หัวข้อข่าวปีที่ 6 ฉบับที่ 33 ประจำวันที่ 2005-09-04

ข่าวการศึกษา

“อาชีวะต้นแบบ” ผ่านประเมิน
ห่วง กรอ.ฉุดมาตรฐานอุดมศึกษาลงเหว ทปอ.เชิญ “รุ่ง” ร่วมประชุมนัดพิเศษ
ศธ.ลุยพัฒนาการสอนภาษาอังกฤษ
หลักสูตรใหม่พระปกเกล้า
มหาวิทยาลัยหวั่นกู้ยืมเรียนระบบใหม่อาจพากันลงเหว
"จาตุรนต์" ยันเดินหน้าแอดมิชชั่นส์ สั่งทุกมหาวิทยาลัยห้ามออกข้อสอบเกิน ม.6
แนะ 3 หน่วยกิตวิชาคุณธรรม
ทปอ.ค้านนับหัวผู้เรียนรับงบICL “รุ่ง” เคลียร์บิ๊กทปอ.เหตุโดนยี้คุมอุดมศึกษา
มธ.เผย4แผนรับนักศึกษาใหม่ แบ่งครึ่งรับตรง-แอดมิชชัน’49
ดึงสื่อทางไกลช่วยสอนอังกฤษ เลิกท่องจำ-เน้นทักษะภาษา
เด็กหัวกะทิเมินเรียนสาขา"มนุษยศาสตร์" เข้าขั้นวิกฤต-หวั่นอนาคตตกขอบทั่วโลก
พนักงานมหา’ลัยรัฐเฮเงินเดือนขยับ
ม.รังสิต จับมือ ม.หมิง ฉวนไต้หวัน สร้างบัณฑิตรับกระแสโลก
"ภาณุพล สัจยากร" นิสิตเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ แชมป์โลกครอสเวิร์ดคนเก่งของไทย
ว.ชุมชนสระแก้วเปิดป.ตรีเกษตรอินทรีย์ บ.แห่จองตัวเผยปี"49สอนการค้าชายแดน
เหรียญทองคอมพิวเตอร์ อนรรฆ ยอดภิญญาณี พุทธิกร วรวุฒิวัฒน์
เด็กไทยคว้ารางวัลศิลปะเด็กโลกที่ญี่ปุ่น
มทร.ธัญบุรีฟุ้งเปิดอี-เลิร์นนิ่ง บริการเรียนฟรี 24 ชั่วโมง
"สุนี สมมี" นายกอบจ.ลำปาง "ห้องเรียนอิเล็กทรอนิกส์แห่งแรกในไทย"
ระบุตั้งสถาบันอาชีวฯ ไม่ง่าย

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

เอฟบีไอจับกุมตัวการปล่อยไวรัสคอมพ์"โซทอบ"
แกนหมุนเร็วกว่าเปลือกโลก รู้ได้จากคลื่นแผ่นดินไหว
พบยีนตัวกำกับอายุวัฒนะ ยืดอายุหนูทดลองถึง 3 ปี
สนามบินลอยน้ำขนาดยักษ์ ตั้งไว้บนแพกล่องโลหะกลวง
ยกเครื่องไอที รพ.บ้านแพ้วอนาคตโรงพยาบาลดิจิทัล
Eternal Egypt พิพิธภัณฑ์ เสมือนจริง
“ราชมงคล” สอนฟิสิกส์ผ่านเน็ต
ภูเขาไฟระเบิด-ต้นตอ"สัตว์ดึกดำบรรพ์"สูญพันธุ์
ญี่ปุ่นคว้าแชมป์แข่งหุ่นยนต์เฉือน"จีน"
เภสัชฯ ไฮเทคจ่ายยาทางไกล
ตั้งศูนย์สถาปัตย์เว็บเซอร์วิส

ข่าววิจัย/พัฒนา

เทคโนโลยีกำจัดขยะได้ประโยชน์แบบครบวงจร
คลื่นยักษ์สึนามิ26ธันวาฯ ซัดทั่วโลก-สุมาตรายันแคนาดา
"หุ่นจิ๋ว"มุดเส้นเลือดส่งยาตรงจุด
“แจ๋ว” Robot ขาช็อป
คนผมแดงหวั่นมะเร็งผิวหนัง ปฏิกิริยาไวกับรังสียูวี
ยกกาแฟเหนือกว่าผักผลไม้ อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
แยกสิ่งปลอมปนข้าวสารด้วยไฟฟ้าสถิต
เปิดตัวผิวเทียม"อี-สกิน" ประสาทสัมผัสหุ่นยนต์
‘ข้าวไทยให้ไอคิว’ อาหารที่ทั้งโลกอยากขอบคุณ
กากตะไคร้ไทยๆ ทำกระดาษ ไอเดียอนุรักษ์ธรรมชาติ
อาจารย์มรภ.เพชรบูรณ์ ประดิษฐ์กระดาษสา"ข้าวโพด"
คิดวัคซีนปราบไข้จับสั่นได้ เป็นเชื้อโรคเก่งกาจปรับตัวดื้อยา
ถ่านวิทยาศาสตร์ฝีมือคนไทย...ส่งขายเมืองนํ้ามัน
ม.เชียงใหม่ดึงนาโนฯทำ "จอแบน" โทรศัพท์
สเต็มเซลล์ดามกระดูกแข็ง เทคโนโลยีใหม่เลิกใช้เหล็ก
หลอดไฟประหยัดพลังงาน ฝีมือ 2 หนุ่มนักศึกษาล้านนา
รถเคลื่อนที่เร็วของคนพิการ
รถดับเพลิงฝีมือคนไทย ปฏิวัติใหญ่ระบบดับไฟไหม้
เห็ดไทย 57 ชนิด สมุนไพรรักษาโรค รัฐจับมือเอกชนตั้ง บ. ขายทั่วโลก

ข่าวทั่วไป

ม.บูรพาเสนอรัฐ เลิกFTAแคนาดา
สวนดุสิตได้เป็นเจ้าภาพจัดวันครูโลก
ฝรั่งเศสบัญชีดำเครื่องบินเสี่ยง
สมเด็จพระราชินี ทอดพระเนตร"หุ่นยนต์ดา วินชี่"
สำรวจพบเชื้ออุจจาระร่วงในน้ำแข็งแช่อาหาร
เชียร์ 8 เด็กไทยชิงชัยเวิลด์ไซเบอร์เกมส์
ส่ง ขรก.พันธุ์ใหม่อยู่แบบ ‘บิ๊กบราเธอร์’
เตือนสารเคมีทนไฟปนเปื้อน"น้ำนมแม่!"
เด็กบางมด เจ๋งจริง !! ซิวแชมป์โลก NFL flag Football
ภัยร้ายบุหรี่โผล่ใหม่อีกโรค อาจถึงต้องตัดแขนขาทิ้ง
ภัยเต่าญี่ปุ่น ซื้อปล่อยวัด กินไข่เต่าไทย หวั่นสูญพันธุ์
ยกเครื่องกฎหมายเครื่องสำอาง
เผย"20อปท."คว้า รางวัลพระปกเกล้า
'หมา'.... 'หมอ'





ข่าวการศึกษา


“อาชีวะต้นแบบ” ผ่านประเมิน

นายนิพนธ์ สุรพงษ์รักเจริญ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการโครงการสถานศึกษาอาชีวศึกษาต้นแบบ กล่าวว่า หลังจากที่ทางคณะอนุกรรมการฯได้ประเมินสถาบันอาชีวศึกษาต้นแบบทั้ง 5 แห่ง ประกอบด้วย วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ วิทยาลัยอาชีวศึกษาภูเก็ต วิทยาลัยสารพัดช่างชุมพร วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีศรีสะเกษ และวิทยาลัยการอาชีพนวมินทราชินีแม่ฮ่องสอน พบว่าวิสัยทัศน์ของผู้อำนวยการของสถาบันทั้ง 5 แห่ง แนวทางการดำเนินงานสื่อ ความพร้อมของสถาบัน ผ่านเกณฑ์ที่ทางคณะอนุกรรมการฯกำหนดไว้ ปัญหาที่พบมีเพียงเรื่องความเข้าใจในการที่จะเป็นสถานศึกษาอาชีวศึกษาต้นแบบ ซึ่งคณะอนุกรรมการฯทำความเข้าใจกับสถาบันทั้ง 5 แห่งเรียบร้อยแล้ว. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 29 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ห่วง กรอ.ฉุดมาตรฐานอุดมศึกษาลงเหว ทปอ.เชิญ “รุ่ง” ร่วมประชุมนัดพิเศษ

จากการประชุมที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) รศ.ดร.ประเสริฐ ชิตพงศ์ อธิการบดี ม.สงขลานครินทร์ ในฐานะประธานที่ประชุมทปอ.เปิดเผยภายหลังการประชุม ทปอ. ซึ่งนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว. ศึกษาธิการ เข้าร่วมประชุมด้วยว่า อธิการบดีมีความห่วงใยเรื่องการปฏิรูประบบการเงินอุดมศึกษา โดยใช้กองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกติดกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) ที่จะใช้ในปี 2549 โดยรัฐบาลจะให้เงินสนับสนุนผ่านทางผู้เรียนที่รวมถึงเงินเดือนอาจารย์ งบฯลงทุน วิจัย การบริการทางวิชาการ และกำหนดออกมาเป็นค่าใช้จ่ายรายหัว จะทำให้มหาวิทยาลัยที่มีผู้เรียนน้อยเกิดปัญหา ส่วนผู้เรียนเองก็จะรับภาระมากเกินไป และจะกระทบต่อสำนึกของผู้เรียนที่มีต่อสังคม เพราะตอนเรียนนักศึกษาต้องกู้เงินมาจ่ายเอง ด้าน ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดี ม. ธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาแนวคิดการใช้ กรอ.ก็เพื่อนำมาแก้ปัญหากองทุนกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา (กยศ.) ซึ่งจะทำให้ทุกคนกู้ได้หมด แต่รัฐต้องใช้เงินจำนวนมาก ต่อมาภายหลังรัฐบาลได้ผนวกเรื่องการปฏิรูปการเงินอุดมศึกษาด้วย โดยเปลี่ยนวิธีการจัดสรรงบประมาณจากเดิมที่ให้มหาวิทยาลัยโดยตรงปีละประมาณ 50,000 ล้านบาท มากำหนดเป็นค่าใช้จ่ายรายหัวและจ่ายเงินผ่านผู้เรียน มหาวิทยาลัยใดต้องการงบฯมากก็ต้องรับนักศึกษาปริญญาตรีให้มากๆ นำไปสู่การทำลายอุดมศึกษา และส่งผลให้มหาวิทยาลัยไทยอยู่ในมาตรฐานเดียวกันในระดับต่ำ ซึ่งมหาวิทยาลัยรัฐเก่าคงไม่มีปัญหาที่จะรับนักศึกษาเพิ่ม แต่เป็นทิศทางที่ประเทศต้องการจริงหรือไม่ ส่วนกรณีที่ ทปอ.ไม่เห็นด้วยที่นายจาตุรนต์ มอบหมายให้ ดร.รุ่ง แก้วแดง รมช.ศธ.ดูแลเรื่อง กรอ. และระบบแอดมิชชั่นนั้น นายจาตุรนต์กล่าวว่า ตนคงกำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ในกรณีที่มีปัญหาอะไรอธิการบดีก็สามารถต่อสายตรงถึงตนได้ ส่วน รศ.ดร.ประเสริฐ กล่าวในเรื่องนี้ว่า ในวันที่ 10 ก.ย.นี้ ทปอ.จะมีการประชุมนัดพิเศษ และจะทำหนังสือเชิญ ดร.รุ่ง มาร่วมประชุมอย่างเป็นทางการ (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 29 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ศธ.ลุยพัฒนาการสอนภาษาอังกฤษ

เมื่อวันที่ 28 ส.ค. ที่ รร.ปรินซ์ พาเลซ มีการประชุมเชิงปฏิบัติการ แผนยุทธศาสตร์ปรับปรุงการเรียนรู้การสอนภาษาอังกฤษของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศธ. กล่าวในการประชุมว่า ตนอยากให้คณะทำงานไปศึกษาแนวทางในการพัฒนาภาษาอังกฤษ จากประเทศที่มีสังคมคล้ายกับประเทศไทย และควรให้มีการสอนภาษาอังกฤษในลักษณะที่คนเรียนต้องการ เพราะตนเชื่อว่าการให้เรียนภาษาอังกฤษตามศักยภาพของตัวเด็ก จะได้ผลที่ดีกว่าจากเดิมที่บังคับให้เด็กเรียนเหมือนกัน 12 ปี แต่พูดอังกฤษไม่ได้ นอกจากนี้ต้องเปลี่ยนรูปแบบการประเมินผล เปิดโอกาสให้ครูได้คิดวิธีการสอนอย่างเต็มที่ รวมทั้งจะต้องหยุดให้งานด้านธุรการแก่ครูด้วย ด้านคุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ปลัด ศธ. กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นว่าครูที่สอนภาษาอังกฤษควรมีมาตรฐาน ควรมีแผนการอบรมครูระยะยาว อีกทั้งนายจาตุรนต์แสดงความเป็นห่วงในวิธี การประเมิน ที่อยากให้มีการประเมินจากความสามารถของครู นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีข้อเสนอให้สอนภาษาอังกฤษตามความสามารถของเด็กในช่วงชั้นนั้นๆ และจัดเป็นชั้นเรียนตามระดับความสามารถ อย่างไรก็ตามในวันที่ 1 ก.ย.นี้ จะมีการประชุมคณะทำงานเพื่อนำข้อเสนอที่ได้จากการประชุมครั้งนี้ไปจัดลำดับความสำคัญ ซึ่งคาดว่าภายในสัปดาห์หน้าจะเห็นรูปแบบในการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษได้ วันเดียวกันในงานแสดงมุทิตาจิตปี 2548 ของ ร.ร.สวนกุหลาบวิทยาลัย ศ.น.พ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี กล่าวบรรยายพิเศษเรื่องการศึกษาไทยในกระแสโลกาภิวัตน์ ตอนหนึ่งว่า การเรียนรู้คือกระบวนการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวผู้เรียน 3 เรื่องคือ ทำให้ เกิดความรู้ เกิดทักษะและเกิดคุณธรรม ส่วนระบบการศึกษาคือ พิมพ์เขียวของการเรียนรู้ที่ประเทศกำหนดว่าจะสร้างเด็กไทยในทิศทางใด ตนทราบว่า รมว.ศธ.จะปฏิรูปหลักสูตร ซึ่งก่อนจะปฏิรูปขอให้กลับไปดูพิมพ์ เขียวให้เข้าใจก่อน สิ่งที่ควรปรับปรุงคือกระบวนการเรียนรู้มากกว่า อย่าเปลี่ยนแค่โครงสร้างภายนอก. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 29 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





หลักสูตรใหม่พระปกเกล้า

หลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงของสถาบันพระปกเกล้า ในปัจจุบันมี 3 หลักสูตร อยู่ในการดูแลของวิทยาลัยการเมืองการปกครอง ทั้ง 3 หลักสูตร คือหลักสูตร การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูง (ปปร.) อันเป็นหลักสูตรหลัก เปิดมาเป็นรุ่นที่ 9 แล้ว อีก 2 หลักสูตร ได้แก่ “การบริหารงานภาครัฐและกฎหมายมหาชน” (ปรม.) กับ “การบริหารงานเศรษฐกิจสาธารณะ” (ปศส.) ตอนนี้มีการจัดตั้ง วิทยาลัยพัฒนาการปกครองท้องถิ่น ขึ้นมา เพื่อดำเนินการพัฒนาหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงอีกหลักสูตรหนึ่ง สำหรับการปกครองท้องถิ่นโดยเฉพาะ จุดเด่นของหลักสูตรนี้มาจากความต้องการ ให้เห็นความแตกต่างจากหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงอื่นๆของสถาบันพระปกเกล้า ขณะเดียวกัน ก็ตอบสนองความต้องการในการฝึกอบรมสำหรับบุคลากรที่อยู่ในส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น ดังนั้น หลักสูตรนี้จึงมีจุดเน้นหลักอยู่ที่นวัตกรรม หรือองค์ ความรู้ใหม่ๆ และพื้นฐานความรู้ที่ขาดไปสำหรับการบริหารพัฒนาประเทศในยุคปัจจุบัน ที่ต้องการองค์ความรู้สหวิทยาการขยายมาก กลุ่มเป้าหมายที่จะรับเข้ามาศึกษาคือ ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัด และหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัด ผู้บริหารองค์กรปกครองท้องถิ่น ผู้นำภาคเอกชน เช่น หอการค้า สภาอุตสาหกรรม และสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว ในแต่ละจังหวัด จึงมีการแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูง ของวิทยาลัยพัฒนาการปกครองท้องถิ่นขึ้น โดยมี ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เป็นประธานคณะกรรมการ ส่วนกรรมการพัฒนาหลักสูตรประกอบด้วย ศ.ดร.ปรัชญา เวสารัชช์ ศ.ดร.ชาติชาย ณ เชียงใหม่ รศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา รศ.ดร. ไชยา ยิ้มวิไล รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ รศ.ดร.สมคิด เลิศ ไพฑูรย์ รศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ นายกิตติศักดิ์ สินธุวนิช ดร.ปรียานุช พิบูลสราวุธ นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม นายสรรเสริญ วงศ์ชะอุ่ม และ ปลัดกระทรวงมหาดไทย หรือผู้แทน โดยมี ผู้อำนวยการวิทยาลัยพัฒนาการปกครองท้องถิ่น เป็นกรรมการและเลขานุการ ผศ.ดร.อรทัย ก๊กผล เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ชื่อหลักสูตรใหม่นี้อาจจะออกมาว่า หลักสูตร นวัตกรรมการบริหารและการพัฒนาประเทศ หรืออะไรทำนองนี้. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 29 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





มหาวิทยาลัยหวั่นกู้ยืมเรียนระบบใหม่อาจพากันลงเหว

รศ.ดร.ประเสริฐ ชิตพงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เปิดเผยว่า ในการประชุม ทปอ. เมื่อวันที่ 27 ส.ค. นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ ได้เข้าร่วมประชุมและเสนอให้ทปอ.ช่วยผลักดันเรื่องกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคตหรือ ICL ซึ่ง ทปอ.ก็เห็นด้วยในหลักการของ ICL ที่ส่งเสริมการปฏิรูประบบการเงินเพื่อการอุดมศึกษา แต่ ทปอ.เห็นว่าระบบ ICL จะมีผลกระทบทำให้การจัดสรรงบประมาณของอุดมศึกษาทั้งหมดเปลี่ยนไป โดยประเด็นที่น่าห่วงมากคือระบบ ICL จะเน้นการจัดสรรเงินผ่านตัวเด็ก ดังนั้นถ้าเด็กเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งใดจำนวนมาก มหาวิทยาลัยนั้นก็จะมีเงินมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าเงินดังกล่าวจะรวมถึงเรื่องเงินเดือนอาจารย์ งบฯวิจัย และงบฯลงทุนด้านต่าง ๆ ด้วยหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดยังไม่ชัดเจน แต่ถ้าเงิน ICL เป็นการรวมงบฯ ทั้งหมดของมหาวิทยาลัยก็น่าห่วงเพราะจะทำให้ผู้เรียนต้องจ่ายเงินสูงมาก ดังนั้นในเร็ว ๆ นี้ ทปอ.จะประชุมวิสามัญ เพื่อดูว่ายังมีประเด็นใดที่เป็นปัญหา และยังไม่ชัดเจน จากนั้นจะเสนอผู้เกี่ยวข้องต่อไป นายจาตุรนต์ กล่าวว่า การปฏิรูประบบการเงินเพื่ออุดมศึกษาจะช่วยให้รัฐรู้ทิศทางในการส่งเสริมมหาวิทยาลัย ทำให้รู้ว่ามหาวิทยาลัยแต่ละแห่งจะต้องผลิตบัณฑิตในสาขาอะไรบ้าง เป็นสาขาที่รัฐต้องการหรือไม่ ทำให้เกิดการแข่งขันในแต่ละสถาบัน ใช้ทรัพยากรร่วมกัน โดยเฉพาะระบบ ICL จะเปิดโอกาสให้ทุกคนโดยเฉพาะคนจนได้เรียนมหาวิทยาลัยมากขึ้น แต่การปฏิรูประบบการเงินอุดมศึกษาไม่ใช่ว่ารัฐต้องการจะลดงบฯที่การจัดสรรให้มหาวิทยาลัย มีแต่จะเพิ่มขึ้นและต้องไม่น้อยกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งนี้ตนอยากให้มหาวิทยาลัยเข้ามาช่วยเสนอแนะในเรื่องต่าง ๆ ที่คิดว่าจะเป็นปัญหา เพื่อจะได้ร่วมกันคิดและวางแนวทางไม่ให้เกิดปัญหาตามมา ด้าน ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวว่า มหาวิทยาลัยต่าง ๆ เพิ่งมารู้เมื่อประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมาว่าการปฏิรูประบบการเงินเพื่ออุดมศึกษาจะมีผลทำให้แนวทางการจัดสรรงบประมาณของอุดมศึกษาทั้งหมดเปลี่ยนไปด้วย โดยงบฯจะเน้นไปที่จำนวนผู้มาเรียนเป็นหลัก ซึ่งจะทำให้มหาวิทยาลัยทั้งหมดมีมาตรฐานเดียวกันคือมาตรฐานต่ำ เป็นการทำลายระบบอุดมศึกษา เพราะต่อไปมหาวิทยาลัยต่าง ๆ จะเลิกทำวิจัย เลิกบริการสังคม เลิกส่งเสริมและพัฒนาอาจารย์ให้เรียนต่อมากขึ้น เลิกเปิดสอนปริญญาโทและเอกเพื่อพัฒนาคน เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่มีผลทำให้ได้งบฯเพิ่มขึ้น แต่จะไปเน้นการรับนักศึกษามากขึ้นแทน ขณะนี้ยังไม่มีอะไรที่จะมาสร้างความมั่นใจให้แก่มหาวิทยาลัย (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 29 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th





"จาตุรนต์" ยันเดินหน้าแอดมิชชั่นส์ สั่งทุกมหาวิทยาลัยห้ามออกข้อสอบเกิน ม.6

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวปาฐกถาในงานสัมมนาโครงการปฏิรูประบบการเงินเพื่อการอุดมศึกษา (กรอ.) และคลินิกแอดมิชชั่นส์สัญจร ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ในงานครบรอบ 5 ปีเนชั่น แชนนัล ว่า กรอ.ทำให้คนมีโอกาสได้เรียนในระดับอุดมศึกษามากขึ้น โดยรัฐให้งบอุดหนุนมหาวิทยาลัยผ่านตัวผู้เรียนด้วยระบบกองทุน กรอ.ซึ่งมหาวิทยาลัยต่างๆ อาจได้รับงบเพิ่มขึ้นเพราะรัฐสนับสนุนให้ผู้เรียนเลือกเรียนมหาวิทยาลัยรัฐหรือเอกชนก็ได้ ส่วนคนที่ยากจนจริงๆ รัฐจะให้ทุนเรียนฟรี ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณี พ.ญ.กมลพรรณ ชีวพันธุศรี ประธานเครือข่ายพ่อแม่ ผู้ปกครองและเยาวชนเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ยื่นฟ้องศาลปกครองให้ยกเลิกระบบแอดมิชชั่นส์นั้น นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ถ้ามีโอกาสคงจะต้องพูดจาหารือกัน เรายินดีรับฟังความคิดเห็น แต่เรื่องการฟ้องร้อง คงมีการชี้แจงและแก้ต่างกันต่อไป อย่างไรก็ตาม ระบบแอดมิชชั่นส์ยังคงเดินหน้าต่อไป เพราะได้ประกาศและทำความเข้าใจกับสังคมไปแล้ว นายจาตุรนต์ กล่าวอีกว่า การออกข้อสอบในระบบแอดมิชชั่นส์ทำโดยสถาบันทดสอบทางการศึกษา (สทศ.) มีเนื้อหาตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน แต่ที่ห่วงตอนนี้คือมหาวิทยาลัยกำหนดให้สอบหลายวิชา ซึ่งจะกลับไปเหมือนเดิม ถ้าแบบนี้ผิดวัตถุประสงค์ ฉะนั้นเพื่อให้การรับนักเรียนเข้าสู่มหาวิทยาลัย สอดคล้องกับการปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐาน มหาวิทยาลัยอย่าออกข้อสอบนอกหลักสูตร แต่ออกเฉพาะเนื้อหาที่จำเป็น เพราะมิเช่นนั้น อาจทำให้เกิดโศกนาฏกรรมทางการศึกษา เนื่องจากเด็กต้องมุ่งทำคะแนนจีพีเอ ต้องทำข้อสอบเอเน็ต และโอเน็ต และทำข้อสอบที่มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งเป็นผู้ออกเอง (คมชัดลึก จันทร์ที่ 29 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





แนะ 3 หน่วยกิตวิชาคุณธรรม

ในการเป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการประจำปีของเครือข่ายสถาบันอุดมศึกษาเขตภาคกลาง เพื่อพัฒนาบัณฑิตอุดมคติไทย เรื่อง "ภูมิรู้ ภูมิธรรม นำบัณฑิตไทยสู่โลกสากล" ที่หอประชุมสุนันทานุสรณ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เมื่อเร็วๆ นี้ น.พ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) บรรยายพิเศษว่า สมองของมนุษย์มี 2 ส่วน คือส่วนอยาก ที่จะเป็นส่วนสร้างปัญญาภายนอก เช่น ความรู้เกี่ยวกับเรื่องต่าง และส่วนคิดที่จะพัฒนาปัญญาภายใน ได้แก่ คุณธรรม จริยธรรม แต่หลักสูตรการเรียนการสอนพัฒนาเฉพาะส่วนของปัญญาภายนอก ทำให้ยิ่งห่างเหินจากการพัฒนาปัญญาภายใน น.พ.ยงยุทธ กล่าวต่อว่า ดังนั้น มหาวิทยาลัยต่างๆ ควรสร้างเสริมปัญญาภายใน หรือคุณธรรมจริยธรรมให้นักศึกษาใน 3 ส่วน คือ 1.ระบบเรียนรู้ มหาวิทยาลัยควรกำหนดให้นักศึกษาทุกคณะ/รายวิชาเรียนวิชาคุณธรรมจริยธรรมอย่างน้อย 3 หน่วยกิต 2.ระบบกิจกรรมนักศึกษา มุ่งเน้นให้นักศึกษาทำกิจกรรมที่เป็นการสร้างเสริมคุณธรรมจริยธรรมมากขึ้น และ 3.มีระบบดูแลช่วยเหลือนักศึกษาเป็นอย่างดี เพราะหากมหาวิทยาลัยมีระบบดูแล ช่วยเหลือนักศึกษาที่ดี เมื่อนักศึกษามีปัญหาจึงกล้าปรึกษาครูอาจารย์ ทำให้มหาวิทยาลัยหาแนวทางแก้ปัญหาได้ทันเวลา (คมชัดลึก จันทร์ที่ 29 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ทปอ.ค้านนับหัวผู้เรียนรับงบICL “รุ่ง” เคลียร์บิ๊กทปอ.เหตุโดนยี้คุมอุดมศึกษา

นายประเสริฐ ชิตพงศ์ อธิการบดี ม.สงขลานครินทร์(มอ.) ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เปิดเผยผลการประชุมทปอ.เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ ได้เข้าร่วมประชุมด้วย และเสนอ ทปอ.ช่วยผลักดันเรื่องกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต หรือ ICL ซึ่ง ทปอ.ก็เห็นด้วยในหลักการที่ส่งเสริมการปฎิรูประบบการเงินเพื่อการอุดมศึกษา แต่ยังห่วงเรื่องการจัดสรรงบประมาณของอุดมศึกษาที่ต้องเปลี่ยนไป โดยประเด็นที่ ทปอ.ห่วงใยมาก คือ ระบบ ICL จะเน้นเรื่องการจัดสรรเงินผ่านตัวเด็ก คือถ้าเด็กมาเรียนมาก มหาวิทยาลัยจะได้งบฯ มาก ซึ่งไม่รู้ว่าเงินก้อนนี้จะรวมไปถึงเรื่องเงินเดือนอาจารย์ งบวิจัย งบลงทุนต่างๆ ของมหาวิทยาลัยด้วยหรือไม่ เพราะหากต้องผูกพันกับจำนวนผู้เรียนก็จะเกิดปัญหามาก ซึ่งผลกระทบจะอยู่ที่ผู้เรียนที่ต้องจ่ายเงินสูงมาก อย่างไรก็ตามเร็วๆ นี้ ทปอ.จะประชุมวิสามัญ เพื่อพิจารณาเรื่องการปฎิรูประบบการเงินเพื่ออุดมศึกษา จะดูว่ายังมีประเด็นใดที่เป็นปัญหาและยังไม่ชัดเจน จากนั้นจะเสนอผู้เกี่ยวข้องเพื่อตอบคำถาม ด้านนายสุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยต่างๆ เพิ่งมาทราบเมื่อเร็วๆ นี้ ว่าการปฎิรูประบบการเงินเพื่ออุดมศึกษา จะมีผลทำให้แนวการจัดสรรงบประมาณของอุดมศึกษาทั้งหมดเปลี่ยนไปด้วย งบฯ จะเน้นไปที่จำนวนผู้มาเรียนเป็นหลัก ซึ่งจะทำให้มหาวิทยาลัยทั้งหมดมีมาตรฐานเดียวกัน คือมาตรฐานต่ำ ต่อไปมหาวิทยาลัยต่างๆ อาจจะเลิกทำวิจัย เลิกบริการสังคม เลิกส่งเสริมและพัฒนาอาจารย์ให้เรียนต่อมากขึ้น เพราะไม่มีผลทำให้ได้งบฯ เพิ่มขึ้นแต่จะไปเน้นรับนักศึกษามากขึ้นแทน “ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ไม่เห็นด้วยกับนโยบาย ICL แต่ขณะนี้ยังไม่มีอะไรที่จะมาสร้างความมั่นใจให้กับมหาวิทยาลัยได้ ทั้งที่จะเริ่มใช้ระบบนี้ในปี 2549 แล้ว และการที่ รมว.ศึกษาธิการ อยากให้มหาวิทยาลัยเข้ามาช่วยกันคิดถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้น มหาวิทยาลัยพร้อม แต่รัฐต้องให้เวลา และถ้าเป็นไปได้ผมเห็นว่าเราน่าจะมีการทดลองใช้ระบบ ICL กันก่อนเพื่อดูว่ามีปัญหาอะไรก็แก้ไข ไม่ใช่จะมาทำทั้งหมดไปพร้อมกัน” อธิการบดี มธ. กล่าว ด้านนายรุ่ง แก้วแดง รมช.ศึกษาธิการให้สัมภาษณ์กรณีนายประเสริฐ ชิตพงศ์ ประธาน ทปอ. อยากทราบเหตุผลที่ นายจาตุรนต์ มอบงานในส่วนของอุดมศึกษาให้ดูแล ว่า ก่อนหน้านี้นายประเสริฐ เคยให้สัมภาษณ์ในลักษณะดังกล่าวมา 3-4 ครั้งแล้ว ว่า หากให้ตนมาดูแลงานอุดมศึกษาจะทำให้มีปัญหา อาจเป็นเพราะนายประเสริฐ ไม่เข้าใจบทบาทอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีและของตัวเอง ทั้งนี้ ขอยืนยันว่าความรู้ความสามารถด้านการบริหารงานอุดมศึกษา ก็มีไม่น้อยไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ICL แอดมิชชันหรือมหาวิทยาลัยนอกระบบ และภายในสัปดาห์นี้จะให้ นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เชิญนายประเสริฐ และ ทปอ.มาพบเพื่อมาพูดคุยในสิ่งที่ยังข้องใจ (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 29 ส.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





มธ.เผย4แผนรับนักศึกษาใหม่ แบ่งครึ่งรับตรง-แอดมิชชัน’49

รศ.ดร.ทวีป ชัยสมภพ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยถึงแนวทางการรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี ว่า ในปีการศึกษา 2549 มธ.เปิดรับนักศึกษาทั้งสิ้น 7,371 คน แบ่งเป็น รับผ่านระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษา หรือแอดมิชชัน 3,535 คน, ระบบรับตรงหลักสูตรปกติ 1,580 คน,ระบบคัดเลือกโครงการพิเศษ เช่น โครงการปริญญาตรีบริหารธุรกิจหลักสูตรนานาชาติ (BBA) คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี โครงการอังกฤษ-อเมริกันศึกษา (BAS) ของคณะศิลปศาสตร์ เป็นต้น จำนวน 7 70 คน และระบบการรับโครงการขยายโอกาส เช่น โครงการนักศึกษาเรียนดีจากชนบท/ในเขตเมือง โครงการนักศึกษาพิการ เป็นต้น อีก 843 คน รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ กล่าวว่า สำหรับระบบแอดมิชชัน มธ.กำหนดองค์ประกอบการพิจารณาคัดเลือกตามข้อตกลงของ ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.)และสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ โดยนักเรียนสามารถสมัครผ่านสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ในช่วงเดือนเม.ย.49 ส่วนการรับตรงหลักสูตรปกติ กำหนดให้ผู้สมัครต้องมีผลการเรียนระดับ ม.ปลายไม่ต่ำกว่า 2.5-2.75 แล้วแต่หลักสูตร และจัดสอบวิชาเฉพาะและสอบสัมภาษณ์ตามที่คณะกำหนด โดยจะเปิดรับสมัครระหว่างวันที่ 1-25 ก.ย.48ยกเว้นคณะพาณิชย์ศาสตร์ฯ จะรับสมัครวันที่ 1-8 ธ.ค.48 ส่วนการคัดเลือกโครงการพิเศษต่างๆ ของ มธ.สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ htt://regofc.tu.ac.th “ผู้ผ่านระบบรับตรงของ มธ. จะไม่ถูกตัดสิทธิ์ในการสมัครแอดมิชชัน แต่อย่างไรก็ดี มธ.ได้เตรียมประกาศจำนวนผู้ผ่านการคัดเลือกเผื่อไว้ในกรณีมีผู้สละสิทธิ์ด้วยส่วนหนึ่ง สำหรับเหตุผลที่ไม่นำผลการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) และผลการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง (A-NET) มาร่วมพิจารณาในการรับตรงนั้น เนื่องจากสกอ.เพิ่งจัดสอบปีนี้เป็นปีแรกจึงอาจมีความล่าช้า แต่หากผลการสอบ O-NET, A-NET, ผลการเรียนเฉลี่ยตลอดหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย (GAX) และผลการเรียนเฉลี่ยรายกลุ่มสาระวิชา (GA) ในปีนี้ได้รับการยอมรับ ในอนาคต มธ.อาจจะนำมาใช้ในการคัดเลือก หรือยกเลิกระบบการรับตรงทุกคณะก็ได้” รศ.ดร.ทวีป กล่าว (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 29 ส.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ดึงสื่อทางไกลช่วยสอนอังกฤษ เลิกท่องจำ-เน้นทักษะภาษา

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยถึงการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องแผนยุทธศาสตร์ปรับปรุงการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ของกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า การเรียนการสอนภาษาอังกฤษของไทยตั้งแต่ระดับประถมศึกษา จนถึงระดับอุดมศึกษา ครูมักเน้นให้เด็กท่องจำแต่ไวยากรณ์ ไม่ค่อยสอนเรื่องการใช้ภาษาสื่อสารเพราะถ้าเราใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารมาก ก็จะทำให้เข้าใจมากขึ้นด้วย โดยขณะนี้สถาบันวัดผลในต่างประเทศก็เปลี่ยนวิธีการวัดผล มาเน้นความสามารถในการใช้ภาษาแทนที่จะวัดความรู้ด้านไวยากรณ์ ดังนั้นจึงต้องรีบปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนของเด็กไทย มิฉะนั้นเด็กจะไม่สามารถเรียนต่อระดับสูงในต่างประเทศได้ รวมถึงขีดความสามารถของประเทศจะด้อยลงด้วย “เราจะต้องเน้นเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารมากขึ้น ซึ่งจากการหารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านนี้หลายครั้ง ก็ได้ข้อสรุปว่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนขนานใหญ่ ทั้งหลักสูตร วิธีการสอน สื่อการเรียนที่ใช้ประกอบการสอน และที่สำคัญเรื่องการวัดผล ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนหลักสูตรในระดับชั้นนั้น ไม่จำเป็นต้องให้เด็กทุกคนเรียนหลักสูตรเดียวกันหมด เพราะต้องยอมรับความแตกต่างของพื้นที่แต่ละโรงเรียนด้วย อย่างโรงเรียนขนาดเล็กในต่างจังหวัด ครูอาจไม่ได้จบเอกภาษาอังกฤษ เราก็ต้องหาวิธีช่วยอาจจะมีการบันทึกเทปวิธีการสอนจากครูต้นแบบเป็นวีซีดี หรือเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตให้เด็กกับครูได้เรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งคาดว่าในปีการศึกษาหน้าจะเกิดการปรับเปลี่ยนได้มากพอสมควร” รมว.ศึกษาธิการ กล่าว ด้านคุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ปลัด ศธ. กล่าวว่า การปรับเปลี่ยนวิธีการสอนนั้น รมว.ศึกษาธิการ เน้นย้ำอยากให้มีการจัดทำสื่อทางไกล หรือโปรแกรมออนไลน์ ทั้งนี้ในเรื่องการปรับหลักสูตรนั้น จากการหารือกับผู้เชี่ยวชาญ ก็พบว่าหลักสูตรที่มีอยู่นั้นยังไม่ได้นำไปสู่โรงเรียนก็อาจจะใช้หลักสูตรเดิม แต่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนเพราะยังมีจุดอ่อนอยู่หลายจุด (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 29 ส.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





เด็กหัวกะทิเมินเรียนสาขา"มนุษยศาสตร์" เข้าขั้นวิกฤต-หวั่นอนาคตตกขอบทั่วโลก

ผู้ช่วยศาสตราจารย์(ผศ.)ดร.ไชยันต์ รัชชกูล อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มช. กล่าวตอนหนึ่งในการอภิปรายเรื่อง "วิกฤตโลก วิกฤตมนุษยศาสตร์" จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) ร่วมกับคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) ว่า ในระยะหลังนี้นักเรียนมัธยมชั้นหัวกะทิหันมาศึกษาต่อด้านมนุษยศาสตร์ในระดับมหาวิทยาลัยน้อยลง ทั้งนี้ ก็ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจที่เป็นไม้บรรทัดวัดคุณค่าของคน ถูกมองว่ามนุษยศาสตร์เป็นศาสตร์ของคนโง่และคนจนที่เฝ้าแต่พร่ำบ่นถึงอุดมคติ ไม่อยู่ในวาระของยุคสมัย ซึ่งแม้ว่ามนุษยนิยมเป็นสิ่งสำคัญและมีความเจริญงอกงามของมวลมนุษย์แต่ก็พ่ายแพ้ต่อกระแสอารยะ และไม่ได้รับความสำคัญเท่าที่ควร แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีความเชื่อว่าจะยังมีคนที่มีสติปัญญาชั้นเลิศที่ยังมีความเชื่อมั่นทางจิตวิญญาณและศิลปวัฒนธรรม มาให้ความสนใจในศาสตร์นี้อยู่ รศ.ดร.มารค ตามไท สถาบันศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยพายัพ กล่าวว่า คงจะเป็นวิกฤตวงการมนุษยศาสตร์เอง อาจจะเป็นได้ว่าบางส่วนของวงการมนุษยศาสตร์ไม่ได้ทำหน้าที่หลัก คือให้นักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนได้ลิ้มรสของชีวิตที่มีอุดมการณ์ เพราะชีวิตที่มีอุดมการณ์นั้นหายไปแล้ว เพราะแม้จะกินไม่ได้ แต่จริงๆ แล้ว อุดมการณ์กินได้ ดื่มได้ คนที่ดำรงชีวิตด้วยอุดมการณ์ไม่ต้องกินอาหารมากก็อยู่ได้ อยู่ได้ด้วยฤทธิ์ความสุข แต่ไม่ค่อยได้เห็นตัวอย่างว่าเป็นหน้าที่ของมนุษยศาสตร์ อย่างน้อยเห็นตัวอย่างด้วยวรรณกรรม หรืออะไรที่ศึกษาได้ในห้องเรียน ดร.วีระ สมบูรณ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปัญหาในขณะนี้ก็คือการทำอย่างไรให้มนุษย์มีแรงบันดาลใจ มีความภูมิใจ ในความเป็นมนุษย์ของตัวเอง ขณะนี้อาจเรียกได้ว่ามนุษยศาสตร์กำลังเผชิญอยู่กับทางสองแพร่ง คือกระแสที่จะเปลี่ยนมนุษยศาสตร์เป็นอมนุษยศาสตร์ เพราะความสนใจที่จะศึกษาในสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสินค้า เทคโนโลยี มนุษยศาสตร์จึงเป็นการศึกษาในกระแสที่ไม่รู้จะไปทางไหนดี เมื่อโลกทุกวันนี้ต้องการความรู้ประเภททางบรรจบอย่างเดียว ทุกอย่างต้องออกมาเป็นผลลัพธ์ที่เกิดผลได้ ซึ่งถูกครอบด้วยวิธีคิดแบบเดียวหมด "ในอนาคตหากกระแสเป็นอย่างนี้มนุษยศาสตร์ก็จะตกขอบไม่เฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น ในมหาวิทยาลัยดังๆ ของต่างชาติ ภาควิชาปรัชญา กรีก ละติน ก็ถูกปิดไปเยอะ เมื่อเป็นเช่นนี้ทางออกคือมนุษยศาสตร์จะต้องยืนยันในจุดยืนของตัวเองอย่างมั่นคง เราปรับตัวได้ แต่ไม่ควรกลืนกับศาสตร์อื่นๆ เพราะการตอบปัญหาแบบทางบรรจบเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์เท่านั้น" ดร.วีระกล่าว และว่าเมื่อโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปเป็นโลกดิจิตอล จะเห็นได้จากปัจจุบันเครื่องมือสื่อสารเข้ามากำหนดชีวิตมนุษย์มากขึ้นไม่ว่าจะเป็นมือถือหรืออินเตอร์เน็ต สิ่งเหล่านี้ทำให้มนุษย์ถูกหล่อหลอม แต่แม้ว่าเทคโนโลยีของมนุษย์ไปไกลแล้ว แต่ก็ยังเกิดความเหงา ความเคว้งคว้างเพิ่มมากขึ้น (มติชนรายวัน อังคารที่ 30 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





พนักงานมหา’ลัยรัฐเฮเงินเดือนขยับ

ดร.รุ่ง แก้วแดง รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 30 ส.ค. ว่า ครม.ได้อนุมัติปรับเงินเดือนพนักงานมหาวิทยาลัยของรัฐ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เสนอ โดยอาจารย์ที่เป็นพนักงานมหาวิทยาลัยสายสนับสนุนจะได้รับเงินค่าจ้างเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 ส่วนผู้ที่มีตำแหน่งทางวิชาการจะได้รับการปรับเพิ่มฐานทั่วไปคนละ 1,000 บาท ต่อเดือน พร้อมเงินค่าตอบแทนเท่ากับเงินตำแหน่งทางวิชาการ ดังนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ (ผศ.) 5,600 บาท รองศาสตราจารย์ (รศ.) 9,900 บาท และ ศาสตราจารย์ (ศ.) 13,000 บาท ทั้งนี้ให้มีผลย้อนหลังถึงวันที่ 1 เม.ย.2547 ซึ่งจะใช้เงินงบประมาณทั้งสิ้น 361.6 ล้านบาท สำหรับอัตราพนักงานมหาวิทยาลัยในปัจจุบันมี 11,889 อัตรา โดยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการ 198 ราย แบ่งเป็น ผศ. 178 ราย รศ. 15 ราย และ ศ. 5 ราย และยังได้อนุมัติเงินประจำตำแหน่งให้ผู้บริหารที่ไม่เป็นข้าราชการ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการวิทยาลัยชุมชน ทั้ง 14 แห่ง เทียบเท่ากับอัตราในระดับอธิการบดีและรองอธิการบดีในวิทยาลัยครูเดิม ทั้งนี้มีผลย้อนหลังถึงวันที่ 1 ส.ค. 2547. (ไทยรัฐ พุธที่ 31 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ม.รังสิต จับมือ ม.หมิง ฉวนไต้หวัน สร้างบัณฑิตรับกระแสโลก

มหาวิทยาลัยรังสิต มุ่งพัฒนาสถาบันและนักศึกษาให้มีความเป็นสากล ล่าสุด ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต และ ดร.ฉวน ลี อธิการบดีมหาวิทยาลัยหมิง ฉวน ประเทศไต้หวัน ร่วมลงนามสร้างมิติใหม่ ผลักดันให้ 2 สถาบันมีความเป็นหนึ่งด้านภาษาในทวีปเอเชีย โดยในปีการศึกษาหน้า จะมีหลักสูตรแลกเปลี่ยนนักศึกษา ตลอดจนการพัฒนางานวิจัยและหลักสูตรต่างๆ ถึง 4 คณะ ซึ่งหลักสูตรต่างๆ จะใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอนทั้งหมด อาทิ หลักสูตรด้านบริหารธุรกิจ ซึ่งจะจัดหลักสูตรการเรียนการสอนแบบใหม่ถึง 3 หลักสูตร ดังนี้ แบบแรกหลักสูตรระยะสั้น “Study Tour” ทั้ง 2 มหาวิทยาลัย เป็นคอร์สระยะสั้น 4-5 วัน โดยจะจัดนักศึกษาทั้งปริญญาตรี-โท ของม.รังสิต ไปเรียนที่ ม.หมิง ฉวน ซึ่งระหว่างนั้นนักศึกษาจะได้ทัศนศึกษาในประเทศไต้หวัน เพื่อเรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวไต้หวันด้วย แบบที่สอง 3+1+1 Exchange rogram นักศึกษาจะเรียนปริญญาตรีถึงปีที่ 3 แล้วไปต่อ ปริญญาโท ที่ ม.หมิง ฉวน อีก 1 ปี จากนั้นจึงกลับมาเก็บหน่วยกิตปริญญาตรีที่เหลือ1 ปีจนจบ ซึ่งจะทำให้ได้รับปริญญา 2 ใบในเวลาเดียวกัน และแบบสุดท้ายคือ 1+1 Double Degree ในระดับปริญญาโท ซึ่งนักศึกษาปริญญาโทของทั้ง 2 มหาวิทยาลัยจะเรียน1 ปีแรกที่มหาวิทยาลัยของตน และอีก 1ปีที่มหาวิทยาลัยพันธมิตร โดยจะได้รับปริญญาจาก 2 มหาวิทยาลัยเช่นกัน สำหรับหลักสูตรอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ จะเน้นการทำวิจัยระหว่าง 2 มหาวิทยาลัย และหลักสูตรการประกอบอาหารทั้งไทยและจีน (Culinary Class) เป็นเวลา 1 เดือน โดยนักศึกษาจะได้รับประกาศนียบัตรการประกอบอาหารไทย จากกรมฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงานรับรอง เพื่อเป็นใบเบิกทางในการประกอบธุรกิจอาหารไทยได้ทั่วโลก ความร่วมมือครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสดีที่นักศึกษาจะได้พัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษและภาษาจีน รวมทั้งมหาวิทยาลัยยังสามารถผลิตบัณฑิต ที่มีความรู้ความชำนาญรับกระแสโลก (สยามรัฐ พุธที่ 31 ส.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





"ภาณุพล สัจยากร" นิสิตเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ แชมป์โลกครอสเวิร์ดคนเก่งของไทย

จากความสำเร็จของนิสิตน้องใหม่คณะเศรษฐ์ จุฬาฯ ซึ่งสร้างชื่อให้ประเทศไทยในฐานะแชมป์โลกการแข่งขันสแคร็บเบิล(ครอสเวิร์ด) ประจำปี 2546 ที่ประเทศมาเลเซีย อีก 2 ปีต่อมา "ภาณุพล สัจยากร" นิสิตเก่งซึ่งเป็น 1 ใน 3 นักกีฬาครอสเวิร์ดที่ดีที่สุดของประเทศไทยได้สร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัยอีกครั้ง ด้วยการคว้ารางวัลชนะเลิศการแข่งขันแบรนด์ ครอสเวิร์ด เกม ชิงแชมป์ประเทศไทยและนานาชาติ ครั้งที่ 20 ประจำปี 2548 ในรุ่นโอเพ่นนานาชาติ ได้รับถ้วยรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ แชมป์โลกครอสเวิร์ดคนล่าสุดได้เผยถึงข้อดีของการเล่นเกมครอสเวิร์ดว่ามีส่วนทำให้มีสมาธิในการเรียน และช่วยให้ตั้งใจเรียนมากยิ่งขึ้น การเล่นครอสเวิร์ดให้ประสบความสำเร็จนั้น ควรศึกษาคำศัพท์ภาษาอังกฤษจากคู่มือครอสเวิร์ดโดยเฉพาะ ฝึกหัดวางแผนการเล่น รู้จักเลือกตัวพยัญชนะและสระให้สมดุลรวมทั้งเลือกตัวอักษรที่ผสมคำได้ง่าย ปัจจุบันภาณุพลศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 3 คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ รายการต่อไปภาณุพลเตรียมพร้อมพิสูจน์ความสามารถของคนไทยให้ทั่วโลกได้ประจักษ์อีกครั้ง ในการแข่งขันครอสเวิร์ดรายการ "National Scrabble championship 2005" ที่รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 19-24 สิงหาคม รวมทั้งเตรียมเข้าแข่งขันครอสเวิร์ดชิงแชมป์โลกที่ประเทศอังกฤษ ในเดือนพฤศจิกายนนี้ (มติชนรายวัน พุธที่ 31 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ว.ชุมชนสระแก้วเปิดป.ตรีเกษตรอินทรีย์ บ.แห่จองตัวเผยปี"49สอนการค้าชายแดน

นายวิญญู จริยาวุฒิกุล กรรมการสภาวิทยาลัยชุมชนสระแก้ว ให้สัมภาษณ์ว่า สถาบันแห่งนี้เปิดสอนมากว่า 3ปีแล้ว ตั้งอยู่ในศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัด(ศนจ.)สระแก้ว โดยตั้งอยู่ติดกับศาลากลางจังหวัดสระแก้ว ได้รับเลือกเป็นวิทยาลัยต้นแบบ จุดเด่นคือกรรมการค่อนข้างเป็นเอกภาพมาก ช่วยเหลืองานกันดีมาก โดยเฉพาะหลักสูตรระยะสั้น เช่น กรรมการท่านหนึ่งมีโรงงานกลึงไม้และส่งขายไปต่างประเทศ จึงผลักดันให้วิทยาลัยชุมชนเปิดหลักสูตรนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ และได้จัดหาอาจารย์จากภาคเหนือมาสอน จบแล้วมีงานทำทันที เงินเดือนขั้นต่ำ 6,000 บาท แต่กลายเป็นว่าคนท้องถิ่นไม่ค่อยชอบเรียนเท่าไร เพราะเป็นงานฝีมือ วิทยาลัยกำลังดำเนินการเตรียมเปิดหลักสูตรอนุปริญญาสาขาเกษตรอินทรีย์ ซึ่งสามารถเรียนต่อจนถึงปริญญาตรีได้เลย โดยได้ร่วมกับทางมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ และแม้จะยังไม่เปิดสอนแต่ปรากฏว่ามีบริษัทที่ทำธุรกิจส่งออกด้านการทำพืชปลอดสารมาจองตัวกันแล้ว ขณะนี้วิทยาลัยชุมชนสระแก้วมีนักศึกษาเรียนในระดับอนุปริญญาประมาณ 1,560 คน ไม่รวมหลักสูตรระยะสั้นอีกเป็นหมื่น (มติชนรายวัน พุธที่ 31 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





เหรียญทองคอมพิวเตอร์ อนรรฆ ยอดภิญญาณี พุทธิกร วรวุฒิวัฒน์

จากเมืองโนวีซาด โปแลนด์ 4 นักเรียนไทยสร้างชื่อเสียงก้องโลก ได้รับเหรียญรางวัลจากสนามแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระหว่างประเทศประจำปี 2548 2 เหรียญทองจากฝีมือ พุทธิกร วรวุฒิวัฒน์ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ จ.นครปฐม และอนรรฆ ยอดภิญญาณี โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กับอีก 2 เหรียญเงินจาก ปฐมพล แสงอุไรพร โรงเรียนอัสสัมชัญบางรัก และสุคลศักดิ์ ศักดิ์ชูวงษ์ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย (ข่าวสด พุธที่ 31 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





เด็กไทยคว้ารางวัลศิลปะเด็กโลกที่ญี่ปุ่น

เด็กไทยสร้างชื่ออีกแล้ว หลังจากที่จังหวัดคานากาวา ร่วมกับสมาคมนานาชาติแห่งคานากาวา สนับสนุนโดยกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกิจการภายในและการสื่อสาร มูลนิธิญี่ปุ่น สมาคมสหประชาชนแห่งญี่ปุ่น ร่วมกันจัดนิทรรศการศิลปะเด็กโลกแห่งโอกินาวา ครั้งที่ 13 ปี 2005 ที่คานากาวา พลาซา ซึ่งจัดขึ้นทุกๆ 2 ปี ในปีนี้มีประเทศต่างๆ ทั่วโลกถึง 101 ประเทศ ส่งผลงานศิลปะเด็กเข้าประกวดจำนวน 33,865 ภาพ (ประเทศไทยส่ง 604 ภาพ) ปรากฏว่าเด็กๆ จากชมรมบ้านศิลปะเด็กกรุงเทพฯ ลูกศิษย์ครูสังคม ทองมี สร้างชื่อเสียงสู่ประเทศไทย โดยได้รับรางวัลคานากาวาไพรซ์ 3 รางวัลคือ 1. ด.ญ.ชญาณิศ วงศ์วิชิต อายุ 4 ขวบ ชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนเซนต์ฟรังค์ จากผลงานชื่อ "แม่กับลูก" 2.ด.ช.สัณหภณ เกตุเกล้า อายุ 8 ขวบ ชั้นป.4 โรงเรียนอนุบาลละอออุทิศ จากผลงานชื่อ "ผจญภัย" 3. ด.ช.สรรพจน์ เกตุเกล้า อายุ 10 ปี ชั้นป.5 โรงเรียนราชวินิต ฝ่ายประถมศึกษา จากผลงานชื่อ "นักดนตรีน้อย" (ข่าวสด พุธที่ 31 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





มทร.ธัญบุรีฟุ้งเปิดอี-เลิร์นนิ่ง บริการเรียนฟรี 24 ชั่วโมง

ผศ.ดร.นำยุทธ สงค์ธนาพิทักษ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เปิดเผยถึงความก้าวหน้าในการจัดการเรียนการสอนในระบบอี-เลิร์นนิ่งว่า "ภารกิจหลักของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล คือการจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษา โดยมุ่งเน้นมาตรฐานการศึกษา ความเสมอภาคทางการศึกษาและตอบสนองพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 การจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยจึงมีทั้ง 3 ระบบ คือการศึกษาในระบบและจัดการศึกษาทางไกล 2 รูปแบบ คือการผลิตรายการโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม และการผลิตบทเรียนอี-เลิร์นนิ่ง ซึ่งเป็นการสร้างองค์ความรู้สำหรับการศึกษาตลอดชีวิตของคนไทยได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้มหาวิทยาลัยได้มอบหมายให้สำนักเทคโนโลยีสารสนเทศและสถาบันวิทยบริการเป็นหน่วยงานที่ผลิตสื่อการเรียนรู้ด้วยตนเองในระบบบทเรียนออนไลน์ โดยสำนักเทคโนโลยีสารสนเทศจะผลิตเนื้อหาเป็นเรื่องๆ ส่วนการผลิตบทเรียนอี-เลิร์นนิ่งของสถาบันวิทยบริการนั้นมุ่งผลิตตามหลักสูตรทั้งรายวิชา ซึ่งขณะนี้บรรจุบทเรียน 135 รายวิชา ปรากฏบนเวบไซต์ www.arc.rmut.ac.th หรือ www.rmut.ac.th ในปัจจุบัน ผู้สนใจการศึกษาบทเรียนออนไลน์ของมหาวิทยาลัย สามารถเข้ามายังเวบไซต์นี้ได้ฟรีไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น โดยในอนาคตคาดว่าภายในปี 2549 จะดำเนินการพัฒนาในรูปแบบของการลงทะเบียนซึ่งผู้ที่เข้ามาเรียนจะสามารถสะสมหน่วยกิตในรายวิชาต่างๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่ต้องการเรียนหนังสือผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้รับความรู้พร้อมกับได้ปริญญาเหมือนเข้ามาเรียนในระบบปกติ (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 2 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





"สุนี สมมี" นายกอบจ.ลำปาง "ห้องเรียนอิเล็กทรอนิกส์แห่งแรกในไทย"

เกือบ 2 ปี ที่ จ.ลำปางมี "สุนี สมมี" เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) และจากการบริหารงานเพียงแค่ปีเดียว อบจ.ลำปาง ก็ได้รับรางวัลบริหารจัดการที่ดี ปี 2548 จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยก่อนหน้านี้ อบจ.ลำปาง ไม่เคยได้รับรางวัลอะไรมาก่อน "สุนี" จบพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโท บริหารธุรกิจ จากนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา และอยู่ระหว่างศึกษาระดับปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์ ผลงานที่ถือว่าเป็นรูปธรรมชัดเจน คือ การสร้างห้องเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ระยะแรกเป็นห้องเรียนนำร่องทั้งจังหวัด โดยเดือนกันยายนนี้จะเปิดให้นักเรียนใช้ 3 แห่งแรก คือ โรงเรียนปงสนุก โรงเรียนเขลางค์นคร และโรงเรียนเทศบาล 4 เขตเทศบาลนครลำปาง ในห้องเรียนประกอบไปด้วยคอมพิวเตอร์ เซิร์ฟเวอร์ และซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรการศึกษา ที่นักเรียนแต่ละระดับค้นคว้าได้ด้วยตนเอง โปรแกรมที่บรรจุไว้จะเป็นหลักสูตรตั้งแต่ชั้น ป.1-ม.6 นักเรียนทุกคนเปิดเข้าไปดูได้ทันที แม้จะไม่มีครูผู้สอนอยู่ก็ตาม ห้องเรียนนี้เป็นประโยชน์มากสำหรับนักเรียนที่สนใจ และใช้ทดแทนครูซึ่งไม่จำเป็นต้องอยู่ดูแลนักเรียน นักเรียนสามารถเรียนได้ด้วยตนเอง ซึ่งแต่ละห้องจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ครบจำนวนคน หรือห้องละ 50 เครื่อง เครื่องละ 1 คน โดย อบจ.ตั้งงบฯปีแรก 25 ล้านบาท ปีต่อๆ ไปจะขยายห้องเรียนอิเล็กทรอนิกส์ออกไปทุกอำเภอ อำเภอละห้อง จนเดี๋ยวนี้ อบจ.กลายเป็นศูนย์รวมของการประสานงานและการทำงาน อันนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะการให้การศึกษาที่ทันสมัย และสุขภาพที่ดีของประชาชน" (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 2 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





ระบุตั้งสถาบันอาชีวฯ ไม่ง่าย

นายวีระศักดิ์ วงษ์สมบัติ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยความคืบหน้าร่าง พ.ร.บ.การอาชีวศึกษาว่า ขณะนี้ได้เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการร่วมสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาไป 2 ครั้งแล้ว แต่สภาผู้แทนราษฎรปิดสมัยประชุมก่อน เมื่อเปิดประชุมน่าจะไปได้เร็ว เพราะประเด็นที่กรรมาธิการพูดกันมากคือ สถาบันการอาชีวศึกษาจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งตอนนี้เข้าใจตรงกันว่า สถาบันการอาชีวศึกษาจะมี 2 ลักษณะ คือ สถาบันการอาชีวศึกษาที่เปิดสอนแบบรวมสาขา กับสถาบันการอาชีวศึกษาเฉพาะทาง อย่างไรก็ตาม ในร่างพ.ร.บ.การอาชีวศึกษา กำหนดให้สถาบันอาชีวศึกษา คือสถาบันใดสถาบันหนึ่งและมีการขยายความว่า การจะมีกี่สถาบันนั้นให้เป็นไปตามประกาศกระทรวง เมื่อสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา (สอศ.) เห็นว่า วิทยาลัยใดเหมาะสมที่จะตั้งสถาบันการอาชีวศึกษา ต้องทำเรื่องเสนอ รมว.ศึกษาธิการ และขอความเห็นชอบจาก ครม. จากนั้นจะส่งต่อไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจสอบถึงจะประกาศเป็นสถาบันได้ ทั้งนี้การที่จะเกิดสถาบันการอาชีวศึกษาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่จะเกิดจากฝ่ายบริหาร คือรัฐบาลจะต้องเป็นผู้ให้ความเห็นชอบว่าจะให้จัดตั้งได้กี่สถาบัน เพราะเกี่ยวกับงบประมาณด้วย ซึ่งสถาบันการอาชีวศึกษาจะเปิดสอนได้ถึงปริญญาตรีในสายปฏิบัติการ แต่จะเปิดเฉพาะสถาบันที่มีความพร้อม และสาขาที่ตรงตามความต้องการของตลาด (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 3 ก.ย. 2548 http://www.thairath.co.th)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


เอฟบีไอจับกุมตัวการปล่อยไวรัสคอมพ์"โซทอบ"

สำนักข่าวไซเบอร์นิวส์ รายงานว่า ตำรวจสืบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) สามารถสืบสวนจับกุมผู้ต้องสงสัยที่เชื่อว่าเป็นตัวการเผยแพร่ไวรัสประเภทหนอนคอมพิวเตอร์ "โซทอบ" ได้สำเร็จหลังจากแกะรอยไปจนถึงต้นตอ โดยรายงานข่าวระบุว่า นายฟาร์ริด เอสเบบาร์ วัย 18 ปี ชาวโมร็อคโค เป็นผู้เขียนโปรแกรมไวรัสดังกล่าว โดยได้รับการว่าจ้างจาก นายอาติลล่า เอกีซี่ วัย 20 ปี ชาวตุรกี เชื่อว่าผู้ต้องหาทั้ง 2 พบและรู้จักกันผ่านเครือข่ายการสนทนาบนอินเตอร์เน็ท ขณะนี้บุคคลทั้ง 2 ถูกทางการของทั้ง 2 ประเทศที่เกี่ยวข้อง ดำเนินคดีในข้อหาอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์แล้ว หนอนไวรัสโซต๊อป ถูกออกแบบมาเพื่อโจมตีคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดว์ 2000 ถูกปล่อยออกมาในช่วงกลางเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา มีคอมพิวเตอร์ของบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่งของสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจากหนอนไวรัสดังกล่าว แต่ทั้งนี้ บริษัทไมโครซอฟท์ เจ้าของและผู้ผลิตระบบปฏิบัติการวินโดว์ได้ออกโปรแกรม หรือ แพทช์ ออกมาเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงทำให้มีคอมพิวเตอร์ไม่มากนักที่ได้รับผลกระทบจากหนอนไวรัสชนิดนี้ (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 29 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





แกนหมุนเร็วกว่าเปลือกโลก รู้ได้จากคลื่นแผ่นดินไหว

นักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯอ้างว่า สามารถยืนยันได้ว่าแกนของโลกกับชั้นเปลือกโลก แกนของโลกกลับหมุนรอบตัวเองเร็วกว่าเปลือกนอก โดยการเปรียบคลื่นของแผ่นดินไหว ที่เกิดขึ้นเมื่อมีแผ่นดินไหวที่บริเวณเดียวกันสองหนซ้อน แต่คนละเวลากัน พวกเขารายงานในวารสารวิชาการ “วิทยาศาสตร์” ว่า “จากการศึกษาคลื่นจากแผ่นดินไหว ซึ่งเกือบจะเป็นการไหวลักษณะแบบเดียวกัน ที่เคลื่อนผ่านแกนของโลกได้แสดงว่าแกนของโลกหมุนรอบตัว ด้วยความเร็วสูงกว่าตัวโลกเอง ในอัตราปีละ 0.009 วินาที” โลกของเรามีแกนกลางเป็นสภาพแข็ง ประกอบด้วยเหล็กและนิกเกิล มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางโตประมาณ 2,400 กม. และล้อมด้วยแกนที่เป็นวัตถุหลอมเหลว ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 7,000กม. อีกชั้นหนึ่ง ตัวแกนใจกลาง มีฐานะสำคัญเป็นเหมือนกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสตรง ก่อให้เกิดสนามแม่เหล็กของโลก และเชื่อกันว่าแรงบิดทางแม่เหล็กไฟฟ้าของเครื่องกำเนิดไฟฟ้านี้ ได้ก่อให้เกิดแรงหมุนของแกนในให้หมุนเข้ากับการหมุนของเปลือกโลก. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 29 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





พบยีนตัวกำกับอายุวัฒนะ ยืดอายุหนูทดลองถึง 3 ปี

นักวิทยาศาสตร์อเมริกันค้นพบยีนหรือหน่วยพันธุกรรมตัวหนึ่ง ที่มีบทบาทสำคัญในขบวนการของความแก่ชราหลายอย่าง ทำให้หนูยืดอายุของมันออกไปอีกได้มากกว่าปกติถึง 1 ใน 3 ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิชาพยาธิวิทยา ศูนย์แพทย์มหาวิทยาลัยเซาท์ เวสเทิร์น ดร.มาโกโต คูโรโอ ผู้ค้นพบได้ตั้งชื่อให้มันว่า “กล็อตโท” ตามชื่อของเทพธิดาทอสายใยในตำนานกรีก เพราะเหตุว่าหน่วยพันธุกรรมนี้ ก็มีบทบาทแบบเดียวกับในหนู และอาจจะในมนุษย์ด้วย การค้นคว้าทำให้รู้ว่า หากสามารถเร่งเครื่องของยีนหรือหน่วยพันธุกรรมนี้ขึ้นได้ จะสามารถยืดอายุของหนูทดลองตัวผู้ออกไปได้มากถึง2-3 ปี เขาพบว่ามันช่วยต่อต้านความชราได้หลายทาง ตั้งแต่ความแก่ชราของกระดูก หลอดเลือดอุดตัน ตลอดจนกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียกด้วย ดร.มาโกโตกล่าวบอกในวารสาร “วิทยาศาสตร์” ว่า “มันอาจจะเป็นก้าวสำคัญในการคิดหาวิธีต่อต้านความชราก้าวหนึ่ง” แต่เขายอมรับว่า มันยังมีข้อเสียอยู่ หนูตัวถูกยืดอายุออกไปได้นั้น มักจะมีลูกยากและมันยังอาจทำให้เป็นโรคเบาหวานด้วย. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 29 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





สนามบินลอยน้ำขนาดยักษ์ ตั้งไว้บนแพกล่องโลหะกลวง

หนังสือพิมพ์โยมิอูริ รายงานว่า ญี่ปุ่นและสหรัฐฯกำลังพิจารณาก่อสร้างสนามบินลอยน้ำขนาดยักษ์ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น เพื่อพยายามลดมลภาวะทางเสียง ที่เกิดจากการซ้อมรบภาคกลางคืนของสหรัฐฯ แผนก่อสร้างสนามบินแห่งนี้ ทั้งสองฝ่ายตั้งใจจะบรรจุไว้ในร่างรายงาน ที่จะนำเสนอในเดือนตุลาคมนี้ ทั้งนี้ กองทัพสหรัฐฯต้องการเคลื่อนย้ายเครื่องบินรบประมาณ 70 ลำด้วย หวังว่าการสร้างสนามบินในทะเลจะช่วยลดกระแสคัดค้าน ในประเด็นมลภาวะทางเสียงและปัญหาสังคม จากประชาชนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ในบริเวณใกล้เคียงโครงการสนามบิน ในทะเลจะมีมูลค่าก่อสร้างประมาณ 4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (185,000 ล้านบาท) ตั้งอยู่ห่างจากฐานทัพนาวิกโยธินในเมืองยามางูจิ ประมาณ 4 กิโลเมตร สนามบินลอยน้ำ จะสร้างด้วยกล่องโลหะภายในกลวงนำมาเรียงต่อกันโดยคาดว่าจะมีอายุใช้งาน 100 ปี. (ไทยรัฐ อังคารที่ 30 http://www.thairath.co.th)





ยกเครื่องไอที รพ.บ้านแพ้วอนาคตโรงพยาบาลดิจิทัล

เพื่อก้าวสู่การเป็นโรงพยาบาลดิจิทัล รองรับการเชื่อมต่อข้อมูลด้านสาธารณสุขของประเทศในอนาคต โรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) โรงพยาบาลชุมชนขนาดกลางที่ตั้งอยู่ในอำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ตัดสินใจยกเครื่องระบบไอทีแบบก้าวกระโดด จากเทคโนโลยี DOS ก้าวข้ามเทคโนโลยีปัจจุบันอย่าง 32 บิตไปสู่ 64 บิตจากอินเทล เปลี่ยนระบบงานดั้งเดิมยุค DOS จาก “MIT_NET” ที่พัฒนาโดยทันตแพทย์สุมิตร ธรรมาภิมุข ก้าวสู่เทคโนโลยี 64 bit We base Application ที่ชื่อว่า “MEDICO” เว็บเซอร์วิสฝีมือนักพัฒนาคนไทยที่ทำให้ระบบสามารถดึงศักยภาพของเทคโนโลยี 64 บิตมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ น.พ.คมกฤช สุวรรณกูฎ กรรมการผู้จัดการบริษัทเมดิคัลซอฟท์ จำกัด บอกว่าโปรแกรมเมดดิโค (MEDICO) ที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบเว็บเซอร์วิสหรือการให้บริการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบงานคอมพิวเตอร์ โดยมีมาตรฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูล XML ในรูปแบบของเว็บโพรโตคอล (HTTP) นั้นครอบคลุมการใช้งานทั้งส่วนผู้ป่วยนอก ห้องแพทย์ หอผู้ป่วยในและระบบบริหารจัดการ ภายในของโรงพยาบาล เริ่มตั้งแต่ค้นหาผู้ป่วยได้จากเลขที่บัตรประชาชน กรอกข้อมูลการรับบริการของผู้ป่วย บันทึกจากแพทย์รวมถึงสั่งยาได้อย่างอัตโนมัติ ไม่ต้องให้พยาบาลมาแกะลายมือแพทย์ให้ยุ่งยาก รองรับการพิมพ์อัตโนมัติ ทำให้รวดเร็วและถูกต้องในการพิมพ์ฉลากยา นอกจากนี้ระบบไอทีของโรงพยาบาลบ้านแพ้วยังมีการเชื่อมต่อกับบริษัทผู้จัดจำหน่ายยา ทำให้สามารถลดต้นทุนในการสต๊อกยาเหลือเพียงประมาณ 2 ล้านเท่านั้นสำหรับการให้บริการผู้ป่วยที่มีประมาณ 1,000 คนต่อวันซึ่งปกติจะมีการสำรองยาเกือบ 10 ล้านบาท ด้านหอผู้ป่วยในมีการติดตั้งระบบไร้สาย เพื่อให้แพทย์ผู้ตรวจผู้ป่วยตามเตียงต่าง ๆ สามารถบันทึกลงในโน้ตบุ๊ก ซึ่งโรงพยาบาลได้ดัดแปลงรถเข็นขนาดเล็กสำหรับติดตั้งโน้ตบุ๊กและพริ้นเตอร์ เพื่อใช้งานแทนแฟ้มผู้ป่วย เชื่อมต่อกับแล็บต่าง ๆ ทำให้ได้รับผลรายงานก่อนที่ผลการตรวจแบบกระดาษจะมาถึง (เดลินิวส์ อังคารที่ 30 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





Eternal Egypt พิพิธภัณฑ์ เสมือนจริง

เปิดตัวไปแล้วในงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ที่เมืองทองธานี กับนิทรรศการการแสดงวัฒนธรรมอียิปต์โบราณผ่านเทคโนโลยีล้ำยุคจากไอบีเอ็ม “Eternal Egypt” ผลงานความร่วมมือระหว่างรัฐบาลอียิปต์และไอบีเอ็มที่ต้องการสร้างแหล่งความรู้และข้อมูลที่ช่วยให้ทุกคนทั่วโลกเข้าถึงประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอียิปต์โบราณที่ยาวนานกว่า 7 พันปีได้อย่างง่ายดาย ไอบีเอ็มใช้เวลากว่า 3 ปีในการสร้างสรรค์ “Eternal Egypt” ด้วยงบประมาณกว่า 2.5 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 100 ล้านบาท พร้อมทั้งสนับสนุนด้านเทคโนโลยีและบุคลากรที่เชี่ยวชาญจากทีมวิจัยและทีมบริการในสหรัฐอเมริกาและอียิปต์ โดยรัฐบาลอียิปต์เป็นผู้สนับสนุนข้อมูลการค้นคว้าวิจัยอันมีค่าเหล่านี้ โครงการดังกล่าวครอบคลุมการนำเสนอ เป็น 3 ส่วนคือ “Inside the Walls” หรือตามรอยพิพิธภัณฑ์ นำเสนอผลงานเด่นจากพิพิธภัณฑ์ทั่วอียิปต์ และด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์คล้ายพีดีเอที่เรียกว่าดิจิทัลไกด์ สำหรับใช้ในพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ จะทำให้ผู้ที่เข้าชมพิพิธภัณฑ์สามารถเข้าถึงข้อมูลที่จัดแสดงอยู่ได้อย่างสนุกสนาน ส่วนที่สองเรียกว่า The museum outside the walls หรือนอกเขตพิพิธภัณฑ์ อาศัยการเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายไร้สาย เป็นไกด์พานักท่องเที่ยวชมวิหารลุกซอร์และพีระมิดแห่งเมืองกิซาด้วยข้อมูลเดียวกับที่อยู่ในดิจิทัลไกด์หรือในเว็บไซต์ แต่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงข้อมูลผ่านมือถือ และส่วนสุดท้าย The museum without the walls พิพิธภัณฑ์ไร้ขอบเขต ในโลกไซเบอร์ www.eternalegypt.org เว็บไซต์ที่ถ่ายทอดประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของอียิปต์ให้อยู่ในรูปแบบของมัลติมีเดียอินเทอร์แอ็กทีฟ ประกอบไปด้วยแอนิเมชั่นมัลติมีเดีย ไฟล์ภาพแบบ 360 องศา ภาพต่อเนื่องพาโนรามาของสถานที่สำคัญ ๆ ระบบจะแสดงสภาพแวดล้อมแบบเวอร์ชวลหรือภาพเสมือนจริง มีภาพสแกนของวัตถุ 3 มิติ ภาพเรียลไทม์จากสถานที่จริงผ่านกล้องเว็บแคมและภาพความละเอียดสูงกว่าพันภาพจากงานประติมากรรมโบราณ ให้บริการถึง 3 ภาษาคือ อังกฤษ ฝรั่งเศส และอียิปต์ สำหรับเทคโนโลยี ซอฟต์แวร์หัวใจหลักของโครงการนี้ก็คือระบบ Content Management System หรือ CMS ซึ่งเป็นเว็บบราวเซอร์แอพ พลิเคชั่นที่สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม IBM WebSphere Application Server และระบบฐานข้อมูล DB2 Universal Database ซึ่งทำงานภายใต้ระบบปฏิบัติการลินุกซ์ อยากสัมผัสหน้าตาสฟิงก์ในแบบที่ควรจะเป็นเมื่อ 2 พันปีที่ผ่านมา ไม่ต้องไปไกลถึงอียิปต์ เพียงแค่คลิก ออนไลน์สู่พิพิธภัณฑ์เสมือนจริงที่ www.eternalegypt.org (เดลินิวส์ พุธที่ 31 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





“ราชมงคล” สอนฟิสิกส์ผ่านเน็ต

ผศ.จรัส บุณยธรรมา อาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ ในฐานะผู้ริเริ่มทำโฮมเพจวิชาฟิสิกส์ เปิดเผยว่า การเรียนการสอนฟิสิกส์ในปัจจุบัน ที่ประสบปัญหาส่วนหนึ่งมาจากการประยุกต์ความรู้ที่แตกแขนงสาขาออกไปมากมายจนนับไม่ถ้วน ทำให้มองไม่เป็นปัญหาหลัก หรือแก่นแท้ แถมการเรียนในห้องก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงให้ทันกับยุคสมัย ผลก็คือผู้ที่เข้ามาศึกษาจะไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ ศึกษาไปเพื่อนำไปใช้กับอะไร การทำโฮมเพจ นี้ขึ้นมาก็เพื่อต้องการเป็นแหล่งคำตอบให้กับนักฟิสิกส์รุ่นใหม่ เริ่มกันตั้งแต่ การวัดกฎการเคลื่อนที่ของมวลความร้อน เสียง จนถึงบทประยุกต์ ทางไฟฟ้า คลื่นวิทยุ แสงอิเล็กทรอนิกส์ และนิวเคลียร์ ที่ทั้งนักเรียน นักศึกษา และบุคคลทั่วไป สามารถเข้ามาเรียนฟิสิกส์ได้ด้วยตนเองในระดับหนึ่ง อาจารย์จรัส อธิบายต่อว่า ในโฮมเพจฟิสิกส์ราชมงคล ถูกจัดระเบียบข้อมูลที่มีความหลากหลายให้เป็นหมวดหมู่ และจัดหัวข้อให้สอดคล้องกับการเรียนรู้ภายในห้องเรียนโดยเพิ่มเติมทฤษฎี บททดสอบและการทดลองในห้องเรียนได้เกือบทุกประเภท และมีการทดลองบางประเภท ที่ในห้องทดลองก็ไม่สามารถจัดสร้างเครื่องมือขึ้นมาได้ และมีลูกเล่นที่น่าสนใจคือ มีภาพเคลื่อนไหวประกอบซึ่งง่ายต่อความเข้าใจ ในห้องเรียนฟิสิกส์ออนไลน์ ถูกแบ่งการเรียนรู้ออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือ ฟิสิกส์ 1 ประกอบด้วย 18 บท และส่วนที่สองเป็นฟิสิกส์ 2 มี 15 บท ใช้เวลาในการเรียนแต่ละบทหนึ่งสัปดาห์ ผู้เรียนมีอิสระในการเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ หลังจากนักศึกษาเข้าใจในบทนั้นแล้วพวกเขาจะต้องทำบททดสอบ และสามารถแสดงความคิดเห็นผ่านทาง กระดานฟิสิกส์ราชมงคล โดยอาจารย์ผู้สอน จะคอยตรวจสอบความก้าวหน้าของระดับความคิด จากการบรรยายผ่านกระดานนี้ อาจารย์จรัส กล่าวด้วยว่า หลังเปิดให้บริการสอนมาแล้ว 2 เทอม ปรากฎว่านักศึกษาส่วนใหญ่ให้ความสนใจและกระตือรือร้นในการเรียนรู้มากขึ้น หากน้องๆ สนใจที่จะเรียนฟิสิกส์ให้สนุก เข้าใจง่าย ไม่น่าเบื่อ ก็คลิกเข้าไปที่ www.Truehits.net เลือกหมวดการศึกษา และคลิกซ้ำอีกทีที่ e-Learning ก็จะเจอโฮมเพจ “ราชมงคลสอนฟิสิกส์” (สยามรัฐ พุธที่ 31 ส.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ภูเขาไฟระเบิด-ต้นตอ"สัตว์ดึกดำบรรพ์"สูญพันธุ์

นักวิทยาศาสตร์ประจำศูนย์ศึกษาชั้นบรรยากาศแห่งชาติ ในเมืองโบลเดอร์ รัฐโคโลราโด สหรัฐ สร้างแบบจำลองคอมพิวเตอร์เพื่อไขปริศนาค้นหาสาเหตุที่ทำให้ "สิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์" ที่อาศัยอยู่ในโลกช่วงเชื่อมต่อระหว่างยุคเพอร์เมียนกับยุคไทรแอสสิคต้องสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ โดยผลการวิจัยก่อนหน้านี้พบว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวมีสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทร 95 เปอร์เซ็นต์สูญพันธุ์ไปจากโลก พร้อมๆ กับสิ่งมีชีวิตจำนวน 3 ใน 4 บนพื้นโลก ผลการวิเคราะห์แบบจำลองพบว่า ช่วงปลายยุคเพอร์เมียนโลกต้องเผชิญกับสภาวะ "โลกร้อน" เนื่องจากปรากฏการณ์ภูเขาไฟระเบิดที่เกิดขึ้นมานานหลายแสนปี ทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ลอยไปสะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศจำนวนมหาศาล ทำให้อุณหภูมิของโลกสะสมความร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนั้นสภาวะโลกร้อนยังทำให้น้ำในมหาสมุทรขาดออกซิเจน เป็นเหตุให้สิ่งมีชีวิตในทะเลลึกต้องสูญพันธุ์ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตในยุคเพอร์เมียนไม่ได้เกิดจากการที่อุกกาบาตพุ่งชนโลก (ข่าวสด พุธที่ 31 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ญี่ปุ่นคว้าแชมป์แข่งหุ่นยนต์เฉือน"จีน"

ผู้สื่อข่าวรายงานผลการแข่งขันหุ่นยนต์นานาชาติ ครั้งที่ 4 (ABU Asia Pacific Robot Contest 2005) ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งทีมหุ่นยนต์ออริจิ้น 3 วิทยาลัยการอาชีพนครศรีธรรมราช เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่ง ในหัวข้อพิชิตกำแพงเมืองจีน โดยทางโมเดิร์นไนน์เป็นสปอนเซอร์ร่วมกับกลุ่มบริษัท ฮอนด้าประเทศไทย ว่า ทีมมหาวิทยาลัยโตเกียวของประเทศญี่ปุ่นคว้าแชมป์ไปครองอย่างพลิกความคาดหมาย ขณะที่ทีมจีน 1 จากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีปักกิ่งได้อันดับ 2 ตามด้วยทีมจีน 2 จากมหาวิทยาลัยวิศวกรรมฮาร์บิน ซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดแข่งขันได้อันดับ 3 ส่วนทีมไทยแพ้ทีมจีน 2 รอบแข่ง 8 ทีมสุดท้าย ด้วยคะแนน 13 ต่อ 28 หลังจากที่ไทยชนะบังกลาเทศในรอบแรกอย่างเฉียดฉิวด้วยคะแนน 4 ต่อ 3 เนื่องจากหุ่นยนต์ของทีมไทยขัดข้อง กระทั่งเกิดควันไฟ อย่างไรก็ตาม ทีมไทยได้รับรางวัลออกแบบบวิศวกรรมยอดเยี่ยม (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 1 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th





เภสัชฯ ไฮเทคจ่ายยาทางไกล

บริษัทดูอัน เรเด ธุรกิจร้านขายยาในสหรัฐ เปิดเผยว่า เมื่อปีที่แล้วบริษัทได้ติดตั้งตู้คีออส 60 ตู้ภายในโรงพยาบาลและสำนักงานทั่วนิวยอร์ก เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถรับใบสั่งยา และคุยกับเภสัชกรที่อยู่ไกลอีกมุมหนึ่งของเมืองได้ทันที โดยปัจจุบันบริษัทกำลังลงนามให้สิทธิบริการนี้กับบริษัท ดรักแมกซ์ ธุรกิจร้านขายยาเกือบ 80 แห่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐ ด้วยการติดตั้งตู้คีออสเพิ่ม 5 ตู้เพื่อให้บริการลูกค้าภายในปีนี้ ตู้คีออสดังกล่าว ใช้เทคโนโลยีวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ทำให้ลูกค้าสามารถปรึกษาเภสัชกรได้ตลอดเวลาผ่านทางจอภาพ และยังสั่งพิมพ์ใบสั่งยาที่เภสัชกรจ่ายยาให้ได้ เพื่อนำไปรับยังร้านขายยาใกล้บ้านในภายหลัง หรือจะเลือกให้จัดส่งยามาที่บ้านก็ได้ โดยตู้คีออสจะส่งข้อมูลใบสั่งยาไปยังศูนย์บริการพิเศษ ซึ่งจะส่งข้อมูลต่อไปยังเภสัชกรท้องถิ่นที่พำนักอยู่ใกล้เคียงกับลูกค้า บริการดังกล่าวสร้างความสะดวกให้กับลูกค้ามากขึ้น เพราะพวกเขาไม่ต้องเสียเวลาไปพบเภสัชกร ลักษณะเดียวกับการใช้บริการธนาคารผ่านตู้เอทีเอ็มแทนที่จะต้องเดินทางไปที่ธนาคารโดยตรง อย่างไรก็ตาม ตู้คีออสนี้เปิดให้บริการเฉพาะในเขตนิวยอร์ก แต่คาดว่าอีกไม่นานจะแพร่กระจายไปทั่วสหรัฐ (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 2 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ตั้งศูนย์สถาปัตย์เว็บเซอร์วิส

นายประวิช รัตนเพียร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(วท.)กล่าวว่า ขณะนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) ได้ร่วมกับไมโครซอฟท์ในการก่อตั้งศูนย์สถาปัตยกรรมเว็บเซอร์วิสขึ้น เพื่อให้เป็นแหล่งรวมทักษะและคำปรึกษาทางด้านเทคโนโลยีเกี่ยวกับเว็บเซอร์วิส ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่มีมูลค่าทางตลาดมหาศาลถึง 23,000 ล้านบาท ในปี 2550 นายประวิชกล่าวว่า ในยุคที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่การแข่งขันทางเทคโนโลยีในระดับโลก สิ่งสำคัญประการหนึ่งของการก้าวสู่เวทีแข่งขันได้อย่างทัดเทียมระดับโลกนั้น นอกเหนือไปจากความพร้อมทางด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ แล้ว บุคลากรในประเทศเองถือเป็นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้เราก้าวไปถึงจุดนั้นได้ การก่อตั้งของศูนย์สถาปัตยกรรมเว็บเซอร์วิสแห่งนี้จะมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาบุคลากรดังกล่าว เพราะจะเป็นแหล่งรวบรวมความรู้และทักษะต่างๆ เกี่ยวกับเว็บเซอร์วิส (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 3 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





ข่าววิจัย/พัฒนา


เทคโนโลยีกำจัดขยะได้ประโยชน์แบบครบวงจร

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ร่วมกับ เทศบาลเมืองอ่างทอง เตรียมพร้อมรับปัญหาขยะล้น ด้วยการวิจัยและพัฒนา “เทคโนโลยีการจัดการขยะอินทรีย์แบบครบวงจร” ขึ้น และนำมาใช้ในชุมชนเทศบาล เพื่อบำบัดของเสีย ลดพื้นที่ฝังกลบ โครงการนี้มีวัตถุประสงค์หลัก คือแก้ปัญหาขยะอินทรีย์ ของชุมชนขนาดใหญ่ ด้วยการใช้ประโยชน์จากของเหลือทิ้ง โดยการนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ เช่นปุ๋ยอาหารสัตว์ ก๊าซชีวภาพและนำไปสู่การผลิตไฟฟ้า เพื่อใช้ได้ในบ้านเรือน เป็นการลดพื้นที่การฝังกลบ อีกทั้งยังทำให้สิ่งแวดล้อมในชุมชนดีขึ้น และที่สำคัญการจัดการดังกล่าว จะใช้เป็นระบบต้นแบบสาธิต การถ่ายทอดเทคโนโลยี ซึ่งสามารถที่จะขยายผลไปในพื้นที่อื่นต่อไปได้ น.ส.พิศมัย เจนวนิชปัญจกุล ผู้เชี่ยวชาญพิเศษและรักษาการผู้อำนวยการฝ่ายสิ่งแวดล้อมนิเวศวิทยาและพลังงาน กล่าวว่าทางโรงงานต้นแบบ สามารถรับปริมาณเศษผักได้ 750 กก./วัน จากนั้นนำไปผ่านขบวนการ ที่ทีมงานออกแบบคิดค้นซึ่งจะสามารถผลิตก๊าซชีวภาพได้ 17.5 ลูกบาศก์เมตร/วัน อีกทั้งมีองค์ประกอบของก๊าซมีเทน 50-60 เปอร์เซ็นต์ สามารถใช้เป็นก๊าซเชื้อเพลิงได้ และยังสามารถเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้าชนิดเครื่องยนต์ สันดาปภายในขนาด 10 กิโลวัตต์ เพื่อสำหรับจ่ายไฟฟ้าให้แก่บ้านพักอาศัย ที่มีความ ต้องการพลังงานไฟฟ้าไม่เกิน 3.37 กิโลวัตต์ชั่วโมง/วัน ได้นานถึง 6 ชม. ทีมงานได้สร้างระบบรองรับบำบัดน้ำเสีย ซึ่งในอนาคตจะทำปุ๋ยน้ำ เนื่องจากน้ำที่ได้มีไนโตรเจนสูง นอกจากนี้ ยังสร้างจุดสาธิตการกำจัดหลายๆแบบ เพื่อให้คนดูว่าเมื่อได้ขยะมาแล้ว สามารถนำมาแปรรูปผลิต ทั้งผักหมักเพื่อนำไปเป็นอาหาร สำหรับเลี้ยงเป็ดสำเร็จรูป ที่ทีมวิจัยได้ทำการศึกษาเก็บข้อมูล โดยผลที่ได้พบว่า เป็ดที่เลี้ยงด้วยผักหมักมีอัตราการโตดี เทียบเท่ากับการใช้อาหารสำเร็จรูป นอกจากนี้ ในโครงการยังมีการผลิตปุ๋ยชีวภาพ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอัดเม็ด ซึ่งสามารถนำไปปลูกต้นไม้ได้ ชุมชนเมืองใดสนใจรายละเอียดสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ฝ่ายสิ่งแวดล้อม นิเวศวิทยาและพลังงาน วว.บางเขน โทร.0-2577-1121-30 ต่อ 2117-8. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 29 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





คลื่นยักษ์สึนามิ26ธันวาฯ ซัดทั่วโลก-สุมาตรายันแคนาดา

ผลวิจัยเรื่องภัยธรรมชาติคลื่นยักษ์ "สึนามิ" ที่เกิดขึ้นเมื่อ 26 ธันวาคมปีก่อน นอกชายฝั่งเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย พบข้อมูลใหม่ว่า คลื่นสึนามินั้นซัดไปทั่วโลกอยู่หลายรอบในระดับความรุนแรงที่แตกต่างกัน เพราะปัจจัยด้านระยะทาง ลักษณะพื้นผิวใต้ทะเลลึก และทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่น วาซิลี่ ติตอฟ นักวิทยาศาสตร์ประจำห้องปฏิบัติการสิ่งแวดล้อมมหาสมุทรแปซิฟิกในนครซีแอตเติล สหรัฐอเมริกา หัวหน้าการศึกษาคลื่นยักษ์สึนามิในครั้งนี้เปิดเผยว่า คลื่นสึนามิความสูง 30 ฟุต ทำลายล้างชีวิตและทรัพย์สินในพื้นที่รอยชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียเป็นหลัก แต่เมื่อตรวจสอบข้อมูลจากทุ่นวัดระดับของคลื่นจากหลายจุดทั่วโลกและภาพถ่ายจากดาวเทียมพบว่า ความแรงของคลื่นนั้นแผ่กระจายไปทั่วโลก และคลื่นสึนามิยังพัดวนไปทั่วโลกก่อนจะสลายตัวไปอีกด้วย ติตอฟระบุว่า คลื่นสึนามิจากเกาะสุมาตราพัดไปไกลถึงเมืองคาลลัว ประเทศเปรู ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุ 18,350 กิโลเมตร โดยความสูงของคลื่นขณะซัดเข้าฝั่งสูงถึง 20 นิ้ว เช่นเดียวกับความสูงของคลื่นสึนามิที่ซัดเข้าชายฝั่งเมืองฮาลิแฟกซ์ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของแคนาดา ซึ่งอยู่ห่างจากศูนย์กลางสึนามิประมาณ 23,170 กิโลเมตร นอกจากนั้น คลื่นสึนามิขนาดเล็กยังซัดเข้าชายฝั่งของอีกหลายพื้นที่ทั่วโลกด้วยความสูงต่างกัน อาทิ เมืองโกเดียค รัฐอลาสกาของสหรัฐ 10.4 นิ้ว, แถบพอยต์เรเยส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ 15.6 นิ้ว, เมืองพอร์ตสแตนลีย์ หมู่เกาะฟอล์กแลนด์ 17.8 นิ้ว, เมืองนิวลีน อังกฤษ 2 นิ้ว และเมืองเบรสต์ ฝรั่งเศส 3.2 นิ้ว (ข่าวสด จันทร์ที่ 29 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





"หุ่นจิ๋ว"มุดเส้นเลือดส่งยาตรงจุด

แบรด เนลสัน และคณะนักวิทยาศาสตร์จากสถาบันเทคโนโลยีสวิส นครซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แถลงข่าวความสำเร็จขั้นแรกในการประดิษฐ์ "หุ่นยนต์จิ๋ว" ซึ่งมีขนาดเล็กเท่ากับเส้นผมคนเราเพียง 4 เส้น วัตถุประสงค์ในการพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้เป็นพาหนะสำหรับส่ง "ยา" เข้าไปยังอวัยวะที่ต้องการรักษาโดยตรง เนลสัน กล่าวว่า หุ่นยนต์จิ๋ว หรือ "ไมโคร-โบโบติก" รุ่นนี้เป็นเครื่องจักรที่ประกอบด้วยชิ้นส่วนของอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์และโลหะนิกเกิลเป็นหลัก มีขนาดเล็กมากจนแทบมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ทำให้มันสามารถเคลื่อนที่ลอยไปตามกระแสโลหิตและของเหลวที่ไหลผ่านดวงตาและหู โดยเมื่อหุ่นยนต์เดินทางไปถึงอวัยวะที่กำหนดไว้จะใช้คลื่นความถี่วิทยุ 3 กิโลเฮิร์ตซ์ สั่งให้หุ่นยนต์ปั๊มยาออกมา สำหรับวิธีการที่ทำให้หุ่นยนต์เคลื่อนที่ได้ไม่ได้เช่นแบตเตอรี่เหมือนกับหุ่นยนต์จิ๋วรุ่นอื่นๆ แต่ใช้แรงของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากภายนอกคอยควบคุมให้หุ่นยนต์มุ่งหน้าไปยังเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ ผลการทดลองบังคับให้หุ่นเคลื่อนตัวเดินหน้าและถอยหลังในท่อส่งน้ำขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางพอๆ กับเส้นผมมัดรวมกัน 10 เส้น ประสบผลสำเร็จด้วยดี (ข่าวสด จันทร์ที่ 29 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





“แจ๋ว” Robot ขาช็อป

“แจ๋ว” Robot เป็นแนวคิดของ นายณัฐพล จิระบวรภิญโญ (ณัฐ) นายวรพล ปัญจศรีประการ (เม้ง) และนายนาวิน แถบเจริญ (นา) จากภาควิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) โดยมี อ.เอื้อพงษ์ ใยเจริญ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา แจ๋ว” คือ หุ่นยนต์ (Robot) ระบบอัตโนมัติติดตามผู้ใช้ด้วยเซนเซอร์ ได้แนวความคิดมาจากการที่เราไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เกต แล้วต้องถือหรือเข็นสินค้าที่ได้เลือกซื้อมากพะรุงพะรัง ทำให้เกิดความไม่สะดวกในการที่จะเลือกซื้อสินค้าชิ้นต่อไป จึงทำให้เกิดความคิดที่จะนำหุ่นยนต์มาช่วยแบ่งเบาหรือทำการถือสินค้าแทนเราเอง และหุ่นยนต์ที่คิดขึ้นมานี้มีลักษณะคล้ายรถเข็นและสามารถที่จะเดินตามผู้ใช้งานไปได้เรื่อย ๆ โดยที่ไม่ชนสิ่งของต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งตัวผู้ใช้เอง โดยจะมีอุปกรณ์คอยควบคุมการทำงานของหุ่นยนต์ “แจ๋ว” คือตัวรีโมตคอนโทรล มีลักษณะคล้ายนาฬิกาแบบวัยรุ่น (เด็กแนว) สีดำไว้ติดกับข้อมือ “แจ๋ว” จะประกอบด้วยตัวรับ-ส่งสัญญาณอินฟราเรดใช้ในส่วนของค้นหาตำแหน่งหรือทิศทางของตัวผู้ใช้, อินฟราเรดหลบหลีกสิ่งกีดขวาง เพื่อไม่ให้หุ่นยนต์ชนกับสิ่งของต่าง ๆ และตัวผู้ใช้เอง, ตัวรับ-ส่งคลื่นเสียงอัลตร้าโซนิก (Ultrasonic) เพื่อทำการวัดระยะทางระหว่างตัวผู้ใช้กับตัวหุ่นยนต์, ส่วนมอเตอร์ที่ใช้งานนั้นจะมีตัว encoder เพื่อนำมาใช้เป็นสัญญาณ Feedback และใช้การควบคุมมอเตอร์แบบ Linear feedback control ซึ่งทำให้หุ่นยนต์สามารถเดินได้ระยะทางที่ถูกต้องมากขึ้น การควบคุมการทำงานทั้งหมดของตัวหุ่นยนต์จะใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ ตระกูล PIC16F877A ซึ่งไมโครคอนโทรลเลอร์ตัวนี้ใช้เขียนโปรแกรม ด้วยภาษา Basic มีเซนเซอร์เสียง (Ultrasonic) ใช้วัดระยะทางระหว่างตัวหุ่นกับผู้ใช้โดยเมื่อผู้ใช้มีการเรียกใช้งานหุ่นยนต์ (Call) หุ่นยนต์จะค้นหาตำแหน่งของผู้ใช้เอง วิธีการใช้งาน “แจ๋ว” Robot คือ ในตอนเริ่มเรียกครั้งแรก ผู้ใช้จะติดตัวรีโมตคอนโทรลไว้ที่แขนของผู้ใช้เอง เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวบอกตำแหน่งของผู้ใช้ให้กับหุ่น สำหรับในการเรียกใช้งานหุ่นยนต์นั้น ผู้ใช้จะต้องกดปุ่มจากอุปกรณ์ส่งสัญญาณที่ติดอยู่กับตัวของผู้ใช้ (ตัวรีโมตคอนโทรล) จากนั้นหุ่นยนต์ก็จะทำการเคลื่อนที่ไปหาผู้ใช้ พร้อมหลบหลีกสิ่งกีดขวางด้วยตัวเองอย่างอัตโนมัติ หุ่นยนต์จะรักษาระยะห่างระหว่างผู้ใช้กับหุ่นยนต์ไว้ เพื่อไม่ให้หุ่นยนต์เกิดการชน สัญญาณจากอุปกรณ์ภาคส่งที่ติดอยู่กับตัวของผู้ใช้จะทำการส่งสัญญาณกับหุ่นอยู่ตลอดเวลา เพื่อบอกตำแหน่งของผู้ใช้ให้หุ่นยนต์รู้และคำนวณหาระยะทาง ระยะทางระหว่างผู้ใช้กับหุ่นยนต์จะต้องไม่มีสิ่งกีดขวางกั้นอยู่ เนื่องจากแสง Infrared ไม่สามารถทะลุผ่านสิ่งกีดขวางได้ และควรรักษาระยะระหว่างผู้ใช้ กับ หุ่นยนต์ให้อยู่ในรัศมีของแสง Infrared และ คลื่น Ultrasonic เครื่องต้นแบบ ใช้แค่แบตเตอรี่ขนาด 12V และ 24V เท่านั้น ราคาต้นทุนประมาณ 10,000 บาท ผู้ สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อ.เอื้อพงษ์ ใยเจริญ ภาควิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โทร. 0-2470-9062, 70, 74. (เดลินิวส์ อังคารที่ 30 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





คนผมแดงหวั่นมะเร็งผิวหนัง ปฏิกิริยาไวกับรังสียูวี

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าคนผมแดงล่อแหลมที่จะเป็นมะเร็งผิวหนังมาก กว่าคนผมสีอื่น เนื่องจากมีสารเคมีซึ่งมีปฏิกิริยากับรังสีอัลตราไวโอเลตต่างกัน คณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยดุ้ก รัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐฯ กล่าวว่า ตัวการของเรื่องอยู่ที่สารเมลานิน ที่มีสีน้ำตาลเข้มในเซลล์ผิวหนัง มีหน้าที่ดูดกลืนรังสีที่เป็นอันตรายจากแสงอาทิตย์ ทำให้ผมสีเหลืองมีปฏิกิริยาทางเคมีต่างจากผมสีดำ ความแตกต่างกันเช่นนี้ ก็คงเป็นสาเหตุแบบที่ผมสีแดงจะไหม้ และแพ้แดดง่าย ศาสตราจารย์จอห์น ไซมอน หัวหน้าคณะ ได้เสนอเรื่องนี้ ต่อที่ประชุม สมาคมเคมีแห่งอเมริกา พร้อมกับแจ้งว่าได้ใช้ กล้องจุลทรรศน์พิเศษ และเครื่องฉายแสงเลเซอร์ รังสีอัลตราไวโอเลต ศึกษาปฏิกิริยาของสาร ประกอบหลักของสารเมลานินในเส้นผมสีต่างๆ พบว่าผมสีแดงจะมีปฏิกิริยาไวกว่าผมสีดำ เขายังแนะนำให้คนที่มีผมสีแดงและผิวสีอ่อน ให้หลีกเลี่ยงแดด โดยเฉพาะระวังอย่าตากแดดตอนเที่ยงๆ. (ไทยรัฐ พุธที่ 31 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ยกกาแฟเหนือกว่าผักผลไม้ อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ

นักวิจัยของสหรัฐฯ กล่าวว่า กาแฟเป็นแหล่งของโมเลกุล ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์และดีเอ็นเอเสื่อมลงตามสภาพ ขัดขวางโรคมะเร็งและโรคหัวใจกล้ำกลายใหญ่ที่สุด มีสารต้านอนุมูลอิสระที่บำรุงร่างกายยิ่งกว่าผักและผลไม้ ศาสตราจารย์โจ วินสัน หัวหน้านักวิจัยของมหาวิทยาลัยสแครนตัน กับคณะ ได้ศึกษาโดยการตรวจหาปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระ ตามอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ 100 ชนิด รวมทั้งปริมาณการบริโภคของคนชาติต่างๆ เท่าใดด้วย เขากล่าวบอกว่า กาแฟเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระใหญ่ ตามด้วยชาดำ กล้วยหอม ถั่วตากแห้ง และข้าวโพด คนอเมริกันดื่มกาแฟทุกวันมากกว่าชาติอื่น เป็นจำนวนเกินกว่าครึ่งของทั้งหมด ในขณะที่คนอังกฤษดื่มกัน 47% ดังนั้น ชาวสหรัฐฯจึงได้สารต้านอนุมูลอิสระจากกาแฟมากกว่าอาหารอย่างอื่นหมด แต่เขาย้ำเตือนว่าไม่ควรจะดื่มกาแฟกันเกินกว่าวันละ 1-2 ถ้วย และจะต้องอย่าทิ้งการกินผักและผลไม้ไปเสีย. (ไทยรัฐ พุธที่ 31 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





แยกสิ่งปลอมปนข้าวสารด้วยไฟฟ้าสถิต

ธนัต ลิ้มมั่ง,วรพงษ์ ศิลาธรรมและสาธิต เกตุนาค จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ วิทยาเขตสุพรรณบุรี รวมเอาทฤษฎีด้านวิศวกรรมไฟฟ้าแรงสูง, ด้านฟิสิกส์ และหลักการเกิดไฟฟ้าสถิต มาประดิษฐ์ เครื่องคัดแยกสิ่งแปลกปลอมออกจากข้าวสารได้เป็นผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ โดยมีท่านอ.ประมุข อุณหเลขกะ และ อ.พงษ์เทพ เกิดดอนแฝก เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาตลอดโครงการ หลักในการคัดแยกจะอาศัย เครื่องกำเนิดไฟฟ้า ส่งไฟฟ้ากระแสตรงไปยังตัวเครื่องแยก ที่มีแผ่นเพลต 2 แผ่น ระหว่างแผ่นเพลตจะมีสนามไฟฟ้า เมื่อข้าวสารถูกเทลงด้านบนตัวเครื่องให้ไหลผ่านสนามไฟฟ้า สิ่งที่ปนมากับข้าวสารจะถูกแยกออกให้ไหลออกคนละช่องกับข้าวสารที่ถูกคัดแยกแล้ว จากการทดสอบประสิทธิภาพแล้วพบว่า เครื่องจะทำงานได้ดีที่สุดสำหรับแยกพวก เศษเมล็ดหญ้า มอด ที่แรงดันไฟฟ้า 42 กิโลโวลล์ และต้องปรับมุมเอียงของแผ่นเพลตที่ 35 องศา ระยะห่างเท่ากับ 11 เซนติเมตร ซึ่งประสิทธิภาพในการคัดแยกมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ เครื่องสามารถทำงานได้ 1 ชั่วโมงต่อข้าว 1 เกวียน เนื่องจากน้ำหนักของสิ่งปลอมปนแต่ละอย่างมีน้ำหนักไม่เท่ากัน ดังนั้น ในการคัดแยกสิ่งปลอมปนที่มีน้ำหนักต่างกันมากๆ ในการใช้แรงดันไฟฟ้าและระยะห่างของแผ่นเพลตย่อมจะไม่เท่ากันเพื่อให้การทำงานของเครื่องมีประสิทธิภาพมากที่สุด เครื่องนี้สามารถปรับระยะห่างของเพลส และแรงดันไฟฟ้าได้ เพื่อให้เหมาะสมกับสิ่งแปลกปลอมที่ต้องการแยก เช่นถ้าสิ่งที่ปนมาในข้าวสารนั้นเป็นสิ่งที่มีน้ำหนักมากกว่าพวกเศษเมล็ดหญ้า หรือพวกมอด ก็ต้องปรับแรงดันไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 42 กิโลโวลล์ ค่อยๆ ปรับขึ้นจนได้อัตราที่สนามไฟฟ้าสามารถยกสิ่งปลอมปนนั้นแยกออกจากข้าวสารได้ เป็นต้น และเครื่องยังสามารถนำไปประยุกต์เพื่อแยกสิ่งปลอมปนในวัสดุอื่นๆ ได้อีกด้วย ผู้ใดสนใจหรือมีข้อสงสัยสามารถสอบถามไปได้ที่ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม สาขาเทคโนโลยีไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ วิทยาเขตสุพรรณบุรี หมายเลขโทรศัพท์ 0-3554-4301-3 หรือ 0-6122-3868 (สยามรัฐ พุธที่ 31 ส.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





เปิดตัวผิวเทียม"อี-สกิน" ประสาทสัมผัสหุ่นยนต์

"ผิวหนังอิเล็กทรอนิกส์" (อี-สกิน) ซึ่งจะนำไปใช้สร้างเป็นผิวหนังให้กับ "หุ่นยนต์" นักวิจัยระบุว่า อี-สกินสามารถทำให้หุ่นยนต์มีประสาทสัมผัสรับรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นบริเวณผิวหนัง อาทิ ความร้อนของแสงที่ตกกระทบมาโดน สภาพอากาศร้อน-เย็น และแรงกดจากการสัมผัส ที่สำคัญวัสดุในการผลิตอี-สกินมีราคาไม่แพงมากนัก และถ้าพัฒนาเสร็จสมบูรณ์อี-สกินจะยืดหยุ่นได้เหมือนผิวหนังมนุษย์ และอาจพัฒนาต่อไปเพื่อใช้ผลิตเป็นผิวหนังเทียมช่วยเหลือผู้ป่วยจากเหตุไฟคลอก (ข่าวสด พุธที่ 31 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





‘ข้าวไทยให้ไอคิว’ อาหารที่ทั้งโลกอยากขอบคุณ

สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลจับมือกับ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการปรับปรุงพันธุ์ ข้าวแนวอณูวิธีและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ มหาวิทยาลัยเกษตร ศาสตร์ ได้ปรับปรุงพันธุ์ข้าวจนมีธาตุเหล็กได้สำเร็จแล้ว และกำลังต่อยอดเป็นอาหารการกินในรูปแบบ ใหม่ ที่ไม่จำเจเฉกเช่นข้าวอีกต่อไป ดร.รัชนี คงคาฉุยฉาย อาจารย์จากสถาบันวิจัยโภชนา การ มหิดล ในฐานะผู้วิจัยเรื่อง “ข้าวไทยปรับปรุงพันธุ์ เพื่อประ โยชน์เชิงสุขภาพ” เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการเกิดโครงการนี้ให้ฟังว่า เนื่องมาจากปัญหาขาดธาตุเหล็กในคนไทย รวมถึงคนทั้งโลกด้วยที่ประสบปัญหาเหล่านี้ ทั่วโลกกำลังตื่นตัวกับปัญหานี้ ประชากรโลก 4 พันล้านคน หรือประมาณ 66 เปอร์เซ็นต์ป่วยเป็นโรคโลหิตจาง ร่างกายเมื่อขาดธาตุเหล็ก ทำให้เป็นโรคโลหิตจาง ภูมิคุ้มกัน ต่ำ โดยเฉพาะในเด็กและหญิงมีครรภ์ ทำให้เสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด ทารกน้ำหนักแรกคลอดต่ำ ในทารกโดยเฉพาะในช่วงอายุ 0-1 ขวบ ถ้าได้รับธาตุเหล็กไม่พอ จะทำให้พัฒนาการทางสมองลดลงและ เกิดผลเสียด้านการเรียนรู้อย่างถาวรส่งผลให้ความสามารถในการเรียนรู้ ด้อยกว่าเด็กปกติ ขยับขึ้นมาเมื่อก้าวสู่วัยเรียน เด็กได้รับธาตุเหล็กน้อย ทำให้สมาธิสั้น จึงเป็นข้อสังเกตว่า ไอคิวต่ำในเด็ก ธาตุเหล็กมีผล ระดับผู้ใหญ่ร่างกายอ่อนแอ ภูมิต้านทานต่ำ ทำให้เพิ่มอัตราการ ตายจากโรคติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่าย ธาตุเหล็กมาจากอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ธาตุเหล็กที่อยู่ในสัตว์อยู่ในรูปฮีม (heme-iron) ซึ่ง ร่างกายสามารถดูดซึมธาตุไปใช้ได้ค่อนข้างมากกว่า ในขณะที่ธาตุเหล็ก ที่อยู่ในพืชที่ไม่ใช่ (non-heme- iron) ร่างกายไม่สามารถดูดซึมธาตุ เหล็กไปใช้ได้เพราะมีพืชที่ขัดขวาง คุณค่าทางโภชนาการ เช่น ไฟเตท แทนนิน หลังจากเลือกสรรพันธุ์ข้าวกว่า 200 สายพันธุ์ จนพบว่าเมื่อนำข้าว พันธุ์หอมมะลิ 105 ผสมพันธุ์กับข้าวจ้าวหอมนิล โดยวิธีธรรมชาติ ปรากฏว่า ลูกที่ออกมาได้ข้าวที่มีคุณค่าอาหารสูงกว่าข้าว ทั่วไป เป็นสิ่งที่ยังไม่มีประเทศไหนทำสำเร็จ แต่คนไทยทำได้ ข้าวปรับปรุงพันธุ์ใหม่นี้ ในหนึ่งต้นมีเมล็ดสีขาวและสีดำ อยู่ในรวงข้าวเดียวกันโดยข้าวถ่ายทอดจุดเด่นของพ่อแม่ของข้าวแต่ละตัว ปรับปรุงพันธุ์จนให้ความนุ่มความหอมเหมือนกับข้าวสวยทั่วไป ในตัวข้าวยังมีประ สิทธิภาพในการ ต่อต้านอนุมูลอิสระ มีวิตามินเอสูง มีธาตุเหล็กตามวัตถุประสงค์ และยังพบคุณค่าวิเศษ ข้าวปรับปรุงพันธุ์ยังมีโมเมก้า ทรี น้ำมันในข้าวที่มีวิตามิน อีสูงด้วย (เดลินิวส์ พฤหัสที่ 1 ก.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





กากตะไคร้ไทยๆ ทำกระดาษ ไอเดียอนุรักษ์ธรรมชาติ

นางสาวกมลชนก อยู่นันท์ นักศึกษาปริญญาตรี คณะคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร วิทยาเขตโชติเวช ที่มีอาจารย์กณวรรธน์ เอียดนุช เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา มีความคิดที่จะนำต้นคะไคร้ มาทำเป็นกระดาษ นอกจากใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น ทำเครื่องเทศ ทำสมุนไพร โดยใช้กากตะไคร้ วัตถุดิบที่เหลือใช้จากอุตสาหกรรมการผลิตน้ำตะไคร้กระป๋อง จากการศึกษาพบว่า ตะไคร้มีคุณสมบัติเหมาะสมในการผลิตกระดาษ เพราะเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว เส้นใยจึงมีความเหนียว นางสาวกมลชนกยังได้พัฒนากระดาษจากกากตะไคร้ให้มีความสวยงาม น่าใช้ยิ่งขึ้น มี 5 รูปแบบคือ สีธรรมชาติ การฟอกขาว การย้อมสี การมัดย้อม และการตกแต่งด้วยดอกไม้,ใบไม้ ในขั้นตอนการผลิตคือ นำกากต้นตะไคร้ที่เหลือใช้จากการผลิตอุตสาหกรรมอื่นๆ มาแช่โซดาไฟ จากนั้นนำมาต้มเยื่อด้วยโซดาไฟ นำเยื่อที่ต้มแล้วมาล้างน้ำ นำเข้าเครื่องตีเส้นใย ช้อนกระดาษสีที่เป็นธรรมชาติขึ้นมา ผึ่งลมตากแห้ง ลอกออกจากกรอบ ก็จะได้กระดาษสาจากกากต้นตะไคร้สีธรรมชาติ หากต้องการให้เป็นสีขาวก็นำมาฟอกขาวด้วยไฮโดรเจนเปอร์ออกไชด์ ล้างน้ำให้สะอาด ถ้าต้องการตกแต่งด้วยใบไม้,ดอกไม้ ก็นำมาใส่ลงไปในขั้นตอนนี้ แล้วนำไปผึ่งลมหรือตากแดดให้แห้ง จากนั้นแกะออกจากกรอบ ก็จะได้กระดาษสำเร็จรูปออกมา หากต้องการสีสันและลวดลายที่แตกต่างออกไป ก็นำกระดาษที่ได้มาย้อมสี หรือทำการมัดย้อม จะได้กระดาษสาจากกากต้นตะไคร้ที่สวยงาม กระดาษสาที่ผลิตด้วยมือจะมีลวดลายที่สวยงาม เป็นที่ยอมรับของผู้ใช้ตลอดมา นอก จากนั้นกระดาษสายังมีความเหนียวนุ่ม ดูดซึมน้ำได้ดี ทนต่อมอดแมลง จึงมีผู้นำไปดัดแปลงใช้งานอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะงานหัตถกรรมผลิตภัณฑ์จากกระดาษสาได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ เป็นสินค้าติดหนึ่งในสิบของสินค้าหัตถกรรมส่งออกในปี 2534 ทำรายได้เข้าประเทศหลายสิบล้านบาท ผู้สนใจติต่อได้ที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร วิทยาเขตโชติเวช อาจารย์กณวรรธณ์ เอียดนุชหมายเลขโทรศัพท์ 0-2282-8531-2 , 0-2281-0545 (สยามรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 1 ก.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





อาจารย์มรภ.เพชรบูรณ์ ประดิษฐ์กระดาษสา"ข้าวโพด"

นายนุทิศ เอี่ยมใส รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะเทคโนโลยีการเกษตร โปรแกรมวิชาออกแบบผลิตภัณ์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ จึงมีแนวคิด ว่า หากมีการนำต้นข้าวโพดมาใช้ประโยชน์ก็จะได้แหล่งวัตถุดิบที่ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกลเลย และได้สังเกตว่า ต้นข้าวโพดมีลักษณะคล้ายต้นอ้อยที่นำไปทำเยื่อกระดาษได้ จึงได้ร่วมกับนักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะเทคโนโลยีการเกษตร คิดค้นและทดลองรวมทั้งประดิษฐ์อุปกรณ์ในการทำเยื่อกระดาษจากต้นข้าวโพด จนกระทั่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มากมายหลายอย่าง อาทิ บรรจุภัณฑ์ กรอบรูป ตุ๊กตา โคมไฟ ฯลฯ ขั้นตอนของการทำเยื่อกระดาษจากต้นข้าวโพด ขั้นแรกนำเอาต้นข้าวโพดที่ได้ทำการเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วนำมาหั่นให้ขนาดพอประมาณ จากนั้นนำไปแช่น้ำประมาณ 24 ชั่วโมง แล้วก็ทำการปั้นล้างเพื่อที่จะเอาสิ่งสกปรกออก หลังจากนั้นก็เอาไปต้ม โดยใส่โซดาไปลงไปด้วยในอัตราโดยน้ำหนัก 1 ต่อ 10 ต้มประมาณ 3 ชั่วโมง เพื่อนำเอาสารที่จะเป็นอุปสรรคในการประสานเนื้อเยื่อออก แล้วนำไปล้างจากนั้นก็นำเข้าในเครื่องปั่นเยื่อ เพื่อตีเยื่อให้ละเอียด ตามที่เราต้องการว่าจะให้เป็นเส้นใยยาวหรือเส้นใยสั้น ถ้าต้องการที่จะฟอกเส้นใยให้ขาวขึ้นก็สามารถใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 10 % หรือ 1 ต่อ 10 โดยน้ำหนัก ใช้ความเข้มข้นของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 60% เพื่อที่จะใช้ฟอกขาว ส่วนสาเหตุที่ไม่ใช้คลอรีนในการฟอกขาวเนื่องจากว่าคลอรีนเป็นสารต้องห้าม เพราะในอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษนั้นห้ามใช้คลอรีนในการฟอกขาวโดยเด็ดขาด เนื่องจากจะไปทำลายสิ่งแวดล้อม เมื่อทำการฟอกขาวเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะนำไปล้างในถังปั่นล้าง ซึ่งในขั้นตอนนี้หากต้องการที่จะได้เยื่อกระดาษเป็นสีอะไรก็สามารถเติมสีตามต้องการ เสร็จแล้วเก็บเยื่อเอาไว้ใช้ได้ และถ้าหากต้องการที่จะให้เยื่อกระดาษมีความนุ่มก็สามารถใช้สารที่ใช้ในการปรับเส้นใยให้นุ่ม ขั้นตอนต่อไปก็คือการนำเยื่อกระดาษที่ได้นำมาทำเป็นแผ่น ซึ่งก็มีอยู่ 2 วิธีคือ แบบแตะและแบบช้อน แบบช้อนก็คือนำเยื่อกระดาษที่ได้ไปกวนกับน้ำในถังแล้วใช้ตระแกรงที่เตรียมไว้ลงไปช้อนเอาเยื่อกระดาษ หนาหรือบางตามต้องการ แล้วนำไปตากผึ่งลมให้แห้ง วิธีนี้ข้อดีก็คือสามารถทำได้รวดเร็ว อีกวิธีคือแบบแตะนั้นก็จะใช้ลักษณะคล้ายกับการช้อนแต่จะมีการใช้มือทำการเกลี่ยเพื่อให้ได้กระดาษบางหรือหนาตามต้องการ แต่วิธีนี้จะสามารถตกแต่งเยื่อกระดาษให้มีลวดลายได้นั่นก็คือสามารถนำเอาเยื่อกระดาษที่มีเส้นใยยาว ผสมกับเยื่อที่มีเส้นใยสั้น หรือเอาใบไม้ ดอกไม้ หรือเศษวัสดุต่างๆ มาตกแต่งให้เป็นลวดลายตามที่ต้องการได้ เสร็จแล้วก็นำไปผึ่งลมให้แห้ง ก็จะได้เยื่อกระดาษที่มีความสวยงามตามต้องการ สนใจติดต่อได้ที่ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ (ข่าวสด พฤหัสบดีที่ 1 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





คิดวัคซีนปราบไข้จับสั่นได้ เป็นเชื้อโรคเก่งกาจปรับตัวดื้อยา

คณะนักวิทยาศาสตร์นานาชาติร่วมมือกัน ใกล้จะผลิตวัคซีนป้องกันโรคไข้จับสั่น ซึ่งมีชาวโลกติดเชื้ออยู่มากถึง 400 ล้านคน และเด็ดชีวิตมนุษย์โดยเฉพาะเด็กๆ ไปปีละ 2 ล้านคนทุกปี หัวหน้าคณะนักวิจัยผู้ปฏิบัติการ นักชีววิทยาเอเดรียน แบคเชเลอร์ คณะเภสัชกรรมมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ กล่าวว่า “สาเหตุที่โรคนี้ คร่าชีวิตมนุษย์ลงได้ปีละมากๆ เพราะความเก่งกาจของตัวเชื้อปรับตัวให้ต้านฤทธิ์ยา mju ใช้กันอยู่ในปัจจุบันได้ ตัวเชื้อโรคเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความซับซ้อนอย่างสูง โดยได้ผ่านขั้นตอนในวงจรชีวิตมาหลายขั้น จนสามารถรอดพ้นจากระบบภูมิคุ้มโรค ทำให้การคิดทำวัคซีนทำได้ยาก” วัคซีนป้องกันโรคนี้ที่คิดประดิษฐ์กันขึ้นได้ ส่วนใหญ่เพียงแต่ข่มเชื้อโรคลงได้ชั่วคราวเท่านั้น วัคซีนขนานสมบูรณ์จะต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง โดยที่แต่ละตัวจะต้องสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้ด้วยตัวเอง. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 2 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





ถ่านวิทยาศาสตร์ฝีมือคนไทย...ส่งขายเมืองนํ้ามัน

อ.พีระ เลี่ยมเจริญ นายทหารสังกัดกรมการทหารสื่อสาร ถนนพระราม 5 แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กทม. เป็นผู้หนึ่งที่ได้ทำการคิด ประดิษฐ์ถ่านวิทยาศาสตร์ผสมเคมีให้เป็นตัวเชื้อเพลิงขนาดเล็ก สำหรับใช้ในครัวเรือน ที่ให้พลังงานเทียมเท่ากับถ่านก้อนขนาดใหญ่ และใช้ได้นานถึง 90 นาที ถ่านชนิดนี้ผลิตจากวัตถุดิบ ที่เป็นวัชพืชทั่วไป 2 กลุ่มคือจาก ไม้เนื้ออ่อน เช่น ผักตบชวา หญ้าคา ฟางข้าว ซังข้าวโพด ขี้เลื่อยทางมะพร้าวต้นปาล์ม ต้นอ้อ ฯลฯ และ ไม้เนื้อแข็ง อย่างพวกกะลามะพร้าว กะลาปาล์ม แกลบและไม้เนื้อแข็งอื่นๆ ทุกชนิดทุกประเภท นำเอาวัชพืชทั้ง 2 กลุ่มนี้ไปเผาให้เป็นผงถ่าน แล้วนำมาบด ให้ละเอียดแล้ว ก็นำมาผสมกันกับเคมีอาหารอีก 3 ชนิด โดยไม่มีการนำเคมีเทคนิคหรือเคมีที่ผลิต จากกระบวนการปิโตรเคมีแต่อย่างใด เมื่อผสมกันจนเข้าเนื้อแล้วก็นำไปขึ้นรูปอัดแท่งตามขนาดที่ต้องการ ขนาดที่ใช้กันทั่วๆไปก็กว้าง 25 มิลลิเมตร ยาว 35 มิลลิเมตร และหนา 12 มิลลิเมตร เท่านั้น จากนั้นก็เข้าสู่วิธีการนำเข้าไปอบไล่ความชื้นจนแห้ง แล้วทำการเคลือบด้วยสีประเภทสคลีนเพ็นติ้งอิ้งเพียงบางๆ แล้วอบซ้ำด้วยหลอดอินฟราเรด จากนั้นก็นำไปใช้งานได้ ถ่านวิทยาศาสตร์ก้อนนี้ สามารถติดไฟได้ภายใน 1 นาที ให้พลังงานความร้อนสูงมาก และจะไม่ดับกลางคัน ไม่มีกลิ่นหรือควันใดๆรบกวน แม้จะนำไปใช้ ภายในห้องปรับอากาศ ไม่ทำ ให้แสบจมูกหรือระคายเคืองสายตา เหมือนถ่านอัดแท่งทั่วๆไป ระหว่างเผาไหม้ ไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม และสามารถเก็บไว้ใช้งานได้นานกว่า 5 ปี โดยไม่เสื่อมคุณภาพ จับต้องไม่สกปรกเปรอะเปื้อนมือ ปัจจุบันถ่านวิทยาศาสตร์ก้อนนี้ ยังไม่แพร่หลายในเมืองไทย แต่ว่าได้นำไปเปิดตัว ที่ตะวันออกกลาง คนอาหรับรู้จักถ่านวิทยาศาสตร์ ในชื่อว่า “อาหรับโคล์” ติดต่อขอความรู้และข้อมูลเพิ่มเติมได้ 149/191-105 (รร.ส.สส.) ถ.พระราม 5 แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กทม.10300 โทร.0-9715-5100 (นอกเวลาราชการ). (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 2 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





ม.เชียงใหม่ดึงนาโนฯทำ "จอแบน" โทรศัพท์

รศ.ดร.สุคนธ์ พานิชพันธ์ ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หัวหน้าโครงการวิจัยเรื่อง "พอลิเมอร์นำไฟฟ้าและวัสดุผสมท่อนาโนคาร์บอน เพื่อให้เป็นจอภาพชนิดแบน" ซึ่งได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยจากโครงการสมองไหลกลับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จำนวน 10.49 ล้านบาท ระยะเวลา 2 ปี เปิดเผยว่า สำหรับการวิจัยในช่วงปีแรกได้ประสบความสำเร็จ ในการศึกษาเตรียมพอลิเมอร์นำไฟฟ้าชนิดใหม่แบบ OLED และยื่นจดสิทธิบัตรซึ่งถือเป็นทรัพย์สินทางปัญญาร่วมกันระหว่าง สวทช. กับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งมี รศ.ดร.สุคนธ์ และนักศึกษาเป็นผู้ประดิษฐ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสร็จสิ้นโครงการวิจัยคาดว่าจะได้สิทธิบัตรเพิ่มอีก 2 ฉบับ รวมถึงสิทธิบัตรที่เป็นจอภาพชนิดแบนด้วย นอกจากนี้ ผลงานวิจัยพอลิเมอร์นำไฟฟ้าชนิดใหม่ ยังได้รับการนำเสนอในงานประชุมนานาชาติ The International Conference on Advanced Materials and Technology, ICMAT 2005 เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม ณ ประเทศสิงคโปร์ ด้วย และนักศึกษาที่ร่วมทีมวิจัยสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทไปแล้ว 1 คน และช่วงปีหน้าจะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกอีก 1 คน ซึ่งเกือบจะเป็นไปตามเป้าหมายโครงการ ที่ต้องการผลิตนักศึกษาปริญญาโท 2 คน ปริญญาเอก 2 คน สำหรับงานวิจัยนี้เป็นความร่วมมือระหว่างนักวิจัยไทยที่ทำงานในสหรัฐ และนักวิจัยชาวอเมริกัน กับคณะวิจัยจากห้องปฏิบัติการนาโนวิทยา และหน่วยวิจัยเครือข่ายพอลิเมอร์ทางการแพทย์ของ สวทช. คณะวิทยาศาสตร์ ม.เชียงใหม่ โดยนักวิจัยจากสหรัฐจะมาถ่ายทอดความรู้ เทคโนโลยีที่ทันสมัย รวมทั้งการปรึกษาหารือแนวทางการทำวิจัย การเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาร่วมวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาด้วย โดยผลงานวิจัยจอภาพชนิดแบนนี้ ได้ทำในระดับห้องปฏิบัติการวิจัย เป็นการศึกษาถึงกระบวนการสร้างพอลิเมอร์ที่เป็นเทคโนโลยีของไทยเอง ดังนั้น ผลงานที่ออกมาจึงมีขนาดเล็กเหมาะสำหรับโทรศัพท์มือถือ ส่วนการนำไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์จะต้องใช้เวลาพัฒนาเพิ่มอีก 2-3 ปี อย่างไรก็ตาม เมื่อไทยมีเทคโนโลยีของตนเองจะสามารถสร้างจอภาพชนิดแบน สำหรับโทรทัศน์และอุปกรณ์อื่นๆ ที่ขนาดใหญ่ เช่นเดียวกับเทคโนโลยีจอภาพของซัมซุง เพียงแต่ใช้พอลิเมอร์นำไฟฟ้าต่างชนิดกับที่ทำวิจัยอยู่ ส่วนพอลิเมอร์นำไฟฟ้าชนิดใหม่ที่พัฒนาขึ้นนี้ ได้มาจากการปรับปรุงขั้นตอนการสังเคราะห์พอลิเมอร์ทั่วไป และใช้ระบบตัวทำละลายใหม่ นอกจากนี้ยังสังเคราะห์โคพอลิเมอร์ด้วย และในการศึกษาพบว่าเมื่อเติมคาร์บอนนาโนทิว จะสามารถป้องกันการสลายตัวโดยก๊าซออกซิเจนในอากาศ ช่วยเพิ่มอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ลดการใช้แหล่งพลังงาน ซึ่งเป็นปัจจัยจำเป็นสำหรับจอภาพชนิดแบนขนาดมือถือ นอกจากนี้ พอลิเมอร์และโคพอลิเมอร์ที่สังเคราะห์ขึ้น จะเพิ่มการเปล่งแสงไปในทิศทางที่มีพลังงานสูงขึ้น และเพิ่มการละลายได้ของคาร์บอนนาโนทิว ในสารละลายอินทรีย์ ซึ่งช่วยในการผลิตฟิล์มบางได้สะดวกขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 2 ก.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





สเต็มเซลล์ดามกระดูกแข็ง เทคโนโลยีใหม่เลิกใช้เหล็ก

เมื่อวันที่ 1 กันยายน ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี มีการประชุมวิชาการกลุ่มภารกิจด้านสนับสนุนงานบริการสุขภาพ ครั้งที่ 3 ประจำปี 2548 มีการอภิปรายเรื่อง "สเต็มเซลล์ ความคาดหวังของมนุษยชาติ" โดย ศ.ดร.อานนท์ บุญยะรัตเวช เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ศ.ดร.อานนท์กล่าวว่า การใช้สเต็มเซลล์เพื่อการรักษาโรคนั้น เป็นปัญหาทางจริยธรรม เพราะเป็นการท้าทายธรรมชาติด้วยการสร้างเนื้อเยื่อในห้องปฏิบัติการ ดังนั้นการจะสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาได้จึงต้องทราบกระบวนการพัฒนาของเซลล์เพื่อเป็นเนื้อเยื่อทุกขั้นตอน เพื่อให้สามารถพัฒนาเซลล์ในระดับเนื้อเยื่อขึ้นมาเป็นการท้าทายธรรมชาติขั้นสูงมาก เพราะเป็นการเอาธรรมชาติมาประกอบกับการกระทำของมุนษย์ อย่างไรก็ตามสเต็มเซลล์นั้นมีที่มาแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือมาจากเอ็มบริโอ หรือตัวอ่อนของมุนษย์ (Embyonic Stem Cell) ซึ่งตามมาตรฐานการวิจัยของนานาชาติจะใช้ตัวอ่อนที่อายุไม่เกิน 14-21 วันหลังปฏิสนธิ และจากเซลล์ต้นกำเนิดของผู้ใหญ่ (Adult Stem Cell) ประโยชน์ของสเต็มเซลล์กับการรักษาพยาบาล มี 3 ประเด็นหลัก คือการรักษาด้วยวิธีเซลล์บำบัด การสร้างเนื้อเยื่อเพื่อการเปลี่ยนเนื้อเยื่อ และการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ แต่อย่างไรก็ตามการวิจัยและพัฒนาเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนถ่ายอวัยวะนั้นอาจจะต้องใช้เวลานานพอสมควร เพราะกระบวนการพัฒนาค่อนข้างยาก อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา วช.ประสบความสำร็จในการวิจัยเพื่อให้สเต็มเซลล์พัฒนาไปเป็นกระดูกอ่อน และขณะนี้มีการวิจัยเพื่อพัฒนาสเต็มเซลล์ให้เป็นกระดูกแข็ง (Osteoblast) ซึ่งจะช่วยรักษาผู้ป่วยกระดูกหักจากอุบัติเหตุ และข้อเข่าเสื่อม ประมาณปลายปี 2549 ทั้งนี้ การรักษากระดูกหักจากอุบัติเหตุในปัจจุบันเป็นการรักษาโดยการใช้เหล็กดามกระดูกแต่ในการรักษาด้วยวิธีการใช้สเต็มเซลล์จะใช้พลาสติคพิเศษดามไว้ จากนั้นใช้สเต็มเซลล์ใส่ไปในจุดที่จะเชื่อมกระดูกที่หัก ซึ่งสเต็มเซลล์จะพัฒนาไปเป็นกระดูก โดยไม่ต้องใส่เหล็กดาม ซึ่งวิธีการนี้มีการทำที่ญี่ปุ่นป็นประเทศแรก และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐ (FDA) ได้ให้การรับรองแล้ว (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 2 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





หลอดไฟประหยัดพลังงาน ฝีมือ 2 หนุ่มนักศึกษาล้านนา

นายเทวา ปิ่นมณี และนายเอกลักษณ์ ครุธแก้วสกุณี นักศึกษาแห่งภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า-ไฟฟ้ากำลัง คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา วิทยาเขตตาก ช่วยกันคิดค้นหลอดไฟประดับประหยัดพลังงานขึ้นมาอย่างน่าสนใจ โดยใช้ลูกปิงปองมาแทน กระเปาะแบบแก้ว มาเป็นส่วนประกอบของหลอดต้นแบบ พร้อมเปลี่ยนจากหลอดแบบเก่าที่เป็นหลอดแบบอินแคนเดสเซนต์มา เป็นหลอดแอลอีดี (Light-emitting diode) ใช้กับไฟฟ้า ระบบดีซี ผลที่ได้คือ หลอดไฟต้นแบบที่คิดทำขึ้นสามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าและมีความปลอดภัยมากกว่าการใช้หลอดไส้เนื่องจากหลอดต้นแบบใช้แรงดันค่าดีซีต่ำกว่า นอกจากนั้นยังเสียค่าใช้จ่ายในการบำรุงน้อยกว่าและใช้สายไฟขนาดเล็กลงกว่าหลอดไส้อีกด้วย ส่วนในการทำให้หลอดต้นแบบที่ที่คิดมาใหม่เรืองแสงเป็นสีแต่ละสี (แดง, ส้ม, ขาว, เขียว, น้ำเงิน) นั้นเนื่องจากหลอดต้นแบบแต่ละสีใช้แรงดันไม่เท่ากัน ดังนั้น จึงต้องใช้แหล่งจ่ายไฟฟ้ากระแสตรงที่สามารถปรับค่าแรงดันและค่ากระแสไฟให้ตรงกับสีของหลอดที่ต้องการ โดยหลอดแต่ละสีก็จะมีการต่อวงจรการทำงานแตกต่างกันไป ส่วนข้อดีที่ใช้กระเปาะจากลูกปิงปองแทนกระเปาะแบบแก้วก็คือ แสงที่ออกจากหลอดต้นแบบที่ใช้ลูกปิงปองเป็นกระเปาะจะเรืองแสงภายในหลอด ส่วนหลอดแบบกระเปาะแก้วนั้น แสงจะกระจัดกระจายไปคนละทิศละทางทำให้ควบคุมรูปทรงโดยรวมของไฟประดับยากกว่า การลงทุนเริ่มแรกของหลอดต้นแบบที่พวกเราได้คิดทำขึ้นจะสูงกว่าหลอดไส้ แต่เมื่อต่อใช้งานแล้ว หลอดต้นแบบที่ทำขึ้นจะเสียค่าใช้ไฟฟ้าต่อเดือนต่ำกว่าหลอดไส้ และได้เปรียบเทียบการใช้พลังงานของหลอดต้นแบบแต่ละสี กับหลอดไส้ที่ใช้ปกติทั่วไป เช่น หลอดไฟหนึ่งหลอด สำหรับหลอดไส้ใช้พลังงาน 4.8 วัตต์ ส่วนหลอดต้นแบบสีแดงใช้ 0.1 วัตต์ สีส้มใช้ 0.2 วัตต์ สีขาวใช้ 0.0625 วัตต์ สีเขียวใช้ 0.0625 วัตต์และสีน้ำเงินใช้ 0.1 วัตต์ ซึ่งทุกสีต่างก็ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยกว่าหลอดแบบไส้ทั้งนั้น สำหรับการประดิษฐ์หลอดไฟประหยัดพลังงานนี้ มีอาจารย์ทัศนะ ถมทอง เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาตลอดโครงการ (ข่าวสด ศุกร์ที่ 2 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





รถเคลื่อนที่เร็วของคนพิการ

นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล มหาวิทยาลัยศรีปทุม ซึ่งประกอบด้วย นายจีรศักดิ์ เครือเนียม, นายสุราษฎร์ แก้วรัตน์, นายอรรณพ วิมลวชิรเมธี และ นายสุรัตน์ กล้าแข็ง ได้ช่วยกันคิดค้นประดิษฐ์รถเคลื่อนที่เร็วสำหรับคนพิการขึ้นมา เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางระยะไกลให้แก่ผู้พิการ โดยมี อาจารย์มณเฑียร แก่นสน อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา รถเคลื่อนที่เร็วสำหรับคนพิการคันนี้ ถูกออกแบบให้มีรูปทรงคล้ายกับรถสามล้อเครื่อง หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า รถตุ๊กตุ๊ก แต่รถของคนพิการจะมี 4 ล้อ และมีขนาดกะทัดรัดไม่ใหญ่เกินไป เพื่อให้เหมาะสมสำหรับการใช้งานในเมือง โดยรถดังกล่าวใช้เครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 100 ซีซี ขับเคลื่อนโดยใช้ระบบโซ่ มีเกียร์อัตโนมัติ พร้อมเกียร์ถอยหลัง มีระบบสตาร์ตไฟฟ้าแบบรถยนต์ และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 41.36 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยการบังคับรถก็จะใช้บิดคันเร่งและมือเบรกเหมือนรถจักรยานยนต์ทั่วไป โดยมีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 19.6 กิโลเมตรต่อลิตร นอกจากนี้รถต้นแบบยังมีระบบไฟหน้าและไฟหลัง หน้าปัดวัดความเร็ว พร้อมที่ปัดน้ำฝนอีกด้วย เรียกได้ว่าพร้อมสรรพสามารถใช้งานในยามค่ำคืนและลุยฝนได้อย่างสบาย คุณสมบัติพิเศษของรถคันนี้ก็คือ ด้านหลังของรถที่สามารถพับเปิด-ปิดเป็นทางลาดชันได้ประมาณ 35 องศา ควบคุมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อให้ผู้พิการนั่งรถเข็นเลื่อนขึ้นมาบนรถได้อย่างสะดวกสบาย จากนั้นจึงล็อกรถเข็นเข้ากับตัวรถ เคลื่อนที่เร็ว ซึ่งจะทำให้ผู้พิการสามารถขับขี่รถเคลื่อนที่เร็วได้โดยไม่ต้องลงจากรถเข็น และไม่ต้องอาศัยคนอื่นมาคอยช่วยเข็นรถขึ้นลงให้อีกด้วย (เดลินิวส์ เสาร์ที่ 3 ก.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





รถดับเพลิงฝีมือคนไทย ปฏิวัติใหญ่ระบบดับไฟไหม้

“วัชรินทร์ รัตนวงศา” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซูเปอร์-วี เอทีวี จำกัด ผู้ผลิตรถดับเพลิงทุกภูมิประเทศ (All Terrian Fire Fighting Vehicles - ATV) กล่าวว่า บริษัททำการศึกษาวิจัย พัฒนารถดับเพลิงทุกภูมิประเทศขึ้นมา ตั้งแต่การออกแบบ การทดสอบภาคสนาม การศึกษาเทคโนโลยียานยนต์ และเทคโนโลยีดับเพลิงของประเทศต่างๆ เพื่อนำมาปรับปรุงผลิตรถดับเพลิงของตัวเอง ซึ่งใช้เวลากว่า 1 ปี จึงประสบผลสำเร็จ และได้นำไปจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาแล้ว เป็นผู้ผลิตรายเดียวในเมืองไทย ไม่มีคู่แข่ง เพราะรถดับเพลิงที่มีรูปแบบเดียวกันกับบริษัท ส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศ และคุณสมบัติยังด้อยกว่ารถดับเพลิงที่บริษัทผลิตได้ นอกจากนี้ ยังมีจุดเด่นที่เข้าถึงพื้นที่ได้เกือบทุกสภาพ ทั้งป่า เขา หรือตามตรอกซอกซอยที่รถขนาดใหญ่เข้าไม่ถึง ส่วนระบบดังเพลิงก็ดีกว่า โดยมีถังบรรจุน้ำ 200 ลิตร ฉีดน้ำได้ประมาณ 10 นาที มีระบบฉีดโฟมสำหรับจัดการไฟไหม้จากน้ำมันและไฟฟ้า ที่สำคัญยังสามารถต่อน้ำจากก๊อกน้ำปกติได้ และสูบน้ำจากธรรมชาติได้ เนื่องจากมีระบบกรองที่ดี ขณะนี้บริษัทกำลังเจรจาขายสินค้าให้กับ 4 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ 1.กรุงเทพมหานคร (กทม.) กลุ่มที่ 2 ได้ติดต่อขายให้กับสำนักป้องกันและดับไฟป่า กรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม และกลุ่มที่ 4 จะเป็นการทำตลาดส่งออก โดยขณะนี้มองไปยังประเทศเพื่อนบ้านในเอเชีย เพราะมีลักษณะภูมิประเทศคล้ายๆ กับไทย สำหรับรูปแบบของรถดับเพลิง มี 2 ขนาด ได้แก่ รุ่น Super-V Model Fire Fighter I เหมาะสำหรับดับไฟป่า ไม่มีระบบสัญญาณไฟ ขายราคา 7.5 แสนบาท และรุ่น Super-V Model Fire Fighter II เหมาะสำหรับใช้ในโรงงาน ชุมชน เพราะมีสัญญาณไฟ ราคา 9 แสนบาท แต่ทั้งนี้ ราคาอาจเพิ่มขึ้น-ลงได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้หัวฉีดระบบอะไร ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถติดต่อขอทราบรายละเอียดได้ที่ บริษัท ซูเปอร์-วี เอทีวี จำกัด 37 หมู่ 9 ถ.เลียบคลองสอง แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ 10510 โทรศัพท์ 0-2906-5070-1 โทรสาร 0-2906-5072 (สยามรัฐรายวัน เสาร์ที่ 3 ก.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





เห็ดไทย 57 ชนิด สมุนไพรรักษาโรค รัฐจับมือเอกชนตั้ง บ. ขายทั่วโลก

นักวิชาการพบ 57 เห็ดไทยเป็นยารักษาโรค เชื่อหากมีการพัฒนาจะมีโอกาสเป็นสินค้าส่งออกทำรายได้ให้เกษตรกรไทย กระทรวงวิทยาศาตร์ประกาศสนับสนุน ให้หน่วยงานรัฐจับมือ 9 บริษัทเอกชนตั้งสมาคมสมุนไพรขายทั่วโลก ดร.อุษา กลิ่นหอม อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เปิดเผยว่า จากการศึกษาเห็ดชนิดต่างๆ ที่พบในพื้นที่ภาคอีสานมานานกว่า 5 ปี ว่าสามารถรวบรวมเห็ดได้กว่า 1,600 ชนิด แต่คัดเลือกเพียง 57 สายพันธุ์ที่มีงานวิชาการในต่างประเทศ รับรองสรรพคุณว่าสามารถช่วยบำรุงรักษาสุขภาพ แล้วนำมาจัดพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ "57 เห็ดเป็นยาแห่งป่าอีสาน" ในนามของมูลนิธิสุขภาพไทยเพื่อเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน สำหรับเห็ดที่มีคุณสมบัติเป็นยาพบมากในชีวิตประจำวันนั้น ดร.อุษา ยกตัวอย่างหลายชนิด ได้แก่ เห็ดโคน เห็ดมันปู เห็ดผึ้ง ซึ่งมีราคาไม่แพง แต่มีศักยภาพในการเป็นยาสมุนไพรสูง ซึ่งหากมีการพัฒนาส่งเสริม ก็เชื่อว่าจะสามารถพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ส่งออกในอนาคต เนื่องจากในปัจจุบัน มีหลายประเทศ เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น จีน ให้ความสนใจในการศึกษาเรื่องเห็ดและส่งเสริมเป็นสินค้าส่งออกทำรายได้ให้ประเทศเหล่านั้น การจัดตั้งสมาคมอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย ถือเป็นอีกบทบาทหนึ่งของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการผลักดันและช่วยเหลือเอกชนในด้านการพัฒนางานวิจัย การพัฒนานวัตกรรมตลอดจนการส่งเสริม ในการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งจะส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการรักษาสุขภาพด้วยสมุนไพร (คมชัดลึก อาทิตย์ที่ 4 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ข่าวทั่วไป


ม.บูรพาเสนอรัฐ เลิกFTAแคนาดา

รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งถึงผลการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำเขตการค้าเสรีระหว่างไทยแคนนาดา(เอฟทีเอ) ตามที่กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศมอบหมายให้มหาวิทยาลัยบูรพาเป็นหน่วยศึกษาวิจัย ระบุว่า ไทยไม่ควรจัดทำเขตการค้าเสรีสองฝ่ายกับแคนาดา เพราะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในระดับต่ำ เนื่องจากการค้าสินค้าและบริการ และการลงทุนระหว่างกันมีไม่มาก ขณะที่ภาษีสินค้านำเข้าของแคนนาดาซึ่งเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วกว่า 90% มีอัตราที่ต่ำหรือเกือบจะเป็นศูนย์อยู่แล้ว โดยที่ไทยไม่จำเป็นต้องทำเอฟทีเอกับแคนาดาเพื่อใช้ประโยชน์จากภาษีนำเข้าที่จะต่ำลงตามความตกลงเอฟทีเอซึ่งรูปแบบความร่วมมือที่มีอยู่ในปัจจุบันมีความเหมาะสมและสามารถนำไปสู่การขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจได้ดีอยู่แล้ว มีประโยชน์ครอบคลุมแล้ว รวมทั้งยังช่วยลดแรงกดดันจากภาคประชาชนได้อีกด้วย (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 29 ส.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





สวนดุสิตได้เป็นเจ้าภาพจัดวันครูโลก

ผศ.ดร.ผดุง พรมมูล ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายโครงการพิเศษ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เปิดเผยว่า ในปีนี้มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพในการจัดงานวันครูโลก (World Teachers" Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 5 ต.ค.ของทุกปี รับผิดชอบในส่วนประสานงานและจัดเตรียมสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ซึ่งมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตไม่ได้ดำเนินการเพียงส่วนเดียว ยังมีองค์กรทางการศึกษาอื่นๆ เข้ามาร่วมรับผิดชอบดำเนินการด้านอื่นด้วย ในปีนี้ได้เรียนเชิญศาสตราจารย์ ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน เป็นประธานจัดงาน เนื่องจากท่านเป็นบุคคลผู้ที่มีบทบาทสำคัญในวงการการศึกษาไทย และเป็นผู้ที่อุทิศตนเพื่อการศึกษาไทยมาโดยตลอด การจัดงานในครั้งนี้เกิดขึ้นจากความร่วมแรงร่วมใจของทุกคนในทุกส่วนของภาคการศึกษา ซึ่งนอกจากจะเป็นการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวโรกาสครบ 50 พรรษาแล้ว ยังเป็นการปลุกกระแสสังคมให้เห็นความสำคัญของการศึกษาและบทบาทของครูไทย จึงใคร่ขอเชิญชวนครูทั่วประเทศ ทั้งอนุบาล ประถม มัธยม บุคลากรทางการศึกษาอื่นๆ ตลอดจนประชาชนที่สนใจด้านการศึกษา เข้าร่วมงานการประชุมสัมมนาทางวิชาการ และชมนิทรรศการแสดงผลงานการศึกษาค้นคว้าใหม่ๆ ของครูไทย ซึ่งงานวันครูโลกปีนี้จะเลื่อนไปจัดในวันที่ 1-3 พฤศจิกายน 2548 ณ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี (ข่าวสด จันทร์ที่ 29 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ฝรั่งเศสบัญชีดำเครื่องบินเสี่ยง

องค์การการบินพลเรือนฝรั่งเศสขึ้นบัญชีสายการบิน 6 แห่ง ห้ามบินเข้าน่านฟ้าฝรั่งเศส เพราะความปลอดภัยไม่ถึงขั้นมาตรฐาน ได้แก่ สายการบิน “แอร์ คอร์โย” ของเกาหลีเหนือ สายการบินแอร์ เซนต์ โธมัสของสหรัฐฯ สายการบินอินเตอร์แนชนัล แอร์ เซอร์วิสของไลบีเรีย สายการบินแอร์ โมซัมบิก และภูเก็ต แอร์ของไทย คำประกาศมีขึ้นภายหลังเกิดอุบัติเหตุทางเครื่องบินหลายครั้งในช่วงเดือนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุเครื่องบินตกในเวเนซุเอลา เมื่อ 16 ส.ค. คร่าชีวิตผู้โดยสารชาวฝรั่งเศส ทั้งลำเกือบ 160 ศพ ส่วนเครื่องบินของสายการบินภูเก็ต แอร์ ถูกประกาศขึ้นบัญชีดำห้ามบินเข้าน่านฟ้าฝรั่งเศสมาตั้งแต่ 4 มิ.ย.ที่ผ่านมา. (ไทยรัฐ อังคารที่ 30 http://www.thairath.co.th)





สมเด็จพระราชินี ทอดพระเนตร"หุ่นยนต์ดา วินชี่"

โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ โรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกของประเทศไทยที่เชียวชาญในเรื่องการรักษาโรคหัวใจ จึงได้ทำการเปิดศูนย์ผ่าตัดหัวใจ ม.ร.ว.อดุลกิติ์ กิติยากร โดยในวันเปิดงาน นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานเปิดโรงพยาบาลและเปิดศูนย์ผ่าตัดหัวใจดังกล่าว สำหรับหุ่นยนต์ดา วินชี่ นี้ นับเป็นนวัตกรรมใหม่ในการผ่าตัดหัวใจ และนับเป็นหุ่นยนต์ตัวแรกที่นำมาใช้ในการผ่าตัดหัวใจ ซึ่งเป็นครั้งแรกในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยหุ่นยนต์ดา วินชี่ ไม่ได้ทำงานด้วยตัวเองแต่จะอยู่ภายใต้การควบคุมของศัลยแพทย์ที่ได้รับการฝึกอบรมการใช้เทคโนโลยีชนิดนี้มาเป็นอย่างดี หุ่นยนต์ดา วินชี่ เป็นหุ่นยนต์มี 4 แขน แต่ละแขนมีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 1.5 เซนติเมตร แขนที่ 1 จะเป็นกล้องเพื่อส่องเข้าไปภายในระบบหัวใจ ซึ่งสามารถเข้าไปได้อย่างลึก ทำให้มองภาพได้ชัดเจน ส่วนอีก 3 แขนที่เหลือ ทำหน้าที่เป็นคีมและกรรไกรขนาดจิ๋ว สามารถหมุนได้รอบทิศทาง ทำให้ตัดเย็บแผลได้อย่างแม่นยำ แผลผ่าตัดออกมาสวยงามกว่าแผลของการผ่าตัดแบบปกติ ที่สำคัญ ความสามารถในการผ่าตัดของหุ่นยนต์ดา วินชี่ นี้ สามารถผ่าตัดหัวใจได้หลายชนิด ทั้งการซ่อมลิ้นหัวใจ การผ่าตัดรักษารูรั่วระหว่างผนังหัวใจ และการผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจหลายเส้น โดยคนไข้ที่รับการรักษาด้วยวิธีนี้จะเจ็บปวดน้อยกว่าการผ่าตัดแบบปกติ อีกทั้งระยะเวลาการพักฟื้นก็จะใช้เวลาน้อยกว่าด้วย ตลอดระยะเวลาที่สมเด็จพระราชินีทอดพระเนตรหุ่นยนต์ดา วินชี่ นายแพทย์กิติพันธ์ วิสุทธารมณ์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ ได้ถวายรายงานอย่างละเอียด ซึ่งพระองค์ทรงแย้มพระสรวลอย่างพอพระทัย หลังจากนั้นเสด็จพระราชดำเนินกลับ (มติชนรายวัน อังคารที่ 30 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





สำรวจพบเชื้ออุจจาระร่วงในน้ำแข็งแช่อาหาร

นางอรุณ บ่างตระกูลนนท์ รอง ผอ.สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยงานวิจัยเรื่อง “การสำรวจภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคอุจจาระร่วงจากร้านอาหารและรถเร่ในชุมชนแออัด เขต อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี” ว่า สำนักงานป้องกันควบคุมโรคเขตที่ 1 กรมควบคุมโรคร่วมกับสถาบันวิจัยฯ เก็บข้อมูลตัวอย่าง น้ำแข็งแช่อาหารสด น้ำดื่ม เขียง มีด สาก ครกและตัวอย่างจากมือของผู้ประกอบการมาวิเคราะห์ด้วยวิธีมาตรฐานจำนวน 244 ตัวอย่าง ปรากฏว่า พบเชื้อแบคทีเรียซัลโมเนลล่า ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอุจจาระร่วงถึง 72 ตัวอย่าง คิดเป็น 29.5% ซึ่งไม่แตกต่างกับการเก็บตัวอย่างในภาพรวมของทั้งประเทศ จากการศึกษาภาวะความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอุจจาระร่วง พบว่า มาจากน้ำแข็งที่พ่อค้า แม่ค้านำมาแช่อาหารดิบและน้ำดื่ม โดยการตรวจวิเคราะห์ ในน้ำแข็งพบเชื้อซัลโมเนลล่าถึง 33 ตัวอย่างจากตัวอย่างน้ำแข็งทั้งหมด และยังพบเชื้อ V.cholerae non O1/nonO 139 จำนวน 10 ตัวอย่างคิดเป็น 23.81% เชื้อ B.cereus จำนวน 2 ตัวอย่างคิดเป็น 1.4% ซึ่งเมื่อผู้ขายนำอาหารและน้ำดื่มไปแช่ในน้ำแข็งที่มีการปนเปื้อนเชื้ออยู่ โอกาสที่ผู้บริโภคจะได้รับเชื้อโรคก็มีความเป็นไปได้สูง ที่น่าเป็นห่วงคือ ผู้ขายส่วนใหญ่มักจะเอาเนื้อสัตว์ดิบ ผัก แช่รวมกันอยู่ในน้ำแข็ง บางครั้งก็นำเครื่องดื่มไปแช่ด้วย ซึ่งนำเนื้อสัตว์ หรือผักเพียงถุงพลาสติกธรรมดาและก็แช่รวมกัน ไม่มีการบรรจุใส่ภาชนะพลาสติกใส่ให้เรียบร้อย ทำให้โอกาสที่เชื้อจะปนเปื้อนมีสูงมาก เพราะไม่ทราบว่าเนื้อหรือผักใดมีการปนเปื้อนเชื้อมาก่อน และบางครั้งผู้ขายก็นำน้ำแข็งดังกล่าวมาตักให้ผู้บริโภครับประทานอีก ถือว่าอันตรายมาก (ไทยรัฐ พุธที่ 31 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





เชียร์ 8 เด็กไทยชิงชัยเวิลด์ไซเบอร์เกมส์

นักกีฬาอี-สปอร์ตทั้ง 8 คนที่จะเป็นนักกีฬาทีมชาติไทยไปร่วมแข่งขันเวิลด์ ไซเบอร์เกมส์ ซึ่งเป็นการแข่งขันอี-สปอร์ตรายการใหญ่ที่สุดของโลก ในรอบแกรนด์ ไฟนอล ที่ประเทศสิงคโปร์ ร่วมกับตัวแทนประเทศอื่นๆ กว่า 60 ประเทศ ประกอบด้วย ทีมผู้ชนะจากเคาน์เตอร์ สไตรก์ (Counter-Strike : Source) ซึ่งเป็นเกมฝึกฝนการทำงานเป็นทีม และการเคารพหน้าที่ของตนเอง ได้แก่ ทีม hesheit ประกอบด้วยสมาชิก 5 คน คือ นายพลตรี กวินวัฒน์ อายุ 20 ปี นักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้า นายอาร์ม ก่อกิจโรจน์ อายุ 19 ปี นักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ สถาบันเทคโนโลยีพระนครเหนือ นายภาคภูมิ ชัยทวีสุข อายุ 18 ปี นักศึกษาคณะคอมพิวเตอร์อาร์ต มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ นายสาโรจน์ สิทธิเจริญธรรม อายุ 21 ปี นักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และนายกันต์ ว่องสืบข่าว อายุ 19 ปี นิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้ชนะเกมฝึกฝนทักษะทางด้านกีฬา ฟีฟ่า ซอคเกอร์ 2005 (FIFA Soccer 2005) ได้แก่ นายกุลภพ เอี่ยมถนอมชัย อายุ 19 ปี นักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ผู้ชนะเกมฝึกฝนการวางแผนและกำหนดยุทธวิธี เกมสตาร์คราฟต์ (StarCraft : Brood War) คือ นายศราวุฒิ อิสโรสกุล อายุ 19 ปี จบการศึกษาด้านคอมพิวเตอร์ธุรกิจ จากโรงเรียนเทคโนโลยีสยาม กำลังรอศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีทางนิเทศศาสตร์ ผู้ชนะเกมวอร์คราฟต์ 3 (WarCraft III : The Frozen Throne) คือ นายชนินทร์ ติงรัตนสุวรรณ นักศึกษาคณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ประยุกต์มัลติมีเดีย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และผู้ชนะเกม นีดฟอร์สปีด (Need for Speed : Underground 2) ได้แก่ นายวีรสิษฐ์ กิติวรรณกุล บัณฑิตใหม่จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ซึ่งอยู่ระหว่างการรอสอบสัมภาษณ์เพื่อเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจที่นิด้า ทั้งนี้ นายชนินทร์ และนายวีรสิษฐ์ เคยเป็นแชมป์เก่าที่สร้างสถิติด้วยการเข้าไปถึงรอบ 32 คนสุดท้ายในเกมวอร์คราฟต์ และนีดฟอร์สปีด ในเวิลด์ ไซเบอร์เกมส์ 2004 ซึ่งจัดขึ้นที่ซานฟรานซิสโกในปีที่แล้ว นับเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยได้เข้ารอบลึกที่สุดหลังจากเข้าร่วมแข่งขันมาตั้งแต่ปี 2001 เวิลด์ ไวเบอร์เกมส์ ได้รับความร่วมมือจากนานาประเทศทั่วโลกส่งนักกีฬาอี-สปอร์ตเข้าร่วมแข่งขันเพิ่มขึ้นทุกปี จาก 17 ประเทศ ในปี 2000 เป็นกว่า 60 ประเทศ ในปี 2004 และจากจำนวนผู้แข่งขัน 1 หมื่นคน พุ่งขึ้นเป็น 1 แสนคน ผู้สนใจรายละเอียดเกี่ยวกับเวิลด์ ไซเบอร์เกมส์ แวะเยี่ยมชมได้ที่ www.worldcybergames.com (ข่าวสด พุธที่ 31 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ส่ง ขรก.พันธุ์ใหม่อยู่แบบ ‘บิ๊กบราเธอร์’

เมื่อวันที่ 31 ส.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในการให้โอวาทแก่นักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ รุ่นที่ 1 หรือข้าราชการพันธุ์ใหม่ ที่ผ่านการคัดเลือก 41 คน ว่า ขอให้เตรียมรับมือกับคำค่อนขอดว่าเป็นพวกอภิสิทธิ์ชนหรือเด็กเส้น และต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ เมื่อวันที่ 30 ส.ค. ได้นำเรื่องเสนอให้ ครม.ทราบ นายกฯก็ตื่นเต้น เพราะผู้สมัคร 900 กว่าคน ผ่านเพียง 41 คน แสดงว่าการคัดเลือกเข้มข้น รัฐมนตรีบอกไม่รู้จักใครสักคน แสดงว่าไม่มีเด็กเส้น ทั้งนี้ หลังการปฐมนิเทศจะส่งไปนั่งหน้าห้อง ผวจ.หรือระดับท้องถิ่น เรียนรู้วิธีทำงานจริง แล้วกลับมาทำงานในหน่วยงานยุทธศาสตร์ของรัฐบาล ก่อนจะส่งไปทำงานกับเอกอัครราชทูตไทยในต่างประเทศ และสอบออกไปอยู่ตามหน่วยงาน โดยให้บรรจุตั้งแต่ ซี 4-8 ในปีนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นผู้จัดสอบ ส่วนในปีต่อไปจะเปลี่ยนให้สถาบันอื่นๆ บ้าง เพื่อป้องกันข้อสอบรั่ว และในปีหน้าจะให้นำผู้เข้าฝึก อบรมมาอยู่ร่วมกัน คลุกคลีกินอยู่ด้วยกัน โดยสร้างสถานการณ์สมมติแบบรายการบ้านบิ๊กบราเธอร์ ให้คะแนนกันเอง เพราะบางคนถ้าอยู่ด้วยกันแล้วถึงจะรู้ว่าไม่เป็นผู้เป็นคน (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 1 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





เตือนสารเคมีทนไฟปนเปื้อน"น้ำนมแม่!"

คลาร์ก วิลเลียมส์ เดอร์รี่ เจ้าหน้าที่ขององค์กรเฝ้าระวังสภาพแวดล้อมภาคตะวันตกเฉียงเหนือ หรือ "เอ็นอีดับเบิลยู" ในสหรัฐ วิจัยพบว่า สารเคมีเป็นพิษในกลุ่ม "PBDEs" สามารถแทรกซึมผ่านร่างกายเข้าไปปนเปื้อนอยู่ในน้ำนมแม่ และอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อลูกน้อยที่รับประทานนมแม่เข้าไป เพราะสารเคมีตัวนี้ถ้าเข้าสู่ร่างกายมากๆ จะเป็นอันตรายต่อระบบความจำและกระบวนการเรียนรู้ ผลการสุ่มตรวจน้ำนมของคุณแม่มือใหม่ 40 คนพบว่า มีสารพิษ "PBDEs" ในปริมาณแตกต่างกัน สารพิษตัวนี้มีคุณสมบัติทนไฟและเป็นวัตถุดิบตัวหนึ่งที่ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ สิ่งทอ รวมทั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นิยมนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตสินค้าของตนเอง และสารพิษสามารถหลุดเข้าสู่ร่างกายได้จากการสูดเอาฝุ่นละอองจากสิ่งของเหล่านี้เข้าไป ภาครัฐจึงควรออกกฎหมายยกเลิกการใช้สารเคมีตัวนี้โดยเร็ว (ข่าวสด พฤหัสบดีที่ 1 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





เด็กบางมด เจ๋งจริง !! ซิวแชมป์โลก NFL flag Football

ในการแข่งขันระดับนานาชาติในรายการ NFL Flag Football World Championship 2005 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ธงไตรรงค์ก็ได้โบกสะบัดอยู่แถวหน้าในนามของผู้ชนะเลิศของโลกอีกครั้ง "โรงเรียนบางมดวิทยา สีสุกหวาดจวนอุปถัมภ์" คือ เจ้าของผลงานครั้งนี้ Flag Football เป็นกีฬาที่มีลักษณะการเล่นคล้ายคลึงกับกีฬาคนชนคนเช่นอเมริกันฟุตบอล มีความต่างกันอยู่ที่การกระทบกระทั่งที่ไม่รุนแรงเช่นอเมริกันฟุตบอล เพราะจะหยุดเกมการเล่นเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง สามารถกระตุกเชือกที่คล้องอยู่รอบเอวได้ และจะทำแต้มได้ต่อเมื่อผู้เล่นสามารถนำลูกวิ่งเข้าไปได้ถึงในเอนด์โซนของอีกฝ่ายหนึ่งได้ บางมดวิทยา เจ้าของตำแหน่งแชมป์ประเทศไทย 3 ปี (2545, 2547, 2548) อดีตอันดับ 7 ของโลกในครั้งที่ไปแข่งขันที่ แวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ในปีนี้ "อ.จันทร์เพ็ญ นิธิยานันท์" และ "โค้ชโชค-ธีรวุฒิ สุวรรณรัตนมณี" พี่ใหญ่ชั้น ม. 6 ของโรงเรียน เป็น 2 แรงแข็งขันที่ช่วยกันพาน้องๆ ฝ่าฟันกับทีมเก่งๆ ถึง 6 ประเทศทั้ง อิตาลี, สเปน, ญี่ปุ่น, เม็กซิโก, แคนาดา และ อเมริกา ไปจนถึงเป้าหมาย ผลงานดีเช่นนี้ทำให้ทีมไทยเข้าป้ายไปเป็นที่ 1 ในสาย ซึ่งต้องเจอกับด่านหินอย่างแคนาดา ก่อนที่จะเข้าไปชิงชนะเลิศกับอเมริกา (ประชาชาติธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 1 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th/prachachart)





ภัยร้ายบุหรี่โผล่ใหม่อีกโรค อาจถึงต้องตัดแขนขาทิ้ง

องค์การต่อต้านบุหรี่ของอังกฤษได้กล่าวเตือนว่า ผู้ที่สูบบุหรี่จะต้องเสี่ยงกับโรคหลอดเลือดแดง แขนขาตีบ ยิ่งกว่าคนที่ไม่ได้สูบมากถึง 16 เท่า คำประกาศเตือนกล่าวถึงอันตรายของโรคที่ยังรู้จักกันน้อยว่า มีบุหรี่เป็นตัวการ บุหรี่จะไปทำให้หลอดเลือดตีบ ทำให้เลือดไหลเวียนไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายบางส่วนได้ยาก ซึ่งในบางรายอาจถึงกับทำให้ต้องตัดแขนตัดขาทิ้ง ที่ร้ายหนักก็คือ มันยังอาจทำให้เป็นโรคหัวใจวายหรืออัมพาตได้อีกด้วย องค์การอ้างว่า เฉพาะในอังกฤษชาติเดียว มีคนวัย 55 ปีป่วยเป็นโรคนี้หนักบ้างเบาบ้างอยู่ 2,700,000 คน ผู้ป่วยเหล่านี้จะเสียชีวิตภายในช่วงเวลา 5 ปี เสีย 1 ใน 3 และภายในช่วงเวลา 10 ปี จะเสียชีวิตลงไปเกือบครึ่ง การที่จะหลีกเลี่ยงโรคนี้ อยู่ที่จะต้องเลิกสูบบุหรี่ลงเสีย นอกจากทำให้โรคถอยห่างไกลตัวออกไปแล้ว ยังจะทำให้ความเสี่ยงของการโดนถูกตัดแขนตัดขาและการตายก่อนวัยอันควร พลอยลดน้อยถอยลงด้วย. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 2 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





ภัยเต่าญี่ปุ่น ซื้อปล่อยวัด กินไข่เต่าไทย หวั่นสูญพันธุ์

ปัญหาการแพร่ระบาดของสัตว์ต่างถิ่น (เอเลี่ยน สปีชี่) โดยเฉพาะเต่าญี่ปุ่นที่ขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว ยึดแหล่งน้ำตามวัด สวนสาธารณะ ไม่เว้นแม้แต่ในสถาบันการศึกษา ไม่อาจแก้ไขให้ลุล่วงได้ ส่วนหนึ่งเกิดจากขณะนี้มีพ่อค้าแม่ค้านำเต่าชนิดนี้มาวางขายตามวัดให้คนซื้อปล่อยสะเดาะเคราะห์ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่า เต่าญี่ปุ่นสามารถขยายพันธุ์ได้รวดเร็วและทนอยู่ในน้ำเน่าได้ดี แถมยังกินไข่เต่าพื้นเมืองและปลา ส่งผลให้ระบบนิเวศของไทยเปลี่ยนไป "จากการสำรวจที่ผ่านมาพบว่า เกือบทุกวัดใน กทม.จากเดิมที่เคยมีเต่าไทยอาศัยอยู่ก็เริ่มลดจำนวนลงไปเรื่อยๆ และเต่าญี่ปุ่นเข้ามาแทนที่ จนเกือบ 100% แล้ว ซึ่งเต่าญี่ปุ่นที่ขยายพันธุ์ลงสู่แหล่งน้ำส่วนใหญ่เป็นเพราะคนไม่อยากเลี้ยง และเพื่อสะเดาะเคราะห์ตามความเชื่อ เช่นเดียวกับที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประมาณ 10 ปีก่อน เริ่มมีเต่าญี่ปุ่นแพร่พันธุ์อยู่ตามบ่อน้ำในมหาวิทยาลัยบ้างแล้ว จากเดิมที่แต่ละบ่อจะมีพันธุ์เต่าไทยไม่ต่ำกว่า 4-5 ชนิด แต่ปัจจุบันมีเพียงเต่าญี่ปุ่นเท่านั้นพร้อมกัน ทั้งนี้ จากการจัดอันดับของสหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ (IUCN) ซึ่งทำรายการชนิดพันธุ์สัตว์ต่างถิ่นที่รุกรานอย่างร้ายแรงของโลก 100 ชนิด โดยคัดเลือกจากสัตว์ต่างถิ่นที่รุกรานไปทั่วโลก แบ่งออกเป็นชนิดที่มีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความหลากหลายทางชีวภาพการเกษตรและผลประโยชน์ของมนุษย์ใน 100 ชนิด ประกอบด้วย ชนิดพันธุ์สัตว์ 56 ชนิด ชนิดพันธุ์พืช 36 ชนิด และชนิดพันธุ์จุลินทรีย์ 8 ชนิด ซึ่งในจำนวนนี้สามารถพบในไทยมากถึง 42 ชนิด เช่น เต่าญี่ปุ่น ปลาซัคเกอร์ หอยเชอร์รี่ สาบเสือ ผักตบชวา ฯลฯ (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 2 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ยกเครื่องกฎหมายเครื่องสำอาง

.ดร.ภักดี โพธิศิริ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) กล่าวถึงการปรับปรุง พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ.2535 ว่าอย.จะปรับปรุงกฎหมายเครื่องสำอางเพื่อให้ทันสมัย โดยเฉพาะหมวดเครื่องสำอางทั่วไป เช่น ครีมบำรุงผิว แชมพู สบู่ ซึ่งผู้ผลิตสามารถผลิตขึ้นมาจำหน่ายได้เลย จึงเป็นเครื่องสำอางที่ อย.ไม่ได้เข้าไปดูแลในขั้นตอนก่อนการผลิต แต่จะเข้าไปดูแลเมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้วเท่านั้น จึงไม่ทันการณ์ ดังนั้นหน่วยงานของรัฐจึงควรจะเข้าไปดูรายละเอียดให้มากขึ้น หากมีการแก้ไขให้เครื่องสำอางทั่วไปจะต้องมาจดแจ้งรายละเอียดของส่วนประกอบที่นำมาใช้ จะทำให้ทาง อย.ทราบว่ามีเครื่องสำอางอะไรเข้ามาจำหน่ายในท้องตลาดบ้าง และมีส่วนประกอบอย่างไร เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคตั้งแต่ต้น และเมื่อเกิดปัญหาจะได้ติดตามได้ว่ามาจากแหล่งผลิตใด นอกจากนี้ประเทศไทยได้ลงนามความตกลง (MOU) กับประเทศสมาชิกกลุ่มเขตการค้าเสรีอาเซียน เมื่อปี พ.ศ.2547 ที่ให้ประเทศสมาชิกเปิดให้เกิดการเคลื่อนไหวเสรีของสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ เช่น ยา อาหาร เครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ ภายในวันที่ 1 มกราคม 2551 จึงต้องปรับปรุงกฎหมายให้เสร็จก่อนเดือนมกราคม 2551 (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 2 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





เผย"20อปท."คว้า รางวัลพระปกเกล้า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการพิจารณาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อรับรางวัลพระปกเกล้า ประจำปี 2548 สถาบันพระปกเกล้า คัดเลือกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) ที่ได้รับรางวัลพระปกเกล้า ระดับองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) ได้แก่ อบจ.ตรัง และ อบจ.ภูเก็ต ระดับเทศบาล ได้แก่ เทศบาลนครเชียงราย เทศบาลนครตรัง เทศบาลนครยะลา เทศบาลเมืองศรีสะเกษ เทศบาลเมืองท่าข้าม จ.สุราษฎร์ธานี เทศบาลตำบลบางพระ จ.ชลบุรี เทศบาลตำบลอุโมงค์ จ.ลำพูน เทศบาลตำบลปริก จ.สงขลา เทศบาลตำบลกำแพง จ.สตูล ระดับองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) ได้แก่ อบต.แม่ลาด จ.กำแพงเพชร อบต.บ้านด้าย อบต.เวียงพางคำ อบต.เวียง อบต.หงาว จ.เชียงราย อบต.สุเทพ อบต.บ้านหลวง จ.เชียงใหม่ อบต.ทุ่งช้าง จ.น่าน และ อบต.เขาสามยอด จ.ลพบุรี ซึ่งวันที่ 5 กันยายนนี้ สถาบันพระปกเกล้า จะทำพิธีมอบรางวัล ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 2 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





'หมา'.... 'หมอ'

สุนัขทุกตัวมีความสามารถตรวจพบโรคร้ายในมนุษย์ได้ มันตรวจพบมะเร็งในผู้ป่วยมนุษย์ ดมกลิ่นมะเร็งในปอด พวกมันสามารถรู้ล่วงหน้า ก่อนที่เจ้าของจะรู้ว่าตัวเองจะเป็นลมชัก สามารถเตือนผู้ป่วยเบาหวาน เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงจนเป็นอันตราย และพวกมันมีความเก่งกาจที่จะรู้ว่าเมื่อใดที่เจ้าของเหลือเวลาอีกไม่มาก สาเหตุหนึ่งที่มันทำได้ก็เพราะว่า ประสาทดมกลิ่นของมันไวกว่ามนุษย์ถึง 1,000 เท่า สุนัขมีความสามารถเป็นเยี่ยมในการดมกลิ่น ซึ่งถ้าประสาทสัมผัสของสุนัขได้ผ่านการฝึกฝน มันจะกลายเป็นเครื่องมือตรวจสอบที่ล้ำค่าสำหรับแพทย์ นอกจากสุนัขจะเป็นเพื่อนยามยากแล้ว มันยังเป็นนักล่าที่เก่งกาจและเป็นที่พึ่งพาของหน่วยกู้ภัยและตำรวจได้ ซึ่งเมื่อสุนัขได้รับการฝึกให้จดจำกลิ่นพิเศษบางอย่าง มันจะสามารถติดตามกลิ่นนั้นไปได้นานหลายชั่วโมง แม้แต่บนภูมิประเทศที่ยากลำบาก ประสาทดมกลิ่นของสุนัขนั้นทรงพลังมากจนสามารถตรวจพบแม้แต่กลุ่มโมเลกุลขนาดจิ๋ว นักวิจัยต่างประเทศจึงได้ทำการวิเคราะห์จมูกของสุนัขอย่างลึกซึ้ง ด้วยกล้องจุลทัศน์ซึ่งเผยให้เห็นว่าทำไมสุนัขถึงรับกลิ่นเจือจางได้ดีเมื่อเทียบกับมนุษย์ เพราะเนื้อเยื่อดมกลิ่นของสุนัขนั้นใหญ่กว่ามนุษย์ถึง 17 เท่า สิ่งนี้จะดักจับโมเลกุลของกลิ่นและส่งสัญญาณตรงเข้าไปที่สมองที่อยู่ห่างออกไปเพียงครึ่งนิ้วเท่านั้น สุนัขจึงเป็นแรงบันดาลใจให้สร้างเครื่อง “อีเลคโทรนิค ไบโอเซนเซอร์” (electronic biosensor) เพื่อตรวจหานิวโมเนียหรือโรคปอดอักเสบในผู้ป่วยขั้นวิกฤติ สุนัขสามารถตรวจพบโรคได้จากตัวอย่างลมหายใจ อย่างเช่น วัณโรค ส่วนโรคร้าย เช่น ไวรัส อีโบล่านั้นหากว่าสุนัขไม่รู้จักก็อาจฝึกได้ มันจะปลอดภัยยิ่งกว่าส่งมาให้เจ้าหน้าที่เสียอีก มันอาจเป็นวิธีการทดสอบซึ่งไม่ต้องเสี่ยงกับชีวิตมนุษย์ สุนัขสามารถเป็นเครื่องมือวินิจฉัยชั้นเยี่ยม ด้วยประสาทที่เยี่ยมยอดของพวกมัน วงการแพทย์จึงเริ่มตระหนักว่า พวกเขาอาจมีหลายอย่างที่ได้เรียนรู้จากสุนัข เขาจะนำมันมาทำงานด้วย แม้มันจะดูเหลือเชื่อแต่สุนัขก็อาจนำเราไปพบกับอนาคตอันรุ่งเรืองใหม่ ๆ ทางการแพทย์ได้ ติดตามชม ความมหัศจรรย์ของสุนัขในการวินิจฉัยโรคได้ในรายการมายไซน์ คิดค้นพบ ออกอากาศวันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่ง (เดลินิวส์ อาทิตย์ที่ 4 ก.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215