หัวข้อข่าวปีที่ 6 ฉบับที่ 34 ประจำวันที่ 2005-09-11

ข่าวการศึกษา

ม.เกษตรกางปฏิทินรับนิสิตใหม่2ระบบ
สธ. เปิดศูนย์ปั้นไอคิว-อีคิว
ม.หอการค้าไทยเปิดบัญชี อีเลิร์นนิ่งแห่งแรกของไทย เรียนจบปริญญาตรีใน 2 ปี
ม.รามฯล้ำสมัย`ลงทะเบียนผ่านมือถือ
‘องคมนตรี’ แนะช่องพัฒนาหลักสูตรวิทยาลัยชุมชน
"สทศ."โชว์ตัวอย่างข้อสอบพร้อมเฉลย"โอ-เน็ต/เอ-เน็ต"9ก.ย.
บูรพาผุด MBA การจัดการสาธารณะ สปร.ปิ๊งนำร่องรุ่นแรกขรก.หัวหิน

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

ประดิษฐ์รถยนต์ห้ามคนเมาขับ หากขับมั่วแย่งขับตัวเองแทน
คาดโลกเผชิญภัยธรรมชาติหนัก เหตุอุณหภูมิพื้นทะเลสูงขึ้น
ส่งหุ่นยนต์นกเพนกวินขึ้นไปกระโดด ค้นหาน้ำบนดวงจันทร์
เด็กโคราชเจ๋ง ผุดเกมไทย “ศึกสายเลือดวรรณกรรม”
ถนอมแบตเตอรี่
แปลงร่างแอนติบอดี้ พิชิตแอนแทร็กซ์
มาสด้าต้นแบบ ใช้กุญแจไฮเทค สตาร์ทเครื่อง
"นาซ่า"ส่งคนประจำฐานใต้สมุทร ทดลองแผนก่อสร้าง-ผ่าตัดในห้วงอวกาศ
ไม่ต้องกลัวอดน้ำบนดาวอังคาร พบซ่อนอยู่ใต้เนินทรายยักษ์
เปิดตัวศูนย์สถาปัตยกรรมเว็บเซอร์วิส
ห้ามยาก 'กูเกิ้ลเอิร์ท' ภาพถ่ายดาวเทียว
พบทำเลสร้างนิคมดวงจันทร์ แดดจ้าทั้งปีทั้งชาติ
ดาวหางเปื่อยยุ่ยเป็นหิมะ ทั้งดวงไม่มีเนื้อหนังเป็นชิ้นเป็นอัน
จัด ‘คาราวานวิทยาศาสตร์’ ฉลอง 100 ปี ฟิสิกส์โลก
อังกฤษไฟเขียวผลิตตัวอ่อนมนุษย์จากยีนส์สองแม่ เพื่อป้องกันการถ่ายโรคประจำตัวของแม่แก่ลูก
เทคโนโลยีทำประปาจากน้ำเค็ม แก้ปัญหาขาดน้ำจืด

ข่าววิจัย/พัฒนา

นักวิจัยไทยทำจอมือถือแบน-บาง นาโนเทคโนโลยีคมชัด-กินไฟน้อย
เมล็ดลางสาดมีประโยชน์ทำยามีสารยับยั้งมาลาเรีย-วัณโรค
พบน้ำมันมะกอกสดเป็นยาแก้ปวด แถมยังป้องกันอาการอักเสบต่างๆ
โรคเต้านมอักเสบในฝูงโค มช.วิจัยด้วยสมุนไพร..ผู้ดื่มปลอดภัย
ฟุตบอลหุ่นยนต์ชิงแชมป์ประเทศไทย บันไดสู่การแข่งขันระดับโลก
เครื่องสกัดน้ำมันจากเมล็ดสบู่ดำ ผลงานของวิทยาลัยเทคนิคพิจิตร
เครื่องวัดแอลกอฮอล์ฝีมือไทย ต้นทุนต่ำช่วยชาติประหยัดกว่า 120 ล้าน
ตู้ปลาอัตโนมัติไม่พึ่งคนเลี้ยง
หุ่นยนต์ไอโบเตือนภัยโรคอ้วน
ถ้วยรับน้ำยางจากวัสดุธรรมชาติ นวัตกรรมใหม่ฝีมืออาจารย์ มอ.
ทีเซลล์วิจัยพันธุกรรม"เครียด" หลังวิกฤตสึนามิถึงแคทรีนา
"ดาวเทียม"ส่องฟ้าเมืองจีน ก๊าซพิษอื้อ-ก่อโรคระบบหายใจ!
เครื่องคัดไข่ด้วยภาพ นวัตกรรมฝีมืออาจารย์ราชมงคลธัญบุรี รวดเร็ว แม่นยำ ประสิทธิภาพเยี่ยม
แพทย์ศัลยประสาทไม่ไว้ใจ ‘มือถือ’ เพราะติดกับสมองตรงขมับ
เพาะ ‘มันสมองในหลอดแก้ว’ ได้จากเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต
เครื่องผ่าปลากะตัก...ประหยัดเวลาและแรงงาน
ชิพจิ๋วต้นแบบตรวจสารพิษ คุณภาพเทียบเท่าเครื่องขนาดใหญ่
หุ่นยนต์แสดงอารมณ์ ดีใจ-เศร้าผ่านใบหน้า
วิจัยเด็กไทย0-5ขวบขาดเหล็ก
เทคโนโลยีจัดการขยะอินทรีย์ครบวงจร
ชุดชั้นในลบรอยเหี่ยวย่นม.สุรนารีชี้ผลจากโปรตีนรังไหมบนเส้นใย
กระดาษเหนียวพิเศษกันน้ำกันอากาศ
ผลวิจัยในหนูวิตามินอีเข้มข้นกินแล้วแก่ช้า
เครื่องปิดผนึกแก้วพลาสติกขนาดกระเป๋า เพื่อธุรกิจในครัวเรือน
โต้"ทัลคัม"ในแป้งฝุ่น ไม่มีแร่ใยหิน-สารก่อมะเร็ง
อังกฤษเสก"หญ้า" เป็นพลังงานไฟฟ้า
เครื่องสำอางแม่ปล่อยสารเคมี ใส่ทารกในครรภ์
สกูตเตอร์ พลังงานแสงอาทิตย์
นักวิจัยออกแบบเป้อัจฉริยะ แปลงแรงเดินเป็นกระแสไฟ
ม.สงขลาฯดึงพันธมิตรอิตัลไทย บุกตลาดเครื่องผลิตไบโอดีเซล
จุฬาฯวิจัยไก่กินน้ำมันปาล์มดิบ ได้ไข่สุขภาพลดคอเลสเตอรอล
จักรยานแคระ

ข่าวทั่วไป

หมอศิริราชเจ๋ง รักษาสันนิบาตไทยรายแรกสำเร็จ
สูตรคิดค่าไฟฟ้าใหม่! ประชาชนเตรียมควักกระเป๋าเพิ่ม
โรควัวบ้าต้นตอจากซากศพ ส่งออกจากชาติแถบเอเชียใต้
อนุรักษ์ ‘แมลงทับ’ ให้ยั่งยืน ร่วมปลูกป่า-อย่าจับช่วงวางไข่
เทคนิคเสริมสวยด้วยลมหายใจ อัดออกซิเจนให้อยู่ในตัวนานๆ
ซอฟต์แวร์ปาร์คหนุนสอบใบประกาศไอที
รองเท้าแตะแฟชั่นเสี่ยงเป็นแผล ออกแบบฉาบฉวยไม่รับสรีระเท้า
ทีโอทีเตือนใช้เน็ตโหลดภาพ เสียค่าโทรต่างประเทศไม่รู้ตัว
สวช.ฟื้นฟูจัดสาธิตสวดโอ้เอ้วิหารราย "เทิดพระเกียรติ"ก่อนสูญจากสังคมไทย





ข่าวการศึกษา


ม.เกษตรกางปฏิทินรับนิสิตใหม่2ระบบ

รศ.ดร.วิโรจ อิ่มพิทักษ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) เปิดเผยถึงแผนการรับนิสิตเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี ว่า ปีการศึกษา 2549 มก. จะรับนิสิตใหม่จำนวน 12,100 คน โดยแบ่งการรับเป็น 2 ระบบ คือ ระบบที่ 1.รับตรงหรือโควตาพิเศษจำนวน 4,800 คน ซึ่งจะรับนิสิตเฉพาะกลุ่มจากสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเท่านั้น โดยแยกเป็น 3 โครงการ ได้แก่ โครงการส่งเสริมโอกาสศึกษาต่อใน มก.จะรับนักเรียนที่จบม.ปลายจากโรงเรียนที่อยู่ในเขตการศึกษา 1, 5, 12 และจังหวัดนครสวรรค์ พิจิตร ชัยภูมิ และเพชรบูรณ์ โครงการศึกษาต่อใน มก.วิทยาเขตสารสนเทศกระบี่ รับนักเรียนที่อยู่ในจังหวัดกระบี่ ระนอง พังงา ภูเก็ต ตรังและสตูล และโครงการศึกษาต่อใน มก.วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร รับนักเรียนจังหวัดสกลนคร นครพนม กาฬสินธุ์ หนองคาย มุกดาหาร และอุดรธานี ทั้งนี้ สำนักทะเบียนและประมวลผลได้แจ้งข้อมูลรายละเอียดการรับตรง พร้อมใบสมัครไปที่โรงเรียนต่าง ๆ ตามโควตาที่กำหนดแล้ว ตั้งแต่ต้นเดือน ส.ค. ส่วนระบบที่ 2. แอดมิชชั่น กลางผ่านสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จำนวน 7,300 คน สำหรับการรับตรงนั้นมหาวิทยาลัยจะดำเนินการเองทั้งรับสมัครและคัดเลือก โดยจะพิจารณาจากคะแนนผลการสอบวิชาเฉพาะของ สกอ. คะแนนสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐานหรือ O-NET คะแนนสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง หรือ A-NET ของสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ และคะแนนเฉลี่ยสะสม ม.ปลาย (GPA X) ทั้งนี้คุณสมบัติเฉพาะ เงื่อนไขที่จะนำมาคัดเลือกทั้งหมดว่าจะใช้อะไรบ้างนั้นให้ขึ้นอยู่กับแต่ละสาขา โดยจะรับสมัคร วันที่ 4-11 ม.ค. 2549 ประกาศผลการคัดเลือกทางอินเทอร์เน็ต วันที่ 12 เม.ย. สัมภาษณ์และยืนยันการเข้าศึกษาวันที่ 20 เม.ย. ซึ่งการรับตรงทั้งหมดจะเสร็จสิ้นก่อนการสมัครแอดมิชชั่นกลาง. (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 5 ก.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





สธ. เปิดศูนย์ปั้นไอคิว-อีคิว

นพ.วิชัย เทียนถาวร ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดศูนย์ส่งเสริมพัฒนาการเด็กวัยเตาะแตะ ที่โรงพยาบาลวานรนิวาสและโรงพยาบาลสกลนคร จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นศูนย์แห่งแรกของประเทศ ในการส่งเสริมพัฒนาเด็กวัยต่ำกว่า 3 ขวบ โดยในปี 2548 กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบาย จัดตั้งขึ้นในโรงพยาบาลศูนย์หรือโรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศ 150 แห่ง ดำเนินการจังหวัดละ 2 แห่ง เพื่อใช้เป็นศูนย์เด็กเล็กมาตรฐานต้นแบบของแต่ละจังหวัด เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯทรงมีพระชนมายุครบ 50 พรรษา ในปี 2548 นพ.วิชัยกล่าวว่า จากสภาพสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป ผู้หญิงต้องทำงานนอกบ้าน ทำให้มีเวลาให้ครอบครัวน้อยลง แบบแผนการเลี้ยงดูเด็กเปลี่ยนไป เด็กเกือบ 30% ต้องถูกฝากเลี้ยงตามสถานรับเลี้ยงเด็ก โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการเด็กแรกเกิดถึง 5 ปีมากที่สุดคือ การอบรมเลี้ยงดูเด็ก หากพี่เลี้ยงไม่มีความรักความเอ็นดูเด็ก จะส่งผลถึงไอคิวเด็กได้ ทั้งนี้ สธ.ตั้งเป้าพัฒนาคุณภาพเด็กไทยให้มีไอคิวเฉลี่ยเกิน 100 ในปี 2552 (มติชนรายวัน อังคารที่ 6 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





ม.หอการค้าไทยเปิดบัญชี อีเลิร์นนิ่งแห่งแรกของไทย เรียนจบปริญญาตรีใน 2 ปี

รศ.ดร.จีรเดช อู่สวัสดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า "หนึ่งในปัญหาของประเทศไทยที่สำคัญอันดับต้นๆ คือ การขาดแคลนนักบัญชี หรือบุคลากรด้านวิชาชีพบัญชี ไม่ว่าจะเป็นผู้ทำบัญชีหรือผู้สอบบัญชี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนภูมิภาค มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยตระหนักในปัญหาดังกล่าวจึงได้เปิดโปรแกรมการศึกษาหลักสูตรบัญชีบัณฑิต (อีเลิร์นนิ่ง) ซึ่งผู้เรียนสามารถเรียนได้โดยผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตอันเป็นการสอดคล้องนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ประชาชนชาวไทยทุกคนสามารถเชื่อมโยงกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดีจากหอการค้าจังหวัด และจากบริษัทที่มีประสบการณ์ด้านนี้ทั้งจากแคนาดาและสิงคโปร์ในการทำให้ศูนย์จัดการเรียนการสอนทั้ง 4 จังหวัดนั้น เป็นห้องเรียนสู่ฝัน (รูม ฟอร์ ไลฟ์) ได้อีกด้วย ด้าน ผศ.แน่งน้อย ใจอ่อนน้อม คณบดีคณะบัญชี กล่าวว่า หลักสูตรบัญชีบัณฑิต (อีเลิร์นนิ่ง) เป็นโปรแกรมการศึกษาสำหรับผู้ที่จบปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจหรือสาขาใกล้เคียงมาแล้ว และต้องการได้รับปริญญาตรีทางบัญชีเป็นใบที่ 2 เพื่อสามารถทำงานด้านบัญชีได้ด้วย ระยะเวลาการศึกษาไม่น้อยกว่า 2 ปี ทั้งนี้ ม.หอการค้าไทย ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากหอการค้า 4 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ พิษณุโลก นครราชสีมา และอุดรธานี ในการจัดตั้งศูนย์จัดการเรียนการสอน เพื่อทำหน้าที่ประสานงานต่างๆ ได้แก่ การจัดบรรยายพิเศษและการสอบไล่ รับสมัครระหว่างวันที่ 1 กัยยายน-31 ตุลาคม 2548 ผู้สนใจขอรายละเอียดและสมัครออนไลน์ได้ที่ www.utcc.ac.th หรือโทรศัพท์ 0-2697-6222 หรือที่หอการค้าเชียงใหม่ พิษณุโลก นครราชสีมา และอุดรธานี (คมชัดลึก พุธที่ 7 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ม.รามฯล้ำสมัย`ลงทะเบียนผ่านมือถือ

ครั้งแรกในเมืองไทยที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง จับมือกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ “เอไอเอส” เปิดบริหารล้ำสมัย “ลงทะเบียนเรียนผ่านมือถือ” นี่ยังไม่ร่วมบริการข้อมูลวิชาเรียน ชั่วโมงเรียน และมีสารพัดที่จัดให้ถึงมือนักศึกษารามคำแหงกว่า 600,000 คนทั่วประเทศ เพียงผ่านระบบ SMS บนมือถือ โดยไม่ต้องเดินทางไปถึงมหาวิทยาลัย โดย ศาสตราจารย์ประจำรังสรรค์ แสงสุข อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่า เป็นปรากฏการณ์ใหม่ทางการศึกษา ที่สามารถเปิดให้บริการแก่นักศึกษาได้ลงทะเบียนเรียนผ่านระบบ SMS บนมือถือได้ ซึ่งช่วยประหยัดเวลา ค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้แก่นักศึกษาอย่างมาก และยังช่วยลดขั้นตอนการลงทะเบียนเรียนได้อย่างมาก นับเป็นมิติใหม่ทางการศึกษาที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ร่วมมือกับเอไอเอส เปิดให้บริการดังกล่าว ผ่านระบบ SMS ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เราเชื่อมั่นว่าด้วยระบบโครงข่ายสื่อสารที่ครอบคลุมและมีความเชื่อถือได้สูงสุดของเอไอเอส จะสามารถรองรับความต้องการลงทะเบียนเรียนผ่านมือถือของนักศึกษารามฯได้อย่างครอบคลุมในทุกพื้นที่ และทุกจังหวัด นอกจากนี้ เอไอเอส ยังได้เตรียมพัฒนาระบบเพื่อให้นักศึกษาสามารถใช้ “บริการขอข้อมูล” ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทุกที่ ทุกเวลา อาทิ ข้อมูลตารางการบรรยาย ตารางสอบผลการสอบ ฯลฯ รวมไปถึงบริการข่าวสารจากมหาวิทยาลัย ที่แจ้งให้นักศึกษาได้ทราบตลอดทุกเดือน ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับนักศึกษารามคำแหง ที่อยู่ในทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทย สำหรับบริการลงทะเบียนเรียนผ่านมือถือจะเริ่มเปิดให้บริการในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2548 เป็นอีกวิวัฒนาการของ M-Learnung หรือ mobile learning การพัฒนาเทคโนโลยีมือถือเพื่อการศึกษา (สยามรัฐรายวันพฤหัสบดีที่ 8 ก.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





‘องคมนตรี’ แนะช่องพัฒนาหลักสูตรวิทยาลัยชุมชน

ศ.น.พ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี กล่าวบรรยายในระหว่างประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทำหลักสูตรวิทยาลัยชุมชนระดับอนุปริญญา หมวดวิชาศึกษาทั่วไป เรื่อง “จุดยืนในการพัฒนาวิทยาลัยชุมชน” เมื่อเร็วๆนี้ว่า การจัดทำร่างหลักสูตรวิทยาลัยชุมชนระดับอนุปริญญา หมวดวิชาศึกษาทั่วไป ที่กลุ่มพัฒนาวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักบริหารงานวิทยาลัยชุมชน และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้ร่วมกันจัดทำขึ้นนี้ มีเนื้อหาที่มุ่งสนองนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่ต้องการให้วิทยาลัยชุมชนจัดการศึกษา และฝึกการอบรมในหลักสูตรที่หลากหลายและมีความยืดหยุ่น เพื่อให้สามารถพัฒนาอาชีพและคุณภาพชีวิตของบุคลากรในชุมชนได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต หัวใจสำคัญที่จะทำให้หลักสูตรดังกล่าวมีความเข้มแข็งได้นั้น จะต้องมีการบริหารหลักสูตรและประเมินหลักสูตร โดยคณะกรรมการบริหารหลักสูตร ส่วนวิทยาลัยชุมชนจะมีหน้าที่ในการพัฒนาหลักสูตรระดับอนุปริญญา ให้มีมาตรฐานและมีคุณภาพที่สูงขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับอุดมศึกษา ของคณะกรรมการการอุดมศึกษา ทั้งจะต้องมีการกำหนดตัวบ่งชี้ด้านมาตรฐานและคุณภาพการศึกษา ที่สอดคล้องกับเกณฑ์มาตรฐานของคณะกรรมการการอุดมศึกษาด้วย นอกจากนี้ทุกหลักสูตรจะต้องมีการกำหนดระบบการประกันคุณภาพการศึกษาให้ชัดเจน เกณฑ์มาตรฐานของหลักสูตรวิทยาลัยชุมชน จะใช้ระบบทวิภาคเป็นระบบมาตรฐาน แต่ก็สามารถจัดการศึกษาในระบบอื่นได้เช่นกัน อาทิ ระบบไตรภาค ระบบจตุรภาค ส่วนจำนวนหน่วยกิตรวมและระยะเวลาการศึกษา ให้มีหน่วยกิตไม่น้อยกว่า 90 หน่วยกิต. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 9 ก.ย.48 http://www.thairath.co.th)





"สทศ."โชว์ตัวอย่างข้อสอบพร้อมเฉลย"โอ-เน็ต/เอ-เน็ต"9ก.ย.

เมื่อวันที่ 8 กันยายน นายประทีป จันทร์คง รักษาการผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ(สทศ.) เปิดเผยความคืบหน้ากรณี สทศ.จัดเผยแพร่รายละเอียดขอบเขตเนื้อหาสาระ และสัดส่วนเปอร์เซ็นต์การให้คะแนนสอบตามเนื้อหาข้อสอบ รวมทั้งตัวอย่างข้อสอบพร้อมเฉลยคำตอบ ในแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน(O-NET) หรือโอ-เน็ต และแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง(A-NET) หรือเอ-เน็ต ซึ่งใช้ประกอบในระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษา หรือระบบแอดมิสชั่นส์ ในปีการศึกษา 2549 ทางเว็บไซต์ของ สทศ. www.ntthailand.com รวมทั้งจัดพิมพ์เป็นเอกสารแจกจ่ายไปยังทุกสถานศึกษาทั่วประเทศว่า ภายในวันที่ 9 กันยายน สทศ.จะเผยแพร่ข้อมูลต่างๆ ที่ครบถ้วนทางเว็บไซต์ของ สทศ.ดังกล่าว โดยเฉพาะตัวอย่างข้อสอบพร้อมเฉลยคำตอบในแบบทดสอบ O-NET และ A-NET ทุกวิชา ทั้งวิชาคณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ และภาษาไทย ซึ่งขณะนี้ในส่วนของวิชาภาษาอังกฤษได้นำขึ้น วันเดียวกัน นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ให้สัมภาษณ์กรณีนายอดิศัย โพธารามิก อดีตรัฐมนตรีว่าการ ศธ. เคยมีนโยบายให้เลิกแยกแผนการเรียนสายวิทย์-สายศิลป์ในชั้น ม.ปลายว่า กำลังให้หน่วยงานเกี่ยวข้องจัดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากคนในแวดวงการศึกษา เพื่อหาข้อสรุปเรื่องนี้ภายในเดือนกันยายนนี้ว่าควรจะยกเลิกการแยกแผนการเรียนสายวิทย์-สายศิลป์หรือไม่ นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ต้องจัดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อหาข้อสรุปภายในเดือนนี้ด้วย คือ เรื่องการรวมวิชาชีววิทยา ฟิสิกส์ และเคมี เป็นวิชาเดียวกัน (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 8 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





บูรพาผุด MBA การจัดการสาธารณะ สปร.ปิ๊งนำร่องรุ่นแรกขรก.หัวหิน

ศ.ดร.สุชาติ อุปถัมภ์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยบูรพา เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยได้ลงนามความร่วมมือกับสถาบันที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในราชการ (สปร.) เปิดหลักสูตรปริญญาโทบริหารธุรกิจ (MBA) สาขาการจัดการสาธารณะ ซึ่งเป็นหลักสูตรใหม่มุ่งเน้นการบูรณาการหลักการบริหารภาครัฐและเอกชนร่วมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิการปฏิบัติหน้าที่ และพัฒนาศักยภาพการทำงานของข้าราชการในยุคการเปลี่ยนแปลงระบบราชการใหม่ที่ต้องคำนึงถึงความพึงพอใจของประชาชนเป็นสำคัญ นอกจากนั้น ยังมีการบรรจุหลักสูตรการพัฒนาตามแนวพระราชดำริ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสครองราชย์ครบ 60 ปี และทรงเป็นผู้นำทางด้านการศึกษาและแนวคิดทางการด้านบริหารในระดับสากล ทั้งด้านเศรษฐกิจสังคม โดยเฉพาะแนวทางตามรูปแบบเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ในการบริหารเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างเป็นรูปธรรมและเป็นที่ยอมรับจากฝ่ายวิชาการ เหมาะที่จะนำมาใช้พัฒนาประเทศ ด้าน รศ.ดร.อิสระ สุวรรณบล ผู้อำนวยการสถาบันที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในราชการ (สปร.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเบื้องต้นจะมีการเปิดสอนทั้งในส่วนกลาง และในส่วนภูมิภาค ซึ่งในส่วนภูมิภาคจะนำร่องที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ก่อน คาดว่าจะรับนักศึกษารุ่นแรกได้ไม่ต่ำกว่า 100 คน ซึ่ง สปร.ได้เตรียมสนับสนุนในด้านทุนการศึกษาให้แก่ข้าราชการที่สนใจ อย่างไรก็ตาม หลักสูตรปริญญาโทบริหารธุรกิจ (MBA) สาขาการจัดการสาธารณะ ถือเป็นหลักสูตรใหม่ ที่เหมาะสำหรับข้าราชการในยุคการปฎิรูประบบราชการใหม่ โดยจะเน้นการผสมผสานระหว่างหลักคิดทางด้านการบริหารธุรกิจ และระบบราชการเข้าด้วยกัน เพื่อการพัฒนาไปสู่การบริหารยุคใหม่ที่สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยค่าใช้จ่ายในตลอดหลักสูตรประมาณ 160,000-170,000 บาท ระยะเวลาการเรียนตลอดหลักสูตรประมาณ 1.6-2 ปี (สยามรัฐรายวัน เสาร์ที่ 10 ก.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


ประดิษฐ์รถยนต์ห้ามคนเมาขับ หากขับมั่วแย่งขับตัวเองแทน

อีกไม่นานจะมีรถยนต์ซึ่งมีระบบขับขี่อัตโนมัติ ช่วยให้มันขับตัวเองแทนคนขับที่เมามาก หรือป่วยไข้กะทันหันเองได้ หนังสือพิมพ์รายวันยักษ์ “เดอะ ซัน” ของอังกฤษเสนอข่าวว่า รถยนต์จะมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า “ระบบผู้ช่วยคนขับ” ทำหน้าที่ขับแทนคนได้ และจะติดตั้งในรถยนต์ยี่ห้อวอกซ์ฮอล์ รุ่นเวคตราส์ ในเวลาอีกประมาณ 2 ปี เป็นรุ่นแรก รถที่ติดตั้งอุปกรณ์นี้ จะสามารถใช้ ขับขี่ได้เหมือนรถยนต์ธรรมดาทั่วไป อุปกรณ์ “ขับอัตโนมัติ” จะประกอบด้วยตัวรับสัญญาณและกล้องถ่ายภาพ ติดอยู่ที่ไฟหน้ารถ มันจะคอยถ่ายทอดให้รู้ถึงสภาพของถนน และสามารถจะหักรถ เมื่อเกิดเหเข้าไปหารถคันอื่นออกให้พ้นทางได้ทันท่วงที หรือหากขับเฉียดเข้าไปใกล้คันอื่นจนน่ากลัว มันก็จะช่วยชะลอความเร็วของรถลง หรือไม่ก็อาจจะบังคับรถให้หยุดลงเลย. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 5 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





คาดโลกเผชิญภัยธรรมชาติหนัก เหตุอุณหภูมิพื้นทะเลสูงขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญดินฟ้าอากาศของโลกต่างแสดงความวิตกว่า โลกกำลังเผชิญกับภัยพิบัติธรรมชาติบ่อยครั้งที่สุดในปีนี้ อย่างเช่น ตั้งแต่ย่างเข้าเดือนที่แล้วเป็นต้นมา นักวิทยาศาสตร์ได้ทำนายว่าจะมีพายุโซนร้อนโหมกระหน่ำ บริเวณมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือมากถึง 22 ลูก และก็ปรากฏว่าเกิดพายุหลายลูก ก็ได้แก่พายุเฮอริเคน “แคทรีนา” ซึ่งกลายเป็นพายุลูกซึ่งสร้างความพินาศอย่างใหญ่หลวงที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา และได้มีนักวิทยาศาสตร์หลายคนยังออกมาเตือนด้วยว่า ดินแดนอเมริกายังจะโดนพายุเฮอริเคนที่รุนแรงขึ้น ในช่วงระยะเวลาอีกหลายปีข้างหน้าอีกหลายลูก เพราะเหตุทั้งหมดนี้เนื่องมาแต่ความแปรปรวนของดินฟ้าอากาศ สืบเนื่องจากอุณหภูมิของโลกสูงขึ้น นักอุตุนิยมวิทยาสหรัฐฯ นายเคอรี เอมมานูเอล ได้รายงานผลของการวิจัย ซึ่งได้พิสูจน์ให้เห็นถึงอันตรายอันเนื่องมาจากอุณหภูมิโลกสูงขึ้น เขาได้เทียบเคียงให้เห็นถึงอุณหภูมิของผิวน้ำในมหาสมุทร กับความเร็วลมของหย่อมบริเวณความกดอากาศต่ำ ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 มา ปรากฏว่าความแรงของลมและคลื่นได้ทวีขึ้นอย่างรุนแรง ความคงทนของพายุเฮอริเคนนับตั้งแต่ พ.ศ. 2492 ได้นานขึ้นอีก 60% และความแรงของลมที่จุดศูนย์กลางของพายุทวีขึ้นอีก 50% นับแต่ พ.ศ. 2513 มา ในขณะที่อุณหภูมิของผิวน้ำในมหาสมุทรก็อุ่นขึ้นกว่าปกติ นายเอมมานูเอลกล่าวอ้างว่า ภาวะโลกร้อนได้ทำให้พายุเฮอริเคนได้ทวีความรุนแรงขึ้นถึง 2 เท่า ในรอบระยะเวลา 30 ปีมานี้ ชั่วแต่เพียงอุณหภูมิที่พื้นผิวมหาสมุทรสูงขึ้นอีกเพียง 0.5 องศา. (ไทยรัฐ อังคารที่ 6 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





ส่งหุ่นยนต์นกเพนกวินขึ้นไปกระโดด ค้นหาน้ำบนดวงจันทร์

สหรัฐฯจะส่งหุ่นยนต์นกเพนกวินยักษ์ขึ้นไปบนดวงจันทร์ในปี พ.ศ. 2552 นี้ แผนการที่เปิดเผยในที่ประชุมว่าด้วยเรื่องอวกาศ แจ้งว่า มีการคิดส่งหุ่นยนต์นกเพนกวิน สูง 1 เมตร และหนัก 105 กก. ให้ขึ้นไปกระโดด แถบขั้วใต้ของดวงจันทร์ มันจะโดดได้เป็นระยะทางไกลครั้งละ 1 กม. ด้วยแรงส่งของเครื่องยนต์ขับดันขนาดเล็กในตัว วิศวกรระบบอาวุโสของบริษัทเรย์เทิน คาร์ลีน เซย์โบลด์ เปิดเผยว่า นกเพนกวินหุ่นยนต์นั้น ความจริงเป็นยานอวกาศที่ไม่มีคนขับ และรูปร่างก็ไม่ค่อยเหมือนกับนกเพนกวินเท่าใดนัก จะถูกส่งไปลงทางแถบขั้วใต้ของดวงจันทร์ เพื่อค้นหาน้ำแข็ง มันจะลงจอดบนพื้นด้วยขา 4 ขา แบบเดียวกับยานลงดวงจันทร์ ซึ่งเคยพามนุษย์ อวกาศไปลงมาแล้ว ตัวยานจะติดตั้งเครื่อง ยนต์ขับดันไว้ที่ข้างใต้ และทางด้านข้างของตัวยาน เพื่อใช้ขับดันให้มันกระโดดออกจากพื้นออกไปได้. (ไทยรัฐ อังคารที่ 6 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





เด็กโคราชเจ๋ง ผุดเกมไทย “ศึกสายเลือดวรรณกรรม”

เกมศึกสายเลือดวรรณกรรมไทย เป็นโปรแกรมเกมที่พัฒนาขึ้นจากฝีมือของนักซอฟท์แวร์น้อยเมืองโคราช “ธนานนท์ ปฏิญญาศักดิกุล” ชั้น ม.3 และ “วิชญัณ สนิทพ่วง” ชั้น ม.2 โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย จังหวัดนครราชสีมา โดยมีอาจารย์นิพนธ์ สมัครค้า เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ได้รับรางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันประกวดซอฟท์แวร์ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ประจำปี 2548 จากสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เกมศึกสายเลือดวรรณกรรมไทย เป็นเกมแนวต่อสู้ (Fighting) ซึ่งสามารถรองรับผู้เล่นได้ 2 คน กราฟิกของเกมจะเป็นแบบการ์ตูน 2 มิติ โดยใช้ตัวละครสำคัญๆ จาก วรรณคดีไทย เช่น หนุมาน ทศกัณฑ์ ไกรทอง พระอภัยมณี โดยตัวละครแต่ละตัวที่นำมาใช้ในเกม จะยึดลักษณะและรูปแบบตามที่วรรณคดีหรือวรรณกรรมเรื่องนั้นๆ ได้กล่าวไว้พร้อมกับแทรกข้อมูลบางส่วนของตัวละครในเกม เพื่อให้ผู้เล่นได้รู้จักกับตัวละครนั้นๆ ให้มากขึ้น และสามารถต่อยอดความรู้โดยศึกษาค้นคว้าต่อทางอินเทอร์เน็ตหรือสื่ออื่นๆ ได้เอง ซอฟท์แวร์ของเกมนี้ใช้เทคโนโลยีของ DirectX 9.0b Software DevelomentKit ซึ่งจะทำให้สามารถแสดงผลด้านกราฟิก ด้านระบบเสียง และด้านการรับข้อมูลจากผู้เล่นให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และใช้ชุดคำสั่ง CDX Engine โดยเขียนโปรแกรมขึ้นบนคอมไพเลอร์ Microsoft Visual C++ 6.0 ส่วนกราฟิกทั้งหมดรวมทั้ง Effect ที่ใช้ในเกมนั้นสร้างและแก้ไขด้วยโปรแกรม Adobe hotosho CS และใช้โปรแกรม Sound Forge ในการตัดต่อทำเสียงประกอบการเล่นเกม หากจะเล่นเกมนี้ ต้องใช้คอมพิวเตอร์ที่มี CU entium 4 ขึ้นไปหรือเทียบเท่า มี RAM 256 mb ขึ้นไป จอขนาด 15 นิ้ว มี VGA Card ที่สามารถแสดงขนาดจอตั้งแต่ 800x600 แสดงสีแบบ 16 bit color ส่วนSound Card ใช้ได้ทั่วไปทั้งแบบ onboard และแบบแยก ส่วนระบบปฏิบัติการวินโดว์จะต้องเป็น Windows 98/Me/200/X นักซอฟท์แวร์น้อยทั้งสองคนที่มุ่งหวังให้เกมนี้เป็นสื่อที่ช่วยสนับสนุนให้เยาวชนไทยหันมาเล่นเกมไทย และเห็นคุณค่าของวัฒนธรรมไทย ผ่านตัวละครจากวรรณคดีไทยซึ่งบรรพบุรุษของเราได้สร้างสรรค์ขึ้นอย่างภูมิใจ (สยามรัฐรายวัน อังคารที่ 6 ก.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





ถนอมแบตเตอรี่

โทรศัพท์มือถือจะทำงานเต็มประสิทธิภาพหรือไม่ขึ้นอยู่กับคุณภาพของแบตเตอรี่เป็นสำคัญ มือถือรุ่นใหม่ๆ ทุกวันนี้ส่วนใหญ่ใช้แบตเตอรี่ประเภทลิเทียมไอออน หรือ ลิเทียมโพลิเมอร์ เพราะน้ำหนักเบา ชาร์จไฟเต็มเร็ว ความจุสูง สำหรับแบตแบบลิเทียมนั้นการชาร์จครั้งแรก ไม่จำเป็นต้องชาร์จ 12-16 ช.ม. ชาร์จเพียงแค่เต็มแล้วทิ้งไว้ 1-2 ช.ม.ก็พอ แต่แบตอาจจะใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพหลังจากการชาร์จผ่านไปแล้ว 3-5 ครั้ง การชาร์จแต่ละครั้งไม่จำเป็นต้องรอให้แบตหมด หรือแบตอ่อน สามารถชาร์จได้บ่อยเท่าที่ต้องการ เพียงแต่แบตแบบนี้ไม่ควรปล่อยให้ไฟหมดเกลี้ยงและห้ามดิสชาร์จแบต ถ้าอยากถนอมแบตก็อย่าทิ้งแบตไว้ในที่อุณหภูมิสูง ระวังอย่าให้วัสดุเช่นเศษเหรียญหรือโลหะไปโดนขั้วหน้าคอนแท็คในขณะใส่กระเป๋าเพราะอาจลัดวงจร อย่าปล่อยทิ้งแบตไว้นานโดยไม่ได้ใช้งาน และใช้แท่นชาร์จหรือสายชาร์จที่เหมาะสมกับรุ่นเท่านั้น (ข่าวสด อังคารที่ 6 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





แปลงร่างแอนติบอดี้ พิชิตแอนแทร็กซ์

วิทยาการล่าสุดที่ใช้ในการต่อสู้กับโรค “แอนแทร็กซ์” (Anthrax) ซึ่งกลัวกันนักกันหนาว่ามันจะถูกนำมาใช้เป็นอาวุธชีวภาพในการก่อการร้าย (ประเทศที่กลัวมาก ๆ จนตัวสั่นก็คงมีไม่กี่ประเทศ) แต่สำหรับเทคนิคใหม่ล่าสุดนี้ อาจทำให้เราไม่ต้องพึ่งพายาปฏิชีวนะในการต่อสู้กับโรคแอนแทร็กซ์อีกต่อไป โรคแอนแทร็กซ์เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Bacillus anthracis ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้โดยการสร้างสปอร์ที่มีความทนทานต่อสภาวะแวดล้อมสูง ติดต่อได้ทางการหายใจ ทางผิวหนัง และการรับประทาน โดยกลไกในการเกิดโรคเริ่มต้นขึ้นเมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย มันก็จะสร้างสารพิษขึ้นมา 3 ชนิด ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือชนิดที่เราเรียกว่า Protec tive antigen (PA) PA จะเข้าไปจับกับตัวรับ (Receptor) ที่อยู่บนผิวของเซลล์ โดยมันจะทำหน้าที่เป็นทางผ่านให้สารพิษที่เหลืออีกสองชนิดเข้าไปทำลายเซลล์ จนกระทั่งเซลล์นั้น ๆ ตายลง และเป็นสาเหตุให้ถึงแก่ชีวิตในที่สุด แต่นักวิจัยจาก University of Texas ได้เปิดเผยถึงผลการทดลองล่าสุดจาก Southwest Foundation for Biomedical Research (SFBR) ที่พบว่า “แอนติบอดี้” ที่ถูกปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในห้องปฏิบัติการสามารถป้องกันการเกิดโรคอย่างได้ผล กลไกการทำงานก็คือว่า เมื่อแอนติบอดี้ (สารประกอบกลุ่มโปรตีนที่ทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรค ในร่างกาย) ถูกปรับเปลี่ยนโครงสร้างให้เป็นรูปทรงเจ็ดเหลี่ยม (สังเกตรูปภาพ) คุณสมบัติของมันจะเปลี่ยนไป คือ สามารถจับกับ Protective antigen ได้ดีขึ้นมาก ๆ เมื่อมันจับกับ PA แล้ว มันก็จะทำหน้าที่เป็นเหมือนตัวบล็อกไม่ให้ PA สามารถไปจับกับตัวรับซึ่งเป็นโปรตีนที่อยู่บนผิวของเซลล์ได้อีก และเมื่อไม่สามารถไปจับที่ผิวเซลล์ได้ สารพิษที่เหลืออีกสองชนิดจึงไม่สามารถผ่านเข้าไปเพื่อทำลายเซลล์ได้นั่นเอง จากการทดลองกับกระต่ายภายในห้องปฏิบัติการพบว่า การใช้แอนติบอดี้ที่สร้างขึ้นนี้สามารถใช้ทั้งในการป้องกันและรักษาโรคได้ในเวลาเดียวกัน ที่สำคัญก็คือไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะเลยแม้แต่น้อย โดยการใช้ยาปฏิชีวนะนั้นมักจะมีข้อเสียอยู่ที่ผู้ป่วยได้รับยานั้นช้าเกินไป ซึ่งก็เป็นสิ่งที่กลัวกันในกรณีที่เกิดการก่อการร้ายโดยใช้เชื้อโรคแอนแทร็กซ์ กว่าที่คนทั่วไปจะรู้ตัวก็อาจได้รับเชื้อนั้นเข้าไปจนทำให้ระดับสารพิษที่ถูกสร้างขึ้นอยู่ในระดับที่สามารถเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้แล้ว (เดลินิวส์พุธที่ 7 ก.ย. 2548 http://www.dailynews.co.th)





มาสด้าต้นแบบ ใช้กุญแจไฮเทค สตาร์ทเครื่อง

มาสด้าวางแผนเปิดตัวรถต้นแบบที่ใช้อุปกรณ์เก็บข้อมูลขนาดเล็ก หรือที่เรียกกันว่า "ทรัมป์ไดรฟ์" เป็นกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์ คุณสมบัติใหม่ที่ช่วยผู้ขับขี่ตั้งโปรแกรมและถ่ายโอนข้อมูลไปยังอุปกรณ์เก็บข้อมูลหลักของรถได้ ทรัมป์ไดร์ฟ หรือยูเอสบีไดรฟ์ เป็นอุปกรณ์ไอทีชนิดหนึ่งใช้กันแพร่หลายในหมู่นักศึกษา และพนักงานบริษัท เนื่องจากมีขนาดเล็กกะทัดรัด แต่สามารถเก็บข้อมูลได้เป็นจำนวนมหาศาล บางรุ่นยังได้เพิ่มความสามารถในการฟังเพลงดิจิทัลแบบเอ็มพี 3 ได้ด้วย แต่บริษัทรถยนต์ยี่ห้อมาสด้าเก๋กว่านั้น โดยพัฒนารถต้นแบบที่ใช้ยูเอสบี แทนกุญแจรถ รถต้นแบบคันนี้มีชื่อว่า "แซสซู" มุ่งเจาะกลุ่มตลาดเยาวชน ใช้กุญแจยูเอสบีสำหรับเสียบเพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ และยังส่งข้อมูลที่เก็บไว้ในยูเอสบีไปยังอุปกรณ์เก็บข้อมูลหลักของรถยนต์ได้ด้วย นักวิจารณ์ในอุตสาหกรรมยานยนต์แย้ง คุณสมบัติแบบนี้อาจต้องใช้เวลาอีกเป็นปีๆ กว่าจะมีให้เห็นตามโชว์รูมทั่วไป ซาบา เซียร์ บรรณาธิการบริหารนิตยสารรถยนต์ ระบุว่า รถต้นแบบที่หลายค่ายพัฒนากันออกมาแสดงตามงานมอเตอร์โชว์ ก็เพื่อนำเสนอรถยนต์ในรูปลักษณ์ที่แปลกแหวกแนว โดยผู้ผลิตพยายามยัดคุณสมบัติทุกอย่างใส่ลงไป แต่กว่าจะนำไปใช้กับรถยนต์ได้จริงก็ปาเข้า 3 ปี เมื่อต้นปีที่ผ่านมา โฟล์คสวาเกนเพิ่งประกาศแผนที่จะนำเสนอบลูทูธที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับระบบมือถือของโนเกีย ทำให้ผู้ขับขี่สามารถเข้าสู่ซิมการ์ดของมือถือของตัวเองผ่านการควบคุมพวงมาลัย การโทรออกด้วยเสียง หรือจากแป้นกดภายนอก นอกจากนี้ยังวิตกกันว่า กุญแจยูเอสบีที่จะนำมาใช้กับรถยนต์นั้น มีระบบป้องกันการเจาะข้อมูลได้ดีแค่ไหน เพราะมีตัวอย่างให้เห็นแล้วว่า โจรไฮเทคสามารถใช้อุปกรณ์ดัดขโมยคลื่นความถี่แล้วนำไปโจรกรรมรถยนต์ (คมชัดลึก พุธที่ 7 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





"นาซ่า"ส่งคนประจำฐานใต้สมุทร ทดลองแผนก่อสร้าง-ผ่าตัดในห้วงอวกาศ

นาซ่า แถลงว่า ระหว่างวันที่ 3-20 ตุลาคม มนุษย์อวกาศสหรัฐ 3 คน ได้แก่ ลี มอร์ริน นิโคล สก็อตต์ รอน กาแรน และนายแพทย์ทิม โบรเดริก จากมหาวิทยาลัยซินซินเนติ จะลงไปอาศัยอยู่ในห้องปฏิบัติการใต้สมุทร "อะควอเรียส" ของสำนักงานสมุทรศาสตร์และชั้นบรรยากาศแห่งชาติ ซึ่งตั้งอยู่ก้นทะเล ลึกลงไปใต้ผิวน้ำ 62 ฟุตนอกชายฝั่งรัฐฟลอริดา ภารกิจของคณะเจ้าหน้าที่ทั้ง 4 คนนี้จะมี 2 ส่วนหลักๆ ส่วนแรกเป็นการทดลองสร้างสิ่งปลูกสร้างใต้พื้นทะเล โดยในแต่ละวันมนุษย์อวกาศจะออกมาจากห้องปฏิบัติการอะควอเรียสเพื่อลงมือสร้างอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นการจำลองสภาวะเช่นเดียวกับการก่อสร้างในสภาพไร้น้ำหนักบนดวงจันทร์ ภารกิจที่ 2 เป็นการทดลองอุปกรณ์และระบบผ่าตัดทางไกล (Tele-Robotic Surgery) ทีมงานภาคพื้นดินของนาซ่าและสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำจะทดลองให้เจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการอะควอเรียสจำลองปฏิบัติการใช้เครื่องจักรกลเป็นผู้ช่วยในการผ่าตัด และทดลองใช้การสื่อสารทางไกลแนะนำวิธีการรักษาอาการป่วยให้กับคนในอะควอเรียส จุดประสงค์ของการทดลองครั้งนี้เพื่อเก็บข้อมูลสำหรับนำไปใช้ช่วยเหลือมนุษย์อวกาศบนสถานีอวกาศนานาชาติและมนุษย์ที่ต้องออกเดินทางไปสำรวจดวงจันทร์และดาวอังคารในอนาคต (ข่าวสด พุธที่ 7 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ไม่ต้องกลัวอดน้ำบนดาวอังคาร พบซ่อนอยู่ใต้เนินทรายยักษ์

นักดาราศาสตร์เกิดความอุ่นใจได้ว่า มนุษย์ที่เดินทางไปถึงดาวอังคาร จะมีแหล่งน้ำใช้สอยอย่างเพียงพอ เนื่องจากมีน้ำแข็งซ่อนอยู่ใต้เนินทรายขนาดใหญ่บนผิวพื้น ของดาวเคราะห์สีแดงมีปริมาณมหาศาล ดร.แมรี บูร์ก หัวหน้านักวิจัย เปิดเผยในที่ประชุมวิทยาศาสตร์ ที่กรุงดับลินว่า “มีเนินทรายยักษ์ลูกหนึ่งกินพื้นที่ 6.5 กม.และกองสูงจากพื้น 475 เมตร เรียกได้ว่าเป็นเนินทรายลูกยักษ์ที่สุดในระบบสุริยจักรวาลของเรา น้ำแข็งที่ซุกอยู่ข้างใต้ จะเป็นแหล่งน้ำสำคัญของมนุษย์ ที่จะเดินทางไปลงยังดาวเคราะห์ดวงนี้ในวันหน้า เพราะเมื่อต้องการหาแหล่งน้ำ ก็เพียงแต่เดินตรงไปยังเนินทรายลูกที่อยู่ใกล้ที่สุด หากโชคดี อาจจะพบอ่างเก็บน้ำที่มีน้ำมากพอใช้เป็นทั้งเชื้อเพลิง และเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ด้วย” นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้ข้อมูลที่ได้จากยานสำรวจ “มาร์ โอดิซซี่” มาจัดทำแผนที่แหล่งน้ำบนดาวอังคารอย่างหยาบๆ ได้พบว่า ที่ขั้วของดาว มีปริมาณน้ำอยู่มากถึง 70% ของทั้งหมด. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 8 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





เปิดตัวศูนย์สถาปัตยกรรมเว็บเซอร์วิส

นายประวิช รัตนเพียร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า กระทรวงวิทย์โดยสำนักงานส่งเสริมเครือข่ายวิสาหกิจคอมพิวเตอร์ (สสวค.) ภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ (สวทช.)ได้ลงนามในสัญญาว่าด้วยความร่วมมือ หรือเอ็มโอยู กับบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) ก่อตั้งคลังสมองด้านสถาปัตยกรรมเว็บเซอร์วิสในประเทศไทย ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เพื่อผลักดันให้เกิดการสร้างสรรค์แอพพลิเคชั่นเว็บเซอร์วิส และเป็นศูนย์ฝึกอบรมด้านซอฟต์แวร์แก่นักพัฒนาซอฟต์แวร์ในประเทศไทย ทั้งนี้เน้นการเป็นองค์ความรู้และสร้างบุคลากรด้านเว็บเซอร์วิสซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีคลื่นลูกใหม่ ที่จะสร้างมูลค่าให้แก่ประเทศในอนาคต อย่างไรก็ดี ศูนย์ดังกล่าวได้เปิดกว้างสำหรับเทคโนโลยีเว็บเซอร์วิสจากทุกค่าย ไม่จำกัดเฉพาะ .NET จากไมโคร ซอฟท์เท่านั้น สำหรับศูนย์สถาปัตยกรรมเว็บเซอร์วิสเริ่มแรกจะมีพนักงานประจำ 20 คน โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาการติดตั้งสำหรับใช้งานได้จริง และให้คำปรึกษาแก่โครงการบนแพลตฟอร์ม .NET ของไมโครซอฟท์ ซึ่งประกอบด้วยชุดอุปกรณ์ครบวงจรสำหรับการสร้างและบูรณาการเว็บเซอร์วิส นอกจากนี้ ทีมงานยังได้รับมอบหมายให้สร้างชุมชนนักพัฒนาและให้การฝึกอบรมเกี่ยวกับการพัฒนาบนแพลตฟอร์ม .NET ด้วย ด้านนายแอนดรูว์ แม็คบีน กรรมการผู้จัดการ ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในอนาคตอันใกล้ทุกอย่างจะถูกเชื่อมต่อด้วยเว็บเซอร์วิส ที่ทำงานบนพื้นฐานของมาตรฐานเปิด XML ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นตัวสำคัญในการสร้างความแตกต่างในการแข่งขัน เปลี่ยนรูปแบบเศรษฐกิจ รวมถึงมีผลต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ทั้งนี้มีการประเมินกันว่าเทคโนโลยีเว็บเซอร์วิสจะสร้างมูลค่าตลาดทั่วโลกถึง 38 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2010. (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 8 ก.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





ห้ามยาก 'กูเกิ้ลเอิร์ท' ภาพถ่ายดาวเทียว

จากกรณี บริษัท กูเกิล สหรัฐอเมริกา (Google USA) เปิดบริการแสดงภาพถ่ายจากดาวเทียมในส่วนของบริการแผนที่โลก หรือกูเกิลเอิร์ท (Google Earth) ซึ่งเป็นการแสดงภาพถ่ายจากดาวเทียมให้บริการแก่สาธารณะผ่านเว็บไซต์ www.google.com ซึ่งสามารถค้นหาตำแหน่งที่ตั้งของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้อย่างชัดเจน รวมถึงสถานที่ที่ต้องการรักษาความลับ ทั้งของภาครัฐและเอกชน จนกองทัพไทยต้องขอความร่วมมือไปยัง บริษัท กูเกิล สหรัฐอเมริกา ผ่านทางกระทรวงต่างประเทศ ให้ปรับลดรายละเอียดและความชัดเจนของภาพถ่ายดาวเทียม เพื่อมิให้กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ หรือละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคล ตามที่ได้เสนอข่าวมาแล้วนั้น ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 7 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การทำภาพเบลอของสถานที่สำคัญนั้นสามารถทำได้แต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีในด้านนี้มีความก้าวหน้ามาก หากมีภาพไม่คมชัดผู้ที่ต้องการก็ยังสามารถหาทำภาพนั้นให้ชัดขึ้นมาได้อยู่ดี อีกทั้งกูเกิลไม่ใช่บริษัทเดียวที่มีภาพถ่ายดาวเทียม อย่างไรก็ตามได้มีนักวิชาการออกมาให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าวว่า ทางกองทัพไทยควรจะหาวิธีการป้องกันการนำภาพดังกล่าวไปใช้ในทางไม่ดีมากกว่าสั่งห้ามเผยแพร่ เพราะทางการไทยไม่สามารถไปบล็อกเว็บไซต์ทั่วโลกได้ อีกทั้งยังมีการเผยแพร่ภาพต่าง ๆ ออกไปแล้วด้วย ซึ่งหากมีการคิดค้นพัฒนาระบบป้องกันประเทศที่ดีขึ้น ก็จะเป็นประโยชน์ในหลายฝ่ายด้วย. (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 8 ก.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





พบทำเลสร้างนิคมดวงจันทร์ แดดจ้าทั้งปีทั้งชาติ

โฆษกขององค์การนายเบอนาร์ด โฟอิงกล่าวแจงว่า บริเวณนั้นกว้างแค่เพียง 2-3 ตารางกิโลเมตร อยู่ใกล้ๆกับขั้วเหนือของดวงจันทร์ มีแดดกล้าทั้งปีทั้งชาติ นับว่าเหมาะกับที่ผลิตไฟฟ้าพลังแสงแดดใช้สอยกันในนิคมบนดวงจันทร์ บริเวณที่เหมาะจะสร้างบ้านบนดวงจันทร์ สำรวจพบโดยยานสำรวจอวกาศ“สมาร์ท-1” บรรทุกอัดแน่นด้วยเครื่องมือหนัก 370 ก.ก. ส่งออกเดินทางแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2546 และต้องใช้เวลาในการไปเข้าวงโคจรรอบดวงจันทร์ถึง 13 เดือน เหตุที่เดินทางได้ช้าเนื่องจากยานใช้การขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ใช้พลังงานไฟฟ้า จากแสงแดดให้แรงขับเคลื่อนเพียงแค่ 5 กรัมเท่านั้น แต่นับเป็นระบบการขับเคลื่อนอันเหมาะกับการเดินทางในอวกาศที่ปราศจากความเสียดทาน ของยานอวกาศที่ไม่มีพลประจำและไม่รีบร้อน นายเบอนาร์ดแจ้งว่า ยานจะพยายามหาดูในปีหน้าว่า มีน้ำแข็งอยู่ในแถบนั้นหรือไม่ เป็นที่เชื่อกันว่าดวงจันทร์เป็นโลกที่แห้งผากและไร้อากาศ แต่ก็ยังสงสัยกันว่า อาจจะมีน้ำซุกอยู่ทางแถบด้านหลังอันมืดมิดของดวงจันทร์ ซึ่งหันหลังให้โลกอยู่ตลอดเวลา. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 9 ก.ย.48 http://www.thairath.co.th)





ดาวหางเปื่อยยุ่ยเป็นหิมะ ทั้งดวงไม่มีเนื้อหนังเป็นชิ้นเป็นอัน

นักวิทยาศาสตร์องค์การอวกาศสหรัฐฯเปิดเผยว่า ดาวหาง “เทมเปิล 1” ซึ่งองค์การได้ใช้เป็นเป้าบังคับให้ยานอวกาศ “ดีพ อิมแพค” พุ่งชนนั้น ปรากฏว่าเป็นของที่เปราะบางไม่มีเนื้อหนังอะไรเลย ยิ่งกว่าหิมะที่จับตัวกันเป็นแผ่นใหญ่ นายไมเคิล เอเฮิร์น ผู้เชี่ยวชาญเรื่องดาวหางของมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ กล่าวว่า ชิ้นส่วนของดาวหางไม่มีน้ำแข็งเป็นก้อนอยู่เลย เป็นแต่เพียงเกล็ดเล็กจิ๋วทั้งสิ้น นอกจากนั้น นับจากผิวพื้นลึกลงไปตั้งหลายสิบเมตร ก็ล้วนแต่เปราะบางอย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งกว่าหิมะที่จับตัวกันเป็นแผ่นใหญ่เสียอีก พื้นผิวดาวหางพรุนไปด้วยหลุมบ่อ จากการโดนถูกพุ่งชนไปหมด องค์การอวกาศสหรัฐฯได้บังคับให้ยานพุ่งชนดาวหาง “เทมเปิล 1” เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคมที่แล้ว ด้วยความหวังว่าจะช่วยให้รู้ความลับว่า ชีวิตกำเนิดขึ้นบนโลกมาอย่างไร เพราะมีการกล่าวขวัญกันมากว่า ดาวหางเป็นตัวหว่านเชื้อของพืชพันธุ์ต่างๆ ให้กับดาวเคราะห์ รวมทั้งโลกของเราด้วย เมื่อตอนต้นกำเนิดขึ้น. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 9 ก.ย.48 http://www.thairath.co.th)





จัด ‘คาราวานวิทยาศาสตร์’ ฉลอง 100 ปี ฟิสิกส์โลก

ดร.ประวิช รัตนเพียร รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เปิดเผยว่า วท.โดยองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) จะจัดโครงการ “คาราวานวิทยาศาสตร์” ขึ้น ระหว่างเดือน ก.ย.-พ.ย.2548 โดยจะตระเวนไปตามจังหวัดต่างๆ ของแต่ละภูมิภาค อาทิ ภาคอีสานที่ นครราชสีมา อุบลราชธานี อุดรธานี ขอนแก่น ภาคเหนือที่ เชียงใหม่ พิษณุโลก นครสวรรค์ ภาคกลาง และตะวันออก ที่ กทม. จันทบุรี กาญจนบุรี และภาคใต้ ที่นราธิวาส สงขลา นครศรีธรรมราช ทั้งนี้ โครงการคาราวานฯ จัดขึ้นเพื่อร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี ฟิสิกส์โลก โดยจะมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมและกระตุ้นให้ประชาชน เกิดการตื่นตัวกับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องทางวิทยาศาสตร์ ทำวิทยาศาสตร์ให้เป็นเรื่องเข้าใจง่าย สามารถเข้าถึงได้ด้วยกิจกรรมที่สนุกสนาน สร้างสรรค์อาทิ การพบปะพูดคุยกับนักเรียนที่ได้เหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ความคิดทางวิทยาศาสตร์ และที่สำคัญจะมีการจัดแสดงละครวิทยาศาสตร์เรื่อง “เมื่อไอน์สไตน์ พบยมบาล” เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและเข้าถึงตัวตนของ ไอน์สไตน์ ด้วยรูปแบบละครที่ผสมระหว่างศาสตร์และศิลป์ นอกจากนั้น วท.ยังเปิดเส้นทางเดินรถใหม่เพื่อให้เยาวชนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ คลอง 5 จ.ปทุมธานี ได้อย่างสะดวก โดยจะให้ อพวช.บริการ Shuttle bus จากสถานีรถไฟฟ้า BTS จัตุจักรถึงพิพิธภัณฑ์ฯ วันละ 3 เที่ยว เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2548. (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 10 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





อังกฤษไฟเขียวผลิตตัวอ่อนมนุษย์จากยีนส์สองแม่ เพื่อป้องกันการถ่ายโรคประจำตัวของแม่แก่ลูก

โดยกลุ่มนักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยนิวคาสเซิลได้รับอนุญาติจากหน่วยงานตัวอ่อนและการเจริญพันธุ์มนษย์ของอังกฤษ สร้างตัวอ่อนมนุษย์จากยีนส์แม่สองคน หรือกระบวนการสามารถถ่ายโอนตัวอ่อนที่มาจากหญิงและชายไปยังไข่ของผู้หญิงอีกคน จุดประสงค์เพื่อช่วยป้องกันการถ่ายทอดโรคประจำตัวของแม่เด็กแก่ลูก หลังจากกลุ่มประสบความสำเร็จในการทดลองดังกล่าวกับหนูก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ สำหรับเด็กที่ถือกำเนิดจากตัวอ่อนดังกล่าวจะมีลักษณะทางร่างกายเหมือนบิดามากกว่าแม่ ที่ผ่านมา ตัวอ่อนจะมีดีเอ็นเอเฉพาะหรือจากมารดาของตัวอ่อน และหากดีเอ็นเอของตัวอ่อนเกิดปัญหาบกพร่อง ก็จะทำให้เด็กมีพันธุกรรมป่วยติดตัวแต่กำเนิดตามมารดาอาทิเช่น สมอง หัวใจ ตับ ไต หรือกล้ามเนื้อ ซึ่งปัจจุบันโรคเหล่านี้เป็นที่รู้ว่า การแพทย์ยังไม่มีวิธีการรักษา อย่างไรก็ตาม ด้านศาสตราจาย์จอห์น เบิร์น หนึ่งในทีมวิจัยยืนยันว่า การสร้างตัวอ่อนดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันแม่ถ่ายโอนโรคแก่ลูกเท่านั้น จะไม่เกี่ยวข้องกับการกำหนดลักษณะบุตรหรือออกแบบเด็กแต่อย่างใด (สยามรัฐรายวัน เสาร์ที่ 10 ก.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





เทคโนโลยีทำประปาจากน้ำเค็ม แก้ปัญหาขาดน้ำจืด

ทวีวัธน์ เตชะกำธรกิจ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายบริการกลุ่มสิ่งแวดล้อม บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) บอกเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งเกาะสมุยเคยขาดแคลนน้ำจืดอย่างหนัก ขนาดกิจการโรงแรมที่นั่นต้องอาศัยน้ำที่ขนลงเรือมาขายจากสุราษฎร์ธานีในอัตราคิวบิกเมตรละ 100 บาท(1,000 ลิตร) การประปาสมุยแก้ปัญหาด้วยการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ ทำสัญญาว่าจ้างล็อกซเล่ย์ไปติดตั้งระบบทำน้ำประปาจากน้ำทะเลให้เกาะสมุย เพิ่งเริ่มเดินเครื่องไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้ผลเป็นที่น่าพอใจเพราะไม่เพียงมีน้ำจืดใช้เพียงพอยังได้น้ำที่มีคุณภาพดีขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย เทคโนโลยีในการทำน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืดสำหรับการอุปโภคและบริโภคนั้น ไม่ได้สลับซับซ้อนมากมายแต่อย่างใด เทคโนโลยีที่ว่านี้เป็นเทคโนโลยีที่ใช้กันอยู่ในระบบกรองน้ำระดับสูง เรียกกันว่าระบบรีเวิร์ส ออสโมซิส หรืออาร์โอ นั่นเอง ระบบออสโมซิส นั้นเป็นการเลียนแบบจากธรรมชาติเพราะต้นไม้ใช้วิธีการเดียวกันนี้ดึงดูดน้ำและแร่ธาตุจากใต้ดินขึ้นไปหล่อเลี้ยงลำต้น โดยอาศัยความแตกต่างของความหนาแน่นของระหว่างน้ำในดินกับน้ำในต้นไม้ แต่การทำน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืดนั้นเป็นกระบวนการกลับด้านของระบบออสโมซิส คือทำน้ำที่เข้มข้นกว่าให้กลายเป็นน้ำที่มีความเข้มข้นน้อยกว่าจึงเรียกว่ากระบวนการรีเวิร์ส ออสโมซิส ระบบทำน้ำทะเลให้เป็นน้ำประปาใช้วิธีการสร้างแรงดันมหาศาลดันน้ำทะเลผ่านเยื่อกรองที่เรียกว่า เมมเบรน ซึ่งเป็นเยื่อกรองสังเคราะห์กึ่งออแกนิค ที่มีความละเอียดในการกรองสูงมาก เพื่อสกัดคลอไรด์ในน้ำทะเลและแร่ธาตุอื่นๆ ทั้งหมดออก จากนั้นนำน้ำจืดที่ได้ไปผ่านการผสมสารเคมีพวกคลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อที่อาจหลงเหลืออยู่แล้วจ่ายต่อให้กับประชาชนผู้ใช้น้ำต่อไป ประเด็นที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นก็คือ กลุ่มบริษัทเอกชนกลุ่มหนึ่งเตรียมนำเอาระบบดังกล่าวนี้มาใช้เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำในระบบอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคตะวันออก ด้วยการรวมกลุ่มลงขันกันวางโครงการสร้างน้ำจืดจากน้ำทะเลเพื่อใช้เป็นน้ำสำหรับอุตสาหกรรมในยามฉุกเฉินหรือแห้งแล้ง คิดเป็นมูลค่าโครงการนับหมื่นล้านบาท ซึ่งหากเป็นจริง ระบบดังกล่าวจะเป็นระบบทำน้ำทะเลเป็นน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และจะเป็นทางออกในการแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำของพื้นที่ภาคตะวันออกโดยถาวรต่อไป (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 10 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





ข่าววิจัย/พัฒนา


นักวิจัยไทยทำจอมือถือแบน-บาง นาโนเทคโนโลยีคมชัด-กินไฟน้อย

รศ.ดร.สุคนธ์ พานิชพันธ์ ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยอยู่ระหว่างทดลองสร้างจอภาพชนิดแบนสำหรับโทรศัพท์มือถือ ภายใต้เทคโนโลยีที่คิดค้นขึ้นเองซึ่งได้รับทุนวิจัยจากโครงการสมองไหลกลับของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จำนวน 10.49 ล้านบาท ระยะเวลา 2 ปี โดยจอแบนที่ได้จะให้ภาพคมชัด สว่างจ้าและกินไฟต่ำ จึงช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ เป้าหมายของการทำจอภาพมือถือ ก็เพื่อสร้างองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านจอภาพของไทยเอง และสามารถพัฒนาสู่การผลิตเชิงการค้าในอนาคตได้ด้วย จากนั้นเมื่อไทยมีเทคโนโลยีของตนเอง จะสามารถสร้างจอภาพชนิดแบน สำหรับโทรทัศน์และอุปกรณ์อื่นๆ ที่ขนาดใหญ่กว่ามือถือ เหมือนกับบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของโลกที่สร้างโทรทัศน์จอแบน เพียงแต่ใช้วัสดุต่างชนิดกับที่เราทำวิจัยอยู่ สำหรับวัสดุทำจอภาพที่ใช้ทั่วไปเรียกว่า พอลิเมอร์นำไฟฟ้า ซึ่งมีอยู่หลายชนิด โดยทีมวิจัยเชียงใหม่ประสบความสำเร็จในการคิดค้นพอลิเมอร์นำไฟฟ้าชนิดใหม่ พร้อมทั้งนำนาโนเทคโนโลยีเข้ามาช่วยด้วย ทำให้ได้จอภาพที่มีคุณสมบัติเด่นดังข้างต้น ทั้งยังยื่นจดสิทธิบัตรกรรมวิธีการทำพอลิเมอร์นำไฟฟ้าดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว และคาดว่าเมื่อเสร็จสิ้นโครงงานวิจัยนี้จะได้สิทธิบัตรเพิ่มอีก 2 ฉบับ รวมถึงสิทธิบัตรที่เป็นผลิตภัณฑ์จอภาพชนิดแบนด้วย งานวิจัยนี้เป็นความร่วมมือระหว่างนักวิจัยไทยที่ทำงานในสหรัฐ และนักวิจัยชาวอเมริกันกับคณะวิจัยจากห้องปฏิบัติการนาโนวิทยา และหน่วยวิจัยเครือข่ายพอลิเมอร์ทางการแพทย์ของ สวทช. คณะวิทยาศาสตร์ ม.เชียงใหม่ โดยนักวิจัยจากสหรัฐจะมาถ่ายทอดความรู้ เทคโนโลยีที่ทันสมัย รวมทั้งการปรึกษาหารือแนวทางการทำวิจัย การเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาร่วมวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาด้วย (คมชัดลึก จันทร์ที่ 5 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





เมล็ดลางสาดมีประโยชน์ทำยามีสารยับยั้งมาลาเรีย-วัณโรค

น.ส.นิสากร แซ่วัน บัณฑิตปริญญาเอก มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ได้ศึกษาวิจัยนำเมล็ดลางสาดมาแยกสารโดยผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ พบว่าในเมล็ดลางสาดมีกลุ่มสารประเภท "ลิมอนอยด์" อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นสารเคมีที่พบในพืช มีคุณสมบัติในการต่อต้านไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อรา สารดังกล่าวมักพบมีอยู่จำนวนมากในพืชตระกูลมะนาว นักศึกษาได้สกัดสารดังกล่าวจากลางสาดและนำไปทำให้บริสุทธิ์ และทดสอบกับผู้ป่วยที่เป็นไข้มาลาเรียและวัณโรค ผลปรากฏว่าสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคได้สำเร็จ จึงได้ศึกษาวิจัยต่อสำหรับหากลุ่มของสารในเมล็ดลางสาด เพื่อต้องการทราบโครงสร้างของสารที่ออกฤทธิ์ ความสัมพันธ์ของสารที่มีอยู่ในเมล็ดอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะนำสารที่สกัดได้ทั้งหมดมาผลิตเป็นตัวยาสำเร็จรูป คาดว่าเมื่องานวิจัยสำเร็จ จะสามารถเพิ่มมูลค่าของลางสาดให้เกษตรกรในพื้นที่ เพราะนอกจากนำผลมารับประทานแล้ว ยังสามารถนำเมล็ดมาสกัดเป็นตัวยารักษาโรควัณโรคและมาลาเรียได้ด้วย ผลงานดังกล่าวได้จากการทำวิทยานิพนธ์เรื่องการแยกและศึกษาฤทธิ์ทางชีวภาพขององค์ประกอบทางเคมีจากลางสาด ซึ่งได้รับการเผยแพร่ในวารสารนานาชาติ 2 เรื่อง และอีก 2 เรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อจัดพิมพ์ (คมชัดลึก จันทร์ที่ 5 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





พบน้ำมันมะกอกสดเป็นยาแก้ปวด แถมยังป้องกันอาการอักเสบต่างๆ

นักวิจัยของศูนย์โมเนลล์ เคมีคอล เซนส์ ของสหรัฐฯ ได้รายงานในวารสาร “วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ” ว่า น้ำมันมะกอก มีส่วนประกอบ ที่มีสรรพคุณเป็นยาแก้อักเสบ แม้ว่ามันจะไม่แรงขนาดรักษาอาการปวดศีรษะได้ แต่มันก็เป็นเหตุผลที่ทำให้อาหารของคนที่อยู่ตามริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ถูกกล่าวขวัญยกย่องว่ามีคุณประโยชน์แก่ร่างกาย สารที่พบในน้ำมันมะกอกสดเข้มข้นว่า โอลีโอแคนธัล ซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการอักเสบ แบบเดียวกับที่เป็นอยู่ในยาแก้ปวดและยาแก้อักเสบ ที่ไม่มีสเตียรอยด์ อาการอักเสบถูกพบว่า ผูกพันกับอาการของโรคร้ายแรงต่างๆ อยู่หลายโรคตั้งแต่โรคหัวใจไปจนถึงมะเร็ง นักวิจัยของมูลนิธิโภชนาการอังกฤษ กล่าวอธิบายว่า “น้ำมันมะกอกมีสารประกอบทางชีววิทยาหลายอย่าง แต่เราไม่แน่ใจว่ามันทำอะไร เราเชื่อว่ามันมีคุณสมบัติทางต่อต้านสารอนุมูลอิสระบางอย่าง แต่เมื่อมารู้ว่ามันเป็นเหมือนยา ยิ่งทำให้จำเป็นต้องศึกษาวิจัยกันให้มากขึ้น เพราะมีไขมันสูงเหมือน (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 5 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





โรคเต้านมอักเสบในฝูงโค มช.วิจัยด้วยสมุนไพร..ผู้ดื่มปลอดภัย

ทางคณะแพทยศาสตร์ มช. ได้ ทำการวิจัย สร้างชุดตรวจสอบน้ำนมดิบ เพื่อหาโรคเต้าอักเสบแบบไม่แสดงอาการ โดยได้รับทุนอุดหนุนจาก สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เป็นการวิจัยพัฒนาต่อยอด “จากหิ้งสู่ห้าง” หรือการนำไปใช้ ประโยชน์ โดยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อลดการนำเข้าน้ำยา ที่ใช้ในอุตสาหกรรมโคนม จากต่างประเทศ และหันมาใช้วัตถุดิบ ที่เป็นตัวยาสมุนไพร และหาได้ในเมืองไทย ซึ่งผลจากการทดสอบนั้น สามารถช่วยลดต้นทุนการผลิต ของเกษตรกรรายย่อยลงได้ เฉลี่ยเดือนหนึ่งประมาณ 2,000 บาท การวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ ขั้นแรก ทางทีมวิจัยนำน้ำยาตรวจหาเต้านมอักเสบแบบไม่แสดงอาการที่ศูนย์รวมนมดิบใน จ.เชียงใหม่ ซึ่งทำให้รู้ว่าฟาร์มใดมีปัญหา และจากการสำรวจพบว่ามีอยู่ 40 เปอร์เซ็นต์ของฝูงที่มีอาการเต้าอักเสบแบบไม่แสดงอาการ และทีมวิจัยจะลงไปที่ฟาร์มเพื่อหาสาเหตุว่าเกิดจากวัวนมหรือเครื่องรีด มาถึงขั้นตอนการรักษา จะใช้ยาหม่องที่ทีมวิจัยคิดค้นสูตร ซึ่งยาจะมีลักษณะเป็นครีมเหนียว โดยใช้วัตถุดิบในเมืองไทยผลิตและพัฒนาเป็นยานวดเต้าโคนม โดยในช่วงนี้ควรรีดนมทิ้งหรือนำไปเลี้ยงลูกโคก็ได้ จากนั้นใช้ยาหม่องนวดเต้าโคเช้า-เย็น เป็นเวลา 3 วัน ผลที่ได้พบว่าเป็นที่น่าพอใจ ขั้นตอนการป้องกัน เพราะเชื้อโรค จะเข้าทางหัวนมแม่วัวหลังรีดได้ ดังนั้น ทางทีมวิจัยจึงได้คิดค้นตัวยาจุ่ม ที่มีส่วนผสมของไอโอดีน และไอโอโดฟอร์ ซึ่งมีคุณสมบัติในการป้องกัน ไม่ให้เกิดโรคเต้าอักเสบ อีกทั้งยังรักษาความชุ่มชื้น เกาะผิวได้ดี ออกฤทธิ์เร็ว และนานกับบริเวณผิวหนังและหัวนมแม่โค โดยทำการทดสอบ เพื่อเก็บข้อมูลกับกลุ่มผู้เลี้ยงโค 3 กลุ่ม เป็นระยะเวลา 3 เดือน ผลที่ได้พบว่าเกษตรกรมีการกลับมาใช้ซ้ำ และมีจำนวนกลุ่มผู้ใช้เพิ่มขึ้น และเกษตรกรรายใดสนใจทั้งยานวดและยาจุ่มเต้าโคนม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่คณะแพทยศาสตร์ มช. โทร. 0-5394-8002 และ 0-1792-0299 (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 5 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





ฟุตบอลหุ่นยนต์ชิงแชมป์ประเทศไทย บันไดสู่การแข่งขันระดับโลก

นายวรพงษ์ ศุภกิจไพศาล หรือน้องต้น นักศึกษาปี 3 ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในทีมพลาสมาซี เล่าว่า จากความชอบส่วนตัวในการต่อเลโก้ และหุ่นยนต์ประกอบสำเร็จรูป บวกกับความประทับใจในผลงานของรุ่นพี่ ทำให้ตัดสินใจเข้าร่วมในชมรมนักประดิษฐ์วิศวกรรมของมหาวิทยาลัย ผลงานชิ้นแรกคือการประดิษฐ์ “ฟุตบอลหุ่นยนต์” เพื่อแข่งขันระดับประเทศ ซึ่งสามารถคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ ได้เป็นตัวแทนประเทศเข้าร่วมแข่งขันระดับโลกที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งต้องมีการพัฒนาต่อยอดสิ่งประดิษฐ์จากความสำเร็จเดิม แม้จะไม่ได้เข้ารอบเพราะโชคร้ายที่เจอกับสุดยอดแชมป์เก่า แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็คือประสบ การณ์และมุมมองเทคโนโลยีใหม่ จากการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านงานวิจัยในกลุ่มเพื่อนที่สนใจด้านเดียวกัน หุ่นยนต์ประดิษฐ์นั้น มีศาสตร์หลายแขนงเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นที่แต่ละคนจะต้องรู้ในทุก ๆ ด้าน รู้เพียงแต่ด้านใดด้านหนึ่ง เช่น อาจจะเขียนโปรแกรมได้ หรือมีความรู้ทางด้านเครื่องกล หรือไฟฟ้า เพียงแต่จุดสำคัญอยู่ที่การรวมทีม คือฟอร์มทีมให้ดี มีความรู้ในหลาย ๆ ด้านที่ไม่เหมือนกัน แล้วพุ่งเป้าไปที่จุดหมายเดียวกัน ผู้สนใจในการสร้างสรรค์หุ่นยนต์ และอยากมีโอกาสร่วมแสดง ผลงานในเวทีแข่งขันระดับโลก ปีนี้!! บริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับ สมาคมวิชาการหุ่นยนต์ไทยและคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัด “การแข่งขันฟุตบอลหุ่นยนต์ชิงแชมป์ประเทศไทย 2549” ขึ้นระหว่างวันที่ 26-29 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งจะมีการจัดรอบคัดเลือกขึ้นในงานจุฬาฯวิชาการ เพื่อคัดเลือกตัวแทนไปชิงแชมป์โลกฟุตบอลหุ่นยนต์โลกที่เยอรมนี คลิกเข้าไปดูรายละเอียดกันได้ที่ www.trs.or.th หมดเขตรับสมัคร 30 กันยายนนี้ (เดลินิวส์ อังคารที่ 6 ก.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





เครื่องสกัดน้ำมันจากเมล็ดสบู่ดำ ผลงานของวิทยาลัยเทคนิคพิจิตร

อ.ประพันธ์ จันทรมณี อาจารย์ประจำแผนกวิชาช่างยนต์ วิทยาลัยเทคนิคพิจิตร ร่วมกับคณะนักศึกษา จึงได้มีแนวคิดที่จะจัดสร้างเครื่องสกัดน้ำมันจากเมล็ดสบู่ดำขึ้น โดยเริ่มต้นได้ไปศึกษาเครื่องต้นแบบที่ศูนย์จักรกลการเกษตรจังหวัดชัยนาทซึ่งเครื่องมีลักษณะบีบอัดด้วยแรงกด ประยุกต์ และพัฒนาจนประดิษฐ์เครื่องสกัดน้ำมันจากเมล็ดสบู่ดำที่มีลักษณะแข็งแรงและทนทาน มีประสิทธิภาพในการ บีบน้ำมันจากเมล็ดสบู่ดำได้จำนวน 1 ลิตรต่อเมล็ดสบู่ดำจำนวน 3.5 กิโลกรัม (จากการทดลองพบว่าภายในเวลา 12 ชั่วโมงต่อเนื่อง เครื่องสามารถสกัดน้ำมันสบู่ดำได้ถึง 250 ลิตรจากวัตถุดิบจำนวน 1,000 กิโลกรัม) และ ได้รับรางวัลชนะเลิศ ประเภทสิ่งประดิษฐ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการประหยัดพลังงาน ในงานมหกรรมอาชีวศึกษาเทิดไท้มหาราชินี ประจำปี พ.ศ. 2548 เครื่องสกัดน้ำมันจากเมล็ดสบู่ดำเครื่องนี้ว่ามีต้นทุนในการผลิตต่อเครื่องประมาณ 40,000 บาท แต่ทางวิทยาลัยได้มองถึงประโยชน์ที่ชุมชนจะได้รับประโยชน์ในอนาคต เมื่อมีการปลูกสบู่ดำในพื้นที่กระจายอยู่ทั่วไปเครื่องนี้น่าจะใช้เป็นต้นแบบและเหมาะจะมีการติดตั้งไว้ใช้ในแต่ละชุมชน โดยลักษณะทั่วไปของตัวเครื่องใช้ต้นกำลังด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 1 สูบ 7 แรงม้า ตัวเครื่องมีขนาดกว้าง 50 เซนติเมตร ยาว 180 เซนติเมตรและสูง 60 เซนติเมตร ใช้หลักการบีบน้ำมันด้วยเกลียว วัสดุที่ใช้ทำประกอบด้วย เหล็ก เหล็กหล่อและสเตนเลส มีขั้นตอนในการทำงานไม่ยุ่งยากเริ่มต้นจากนำเมล็ดสบู่ดำที่ชั่งน้ำหนักมาแล้วเทใส่กรวยด้านบน ติดเครื่องต้นกำลังให้เครื่องทำงาน คอยตรวจสอบน้ำมันที่ไหลออกมาให้ผ่านถุงกรองเศษและขั้นตอนสุดท้ายคือ นำน้ำมันที่ได้ไปใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็กได้ทันที ในเรื่องของเทคนิคการกรองน้ำมันนั้น อ.ประพันธ์บอกว่าชาวบ้านสามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเองไม่ยุ่งยาก ซับซ้อนอะไร เช่น กรองหยาบครั้งแรกอาจจะใช้ผ้ามุ้งธรรมดา ต่อมาอาจจะกรองด้วยกระดาษยิ่งกรองหลาย ๆ ครั้งยิ่งดี รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อได้โดยตรงที่วิทยาลัยเทคนิคพิจิตร โทร. 0-5661-1325. (เดลินิวส์ อังคารที่ 6 ก.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





เครื่องวัดแอลกอฮอล์ฝีมือไทย ต้นทุนต่ำช่วยชาติประหยัดกว่า 120 ล้าน

นักวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ (เนคเทค) และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ พัฒนาเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์แบบพกพา ราคาถูกกว่าของนำเข้าหลายเท่า ป้องกันอุบัติเหตุ "เมาแล้วขับ" เตรียมย่อส่วนให้เล็กลงให้เอกชนใช้ตรวจพนักงาน ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ นักวิจัยประจำหน่วยวิจัยนาโนอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องกลจุลภาค ศูนย์เนคเทค เปิดเผยว่า ทีมวิจัยได้ออกแบบและพัฒนาเครื่องตรวจหาระดับแอลกอฮอล์เพื่อช่วยงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรที่ออกปฏิบัติหน้าที่ ตรวจผู้ขับขี่รถยนต์ที่ดื่มสุราเกินระดับที่ปลอดภัยในการขับขี่ยานพาหนะ ซึ่งปัจจุบันเครื่องดังกล่าวมีจำนวนน้อยไม่เพียงพอต่อการใช้งาน "เครื่องตรวจแอลกอฮอล์มีสองแบบ แบบแรกเป็นเครื่องคัดกรองเบื้องต้น ซึ่งหากพบว่ามีสารเกินที่กำหนดไว้จะต้องมาใช้เครื่องตรวจแบบเป่าที่สามารถต่อเข้ากับเครื่องพิมพ์เพื่อเป็นหลักฐานในการเปรียบเทียบปรับ" ทีมวิจัยจึงเริ่มพัฒนาเครื่องตรวจแอลกอฮอล์แบบคัดกรอง เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่ได้รับความสะดวก และการปฏิบัติงานของตำรวจคล่องตัวขึ้น เครื่องต้นแบบของเนคเทคเป็นชนิดที่สามารถพกติดตัวได้ มีขนาดใกล้เคียงกับไฟฉายขนาดกลาง "หัววัดเป็นแบบเซมิคอนดักเตอร์ และมีไมโครคอนโทรลเลอร์สำหรับใช้ปรับแต่งค่าต่างๆ มีหน้าจอแอลซีดีสำหรับแสดงผล และรูปแบบวิธีใช้งาน อุปกรณ์ตัวนี้อาศัยแบตเตอรี่แบบชาร์จกระแสไฟใหม่ได้ จากการทดลองสามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 8 ชั่วโมง เพียงพอต่อการออกปฏิบัติหน้าที่ในตอนกลางคืน" เครื่องตรวจหาแอลกอฮอล์เพื่อคัดกรองเบื้องต้นนี้ได้ทดลองใช้ภาคสนามแล้ว และพบว่ามีความแม่นยำไม่ต่างจากของต่างประเทศ และสะดวกในการใช้งาน โดยผู้ขับขี่ยังนั่งอยู่ในรถเพียงหมุนกระจกรถลง แล้วเป่าลมหายใจเข้าเครื่อง หาพบว่ามีแอลกอฮอล์เกินที่กำหนด จึงค่อยลงจากรถเพื่อมาใช้เครื่องเป่ามาตรฐานที่ต่อกับเครื่องพิมพ์สำหรับใช้เป็นหลักฐานในการเปรียบเทียบปรับต่อไป ต้นทุนเครื่องที่ศูนย์พัฒนาตกราว 6,000 บาทต่อเครื่อง ถูกกว่าเครื่องคัดกรองของต่างประเทศที่ราคาสูงถึง 3 หมื่นบาท หากผลิตในจำนวน 5,000 ชุด เพื่อให้ครอบคลุมใช้งานทั่วประเทศจะช่วยชาติประหยัดงบได้ถึง 120 ล้านบาท (คมชัดลึก อังคารที่ 6 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ตู้ปลาอัตโนมัติไม่พึ่งคนเลี้ยง

ผลงานตู้เลี้ยงปลาอัตโนมัติมาจากการคิดค้นของ น.ส.ศศิวิมล ตันติวุฒิ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 ภาควิชาวิศวกรรมเกษตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ที่นำความรู้ด้านวิศวกรรมมาดัดแปลงตู้ปลาทั่วไปให้กลายเป็นตู้ปลาไฮเทค เพียงเจ้าของบ้านตั้งเวลาให้อาหารและเวลาเปลี่ยนน้ำ ตู้ปลาจะทำงานอัตโนมัติในทันที โดยร่วมกับ นายชัยยันต์ สกุลเพชรอร่าม เพื่อนนักศึกษา ออกแบบระบบช่วยเลี้ยงปลาอัตโนมัติขึ้น โดยเริ่มจากระบบให้อาหารที่ออกแบบโดยป้อนโปรแกรมเข้าชุดไมโครคอนโทรเลอร์หรือชุดสมองกล ทำหน้าที่ควบคุมระบบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ส่วนของการให้อาหาร ปริมาณ และระยะเวลา รวมถึงระบบถ่ายน้ำ ในส่วนของระบบถ่ายน้ำนั้นได้ออกแบบโดยอาศัยตัวเซ็นเซอร์วัดระดับ เป็นตัวควบคุมร่วมกับไมโครคอนโทรเลอร์ อุปกรณ์เซ็นเซอร์วัดระดับจะติดไว้ด้านบนของตู้ปลา ในลักษณะของไม้วัดระดับความสูงประมาณ 1 คืบ ทำหน้าที่วัดระดับน้ำในตู้ ซึ่งผู้เลี้ยงสามารถกำหนดระดับน้ำที่ต้องการเปลี่ยนถ่ายจากไม้วัดระดับอันนี้ ร่วมกับการกำหนดวันที่ต้องการเปลี่ยนน้ำ ขณะที่ตู้ปลาจะต่อท่อเชื่อมระบบน้ำภายในบ้าน การเปลี่ยนน้ำในตู้ปลาผ่านเครื่องนี้ ไม่จำเป็นต้องถ่ายน้ำออกจากตู้จนหมด เพียงแต่กำหนดระดับน้ำที่ต้องการปล่อยออกก่อนเปิดเครื่อง น้ำเก่าก็จะไหลออกจนถึงระดับที่กำหนด ขณะเดียวกัน น้ำใหม่จะไหลมาแทนที่ โดยไม่ต้องตักหรือช้อนปลาออก สำหรับค่าใช้จ่ายในการติดตั้งเครื่องเลี้ยงปลาอัตโนมัติประมาณ 900 บาทต่อเครื่อง สามารถกำหนดระยะเวลาให้อาหารได้สูงสุด 12 ครั้งต่อวัน พร้อมทั้งกำหนดปริมาณอาหารในแต่ละมื้อให้เหมาะสมกับจำนวนและชนิดของปลาในตู้ได้ด้วย ด้าน นายศิวลักษณ์ ปฐวีรัตน์ อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ กล่าวว่า เครื่องเลี้ยงปลาอัตโนมัติรุ่นนี้จะต้องปรับปรุงอีกเล็กน้อย เช่น ออกแบบรูปลักษณ์ให้สวยงาม ทนทานและความแม่นยำในการปฏิบัติตามคำสั่ง จึงจะสามารถนำไปจำหน่ายเชิงการค้าได้ โดยคาดว่าราคาขายของอุปกรณ์นี้ประมาณ 1,200 บาท (คมชัดลึก อังคารที่ 6 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





หุ่นยนต์ไอโบเตือนภัยโรคอ้วน

วินเธีย เบรียซีล นักวิจัยจากเอ็มไอทีมีเดียแล็บ ในสหรัฐ ได้พัฒนาซอฟต์แวร์เสริมสำหรับหุ่นยนต์สุนัขไอโบ เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบปริมาณอาหาร การออกกำลังกายในแต่ละวัน พร้อมทั้งเตือนไม่ให้เจ้าของรับประทานขนมหวานเกินต้องการ เรียกว่าคอยดูแลกันอย่างเข้มงวดเลยทีเดียว หุ่นยนต์ไอโบจะแสดงพฤติกรรมที่ตีความหมายได้ว่า เจ้าของได้รับพลังงานจากอาหารที่รับประทานเข้าไปมากเกินไปหรือเปล่า โดยมันจะรับข้อมูลที่ส่งตรงมาจากคอมพิวเตอร์มือถือที่ผู้ใช้ต้องเพียรป้อนข้อมูลการกินการอยู่ของตัวเองลงไป รวมทั้งข้อมูลความเร็วในการเดิน และน้ำหนักตัวด้วย เมื่อได้รับข้อมูลแล้ว ถ้าพบว่าเจ้าของไอโบมีปริมาณแคลอรี่สมดุล เจ้าไอโบก็จะกระโดดโลดเต้นไปมา พร้อมส่งเสียงเพลงคึกคัก พร้อมส่องแสงไฟแอลซีดีสว่างทั่วตัว แต่หากคุณมีปริมาณแคลอรี่ในตัวมากเกินไป ไอโบก็จะเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า และส่งเสียงเพลงอย่างอ่อนกำลัง สาเหตุที่นักวิจัยเลือกใช้ไอโบเป็นพี่เลี้ยงในการควบคุมระดับแคลอรี่ ก็เพราะจากการศึกษาที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าหุ่นยนต์ที่จับต้องได้ สามารถดึงดูดใจ และชักจูงคนให้หันมาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ดีกว่าการดูภาพการ์ตูนผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ สำหรับการนำเสนอแนวคิดอย่างเต็มรูปแบบ จะมีขึ้นในงานประชุมยูนิคอมพ์ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ 11 กันยายนนี้ จากนั้นก็จะเริ่มทดลองดูประสิทธิภาพของไอโบกับชาวเมืองบอสตันที่มีน้ำหนักตัวเกิน 30 คนในฤดูใบไม้ผลิหน้า โดยเชื่อว่างานวิจัยชิ้นนี้ จะเป็นอีกหนทางที่จะช่วยป้องกันภาวะโรคอ้วนในคนได้ (คมชัดลึก อังคารที่ 6 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ถ้วยรับน้ำยางจากวัสดุธรรมชาติ นวัตกรรมใหม่ฝีมืออาจารย์ มอ.

นายสุรสิทธิ์ ประสารปราณ อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีวัสดุภัณฑ์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ จึงคิดค้นนวัตกรรมใหม่ขึ้นมาแทนการใช้ถ้วยรับน้ำยางพาราที่ผลิตขึ้นจากเซรามิกและพลาสติก จากนั้นจึงวิจัยเรื่อง "การพัฒนาถ้วยรับน้ำยาง โดยใช้น้ำยางธรรมชาติและดินขาว" ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานสนับสนุนการวิจัย (สกว.) นายสุรสิทธิ์ ให้ข้อมูลว่า โครงงานวิจัยชิ้นนี้มุ่งเน้นการประยุกต์ใช้น้ำยางพารา ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของภาคใต้มาแปรรูป โดยได้เปิดเผยกระบวนการผลิตอย่างไม่ปิดบังว่า เทคนิคคือต้องใช้น้ำยางยางพาราที่ผ่านกระบวนกาวัลคาไนซ์ผสมกับกาวโพลิไวนิล แอลกอฮอล์ที่มีต้นทุนของกาวไม่แพงมากนักเป็นตัวเชื่อมประสาน จากนั้นนำแป้งมัน สำปะหลังมาผสมกับสารเสริมแรงคือดินขาว แล้วแบ่งออกเป็น 2 ส่วนเท่าๆ กัน โดยส่วนหนึ่งนำมาเติมด้วยน้ำร้อนที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส ในปริมาณร้อยละ 80 ของน้ำหนักแป้งมันสำปะหลังผสมดินขาว จากนั้นนำมาผสมให้เข้ากันแล้วเติมสารยึดเหนี่ยวจากยางพาราผสมโพลิไวนิลแอลกอฮอล์ในปริมาณร้อยละ 30 ของน้ำหนักแป้งมันสำปะหลัง ผสมดินขาว พร้อมกับทำการนวดผสมแล้วนำไปอัดขึ้นรูปด้วยความร้อนและความดันต่อไป ขณะนี้พบว่าถ้วยรับน้ำยางที่ผลิตได้แข็งแรงมาก แต่มีข้อเสียเรื่องเปอร์เซ็นต์การดูดซึมน้ำสูง จึงแก้ไขด้วยการเคลือบสารอีพ็อคซี (สารป้องกันการดูดซึมน้ำ) และเมื่อนำมาทดลองใช้บรรจุน้ำยางพารา พบว่าไม่เพียงแต่ใช้งานได้ดีแต่ยังช่วยให้น้ำยางที่กรีดได้ไม่ติดแน่นบริเวณก้นถ้วยเหมือนพลาสติกหรือถ้วยเซรามิก แถมราคาถูกกว่ามาก ถ้วยรับน้ำยางที่ผลิตนั้นขึ้นรูปมาจากแม่พิมพ์ ซึ่งถอดแบบจากถ้วยรับน้ำยางที่ผลิตจากเซรามิกเบอร์ 2 ที่เกษตรกรชาวสวนยางในประเทศไทยนิยมใช้กัน แต่มีน้ำหนักเบาถือสะดวกกว่า แถมมีคุณสมบัติพิเศษคือเมื่อเสื่อมสภาพสามารถทุบให้แตกได้ โดยถ้วยน้ำยางที่ผลิตดังกล่าวจะย่อยสลายไปเองตามธรรมชาติ ที่สำคัญไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมในสวนยางด้วย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ได้ประกาศให้ผลงาน "ถ้วยรับน้ำยางพาราจากวัสดุธรรมชาติ" เป็นผลงานวิจัยดีเด่นประจำปี 2548 ด้วย (คมชัดลึก อังคารที่ 6 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ทีเซลล์วิจัยพันธุกรรม"เครียด" หลังวิกฤตสึนามิถึงแคทรีนา

จากกรณีศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ของประเทศไทย(ศลชท.) หรือ Tcells ดำเนินโครงการศึกษาด้านพันธุกรรมเกี่ยวกับภาวะเครียดหลังเกิดเหตุวิกฤต(Post Traumatic Stress Disorder หรือ PTSD) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยทำการศึกษากับผู้ป่วยในเหตุการณ์เดียวกันและเกิดขึ้นพร้อมกัน ซึ่งโครงการดังกล่าวรวบรวมข้อมูลด้านสุขภาพจิตและเก็บรวบรวมตัวอย่างเลือดเพื่อใช้ศึกษาดีเอ็นเอมาได้ทั้งสิ้นประมาณ 5,600 ตัวอย่าง จากผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 นพ.ธงชัย ทวิชาชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ฯกล่าวว่า เป็นครั้งแรกของโลกที่เก็บฐานข้อมูลจำนวนมากขนาดนี้เพื่อทำวิจัยทางคลีนิคเกี่ยวกับสุขภาพจิตและพันธุกรรมกับผู้ป่วยจากเหตุวิกฤตใหญ่สึนามิ ซึ่งจะเชื่อมโยงความสัมพันธ์ด้านพันธุกรรมของแต่ละบุคคลกับผลกระทบด้านจิตใจ และผลตอบรับต่อวิธีการรักษาแบบต่างๆ เพื่อพัฒนาเป็นชุดตรวจรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงในอนาคตอันใกล้ ผู้ป่วยที่ใช้เป็นกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้เป็นกลุ่มเดียวกัน ทำให้นักวิทยาศาสตร์และผู้วิจัยสามารถเปรียบเทียบผลที่เกิดขึ้น กับความแตกต่างของพันธุกรรมและหาวิธีการรักษาที่ถูกต้องกับผู้ป่วยแต่ละรายอีกด้วย นพ.ธงชัยกล่าวว่า "การศึกษาครั้งนี้คาดว่าจะเป็นการศึกษาแบบเดียวกับที่เคยได้ทำกับผู้เคราะห์ร้ายจากเหตุการณ์เฮอร์ริเคน "แคทรีนา" ที่สหรัฐอเมริกา โดยความผิดปกติทางด้านจิตใจเป็นหนึ่งในโรคที่พบมากแต่ยังไม่มีวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ฐานข้อมูลด้านสุขภาพจิตและด้านพันธุกรรมที่ได้รับจะนำไปใช้ในการพัฒนายาและวิธีการรักษาพยาบาลผู้ป่วย และกลุ่ม-เสี่ยงทาง PTSD และกลุ่มจิตเวชอื่นๆ รวมทั้งพัฒนาด้านพันธุเวชภัณฑ์(Pharmaco-genomics) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีในการพัฒนายารักษาเฉพาะบุคคล(personalised medicine)" ทั้งนี้ ศูนย์ Tsunami PTSD Center มีนักวิทยาศาสตร์และแพทย์ผู้วิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข และ ศลชท. กว่า 100 คน (มติชนรายวัน อังคารที่ 6 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





"ดาวเทียม"ส่องฟ้าเมืองจีน ก๊าซพิษอื้อ-ก่อโรคระบบหายใจ!

คณะนักวิจัยจีนและยุโรป ผู้ร่วมโครงการ "ดราก้อนโปรเจ็คต์" ร่วมกันใช้ดาวเทียมสำรวจโลก "เอ็นวิแซท" ตรวจสภาพอากาศเหนือประเทศจีน พบข้อมูลตกตะลึงว่า ทุกวันนี้จีนกลายเป็นประเทศที่มีกลุ่มเมฆมลพิษปกคลุมใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้คนในเมืองจีนเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคปอดมากขึ้น ผลวิเคราะห์ภาพถ่ายจากดาวเทียม "เอ็นวิแซท" ของสำนักงานอวกาศยุโรป (อีเอสเอ) พบว่า สภาพอากาศเหนือประเทศจีนมีกลุ่มก๊าซพิษ "ไนโตรเจนไดออกไซด์" (NO2) ขนาดใหญ่ลอยปกคลุมอยู่เหนือกรุงปักกิ่งและพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ โดยก๊าซ NO2 เหล่านี้ถูกปล่อยออกมาจากโรงงานอุตสาหกรรม โรงงานไฟฟ้า และยวดยานพาหนะ ถ้าเทียบกับเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา เราพบว่าปริมาณก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ในประเทศจีนเพิ่มขึ้นจากเดิมถึงร้อยละ 50 เพราะผลจากการขยายตัวทางอุตสาหกรรม ศาสตราจารย์จอห์น เบอร์โรว์ นักสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยเบรเมน หนึ่งในคณะนักวิจัยดราก้อนโปรเจ็คต์ กล่าวว่า ความหนาแน่นของก๊าซพิษไนโตรเจนไดออกไซด์ในอากาศของจีนมีปริมาณแตกต่างกัน โดยก๊าซพิษดังกล่าวจะมีมากช่วงฤดูหนาว เพราะมีการเผาไหม้เชื้อเพลิงเพื่อทำความร้อนเป็นจำนวนมาก และไนโตรเจนไดออกไซด์ก็คงอยู่ในอากาศได้นานกว่าปกติ เพราะมีแสงอาทิตย์ส่องลงมาน้อย (ข่าวสด อังคารที่ 6 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





เครื่องคัดไข่ด้วยภาพ นวัตกรรมฝีมืออาจารย์ราชมงคลธัญบุรี รวดเร็ว แม่นยำ ประสิทธิภาพเยี่ยม

อาจารย์ภาณุ ประทุมนพรัตน์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี คิดค้น เครื่องคัดไข่ด้วยภาพ โดยประยุกต์เทคโนโลยีประมวลผลภาพด้วยกล้อง ซีซีดี (CCD camera) เป็นตัวตรวจรู้ (sensor) ด้วยสัญญาณดิจิตอล มาใช้ในการคัดไข่ด้วยวิธีถ่ายภาพ เพื่อช่วยลดปัญหาของเครื่องคัดไข่ระบบกลไกที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน และช่วยลดการนำเข้าเครื่องราคาแพงจากต่างประเทศด้วย อาจารย์ภาณุ เปิดเผยถึงหลักการทำงานของเครื่องคัดไข่ด้วยภาพว่า แบ่งออกเป็นส่วนของสายพานลำเลียงไข่ที่มีหน้าที่ลำเลียงไข่มายังส่วนที่เรียกว่าสถานีคัดไข่ ซึ่งมีกล้อง ซีซีดี ติดอยู่ กล้องก็จะถ่ายภาพ และจะส่งข้อมูลภาพนั้นมายังชุดประมวลผลด้วยภาพ หรือส่วนของ controller เพื่อประมวลผลข้อมูลภาพนั้น ว่ามีขนาดจำนวน pixels เท่าไหร่ แล้วจึงคำนวณว่าเป็นไข่ขนาดไหน ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกป้อนไว้ในชุดประมวลผล จากนั้นจึงส่งคำสั่งมายัง พี แอล ซี เพื่อคัดแยกขนาดไข่ลงในถาดด้านล่างตามเบอร์ที่กำหนดต่อไป จากการทดสอบเครื่องคัดไข่ด้วยภาพนี้ ปรากฏว่าสามารถคัดไข่ได้ด้วยความเร็ว 3 ฟอง ต่อ 1 วินาที หรือ 800 ฟอง ต่อ 1 ชั่วโมง และมีความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเพียง 3 % เท่านั้น ซึ่งมักจะมีสาเหตุมาจากไข่แต่ละฟองไม่มีรูปทรงทางเรขาคณิตที่แน่นอน ทำให้ไข่ที่เข้าสู่สถานีคัดไข่หันหน้าเข้าหากล้อง ซีซีดี เกิดเงาขึ้นบนแผ่นวางไข่ไม่เท่ากัน ส่งผลให้กล้องวัดผิดพลาดได้ นอกจากนี้ อาจารย์ภาณุยังมีคำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กที่ต้องการเครื่องคัดไข่ด้วยภาพในราคาถูก โดยให้เปลี่ยนตัวกล้อง ซีซีดี ที่มีราคาแพงไปใช้กล้องเว็บแคม ที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้เล่น internet แทนก็ได้ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนในการผลิตเครื่องคัดไข่ด้วยภาพนี้ลดลงได้ในระดับหนึ่ง ผู้ใดสนใจ เครื่องคัดไข่ด้วยภาพ นวัตกรรมฝีมือคนไทย อาจารย์ภาณุยินดีให้คำแนะนำ ติดต่อสอบถามโดยตรงได้ที่ อาจารย์ภาณุ ประทุมนพรัตน์ ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี หมายเลขโทรศัพท์ (02) 549-3433-35 ในวันและเวลาราชการ (เทคโนโลยีชาวบ้าน อังคารที่ 6 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th/techno)





แพทย์ศัลยประสาทไม่ไว้ใจ ‘มือถือ’ เพราะติดกับสมองตรงขมับ

หนังสือพิมพ์เซาท์ ไชนา มอร์นิ่ง โพสต์ อันมีชื่อเสียงของฮ่องกง รายงานว่า นายแพทย์ดอว์สัน ฟอง โต ซัน หัวหน้าแผนกศัลยประสาท โรงพยาบาลเทียน มั่น ของฮ่องกง ได้กล่าวเตือนว่า อย่าเพิ่งวางใจว่าโทรศัพท์มือถือจะไม่เป็นอันตรายกับสมองเสียเลย แต่ควรจะมีการศึกษาวิจัยต่อไปให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะการพูดโทรศัพท์มือถือ เมื่อถือไว้แนบติดกับสมองตรงขมับเหนือหูเล็กน้อย บริเวณที่ตรงนั้นต้องสัมผัสกับโทรศัพท์ และโดนถูกคลื่นความถี่สูงสุดสูงกว่าที่อื่น หมอดอว์สันได้ออกมากล่าวโต้กับที่สถาบันวิจัยโรคมะเร็งของอังกฤษ ได้แถลงครั้งล่าสุดเมื่อไม่กี่วันมานี้ว่า ไม่พบว่าการเป็นเนื้อร้ายที่ประสาทรับเสียงจะสัมพันธ์ กับการใช้โทรศัพท์มือถือแต่อย่างใด หลังจากศึกษากับผู้ใช้จำนวน 678 ราย ที่ใช้มานานตั้ง 10 กว่าปีแล้ว หมอฮ่องกงยังแย้งด้วยว่า การศึกษาของอังกฤษยังทำอยู่แคบเกินไป เพราะศึกษาแต่เนื้อร้ายสมองของประสาทรับเสียงแค่นั้น ทั้งยังศึกษากับผู้ใช้ที่เฉลี่ยแล้วใช้นานเพียงอาทิตย์ละ 1 ชม.เท่านั้น แพ้พวกวัยรุ่น และนักธุรกิจที่ใช้กันมากกว่านั้น พร้อมกันนั้นเขาได้แนะนำว่า ควรใช้โทรศัพท์แต่เฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น และยังไม่ควรหาให้เด็กอายุไม่ถึง 14 ปี เอาไปใช้. (ไทยรัฐ พุธที่ 7 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





เพาะ ‘มันสมองในหลอดแก้ว’ ได้จากเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต

สำนักข่าวทางการรัสเซียรายงานว่า นักวิทยาศาสตร์สกอตต์ได้เพาะเซลล์สมองมนุษย์ขึ้น ในห้องปฏิบัติการทดลองได้สำเร็จ ทำให้เกิดความหวังขึ้นว่า อาจจะนำเอา “มันสมองในหลอดแก้ว” ไปทำเป็นยารักษาโรคสมองเสื่อม และเอาไปใช้ซ่อมแซมสมองส่วนที่เสียหายได้ ข่าวกล่าวว่า คณะนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเอดินเบอระ สามารถเลี้ยงเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตของทารกตัวอ่อนในครรภ์ด้วยน้ำยาเคมี ให้เติบโตขึ้นเป็นเซลล์ต้นกำเนิดเซลล์ประสาทได้ โดยบริษัทในนครเอดินเบอระได้ไปจดลิขสิทธิ์เทคนิคนี้ และเตรียมจะนำไปใช้ประโยชน์ทางการค้าต่อไป ศาสตราจารย์พอลลาร์ด หัวหน้าทีมวิจัย ได้กล่าวว่า เทคนิคดังกล่าวนี้จะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์มีโอกาสเพาะเลี้ยงเซลล์ เพื่อเอาไปใช้ในการวิจัย “เราจะใช้มันเพื่อความรู้พื้นฐานทางชีววิทยา หาความเข้าใจว่าเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตทำงานอย่างไร ทั้งเป็นโอกาสที่จะได้รู้ว่าเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต ซึ่งสามารถจะเพาะให้เป็นเซลล์อวัยวะต่างๆได้ทุกชนิด กับเซลล์ต้นกำเนิดเซลล์สมอง ซึ่งเพาะเป็นเซลล์สมองได้เพียงอย่างเดียวต่างกันอย่างไรด้วย”. (ไทยรัฐ พุธที่ 7 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





เครื่องผ่าปลากะตัก...ประหยัดเวลาและแรงงาน

นักศึกษาจากคณะวิศวกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรี ได้ร่วมกันประดิษฐ์เครื่องผ่าปลากะตักขึ้นมาซึ่งสามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมี จิราวัฒน์ หนูคง และยุพดี ภุมมาลา เป็นเจ้าของผลงานโดยมี อาจารย์ปัณณธร ภัทรสถาพรกุล เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา นักประดิษฐ์กล่าวว่าปกติแล้วการแปรรูปปลากะตักจะแบ่งออกเป็น ปลากะตักแห้ง และปลากะตักปรุงรส และสิ่งที่ประสบปัญหาคือในการแปรรูปนั้นจะต้องนำมาปลากะตักมาต้มให้สุก แล้วปล่อยให้แห้งก่อนจะนำมาผ่าออกเป็น 2 ซีก แล้วแยกเอาไส้ ก้าง ออกมาจึงนำไปทำเป็นปลากะตักทอดปรุงรสต่อไป แต่ในปัจจุบันในการผ่าปลากะตักนั้น ชาวบ้านยังทำด้วยแรงงานคนอยู่ ทำให้สิ้นเปลืองทั้งเวลาและค่าแรงงานเพราะปลากะตักมีเป็นจำนวนมาก ที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด คือ ราคาปลากะตักที่ผ่าแล้ว ราคาสูงกว่าปลากะตักที่ยังไม่ได้ผ่า...เกือบเท่าตัว ซึ่งหากสามารถผลิตปลากะตักแบบผ่าซีกได้เท่าไหร่ก็จะสามารถจำหน่ายได้หมดด้วยราคาที่สูง กว่า เครื่องผ่าปลากะตักจึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ โดยการทำงานของเครื่องนี้สามารถ แยกส่วนของปลาที่ผ่าได้ไม่ว่าจะเป็นเศษไส้ ก้าง หัวปลา แล้วก็แยกปลาที่ผ่าไม่ได้ แล้วก็แยกปลาที่เสียหาย ออกจากกันด้วย สำหรับกำลังการผลิตนั้นสามารถผลิตได้ที่ 0.92-5.56 กิโลกรัม/ชั่วโมง ถ้าหากต้องการเพิ่มกำลังการผลิตก็สามารถทำได้โดยการเพิ่มชุดลูกกลิ้งและผ่าปลากะตักได้มากกว่า 1 ชุด ส่วนถ้าต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานก็ทำได้โดยการปรับปรุงระบบแยกให้ละเอียดขึ้นและเพิ่มระบบลำเลียงปลาที่ไม่ถูกผ่าให้กลับไปยังช่องป้อนใหม่ ผู้สนใจ สอบถามได้ที่ ภาควิชาเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวและแปรสภาพ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรี โทร 0-2549-3300.





ชิพจิ๋วต้นแบบตรวจสารพิษ คุณภาพเทียบเท่าเครื่องขนาดใหญ่

ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ นักวิจัยประจำงานวิจัยนาโนอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องกลจุลภาค จากเนคเทค ร่วมกับหน่วยวิจัยชีวฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) พัฒนาชิพจิ๋วที่มีขนาดประมาณ 3x4 นิ้ว สำหรับใช้ตรวจหาสารโลหะหนัก หรือพวกสารปนเปื้อนที่อยู่ในสัตว์ หรือในธรรมชาติ ซึ่งปกติแล้ว การตรวจหาสารที่มีปริมาณน้อยมากๆ จำเป็นต้องใช้เครื่องที่มีความไวในการตรวจหาสูง และเป็นเครื่องที่มีขนาดใหญ่ รูปแบบการทำงานของชิพจิ๋วคล้ายคลึงกับเครื่องตรวจขนาดใหญ่ แต่เราได้ย่อให้มันเล็กลง โดยค่าที่ตรวจมีความละเอียดมาก เรียกได้ว่าเทียบเท่ากับเครื่องขนาดใหญ่ ชิพดังกล่าวสามารถนำมาใช้ตรวจหาสารได้หลายรูปแบบ ยกตัวอย่างการตรวจวัดสารปนเปื้อนในอาหาร จำพวกสารเร่งเนื้อแดง สารฟลอมัลดีไฮด์ ในอากาศ และการตรวจหาสารโลหะหนักในน้ำ เป็นต้น ชิพต้นแบบประกอบด้วยแผ่นพลาสติกที่ออกแบบให้มีช่องสำหรับหยดสารตัวอย่าง ซึ่งจะไหลผ่านไปยังท่อขนาดเล็ก สารจะไหลผ่านไปเส้นทางไปออกยังอีกฝั่งหนึ่งผ่านเครื่องตรวจ ซึ่งสามารถวัดค่าของสารที่ไหลผ่านได้ทันที เนื่องจากสารแต่ละชนิดมีความสามารถนำกระแสไฟฟ้าได้ไม่เหมือนกัน ดังนั้น เมื่อนำค่านำกระแสไฟฟ้ามาเปรียบเทียบทำให้ทราบได้ทันทีว่า มีสารประกอบชนิดไหนอยู่ในตัวอย่าง ในการวิจัยระยะแรก ทีมวิจัยต้องอาศัยเครื่องปั๊มภายนอกสำหรับฉีดสารตัวอย่างเข้าไปในแผ่นชิพพลาสติก ขณะที่ในระยะที่สอง เนคเทคกำลังพัฒนาปั๊มจิ๋วบนแผ่นชิพร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที) ปั๊มดังกล่าวจะผนึกอยู่บนแผ่นตรวจ ซึ่งทำหน้าที่คอยดันให้ของเหลวไหลจากช่องทางเข้าไปยังเครื่องตรวจสารและทางออก ตัวปั๊มจิ๋วมีลักษณะคล้ายกับลวดเส้นบางๆ ที่ม้วนเข้าเป็นรูปก้นหอย เมื่อป้อนกระแสไฟผ่าน ขดลวดจะยืดเข้าออกทำหน้าที่เหมือนกับปั๊มให้ของเหลวผ่านจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่ง" ดร.อดิสร กล่าวและว่า ในอนาคตจะติดตั้งจอภาพสำหรับแสดงค่าเป็นตัวเลข ซึ่งสะดวกต่อผู้ใช้งาน นักวิจัย กล่าวว่า ปัจจุบันยังไม่มีประเทศไหนที่สามารถผลิตชุดตรวจขนาดเล็กดังกล่าวได้ และศูนย์เนคเทคยังร่วมมือกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ของญี่ปุ่น เพื่อผลิตชิพสำหรับตรวจหาสารในอาหารทะเล เช่น สารไนโตรฟลูแรนซ์ ซึ่งสามารถนำไปตรวจได้ทุกที่ (คมชัดลึก พุธที่ 7 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





หุ่นยนต์แสดงอารมณ์ ดีใจ-เศร้าผ่านใบหน้า

สถาบันวิทยาศาสตร์และหุ่นยนต์ มหาวิทยาลัยเมจิ ประเทศญี่ปุ่น ระบุว่า เป้าหมายหลักในการพัฒนา "หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์" (Humanoid Robot) ในปัจจุบันคือการสร้างขึ้นมาเพื่อความบันเทิง ใช้เป็นเพื่อนแก้เหงาผู้สูงอายุ ใช้ทำงานบ้าน และใช้เป็นประชาสัมพันธ์ต้อนรับลูกค้า ล่าสุด ทางสถาบันกำลังคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ซึ่งทำให้หุ่นยนต์แสดง "อารมณ์" ผ่านใบหน้าได้ หุ่นยนต์รุ่นดังกล่าวมีชื่อว่า "คันไซ" บริเวณใบหน้าของหุ่นติดตั้งมอเตอร์หลายตัวที่สามารถขยับผิวหนังเทียมบนใบหน้าของหุ่นให้แสดงอารมณ์ยิ้มมีความสุข ดีใจ หรือเสียใจ โดยระบบประมวลผลในตัวหุ่นได้รับการติดตั้งโปรแรกมบรรจุคำพูด 430,000 คำเอาไว้ เมื่อหุ่นได้ยินเสียงพูดคำเหล่านี้ก็จะแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบผ่านทางสีหน้า เช่น ถ้าพูดว่า "ปลาสด" หุ่นก็จะยิ้ม เป็นต้น (ข่าวสด พุธที่ 7 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





วิจัยเด็กไทย0-5ขวบขาดเหล็ก

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นวิทยากรพิเศษบรรยายเรื่อง การวิจัยทางโภชนาการเพื่อคนไทยแข็งแรง เมืองไทยแข็งแรง ที่โรงแรมสยามซิตี ในการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทิศทางการวิจัยของประเทศด้านโภชนาการ และอาหารเพื่อสุขภาพ เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์แห่งชาติที่ชัดเจน จัดโดยสถาบันวิจัยทางโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล การวิจัยและพัฒนาด้านโภชนาการและอาหารเพื่อสุขภาพที่จำเป็นเร่งด่วน คือ กลุ่มเด็กเล็กวัยต่ำกว่า 5 ขวบ และหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องไอคิวเด็กไทย ที่กำลังส่งสัญญาณที่ไม่ดีต่อคุณภาพประชากรอนาคต ผลสำรวจล่าสุด พบเด็กไทยมีไอคิวเฉลี่ยต่ำกว่ามาตรฐานปกติคือ 100-110 โดยเด็กวัย 6-12 ปี มีไอคิวเฉลี่ยเพียง 88.06 ส่วนวัยรุ่นอายุ 13-18 ปี มีไอคิวเพียง 86.72 เท่านั้น โดยต้นเหตุสำคัญที่มีผลต่อการสร้างไอคิวและพัฒนาการของเด็กร้อยละ 48 เกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์เพราะแม่ขาดสารไอโอดีนและขาดธาตุเหล็ก นายอนุทินกล่าวว่า ไอโอดีนเป็นสารจำเป็นของการสร้างฮอร์โมน ที่ชื่อว่า "ธัยรอยด์ฮอร์โมน" มีหน้าที่สำคัญในการควบคุมการเจริญเติบโตและพัฒนาการของสมองและระบบประสาท การเจริญเติบโตร่างกายและการทำงานของอวัยวะเกือบทุกอย่าง การขาดฮอร์โมนตัวนี้ขณะอยู่ในครรภ์เสี่ยงต่อการแท้งลูก เด็กสติปัญญาทึบ หูหนวก เป็นใบ้ได้ ส่วนการขาดธาตุเหล็ก หากเกิดในเด็กวัยช่วง 1-2 ขวบแรก จะส่งผลให้พัฒนาการการเรียนรู้ลดลงกว่าศักยภาพอย่างถาวร ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกระบุว่า ปัญหาการขาดธาตุเหล็กเป็นปัญหาทุพโภชนาการที่พบมากที่สุดในโลก ประชากรทั่วโลก 1 ใน 3 เป็นโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก เสียชีวิตปีละเกือบ 1 ล้านคน ส่วนการขาดสารไอโอดีน ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับโลกเช่นกัน องค์การอนามัยโลกรายงานล่าสุด พบประชากรขาดสารไอโอดีนมากถึง 740 ล้านคน ใน 130 ประเทศ หรือร้อยละ 13 ของประชากรโลก ในจำนวนนี้ 50% มีไอคิวต่ำเนื่องจากสมองถูกทำลาย (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 8 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





เทคโนโลยีจัดการขยะอินทรีย์ครบวงจร

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ร่วมกับ เทศบาลเมืองอ่างทอง ดำเนินการวิจัยและพัฒนา "เทคโนโลยีการจัดการขยะอินทรีย์แบบครบวงจร" ขึ้น โดยได้ทำการศึกษาทดลองและวิจัย ณ ห้องปฏิบัติการของ วว. และพัฒนาโรงงานต้นแบบที่เทศบาลเมืองอ่างทอง ซึ่งมีปริมาณขยะมูลฝอยเฉลี่ยประมาณ 12,600 ตันต่อปี โดยมีขยะที่เหลือจากระบบรีไซเคิล 95% จะถูกกำจัดโดยวิธีการฝังกลบทั้งหมด จากความร่วมมือภายใต้โครงการนี้ ส่งผลให้เทศบาลเมืองอ่างทองประหยัดพื้นที่ในการฝังกลบขยะ และเพิ่มมูลค่าของขยะโดยการนำกลับมาใช้ประโยชน์ ดังนี้ ‘ การผลิตอาหารสัตว์ นำเศษผักคุณภาพดีจากตลาดสดมาผลิตเป็นผักหมักเพื่อให้เป็นอาหารสัตว์ พบว่า ผลิตภัณฑ์สามารถทดแทนอาหารเป็ดสำเร็จรูปได้สูงถึงร้อยละ 10 โดยผลผลิตดีเท่ากับการใช้อาหารสำเร็จรูปเพียงอย่างเดียว ‘ การผลิตปุ๋ยหมัก นำขยะเศษผักที่มีสิ่งเจือปนมาผลิตเป็นปุ๋ยหมัก ‘ การผลิตก๊าซชีวภาพ วว.ออกแบบโรงงานต้นแบบผลิตก๊าซชีวภาพให้สามารถรับปริมาณเศษผักได้ 750 กิโลกรัม/วัน มีปริมาณก๊าซชีวภาพเกิดขึ้น 17.5 ลูกบาศก์เมตร/วัน มีองค์ประกอบของก๊าซมีเทน 50-60% ซึ่งเป็นปริมาณที่สามารถใช้เป็นก๊าซเชื้อเพลิงได้ โดยก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้ในโรงงานแห่งนี้สามารถเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้าชนิดเครื่องยนต์สันดาปภายในขนาด 10 กิโลวัตต์ สำหรับจ่ายไฟฟ้าให้แก่บ้านพักอาศัยที่มีความต้องการพลังงานไฟฟ้าไม่เกิน 3.37 กิโลวัตต์ชั่วโมง/วัน ได้นานถึง 6 ชั่วโมง นับเป็นการกำจัดขยะอินทรีย์แบบบูรณาการ นอกจากช่วยลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมแล้วยังเป็นการเพิ่มแหล่งพลังงานทดแทนที่มีศักยภาพอีกด้วย ‘ การบำบัดน้ำเสีย วว.ออกแบบเครื่องต้นแบบบำบัดน้ำเสียที่สามารถบำบัดน้ำเสีย ซึ่งเกิดจากการผลิตก๊าซชีวภาพได้ในปริมาณ 2,000 ลิตร/วัน ที่ค่าซีโอดี 20,000 มิลลิกรัม/ลิตร ค่าบีโอดี 8,000 มิลลิกรัม/ลิตร และค่าของแข็งแขวนลอย 10,000 มิลลิกรัม/ลิตร เพื่อมิให้เกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อมกับชุมชนข้างเคียง ‘ การพัฒนาเตาเผาขยะจากขยะเชื้อเพลิง วว.ได้ออกแบบเตาเผาขยะชนิดห้องเผา 2 ห้อง ขนาด 1-3 ตัน/วัน สามารถทนความร้อนได้ถึง 1,300-1,500 องศาเซลเซียส โดยห้องเผาที่ 1 จะเผาขยะโดยตรงที่อุณหภูมิประมาณ 400-600 องศาเซลเซียส และห้องเผาที่ 2 จะเผาก๊าซเสียที่เกิดจากการเผาให้มีอุณหภูมิ 600-1,000 องศาเซลเซียสนอกจากนี้ มีการติดตั้งชุดบำบัดก๊าซเสียจากการเผาไหม้ (wet scrubber) ด้วย โดยการทำงานของเตาเผานี้จะเป็นการเผาไหม้อย่างต่อเนื่อง ใช้คนลำเลียงขยะเข้าเตา และสามารถพัฒนามาใช้สายพานลำเลียงได้ในภายหลัง (ข่าวสด พฤหัสบดีที่ 8 ก.ย. 2548 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ชุดชั้นในลบรอยเหี่ยวย่นม.สุรนารีชี้ผลจากโปรตีนรังไหมบนเส้นใย

ดร.มาโนชญ์ สุธีรวัฒนานนท์ สาขาวิชาเทคโนโลยีอาหาร สำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เปิดเผยว่า ชุดชั้นในลบรอยเหี่ยวย่นเป็นงานวิจัยที่ดำเนินการร่วมกับเอกชนผู้ผลิตชุดชั้นในส่งออก โดยมหาวิทยาลัยคิดค้นกรรมผลิตโปรตีนซิริซินจากรังไหม และเทคนิคการเคลือบโปรตีนบนเส้นใย ขณะที่ภาคเอกชนนำความรู้ไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ตัวอย่าง และทดสอบคุณสมบัติในอาสาสมัครผู้หญิงเป็นเวลา 4 สัปดาห์ หลังการทดสอบพบว่า ชุดชั้นในดังกล่าวช่วยปรับสภาพผิวดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการสวมใส่ชุดควบคุมที่ไม่ผ่านการเคลือบ ผลการทดสอบจึงช่วยยืนยันถึงคุณสมบัติซิริซิน ซึ่งเป็นโปรตีนจากรังไหม ช่วยให้ผ้าเก็บกักความชุ่มชื้นของผิวหนัง ลดการแพ้ระคายเคือง และเพิ่มความนุ่มเนียนให้ผิวหนังเมื่อสวมใส่ติดต่อกันเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์เคลือบโปรตีนซิริซิน มีข้อจำกัดคือ โปรตีนที่เคลือบผืนผ้าจะหลุดลอกง่าย เมื่อผ่านการซักล้าง สำหรับผลิตภัณฑ์ตัวอย่างที่ได้จากงานวิจัย ซึ่งทำให้โปรตีนติดแน่นในผืนผ้าในระดับสูง แม้จะผ่านการซักถึง 60 ครั้ง ก็ยังส่งผลดีต่อสุขภาพผิว แม้ว่างานวิจัยจะเป็นความร่วมมือกับผู้ผลิตชุดชั้นในส่งออก แต่ขณะนี้ยังไม่มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตและเคลือบโปรตีนซิริซินให้เอกชนรายใด จึงเปิดกว้างสำหรับนักลงทุนนักธุรกิจทั่วไป ที่สนใจจะนำผลงานวิจัยดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ทางการค้า สำหรับผลิตภัณฑ์ชุดชั้นในเคลืบซิริซิน มีผลิตและจำหน่ายแล้วในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน และไต้หวัน แต่ผลิตภัณฑ์มีราคาแพง เพราะโปรตีนที่สกัดได้นั้นมีราคากิโลกรัมละเกือบ 1 หมื่นบาท แต่ราคาในประเทศไทยน่าจะถูกกว่า เพราะวัตถุดิบรังไหมในบ้านเราสามารถพบเห็นได้ทั่วทุกภูมิภาค ขณะที่ซิริซิน นอกจากจะใช้เคลือบเส้นใยผ้าตัดเย็บชุดชั้นในแล้ว ยังมีบทบาทในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง โดยใช้เป็นส่วนผสมในเนื้อแป้งรองพื้น ซึ่งทดสอบแล้วพบว่าช่วยปรับสภาพผิวหน้าได้ดีเช่นกัน อีกทั้งยังสามารถใช้ประโยชน์ในเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ประเภทวัสดุปิดแผล เพราะซิริซินมีคุณสมบัติระงับการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ ป้องกันแผลติดเชื้อและลุกลาม (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 8 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





กระดาษเหนียวพิเศษกันน้ำกันอากาศ

นางนีโลบล สุวรรณาภินันท์ หัวหน้ากลุ่มวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี สำนักเทคโนโลยีชุมชน กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า สำนักเทคโนโลยีได้พัฒนากระดาษชนิดพิเศษ หรือเรียกว่า "พาร์ชเมนท์" ซึ่งมีลักษณะคล้ายแผ่นหนัง สามารถนำไปผลิตเป็นชิ้นงานหัตถกรรมได้หลากหลายชนิด อาทิ โคมไฟ บรรจุภัณฑ์อาหารไขมัน กล่องบรรจุเนย บัตรอวยพร นามบัตร วอลล์เปเปอร์ เครื่องใช้ในการเดินทางหรือเดินป่าชนิดน้ำหนักเบาคงทนแข็งแรง กระดาษทำปะเก็นสำหรับเครื่องจักรยานยนต์ ภาชนะบรรจุยา เคมีภัณฑ์และวัตถุระเบิด ซึ่งป้องกันน้ำและอากาศผ่านเข้าออก จากการทดลองใช้งานบรรจุน้ำมันนาน 5 ปี ไม่ปรากฏรอยรั่วแต่อย่างใด และยังสามารถขึ้นรูปเป็นบรรจุภัณฑ์ได้ แต่ติดอยู่ที่ราคาต้นทุนต่อแผ่นยังแพง เมื่อเทียบกับวัสดุที่ใช้งานอยู่ในท้องตลาด อย่างไรก็ตาม งานวิจัยชิ้นนี้ได้รับงบสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) 2 ช่วง ได้แก่ ปี 2539-2540 จำนวน 4 แสนบาท และในปี 2547-2548 เป็นโครงการต่อเนื่องเน้นการผลิตเชิงพาณิชย์จำนวน 1 ล้านบาท สำหรับขั้นตอนการผลิตกระดาษพาร์ชเมนท์ชนิดพิเศษนี้ เริ่มจากการนำแบคทีเรียอะซีโตแบคเตอร์ ไซลินัม (acetobacter xylinum) ที่ใช้ผลิตวุ้นมะพร้าวมาเลี้ยง ซึ่งสามารถเลือกเลี้ยงได้ใน 3 สภาวะ ได้แก่ ถาดนิ่ง ขวดเขย่า และถังปฏิกรณ์ชีวภาพ ซึ่งจะได้เส้นใยเซลลูโลสสำหรับนำไปผลิตเป็นกระดาษต่อไป (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 8 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ผลวิจัยในหนูวิตามินอีเข้มข้นกินแล้วแก่ช้า

นักวิจัยสเปนและอาร์เจนตินาศึกษาค้นหายามหัศจรรย์ เพื่อช่วยให้มนุษย์มีชีวิตยืนยาวขึ้น โดยพบว่าหนูที่ได้รับวิตามินอีปริมาณสูงเป็นประจำ มีอายุยืนกว่าหนูทั่วไป ระบุวิตามินอีมีคุณสมบัติพิเศษต่อต้านอนุมูลอิสระ สำหรับหนูที่นำมาวิจัยครั้งนี้ เป็นหนูสายพันธุ์ที่แก่เร็ว โดยมีช่วงชีวิตเฉลี่ยประมาณ 61 สัปดาห์ นักวิจัยได้แบ่งหนูเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกได้ให้วิตามินอีเสริมเมื่ออายุได้ 28 สัปดาห์ หรือเทียบเท่า 1.2-2.2 กรัมต่อวันสำหรับมนุษย์รับประทาน ซึ่งเป็นปริมาณมากกว่าที่คู่มือโภชนาการสหรัฐแนะนำถึงห้าเท่า ส่วนอีกกลุ่มให้อาหารตามปกติ จากการสังเกตของนักวิจัย พบหนูที่ได้รับวิตามินอีเสริมจะมีอายุเฉลี่ย 85 สัปดาห์ ซึ่งมีอายุยืนกว่าหนูปกติร้อยละ 40 โดยไม่มีผลข้างเคียงทางลบจากการรับประทานในปริมาณสูง อย่างไรก็ดี การที่หนูมีชีวิตยาวขึ้นนั้น กลับไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องคุณภาพชีวิต ดังนั้น แอนา โนวาร์โร และคณะ จากมหาวิทยาลัยคาดิซ สเปน และอัลเบอร์โต โบเวริส และคณะจากมหาวิทยาลัยบูเอโนสไอเรส อาร์เจนตินา จึงหันไปทดสอบสมรรถนะของหนู ในการทดสอบ พบว่า หนูที่ได้รับอาหารที่มีวิตามินอี มีความสามารถในการข้ามลวดที่สูงจากพื้น 50 เซนติเมตร และกระโดดข้ามเครื่องกีดขวางรูปตัวทีได้ดีกว่า และมีอายุยืน (78 สัปดาห์) ส่วนหนูที่ได้รับอาหารปกติร่างกายถดถอยอย่างรวดเร็ว ขณะที่หนูที่ได้รับวิตามินอีปฏิบัติตามการทดสอบได้ดีกว่าถึงร้อยละ 45 "วิตามินอีทำหน้าที่เป็นตัวต้านอนุมูลอิสระในหนู ช่วยชะลอกระบวนการเสื่อมของวัย" โบเวริส อธิบาย โดยทีมวิจัยของเขาพบว่า หนูที่ได้รับวิตามินอี ระดับของการทำปฏิกิริยาของอนุมูลอิสระลดลง ทั้งนี้ ปฏิกิริยาอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกาย เป็นต้นเหตุนำมาสู่ความชราและสร้างริ้วรอยเหี่ยวย่นบนผิวหนัง (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 8 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





เครื่องปิดผนึกแก้วพลาสติกขนาดกระเป๋า เพื่อธุรกิจในครัวเรือน

นักศึกษาจาก ภาควิชาวิศวกรรมวัสดุและโลหะการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้แก่ นายขวัญชัย ชินวงศ์, นายมีทรัพย์ หอมดวงจันทร์, นายวชิรศักดิ์ ไชยธรรม และนายอัฐพงษ์ ดำรงคดี ได้ร่วมกันคิดค้น เครื่องปิดผนึกแก้วพลาสติกขนาดเล็กขึ้น โดยมี อาจารย์อนินท์ มีมนต์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา และได้สร้างเครื่องต้นแบบราคาประหยัด ให้กับกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กนำไปใช้ต่อไปแล้ว คณะผู้คิดค้น เครื่องปิดผนึกแก้วพลาสติกขนาดเล็ก เปิดเผยว่าได้ออกแบบ เครื่องปิดผนึกแก้วพลาสติกขนาดเล็ก ให้มีรูปแบบการทำงานแบบกึ่งอัตโนมัติ โดย แก้วพลาสติกที่บรรจุของเหลว จะถูกวางลงบน ถาด แล้วดันถาดเข้าไปจนชนลิมิตสวิตช์ เครื่องจะทำการซีลและตัดฟิล์ม ให้พอดีกับรูปทรง ของปากแก้วพลาสติกโดยอัตโนมัติ เมื่อแก้วถูกผนึกเสร็จ ให้ดึงถาดใส่แก้วออกมา เครื่องก็จะยกแก้วที่ถูกผนึกแล้วให้ ลอยตัวขึ้น ทำให้สามารถหยิบแก้วพลาสติกออกมาได้ง่าย ขณะเดียวกันส่วนของฟิล์มพลาสติกก็จะม้วนเก็บเตรียมพร้อมสำหรับการปิดผนึกแก้วต่อไป โครงสร้างของเครื่อง ทำจากสเตนเลสสตีล และอะลูมิเนียม เครื่องปิดผนึกแก้วพลาสติก ขนาดเล็กนี้ สามารถใช้งาน ได้กับแก้วหลายขนาด ตั้งแต่แก้วที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 70 มิลลิเมตร ถึง 90 มิลลิเมตร และสามารถปิดผนึกแก้วได้สูงสุดถึง 650 แก้ว ต่อชั่วโมงด้วย ซึ่งต้นทุนการผลิต ตัวเครื่องประมาณ 10,000 บาทเท่านั้น ผู้สนใจสามารถติดต่อ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ ภาควิชาวิศวกรรมวัสดุและโลหะการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี โทร. 0-2549-3491-92 ในวันและเวลาราชการ. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 9 ก.ย.48 http://www.thairath.co.th)





โต้"ทัลคัม"ในแป้งฝุ่น ไม่มีแร่ใยหิน-สารก่อมะเร็ง

จากกรณีที่สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ(สนช.) มีโครงการนวัตกรรมแป้งฝุ่นจากแป้งข้าวเจ้า ทดแทนทัลคัมที่งานวิจัยพบว่าเป็นสาเหตุก่อมะเร็ง โรคภูมิแพ้ และโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ล่าสุด เมื่อวันที่ 8 กันยายน ตัวแทนสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทยชี้แจงถึงงานวิจัยทัลคัมว่าอาจเป็นสาเหตุโรคมะเร็งหากมีการสูดดมเข้าไปในร่างกาย เพราะแร่ใยหิน (asbestos) จะพบได้ในแหล่งแร่ทั่วไปรวมทั้งแหล่งของทัลคัมด้วย แต่ทัลคัมที่นำมาใช้ผลิตแป้งฝุ่นในประเทศไทยนั้นไม่มีส่วนผสมของแร่ใยหิน ต้องมีการตรวจสอบปริมาณแร่ใยหินก่อนนำมาใช้ผลิตแป้งฝุ่นทุกครั้ง ทั้งนี้ แป้งฝุ่นจัดเป็นเครื่องสำอางควบคุมของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ซึ่งกำหนดว่าจะต้องไม่พบแร่ใยหินในทัลคัม ผู้บริโภคสงสัยติดต่อได้ที่กองควบคุมเครื่องสำอาง สายด่วน 1156 (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 8 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





อังกฤษเสก"หญ้า" เป็นพลังงานไฟฟ้า

"พลังงานชีวมวล" (ไบโอแมส) หมายถึงการนำเอาสิ่งเหลือใช้ต่างๆ ทางการเกษตรและอุตสาหกรรมมาเผาเพื่อแปรสภาพเป็นไฟฟ้า แก๊ส และเชื้อเพลิง สิ่งเหลือใช้ที่ว่านี้ก็เช่น เศษพืช มูลสัตว์ ขยะมูลฝอย และสิ่งปฏิกูลต่างๆ เมื่อไม่นานมานี้ หน่วยงานศึกษาวิจัยและให้คำแนะนำด้านการเกษตรของรัฐบาลอังกฤษเคยพยากรณ์ไว้ว่า ภายใน 35 ปีข้างหน้า พื้นที่การเกษตรส่วนใหญ่ในอังกฤษจะกลายเป็นพื้นที่สำหรับเพาะปลูกพันธุ์พืช ซึ่งสามารถแปรสภาพมาใช้เป็นพลังงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "หญ้า" (Miscanthus) นอกจากนั้นมีแนวโน้มด้วยว่า ในอนาคตฟาร์มแต่ละแห่งในอังกฤษจะสร้าง "โรงงานผลิตพลังงานขนาดเล็ก" เอาไว้ใช้เอง ทำให้ไม่ต้องพึ่งพาแหล่งพลังงานจากภายนอก เมื่อวันพุธที่ผ่านมา "ที่ประชุมประจำปีของสมาคมวิทยาศาสตร์อังกฤษ" ก็แสดงความเชื่อมั่นว่า ภายในระยะเวลา 10 ปี "หญ้า" นี่แหละคือ 1 ในทางออกของปัญหาวิกฤตน้ำมันแพงและขาดแคลนไฟฟ้า เพราะขั้นตอนการปลูก-การดูแลไม่ยุ่งยาก ทั้งยังไม่ต้องใส่ปุ๋ยมาก และให้ผลผลิตสูง ที่สำคัญ การนำหญ้ามาเผาเพื่อผลิตไฟฟ้านั้นก็ไม่ได้เพิ่มปริมาณก๊าซ "คาร์บอนไดออกไซด์" (CO2) ให้ลอยออกจากปากปล่องโรงงานไปสะสมในชั้นบรรยากาศจนเป็นบ่อเกิดของภาวะโลกร้อน สาเหตุเนื่องมาจากตามปกตินั้นหญ้าก็ดูดซับ CO2 ในอากาศเข้ามาสะสมเพื่อใช้ในกระบวนการสังเคราะห์แสงอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อเราเผาหญ้าทิ้งปริมาณ CO2 ที่กลับไปในอากาศก็ย่อมมีเท่าเดิม ขณะนี้เกษตรกรอังกฤษกำลังสนใจแนวคิดปลูกหญ้าเพื่อผลิตพลังงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้กระทรวงสิ่งแวดล้อมเสนอมอบเงินทุนสนับสนุนการวิจัยแก่เกษตรกรและองค์กรต่างๆ นำไปใช้คิดค้นวิธีผสมพันธุ์หญ้าสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่โตเร็วและมีใบยาวๆ ในอนาคตหญ้าที่เคยเป็น "สิ่งไร้ค่า" อาจช่วยสร้างรายได้ให้เกษตรกร ควบคู่ไปกับการผลิตไฟฟ้าให้กับคนอังกฤษ (ข่าวสด ศุกร์ที่ 8 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





เครื่องสำอางแม่ปล่อยสารเคมี ใส่ทารกในครรภ์

นักวิจัยเปิดเผยว่า หญิงมีครรภ์ที่ใช้เครื่อง สำอาง อาจทำให้สารเคมีในน้ำอบน้ำหอม และน้ำยาทำความสะอาด ผ่านรกไปถึงทารกในครรภ์ได้ พวกเขาได้พบจากการตรวจตัวอย่างเลือดในรกของทารกแรกเกิด 27 ราย และผู้เป็นมารดา 42 ราย ได้พบสารเคมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด อย่างเช่นพบอยู่ในเลือดจากรกมากถึง 14 ชนิด ตั้งแต่สารเคมีที่ใช้ในการผลิตพลาสติกและในน้ำหอมที่มีกลิ่นชะมดเทียม ที่ใช้ในเครื่องสำอาง สารที่ใช้ในน้ำยาทำความสะอาด จนถึงสารเคมีที่ทำน้ำยาเคลือบพลาสติกเพื่อให้กันน้ำ แต่ผู้เชี่ยวชาญสุขภาพได้บอกปลอบใจว่า บรรดาผู้หญิงมีครรภ์ทั้งหลายยังไม่ถึงกับต้องเป็นทุกข์ เพราะยังไม่พบหลักฐานแน่ชัดว่า สารเคมีเหล่านั้นไปทำอันตรายทารกในครรภ์เข้าหรือไม่ แต่พวกเขาก็ยังไม่สู้จะวางใจเรื่องนี้นัก นักรณรงค์ขององค์กรกรีนพีซสากลที่มีชื่อเสียง นางเอเลน เปริเวียร์ กล่าวว่า “รู้สึกตกใจเหมือนกันกับที่พบสารเคมีอยู่ในเนื้อตัวมนุษย์ ไม่ว่าจะช่วงตอนไหนของชีวิตหลายชนิดขนาดนั้น ยิ่งในตอนช่วงต้นๆของชีวิตด้วยแล้ว ก็ยิ่งน่าห่วง เพราะยังเป็นช่วงที่บอบบางที่สุด” ส่วนนักวิชาการศาสตราจารย์แอร์ดรูว์ เชนแนน สูติแพทย์ที่ปรึกษาของอังกฤษ ให้ความเห็นว่า “ไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่มีการพบสิ่งที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมในร่างกายของมนุษย์ เพราะมารดากับทารกก็ต้องโยงกันอยู่โดยตรงอยู่แล้ว แม้ว่ารกจะสามารถกลั่นกรองสารพิษบางอย่างเอาไว้ได้ก็ตาม” เขากล่าวเรียกร้องให้มีการดำเนินการเพื่อควบคุมและจำหน่ายสารเคมี ที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพทั้งของเด็กทารกและผู้ใหญ่ด้วยกันอย่างเร่งด่วน. (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 10 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





สกูตเตอร์ พลังงานแสงอาทิตย์

พลังพล ซาวคำ และ ธนนวัฒน์ หลิมเปีย นักศึกษาแผนกไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา วิทยาเขตเชียงราย เจ้าของความคิดสกูตเตอร์พลังงานแสงอาทิตย์ โดยมี อาจารย์นพพร พัชรประกิติ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา การนำเอาพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้กับเครื่องยนต์สกูตเตอร์ เป็นอีกเพียงวิธีการหนึ่งในการใช้ประโยชน์จากพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อทดแทนน้ำมัน สำหรับสกูตเตอร์ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประดิษฐ์ขึ้นจะเป็นสกูตเตอร์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงขนาด 500 วัตต์ 36 โวลต์ โดยจะฝังตัวมอเตอร์ไว้ในแกนล้อ สามารถเร่งความเร็วได้ถึง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง วิ่งได้นาน 3-4 ชั่วโมง และควบคุมความเร็วโดยใช้การบิดคันเร่งเหมือนกับมอเตอร์ไซค์ทั่ว ๆ ไป ที่สำคัญนอกจากไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศแล้วยังไม่เกิดมลพิษทางเสียงอีกด้วยส่วนการประจุแบตเตอรี่ ตรงนี้คือส่วนที่ได้ประยุกต์เอาพลังงานแสงอาทิตย์มาเป็นแหล่งจ่ายไฟกระแสตรงเพื่อประจุแบตเตอรี่ แทนการประจุแบตเตอรี่จากแหล่งจ่ายไฟกระแสสลับทั่วไป ในการนำเอาพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้กับเครื่องยนต์นั้น เมื่อรับเอาพลังงานแสงอาทิตย์ผ่านทางแผงโซลาร์เซลล์แล้ว พลังงานที่ได้จะยังไม่สามารถนำไปใช้กับสกูตเตอร์ได้ทันทีเพราะกระแสไฟฟ้าที่ได้จากแสงอาทิตย์จะมีแรงดันเพียงแค่ 18 โวลต์ ดังนั้นกระแสไฟที่ได้จะต้องส่งต่อไปที่วงจรเพิ่มแรงดันไฟฟ้าให้เป็น 36 โวลต์ก่อน แล้วจึงส่งต่อไปที่วงจรอัดประจุแบตเตอรี่แล้วจึงจะประจุแบตเตอรี่ได้ เพื่อให้สามารถนำไปใช้กับเครื่องยนต์สกูตเตอร์ได้ต่อไป โครงงานนี้ เจ้าของผลงานทั้งสองบอกว่า จะเป็นพื้นฐานในการประยุกต์ใช้กับรถไฟฟ้าสี่ล้อ หรือรถไฮบริดที่เป็นพลังงานผสมระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าได้ในอนาคตอีกด้วย สำหรับท่านใดที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-6670-9464. (เดลินิวส์ เสาร์ที่ 10 ก.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





นักวิจัยออกแบบเป้อัจฉริยะ แปลงแรงเดินเป็นกระแสไฟ

นายลอเรนซ์ โรม นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี (8 ก.ย.) ว่าขณะนี้ได้มีการประดิษฐ์เป้อัจฉริยะรุ่นใหม่เอาใจนักเดินทาง โดยเป้ที่ใช้ขนสัมภาระในการเดินทางนี้จะสามารถแปลงเป็นกระแสไฟฟ้าที่นำไปชาร์จโทรศัพท์มือถือ หรือไฟฉาย หรือนำไปเล่นเครื่องเล่นเทปแบบพกพาได้ด้วย นายโรมเผยว่าเป้อัจฉริยะรุ่นใหม่นี้จะผลิตกระแสไฟฟ้าได้เองจากแรงเขย่าของข้าวของในเป้ที่เขย่าไปตามจังหวะก้าวเดินของนักเดินทาง เนื่องจากภายในเป้จะมีขดลวดเหล็กติดอยู่ ซึ่งจะมีระบบการทำงานแบบง่ายๆ คล้ายกับที่ใช้กับวิทยุ หรือไฟฉายที่จะใช้งานได้หลังมีการเขย่าเบาๆ นักวิจัยผู้นี้กล่าวว่าว่าปุ่มต่างๆ ภายในเป้หากรองรับน้ำหนัก 38 กิโลกรัม สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึง 7 วัตต์ ซึ่งพอเพียงที่จะฟังเพลงจากเครื่องเล่นเอ็มอี 3 ไปพร้อมๆ กับให้เป็นไฟฉายส่องทางในเวลากลางคืน หรือแม้แต่ชาร์จโทรศัพท์มือถือ ปกติแล้ว ก้าวเดินของแต่ละคนจะทำให้สะโพกเคลื่อนไหวราว 2 นิ้วหรือ 5 เซนติเมตร หากก้าวเขย่งก็จะทำให้สะโพกเคลื่อนไหว 5-7 เซนติเมตร ส่วนเป้ที่แบกอยู่ก็จะขึ้นลงไปตามจังหวะนั้นด้วย โดยจะถูกยก 5-7 เซนติเมตรเช่นกัน ซึ่งการเคลื่อนไหวแบบนี้ ท้ายที่สุดก็จะทำให้เกิดเป็นกระแสไฟฟ้าขึ้นมา สำหรับค่าใช้จ่ายนั้นก็ถูก (คมชัดลึก เสาร์ที่ 10 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ม.สงขลาฯดึงพันธมิตรอิตัลไทย บุกตลาดเครื่องผลิตไบโอดีเซล

คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) จับมือพันธมิตรใหม่ บริษัท อิตัลไทยวิศวกรรม จำกัด และบริษัท อินเตอร์เอ็นจิเนียริ่งมาเนจเมนต์ จำกัด ผลิตและติดตั้ง “เครื่องผลิตไบโอดีเซล จากน้ำมันพืชที่ใช้แล้ว” เหมาะสำหรับรถยนต์ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมและกิจการขนส่ง โดย รศ.กำพล ประทีปชัยกูล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มอ.ในฐานะผู้ออกแบบเครื่องผลิตไบโอดีเซล กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ มอ.จะเป็นผู้ออกแบบเครื่องผลิตไบโอดีเซล ส่วนการผลิตและแผนการตลาดนั้น อิตัลไทย และอินเตอร์เอ็นจิเนียริ่งฯ จะเป็นผู้สนับสนุน ซึ่งขนาดของเครื่องและราคาต้นทุนจะขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน ทั้งนี้ต้นทุนการผลิตเครื่องไบโอดีเซลตกประมาณ 1 แสน-3 ล้านบาท เครื่องผลิตไบโอดีเซลต้นแบบที่ มอ.สร้างขึ้นนั้น ได้ติดตั้งไว้ที่ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีพลังงานธรรมชาติ ของกรมอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน โดยสามารถผลิตไบโอดีเซลแบบต่อเนื่องได้ 120 ลิตรต่อชั่วโมง ซึ่งใช้วัตถุดิบเป็นน้ำมันพืชใช้แล้วจากครัวการบินไทย ต้นทุนการผลิต 5-7 บาทต่อลิตร ซึ่งไบโอดีเซลที่ผลิตได้ถูกนำไปใช้ในโครงการกรุงเทพฯ ฟ้าใสด้วยไบโอดีเซล ไว้บริการกลุ่มรถรับจ้างและรถเมล์ เพียงแค่เติมไบโอดีเซล 5% ในน้ำมันดีเซลก็ใช้ได้แล้ว ซึ่งผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มอ.โทร.0-7428-7053-4 (สยามรัฐรายวัน เสาร์ที่ 10 ก.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





จุฬาฯวิจัยไก่กินน้ำมันปาล์มดิบ ได้ไข่สุขภาพลดคอเลสเตอรอล

เมื่อวันที่ 9 กันยายน น.สพ.ดร.กฤษ อังคนางพร หัวหน้าภาควิชาสรีรวิทยา คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เสนอผลงานวิจัยเรื่องการสร้างไข่ไก่สุขภาพคอเลสเตอรอลต่ำ และวิตามินอีในไข่แดงสูง ระหว่างการสัมมนาเรื่องปาล์มน้ำมันเส้นทางสู่ความสำเร็จของเกษตรกร ที่โรงแรมมารีไทม์ แอนด์ สปารีสอร์ต จ.กระบี่ ว่า สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) ให้ทุนวิจัยดังกล่าว พบข้อมูลว่า หากเกษตรกรเสริมน้ำมันปาล์มดิบที่ระดับ ร้อยละ 4 ในอาหารไก่ไข่จะเพิ่มผลผลิตและลดปริมาณคอเลสเตอรอลชนิดแอลดีแอล ซึ่งมีผลต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดหัวใจแข็งตัว เพิ่มปริมาณวิตามินอี จากการศึกษาพบว่า การเสริมวิตามินชนิดโทโคไตรอีนอล (Tocotrienol) ในอาหารจะช่วยลดการสังเคราะห์คอเลสเตอรอลแอลดีแอลได้ดีมาก จึงได้ศึกษาเรื่องผลการเสริมน้ำมันปาล์มดิบในอาหาร ต่อผลการผลิตระดับโทโคไตรอีนอลในเลือด เนื้อเยื่อ ไขมัน ระดับคอเลสเตอรอลในไข่แดงของไก่ไข่เพื่อผลิตไข่ที่มีคอเลสเตอรอลต่ำ วิธีทดลองนั้น นำไก่ไข่ อายุ 48 สัปดาห์ 10 ตัว แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก เป็นกลุ่มควบคุม กลุ่มที่สองให้น้ำมันปาล์มดิบ ร้อยละ 2 พบว่าน้ำมันปาล์มดิบในอาหาร ไม่มีผลต่อปริมาณการกินอาหารของไก่ และไก่ที่ใช้น้ำมันปาล์มดิบจะมีน้ำหนักไข่แดงมากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับ และไข่แดงมีคอเลสเตอรอลต่ำ หลังจากพิสูจน์แล้ว น้ำมันปาล์มดิบไม่มีผลกระทบต่อไก่ไข่ จึงศึกษาเพิ่มเติมว่าน้ำมันปาล์มดิบในสูตรอาหารระดับใดจะสามารถเพิ่มคุณภาพ พบว่าการเสริมน้ำมันปาล์มดิบที่ ร้อยละ 3 และร้อยละ 4 สามารถเพิ่มคุณภาพการกินอาหาร น้ำหนักไข่ขาว ไข่แดง ทำให้สีไข่แดงเข้มข้นขึ้น ที่สำคัญคือลดคอเลสเตอรอลได้ถึง 11.89 มิลลิกรัม ต่อไข่แดง 1 กรัม และมีปริมาณวิตามินอีมาก ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ต่างประเทศพยายามลดปริมาณคอเลสเตอรอลในไข่ไก่ โดยให้ไก่กินยาซึ่งลดได้เพียงร้อยละ 10 แต่ของไทยใช้อาหารธรรมชาติ ลดได้ถึงร้อยละ 25 จากการสุ่มตัวอย่างไข่ไก่ซึ่งกินอาหารตามปกติ 3 พื้นที่ พบว่า ไข่ไก่ในตลาด จ.นครปฐม มีปริมาณคอเลสเตอรอลสูงที่สุด คือ 287 มิลลิกรัม ต่อไข่แดง 1 กรัม รองลงมา คือ กาญจนบุรี 278.9 มิลลิกรัม กรุงเทพฯ 270 มิลลิกรัม ราชบุรี 261 มิลลิกรัม ขณะที่ไข่ไก่จากการทดลองพบเพียง 202.68 มิลลิกรัม เท่านั้น (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 10 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





จักรยานแคระ

อมรชัย ชัยรัตน์ ชายไทย วัยสี่สิบแปด นักธุรกิจด้านเครื่องจักรกล ซึ่งมีพื้นฐานการศึกษาด้านโฆษณาประชาสัมพันธ์ บริหารธุรกิจ คิดออกแบบและผลิต ”จักรยานแคระ” (dwarf bike) ขึ้น เหตุที่ตั้งชื่อแคระ ก็เพราะยาวจากล้อหน้า ถึงหลัง แค่ 73 ซม. ขนาดพอๆจักรยานเสือภูเขาล้อเดียว ส่วนความสูงจากพื้นยันอาน หรือเบาะนั่ง ถึง 68 – 80 ซม. ซึ่งเป็นเป็นระดับเดียวกับจักรยานแม่บ้าน น้ำหนัก 9.3 กก. ยกชูขึ้นได้ด้วยมือข้างเดียว อมรชัย เล่าด้วยความภาคภูมิใจว่า เขาพัฒนาขึ้นมาได้สองปีแล้ว โดยได้แนวคิดมาจากจักรยานล้อเดียว ซึ่งขี่ยาก ต้องเลี้ยงตัวเองตลอดเวลา เพราะมันพร้อมจะล้มได้ทั้งซ้าย ขวา หน้า หลัง จึงหาทางออกแบบให้เป็นรถสองล้อ แต่ยาวกว่ารถล้อเดียวนิดหน่อย การจะทำให้ตัวรถสั้นลง จึงใช้ล้อจักรยานขนาด 12 นิ้ว โดยจานเฟืองขับเคลื่อนขนาด 44 - 16 ขณะที่รถทั่วไปอยู่ที่ 44 - 18 ระบบบังคับและขับเคลื่อนจำต้องปรับให้ทุกอยู่ใกล้กันให้มากที่สุดเพื่อลดพื้นที่ ชุดบันไดถีบ จึงขยับไปอยู่เหนือล้อหน้า ล้อหน้า ก็ไม่สามารถหมุนเลี้ยวได้ จึงจัดการเปลี่ยนเป็นล้อขับเคลื่อน แล้วเปลี่ยนล้อหลังเป็นล้อบังคับเลี้ยว เพิ่มคันชักเชื่อมต่อระหว่างคันบังคับเลี้ยว(แฮนด์) กับล้อหลัง ความที่ระบบไม่เหมือนจักรยานทั่วไป ใช้ครั้งแรกจึงต้องปรับวิธีการขี่ใหม่ เพราะแฮนด์แคบกว่ารถทั่วไป การบังคับเลี้ยวจึงมีความแตกต่าง การออกแบบ ปรับเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนและบังคับเลี้ยวที่ว่ามานั้น ทุกชิ้นใช้ชิ้นส่วนเดียวกับจักรยานทั่วไปที่มีขายในท้องตลาด ไม่ได้สั่งทำขึ้นเฉพาะ ถ้าวันหนึ่งข้างหน้ามีปัญหาชำรุดเสียหาย ก็หาอะไหล่ไม่ยาก อมรชัยจดสิทธิบัตรไว้เรียบร้อยแล้ว และส่งขายต่างประเทศ ซึ่งแม้จะไม่มากมาย แต่ก็น่าภาคภูมิใจ ทั้งเป็นโอกาสให้เกิดการพัฒนา เช่นระบบเบรก จากแบบก้ามปูมาเป็น วีเบรก อย่างเดียวกับที่ใช้ในจักรยานเสือภูเขาทั่วไป และให้ความมั่นใจในการหยุด จักรยานแคระ เหมาะสำหรับพกพา สามารถจะเก็บไว้ท้ายรถเก๋งญี่ปุ่นได้พร้อมกัน 3 คัน และฉวยขึ้นมาใช้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาการพับ การปรับ ใดๆ ออกแบบให้รับน้ำหนักถึง 120 ก.ก. แต่ก็แนะนำให้คนอยากขี่มีน้ำหนักไม่เกิน 80 ก.ก. แต่เมื่อคิดถึงความสะดวกด้านอื่นแล้ว ต้องยอมรับว่าในยุคที่น้ำมันแพง จักรยานเล็กๆ ที่จะซ่อนในรถคันใหญ่ ใช้ซอกซอนไปตามที่ต่างๆอย่างง่ายๆ ก็น่าลอง ข้าไปที่ www.dwarfbike.com/ หรือโทรไปคุยกับอมรชัย ที่ 0-2910-0273-4 (เดลินิวส์ อาทิตย์ที่ 11 ก.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





ข่าวทั่วไป


หมอศิริราชเจ๋ง รักษาสันนิบาตไทยรายแรกสำเร็จ

น.พ.ศรัณย์ นันทอารีย์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาประสาทศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลว่า หลังจากทำการผ่าตัดรักษาคนไข้ชื่อ น.ส.ปทุมมาศ ชิตารักษ์ หรือน้องน้ำผึ้ง วัย 20 ปี ที่ป่วยเป็นโรคดิสโทเนีย หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าโรคหงิกงอ หรือโรคสันนิบาต ซึ่งถือเป็นการผ่าตัดคนไข้รายที่ 4 ของไทย ผลการผ่าตัดถือว่าประสบความสำเร็จกว่าร้อยละ 90 โรคดิสโทเนียคือ โรคที่กล้ามเนื้อมีความผิดปกติ มีการหด เกร็ง ที่ไม่เป็นแบบแผน เกร็งมากเกินไป อยู่ในท่าที่ผิดปกติ โรคนี้เกิดจากพันธุกรรม การกินยาผิดประเภท อุบัติเหตุ การขาดออกซิเจน ส่วนการรักษานั้น น.พ.ศรัณย์กล่าวว่า รักษาด้วยวิธีการผ่าตัด ด้วยการใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าสมอง ที่เรียกว่า Ativa ซึ่งการรักษาด้วยวิธีนี้ เพิ่งได้รับการรับรองเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยมีการผ่าตัดกับผู้ป่วยรายแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เป็นคนไทย ที่ รพ.ศิริราช เมื่อปี 2547 การผ่าตัดได้ผลประมาณร้อยละ 60-70 ต่อมามีการผ่าตัดคนไข้รายที่ 2 และรายที่ 3 น้องน้ำผึ้งเป็นรายที่ 4 ของไทย โดยการผ่าตัดถือว่าประสบความสำเร็จกว่าร้อยละ 90 เพราะอาการของโรคของน้องน้ำผึ้ง ถือว่าค่อนข้างหนักมาก เป็นอาการผิดปกติที่เกิดจากสมอง กล้ามเนื้อเกร็งจนบิด คนไข้รู้ตัวทั้งหมด แต่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ทำให้ทรมานมาก ซึ่งการผ่าตัดใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าสมองนี้ จะเริ่มจากการใส่เครื่องมือล็อกศีรษะ เอกซเรย์หาตำแหน่ง คำนวณหาตำแหน่งอย่างละเอียด แล้วใส่เครื่องมือเข้าไปในสมอง จากนั้นจะกระตุ้นให้คนไข้รู้สึกตัวตื่น เพื่อดูว่ากล้ามเนื้อทำงานเป็นอย่างไรบ้าง แขน ขากระตุกได้ปกติหรือไม่ ถ้าได้ ก็จะฝังเครื่องมือให้ตรงจุดในสมองที่ส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้อาการหด เกร็ง บิด งอ หายไป สำหรับเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าสมองหรือ Ativa จะทำงานโดยใช้แบตเตอรี่ ที่มีอายุการทำงานประมาณ 5 ปี พอครบ 5 ปี ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ โดยการผ่าตัดที่ไหปลาร้าอีกที สำหรับกรณีของน้องน้ำผึ้ง เนื่องจากอาการค่อนข้างหนัก แพทย์ต้องใช้เวลาในการผ่าตัดนานถึง 4 ชั่วโมง หลังผ่าตัดประมาณ 1 สัปดาห์คนไข้เริ่มใช้มือได้ โทรศัพท์ได้ กินข้าวเองได้ ไม่ดิ้น นั่งคนเดียวได้โดยไม่ต้องมีคนพยุง ถือว่าได้ผลดี ฟื้นตัวได้เร็ว เหลือแค่คอเท่านั้น ที่ยังบังคับไม่ได้ เนื่องจากเครื่องมือยังเห็นผลไม่เต็มที่ และเนื่องจากคนไข้เดินไม่ได้มานานถึง 2 ปี แม้จะผ่าตัดแล้ว ต้องทำกายภาพเพื่อฝึกเดิน ซึ่งอาการจะดีขึ้นเรื่อยๆ คิดว่าน่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 เดือน การผ่าตัดคนไข้แต่ละรายใช้เงินประมาณ 800,000 (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 5 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





สูตรคิดค่าไฟฟ้าใหม่! ประชาชนเตรียมควักกระเป๋าเพิ่ม

การปรับสูตรคิดเอฟทีใหม่ที่จะประกาศใช้ในเดือนตุลาคมนี้ได้ผ่านมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่ง นายเชิดพงษ์ สิริวิชช์ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ครม.ได้อนุมัติให้ปรับสูตรการคำนวณค่าไฟฟ้าอัตโนมัติหรือเอฟที ใหม่โดยกำหนดให้เป็นศูนย์ จากปัจจุบันค่าเอฟที จะอยู่ที่ 46.83 สตางค์ต่อหน่วย โดยดึงค่าเอฟที ดังกล่าวมาใส่ไว้ในค่าไฟฟ้าฐานที่จากเดิมอยู่ที่ระดับ 2.25 บาทต่อหน่วยปรับเป็น 2.72 บาทต่อหน่วยและจะตรึงค่าไฟฟ้าฐานระดับดังกล่าว 3 ปี ( ต.ค.2548-ต.ค.2551) โดยสูตรค่าไฟดังกล่าวจะมีผลตั้งแต่ค่าไฟงวดใหม่ 1 ต.ค.นี้ เป็นต้นไป สำหรับสูตรค่าไฟฟ้าฐานจะปรับทุก 3 ปีในหลักการอยู่แล้ว และครั้งนี้กำหนดให้เอฟที เป็นศูนย์ก็เพื่อที่จะสะท้อนให้เห็นถึงการปรับค่าไฟฟ้าที่สะท้อนจากต้นทุนเชื้อเพลิงเท่านั้น โดยเอฟที ใหม่จะไม่นำอัตราแลกเปลี่ยน อัตราเงินเฟ้อ เข้ามารวมอยู่ด้วยเหมือนปัจจุบัน ซึ่งในเดือนต.ค.นี้ค่าเอฟที จะปรับขึ้นมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นกับค่าเชื้อเพลิงย้อนหลัง 4 เดือน(มิ.ย.-ก.ย.)เท่านั้น ส่วนความแตกต่างระหว่างโครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่ กับ โครงสร้างค่าไฟฟ้าเก่า แตกต่างกัน 3 ข้อ คือ 1. ค่าเอฟที สูตรเก่าจะเท่ากับ 46.83 สตางค์ต่อหน่วย โดยคิดรวมอัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน ค่าเชื้อเพลิงเข้าไปด้วย ส่วนค่าเอฟทีใหม่ จะปรับให้เป็นศูนย์ โดยจะเหลือเฉพาะค่าเชื้อเพลิงเท่านั้น เท่ากับว่าค่าเอฟทีใหม่จะแปรผันไปตามค่าเชื้อเพลิงที่ขึ้นลงในขณะนั้น ,2.ค่าไฟฐานปรับจาก 2.25บาท/หน่วย เป็น 2.72บาท/หน่วย จากการโยกค่าเอฟทีเก่าเข้ามารวม โดยการโยกอัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน เข้ามาด้วย และ3.เปลี่ยนวิธีการเก็บค่าไฟ จากโครงสร้างเก่าให้ กฟผ. ออกค่าไฟไปก่อน 4 เดือน แล้วจึงมาเก็บในรอบบิลหลังจากนั้น ส่วนโครงสร้างใหม่เป็นการเก็บจากผู้บริโภคเดือนต่อเดือน ซึ่งจะเป็นการดีกับ กฟผ. ที่ไม่ต้องจ่ายเงินก่อนที่จะได้รับ นายเชิดพงษ์ ชี้แจงว่า ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ส่วนใหญ่จะเป็นก๊าซธรรมชาติ ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิต 70% ซึ่งราคาก๊าซธรรมชาติในปัจจุบันอยู่ที่ 160 บาท ต่อล้านบีทียู และน้ำมันเตา ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิต 7-8% โดยราคาน้ำมันเตาอยู่ที่ 10-12 บาทต่อล้านบีทียู และมีอัตราราคาผันผวนด้านราคาตามสภาวะราคาน้ำมัน และจะคิดจากค่าพลังงานอื่นๆ ด้วย เช่น ถ่านหิน และพลังงานน้ำ (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 5 ก.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





โรควัวบ้าต้นตอจากซากศพ ส่งออกจากชาติแถบเอเชียใต้

วารสารการแพทย์แลนเซตของอังกฤษฉบับที่จะออกในวันเสาร์นี้ ระบุว่า การระบาดของโรควัวบ้าที่สร้างความเสียหายให้แก่ยุโรป มีต้นตอมาจากอาหารสัตว์และกระดูกที่ส่งออกมาจากประเทศแถบเอเชียใต้ รวมถึงซากศพมนุษย์ที่มีการเผาบริเวณริมฝั่งแม่น้ำคงคา สมมติฐานดังกล่าวที่กำลังเป็นข้อโต้แย้งมาจากรายงานของนายอลัน โคลเชสเตอร์ แห่งมหาวิทยาลัยเคนท์ และนางแนนซี โคลเชสเตอร์ จากมหาวิทยาลัยเอดินบะระ 2 ผู้ เชี่ยวชาญอังกฤษในสำนักงานสาธารณสุขศาสตร์และสัตวแพทย์ โดยพวกเขาอ้างว่ามีหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่าต้นตอของโรคมาจากกระดูกและซากสัตว์ ที่ส่งจากเอเชียใต้มายังอังกฤษในช่วงทศวรรษหลังปี 2493-2513 ทั้งในรูปของอาหารสัตว์ หรือวัตถุดิบ เพื่อนำมาผลิตเป็นอาหารและปุ๋ย ทั้งนี้ ซากสัตว์ดังกล่าวอาจมีเชื้อโรคสมองฝ่อ ซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกับโรควัวบ้าปนเปื้อนอยู่ด้วย สมมติฐานใหม่ระบุว่า แหล่งของการปนเปื้อนเชื้อโรควัวบ้าเกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน โดยมีการนำศพของมนุษย์ที่เผาไหม้ไม่หมดมาปนในเนื้อและกระดูกสัตว์ที่ส่งออก สมมติฐานนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานเกี่ยวกับมลพิษที่พบในแม่น้ำคงคา ยุโรปหมดเงินไปหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อควบคุมโรควัวบ้า ซึ่งพบเป็นครั้งแรกในวัวของอังกฤษ เมื่อปลายทศวรรษหลังปี 2523 (ไทยรัฐ อังคารที่ 6 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





อนุรักษ์ ‘แมลงทับ’ ให้ยั่งยืน ร่วมปลูกป่า-อย่าจับช่วงวางไข่

แมลงทับ ชื่อสามัญ Metalic Wood Boring Beetle อยู่ในวงศ์ Buprestidae ในอันดับ COELOPTERA ในบ้านเรามี แมลงทับอยู่ 2 ชนิดคือแมลงทับขาเขียวกับแมลงทับขาแดง โดยพบมากที่สุดอยู่ในภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตัวเต็มวัยของมันจะผสมพันธุ์กันในราวเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน หลังจากนั้นก็จะตาย โดยใช้เวลาเพียงแค่ 3-4 สัปดาห์เท่านั้น ในช่วงเป็น ด้วงมักจะถูกจับมากินเป็นอาหาร ทั้งปิ้ง, คั่วและทอด...อันเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้จำนวนแมลงทับ ในธรรมชาติลดน้อยลงไปทุกที จากผลของงานวิจัยพบว่า...แมลงทับจะปรากฏให้เห็นเพียงปีละครั้งเดียว ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างที่เข้ามากระทบต่อวงจรชีวิต เช่น สภาพแวดล้อมก่อนเข้าหน้าฝน ถ้าหากสภาพอากาศแห้งแล้ง หนอนวัยสุดท้ายจะฟักตัวนิ่งข้ามปีได้ เพื่อรอจนกว่าจะถึงรอบปีตามปกติ มันจึงจะลอกคราบจากดักแด้กลายเป็นแมลงทับตัวเต็มวัย หากจะจับมันมาใช้ประโยชน์ก็ให้แมลงทับวางไข่เสียก่อนจึงจะดี สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานงานศิลปาชีพ ให้กับพสกนิกร ด้วยการนำเอาปีกแมลงทับ มาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต ซึ่งก็ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีหลายกลุ่มอาชีพประกอบด้วย กลุ่มเครื่องประดับเพชรพลอย ต.โคกภู อ.ภูพาน, ศูนย์การศึกษาพัฒนาภูพาน และ โครงการส่งเสริม ศิลปาชีพบ้านทรายทอง อ.ส่องดาว จ.สกลนคร เพื่อสนองพระราชเสาวนีย์ฯ นายฉัตรชัย รัตโนภาส เป็นอธิบดีกรมป่าไม้ ได้ดำเนิน “โครงการแมลงทับคืนถิ่น” พร้อมกับรณรงค์ปลูกต้นไม้เพื่อเป็นแหล่งอาหารให้กับแมลงทับขึ้นที่เทือกเขาภูพาน จังหวัดสกลนคร (ไทยรัฐ อังคารที่ 6 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





เทคนิคเสริมสวยด้วยลมหายใจ อัดออกซิเจนให้อยู่ในตัวนานๆ

พ.ญ.วิไล ธนสารอักษร ผู้เชี่ยวชาญโรคผิวหนัง โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า จากการที่คนเราทุกวันนี้หายใจเอาออกซิเจนเข้าไปในร่างกายเพียงชั่วครู่แล้วเอาออก ยังไม่ทันนำออกซิเจนไปใช้ในส่วนอื่นของร่างกาย ทำให้มีแก๊สเสียในร่างกายมาก จึงมีแพทย์กลุ่มหนึ่งคิดค้นวิธีการรักษาคนไข้แบบที่เรียกว่า “ออกซิเจน เทอราปี” หรือการใช้ออกซิเจนธรรมชาติในการบำบัดตนเอง เริ่มต้นด้วยการหายใจออกทางปากอย่างช้าๆจนสุดลม เมื่อสุดลมหายใจแล้วให้หายใจเข้าทางจมูกอย่างช้าๆ หายใจเข้าให้เต็มปอด เมื่อเต็มปอดแล้ว กลั้นหายใจไว้ระยะหนึ่ง เพื่อให้ออกซิเจนอากาศดี ที่เข้าไปในร่างกายไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้เต็มที่ แล้วจึงเอาอากาศเสียออกทางปากตัวเองอย่างช้าๆอีก 1 ครั้ง ทำแบบนี้ทุกวัน วันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 20 นาที จะช่วยชะลอผิวแก่ก่อนวัย รอยคล้ำ จุดด่างดำ โรคมะเร็ง และโรคต่างๆ การทำแบบนี้ทำให้ร่างกายได้อากาศดีๆไปเลี้ยงเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของเรา และยังช่วยให้สภาวะจิตใจนิ่งลง เบาสบายลง ในสภาวะจิตที่นิ่งลงเบาสบายนี้เอง จะทำให้การเผาผลาญพลังงานลดน้อยลง สารอนุมูลอิสระทั้งหลายเกิดขึ้นน้อยลง ทั้งผิวแก่ก่อนวัย รอยคล้ำ จุดด่างดำ มะเร็งถามหา นอกจากนี้ สภาวะที่หายใจเช่นนี้ก็มีความสุข ความเครียดทั้งหลายก็ไม่เกิดขึ้น ฮอร์โมนความเครียดก็จะไม่หลั่งออกมา ซึ่งฮอร์โมนความเครียดนี้มีทั้งทำให้ภูมิคุ้มกันตกลงทันที เกิดการติดเชื้อง่าย ร่างกายทั้งร่างกายไม่เฉพาะผิวพรรณ ทั้งหมดของร่างกายชราภาพก่อนวัยได้หมด วิธีการดังกล่าวนำมาจากศรีลังกา ไทยนำมาใช้รักษาคนไข้เป็นสิว ซึ่งเครียดมาก ร่วมกับรับประทานยา ทำให้คนไข้หายเร็วขึ้น. (ไทยรัฐ พุธที่ 7 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





ซอฟต์แวร์ปาร์คหนุนสอบใบประกาศไอที

ดร.รอม หิรัญพฤกษ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า การจัดงาน IT Certification Day ปีที่ผ่านมา นับว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ส่งผลให้มีบุคลากรด้านไอทีเข้าสู่ระบบการอบรมและการสอบใบประกาศนียบัตรมากขึ้น อย่างไรก็ตามการจะพัฒนา และยกระดับความสามารถด้านไอทีให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากลมากขึ้นตามนโยบายของรัฐบาลในการมุ่งเน้นให้ไทยเป็นหนึ่งในผู้นำด้านไอทีในระดับภูมิภาคนั้น เรายังคงต้องเพิ่มปริมาณบุคลากรด้านไอทีที่ได้รับประกาศนียบัตร และผ่านการอบรมจากสถาบันที่ได้รับการรับรองอีกมาก ทั้งนี้เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย ได้ร่วมมือกับภาคเอกชน จัดงาน IT Cert. Day 2005 ขึ้นในวันที่ 21 กันยายน นี้ที่ห้องวิภาวดีบอลรูม โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว เพื่อผลักดันให้บุคลากรสอบใบประกาศเพื่อพัฒนาและยกระดับความสามารถรองรับการแข่งขันในตลาดโลกได้ กิจกรรมในงานประกอบด้วยการประชุมสัมมนาเชิงนิทรรศการในหัวข้อต่าง ๆ จากบริษัทที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีชั้นนำ อาทิ Microsoft, Oracle, SUN, Cisco, การอภิปรายถึงโอกาส, ประโยชน์ และคุณค่าวุฒิบัตรและประกาศนียบัตรมาตรฐานนานาชาติด้วยมุมมองและประสบการณ์จริงของนักไอทีมืออาชีพ ตลอดจนการอภิปรายในหลากหลายมุมมองจากตัวแทนบริษัทผู้ว่าจ้าง, ผู้ที่ได้รับประกาศนียบัตรที่แสดงความเป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาวิชา และจาก นักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิ นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากศูนย์ฝึกอบรม, ศูนย์สอบบริษัทจัดหาบุคลากรด้านไอที และร้านหนังสือด้านไอทีต่าง ๆ ร่วมออกบูธในงาน สำหรับผู้เข้าชมงานแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มนักพัฒนาซอฟต์แวร์และเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในสายไอที กลุ่มที่สองคือ กลุ่มผู้บริหารงานไอที ที่ต้องการปรับปรุงกระบวนการและการบริการด้านไอที ให้เข้าสู่มาตรฐานสากล อีกกลุ่มคือนักศึกษา นักเรียน และบุคคลทั่วไป ซึ่งกำลังศึกษาและสนใจที่จะเข้าสู่งานด้านไอที และต้องการความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการ สอบ เพื่อรับประกาศนียบัตรมาตรฐานไอทีระดับนานาชาติที่จะเป็นประโยชน์กับการทำงานต่อไปในอนาคต. (เดลินิวส์พุธที่ 7 ก.ย. 2548 http://www.dailynews.co.th)





รองเท้าแตะแฟชั่นเสี่ยงเป็นแผล ออกแบบฉาบฉวยไม่รับสรีระเท้า

ผู้เชี่ยวชาญเตือนภัยรองเท้าแตะแฟชั่น อาจทำร้ายผู้สวมใส่โดยไม่รู้ตัว เนื่องจากออกแบบเน้นสวยงามมากกว่าความสบายเท้า เสี่ยงทำให้กระดูกนิ้วเท้าหัก เกิดพังผืดใต้ฝ่าเท้า จนทำให้มีอาการอักเสบเรื้อรัง รวมทั้งส้นเท้าต้องรับแรงกดอย่างหนักขณะเคลื่อนไหว หรือแม้แต่แผลพุพองจากเชือกรัดรองเท้า แนะนำให้อย่าใส่รองเท้าแตะขณะขับรถ และเลือกใส่รองเท้าแบบมีส้นเล็กน้อย ดีกว่าใส่แบบแบนราบ สมาคมผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมือและเท้า แนะนำว่าการเลือกใช้รองเท้าแตะควรเป็นแบบมีส้นเล็กน้อย และถ้ามีวัสดุห่อหุ้มเท้าด้วยจะเป็นการดีอย่างยิ่ง เพราะหากเป็นรูปแบบแฟชั่นทั่วไป อย่างพวกที่เชือกถักระโยงระยางอาจทำให้เกิดภัยร้ายกับผู้สวมใส่โดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะแบบแบนราบ ถือเป็นปัญหาหลักสำหรับสุขภาพเท้าเลยทีเดียว จะเห็นได้ว่าผู้ที่เคยสวมรองเท้าแบบมีส้นเล็กน้อย เมื่อเปลี่ยนมาใส่รองเท้าแตะแบน จะรู้สึกได้ทันทีว่าฝ่าเท้าต้องรับแรงกระแทกขึ้นมาถึงเอ็นร้อยหวาย ทำให้กล้ามเนื้อน่องและใต้ฝ่าเท้าตึงเครียด ยิ่งกว่านั้น หากสวมใส่ขณะขับรถ ก็จะยิ่งเป็นอันตรายมากขึ้น หากสายรัดรองเท้า หรือแม้แต่ตัวรองเท้าเองเข้าไปพันกับคันเร่งหรือเบรกของรถยนต์ ปัญหาที่พบได้บ่อยครั้งของการสวมรองเท้าแตะทั่วไป คือเจ็บส้นเท้าเนื่องจากเกิดอาการพังผืดอักเสบขึ้นบริเวณฝ่าเท้า ซึ่งเชื่อมต่อตั้งแต่กระดูกส้นเท้าไปจนถึงนิ้วเท้า อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจมีอาการปวดส้นเท้าเป็นปกติ ซ้ำร้ายสามารถลุกลามไปถึงเนื้อในของเท้าจนถึงขั้นนิ้วหักได้ (คมชัดลึก พุธที่ 7 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ทีโอทีเตือนใช้เน็ตโหลดภาพ เสียค่าโทรต่างประเทศไม่รู้ตัว

นางวรรณพร ลีฬหาชีวะ ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ บมจ.ทีโอที เปิดเผยว่า บริษัทได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ใช้บริการจำนวนมาก ว่า ถูกเรียกเก็บค่าใช้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศ ทั้งที่ไม่ได้ใช้บริการ ทีโอที จึงได้ตรวจสอบอย่างเร่งด่วน พบว่า ค่าบริการที่เกิดขึ้นเนื่องจากการใช้บริการอินเทอร์เน็ตในเว็บไซต์ที่มีการโหลดดูรูปภาพต่าง ๆ จากต่างประเทศในบางแห่ง โดยผู้ใช้บริการไม่ทราบว่าเว็บไซต์เหล่านั้นเรียกเก็บค่าโทรทางไกลระหว่างประเทศ จึงขอให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตรวมถึงผู้ปกครองเตือนบุตรหลานในการใช้งานอินเทอร์เน็ตสำหรับการใช้งานประเภทดังกล่าวด้วย สำหรับรูปแบบการใช้งานที่ทำให้เสียค่าใช้จ่ายโดยไม่รู้ตัวได้แก่ บริการดาวน์โหลดดูภาพฟรี และ การเปิดเว็บไซต์อัตโนมัติโดยที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตไม่ได้พิมพ์ข้อความใด ๆ แต่เมื่อคลิกเพื่อชมภาพต่าง ๆ โปรแกรมจะมีการต่อสายไปยังผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในต่างประเทศอัตโนมัติ โดยไม่มีการสอบถามหรือแจ้งเตือนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทำให้ผู้ใช้บริการต้องรับภาระค่าใช้จ่ายค่าโทรศัพท์ระหว่างประเทศตามระยะเวลาที่ใช้งาน อย่างไรก็ตามรูปแบบการทำงานของโปรแกรมประเภทนี้มีความหลากหลาย แต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ ทำให้โมเด็มของผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตเรียกไปยังปลายทางต่างประเทศ ดังนั้นการเข้าไปใช้บริการเว็บไซต์ประเภทรูปภาพ ขอให้ระมัดระวังเป็นพิเศษ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตต้องสังเกตข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอ เช่น เว็บไซต์ที่มีการโฆษณาว่า No Membership, No Credit Card, EZ Dial, International Program, Internet Sex Provider หรือฟังเสียงการเชื่อมต่อโมเด็มที่จะต่อสายด้วยหมายเลขที่ยาวกว่าการต่อภายในประเทศ หรืออ่านคำเตือนต่าง ๆ เมื่อเข้าไปใช้บริการเว็บไซต์ประเภทรูปภาพบางประเภท หรือสังเกตชื่อเว็บไซต์แปลก ๆ ที่ปรากฏบน Address Bar นอกจากนี้ทีโอทียังได้แนะนำวิธีปฏิบัติของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ว่า ในกรณีที่ไม่มีความจำเป็นในการใช้โทรศัพท์ระหว่างประเทศ ผู้ใช้บริการสามารถขอระงับการโทรทางไกลระหว่างประเทศได้ที่ศูนย์บริการทีโอทีทั่วประเทศ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด และในกรณีที่ผู้ใช้บริการมีความต้องการโทรทางไกลระหว่างประเทศสามารถเลือกใช้บริการพิเศษของทีโอที ด้วยการขอใช้บริการจำกัดการเรียกออก โดยเลือกจำกัดการเรียกออกไปต่างประเทศ และเมื่อต้องการเรียกไปยังต่างประเทศตามปกติก็สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการใส่รหัสที่ได้รับก่อน แล้วโทรได้ตามปกติ โดยมีอัตราค่าบริการเพียง 30 บาทต่อเดือนเท่านั้น (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 7 ก.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





สวช.ฟื้นฟูจัดสาธิตสวดโอ้เอ้วิหารราย "เทิดพระเกียรติ"ก่อนสูญจากสังคมไทย

นางปริศนา พงษ์ทัดศิริกุล เลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ เปิดเผยว่า ในวันที่ 18 ตุลาคม อันเป็นวันออกพรรษานี้ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ(สวช.) กระทรวงวัฒนธรรมได้ร่วมกับสำนักพระราชวัง เตรียมจัดโครงการฟื้นฟูประเพณีการสวดโอ้เอ้วิหารรายขึ้น เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสครองราชย์ 60 ปี ที่บริเวณพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว) ตั้งแต่เวลา 08.30-15.00 น. โดยจะมีตัวแทนนักเรียนจำนวน 304 คน ที่ได้รับการฝึกจากครูที่ผ่านการอบรมข้างต้นมาแล้วเป็นผู้สวดให้ฟัง เรื่องกาพย์พระไชยสุริยา เพื่อฟื้นฟูประเพณีดังกล่าวอันเป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาแต่โบราณ ซึ่งปัจจุบันมีผู้สนใจสืบทอดน้อยมากจนแทบจะเลือนหายไปจากสังคมไทย ทั้งๆที่เป็นประเพณีที่มีประโยชน์ยิ่งต่อการสอนหลักธรรมในการดำเนินชีวิต ในการสาธิต "การสวดโอ้เอ้วิหารราย" ที่จะมีขึ้นในวันออกพรรษาปีนี้ สวช.จึงได้จัดการฝึกอบรมครู อาจารย์ทั้งเขตภาคกลาง 26จังหวัด และครูในสังกัดกรุงเทพมหานครอีก 50 เขต ในวันที่ 5-7 กันยายนที่ผ่านมา เพื่อให้ครูอาจารย์ได้นำไปสอนต่อให้แก่นักเรียน ซึ่งการสวดดังกล่าวมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เดิมคือการสวดของผู้ที่กำลังฝึกหัดสวดมหาชาติคำหลวง ซึ่งยังสวดไม่คล่อง ไม่ถูกทำนอง จึงนั่งฝึกซ้อมตามวิหารเล็กที่รายรอบพระอุโบสถวัดพระศรีสรรเพชญ เมื่อสวดจนชำนาญแล้วจึงได้ขึ้นไปสวดในวิหารใหญ่ให้พระเจ้าแผ่นดินทรงฟัง กล่าวโดยย่อคือ การอ่านหนังสือสวดของเด็กนักเรียน ซึ่งใช้กลอนสวดเป็นแบบเรียนฝึกการอ่านในสมัยที่วัดยังทำหน้าที่เป็นสถานศึกษาอยู่ และที่มาของชื่อก็คือ การที่ผู้อ่านหรือผู้สวดต้องมาสวดตามวิหารรายรอบพระอุโบสถในช่วงเทศกาลต่างๆ นั่นเอง ซึ่งการสวดดังกล่าวนอกจากจะช่วยฝึกการอ่านแล้ว เด็กๆ ยังได้ซึมซับคำสอนดีๆ ที่มีอยู่ในบทสวดด้วย (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 8 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215