หัวข้อข่าวปีที่ 6 ฉบับที่ 35 ประจำวันที่ 2005-09-18

ข่าวการศึกษา

หนุนให้ทุนเรียนรัสเซีย ทูตการันตีจบมีงานทำ
แพทยศาสตร์ออนไลน์ 9 สถาบันจับมือเปิดรับ น.ศ.แพทย์
โรงเรียนปัญญาภิวัฒน์ เทคโนธุรกิจ แม่แบบการศึกษา "ทวิภาคี"
ตั้งสำนักคิดฯ ในม.นครพนม
ศธ.จ้างจุฬาฯ8 ล.วิจัยเด็กจน หวังนำผลประเมินแก้ไขปัญหาให้ถูกทิศทาง
ปลัด ศธ.ดึง "ดร.กล้า" พัฒนาท้องฟ้าจำลอง
"หอการค้า" มองข้ามชอต ก้าวสู่ "ม.ชั้นนำด้านธุรกิจในเอเชีย"
ผลิตบุคลากร ป.โท-เอก แก้วิกฤติพลังงานรอบ 3
มธบ.ตั้งศูนย์ทดสอบนักศึกษา รุกปั้นบัณฑิตเรียนจบทำงานได้จริง
เวิร์กช็อปอาจารย์ สอนแบบเน้นผู้เรียน
หลักสูตรนักธรรมไฮเทค

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

ค้างคาวจีนมีเชื้อคล้ายโรคซาร์ส เตือนนักเปิบพิสดารระวังตัว
ทำตัวอ่อนมนุษย์ให้แพร่พันธุ์เองได้ เป็นการถือกำเนิดแบบพรหมจรรย์
"มาร์ส เอ็กซ์เพรส"จับภาพ ภูเขาไฟดาวอังคาร-ปะทุได้ทุกเมื่อ
เอเชียมีสิทธิเผชิญวิกฤตน้ำ ภูเขาน้ำแข็งท่วมหลายประเทศ
เทคโนโลยีเวอร์ช่วล
มทร.ธัญบุรี อวดไอเดีย รู้ผลสอบก่อนใครผ่าน “มือถือ”
ทีวีจอ "นาโน" ภาพชัดแจ่มแจ๋ว เทคโนโลยีจิ๋วเคลือบจอแบนเปล่งแสงสว่าง
มาเลเซียส่ง"ดาวเทียม"5ดวงรวด
ลูกพันธุ์ใหม่ เกิดจากแม่2คน!
ทดสอบไฟเบอร์บรอดแบนด์50จว.
กรมอุตุฯ” เพิ่งตื่น! เตรียมให้บริการพยากรณ์อากาศผ่านมือถือ

ข่าววิจัย/พัฒนา

มอเตอร์ไซค์ฮอนด้าติดถุงลมนิรภัย
เครื่องรูดบัตรเครดิตไร้สาย ติดในรถแท็กซี่รับแขกวีไอพีใน ร.ร.ทั้งใกล้และไกล
เปิดตัวมะพร้าวกะทิน้ำหอมพันธุ์ใหม่ ไทยเจ๋งรายแรกและหนึ่งเดียวในโลก
คิดฝักบัวใช้น้ำไม่มีวันหมด ท่อบำบัดน้ำเสียเวียนกลับมาใช้
เครื่องจักรจิ๋วเล็กกว่าเส้นผมหลายเท่า
ฟีโบ้ปรับโฉมหุ่นยนต์กู้ระเบิด จากล้อเป็นสายพาน - หนุนส่งลงใต้ช่วยงานหน่วยเก็บกู้
นาโนเทคเพื่อสิ่งแวดล้อม
ผลิตเบียร์จากนมเปรี้ยว ชูสรรพคุณบำรุงร่างกาย
วีระชาติ พาลุกา’ กับการศึกษาโพลิเมอร์จากแป้งและยางพารา
รถเคลื่อนที่สำหรับผู้พิการ
ชาขาวบำรุงเซลล์ผิวหนังกันโรค ต่อต้านความแก่ชรา
กินเนยเหมือนยานอนหลับ ช่วยคนนอนไม่หลับกลับนอนกรน
ชวนหญิงวัยทองหมั่นกินถั่วเหลืองไม่ให้กระดูกผุเร็ว
คำนวณค่าใช้ไฟฟ้าผ่านเน็ต กฟน. นำร่องติดตั้งระบอ่านมิเตอร์ทางไกล
เม็ดไฮโดรเจน เติมพลังมือถือ
นักศึกษาราชภัฏสงขลาเจ๋ง-วิจัยคิดค้น"เต้าเจี้ยวชีวภาพ" มหาลัยหนุนเต็มที่ตั้งโรงงานผลิตป้อนตลาด-มั่นใจคุณภาพ"ปลอดสาร"
ฉีดวิตามินซีเข้มข้นเข้าเส้น ช่วยต่อสู้โรคร้ายภัยมะเร็ง
ใช้ซากแมวหมาเป็นเชื้อเพลิงรถ ตัวเดียววิ่งได้ไกลเท่านํ้ามัน 2 ลิตร
หอมกลิ่น ‘บุหงาส้มร่วง’ วิกฤติเป็นโอกาสแห่งทุ่งหนองเสือ
เกษตร"มข."ผลิตไข่ปลอดสาร
นวัตกรรมใหม่เมมเบรนฯ กรองน้ำเค็มเป็นน้ำจืด
"ยีนส์"มีผลต่อภาวะกระดูก
หุ่นช่วยมนุษย์

ข่าวทั่วไป

ขรก.บำนาญเฮไม่ต้องสำรองค่ารักษา สปสช.ออกหน้าเคลียร์แทนเริ่ม1ตุลาคม
ผู้ป่วยลำไส้ระวัง"หอบหืด"แทรกซ้อน
กระทรวงพลังงานหนุน 7 จว. ปลูกสบู่ดำนำร่องไบโอดีเซล
เปิดบริการช่วยดูแลลูกหลานผ่านเน็ต-กล้องวงจรปิด
ไทยน่าลงทุน อันดับ 20 โลก





ข่าวการศึกษา


หนุนให้ทุนเรียนรัสเซีย ทูตการันตีจบมีงานทำ

เสนอศธ.ให้ทุนหวยเรียนต่อที่รัสเซียมากขึ้น ทูตไทยเชื่อเรียนภาษารัสเซียจบแล้วไม่ตกงาน เพราะอีกห้าปี จะมีนักท่องเที่ยวรัสเซียมาเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น จึงต้องเตรียมบุคลากรรองรับ นายสรยุตม์ พรหมพจน์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงมอสโก สหพันธรัฐรัสเซีย เปิดเผยว่า ขณะนี้มีนักเรียนไทยที่มาศึกษาต่อในประเทศรัสเซีย ประมาณ 50 คน ซึ่งเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลไทยและนักเรียนทุนรัฐบาลรัสเซีย โดยเป็นจำนวนที่น้อยที่สุดในบรรดาประเทศแถบอาเซียน ซึ่งไทยพยายามกระตุ้นให้เด็กไทยหันมาสนใจศึกษาต่อที่รัสเซียมากขึ้น โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กำชับให้ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เน้นให้ทุนกับผู้ที่จะมาเรียนในรัสเซีย "คนไทยรู้จักประเทศและภาษารัสเซียน้อย ทั้งๆ ที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับรัสเซียกำลังขยายตัวในทุกๆ ด้าน จึงจำเป็นต้องเตรียมบุคลากรรองรับ โดยมุ่งสร้างเยาวชนให้รู้จักรัสเซีย เพื่อรองรับทั้งธุรกิจและการท่องเที่ยว หากรัฐบาลทำได้คาดว่าภายในห้าปีข้างหน้าจะมีคนรัสเซียไปเที่ยวเมืองไทยไม่ต่ำกว่าปีละ 5 แสนคน ผมรับรองเรียนจบจากรัสเซียจะไม่ตกงานและมีรายได้ดี" นายสรยุตม์ กล่าว ด้านนางอุไรวรรณ เทียนทอง รมว.วัฒนธรรม กล่าวว่า ฝากถึง ศธ.ให้สนับสนุนนักเรียนโครงการหนึ่งทุนหนึ่งอำเภอ ให้เลือกไปเรียนที่รัสเซียมากขึ้น เพราะรัสเซียเป็นอีกประเทศที่น่าสนใจ (คมชัดลึก อังคารที่ 13 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





แพทยศาสตร์ออนไลน์ 9 สถาบันจับมือเปิดรับ น.ศ.แพทย์

15 กันยายนนี้ ก็จะเป็นวันเปิดรับสมัครสอบวิชาเฉพาะของคณะแพทยศาสตร์ ซึ่งปีนี้เป็นปีแรกของการดำเนินการร่วมกันของกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย(กสพท.) 9 ใน 13 มหาวิทยาลัย จัดสอบร่วมกัน เพื่อเป็นการสะดวกแก่ว่าที่นักศึกษา ไม่ต้องวิ่งรอกสอบเหมือนปีก่อนๆ รับทั้งสิ้น 755 คน ทั้งนี้ ในส่วนนี้ถือเป็นส่วนของ *รับตรง* (Direct Admissions) ต่างจากส่วนของ *โควต้า* ซึ่งคณะแพทยศาสตร์แต่ละสถาบันจะมีโควต้าของตนเองอยู่แล้ว ทั้งที่เป็นโควต้าพื้นที่ โควต้าวิทยาเขต โควต้าโครงการพิเศษ เช่น โครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบทของมหิดล ที่เปิดให้สมัครได้วันที่ 3 ตุลาคม ถึง 4 พฤศจิกายน 2548 จำนวนที่นั่งที่เปิดให้กับโควต้าพื้นที่/โครงการพิเศษ ซึ่งคณะแพทยศาสตร์แต่ละแห่งกำหนดเงื่อนไขการรับสมัคร รวมทั้งดำเนินการสอบเอง ปีนี้รวมแล้วตัวเลขอยู่ที่ 968 คน ส่วนการ *รับกลาง* (Central Admissions) ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา หรือ สกอ. เป็นผู้ดำเนินการเหมือนเดิม ตามเกณฑ์ที่กำหนดโดยที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.) ยังคงรับโดยวิธีการเดิมที่เคยทำกันมา รับทั้งหมด 150 คน เปิดรับสมัครเมื่อไหร่ต้องรอฟังจาก สกอ.อีกที ซึ่งส่วนนี้จะเป็นโอกาสสุดท้ายที่รองรับว่าที่นักศึกษาแพทย์ คือใช้เพียงคะแนน O-Net, A-Net, GPA และ GPAX ไม่ต้องสอบวิชาเฉพาะ ศ.พญ.บุญมี สถาปัตยวงศ์ รองคณบดีฝ่ายการศึกษา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะประธานคณะทำงานกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์ อธิบายถึงรายละเอียดการรับสมัครคณะแพทยศาสตร์ว่า จะให้ผู้สมัครเลือกได้ไม่เกิน 3 ลำดับ คุณสมบัติผู้มีสิทธิเข้าศึกษาในเบื้องต้นคือ จะต้องสำเร็จการศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่าก่อนเมษายน 2549 โดยมีคะแนนเฉลี่ยตลอดหลักสูตร(GPAX) 3.0 ไม่มีปัญหาสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ ต้องไม่ได้กำลังศึกษาอยู่ในหลักสูตรแพทยฯของสถาบันใดๆ หรือได้โควต้าพื้นที่/โครงการพิเศษแล้ว เว้นแต่จะสละสิทธิก่อนวันที่ 31 มีนาคม 2549 และมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะรับราชการเมื่อจบการศึกษา เปิดรับสมัครสอบวิชาเฉพาะ 15 กันยายน-15 ตุลาคม 2548 โดยเนื้อหาจะเป็นการทดสอบศักยภาพในการเรียนรู้ ได้แก่ ความสามารถในการจับใจความ คิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ เชื่อมโยง ความเป็นเหตุเป็นผล และการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ซึ่งในส่วนนี้อาจารย์บุญมีย้ำว่า "ไม่มีความจำเป็นต้องเรียนกวดวิชาเพื่อการสอบพิเศษ" ค่าสมัครวิชาเฉพาะ 700 บาท สามารถสมัครผ่านทางเว็บไซต์ ส่วนค่าลงทะเบียนใช้การโอนผ่านทางธนาคารได้ สอบวันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม 2548 เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักเรียน ไม่ต้องเดินทางมาสอบที่กรุงเทพฯ ซึ่งสนามสอบที่กำหนดไว้แน่ๆ ณ ตอนนี้คือ ที่ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต จะมีการกำหนดสนามสอบตามจังหวัดใหญ่ในสี่ภาคคือ ที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมหาวิทยาลัยนเรศวร สำหรับจำนวนของการเปิดรับตรงของกลุ่มแพทยศาสตร์นั้น มีดังนี้ วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล รับ 50 คน ขอนแก่น 70 คน เชียงใหม่ 60 คน ธรรมศาสตร์ 30 คน พระมงกุฎเกล้า 70 คน รามาฯ 123 คน ศิริราชพยาบาล 207 คน ศรีนครินทรวิโรฒ 90 คน และสงขลานครินทร์ 55 คน รวมทั้งหมด 755 คน ในจำนวนนี้ถ้าเลือกแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ และศิริราชพยาบาล มหิดล จะต้องไปฝึกปฏิบัติการในโรงพยาบาลและขอใบรับรองการช่วยปฏิบัติงานในโรงพยาบาล เพื่อเป็นเอกสารประกอบการคัดเลือกด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีที่พิเศษอีกแห่งคือ วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า เนื่องจากนักศึกษาที่จะเข้าเป็นนักเรียนแพทยศาสตร์ของที่นี่ นอกจากจะต้องศึกษาตามหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิตเหมือนกับสถาบันอื่นแล้ว จะต้องมีเรื่องของการเป็นแพทย์ทหารด้วย ซึ่งจะต้องมีคุณสมบัติเพิ่มคือ ต้องมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงไม่ขัดต่อการเป็นทหาร และมีสิทธิได้รับเบี้ยเลี้ยงเครื่องแต่งกาย เงินเดือน ซึ่งเป็นทุนของทัพบก จบแล้วก็ได้รับราชการกระทรวงกลาโหม รายละเอียดการเตรียมตัวสมัครสอบคณะแพทยศาสตร์ระบบรับตรงของ กสพท. สามารถดูได้ผ่านทางเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมโครงการ หรือโทร.สอบถามรายละเอียดที่ Call Center 0-2576-5555, 0-2576-5777 (มติชนรายวัน อังคารที่ 13 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





โรงเรียนปัญญาภิวัฒน์ เทคโนธุรกิจ แม่แบบการศึกษา "ทวิภาคี"

โรงเรียนปัญญาภิวัฒน์ เทคโนธุรกิจ เป็นสถาบันอาชีวศึกษาเอกชนแห่งแรกที่จัดระบบการศึกษาแบบทวิภาคี (Dual Vocational Training) หรือการเรียนภาคทฤษฎีควบคู่กับการฝึกภาคปฏิบัติ ก่อตั้งขึ้นภายใต้ความร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษากระทรวงศึกษาธิการ เพื่อมุ่งผลิตบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการค้าปลีกและพร้อมลงปฏิบัติงานจริงให้เพียงพอต่อธุรกิจค้าปลีกที่กำลังเติบโตในประเทศไทย นายพูนธนา มุสิกบุญเลิศ รองผู้อำนวยการ โรงเรียนปัญญาภิวัฒน์ เทคโนธุรกิจ เป็นตัวแทนคณาจารย์และนักเรียนต้อนรับสื่อมวลชน พร้อมแนะนำประวัติความเป็นมา หลักสูตร และปรัชญาการศึกษาของโรงเรียน หลักสูตรของโรงเรียนมีความโดดเด่นหลายประการ ได้แก่ การเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนภาคทฤษฎีไปพร้อมกับการทำงานจริง นักเรียนจะเกิดความพร้อม และสามารถทำงานได้ทันทีภายหลังเรียนจบ นอกจากนี้ นักศึกษายังจะได้รับค่าตอบแทนตามมาตรฐานแรงงานในระหว่างที่ปฏิบัติงานอีกด้วย ที่สำคัญโรงเรียนจะรับประกันการมีงานทำภายหลังจบการศึกษาแก่นักเรียนทุกคน โดยนักศึกษาสามารถเลือกทำงานที่บริษัทในเครือของ ซี.พี. เซเว่น อีเลฟเว่น หรือจะทำงานกับบริษัทอื่นก็ได้ ภายหลังเสร็จสิ้นการแถลงข่าว นายพูนธนาได้นำคณะสื่อมวลชนเยี่ยมชมอาคารเรียนที่ทันสมัย ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ห้องปฏิบัติการทางภาษา ห้องสมุดและสารสนเทศ ห้องปฏิบัติการด้านเทคนิค นอกจากนี้ โรงเรียนยังได้จัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความพร้อมทางด้านอารมณ์ (EQ) เพิ่มพูนทักษะด้านการคิด อาทิ วิชาหมากล้อม (โกะ) เพื่อมุ่งเสริมสร้างให้นักเรียนกลายเป็นบุคลากรที่เพียบพร้อมต่อไป นับเป็นโรงเรียนเอกชนแม่แบบ ที่มีความพร้อมทั้งอุปกรณ์การเรียนการสอนตลอดจนบุคลากรครูอาจารย์ที่รับประกันได้ว่าเด็กที่จบออกไปจะมีคุณภาพแน่นอน (ข่าวสด อังคารที่ 13 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ตั้งสำนักคิดฯ ในม.นครพนม

ผศ.ดร.อรรถ นันทจักร์ อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ได้มีการประชุมคณะอนุกรรมการเตรียมการจัดตั้งมหาวิทยาลัยนครพนม โดยที่ประชุมเห็นชอบในหลักการให้จัดตั้งสำนักคิดบูรพาทิศขึ้นเป็นหน่วยงานหนึ่งใน ม.นครพนม ซึ่งสำนักคิดฯ นี้จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางรวบรวมข้อมูลด้านวิชาการ งานวิจัยด้านมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์และวัฒนธรรม รวมถึงสังเคราะห์ความรู้ด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในไทยและภูมิภาคอาเซียน "ภายในสำนักคิดฯ จะมีหน่วยงานที่เป็นศูนย์ศึกษาด้านมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์และวัฒนธรรมตั้งแต่ระดับภาคอีสาน ภูมิภาคอินโดจีนและแม่น้ำโขงไปจนถึงภูมิภาคอาเซียนเข้ามารวมอยู่ด้วยกัน เช่น ศูนย์อินโดจีนศึกษา สถาบันแม่น้ำโขงศึกษา หากเป็นไปได้อยากให้สำนักคิดฯ มีฐานะเป็นองค์กรมหาชนภายใต้การกำกับของ ม.นครพนม เช่นเดียวกับศูนย์มนุษยวิทยาสิรินธร ม.ศิลปากร เพื่อจะได้บริหารจัดการและทำงานได้อิสระและคล่องตัว เพราะต้องประสานงานกับหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ คาดว่าสำนักคิดฯ จะจัดตั้งขึ้นได้ภายในปี 2549" ผศ.ดร.อรรถ กล่าว (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 15 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ศธ.จ้างจุฬาฯ8 ล.วิจัยเด็กจน หวังนำผลประเมินแก้ไขปัญหาให้ถูกทิศทาง

ดร.จรวยพร ธรณินทร์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในฐานะคณะกรรมการกำกับแผนและการวิจัยโครงการพัฒนายุทธศาสตร์แก้ปัญหาเด็กยากจนและเด็กด้อยโอกาสว่า คณะกรรมการพัฒนายุทธศาสตร์แก้ปัญหาเด็กยากจนและเด็กด้อยโอกาสได้จัดสรรงบประมาณจำนวนแปดล้านบาท ว่าจ้างให้คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำวิจัยในการประเมินประสิทธิภาพการบริหารโครงการของคณะกรรมการพัฒนายุทธศาสตร์แก้ปัญหาเด็กยากจนฯ ว่าดำเนินการมาถูกทางหรือไม่ โดยใช้ระยะเวลาในการทำวิจัยหนึ่งปี นับตั้งแต่เดือนกันยายน 2548-กันยายน 2549 เมื่อสรุปผลการวิจัยจะนำมาใช้เป็นแนวทางในการกำหนดยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาเด็กยากจนและเด็กด้อยโอกาสต่อไป สำหรับการวิจัยจะทำทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยเน้นวิธีการให้กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ 1.เด็กที่เข้าร่วมโครงการ 2.เจ้าหน้าที่การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ระดับ 8 หรือ หัวหน้าพัฒนาสังคมจังหวัด 3.ผอ.เขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) และ 4.เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานที่ได้รับทุน ตอบแบบสอบถาม เพื่อสอบถามถึงความเพียงพอในการรับทุน ระบบการจัดสรรทุนและระเบียบการบริหารจัดการ เพื่อพิจารณาผลสัมฤทธิ์ของโครงการ นอกจากนี้จะทำการวิจัยแบบโฟกัสกรุ๊ป (Focus Group) ในการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ที่เกี่ยวข้อง และทำการประเมินผลการทำงานของหน่วยบริหารแผนแก้ปัญหาเด็กยากจนและเด็กด้อยโอกาสในสังกัด ศธ.และสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ด้วย (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 15 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ปลัด ศธ.ดึง "ดร.กล้า" พัฒนาท้องฟ้าจำลอง

ดร.กล้า สมตระกูล รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยว่า เนื่องจากตนจะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนนี้ จึงได้รับการติดต่อจากคุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ขอให้ไปเป็นที่ปรึกษาศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา สำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) ซึ่งตนเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา หรือท้องฟ้าจำลอง ถนนเอกมัย และขยายสู่ภูมิภาค ทั้งอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และศูนย์วิทยาศาสตร์รังสิต จ.ปทุมธานี รวมทั้งสิ้น 15 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งสอดรับกับนโยบายของนายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้มีแหล่งเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ให้เด็กไทย โดยจะเริ่มทำงานปลายเดือนกันยายนนี้ ด้วยการนำคณะเจ้าหน้าที่ ข้าราชการศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาไปดูงานเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสมัยใหม่ แบ่งเป็นสองสาย สายละประมาณ 10 คน สายแรกไปประเทศญี่ปุ่น สายที่ 2 ไปประเทศออสเตรเลีย เพื่อนำความรู้กลับมาพัฒนาศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษารูปโฉมใหม่ ที่พร้อมจะให้บริการทั่วประเทศภายในปี 2549 (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 15 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





"หอการค้า" มองข้ามชอต ก้าวสู่ "ม.ชั้นนำด้านธุรกิจในเอเชีย"

รศ.ดร.จีรเดช อู่สวัสดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ออกตัวก่อนกล่าวถึงการวางแนวทางในการนำไปสู่เป้าหมายในการวางเป้าหมายสู่การเป็นมหาวิทยาลัยธุรกิจชั้นนำในเอเชีย ด้วยความที่มีจุดเด่นในด้านธุรกิจ โดยมีเรือธง 3 คณะได้แก่ คณะบริหารธุรกิจ เศรษฐ ศาสตร์และบัญชีที่มีนักศึกษาเป็นสัดส่วน 60% ของนักศึกษาทั้งหมดกว่า 20,000 คน "งานวิจัย" ที่จะเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการจัดอันดับมหาวิทยาลัยในระดับนานาชาติ "การจะเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำได้ต้องมีงานวิจัยนานาชาติตีพิมพ์อย่างน้อย 500 ชิ้น และนี่เป็นสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ ที่ผ่านมาหอการค้าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีการทำวิจัยอย่างต่อเนื่อง และเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งแรกที่เป็นมหาวิทยาลัยวิจัย แต่การที่จะก้าวไปสู่มหา วิทยาลัยชั้นนำจะต้องทำงานวิจัยในระดับนานาชาติ ซึ่งตรงนี้อาจารย์ถือเป็นหัวใจสำคัญ" มหาวิทยาลัยจึงให้ความสำคัญในเรื่องการพัฒนาบุคลากรและการทำงานวิจัย 2-3 ปีที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยให้ทุนอาจารย์ทั้งคนในและคนนอกไปเรียนในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกกว่า 60 คน โดยในแผนวางไว้ว่าจะถึง 100 คนโดยใช้งบประมาณรวมทั้งโครงการ 600 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายไว้ 8 ปีจากนี้จะสามารถก้าวไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้ และถ้าทำได้เชื่อว่าจะได้รับการจัดอันดับแน่นอน 8 ปีข้างหน้าเราจะมีอาจารย์ที่จบจากต่างประเทศมา 100% อาจารย์ที่มีอยู่เดิมก็จะส่งไปเรียนต่อต่างประเทศ 1 ภาคการศึกษาตามโครงการชื่อ GIFT ในสาขาที่ตัวเองสอน ขณะเดียวกัน ยังเตรียมเพิ่มงานวิจัยระดับนานาชาติ โดยเชื่อว่าการลงทุนกว่า 300 ล้านในการสร้างศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ภายใต้ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย ชิคาโกที่ชื่อ "ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยชิคาโก-หอการค้า" ซึ่งจะทำการก่อสร้างโดยแล้วเสร็จในปลายปีนี้นั้นจะเป็นการสร้างฐานข้อมูลด้านเศรษฐศาสตร์ที่สำคัญ ซึ่งทำให้อาจารย์ที่กลับมาจากต่างประเทศจะใช้เป็นฐานในการทำวิจัยวิสัยทัศน์ของศูนย์จะเป็นการยกระดับการวิจัยทางเศรษฐกิจและเป็นฮับในเอเชีย ส่วนด้านหลักสูตรที่ผ่านมานอกจากหลักสูตรปริญญาโท "ซีอีโอเอ็มบีเอ" ที่โดดเด่นด้วยการเปิดหลักสูตรพร้อมกันที่เดียว 10 หลักสูตร ซึ่งปัจจุบันมีนักศึกษากว่า 400 คน อาทิ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (ภาคพิเศษ) สาขากฎหมายธุรกิจ สาขาการจัดอุตสาหกรรมด้านอาหาร สาขาการจัดการธุรกิจสื่อสาร สาขาการจัดการลอจิสติก ฯลฯ ขณะนี้ยังเตรียมเปิดหลักสูตรใหม่ "ไชนิส บิสซิเนส เอ็มบีเอ" ที่จะเรียนที่มหาวิทยาลัย 1 ปี และไปเรียนที่ "หยุนหนาน นอร์มอล ยูนิเวอร์ซิตี้" อีก 1 ปี และหลักสูตรบริหารธุรกิจด้านการจัดการธุรกิจไฮเทคซึ่งอยู่ในระหว่างการร่างหลักสูตร ส่วนเป้าหมายระยะสั้นจะนำภาษาอังกฤษเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งโดยรื้อระบบการเรียนการสอนภาษอังกฤษใหม่ทั้งหมดจาก "แกรมมาเบส" ที่เน้นการสอนแกรมม่าไปสู่ "โพรฟิเชียลซี่อิงลิช" การเรียนการสอนที่เน้นการสื่อสาร โดยในอนาคตเรียนภาษาไทยในปี 1-2 พร้อมเรียนภาษาอังกฤษเพื่อปรับพื้นฐาน ก่อนจะเรียนเป็นภาษาอังกฤษในปี 3-4 เพื่อไปสู่เป้าหมายในการเป็นมหาวิทยาลัย "สองภาษา" และก้าวสู่การเป็น "มหาวิทยาลัยชั้นนำด้านธุรกิจในเอเชีย" (ประชาชาติธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 15 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th/prachachart)





ผลิตบุคลากร ป.โท-เอก แก้วิกฤติพลังงานรอบ 3

ผศ.ดร.จำนง สรพิพัฒน์ ประธานสายวิชาพลังงาน บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังเข้าสู่วิกฤติพลังงานรอบที่ 3 ซึ่งที่ผ่านมาหลายฝ่ายตระหนักแล้วว่า ประเทศต้องให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีทางเลือก และรณรงค์การใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด แต่แก้ปัญหาก็ยังดำเนินการไปได้ช้ามาก ส่วนหนึ่งเพราะเรายังขาดบุคลากรในเชิงปฏิบัติที่มีความรู้ด้านการจัดการพลังงานที่จะดูแลเรื่องการประหยัดพลังงานโดยเฉพาะอยู่อีกมาก เนื่องจากบุคลากรที่มีอยู่ส่วนใหญ่จะเป็นนักวิชาการ อาจารย์ รวมถึงนักวิจัย ดังนั้นเราต้องลงทุนเรื่องกำลังคนควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยี ผศ.ดร.จำนง กล่าวอีกว่า JGSEE จึงได้เปิดหลักสูตรบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม โดยเป็นความร่วมมือระหว่างห้าสถาบันอุดมศึกษาไทย ได้แก่ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ม.เชียงใหม่ ม.สงขลานครินทร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธรแห่ง ม.ธรรมศาสตร์ และได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานพลังงานและแผน กระทรวงพลังงาน มอบทุนวิจัยและทุนเล่าเรียนของนักศึกษา เพื่อสร้างบุคลากรระดับปริญญาโทและปริญญาเอก สาขาพลังงานและสิ่งแวดล้อม สนองความต้องการของประเทศ โดยเฉพาะในสภาวะวิกฤติพลังงานในขณะนี้ ทั้งนี้ ผู้เรียนจะได้แลกเปลี่ยนความคิด ทัศนะกับอาจารย์และผู้เรียนชาวต่างชาติ ด้วยห้องปฏิบัติการและหลักสูตรที่ได้มาตรฐานระดับสากล ทั้งนี้ หลักสูตรดังกล่าวอยู่ระหว่างการเปิดรับสมัครทั้งระดับปริญญาโทและปริญญาเอกทางด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมตั้งแต่บัดนี้ไปถึงวันที่ 30 กันยายน 2548 โดยนักศึกษาที่ได้รับการคัดเลือกจะมีทุนการศึกษาและค่าใช้จ่ายระหว่างเรียนให้ด้วย สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่ฝ่ายการศึกษา JGSEE โทร.0-2470-8337-8, 0-2619-6187-8 หรือที่ www.jgsee.kmutt.ac.th (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 16 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





มธบ.ตั้งศูนย์ทดสอบนักศึกษา รุกปั้นบัณฑิตเรียนจบทำงานได้จริง

รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (มธบ.) เปิดเผย ว่าในปีการศึกษา 259 มธบ.จะเน้นนโยบายการสร้างบัณฑิตที่มีคุณภาพ สามารถทำงานได้จริงเมื่อสำเร็จการศึกษา โดยมุ่งสร้างความพร้อมในสี่ด้าน ให้แก่นักศึกษาก่อนจบออกไปสู่ตลาดแรงงาน ได้แก่ ภาษาอังกฤษ เทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) ทักษะการสื่อสารนำเสนอ และความรู้พื้นฐานทางธุรกิจ เนื่องจากจากการทำวิจัยและศึกษาดูงานในต่างประเทศของคณาจารย์ มธบ.พบว่า คุณสมบัติที่สำคัญของนักศึกษาที่เป็นที่ต้องการของผู้ประกอบการในทุกสาขาคือ ภาษาอังกฤษ เทคโนโลยีสารสนเทศ และทักษะการสื่อสารนำเสนอ มหาวิทยาลัยจะให้นักศึกษาทุกคนมีโอกาสผ่านการทดสอบทั้งสี่ด้าน ในระดับที่พร้อมจะทำงาน มธบ.จะจัดตั้งศูนย์ทดสอบความสามารถดังกล่าวเป็นแห่งแรกของประเทศไทย โดยมอบหมายให้สถาบันภาษาดูแลการทดสอบความรู้ภาษาอังกฤษ ขณะที่คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ทดสอบความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ สำหรับคณะบริหารธุรกิจทดสอบความรู้พื้นฐานทางด้านธุรกิจ ส่วนทักษะการสื่อสารนำเสนอ จะตั้งศูนย์พัฒนาการสื่อสารขึ้นเพื่ออบรมฝึกทักษะการพูดนำเสนอ การสื่อสารและบุคลิกภาพ ทั้งนี้ศูนย์ทดสอบความสามารถทั้งสี่ศูนย์ จะเปิดโอกาสให้นักศึกษาทุกคนเข้าทดสอบได้ตลอดสี่ปี ที่เรียนอยู่ใน มธบ. โดยแบ่งการทดสอบเป็นระดับขั้น จะทำให้นักศึกษาทราบความสามารถของตนเองในสี่ด้านว่าอยู่ในระดับไหน และจะต้องเพิ่มความสามารถของตนเองในด้านใดจึงจะเป็นที่ต้องการของผู้ประกอบการ นอกจากนี้ในปีการศึกษา 2549 มธบ.จะเปิดหลักสูตรนักบัญชีมืออาชีพ เพื่อช่วยนักบัญชี หรือนักศึกษาวิชาบัญชี ในการฝึกฝนและนำความรู้ด้านที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพบัญชีมาบูรณาการเข้าด้วยกัน รวมถึงเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทำบัญชี เอกสารการบันทึกบัญชี การจัดเก็บเอกสาร การปิดบัญชี และการเตรียมเอกสารที่จะถูกตรวจสอบจากผู้สอบบัญชี เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ผู้ที่เข้ารับการอบรมในหลักสูตรนี้เป็นเวลา 66 ชั่วโมง รู้วิธีการปฏิบัติด้านบัญชีและภาษี ฝึกปฏิบัติการจริง และที่สำคัญสามารถทำงานบัญชีได้จริง (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 16 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





เวิร์กช็อปอาจารย์ สอนแบบเน้นผู้เรียน

ผศ.ไพศาล สิทธิเลิศ คณบดีคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ในการจัดการเรียนการสอนปัจจุบันนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ความสำคัญกับผู้เรียนเป็นอันดับหนึ่ง หากผู้สอนมีเทคนิค และกลยุทธ์ในการสร้างความสนใจ ตลอดจนมีทักษะในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ย่อมส่งประโยชน์แก่ผู้เรียนซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป ดังนั้น คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ จึงได้จัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติ เรื่อง "การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญด้วยวิธีการหลากหลาย" ระหว่างวันที่ 13-14 กันยายนที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มพูนความรู้ด้านทักษะการจัดการเรียนการสอนที่หลากหลายแก่อาจารย์ผู้สอนคณะวิทยาการจัดการ ด้วยหลักคิดที่มั่นคง และสามารถนำไปปรับปรุงการสอนของตนได้อย่างถูกต้องยิ่งขึ้น โดยเน้นย้ำถึงแนวคิด CIPPA, การสอนโดยสถานการณ์จำลอง, การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ รวมถึงการใช้เทคนิค RUBIC ในการประเมินตามสภาพจริง โดยมี ผศ.ดร.นวลจิตต์ เชาวกรีติพงศ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช ให้เกียรติเป็นวิทยากร (ข่าวสด ศุกร์ที่ 16 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





หลักสูตรนักธรรมไฮเทค

พระครูวิสุทธิสุตคุณ (สายชล สุภาจาโร) แห่งวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ได้นำความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนามาจัดทำเป็นสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI : Computer-Assisted-Instruction) โดยผลงานล่าสุดคือการนำหลักสูตรนักธรรมชั้นตรีบรรจุลงแผ่นซีดี ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการเรียนการสอนหลักสูตรนักธรรมชั้นตรี และผู้สนใจทั่วไป การจัดทำซีดีธรรมะในรูปแบบมัลติมีเดียได้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2545 โดยได้มีการแจกจ่ายให้สถานศึกษาต่าง ๆ ที่สนใจได้นำไปทดลองใช้ประกอบการจัดการเรียนการสอนให้แก่นักเรียนนักศึกษา จนถึงวันนี้เป็นระยะเวลาเกือบ 4 ปีแล้ว ได้มีการพัฒนาทั้งในเรื่องของการใช้งาน เนื้อหา และรูปแบบสีสัน ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เนื้อหาสาระและการใช้งานมีความสมบูรณ์สอดคล้องกับภาวการณ์ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น สำหรับซีดี ชุดหลักสูตรนักธรรมชั้นตรี ได้มีการพัฒนาเนื้อหาเพิ่มมากขึ้น โดยเพิ่มหลักวินัยบัญญัติ ศีล 227 ข้อของพระสงฆ์ ซึ่งจะมีการยกตัวอย่างให้เห็นถึงที่มาที่ไปของศีลในข้อนั้น ๆ อย่างละเอียด หลักเบญจศีลเบญจธรรม หรือศีล 5 ว่าควรใช้ศีล 5 อย่างไรจึงจะเหมาะสมกับการดำเนินชีวิต รวมทั้งได้เพิ่มรูปภาพประกอบเนื้อหาให้มากขึ้น และมีเสียงคนพูดและบรรยายเนื้อหาบางจุด ซึ่งผู้เรียนสามารถโต้ตอบกับคอมพิวเตอร์ได้ทันที อาทิ การทำแบบทดสอบ ผู้เรียนสามารถจะรู้ผลได้ทันทีหลังจากทำข้อสอบเสร็จ เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจอยากที่จะเรียนรู้มากยิ่งขึ้น (เดลินิวส์ เสาร์ที่ 17 ก.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


ค้างคาวจีนมีเชื้อคล้ายโรคซาร์ส เตือนนักเปิบพิสดารระวังตัว

นักวิทยาศาสตร์จีนพบว่าค้างคาวในฮ่องกงมีเชื้อไวรัส ที่คล้ายกับไวรัสโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือซาร์ส และอาจแพร่ระบาดได้ นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า ควรระวังค้างคาวเกือกม้าที่คนจีนใช้ทำยาและอาหารเป็นพิเศษ เพราะอาจเป็นพาหะแพร่เชื้อไวรัสซาร์ส ไปยังสัตว์ชนิดอื่น อาจารย์กว๊อก-ยุง เหยิน ประจำมหาวิทยาลัยฮ่องกง กล่าวว่า ผลการตรวจเชื้อซาร์สจากชะมดและแรคคูนในตลาดค้าสัตว์ป่าของจีน ทำให้ สันนิษฐานได้ว่าสัตว์เหล่านี้เป็นต้นตอที่ทำให้โรคซาร์สแพร่ระบาด แต่เมื่อดูจากหลักฐานหลายอย่างประกอบกันแล้ว ชะมดอาจเป็นเพียงพาหะทางผ่านที่ทำให้ไวรัสกระจายไปยังสัตว์สปีชีส์อื่นๆได้ รวมถึงมนุษย์ พวกเขาจึงศึกษาสัตว์ป่าในเขตชนบทของฮ่องกง ว่า ได้สัมผัสกับชะมดโดยตรงหรือไม่ ผลการศึกษาพบว่า เกือบร้อยละ 40 ของค้างคาวเกือกม้าที่นำมาศึกษามีเชื้อโคโรน่าไวรัส คล้ายเชื้อซาร์สที่เกิดขึ้นกับคน อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ค้างคาวติดโรคซาร์ส หรือกระจายไวรัสซาร์สไปยังสัตว์อื่นๆได้อย่างไร แต่เตือนให้ผู้ที่นิยมรับประทานค้างคาว หรือผลิตภัณฑ์ค้างคาวระมัดระวังในการปรุงสัตว์ชนิดนี้ (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 12 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





ทำตัวอ่อนมนุษย์ให้แพร่พันธุ์เองได้ เป็นการถือกำเนิดแบบพรหมจรรย์

คณะนักวิทยาศาสตร์ที่สถาบันรอสลิน ในเมืองเอดินเบอระของสกอตแลนด์ ใช้กระบวนการพาร์ธีโนเจเนซิส เป็นภาษากรีกแปลว่า การถือกำเนิดแบบพรหมจรรย์ ทำให้ไข่ของมนุษย์แบ่งเซลล์เหมือนได้รับการปฏิสนธิทั้งที่ไม่ได้ใช้เชื้ออสุจิผสมแต่อย่างใด ถือเป็นกรณีแรกที่ทำได้ในอังกฤษ ปกติแล้วสัตว์ที่เกิดจากกระบวนการดังกล่าวมักมีความผิดปกติ แต่นักวิจัยไม่ได้ใช้กระบวนการนี้สร้างตัวอ่อนเพื่อทำลายจึงไม่ขัดต่อกฎหมายอังกฤษ พวกเขาหวังว่าจะสามารถเก็บเซลล์ต้นกำเนิดเม็ด โลหิตจากตัวอ่อนเพื่อนำไปศึกษาวิจัยด้านการรักษาโรค จนถึงขณะนี้สามารถสร้างตัวอ่อนได้ 60 ตัว จากไข่ 300 ฟอง ตัวอ่อนแต่ละตัวมีเซลล์ ประมาณ 50 เซลล์ ต้องรอให้มี 100 เซลล์เป็นอย่างต่ำจึงจะสามารถเก็บเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตได้ เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตจากตัวอ่อนมนุษย์ เป็นเซลล์ต้นแบบ ที่สามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์ เต็มตัวหลายประเภท นักวิจัยเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ ต่อการรักษาโรคร้ายต่างๆ เช่น มะเร็ง อัลไซเมอร์ และพาร์กินสัน. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 12 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





"มาร์ส เอ็กซ์เพรส"จับภาพ ภูเขาไฟดาวอังคาร-ปะทุได้ทุกเมื่อ

ภาพถ่ายจากกล้องสเตริโอความละเอียดสูง (HRSC) บนยานอวกาศสำรวจดาวอังคาร "มาร์ส เอ็กซ์เพรส" เผยให้เห็นลานภูเขาไฟรูปกรวยจำนวน 50-100 ลูก ที่มีความสูงในระดับ 300-900 เมตร กินเนื้อที่ในบริเวณขั้วเหนือของดาวอังคารประมาณ 1 ล้านตารางกิโลเมตร ซึ่งมีพลังงานภายในและพร้อมจะประทุขึ้นเมื่อไรก็ได้ในอนาคต ดร.แกร์ฮาร์ด นิวคัม นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฟรี กรุงเบอร์ลิน เยอรมนี ประจำโครงการมาร์ส เอ็กซ์เพรส เปิดเผยผลการวิเคราะห์ภาพถ่ายดังกล่าวจากการประชุมแผนกวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์ของสมาคมดาราศาสตร์อเมริกันในเคมบริดจ์ อังกฤษ ว่า "ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์ที่เคยมีพลังงาน อาจจะเมื่อ 1-3 ล้านปีที่แล้ว และมีบางบริเวณที่ผมเชื่อว่ายังคงมีพลังงานอยู่ แต่เรายังไม่สามารถระบุได้ว่าภูเขาไฟจะประทุขึ้นเมื่อไหร่แต่มันจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน อาจจะอีกสักล้านปีจากนี้ หรืออาจเป็นพรุ่งนี้ก็เป็นได้" บริเวณที่ราบทางตอนเหนือของดาวอังคารเต็มไปด้วยภูเขาไฟ เช่น ภูเขาไฟโอลิมปัส มอนส์ ซึ่งเป็นภูเขาไฟใหญ่สุดในระบบสุริยะ ดร.นิวคัมให้ความเห็นว่าการระเบิดของภูเขาไฟมีอิทธิพลอย่างสูงต่อระบบน้ำแข็งบนดาวอังคารเนื่องจากบนดาวแดง การระเบิดของภูเขาไฟแต่ละครั้งทำให้น้ำเคลื่อนที่ (ข่าวสด จันทร์ที่ 12 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





เอเชียมีสิทธิเผชิญวิกฤตน้ำ ภูเขาน้ำแข็งท่วมหลายประเทศ

รายงานเรื่อง "The Fall of Water" โดย ไอยูซีเอ็น (IUCN) และยูเนป (UNEP) ที่จะนำเสนอในวาระการประชุมสุดยอดผู้นำระดับโลกประจำปี 2548 (The 2005 World Summit in New York) กลางเดือนกันยายนนี้ ระบุว่า ภูเขาในเอเชียโดยเฉพาะภูเขาหิมาลัย ซึ่งกินอาณาบริเวณของประเทศอินเดียและจีน ที่เปรียบเสมือนตึกน้ำแข็งขนาดมหึมาของโลก และมีความสำคัญในฐานะแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหายากหลายเผ่าพันธุ์ แหล่งอาหาร แหล่งยารักษาโรค และแหล่งทรัพยากรเพื่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ในภูมิภาค ขณะนี้กำลังถูกการพัฒนาที่ขาดการควบคุมดูแลและไร้ทิศทาง รุกรานเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นพื้นที่สร้างอันตรายแก่มนุษย์ แม้ว่าจีนกับเนปาลจะมีมาตรการเพื่อการพัฒนาสวนป่าพร้อมกับการสงวนพื้นที่ป่าเพื่อรักษาแหล่งผลิตน้ำและชีวิตสัตว์ป่าที่สำคัญของทวีป เอเชียแล้วก็ตาม แต่นักวิทยาศาสตร์จากยูเนปก็เตือนว่า การปฏิบัติในเรื่องเหล่านี้ก็ยังห่างไกลจากการกระทำที่ถูกต้อง เพื่อรักษาพื้นที่ป่าทั้งในเขตพื้นที่ราบและพื้นที่ภูเขาอยู่ดี เพราะมาตรการของจีนและเนปาลนั้น จัดการเฉพาะพื้นที่ป่าต้นน้ำเพียง 3% ของพื้นที่ทั้งหมด ในขณะที่ปัญหาน้ำท่วมทะลักจากการละลายของภูเขาน้ำแข็งจะกินพื้นที่มากกว่าครึ่งของภูมิภาคเอเชีย ในรายงานยังชี้ให้เห็นด้วยว่า การทำลายป่าเพื่อสร้างพื้นที่เกษตรกรรมและความต้องการน้ำเพื่อการชลประทานที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลเสียหายรุนแรงต่อแม่น้ำหลายสายในภูมิภาคเอเชีย ความน่ากลัวและน่ากังวลจากผลการศึกษาในรายงานระบุว่าจะมีพื้นที่ประมาณ 7% ในประเทศต่างๆ ที่มีภูเขาน้ำแข็งครอบคลุมอยู่สูญหายไปทุกๆ ปี และตามการคำนวณก็ระบุว่า ภายในปี 2593 หรืออีก 45 ปีข้างหน้าจะมีพื้นที่กว่า 64% ของภูเขาน้ำแข็งในจีนหายไป ประชากรกว่า 300 ล้านคนในภาคตะวันตกของจีนจะประสบกับปัญหาภัยแล้ง และจากการประเมินก็พบว่ามีโครงการพัฒนาเพื่อโครงสร้างพื้นฐานกว่า 70% ที่ไม่มีการควบคุมดูแลและขาดการคำนึงถึงการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งจะดำเนินการเรื่อยไปอีกภายใน 25 ปีนี้ ในรายงานเสนอแนะว่า ต้องมีมาตรการสำหรับการลงทุนที่มั่นคงเพื่อป้องกันปัญหาน้ำและขาดความหลากหลายทางชีวภาพ โดยการยับยั้งโครงการพัฒนาที่ขาดการควบคุมดูแล ไม่มีความชัดเจนของผลการลงทุน (ประชาชาติธุรกิจ จันทร์ที่ 12 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th/prachachart)





เทคโนโลยีเวอร์ช่วล

มร.จอห์น แชมเบอร์ส ประธานและซีอีโอของบริษัท ซิสโก้ ซีสเต็มส์ เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ เมอร์คิวรี่ นิวส์ สหรัฐอเมริกา เรื่องกุญแจสำคัญที่ทำให้สหรัฐ สามารถรักษาความเป็นผู้นำทางด้านเศรษฐกิจที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่งที่สุดในโลก ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันเมื่อ 20 ปีที่แล้ว คือความสามารถในการจัดการและควบคุมแง่มุมสำคัญ ๆ ของชีวิตในรูปแบบเสมือนจริงหรือเวอร์ช่วล (Virtual) จะส่งผลกระทบต่อทุกแง่มุมทางด้านเศรษฐกิจและสังคมและเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินชีวิตในแต่ละวันของคนเรา โลกเสมือนจริงก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ไม่ควรพลาด เพราะนอกจากจะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถด้านการแข่งขันให้กับธุรกิจแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ประชาชนได้พัฒนาตนเองโดยอาศัยการศึกษาและการฝึกอบรม และทำให้รัฐบาลสามารถจัดหาบริการที่ดีกว่าให้แก่ประชาชนได้อย่างทั่วถึง ตัวอย่างเช่น นักศึกษากว่า 2 ล้านคนต่อปีลงทะเบียนในหลักสูตรออนไลน์ โดยมหาวิทยาลัยฟีนิกซ์ได้มอบปริญญาบัตรแก่นักศึกษากว่า 170,000 คนที่จบหลักสูตรการศึกษาผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งถือว่าเป็นห้องเรียนเสมือนจริง นอกจากนั้นระบบเสมือนจริงยังเปลี่ยนแปลงรูปแบบการรักษาพยาบาล โดยทุกวันนี้ผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือโรคหัวใจสามารถตรวจสอบสภาพร่างกายของตนเองผ่านระบบเครือข่ายความเร็วสูงเชื่อมต่อระยะไกล การฝึกทหารซึ่งในปัจจุบันมีการใช้สนามรบจำลองหรือซิมูเลชั่น (Simulation) เพื่อเตรียมกำลังพลให้พร้อมสำหรับการออกรบในสนามรบที่แท้จริง และนอกจากนี้ ระบบเสมือนจริงยังเปิดโอกาสให้ชาวอเมริกันกว่า 1 ล้านคน ร่วมเล่นเกมออนไลน์ในปัจจุบัน ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ การทำระบบเสมือนจริงกำลังเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิต ตัวอย่าง เช่น บรรดาผู้ผลิตรถยนต์ได้ใช้แบบจำลองในคอมพิวเตอร์ แทนการสร้างโมเดลของจริง เพื่อทดสอบและทดลองเทคนิคต่าง ๆ ทางด้านการผลิต ทั้งนี้ เจเนอรัล มอเตอร์ สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายถึง 75 ล้านดอลลาร์ในช่วงปีแรกที่เปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่เป็นดิจิทัล ระบบการผลิตเสมือนจริงกำลังจะพัฒนาสู่อีกระดับ ด้วยการปรับใช้เทคโน โลยี RFID (ย่อมาจาก RadioFrequency Identification) ซึ่งจะแทนที่ระบบบาร์โค้ดในสินค้าต่าง ๆ RFID จะช่วยให้ผู้ค้าปลีกและผู้ผลิตสามารถตรวจสอบและติดตามตำแหน่งสินค้าตลอดเส้นทางของระบบซัพพลายเชน แนวทางนี้จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตได้อย่างเป็นรูปธรรม (เดลินิวส์ อังคารที่ 13 ก.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





มทร.ธัญบุรี อวดไอเดีย รู้ผลสอบก่อนใครผ่าน “มือถือ”

กฤษดาบูชาเกียรติ, กิตติกร ศรีม่วง และอภิสิทธิ์ ฤทธิสุทธิ์ จากภาควิชาคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.)ธัญบุรี ออกมาอวดผลงาน ระบบการตรวจสอบผลการเรียน และข้อมูลข่าวสารทางการศึกษาผ่านโทรศัพท์มือถือ” ที่ร่วมกันคิดจนสำเร็จ โดยการนำเทคโนโลยีเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือ ที่เรียกว่าWA (Wireless Alication rotocol) มาให้บริการด้านการตรวจสอบผลการเรียน โดยนำร่องบริการที่คณะวิทยาศาสตร์ สำหรับขั้นตอนการทำงานนั้น เพียงมีโทรศัพท์มือถือที่สามารถรองรับ GRS ได้ก็สามารถขอรหัสผ่าน เข้าไปใช้บริการตรวจสอบผลการเรียนของคณะได้ทันที ซึ่งผู้ใช้ต้องใส่ค่า URL (Uniform Resource Locator) คือชื่อ wa นั่นเอง โดยเข้าไปที่ htt//www.sci.rit.ac.th/grademobile จากนั้นโทรศัพท์จะทำการเปลี่ยน Request URL เป็น Binary bit แล้วทำการส่งไปยัง Gateway ซึ่งอยู่ที่ศูนย์บริการโทรศัพท์ เมื่อ Gateway ได้รับ Request จากมือถือแล้วก็จะประมวลผลข้อมูลจาก Binary bit ให้เป็น HTT Request ซึ่งเป็นมาตรฐานของ Wab เพื่อ Request ไปยัง Server จากนั้นก็จะทำการค้นหาข้อมูลที่ Database แล้วส่งข้อมูลกลับไปยัง Gateway อีกครั้ง ซึ่งข้อมูลเขียนด้วยภาษา WML แล้วก็ทำการเปลี่ยนข้อมูล WML ให้เป็น Binary bit ซึ่งจะแสดงข้อมูลที่จอมือถือทันที “เหตุผลที่โทรศัพท์ต้องส่งข้อมูลแบบ Binary bit ก็เพราะโทรศัพท์มีข้อจำกัดในการทำงาน เช่นความเร็ว CU, ขนาดหน่วยความจำมีขนาดเล็ก จึงไม่สามารถรับส่งข้อมูลแบบ HTT ได้ เพราะ HTT มีข้อมูลขนาดใหญ่ และมีขนาดจอภาพที่เล็กจนไม่สามารถแสดงข้อมูลได้ทั้งหมด” กิตติกร กล่าวเสริม นอกจากบริการตรวจสอบผลการเรียน แล้วยังมีบริการข้อมูลข่าวสารของคณะวิทยาศาสตร์ หรือขอดูผลการเรียนย้อนหลังได้ด้วย ส่วนค่าใช้จ่ายในการใช้บริการ ก็จะ คิดตามปริมาณของข้อมูลที่เราเรียกใช้บริการ ซึ่งเมื่อมาคำนวณดูแล้ว ก็ไม่ถือว่าสิ้นเปลืองอะไรเมื่อเทียบกับความสะดวกสบายที่จะได้รับ และในอนาคตอันใกล้นี้ จะพัฒนาให้สามารถเปิดบริการรับนักศึกษาผ่านโทรศัพท์มือถือ เป็นอีกทางเลือกของการสมัครเรียนกับ คณะวิทยาศาสตร์ มทร.ธัญบุรี อีกด้วย ผู้สนใจ สามารถติดต่อสอบถามไปได้ที่ ภาควิชาคอมพิวเตอร์มทร.ธัญบุรี โทร.0-2549-3510-3 ต่อ 801 หรือ 0-1988-1245 (สยามรัฐ อังคารที่ 13 ก.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





ทีวีจอ "นาโน" ภาพชัดแจ่มแจ๋ว เทคโนโลยีจิ๋วเคลือบจอแบนเปล่งแสงสว่าง

บริษัท แอพพลายด์ นาโนเทค ร่วมกับบริษัทแคนนอน โตชิบา ซัมซุง และบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านอีกสามราย คิดค้นจอภาพแบบใหม่ นอกจากบางแล้วยังคมชัด และสว่างกว่าจอภาพแบบเดิม โดยเริ่มทดลองนำเอา "ท่อคาร์บอนนาโน" ผงเพชร และวัสดุอื่นมาผสมกันเพื่อให้ได้ภาพที่ชัดแจ๋วกว่าทีวีปัจจุบันที่ใช้ระบบหลอดภาพที่กินพื้นที่ติดตั้ง ท่อคาร์บอนนาโน เป็นโครงสร้างพิเศษของธาตุคาร์บอนที่มีลักษณะคล้ายกับท่อจิ๋วมีขนาดเล็กกว่าเส้นผมถึง 800 เท่า แต่มีความแข็งแกร่งกว่าเหล็ก และมีน้ำหนักที่เบากว่า ท่อคาร์บอนนาโนเป็นวัสดุอนาคตที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้อุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น รถยนต์ที่ผสมด้วยคาร์บอนนาโนจะแข็งกว่าตัวถังเหล็ก แต่เบากว่าจึงสิ้นเปลืองน้ำมันน้อยกว่า นอกจากนี้ยังมีความคิดที่จะนำท่อนาโนคาร์บอนมาทำเป็นลวดสลิงเพื่อใช้เป็นลิฟต์ส่งของขึ้นไปยังสถานีอวกาศที่ลอยอยู่นอกโลกด้วย เจ้าหน้าที่จากบริษัท แอพพลายด์ นาโนเทค กล่าวว่า ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ทีวีรูปแบบใหม่นี้จะเข้ามาแทนที่ทีวีที่ให้แสงสว่างด้วยหลอดภาพ โดยใช้ปืนลำแสงอิเล็กตรอนยิงอิเล็กตรอนมายังจอแก้วที่เคลือบด้วยสารฟอสเฟอร์เพื่อสร้างภาพที่จอแก้ว จอทีวีแบบนี้จึงมีขนาดใหญ่และเทอทะ จอทีวียุคอนาคตที่เรียกว่าจอเอฟอีดี (FED) นี้ เป็นจอที่อิเล็กตรอนจะถูกยิงผ่านจุดกระจายอิเล็กตรอนที่เรียงซ้อนกัน 1,000 ชั้น แต่มีขนาดกว้างเพียงไม่กี่นาโนเมตร (1 นาโนเมตร=1/1000 ล้านเมตร) จากนั้นลำแสงอิเล็กตรอนจะถูกปล่อยออกมาทำให้จอภาพสว่าง เท่ากับว่าจะได้ทีวีที่บางเหมือนกับทีวีจอแอลซีดี หรือจอพลาสมาที่เริ่มใช้กับทีวีบางรุ่นแล้วในปัจจุบัน ข้อดีของจอภาพแบบใหม่อีกประการคือ จอภาพชนิดนี้จะถูกกว่าจอแอลซีดี และมีขั้นตอนการผลิตที่น้อยกว่า นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับผลิตเป็นจอภาพขนาด 60 นิ้ว และ 80 นิ้ว ซึ่งเป็นคนละตลาดกับจอแอลซีดี เทคโนโลยีจิ๋ว หรือนาโนเทคโนโลยี ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านมากขึ้น อาทิ เครื่องซักผ้า และเครื่องปรับอากาศจากญี่ปุ่น นอกจากนี้ อุตสาหกรรมเครื่องสำอางยังได้อาศัยคุณสมบัติพิเศษจากอนุภาคขนาดเล็กมาใช้กับสินค้าเพื่อให้สารเคมีซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น (คมชัดลึก พุธที่ 14 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





มาเลเซียส่ง"ดาวเทียม"5ดวงรวด

มาเลเซียเตรียมจัดส่งดาวเทียม 3-จี จำนวน 5 ดวง ขึ้นสู่วงโคจรของโลกเพื่อช่วยในการผลักดันไปสู่เป้าหมายการเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2563 จามาลุดดิน จาร์จิส รัฐมนตรีรับผิดชอบด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลมาเลเซียเล็งเห็นความสำคัญของการใช้ดาวเทียมเพื่อรองรับความก้าวหน้าด้านการสื่อสาร การเศรษฐกิจ ไปจนถึงด้านความมั่นคง ทุกประเทศต่างก็ต้องการมีดาวเทียมโคจรในอวกาศเหนือพื้นโลก ในปัจจุบันมาเลเซียยังต้องพึ่งพาดาวเทียมจากประเทศอื่นๆ ดาวเทียมทั้ง 5 ดวงจะเป็นดาวเทียมเจเนอเรชันที่ 3 หรือ 3-จี ที่ให้ภาพถ่ายดาวเทียมความคมชัดสูง ตลอดจนระบบการส่งข้อมูลพัฒนาขึ้นทั้งความละเอียดและระยะเวลา โดยมาเลเซียมีกำหนดส่งดาวเทียมดวงแรก "ราซัค" ขึ้นสู่วงโคจรจากฐานส่งในสหรัฐปลายปีนี้ ส่วนอีก 4 ดวงจะทยอยส่งขึ้นสู่วงโคจรในอีก 5 ปีข้างหน้า (ข่าวสด ศุกร์ที่ 16 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ลูกพันธุ์ใหม่ เกิดจากแม่2คน!

เป็นวิถีทางพันธุวิศวกรรมแบบใหม่ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ประเทศอังกฤษ สามารถคิดค้นเทคนิคในห้องทดลองเพื่อ "สร้าง" เด็กทารกให้เกิดขึ้นมาจาก "ไข่" ของผู้หญิง 2 คน! ด้วยวิธีการใหม่นี้ เมื่ออสุจิกับไข่ผสมพันธุ์ปฏิสนธิกันในขั้นแรกจนกลายเป็นน้ำเชื้อเพื่อพัฒนาการต่อไปเป็นทารกต่อไปเรียบร้อยแล้ว นักวิจัยนิวคาสเซิลจะสกัดเอาน้ำเชื้อดังกล่าวออกมาปฏิสนธิต่อเป็นขั้นที่ 2 ใน "ไข่" ของผู้หญิงอีกคนหนึ่ง จึงเท่ากับว่าทารกที่กำลังจะลืมตาดูโลกขึ้นมาเลยมี "แม่ 2 คน!" ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อสกัดเอา "พันธุกรรม" ของโรคร้ายที่มีชื่อว่าโรค "ไมโตคอนเดรีย" ออกจากน้ำเชื้อในขั้นแรกของการปฏิสนธิ สำหรับโรคไมโตคอนเดรียที่ว่านี้จะเป็นโรคทางพันธุกรรมที่ส่งต่อจากแม่มาสู่ลูก อาการของโรคจะทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น หัวใจ ตับ กล้ามเนื้อ และสมองขาดพลังงาน พูดง่ายๆ ก็คือ เซลล์และอวัยวะเหล่านี้จะไม่ทำงานนั่นเอง อย่างไรก็ตาม กลุ่มศาสนาและกลุ่มแพทย์บางส่วนในอังกฤษไม่เห็นด้วยกับการทดลองในครั้งนี้ของม.นิวคาสเซิล เพราะถือเป็นเรื่องผิดศีลธรรมอย่างรุนแรง เนื่องจากคนเราไม่มีสิทธิจะทำตัวเหนือธรรมชาติและพระเจ้าด้วยการ "สร้าง" เด็กให้เกิดมาแล้วมีแม่ 2 คน แต่การทดลองของม.นิวคาสเซิลก็ได้รับอนุญาตจากทางการให้เดินหน้าไปแล้ว คงต้องติดตามรอดูผลลัพธ์กันต่อ (ข่าวสด ศุกร์ที่ 16 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ทดสอบไฟเบอร์บรอดแบนด์50จว.

บริษัท ไฟเบอร์ทูเดอะโฮม จำกัด จับมือกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เริ่มการทดลองใช้เทคโนโลยีไฟเบอร์บรอดแบนด์ใน 5 จังหวัดของไทย ด้วยความเร็วสูงสุด 100 Mbps ให้คนไทยได้ลองใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดเพื่อตอบสนองความต้องการของชีวิตคนยุคไซเบอร์ นายกอบศักดิ์ ชินวงศ์วัฒนา กรรมการบริหาร บริษัท ไฟเบอร์ทูเดอะโฮม จำกัด กล่าวว่า เทคโนโลยีไฟเบอร์บรอดแบนด์ เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารผ่านระบบเคเบิลใยแก้วนำแสงที่สมบูรณ์ที่สุดในขณะนี้ เป็นรายแรกของประเทศไทยและของเอเชียอาคเนย์ หลังจากประสบความสำเร็จมาแล้วในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยลดการใช้พลังงานลง เพราะสามารถใช้งานได้ 3 ประเภทในเวลาเดียวกัน คือทั้งโทรทัศน์ โทรศัพท์ และอินเตอร์เน็ต หรือเรียกว่า ทริปเปิล เพลย์ ในตอนนี้ได้มีการทำข้อตกลงกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคทำการทดลองใช้เทคโนโลยีไฟเบอร์บรอดแบนด์ใน 5 จังหวัด คือ ชลบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ต นครศรีธรรมราช ส่วนจังหวัดที่ 5 นั้น ทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจะเป็นผู้กำหนดเอง โดยกำหนดจะเริ่มทดลองตั้งแต่เดือนกันยายนนี้และต่อไปอีก 6 เดือน เพื่อทดสอบการส่งสัญญาณและดูพฤติกรรมการใช้งานของผู้บริโภคในไทยก่อน เพราะในแต่ละประเทศที่เปิดให้บริการนั้นประชาชนก็จะมีความต้องการที่แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ ระบบไฟเบอร์บรอดแบนด์ให้ความสมบูรณ์แบบทั้งภาพและเสียง ทั้งยังรองรับเรื่องการศึกษาทางไกลทั้งในและต่างประเทศ หรืออี-เอดูเคชั่น ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเรียนหนังสือและโต้ตอบกับอาจารย์ผู้สอนได้เหมือนกับการเรียนในห้องเรียนจริงๆ หรือจะเป็นเรื่องของสุขภาพก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกับเทคโนโลยีนี้ได้ รวมทั้งเรื่องธุรกิจ เช่น การประชุมสัมนาทางไกลของบริษัท ที่ช่วยประหยัดเวลา พลังงานและค่าใช้จ่าย (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 17 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





กรมอุตุฯ” เพิ่งตื่น! เตรียมให้บริการพยากรณ์อากาศผ่านมือถือ

นายสรอรรถ กลิ่นประทุม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที กล่าวว่า ขณะนี้ ได้สั่งให้กรมอุตุนิยมวิทยาเฝ้าติดตามสภาพอากาศอย่างใกล้ชิด เพราะสภาพอากาศแปรปรวน อย่างไรก็ตาม ในเร็วๆ นี้ กรมอุตุฯ จะลงนามความร่วมมือกับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ รายใหญ่ของไทย ในการแจ้งเตือนพยากรณ์อากาศไปยังประชาชน กรมอุตุฯ จะส่งข้อความสั้น (SMS) เพื่อแจ้งการพยากรณ์อากาศไปยังผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือ ของเอไอเอสทุกระบบกว่า 16 ล้านคน อย่างไรก็ตาม ได้กำชับให้กรมอุตุฯ ไปจัดทำคำศัพท์ที่ใช้ในการพยากรณ์อากาศเพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าใจง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังได้ให้กลับไปดำ เนินการปรับปรุงการพยากรณ์อากาศให้มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ขณะนี้ กรมอุตุฯ มีระบบพยากรณ์อากาศแม่นยำกว่า 70% และสามารถพยากรณ์ล่วงหน้าได้ถึง 7 วัน อย่างไรก็ตาม เพื่อเพิ่มความแม่นยำและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับประชาชนและหน่วยงานต่างๆ ที่จะนำข้อมูลไปใช้ จึงสั่งให้นำภาพถ่ายทางดาวเทียม รวมทั้งข้อมูลภูมิศาสตร์สารสนเทศ (GIS) และระบบเทเลมิเตอร์ริ่งที่เป็นระบบตรวจสอบระดับน้ำใน 25 ลุ่มน้ำทั่วประเทศ มาประกอบการพยากรณ์อากาศ (ไทยรัฐ อาทิตย์ที่ 18 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





ข่าววิจัย/พัฒนา


มอเตอร์ไซค์ฮอนด้าติดถุงลมนิรภัย

ฮอนด้า มอเตอร์ ค่ายรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่น เปิดตัวระบบถุงลมนิรภัยสำหรับติดตั้งในรถจักรยานยนต์เป็นครั้งแรกของโลก โดยมีแผนที่จะติดตั้งถุงลมนิรภัยดังกล่าวกับรถจักรยานยนต์ท่องเที่ยวรุ่นโกลด์ วิง เพื่อนำออกวางจำหน่ายตามโชว์รูมต่างๆ ของสหรัฐในปีหน้า สำหรับถุงลมนิรภัยของฮอนด้า จะฝังอยู่ตรงกลางระหว่างแฮนด์รถจักรยานยนต์ทั้ง 2 ข้าง ซึ่งจะทำงานก็ต่อเมื่อเซ็นเซอร์ 4 ตัว ตรวจพบการชนด้านหน้าอย่างรุนแรง จากนั้นถุงลมนิรภัยจะทำหน้าที่รับน้ำหนักในช่วงที่ผู้ขี่ถูกเหวี่ยงและกระแทกไปด้านหน้าจากการชน เจ้าหน้าที่ฮอนด้า เปิดเผยว่า ถุงลมนิรภัยดังกล่าวมีประสิทธิภาพในการช่วยลดอัตราการเสียชีวิต และอาการบาดเจ็บสาหัสได้ โดยอ้างถึงข้อมูลการเสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุที่ชี้ให้เห็นว่า การเสียชีวิตและการบาดเจ็บจะเกิดขึ้นระหว่างการชนด้านหน้ามากที่สุด สึกูรุ คานาซาวา หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ระบุว่า ฮอนด้าจะเสนอทางเลือกติดตั้งถุงลมนิรภัย แก่ผู้ขี่จักรยานยนต์ในยุโรปและญี่ปุ่นเป็นครั้งคราว แต่ปฏิเสธที่จะระบุราคาอุปกรณ์เสริมชนิดนี้ อย่างไรก็ตาม ฮอนด้าตั้งเป้าจะติดตั้งถุงลมนิรภัยกับรถจักรยานยนต์มากขึ้นในอนาคต แต่ไม่สามารถระบุจำนวนได้ ส่วนรถรุ่น โกลด์ วิง ขนาด 1800 ซีซี เป็นรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่สุดของฮอนด้า และเริ่มจำหน่ายในตลาดสหรัฐด้วยราคาราว 7.4 แสนบาท ซึ่งเมื่อปีที่ผ่านมา โกลด์ วิง ทำยอดขายได้ 1.2 หมื่นคันในตลาดอเมริกาเหนือ, 1,600 คันในยุโรปและ 270 คันในญี่ปุ่น ฮอนด้า ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีความปลอดภัยทางยานยนต์ โดยเมื่อปี 2530 ได้ติดตั้งถุงลมนิรภัยเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นให้กับรถยนต์ซีดาน จากนั้นยังพัฒนาเทคโนโลยีส่งสัญญาณเตือนผู้ขี่ หากมีรถยนต์เข้ามาใกล้ในทิศทางที่ผู้ขี่ยากจะมองเห็น ในส่วนของรถจักรยานยนต์ได้ออกแบบไฟด้านบน ซึ่งจะช่วยให้พาหนะอื่นๆ เว้นระยะห่างจากรถจักรยานยนต์ได้ดีขึ้น (คมชัดลึก จันทร์ที่ 12 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





เครื่องรูดบัตรเครดิตไร้สาย ติดในรถแท็กซี่รับแขกวีไอพีใน ร.ร.ทั้งใกล้และไกล

นายนิทัศน์ ลอออรรถพงศ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เอ็มเบส เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตเครื่องรูดบัตรเครดิตไร้สาย เปิดเผยว่า บริษัทได้พัฒนาเครื่องรูดบัตรเครดิตระบบไร้สายที่สามารถรูดบัตรได้ทุกที่ที่มีสัญญาณมือถือ ปกติการใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการด้วยบัตรเครดิต ตัวเครื่องรูดบัตรจำเป็นต้องต่อสายโทรศัพท์เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลการชำระเงินกับศูนย์บัตรเครดิต บริษัทเอกชนดังกล่าวจึงพัฒนาเครื่องรูดบัตรเครดิตไร้สายสำหรับติดตั้งในรถแท็กซี่ อำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสาร ภายในเครื่องรูดบัตรเครดิตจะมีซิมการ์ดที่สามารถเชื่อมต่อข้อมูลไร้สายความเร็วสูงระบบจีพีอาร์เอส ซึ่งจะทำหน้าที่ส่งข้อมูลแจ้งการสั่งซื้อของลูกค้า และการอนุมัติจากธนาคารผู้ออกบัตรเครดิต และเมื่อได้รับการอนุมัติแล้วจะมีใบแจ้งการทำรายการออกมาให้เซ็นชื่อเหมือนการรูดบัตรทั่วไป "ระบบที่คิดค้นขึ้นนี้เป็นการเชื่อมต่อระบบไร้สายจีพีอาร์เอสของดีแทคมาใช้ในการส่งข้อมูลร่วมกับการทำธุรกรรมบัตรเครดิตผ่านระบบไอพีเน็ตเวิร์คของธนาคารกสิกรไทย โดยไม่เสียค่าบริการพิเศษเพิ่ม และสามารถออกใบเสร็จค่าโดยสารเพื่อนำไปใช้ยืนยันได้ทันที" ราคาขายเครื่องรูดบัตรดังกล่าวอยู่ที่เครื่องละ 8,500 บาท เล็งติดตั้งให้กับรถวีไอพีของโรงแรม นอกจากนี้ยังสามารถปรับใช้กับรถแท็กซี่โดยสารทั่วไปได้ โดยบริษัทจะให้เช่าเครื่องรูดบัตรดังกล่าวเป็นรายเดือน ในราคาค่าเช่าเดือนละ 1,000 บาท อุปกรณ์ดังกล่าวบริษัทได้รับทุนในการพัฒนาเครื่องดังกล่าวจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) เป็นจำนวนเงิน 5 ล้านบาท บริษัทได้นำร่องติดตั้งเครื่องรูดบัตรเครดิตกับรถแท็กซี่ลีมูซีนไปแล้วทั้งสิ้น 150 คัน โดยให้บริการกับผู้โดยสารระดับสูงของโรงแรมห้าดาว สำหรับอัตราค่าบริการของแท็กซี่ลีมูซีนจะคิดเป็นสองแบบ คือ คิดตามระยะทาง และเวลาโดยสาร ราคาค่าโดยสารจะเริ่มตั้งแต่ 500 ไปจนถึง 7,000 บาท ส่วนจุดให้บริการนั้นจะอยู่ประจำที่โรงแรมห้าดาว และสนามบิน ในเมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆ เช่น กรุงเทพฯ พัทยา เชียงใหม่ หัวหิน ภูเก็ต เป็นต้น (คมชัดลึก จันทร์ที่ 12 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





เปิดตัวมะพร้าวกะทิน้ำหอมพันธุ์ใหม่ ไทยเจ๋งรายแรกและหนึ่งเดียวในโลก

นายไพโรจน์ สุวรรณจินดา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า สถาบันวิจัยพืชสวนประสบความสำเร็จในการพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์มะพร้าว 2 สายพันธุ์ ได้แก่ มะพร้าวกะทิน้ำหอม และมะพร้าวพันธุ์มลายูสีเหลืองต้นเตี้ยกะทิ โดยเฉพาะพันธุ์กะทิน้ำหอมมีลักษณะพิเศษ คือ มีกลิ่นหอมทั้งเนื้อและน้ำมะพร้าว ถือเป็นที่แรกและหนึ่งเดียวในโลก ซึ่งขณะนี้ได้เตรียมแผนที่จะเสนอให้คณะกรรมการวิจัยปรับปรุงพันธุ์พืช กรมวิชาการเกษตร พิจารณาเป็นพันธุ์แนะนำและพันธุ์รับรองเพื่อเป็นทางเลือกใหม่สำหรับเกษตรกร ที่จะใช้ปลูกเพื่อสร้างอาชีพและเพิ่มรายได้ โดยแหล่งปลูกใหญ่พบอยู่ในเขต อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ประมาณ 2,000 ต้น เท่านั้น และพบปลูกกระจายในพื้นที่อื่นเล็กน้อย ทำให้ผลผลิตมีราคาแพง ราคาซื้อขายหน้าสวนสูงถึงผลละ 30-35 บาท ขณะที่มะพร้าวธรรมดา ผลละ 2-5 บาท ด้าน นายสมชาย วัฒนโยธิน นักวิชาการเกษตร สถาบันวิจัยพืชสวน ผู้พัฒนาและปรับปรุงพันธุ์มะพร้าว กล่าวว่า ได้พัฒนามะพร้าว 2 สายพันธุ์ ตั้งแต่ปี 2538 โดยนำละอองเกสรมะพร้าวกะทิ(พันธุ์พ่อ) ผสมพันธุ์กับมะพร้าวธรรมดา(พันธุ์แม่) ได้แก่ พันธุ์น้ำหอม พันธุ์มลายูสีเหลืองต้นเตี้ย หลังจากได้มะพร้าวลูกผสมกะทิแล้ว ทำการผสมกลับอีกครั้ง พบว่าต้นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตเป็นกะทิน้ำหอมมีร้อยละ 56 ต้นจะมีรากใหญ่ มีรากสาขามาก เจริญเติบโตเร็ว อายุ 39 เดือน สามารถออกจั่นแรกครบ ร้อยละ 50 ทุก 3 ปี ให้ผลมะพร้าวธรรมดา 1,569 ผลต่อไร่ ผลมะพร้าวกะทิ 348 ผลต่อไร่ ส่วนพันธุ์มลายูสีเหลืองต้นเตี้ยกะทิ ออกจั่น อายุ 37 เดือน เป็นพันธุ์ต้นเตี้ยให้ผลผลิตสูง ได้ผลมะพร้าวธรรมดา 2,752 ผลต่อไร่ ผลมะพร้าวกะทิ 626 ผลต่อไร่ ขณะนี้ทดลองปลูกในศูนย์วิจัยยางสุราษฎร์ธานี และอยู่ระหว่างคัดเลือกต้นแม่พันธุ์ เพื่อนำต้นอ่อนมาเพาะเลี้ยง เพื่อผลิตต้นพันธุ์จำหน่ายให้เกษตรกรที่ต้องการต่อไป (มติชนรายวัน 12 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





คิดฝักบัวใช้น้ำไม่มีวันหมด ท่อบำบัดน้ำเสียเวียนกลับมาใช้

นักศึกษาราชวิทยาลัยศิลปะได้คิดออกแบบฝักบัวอาบน้ำ ซึ่งสามารถนำน้ำที่ใช้แล้วเวียนกลับมาใช้ได้อีก คำนวณแล้วได้ว่าจะช่วยให้แต่ละบ้านสามารถประหยัดเงินได้ ไม่ต่ำกว่าปีละเรือนหลายหมื่นบาท สำนักข่าวบีบีซีออนไลน์รายงานว่า นายปีเตอร์ บรูวินเจ้าของผลงาน กล่าวว่า ฝักบัววิเศษนี้ มีหลักการทำงานแบบเดียวกับเครื่องดูดฝุ่น มีเครื่องกรองและปั้มน้ำ เพื่อคอยบำบัดน้ำที่ใช้แล้วให้กลับสะอาดขึ้นดังเดิม ฝักบัวแบบนี้จะช่วยประหยัดเงินและรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย สิ่งประดิษฐ์ของเขายังได้รับรางวัล “สิ่งออกแบบอันเป็นคุณแก่สิ่งแวดล้อม ปี 2548” ของสถาบันมาตรฐานอังกฤษด้วย. (ไทยรัฐ อังคารที่ 13 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





เครื่องจักรจิ๋วเล็กกว่าเส้นผมหลายเท่า

นักเคมีจากมหาวิทยาลัยเอดินเบิร์ก ได้สร้างเครื่องจักรที่มีขนาดเท่ากับโมเลกุล ซึ่งต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ชนิดพิเศษส่องถึงมองเห็น โดยเครื่องจักรดังกล่าวสามารถเคลื่อนย้ายวัตถุที่ใหญ่กว่าขนาดอะตอมให้เคลื่อนที่ได้ นับเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีครั้งสำคัญ นักวิจัยได้ใช้แสงอัลตราไวโอเลต (ยูวี) กระตุ้นเครื่องจักรจิ๋วให้ผลักหยดของเหลวเล็กๆ ไปตามพื้นผิวเรียบ และพื้นผิวลาดเอียงได้สำเร็จ นักวิจัย กล่าวว่า ถึงหยดของเหลวนี้จะมีขนาดเล็กมาก และเคลื่อนที่ได้ไม่กี่มิลลิเมตร แต่ในแง่ของความยาวเชิงคณิตศาสตร์แล้วถือว่าใหญ่มาก ศ.เดวิด ลีห์ กล่าวในการประชุมสมาคมวิทยาศาสตร์อังกฤษว่า ถึงแม้ความเข้าใจของมนุษย์ที่มีต่อวิธีการสร้างและควบคุมเครื่องจักรยังอยู่ในขั้นต้น แต่ศาสตร์และวิศวกรรมของที่มีขนาดนาโนเมตร (1 นาโนเท่ากับหนึ่งในพันล้านเมตร) จะช่วยส่งเสริมชีวิตมนุษย์ในสังคมเทียบได้กับการใช้ประโยชน์จากไฟฟ้า และเครื่องจักรไอน้ำ ทรานซิสเตอร์ และอินเทอร์เน็ต เครื่องจักรขนาดโมเลกุลนี้ ในธรรมชาติเป็นกลไกทางชีวภาพในร่างกาย มีบทบาทตั้งแต่ทำให้กล้ามเนื้อเคลื่อนไหว จนถึงการสังเคราะห์แสง และนักวิทยาศาสตร์กำลังพยายามที่จะไขปริศนานี้ หากเลียนแบบได้เมื่อไรแล้ว ในอนาคตจะมีวัสดุพิเศษหลายชนิดที่เหมือนกับที่เห็นในนิยายวิทยาศาสตร์ ลีห์ และคณะ กล่าวว่า แสงยูวีนี้ทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีที่ผลักให้หยดของเหลวเคลื่อนที่ แม้จะเคลื่อนที่ได้ไม่ไกลนักแต่เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์เริ่มรู้เทคนิคสร้างโมเลกุลเทียมแล้ว ปัจจุบันนาโนเทคโนโลยีถูกนำมาใช้แล้วในเครื่องสำอาง ชิพอมพิวเตอร์ ครีมกันแดด กระจกทำความสะอาดตัวเองได้ เสื้อผ้ากันความสกปรก นักวิจัยคาดว่าเทคโนโลยีนี้จะทำให้คอมพิวเตอร์อนาคตมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้เกิดวัสดุที่มีขนาดบางมากแต่แข็งแรง สนับสนุนเทคโนโลยีการแพทย์ขั้นสูง และการพัฒนายาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น (คมชัดลึก อังคารที่ 13 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ฟีโบ้ปรับโฉมหุ่นยนต์กู้ระเบิด จากล้อเป็นสายพาน - หนุนส่งลงใต้ช่วยงานหน่วยเก็บกู้

นายทศพร บุญแท้ วิศวกรประจำสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (ฟีโบ้) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เปิดเผยว่า ฟีโบ้ได้ร่วมกับสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหารกลาโหม (สวพ.กห.) สานต่อโครงการสร้างหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิดเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากผู้ก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ สำหรับโครงการนี้ ฟีโบ้ได้ออกแบบสร้างหุ่นยนต์พร้อมระบบควบคุมภาคบังคับไว้สองตัว โดยตัวแรกมอบให้ สวพ.กห. เพื่อนำไปใช้งานโดยเร่งด่วนที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนหุ่นยนต์อีกตัวนั้น ฟีโบ้จะนำไปศึกษาวิจัยต่อ เพื่อพัฒนาระบบอัตโนมัติ (FRA) ให้ใช้งานได้ดีขึ้น และเพื่อเป็นต้นแบบในการปรับปรุงประสิทธิภาพของหุ่นยนต์ ก่อนการจัดสร้างหุ่นยนต์เพิ่มเติมต่อไป วิศวกรฟีโบ้ กล่าวว่า เดิมหุ่นยนต์ที่ทีมวิศวกรเคยออกแบบนั้น เป็นหุ่นยนต์เก็บกู้ระเบิดที่ใช้ในเมืองเคลื่อนที่ด้วยล้อ ไม่สามารถเข้าไปยังพื้นที่ต่างระดับหรือมีสิ่งกีดขวางได้ ดังนั้นหากจะปรับให้หุ่นยนต์สามารถใช้กับพื้นที่เป้าหมายได้นั้น จะต้องเปลี่ยนจากล้อเป็นสายพาน เพื่อให้ตัวหุ่นยนต์สามารถเคลื่อนที่ข้ามเครื่องกีดขวาง สามารถขึ้นลงบันได หรือทางลาดชันไม่เกิน 45 องศาได้ มีความเร็วในการเคลื่อนที่ 1.1 เมตรต่อวินาที ตามที่ สวพ.กห.กำหนด นอกจากนี้ จะต้องติดตั้งอุปกรณ์อื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บกู้วัตถุระเบิด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องฉายรังสีเอกซเรย์ใช้ตรวจสอบวัตถุต้องสงสัย ปืนยิงน้ำแรงดันสูงใช้ยิงทำลายวัตถุระเบิด แขนกลเพื่อใช้หยิบจับ หรือใช้เคลื่อนย้ายวัตถุที่ต้องสงสัยให้ออกไปจากแหล่งชุมชนเพื่อความปลอดภัยในการเก็บกู้วัตถุระเบิด รวมถึงกล้องวงจรปิดที่ช่วยในการถ่ายทอดสัญญาณภาพและเสียงไปยังผู้ควบคุม ในระยะ 1 เมตร โดยควบคุมได้ทั้งแบบมีสายและไร้สาย (คมชัดลึก อังคารที่ 13 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





นาโนเทคเพื่อสิ่งแวดล้อม

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร โดย รศ.ดร.วิษณุ มีอยู่ และชาติชาญ ตรียะเวชกุล อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเคมี พร้อมกับนักศึกษากลุ่มหนึ่งได้ร่วมกันทำวิจัยเรื่องนาโนเทคโนโลยีกับสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มจากสมมติฐานว่าอนุภาคระดับนาโนของเหล็ก(Fe0) มีความสามารถในการกำจัดสารประกอบอินทรีย์ที่มีคลอรีน และสารประกอบอินทรีย์อะโรเมติกส์ที่มีไนโตรเจนด้วปฏิกิริยารีดักชั่นตามสมการ Fe0 + R-Cl + H+ Fe+2 + R-H + Cl- จากสมการชี้ให้เห็นว่า เหล็กนาโนจะช่วยในการทำลายพันธะของสารอินทรีย์ ทำให้โมเลกุลสารอินทรีย์ที่มีขนาดใหญ่ กลายเป็นโมเลกุลที่มีขนาดเล็กลง และไม่เป็นอันตราย หรือทำให้หมู่ฟังก์ชั่นที่เกาะบนวงแหวนอะโรเมติกส์เกิดปฏิกิริยาเคมีได้เป็นสารประกอบอินทรีย์อะโรเมติกส์ที่กำจัดได้ง่ายขึ้น เช่น แอนิลีน(aniline) การเตรียมเหล็กนาโนสามารถทำได้ง่ายๆ ตามสมการ 2FeCl.6H2O+6NaBH4 2Fe0 + 6B(OH)3 + 6NaCl โดยเหล็กนาโนที่ได้จากปฏิกิริยาเคมีนี้จะมีขนาดเล็กมาก(<10-6 เมตร) ประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษานี้สามารถแสดงให้เห็นถึงการกำจัดสารมลพิษในน้ำได้จากชุดการทดลองข้างต้น โดยให้น้ำสีเป็นตัวแทนของน้ำที่มีมลภาวะ ซึ่งเมื่อไหลผ่านคอลัมน์ที่บรรจุด้วยเหล็กในระดับนาโน จะเห็นได้ว่าหลังจากผ่านคอลัมน์ออกมาแล้ว น้ำจะใสเปรียบเสมือนกับว่าเหล็กในระดับนาโนทำปฏิกิริยากำจัดมลภาวะในน้ำแล้วนั่นเอง ผู้สนใจสอบถามเพิ่มเติมที่ รศ.ดร.วิษณุ มีอยู่ โทร.0-2988-3655 ต่อ 108 หรือ อี-เมล : Vissanu@mut.ac.th (มติชนรายวัน อังคารที่ 13 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





ผลิตเบียร์จากนมเปรี้ยว ชูสรรพคุณบำรุงร่างกาย

เกษตรกรฝรั่งเศส นายมาร์เซล เบสนาร์ด เจ้าของตำรับทำเบียร์ขึ้นจากนมเปรี้ยว มีส่วนผสมกับข้าวมอลต์อยู่เท่านั้น ปรากฏว่าคอเบียร์ลองกินแล้วติดใจไปตามกัน ชั่วอาทิตย์เดียวขายได้เกือบ 300 ขวด เขาไม่ยอมเปิดเผยสูตรทั้งหมด บอกแต่ว่าใช้นม 75% กับข้าวมอลต์ 25% เท่านั้น โดยได้ความคิดมาจากการทำนมเปรี้ยวของชาวเขาทางแถบคอเคซัสเหนือ เขาได้ทดลองหาวิธีหมักนมด้วยเทคนิคการหมักเบียร์มาตั้งแต่ พ.ศ. 2546 หลังจากที่เรียนจบอนุปริญญาด้านผลิตภัณฑ์นม ตั้งชื่อเบียร์ ตำรับแหวกแนวของเขาว่า “แลคติเวล” ขณะนี้ ได้ลองทำเป็นการทดลองตลาดดูก่อนวางขายตามร้านเล็กๆ ตามงานและตลาดบางแห่งเท่านั้น เขาเปิดเผยว่า จะโฆษณาสรรพคุณของมันในแง่บำรุงสุขภาพ เพราะมีแอลกอฮอล์อยู่ เพียง 2% เท่านั้น. (ไทยรัฐ พุธที่ 14 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





วีระชาติ พาลุกา’ กับการศึกษาโพลิเมอร์จากแป้งและยางพารา

นายวีระชาติ พาลุกา โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย จ.ขอนแก่น นักเรียนทุนโครงการ พสวท.ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้นำผลผลิตทางการเกษตรอย่างแป้งมันสำปะหลังมาผสมยางพาราผลิตเป็นพลาสติก โดยทำเป็นโครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง “การศึกษาสมบัติทางกายภาพของโพลิเมอร์ผสมจากแป้งและยางพารา” จากการผสมวัสดุที่ย่อยสลายได้ดีในธรรมชาติอย่างยางพาราและมันสำปะหลัง แต่ทั้งคู่ เป็นโพลิเมอร์คนละชนิดจึงต้องอาศัยกลีเซอรอล เป็นตัวเชื่อม ขั้นตอนแรกหาเปอร์เซ็นต์เนื้อยางในน้ำยางธรรมชาติ จากนั้นเตรียมแป้งในรูปของเจล โดยนำแป้งมันสำปะหลังมากวนผสมกับน้ำยาง กับเจลแป้งในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน จนได้อัตราส่วนที่ดีที่สุดคือ น้ำยาง 70 แป้ง 30 เปอร์เซ็นต์ ทำการทดสอบ 2 ขั้นตอน คือการหาค่าทดสอบด้วยเอนไซม์ด้วยเครื่องทดสอบที่ทนต่อแรงดึงจากนั้นนำไปทดสอบแรงดึงด้วยเครื่อง Tensile Tester อีกขั้นตอนคือการวิเคราะห์ตรวจสอบด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน (SEM) ผลการตรวจสอบทั้ง 2 วิธี ได้ผลเป็น ที่น่าพอใจว่าแป้งมันสำปะหลังและยางพาราสามารถผสมกันได้โดยมีกลีเซอรอลเป็นตัวเชื่อมประสาน โครงงานนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านอุตสาหกรรม เนื่องจากชิ้นงานที่ได้มีความทนต่อแรงดึงน้อย แต่มีความสามารถในการยืดหยุ่นได้ดี จึงนำความสามารถในการยืดหยุ่นมาใช้งานได้ การเติมแป้งมันสำปะหลังลงไปนี้ ถือเป็นการลดต้นทุน แทนที่จะใช้ยางพาราเพียงอย่างเดียว โครงงานนี้ซึ่งนอกจากจะมีประโยชน์ต่อการพัฒนาวัสดุใช้งานที่มีความยืดหยุ่นและคงทนแล้วยังช่วยรักษาสภาพแวดล้อมอีกด้วย. (เดลินิวส์ พุธที่ 14 ก.ย. 48 http://www.dailynews.co.th





รถเคลื่อนที่สำหรับผู้พิการ

จีรศักดิ์ เครือเนียม, สุราษฎร์ แก้วรัตน์, อรรณพ วิมลวชิรเมธี และ สุรัตน์ กล้าแข็ง นักศึกษาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ช่วยกันสร้าง “รถเคลื่อนที่เร็วสำหรับผู้พิการ” ถูกออกแบบให้มีรูปทรงคล้ายกับรถตุ๊กตุ๊ก แต่มี 4 ล้อ ซึ่งมีขนาดกระทัดรัดเหมาะสมที่ใช้ในชุมชนเมือง ด้วยเครื่องยนต์เบนซินรถสิงห์ทะเลทราย ขนาด 100 C.C. ขับเคลื่อนโดยใช้โซ่จากล้อหลัง มีเกียร์อัตโนมัติ พร้อมเกียร์ถอย ระบบสตาร์ทด้วยไฟฟ้าแบบรถยนต์ สามารถทำความเร็วได้สูงสุดประมาณ 41.36 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยใช้การบิดคันเร่งและมือเบรคที่แฮนด์ เหมือนกับรถจักรยานยนต์มีอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 19.6 กิโลเมตร/ลิตร พร้อมติดตั้งระบบไฟหน้าหลังและหน้าปัดวัดความเร็ว ที่ปัดน้าฝน จึงสามารถใช้งานในยามค่ำคืนได้ด้วย ที่พิเศษ คือด้านหลังของรถสามารถพับเปิดปิดได้ มีลักษณะเป็นทางลาดชัดประมาณ 34 องศา โดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อให้ผู้พิการนั่งรถเข็นขึ้นมาบนตัวรถเคลื่อนที่เร็วได้สะดวกยิ่งขึ้น จากนั้นจึงล็อคตัวรถเข็นเข้ากับตัวรถเคลื่อนที่เร็ว กลายเป็นที่นั่งคนขับโดยที่ผู้พิการไม่ขยับเคลื่อนย้ายตัวออกจากรถเข็น และไม่ต้องอาศัยคนอื่นคอยช่วยเข็นขึ้นลงด้วย ในอนาคตนักศึกษากลุ่มนี้ ยังคิดต่อยอดจะทำให้รถเคลื่อนที่ผู้พอการคันนี้ สามารถใช้งานบนท้องถนนอย่างถูกกฎหมาย โดยจะเสนอแบบต่อกรมการขนส่งทางบกเพื่อพิจารณาและปรับปรุงแก้ไขต่อไป (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 14 ก.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





ชาขาวบำรุงเซลล์ผิวหนังกันโรค ต่อต้านความแก่ชรา

ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาโรคผิวหนังของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยคลีฟแลนด์ และมหาวิทยาลัยเวสเติร์น รีเสิร์ฟของสหรัฐฯหัวหน้าคณะวิจัย รายงานว่า เราได้พบว่าตัวยาสกัดจากชาขาว ช่วยปกป้องส่วนสำคัญของระบบภูมิคุ้มกันผิวหนัง แบบเดียวกับที่ออกซิเจนทำปฏิกิริยากับรถจนเป็นสนิม ออกซิเจนก็ก่อปฏิกิริยากับผิวหนังทำให้เซลล์อ่อนแรงและหยุดทำงานลงไป แต่สารสกัดจากชาขาวได้ช่วยปกป้องเอาไว้ แพทย์เอลมา บารอน ผู้อำนวยการกล่าวว่า คุณสมบัติของตัวยาสกัดจากชาขาวเป็นตัวล้างพิษ นับเป็นคุณวิเศษ ซึ่งส่อแววให้เชื่อได้ว่าคงจะมีคุณสมบัติในการชะลอความแก่ชราอยู่ด้วย เพราะปฏิกิริยากับออกซิเจนในเซลล์ ผิวหนัง ที่เป็นเหตุให้ระบบภูมิคุ้มโรคของเซลล์ต้องสิ้นฤทธิ์ลง ยังทำให้เกิดมะเร็งของผิวหนังและความเสียหายอันเนื่องมาจากโดนแสง ทำให้หนังเหี่ยวย่นหรือผิวพรรณตามส่วนต่างๆ ของร่างกายหมองคล้ำลง. (ไทยรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 15 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





กินเนยเหมือนยานอนหลับ ช่วยคนนอนไม่หลับกลับนอนกรน

หนังสือพิมพ์ “เดอะ ซัน” หนังสือพิมพ์ รายวันฉบับยักษ์ของเมืองน้ำชา รายงานว่า ได้มีการศึกษาพบว่าการกินเนยก่อนนอน มีสรรพคุณเหมือนกับกินยานอนหลับ ช่วยให้คนเป็นโรคนอนไม่หลับให้นอนหลับได้สนิทขึ้น ข่าวกล่าวว่า นักวิจัยได้ศึกษากับผู้เข้ารับการทดลองจำนวน 200 คน พวกเขาได้รับคำแนะนำให้กินเนยก่อนนอนเป็นเวลานานหนึ่งอาทิตย์ ปรากฏว่าพวกเขาเหล่านั้นมากถึง 72% พากันนอนหลับกันสนิท จนบางคนกรนสนั่นหวั่นไหว นักวิทยาศาสตร์ได้กล่าวอธิบายว่า ทั้งนี้เป็นเพราะในเนยมีกรดอนิโมที่มีชื่อว่า “ทริปโตพัน” ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย และสะกดให้นอนหลับได้สนิทดี. (ไทยรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 15 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





ชวนหญิงวัยทองหมั่นกินถั่วเหลืองไม่ให้กระดูกผุเร็ว

นักวิจัยพบในการศึกษาค้นคว้าว่า การบริโภคอาหารทำขึ้นจากถั่วเหลือง จะช่วยประคับประคองหญิงวัยทอง ให้ห่างจากโรคกระดูกผุบาง เนื่องมาจากความปรวนแปรของฮอร์โมนในร่างกายได้มากขึ้น โรคนั้นจะทำให้กระดูกผุบางลงอย่างรวดเร็ว ทำให้กระดูกแตกหักง่ายๆ รายงานการศึกษาในวารสารทางวิชาการ “อายุรแพทย์” สหรัฐฯ กล่าวว่า กระดูกของผู้หญิงวัยทอง อาจจะต้องสูญเสียเนื้อกระดูก มากถึงปีละ 5% ช่วงหลังจากหมดประจำเดือนมาได้ 5-7 ปี เพราะปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนลดน้อยลง นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ถึงแม้ว่าอาจจะบำบัดรักษาให้ฮอร์โมนทดแทนได้ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ อย่างเช่น อาจทำให้เกิดเจ็บป่วยเป็นอัมพาตได้ ดังนั้น การได้โปรตีนจากถั่วเหลือง จึงอาจอาศัยพึ่งพาแทนกันได้ นอกจากนั้น องค์การอาหารและยาของอเมริกายังเคยแนะนำให้ผู้หญิงวัยทอง ใช้การออกกำลังและรับประทานธาตุแคลเซียมและวิตามินดีให้มากขึ้น เพื่อชะลออาการสูญเสียเนื้อกระดูกลงให้ช้าที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ในการศึกษาตามโครงการศึกษาอนามัยสตรีของโรงพยาบาลหญิงเซี่ยงไฮ้ กับผู้หญิงที่เลือกเป็นตัวอย่างจำนวน 24,000 คน ใช้เวลา 3 ปี ได้พบหลักฐานว่าผู้ที่บริโภคโปรตีนจากถั่วเหลืองมากที่สุด คิดคำนวณออกมาได้เท่ากับกินอาหารที่ทำจากถั่วเหลือง เช่น น้ำเต้าหู้ ถั่วงอกและเต้าหู้อย่างต่ำวันละ 13 กรัม จะสามารถลดอัตราเสี่ยงของกระดูกแตกหักลงได้น้อยกว่าคนที่กินน้อยที่สุดถึง 37%. (ไทยรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 15 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





คำนวณค่าใช้ไฟฟ้าผ่านเน็ต กฟน. นำร่องติดตั้งระบอ่านมิเตอร์ทางไกล

นายประพนธ์ ตันติภิรมย์ ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายระบบควบคุม บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้พัฒนาระบบอ่านมิเตอร์ไฟฟ้าอัตโนมัติ หรือ เอเอ็มอาร์ (Automatic Meter Reading) สำหรับใช้ในโครงการนำร่องหาข้อมูลปริมาณการใช้ไฟในแต่ละพื้นที่ให้การไฟฟ้านครหลวงและภูมิภาค ระบบดังกล่าวได้นำร่องติดตั้งในเขตพื้นที่บางกะปิ และฝั่งธนบุรีเรียบร้อยแล้ว เป็นจำนวนมิเตอร์ตามบ้านทั้งสิ้น 200 เครื่อง และในช่วงเดือนหน้าจะเริ่มดำเนินการติดตั้งให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่ จ.อุบลราชธานี และหาดใหญ่ ตามลำดับ ซึ่งจุดเด่นของระบบเอเอ็มอาร์อยู่ตรงที่ไม่ได้เปลี่ยนมิเตอร์ไฟใหม่ แต่เป็นการเพิ่มอุปกรณ์เซ็นเซอร์เข้าไปใช้คู่กับมิเตอร์เก่า "จากการทดลองในเบื้องต้น พบว่าเมื่อเปรียบเทียบค่าไฟจากการอ่านค่ามิเตอร์ปกติ กับการอ่านค่าจากอุปกรณ์ ค่าปริมาณการใช้ไฟที่ได้ตรงกัน ซึ่งทุกฝ่ายพอใจในระดับที่พร้อมจะใช้งานจริงได้แล้ว ที่สำคัญเราไม่ได้ไปปรับเปลี่ยนอะไรใหม่ เพียงแค่ติดตั้งอุปกรณ์บางอย่างเพิ่มเติมเท่านั้น" นายอนุสรณ์ ฤทัยยานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส บริษัทเดียวกัน กล่าว นายอนุสรณ์ บอกด้วยว่า ที่ผ่านมาการไฟฟ้าไม่เคยมีข้อมูลปริมาณการใช้ไฟของแต่ละพื้นที่มาก่อน ทำให้การบริหารจัดการเป็นเรื่องยาก แต่ระบบนี้จะช่วยเก็บปริมาณการใช้ไฟในแต่ละพื้นที่ได้ โดยจะบอกได้เลยว่าสายไฟที่กระจายไปในแต่ละพื้นที่นั้น มีปริมาณการใช้ไฟมากน้อยแตกต่างกันอย่างไร เมื่อรู้ว่าเส้นไหนมีคนใช้เยอะแล้ว ก็สามารถจัดการสลับโอนย้ายสาย เพื่อกระจายโหลดป้องกันการเกิดปัญหาใช้ไฟเกินจนหม้อแปลงระเบิดได้ นอกจากนี้ ตัวระบบยังสามารถประยุกต์ใช้งานด้านอื่นๆ ได้ อาทิ ดูปริมาณการใช้ไฟฟ้าของบ้านแต่ละหลังเพื่อดูช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟสูงสุด และเมื่อระบบถูกนำไปใช้จริง ก็อาจไม่ต้องใช้พนักงานคอยเดินจดค่าไฟอีกแล้ว เพราะการไฟฟ้าสามารถตรวจสอบปริมาณการใช้ไฟ ณ เวลาจริง ได้ตลอดเวลา ผ่านระบบการสื่อสารระยะไกล ขณะที่ผู้บริโภคก็สามารถเข้าไปเช็คข้อมูลการใช้ไฟของตัวเองได้ผ่านทางเวบไซต์ของการไฟฟ้าได้ (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 15 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





เม็ดไฮโดรเจน เติมพลังมือถือ

นักวิจัยมหาวิทยาลัยเทคนิคแห่งเดนมาร์ก พัฒนาเทคโนโลยีจัดเก็บไฮโดรเจนรูปแบบใหม่ เผยเป็นเม็ดบรรจุจากเดิมที่เป็นแก๊ส สามารถจัดเก็บเชื้อเพลิงไฮโดรเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ราคาไม่แพง และปลอดภัยจากการระเบิด นักวิจัยทั่วโลกพยายามหาทางนำเชื้อเพลิงไฮโดรเจนมาใช้งานให้ได้ แต่ติดอยู่ตรงที่ไฮโดรเจนเป็นแก๊สในกลุ่มธาตุเบา ทำให้สิ้นเปลืองพื้นที่ในการจัดเก็บมาก อีกทั้งยังมีคุณสมบัติติดไฟง่าย ภาชนะจัดเก็บจึงต้องปลอดภัยสูงสุด แต่แล้วในที่สุด มหาวิทยาลัยเทคนิคแห่งเดนมาร์กก็ประสบความสำเร็จ ด้วยการแปลงโฉมแก๊สไฮโดรเจนให้เป็นอยู่ในสถานะของแข็ง หรือ "เม็ดบรรจุไฮโดรเจน" หนึ่งในทีมวิจัยยกตัวอย่างว่า หากคุณคิดจะขับรถทางไกล 600 กิโลเมตร โดยอาศัยเชื้อเพลิงไฮโดรเจน คุณต้องมีถังบรรจุเท่าถังน้ำมันรถยนต์มากถึง 9 ถัง แต่ด้วยเทคโนโลยีจะช่วยให้จัดเก็บเชื้อเพลิงไฮโดรเจนในปริมาณที่เท่ากัน ได้ในถังน้ำมันปกติเพียงถังเดียว ที่สำคัญ ไฮโดรเจนอัดเม็ดปลอดภัยและราคาไม่แพง ผู้ใช้สามารถพกติดตัวในกระเป๋าเสื้อโดยไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นอันตราย เนื่องจากเชื้อเพลิงเม็ดไฮโดรเจนที่ได้นี้ สกัดออกมาจากเกลือทะเล ทั้งนี้ภายในเกลือทะเลจะมีแอมโมเนียปะปนอยู่ด้วย ซึ่งแอมโมเนียดังกล่าวได้มาจากการรวมตัวของไฮโดรเจนกับไนโตรเจน ที่มีอยู่ในอากาศรอบตัว และนักวิจัยเลือกสกัดเอาเฉพาะไฮโดรเจนออกมาใช้ประโยชน์ สำหรับเชื้อเพลิงไฮโดรเจนในเม็ดบรรจุ สามารถจัดเก็บไว้ได้นานเท่าที่ต้องการ และเมื่อต้องการใช้งาน ก็เพียงใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาสลายเม็ดยาให้ปล่อยไฮโดรเจนออกมาจนหมด ส่วนเม็ดบรรจุที่ว่างเปล่า สามารถนำมาอัดแอมโมเนียใส่เข้าไปใหม่ เพื่อนำกลับมาใช้ได้อีกในภายหลัง ล่าสุดทีมวิจัยได้ตั้งบริษัท แอมมิเน็กซ์ เอ/เอส เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่มีอยู่ในมือสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ โดยเบื้องต้นคาดว่า จะใช้เป็นแหล่งพลังงานให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พกพา อาทิ คอมพิวเตอร์พกพา โทรศัพท์มือถือ จากนั้นจะต่อยอดเป็นเชื้อเพลิงให้รถยนต์ในลำดับต่อไป (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 15 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





นักศึกษาราชภัฏสงขลาเจ๋ง-วิจัยคิดค้น"เต้าเจี้ยวชีวภาพ" มหาลัยหนุนเต็มที่ตั้งโรงงานผลิตป้อนตลาด-มั่นใจคุณภาพ"ปลอดสาร"

น.ส.วาสนา มู่ลำ อาจารย์ภาควิชาชีววิทยาและชีวประยุกต์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา(มรภ.สงขลา) เปิดเผยว่า นักศึกษาภาควิชาจุลชีววิทยาอุตสาหกรรม ได้ทำการศึกษากระบวนการเปลี่ยนแปลงของเชื้อจุลินทรีย์ในการทำอาหารหมักเมื่อปี 2545 จนได้มีการผลิตเต้าเจี้ยวชีวภาพขึ้น นับเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของภาคใต้ที่ได้คิดค้นเต้าเจี้ยวชีวภาพจนประสบความสำเร็จ และสามารถนำออกจำหน่ายจนตลาดตอบรับอยู่ในระดับพอใจมาก เนื่องจากเต้าเจี้ยวชีวภาพปลอดสารพิษ สะอาดถูกสุขลักษณะ เพราะขณะนี้ผู้บริโภคหันมาสนใจอาหารเพื่อสุขภาพกันมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ทางภาควิชาจึงต้องมีการทำการศึกษาวิจัยด้านอาหารต่อไป เพื่อพัฒนาให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุด ทางด้าน ผศ.ดร.ไพโรจน์ ด้วงวิเศษ อธิการบดี มรภ.สงขลาเปิดเผยว่า นอกจากเต้าเจี้ยวชีวภาพที่ได้มาตรฐานแล้ว ยังมีงานวิจัยอีกหลายชิ้นที่จะนำออกสู่สังคมและทำประโยชน์กับสังคมได้ ทางฝ่ายบริหารสนับสนุนงานวิจัยทุกอย่างๆ เต็มศักยภาพ เพราะมรภ.สงขลาเป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาเพื่อสังคมระดับรากหญ้าของภาคใต้ จึงทำทุกอย่างเพื่อพัฒนาคนภาคใต้ให้มีความอยู่ดีกินดี (ข่าวสด พฤหัสบดีที่ 15 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ฉีดวิตามินซีเข้มข้นเข้าเส้น ช่วยต่อสู้โรคร้ายภัยมะเร็ง

นักวิทยาศาสตร์ในอเมริกาศึกษาจากการทดลองพบว่า การฉีดวิตามินซีในรูปแบบแอสคอร์เบตเข้าเส้นเลือด สามารถช่วยต่อสู้กับเซลล์มะเร็งในห้องทดลองได้ ผลการศึกษาตีพิมพ์ในรายงานความก้าวหน้าของเดอะ เนชั่นแนล อะคาเดมี ออฟ ไซเอินซ์ โดยนักวิจัยศึกษาในห้องทดลองทางคลินิกดูการละลายของวิตามินซีต่อเซลล์มะเร็ง 9 ตัว และเซลล์ปกติ 4 ตัว พบว่าในสายของเซลล์มะเร็ง 5 ชนิดนั้น มีเซลล์มะเร็งลดลง 50 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่เซลล์ปกติไม่มีผลกระทบ เมื่อพิจารณาในรายละเอียดที่ทำกับเซลล์เนื้องอกของต่อมน้ำเหลือง ซึ่งไวต่อแอสคอร์เบตเป็นพิเศษ พบว่ามันสามารถฆ่าเซลล์เนื้องอกนั้นได้หมด นักวิทยาศาสตร์เองก็ยังอธิบายไม่ได้ว่าทำไมจึงเกิดผลเช่นนี้ได้ การค้นพบครั้งนี้ค่อนข้างขัดแย้งกับผลการศึกษาหลายชิ้นก่อนหน้า แต่ที่ผ่านมานั้นเป็นการดูที่การกินวิตามินซีในปริมาณต่ำ โดยผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็งยังคงกล่าวว่า หลักฐานที่มีอยู่ท่วมท้นนั้น วิตามินซียังไม่สามารถนำไปใช้ในการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพได้. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 16 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





ใช้ซากแมวหมาเป็นเชื้อเพลิงรถ ตัวเดียววิ่งได้ไกลเท่านํ้ามัน 2 ลิตร

ดร.คริสเตียน คอช นักประดิษฐ์วัย 55 ปี ที่เมืองไคลน์ฮาร์ทมานดอร์ฟ พบวิธีใช้ซากหมาและแมวมาเป็นเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ดีเซล ได้มากเท่ากับน้ำมัน 2.5 ลิตร ตกราคาเพียงลิตรละไม่กี่บาท นอกจากซากหมากับแมวแล้ว ยังอาจใช้ยางรถยนต์เก่า หญ้าและซากสัตว์ต่างๆได้อีกด้วย เขาเปิดเผยว่า เขาใช้วิธีเอาของเหล่านั้นไปเผาให้ร้อนจนมีอุณหภูมิสูงถึง 300 องศาเซลเซียส แล้วจึงกรองคัดเอาแต่สารไฮโดรคาร์บอน แล้วจึงจ่ายเข้าเครื่องยนต์ดีเซล ด้วยอุปกรณ์ฟอกไอเสียจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง โดยอาศัยกระบวนการทางเคมีที่มีตัวเร่งปฏิกิริยาช่วย (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 16 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





หอมกลิ่น ‘บุหงาส้มร่วง’ วิกฤติเป็นโอกาสแห่งทุ่งหนองเสือ

อาจารย์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จึงได้ออกมาช่วยคิดช่วยทำแก่เกษตรกรและ กลุ่มแม่บ้านนพรัตน์ อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี เพื่อให้พวกเขาได้มีมีรายได้ ทดแทนผลผลิตที่เสียหาย...โดยการสร้างวิกฤติให้เป็นโอกาส ผศ.สุทัศนีย์ บุญโญภาส ภาควิชาคหกรรมศาสตร์ศึกษา คณะคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าทีม ต้องการประยุกต์เอาภูมิ ปัญญาไทย เกี่ยวกับการทำ “บุหงารำ” มาใช้วัตถุดิบที่เหลือใช้ อย่างเช่น เปลือกส้ม ปกติเปลือกส้มมี คุณสมบัติในการดูดซับความ ชื้นในอากาศได้เป็นอย่างดี อีกทั้งกลิ่นส้มเป็นกลิ่นที่หอมเฉพาะตัว และมีเสน่ห์เร้าใจมาก เริ่มต้นจากการเตรียมวัตถุดิบ โดยให้ปลิดกลีบกุหลาบมอญ, ซอยใบเตยและฉีกเปลือกส้มใส่ถาดแล้วแยกวัสดุแต่ละชนิด นำออกผึ่งลมไว้ในที่ร่ม...จากนั้นใช้การอบกลิ่นกุหลาบ, ใบเตยและเปลือกส้ม (บุหงาแห้ง) รวมเข้าด้วยกันอบ 2-3 ครั้ง ในภาชนะที่ใช้อบ เพื่อต้องการไล่กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ออกไปจากวัตถุดิบดังกล่าว ก่อนจะใช้เครื่องบด บดเปลือกส้มให้ละเอียด แล้วจึงใช้กลิ่นส้มหยดลงในเปลือกส้มที่บดไว้ กวนผสมให้เข้ากัน ต่อมาให้โรยผงอบเชย, กลิ่นส้มลงในบุหงาแห้งตามด้วยพิมเสนผสมให้เข้ากันอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงใส่บุหงาแห้งลงในโถเคลือบ ปากกว้างทรงสูงมีฝาปิด อบไว้ประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพื่อให้กลิ่นซึมซับเข้าไปในบุหงา เมื่อถึงเวลาที่กำหนดแล้ว ให้เปิดฝาไล่ความชื้น ออกเป็นการป้องกันการเกิดเชื้อรา จากนั้นจึงนำบุหงากลิ่นส้ม ที่ผลิตขึ้นมาได้... ใส่ในบรรจุภัณฑ์ตามที่ท่านต้องการ ซึ่งสามารถทำ ได้หลายรูปแบบ เช่น ใส่ถุงผ้าฉลาย, ลายฉลุ หรือการนำหวายมาสานเป็นชะลอมหรือตะกร้าเล็กๆ หากต้องการเพิ่มให้มีคุณค่าเก๋ไก๋สวยงาม ก็ติดโบติดดอกไม้ประดิษฐ์เข้าไปอีก เท่านี้ก็สามารถนำออกมาวางจำหน่ายเป็นของชำร่วยได้ อันละ 15-20 บาท ผู้สนใจติดต่อได้ที่อาจารย์สุทัศนีย์ 0-2549-3160-1 ในวันและเวลาราชการ (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 16 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





เกษตร"มข."ผลิตไข่ปลอดสาร

รองศาสตราจารย์(รศ.)บัญญัติ เหล่าไพบูลย์ อาจารย์ประจำภาควิชาสัตวศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น(มข.) เปิดเผยว่า ไข่ไก่ที่ใช้บริโภคในปัจจุบัน เป็นผลผลิตจากฟาร์ม ซึ่งส่วนใหญ่มีสารตกค้าง โดยเฉพาะปฏิชีวนะ สารซัลโพนาไมด์ และสารกันบิด ถ้าหากบริโภคไข่เป็นประจำสารปฏิชีวนะ หรือสารเหล่านี้ส่วนหนึ่งจะตกค้างอยู่ในร่างกาย นอกจากนั้นยังทำให้ร่างกายมักจะแพ้อะไรต่างๆ ได้ง่าย การเลี้ยงไก่เพื่อผลิตไข่ปลอดสาร หรือไข่อินทรีย์ เป็นการเลี้ยงไก่พันธุ์เชิงการค้าทั่วไป แต่เลี้ยงด้วยหลักการธรรมชาติ โดยใช้พื้นที่ในการเลี้ยงประมาณ 4-5 ตัว/ตารางเมตร(ตร.ม.) มีพื้นที่นอกโรงเรือนเป็นสนานหญ้าที่ปลอดสารเคมีต่างๆ เพื่อให้ไก่ได้คุ้ยเขี่ย ซึ่งเป็นการออกกำลังกาย ทำให้ไก่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ยา โดยเฉพาะอาหารจะไม่เติมยาปฏิชีวนะทุกชนิด เป็นอาหารที่ผสมเอง ไม่ได้ใช้อาหารสำเร็จรูป ตามท้องตลาดเพราะมีสารปฏิชีวนะ ซึ่งปกติการเลี้ยงแบบฟาร์มทั่วไป อาหารไก่จะใส่ยากันบิด ฉะนั้น ไข่อินทรีย์ก็จะไม่มีสารปฏิชีวนะหรือสารตกค้างในไข่ ปกติการเลี้ยงไก่ในกรงมักจะอ่อนแอ เพราะพื้นที่ค่อนข้างแคบประมาณ 7 ตัว/ตร.ม. แต่เราเลี้ยง 4-5 ตัว/ตร.ม. แถมยังจัดพื้นที่ข้างนอกให้เดินอีก การได้เดินเล่นได้กินหญ้าเป็นการออกกำลังกาย ทำให้ไก่แข็งแรง ไข่มีสีแดงออกเหลืองตามธรรมชาติ และมีขนาดปานกลาง ซึ่งการเลี้ยงไก่ระบบนี้ การลงทุนด้านสถานที่อาจจะสูงเพราะใช้พื้นที่มาก แต่ต้นทุนในการเลี้ยงจะค่อนข้างต่ำ เพราะเราไม่ได้ใช้สารเคมีต่างๆ ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มต้นเลี้ยงผลผลิตยังไม่มาก และคาดว่าอาจจะให้ผลผลิตน้อยกว่าระบบฟาร์ม โดยคงจะได้ประมาณ 80-85% ในขณะที่ระบบฟาร์มจะได้ผลผลิตประมาณ 90-100% สำหรับราคาฟองละ 5 บาท ผู้สนใจสามารถซื้อไข่อินทรีย์ ได้ที่ร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์สัตวศาสตร์ (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 16 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





นวัตกรรมใหม่เมมเบรนฯ กรองน้ำเค็มเป็นน้ำจืด

นายศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ(สนช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(วท.) เปิดเผยถึงนวัตกรรมใหม่ที่จะมาลดปัญหาขาดแคลนน้ำจืดว่า ขณะนี้ทาง NIA ร่วมกับบริษัทเอส เอส เมมเบรน จำกัด บริษัท ม้าบิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และภาควิชาเคมีเทคนิค คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กำลังพัฒนาโครงการ "การผลิตเมมเบรนออสโมซิสผันกลับ" เป็นการใช้เทคโนโลยีการผลิตเมมเบรนฯจากวัสดุไคโตซานจากกุ้ง ที่อาศัยเทคนิคการเปลี่ยนเฟสของสารละลายโพลิเมอร์ โดยการควบคุมอุณหภูมิและระยะเวลาให้เหมาะสม เพื่อให้เกิดโครงสร้างของรูพรุนที่ต้องการ ลักษณะรูของเมมเบรนออสโมซิสผันกลับนี้จะสามารถกันโมเลกุลจำพวกแบคทีเรีย,น้ำตาล,โปรตีนของแข็งแขวนลอย,สีย้อม,ไอออนเกลือ และองค์ประกอบอื่นๆ ที่มีน้ำหนักโมเลกุลมากกว่า 150-250 ดัลตัน แม้จะมีการผลิตแผ่นเมมเบรนฯแล้ว แต่จำเป็นต้องมีการพัฒนาแผ่นเมมเบรนฯ โดยการนำไปม้วนเข้ากับท่อให้เกิดเป็นโมดูลแบบท่อม้วนที่มีขนาดเท่ากับโมดูลเชิงพาณิชย์ ที่มีการนำเข้าจากต่างประเทศ สำหรับกระบวนการผลิตแผ่นเมมเบรนฯและโมดูลแบบท่อม้วนจะสามารถกรองน้ำเค็มหรือน้ำกร่อยให้เป็นน้ำบริสุทธิ์ในอัตรา 50 แกลลอนต่อวัน และมีประสิทธิภาพในการกำจัดเกลือได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ทั้งนี้ คาดว่าอีก 6 เดือนข้างหน้าจะสามารถนำมาใช้ได้จริง และจะขยายสู่ตลาดเชิงพาณิชย์ต่อไป รวมถึงมีการขยายปริมาณน้ำจืดที่ได้ให้สูงขึ้นอีกด้วย นวัตกรรมดังกล่าวจะเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาภาวการณ์ขาดแคลนน้ำจืดในภาคตะวันออกได้ด้วย (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 16 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





"ยีนส์"มีผลต่อภาวะกระดูก

โรคกระดูกพรุน กระดูกเปราะหัก กำลังเป็นอีกปัญหาหนึ่งของผู้สูงวัยทั่วโลกอย่างแพร่หลาย ขณะที่แพทย์ก็กำลังพยายามค้นหาสาเหตุและการป้องกันแต่เนิ่นๆ เพราะโรคนี้นับว่าสร้างปัญหาแก่ผู้ป่วยไม่น้อยเลยทีเดียว ล่าสุดนี้นักวิจัยของมหาวิทยาลัยในสวีเดน ค้นพบว่ายีนส์ในร่างกายของมนุษย์แต่ละคน อาจมีอิทธิพลหรือมีผลต่อความอ่อนแอหรือแข็งแรงของกระดูก ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาคนสูงอายุ 6,000 คน ซึ่งล้วนเป็นฝาแฝด ที่กำลังประสบปัญหากระดูกแตกหัก โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งของคนกลุ่มนี้กระดูกแตกหักจากภาวะกระดูกพรุน ผลก็คือพบว่า อิทธิพลของยีนส์ ได้ส่งผลกระทบมากที่สุดต่อการแตกหักของกระดูกสะโพกส่วนบนในคนที่มีช่วงอายุต่ำกว่า 69 ปี ขณะที่เมื่อเทียบกลุ่มคนอายุระหว่าง 69-79 ปี กับกลุ่มคนที่มีอายุเกินกว่า 79 ปี พบว่ายีนส์มีผลต่อการแตกหักของกระดูกต่อคนอายุเกิน 79 ปี น้อยกว่าคนอายุช่วง 69-79 ปี ผู้วิจัยระบุอีกว่า การค้นพบนี้บ่งบอกว่ายีนส์ของมนุษย์อาจมีส่วนสำคัญต่อการเกิดกระดูกพรุนและความเสี่ยงในการแตกหักของกระดูกมากกว่าที่เคยเข้าใจก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะในรายที่เกิดภาวะกระดูกพรุนเร็ว กระนั้นก็ตามผู้วิจัยบอกว่า แม้จะค้นพบถึงสาเหตุของกระดูกแตกหักโดยให้ความสำคัญกับเรื่องยีนส์ แต่ก็ไม่ควรลืมว่าการป้องกันโรคนี้ในหมู่คนสูงอายุ ควรจะเน้นไปที่นิสัยการใช้ชีวิตประจำวันด้วย (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 17 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





หุ่นช่วยมนุษย์

หุ่นยนต์บริการตัวใหม่หน้าตาทันสมัยที่ชื่อ อีนอน ฝีมือการพัฒนาของฟุจิตสึ ฟรอนท์เทค ร่วมกับห้องทดลองฟุจิตสึ เปิดตัวให้ชมกันที่กรุงโตเกียว เป็นหุ่นยนต์บริการปฏิบัติการขั้นสูง ช่วยเหลือมนุษย์ปฏิบัติภารกิจต่างๆ อาทิ เป็นหุ่นยนต์นำทาง ดูแลแขก ขนส่งของ หรือลาดตระเวน โดยเบื้องต้นทางบริษัทจะขายเฉพาะตลาดในญี่ปุ่นก่อน ซึ่งลูกค้าจะได้รับหุ่นยนต์ที่สั่งจองภายในเดือนพ.ย.นี้ (ข่าวสด ทิพย์ที่ 18 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ข่าวทั่วไป


ขรก.บำนาญเฮไม่ต้องสำรองค่ารักษา สปสช.ออกหน้าเคลียร์แทนเริ่ม1ตุลาคม

นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) เปิดเผยว่า สปสช.ได้ประสานกับกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ดำเนินการเบิกเงินสวัสดิการการรักษาพยาบาลแทน จากเดิมที่เมื่อเจ็บป่วยซึ่งเป็นข้าราชการจะต้องสำรองจ่ายค่ารักษา และทำเรื่องเบิกจากต้นสังกัดคืนภายหลัง ซึ่งทำให้เกิดความยุ่งยาก เป็นให้ข้าราชการเข้ารับการรักษาพยาบาล โดยไม่ต้องสำรองจ่าย แต่ใช้วิธีให้คนไข้มอบอำนาจ สปสช. เป็นผู้เบิกเงินแทน คาดว่าจะเริ่มในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ "กลุ่มแรกให้บริการแก่ข้าราชการบำนาญ จากนั้นอีก 6 เดือน จะขยายไปยังข้าราชการทั่วไป สปสช. จะร่วมกับสำนักงานประกันสังคม กรมบัญชีกลาง ในการให้บริการสุขภาพกับประชาชนทุกคน และในปี 2549 จะเริ่มดำเนินการด้านการสร้างสุขภาพกับหน่วยงานพันธมิตร ซึ่ง สปสช.จะมีการตั้งสาขาครบทั้ง 12 สาขาทั่วประเทศ ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ เพื่อเก็บข้อมูลด้านสุขภาพของประชาชนทั่วประเทศ (มติชนรายวัน 12 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





ผู้ป่วยลำไส้ระวัง"หอบหืด"แทรกซ้อน

คณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยมานิโตบา สหรัฐ ทำการวิจัยเปรียบเทียบผู้มีอาการลำไส้อักเสบ 8,072 คน กับกลุ่มควบคุมที่มีอายุ เพศ และถิ่นที่อยู่ใกล้เคียงกัน พบว่า หากเป็นผู้ที่มีอาการแผลอักเสบในลำไส้ใหญ่ มีแนวโน้มเป็นหอบหืดมากกว่าคนปกติ 1.5-1.7 เท่า แต่หากเป็นผู้ที่เป็นโรคโครนส์หรือลำไส้เล็กอุดตันบางส่วน มีแนวโน้ม 1.3-1.4 เท่า ผลวิจัยพบด้วยว่า โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจเป็นอาการอักเสบเรื้อรังที่พบมากที่สุดในกลุ่มผู้ป่วยโรคโครนส์ และพบมากเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มผู้มีแผลในลำไส้ใหญ่ การปล่อยปละละเลยไม่รักษาอาการเหล่าอาจก่อให้เกิดผลร้ายในระยะยาวได้ หากผู้ที่มีอาการลำไส้อักเสบบ่นว่ามีปัญหาระบบทางเดินหายใจ แพทย์จึงควรเอาใจใส่อย่างจริงจัง อย่างน้อยควรตรวจการทำงานของปอดว่าผิดปกติหรือไม่ (ข่าวสด จันทร์ที่ 12 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





กระทรวงพลังงานหนุน 7 จว. ปลูกสบู่ดำนำร่องไบโอดีเซล

เมื่อวันที่ 12 กันยายน โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ(วช.) จัดสัมมนาเรื่อง กรอบงานวิจัยพืชน้ำมันทางออกใหม่แก้ปัญหาพลังงานไทย เพื่อระดมความคิดของนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานต่างๆ ร่วมกันแสดงข้อคิดเห็นและแลกเปลี่ยนประสบการณ์งานวิจัย ในเรื่องพืชน้ำมันที่จะนำมาผลิตเป็นไบโอดีเซล และเป็นแนวทางในการกำหนดรายละเอียดหัวข้องานวิจัยที่ วช. จะให้ทุนสนับสนุนการวิจัย โดย ศ.ดร.อานนท์ บุณยะรัตเวช เป็นประธานในงาน นายประพนธ์ วงษ์ท่าเรือ วิทยากรพิเศษจาก กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงานได้ร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการจัดทำแผนโซนนิ่งป่าเพื่อที่จะปลูกปาล์มน้ำมัน ส่วนงานวิจัยสบู่ดำที่หวังจะให้เป็นพลังงานสำรองยามปาล์มน้ำมันขาดแคลน โดยจะต้องมีข้อมูลที่ชัดเจนก่อนว่าสบู่ดำให้ผลดีผลเสียอย่างไร แล้วให้กรมส่งเสริมการเกษตรพิจารณาว่าควรส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกหรือไม่ "ขณะนี้สบู่ดำอยู่ในขั้นตอนการปลูกทดลองและวิจัย ปัญหาสำคัญของสบู่ดำคือยังให้ผลผลิตต่อไร่ต่อปีในประมาณต่ำอยู่ ซึ่งต้องหาวิธีการเพิ่มผลผลิต และกระทรวงพลังงานจะทำนำร่องไบโอดีเซลชุมชน 7 จังหวัดในเดือนตุลาคมนี้ ที่แน่นอนคือ สุพรรณบุรีและนครพนม ส่วนคือ 5 จังหวัดกำลังพิจารณาอยู่" นายประพนธ์กล่าว (มติชนรายวัน อังคารที่ 13 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





เปิดบริการช่วยดูแลลูกหลานผ่านเน็ต-กล้องวงจรปิด

บริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) เปิดทดลองให้บริการระบบ e-Nursery ครั้งแรกที่ศูนย์พัฒนาการเด็กของสหภาพพนักงานรัฐวิสาหกิจ บมจ.ทีโอทีซึ่งเป็นการเชื่อมโยงระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตกับเทคโนโลยีด้านกล้องดิจิตอล เพื่อให้ผู้ปกครองชมภาพบุตรหลานผ่านทางเว็บไซต์ โดยไม่จำกัดเวลาและสถานที่ คาดจะเป็นธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มการเติบโตในอนาคต นายองอาจ ผู้กฤตยาคามี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทีโอที เปิดเผยว่า ระบบ e-Nursery ที่ทำการทดลอง เน้นการดูแลบุตรหลานของพนักงานก่อนวัยเข้าเรียน เพื่อสร้างความไว้วางใจและมั่นใจในความเป็นอยู่ของบุตรหลานให้กับผู้ปกครอง เป็นการนำระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงเอดีเอสแอลของทีโอที เชื่อมโยงเข้ากับเทคโนโลยีกล้องวงจรปิดของบริษัทเอส-วัน เทคโนโลยี จำกัด ผู้ปกครองมีระบบรักษาความปลอดภัย Username และ Password ในการ Login เข้าสู่ระบบ ซึ่งทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ บันทึกภาพได้นาน ภาพคมชัด และต้นทุนต่ำ ทั้งนี้ ระบบ e-Nursery เป็นระบบที่มีการพัฒนานำมาใช้เพื่อสร้างความไว้วางใจ และความมั่นใจสำหรับผู้ที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นสถานรับดูแลเด็ก หรือเนอร์สเซอรี โรงเรียนอนุบาล โรงเรียนนานาชาติ หรือโรงพยาบาล. (ไทยรัฐ พุธที่ 14 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





ไทยน่าลงทุน อันดับ 20 โลก

วันที่ 17 ก.ย.48 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวผ่านรายการ “นายกฯทักษิณ คุยกับประชาชน” ว่า สัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวที่น่ายินดี คือประเทศไทยติดอันดับ 20 ประเทศน่าทำธุรกิจมากที่สุดของธนาคารโลก โดยธนาคารโลกได้เผยแพร่รายงานการสำรวจเขตเศรษฐกิจ 145 แห่งทั่วโลก เพื่อวิเคราะห์ว่าประเทศใดเหมาะแก่การทำธุรกิจและสร้างงานได้ดีที่สุด โดยประเทศไทยได้อันดับ 20 อันดับ 1.นิวซีแลนด์ 2.สหรัฐอเมริกา 3.สิงคโปร์ 4.ฮ่องกง 5.ออสเตรเลีย แต่ถ้าเปรียบเทียบในภูมิภาคเอเชียแล้ว ถือว่าประเทศน่าลงทุนคือ สิงคโปร์ ฮ่องกง และญี่ปุ่น รองลงมาคือไทย อันนี้เป็นสิ่งที่น่าภูมิใจของประชาชนคนไทย นอกจากนี้ไทยยังติดอันดับ 8 ของโลก หรือสูงสุดในภูมิภาคในหัวข้อกระบวนการหนังสือสัญญาที่มีความสะดวกรวดเร็วและเสียค่าใช้จ่ายน้อย รวมทั้งติดอันดับ 10 ในหัวข้อการจดทะเบียนสินทรัพย์ด้วย (สยามรัฐรายวัน อาทิตย์ที่ 18 ก.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215