษณะเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็น ผัก หรือดอกไม้ จึงต้องนำมาแยกใส่บรรจุภัณฑ์ และติดแท็ก (ฉลากสินค้าที่มีชิพอาร์เอฟไอดีและสายอากาศอยู่ภายใน) เข้าไป ซึ่งภายในจะบรรจุข้อมูลเจ้าของสินค้า และราคาเริ่มต้นที่ต้องการประมูล จากนั้นก็นำเก็บเข้าโกดังสินค้า รอเข้าลำดับการประมูลต่อไป จากนั้นเมื่อต้องการค้นหาสินค้าเพื่อนำไปประมูล สามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว เพียงนำเครื่องอ่านแบบพกพาไปอ่านที่แท็ก จะทราบทันทีว่าเป็นสินค้าที่ต้องการหรือไม่ ประเทศคู่ค้าล้วนเปลี่ยนมาใช้ระบบชิพอัจฉริยะในการประมูลสินค้า ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน และเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นต้นแบบของเรา สินค้าจะมาเข้าคิวกันเลย และมีเกต (ประตูผ่านที่ติดเครื่องอ่านชิพ) คอยตรวจจับเมื่อสินค้าวิ่งผ่าน พอรู้ว่าเป็นไอดีอะไร หน้าจอที่ประตูจะแสดงรายการให้เห็นชัดเจนว่า เป็นสินค้าประเภทไหน และราคาเริ่มต้นเท่าไร เมื่อถึงจุดประมูล ผู้เข้าร่วมประมูลจะกดปุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งอยู่ด้านหน้าเพื่อแข่งราคากัน เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว ข้อมูลของผู้ชนะการประมูลจะได้รับการบรรจุลงในชิพที่อยู่ในแท็กของสินค้าทันที ทำให้หลังเสร็จงานแล้ว สามารถทราบได้ทันทีว่าใครเป็นเจ้าของ และประมูลได้ในราคาเท่าไร จึงลดขั้นตอนการจัดทำหลังการประมูลได้มาก อย่างไรก็ตาม ระบบดังกล่าว คาดว่าจะพร้อมใช้จริงในราวกลางปี 2549 โดยบริการจะครอบคลุมเฉพาะขั้นตอนการประมูลเท่านั้น ขณะที่บริการระบบขนส่งสินค้าครบวงจร (โลจิสติกส์) ยังอยู่ระหว่างออกแบบโครงสร้าง เช่น ผู้ประมูลกำหนดสถานที่จัดส่งสินค้า หรือให้รถรับส่งวิ่งมารับและไปส่งอัตโนมัติเหมือนในต่างประเทศ คาดว่าจะแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้ (คมชัดลึก อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





เปิดตัวธนาคาร"เสต็มเซลล์"เพาะอวัยวะสำรองสร้างอะไหล่ประกันชีวิต

กลุ่มแพทย์ชั้นนำรุกธุรกิจชีวิต เปิดธนาคารรับฝากเซลล์จากเลือดในรกเด็กประกันความเสี่ยงให้กับชีวิตแนวใหม่ จ่ายค่าธรรมเนียมแรกเข้าแค่3 หมื่นบาท หวังนำเซลล์รักษาโรคร้ายในอนาต ขณะที่แพทย์จุฬา ฯ หวั่นธุรกิจบานปลายกลายเป็นธุรกิจค้าเซลล์ข้ามชาติโดยเจ้าตัวไม่รู้ นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเร่งศึกษาวิจัยเพื่อถอดรหัสชีวิต และหาแนวทางการรักษาโรคด้วยวิธีใหม่โดยล่าสุดวงแพทย์ไทยสร้างความตื่นตัวให้กับสังคมอีกครั้งเมื่อ แพทย์ระดับชั้นนำรวมตัวกันรุกธุรกิจประกันสุขภาพแนวใหม่ ตั้ง เสต็มเซลล์แบงก์ เพื่อฝากเซลล์ เพื่อสร้างอวัยวะ ประกันสุขภาพ โดยใช้หลักการเดียวกันการประกันความเสี่ยงในอนาคต นพ.จงเจตน์ อาวเจนพงษ์ กรรมการบริษัทไทยสเตมไลฟ์ จำกัด เปิดเผยว่า สนใจการรักษาด้วย เซลล์ต้นกำเนิด (เสต็มเซลล์)เนื่องจากทำงาน เป็นสูติแพทย์ และมีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับ เซลล์ต้นกำเนิดพอสมควร โดยเฉพาะกับตัวอ่อนกับรกเด็ก ซึ่งในวงการแพทย์มีการพูดคุยกันว่า เซลล์ต้นกำเนิดน่าจะเป็นอนาคตในการรักษาโรค โดยในต่างประเทศ เริ่มมีการวิจัย และนำมารักษาโรคได้แล้ว เช่น โรคสมองเสื่อม ระบบประสาท กล้ามเนื้อหัวใจ เพราะฉะนั้นจึงเห็นว่าอีกไม่นานการรักษาในอนาคต จะต้องใช้ เซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งหากมีการเก็บรักษาเอาไว้ ก็จะทำให้มั่นใจได้ว่า จะมีเซลล์ต้นกำเนิดสำหรับการรักษาโรคในอนาคต เสต็มเซลล์แบงก์ ตั้งอยู่บนชั้นที่ 26 ของตึกเวิล์ดเทรดเซนเตอร์กลางมหานคร มีลักษณะที่แตกต่างจากธนาคารทั่วไป เพราะตู้นิรภัยของธนาคารแห่งนี้มีความเย็นติดลบถึง 197 องศา เพื่อปกป้อง "อะไหล่แห่งชีวิต" ที่ถูกแช่แข็งรอวันชุบชีวิตขึ้นมาเพื่อใช้รักษาเจ้าของผู้ฝากเซลล์ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพที่ก้าวหน้าแห่งศตวรรษที่ 21 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจาการตรวจสอบรายชื่อกลุ่มลูกค้าที่นำเซลล์ต้นกำเนิดมาฝากที่ธนาคาร พบว่า มีระดับเศรษฐีชั้นนำของประเทศ และนักการเมืองชื่อดังหลายคนที่ต้องการประกันชีวิตให้กับลูกหลานในระยะยาว อย่างไรก็ตามไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อได้ (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ผอ.สวทช.ยัน"อุทยานวิทย์ฯ"ไม่ผลาญงบฯชาติ

เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สวทช.) แถลงชี้แจงกรณีนักวิจัยไทยในนาซาวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยว่า ไม่สร้างรายได้ แต่เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์ว่า รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณให้ สวทช.ดำเนินการสร้างอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อสังคม ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทเอกชนกว่า 40 แห่ง เข้าร่วมโครงการ โดยมีนักวิจัยอิสระและนักวิจัย สวทช.ประมาณ 1,200 คน และว่า สำหรับผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม อาทิ เทคโนโลยีบำบัดน้ำเสียโรงงานแป้งมันสำปะหลัง การสนับสนุนด้านเอสเอ็มอี เพิ่มขีดความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งปัญหาขาดแคลนธาตุเหล็ก ฯลฯ "เห็นได้ชัดว่าอุทยานวิทยาศาสตร์ไม่ได้ผลาญงบประมาณ แต่ช่วยเพิ่มศักยภาพทางด้านวิจัยให้มากขึ้น ส่วนที่มีการนำเอาอุทยานวิทยาศาสตร์ของไทยไปเทียบกับ ซิลิกอน วัลเลย์(Silicon Valley) ซึ่งเป็นอุทยานวิทยาศาสตร์ของสหรัฐอเมริกานั้น มันเทียบกันไม่ได้ เพราะแค่งบประมาณก็แตกต่างกันมากพอแล้ว" ดร.ศักรินทร์กล่าว (มติชนรายวัน อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





"ซุปเปอร์แบคทีเรีย"ระบาด ฆ่า"ทหารสหรัฐ"จากสมรภูมิอิรัก

หน่วยแพทย์ทหารกองทัพสหรัฐ พบว่า ซุปเปอร์แบคทีเรีย หรือ "ซุปเปอร์บั๊ก" ในสายพันธุ์ "Acinetobacter baumannii" กำลังแพร่ระบาดในหมู่ทหารสหรัฐ โดยเฉพาะทหารที่บาดเจ็บจากสงครามในอิรัก ความน่ากลัวของแบคทีเรียตัวนี้ก็คือดื้อยาปฏิชีวนะหลายชนิด ข้อมูลจากหน่วยแพทย์ทหารสหรัฐ พบว่า Acinetobacter เป็นแบคทีเรียสายพันธุ์ดื้อยา ซึ่งได้แพร่ระบาดในหมู่ทหารนับร้อยนายนับตั้งแต่ปี 2546 และผู้ป่วยหนัก 5 คนที่อยู่ในวอร์ดเดียวกับทหารเหล่านี้ก็ติดเชื้อด้วยจนเสียชีวิตในที่สุด ผู้พันบรูโน่ เพทรุชเซลลี่ หน่วยระบาดวิทยาของกองทัพสหรัฐ กล่าวว่า ซุปเปอร์แบคทีเรียตัวนี้เป็นปัญหาใหญ่ เพราะอาจแพร่กระจายจากโรงพยาบาลทหารไปยังโรงพยาบาลทั่วไป และว่า เหตุที่ทำให้แบคทีเรียสามารถพัฒนาตัวเอง กระทั่งกลายพันธุ์และดื้อยาเป็นเพราะโรงพยาบาลทหารมักใช้ยาปฏิชีวนะแรงๆ เอาไว้ก่อนเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ซึ่งส่งผลกระทบตามมาในภายหลัง ตามปกติแล้ว แบคทีเรีย Acinetobacter แทบไม่ก่อโรคในคน เพราะเป็นแบคทีเรียที่อาศัยตามดินหรือน้ำและไม่อันตรายในคนที่สุขภาพแข็งแรงดี แต่ว่าถ้าเป็นคนที่ไม่สบายอยู่แล้ว หรือมีภูมิต้านทานต่ำก็อาจอันตรายถึงชีวิต ทำให้น่าเป็นห่วงมากสำหรับคนไข้ที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษในหน่วยไอซียูและจำเป็นต้องมีการเฝ้าระวังการติดเชื้อในไอซียูต่อไป ความน่ากลัวของ Acinetobacter คือมันสามารถดื้อต่อยาหลายขนานได้รวดเร็ว ทำให้มียาเหลือสำหรับคนที่ติดเชื้อแล้วน้อยมาก ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ยังไม่เข้าใจว่า Acinetobacter ปรับตัวต่อสู้กับยาได้อย่างไร รู้แต่เพียงว่ามันมีหลายกลไกในการสร้าง "ยีน" ที่ดื้อต่อยา บางสายพันธุ์ที่พบอยู่แล้วในธรรมชาติมีเอนไซม์ที่สามารถทำลายตัวยาได้ นอกจากนั้น ยังมีชีวิตอยู่รอดในที่แห้งๆ เป็นเวลาหลายอาทิตย์ โดยเฉพาะบนพลาสติก (ข้อมูล : vcharkarn.com) (ข่าวสด อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





โรงงาน"โซลาร์เซลล์"ใหญ่สุดในโลก

บริษัทเซาเธิร์น แคลิฟอร์เนีย เอดิสัน ผู้จัดซื้อพลังงานไฟฟ้าทางเลือกรายใหญ่ และบริษัทสเตอร์ลิง เอเนอร์จี ซิสเต็ม ผู้พัฒนาระบบโซลาร์เซลล์ หรือ แผงพลังงานแสงอาทิตย์ระดับแนวหน้าของสหรัฐ ลงนามในสัญญาร่วมมือกันสร้าง "ไร่แผงพลังงานแสงอาทิตย์" ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก กินเนื้อที่ 11,250 ไร่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อใช้เป็นโรงงานพลังงานสะอาด ผลิตกระแสไฟฟ้า 500-850 เมกะวัตต์ป้อนบ้านเรือนหลายแสนหลังคาเรือนในแคลิฟอร์เนีย จอห์น บรีสัน ประธานบริษัทสเตอร์ลิง เอนเนอร์จี ซิสเต็ม กล่าวว่า ไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์นับเป็นหนึ่งในพลังงานทางเลือกที่ดีที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากในปัจจุบันต้นทุนราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกระแสความวิตกกังวลกับปรากฏการณ์ก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้โลกร้อนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สำหรับแผงพลังงานแสงอาทิตย์ที่จะต้องใช้ทั้งหมดจะมีทั้งสิ้น 20,000 แผง ระยะเวลาการทำสัญญาซื้อไฟฟ้าจากโรงงานของสเตอร์ลิงกินระยะเวลา 20 ปี (ข่าวสด อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ยานอวกาศ"นาซ่า" มุ่งหน้าสู่ดาวแดง

องค์การอวกาศสหรัฐ หรือ "นาซ่า" ประสบความสำเร็จในการส่งยานสำรวจดาวอังคาร หรือ ดาวแดงดวงใหม่ "มาร์ส รีคอนเนเซินส์ ออร์บิเตอร์" (เอ็มอาร์โอ) ออกนอกโลก เพื่อปฏิบัติภารกิจทำแผนที่และสำรวจหาแหล่งน้ำบนดาวอังคาร ภายหลังจากกำหนดการปล่อยยานต้องเลื่อนมาแล้ว 2 ครั้ง ยานเอ็มอาร์โอ มีมูลค่า 28,800 ล้านบาท ตัวยานมีขนาดพอๆ กับรถโดยสารขนาดเล็ก หนัก 2,000 กิโลกรัม และติดตั้งอุปกรณ์ไฮเทคหลายชนิดเพื่อใช้ในภารกิจสำรวจดาวอังคารรวม 4 ปี คาดว่าภาพถ่ายดาวอังคารที่ได้จากกล้องบนยานเอ็มอาร์โอจะชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกกันมา และเรดาห์บนตัวยานยังจะทำหน้าที่ค้นหาแหล่งน้ำ หรือ ของเหลวใต้พื้นผิวดาวอังคารซึ่งถ้าพบน้ำก็มีแนวโน้มที่จะพบสิ่งมีชีวิตเช่นกัน (ข่าวสด อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





จีนส่งดาวเทียมสำรวจดวงจันทร์ปี"50

เป่ยเจี้ยน หัวหน้าฝ่ายออกแบบดาวเทียมของสำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอวกาศของประเทศจีน ประกาศแผนการสำรวจอวกาศครั้งใหม่ว่า กำลังเตรียมการส่งดาวเทียมขึ้นไปสำรวจ "ดวงจันทร์" เป็นครั้งแรกภายในปีพ.ศ.2550 นายยี่ เปิดเผยว่า โครงการดาวเทียมสำรวจดวงจันทร์ของจีนจะออกแบบเสร็จสมบูรณ์ในเดือนหน้า และจะเริ่มลงมือสร้างดาวเทียมทันที วัตถุประสงค์ของโครงการนี้ก็เพื่อทำแผนที่ดวงจันทร์ในแบบ "3 มิติ" เพื่อนำภาพที่ได้มาวิเคราะห์เตรียมคำนวณหาจุดลงจอดบนดวงจันทร์ของยานอวกาศจีนในอนาคตต่อไป นอกจากนั้น เรายังจะใช้ดาวเทียมดวงนี้ศึกษาส่วนประกอบต่างๆ และสภาวะรังสีบนดวงจันทร์อีกด้วย (ข่าวสด อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





จีนหันมาผลิตไฟฟ้าด้วยแรงลม หวังจะได้ไฟใช้อย่างเหลือเฟือ

สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานว่า รัฐบาลจีนได้วางแผนที่จะสร้างแหล่งกำเนิดพลังงานไฟฟ้าที่ใช้แรงลมเป็นแห่งแรกในปีหน้า ทั้งนี้ เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้าที่มีมาช้านาน คาดว่าโรงไฟฟ้าพลังลมแห่งนี้จะสามารถให้กำเนิดพลังงานไฟฟ้าได้ถึง 1 ล้านกิโลวัตต์ เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2563 ส่วนในระยะแรกๆหลังเริ่มก่อสร้างในปลายปีหน้านั้น คาดว่าจะมีกระแสไฟฟ้าจากพลังลมราว 5 หมื่นกิโลวัตต์ แรงจูงใจที่ทำให้จีนต้องเร่งหาแหล่งกำเนิดพลังงานไฟฟ้าก็ เพราะปัจจุบันจีนกำลังประสบปัญหาไฟฟ้าไม่พอใช้ ทำให้ต้องนำมาตรการงดจ่ายกระแสไฟฟ้าเป็นช่วงๆ และกำหนดให้โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆหยุดการผลิต หรือไม่ก็เปลี่ยนไปผลิตในช่วงวันหยุด ซึ่งปริมาณการใช้ไฟฟ้ามีน้อยกว่าวันปกติ ทางการจีนได้ตั้งเป้าจะผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลมให้ได้ปีละ 70 ล้านกิโลวัตต์ ไป จนตลอดปี 2550 ซึ่งจะทำให้ได้ไฟฟ้าจากส่วนนี้ทั้งสิ้น 650 ล้านกิโลวัตต์ และนับจากนั้นไป จีนก็จะมีไฟฟ้าใช้อย่างเหลือเฟือไม่ต้องบังคับให้มีการปิดไฟฟ้า หรืองดจ่ายกระแสไฟฟ้าเป็นช่วงๆอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้. (ไทยรัฐ พุธที่ 17 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ไทยติดอันดับ 3 อาเซียน ลงทุนด้านไบโอเทค

เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม นางดรุณี เอ็ดเวิร์ดส รองผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ(ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(วท.) ให้สัมภาษณ์ถึงความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีชีวภาพในประเทศไทย ว่า เทคโนโลยีชีวภาพของประเทศไทยก้าวหน้าพอสมควร โดยเฉพาะด้านการเกษตร เนื่องจากประเทศไทยมีทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถนำมาพัฒนาได้มาก อาทิ ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ฯลฯ แต่ด้านการแพทย์ยังไม่รุดหน้า โดยมีผลงานเพียงชุดตรวจไวรัส เอช 5 เอ็น 1 เท่านั้น นางดรุณีกล่าวถึงการลงทุนด้านเทคโนโลยีชีวภาพในประเทศไทย ว่า ระดับภูมิภาคอาเซียน ไทยครองอันดับ 3 เพราะยังไม่ค่อยแพร่หลาย มีเพียง 8 บริษัท เท่านั้น โดยมีงบประมาณงานวิจัยร้อยละ 0.26 ของจีดีพี(GDP) ประเทศ อย่างไรก็ตาม ในปี 2552 ตั้งเป้าให้มีบริษัทเข้าร่วมทุนไม่ต่ำกว่า 100 ราย (มติชนรายวัน พุธที่ 17 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





จีนเร่งผลิตไฟฟ้าพลังงาน"ลม"

รัฐบาลจีนวางแผนที่จะสร้างแหล่งกำเนิดพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ "แรงลม" เป็นแห่งแรกในปีหน้า เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้าที่มีมานาน สถานที่ก่อสร้างจะอยู่นอกชายฝั่งทะเลโปไห่ มณฑลเหอเป่ย คาดว่าโรงไฟฟ้าพลังลมแห่งนี้จะให้กำเนิดพลังงานไฟฟ้าได้ถึง 1 ล้านกิโลวัตต์ เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2563 ส่วนในระยะแรกๆ หลังเริ่มก่อสร้างในปลายปีหน้าคาดว่าจะมีกระแสไฟฟ้าจากพลังลมราว 5 หมื่นกิโลวัตต์ แรงจูงใจที่ทำให้จีนต้องเร่งหาแหล่งกำเนิดพลังงานไฟฟ้าเพราะจีนประสบปัญหาไฟฟ้าไม่เพียงพอ ทำให้ต้องนำมาตรการงดจ่ายกระแสไฟฟ้าเป็นช่วงๆ มาใช้ และกำหนดให้โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ หยุดการผลิต หรือไม่ก็เปลี่ยนไปผลิตในช่วงวันหยุดซึ่งปริมาณการใช้ไฟฟ้ามีน้อยกว่าวันปกติ เจ้าหน้าที่เขตพัฒนาเมืองท่าฮวงหัว ซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีในการริเริ่มโครงการนี้ เผยว่า ทางการจีนตั้งเป้าผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลมให้ได้ปีละ 70 ล้านกิโลวัตต์ ไปจนตลอดปี 2550 ซึ่งจะทำให้ได้ไฟฟ้าจากส่วนนี้ 650 ล้านกิโลวัตต์ และนับจากนั้นไป จีนก็จะมีไฟฟ้าใช้อย่างเหลือเฟือไม่ต้องบังคับให้มีการปิดไฟฟ้าหรืองดจ่ายไฟฟ้าเหมือนทุกวันนี้ (ข่าวสด พุธที่ 17 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ยุ่นทดสอบแขนกล ส่งแข่งจับปลาทอง

สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เมืองนาระ ประเทศญี่ปุ่น หรือ "เอ็นเอไอเอสที" สร้างแขนกลหุ่นยนต์ รุ่น "โปอิโปอิ" ซึ่งสามารถใช้แขนตักจับปลาทองในอ่างน้ำได้ 6-10 ตัว ภายในระยะเวลา 3 นาที มัตสุตากะ คิโดเดะ ผู้เชี่ยวชาญแผนกปัญหาประดิษฐ์ของสถาบันเอ็นเอไอเอสที กล่าวว่า เมืองนาระเป็นที่รู้จักของชาวญี่ปุ่นว่าเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันตักปลาทองระดับชาติ และเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของเมืองนาระ ทางสถาบันจึงเตรียมนำแขนกลโปอิโปอิเข้าแข่งขันตักปลาทองด้วยในวันที่ 20 ส.ค. วัตถุประสงค์เพื่อทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของแขนกลไปในตัวด้วยว่าระบบกล้องตรวจจับความเคลื่อนไหว ระบบคอมพิวเตอร์ และตัวแขนกลที่ใช้หยิบจับสิ่งของต่างๆ ทำงานสัมพันธ์กันหรือไม่ (ข่าวสด พุธที่ 17 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Tractability) กับอนาคตการส่งออกสินค้าไทยในตลาดอียู

หลังจากสหภาพยุโรป (อียู) ได้ออกสมุดปกขาว (White paper) เพื่อเป็นกรอบในการปฏิรูประบบงานทั้งองค์การและกฎหมายเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของงาน ด้านความปลอดภัยด้านอาหาร โดยมีผลบังคับใช้มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วนั้น ในสมุดปกขาวเล่มดังกล่าว อียูได้ออกระเบียบเกี่ยวกับหลักการทั่วไปของกฎหมายอาหารและขั้นตอนความปลอดภัยด้านอาหาร โดยมีหลักการให้ดำเนินการตรวจสอบย้อนกลับสำหรับอาหาร อาหารสัตว์ สัตว์เพื่อการบริโภค ส่วนประกอบของอาหารและอาหารสัตว์ ในขั้นตอนการผลิต แปรรูปและกระจายผลผลิต โดยเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 เป็นต้นมา ซึ่งจากมาตรฐานดังกล่าวส่งผลให้หลายประเทศเริ่มมีความกังวลว่าจะกลายเป็นมาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษีและเป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ นายสมชาย ชาญณรงค์กุล รองผู้อำนวยการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) บอกว่า จากการเปลี่ยนแปลงทางการค้าที่เกิดขึ้นมกอช.ได้เร่งศึกษาระบบการตรวจสอบย้อนกลับอียูในทันที เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้ประกอบการภายในประเทศนำไปปรับปรุงระบบการผลิตให้สอดคล้องกับกฎระเบียบใหม่ของอียูซึ่งถือเป็นลูกค้ารายสำคัญของไทย พร้อมกันนั้น มกอช.ร่วมกับกรมวิชาการเกษตร กรมประมง กรมปศุสัตว์ได้ร่วมมือกันในการดำเนินโครงการนำร่องสร้างมาตรฐานการตรวจสอบย้อนกลับในสินค้า 3 ชนิดคือ ไก่ กุ้งและผักผลไม้ โดยในส่วนของมาตรฐานของไก่ปัจจุบันภาคเอกชนได้ให้ความสำคัญมาก่อนล่วงหน้าทำให้ดำเนินการได้อย่างไม่มีปัญหา สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่าชิ้นส่วนไก่แต่ละชิ้นมาจากไก่ตัวใด จากฟาร์มแห่งใดและอาหารจากที่ไหนมาเลี้ยงสัตว์ และแม้ว่าจะมีการลงทุนมากขึ้น แต่ก็ถือว่าจะทำให้ประเทศคู่ค้าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ไม่นำมาเป็นเหตุผลในเรื่องการกีดกันการนำเข้าสินค้าได้ในอนาคตซึ่งจะเป็นประโยชน์ในระยะยาวมากกว่า ประโยชน์ของระบบตรวจสอบย้อนกลับคือ ช่วยป้องกันปัญหาการกีดกันทางการค้า ส่งผลให้ประเทศไทยสามารถนำเงินตราต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไทยได้มากยิ่งขึ้น เพราะระบบตรวจสอบย้อนกลับจะต้องมีฐานข้อมูลที่ละเอียดในด้านการตรวจสอบย้อนกลับตั้งแต่แหล่งผลิตระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้านประเทศไทย ผลักดันให้เกษตรกรไทยเร่งพัฒนาและยกระดับการผลิตสินค้าของตัวเองให้ได้มาตรฐานอย่างสม่ำเสมอและตรวจสอบย้อนหลังได้ทุกเมื่อที่เกิดปัญหา หากเกษตรกรและผู้ประกอบการไทยสามารถปฏิบัติได้ ก็จะเป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะนำไปสู่เส้นทางแห่งความปลอดภัยทางอาหารหรือ Road Map of Food Safety และนำไทยสู่เป้าหมายครัวของโลกให้เร็วขึ้น. (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 18 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ออกซิเจนมีส่วนสร้าง แมลงยักษ์ดึกดำบรรพ์

จอน แฮร์ริสัน นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอริโซน่า สหรัฐ ทดลองไขปริศว่าว่า ทำไมแมลงยุคดึกดำบรรพ์มีขนาดใหญ่กว่าแมลงปัจจุบันหลายเท่าตัว และพยายามเจาะลึกลงไปว่าปริมาณออกซิเจนในอากาศมีผลต่อขนาดของแมลงจริงหรือไม่ เพราะงานวิจัยที่ผ่านๆ มาตั้งสมมติฐานว่า สภาพบรรยากาศยุคดึกดำบรรพ์มีออกซิเจนสูง ทำให้แมลงได้รับอากาศบริสุทธิ์เต็มที่ดังนั้นจึงมีขนาดใหญ่กว่าแมลงปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น แมลงปอดึกดำบรรพ์มีขนาดพอๆ กับนกอินทรี แฮร์ริสันทดลองให้ออกซิเจนแก่แมลงหลายชนิด เช่น ตั๊กแตน แมลงวันผลไม้ และแมลงปอในปริมาณต่างกัน แต่ไม่พบว่าแมลงที่ได้ออกซิเจนมากกว่าจะทำให้ร่างกายเติบใหญ่กว่าแมลงตัวอื่น แต่แมลงแต่ละชนิดมีความสามารถในการปรับตัวเพื่อดึงเอาออกซิเจนในอากาศเข้าสู่ตัวของมันต่างกัน และไม่ได้หมายความว่าแมลงตัวใหญ่จะสูดออกซิเจนเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกายมากกว่าแมลงตัวเล็ก (ข่าวสด พฤหัสบดีที่ 18 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ทวีปแอตแลนติกใต้ทะเล โดนเดชสึนามิถล่มสมัยหมื่นกว่าปี

นักธรณีวิทยาของมหาวิทยาลัยเวสเทิร์น บริตตานี ของฝรั่งเศส ดร.กัทเชอร์ได้รายงานในวารสารวิชาการ “ธรณีวิทยา” ว่า ได้สำรวจพบเกาะสปาร์เตล ซึ่งจมอยู่ก้นทะเลในบริเวณช่องแคบยิบรอลตาร์ ในระดับลึก 60 เมตร ปกคลุมด้วยตะกอนหยาบๆ อยู่หนาระหว่าง 50-120 ชม. เชื่อว่าคงจะเป็นทวีปแอตแลนติก ตามที่เพลโตนักปรัชญาผู้มีชื่อเสียงสมัยโบราณกล่าวบอกไว้ในตำนาน เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้วว่า เกาะอันมีอารยธรรมเจริญรุ่งเรือง ถูกทำลายจมหายไปในทะเลชั่วเวลาวันเดียว เขาอ้างว่า คำบอก กล่าวของเพลโต สอดคล้องกับเหตุการณ์เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ พร้อมกับคลื่นยักษ์สึนามิสูงถึง 10 เมตร แบบกับที่เกิดถล่มทลายกรุงลิสบอนของโปรตุเกส เมื่อปีพ.ศ. 2298 มานี้ นอกจากนั้นจากการตรวจวิเคราะห์ชั้นฝุ่นตะกอนที่ปกคลุมอยู่ ยังได้พบว่า มันมีอายุเก่าแก่อยู่ในราว 12,000 ปีด้วย การศึกษายังทำให้รู้ข้อมูลด้วยว่า เหตุแผ่นดินไหวใหญ่อย่างที่ถล่มกรุงลิสบอนนั้น จะเกิดขึ้นในอ่าวคาดิซบริเวณเดียวกันนั้น อยู่ทุกๆ 1,500-2,000 ปี หากแต่ผู้เชี่ยวชาญคนอื่นยังไม่สู้เห็นด้วยกับเขาเท่าไรนัก เพราะเห็นว่าแผนที่ของเกาะของเขา ดูมีขนาดเล็กกว่าที่คาดมาก ไม่น่าจะมีผู้คนอยู่หนาแน่นมากมาย พร้อมด้วยอารยธรรมอันรุ่งเรืองได้. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 19 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ข่าววิจัย/พัฒนา


สมองหมูปลูกฝังสมองคน รักษาลิงสมองเสื่อมได้ผล

นักวิจัยของสถาบันเทคโนโลยีเซลล์สิ่งมีชีวิตของนิวซีแลนด์ เตรียมจะนำมันสมองหมู ห่อด้วยของที่ทำขึ้นจากสาหร่ายทะเล มาปลูกใส่ให้กับสมองมนุษย์ เมื่อได้รับการอนุมัติจากทางการ เพื่อรักษาโรคสมองเสื่อมอย่างหนึ่งในปีหน้านี้ เพิ่งทดลองกับลิง ได้รับความสำเร็จอย่างงดงามมาแล้ว เพื่อเอามาใช้รักษาโรคที่มีชื่อว่าโรคฮันติงตัน อันเป็นโรคสมองเสื่อมที่ติดต่อทางกรรมพันธุ์ มีอาการกระตุกของกล้ามเนื้อทีละน้อย เสียการควบคุมกล้ามเนื้อ สูญเสียความจำ และถึงแก่ชีวิตในที่สุด ในจำนวน 100,000 คน จะมีเป็น 1 คนเท่านั้น ทางสมาคมโรคสมองเสื่อมของอเมริกา ได้กล่าวแสดงความเห็นว่า สมาคมก็อยากได้วิธีรักษาแบบนี้เช่นกัน แต่คงจะต้องใช้เวลากันอีกหลายปีกว่าจะแน่ใจได้ว่า มันจะปลอดภัยกับมนุษย์. . (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 15 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ดื่มโกโก้ป้องกันโลหิตจับตัวอุดตัน มีสารอย่างเดียวกับเหล้าไวน์แดง

นักวิจัยอังกฤษ พบในการศึกษาว่า หากดื่มโกโก้ร้อน จะสามารถป้องกันไม่ให้โลหิตจับตัวเป็นก้อนอุดตันหัวใจ อันอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต เนื่องจากมันช่วยยับยั้งการทำงานของเกล็ดเลือดไว้ได้ การค้นพบนี้ อาจนำไปสู่หนทางการรักษาโรคหัวใจและป้องกันโรคอัมพาตอย่างใหม่ได้ หัวหน้าคณะนักวิจัย ดร.เดนิส โอชอกเนส กล่าวว่า “หากเกิดมีโลหิตจับตัวเป็นก้อนขึ้นในสมองหรือหัวใจแล้ว อาจถึงแก่ชีวิต เนื่องจากหัวใจวายหรือเส้นโลหิตแตกได้ เพราะตัวที่เป็นตัวการทำให้โลหิตจับตัว คือเกล็ดเลือด” ได้พบในการศึกษาว่า โกโก้มีสารที่เรียกกันว่า ฟลาโวนอยด์ อันเป็นสารอย่างเดียวกับที่มีอยู่ในเหล้าไวน์แดง อันมีสรรพคุณป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ แต่เรายังได้พบว่าในโกโก้ยังมีสารประกอบ ซึ่งสามารถช่วยยับยั้งเกล็ดเลือดไม่ให้ทำงานอีกด้วย” (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 15 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





เอไอทีจับหญ้าแฝกทำยุ้งฉางหายใจได้

รศ.ดร.พิชัย นิมิตยงสกุล นักวิจัยจากภาควิชาวิศวกรรมโครงสร้าง สำนักงานวิศวกรรมโยธา สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที) เปิดเผยผลงานวิจัยการใช้ประโยชน์จากหญ้าแฝกเพื่อเป็นวัสดุก่อสร้างว่า งานวิจัยนี้ได้นำเอาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ตลอดจนเป็นการสนองพระราชดำริพระเจ้าอยู่หัว ที่ต้องการยุ้งฉางเก็บข้าวเปลือกขนาดย่อม ระบายอากาศได้ดี ช่วยเกษตรกรสามารถเก็บรักษาข้าวเปลือกได้เป็นระยะเวลาที่นานขึ้น เนื่องจากยุ้งฉางทั่วไปจะสร้างจากปูนซีเมนต์และเหล็ก ซึ่งวัสดุทั้ง 2 นั้นมีข้อเสียจากการที่อากาศผ่านเข้าไปในยุ้งและถูกเก็บสะสมไม่มีการระบาย จนเกิดการควบแน่นกลายเป็นความชื้น ส่งผลให้ข้าวเปลือกขึ้นราในที่สุด แนวคิดในการสร้างยุ้งข้าวแบบหายใจจึงได้เริ่มขึ้น ด้วยการมองหาวัสดุที่เหมาะสมมาใช้เป็นโครงสร้าง ซึ่งทีมวิจัยได้เลือกเอาหญ้าแฝกและดินเหนียวมาใช้เป็นวัสดุหลัก โดยหญ้าแฝกทำหน้าที่เป็นวัสดุเสริมแรง และดินเหนียวทำหน้าที่เป็นตัวประสาน นอกจากหญ้าแฝกซึ่งเป็นวัสดุหลักของโครงสร้างยุ้งข้าวแล้ว ยังสามารถนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรชนิดอื่น อาทิ ฟางข้าว หญ้าคา รวมถึงพืชใบอื่นๆ ที่ไม่มีลำต้น มาใช้แทนหญ้าแฝกได้ด้วย จากการทดลองหาสัดส่วนที่เหมาะสมกับยุ้งข้าวต้นแบบ จนกระทั่งได้กำแพงหญ้าแฝกที่มีความหนาและเหมาะสมกับการใช้งาน ในขนาดความหนา 15 นิ้ว โดยนำมัดหญ้าแฝกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 เซนติเมตร มามัดรวมกัน และใช้ดินเหนียวผสมน้ำเป็นตัวประสาน จากนั้นจึงฉาบทับอีกครั้งด้วยมูลวัวผสมข้าวเปลือกเพื่อป้องกันการชะล้าง และกรณียุ้งข้าวสึกกร่อนสามารถซ่อมแซมได้ง่าย สำหรับยุ้งข้าวต้นแบบนี้สามารถบรรจุข้าวเปลือกได้ 2,000 ลิตร แต่สามารถขยายขนาดได้ตามความต้องการ นอกจากนี้ยังได้ติดตั้งอุปกรณ์ดูดอากาศด้านบนของตัวยุ้ง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีช่วยปรับอุณหภูมิภายในยุ้งข้าว ให้เหมาะสมในการเก็บรักษาข้าวเปลือกได้นานถึง 6 เดือน อีกทั้งยุ้งข้าวลักษณะนี้สามารถสร้างและซ่อมแซมได้ง่าย ในราคาถูกโดยใช้วัสดุที่หาได้จากในท้องถิ่น ขณะนี้ยุ้งข้าวต้นแบบได้สร้างเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วและตั้งอยู่ที่สวนจิตรลดา เหลือเพียงถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เกษตรที่สนใจ (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 15 ส.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





แพทย์ไทยเพาะเลี้ยงเซลล์มะเร็งสำเร็จ

นายแพทย์กวิญ ลีละวัฒน์ และนายแพทย์สุชาติ จันทวิบูลย์ แห่งโรงพยาบาลราชวิถี ประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงเซลล์มะเร็ง มะเร็งเกิดจากความผิดปกติของเซลล์ โดยมีเซลล์บางตัวเจริญเติบโตนอกระบบควบคุม แพร่ขยายตัวรวดเร็วจนลุกลามเข้าไปขัดขวางและทำลายอวัยวะต่างๆ เข้าไปในเส้นเลือด ระบบประสาท ต่อมน้ำเหลือง จนทำให้อวัยวะภายในทำงานไม่ได้ ทำให้เสียชีวิตในที่สุด สาเหตุการเกิดมะเร็งยังค้นหาไม่พบ มีแต่ข้อสังเกตต่างๆ เช่น เกิดจากอนุมูลอิสระซึ่งมีสาเหตุจากสูงอายุร่างกายเสื่อมโทรม ฮอร์โมนบางตัวหายไป หรือเกิดจากได้รับสารเคมีบางชนิด ทำให้เซลล์พัฒนาผิดปกติ ฯลฯ แพทย์ทำได้เพียงบำบัดรักษาตามสภาพ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ส่วนใหญ่แพทย์จะใช้วิธีตัดชิ้นเนื้อไปตรวจว่ามีเซลล์มะเร็งหรือไม่ และถ้าพบว่ามีก็ดูต่อไปว่า เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปถึงไหน เข้าไปยังต่อมน้ำเหลืองหรือยัง จากนั้นจึงบำบัดรักษาด้วยวิธีการต่างๆ เช่นฉายแสง ใช้เคมี หรือผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกมา แพทย์ได้พยายามค้นหาวิธีรักษาที่ได้ผลและมีประสิทธิภาพ โดยใช้ความรู้ด้านอณูชีววิทยา และพันธุกรรมเข้ามาช่วย จุดมุ่งหมายก็คือต้องการรู้ว่าสารมะเร็งพัฒนาตนเองอย่างไร มีศักยภาพทำลายอวัยวะต่างได้มากแค่ไหน และทดลองใส่สารเคมีชนิดต่างๆ เพื่อดูว่าสารเคมีชนิดไหนสามารถยับยั้งหรือทำลายเซลล์มะเร็ง ความพยายามของแพทย์ดังกล่าวดำเนินไปด้วยความยากลำบากและต้องใช้ความมุมานะอดทน เพราะจะต้องเริ่มต้นด้วยการตัดก้อนมะเร็งมาเพาะเลี้ยง ซึ่งไม่ใช่เรื่องทำได้ง่าย สิ่งที่แพทย์พบก็คือ เมื่อตัดเอาก้อนมะเร็งออกมาแล้ว เซลล์มะเร็งมักจะตาย แต่ในที่สุด นายแพทย์กวิญ ลีละวัฒน์ และนายแพทย์สุชาติ จันทวิบูลย์ ก็ทำได้สำเร็จ โดยได้รับการสนับสนุนจากนายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ให้ใช้ห้องทดลองใหญ่ที่มีเครื่องมืออุปกรณ์มากกว่าห้องทดลองในฝ่ายศัลยกรรมโรงพยาบาลราชวิถี และได้รับความร่วมมือจาก ดร.ปนัดดา เทพอักษร เป็นอย่างดี นายแพทย์สุวิทย์ เกียรติเสวี บอกว่า สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือ เครื่องมือเครื่องใช้ในห้องทดลองขณะนี้ขอยืมจากบริษัทเอกชนมาใช้ และบริษัทก็อยากให้ซื้อไปใช้แต่งบประมาณไม่มี ทั้งๆ ที่มูลค่าเพียง 1.5 ล้านบาท ดังนั้น นายแพทย์สุวิทย์ เกียรติเสวี จึงบอกบุญมายังท่านผู้มีใจบุญอยากทำกุศล ขอเชิญช่วยกันบริจาคโดยติดต่อ นายแพทย์กวิญ ลีละวัฒน์ โทร. 0-9488-3015 นายแพทย์สุชาติ จันทวิบูลย์ โทร. 0-1802-1204 (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 15 ส.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





อาชีวะเปิดตัว “ตู้จ่ายนมอัตโนมัติ” ตัดตอนขบวนการโกงนมเด็ก

วิทยาลัยการอาชีพหลังสวน และวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีชุมพร สถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 3 ดำเนินการคิดค้น “เครื่องจ่ายนมอัตโนมัติ” โดยมี อาจารย์ศรัณย์ โกสุมภวรรณ อาจารย์ที่ปรึกษาของทีมประดิษฐ์ เครื่องจ่ายนมอัตโนมัติดัดแปลงจากการตู้เย็นแช่อาหาร โครงสร้างทำจากสแตนเลส มีขนาด120 x 120 x 200 เซนติเมตร ภายในตู้มีถังบรรจุนมปริมาณ 40 ลิตร และคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่ควบคุมการจ่ายนมและรายงานผล ทีมงานใช้เวลาในการประดิษฐ์ประมาณ 1 เดือน โดยเครื่องจ่ายนมอัตโนมัติต้นแบบนี้อยู่ที่ราคาประมาณ 2 แสนบาท เป็นเครื่องแรกของประเทศไทย “เครื่องต้นแบบอาจจะมีราคาแพง แต่หากผลิตหลายเครื่องก็จะทำให้ราคาถูกลงอาจจะอยู่ที่ประมาณเครื่องละ 120,000 บาท แต่ทั้งนี้จะต้องผ่านความเห็นชอบจากผู้บริหารระดับสูงของ ศธ. และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อนถึงจะเริ่มลงมือผลิตเพื่อนำร่องใน 50 โรงเรียนที่ จ.ชุมพร” เครื่องนี้ทำให้นักเรียนได้ดื่มนมที่สะอาดและถูกหลักอนามัย ส่งเสริมให้นักเรียนได้ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งเครื่องนี้ยังสามารถตรวจสอบการใช้งานของเด็กแต่ละคนได้จากการประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย นอกจากนี้เด็กๆ ยังช่วยลดมลภาวะจากการทิ้งภาชนะที่ใช้ในการบรรจุ สร้างระเบียบวินัยในการดื่มนม และรู้จักการรักษาความสะอาดด้วย “สำหรับขั้นตอนการทำงานของเครื่องจ่ายนมอัตโนมัติ เริ่มแรกที่การนำนมสดพาสเจอร์ไรซ์บรรจุลงในถังสแตนเลสบรรจุนม ซึ่งบรรจุได้ปริมาณ 40 ลิตร และนำไปวางไว้ในตู้เครื่องทำความเย็น ซึ่งจะต้องมีอุณหภูมิประมาณ 5 องศาสเซลเซียส เพราะหากอุณหภูมิสูงกว่านี้อาจจะทำให้นมเสียได้” ขั้นที่สอง นำอุปกรณ์ชุดวาล์วเปิด-ปิด มาประกอบกับถังบรรจุนม ซึ่งในส่วนของคอมพิวเตอร์นั้นทางผู้ผลิตก็จะจัดโปรแกรมการจ่ายนม และการรายงานผลเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องไปกังวลในส่วนของคอมพิวเตอร์เลย แต่ทั้งนี้เครื่องดังกล่าวผู้ผลิตได้กำหนดปริมาณนมที่จะจ่ายให้กับเด็กไว้ที่ 200 ซีซี แต่หากโรงเรียนใดจะลดหรือเพิ่มก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งเป็นขั้นตอนของการจ่ายนม ก็ทำได้ง่ายๆ เพียงเด็กนักเรียนนำแก้วไปวางบนถาดรองแก้ว แล้วใช้บัตรแถบแม่เหล็ก (Magnetic Card) หรือบัตรสมาร์ทการ์ดประจำตัวเด็กแต่ละคนรูดที่เครื่องรูดบัตร คอมพิวเตอร์ก็จะประมวลประวัติของเด็ก หลังจากนั้นวาล์วจะเปิดจ่ายนมในปริมาณที่กำหนด เสร็จปุ๊บคอมพิวเตอร์ก็จะเก็บข้อมูลต่อว่าเด็กคนนี้ได้รับนมไปแล้วเท่าไร ไฟฟ้าขัดข้อง ก็สามารถเปลี่ยนมาใช้วาล์วเปิด-ปิด แบบมือได้เช่นกัน “ในอนาคตหากได้มีการนำไปใช้จริง ระบบคอมพิวเตอร์ในเครื่องอาจจะใช้ระบบเน็ตเวิร์ค ซึ่งสามารถรายงานผลไปที่เครื่องแม่ข่ายได้เลย โดยเครื่องแม่ข่ายอาจจะตั้งอยู่ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ต่างๆ หรือที่ส่วนกลาง ทำให้เราสามารถเช็คข้อมูลการจ่ายนมของแต่ละโรงเรียนได้ด้วย” (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 15 ส.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





"ตู้ยาอัจฉริยะ" หมอประจำบ้าน

นิตยสาร "พ็อพพิวลาร์ ไซน์" ของสหรัฐอเมริกันฉบับล่าสุดไปสำรวจรวบรวมแนวโน้มมารายงานเอาไว้ว่า ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในอีกหลายปีจากนี้จะทำให้ตู้ยาประจำบ้านของคน(อเมริกัน) ทำหน้าที่ 3 ประสาน นั่นก็คือ เป็นทั้งคลินิก ร้านขายยา และหมอในขณะเดียวกัน พ็อพพิวลาร์ ไซน์ทำนายไว้ว่า รูปแบบการทำงาน 3 ประสานของตู้ยาประจำบ้านจะมีลักษณะใกล้เคียงกับตัวอย่างต่อไปนี้ "น้ำยาบ้วนปากเพื่อสุขภาพ" : ฝรั่งอเมริกันชอบติดตู้ยาเหนืออ่างล้างหน้าในห้องน้ำ จึงมักมีน้ำยาบ้วนปากเก็บไว้อยู่ด้วยในตู้ยา แต่น้ำยาบ้วนปากที่บริษัทออราเจนิกส์กำลังพัฒนาและเตรียมส่งวางขายในยุโรปในปีหน้านั้น จะมีส่วนผสมของ"แบคทีเรีย" ที่เป็นประโยชน์ ช่วยป้องกันเชื้อโรคต่างๆ ไม่ให้รุมเล่นงานเหงือก "ฉีดยาไม่ต้องพึ่งเข็ม" : ในอนาคตคนที่ป่วยเป็นไมเกรนอาจไม่ต้องเดินทางไปให้หมอฉีดยาบรรเทาอาการ ล่าสุด บริษัทอาราไดม์ กำลังประดิษฐ์ตู้ยาชนิดพิเศษ ซึ่งติดตั้งท่อจ่ายยาขนาดเล็ก โดยเมื่อนำปากท่อมาจ่อกับผิวหนัง ระบบจ่ายยาจะยิงไนโตรเจนลงบนผิวหนังเพื่อเปิดรูขนาดเล็กสำหรับส่งยารักษาอาการปวดไมเกรนเข้าไปในเส้นเลือดโดยไม่ต้องใช้เข็มฉีดยาให้เจ็บตัว "พลาสเตอร์ปิดแผลละลายได้" : แกรี่ บราวน์ นักวิทยาการแพทย์ชีวภาพ ประจำมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย คอมมอนเวลต์ คิดค้นพลาสเตอร์ปิดแผล-ห้ามเลือดแบบละลายหายไปพร้อมกับแผล พลาสเตอร์ชนิดนี้ผลิตจากเส้นใยโปรตีนที่มีคุณสมบัติช่วยสมานแผลชื่อว่า "ไฟบริโนเจน" ซึ่งนำมาประกอบกันขึ้นเป็นเส้นใยขนาดเล็กระดับ"นาโน" ปิดท้ายกันด้วย "ระบบตรวจสุขภาพผ่านตู้ยาอัจฉริยะ" : ระบบนี้จะแปรสภาพตู้ยาเป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก โดยมีกระจกของตู้ยาเป็นเหมือนจอภาพ ภายในตู้ยาติดตั้ง "ไมโครชิพ" สำหรับตรวจน้ำลายเพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงการป่วยโรคมะเร็งในปาก อัลไซเมอร์ และไข้หวัด ถ้าผลตรวจมีแนวโน้มว่าอาจป่วยด้วยโรคเหล่านี้ก็สามารถสั่งให้ตู้ยาเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตเพื่อนัดหมายตรวจร่างกายกับแพทย์เพื่อความมั่นใจอีกครั้งหนึ่งได้อย่างสะดวกรวดเร็ว (ข่าวสด จันทร์ที่ 15 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





แปรรูปก.วิทย์-ICT ล้างแนวคิดราชการ บริหารแบบ"ธุรกิจ"

นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการคณะกรรม การพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เปิดเผย ถึงความคืบหน้าการจัดโครง สร้างส่วนราชการว่า ขณะนี้ภาพใหญ่ๆ ได้ข้อสรุปแล้วว่าจะยุบรวมเหลือ 18 กระทรวง ซึ่งได้มีการจัดโครงสร้างว่าจะมีทบวง กรมอะไรบ้างในแต่ละกระทรวงเรียบ ซึ่งจะเร่งสรุปเพื่อนำเสนอนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีในวันที่ 18 สิงหาคมนี้ ส่วนของกระทรวงต่างๆ ยังคงแนวทางเดิมที่ได้ประชุมและประกาศออกไป ยกเว้นกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) จากเดิมที่จะเป็นการยุบรวมและให้มี 2 ทบวงอยู่ในกระทรวงนั้น ในการประชุมเมื่อ 2 ก.ค.ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์, นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยเลขาธิการสภาพัฒน์และเลขาธิการ ก.พ.ร.ไปทำโมเดลใหม่ ทำให้ในการประชุมเมื่อ 30 ก.ค.ที่ผ่านมาได้ข้อสรุปโครงการกระทรวงวิทย์ โฉมใหม่ เป็นกระทรวงที่มีลักษณะพิเศษไม่มีส่วนราชการอยู่เลย โดยหน่วยงานที่อยู่ในกำกับจะเป็นองค์การมหาชนทั้งหมด และเปลี่ยนคอนเซ็ปต์การทำงานของกระทรวงวิทย์ใหม่ให้ทำหน้าที่ด้าน technology management ในการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ทั้งภาคเกษตรและอุตสาหกรรมของไทย ตามหลัก value creation โครงสร้างของกระทรวงวิทย์รูปแบบใหม่นั้นจะมี executive board ว่าด้วยเรื่องเทคโนโลยีแมเนจเมนต์ของประเทศที่ช่วยกันกำหนดยุทธศาสตร์ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และรัฐมนตรีกระทรวงที่เกี่ยวข้อง สำหรับปลัดกระทรวง ต้องทำหน้าที่เป็นซีอีโอ และยังคิดกันว่าต้องการให้ปลัดกระทรวงใหม่นี้เป็นข้าราชการวิสามัญ เป็นมืออาชีพที่ถูกจ้างเข้ามาเป็นคอนแทร็กต์ ไม่ได้เป็นข้าราชการประจำ เพราะโจทย์ของกระทรวงนี้จะแตกต่างไปจากเดิม ต้องการความคล่องตัวและความสามารถในด้านการบริหารจัดการเทคโนโลยี ในส่วนของข้าราชการวิสามัญนั้นก็ต้องมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับข้าราชการพลเรือนเพิ่มเติม ซึ่งขณะนี้ส่วนที่เกี่ยวข้องก็ดำเนินการศึกษาแก้ไขอยู่แล้ว ภายใต้ซีอีโอของกระทรวงนั้นจะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มที่ดูแลเรื่องของยุทธศาสตร์ 2.technology management คือ กลุ่มที่ไปดึงเอาเทคโนโลยีต่างๆ มาประยุกต์ใช้ ดูจากมหาวิทยาลัยในประเทศไทยว่ามีเทคโนโลยีด้านนั้นมาใช้ได้บ้าง หรือต้องไปหาเพิ่มจากต่างประเทศเข้ามา เช่นถ้ามีเทคโนโลยีอะไรที่จะทำให้ผ้าไหมไทยมี value creation เพิ่มขึ้น อาจต้องใช้นาโนเทคโนโลยีเข้ามาผสม ซึ่งถ้าในเมืองไทยไม่มี ก็ไปซื้อ know how เข้ามา และกลุ่มที่ 3.คือ กลุ่ม interactaul property หลังจากคิดได้แล้วก็ต้องจดลิขสิทธิ์ หรือถ้าไปซื้อเทคโนโลยีมาก็ต้องไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ นายทศพรกล่าวว่า โครงสร้างเดิมของกระทรวงวิทย์และไอซีทีที่มีอยู่ก็จะเป็นองค์การมหาชนที่ทำหน้าที่สนับสนุนภารกิจของกระทรวงใหม่ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์นาโนเทค, ไบโอเทค, เนคเทค, เอ็มเทค ก็จะให้โฟกัสการทำวิจัยตามยุทธศาสตร์ที่กระทรวงวางไว้ แต่เดิมทำวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้เป็น pure science แต่ตอนนี้จะเน้นการประยุกต์หรือแอปพลิเคชั่นมากขึ้น เพื่อไปต่อยอดเชื่อมโยงกับภาค อุตสาหกรรมหรือโอท็อป เพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์ของไทยมี value creation มากขึ้น พร้อมกันนี้จะมีการยุบรวมสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สภาวิจัย กองทุนวิจัยการเกษตร กองทุนนวัตกรรม ฯลฯ เพื่อรวบรวมแหล่งทุนวิจัยทั้งหลายก็มารวมอยู่ที่กระทรวงนี้ เพื่อเป็นกองทุนสนับสนุนเงินทุนวิจัย (funding agencies) ให้สอดคล้องตามยุทธศาสตร์ของประเทศ (ประชาชาติธุรกิจ จันทร์ที่ 15 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/prachachart)





ดื่มกาแฟช่วยป้องกันมะเร็งตับ แต่ยังไม่รู้สาเหตุว่าด้วยธาตุอันใด

นักวิจัยของบัณฑิตวิทยาลัยแพทย์ มหาวิทยาลัยโตโฮกุ ที่เมืองเซนไดของญี่ปุ่น ได้ ศึกษาวิจัยกับผู้ใหญ่ชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่ต่ำกว่า 60,000 คน ผลของการวิจัยได้ช่วยยืนยันผลการค้นพบ ซึ่งทำมาในเรื่องเดียวกันเมื่อก่อนหน้านี้ รายงานผลการศึกษาครั้งใหม่ซึ่งเปิด เผยในวารสารทางวิชา การ “โรคมะเร็ง” นี้แจ้งว่า ไม่ว่าจะหญิงหรือชายที่ดื่มกาแฟอย่างน้อยวันละ 1 ถ้วย จะเสี่ยงกับการเป็นมะเร็งตับน้อยกว่าคนที่ดื่มไม่ถึงหรือไม่ได้ดื่มเลย คอกาแฟที่ดื่มประจำจะมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งภายในช่วงระยะเวลา 7-9 ปีนี้ น้อยกว่าผู้ที่ดื่มเป็นบางครั้งบางคราวถึง 29% และยิ่งกว่านั้น เมื่อเทียบกับเพื่อนคนที่ไม่ดื่มเลย คอกาแฟจะเสี่ยงน้อยกว่ามากถึง 42% หัวหน้าคณะผู้วิจัย ดร.ทาอิชิ ชิมาซุ ยอมรับว่า ยังไม่อาจทราบได้เหมือนกันว่าเหตุใด กาแฟถึงช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งตับให้ต่ำลงได้ แต่เผยว่า ในกาแฟมีสารประกอบอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่ากรดโคลโรเจนิก ซึ่งแสดงให้เห็นในการทดลองกับสัตว์ว่ามีสรรพคุณต่อ ต้านมะเร็ง. (ไทยรัฐ อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





เครื่องผ่าจาวตาล...ผ่าได้เร็วอย่างที่ใจต้องการ

เครื่องผ่าจาวตาล ประดิษฐ์ขึ้นด้วยความร่วมมือของ คณาจารย์ และนักศึกษาจากแผนกวิชาช่างกลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ศรีวิชัย วิทยาเขตภาคใต้ อ.ณชพร รัตนาภรณ์ อาจารย์ที่ปรึกษาประจำโครงการนี้ วัตถุประสงค์หลักของการประดิษฐ์เครื่องผ่าจาวตาลนี้ขึ้น ก็เพื่อใช้ประโยชน์ในการเพิ่มมูลค่าการแปรรูปสินค้าทางการเกษตร ช่วยให้ประหยัดเวลา แรงงานและต้นทุนในการผลิต ซึ่งเท่าที่ได้ทดลองเครื่องผ่าจาวตาลก็พบว่าสามารถแก้ปัญหาความยากลำบากในการผ่าจาวตาลได้เป็นอย่างดี โดยใช้ใบมีดที่มีความแข็งแรงและคม ขับใบมีดให้หมุนเพื่อผ่าลูกตาลด้วยมอเตอร์ขนาด 1/2 แรงม้า เครื่องสามารถผ่าลูกตาล ได้ไม่ต่ำกว่า 120 ลูก/ชั่วโมง ราคาต้นทุนของเครื่องก็ตกอยู่ประมาณ 18,000 บาท ส่วนขั้นตอนในการผ่า เริ่มจากนำลูกตาลที่ผ่านการเพาะ เพื่อให้เกิดจาวตาล มาจับกับปากจับ โดยการโยกคันโยกให้ปากจับถ่างออกทั้งสองข้างแล้วนำลูกตาลใส่ลงปากจับ จากนั้นปล่อยคันโยกให้หนีบลูกตาล และคันโยกเพื่อบังคับใบมีดที่หมุนผ่าจาวตาล เมื่อใบมีดหมุนก็หมุนมือหมุนให้ลูกตาลหมุนรอบใบมีดให้ใบมีดหมุนตัดลูกตาลจนกระทั่งรอบลูกตาล แล้วนำลูกตาลที่ผ่านการผ่ามาทำการแยกโดยใช้แรงบิดเพื่อให้ลูกตาลแยกออกเป็นสองส่วน ซึ่งส่วนหนึ่งจะมีจาวตาลติดอยู่ และอีกส่วนหนึ่งจะไม่มีจาวตาล นำส่วนที่มีจาวตาลมาแคะจาวตาลได้เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้ตามต้องการ หากผู้ใดสนใจก็สามารถติดต่อไปได้ที่ แผนกช่างกลโรงงาน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตภาคใต้ หมายเลขโทรศัพท์ 0-7431-6263, 0-7431-6260. (เดลินิวส์ อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





วัยรุ่นสายเดี่ยวเสี่ยงมะเร็งผิวหนัง

อัตราการเกิดโรคมะเร็งที่เกิดจากเซลล์ในชั้นฐานของหนังกำพร้า (basal cell) และเซลล์ในชั้นหนังกำพร้า กำลังมีจำนวนเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้หญิงที่อายุต่ำกว่า 40 ปี โดยจากการตรวจสอบเมื่อปี 2546 พบว่า ใน 10,000 คน มีผู้หญิงที่เป็นมะเร็งชนิดดังกล่าวถึง 32 คน ขณะที่ตัวเลขเมื่อ 30 ปีก่อนมีเพียง 13:10,000 คนเท่านั้น คิดเป็นสัดส่วนที่เพิ่มสูงขึ้นเกือบ 3 เท่า ดร.เลสลี คริสเตนสัน จากคลินิกมาโย ในสหรัฐ บอกว่า ขณะนี้ต้องพยายามเปลี่ยนความเชื่อของผู้หญิง ที่ว่าการมีผิวสีแทนหมายถึงสุขภาพที่ดี และดูเท่มีเสน่ห์ โดยเฉพาะในกลุ่มหญิงวัยรุ่น ที่ยังคงนิยมนอนอาบแดดใต้แสงอาทิตย์ เพราะรังสีที่ได้รับสามารถทำลายผิวหนังได้ ขณะที่กลุ่มผู้ชายอายุต่ำกว่า 40 ปี ไม่พบอัตราการเพิ่มของมะเร็งจากเซลล์ในชั้นฐานของหนังกำพร้า แต่กลับมีอัตราโรคมะเร็งที่เกิดเกิดจากเซลล์ในชั้นหนังกำพร้าเพิ่มขึ้น คริสเตนสันบอกว่าส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ ผู้ชายไม่ค่อยใส่ใจเรื่องผิวพรรณเท่าผู้หญิง และไม่ได้ต้องการเปลี่ยนสีผิวมากนัก ทั้งนี้ มะเร็งที่เกิดจากเซลล์ในชั้นฐานของหนังกำพร้า จะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนใส ขอบม้วน อาจมีสีดำหรือแตกเป็นแผล พบบ่อยบริเวณที่ถูกแดด เช่น ใบหน้า ใช้ระยะเวลานานในการแพร่กระจายโรค ส่วนมะเร็งที่เกิดจากเซลล์ในชั้นหนังกำพร้า มีสัญลักษณ์นูน แดง ผิวหนังแตกเป็นแผล เลือดออกง่าย พบบ่อยบริเวณใบหน้า ริมฝีปาก ขอบใบหู สามารถแพร่กระจายจากบริเวณหนึ่งไปยังอีกบริเวณหนึ่งได้ รวมทั้งยังโตและขยายเป็นวงกว้างได้เร็วและลึกกว่ามะเร็งผิวหนังชนิดแรกอีกด้วย (คมชัดลึก อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





"หลังคายาง"ขี้เลื่อยไม้ยางพาราคลายร้อนเยี่ยม-ผลงานนักวิจัย มจธ.

รศ.ดร.ณรงค์ฤทธิ์ สมบัติสมภพ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ใช้เวลาเพียง 6 เดือน สามารถ พัฒนาหลังคายางจากขี้เลื่อยไม้ยางพารา ขึ้นมา ช่วยคลายร้อนให้ตัวบ้านได้มากกว่ากระเบื้องทั่วไปถึง 2-3 เท่า คุณภาพเยี่ยม ทนแรงกระแทก แรงเหยียบ หรือรอยขีดข่วน แถมลดต้นทุนการผลิต พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับขี้เลื่อยไม้ยางพาราอีกด้วย หลังจาก บริษัท สยามยูไนเต็ด รับเบอร์ จำกัด ติดต่อให้เขาในฐานะผู้เชี่ยวชาญเรื่องยางพารา ช่วยพัฒนากระเบื้องยางพารา ที่บริษัทผลิตจำหน่ายอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ต้นทุนการผลิตสูง หลังคายางจากขี้เลื่อยไม้ยางพารา ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปของยางแข็ง (Ebonite Rubber) นอกจากจะช่วยลดต้นทุนการผลิตได้อย่างมากแล้ว คุณสมบัติของมันยังยอดเยี่ยม มีความแข็งแกร่งของผิวที่สามารถทนต่อการเหยียบ การตอกตะปู รอยขีดข่วน หรือแรงกระแทกต่างๆ และแน่นอนมีน้ำหนักเบาและไม่แตกเหมือนกระเบื้องทั่วไป ซึ่งจะมีความคงทนยาวนาน 10 ปี และเป็นฉนวนกันความร้อนได้ดีกว่ากระเบื้องทั่วไป 2-3 เท่า ขณะนี้งานวิจัยได้สำเร็จลุล่วงด้วยดี และได้มีการแสดงผลงานไปเมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา ในงาน "ฟื้นยางไทยให้ยั่งยืน" ซึ่งจัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ ทีนี้ก็อยู่ที่ว่าบริษัทจะเริ่มผลิตออกจำหน่ายเมื่อไร แต่รับประกันผลงานว่า คุณภาพนั้นเยี่ยมมากทีเดียว" อ.ณรงค์ฤทธิ์ เจ้าของผลงานกล่าวด้วยความมั่นใจถึงผลิตภัณฑ์ หากมีการวางจำหน่ายในท้องตลาด ในเรื่องสูตรสำเร็จของการผลิตกระเบื้องนั้น เจ้าของความคิดบอกเป็นเรื่องยากที่จะบอกในรายละเอียด เพราะเป็นข้อตกลงระหว่างสถาบันกับบริษัท อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการพัฒนานั้น เขาย้ำจะไม่มีการหยุดนิ่งแน่นอน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาผิวของหลังคา โดยการเคลือบผ้าใบเพื่อให้ทนแดด ทนฝน จากนั้นต่อไปในอนาคตจะพัฒนาให้หลังคามีน้ำหนักเบามากขึ้น หากสำเร็จจะได้หลังคาที่ทำให้บ้านเย็นขึ้น และพัฒนาสู่เชิงพาณิชย์ได้ก้าวไกลต่อไป ผู้สนใจรายละเอียดสอบถามได้ที่ โทร.0-2470-8059 หรือ 0-1928-6608 (คมชัดลึก อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





รถเหาะ"พัลวี"

บริษัทวิศวกรรมออกแบบ "สปาร์ก" ในเนเธอร์แลนด์ เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่พยายามคิดค้นพาหนะช่วยแก้ปัญหาการจราจรติดขัด โดยคิดนวัตกรรมยานพาหนะในรูปแบบ "รถยนต์กึ่งเฮลิคอปเตอร์" ที่เรียกว่า "PALV : Personal Air and Land Vehicle" (พัลวี : พาหนะส่วนบุคคลสำหรับการเดินทางภาคพื้นดินและอากาศ) ขณะนี้รถเหาะ "พัลวี" ยังเป็นความฝันอยู่บนแผ่นกระดาษ แต่ "จอห์น แบ๊กเคอร์" หนึ่งในทีมสร้างต้นแบบ "พัลวี" อธิบายลักษณะการทำงานแบบง่ายๆ ของรถเหาะรุ่นนี้ ว่า เป็นรถยนต์ 3 ล้อดีไซน์เฉียบ ติดตั้งเครื่องโรตารี่ 213 แรงม้า ยามวิ่งบนท้องถนนของเมืองใหญ่ก็สามารถซอกแซกไปตามช่องทางแคบๆ ได้เหมือนจักรยานยนต์ เนื่องจากตัวรถเอียงได้ 30 องศา ความเร็วสูงสุดบนท้องถนน อยู่ที่ 200 ก.ม./ช.ม. อัตราซดน้ำมันไร้สารตะกั่ว 95 อยู่ที่ 30 กิโลเมตรต่อ 1 ลิตร เติมน้ำมันเต็มถังวิ่งได้ไกล 600 กิโลเมตร ถ้าวันไหนรถติดขัดวินาศสันตะโร คนขับ "พัลวี" ก็แค่กดปุ่มสั่งให้ "ชุดใบพัด" และระบบควบคุมการบินในตัวรถเริ่มทำงาน จากนั้นใบพัดจะยกตัวขึ้นไปเหนือหลังคา และค่อยๆ หมุนสร้างแรงยกดึงรถ "พัลวี" ขึ้นไปบนกลางอากาศ ด้วยความเร็วสูงสุด 195 ก.ม./ช.ม. โดยตอนนำรถขึ้นไปบินต้องใช้ระยะทางวิ่งเพื่อเตรียม "เทก-ออฟ" ราว 5 เมตร สำหรับเพดานบินของ "พัลวี" กำหนดไว้ที่ระดับต่ำกว่า 1,500 เมตร ถือว่าต่ำกว่าระดับการบินเชิงพานิชย์ จึงไม่ต้องขออนุญาตก่อนขึ้นบิน ในอนาคตถ้าทางการหลายประเทศในยุโรปและสหรัฐ นำระบบกำหนดพิกัดจากดาวเทียม (จีพีเอส) มาใช้ควบคุมการจราจรของ "เครื่องบินระดับต่ำ" ก็จะยิ่งเพิ่มความปลอดภัยในการขับ "พัลวี" มากยิ่งขึ้น จอห์น บอกว่า ในเบื้องต้น "พัลวี" น่าจะมีประโยชน์สำหรับงานกู้ภัย หรือ งานส่งหน่วยปฐมพยาบาลไปยังจุดเกิดเหตุร้ายต่างๆ เพราะมีความคล่องตัวในการเดินทาง ส่วนเรื่องการนำมาใช้แทนรถยนต์เลยนั้นต้องศึกษารายละเอียดกันต่อไป (ข่าวสด อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





รู้จักดร.ธวัช วิรัตติพงศ์ นักวิทย์เลือดไทยใน"นาซ่า"

ดร.ธวัช วิรัตติพงศ์ ปัจจุบันอายุ 54 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ด้านวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นคว้าปริญญาโทจากสถาบันเดียวกัน ก่อนบินไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกาและคว้าปริญญาเอก สาขาอิเล็กทรอเมติก เธียรีและแอนเทนน่า และวิชาโท ควอนตัมฟิสิกส์เลเซอร์ออฟติกและคณิตศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยโอไฮโอ สเตต ยูนิเวอร์ซิตี้ วิทยานิพนธ์ของดร.ธวัชได้รับเลือกเป็นวิทยานิพนธ์ยอดเยี่ยม ประจำปีพ.ศ.2526 หลังจบการศึกษาปริญญาเอก ได้ทำงานเป็นผู้ช่วยนักวิจัย และเริ่มสอนหนังสือในสหรัฐที่มหาวิทยาลัยเทกซัส เอแอนด์เอ็ม พอได้สิทธิความเป็นพลเมืองสหรัฐก็สมัครเข้าทำงานกับองค์การอวกาศสหรัฐ(นาซ่า) และผ่านการคัดเลือกได้เข้าเป็นเจ้าหน้าที่แผนก "เจ๊ต โพรพัลชั่น แลบอราทอรี่" (เจพีแอล) ห้องปฏิบัติการอันดับ 1 ของนาซ่า ที่ทำงานสำรวจด้านอวกาศด้วยการใช้ดาวเทียมและยานอวกาศแบบไม่ใช้คนบังคับ ทำงานกับเจพีแอล 20 กว่าปี ในที่สุดนาซ่าเปิดโอกาสให้ดร.ธวัชขึ้นเป็นผู้บริหาร รับตำแหน่งผู้จัดการโครงการขนาดเล็ก ปัจจุบันเป็นหัวหน้าทีมออกแบบด้านอาร์เอฟ ออฟติกของจานเสาอากาศขนาด 34 เมตร ราคาชุดละ 1,500 ล้านบาท เมื่อต้นเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ดร.ธวัชเป็นส่วนหนึ่งในทีมควบคุมปฏิบัติการส่งยานอวกาศ "ดีพอิมแพ็ก" พุ่งชนดาวหางเทมเปล-วัน โดยทำหน้าที่สนับสนุนการรับสัญญาณที่ส่งมาจากยานอวกาศ ซึ่งอยู่ห่างจากโลก 130 ล้านกิโลเมตรไปให้กับทีมประมวลผล ตั้งใจว่าจะต้องมาช่วยพัฒนาประเทศไทยให้เจริญทัดเทียมกับต่างชาติให้ได้ เป็นปณิธานสูงสุดในชีวิต (ข่าวสด อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





พบวิธีผลิตเนื้อในจานแก้วทดลอง ไม่ต้องเลี้ยงสัตว์เพื่อใช้กินเนื้อ

นักวิจัยเปิดเผยว่า ความก้าวหน้าของเทคนิควิศวกรรมเนื้อเยื่อ สามารถจะเอาเซลล์จากสัตว์ ไปเพาะเลี้ยงจนเติบโตกลายเป็นเนื้อเยื่อขนาดเป็นก้อน อย่างเช่น น่องไก่ขึ้นในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์กันได้แล้ว ซึ่งเทคโนโลยีจะสร้างคุณประโยชน์ไม่แต่ผลิตอาหารให้กับมนุษย์ขึ้นเท่านั้น หากยังเป็นผลดีกับสิ่งแวดล้อมด้วย “ตามทฤษฎี แล้ว แค่เซลล์เพียงเซลล์ เดียว อาจจะเอาไปผลิตเนื้อสัตว์ที่ใช้บริโภคกันได้ทั้งปี ด้วยวิธีการที่ไม่เป็นภัยกับสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของมนุษย์ด้วย มันเป็นความคิดที่จะทำให้เป็นจริงขึ้นในระยะยาวได้มาก นักวิจัยเจสัน เมทานีแห่งมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ของสหรัฐฯ กล่าวในวารสารทางวิชาการ “วิศวกรรมเนื้อ เยื่อ” ว่า “เทคนิคการผลิตเนื้อสัตว์โดยไม่มีสัตว์มายุ่งเกี่ยวด้วย จะทำให้หมดความจำเป็นที่ต้องเอาสัตว์เรือนล้านๆ มาเลี้ยงไว้ในคอกแคบๆอย่างที่ทำกันอยู่ และยังช่วยลดความเสียหายที่เกิดจากการผลิตเนื้อสัตว์ต่อสิ่งแวดล้อมลงด้วย การผลิตเนื้อในห้องปฏิบัติการจะถูกอนามัยมากกว่า เดิมทีเทคนิคของวิศวกรรมเนื้อเยื่อได้คิดขึ้นเพื่อใช้งานทางการแพทย์ และต่อมาองค์การอวกาศสหรัฐฯได้วิจัยผลิตเป็นแผ่นเนื้อเยื่อปลาที่กินได้ขึ้น. (ไทยรัฐ พุธที่ 17 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





เติมธาตุเหล็กให้กับสมองคนไทย ผสมใส่ในข้าวและขนมขบเคี้ยว

นายประวิช รัตนเพียร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า ศูนย์ เทคโนโลยีชีวภาพ หรือไบโอเทค ได้ทำการศึกษาการเติมธาตุเหล็กในอาหาร ได้แก่ ข้าวและขนมขบเคี้ยวต่างๆ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงรสชาติ คาดว่าใน 6 เดือนจะสำเร็จ ซึ่งจะทำให้ ประเทศไทยมีการผลิตอาหารเสริมธาตุเหล็กด้วยสูตรของไทยเอง และจะไม่ซ้ำซ้อนกับอาหารเสริมธาตุเหล็กของต่างประเทศ เพราะการบริโภคอาหารของคนไทยรสชาติแตกต่างจากคนต่างประเทศ ทั้งนี้ อาหารเสริมธาตุเหล็กจะช่วยพัฒนาสมอง โดยเฉพาะสมองของเด็กไทยได้ และขณะนี้ ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน ได้ทำการเพาะพันธุ์ข้าวพันธุ์ 13 ซึ่งเป็นข้าวที่อุดมไป ด้วยธาตุเหล็ก ซึ่งจะมีการขยายผลต่อโดยคัดเลือกสหกรณ์และหน่วยผลิต เพื่อกระจายไปยังประชาชนต่อไป. (ไทยรัฐ พุธที่ 17 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





รีโมตคอนโทรล ควบคุมมนุษย์

นักวิจัยชาวญี่ปุ่นจาก NTT (Nippon Telegraph and Telephone) ประดิษฐ์ “รีโมตคอนโทรล สำหรับมนุษย์” หรือ มีชื่อเรียกอย่างเป็น ทางการว่า Galvanic Vestibular Stimu lation (GVS) อุปกรณ์ GVS จะส่งไฟฟ้ากระแสตรงอย่างอ่อน ๆ เข้าไปยังบริเวณขมับส่วนหลังใบหู ซึ่งกระแสไฟฟ้าดังกล่าวทำให้ระบบควบคุมการทรงตัวของเราเสียสมดุลไป (แม้ว่าศีรษะของเราจะไม่ได้มีการเปลี่ยนตำแหน่งไปจริง ๆ) และสมองก็จะสั่งให้อวัยวะหรือกล้ามเนื้อส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่เคลื่อนไหวไปในทิศทางต่าง ๆ เพื่อพยายามทำให้เกิดความสมดุลขึ้นอีกครั้ง แปลย่อหน้าข้างบนง่าย ๆ อีกครั้งก็คือว่ากระแสไฟฟ้าสามารถหลอกระบบควบคุมการทรงตัวของคนเราได้ และร่างกายเราก็จะมีปฏิกิริยาตอบสนองกับสมดุลที่เสียไปนั้น นั่นคือเราจะขยับเคลื่อนที่ไปทางซ้าย ทางขวา ข้างหน้า ข้างหลัง เพื่อพยายามทำให้ร่างกายกลับมาอยู่ที่ตำแน่งสมดุลอีกครั้ง (โดนหลอก!) จากการทดลอง นักวิจัยใช้รีโมตคอนโทรลเพื่อควบคุมอุปกรณ์ GVS จากระยะไกล ทำให้ดูราวกับว่ามนุษย์คนหนึ่งกำลัง ถูกควบคุมโดยรีโมตคอนโทรลให้เคลื่อนที่ไปตามความต้องการของผู้ควบคุม นักวิจัยคาดว่าเทคโนโลยี GVS จะทำให้บรรดาคอเกมคอมพิวเตอร์ทั้งหลายรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในเกมได้ สมจริงยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่นเกมส์ประเภทรถแข่งหรือยานอวกาศ นอกจากนั้นแล้วระบบ Flight Simulator หรือเครื่องจำลองการบินยังอาจได้อานิสงส์จากเทคโนโลยีนี้อีกด้วย เพราะไม่จำเป็นต้องอาศัยระบบไฮโดรลิกที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์อันซับซ้อน เพียงแต่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างภาพเคลื่อนไหวแล้วทำให้นักบินรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของตำแหน่งผ่านทาง GVS ต้นทุนต่อเครื่องของเครื่องจำลองการบินก็จะถูกลงมากทีเดียว ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับการควบคุม การทรงตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีสาเหตุโดยตรง มาจากส่วน Vestibular System ในหูชั้นใน ยังสามารถใช้เทคโนโลยีนี้ในการรักษาได้อีกด้วย (เดลินิวส์ พุธที่ 17 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ยุ่นพัฒนารีโมทบังคับคน สั่งเซซ้ายขวาได้-เล็งใช้ในเกมสมจริง

นักวิจัยญี่ปุ่นพัฒนาอุปกรณ์สำหรับควบคุมการทรงตัวของมนุษย์ สามารถบังคับให้เซซ้ายหรือขวาได้ตามสั่ง เล็งนำไปใช้เป็นอุปกรณ์สำหรับเล่นเกมคอมพิวเตอร์อย่างเช่นเกมขับรถแข่ง หรือเกมจำลองการขับเครื่องบิน เพื่อให้คอเกมสัมผัสรสชาติเหมือนจริง อุปกรณ์ดังกล่าวถูกพัฒนาขึ้นมาโดยฝีมือของนักวิจัยบริษัทเอ็นทีทีของญี่ปุ่น มีลักษณะคล้ายกับชุดหูฟังที่ใช้สวมครอบศรีษะ ที่ปลายของแต่ละข้างติดตั้งตัวส่งกระแสไฟฟ้าและตัวควบคุมสัญญาณวิทยุขนาดเล็ก ซึ่งสามารถตั้งให้สัญญาณเข้มหรืออ่อนแค่ไหนก็ได้ เมื่อสวมอุปกรณ์ดังกล่าวแล้วจะถูกคนที่ถือรีโมทบังคับให้เลี้ยวซ้ายขวาได้ราวกับถูกสะกดจิต เทคนิคที่ใช้ในอุปกรณ์ตัวนี้เป็นวิธีการที่ใช้กันมาเป็นร้อยปีแล้ว มีชื่อเรียกว่า ระบบกระตุ้นหูชั้นในด้วยกระแสไฟฟ้า หรือจีวีเอส เป็นการปล่อยกระแสไฟฟ้ากำลังอ่อนๆ จากแบตเตอรี่ผ่านไปยังส่วนของกะโหลกที่อยู่หลังหู กระแสไฟฟ้าจะส่งผลให้สมดุลของมนุษย์เปลี่ยนไป ขึ้นอยู่กับความแรงของกระแสไฟฟ้าที่ปล่อยออกมา อุปกรณ์ของเอ็นทีทีที่นำมาสาธิตนี้สามารถควบคุมการทรงตัวของมนุษย์ได้เหมือนกับการควบคุมรถไฟฟ้าบังคับวิทยุ เมื่อสวมชุดหูฟังไว้กับตัว ผู้ที่ทำหน้าที่ควบคุมก็จะใช้รีโมทคอนโทรลสั่งให้กระแสไฟฟ้าปล่อยออกมาทำให้ผู้ถูกบังคับเซไปซ้ายทีขวาที ยิ่งได้รับกระแสไฟฟ้าที่แรงขึ้น ยิ่งทำให้ผู้ถูกบังคับไม่สามารถทรงตัวเองได้มากขึ้น นอกจากนี้ ในการสาธิตยังได้ฉายวิดีโอที่แสดงให้เห็นถึงการใช้อุปกรณ์ควบคุมการทรงตัวเพื่อป้องกันอุบัติเหตุด้วย โดยสร้างเหตุการณ์สมมติให้คนเดินข้ามถนนและมีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขี่เฉี่ยว อุปกรณ์ควบคุมดังกล่าวจะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุในวินาทีสุดท้ายราวกับมีเทวดามาเสกคาถาช่วย แต่ในความเป็นจริงคงไม่มีใครสวมอุปกรณ์ควบคุมอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง ด้านผู้เชี่ยวชาญระบบประสาทในอังกฤษ เตือนว่าหากใช้กระแสไฟแรงๆ มากระตุ้นระบบการทรงตัวมากเกินไป ก็อาจทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นถูกทำลายได้ (คมชัดลึก พุธที่ 17 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ฟิลิปส์ชวนนศ. ทำเครื่องไฟฟ้า เสริมสมองกล

นายยาน เอ็กเกอร์บีน ประธานและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ฟิลิปส์อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ฟิลิปส์เชิญชวนนิสิตนักศึกษาในระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา อายุ 18-25 ปีจากทั่วประเทศ จัดเป็นทีมไม่เกิน 4 คน ร่วมประกวดในโครงการ "เยาวชนยอดนักประดิษฐ์ฟิลิปส์" โดยนำเสนอโครงงานสิ่งประดิษฐ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่มีไอซีไมโครคอนโทรลเลอร์ของฟิลิปส์เป็นส่วนประกอบ โดยทีมผู้เข้าแข่งขันสามารถเลือกไอซีไมโครคอนโทรลเลอร์ 8 บิท ตระกูล LPC9XX จากเวบไซต์ฟิลิปส์ที่ www.semiconductors.philips.com สำหรับไมโครคอนโทรลเลอร์ เป็นอุปกรณ์ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์เกือบทุกชนิด ให้ทำงานตามโปรแกรมที่ถูกเขียนไว้ เช่น อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน อุปกรณ์เตือนภัยต่างๆ อุปกรณ์ประหยัดพลังงานน้ำ-ไฟฟ้า อุปกรณ์ช่วเยหลือผู้พิการ หุ่นยนต์ รีโมทคอนโทรล เป็นต้น สำหรับโครงร่างโครงงานกำหนดส่งภายในวันที่ 12 กันยายนนี้ จากนั้นหากผ่านการพิจารณาคัดเลือก ทีมจะได้รับบอร์ดทดลองพร้อมไอซีไมโครคอนโทรลเลอร์ และมีโอกาสเยี่ยมชมโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ ซึ่เงป็นโรงงานผลิตระดับโลก และรับทุน 1 หมื่นบาท เพื่อนำไปสร้างสิ่งประดิษฐ์มาประกวดรอบชิงชนะเลิศในวันที่ 31 มกราคม 2549 ณ พิพิธภัณฑ์เด็กกรุงเทพมหานคร สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0-2831-8400 ต่อ 4834, 4832 ฟิลิปส์ซึ่งเป็นผู้นำด้านการพัฒนาและผลิตเซมิคอนดักเตอร์ เชื่อว่าโครงการเยาวชนยอดนักประดิษฐ์ จะมีส่วนช่วยเสริมสร้างทัศนคติที่มีของเยาวชน ต่อองค์ความรู้ด้านเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต (คมชัดลึก พุธที่ 17 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ฮาร์วาร์ดโดดร่วมวงวิจัย ต้นกำเนิดสิ่งกำเนิดสิ่งมีชีวิตบนโลก

เดวิด อาร์ หลิว ศาสตราจารย์ภาควิชาเคมีและชีวเคมีจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวว่า เป้าหมายของงานวิจัยต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิต ครั้งนี้ต้องการหาคำอธิบายที่มีเหตุผลง่ายๆ เกี่ยวกับกำเนิดของชีวิตที่เกิดขึ้นบนโลก โดยไม่เอาทฤษฎีพระเจ้าสร้างโลกมายุ่งเกี่ยว แต่เขาก็ยอมรับว่า บางครั้งกำเนิดสิ่งมีชีวิตมีความลึกลับซ่อนอยู่และไม่สามารถหาคำอธิบายได้ ทฤษฎีวิวัฒนาการ ซึ่งเป็นทฤษฎีวิทยาศาสตร์พื้นฐาน อธิบายว่า สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ต่างๆ วิวัฒนาการมาเป็นเวลากว่าหนึ่งล้านปีแล้ว ทฤษฎีนี้ถูกนำมาใช้เป็นแบบเรียนมาตรฐานในโรงเรียนส่วนใหญ่เป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญที่วางระบบให้กับทฤษฎีนี้คือ ชาร์ลส์ ดาร์วิน ทว่า เมื่อไม่นานมานี้ บางมลรัฐในสหรัฐ ซึ่งคนส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ได้ถกเถียงกันว่า ครูควรสอนนักเรียนเกี่ยวกับทฤษฎีพระเจ้าสร้างโลกหรือไม่ ทฤษฎีพระเจ้าสร้างโลก ระบุว่า ชีวิตบนโลกมีความซับซ้อนเกิดกว่าที่จะพัฒนาขึ้นมาเองโดยวิวัฒนาการ หมายความว่า มีพลังอำนาจที่สูงส่งสร้างสรรค์สรรพสิ่งขึ้นมา ทั้งนี้ การเข้ามาไขปริศนากำเนิดชีวิตของฮาร์วาร์ดไม่ได้ถูกมองว่าเป็นทีมวิจัยหลักของโครงการ แต่ถูกมองว่ารับหน้าที่เป็นแหล่งข้อมูลที่อาจช่วยเปลี่ยนแปลงความเชื่อดังกล่าวได้ ทีมวิจัยดังกล่าวได้รับทุนสนับสนุนจำนวนปีละ 41 ล้านบาท โดยใช้ระยะเวลาการศึกษา 2-3 ปี (คมชัดลึก พุธที่ 17 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ศูนย์นาโนเทคเปิดตัว'ฟองน้ำจิ๋ว'

ศ.ดร.วิวัฒน์ ตัณฑะพาณิชกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า ศูนย์นาโนเทคสนใจนำเข้าเทคโนโลยีนาโนบับเบิลจากญี่ปุ่น และเปิดกว้างรับสมัครเอกชนไทยร่วมวิจัยใช้ประโยชน์จากนาโนบับเบิล โดยเฉพาะผู้ประกอบการนากุ้งและอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงปลาสวยงาม เนื่องจากเทคโนโลยีจิ๋วนี้จะช่วยให้ฟองออกซิเจนและโอโซนคงตัวอยู่ในน้ำนานนับเดือน จึงยืดเวลาการเปลี่ยนถ่ายน้ำจากบ่อ หรืออาจไม่ต้องเปลี่ยนน้ำเลย สำหรับนาโนบับเบิล หรือฟองก๊าซที่มีขนาดเล็กในระดับนาโนเมตร เป็นเทคโนโลยีใหม่จากญี่ปุ่น ซึ่งพัฒนาร่วมกันระหว่างสถาบันเอไอเอสทีแบบบริษัทเอกชนรีโอเคน จุดเด่นของเทคโนโลยีนี้อยู่ที่การทำให้ฟองก๊าซขนาดจิ๋ว สามารถคงตัวอยู่ในน้ำได้ยาวนาน เมื่อเทียบกับฟองก๊าซปกติจะอยู่ในน้ำได้ต่ำกว่าชั่วโมง จากนั้นจะละลายตัวหายไปจากน้ำจนหมด แม้ว่าฟองก๊าซจิ๋วจะประยุกต์ใช้ได้กับก๊าซหลากหลายชนิด แต่ศูนย์นาโนเทคให้ความสนใจที่จะนำมาใช้กับ "ออกซิเจนและโอโซน" โดยเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับอุตสาหกรรมในบ้านเรา โดยเฉพาะการเลี้ยงกุ้งและบำบัดน้ำเสีย ฟองน้ำจิ๋วยืดอายุชีวิตสัตว์น้ำ เทคนิคสร้างนาโนบับเบิลเริ่มจากการนำก๊าซที่ต้องการผลิต มาผ่านเครื่องกำเนิดนาโน (nano generator) เพื่อให้เกิดฟองจิ๋วจำนวนมากที่มีขนาด 100-250 นาโนเมตร จากนั้นนำไปใส่ในน้ำที่ผสมสารอิเล็กโตรไลท์ ซึ่งมีคุณสมบัติทำให้ฟองจิ๋วเหล่านั้น คงตัวอยู่ในน้ำได้นานกว่าปกติ จากเดิมที่อยู่ในน้ำได้ไม่ถึงชั่วโมง จะสามารถอยู่ได้นานขึ้นนับเดือน การที่ฟองจิ๋วลอยตัวขึ้นสู่ผิวน้ำช้าลง เนื่องจากสารอิเล็กโตรไลท์ที่ละลายในน้ำ ทำให้เกิดประจุไฟฟ้าไปห่อหุ้มตัวฟองให้เป็นสองชั้น โดยประจุลบจะอยู่ชั้นใน ส่วนประจุบวกจะอยู่ชั้นนอก แรงประจุไฟฟ้าและแรงตึงผิวของฟองจะอยู่ในภาวะสมดุลกัน ต่างจากฟองขนาดใหญ่ซึ่งจะมีแรงลอยตัวมาก ทำให้ไม่สามารถสร้างสมดุลกับแรงไฟฟ้าได้ ด้วยเหตุนี้ นาโนบับเบิลจึงมีบทบาทสำคัญ ในการช่วยให้เกิดออกซิเจนที่เพียงพอกับสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ และที่สำคัญสามารถอยู่ได้นานนับเดือนโดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนน้ำ และสภาพของน้ำนาโนยังเอื้อต่อการใช้เลี้ยงปลาน้ำจืดและน้ำเค็มในตู้เลี้ยงเดียวกันได้ด้วย สำหรับเอกชนที่สนใจทำวิจัยร่วมสามารถติดต่อศูนย์ ได้โดยตรง คาดว่าจะใช้เวลา 1-2 ปี เพื่อหาข้อสรุปว่าสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้ได้จริงหรือไม่ และในงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2548 ระหว่างวันที่ 23-28 สิงหาคม 2548 ณ ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพค เมืองทองธานี ศูนย์นาโนเทค ได้นำนาโนบับเบิลมาสาธิตด้วย โดยจะนำมาใช้เลี้ยงปลาน้ำจืดและน้ำเค็ม 5 ชนิดร่วมกัน ได้แก่ ปลาการ์ตูน ปลาสิงโต ปลาคาร์ฟ ปลาทอง และปลากะพง รวมทั้งพืชน้ำจืดด้วย (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 17 ส.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





มะกันเปิดตัวหุ่นยนต์ชีววิทยา สำรวจหาสิ่งมีชีวิตในทะเลทรายชิลี

คณะนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยคาร์เนกี้ เมลลอน ประเทศสหรัฐอเมริกา แถลงว่า การพัฒนาหุ่นยนต์นักชีววิทยา รุ่น "โซอี้" กำลังเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย ก่อนจะส่งหุ่นออกไปสำรวจค้นหาสิ่งมีชีวิตและเก็บข้อมูลในพื้นที่แถบทะเลทราย "อะตาคามา" ในประเทศชิลี ซึ่งจัดเป็นหนึ่งในกลุ่มพื้นที่แห้งแล้งมากที่สุดในโลกจนมนุษย์ตั้งถิ่นฐานอยู่ไม่ได้ โครงการสร้างหุ่นยนต์นักชีววิทยา "โซอี้" เกิดจากความร่วมมือระหว่างม.คาเนกี้ เมลลอน กับสำนักงานอวกาศสหรัฐ (นาซ่า) และสถาบันอุดมศึกษาหลายแห่ง รวมถึงมหาวิทยาลัยคาโตลิคา เดอล โนร์ตของชิลี ล่าสุด โครงการโซอี้เดินหน้าเข้าสู่ปีที่ 3 และพร้อมส่งหุ่นไปสำรวจพื้นที่ 180 กิโลเมตร ในทะเลทรายอะตาคามา 2 เดือนเต็ม ระหว่างวันที่ 22 สิงหาคม-22 ตุลาคม หุ่นยนต์โซอี้ได้รับการตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้ทำงานโดยอัตโนมัติ ภายในตัวหุ่นยนต์ติดตั้งอุปกรณ์และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เพื่อค้นหา "จุลชีพ" ชนิดใหม่ๆ ที่อาจอาศัยอยู่ในทะเลทรายอันแห้งแล้งแห่งนี้ นอกจากนั้น ยังจะสำรวจสภาพแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในทะเลทรายอีกด้วย โดยอุปกรณ์สำคัญที่หุ่นโซอี้จะใช้ค้นหาคลอโรฟิลด์ จุลชีพ และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในระดับโมเลกุลก็คือระบบบันทึกภาพด้วยแสงฟลูออเรสเซนซ์ "ฟลูออเรสเซนซ์ อิมเมเจอร์" (เอฟไอ) ผลลัพธ์ของโครงการโซอี้จะมีประโยชน์ต่อโครงการส่งหุ่นยนต์ไปสำรวจค้นหาสิ่งมีชีวิตบน "ดาวอังคาร" ในอนาคตของนาซ่า และช่วยค้นพบข้อมูลใหม่ๆ เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่สามารถอาศัยอยู่ได้ในเขตภูมิศาสตร์ที่ทรุกันดารมากที่สุดในโลก (ข่าวสด พุธที่ 17 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





สกูตเตอร์...พลังงานแสงอาทิตย์

ตัวอย่างของการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีล้านนา วิทยาเขตเชียงราย แปลงพลังงานเป็นกระแสไฟฟ้าใช้กับรถสกูตเตอร์ ยานพาหนะที่นักศึกษา ใช้สัญจรภายในมหาวิทยาลัย เพื่อลดการใช้น้ำมันที่มีราคาแพง “สกูตเตอร์พลังงานแสงอาทิตย์” คันต้นแบบนี้คิดค้นขึ้นโดย “พลังพล ซาวคำ” และ “ธนนวัฒน์ หลิมเปีย” นักศึกษาแผนกไฟฟ้า โดยมี อาจารย์นพพร พัชรประกิติ เป็นที่ปรึกษา “พลังพล” หนึ่งในเจ้าของผลงานบอกว่า “แม้หลายคนจะคิดว่า มันอาจจะไม่คุ้มกับการลงทุนที่จะซื้อแผงโซลาร์เซลล์มาใช้เก็บพลังงานทดแทนน้ำมัน เพื่อใช้กับรถมอเตอร์ไซค์ สกูตเตอร์ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ประดิษฐ์ขึ้นนี้ เป็นสกูตเตอร์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง ขนาด 500 วัตต์ 36 โวลต์ โดยจะฝังตัวมอเตอร์ไว้ในแกนล้อ สามารถเร่งความเร็วได้ถึง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง วิ่งได้นาน 3-4 ชั่วโมง และควบคุมความเร็วโดยใช้การบิดคันเร่งเหมือนกับมอเตอร์ไซค์ทั่วๆ ไป ที่สำคัญนอกจากไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศแล้วยังไม่เกิดมลพิษทางเสียงอีกด้วย จุดสำคัญที่ช่วยคิดค้นคือการประจุแบตเตอรี่ ซึ่งเราประยุกต์เอาพลังงานแสงอาทิตย์ มาเป็นแหล่งจ่ายไฟกระแสตรงเพื่อประจุแบตเตอรี่ แทน การประจุแบตเตอรี่จากแหล่งจ่ายไฟกระแสสลับทั่วไป ซึ่งในการนำเอาพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้กับเครื่องยนต์นั้น เมื่อรับเอาพลังงานแสงอาทิตย์โดยแผงโซลาร์เซลล์แล้ว พลังงานที่ได้ยังไม่สามารถนำไปใช้กับสกูตเตอร์ได้ทันที เพราะจะมีแรงดันเพียงแค่ 18 โวลล์ ดังนั้นจะต้องส่งต่อไปที่วงจรบูตส์ เพื่อเพิ่มแรงดันไฟฟ้าให้ได้ 36 โวลล์ แล้วส่งต่อไปที่วงจรอัดประจุแบตเตอรี่แล้วประจุแบตเตอรรี่ก่อน ถึงจะนำไปใช้กับเครื่องยนต์สกูตเตอร์ได้ ผลงานนี้จะเป็นพื้นฐานประยุกต์ใช้กับรถไฟฟ้าสี่ล้อ หรือรถไฮบริดที่เป็นพลังงานผสมระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าได้ในอนาคต ชมผลงาน “สกูตเตอร์พลังงานแสงอาทิตย์” คันนี้ก็สามารถติดต่อได้ที่ 0-6670-9464 (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 17 ส.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ดนตรีช่วยพัฒนาสมองเด็กได้ดี นักดนตรีเอกล้วนแต่ฝึกยังเล็ก

นักวิทยาศาสตร์กล่าวในรายงานที่เสนอในวารสารทางวิชาการ “ประสาทวิทยา” ว่า เท่าที่ได้ศึกษาค้นคว้ามาได้พบว่า นักเปียโนผู้มีชื่อเสียงที่สุดของโลก ล้วนแต่ต่างเคยฝึกฝนทางด้านมาตราเสียงดนตรี และเล่นดนตรีให้ระดับเสียงต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ตัวเล็กตัวน้อย อายุยังไม่ถึง 10 ขวบดีด้วยกันเกือบทุกคน ไม่ใช่เป็นเรื่องเผอิญ แต่อย่างใด “การให้เด็กได้ฝึกเล่นดนตรีตั้งแต่เด็ก จะเป็นการพัฒนาสมอง ส่วนที่เรียกกันว่าเนื้อขาวและลำเส้นใยประสาท อันเป็นทางเดินใหญ่ของระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งเชื่อมสัญญาณระหว่างนิ้วมือกับสมองอย่างถูกเวลาที่สุด” นายเฟรดริก อุลลาน นักวิทยาศาสตร์ในคณะคนหนึ่ง และเป็นนักเปียโนเองด้วย ยังได้เปิดเผยว่า เท่าที่ได้ศึกษาตรวจดูสมองของนักเปียโนวงคอนเสิร์ต ที่มีวัยในช่วง 30 ปี จำนวน 8 คน ซึ่งต่างก็เล่นมาตั้งแต่เด็กพบว่า ลำเส้นใยประสาทของพวกเขาถูกจัดเรียง อย่างเป็นระเบียบมากกว่าของผู้ที่ไม่ใช่นักดนตรี แต่ก็ไม่ทราบว่า การมีสมองส่วนที่เรียกกันว่า “เนื้อขาว” นั้น จะช่วยให้ฝีมือดีขึ้นอย่างไร ทั้งเขายังมีความเห็นว่า พวกนักเต้นรำและนักกีฬาชั้นยอด ก็คงมีสมองที่มีกลไกแบบเดียวกันด้วยก็ได้. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 18 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





สาหร่ายช่วยชะลอความหนุ่มสาว ควบคุมกลไกของความตาย

หนังสือพิมพ์รายวัน “เดอะ เดลี่ เทเลกราฟ” ชื่อดังของอังกฤษ รายงานว่า นักวิจัยของห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ทางทะเลพลีมัธ และสถาบันแซนเกอร์ เคมบริดจ์ ได้ค้นพบเชื้อไวรัสอย่างหนึ่งซึ่งทำให้สาหร่ายทะเลเป็นโรค มีสารประกอบ “เซอราไมด์” มีสรรพคุณในการบำบัดรักษา เพื่อต่อต้านกับความแก่ชรา คณะนักวิจัยได้พบว่า เซอราไมด์มีอิทธิพลควบคุมกลไกส่วนที่เกี่ยวกับความตาย มันมีอิทธิพลสามารถยืดอายุขัยออกไปแล้วค่อยฆ่าลงได้ กลไกนี้เป็นกลไกอันเดียวกับที่ทำให้หางของลูกอ๊อดหลุดออก เพื่อจะได้เติบโตกลายเป็นตัวกบต่อไป. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 18 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ผิวหนังเทียมรู้ร้อนรู้หนาวติดเซ็นเซอร์วัดแรงกดและอุณหภูมิ

ทากาโอะ โซเมยะ หัวหน้าทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยโตเกียว เจ้าของนวัตกรรมผิวหนังเทียมที่สามารถวัดแรงกด และอุณหภูมิได้ บอกว่า ทั้งสองคุณสมบัติจะช่วยให้หุ่นยนต์รับรู้สัมผัสได้เหมือนมนุษย์ อีกทั้งวัสดุที่ใช้ยังมีความอ่อนนุ่ม และราคาไม่แพง ความสามารถของผิวหนังเทียมที่รับรู้ได้นี้เป็นความสำเร็จจากการเชื่อมโยงอุปกรณ์เซ็นเซอร์หลายชนิดเข้าด้วยกัน ได้แก่ เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ และแรงกดเข้าด้วย นักวิจัยได้นำเซ็นเซอร์ทั้งสองชนิดมาวางทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ เหมือนผิวหนัง ซึ่งสามารถตรวจจับคุณสมบัติทั้งสองได้พร้อมกันในคราวเดียว ทั้งนี้ ข้อมูลรายละเอียดสามารถหาอ่านได้ในวารสารโพรซีดดิงส์ ออฟ เดอะ เนชั่นแนล อะคาเดมี ออฟ ไซน์ สำหรับเซ็นเซอร์วัดแรงกดจะใช้เป็นวงจรไฟฟ้า ขณะที่เซ็นเซอร์อุณหภูมิจะเป็นเซมิคอนดักเตอร์ ทั้งสองจะถูกฝังไว้ในแผ่นฟิล์มพลาสติกบาง และเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายเซ็นเซอร์ขึ้นมาในท้ายที่สุด วัสดุที่นำมาใช้ในการผลิตผิวหนังเทียม ไม่ว่าจะเป็นทรานซิสเตอร์ในวงจรไฟฟ้า หรือเซมิคอนดักเตอร์ ล้วนแล้วแต่เป็นอินทรีย์วัตถุ ประกอบด้วยอะตอมของคาร์บอนเป็นโครงสร้างหลัก ทำให้ผิวหนังยืดหยุ่นได้ดี และไม่แพงเกินกว่าจะนำมาใช้งานได้จริง วัสดุทั้งสองชนิดไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่ แต่การนำทั้งสองชิ้นมาผนวกหน้าที่เข้าด้วยกัน ถือเป็นนวัตกรรมที่นักวิจัยทั่วโลกพากันทึ่ง และแน่นอนว่าหุ่นยนต์จะมีความรู้สึกในสัมผัสได้ดีขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง ในอนาคต มีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะพัฒนาผิวหนังเทียมให้เป็นผิวหนังอิเล็กทรอนิกส์ที่มีคุณสมบัติอื่นๆ นอกเหนือจากที่ผิวหนังมนุษย์มี นั่นหมายความเครือข่ายเซ็นเซอร์ใต้ผิวหนังจะไม่ได้มีเพียงเซ็นเซอร์วัดแรงกด และอุณหภูมิเท่านั้น แต่จะมีเซ็นเซอร์วัดความชื้น แสงสว่าง และเสียงได้ด้วย (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 18 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





วงการแพทย์ตื่นทำวิจัย หลังพบเลือดจระเข้ฆ่าเชื้อเอดส์ได้

นักวิทยาศาสตร์ระดมเก็บตัวอย่างเลือดจระเข้เพื่อพัฒนายาฆ่าจุลินทรีย์สำหรับมนุษย์ หลังการทดลองยืนยันแล้วว่า เลือดจระเข้สามารถฆ่าเชื้อไวรัสเอชไอวีที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์ในมนุษย์ได้ อาจารย์อดัม บริตตัน นักวิทยาศาสตร์ออสเตรเลีย เปิดเผยว่า การทดลองพบว่าระบบภูมิคุ้มของจระเข้มีโปรตีนหลายชนิดที่สามารถฆ่าแบคทีเรียที่ยาเพนนิซิลินไม่สามารถกำจัดได้ นอกจากนี้ การทดลองยังพบด้วยว่า ภูมิคุ้มกันจระเข้สามารถฆ่าเชื้อไวรัสเอชไอวีที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะนี้คณะนักวิทยาศาสตร์ออสเตรเลียและสหรัฐ กำลังระดมเก็บตัวอย่างเลือดจระเข้เพื่อนำมาสกัดทำเป็นยาฆ่าจุลินทรีย์ อย่างไรก็ตาม อาจารย์บริตตันกล่าวว่า ภูมิคุ้มกันของจระเข้แตกต่างจากมนุษย์รวมถึงมีฤทธิ์แรงมาก ดังนั้น จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับร่างกายมนุษย์ได้ ก่อนนำมาใช้กับมนุษย์โดยตรงเพื่อรักษาแผลพุพอง เป็นหนอง รวมถึงโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





พลาสติกมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพในประเทศไทยกำลังมีการทดสอบรวมถึงการผลิตเพื่อนำมาใช้อย่างจริงจังในประเทศไทย พลาสติกชีวภาพที่ผลิตขึ้นสามารถย่อยสลายได้หลังจากใช้งานไม่ว่าจะเป็น ถุงพลาสติก หลอดพลาสติกต่างๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นวัตถุดิบเม็ดพลาสติกชีวภาพที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศทำให้ผู้ผลิตต้องหันมาคิดหนักเนื่องจากมีราคาแพง แต่ข่าวดีเร็วๆ นี้ บริษัท ทานตะวันอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ทำการวิจัยค้นคิดวัตถุดิบจากพืชผลเกษตรไทยเพื่อนำมาผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพได้แล้ว (สยามรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 18 ส.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ออสซี่เคร่งพัฒนาหุ่นยนต์ / ใช้งานภารกิจเสี่ยงตาย

นายโรเบิร์ต ฮิลล์ รัฐมนตรีกลาโหมออสเตรเลีย กล่าวว่า หุ่นยนต์ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่นี้ จะมีความเฉลียวฉลาด และสามารถตัดสินใจได้เองเกือบทุกอย่าง จึงเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับภารกิจที่เสี่ยงอันตราย ซึ่งปกติกองทัพจะมอบหมายให้กับหน่วยเดนตาย อย่างเช่นทหารรับจ้าง นอกจากนั้น ออสเตรเลียยังทุ่มงบประมาณอีกเป็นจำนวนมหาศาล เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี “จ้าวสมรภูมิแห่งอวกาศ” ที่สามารถส่งไปปฏิบัติภารกิจได้ทั้งบนบก ในทะเล และในอากาศ นายฮิลล์ กล่าวว่า ในอนาคต หุ่นยนต์จะเข้ามามีบทบาทในการทำหน้าที่แทนทหารได้หลายอย่าง อาทิ เป็นหน่วยสอดแนม วางทุ่นระเบิด ถอดชนวนระเบิด และหน้าที่อื่นๆ ที่จัดอยู่ในขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตหากใช้ทหารจริง นอกจากนั้น หุ่นยนต์ทหารในอนาคต สามารถนำพาทหารและสัมภาระบุกฝ่าพื้นที่อันตรายเพื่อไปยังเป้าหมาย ทั้งยังสามารถทำหน้าที่เป็นมนุษย์กบ ในการโจมตี และตรวจตราอาวุธใต้น้ำ รัฐมนตรีกลาโหมออสเตรเลียเปิดเผยด้วยว่า ขณะนี้บริษัทแอร์โรซอนเด ของออสเตรเลียกำลังสร้างเครื่องบินหุ่นยนต์ที่ควบคุมด้วยรีโมตคอนโทรล ซึ่งสามารถหาข่าว และทำสงครามอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างเช่นการรบกวนเรดาร์ของข้าศึก (สยามรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 18 ส.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





เด็กอาชีวะโชว์ฝีมือ"ต่อเรือ"

เรือทำด้วยไฟเบอร์ เป็นเรือที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เคยประทับครับ" สมบัติ เนียมหวาน ผู้ช่วยผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการต่อเรือพระนครศรีอยุธยา ตอบคำถามของผู้คนที่เข้ามารุมดูด้วยความสนใจแข่งเสียงดนตรี เสียงเพลงและเสียงพูดคุยของผู้เข้ามาร่วมงาน "มหกรรมอาชีวศึกษา เทิดไท้ มหาราชินี ประจำปี 2548" ที่ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพค เมืองทองธานี จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา "สมบัติ เนียมหวาน" ผู้ควบคุมการสร้างเรือ เล่าว่า "หลังจากเกิดเหตุการณ์สึนามิใน 6 จังหวัดภาคใต้ จึงได้ปรึกษาหารือกับครูอาจารย์ว่าจะช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างไร สรุปว่าจะช่วยด้วยการสร้างเรือ แต่เนื่องจากไม้ที่จะนำมาทำหายากจึงนำเทคโนโลยีที่เรียกว่าไฟเบอร์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีชั้นที่มีคุณสมบัติคงทนกว่าไม้ โดยสามารถใช้งานได้นานกว่า 10 ปี มาเป็นส่วนประกอบหลักของเรือ เรือลำนี้ใช้เวลาสร้าง 3 วันขณะที่เรื่อไม้ใช้เวลาเป็นเดือน ขณะที่ใช้แรงงานประมาณ 6 คน ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.) และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.) ที่เรียนด้านการต่อเรือโดยตรง" เรือลำนี้เพิ่งนำมาโชว์ครั้งแรก เป็นเรือประมงน้ำทะเล ที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงประทับเพื่อทดสอบความแข็งแรงของเรือ งบประมาณที่ใช้สร้างเรือได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิชัยพัฒนา เรือลำหนึ่งราคาตกราวๆ แสนบาท ขณะนี้สร้างไปแล้ว 400 ลำ ได้ทยอยแจกจ่ายไปยังจังหวัดต่างๆ ที่ประสบภัยสึนามิแล้ว แรกๆ ชาวประมงต่อต้านเพราะไม่รู้ว่าวัสดุที่ใช้ทำคืออะไร แต่หลังจากได้ทดสอบความแข็งแรงโดยใช้ฆ้อนทุบแล้วไม่แตก ชาวประมงจึงยอมรับ เรือลำนี้มีน้ำหนัก 900 กิโลกรัม คาดว่าจะทำต่อไปจนครบ 1,000 ลำ นอกจากนี้วิทยาลัยเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการต่อเรือหนองคายที่ขนเรือสปีดโบ้ต เรือท้องแบน และเรืออเนกประสงค์มาโชว์ "ธนานพ เฉลิมฤกษ์" อาจารย์จากวิทยาลัยเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการต่อเรือหนองคาย เล่าด้วยความภูมิใจว่า เรือสปีดโบ้ตลำนี้เป็นเรือที่วิทยาลัยตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อนำมาโชว์ในงานนี้ เป็นเรือที่นักศึกษาระดับ ปวส.ที่เรียนด้านการต่อเรือประมาณ 15 คน ร่วมกันสร้างขึ้น เริ่มจากคิดดัดแปลง รูปร่างลักษณะของเรือสปีดโบ้ต ซึ่งเดิมเป็นเรือที่ใช้ในทะเลให้สามารถนำมาใช้ในแม่น้ำโขงได้ ทั้งนี้ นอกจากจะใช้สำหรับบรรทุกนักท่องเที่ยวแล้วยังสามารถตรวจวัดระดับน้ำได้ด้วย (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 18 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ปลูกฟันแท้ใหม่ให้กับมนุษย์ได้ เหมือนกับฟันของปลาฉลาม

วารสารวิชาการ “ไซเอนติฟิก อเมริกัน” ฉบับใหม่ได้เปิดเผยว่า “เหตุที่มีความรู้ความเข้าใจที่ในเรื่องฟันงอกขึ้นอย่างไร ประกอบกับความรู้ด้านชีววิทยาของเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตและเทคโนโลยีชีวภาพที่ ก้าวหน้าขึ้น การทำให้มนุษย์ได้มีฟันธรรมชาติใหม่งอกขึ้นแทน ใกล้จะเป็นความจริงขึ้น” และบอกเสริมว่า พูดง่ายๆ บัดนี้นักวิทยาศาสตร์มีความรู้พอที่จะเพาะฟันขึ้นในหลอดแก้วขึ้นก่อน แล้วนำไปปลูกฝังบนขากรรไกรอีกต่อหนึ่ง โดยที่นักวิทยาศาสตร์จะต้องพยายามเลียนแบบการงอก ของฟันตามธรรมชาติให้เหมือนมากที่สุด และก็พอดีกับที่มีการวิจัยของเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตขึ้นด้วย ตามเทคนิคที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ถ้าหากฟันหลุดออกก็จะต้องใส่ฟันปลอมซึ่งอาจทำด้วยไทเทเนียมแทน แม้ว่ามันจะเคี้ยวได้เกือบเหมือนกับฟันแท้ก็จริง และถึงจะยึดติดกับขากรรไกร แต่มันก็ไม่พอดีเมื่อตอนขบเคี้ยวเท่าใด นอกจากนั้น “ฟันแท้ยังช่วยรักษาเหงือกใกล้เคียงได้เหนือกว่าฟันปลอมอีกด้วย”. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 19 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ผิวสวยด้วยสบู่มะพร้าว แถมกลิ่นสมุนไพรให้ความสดชื่น

นางสาวฉันทรา พูนศิริ นักวิชาการ 8 ฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศ ไทย (วว.) ได้ทำการวิจัยการผลิตสบู่จากน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ โดยใช้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ผสมกับสารละลายด่างโซเดียมไฮดรอกไซด์ ในอัตราส่วนที่เหมาะสมและไม่ใช้ความร้อนในกระบวนการผสม แต่ใช้การกวนตลอดเวลาเพื่อให้กรดไขมันและด่างทำปฏิกิริยากันอย่างสมบูรณ์ กระทั่งสารผสมที่ได้มีลักษณะข้นหนืด เนื้อเนียนเข้ากันดี จากนั้นแต่งกลิ่น อาทิ มะนาว ส้ม ตะไคร้ ขมิ้นลงไป เสร็จแล้วจึงเทลงพิมพ์ โดยสบู่ที่ผลิต จากน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์จะมีสีขาว มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของมะพร้าวเล็กน้อย มีความสามารถในการชะล้าง ละลายน้ำได้ดี มีฟอง คงทนและให้เนื้อสบู่ที่อ่อนกว่าสบู่ จากน้ำมันมะพร้าวชนิดเคี่ยว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ วว. โทร.0-2577 -9000 ทุกวันในเวลาราชการ. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 19 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ชวนชิมผักผลไม้สีส้มและเหลือง ต่อต้านโรคข้ออักเสบ

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ แห่งอังกฤษ ศึกษาล่าสุดพบว่า การกินพวกผักและผลไม้ที่มีสีสดใสทุกวัน จะช่วยเสริมระดับของวิตามินซี และสารต่อต้านอนุมูล อิสระให้เพิ่มขึ้น แค่ดื่มน้ำผลส้มสดคั้นวัน ละถ้วย จะป้องกันพวกโรคที่เกิดจากการอักเสบ เช่น โรคข้ออักเสบได้ พวกเขาได้พบว่าผลไม้สีส้มและเหลือง มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เบต้าคริปต็อกซานทินที่ใช้ต่อสู้กับโรคภัยได้ นักวิจัยได้ศึกษากับผู้คนไม่น้อยกว่า 25,000 คน เพื่อจะดูความเกี่ยวพันของสารคาโรทีนอยด์ ที่ทำให้ผักและผลไม้มีสีส้มและเหลือง กับการเกิดโรคข้ออักเสบ ได้พบว่าผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบส่วนใหญ่ถึง 40% มักจะบริโภคอาหารที่มีสาร ประกอบเหล่านั้นอยู่ต่ำกว่าผู้ที่ไม่ได้เป็น ดร.โดโรธี แพตติสัน หัวหน้าคณะนักวิจัยกล่าวว่า “โดยเฉพาะ วิตามินซีนับเป็นตัวหลัก”. (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 20 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





แคปซูลวัดความร้อนในกายป้องกันนักกีฬาหัวใจวาย

ล่าสุดบรรดานักกีฬาในสหรัฐกำลังให้ความสนใจกับอุปกรณ์ทางการแพทย์ชิ้นใหม่ ที่ระบุว่าสามารถช่วยป้องกันภาวะหัวใจล้มเหลว ขณะลงแข่งขันในสนามได้ โดยใช้เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิภายในร่างกาย แล้วส่งสัญญาณกลับมาแจ้งให้ครูฝึกได้รับรู้ความเป็นไปทุกฝีก้าว ครูฝึกในสหรัฐให้ความสนใจกับแคปซูลวัดอุณหภูมิในร่างกาย ที่เวลาใช้ต้องกลืนเข้าไปในร่างกายก่อน ภายในแคปซูลจะมีเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ และอุปกรณ์ส่งสัญญาณข้อมูลที่วัดได้ ออกมายังเครื่องรับภายนอกร่างกาย แคปซูลดังกล่าวเป็นผลงานของบริษัท เอชคิว อิงค์. ซึ่งพัฒนาขึ้นมาเมื่อ 20 ปีก่อน แต่ในขณะนั้นเน้นใช้งานทดสอบประสิทธิภาพของตัวยา ที่เข้าไปทำปฏิกิริยากับอุณหภูมิภายในร่างกายเป็นหลัก ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ แคปซูลดังกล่าวได้รับการพัฒนา ให้เป็นอุปกรณ์ดูแลความปลอดภัยให้กับนักกีฬาโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น ฟุตบอล เทนนิส วิ่งและอื่นๆ เคยมีนักกีฬาในสังกัดบางคน มีระดับความร้อนในร่างกายสูงถึง 41 องศาเซลเซียส โดยไม่แสดงอาการใดๆ บอกให้รู้ ขณะที่บางคนแค่อุณหภูมิสูง 39 องศา ก็แสดงอาการให้รู้แล้ว นอกจากนี้ อุณหภูมิในตัวของนักกีฬาบางคน อาจเพิ่มสูงขึ้นหลังจากออกจากสนามแล้ว ทำให้ยากที่จะตรวจวัดได้ ยข้อมูลที่แคปซูลส่งออกมาให้ครูฝึกได้รับรู้นั้น จะเป็นเกณฑ์ตัดสินได้ว่านักกีฬาคนใดบ้างต้องออกจากสนามมาพักยกก่อนเพื่อน และแน่นอนว่าการนำแคปซูลดังกล่าวมาใช้ในทีม จะช่วยลดปัญหาภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้อย่างไม่ต้องสงสัย (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 19 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





รากฟันเทียม” ฝีมือไทย ก้าวแรกของ “ศูนย์เทคโนโลยีทันตกรรม”

“ศูนย์เทคโนโลยีทันตกรรมขั้นสูง” หรือ ADTEC (Advanced Dental Technology Center) จัดตั้งขึ้นเป็นแห่งแรกของไทย ภายในพื้นที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ด้วยมูลค่า 37 ล้านบาท เป้าหมายสูงสุดของ ADTEC คือเป็นศูนย์รวมกลุ่มบุคลากรผู้เชี่ยวชาญจากสาขาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของ “ฟัน” เช่น ทันตแพทย์ แพทย์ วิศวกรชีวการแพทย์ นักวัสดุศาสตร์และนักคอมพิวเตอร์ มาร่วมกันทำวิจัยและพัฒนา เพื่อผลิตวัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ในการรักษาทางทันตกรรม โดยเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่เมษายน ที่ผ่านมา แนวคิดจัดตั้งศูนย์ ADTEC จึงเกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของ สวทช. ด้วยทุนประเดิมโดยมีระยะเวลานำร่อง 5 ปี ด้วยภาระกิจหลัก 3 ด้าน ได้แก่ การบริการรักษาทางทันตกรรม อาทิ ทันตกรรมรากเทียม, ทันตกรรมจัดฟัน และศัลยกรรมขากรรไกร กระดูก และใบหน้า ที่สำคัญคือ เน้นให้บริการด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ ด้านทันตกรรมขึ้นในราคาต้นทุนต่ำ เพื่อให้คนระดับล่างสามารถเข้าถึงได้ เช่นกรณีการเปลี่ยนรากฟันเทียม และการจัดฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยี ที่เกิดจากงานวิจัยให้แก่บุคลากรด้านทันตกรรม และเมื่อทุกอย่างพร้อมจะผลักดันให้เกิดเป็นสถาบันเทคโนโลยีทางทันตกรรมแห่งชาติต่อไป ทางศูนย์กำลังคิดค้นวิจัย ผลิตภัณฑ์ด้านทันตกรรม คือ “รากฟันเทียม” ภายใต้แบรนด์ “ADTEC” โดยคาดว่าในปี 2549 จะได้เห็นผลิตภัณฑ์นี้สมบูรณ์แบบโดยฝีมือคนไทย ที่สำคัญจะผลักดันให้อยู่ในโครงการ 30 บาทช่วยคนไทยห่างไกลโรค ของรัฐบาล เพื่อดูแลคนไทยทุกคนมีสุขภาพ “ทันตกรรม” ที่ดีอีกด้วย (สยามรัฐ ศุกร์ที่ 19 ส.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





เด็กไทยเจ๋งผลิตสิ่งประดิษฐ์ "เครื่องตากผ้าอัตโนมัติ....อยู่ที่ไหนก็หายห่วง"

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.) ได้จัดการแข่งขันเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ควบคุมหุ่นยนต์ การประกวดโครงงานคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ ประจำปี 2548 รอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ ณ ศูนย์กลางการเรียนรู้ ICT แห่งชาติ เซ็นทรัลเวิลด์ พลาซ่า ชั้น 6 กรุงเทพฯ งานนี้นายปฐมพงศ์ ประไพย์(ก่อ) นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย จังหวัดลำปาง เจ้าของผลงาน "อยู่ที่ไหนก็หายห่วง" ซึ่งได้ประดิษฐ์เครื่องตากผ้าอัตโนมัติที่สามารถนำแนวคิดไปประยุกต์ใช้ได้ในครัวเรือนและตามอพาร์ตเมนต์หรือที่อยู่อาศัยต่างๆ คว้ารางวัลชนะเลิศจากการประกวดโครงงานคอมพิวเตอร์มาครอบครองผ่านฉลุยจากกรรมการมือทองอย่าง รศ.ยืน ภู่วรวรรณ รองอธิการบดีฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ ม.เกษตรศาสตร์ และนักวิชาการท่านอื่นๆ โดยมีอาจารย์อรุณี ทองย้อย คุณครูคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษา เครื่องตากผ้าอัตโนมัติ เวลาที่นำผ้ามาตากที่เครื่องนี้แล้ว เวลาที่มีลมแรง ลมจะพัดมาโดนตัววัดลม ชนกับใบพัด แล้วส่งค่าไปยังบอร์ด Sci-box แล้วจะสั่งการไปยังเครื่องตากผ้า เวลาที่ฝนตก สายดินที่ต่อลงไว้ที่ดินจะวัดความชื้นจากดิน เมื่อดินเกิดความชื้นสูง จะสั่งการให้เครื่องเก็บผ้าให้อัตโนมัติ โดยเลื่อนสายพานลำเลียงเก็บผ้าเข้าไปไว้ในกล่องหรือตู้ที่ปกคลุมมิดชิด เครื่องตากผ้าอัตโนมัตินี้ใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์หรือกล่องสมองกล Sci-box เขียนโปรแกรมด้วยภาษา P-Basic เป็นอุปกรณ์หลัก โดยเริ่มต้นทำงานจากการศึกษาและออกแบบวิธีการนำไมโครคอนโทรลเลอร์มาประยุกต์ใช้ ออกแบบราวเหล็กเป็นที่ตากผ้าเพื่อการออกแบบระบบควบคุมต่างๆ สร้างเครื่องมือช่วยเก็บผ้าในยามที่ฝนตกหรือเกิดลมพายุ หรือในกรณีที่ผ้าแห้งแล้ว จากนั้นก็ได้ทดลองใช้งานจริง และปรับปรุงชิ้นงานให้มีประสิทธิภาพ ลักษณะการทำงานเริ่มจากบอร์ด Sci-box จะตรวจสอบสภาวะอากาศ คือ ความชื้นและแรงลม หากว่ามีความชื้นมาก ก็จะสั่งการให้มอเตอร์ทำงานทำให้ผ้าเลื่อนกลับเข้ามาอยู่ในตู้เก็บ ถ้าหากว่ามีลมแรง แต่ไม่มีฝน ผ้าที่ตากไว้ก็อาจจะปลิว ระบบจะสั่งให้มอเตอร์ดึงผ้ากลับเข้าไปเก็บไว้ในตู้ทันที ทั้งนี้ระบบจะทำการเช็คสถานะไปเรื่อยๆ ถ้าไม่มีลมแรง หรือฝนหยุดตกแล้ว ก็จะกลับเข้าสู่ระบบการตาก ในทางเทคนิคระบบมอเตอร์ก็คือรีเลย์ควบคุม (มติชนรายวัน อาทิตย์ที่ 21 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





นวัตกรรมใหม่แป้งฝุ่นเลิกทัลคัม หันใช้แป้งข้าวเจ้าลดสารก่อมะเร็ง

นายศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ(NIA) เปิดเผยถึงการดัดแปรแป้งข้าวเจ้าให้เป็นแป้งฝุ่น ว่าโครงการนวัตกรรมแป้งฝุ่นจากแป้งข้าวเจ้า เป็นความร่วมมือระหว่าง NIA ภาควิชาเทคโนโลยีชีวภาพ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ บริษัท เอราวัณ ฟาร์มาซูติคอล จำกัด และบริษัทผู้ผลิตเครื่องสำอางแป้งชั้นนำในประเทศไทย โดยนำสตาร์ชข้าวเจ้า ที่ผ่านกระบวนการสกัดแยกโปรตีนและไขมันทิ้งมาทำแป้งฝุ่น แป้งรองพื้น แป้งอัดแข็ง ฯลฯ แป้งฝุ่นในปัจจุบันมักมีส่วนผสมของทัลคัม (talcum) ที่เป็นสารอนินทรีย์ รูปร่างโมเลกุลเป็นแผ่นบางแหลม เมื่อใช้แป้งฝุ่นอาจมีการสูดดมเข้าไปสะสมในร่างกายโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอันตรายมากสำหรับเด็กเล็ก จากรายงานการวิจัยของประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าทัลคัม เป็นสาเหตุในการเกิดโรคมะเร็ง โรคภูมิแพ้ และโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ดังนั้น จึงมีการนำสตาร์ช เข้าไปใช้แทนทัลคัม ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาจึงนำแป้งข้าวโพดมาใช้ผลิตแป้งฝุ่น (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 20 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ทีมนักวิทยาศาสตร์อังกฤษประกาศ เพาะ"เซลล์ประสาท"มนุษย์ได้แล้ว

ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเอดินเบิร์ก ประเทศอังกฤษ เปิดเผยเมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ประสบความสำเร็จในการเพาะสร้างกลุ่มเซลล์ประสาทของมนุษย์ขึ้นมาได้จากเซลล์ต้นแบบหรือสเต็มเซลล์ที่ได้จาก เอ็มบริโอ หรือตัวอ่อนของมนุษย์ เซลล์ประสาทเป็นเซลล์ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของสมองและเป็นระบบประสาทส่วนกลางของคนเรา ซึ่งจะทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกายทั้งหมด การเพาะสร้างกลุ่มเซลล์ประสาทจากเซลล์ต้นแบบของตัวอ่อนนั้นพยายามดำเนินการกันมานานแล้ว แต่ยังคงมีปัญหาในการทำให้กลุ่มเซลล์ประสาทดังกล่าวมีเสถียรภาพกล่าวคือไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น และการทำให้กลุ่มเซลล์ประสาทมีความบริสุทธิ์ คือไม่มีส่วนที่จะเติบโตเป็นเซลล์ชนิดอื่นเจือปนอยู่ในกลุ่มเซลล์ประสาทที่เพาะเลี้ยง ทีมงานทำงานอยู่ภายใต้การสนับสนุนของบริษัทมหาชนชื่อ สเต็ม เซลล์ ไซน์ซ ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2537 บริษัทดังกล่าวทำหน้าที่ในเชิงพาณิชย์ให้กับผลงานของศาสตราจารย์ ปีเตอร์ เมาท์ฟอร์ด และ ศาสตราจารย์ ออสติน สมิธ ซึ่งเป็นนักวิชาการด้านนี้ของมหาวิทยาลัยเอดินเบิร์กอยู่ด้วย สเต็ม เซลล์ ไซน์ซ ได้รับอนุญาตให้ค้นคว้าวิจัยสเต็มเซลล์จากเอ็มบริโอได้เป็นบริษัทแรกๆ ของอังกฤษ และมีห้องปฏิบัติการอยู่ทั้งในออสเตรเลียและญี่ปุ่น และจะเป็นการเปิดโอกาสให้มีการนำเอากลุ่มเซลล์ประสาทที่เพาะได้ไปใช้เพื่อการค้นคว้าวิจัยในระดับเซลล์ หรือการพัฒนาไปสู่เทคโนโลยีการรักษาด้วยเซลล์ หรือเซลล์ เธราพี สำหรับผู้ป่วยด้วยโรคประสาท อาทิ อัลไซเมอร์ หรือพาร์คินสัน ด้วยการนำเอาเซลล์ประสาทเหล่านี้ปลูกถ่ายทดแทนเซลล์ประสาทเดิมของสมองได้อีกด้วย (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 20 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ข่าวทั่วไป


ช้างเจ้าป่ายังยอมศิโรราบให้พริก ชาวนาปลูกป้องกันไร่นา

ชาวไร่ชาวนาในกาฬทวีป ต่างพบด้วยความยินดีปรีดาว่า การปลูกต้นพริกล้อมไร่นาของพวกตนเอาไว้ กลายเป็นกำแพงกั้นขวางไม่ให้ฝูงช้างป่ายกกันมากัดกินข้าวและพืชผักอื่นๆได้ ผู้เชี่ยวชาญการเกษตรของโครงการป้องกันช้างป่ากัดกินพืชผลเกษตร ในประเทศแซมเบียกล่าวว่า พวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ล้วนแต่กลัวต้นพริกกันทั้งนั้น จึงนำมาปลูกใช้ป้องกันฝูงช้าง วัวควาย ตลอดจนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอย่างอื่น เข้าไปกัดกินพืชผลทางเกษตร จนชาวไร่ชาวนาที่ยากจนอยู่แล้ว ต้องสิ้นเนื้อประดาตัวลง เขายังบอกเสริมว่า นอกจากปลูกต้นพริกเพื่อป้องกันช้างป่าแล้ว ชาวไร่ชาวนายังจะเก็บพริกเอามาขายให้กับสหกรณ์เป็นรายได้เสริมอีกด้วย. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 15 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





กฎหมายมีผลแล้ว-บังคับหน่วยงานรัฐ จัดสิ่งอำนายความสะดวกคนพิการ

ข่าวจากระทรวงมหาดไทยแจ้งว่า พลตำรวจเอกชิดชัย วรรณสถิตย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย(มท.) ได้ลงนามในกฎกระทรวงฉบับใหม่ว่าด้วยการกำหนดสิ่งอำนวยความสะดวกในอาคาร สำหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพ และคนชรา พ.ศ.2548 ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมีสาระสำคัญระบุว่า อาคารประเภทและลักษณะดังต่อไปนี้ ต้องจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวก สำหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพ และคนชราตามที่กำหนดในกฎกระทรวงนี้ ในบริเวณที่เปิดให้บริการแก่บุคคลทั่วไป (1) โรงพยาบาล สถานพยาบาล ศูนย์บริการสาธารณสุข สถานีอนามัย อาคารที่ทำการของราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย สถานศึกษา หอสมุดและพิพิธภัณฑสถานของรัฐ สถานีขนส่งมวลชน เช่น ท่าอากาศยาน สถานีรถไฟ สถานีรถ ท่าเทียบเรือที่มีพื้นที่ส่วนใดของอาคารที่เปิดให้บริการแก่บุคคลทั่วไปเกิน 300 ตารางเมตร (2) สำนักงาน โรงมหรสพ โรงแรม หอประชุม สนามกีฬา ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้าประเภทต่างๆ ที่มีพื้นที่ส่วนใดของอาคารที่เปิดให้บริการแก่บุคคลทั่วไปเกิน 2,000 ตารางเมตร (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 15 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ตร.สวิสหันมาใส่สเกตแทนขี่ม้าสู้กับราคาน้ำมันแพงขึ้นรายวัน

หน่วยตำรวจสวิสที่นครซูริก ได้เปลี่ยนมาจัดตั้งหน่วยสายตรวจสเกตขึ้นแทนสายตรวจตำรวจม้า และชั่วเปลี่ยนมาปฏิบัติไปได้ไม่กี่วัน ก็เห็นผลดีขึ้นมา มันช่วยให้ปฏิบัติงานได้ว่องไวรวดเร็วกว่า พลเดินเท้าถึง 5 เท่า แถมยังเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าแค่เศษเสี้ยวของม้าเท่านั้น ผู้อำนวยการตำรวจของเมือง กล่าวบอกอย่างปลาบปลื้มว่า ตำรวจใส่สเกตสง่างามไม่แพ้ตำรวจม้าเลย ทำงานได้เท่ากัน หากแต่เสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่ากันมาก ค่าใช้จ่ายของตำรวจสเกตทั้งหน่วย ยังน้อยกว่าค่าใช้จ่ายของม้าตำรวจแค่ 2 ตัว ยิ่งกว่านั้น ตำรวจสเกตยังคล่องแคล่วกว่าตำรวจม้ามาก ซอกซอนไปตามตรอกซอกได้หมด เมื่อเป็นที่คั่นกระได ก็ถอดออกได้ง่าย (ไทยรัฐ อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





มหกรรมพืชสวนโลกฯเทิดพระเกียรติ

เนื่องในวโรกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี ในปี 2549 และทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษาในปี 2550 รัฐบาลไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกันเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมใหญ่และประกาศนับถอยหลังสู่งานมหกรรมพืชสวนโลกเทิดพระเกียรติฯ “ราชพฤกษ์ 2549” ระหว่างวันที่ 1 พ.ย. 2549–31 ม.ค. 2550 รวม 92 วันบนพื้นที่ 470 ไร่ ของศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ ต.แม่เหียะ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เพื่อเชิญชวนมิตรประเทศทั่วโลกมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในงานมหกรรมพืชสวนโลกเทิดพระเกียรติฯ ซึ่งเป็นมหกรรมพืชสวนเขตร้อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในงานประชุมนานาชาติเพื่อแสดงวิสัยทัศน์ พร้อมรายงานความคืบหน้างานมหกรรมพืชสวนโลกเทิดพระเกียรติฯ “ราชพฤกษ์ 2549” แก่คณะทูตต่างประเทศได้รับชม ณ ห้องนราธิปและวิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ บรรยากาศภายในงานประดับประดาด้วยดอกไม้พันธุ์ไม้มากมายที่จำลองแบบมาจากงาน “ราชพฤกษ์ 2549” ซึ่งได้รับความสนใจจากแขกผู้มีเกียรติทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน รัฐวิสาหกิจ อย่างมาก มีการฉายวีดิทัศน์ที่แสดงถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มีต่อพสกนิกร โดยเฉพาะโครงการในพระราชดำริตลอดจนรายละเอียดต่าง ๆ ของงาน “ราชพฤกษ์ 2549” เพื่อกระตุ้นให้นานาประเทศแสดงเจตจำนงร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานสุดยอดมหกรรมพืชสวนเขตร้อนที่ใหญ่ที่สุดของโลก งานครั้งนี้เน้นความโดดเด่นในรูปของงานพืชสวนเขตร้อนที่มีความหลากหลายที่สุดในโลกด้วยจำนวนพันธุ์ไม้มากกว่า 2,200 ชนิด รวมกว่า 2.5 ล้านต้น ซึ่งรัฐบาลหวังว่างานนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการส่งออก ทำให้ต่างประเทศทั่วโลกรู้จักพืชสวนไทยและเชื่อมั่นในสินค้าของไทยมากขึ้น โดยภายหลังการจัดงานรัฐบาลมีนโยบายที่จะนำพื้นที่จัดงานส่วนนี้มาทำเป็นสวนสาธารณะเพื่อให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเชียงใหม่ในอนาคต. (เดลินิวส์ อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





จิตรกรน้อยไทย … คว้าชัยศิลปะโลก

เมื่อเร็วๆ นี้ จังหวัดคานากาวา (KANAGAWA PREFECTURE) ร่วมกับสมาคมนานาชาติแห่งคานากาวา โดยกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกิจการภายในและการสื่อสาร มูลนิธิญี่ปุ่น สมาคมสหประชาชาติแห่งญี่ปุ่น รวมถึงหน่วยงานของภาครัฐและเอกชน ได้ร่วมกันจัด นิทรรศการศิลปะเด็กโลกแห่งคานากาวา ครั้งที่ 12 ปี 2005 (THE 13 TH KANAGAWA BIENNIAL WORLD CHILDREN’ S ART EXHIBITION 2005) ที่ คานากาวา พลาซา นครโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น จุดเด่นของงานศิลปะระดับโลกนี้จัดขึ้นทุกๆ 2 ปี เพื่อสร้างเสริมมิตรภาพและความเข้าใจอันดีระหว่างเด็กทั่วโลกผ่านสื่อศิลปะ ซึ่งในปีมีปรเทศต่างๆ ทั่วโลก 101 ประเทศ ส่งผลงานศิลปะเด็กเข้าประกวด จำนวน 33,865 ภาพ (ประเทศไทยส่ง 604 ภาพ) โดยผการตัดสินจากคณะกรรมการผู้ทรงวุฒิด้านศิลปะของญี่ปุ่น เป็นที่น่ายินดีว่า เด็กไทยจากชมรมบ้านศิลปะเด็ก กรุงเทพฯ ลูกศิษย์ครูสังคม ทองมี ได้สร้างชื่อเสียงมาสู่ประเทศไทย โดยได้รับรางวัล “คานากาวาไพรซ์” (KANAGAWA PRIZE) เทียบเท่าเหรียญทอง ถึง 3 รางวัล ดังนี้ 1) ด.ญ.ชญาณิศ วงศ์วิชิต อายุ 4 ปี ชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนเซนฟรังค์ ผลงาน “แม่กับลูก” 2) ด.ช.สัณหภณ เกศเกล้า อายุ 8 ปี ชั้น ป.4 โรงเรียนอนุบาลละอออุทิศ ผลงาน “ผจญภัย” (เคยได้รับรางวัลศิลปะเด็ก ระดับนานาชาติจากกรุงโตเกียว และกรุงนิวเดลี อินเดีย) 3) ด.ช.สรรพจน์ เกศเกล้า อายุ 10 ปี ชั้น ป.5 โรงเรียนราชวินิต ประถมศึกษา ผลงาน “นักดนตรีน้อย” (เคยได้รับรางวัลศิลปะเด็ก ระดับนานาชาติที่กรุงโตเกียว ญี่ปุ่น) จากการได้รับรางวัลศิลปะเด็กโลกครั้งนี้ นักเรียนทั้ง 3 คน จะได้รับคัดเลือกเป็นเยาวชนดีเด่น ในฐานะที่สร้างชื่อเสียงมาสู่ประเทศด้านศิลปะ เข้ารับโล่และเกียรติบัตรจากนายกรัฐมนตรี ในพิธีเปิดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ปี 2549 ต่อไป (สยามรัฐ อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ชุดแรกของโลก

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเป็นประธานพระราชทานพระไตรปิฎกบาลี ฉบับสากล อักษรโรมัน 40 เล่มชุดแรกของโลก ให้กับผู้แทนสำหรับราชอาณาจักรไทย และราชอาณาจักรสวีเดน ณ ห้องพิธีโรงแรมปาร์คนายเลิศ ราฟเฟิล อินเตอร์เนชั่นแนล กทม. เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม (มติชนรายวัน อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ทูตไทยทั่วโลกเข้าเฝ้าฯในหลวง กราบบังคมทูลพลังงานทางเลือก

เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ที่กระทรวงการต่างประเทศ มีการประชุมประจำปีของเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ไทย 89 คน จาก 62 ประเทศทั่วโลก โดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเปิดการประชุมเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับกระแสโลกาภิวัตน์ทั้ง 4 ด้าน อาทิ เรื่องคนและแรงงาน การค้าและการบริการ เงินทุน และข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยีว่าจะมาปรับใช้กับไทยให้เหมาะสมและพอดีได้อย่างไร นอกจากนี้ ยังได้ย้ำถึงความสำคัญของการบุกเบิกตลาดใหม่โดยเฉพาะในทวีปแอฟริกา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปมอบนโยบายให้กับเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ โดยนายกันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ว่า นายกรัฐมนตรีได้เน้นว่าการทำงานของทูตและกงสุลใหญ่ต้องมองที่เป้าหมายและเนื้อหาเป็นหลัก อย่าไปยึดถือกับพิธีการมากนัก เน้นการสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเองซึ่งจะนำไปสู่เป้าหมายที่ต้องการในการเพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ สิ่งสำคัญที่จะทำให้แข่งขันได้ในยุคโลกาภิวัตน์ คือระยะเวลาและขนาดของเศรษฐกิจ การทำเขตการค้าเสรีกับประเทศต่างๆ การใช้การค้าต่างตอบแทนเพื่อช่วยระบายสินค้า นายวิทวัส ศรีวิหค เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง กล่าวว่า ประเด็นหลักในการประชุมปีนี้เน้นใน 4 เรื่อง ประกอบด้วย พลังงาน ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความสำคัญอย่างมากในสถานการณ์ปัจจุบันและได้สั่งการให้สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ไทยในประเทศต่างๆ ไปศึกษาแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับพลังงานทางเลือกในประเทศต่างๆ รวมถึงการนำเอาพันธุ์พืชที่แต่ละประเทศใช้มานำเสนอ อาทิ สบู่ดำจากอินเดียและบราซิล ตะไคร้บกพันธุ์พิเศษจากโปแลนด์ ข้าวโพด ถั่วเหลือง อ้อย รำข้าว จากแคนาดา จีน และเกาหลีใต้ ซึ่งคาดว่าจะมีการนำไปกราบบังคมทูลในระหว่างที่คณะทูตและกงสุลใหญ่ไปเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 16 สิงหาคมนี้ด้วย เพราะพลังงานทางเลือกเป็นประเด็นที่พระองค์ทรงให้ความสนใจ (มติชนรายวัน อังคารที่ 16 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





Trans fats ไขมันอันตราย

ไขมันแบ่งได้เป็นสองประเภทหลัก ๆ คือ ไขมันชนิดอิ่มตัวและชนิดไม่อิ่มตัว ตัวอย่างของไขมันชนิดอิ่มตัวได้แก่ เนย ไขมันสัตว์ น้ำมันมะพร้าว และน้ำมันปาล์ม ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นก้อนเกาะตัวกัน หรือเป็นไขที่อุณหภูมิปกติ สำหรับไขมันชนิดไม่อิ่มตัวนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นของเหลวที่อุณหภูมิปกติและยังแบ่งย่อยได้อีกสองประเภท คือ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated) เช่น น้ำมันมะกอก และน้ำมันจากถั่ว ส่วนไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated) นั้นเช่น น้ำมันคาโนล่าและน้ำมันดอกคำฝอย ไขมันชนิดอิ่มตัวส่วนใหญ่มาจากสัตว์ เช่น เนื้อ นม เนย ไข่ อาหารทะเล และพืชบางชนิด เช่น มะพร้าวและน้ำมันปาล์ม ซึ่งมีผลให้ผู้รับประทานมีระดับคอเลสเตอรอลสูง โดยเฉพาะคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) และไขมันชนิดที่ ถูกโจษจันในวงการอาหารที่อเมริกา คือ Trans fats นี่เอง เป็นไขมันที่ทำจากไขมันชนิดไม่อิ่มตัวเพื่อให้เป็นไขมันที่คงตัวในอาหารสำเร็จรูป สามารถเก็บไว้ได้นาน ๆ ชื่อที่เราเห็นบ่อย ๆ บนฉลากอาหารก็คือ Hydrogenated oil หรือ Partially Hydrogenated oil ไขมันชนิด Trans fats นี้เป็นอันตรายกับร่างกายเป็นที่สุดเพราะเป็นไขมันที่เกิดจากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่จากธรรมชาติ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ เนยแท่ง มาร์การีน หรือเนยถั่วพีนัทบัตเตอร์ ซึ่งเริ่มต้นก็ดีอยู่หรอก ทำมาจากส่วนผสมธรรมชาติเป็นไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ในกระบวนการทำอาหารสำเร็จรูปให้เป็นไขมันคงตัวมันถูกดึงเอาไขมันที่ร่างกายต้องการออกไปหมดแล้ว และถูกอัดด้วยโมเลกุลของไฮโดรเจนเพื่อให้แข็งตัวเป็นก้อน กระบวนการนี้แหละที่ทำให้ไขมันไม่อิ่มตัวกลับกลายเป็นไขมันอิ่มตัวอย่างเต็มขั้นและเต็มไปด้วยอันตรายกับสุขภาพ อาหารสำเร็จรูปแทบทุกชนิดล้วนแล้วแต่มี Trans fats เป็นส่วนประกอบสำคัญ สินค้าบางชนิดก็ระบุอย่างชัดเจนตรงไปตรงมากับผู้บริโภคในขณะที่บางชนิดก็เล่นเกมซ่อนแอบอย่างแยบยล ผู้บริโภคต้องอ่านฉลากและเลือกซื้ออย่างฉลาดนะคะ อย่างเช่นหลังจากอ่านฉลากเนยถั่วพีนัทบัตเตอร์แล้วว่าไม่มี Trans fats ก็ควรจะดูเนื้อของเนยถั่วด้วยนะคะว่ามีลักษณะเป็นน้ำมันเยิ้ม ๆ ไม่แข็งตัว อาจแยกชั้นกับเนื้อถั่วก็ได้ ไม่ได้หมายความว่าเสียแต่คอนเฟิร์มว่าไม่มี Trans fats เป็นส่วนประกอบ ที่สำคัญกลิ่นต้องหอมไม่เหม็นหืนด้วย. (เดลินิวส์ พุธที่ 17 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





หวัดนกรัสเซียเป็นสายพันธุ์อันตราย

กระทรวงฉุกเฉินของรัสเซีย ออกแถลงการณ์วันนี้ (16 ส.ค.) ว่า การระบาดของไข้หวัดนกในเมืองเชเลียบินสค์อยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ และเจ้าหน้าที่อนามัยได้ดำเนินการฆ่าไก่แล้ว เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในพื้นที่ตะวันตก รายงานระบุว่า ไวรัสไข้หวัดนก สายพันธุ์เอช 5 เอ็น 1 ได้ระบาดในเมืองเชเลียบินสค์ ในเทือกเขาอูราล แต่ยังไม่มีการยืนยันการติดเชื้อในมนุษย์ ทั้งนี้ รัสเซียกำลังพยายามยับยั้งการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก ที่ทำให้นกทั่วประเทศล้มตายไปกว่า 11,000 ตัวแล้ว โดยนักระบาดวิทยาของรัสเซีย ได้เตือนว่า นกอพยพ ได้นำไวรัสเอช 5 เอ็น 1 ไปยังยุโรป และตะวันออกกลาง ขณะที่เจ้าหน้าที่ด้านการเกษตรเชื่อว่า การระบาดครั้งนี้มาจากนกที่มาจากเอเชีย ซึ่งมีผู้เสียชีวิตเพราะไข้หวัดนกที่เกิดจากไวรัสสายพันธุ์ดังกล่าวกว่า 50 คน นับตั้งแต่เริ่มระบาดเมื่อปี 2546 ทั้งนี้ ได้มีการตั้งเครื่องกีดขวางที่ถนนหลายสาย และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้ห้ามการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากสัตว์ปีกทุกชนิด ขณะที่เกษตรกรกำลังได้รับค่าชดเชยจากการที่สัตว์เลี้ยงของพวกเขาถูกฆ่าไปเป็นจำนวนมาก (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 16 ส.ค. 48 16 สิงหาคม 2548 http://www.bangkokbiznews.com)





เตือนเด็กสาวอดข้าวอยากสวย เป็นโรคกระดูกผุบางยังไม่ทันแก่

นายกมูลนิธิโรคกระดูกผุบางของอินเดีย หมอสุชิล ชาร์มา กล่าวบอกว่า “มีเด็กสาวที่คิดแต่จะให้มีรูปทรงสวยงามท่าเดียว โดยไม่คำนึงถึงสุขภาพของตนเองกันมากขึ้นทุกวัน ไม่รู้ว่าการอดข้าวอดน้ำมันไม่ได้ทำให้สวยงามขึ้นมา ตรงกันข้าม กลับจะโดนโรคกระดูกผุบางถามหาเสียตั้งแต่ อายุยังไม่ทันจะถึง 40 ปีดี พวกเธอควรจะคิดรักษาเนื้อรักษาตัวกันไว้ให้ดี โดยเฉพาะการรักษากระดูกให้แข็งแรง กินอาหารที่มีวิตามินดีสูง เช่น พวกผลิตภัณฑ์นมเนย และหมั่นออกกำลังเป็นประจำ” ด้วยความตระหนักในอันตรายของโรคกระดูกผุบาง ทางมูลนิธิผู้ป่วยโรคกระดูกผุบางระหว่างประเทศ ได้กำหนดจะมาเปิดประชุมกันที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 27 เดือนหน้านี้ โดยจะมีการเปิดเผยรายงานความรุนแรงของโรคที่เป็นอยู่ในทวีปเอเชีย พร้อมกับรณรงค์เพื่อให้สตรีรู้จักรักษากระดูกให้แข็งแรง โดยการออกกำลังและกินอาหารที่มีประโยชน์. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 18 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





นานาชาติเข้าร่วมชิงชัยความเป็นหนึ่ง แข่งขันภาษาจีนเพชรยอดมงกุฎ

พระเทพภาวนาวิกรม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม ประธานมูลนิธิร่มฉัตร องค์อุปถัมภ์การแข่งขันภาษาจีนเพชรยอดมงกุฎ ครั้งที่ 2 (นานาชาติ) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดเผยว่า การแข่งขัน "สานสัมพันธ์ไทย-จีน วัฒนธรรมแดนมังกร" และการแข่งขันภาษาจีนเพชรยอดมงกุฎครั้งที่ 2 (นานาชาติ) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวโรกาสพระชนมายุ 50 พรรษา สานความสัมพันธ์การสถาปนาทางการทูตไทย-จีน ครบ 30 ปี ส่งเสริมและพัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทย กำหนดจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 19 และวันเสาร์ที่ 20 ส.ค. 2548 เวลา 18.00-24.00 น. มีการออกร้านของดีแดนมังกร ณ บริเวณถนนตรีมิตร วันเสาร์ที่ 20 ส.ค. 2548 เวลา 07.00-17.00 น. การแข่งขันภาษาจีนเพชรยอดมงกุฎครั้งที่ 2 (นานาชาติ) ผู้เข้าแข่งขันประกอบด้วย นักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ อาทิ ประเทศจีน สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นต้น ณ โรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ สำหรับรางวัลการแข่งขัน ระดับช่วงชั้นที่ 4 (มัธยมศึกษาปีที่ 4-6) รางวัลชนะเลิศ ถ้วยรางวัลพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี และทุนการศึกษาพระเทพภาวนาวิกรม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม จำนวน 10,000 บาท พร้อมเหรียญรางวัลและโล่ ระดับช่วงชั้นที่ 3 (มัธยมศึกษาปีที่ 1-3) รางวัลชนะเลิศ ถ้วยรางวัล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และทุนการศึกษาพระเทพภาวนาวิกรม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม จำนวน 10,000 บาท พร้อมเหรียญรางวัลและโล่ ระดับช่วงชั้นที่ 2 (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6) รางวัลชนะเลิศ ถ้วยรางวัลรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และทุนการศึกษาพระเทพภาวนาวิกรม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม จำนวน 10,000 บาท พร้อมเหรียญรางวัลและโล่ ส่วนผลที่คาดหวังจากการแข่งขันภาษาจีนเพชรยอดมงกุฎ ครั้งที่ 2(นานาชาติ) ในอนาคตประเทศไทยจะมีโรงเรียนเปิดสอนภาษาจีนที่ได้มาตรฐานอย่างน้อย 1 อำเภอ 1 โรงเรียนภาษาจีน โดยมีจำนวนไม่น้อยกว่า 876 โรงเรียนทั่วประเทศไทย (ข่าวสด พฤหัสบดีที่ 18 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ปล่อยเด็กเล็กกินเฟรนช์ฟรายบ่อย เสี่ยงมะเร็งเต้านมเมื่อสาว

นักวิจัยของสมาคมพยาบาลแห่งอเมริกัน กล่าวระบุว่า เด็กวัยขนาดนั้น หากกินเฟรนช์ฟรายบ่อยเพิ่มขึ้นอีกอาทิตย์ละหนึ่งมื้อ จะทำให้เสี่ยงกับ การเป็นมะเร็งเต้านมมากกว่าปกติสูงขึ้นอีก 27% หัวหน้านักวิจัย ดร.การิน ไมเคิลส์ แห่งโรงพยาบาลบริกแฮมและโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ด กล่าวว่า ผลการวิจัยได้รับหลักฐานมากขึ้นว่า ความสำคัญของอาหาร มีส่วนกับการเกิดโรคร้ายของผู้หญิงขึ้นในตอนหลังของชีวิต คณะนักวิจัยรายงานผลการศึกษา ในวารสารวิชาการ “โรคมะเร็งระหว่างประเทศ” ว่า “การศึกษาครั้งนี้ ได้ทำให้พบหลักฐานมากขึ้นว่า การเกิดมะเร็งทรวงอก อาจเป็นผลมาตั้งแต่ช่วงต้นๆ ของชีวิต และนิสัยการกินในช่วงนั้น อาจมีส่วนสำคัญกับการลดทอนความเสี่ยง ของการเป็นมะเร็งทรวงอก เมื่อโตใหญ่ขึ้นเป็นพิเศษ” เป็นที่ยอมรับกันว่าอาหารที่มีไขมันสูงมีส่วนกับทำให้เกิดเป็นมะเร็งทรวงอก ปีหนึ่งๆ มีสตรีอเมริกันพากันป่วยด้วยโรคนี้ไม่ต่ำกว่า 200,000 คน และคาดว่าปีนี้จะมียอดผู้เสียชีวิตถึง 40,000 ราย. (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 20 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





"ผลเสีย"การลดน้ำหนักแบบ"รวดเร็ว"

การลดน้ำหนักแบบรวดเร็ว เป็นการลดน้ำหนักอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยม การลดวิธีนี้ก็คือการบริโภคอาหารน้อยกว่าวันละ 1,000 กิโลแคลอรี่ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่าเป็นอันตรายและส่งผลร้ายต่อสุขภาพในหลายทาง โดยปกติเนื้อเยื่อสำคัญต่างๆ ในร่างกาย เช่น สมอง ระบบประสาท ต้องการคาร์โบไฮเดรต(น้ำตาลในเลือดหรือกลูโคส) เพื่อเป็นพลังงาน เมื่อเนื้อเยื่อเหล่านี้ไม่ได้รับอาหาร ร่างกายก็จะทำการย่อยสลายโปรตีนเพื่อให้ได้มาซึ่งน้ำตาลในกระแสเลือด การย่อยสลายโปรตีนนี้ก่อให้เกิดร่างกายสูญเสียเนื้อเยื่อโปรตีนหรือมวลกล้ามเนื้อ เมื่อมวลกล้ามเนื้อสูญเสียไป ดังนั้น "น้ำหนัก" ที่หายไประหว่างอดอาหารหรือกินอาหารไม่เพียงพอ จะเป็นน้ำหนักของ "มวลกล้ามเนื้อ" ถึงครึ่งหนึ่ง ร่างกายมนุษย์จำเป็นต้องสงวนรักษามวลกล้ามเนื้อเอาไว้ เพราะมันจะช่วยเพิ่มความสามารถในการเผาผลาญ(เมตาโบลิสซึ่ม) หากสูญเสียมวลกล้ามเนื้อมาก ความสามารถของเมตาโบลิสซึ่มก็จะลดลง...นี่จึงเป็นเหตุผลว่าผู้ลดความอ้วนด้วยวิธีนี้จะกลับมามีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ จะทำให้ร่างกายสูญเสียความสมดุลของเกลือแร่และ "อิเล็คโตรไลท์" ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อชีวิต ยิ่งถ้าเป็นผู้หญิง การลดความอ้วนด้วยวิธีนี้จะทำให้สูญเสียความหนาแน่นของกระดูก อันจะนำไปสู่โรคกระดูกพรุน ดังนั้น แพทย์จึงสรุปว่า การลดความอ้วนแบบ "รวดเร็ว" นั้นเป็นอันตรายที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง (ข่าวสด อาทิตย์ที่ 21 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215