หัวข้อข่าวปีที่ 6 ฉบับที่ 42 ประจำวันที่ 2005-11-06

ข่าวการศึกษา

อินเทลทำระบบอีเลิร์นนิ่งให้เด็กไทยใช้ฟรี
อาชีวะพลิกบทบาทใหม่
ไอไออีปรับวิธีสอบโทเฟลครั้งใหญ่ ประเมินครบทั้ง 4 ทักษะเริ่มเมษาปีหน้า
TK Park สวนสนุกทางปัญญาครบเครื่อง
จี้นักเรียนสมัคร O-NET แต่เนิ่น
พระเทพฯทรงห่วงคุณภาพอุดมศึกษาไทย
จัดทำหลักสูตรยกระดับช่างอัญมณี
ถวายพระสมัญญา"พระเทพ" "พระมิ่งขวัญการศึกษาไทย"
ครม.จ่ายเงินเดือนขรก.เร็วขึ้น 3 วัน
ไทม์จัดอันดับม.โลก จุฬาฯผงาดติดที่ 121
น.ร.แห่สมัครรับตรงจุฬาฯอื้อ จี้วางเกณฑ์แอดมิสชั่นส์ปี"52
สกอ.เร่งจัดระดับมหา’ ลัยไทย
"สมศ."เผยปัญหาอุดมศึกษาไทยมีเพียบ
6 นร.แข่งคณิต-วิทย์โลก

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

สหรัฐฯฟื้นชีพโพยมยานยักษ์ เหินฟ้าอึดนานกว่าสัปดาห์
'ศิริราช' เจ๋งเจาะช่องเฉือนต่อมลูกหมากแห่งแรก
ชาวบ้านฮือฮาได้ยลโฉม“ดาวอังคาร”
ไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมปุ๋ยโลกครั้งที่ 14
รีโมทสั่งมนุษย์หกล้มหกลุกใช้เป็นอาวุธเมตตาสยบโจร
แพทย์จุฬาโชว์เทคนิคใหม่ผ่าสมองสำเร็จเป็นรายแรกในเอเชีย
ไทยฉายภาพเชื้อเพลิงอนาคตป้อนเวทีเอเปค
เกาหลีใต้ผุดศูนย์สเต็มเซลล์โลก
เรียนรู้โลกอนาคต ผ่านเรื่องราวบนแผ่นฟิล์ม
KUFresh สร้างโอกาสเกษตรกร ดึงร่วมเกษตรอินทรีย์
บ้านครึ่งบกครึ่งน้ำ
ศูนย์วิทย์จับมือสสวท. แข่งโอลิมปิกหุ่นยนต์
มน.สร้างเครือข่ายพลังงาน
หุ่นยนต์ค้นพีระมิด
'พระเทพฯ' ทรงห่วงเทคโนฯชีวภาพ หวั่นคนใช้ขาดจริยธรรม
มกอช.ได้ ISO17025 ห้องปฏิบัติการมาตรฐานโลก
โรงพยาบาลฉบับกระเป๋า ผ่าตัดลอกตา-รักษาไฟลวก
หมอมะกันคิดค้นเทคโนโลยีใหม่รักษาฝ้า-ริ้วรอยบนใบหน้า
พบแสงรางๆ จากดาวกลุ่มแรกของจักรวาล
รีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ ลดมลพิษสิ่งแวดล้อม
กล้องดูดาวไทยภาพคมชัด โชว์จุดเด่นหมุนเปลี่ยนทิศเกาะติดวงโคจร
เปิดบ้านปรมาณูโชว์เตาปฏิกรณ์ 43 ปี
กล้องฮับเบิลจับภาพดวงจันทร์ใหม่พลูโต
ไทยเจ้าภาพแข่ง"โอลิมปิกหุ่นยนต์2548"
ไอซีทีหนุนนโยบายรัฐบาลเดินหน้า1วัด1ศูนย์เรียนรู้
จุฬาวิชาการจัด 23-27 พ.ย.นี้

ข่าววิจัย/พัฒนา

นักวิจัยบูชิโดให้สู้โรคหวัดด้วยน้ำ-กลั้วคอประจำทุกวัน
มันเส้นแปรรูปพลังงานเสริมเข้าสู่ระบบSSFผลิตแก๊สโซฮอล์
รู้จัก....ปลาม้าลายเรืองแสง
เครื่องยนต์-แก๊สซีไฟเออร์ จากถ่านไม้ เวอร์ชั่นเล็กะทัดรัด ประสิทธิภาพจิ๋วแต่แจ๋ว
หุ่นยนต์ผ่าตัดผู้ป่วยบนอวกาศ ใช้คอมควบคุมจากพื้นโลก
ลำโพงช่วยคนหูหนวกสนุกกับดนตรี
เตือนชายติดสุราเสี่ยงน้ำเชื้ออ่อน-มีบุตรยาก
พัฒนาแว่นตาแปลภาษา ช่วยคนต่างภาษาคุยกันรู้เรื่อง
เดินดีต่อสุขภาพเทียบเท่าวิ่งเหยาะๆ
ทุ่ม 200 ล้านตั้งโรงงานผลิตน้ำมันจากยางรถ
ฟิล์มเหนียวกันระเบิด รับมือก่อการร้าย
อิตาลีสร้าง"หมูโคลนนิ่ง" ศึกษาสเต็มเซลล์-เพาะเลี้ยงอวัยวะ
รีโมตคอนโทรล ควบคุมการเดินมนุษย์
โปรแกรมถอดภาษาไทยเป็นโรมัน เทคโนโลยีไร้พรมแดน-ทลายกำแพงภาษา
แว่นวิเศษ-แปลภาษา ด้วยการอ่านกล้ามเนื้อ
ศึกษาวิจัย"หอยตะเภา" อนุรักษ์ให้อยู่คู่ทะเลตรัง
กะหล่ำปลีพกพาสารเคมีวิเศษ ป้องกันมะเร็งปอด
‘สบู่ลูกยอ’... สร้างงาน สร้างรายได้สู่ชุมชน
หุ่นเกษตรฝีมือเด็กไทย ติดเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิปล่อยน้ำใส่ปุ๋ยเอง
นักวิจัยผลิต"กาวไร้สารพิษ"มุ่งพัฒนาแข่งตลาดโลก
หมอไทยเจ๋งผลิต"เต้านมเทียม"ตรวจมะเร็ง
นักวิชาการชี้ "น้ำบาดาล"สำคัญ แนะสร้างความรู้-ใช้อย่างถูกวิธี
ความหลากหลายชีวภาพ
นักวิทย์จิ๋วสกัดขมิ้นชันใช้เป็นยา
สเปรย์ผลไม้ดับสารพัดกลิ่นอับ ชีวเคมีจากธรรมชาติปรอดภัยต่อผู้ใช้
อิตาลีโคลนนิ่งหมูทำอะไหล่อวัยวะ
เส้นใยนาโนโพลิเมอร์ปนยา รักษาแผลผู้ป่วย"เบาหวาน"
ชี้"อดนอน"สุดอันตรายทำคนโง่-อ้วน-ป่วยง่าย
ยุโรปส่งยานสำรวจดาวศุกร์9พ.ย.
“หมวกกันน็อกไฮเทค” ไม่สวมสตาร์ทไม่ติด!
ดร.บุรินทร์ กำจัดภัย นักวิจัยดีเด่น สกว.จาก มน.
บิดาแห่งการโคลนนิงมนุษย์เยือนไทย
ระบบนำร่องรถยนต์ไฮเทค
ป.เอกจุฬาฯสร้างชื่อวารสารชั้นนำตีพิมพ์ผลงาน
ไทยเพาะสำเร็จ กล้วยไม้พันธุ์ใหม่
เครื่องช่วยป้อนอาหาร

ข่าวทั่วไป

หมอเตือนนอนกรนระวังภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
อย.เล็งออกกฎคุม"เยลลี่" อายุต่ำกว่า3ขวบห้ามกิน
5วิธีง่ายๆ... ผ่อนคลายให้หาย"เครียด
แพทย์เตือนนั่งอ่าน"อีเมล์"ทั้งวันเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ
รู้จักมาตรฐาน CG-ROSC
อันตรายจากกลิ่นน้ำมันเบนซิน
องค์การเภสัชเริ่มผลิตยาทามิฟลูรักษาไข้หวัดนก
วัดรอบเอวไว้เตือนภัยความเสี่ยงโรค
ความสำคัญของเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก





ข่าวการศึกษา


อินเทลทำระบบอีเลิร์นนิ่งให้เด็กไทยใช้ฟรี

มร.จอห์น แอนทอน รองประธานฝ่ายขายและการตลาด และผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อินเทล คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า โครงการ skoool เป็นโครงการที่รวบรวมข้อมูลความรู้สำหรับการเรียนการสอนที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเปิดให้นักเรียนและอาจารย์เข้าไปศึกษาหาความรู้และนำข้อมูลมาใช้ได้ฟรีทั้งในห้องเรียนและที่บ้านผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งเนื้อหาที่จัดทำได้ปรับให้สอดคล้องกับหลักสูตรที่ใช้สอนในโรงเรียนและข้อมูลทางวิชาการของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้เป็นแหล่งข้อมูลพื้นฐานทางการศึกษาระดับชาติ โดยมุ่งเน้นเฉพาะวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ทั้งนี้ อินเทลพัฒนาโครงการ skoool ขึ้นโดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานรัฐบาล อาทิ กระทรวงศึกษาธิการ สถาบันด้านการศึกษา และบริษัทไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) ปัจจุบัน ประเทศที่นำโครงการ skoool ไปใช้และประสบความสำเร็จ ได้แก่ อังกฤษ ไอร์แลนด์ และสวีเดน (เดลินิวส์ อังคารที่ 1 พ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





อาชีวะพลิกบทบาทใหม่

เมื่อวันที่ 27 ต.ค.48 ที่เมืองทองธานี ได้มีการจัดงาน “ผู้ประกอบการ ประสานอาชีวะ พลังขับเคลื่อนกำลังคนของประเทศ พลังอาชีวะ สร้างชาติ” ซึ่ง นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายในการพลิกบทบาทของอาชีวศึกษา และ ผู้ประกอบการเอกชน รัฐวิสาหกิจ และชุมชน เพื่อมากำหนดแนวทางร่วมกันในการสำรวจความต้องการกำลังคน และหาแนวคิดเกี่ยวกับการกำหนดมาตรฐาน คุณภาพวิชาชีพเพื่อปรับปรุงพัฒนาระบบหลักสูตรการเรียนการสอนใหม่ โดยการพลิกโฉมใหม่ของอาชีวะนั้น เราต้องการให้ภาคเอกชน ชุมชน สังคม มาเป็นผู้กำหนดหลักสูตรการจัดการเรียนการสอนด้วย การปรับหลักสูตรการเรียนการสอนของอาชีวศึกษาจะเกิดขึ้นในสถานศึกษาของอาชีวะประเภทต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชน ซึ่งการเรียนการสอนรูปแบบใหม่จะทำให้เด็กที่เข้ามาเรียนมีงานทำ ได้ง่ายขึ้น และเชื่อว่าสามารถสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรมบริการและชุมชนได้มากกว่าเดิม เพราะฉะนั้นเด็กที่เข้ามาเรียนในสายอาชีวศึกษาจะมีอาชีพและมีเส้นทางความก้าวหน้าชัดเจน และจะทำให้ภาพลักษณ์ของอาชีวะ ต่อสังคมเปลี่ยนไปด้วย เพราะเราจะส่งเสริมให้เด็กอาชีวะได้ทำประโยชน์ต่อสังคม เช่น ศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน เป็นต้น โดยสถานศึกษาของอาชีวะแต่ละประเภท จะต้องรวมกลุ่มกันว่าจะจัดหลักสูตรการเรียนการสอนแบบไหน ผลิตคนสาขาไหนและอย่างไร เพื่อให้ตรงกับความต้องการของประเทศ และแต่ละแห่งต้องไปคิดว่าชุมชนของตัวเองมีอุตสาหกรรมอะไรอยู่ ตลอดจนชุมชนนั้น ๆ มีศักยภาพทางเศรษฐกิจในด้านใด และต้องการคนประเภทแบบไหน เพื่อจะได้ไป จัดทำหลักสูตรให้สอดคล้องกัน เชื่อว่าในปีการศึกษา 2549 อาชีวศึกษาน่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ขึ้นแน่นอน และหากเราประชาสัมพันธ์ให้ชัดเจนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสถานศึกษาของอาชีวะทั่วประเทศมีการสื่อสารกับชุมชนและผู้ปกครองก็เชื่อว่าเด็กจะมาเรียนอาชีวศึกษากันมากขึ้น (เดลินิวส์ อังคารที่ 1 พ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





ไอไออีปรับวิธีสอบโทเฟลครั้งใหญ่ ประเมินครบทั้ง 4 ทักษะเริ่มเมษาปีหน้า

ดร.ชลินทร เบอเรียน ผู้อำนวยการสถาบันการศึกษานานาชาติ ภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Institute of International Education : IIE) เปิดเผยว่า จะปรับรูปแบบการสอบโทเฟล (TOEFL) ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยใหม่ จากเดิมเป็นการสอบแบบผ่านระบบคอมพิวเตอร์ (Computer-based) ที่ใช้ข้อสอบทั้งหมด 3 ส่วนคือ การฟัง การอ่าน การเขียนและไวยากรณ์คะแนนเต็ม 300 คะแนน ส่วนรูปแบบที่ปรับใหม่เป็นการสอบแบบออนไลน์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต (Internet-based Testing-iBT) และเพิ่มทักษะการพูด มีข้อสอบทั้งหมด 4 ส่วนคือ ทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียนและไวยากรณ์ แบ่งเป็นส่วนละ 30 คะแนน รวมทั้งหมด 120 คะแนน จะเริ่มใช้ในวันที่ 23 เมษายน 2549 โดยสมัครสอบได้เดือนละ 2 ครั้งในวันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ เสียค่าใช้จ่ายเท่าเดิม ดูข้อมูลและทดลองทำข้อสอบได้ที่เวบไซต์ www.ets.org/toefl โดยต่อไปประเทศไทยจะมีศูนย์สอบโทเฟลใน 7 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ พิษณุโลก สงขลา นครศรีธรรมราช ขอนแก่น และจันทบุรี ผู้ที่จะสอบโทเฟลรูปแบบใหม่ลงทะเบียนสมัครสอบล่วงหน้า 2 เดือน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2549 ผ่านเวบไซต์ www.prome.tric.com ข้อสอบแบบใหม่จะมีเป็นข้อสอบแบบอิสระเพื่อทดสอบทักษะการฟัง พูด อ่าน ไวยากรณ์และเขียน ไม่ได้วัดความรู้ทางวิชาการ แต่จะดูถึงทักษะด้านต่างๆ เช่น ความเข้าใจคำถาม ความสามารถในการใช้ภาษา การใช้รูปประโยค และข้อสอบแบบผสมผสาน ซึ่งในข้อเดียวกันจะต้องใช้มากกว่า 1 ทักษะทางภาษาเพื่อตอบคำถาม เช่น ให้ผู้เข้าสอบอ่านเนื้อหาข้อสอบและฟังคำบรรยายที่มีเนื้อหาเพิ่มเติมและตอบคำถาม "ที่ต้องเปลี่ยนเพราะมหาวิทยาลัยทั่วโลกเห็นว่า นักศึกษาที่ไปเรียนมหาวิทยาลัยต่างประเทศ แม้จะมีทักษะฟัง อ่านและเขียนได้ดี แต่ไม่สามารถพูดคุยสื่อสารในชั้นเรียนได้ ทำให้การเรียนการสอนไม่ได้ผลเต็มที่ จึงขอให้นำการสอบโทเฟลรูปแบบใหม่ที่ผ่านการวิจัยและพัฒนามานาน เริ่มใช้แล้วเมื่อเดือนกันยายน 2548 ที่ประเทศอเมริกา แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี มาวัดผลทักษะการฟัง พูด อ่านและเขียนได้ครบทุกทักษะอย่างมีประสิทธิภาพมาใช้ ผู้ที่สนใจสอบถามได้ที่โทร.0-2652-0653" ดร.ชลินทร กล่าว (คมชัดลึก อังคารที่ 1 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





TK Park สวนสนุกทางปัญญาครบเครื่อง

สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ และศูนย์กลางการเรียนรู้ไอซีทีแห่งชาติ จัดแถลงข่าวประกาศเข้าร่วมเป็นองค์กรเดียวกัน เพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เสริมให้บริการแก่เยาวชน และประชาชนมีความสมบูรณ์แบบครบวงจร มากยิ่งขึ้นในทุกๆ ด้าน พร้อมเปิดสโลแกนใหม่ เป็นหนังสือ ดนตรี กิจกรรมและไอซีที=พลังแห่งจินตนาการ ณ ลานสานฝัน อุทยานการเรียนรู้ ชั้น 6 เซ็นทรัลเวิลด์ พลาซ่า ดร.สิริกร มณีรินทร์ ประธานกรรมการอุทยานการเรียนรู้ กล่าวว่า "ทีเค ปาร์ค มีจุดแข็งด้านการให้ความรู้และบริการที่สนุกสนาน ส่วน เอ็นไอทีซี มีความเข้มแข็ง ด้านเครือข่ายไอที ดังนั้นเมื่อรวมกัน ผู้ได้รับผลประโยชน์คือเยาวชนและประชาชน เพราะเรามุ่งมั่นที่จะสร้างคน และสร้างองค์ความรู้ให้ ทีเค ปาร์ค เป็น สวนสนุกทางปัญญาที่ครบเครื่องโดยใช้เครือข่ายไอทีเป็นเครื่องมือ สำหรับภารกิจแรกในการสร้างคน เน้นการพัฒนาหลักสูตรไอซีที เปิดหลักสูตรพัฒนากลุ่มที่ไม่คุ้นเคยกับการใช้คอมพิวเตอร์คน 3 กลุ่ม เช่น ผู้สูงอายุและเด็กให้สามารถใช้งานคอมพิวเตอร์เบื้องต้น และใช้อินเตอร์เน็ตสามารถส่ง อีเมล์ โต้ตอบกับลูกหลานซึ่งอยู่ห่างไกลได้ (มติชนรายวัน อังคารที่ 1 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





จี้นักเรียนสมัคร O-NET แต่เนิ่น

รศ.ประทีป จันทร์คง ผอ.สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยว่า ในการสมัครทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) สำหรับผู้จบ ม.6 ก่อนปีการศึกษา 2548 ที่ประสงค์จะเข้ารับการคัดเลือกระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษา หรือระบบแอดมิชชั่น ในปีการศึกษา 2549 ในวันที่ 1-15 พ.ย.นั้น โดยในวันที่ 1 พ.ย.ซึ่งเป็นวันแรกของการรับสมัครผ่านระบบอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ www.ntthailand.com พบว่า มีผู้สมัครเข้ามาทางเว็บไซต์ตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึง 06.00 น. ประมาณ 10 คน และมีผู้เข้าไปสมัครเองประมาณ 500 คน และเริ่มมีผู้สมัครชำระเงินผ่านทางธนาคารแล้ว ซึ่งการรับสมัครผ่านเว็บไซต์ดำเนินไปได้ด้วยดีไม่มีปัญหาล่ม ส่วนปัญหาที่พบคือ ผู้สมัครบางคนกรอกข้อมูลผิดพลาดเล็กน้อย ก็ขอให้แจ้งข้อมูลมาให้ทาง สทศ.จะแก้ไขในระบบให้เอง ไม่จำเป็นต้องสมัครใหม่ จึงอยากฝากถึงผู้สมัครที่จบชั้น ม.6 ก่อนปีการศึกษา 2548 หรือพวกตกรุ่นให้สมัครแต่เนิ่นๆ หากมีข้อผิดพลาดอะไรจะได้แก้ไขได้ทัน. (ไทยรัฐ พุธที่ 2 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





พระเทพฯทรงห่วงคุณภาพอุดมศึกษาไทย

เมื่อเวลา 10.15 น. วันที่ 1 พ.ย. ที่ ศูนย์การประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินเป็นประธานเปิดงานการประชุมสมัชชาการศึกษาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 1 ในโอกาสวันครูโลก และมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีและวิชาการด้านต่าง ๆ เจริญรุดหน้าไปอย่างฉับไว การศึกษาในยุคใหม่ คือความสามารถในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารการจัดการความรู้ การสร้างสรรค์องค์ความรู้ ตลอดจนนวัตกรรมใหม่ ๆ เป็นสำคัญ ดังนั้นครูต้องปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งครูทุกคนไม่ว่าจะอยู่พื้นที่ใด ควรมีโอกาสรับความรู้ และข้อมูลข่าวสารเพื่อพัฒนาตัวเองให้ก้าวทันยุคทันสมัย ข้าพเจ้าขอให้กำลังใจครู และบุคลากรทางการศึกษาทุกคน ซึ่งการให้การศึกษา การอบรมบ่มนิสัยเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ควบคู่ไปกับคุณธรรมถือเป็นภารกิจอันหนัก หากแต่จะได้กุศลอนันต์ และผลที่เกิดขึ้นเป็นคุณอย่างยิ่งกับประเทศชาติ และมนุษยชาติ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงมีรับสั่งที่แสดงถึงความห่วงใยเรื่องการศึกษาในหลายเรื่อง ทั้งการขาดแคลนครู การจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน ที่ห่างไกล เด็กชาวเขาและเด็กไร้สัญชาติ รวมถึงการสร้างโรงเรียนในพื้นที่ประสบภัยสึนามิ โดยทรงฝากให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ดูแลในเรื่องเหล่านั้นด้วย อย่างไรก็ตามเรื่องที่พระองค์ทรงห่วงใยมากที่สุด คือ เรื่องการขาดแคลนครู โดยเฉพาะโรงเรียนที่อยู่ห่างไกล ซึ่งตนได้ถวายรายงานว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ ศธ.กำลังดำเนินการอยู่ ทั้งการปรับหลักสูตรการเรียนการสอนและการพัฒนาครู นอกจากนี้พระองค์ทรงรับสั่งถึงการศึกษาของพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และทรงรับสั่งให้ช่วยพูดกับโรงเรียนเอกชนให้เข้ามาช่วยเหลือการศึกษาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มากขึ้นด้วย (เดลินิวส์ พุธที่ 2 พ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





จัดทำหลักสูตรยกระดับช่างอัญมณี

นายวรศักดิ์ รงค์เดชประทีป ผู้จัดการโครงการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันธุรกิจแฟชั่น ชื่อย่อว่า “จรัสคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและโครงการกรุงเทพฯ เมืองแฟชั่น มอบหมายให้มศว ทำโครงการนี้เพื่อช่วยยกระดับช่างฝีมืออัญมณีและเครื่องประดับในประเทศไทย “โครงการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นโครงการที่สามารถลดต้นทุนการผลิตได้ โดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาผสมผสานกับระบบเดิมจะเป็นการต่อยอดความรู้ให้กับผู้ประกอบการ ถ้าวันนี้ผู้ประกอบการยังไม่สนใจที่จะพัฒนาตัวเองหรือบุคลากร จะส่งผลถึงอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับอย่างมาก ในอนาคตการสั่งซื้ออัญมณีและเครื่องประดับไทยจะเกิดปัญหา ประเทศคู่ค้าจะเริ่มหันไปสั่งซื้อสินค้าในประเทศที่มีต้นทุนการผลิตต่ำ อย่าลืมว่าอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับในไทยนั้นเสมือนต้นน้ำ เพราะเป็นฐานการผลิต ซึ่งต้องคำนึงถึงต้นทุนทำอย่างไรให้ต้นทุนต่ำ ขณะเดียวกันก็มีคุณภาพ เพื่อผู้ซื้อจากต่างประเทศจะได้เข้ามาซื้อสินค้าเรามากขึ้น ตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับที่ไทยส่งออก ได้แก่ประเทศสหรัฐอเมริกาและในยุโรปอีกหลายประเทศ” เป้าหมายหลักของโครงการต้องจัดทำหลักสูตร 7 เทคนิคความเป็นเลิศการผลิตชั้นสูง ซึ่งได้แก่ 1.การสร้างแม่พิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ 2. การเจียระไนขั้นสูง 3. การหล่อขึ้นรูปขั้นสูง 4. การฝังพร้อมหล่อขั้นสูง 5.การปั๊มการเชื่อมและการทำเครื่องประดับที่ทำด้วยหลอด 6. การขัดตกแต่งชิ้นงานขั้นสูง 7.การชุบและเคลือบผิวขั้นสูง ทั้ง 7 เทคนิคจะช่วยให้งานอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับให้ได้มาตรฐานและมีคุณภาพมากขึ้น มีความแม่ยำ ลดต้นทุนการผลิต ลดระยะเวลาการผลิตงานซึ่งจะทำให้งานเสร็จเร็วขึ้น จึงอยากชวนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ เข้ามาพัฒนาตัวเองในหลักสูตรเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ได้ที่ มศว อาคาร 19 ชั้น 19 สุขุมวิท 23 เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110 โทร.0-2664-1000 ต่อ8659 , 8663 (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 2 พ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





ถวายพระสมัญญา"พระเทพ" "พระมิ่งขวัญการศึกษาไทย"

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯไปเป็นประธานในพิธีเปิดงานประชุมสมัชชาการศึกษาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 1 ภายใต้หัวข้อเรื่อง "การปฏิรูปครูและบุคลากรทางการศึกษา" เนื่องในโอกาสวันครูโลก ประจำปี 2548 ณ อิมแพคอารีน่า เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน โดยงานนี้หน่วยงานทางการศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชนภายในประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศ(UNESCO-APEID) ร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 1-3 พฤศจิกายนนี้ มีนายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) และผู้บริหารระดับสูงของ ศธ.เฝ้าฯรับเสด็จ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงมีพระราชดำรัสเปิดงานว่า ในปัจจุบันเทคโนโลยีและวิทยาการด้านต่างๆ เจริญรุดหน้าไปอย่างฉับไว การศึกษาในโลกยุคใหม่ถือความสามารถในการรับความรู้ ข้อมูลข่าวสาร การจัดการความรู้ การสร้างสรรค์ขององค์ความรู้ ตลอดจนนวัตกรรมใหม่ๆ เป็นสำคัญ ครูจึงต้องปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ครูทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ใดควรมีโอกาสรับความรู้และข้อมูลข่าวสาร เพื่อจะได้พัฒนาตนเองให้ก้าวทันยุคทันสมัย จากนั้นนายจาตุรนต์ได้ขอพระราชทานวโรกาสประกาศราชสดุดีพระเกียรติคุณด้านการศึกษาของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เนื่องในวโรกาสทรงพระชนมายุ 50 พรรษา ในปี พ.ศ.2548 และขอพระราชทานถวายพระสมัญญาประกาศเกียรติคุณให้ทรงเป็น "พระมิ่งขวัญการศึกษาไทย" เพื่อเป็นสิริมงคลแก่วงการศึกษาไทยสืบไป (มติชนรายวัน พุธที่ 2 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





ครม.จ่ายเงินเดือนขรก.เร็วขึ้น 3 วัน

นายดนุพร ปุณณกันต์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่าที่ประชุมอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา(พ.ร.ฎ.)การจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน(ฉบับที่..) พ.ศ... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอมา หลังจากนี้จะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่าง การออก พ.ร.ฎ.ดังกล่าวเพื่อแก้ไขปัญหาความล่าช้าในการเบิกจ่ายเงินเดือนให้ข้าราชการและผู้รับบำนาญ โดยยกเลิกบัญชีถือจ่ายเงินเดือน และกำหนดวิธีการเบิกจ่ายเงินเดือนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กรมบัญชีกลางกำหนดเพื่อให้คล่องตัวมากขึ้น และให้อธิบดีกรมบัญชีกลางมีอำนาจอนุมัติการจ่ายเงินเดือนให้แก่ข้าราชการที่มิได้มาปฏิบัติราชการ จากกรณีอื่นที่มิใช่การหนี ละทิ้งหน้าที่ หรือกรณีที่มีกฎหมายยกเว้นไว้ แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเพื่อลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน "ให้จ่ายเงินเดือนในวันทำการ ก่อนวันทำการสุดท้าย 3 วัน เท่ากับข้าราชการจะได้เงินเดือนเร็วขึ้น 3 วัน และให้จ่ายบำนาญประจำเดือนในวันทำการ ก่อนวันทำการสุดท้าย 5 วันทำการ หรือข้าราชการบำนาญจะได้บำนาญเร็วขึ้น 5 วัน นอกจากนี้ให้ยกเลิกการแสดงตนของผู้รับบำนาญ และกำหนดให้การตรวจสอบการมีชีวิตของผู้รับบำนาญเป็นไปตามที่กรมบัญชีกลางกำหนดต่อไป" (มติชนรายวัน พุธที่ 2 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





ไทม์จัดอันดับม.โลก จุฬาฯผงาดติดที่ 121

ศ.คุณหญิงสุชาดา กีระนันทน์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ทาง The Times Higher ประเทศอังกฤษ ได้ประกาศผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก 200 อันดับ ผลปรากฏว่าจุฬาฯ เป็นมหาวิทยาลัยแห่งเดียวของประเทศไทยที่ติดอันดับที่ 121 นอกจากนี้ The Times Higher ยังจัดอันดับโดยแบ่งเป็นสาขาย่อย ซึ่งจุฬาฯ ก็ติดอันดับที่ 46 ในสาขาสังคมศาสตร์ อันดับที่ 82 ในสาขาเวชชีวศาสตร์ และอันดับที่ 100 ในสาขานาโนทคโนโลยี ทั้งนี้เมื่อมีการเปรียบเทียบการจัดอันดับของมหาวิทยาลัยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย ปรากฏว่าจุฬาฯ อยู่ในอับดับที่ 35 และเมื่อเทียบเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน จุฬาฯ อยู่ในอันดับที่ 3 สำหรับการพิจารณาเพื่อจัดอันดับนั้นจะคิดคะแนนเต็ม 100% จากการสอบถามผู้ทรงวุฒิในสายวิชาการทั่วโลกว่ามหาวิทยาลัยใดดีที่สุด, จำนวนอาจารย์ต่อนิสิตนักศึกษา รวมถึงคุณภาพการเรียนการสอน, ผลงานวิจัยที่มีผู้นำไปอ้างอิง, การสอบถาม ความคิดเห็นจากผู้ใช้บัณฑิต, สัดส่วนนักศึกษานานาชาติที่เข้ามาเรียน และสัดส่วนอาจารย์นานาชาติที่เข้ามาสอน อธิการบดีจุฬาฯ กล่าวต่อไปว่า ข้อมูลที่น่าสนใจคือผลสะท้อนความพึงพอใจของผู้ใช้บัณฑิตจุฬาฯ ได้ 16 คะแนน ซึ่งหากเทียบกับมหาวิทยาลัยชั้นโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์และมาเลเซีย ถือว่าจุฬาฯ ดีกว่ามาก ซึ่งสร้างความมั่นใจกับคุณภาพของบัณฑิตจุฬาฯ ในสายของของชาวโลก (สยามรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 3 พ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





น.ร.แห่สมัครรับตรงจุฬาฯอื้อ จี้วางเกณฑ์แอดมิสชั่นส์ปี"52

นายวีระศักดิ์ อุดมกิจเดชา รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า จากการที่ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.) ได้ประกาศองค์ประกอบและค่าน้ำหนักที่จะใช้ในระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษา หรือระบบแอดมิสชั่นส์ ประจำปีการศึกษา 2549-2551 แต่ในปีการศึกษา 2552 ยังไม่ได้กำหนด ทำให้ผู้ปกครองจำนวนหนึ่งวิตกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงระบบการคัดเลือกนิสิตนักศึกษาอีก ฉะนั้นเห็นว่า ทปอ., สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง น่าจะหารือกันได้แล้วว่ารูปแบบของระบบแอดมิสชั่นส์ในปีการศึกษา 2552 ควรเป็นอย่างไร นอกจากนี้ ควรเร่งทำรายละเอียดของระบบแอดมิสชั่นส์ ประจำปีการศึกษา 2550 ไว้ด้วย สำหรับการเปิดรับนิสิตในระบบแอดมิสชั่นส์รับตรงของจุฬาฯที่ผ่านมาได้รับความสนใจจำนวนมาก เช่น คณะแพทยศาสตร์รับกว่า 200 คน แต่มีผู้สมัครกว่า 4,000 คน คณะวิศวกรรมศาสตร์ ได้แก่ โครงการโอลิมปิควิชาการเข้าศึกษาในคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาคอมพิวเตอร์ รับ 10 คน สมัคร 29 คน คณะวิศวกรรมศาสตร์ ศูนย์ จ.ตรัง รับ 18 คน สมัคร 31 คน ศูนย์ จ.ศรีสะเกษ รับ 18 คน สมัคร 50 คน คณะครุศาสตร์ ได้แก่ โครงการรับสมัครคัดเลือกเข้าศึกษาในคณะครุศาสตร์ สาขาวิชามัธยมศึกษา วิชาเอกภาษาไทย รับ 10 คน สมัคร 368 คน วิชาเอกเยอรมัน รับ 5 คน สมัคร 18 คน โครงการคัดเลือกนักเรียนผู้มีความสามารถพิเศษระดับชาติทางศิลปะ สาขาวิชาดนตรีไทย รับ 7 คน สมัคร 17 คน ดนตรีสากล รับ 7 คน สมัคร 19 คน หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาดนตรี เลือกสอบดนตรีไทย รับ 8 คน สมัคร 20 คน และเลือกสอบดนตรีสากล รับ 8 คน สมัคร 44 คน (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 3 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





สกอ.เร่งจัดระดับมหา’ ลัยไทย

ศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.)เปิดเผยว่า ตามที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีรับสั่งถึงเรื่องคุณภาพอุดมศึกษา โดยเฉพาะอาจารย์ งานวิจัยต่างๆ นั้น สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) รับสนองพระราชดำรัส รวมทั้ง รมว.ศึกษาธิการ ก็ให้ปรับกระบวนการพัฒนาคุณภาพอุดมศึกษาอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะเรื่องคุณภาพของอาจารย์ซึ่งเป็นจุดอ่อนมาตลอด ซึ่งตามโครงการเมกะโปรเจกต์ของ สกอ.ได้มุ่งเน้นการผลิตนักวิจัยในสาขาที่ประเทศต้องการให้มากขึ้น ส่วนเรื่องการพัฒนาคุณภาพมหาวิทยาลัยในเบื้องต้นได้มอบให้มหาวิทยาลัยทั้งของรัฐ และเอกชน ไปรวบรวมข้อมูลเกี่ยวด้านนิสิต นักศึกษา อาจารย์และหลักสูตรการเรียนการสอนต่างๆ แล้วส่งมาที่ สกอ.ภายในวันที่ 15 พ.ย.นี้ เพื่อเป็นข้อมูลก่อนที่จะมีการจำแนกประเภทมหาวิทยาลัยตามสาขาวิชา หรือสถานภาพการเรียนการสอน เป็นต้น ซึ่งขณะนี้มีส่งมาแล้วประมาณ 70% เมื่อครบทุกแห่งก็จะมีการจัดระดับมหาวิทยาลัยต่างๆ ของไทยเพื่อให้ง่ายต่อการพัฒนา (สยามรัฐรายวัน ศุกร์ที่ 4 พ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





"สมศ."เผยปัญหาอุดมศึกษาไทยมีเพียบ

เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน นายประเสริฐ ชิตพงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.) ให้สัมภาษณ์กรณีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยติดอันดับที่ 121 จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำ 200 อันดับแรกของโลก โดยนิตยสารไทม์ ประเทศอังกฤษ ว่า ต้องแสดงความยินดีที่มหาวิทยาลัยไทยติดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกด้วย โดยจุฬาฯได้พัฒนาจนมีความเข้มแข็ง ซึ่งเป็นตัวอย่างให้กับมหาวิทยาลัยอื่นๆ อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยไทยโดยภาพรวมยังมีจุดอ่อนเรื่องการบริหารจัดการเชิงคุณภาพ โดยเฉพาะการเป็นมหาวิทยาลัยวิจัย ซึ่งจะสังเกตได้ว่ามหาวิทยาลัยที่ติดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกล้วนเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยทั้งสิ้น ด้านนายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) กล่าวว่า ตนได้มอบหมายให้นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) ได้หาแนวทางในการยกระดับมาตรฐานคุณภาพอุดมศึกษาไทยที่ค่อนข้างต่ำลง เพราะจากผลการศึกษาวิเคราะห์มาตรฐานอุดมศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่า ขณะนี้ปัญหามาตรฐานอุดมศึกษาเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก ซึ่งสอดคล้องกับข้อเสนอของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(สมศ.) ที่ได้ทำการศึกษาสภาพปัญหาคุณภาพอุดมศึกษาไทย พบว่า 1.ทิศทางการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาในภาพรวมไม่ชัดเจน เกิดความซ้ำซ้อนในเรื่องการให้บริการ 2.การจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาส่วนใหญ่เป็นการจัดตั้งด้วยเหตุผลทางการเมือง ไม่ได้คำนึงถึงคุณภาพและความพร้อมของการเป็นสถาบันอุดมศึกษา 3.ไม่มีการจัดระบบความหลากหลายของสถาบันอุดมศึกษา ทำให้ทิศทางการส่งเสริมพัฒนาและกำกับมาตรฐานไม่ชัดเจนและไม่ต่อเนื่อง 4.สถาบันอุดมศึกษาปรับตัวไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในเรื่องการสร้างและพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการเรียนการสอนและการวิจัย 5.สถาบันอุดมศึกษาเปิดหลักสูตรตามความพอใจ โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา 6.สถาบันอุดมศึกษาขาดการวางแผนพัฒนาสถาบันในระยะยาว และ 7.คณะกรรมการบริหารสถาบัน/สภาสถาบันอุดมศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนหลายแห่งไม่มีการบริหารจัดการที่ดี (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 4 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





6 นร.แข่งคณิต-วิทย์โลก

นางพรนิภา ลิมปพยอม เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้คัดเลือกนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์โอลิมปิกนานาชาติ ระดับประถมศึกษา ประจำปี 2548 International Mathematics and Science Olympiad for Primary School (IMSO) ระหว่างวันที่ 13-21 พ.ย. 2548 ที่ประเทศอินโดนีเซีย ผลปรากฏว่า นักเรียนที่ได้รับการคัดเลือก กลุ่มคณิตศาสตร์ ได้แก่ ด.ช.ธีรภัทร ศรีมโนรถ ร.ร.ราชวินิต กทม. ด.ช.วรณ ปัญโญวัฒน์กูล ร.ร.วัดพลับพลาชัย กทม. ด.ช.ปวัน ลาภบริสุทธิ์ ร.ร.สาธิต มศว ประสานมิตร กลุ่มวิทยาศาสตร์ ได้แก่ ด.ญ.ณัฎณิชา มณีอินทร์ ร.ร.สุพรรณภูมิ จ.สุพรรณบุรี ด.ช.ภัสธรณ์ จูละยานนท์ ร.ร.อนุบาลนครปฐม ด.ช.ชยากร พงษ์ศิริ ร.ร.มารีย์อนุสรณ์ จ.บุรีรัมย์ (คมชัดลึก เสาร์ที่ 5 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


สหรัฐฯฟื้นชีพโพยมยานยักษ์ เหินฟ้าอึดนานกว่าสัปดาห์

รัฐสภาอเมริกันได้อนุมัติแผนงานสร้างโพยมนาวา ตามโครงการ “วอลล์รัส ฮูลา” ขึ้น โดยมีข้อมูลทางด้านเทคนิคอันน่าตื่นใจว่า ยานสามารถจะบรรทุกน้ำหนักได้มากระหว่าง 500-1,000 ตัน เดินทางได้ไกลไม่ต่ำกว่า 22,000 กิโลเมตร และเหินฟ้าโดยไม่ต้องลงจอดได้นานไม่ต่ำกว่า 1 อาทิตย์ สหรัฐฯเคยสร้างโพยมยานลำใหญ่ที่มีชื่อว่า “แอครอน” ขึ้นบินเมื่อสมัยทศวรรษ พ.ศ. 2473 มาแล้ว ยานสมัยนั้นมีความจุถึง 184,000 ลูกบาศก์เมตร สามารถบรรทุกเครื่องบิน 7 ลำ และผู้โดยสาร 200 คน บินลอยลำได้ไกลโดยไม่ต้องลงจอดได้ถึง 17,000 กิโลเมตร หากแต่ว่าเป็นเพราะการเกิดอุบัติเหตุตกบ่อยๆ ของโพยมยานของชาติต่างๆ ของอังกฤษ และฝรั่งเศส ในเวลาต่อมา ทำให้ความเจริญรุ่งเรืองของวิศวกรรมยานที่เบากว่าอากาศในครั้งนั้น พลอยมีอันเป็นต้องสะดุดหยุดลงเสีย ทางแผนกวิจัยของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้กลับหันมาสนใจในเทคโนโลยี ซึ่งเคยเป็นที่นิยมกันในอดีตขึ้นใหม่อีก ผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงรู้สึกชื่นชมในคุณสมบัติของยานชนิดนี้ ในด้านสมรรถนะในการบรรทุกและการบินอันยอดเยี่ยม และทางกระทรวงได้สั่งสร้างยานซึ่งสามารถเป็นได้ทั้งดาวเทียมอวกาศ และเครื่องบินสืบข่าวเข้าด้วยกัน. (ไทยรัฐ อังคารที่ 1 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





'ศิริราช' เจ๋งเจาะช่องเฉือนต่อมลูกหมากแห่งแรก

รศ.น.พ.อนุพันธ์ ตันติวงศ์ แพทย์ประจำสาขาวิชาศัลยศาสตร์ยูโรวิทยา ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า เพศชายเข้าสู่วัยชรา อายุประมาณ 50 ปีขึ้นไป ต่อมลูกหมากที่อยู่บริเวณรอบท่อปัสสาวะส่วนต้น หรืออยู่ใต้หัวหน่าวจะโตขึ้นตามวัย ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงลักษณะของเซลล์เนื้อเยื่อเป็นมะเร็งได้ โดยในระยะแรกจะไม่แสดงอาการใดๆทั้งสิ้น ในประเทศไทยมะเร็ง ต่อมลูกหมากพบเป็นอันดับ 5 ของมะเร็งในเพศชาย แต่มีแนวโน้มพบมากขึ้น รศ.น.พ.ไชยยงค์ นวลยง แพทย์ประจำสาขาวิชาศัลยศาสตร์ยูโรวิทยา ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า วิธีการรักษาสามารถทำได้ 2 วิธี คือ การผ่าตัด หรือการรักษาทางเคมีด้วยการฉายรังสีและฝังเม็ดรังสี ซึ่งการรักษาทางเคมีไม่เป็นที่นิยมนัก จึงเลือกการผ่าตัด มีทั้งการผ่าตัดเปิดหน้าท้องที่นิยมทำกันอยู่ และวิธีการรักษาแนวใหม่ที่ รพ.ศิริราชสามารถทำสำเร็จเป็นแห่งแรกของประเทศไทย และแห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้แต่สิงคโปร์ก็ยังไม่สามารถทำได้คือ การผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมากด้วยการส่องกล้องผ่านทางหน้าท้อง วิธีการดังกล่าวมีข้อดีคือ ภาวะการเสียเลือดน้อยลง เจ็บแผลน้อยลง เนื่องจากไม่ต้องผ่าตัดเปิดหน้าท้อง เพราะแพทย์จะส่องกล้องด้วยการเจาะรู 5-6 รู ขนาดรูประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร ระยะเวลาในการผ่าตัด 3-4 ชั่วโมง และผลในการผ่าตัดจากกล้องทำให้เห็นภาพขยายชัดเจน ทำให้ผ่าตัดได้ชัดเจนขึ้น ระยะเวลาในการพักฟื้นลดลง ในวันที่ 2-3 หลังจากผ่าตัดสามารถลุกเดินได้แล้ว ในต่างประเทศทั่วโลกผ่าตัดด้วยวิธีนี้มา 1 หมื่นรายแล้ว ซึ่งศิริราชได้ให้การรักษาด้วยวิธีการดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2544 ถึงปัจจุบันรวม 61 รายแล้ว ค่าใช้จ่ายที่ รพ.ศิริราชประมาณ 2-3 หมื่นบาท แต่เมื่อเทียบกับข้อมูลโฆษณาในอินเตอร์เน็ตมีราคาสูงถึง 9 แสนบาท ซึ่งถือว่าที่ศิริราชถูกมาก (ไทยรัฐ อังคารที่ 1 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





ชาวบ้านฮือฮาได้ยลโฉม“ดาวอังคาร”

น.ส.สาลิน วิรบุตร์ ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์ เพื่อการศึกษา (ท้องฟ้าจำลอง) สำนักบริหารการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) เปิดเผยว่า ทางศูนย์วิทยาศาสตร์ ท้องฟ้าจำลอง และศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา (ศว.) ทั่วประเทศ รวม 14 ศูนย์ ได้จัดกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับดาวอังคาร รวมทั้งมีการตั้งกล้องเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าไปส่องกล้องดูดาวอังคาร โดยในส่วนของท้องฟ้าจำลอง จะติดตั้งกล้อง จำนวน 5 ตัว และคิดว่าน่าจะมีประชาชนนำกล้องเข้ามาร่วมด้วยอีกจำนวนหนึ่ง โดยจะเริ่มสังเกตุดาวอังคารโคจรมาใกล้โลก ตั้งแต่เวลา 18.00-21.00 น.ที่สำคัญไม่ต้องส่องกล้องก็สามารถดูดาวอังคารได้ ดังนั้นอยู่ที่ไหนก็ดูได้เพียงแต่ท้องฟ้าต้องสดใสและไม่มีเมฆบดบัง ดาวอังคารจะมาอยู่ใกล้โลกและเกิดขึ้นทุกๆ 2 ปี โดยในวันอังคารที่ 30 ต.ค.จะเห็นชัดในช่วงเวลา 20.00 น. ทางทิศตะวันออก โดยจะเห็นเป็นสีแดงสุกใส กลางท้องฟ้า และสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า แต่ถ้าต้องการจะเห็นรายละเอียดชัดๆต้องส่องมองด้วยกล้องดูดาว จะสังเกตเหตุด้านทิศใต้ของดางอังคาร เป็นสีขาว ซึ่งประกอบด้วยน้ำแข็ง และคาร์บอนไดออกไซด์แข็ง การดูดาวอังคารยังสามารถดูได้อีกหลายเดือนจากนี้ แต่แสงสีแดงจะค่อยๆจางลง เนื่องจากดาวอังคารจะห่างจากโลกไปเรื่อยๆ (เดลินิวส์ อังคารที่ 1 พ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





ไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมปุ๋ยโลกครั้งที่ 14

โดยทุก 4 ปีจะมีการจัดประชุมวิชาการปุ๋ยโลก (World Fertilizer Congress) ขึ้นเพื่อการนำเสนอผลการวิจัย การแลกเปลี่ยน ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ของนักวิจัยทางด้านปุ๋ยของทั้งภาครัฐและเอกชนต่อการปรับปรุงความอุดมสมบูรณ์ของดิน การใช้ปุ๋ยอย่างเหมาะสมต่อพืชและคุณสมบัติของดิน ซึ่งครั้งนี้ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมวิชาการปุ๋ยโลกครั้งที่ 14 โดยกำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 22-27 มกราคม 2549 ณ โรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว จังหวัดเชียงใหม่ การจัดประชุมปุ๋ยโลกครั้งนี้จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวในเรื่องเทคโนโลยีด้านปุ๋ยและการใช้ปุ๋ยเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน รวมทั้งเปิดโอกาสให้นักวิชาการด้านปุ๋ยและที่เกี่ยวข้องของไทยได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์จากนักวิชาการทั่วโลก นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มพูนความสามารถของบุคลากรด้านปุ๋ยของไทยในการพัฒนาผลผลิตทางการเกษตรและสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนเป็นการเผยแพร่ชื่อเสียงของประเทศไทยให้นานาชาติรู้จักมากยิ่งขึ้น อันจะเป็นผลดีทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ทั้งนี้เนื่องจากจะมีผู้เข้าร่วมประชุมมาจากทั้งในประเทศและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก จำนวนไม่ต่ำกว่า 600 คน ซึ่งประกอบด้วยนักวิจัยและนักวิชาการทางด้านปุ๋ยจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมปุ๋ย รวมทั้งนักศึกษาและผู้สนใจทั่วไป สำหรับผู้สนใจสามารถติดต่อได้ที่ ดร.พิทยากร ลิ่มทอง กรมพัฒนาที่ดิน โทร.0-291-41-2724 ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปหรือดูรายละเอียดการประชุมวิชาการปุ๋ยโลกได้ที่ www.ldd.go.th/wfc14th. (เดลินิวส์ อังคารที่ 1 พ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





รีโมทสั่งมนุษย์หกล้มหกลุกใช้เป็นอาวุธเมตตาสยบโจร

บริษัทนิปปอน เทเลกราฟ แอนด์ เทเลโฟน คอร์ป ผู้ให้บริการโทรศัพท์ชั้นนำของญี่ปุ่น ได้คิดอุปกรณ์ควบคุมการทรงตัวของมนุษย์ ซึ่งประกอบด้วยเครื่องบังคับวิทยุเหมือนกับที่ใช้สำหรับเครื่องบินบังคับ หรือรถบังคับทั่วไป และแถบคาดรอบศีรษะซึ่งจะปล่อยกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ จากหลังหูไปจนทั่วศีรษะ ทั้งข้างซ้ายและขวาตามบัญชาของผู้ถือวิทยุบังคับ กระแสไฟฟ้าที่ปล่อยออกมาส่งผลให้คนที่สวมแถบคาดศีรษะรู้สึกชา และหมดเรี่ยวแรง จากการทดสอบให้ผู้สวมอุปกรณ์เดินทางตรง ปรากฏว่าผู้ทดสอบเดินเฉไปข้างๆ เมื่อคนบังคับโยกปุ่มไปทางซ้าย หรือขวา เทคโนโลยีดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า ระบบกระตุ้นการทรงตัวด้วยกระแสไฟฟ้า เนื่องจากร่างกายของคนเราจะมีระบบทรงตัวอยู่ภายในหูชั้นในที่คอยตรวจจับการเสียสมดุลของการร่างกาย แต่พออุปกรณ์ดังกล่าวปล่อยกระแสไฟฟ้าไปรบกวนประสาทที่มีความละเอียดอ่อนที่อยู่ภายในหูทำให้เสียการทรงตัว อาการเซจากการถูกบังคับด้วยรีโมทนี้คล้ายกับอาการเมาแล้วทรงตัวไม่อยู่ หรือมึนเพราะฤทธิ์ยาสลบ เจ้าหน้าที่ของเอ็นทีที กล่าวว่า เครื่องมือดังกล่าวอาจถูกนำไปใช้ร่วมกับเครื่องเล่นวิดีโอเกม หรือเครื่องเล่นในสวนสนุก แต่ยังไม่มีแผนที่จะทำขายในตลาด ในการสาธิตใช้งานกับเครื่องเล่นเกมแข่งรถ ผู้ขับสวมอุปกรณ์บังคับการทรงตัวที่ถูกตั้งโปรแกรมให้ทำงานสอดคล้องกับการหักโค้งทำให้ผู้เล่นตัวเอียงเหมือนขับรถทิ้งโค้งบนสนามแข่งจริง ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยแพทย์วอชิงตัน เชื่อว่า หากค้นหาวิธีที่ถูกต้องได้ อุปกรณ์ดังกล่าวสามารถดัดแปลงไปใช้เป็นอาวุธที่ไม่ใช่เครื่องมือสังหารได้ "ถ้าสามารถหาคลื่นความถี่ และพลังงานที่ถูกต้องได้ คุณก็จะได้เครื่องมือที่ไม่ทำให้คนต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัว แค่ทำให้เสียการทรงตัวเท่านั้น" (คมชัดลึก จันทร์ที่ 31 ต.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





แพทย์จุฬาโชว์เทคนิคใหม่ผ่าสมองสำเร็จเป็นรายแรกในเอเชีย

นายแพทย์ธีรเดช ศรีกิจวิไลกุล สาขาประสาทศัลยศาสตร์ ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยความสำเร็จร่วมกับ ผศ.นพ.รุ่งโรจน์ พิทยศิริ จากภาควิชาอายุรศาสตร์ จากการผ่าตัดรักษาอาการเคลื่อนไหวผิดปกติ ในโรคพาร์คินสันและโรคดีสโทเนีย ด้วยเทคนิคใหม่ที่ไม่ใช้กรอบยึดกะโหลกศีรษะ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทยและเอเชีย โดยปัจจุบันได้ให้การรักษาผู้ป่วยไปแล้ว 3 คน “เทคนิคใหม่นี้เกิดขึ้นได้ 2-3 ปี โดยในยุโรปมีไม่กี่แห่งที่ทำได้ ส่วนในสหรัฐมีประมาณ 4-5 แห่ง และที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์นี้ ถือเป็นที่แรกในทวีปเอเชีย ซึ่งข้อดีที่เด่นชัดก็คือ คนไข้สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก เจ็บปวดน้อยกว่า และสามารถวางแผนล่วงหน้าได้ 1 วัน นอกจากนี้ ระยะเวลาของการผ่าตัดก็ลดลงด้วย จากเดิมอาจจะใช้เพียง 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น และมั่นใจได้ว่าแพทย์จะรู้ตำแหน่งพิกัดได้อย่างแม่นยำ เพราะมีอุปกรณ์พิเศษที่จะคอยบอกพิกัดได้ตลอดเวลา” ข้อดีอีกประการของการผ่าตัดคือ ผู้ป่วยสามารถลดตัวยารักษาได้ถึง 50% ทำให้ลดผลข้างเคียงจากยา และค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้ โดยหลังการผ่าตัด ผู้ป่วยจะสามารถดำเนินกิจวัตรได้เหมือนคนปกติเกือบ 100% แต่จะต้องมาผ่าตัดเปลี่ยนแบตเตอรี่โดยเฉลี่ย 5-6 ปี ซึ่งจะผ่าตัดเฉพาะบริเวณหน้าอกเท่านั้น และใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง สำหรับการรักษาโรคการเคลื่อนไหวผิดปกติ อาทิ โรคพาร์คินสันและโรคดีสโทเนีย สามารถทำได้ 2 รูปแบบคือ การให้ยารักษาและการผ่าตัดแบบกระตุ้นด้วยไฟฟ้า แต่ปัญหาคือกรอบยึดกะโหลกศีรษะมีขนาดใหญ่ หนักราว 850 กรัม ขณะที่วิธีใหม่แบบไม่ใช้กรอบยึด เพิ่งดำเนินการมาได้ 2-3 ปี ส่วนการรักษาด้วยยา ผู้ป่วยบางคนจะเกิดปัญหาการตอบสนองต่อยาไม่สม่ำเสมอ ส่งผลให้คุณภาพชีวิตเสียไป เคลื่อนไหวไม่เป็นปกติ จึงต้องเข้ารับการรักษาในขั้นตอนต่อไปด้วยการผ่าตัดแบบดีบีเอส (ประชาชาติธุรกิจ อังคารที่ 1 พ.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ไทยฉายภาพเชื้อเพลิงอนาคตป้อนเวทีเอเปค

ดร.นเรศ ดำรงชัย ผู้อำนวยการศูนย์คาดการณ์เทคโนโลยีเอเปค สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า ศูนย์คาดการณ์ฯ ได้รับความเห็นชอบจากประเทศสมาชิกเอเปค ให้เป็นผู้นำดำเนินโครงการ “คาดการณ์เทคโนโลยีเชื้อเพลิงอนาคต” ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (เอเปค) เป้าหมายเพื่อสร้างความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านเชื้อเพลิงสำหรับอนาคต ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า “การมองอนาคต” รวมถึงการจัดทำ “ภาพฉายอนาคต” และ“แผนที่นำทางเทคโนโลยี” โครงการซึ่งขณะนี้ได้จัดทำภาพฉายอนาคตและแผนที่นำทางฉบับร่างขึ้นแล้ว จากนั้นเตรียมนำเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อที่ประชุมระดับเอเปค (APEC Symposium on Foresighting Future Fuel Technology) ณ จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 3-4 พฤศจิกายนนี้ โดยเนื้อหาจะเน้นถึงเชื้อเพลิงอนาคต 3 ชนิดหลักได้แก่ ไฮโดรเจน พลังงานชีวมวลและเชื้อเพลิงไฮโดรคาร์บอนรูปแบบใหม่ หรือ อันคอนเวนชันนอล ไฮโดรคาร์บอน (conventional hydrocarbons) สำหรับเวทีประชุมดังกล่าว ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 คาดว่าจะได้ข้อเสนอแนะที่จะช่วยให้แผนที่นำทางสำหรับเชื้อเพลิงหลักในอนาคตมีความสมบูรณ์ ก่อนเสนอต่อที่ประชุมเอเปคที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ประเทศเกาหลี การประชุมที่จังหวัดเชียงใหม่นี้ จะมีบุคคลสำคัญจาก 15 ประเทศเข้าร่วม โดยมีนายกรัฐมนตรีของไทยเป็นประธาน พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และที่ปรึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลประเทศแคนาดามาร่วมงานครั้งนี้ด้วย (ประชาชาติธุรกิจ อังคารที่ 1 พ.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





เกาหลีใต้ผุดศูนย์สเต็มเซลล์โลก

มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล เปิดเผยว่า ศูนย์สเต็มเซลล์โลก (World Stem Cell Hub) จะเป็นศูนย์กลางหลักในการผลิตและป้อนสเต็มเซลล์ไลน์ใหม่ที่ได้มาจากสเต็มเซลล์ตัวอ่อนให้กับนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ซึ่งถูกรัฐบาลจำกัดการทำวิจัยของศาสตร์ในแขนงนี้ โดยขณะนี้เปิดให้ทำการแล้วในกรุงโซล ทั้งนี้ รัฐบาลเกาหลีใต้ห้ามการโคลนนิงเพื่อการเจริญพันธุ์ แต่สนับสนุนนักวิทยาศาสตร์ในการทำวิจัยทางการแพทย์อย่างเต็มที่ โดยมอบงบประมาณสนับสนุนให้กับทีมงานของ ศ.ดร.ฮวาง ในปีนี้ถึง 24.4 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ยังจะได้รับทุนเพิ่มเติมจากรัฐบาลอีกปีละ 3 ล้านดอลลาร์ ไปจนถึงปี 2552 ศูนย์สเต็มเซลล์ในกรุงโซล มีแผนจะขยายสาขาแรกไปยังประเทศอังกฤษ และสหรัฐด้วย เพื่อสนับสนุนการทำวิจัยของนักวิทยาศาสตร์นานาประเทศ ซึ่งกำลังเร่งมือทำวิจัยสเต็มเซลล์ตัวอ่อน หรือเซลล์ต้นกำเนิดที่สามารถเติบโตไปเป็นเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย แต่ปัญหาติดอยู่ตรงที่ การดึงสเต็มเซลล์จากตัวอ่อนออกมา จะทำให้ตัวอ่อนเสียชีวิต ส่งผลให้คณะรัฐบาลของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ออกกฎห้ามการให้ทุนสนับสนุนงานวิจัยที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งหมด เป้าหมายแรกของศูนย์สเต็มเซลล์โลก คือสร้างเซลล์ไลน์ใหม่ที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมเป็นจำนวน 100 เซลล์ไลน์ต่อปี เพื่อค้นหาสาเหตุของโรคร้าย อย่างเบาหวาน พาร์คินสัน อัลไซเมอร์ เอดส์ โรคสภาวะเซลล์ประสาทสลายตัว (Lou Gehrig's) และโรคโลหิตจางชนิดเสี้ยวพระจันทร์ (sickle cell anemia) เมื่อได้เซลล์ไลน์มาแล้ว นักวิจัยก็จะทำการศึกษาวิธีพัฒนาตัวไปเป็นเนื้อเยื่อก่อโรคของเซลล์เหล่านี้ ทางเกาหลีใต้จะไม่จดสิทธิบัตรเซลล์ไลน์ใหม่ แต่จะคิดค่าธรรมเนียมหากมีการสั่งผลิตเป็นพิเศษ ปัจจุบันมีรายงานการผลิตเซลล์ไลน์ขึ้น มาแล้วกว่า 125 เซลล์ไลน์ทั่วโลก ส่วนใหญ่ได้มาจากตัวอ่อนที่ได้รับบริจาค ซึ่งขณะนี้รัฐบาลสหรัฐจะให้ทุนสนับสนุนเฉพาะงานวิจัยที่ใช้เซลล์ไลน์เก่า ที่ผลิตขึ้นมาก่อนการออกกฎหมายห้ามของประธานาธิบดีบุชเมื่อสิงหาคม 2544 ด้าน ดร.รังสรรค์ พาลพ่าย หัวหน้าศูนย์วิจัยเทคโนโลยีตัวอ่อนและเซลล์ต้นกำเนิด มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการโคลนนิงและสเต็มเซลล์ในไทย ให้ความเห็นว่า การเปิดตัวศูนย์สเต็มเซลล์โลกของเกาหลีใต้ในครั้งนี้ ถือเป็นแนวโน้มที่ดี โดยนักวิจัยไทยจะได้ประโยชน์มากขึ้น เพราะจากเดิมที่มีข้อกำหนดให้ใช้เซลล์ไลน์ทำวิจัยได้อย่างเดียว ต่อไปก็จะสามารถเอาไปใช้เพื่อการบำบัดได้ ซึ่งหากเซลล์ไลน์ที่ได้มามีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกับคนไข้ ก็สามารถนำไปปลูกถ่ายรักษาได้ "การประกาศบริจาคเซลล์ไลน์ หรือคิดค่าธรรมเนียมต่ำมากให้ทั่วโลก จะกระตุ้นนักวิจัยไทย และแพทยสภาตื่นตัวขึ้นมาว่า ขณะนี้เกาหลีก้าวหน้าถึงขั้นพัฒนาเซลล์ไลน์ออกมาบริจาคแล้ว ไม่สนใจเรื่องเงินทอง ขณะที่เมืองไทยเองทำไมถึงยังไม่อนุญาตให้คนไทยผลิตสเต็มเซลล์ตัวอ่อนขึ้นเอง" (ประชาชาติธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 27 ต.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





เรียนรู้โลกอนาคต ผ่านเรื่องราวบนแผ่นฟิล์ม

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ร่วมกับสถาบันเกอเธ่ และสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย จัดเทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นหนึ่งในการเสริมการสร้างวัฒนธรรมวิทยาศาสตร์สำหรับประชาชนตั้งแต่ระดับรากหญ้า โดยงานจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 12-15 พฤศจิกายน 2548 ณ ห้องมหกรรม ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา (ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพฯ) นางสาวนารี วงศ์สิโรจน์กุล รักษาการผู้อำนวยการ สสวท. อธิบายว่า ภาพยนตร์วิทยาศาสตร์เป็นสื่อการเรียนการสอนอีกรูปแบบหนึ่ง ที่จะสื่อสารเนื้อหาทางวิทยาศาสตร์ให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น หรือเรียกอีกอย่างว่า การสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ (Science Communication) โดยใช้ศิลปะสาขาภาพยนตร์ นำเสนอเนื้อหาสาระทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และจินตนาการ ด้วยเทคโนโลยีภาพและเสียง ถ่ายทอดออกมาเป็นเรื่องราว ในรูปแบบที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเสน่ห์ของสื่อภาพยนตร์วิทยาศาสตร์อย่างหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ การได้เห็นภาพเคลื่อนไหวที่เข้าใจได้ทันที การมีอารมณ์คล้อยตามเนื้อหาของบทภาพยนตร์ที่ผูกร้อยเป็นเรื่องราว ที่สอดแทรกความรู้ทางวิทยาศาสตร์เข้าไป ทั้งอรรถรสที่ผู้ชมจะได้รับ ล้วนเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความเข้าใจ และเข้าถึงเนื้อหาทางด้านวิทยาศาสตร์ได้มากกว่าการเรียนจากตำราในห้องเรียน ที่สำคัญจะทำให้เรารู้ว่าวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย และใกล้ตัวเราจริงๆ และเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตประจำวันของทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการให้เข้ามาชมภาพยนตร์มากที่สุดจะเป็นกลุ่มนักเรียนมัธยมปลาย นิสิต นักศึกษา เพราะเนื้อหาค่อนข้างน่าตื่นเต้น น่าค้นคว้า ซึ่งจะได้ประโยชน์มาก ผู้สนใจก็สามารถเข้าร่วมได้ ซึ่งตลอดงานไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนโปรแกรมการฉายภาพยนตร์แบ่งเป็น 4 รอบ รอบที่ 1 เวลา 9.00-10.30 น. รอบที่ 2 เวลา 11.00-12.30 น. รอบที่ 3 เวลา 13.00-14.30 น. และรอบที่ 4 เวลา 15.00-16.30 น. โดยเปิดให้เข้าชมฟรีทุกรอบฉาย (ประชาชาติธุรกิจ เสาร์ที่ 29 ต.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





KUFresh สร้างโอกาสเกษตรกร ดึงร่วมเกษตรอินทรีย์

ดร.ถวัลย์ศักดิ์ เผ่าสังข์ ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ได้จัดตั้งโครงการผลิตพืชผักอินทรีย์ ภายใต้ตราสินค้า “KU Fresh” พร้อมกับต้องการประชาสัมพันธ์การบริโภคผักและผลิตภัณฑ์จากเกษตรอินทรีย์ ให้มากยิ่งขึ้น โดยมีการใช้พื้นที่เกษตรทฤษฎีใหม่ ตามแนวพระราชดำริ จำนวน 40 ไร่ รวมเข้ากับพื้นที่ระหว่างการประปา กับโรงเรียนสาธิตอีกจำนวน 60 ไร่ แบ่งเป็น 8 แปลง แปลงละ 6 ไร่ ใช้ระยะเวลาการเพาะปลูก 8 สัปดาห์ โดยวางแผนสลับหมุนเวียนกันสัปดาห์ละ 1 แปลง เพื่อต้องการให้มีผลผลิต ที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ในทุกสัปดาห์ ที่ผ่านมามีกำลังผลิตสูงสุด 2,000 กิโลกรัมต่อไร่ต่อสัปดาห์ ปัจจุบันทำการเพาะปลูกเพียงแค่ 300 ตารางวาได้เก็บเกี่ยวผลผลิตถึง 1,500 กิโลกรัมต่อไร่...โดยใช้แรงงานจำนวน 10 คน โครงการ KU Fresh มีแผนการ ที่จะเพิ่มการเพาะปลูกให้ครบ 48 ไร่ ภายในปี พ.ศ. 2549 นอกจากนี้ยังมีโครงการที่จะนำเทคนิคการผลิตผักอินทรีย์ ไปขยายในพื้นที่ของเกษตรกรที่ร้องขอมาอีก 100 ไร่ เพื่อร่วมกันผลิตผักอินทรีย์ป้อนเข้าสู่ตลาดขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล รวมทั้งยังส่งออกไปในต่างประเทศซึ่งจะมีรายได้ในรูปค่าลิขสิทธิ์ภายใต้ชื่อ KU Fresh สำหรับเกษตรกร ที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ จะได้รับการ ตรวจสอบมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ เมื่อทุกแปลง ที่ผ่านการตรวจสอบจะได้รับ ใบรับรองมาตรฐาน ได้แก่ ใบรับรองสินค้าอนามัย จากกรมวิชาการเกษตร, ใบรับรอง จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และตราสัญลักษณ์ สำหรับผลิตภัณฑ์อินทรีย์ ที่ได้มาตรฐานประเทศไทย งานนี้ KU Fresh ได้เลือก บริษัทไออนิค จำกัด เข้ามาเป็นผู้ผลิตปัจจัยการผลิตเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นผู้ที่มีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยได้มาตรฐานประกอบกับได้มีการตรวจสอบแปลงสาธิต ที่ประสบความสำเร็จ เห็นผลได้อย่างชัดเจน และมีความพร้อมเต็มที่ ผู้ใดสนใจเข้าร่วมโครงการ KU Fresh ติดต่อกริ๊งกร๊างไปที่ ดร.ถวัลย์ศักดิ์ 0-1939-8975 ในวันและเวลาราชการ. (ไทยรัฐ พุธที่ 2 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





บ้านครึ่งบกครึ่งน้ำ

ประเทศเนเธอร์แลนด์หรือฮอลแลนด์เป็นประเทศที่มีลักษณะภูมิประเทศที่แตกต่างออกไปจากบ้านเรา เกือบ 1 ใน 3 ของพื้นที่ประเทศอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล คล้ายๆกับเมื่องนิวออร์ลีนส์ของประเทศสหรัฐอเมริกาที่เพิ่งโดนพายุเฮอริเคน “แคทรินา” ถล่มไปเมื่อไม่นานมานี้ ด้วยเหตุนี้ในประเทศเนเธอร์แลนด์จึงเต็มไปด้วยเขื่อนน้อยใหญ่มากมาย รวมทั้งระบบสูบและระบายน้ำที่ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ เพื่อป้องกันน้ำท่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูที่มีฝนตกหนัก นอกจากนั้นแล้วบรรดาอาคารบ้านเรือนในประเทศนี้ยังต้องพึ่งพา “เสาเข็ม” เพื่อเป็นฐานรากที่คอยรับน้ำหนักบนพื้นดินที่อ่อนยวบยาบและเต็มไปด้วยรูพรุน เมื่อภัยจากธรรมชาตินั้นเกิดบ่อยและรุนแรงขึ้นกว่าในอดีตมาก การเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยกันจึงเป็นหนทางที่ดูจะมีอนาคตกว่าการ “เอาชนะ” เป็นไหนๆ ด้วยเหตุนี้บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในประเทศเนเธอร์แลนด์ชื่อว่า “Waterstudio” ซึ่งให้บริการรับออกแบบและสร้างบ้านได้ไอเดียบ้านในรูปแบบที่เรียกว่า “ครึ่งบกครึ่งน้ำ” ที่ไม่หวั่นว่าน้ำจะแล้งหรือจะท่วม ในส่วนของฐานรากของบ้าน แทนที่จะใช้เสาเข็มเหมือนที่ใช้กัน ก็เปลี่ยนเป็นการหล่อคอนกรีตให้เกิดโพรงแล้วบรรจุโฟมเข้าไปข้างใน ทั้งนี้เพื่อจะได้ลอยขึ้นลงได้เวลาน้ำท่วมถึง แต่จะปล่อยให้ลอยเท้งเต้งไปตามยถากรรมคงใช่ที่ บ้านดีไซน์นี้จึงต้องมีเสาที่คอยเป็นเสมือนหลักยึด ซึ่งถ้าคุณผู้อ่านนึกภาพไม่ออกก็ให้ลองนึกถึงเสาที่ปักอยู่บริเวณริมน้ำบริเวณที่เป็นท่าจอดเรือ เอาไว้ผู้เรือนั่นเอง บ้านทั้งหลังสามารถเลื่อนขึ้นเลื่อนลงได้ตามแนวตั้งของเสาสองต้นนี้ และสามารถเลื่อนขึ้นได้สูงถึง 18 ฟุตหรือประมาณ 6 เมตร ซึ่งจะช่วยให้บ้านไม่โคลงเคลงไปมา แต่อย่างไรก็ตามคนที่อาศัยอยู่ในบ้านก็อาจจะยังคงรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนเนื่องจากคลื่นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร ไม่เมาคลื่นแน่นอน ระบบสาธารณูปโภคทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น ท่อประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะใช้ท่อ PVC เป็นวัสดุหลัก ถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่น ไม่ว่าจะเป็นการบิดตัวตามแนวข้อต่อ หรือการยืดขายหรือหดได้ตามแต่ว่าบ้านจะถูกยกตัวขึ้นลงตามระดับความสูงของน้ำ ด้วยเหตุนี้เมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมขึ้น คนในบ้านจึงสามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติโดยไม่ได้รับความเดือนร้อนใดๆ ไม่เฉพาะแต่ตัวบ้านที่ทำตัวเหมือนสัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบกเท่านั้น แต่อีกงานออกแบบอีกชิ้นหนึ่งที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้งานได้เป็นอย่างดีกับบ้านแบบนี้ก็คือตัว “wave damper” หรือตัวดูดซับแรงสั่นสะเทือนจากคลื่น (เรือทั้งหลายก็ใช้กัน) ที่ออกแบบให้สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ และก็ได้มากเพียงพอที่จะนำมาใช้ประโยชน์เสียด้วยหากว่าเชื่อมโยงระบบทั้งหมดให้เป็นเครือข่าย อย่างเช่นทั้งหมู่บ้านเป็นต้น ราวๆเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้านี้ หมู่บ้านหนึ่งในเมือง Maasbommel ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงอัมสเตอร์ดัมราว 160 กิโลเมตร ก็จะปรากฎหมู่บ้านที่ประกอบไปด้วยบ้าน “ลอยน้ำ” และบ้าน “ครึ่งบกครึ่งน้ำ” ทั้งหมด 49 หลัง ให้ชาวโลกได้ยลโฉมกัน (เดลินิวส์ พุธที่ 2 พ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





ศูนย์วิทย์จับมือสสวท. แข่งโอลิมปิกหุ่นยนต์

นางสาวสาลิน วิรบุตร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา สำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา ร่วมกับสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) และบริษัทแกมมาโก (ประเทศไทย) รับเป็นเจ้าภาพจัดการ แข่งขันโอลิมปิกหุ่นยนต์ปี 2548 (World robot Olympiad 2005 : WRO 2005) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-6 พฤศจิกายน 2548 ณ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา (เอกมัย) โดยจะมีเยาวชนจากประเทศต่าง ๆ เข้าร่วมการแข่งขัน 12 ประเทศ รวม 120 ทีม ประมาณ 500 คน โดยแบ่งการแข่งขัน เป็น 3 ระดับ คือ ประถมอายุไม่เกิน 12 ปี ระดับมัธยมต้นอายุไม่เกิน 15 ปี และระดับมัธยมปลายอายุไม่เกิน 18 ปี ส่วนสนามการแข่งขันจะแบ่งเป็น 4 ลักษณะ คือ การแข่งขันความเร็วจับเวลา, การข้ามเครื่องกีดขวาง, การแข่งชักเย่อ และการแข่งขันความคิดสร้างสรรค์ การแข่งขันโอลิมปิกหุ่นยนต์ดังกล่าว สามารถเสริมสร้างทักษะในการทำงานเป็นทีมให้แก่เด็กและเยาวชนได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญเป็นการสร้างประสบการณ์ด้านความคิดสร้างสรรค์ ตลอดจนเสริมความแข็งแกร่ง ทักษะทางด้านเทคนิค นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมแข่งขันยังมีโอกาสที่จะได้เรียนรู้วัฒนธรรมของชาติอื่น ๆ ที่เข้าร่วมแข่งขันอีกด้วย นับว่าเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์เป็นอย่างมาก ทั้งนี้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา โทร. 0-2392-1773, 0-2391-0554, 0-2392-0508 หรือ 0-2392-5952 ต่อ 1131 (เดลินิวส์ พุธที่ 2 พ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





มน.สร้างเครือข่ายพลังงาน

ม.นเรศวรสร้างเครือข่ายพลังงานทดแทนในชุมชน เปิดตัวสวนพลังงานแห่งแรกในเอเชีย รศ.ดร.มณฑล สงวนเสริมศรี อธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร (มน.) เปิดเผยว่ามหาวิทยาลัยจะเปิดตัว สวนพลังงาน (Energy Park) ซึ่งตั้งอยู่ภายในวิทยาลัยพลังงานทดแทน ม.นเรศวร จ.พิษณุโลก ซึ่งเป็นสวนสาธิตประยุกต์ใช้พลังงานทดแทนแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียบนพื้นที่ 50 ไร่ โดยจะมีการสาธิตการใช้งานจริง 2 ส่วนคือ ส่วนแรกพื้นที่สาธิตอุปกรณ์ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เช่น น้ำพุจากเซลล์แสงอาทิตย์ บ้านพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 150 วัตต์ ส่วนที่ 2 คือ พื้นที่ศูนย์วิชาการและแสดงนิทรรศการให้คำปรึกษาและบริการจัดฝึกอบรม ทั้งนี้จะมีการจัดสัมมนาวิชาการด้านพลังงานทดแทน "เครือข่ายพลังงานชุมชน" ในวันที่ 10-12 พฤศจิกายน 2548 ที่อาคารประชุมสัมมนาวิทยาลัยพลังงานทดแทน เพื่อสร้างเครือข่ายพลังงานทดแทนในชุมชนโดยมีผู้แทน ม.ราชภัฏ 41 แห่ง ม.เทคโนโลยีราชมงคล 9 แห่ง และผู้แทนชุมชนเข้าร่วม โดยมี ดร.สุชาติ เมืองแก้ว รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา ให้เกียรติเดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิด ผู้ที่สนใจเข้าร่วมสัมมนาด้านพลังงานทดแทน สอบถามโทร. 0-5526-1000-4 ต่อ 3185 หรือ www.sert.nu.ac.th (คมชัดลึก พุธที่ 2 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





หุ่นยนต์ค้นพีระมิด

ความลึกลับของพีระมิด หรือสุสานฟาโรห์ของกษัตริย์อียิปต์โบราณ ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างใหญ่โตและน่าทึ่งเมื่อ 4,500 ปีมาแล้ว จนได้รับเลือกเป็นหนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยังคงเป็นเรื่องช่วนพิศวงแก่นักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีทุกยุคอย่างไม่รู้จบ ล่าสุด บริเวณแหล่งขุดค้นโบราณคดีของมหาพีระมิดคีออปส์ เมืองกีซ่า กรุงไคโร ดร.ซาฮี ฮาวาส กล่าวว่าจะส่งหุ่นยนต์ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษโดยมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในสิงคโปร์เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ขุดหินเพื่อเปิดช่องทางแคบๆ กว้างเพียง 20 คูณ 20 ตารางเซนติเมตรและสูงชันขึ้นไปในพีระมิดซึ่งถูกค้นพบเมื่อ 133 ปีที่แล้ว ซึ่งอาจนำไปสู่ห้องฝังพระศพของจริงของฟาโรห์คู ฟูที่ยังไม่ถูกเปิดเผย บางทฤษฎีเชื่อว่าทางแคบๆ นี้คือช่องระบายอากาศ แต่นักโบราณคดีบางคนเชื่อว่ามันถูกทำขึ้นมาเพื่อเป็นช่องทางส่งดวงวิญญาณฟาโรห์ไปสู่ชีวิตหลังความตาย มีข้อสันนิษฐานว่าห้องเก็บพระศพของฟาโรห์คูฟูยังคงซ่อนตัวอยู่ในมหาพีระมิด และภายในไม่กี่เดือนนับจากนี้เราจะได้รู้ความจริงว่ามีอะไรซ่อนอยู่ข้างใน (ข่าวสด พุธที่ 2 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





'พระเทพฯ' ทรงห่วงเทคโนฯชีวภาพ หวั่นคนใช้ขาดจริยธรรม

ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการและนิทรรศการเทคโนโลยีชีวภาพหรืองานไบโอไทยแลนด์ 2005 และมีพระราชดำรัสเปิดการประชุม ว่า เทคโนโลยีชีวภาพมีความก้าวหน้ามากในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา สามารถเป็นเครื่องมือต่อสู้กับโรคต่างๆ เช่น พัฒนาวัคซีน และเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร สุขภาพ รวมถึงกำจัดของเสียที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม เรายังมีความท้าทายหลายอย่างที่ต้องเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องจริยธรรมในการที่จะใช้ผลิตภัณฑ์จากเทคโนโลยีชีวภาพ ให้เกิดประโยชน์อย่างมีความพอดี เช่น เรื่องการโคลนนิ่ง การทำให้คนชื่นชอบและผลักดันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนในประเทศต้องช่วยกันผลักดัน ถือเป็นวาระแห่งชาติ เทคโนโลยีชีวภาพเกิดผลกระทบอย่างกว้างขวางเช่น เรื่องเกษตร อาหาร และผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีในด้านการแพทย์ เราสามารถจะเชื่อมโยงเทคโนโลยีชีวภาพกับภูมิปัญญาดั้งเดิม จากประสบการณ์ที่ได้สะสมมาจากอดีตและที่จะได้ในอนาคต ให้เกิดการเรียนรู้เพิ่มขึ้น ด้าน ดร.ประวิช รัตนเพียร รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้ เป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพของประเทศอย่างต่อเนื่อง ในอันที่จะสร้างการกินดีอยู่ดีของประชาชน ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องติดตามและรู้ทันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของโลก และลงทุนในการวิจัยพัฒนาเรื่องเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งขณะนี้ ประเทศไทยได้ริเริ่มและให้การสนับสนุนงานวิจัยที่จะลดผลกระทบ ของสารเคมีที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน โดยได้ให้การสนับสนุนการวิจัยที่จะทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการวินิจฉัยตรวจโรค และการพัฒนายารักษาโรคในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เช่น ความร่วมมือกับประเทศต่างๆ รวมถึงองค์กรทั้งในและนอกประเทศ เพื่อลดการแพร่กระจายของโรคไข้หวัดนก เป็นต้น. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 3 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





มกอช.ได้ ISO17025 ห้องปฏิบัติการมาตรฐานโลก

นายสมชาย ชาญณรงค์กุล รองผู้อำนวยการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตร และอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันหน่วยงานของไทยมีความสามารถ ในการตรวจสอบรับรองสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดแล้ว แต่อาจยังต้องมีการพัฒนาห้องปฏิบัติการให้สมบูรณ์แบบตามหลักสากลมากขึ้น เพื่อยกระดับมาตรฐานสินค้าให้เป็นที่ยอมรับในตลาดต่างประเทศมากขึ้น อีกทั้งรัฐจะต้องส่งเสริมการผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐานตามความต้องการของแต่ละประเทศ ดังนั้น เพื่อให้สามารถขยายตลาดสินค้าเกษตรและอาหารของไทยให้กว้าง ขวางขึ้นในอนาคต มกอช. พร้อมด้วยหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลสินค้าเกษตรและอาหารส่งออกของไทย จึงได้เร่งพัฒนาระบบห้องปฏิบัติการให้เข้าสู่ระบบ ISO 17025 ซึ่งเป็นระบบมาตรฐานสากลที่ทั่วโลกใช้ “ในส่วนของมาตรฐานสินค้าต่างๆของไทยที่มีการร่างขึ้น จะเป็นมาตรฐานกลางที่อิงกับสากล ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่สามารถผลิตได้ตรงตามเกณฑ์ที่วางไว้ ส่วนการตรวจสอบรับรองก่อนการส่งออก ทาง มกอช.ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามว่าแต่ละครั้งต้องใช้ระยะเวลาเท่าไรในการวิเคราะห์ตรวจสอบ” สำหรับการพัฒนาสินค้าให้ได้มาตรฐานสูงนั้น นายสมชายกล่าวว่า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขั้นตอนหรือความสามารถในการตรวจสอบ แต่อยู่ที่ขบวนการผลิตที่จะต้องตรงกับความต้องการของผู้ซื้อ อีกทั้งสินค้าต้องมีมาตรฐานในระดับสูง ซึ่งทางหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบจะเข้าไปให้คำแนะนำขบวนการต่างๆ ที่ถูกต้องตามเกณฑ์ที่วางไว้. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 3 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





โรงพยาบาลฉบับกระเป๋า ผ่าตัดลอกตา-รักษาไฟลวก

หนังสือพิมพ์ “เดอะ ซัน” รายวันชื่อดังของอังกฤษ เสนอข่าวว่า นักวิทยาศาสตร์ของอังกฤษได้คิดประดิษฐ์ห้องผ่าตัดกระเป๋าขึ้นโดยใช้พลังงานแดด สามารถพับเก็บอยู่ในกระเป๋าเดินทางเพียง 2 ใบ เพื่อใช้ในสนามรบและในดินแดนที่เกิดภัยธรรมชาติใหญ่ๆ เตียงผ่าตัดกระเป๋าซึ่งอาจจะยกให้เป็นโรงพยาบาลขนาดจิ๋วได้ มีอุปกรณ์พร้อมเพรียงสำหรับการผ่าตัดทั่วไป ตั้งแต่การลอกต้อตา และแม้กระทั่งการผ่าตัดรักษาคนไข้บาดเจ็บสาหัสจากไฟลวก. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 3 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





หมอมะกันคิดค้นเทคโนโลยีใหม่รักษาฝ้า-ริ้วรอยบนใบหน้า

ดร.ร็อกซ์ แอนเดอร์สัน แพทย์ผิวหนังชาวอเมริกัน และผู้เชี่ยวชาญด้านเลเซอร์ อุทิศตนให้กับการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ เพื่อค้นหาเทคโนโลยีที่เปี่ยมประสิทธิภาพ เขาสร้างสรรค์เทคโนโลยี “แฟร็กชั่นแนล รีเซอร์เฟซซิ่ง” ได้สำเร็จ พร้อมกับคว้ารางวัลจากสมาคมศัลยศาสตร์ เลเซอร์แห่งสหรัฐอเมริกา ในปี 2004 โดยปัจจุบันเป็นเทคโนโลยีรักษาฝ้าเพียงตัวเดียว ที่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (เอฟดีเอ) “ดร.ร็อกซ์” ค้นพบวิธีย่อยลำแสงเลเซอร์ให้เล็กละเอียด ทำให้สามารถยิงลงไปได้ลึกถึงชั้นหนังแท้ เพื่อให้ลำแสงเล็กๆเหล่านี้ลงไปทำลายเม็ดสีส่วนเกิน ตัวการก่อให้เกิดฝ้า กระ และจุดด่างดำ ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีนี้ก็จะช่วยฟื้นฟูผิวหนังในส่วนที่มีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นแผลเป็น, ริ้วรอย, รอยเหี่ยวย่น หรือตีนกา ได้อีกด้วย หลักการทำงานของเทคโนโลยีแฟร็กเซ่ลคือ ลำแสงเลเซอร์จะถูกย่อยจนเหลือขนาดจิ๋ว จนไม่สามารถสัมผัสหรือสร้างความระคายเคืองแก่ผิวรอบๆได้ นอกจากนี้ ยังมีความสามารถในการเสริมสร้างกระบวนการฟื้นฟูผิว “ดร.ร็อกซ์” ย้ำว่า เลเซอร์เจนเนอเรชั่นที่สามนี้ ช่วยลดปัญหาเรื่องความระคายเคือง และทำให้ผิวใหม่เผยออกมาในเวลาอันสั้น หลังการรักษา 2 สัปดาห์ ผิวจะถูกผลัดออกมาเป็นขุยๆเหมือนขี้ไคล และจะเผยให้เห็นผิวใหม่ที่กระจ่างใสกว่าเดิม ส่วนฝ้า กระ จุดด่างดำ และริ้วรอยต่างๆก็จะจางลง รูขุมขนยังกระชับขึ้น และแผลเป็นก็ตื้นขึ้นด้วย แม้เทคโนโลยีนี้จะได้รับความนิยมอย่างมากในอเมริกาและยุโรป แต่สำหรับเมืองไทยเพิ่งจะมีการนำเข้ามาได้ไม่นาน โดย “แพทย์หญิงฐานิสร ธรรมลิขิตกุล” แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังแห่งรมย์รวินทร์ คลีนิค ซึ่งกล่าวว่า การค้นพบเทคโนโลยีแฟร็กเซ่ลถือเป็นความก้าวหน้าอีกระดับของวิทยาการเลเซอร์ และน่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการรักษาฝ้าและปรับผิวใหม่ เพราะตั้งแต่อดีตมายังไม่เคยมีเลเซอร์ตัวไหน ได้รับการยอมรับจากเอฟดีเอของสหรัฐอเมริกาเลย (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 3 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





พบแสงรางๆ จากดาวกลุ่มแรกของจักรวาล

คณะนักดาราศาสตร์ที่ศูนย์การบินอวกาศกอดดาร์ดของสำนักงานบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐ หรือนาซา ในเมืองกรีนเบลท์ รัฐแมรี่แลนด์เผยกับนิตยสารเนเชอร์ฉบับวันพฤหัสบดีนี้ว่า พบแสงราง ๆ จากกลุ่มดาวป๊อปปูเลชั่นทรี เป็นกลุ่มดาวที่คาดว่าก่อตัวขึ้นจากฝุ่นและแก๊สหลังจักรวาลก่อกำเนิดได้เพียง 100 ล้านปี พวกเขาใช้กล้องอินฟราเรดขนาดเล็กที่ติดตั้งบนสปิทเซอร์ กล้องโทรทรรศน์ที่โคจรอยู่ในห้วงอวกาศแยกแยะความแตกต่างระหว่างพลังงานที่เปล่งออกมาจากกลุ่มดาวป๊อปปูเลชั่นทรีกับพลังงานที่เปล่งออกมาจากดวงดาวและจักรวาลอื่น ๆ นิตยสารเนเชอร์ฉบับเดียวกันเผยด้วยว่า คณะนักดาราศาสตร์จีนสามารถวัดขนาดของหลุมดำใหญ่มหึมาที่อยู่ตรงกลางของจักรวาลทางช้างเผือก พวกเขาใช้กล้องวิทยุโทรทรรศน์กำลังสูง 10 ตัว ตรวจจับคลื่นวิทยุที่ปล่อยออกมาจากใจกลางของหลุมดำ คำนวณได้ว่าหลุมดำมีความกว้างเท่ารัศมีวงโคจรของโลก เทียบแล้วเท่ากับขนาดของลูกเทนนิสบนดวงจันทร์เมื่อเรามองจากโลก คลื่นวิทยุประหลาดที่ตรวจจับได้เมื่อปี 2517 ช่วยให้วงการดาราศาสตร์พบหลักฐานเป็นครั้งแรกว่า ใจกลางทางช้างเผือกซึ่งเป็นจักรวาลของเรามีหลุมดำขนาดใหญ่เหมือนกาแล็กซีอื่น ๆ หลุมดำนี้มีแรงดึงดูดมหาศาลที่สามารถดูดกลืนมวลและรังสีทุกอย่างที่อยู่ใกล้เคียง ผลการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ชี้ว่า หลุมดำน่าจะมีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ราว 4 ล้านเท่า (ประชาชาติธุรกิต 31 ตุลาคม 2548 http://www.bangkokbiznews.com)





รีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ ลดมลพิษสิ่งแวดล้อม

นายสมไทย วงษ์เจริญ เจ้าของธุรกิจคัดแยกขยะเพื่อรีไซเคิลวงษ์พาณิชย์พิษณุโลก นำขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่กำลังกลายเป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ ปีละไม่ต่ำกว่า 25-30 ล้านเครื่อง ขณะที่อายุเครื่องคอมพิวเตอร์สั้นลงเหลือเพียงปีเศษ ทาง "วงษ์พาณิชย์" จึงตั้งศูนย์ศึกษาขยะอิเล็กทรอนิกส์เพื่อรีไซเคิลขึ้นเป็นแห่งแรกของประเทศไทย จากการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เวลานี้สามารถรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้สำเร็จ ได้แร่ทองคำ ทองคำขาว เงิน ทองแดง จากกระบวนการรีไซเคิล "ขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นส่วนประกอบของตู้เย็น พัดลม นาฬิกา เครื่องถ่ายเอกสาร โทรศัพท์มือถือ และโทรศัพท์สำนักงานเครื่องคิดเลข เครื่องพิมพ์ คอมพิวเตอร์ จอมอร์นิเตอร์ ซีพียู นับวันจะเป็นปัญหามาก เพราะทำลายยาก ไม่สามารถกำจัดได้ด้วยวิธีทั่วไป และยังเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อผ่านขบวนการคัดแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์เพื่อรีไซเคิลและซ่อมแซมใช้ซ้ำ(Electronics Waste Separation For Recycle and Repair For Reuse) อย่างถูกวิธี นับว่าวงษ์พาณิชย์เป็นแห่งแรกของประเทศไทยหรือแห่งแรกของโลก ที่เปิดศูนย์คัดแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์" สำหรับขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นอันตรายมากที่สุด เวลานี้ยังไม่มีวิธีการทำลายได้ คือ จอมอนิเตอร์ เพราะมีสารปรอท โลหะหนักปะปนอยู่ หากกำจัดไม่ถูกวิธีจะเป็นอันตรายอย่างมาก สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าลาดกระบัง กำลังวิจัยและค้นคว้าหาวิธีกำจัดอยู่ หากสำเร็จจอมอนิเตอร์สามารถนำมาผลิตเป็นสินค้า OTOP ประเภทตู้ปลา หรือจอทีวีได้ ส่วนขยะบางชนิดมีส่วนประกอบของสารโคบอลท์ สารตะกั่ว ที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ถ้าไม่มีความรู้ เมื่อสูดดมเป็นเวลานานจะเป็นสารก่อมะเร็งเช่นกัน ขยะอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อผ่านขบวนการคัดแยกเพื่อรีไซเคิลและซ่อมแซมใช้ซ้ำอย่างถูกวิธี จะเกิดประโยชน์ ช่วยประหยัดทรัพยากรธรรมชาติ และลดปัญหาจากปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่นับวันจะส่งผลเสียต่อสภาพแวดล้อม (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 3 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





กล้องดูดาวไทยภาพคมชัด โชว์จุดเด่นหมุนเปลี่ยนทิศเกาะติดวงโคจร

นายณัฐพล จันทรวรชาติ นักศึกษาภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และ ทีมงานได้ออกแบบกล้องโทรทรรศน์ระบบฐานอังกฤษ โดยมีลักษณะเป็นกล้องดูดาวเสมือนจริง ชนิดสะท้อนแสงแบบชมิดท์-คาสเกรน ใช้หลักการสะท้อนแสงกลับไปมา ช่วยให้ภาพที่ได้เสมือนจริงและคมชัดยิ่งขึ้น กล้องดูดาวตัวที่ 2 นี้ มีชื่อว่าโรตาร์ 2 ภายใต้การสนับสนุนจากสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งอุปกรณ์หลักๆ ยังคงต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศ โดยเฉพาะตัวเลนส์กล้อง ซึ่งเป็นเลนส์เว้าเส้นผ่าศูนย์กลาง 20 นิ้ว หนา 4 นิ้ว ไม่สามารถสร้างเองได้ และมีมูลค่าสูงถึง 1 ล้านบาท ทำให้งบประมาณในการสร้างกล้องโทรทรรศน์ตัวนี้มีต้นทุนรวม 1.5 ล้านบาท แต่ถือว่าถูกมากเมื่อเทียบราคากล้องโทรทรรศน์ ที่ต้องสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ ซึ่งมีราคาขาย 6 ล้านบาท ทั้งนี้ กล้องโทรทัศน์โรตาร์ 2 สามารถตั้งโปรแกรมติดตามดวงดาว ควบคุมผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ให้กล้องสามารถเคลื่อนที่ได้ตามการเคลื่อนที่ของดาวที่ส่องดูได้ทันที อีกทั้งยังสามารถบันทึกภาพดวงดาว ได้เหมือนกับกล้องโรตาร์ 1 แต่จะต่างกันเพียงหลักการทำงานของตัวกล้องเท่านั้น โดยโรตาร์ 1 จะใช้ระบบการหักเหแสงแบบนิวโตรเนียนในระบบเยอรมนี ส่วนโรตาร์ 2 จะทำงานสะท้อนแสงแบบชมิดท์-คาสเกรนในระบบอังกฤษ สำหรับลักษณะภายนอกไม่แตกต่างกัน โดยลำกล้องเป็นทรงกระบอกบรรจุเลนส์ 2 อัน ขนาดใหญ่ 20 นิ้ว และขนาดเล็ก 6 นิ้ว ช่วยในการหักเหแสง ส่วนฐานได้ออกแบบเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว เพิ่มประสิทธิภาพในการหักเหแสงได้มากขึ้น (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 4 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





เปิดบ้านปรมาณูโชว์เตาปฏิกรณ์ 43 ปี

นายเชาวน์ รอดทองคำ รองเลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ จะจัดงานเปิดบ้านปรมาณู 2548 ระหว่างวันที่ 9-10 พฤศจิกายนนี้ ณ สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ถนนวิภาวดีรังสิต เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์นโยบาย แนวคิดการดำเนินงาน ผลงานที่ผ่านมา การให้ความรู้ด้านพลังงานนิวเคลียร์ การใช้ประโยชน์จากรังสีทั้งในทางการแพทย์ และการผลิตกระดาษ อีกทั้ง ยังเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสครบ 43 ปี ในการเดินเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูวิจัยของประเทศไทย ซึ่งแสดงถึงประสิทธิภาพและฝีมือของคนไทยในการควบคุมเครื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เคยเกิดปัญหาสารกัมมันตภาพรังสีรั่วไหล ซึ่งเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูของไทย ใช้ผลิตสารโคบอลต์ทางการแพทย์และแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร ทำให้ง่ายต่อการควบคุม นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมมากมาย อาทิ การแข่งขันตอบปัญหาทางนิวเคลียร์ ประกวดเรียงความเรื่อง "เศรษฐกิจไทยก้าวไกล ปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีนิวเคลียร์" นิทรรศการความก้าวหน้าด้านนิวเคลียร์ ตลอดจนวิธีการทำงาน โดยจะเปิดบ้านให้เยี่ยมชมกิจการภายในสำนักงานได้ทั้งหมด ตั้งแต่การเข้าไปเยี่ยมชมเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูข้างต้น และเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการสำหรับรังสีระดับต่ำ เป็นต้น ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานไม่ต่ำกว่า 2,000 คน นายเชาวน์กล่าวถึงแนวโน้มการสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ว่า ประเทศไทยยังไม่มีนโยบายดังกล่าว แต่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐ มีโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์รวมประมาณ 100 แห่ง โดยเฉพาะฝรั่งเศสที่พลังงานไฟฟ้า 80% ของประเทศมาจากโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ ซึ่งมีอยู่ 70 แห่ง แถมยังผลิตกระแสไฟฟ้าส่งขายประเทศต่างๆ เช่น เยอรมนี เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ อิตาลีและสเปน ส่วนประเทศกำลังพัฒนาบางแห่ง อาทิ ญี่ปุ่นมี 60 แห่ง อินเดีย 15 แห่ง จีน 10 กว่าแห่ง หรือแม้แต่ประเทศเวียดนามก็มีนโยบายชัดเจนที่จะสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนศึกษารายละเอียด รวมถึงมาเลเซีย อินโดนีเซีย ก็มีนโยบายที่ชัดเจนเช่นกัน ยกเว้นประเทศไทยที่ยังไม่มีนโยบายตรงนี้ (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 4 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





กล้องฮับเบิลจับภาพดวงจันทร์ใหม่พลูโต

กล้องโทรทรรศน์อวกาศ "ฮับเบิล" จับภาพดวงดาวขนาดเล็ก ซึ่งคาดว่าเป็นดวงจันทร์บริวารใหม่ 2 ดวงของ "ดาวพลูโต" ความสำคัญของการค้นพบครั้งนี้จะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ศึกษาวิวัฒนาการใน "แถบไคเปอร์" ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แม็กซ์ มัตเชลอร์ นักดาราศาสตร์สังกัดสถาบันวิทยาการกล้องโทรทรรศน์อวกาศในบัลติมอร์ สหรัฐ เปิดเผยว่า เบื้องต้นตั้งชื่อดวงจันทร์ใหม่ทั้ง 2 ดวงว่า "S/220 P1" กับ "S/2005 P2" มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 45-160 กิโลเมตร โคจรทวนเข็มนาฬิกาอยู่ห่างจากพลูโต 49,000 ขึ้นไป ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2521 นักดาราศาสตร์ค้นพบดวงจันทร์ของพลูโตเพียงดวงเดียวคือดวงจันทร์ชารอน ทั้งนี้ แถบไคเปอร์ คือ บริเวณหนึ่งในระบบสุริยะ อยู่ในช่วงประมาณวงโคจรของดาวเนปจูนกับดาวพลูโต เป็นบริเวณที่เชื่อว่าเป็นแหล่งกำเนิดของดาวหางคาบสั้นหลายดวง (ข่าวสด ศุกร์ที่ 4 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ไทยเจ้าภาพแข่ง"โอลิมปิกหุ่นยนต์2548"

ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา สำนักงานบริหารการศึกษานอกโรงเรียนกระทรวงศึกษาธิการ เป็นเจ้าภาพจัด "การแข่งขันบังคับหุ่นยนต์ระดับนานาชาติ 2548" (World Robot Olympiad 2005) ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ภายใต้หัวข้อ "หุ่นยนต์ในการกีฬา และหุ่นยนต์ในวิทยาศาสตร์" มีประเทศเข้าร่วมการแข่งขันทั้งสิ้น 12 ประเทศ รวม 120 กว่าทีม การแข่งขันจะแบ่งเป็น 3 ระดับคือ ระดับประถมอายุไม่เกิน 12 ปี ระดับมัธยมต้นอายุไม่เกิน 15 ปี และระดับมัธยมปลายอายุไม่เกิน 18 ปี รูปการแข่งขันจะแบ่งเป็น 4 ลักษณะ คือ 1. การแข่งขันความเร็วจับเวลา 2. การข้ามเครื่องกีดขวาง 3.การแข่งชักเย่อ และสุดท้ายคือ 4. ความคิดสร้างสรรค์ โดยการแข่งขันโอลิมปิกหุ่นยนต์เป็นกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ในการเตรียมความพร้อมสู่ศตวรรษแห่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเปิดโอกาสให้นักเรียนในระดับเยาวชนที่มีความรู้ความสามารถทางด้านการพัฒนาหุ่นยนต์ สำหรับผู้สนใจเข้าชมการแข่งขันได้ระหว่างวันที่ 5-6 พ.ย.นี้ ณ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา (ข่าวสด ศุกร์ที่ 4 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ไอซีทีหนุนนโยบายรัฐบาลเดินหน้า1วัด1ศูนย์เรียนรู้

นายสรอรรถ กลิ่นประทุม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที เปิดเผยว่า จากการที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีความต้องการให้จัดโครงการ 1 วัด 1 ศูนย์กลางเรียนรู้ ( One Temple One e learning Center : OTEC) นั้น กระทรวงไอซีทีได้กำหนดไว้ 99 วัด วัดละ 20 เครื่องตามมติครม.กำหนด โดยในปีนี้จะนำร่องก่อน 9 วัด เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ใกล้บริเวณได้เรียนรู้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ทั้งนี้ได้ร่วมหารือกับนาย ศิโรฒน์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมสรรพกร เพื่อขอลดหย่อนภาษีให้กับบริษัทเอกชนที่บริจาคคอมพิวเตอร์เข้าร่วมโครงการดังกล่าว ซึ่งจะช่วยจูงใจให้บริษัทเอกชนบริจาคคอมพิวเตอร์ให้กับวัดเพิ่มมากขึ้น เพื่อสนับสนุนให้การจัดตั้งศูนย์ OTEC เป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลได้กำหนดไว้ อย่างไรก็ตามได้มอบหมายให้บมจ.ทีโอที และบมจ.กสท โทรคมนาคม เป็นผู้ให้บริการด้านเครือข่ายและอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ขณะเดียวกันมอบหมายให้ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด รับผิดชอบด้านการขนส่งและจัดส่งเครื่องคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังมอบหมายให้นางมณีรัตน์ ผลิพัฒน์ รองปลัดกระทรวงไอซีที ประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับการดำเนินงานในโครงการอินเตอร์เน็ตตำบล และสำรวจพร้อมกับเก็บข้อมูล การใช้งานคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตตำบลในช่วงที่ผ่านมาด้วย เพื่อให้การใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ (สยามรัฐรายวัน เสาร์ที่ 5 พ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





จุฬาวิชาการจัด 23-27 พ.ย.นี้

จุฬาฯ จัดงานจุฬาวิชาการ'48 ระหว่างวันที่ 23-27 พฤศจิกายน ที่ศาลาพระเกี้ยว ครอบคลุม 131 สาขา ศ.คุณหญิงสุชาดา กีระนันท์ อธิการบดีจุฬาฯ แถลงข่าวโครงการจุฬาวิชาการ'48 ครั้งที่ 12 ว่า งานนี้จัดขึ้นเพื่อแสดงผลงานทางวิชาการองค์ความรู้ ผลงานวิจัย นวัตกรรมและวิทยา การความก้าวหน้าทางวิชาการทางแขนงต่างๆ สู่สาธารณชน ภายใต้แนวคิดหลักคือ "จุฬาฯ วิชาการ สานความรู้ สู่แผ่นดิน" ภายในงานมีโครงงานที่น่าสนใจมากมาย เช่น "หุ่นยนต์แข่ง ฟุตบอล (Robocup)" ผลงานสิ่งประดิษฐ์ของนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งคว้ารางวัล ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลหุ่นยนต์ชิงแชมป์ประเทศไทยถึง 3 ปีซ้อน "จักรยานอัจฉริยะพูดได้" นวัตกรรมล่าสุดจากสำนักวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาฯ โดยมีเสียงเตือนแนะนำการออกกำลังกายอย่างถูกต้อง สนใจร่วมงานวันที่ 23-27 พฤศจิกายน 2548 ที่ศาลาพระเกี้ยว จุฬาฯ สอบถามได้ที่ 0-2218-3364-5 หรือ www.chulavichakarn.com (คมชัดลึก เสาร์ที่ 5 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ข่าววิจัย/พัฒนา


นักวิจัยบูชิโดให้สู้โรคหวัดด้วยน้ำ-กลั้วคอประจำทุกวัน

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยเกียวโต ได้พบในการศึกษาวิจัยกับอาสาสมัครที่มีร่างกายแข็งแรงดี 387 คน เมื่อระหว่างฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงฤดูที่คนมักจะเป็นหวัดกันมาก นานเป็นเวลา 2 เดือน โดยแบ่งคนออกเป็น 3 พวก พวกหนึ่งให้กลั้วคอด้วยน้ำเปล่า วันละ 3 หน ส่วนพวกที่สองกลั้วคอด้วยน้ำยาบ้วนปากที่ผสมไอโอดีน วันละ 3 หนเช่นกัน ส่วนพวกที่เหลือไม่ต้องทำอะไร หมอคาซูนาริ ซาโตมูรา หัวหน้าคณะนักวิจัยกล่าวเปิดเผยผลการวิจัยว่ามันได้ผลส่อว่าการกลั้วคอด้วยน้ำเปล่า ก็สามารถป้องกันระบบทางเดินหายใจตอนบน ของผู้ที่แข็งแรงสมบูรณ์ไม่ให้เป็นอะไร เพราะการติดเชื้อได้ ด้าน นายแพทย์อารอน แกลตต์ โฆษกของสมาคมโรคติดเชื้อแห่งอเมริกา และหัวหน้าแผนกโรคติดเชื้อ ของวิทยาลัยแพทย์แห่งหนึ่งของนิวยอร์กได้บอกเป็นเชิงตำหนิว่า “การศึกษาของนักวิจัยญี่ปุ่นหนนี้ยังห่างไกลที่จะทำให้เชื่อได้ว่า การกลั้วคอด้วยน้ำจะเป็นอาวุธสกัดกั้นการแพร่กระจายของ โรคหวัดสามัญอยู่อีกมาก (ไทยรัฐ อังคารที่ 1 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





มันเส้นแปรรูปพลังงานเสริมเข้าสู่ระบบSSFผลิตแก๊สโซฮอล์

รองศาสตราจารย์ ดร.กล้าณรงค์ ศรีรอด รองผู้อำนวยการ สถาบันค้นคว้าและ พัฒนาผลิตผล ทางการเกษตรและ อุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้รับทุนสนับสนุนจาก สำนักงาน คณะกรรมการวิจัยแห่ง ชาติ (วช.) ได้ทำการศึกษา “สถานภาพของวัตถุดิบ ที่นำมาใช้ในอุตสาหกรรม การผลิตแก๊สโซฮอล์” ตั้งแต่ปี พ.ศ.2544 ซึ่งในการวิจัยและทดลองได้เอทานอล สามารถผลิตได้จากพืชจำพวกแป้งและน้ำตาล ได้แก่ อ้อย, กากน้ำตาล และมันสำปะหลังมาผสมกับน้ำมัน เบนซินเพื่อมาใช้กับเครื่องยนต์ จากการวิจัยและพัฒนาพบว่า วัตถุดิบที่เหมาะสมที่สุดคือ มันเส้น และเมื่อทดลองนำมันเส้นมาเข้า กระบวนการแยกแป้งและประยุกต์ใช้ เทคโนโลยี Simultaneous Saccharification and Fermentation (SSF) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการผลิตเอทานอล จากข้าวโพดในต่างประเทศ แต่ได้นำมาปรับให้สามารถ ใช้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง ได้และเป็นการลด กระบวนการผลิตเอทานอลโดยรวม ขั้นตอนการย่อยแป้งครั้งสุดท้าย กับขั้นตอนการหมักมารวมกัน ซึ่งช่วยลดระยะเวลาในการกลั่น เอทานอลให้ลดลงถึง 50% โดยเริ่มจากการโม่มันสำปะหลังผสมกับน้ำ มีการย่อยแป้งครั้งแรกด้วย เอนไซม์ แอลฟาอะมิเลส และย่อยครั้งสุดท้ายซึ่งเป็นการ เปลี่ยนน้ำตาลด้วย เอนไซม์กลูโคอะมิเสล ย่อยเด็กซ์ทริน ให้ได้น้ำตาลยีสต์ กระบวนการผลิตเอทานอลจากมันเส้นแบบ SSF นี้ ยังสามารถนำมาประยุกต์ ใช้กับวัตถุดิบ ชนิดอื่นที่มีแป้งเป็น องค์ประกอบ ผุ้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ หน่วยปฏิบัติการเทคโนโลยีแปรรูปมันสำปะหลังและแป้ง สถาบันค้นคว้าและ พัฒนาผลิตผลทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โทรศัพท์ 0-2940-5634 (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 31 ต.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





รู้จัก....ปลาม้าลายเรืองแสง

ปลาม้าลายเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์นิยมใช้เป็นต้นแบบในการศึกษาพัฒนาการของตัวอ่อนสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังและลักษณะต่าง ๆ ทางพันธุศาสตร์ สำหรับปลาม้าลายเรืองแสงนั้นสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกโดยทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ นำโดยดร.ซีหยวน กง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อใช้ปลาดังกล่าวเป็นตัวชี้วัดปริมาณสารพิษหรือสภาพความเป็นพิษของแหล่งน้ำ ปัจจุบันต้องพัฒนาให้ปลาม้าลายเรืองแสงได้ตลอดเวลาก่อน จึงกลายเป็นปลาที่มีสีสันสวยงาม ทั้งนี้เป้าหมายการพัฒนาขั้นสุดท้ายก็คือการทำให้ปลาม้าลายเรืองแสงได้เฉพาะเมื่อน้ำเป็นพิษเท่านั้น ส่วนวิธีที่ทำให้ปลาม้าลายธรรมดาที่ตัวใสไม่มีสี เรืองแสงขึ้นมาได้นั้น เกิดจากการใช้เทคนิคพันธุวิศวกรรม โดยการนำยีนหรือสายดีเอ็นเอส่วนหนึ่งที่ได้จากแมงกะพรุนหรือดอกไม้ทะเลชนิดพิเศษ ซึ่งควบคุมการสร้างโปรตีนเรืองแสงได้เองตามธรรมชาติ ไปใส่ไว้ในสายของดีเอ็นเอที่มีหน้าที่ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมของปลาม้าลาย ทำให้ปลาม้าลายเรืองแสงได้เป็นสีต่าง ๆ เช่น สีแดงตามสีของดอกไม้ทะเล และสีเขียวตามสีของแมงกะพรุน นอกจากนักวิจัยสิงคโปร์แล้ว ปัจจุบัน นักวิจัยจากไต้หวันก็ประสบความสำเร็จในการสร้างปลาเรืองแสงสีเขียว และไต้หวันเป็นประเทศแรกที่อนุญาตให้จำหน่ายปลาม้าลายเรืองแสงได้ตั้งแต่ปี 2546 และมีการหนุนให้ใช้ปลาม้าลายเรืองแสงในการพัฒนายาต้านมะเร็งแทนหนูทดลองอีกด้วย ด้านสหรัฐอเมริกามีการจำหน่ายปลาม้าลายเรืองแสงสีแดงตั้งแต่ต้นปี 2547 โดยผ่านการตรวจสอบประเมินความเสี่ยงอย่างเข้มงวดมาก่อนหน้านี้กว่า 2 ปี ซึ่งองค์การอาหารและยาสหรัฐระบุว่า ไม่มีหลักฐานว่าปลาม้าลายดังกล่าวมีอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าปลาม้าลายทั่วไปแต่อย่างใด อย่างไรก็ดีการนำปลาม้าลายเรืองแสงเข้ามาแสดงในไทยครั้งนี้ได้รับการตรวจสอบและอนุญาตจากกรมประมงเรียบร้อยแล้ว โดยปลาทุกตัวที่นำเข้ามา จะต้องกลับคืนไปยังสิงคโปร์แม้ว่าจะเป็นเพียงซากก็ตาม. (เดลินิวส์ อังคารที่ 1 พ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





เครื่องยนต์-แก๊สซีไฟเออร์ จากถ่านไม้ เวอร์ชั่นเล็กะทัดรัด ประสิทธิภาพจิ๋วแต่แจ๋ว

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ศุภวิทย์ ลวณะสกล ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรม ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จ.ปทุมธานี กล่าวว่า เครื่องยนต์-แก๊สซิไฟเออร์ที่ใช้ถ่านไม้ ทำสำเร็จมาได้ระยะหนึ่งแล้ว และได้พัฒนาต่ออีกโดยได้แก้ไขข้อจำกัดของเครื่องที่ขนาดใหญ่เกินไป ไม่เหมาะต่อการนำไปใช้ในครอบครัวของเกษตรกร เพราะการเคลื่อนย้ายลำบาก แต่เครื่องที่เพิ่งสำเร็จนี้ เป็นเครื่องที่ได้พัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงแต่มีขนาดเล็ก สะดวกต่อการนำไปใช้ เพราะสามารถเคลื่อนย้ายได้ ถ่านไม้เป็นพลังงานชีวมวลอย่างหนึ่ง เมื่อนำไปเผาในเตาแก๊สซิไฟเออร์ จะได้แก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์, ไฮโดรเจนและมีเทน ซึ่งจัดเป็นแก๊สเชื้อเพลิงสามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนน้ำมันในเครื่องยนต์สันดาปภายใน เช่น เครื่องยนต์แก๊สโซ-ลีน และเครื่องยนต์ดีเซลได้ ทำให้เครื่องยนต์-แก๊สซิไฟเออร์นี้สามารถใช้เป็นเครื่องต้นกำลังทางกลเพื่อผลิต กระแสไฟฟ้าใช้ขับเครื่องจักรต่าง ๆ ทางการเกษตร เช่น เครื่องสูบน้ำ เป็นต้น สำหรับการทำงานของเครื่องยนต์-แก๊สซิไฟเออร์ เมื่อเติมถ่านไม้ในเตาแล้วจุดไฟให้ถ่านไม้เริ่มติดไฟ ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที จะได้แก๊สเชื้อเพลิง (แก๊สชีวมวล) ออกมา แล้วไหลเข้าสู่ไซโคลน คูลเลอร์และฟิลเตอร์ซึ่งจะเป็นตัวทำให้แก๊สเชื้อเพลิงมีความสะอาดและอุณหภูมิที่เหมาะสม จากนั้นสตาร์ตเครื่องยนต์ด้วยน้ำมันเบนซิน ก่อน เมื่อเครื่องยนต์ทำงานแล้วก็เปลี่ยนมาใช้แก๊สชีวมวลได้ทันที ส่วนประสิทธิภาพในการใช้งาน เครื่องยนต์สามารถตอบสนองต่อการทำงานได้ดี สามารถให้กำลังไฟฟ้าและนำไปใช้กับหลอดไฟแสงสว่าง ขับปั๊มน้ำขนาดเล็กประมาณ 1 แรงม้าได้ เมื่อทดลองกับเครื่องยนต์เล็กขนาด 150 ซีซี ขนาด 5.5 แรงม้า สามารถขับเยนเนอเรเตอร์ขนาด 2 กิโลวัตต์ ขับปั๊มสูบน้ำขนาด 0.5 แรงม้าที่อัตราการไหล 90 ลิตรต่อนาที หากนำมาเปรียบเทียบอัตราความสิ้นเปลืองระหว่างถ่านไม้กับน้ำมันเบนซิน 91 ที่ภาระ 1 กิโลวัตต์ จะเห็นว่า เราใช้ถ่านไม้สิ้นเปลือง 2.5 กิโลกรัมต่อชั่วโมง ในขณะที่ใช้น้ำมัน สิ้นเปลือง 1 ลิตรต่อชั่วโมง นั่นย่อมแสดงว่าในการให้พลังงาน 1 ชั่วโมง ถ้าใช้พลังงานจากน้ำมันเบน ซิน 91 จะเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 26 บาท ในขณะที่ถ้าใช้พลังงานจากถ่านไม้ จะเสียแค่ 10-12.5 บาทเท่านั้น (ราคาน้ำมันเบนซิน 91 ลิตรละ 26.54 และ ถ่านกิโลกรัมละ 4-5 บาท) จุดมุ่งหมายแท้จริงของเจ้าของผลงานคือ การเป็นระบบเครื่องยนต์ทางเลือกที่สามารถเข้าถึงเกษตรกรที่อยู่ห่างไกล ตามชนบท ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง ให้พวกเขาสามารถใช้ทรัพยากรที่พอจะหาได้ไม่ยาก มาใช้เป็นพลังงานทดแทนน้ำมันซึ่งนับวันราคาจะแพงขึ้นจนเกษตรกรจะแบกรับไม่ไหวแล้วและผู้ใดสนใจ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลรายละเอียดได้ที่ อาจารย์ ศุภวิทย์ ลวณะสกล หมายเลขโทรศัพท์ 0-4702-6190 (เดลินิวส์ อังคารที่ 1 พ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





หุ่นยนต์ผ่าตัดผู้ป่วยบนอวกาศ ใช้คอมควบคุมจากพื้นโลก

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเนบรากา ออกแบบหุ่นยนต์ขนาดเล็ก ส่งไปช่วยงานผ่าตัดผู้ป่วยในสถานีอวกาศ โดยมีหมอควบคุมทางไกลอยู่บนโลก ไม่ต้องรอส่งตัวกลับจากอวกาศ ประยุกต์ใช้ผ่าตัดทหารแนวหน้าทางไกลโดยให้หมอประจำอยู่แนวหลัง หุ่นยนต์ขนาดเล็กสูงเพียง 3 นิ้ว ยาวขนาดแท่งลิปสติก และมีล้อสำหรับเคลื่อนที่ ได้รับการออกแบบมาสำหรับส่งเข้าไปทำการผ่าตัดเล็ก โดยมีศัลยแพทย์คอยควบคุมการทำงานผ่านคอมพิวเตอร์ หุ่นยนต์บางตัวได้ติดตั้งกล้องและหลอดไฟขนาดเล็กสำหรับส่งภาพกลับมาให้ศัลยแพทย์ดู บางตัวมีเครื่องมือสำหรับผ่าตัดที่สามารถควบคุมการทำงานผ่านระบบทางไกลเช่นกัน องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งสหรัฐ หรือนาซา จะทำการฝึกอบรมนักบินอวกาศให้รู้จักใช้หุ่นยนต์เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผ่าตัดฉุกเฉินในอวกาศ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้สักวัน และเนื่องจากสถานีอวกาศอยู่ห่างไกลจากพื้นโลกมาก ทำให้การสื่อสารมีเวลาที่ทิ้งช่วงระยะหนึ่ง เท่ากับว่าศัลยแพทย์บนพื้นโลกมีสำหรับคอยบอกให้นักดาราศาสตร์ทราบว่าต้องสั่งงานให้หุ่นยนต์ทำอะไรบ้าง ขณะเดียวกัน หมอบนพื้นโลกก็สามารถสั่งให้หุ่นยนต์โดยตรงได้เช่นกัน หุ่นยนต์ดังกล่าวยังสามารถปฏิบัติงานผ่าตัดทหารที่ได้รับบาดเจ็บในสนามรบ โดยศัลยแพทย์ที่อยู่คนละพื้นที่ควบคุมการทำงานทางไกล นักวิจัยเตรียมเสนอให้หน่วยงานของรัฐผ่านการรับรองวิธีการผ่าตัดทางไกลด้วยหุ่นยนต์ในต้นปีหน้า หลังจากได้ทดลองทำการผ่าตัดกับหนูประสบความสำเร็จด้วยดี และจะมีการทดสอบผ่าตัดกับคนในอังกฤษปีหน้า หุ่นยนต์ที่ติดตั้งกล้องจะส่งภาพบริเวณพื้นที่ผ่าตัดมายังแพทย์ ส่วนอีกตัวมีเครื่องมือผ่าตัดที่สามารถเคลื่อนตัวเข้าไปในร่างกาย ซึ่งบางครั้งมือของแพทย์ไม่สามารถสอดเข้าไปได้ และในการผ่าตัดแต่ละครั้งสามารถส่งหุ่นยนต์เข้าไปได้มากกว่าหนึ่งตัว จึงสามารถลดจำนวนและขนาดของแผลที่ต้องผ่าตัดลงได้ ผู้ป่วยจะใช้เวลาฟื้นตัวน้อยลง (คมชัดลึก อังคารที่ 1 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ลำโพงช่วยคนหูหนวกสนุกกับดนตรี

เชน เคอร์วิน จากมหาวิทยาลัยบรูเนล ออกแบบแผ่นสัมผัสเพื่อให้ผู้พิการทางเสียงวางนิ้วมือทั้ง 5 ลงบนแผ่นเพื่อรับรู้แรงสั่นของชิ้นเครื่องดนตรี จังหวะเพลง และตัวโน้ตได้ อุปกรณ์ดังกล่าวต่อเข้ากับลำโพง แผ่น "ไวเบรโต" ที่ว่านี้เป็นอุปกรณ์พิเศษที่ผู้พัฒนาหวังว่าจะช่วยให้เด็กที่พิการทางการได้ยินสามารถเรียนรู้บนเพลงคลาสสิกได้ นอกจากนี้ หากต่ออุปกรณ์เข้ากับคอมพิวเตอร์ จะช่วยให้คนหูหนวกแต่งเพลงได้ด้วย ไวเบรโต สามารถช่วยให้เด็กพิการทางโสตเข้าร่วมกิจกรรมในห้องเรียนดนตรีได้ หากเป็นเมื่อก่อนพวกเขาจะไม่มีส่วนร่วมได้เลย และหวังว่าอุปกรณ์ตัวนี้จะช่วยดึงนักเรียนที่พิการทางการรับฟังเสียงเข้าเรียนดนตรีร่วมกับเด็กปกติได้ พอล ไวท์เทเกอร์ ผู้อำนวยการศิลปินเพลงจากมูลนิธิดนตรีและคนพิการทางการได้ยินแห่งอังกฤษ กล่าวว่า คนหูหนวกสามารถสนุกกับเสียงเพลงได้ เพียงแต่เทคโนโลยียังก้าวไปไม่ถึงเท่านั้น (คมชัดลึก อังคารที่ 1 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





เตือนชายติดสุราเสี่ยงน้ำเชื้ออ่อน-มีบุตรยาก

นักวิจัยอินเดียได้ทำการศึกษากับผู้ชายที่เข้ามารับการบำบัดโรคติดสุรา พบว่าคนเหล่านี้มีระดับฮอร์โมนเพศชายต่ำลง และเชื้ออสุจิมีความไม่สมบูรณ์มากกว่าคนที่ไม่ดื่มสุรา นอกจากนี้ยังพบอาการนกเขาไม่ขันในอัตราที่สูงถึงร้อยละ 71 เทียบกับคนที่ไม่ดื่มสุราเป็นโรคนี้ร้อยละ 7 ก่อนหน้านี้มีงานศึกษามาบ้างแล้วที่แสดงให้เห็นว่า คนที่ดื่มสุราจัดมีผลต่อสมรรถนะในการให้กำเนิดบุตร เมื่อไม่นานมานี้ก็มีงานศึกษาที่พบว่า หากสามีดื่มเหล้าวันละ 10 แก้ว หรือมากกว่านั้นต่อสัปดาห์ มีโอกาสที่ภรรยาจะแท้งบุตรสูงขึ้น และยังเป็นที่รู้กันดีว่า ผู้ชายที่ติดสุราส่งผลให้ฮอร์โมนเพศชายต่ำลง ลูกอัณฑะเล็กลง และหน้าอกขยายใหญ่ขึ้น สำหรับการศึกษารอบใหม่นี้พบข้อมูลเพิ่มเติมว่า คนที่ดื่มหนัก หรือในกลุ่มที่เป็นโรคติดเหล้า อาจเป็นอันตรายต่อสมรรถนะทางเพศ และเสี่ยงต่อการเป็นหมันด้วย แต่คนที่ดื่มพอหอมปากหอมคอแทบจะไม่มีผลกระทบให้เป็นหมัน การค้นพบครั้งนี้ได้สะท้อนชัดเจนถึงปัญหาที่อัณฑะได้รับจากการร่ำสุรามากเกินไป เนื่องจากแอลกอฮอล์เข้าไปที่อัณฑะโดยตรงแล้วหยุดการผลิตฮอร์โมนเพศชายพร้อมกับทำลายคุณภาพของเชื้ออสุจิ แต่ผลร้ายที่เกิดขึ้นไม่ใช่เฉพาะกับผู้ชายเท่านั้น ผู้หญิงที่ดื่มสุราจัดก็มีผลต่อการให้กำเนิดบุตรเช่นกัน (คมชัดลึก อังคารที่ 1 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





พัฒนาแว่นตาแปลภาษา ช่วยคนต่างภาษาคุยกันรู้เรื่อง

นักวิจัยสหรัฐแก้ปัญหาสื่อสารกับคนต่างชาติไม่รู้เรื่อง พัฒนาชุดอุปกรณ์และซอฟต์แวร์แปลภาษาหลากชนิดออกมา ทั้งในรูปแว่นตา และติดขั้วไฟฟ้าอ่านกล้ามเนื้อบนใบหน้า ชูจุดเด่นสามารถแปลจากภาษาหนึ่งเป็นอีกภาษาได้ทันทีโดยไม่ต้องเรียนรู้การใช้งานอุปกรณ์หรือโปรแกรมใดๆ นำร่องแปลภาษาอังกฤษ-สเปน-เยอรมัน ก่อน ส่วนภาษาเอเชียจะพัฒนาออกมาในเร็ววันนี้ ศ.อเล็กซ์ ไวเบล คณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยคาร์เนกี้ เมลลอน และทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยคาร์ลส์รูห์ ในเยอรมนี กล่าวว่า ชุดอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ที่พวกเขาพัฒนาขึ้นมานั้น เป็นเทคโนโลยีที่จะช่วยให้คนที่ต้องการพูดได้หลายภาษาเป็นเรื่องง่ายขึ้น รวมทั้งยังจะช่วยให้คนแต่ละชาติเข้าใจกันได้ดีขึ้นด้วย อุปกรณ์ต้นแบบที่กำลังอยู่ในขั้นทดสอบในหลายรายการ เริ่มด้วยแว่นตาแปลภาษา หรือที่มีชื่อเรียกว่า "ทรานสเลชั่น กลาสส์" (Translation Glasses) จะทำงานเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ โดยระบบจะแปลเสียงพูดที่ได้ยินให้เป็นข้อความของภาษานั้นๆ และทำการแปลเป็นภาษาของเจ้าของแว่น โดยจะแสดงผลเป็นตัวหนังสือวิ่งอยู่บนจอแอลซีดีจิ๋วที่ติดอยู่ที่เลนส์แว่น นอกจากนี้ยังมี "มัสเซิล ทรานสเลเตอร์" (Muscle Translator) เป็นการนำขั้วไฟฟ้า หรืออิเล็กโตรด ไปจับสัญญาณไฟฟ้าที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบนใบหน้า เมื่อคนคนนั้นขยับปากพูด สัญญาณที่ได้จะถูกแปลเป็นเสียงพูดออกมาในภาษาอื่นที่คู่สนทนาเข้าใจโดยทันที โดยในอนาคตอันใกล้ ทีมงานจะใช้ชิพไร้สายแทนที่ขั้วไฟฟ้าดังกล่าว และนำไปฝังไว้บนใบหน้า คาดว่าน่าจะใช้เพียง 3-4 จุด ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ต้นแบบอีกชิ้น ซึ่งทีมงานยังไม่ได้ตั้งชื่อ เป็นลำโพงพิเศษที่จะส่งเสียงพูดที่ผ่านการแปลภาษาแล้วไปยังผู้ฟังแต่ละรายได้โดยตรงในหลากหลายภาษา คล้ายๆ กับมีนักแปลมานั่งข้างๆ เจ้าของไอเดียเชื่อว่า สิ่งนี้จะเชื่อมโยงคนต่างเชื้อชาติและภาษาได้อย่างไม่น่าเชื่อ และแน่นอนว่าจะสร้างความเข้าใจระหว่างกันได้เพิ่มมากขึ้น สำหรับภาษาที่ถูกคัดเลือกมาใช้นำร่องในระบบก่อน ได้แก่ อังกฤษ สเปน และเยอรมัน ส่วนภาษาอื่นๆ จะมีตามออกมาในภายหลัง (คมชัดลึก จันทร์ที่ 31 ต.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





เดินดีต่อสุขภาพเทียบเท่าวิ่งเหยาะๆ

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์แห่งหนึ่งในสหรัฐ ได้ทดสอบกับชายและหญิงวัยกลางคนจำนวน 133 คนที่มีน้ำหนักเกินและเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อโรคหัวใจ แบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม โดยให้กลุ่มแรกอยู่เฉยๆ ไม่ต้องออกกำลังกาย กลุ่มที่สองเดินอย่างกระฉับกระเฉงอาทิตย์ละ 7 กม. กลุ่มที่สามให้วิ่งเหยาะๆ อย่างช้าๆ อาทิตย์ละ 7 กม. เช่นกัน ส่วนกลุ่มที่สี่ให้วิ่งเหยาะๆ อาทิตย์ละ 12.5 กม. ผลปรากฏว่า ทุกกลุ่มที่ออกกำลังกายมีสมรรถนะร่างกายดีขึ้น แต่เมื่อเอาผลของกลุ่มที่ออกกำลังกายเดินกับกลุ่มวิ่งเหยาะๆ มาเปรียบเทียบกันกลับไม่พบความแตกต่างในการเผาผลาญออกซิเจน และในกลุ่มที่ออกแรงวิ่งอย่างเอาจริงเอาจังอาทิตย์ละ 12.5 กม. มีสมรรถนะร่างกายดีขึ้นเช่นกัน แสดงให้เห็นว่าปริมาณการออกกำลังการเป็นปัจจัยสำคัญ งานศึกษาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า การออกกำลังการอย่างเบาะๆ 2-3 ชั่วโมงต่ออาทิตย์ พอให้ได้เหงื่อพอประมาณก็ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้เป็นอย่างดี ผลของงานศึกษายังเป็นแรงจูงใจให้คนที่ไม่อยากออกกำลังกายหันมาขยับแข้งขยับขาเดินเพื่อสุขภาพด้วย (คมชัดลึก จันทร์ที่ 31 ต.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ทุ่ม 200 ล้านตั้งโรงงานผลิตน้ำมันจากยางรถ

นายนาวิน กุลบุศย์ รองกรรมการผู้จัดการบริษัท รีนิวอเบิล เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจด้านพลังงานทดแทนจากชีวมวลและของเสีย เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างแสวงหากลุ่มทุนที่จะร่วมสร้าง "โรงงานผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงจากเศษยาง" ซึ่งเบื้องต้นจะใช้เงินทุนราว 200 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถผลิตเชื้อเพลิงได้ราว 40,000 ลิตรต่อวัน โดยในช่วงแรกจะยังคงเน้นการผลิตน้ำมันเตา จากนั้นในปลายปี 2549 คาดว่าจะสามารถผลิตน้ำมันดีเซลป้อนตลาดได้ บริษัทยังได้ลงนามความร่วมมือกับวิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตเดิมที่เป็นโครงการต้นแบบ พร้อมพัฒนาเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบ โดยที่ผ่านมาบริษัทได้วิจัยพัฒนากระบวนการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงจากเศษยาง ในลักษณะโครงการต้นแบบมาแล้วกว่า 4 ปี โดยเน้นผลิตน้ำมันเตาเป็นหลักได้ราว 400 ลิตรต่อวัน จากปริมาณยางเหลือทิ้ง 1 ตัน และป้อนให้อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ 2-3 แห่ง เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีแล้ว โดยได้รับเงินทุนให้เปล่าในโครงการแปลงเทคโนโลยีเป็นทุนกว่า 1 ล้านบาท จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ทั้งนี้ กรรมวิธีการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงจากเศษยางของบริษัท ใช้กระบวนการที่เรียกว่า “ไพโรไลซิส” ซึ่งนำยางรถยนต์เก่ามาผ่านกระบวนการเผาโดยไม่ใช้ออกซิเจน ภายใต้ความดันและอุณหภูมิที่ระดับ 800 องศาเซลเซียส ทำให้โมเลกุลของยางแตกตัว จากนั้นใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาทำให้โมเลกุลของเนื้อยางรวมตัวกัน เพื่อได้น้ำมันเชื้อเพลิงออกมา โดยสามารถนำน้ำมันดิบที่ได้มากลั่นแยกให้เป็นน้ำมันเตา ดีเซลและเบนซินได้ตามต้องการ สำหรับน้ำมันเตาที่ทางบริษัทผลิตได้ในปัจจุบันนั้น มีค่าความร้อนที่ระดับ 15,000 กิโลแคลอรีต่อกิโลกรัม ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดไว้ที่ระดับค่าความร้อน 9,600 กิโลแคลอรี (ประชาชาติธุรกิจ อังคารที่ 1 พ.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ฟิล์มเหนียวกันระเบิด รับมือก่อการร้าย

นายสุธี รัตนาภิรัต เจ้าหน้าที่ฝ่ายประสานงานด้านการตลาดอาวุโส บริษัท 3เอ็ม (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้พัฒนาฟิล์มนิรภัยที่มีคุณสมบัติกันระเบิด ด้วยเทคโนโลยี micro-layered polyester ซึ่งเป็นเทคนิคการนำฟิล์มมาซ้อนกันหลายๆ ชั้น เพื่อเพิ่มความเหนียวให้เนื้อฟิล์มได้มากตามลักษณะใช้งาน ขณะที่เนื้อฟิล์มที่ได้จะเป็นแผ่นบางเพียง 6 mil (1/1,000 นิ้ว) ทำให้ทัศนวิสัยไม่แตกต่างจากกระจกที่ไม่ติดฟิล์ม เทคโนโลยีนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ 3เอ็ม ซึ่งนำมาใช้ประโยชน์ในการผลิตฟิล์มนิรภัยรูปแบบต่างๆ สำหรับฟิล์มกันระเบิดซึ่งเรียกว่า "อัลตรา 600" จัดอยู่ในกลุ่มฟิล์มนิรภัยชนิดหนึ่ง ซึ่งได้เปิดตัวในต่างประเทศเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา มุ่งเจาะตลาดลูกค้าอาคารสำนักงาน ที่ตระหนักถึงความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ทั้งภัยก่อการร้ายและภัยธรรมชาติ ในการทดสอบร่วมกับหน่วยงานทางการทหารในสหรัฐ พบว่า อัลตรา 600 สามารถทนการกระแทกจากแรงระเบิด 600 ฟุตปอนด์ โดยไม่ฉีกขาด โดยฟิล์มกันระเบิดที่ติดบนผิวกระจก จะยึดกระจกที่แตกจากแรงอัดระเบิดไม่ให้หลุดร่วงออกมา ทำให้ผู้อาศัยภายในอาคารที่เกิดเหตุปลอดภัยจากเศษกระจก ยังมีฟิล์มนิรภัยที่ผลิตมาเพื่อรับแรงปะทะของคนหรือสิ่งของ รวมถึงกระแสลมระดับเฮอร์ริเคน ซึ่งเน้นคุณสมบัติยึดกระจกแตกไม่ให้ร่วง และยึดกระจกไม่ให้หลุดออกจากกรอบ โดยฟิล์มเหล่านี้จะผ่านการซ้อนทับในระดับชั้นต่างๆ หากต่ำกว่า 15 เลเยอร์ใช้เพื่อการนิรภัยทั่วไป ส่วน 26-39 เลเยอร์ใช้งานด้านการกันระเบิด คุณสมบัติในการรับแรงกระแทกของฟิล์มนิรภัยนี้ ทำให้อาคารสำนักงานหรือที่อยู่อาศัย ที่ติดตั้งกระจกเคลือบฟิล์มนิรภัย ไม่จำเป็นต้องติดเหล็กดัดกันขโมย เพราะฟิล์มนิรภัยบางรุ่นสามารถป้องกันกระจกจากแรงตีอย่างแรงได้ด้วย นอกจากนี้ บริษัทได้คิดค้นวิธีผลิตฟิล์มให้คุณสมบัติ night vision ซึ่งอาศัยหลักการสะท้อนของแสงที่แตกต่างกันระหว่างภายในอาคารกับภายนอก ทำให้มองเห็นทิวทัศน์นอกอาคารในเวลากลางคืนได้เหมือนจริง ขณะเดียวกันยังป้องกันการมองเห็นตัวอาคารภายในจากบุคคลภายนอกได้ด้วย 3 เอ็มได้ผลิตฟิล์มนิรภัยสำหรับใช้งานกับกลุ่มสิ่งปลูกสร้างเท่านั้น แต่ในเร็วๆ นี้ จะมีฟิล์มนิรภัยสำหรับกระจกรถยนต์ที่ทนแรงทุบตี จึงสามารถป้องกันการทุบกระจกเพื่อขโมยทรัพย์สินภายในตัวรถ (ประชาชาติธุรกิจ อังคารที่ 1 พ.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





อิตาลีสร้าง"หมูโคลนนิ่ง" ศึกษาสเต็มเซลล์-เพาะเลี้ยงอวัยวะ

คณะนักวิจัยอิตาเลียน ซึ่งเคยสร้างชื่อเสียงในแวดวงวิชาการทั่วโลกจากการใช้กระบวนการคัดลอกพันธุกรรมโคลนนิ่ง "ม้า" ตัวแรกของโลก ประสบความสำเร็จอีกครั้งกับการโคลนนิ่งให้กำเนิดลูกหมู 14 ตัว ซึ่งลืมตาดูโลกตั้งแต่ 2-3 สัปดาห์ก่อนในห้องทดลองของสถาบันเทคโนโลยีเพื่อการสืบพันธุ์ในเมืองครีมาโน ศาสตราจารย์ ซีซาเร กัลลี หัวหน้าคณะนักวิจัย กล่าวว่า ความสำเร็จของโครงการใช้กรรมวิธีคัดลอกแบบพันธุกรรมเพื่อสร้างลูกหมูโคลนนิ่งคอกนี้ขึ้นมาจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการทดลองปลูกถ่ายอวัยวะของสัตว์และมนุษย์ต่อไป สำหรับการทดลองโคลนนิ่งลูกหมูครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการของกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) ที่ต้องการศึกษาเซลล์ต้นกำเนิด หรือ สเต็มเซลล์ที่อยู่ในตัวของสัตว์โคลนนิ่ง โดยสเต็มเซลล์ที่ว่านี้สามารถนำไปใช้เพาะเลี้ยงเป็นอวัยวะได้ (มติชนรายวัน อังคารที่ 1 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





รีโมตคอนโทรล ควบคุมการเดินมนุษย์

นักวิจัยประจำห้องทดลองของบริษัท "นิปปอน เทเลกราฟ แอนด์ เทเลโฟน คอร์ป" (เอ็นทีที) ยักษ์ใหญ่วงการโทรศัพท์ประเทศญี่ปุ่น กำลังคิดจะใช้ "คลื่นไฟฟ้า" ควบคุมมนุษย์อย่างเราๆ ท่านๆ ให้เดินซ้ายหัน-ขวาหันได้ตามความต้องการ ทำให้มนุษย์มีสภาพไม่ต่างจากหุ่นยนต์ ระบบดังกล่าวเรียกว่า "Galvanic Vestibular Stimulation" วิธีการทำงาน ผู้ที่ถูกควบคุมจะต้องสวมหูฟังครอบหูเอาไว้ จากนั้นชุดหูฟังตัวนี้จะปล่อยกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ เข้าไปในหลัง "ใบหู" ส่งผลให้ประสาทการรักษาสมดุลของร่างกายผิดเพี้ยนไป และจะทำงานได้เป็นปกติก็ต่อเมื่อผู้ที่ถืออุปกรณ์ควบคุมรีโมตคอนโทรล (ลักษณะเหมือนอุปกรณ์บังคับรถบังคับ) กดปุ่มสั่งให้เราเดิน หรือหันไปทางซ้ายหรือขวาเท่านั้น "ยูริ คาเกยามะ" นักข่าวหญิงของ "เอพี" ซึ่งไปทดสอบ Galvanic Vestibular Stimulation ด้วยตัวเองยอมรับว่า ในขณะที่ถูกสั่งให้เดินไปในทิศทางต่างๆ ร่างกายจะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ ราวกับว่ากำลังถูกผีสิงหรือเดินละเมอ เป้าหมายเบื้องต้นของเอ็นทีทีคาดว่าอาจนำไปประยุกต์ใช้กับ "เกมคอมพิวเตอร์" แต่ผู้ช่วยศาสตราจารย์ "ทิโมธี ฮัลลาร์" คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ให้ความเห็นกับเอพีว่า ถ้าพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ จนระบบควบคุมมนุษย์ของเอ็นทีทีสามารถใช้ "คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า" เป็นตัวกลางในการควบคุมแทน "คลื่นไฟฟ้า" ล่ะก็อาจกลายเป็น "อาวุธ" ชนิดหนึ่ง ซึ่งทำให้ศัตรูเกิดอาการมึนงง หลงทิศหลงทางขณะทำการสู้รบเลยก็เป็นได้ (ข่าวสด อังคารที่ 1 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





โปรแกรมถอดภาษาไทยเป็นโรมัน เทคโนโลยีไร้พรมแดน-ทลายกำแพงภาษา

ผศ.ดร.วิโรจน์ อรุณมานะกุล ผู้เชี่ยวชาญภาษาไทยและคอมพิวเตอร์ ภาควิชาภาษาศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำวิจัย "โปรแกรมการถอดภาษาไทยเป็นภาษาโรมัน" โดยรับทุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สาเหตุที่ต้องสร้างระบบวิธีการถอด "ภาษาไทย" เป็น "ภาษาโรมัน" เพราะว่าการนำคำภาษาต่างประเทศเข้ามาใช้ในประเทศเรา จะต้องมีวิธีที่จะเขียนด้วยอักษรที่เป็นภาษาของเราเอง อย่างภาษาไทย เราก็จะใช้วิธีทับศัพท์โดยเขียนจากภาษาอังกฤษด้วยตัวอักษรไทย แต่สำหรับคนต่างชาติที่ไม่รู้จักตัวอักษรไทย เวลาที่ต้องการจะอ้างถึงชื่อคน หรือสถานที่ต่างๆ นั้น เขาจะอ่านตัวเขียนอักษรไทยไม่ได้ เนื่องจากภาษาไทยมีเสียงวรรณยุกต์ และเสียงสระ ขณะที่ในภาษาอังกฤษจะไม่มีการออกเสียงในส่วนนี้ ดังนั้นตนและทีมวิจัยจึงได้คิดวิธีที่จะเขียนด้วยตัวอักษรที่ต่างชาติรู้จัก คือ "ตัวอักษรโรมัน" ซึ่งการถอดภาษาไทยเป็นภาษาโรมัน จะช่วยให้คนต่างชาติสามารถที่จะเข้าใจว่าคำๆ นั้น อ่านว่าอะไร เปรียบเสมือนเป็นพื้นฐานของระบบภาษาที่จะเป็นประโยชน์สร้างความสะดวกแก่คนต่างชาติที่จะสามารถออกเสียงได้ใกล้เคียงกับภาษาไทยมากขึ้น หลักการของโปรแกรมการถอดอักษรจากภาษาไทยเป็นภาษาโรมันจะใช้วิธีการถ่ายเสียง ซึ่งมีขั้นตอนน้อยกว่าการถอดภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย ที่จะต้องใช้ทั้งเสียงและรูปคำเดิม โดยการถอดภาษาไทยเป็นภาษาโรมันที่พัฒนาขึ้นนี้ได้จัดทำเป็นโปรแกรมสำเร็จรูป วิธีการใช้ก็เพียงพิมพ์คำที่ต้องการทราบลงไปเท่านั้น โปรแกรมสำเร็จรูปก็จะแสดงคำที่อ่านออกเสียงเป็นภาษาโรมันออกมาทันที ซึ่งจะทำให้คนต่างชาติได้เห็นว่าเมื่อมีการเปลี่ยนตัวอักษรภาษาไทยตัวใดตัวหนึ่งแล้ว การอ่านออกเสียงของคำๆ นั้นจะเปลี่ยนไปอย่างไร ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดโปรแกรมมาใช้ได้ที่เว็บไซต์ http://pioneer.chula.ac.th/~awirote/ จากนั้นลิงก์เข้าไปยังโปรแกรมถอดภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ หรือ Thai Romanization โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเรื่องลิขสิทธิ์ ปัจจุบันมีผู้สนใจดาวน์โหลดโปรแกรมดังกล่าวแล้วกว่า 4 พันราย (ข่าวสด จันทร์ที่ 31 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





แว่นวิเศษ-แปลภาษา ด้วยการอ่านกล้ามเนื้อ

"อเล็กซ์ ไวเบล" ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์คาร์เนกี เมลลอน สหรัฐอเมริกา และเพื่อนๆ ในคณะนักวิจัย มีความคิดว่า จะดีแค่ไหน ถ้าสามารถสร้างอุปกรณ์และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการ "แปล" ภาษาต่างๆ ได้แบบสดๆ เหมือนกับเวลาเราดูภาพยนตร์ต่างประเทศแล้วก็มี "ซับไตเติ้ล" คำแปลขึ้นมาให้อ่านไปพร้อมๆ กับปากของนักแสดง ความฝันของศ.ไวเบล ดูจะขยับใกล้ความเป็นจริงไปอีกหนึ่งขั้น ภายหลังจาก "ต้นแบบ" ระบบแปลภาษารุ่นใหม่ล่าสุดประดิษฐ์เสร็จ และอยู่ระหว่างการทดลองใช้งาน รูปแบบการทำงานของระบบแปลภาษาดังกล่าว แยกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่หนึ่งเรียกว่า "เครื่องแปลภาษาจากขยับตัวของกล้ามเนื้อ" (Muscle Translator) เป็นการนำเอาขั้วไฟฟ้า หรือ อิเล็กโทรดขนาดเล็กๆ ไปติดกับบนใบหน้าบริเวณรอบๆ ปาก จมูก หลังใบหู และลำคอ โดยเครื่องที่ว่านี้จะถูกบรรจุโปรแกรมจดจำลักษณะการขยับของกล้ามเนื้อจุดต่างๆ เพื่อตีความ ถอดรหัสออกมาว่า ผู้พูดกำลังพูด "คำ" ว่าอะไรบ้าง สำหรับส่วนที่สอง คือ "แว่นตานักแปล" (Translator Glasses) ทำหน้าที่รับข้อมูลจาก Muscle Translator มาแปลเป็นภาษาอื่น เช่น ถ้าพูดภาษาอังกฤษมาก็แปลเป็นภาษาไทย โดย "ข้อความคำแปล" จะปรากฏขึ้นมาบน "จอภาพแอลซีดี" ขนาดเล็ก ซึ่งติดตั้งอยู่ตรงเลนส์ด้านซ้ายของแว่นตา คล้ายๆ กับไซไตเติ้ลที่ขึ้นบนจอภาพยนตร์นั่นเอง ศ.ไวเบล กล่าวว่า ด้วยอุปกรณ์ทั้งสองชนิดนี้ทำให้ฝ่าย "ผู้พูด" ไม่ต้องเปล่งเสียงออกมาเลยก็ได้ เพราะข้อมูลคำพูดที่ส่งออกไปยังแว่นตานั้นนำมาจากการขยับตัวของกล้ามเนื้อ และในอนาคตทีมงานอาจพัฒนาอิเล็กโทรดแบบใหม่เพื่อฝังเข้าไปในชั้นกล้ามเนื้อของผู้พูด ซึ่งบางคนอาจคิดว่ามันเกินจริง แต่ถ้าดูจากพฤติกรรมของเด็กยุคใหม่ที่ชอบเจาะหน้าเจาะตาแล้วก็คิดว่ามีความเป็นไปได้ ปัจจุบัน คณะนักวิจัยม.คาร์เนกี เมลลอน มีโครงการพัฒนา "พีดีเอ" หรือคอมพิวเตอร์มือถือที่สามารถแปลภาษาไทยเป็นอังกฤษ เพื่อให้หน่วยปราบยาเสพติดกับกองทัพสหรัฐนำไปใช้ (ข่าวสด จันทร์ที่ 31 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ศึกษาวิจัย"หอยตะเภา" อนุรักษ์ให้อยู่คู่ทะเลตรัง

"หอยตะเภา" ถือเป็นหอยกาบคู่ เปลือกมีขนาดค่อนข้างใหญ่และหนา มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมคล้ายเรือสำเภา ชาวบ้านในบางท้องถิ่นจึงเรียกกันว่า "หอยท้ายเภา" หรือ "หอยท้ายสำเภา" และจัดอยู่ในตระกูลเดียวกันกับ "หอยเสียบ" แต่มีขนาดใหญ่กว่ามาก ส่วนขนาดที่พบโดยทั่วไปจะยาวประมาณ 5-10 ซ.ม. หอยชนิดนี้ประชาชนในจังหวัดตรังและใกล้เคียงนิยมรับประทานกันมาก เนื่องจากเนื้อมีลักษณะขาวนุ่มน่ารับประทาน และรสชาติหวานอร่อยไม่เหมือนกับหอยชนิดอื่นๆ ทั้งยังสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลายประเภท ทำให้เป็นที่นิยมบริโภคกันอย่างแพร่หลาย หอยชนิดนี้ยังสามารถพบได้ทั่วไปในเขตมหาสมุทรอินเดีย โดยในประเทศไทยมีรายงานว่าพบมากตามบริเวณชายหาดของจังหวัดตรัง ตั้งแต่หาดหัวหิน หาดปากเมง หาดฉางหลาง หาดเจ้าไหม และหาดสำราญ โดยพบชุกชุมมากที่สุดบริเวณหาดปากเมง และพบได้ตลอดปี นอกจากนี้ ยังพบหอยตะเภาในจังหวัดที่มีชายฝั่งทะเลติดต่อกับจังหวัดตรัง คือ จังหวัดสตูลและจังหวัดกระบี่ สถานีวิจัยประมงชายฝั่งจังหวัดตรัง ได้พยายามทำการทดลองอนุบาลหอยชนิดนี้ในถังไฟเบอร์กลาสขนาด 200-500 ลิตร พร้อมทั้งพยายามปรับสภาพแวดล้อมให้เหมือนจริงมากที่สุด ทั้งนี้ เพื่อศึกษาวิจัยและหาข้อมูลในด้านต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ เพื่อนำไปสู่การขยายพันธุ์ "หอยตะเภา" ให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น จนกลับคืนมาเต็มชายฝั่ง"หาดปากเมง"อีกครั้ง เพื่อเป็นอาหารสุดยอดอร่อยของชาวตรังและนักท่องเที่ยวที่มาเยือน (ข่าวสด อาทิตย์ที่ 30 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





กะหล่ำปลีพกพาสารเคมีวิเศษ ป้องกันมะเร็งปอด

นิตยสารการแพทย์ “แลนเซต” มาตรฐานของอังกฤษ รายงานว่านักวิจัยของสำนักวิจัยโรคมะเร็งระหว่างประเทศที่เมืองลิยง ฝรั่งเศส ได้พบในการศึกษาคนไข้โรคมะเร็งปอด 2,141 คน เปรียบเทียบกับผู้ที่แข็งแรงสมบูรณ์ดีอีก 2,168 คนว่า ผู้ที่ชอบกินผักพวกกะหล่ำปลี เช่น กะหล่ำปลี บรอคโคลิ และกะหล่ำปมบางคน จะแคล้วคลาดจากโรคได้ห่างไกล แม้ว่าจะยังไม่อาจรู้สาเหตุได้ รู้แต่ว่าพวกผักเหล่านี้มีสารเคมีที่มีชื่อว่า ไอโสทิโอไซยาเนตส์ ที่มีสรรพคุณป้องกันปอดจากมะเร็งได้อยู่อย่างอุดม นักวิจัยเชื่อว่าอาจเป็นเพราะยีนในร่างกาย 2 ตัวเป็นเหตุ ยีนคู่นี้จะสร้างเอนไซม์กำจัดสารเคมีจากผักเหล่านั้นลงไปหมด จึงเป็นเฉพาะแต่ผู้ที่มียีน 2 ตัวนี้ตายด้านแล้วเท่านั้น จึงจะได้คุณประโยชน์ของผักในการป้องกันโรคมะเร็ง รายงานการศึกษาได้สรุปว่า ผู้ที่ยังมียีนคู่นี้ตัวใดตัวหนึ่งที่ยังปกติอยู่จะได้คุณจากการบริโภคผักเหล่านั้น ช่วยคุ้มโรคได้มากระหว่าง 33-37% เท่านั้น แต่หากเป็นผู้ที่มียีนทั้งคู่ตายด้านลงหมดจะได้รับการคุ้มโรคสูงถึง 72%. (ไทยรัฐ พุธที่ 2 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





‘สบู่ลูกยอ’... สร้างงาน สร้างรายได้สู่ชุมชน

อาจารย์รัตนพล มงคลรัตนสิทธิ์ และอาจารย์วิรัช วงค์ภักดี อาจารย์พิเศษภาควิชาผ้าและเครื่องแต่งกาย คณะคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จึงได้ทำ “สบู่ลูกยอ” ขึ้น สำหรับวิธีการทำสบู่ลูกยอ เริ่มจากขั้นตอนการเตรียมผงลูกยอ โดยให้นำลูกยอห่ามค่อนไปทางสุกมาฝานบาง ๆ นำไปตากแดดหรืออบให้แห้ง แล้วตำให้ละเอียดจนเป็นผง ต่อมาเป็นขั้นตอนการเตรียมส่วนผสมของสบู่ลูกยอ ดังนี้ น้ำมันมะพร้าว 120 กรัม, น้ำมันปาล์ม 80 กรัม, น้ำมันมะกอก 200 กรัม, โซเดียมไฮดรอกไซด์ 58 กรัม, น้ำ 140 กรัม และผงลูกยอ 20 กรัม ต่อมา เป็นขั้นตอนการทำสารละลายด่าง ให้ชั่งน้ำหนักน้ำ 140 กรัม และ โซเดียมไฮดรอกไซด์ 58 กรัม เทลงในชามแก้ว ใช้ช้อนคนให้โซเดียมไฮดรอกไซด์ ละลายจนได้สารละลายด่างใส ซึ่งระหว่างนี้อุณหภูมิของสารละลายด่างจะสูงถึง 80-90 องศาเซลเซียส ให้ตั้งทิ้งไว้จนอุณหภูมิลดลงเหลือประมาณ 40-45 องศาเซลเซียส จากนั้นเป็นขั้นตอนการผสมน้ำมัน โดยให้ผสมน้ำมันทั้งสามชนิดตามน้ำหนักที่กำหนด เทรวมกัน นำไปตั้งไฟอ่อน ๆ อุ่นให้น้ำมันมีอุณหภูมิ 40-45 องศาเซลเซียส แล้วจึงเทสารละลายด่างลงในน้ำมัน ใช้ไม้พายกวนให้เข้ากัน จนส่วนผสมเริ่มจับตัวเหนียวข้นคล้ายครีมสลัดแล้วใส่ผงลูกยอลงไป คนให้เข้ากัน เทลงแบบ โดยตั้งทิ้งไว้ 6-8 ชั่วโมง แล้วเทออกจากแบบ เก็บต่อไว้อีก 2-4 สัปดาห์ เพื่อให้ได้ค่าความเป็นด่าง (Ph.) อยู่ในระดับที่เหมาะสม (ประมาณ 8-10) จึงนำมาจำหน่ายได้ ราคาก้อนละ 30 บาท ผู้ใดสนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ภาควิชาคห กรรมศาสตร์ศึกษา คณะคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี หมายเลขโทรศัพท์ 0-2549- 3160-61 ในวันและเวลาราชการ (เดลินิวส์ พุธที่ 2 พ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





หุ่นเกษตรฝีมือเด็กไทย ติดเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิปล่อยน้ำใส่ปุ๋ยเอง

เด็กไทยมั่นใจคว้าแชมป์โอลิมปิกหุ่นยนต์ ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ มีผู้เข้าแข่งขัน 120 ทีมจาก 13 ประเทศ เผยเซนต์คาเบรียลส่งหุ่นยนต์เกษตรกรดูแลสวนผักอัตโนมัติ ด้านตัวแทนภาคเหนือส่งหุ่นยนต์พิชิตเขาวงกต ติดเซ็นเซอร์บุกสนามแข่งทุกรูปแบบ ด.ช.ภูมิ ณรงค์เกียรติคุณ นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนเซนต์คาเบรียล เปิดเผยว่า โรงเรียนได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนประเทศไทยในการแข่งขันหุ่นยนต์นานาชาติ หรือโอลิมปิกหุ่นยนต์ปี 2548 โดยจะส่งหุ่นยนต์เกษตรกร ซึ่งพัฒนาขึ้นในรูปแบบโรงเรือนอัจฉริยะ ที่ควบคุมการทำงานทั้งหมดด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ อาทิ ออกแบบระบบโรยเมล็ดให้ทำงานบนสายพาน ติดเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ ซึ่งพร้อมที่จะปล่อยน้ำให้ต้นพืชเมื่ออุณหภูมิขึ้นสูง หรือแม้แต่ระบบการให้ปุ๋ยผ่านปั๊มไฮโดรลิก สามารถกำหนดปริมาณและชนิดของปุ๋ยที่จะให้ต้นพืชได้ หุ่นยนต์เกษตรกรดังกล่าวจะส่งแข่งขันประเภทความคิดสร้างสรรค์ด้านวิทยาศาสตร์ เพราะเป็นการประยุกต์ใช้ประโยชน์เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์กับงานด้านการเกษตร พร้อมพัฒนาระบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อาทิ สอนให้รู้ระดับการเจริญเติบโตของพืช รวมถึงทราบชนิดของพันธุ์พืชที่นำมาปลูก โดยอาจจะต้องป้อนข้อมูลของพืชหลากชนิดเข้าโปรแกรม ด้าน ด.ช.สุนทร เกิดจันอัด จากโรงเรียนพระยามนธาตุราชศรีพิจิตร์ จ.พิจิตร ตัวแทนจากภาคเหนือ กล่าวว่า หุ่นยนต์ที่จะส่งชิงชัยเป็นหุ่นยนต์พิชิตเขาวงกต ซึ่งออกแบบให้สามารถรองรับสนามทุกรูปแบบ ด้วยการติดเซ็นเซอร์วัดแสงไว้ด้านข้าง เพื่อแก้ปัญหาในขณะที่หุ่นเคลื่อนที่ผ่านกำแพง ขณะที่เซ็นเซอร์อีกตัววัดการสัมผัสพื้น เพื่อดูทิศทางในแนวราบ หากจะทำการสงสนามจริงจะต้องปรับปรุง โดยหาจุดบกพร่องที่อาจจะเกิดขึ้น ทั้งนี้ การแข่งขันหุ่นยนต์ระดับนานาชาติ หรือโอลิมปิกหุ่นยนต์ปี 2548 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-6 พฤศจิกายนนี้ ณ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา (เอกมัย) โดยมีทีมเข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 120 ทีมจาก 13 ประเทศ ซึ่งทีมตัวแทนประเทศไทยมีทั้งหมด 30 ทีม ทำการแข่งขันในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ในประเภทจับเวลา ข้ามเครื่องกีดขวาง ชักเย่อ รวมถึงหุ่นยนต์กีฬาและประเภทความคิดสร้างสรรค์ด้านวิทยาศาสตร์ (คมชัดลึก พุธที่ 2 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





นักวิจัยผลิต"กาวไร้สารพิษ"มุ่งพัฒนาแข่งตลาดโลก

รศ.ดร.เจริญ นาคะสรรค์ นักวิจัยโครงการการผลิตกาวติดไม้และกาวติดโลหะจากน้ำยางธรรมชาติดัดแปลงโมเลกุล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) เปิดเผยว่า จากการทำวิจัยโครงการนี้สามารถนำยางพารามาพัฒนาเป็นกาวได้ โดยทีมวิจัยได้ใช้วิธีการลดขนาดโมเลกุลของยางพาราลงจนกระทั่งมีขนาดพอเหมาะแก่ความต้องการของอุตสาหกรรมแต่ละประเภทเพราะขนาดของโมเลกุลของยางมีผลต่อแรงยึดเหนี่ยวระหว่างผิววัสดุโดยตรง เช่น เดิมน้ำยางพาราจะมีน้ำหนักโมเลกุลสูงประมาณหนึ่งล้าน ซึ่งหากจะนำมาทำเป็นกาวจะไม่มีแรงยึดเหนี่ยวมากนักและอาจทำได้เพียงเป็นกาวติดไม้ หรือเครื่องหนังอย่างง่าย แต่เมื่อนำมาตัดให้โมเลกุลเล็กลงด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ใช้วิธีทางเคมีจะสามารถลดน้ำหนักโมเลกุลลงได้ในระดับหนึ่งและเมื่อนำมาผ่านกระบวนการต่างๆ เพื่อผลิตเป็นกาวแล้วก็จะได้กาวที่มีความแข็งแรงในการเชื่อมติดสูงมาก และสามารถนำมาใช้ติดประสานไม้ในวงการอุตสาหกรรม เช่น เฟอร์นิเจอร์ ก่อสร้าง หรือพัฒนาเป็นบรรจุภัณฑ์ กาวชนิดนี้มีจุดเด่นคือ เป็นกาวที่ได้จากวัตถุดิบธรรมชาติไม่มีองค์ประกอบของสารพิษเจือปน เนื่องจากไม่มีตัวทำละลายและมีความแข็งแรงสูงกว่ากาวชนิดอื่น ไม่เหมือนกาวที่ใช้กันทั่วไปซึ่งมักจะมี "ฟอร์มาลิน" เป็นองค์ประกอบซึ่งจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งการนำไปใช้ประโยชน์ของงานวิจัยนี้ยังนำไปประยุกต์ใช้กับงานกาวติดโลหะต่างๆ เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม และทองแดง เป็นต้น เพื่อให้ความแข็งแรงกับโครงสร้างหรือเพื่อใช้เป็นส่วนเชื่อมต่อ แต่ยังต้องมีการปรับปรุงสารบางอย่างเพิ่มเติมไป จะทำให้การประสานของกาวชนิดนี้ต่อยางและโลหะสูงขึ้นได้ (มติชนรายวัน พุธที่ 2 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





หมอไทยเจ๋งผลิต"เต้านมเทียม"ตรวจมะเร็ง

นพ.จารุทัศน์ นริศชาติ สาธารณสุขจังหวัด(สสจ.)ราชบุรี เปิดเผยว่า สสจ.ราชบุรี ได้คิดค้นนวัตกรรมใหม่ในการตรวจเต้านมด้วยตนเอง โดยผลิตแบบจำลอง(โมเดล) เต้านมเทียมนำร่องส่งเสริมการตรวจหามะเร็งเต้านมในโรงเรียนและชุมชน ทั้งนี้ เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา สสจ.ราชบุรี ได้จัดส่งอุปกรณ์ดังกล่าวให้แก่กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อส่งต่อให้โรงเรียนมัธยมขนาดใหญ่นำไปให้นักเรียนหญิงฝึกตรวจเต้านมด้วยตนเอง ทั้งนี้ เต้านมเทียมนี้คิดค้นเพื่อนำมาทดแทนการสั่งซื้อจากต่างประเทศที่มีราคาสูง ประมาณชุดละ 33,000 บาท ขณะที่ สสจ.ราชบุรี ผลิตเองในราคา 8,000 บาทเท่านั้น (มติชนรายวัน พุธที่ 2 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





นักวิชาการชี้ "น้ำบาดาล"สำคัญ แนะสร้างความรู้-ใช้อย่างถูกวิธี

รศ.ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ รองคณบดีฝ่ายกิจการพิเศษ ภาควิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรน้ำบาดาล กล่าวถึงผลการศึกษาการใช้น้ำของประเทศไทยว่า ทั้งประเทศมีการใช้น้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค พาณิชย์ อุตสาหกรรม และเกษตรกรรม ประมาณ 35,000 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี ซึ่งกว่าครึ่งหนึ่งของการใช้น้ำ ได้จากแหล่งน้ำบาดาล แบ่งเป็นน้ำอุปโภคบริโภค ร้อยละ 50 โดยเฉพาะในชนบทและเขตเมืองบางส่วน ภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในเขตปริมณฑล ร้อยละ 67 ด้านชลประทาน ร้อยละ 14 การขุดเจาะน้ำบาดาลในแต่ละพื้นที่ จะมีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงแตกต่างกันไป ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เคยรับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง ทำให้เกิดปัญหากับแหล่งน้ำบาดาลในบางพื้นที่ ภาครัฐจึงควรเข้าไปให้ความรู้กับผู้ใช้น้ำบาดาลอย่างทั่วถึง แต่ละที่จะมีปัญหาต่างกันไป เช่น ภาคอีสาน ถ้าขุดเจาะน้ำบาดาลมากจะพบน้ำเค็ม เพราะชั้นดินของอีสานมีชั้นเกลือ ทำเกิดน้ำกร่อย ส่วนภาคเหนือ ถ้าสูบมากจะพบน้ำผสมกับสารบางอย่างเกิดเป็นฟูลออไรด์ ซึ่งมีผลเสียต่อผู้บริโภค ตามปกติการขุดเจาะและใช้น้ำจากบ่อบาดาลจึงต้องผ่านการตรวจสอบแหล่งดิน หิน แร่ และกำหนดปริมาณจากกรมทรัพยากรน้ำบาดาลก่อน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาคุณภาพน้ำและอันตรายตามมา แต่ถ้าเป็นชาวบ้านขุดเองใช้เอง เช่น การนำน้ำบาดาลไปใช้ในระบบประปาหมู่บ้านโดยไม่รู้ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อาจเป็นอันตรายได้ (มติชนรายวัน พุธที่ 2 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





ความหลากหลายชีวภาพ

คณะนักวิจัยเพื่อพิทักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ "ไดเวอร์ซิตาส อินเตอร์เนชั่นแนล" ชี้ว่า การปกป้องคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิต สัตว์ป่า รวมทั้งพืชพรรณต่างๆ บนพื้นโลก สามารถป้องกันไม่ให้โรค เช่น เอดส์ อีโบลา หรือไข้หวัดนกแพร่ระบาดเล่นงานมนุษย์ได้ง่ายจนเกินไป ทั้งยังช่วยประหยัดเงินตราในการพัฒนายาต่อสู้กับโรคร้าย "ผลพวงจากการที่มนุษย์เข้าไปทำลาย หรือขัดขวางลักษณะความหลากหลายทางชีวภาพของธรรมชาติผ่านทางการตัดถนนรุกป่าดงดิบอะเมซอน หรือลักลอบตัดไม้ในพื้นที่ห่างไกลของทวีปแอฟริกา เป็นต้นเหตุประการหนึ่งที่ทำให้มนุษย์สุ่มเสี่ยงติดโรคระบาดใหม่ๆ จากสัตว์ป่ามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การช่วยกันคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพนั้นแทบไม่ต้องเสียเงินเสียทองหมดไปกับการพัฒนาวัคซีนขึ้นมาต่อสู้กับโรคร้ายต่างๆ" แถลงการณ์กลุ่มไดเวอร์ซิตาส ระบุ กลุ่มไดเวอร์ซิตาสยังย้ำด้วยว่า ถ้ามนุษย์ไม่บุกรุกเข้าไปทำลายธรรมชาติอย่างรุนแรงจะมีประโยชน์ย้อนกลับมาอย่างเห็นได้ชัด 2 ประการ ข้อแรกภายในผืนป่าทั่วโลกจะเป็นเหมือนกับแหล่งเก็บกักยาสมุนไพรชั้นดี ทั้งยังช่วยให้มนุษย์ไม่เข้าไปติดโรคจากสัตว์ป่าอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (เอดส์) ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามนุษย์ไปติดมาจากลิงชิมแปนซีในป่า เขาขอให้รัฐบาลทั้งหลายเร่งกำหนดมาตรการเพื่อคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงออกกฎระเบียบด้านการค้า การเกษตร และการเดินทาง ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้โรคไข้หวัดนกแพร่ระบาดจากสัตว์ป่ามาสู่คน (ข่าวสด พุธที่ 2 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





นักวิทย์จิ๋วสกัดขมิ้นชันใช้เป็นยา

สองนักวิทย์ นายอนุชิต ภานุมาสวิวัฒน์ และนายภานุพงศ์ แต่งอักษร นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนศรีบุณยานนท์ จ.นนทบุรี นักเรียนทุนโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) คิดค้นสารสกัดจากขมิ้นชันเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ ซึ่งทำโครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง “การสกัดและแยกสารจากสมุนไพรขมิ้นชัน”จากการศึกษาพบว่าสามารถแยกสารที่ได้ออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มน้ำมันหอมระเหย และกลุ่มเคอร์คูมินอยด์ ทั้งนี้ จากการทดลองโดยการนำเทคนิค และวิธีการสกัดแยกสารจากสมุนไพรขมิ้นชัน โดยวิธีสกัดด้วยตัวทำละลายเฮกเซน เมื่อนำไปวิเคราะห์ แยกสาร และระเหยเอาตัวทำละลายออก ก่อนนำเข้าสู่กระบวนการแยกสารอีกครั้ง พบว่า โครงงานนี้สามารถนำสารสกัดที่ได้ไปใช้เป็นส่วนผสมในยา หรืออาหารเสริมเพื่อป้องกันหรือรักษาโรคต่าง ๆ ทดแทนการใช้ยาสังเคราะห์ และนำสารที่สกัดได้ไปแยกบริสุทธิ์เพื่อนำไปทดสอบกับเชื้อต่าง ๆ ได้อีกด้วย (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 3 พ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





สเปรย์ผลไม้ดับสารพัดกลิ่นอับ ชีวเคมีจากธรรมชาติปรอดภัยต่อผู้ใช้

นายสุบิน พันเลิศจำนรรจ์ เปิดเผยว่า เจ้าของผลิตภัณฑ์กำจัดกลิ่นด้วยผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติเล่าว่า เขาได้ประยุกต์ใช้ความรู้ด้านชีวเคมีจากที่เคยศึกษาจากคณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล (ศิริราชพยาบาล) โดยนำผลไม้ต่างๆ เช่น สับปะรด แตงโม น้อยหน่า มาหมักเลี้ยงเชื้อ จากนั้นนำไปคัดแยกสายพันธุ์พร้อมกับสกัดเอนไซม์จากจุลินทรีย์มาใช้ประโยชน์ โดยผสมกลิ่นหอมของดอกไม้ อาทิ ดอกอัญชัญ ลีลาวดีและกุหลาบ คุณสมบัติของจุลินทรีย์ที่สกัดได้ สามารถนำมาใช้ในการกำจัดแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ เช่น กลิ่นอับ กลิ่นตัว กลิ่นคาว และกลิ่นเหม็นอื่นๆ โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ โดยเมื่อนำมาบรรจุลงกระป๋องสเปรย์ แล้วฉีดพ่นสารชีวภาพจะทำงานดับกลิ่นเหม็นภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็น กลิ่นอับบนพรม กลิ่นคาวจากการปรุงอาหาร กลิ่นบุหรี่ ถังขยะ กลิ่นปัสสาวะในห้องน้ำ กลิ่นอาเจียน รวมถึงกลิ่นเหม็นทุกชนิดได้ โดยเหลือเพียงกลิ่นหอมจากดอกไม้แทนที่ เขาได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภาพออกมาในรูปของสเปรย์ขจัดกลิ่น เนื่องจากไม่ได้ลดกลิ่นอับเพียงอย่างเดียว แต่สามารถขจัดต้นเหตุของการเกิดกลิ่นให้หมดไปหลังจากฉีดพ่นสเปรย์ดังกล่าวทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง หลังจากที่ได้ทดลองประสิทธิภาพการดับกลิ่นแล้วพบว่า สเปร์ยที่มีกลิ่นหอมจากธรรมชาติช่วยขจัดกลิ่นที่ไม่พึ่งประสงค์ออกไปจนหมด และสามารถอยู่ได้คงทนโดยไม่ทิ้งสารเคมีที่ทำอันตรายต่อมนุษย์ นอกจากนี้ เขายังได้เริ่มพัฒนาสินค้าตัวอื่นโดยอาศัยหลักการแบบเดียวกัน จนกระทั่งได้ผลิตภัณฑ์สเปรย์กำจัดกลิ่นปาก สเปรย์กำจัดเห็บ หมัด สเปรย์ปรับกลิ่นอับจากเครื่องปรับอากาศ รถยนต์ และจุลินทรีย์สลายท่อน้ำอุดตัน นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาเพิ่มเพื่อนำจุลินทรีย์จากพืช และสกัดกลิ่นหอมจากดอกไม้ชนิดอื่นๆ มาใช้ประโยชน์ อาทิ จุลินทรีย์จากเห็ด และกลิ่นหอมจากดอกมะลิ เพื่อเพิ่มความหลากหลายของกลิ่นและชนิดของสเปร์ยให้มากขึ้นด้วย (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 3 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





อิตาลีโคลนนิ่งหมูทำอะไหล่อวัยวะ

ศาสตราจารย์ ซีซาร์ กัลลี ผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการด้านเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ ในเครโมนา ประเทศอิตาลี และหัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า ลูกหมูทั้ง 14 ตัว เป็นผลผลิตจากเทคโนโลยีโคลนนิ่ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยร่วมแห่งสหภาพยุโรป ที่เน้นศึกษาเรื่องเซลล์ต้นกำเนิดในตัวสัตว์โคลน เนื่องจากเป็นที่รู้กันดีแล้วว่า เซลล์ต้นกำเนิดสามารถเปลี่ยนรูปไปเป็นเนื้อเยื่อต่างๆ ได้หลากชนิด จึงเป็นหนึ่งในความหวังหลักที่นักวิจัยจะนำมาใช้รักษาโรคร้ายต่างๆ ส่วนสาเหตุที่เลือกหมูมาโคลน ก็เพราะหมูมีคุณลักษณะทางสรีรศาสตร์และกายวิภาคใกล้เคียงมนุษย์มากสุด นอกจากนี้ หมูโคลนที่ได้ยังจะเป็นโมเดลให้งานวิจัย ด้านการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะจากหมูสู่คน (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 3 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





เส้นใยนาโนโพลิเมอร์ปนยา รักษาแผลผู้ป่วย"เบาหวาน"

ในงาน "ไบโอไทยแลนด์ 2005" ซึ่งศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ(ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) จัดขึ้นในวันที่ 2-5 พฤศจิกายน นี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ดร.อุรชา รังสาดทอง นักวิจัยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวถึงผลงานวิจัยล่าสุดที่นำมาจัดแสดงภายในงานเรื่อง "การผลิตเส้นใยนาโนในโพลิเมอร์ เพื่อการพัฒนาระบบนำส่งยาปฏิชีวนะ" ว่า ขณะนี้กำลังทำวิจัยเส้นใยนาโนในโพลิเมอร์โดยผสมยาปฏิชีวนะซีฟาเล็คซินที่มีฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียผสมกับโพลี ไวนีล แอลกอฮอล์(พีวีเอ) ก่อนผ่านกระบวนการปั่นเส้นใยด้วยไฟฟ้าสถิต ให้เส้นใยมีขนาดเล็กประมาณ 100 -150 นาโนเมตร เพื่อประยุกต์ใช้ในการรักษาบาดแผลให้หายเร็วขึ้น ดร.อุรุชากล่าวว่า วิธีการนี้จะนำไปทำพลาสเตอร์ยาลดการติดเชื้อทางบาดแผล โดยเฉพาะผู้ป่วย ด้วยโรคเบาหวานที่มีโอกาสเป็นบาดแผลสูง เส้นใยนาโนสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียได้ดี และจากผลการทดสอบความเป็นพิษ พบว่าเส้นใยนาโนที่บรรจุยาซีฟาเล็คซินไม่มีความเป็นพิษกับเซลล์ร่างกาย อย่างไรก็ตาม ยังต้องทำการทดลองในคนต่อไป คาดว่าจะสำเร็จใน 1-2 ปี (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 3 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





ชี้"อดนอน"สุดอันตรายทำคนโง่-อ้วน-ป่วยง่าย

นักวิทยาศาสตร์เยอรมนีเผยการวิจัยชี้ว่า "การอดนอน" จะทำให้มนุษย์ยิ่งโง่ เจ็บป่วย และอ้วนง่าย ศ.เจอร์เกน ซัลเลย์ นักวิจัยพฤติกรรมการนอนหลับ วิทยาลัยแพทย์รีเกนส์เบิร์ก เปิดเผยว่า การอดนอนส่งผลกระทบเลวร้ายต่อร่างกาย 3 ประการ อย่างแรกทำให้โง่ เมื่อนอนน้อยจะทำให้ประสิทธิภาพการจดจำลดลง ประการต่อมาทำให้เจ็บป่วยง่าย เพราะการอดนอนส่งผลเสียต่อหัวใจ ระบบไหลเวียนเลือด กระเพาะ และลำไส้ นอกจากนั้น ขณะที่เรานอนหลับร่างกายจะปล่อยฮอร์โมนลดความอยากอาหารออกมา แต่การปล่อยฮอร์โมนดังกล่าวจะถูกขัดขวางหากเรานอนไม่เต็มที่ ดังนั้น เราจึงรู้สึกหิวบ่อย ซึ่งเป็นสาเหตุให้คนอดนอนส่วนมากน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น" ซัลเลย์ กล่าว และแนะนำว่า ควรนอนอย่างน้อยคืนละ 7 ชั่วโมงเพื่อความมีสุขภาพที่ดี (ข่าวสด พฤหัสบดีที่ 3 พ.ย 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ยุโรปส่งยานสำรวจดาวศุกร์9พ.ย.

สำนักงานอวกาศยุโรป (อีเอสเอ) กำหนดวันส่งยานสำรวจดาวศุกร์ "วีนัส เอ็กซ์เพรส" ขึ้นสู่อวกาศในวันที่ 9 พ.ย.นี้ จากฐานปล่อยจรวดไบโคนูร์ ประเทศคาซัคสถาน หลังจากที่เลื่อนมาจากต้นเดือนต.ค. เนื่องจากพบวัตถุปนเปื้อนในห้องส่วนยอดของจรวดโซยูซที่ใช้เก็บยานวีนัส เอ็กซ์เพรส จรวดโซยูซ-เฟรกัส ของรัสเซียจะนำยาน "วีนัส เอ็กซ์เพรส" ขึ้นสู่อวกาศในเวลา 06.33 น. วันที่ 9 พ.ย. ยานอวกาศลำนี้มีน้ำหนัก 1.27 ตัน ภายในบรรทุกอุปกรณ์ 7 อย่าง เพื่อทำแผนที่พื้นผิวดาวศุกร์ ตรวจสอบสภาพอากาศ ความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ การก่อตัวของเมฆหมอก ความเร็วลมและส่วนประกอบของก๊าซ คาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจและหาทางป้องกันภาวะโลกร้อน ทั้งนี้ แม้ว่าดาวศุกร์มีความคล้ายคลึงกับโลกทั้ง (ข่าวสด พฤหัสบดีที่ 3 พ.ย 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





“หมวกกันน็อกไฮเทค” ไม่สวมสตาร์ทไม่ติด!

“สุนทร ฉิมม่วง” และ “พรชัย ลีแอล” นักศึกษาชั้นปีที่ 2คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม ภาควิชาอุตสาหกรรมศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีโทรคมนาคม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ วิทยาเขตนนทบุรี ประดิษฐ์ “หมวกกันน็อกไฮเทค” ไม่สวมสตาร์ทไม่ติด! “หมวกกันน็อกไฮเทค” นี้ผลิตขึ้นเวอร์ชั่น 2 เนื่องจากเวอร์ชั่นแรกไม่สามารถทำในเชิงพาณิชย์ได้ มีแต่หมวกกับรถเพียงชุดเดียว ยังไม่มีการใช้เทคโนโลยีเข้าไปมากนัก แต่เวอร์ชั่นที่ 2 จะผลิตขึ้นมาเพื่อให้สอดคล้องในเชิงพาณิชย์ โดยสามารถผลิตได้เป็นหมื่นๆ ชุด ซึ่งหากผลิตคราวละมากๆ ก็ช่วยลดต้นทุนการผลิตก็จะอยู่ที่ประมาณ 2,000 บาท ซึ่งไม่รวมราคาหมวก ความพิเศษของ “หมวกกันน็อกไฮเทค” ใบนี้อยู่ตรงที่มีอุปกรณ์เซ็นเซอร์ภายในหมวก เพื่อตรวจสอบผู้ขับขี่ว่าสวมหมวกกันน็อกหรือไม่ จากนั้นเมื่อเซ็นเซอร์ตรวจสอบแล้วว่าผู้ขับขี่สวมหมวกกันน็อกแล้ว ก็จะส่งรหัสผ่านซึ่งเป็นคลื่นความถี่วิทยุ มายังวงจรควบคุมการทำงานที่ติดตั้งอยู่ในตัวรถถังจักรยานยนต์ เพื่อให้วงจรควบคุมสั่งงานเชื่อมต่อระบบไฟฟ้าในรถให้สามารถทำงานได้ ถ้าหมวกกันน็อกหาย ก็สามารถใส่คีย์พาสเวิร์ด บนชุดควบคุมการทำงานได้ แต่หากกดรหัสผิด 3 ครั้ง รถจักรยานยนต์ก็จะไม่สามารถใช้งานได้ 30 นาที หลังจากนั้นระบบก็จะเริ่มทำงานใหม่ได้ แต่ทั้งนี้ระบบดังกล่าวใช้ได้กับหมวกที่ได้รับการรับรองจากมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) แล้วเท่านั้น ถ้ามีผู้ลักไก่ด้วยการกดรหัส แล้วไม่ยอมสวมหมวกกันน็อก เพราะถ้าผู้ขับขี่ไม่ใส่หมวกนานเกิน 1 นาที จะทำให้รถจักรยานยนต์ดับ โดยก่อนที่จะดับ 30 วินาทีจะมีการเตือนว่าไม่ได้สวมหมวกในขณะขับขี่ โดยจะมีไฟกระพริบสีแดงที่หน้าปัดนาน 30 วินาที ผู้สนใจ “หมวกกันน็อกไฮเทค” นี้สามารถติดต่อได้ที่โทร.0-9213-6020 (สยามรัฐรายวัน ศุกร์ที่ 4 พ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





ดร.บุรินทร์ กำจัดภัย นักวิจัยดีเด่น สกว.จาก มน.

ดร.บุรินทร์ กำจัดภัย อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก ได้รับรางวัลนักวิจัยรุ่นใหม่ดีเด่น จากผลงานวิจัยเรื่อง "การตรวจสอบฟิสิกส์ของเอกภพในระยะแรกเริ่มและแบบจำลองของจักรวาล" นับเป็น 1 ใน 7 นักวิจัยรุ่นใหม่ของประเทศไทยที่ได้รับรางวัลเหรียญทอง พร้อมเช็คเงินสดมูลค่า 47,000 บาท โดยได้รับรางวัลเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ที่ผ่านมา สำหรับเกณฑ์ในการพิจารณาว่าใครจะได้รับรางวัลนักวิจัยดีเด่น ก็คือจะต้องเป็นนักวิจัยรุ่นใหม่ที่ได้รับทุนจาก สกว. ส่วนใหญ่ต้องดำเนินการในประเทศไทยและเป็นโครงการที่มีผลการวิจัยดีเด่น เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ ซึ่งงานวิจัยเรื่อง "การตรวจสอบฟิสิกส์ของเอกภพในระยะแรกเริ่มและแบบจำลองของจักรวาล" ของ ดร.บุรินทร์ กำจัดภัย นั้น มีแนวคิดจากข้อจำกัดของระดับพลังงานของเครื่องเร่งอนุภาคบนพื้นโลก ทำให้ต้องอาศัยการศึกษาผลทางจักรวาลวิทยา โดยเฉพาะการศึกษามีอยู่ของพลังงานมืดและสสารมืดจะช่วยให้การสร้างแบบจำลองของฟิสิกส์พลังงานสูงที่แม่นยำยิ่งขึ้น อันจะมีส่วนช่วยในการตรวจสอบความถูกต้องของทฤษฎีแห่งสรรพสิ่ง โดยงานวิจัยชิ้นนี้ได้พยายามทำนายชะตากรรมของจักรวาลที่มีพลังงานมืดอยู่ในนั้น ว่าจักรวาลจะจบอย่างไร จะฉีกออกหรือไม่ จะเกิดขึ้นเมื่อใดในสภาพอย่างไร ทั้งนี้พลังงานมืดนับเป็นพลังงานที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ และไม่ทำอันตรกิริยากับสสารใด พลังงานมืดเป็นสนามพลังงานที่ทำให้เกิดการขยายตัวเร่งออกของจักรวาล ซึ่งมีผลกับจักรวาลโดยตรง จักรวาลทุกวันนี้ไม่ได้ขยายตัวแบบช้าลง หากแต่เร่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งขัดแย้งกับทฤษฎีเดิม คือ ทฤษฎีบิ๊กแบง (Big Bang) งานวิจัยได้ทำนายอนาคตว่า อีกหลายพันล้านปี พลังงานมืดจะมีมากกว่าพลังงานอื่น จะทำให้เกิดการฉีกตัวของจักรวาล โลก/ดวงอาทิตย์จะโดนฉีกออก ท้ายที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างก็จะถูกฉีกออก จนกระทั่งกระจายไปทุกที่ในจักรวาล สำหรับประโยชน์ทางอ้อมจะเกิดกับสังคมไทย ในแง่ที่ว่าสังคมไทยยังขาดแคลนบุคลากรที่มีกระบวนทัศน์เชิงพลวัต ในการแก้ปัญหาแบบองค์รวมที่เริ่มจากองค์ประกอบ รากฐานของธรรมชาติ การวิจัยทางฟิสิกส์รากฐานจะมีส่วนในการสร้างบัณฑิตที่มีกระบวนทัศน์ดังกล่าว และทำให้บัณฑิตมีความรู้และรากฐานที่แน่นหนา ที่จะนำไปสู่การเป็นอาจารย์ นักวิจัย นักคิดที่รู้จริง และมองภาพโครงสร้างของปัญหาต่างๆ รวมถึงในศาสตร์อื่นๆ โดยรวมได้อย่างแตกฉาน (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 4 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





บิดาแห่งการโคลนนิงมนุษย์เยือนไทย

บิดาแห่งมนุษย์โคลนชาวเกาหลีใต้ ประกาศความร่วมมือ มทส พัฒนาเทคโนโลยีสเต็มเซลล์ตัวอ่อน พร้อมแลกเปลี่ยนนักวิจัยและเทคโนโลยี ศ.ดร.ฮวาง วู-ซุก ผู้บุกเบิกด้านการโคลนนิง และงานวิจัยสเต็มเซลล์ตัวอ่อนมนุษย์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล เกาหลีใต้ เดินทางมาร่วมประชุมวิชาการเทคโนโลยีชีวภาพการเจริญพันธุ์เอเชีย ครั้งที่ 2 เรื่องนวัตกรรมเพื่อชีวิตในอนาคต ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ พร้อมทั้งบรรยายพิเศษโดยสรุปว่า ขณะนี้ศูนย์สเต็มเซลล์โลก (World Stem Cell Hub) ทางศูนย์พร้อมจะเป็นศูนย์กลางหลักในการผลิตและป้อนสเต็มเซลล์ไลน์ใหม่ที่ได้มาจากสเต็มเซลล์ตัวอ่อนให้กับนักวิจัยที่สนใจทำวิจัยทางด้านนี้ ศูนย์สเต็มเซลล์โลก จะทำหน้าที่แบ่งปันสเต็มเซลล์ตัวอ่อน (เซลล์ไลน์) ข้อมูลและเทคโนโลยีให้กับผู้ที่ต้องการจะเข้ามาทำวิจัยร่วมกัน เรากำลังขยายพื้นที่การเรียนรู้ให้มากขึ้น โดยจะพัฒนาให้ศูนย์แห่งนี้ เป็นศูนย์กลางด้านความรู้และจัดฝึกอบรมเกี่ยวกับสเต็มเซลล์ตัวอ่อนให้กับนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ศูนย์เปิดรับอาสาสมัครบริจาคเซลล์ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา มีผู้แสดงความจำนงยื่นเสนอบริจาคเซลล์แล้ว 2,600 ราย ให้กับศูนย์สเต็มเซลล์โลก ซึ่งมีเป้าหมายที่จะใช้เทคนิคเซลล์ต้นกำเนิด เพื่อรักษาโรคที่ยากแก่การรักษา นอกจากนี้ ทางศูนย์กำลังเตรียมเปิดสาขาในสหรัฐ และอังกฤษ เพื่อเป็นทางออกให้กับนักวิจัยที่ต้องการวิจัยสเต็มเซลล์ตัวอ่อนมนุษย์ แต่รัฐบาลในประเทศนั้นๆ มีข้อห้ามการสร้างสเต็มเซลล์ ศ.ดร.ฮวาง บอกว่า การตั้งสาขาในสหรัฐได้รับการสนับสนุนที่ดีจากภาคเอกชนจำนวนมาก การมาร่วมงานประชุมในครั้งนี้ของ ศ.ดร.ฮวาง นอกจากจะมาเผยแพร่ความรู้และเทคโนโลยีด้านสเต็มเซลล์ตัวอ่อนแล้ว ยังจะเปิดรับคัดเลือกทีมวิจัยของไทยที่จะทำงานร่วมกันด้วย ด้าน ดร.รังสรรค์ พาลพ่าย หัวหน้าศูนย์วิจัยเทคโนโลยีตัวอ่อนและเซลล์ต้นกำเนิด มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส) และประธานการจัดงานประชุม กล่าวว่า มทส จะเป็นทีมหนึ่งที่เข้าร่วมกับศูนย์สเต็มเซลล์โลก โดยคาดว่าหากเกาหลีคัดเลือกทีมวิจัยในไทยได้แล้ว น่าจะสามารถลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกันได้ในปีหน้า (ประชาชาติธุรกิจ ศุกร์ที่ 4 พ.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ระบบนำร่องรถยนต์ไฮเทค

นักวิจัยจากบริษัทซีเมนส์และมหาวิทยาลัยลินซ์ ประเทศออสเตรีย ร่วมมือกันพัฒนาระบบนำร่องสำหรับรถยนต์แบบใหม่ล่าสุด โดยจอภาพของแผนที่นำทางจะเป็นภาพเส้นทางที่กำลังขับรถอยู่จริง และมีภาพคอมพิวเตอร์กราฟิกแสดงเส้นทางการขับขี่ที่ถูกต้องขึ้นมาทาบทับพื้นถนน นอกจากนั้น ยังมีลูกศรชี้นำทางปรากฏขึ้นมาบนจอภาพอีกด้วย ช่วยให้คนขับเลี้ยวรถไปทางซ้าย หรือขวาอย่างถูกต้อง ระบบนำร่องด้วยข้อมูลจากดาวเทียม หรือระบบ "จีพีเอส" สำหรับรถยนต์รุ่นเก่านั้นจะแสดงภาพคอมพิวเตอร์กราฟิกในลักษณะแผนที่แบบมิติเดียวเหมือนกับแผ่นแผนที่ทั่วไป แต่ทีมนักวิจัยเกิดแนวคิดใหม่ ติดตั้งกล้องถ่ายวิดีโอขนาดเล็กในบริเวณที่ปัดน้ำฝันหน้ารถ เพื่อใช้ถ่ายภาพเส้นทางข้างหน้าให้ขึ้นมาปรากฏบนจอภาพของระบบนำร่อง ไดเตอร์ โคล์บ ผู้จัดการโครงการซีเมนส์ คอร์เปอเรต เทคโนโลยี กล่าวว่า ระบบนำร่องรถยนต์แบบใหม่ดังกล่าวมีชื่อว่า "ดิ อ็อกเมนต์ เรียลลิตี้ เนวิเกชั่นแนล" ทำงานเหมือนระบบนำร่องจีพีเอสในปัจจุบัน แต่จุดแตกต่างก็คือ ระบบจะสร้างแบบจำลองสภาพภูมิประเทศ 3 มิติขึ้นมาเพื่อให้สอดรับกับข้อมูลภาพจากกล้องวิดีโอ จากนั้นหน่วยประมวลผลคอมพิวเตอร์จะทำหน้าที่ส่งภาพกราฟิกขึ้นมาทับกับถนนเพื่อชี้ทิศทางการขับรถโดยอัตโนมัติ ช่วยให้คนขับตรวจดูเส้นทางง่ายขึ้น (ข่าวสด ศุกร์ที่ 4 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ป.เอกจุฬาฯสร้างชื่อวารสารชั้นนำตีพิมพ์ผลงาน

ที่คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 4 พ.ย. ศ.ดร.เปี่ยมศักดิ์ เมนะเศวต คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้วารสารวิทยาศาสตร์ “Nature” ซึ่งเป็นวารสารชื่อดังของโลก ตีพิมพ์ผลงานทางวิชาการของนิสิตปริญญาเอก ของคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ของ ดร.ปิยมาศ นานอก เรื่องพฤติกรรม “กาฝาก” ในรังผึ้งมิ้ม (Apis florea) ซึ่งถือเป็นองค์ความรู้ใหม่ที่เป็นฐานที่จะได้มีการศึกษาต่อๆไป ด้าน ศ.ดร.วิชัย บุญแสง รอง ผอ.สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กล่าวว่า ผู้ที่ได้รับการตีพิมพ์จะเป็นที่ยอมรับ ทั้งผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล ก็ต้องผ่านการตีพิมพ์จากวารสารฉบับนี้ ในส่วนของ สกว.เองให้ทุนนักวิจัย 1,000 คน มีผลงานวิจัยประมาณ 2,000 เรื่อง ได้รับการตีพิมพ์เพียง 3 เรื่องเท่านั้น ด้าน ดร.ปิยมาศ กล่าวว่า รู้สึกดีใจมากที่ผลงานได้รับการตีพิมพ์ และในงานวิจัยพบว่า เมื่อใดที่ผึ้งขาดผึ้งนางพญา พฤติกรรมการกำจัดไข่ของผึ้งงานจะลดลง จากการศึกษาผึ้งมิ้มโดยใช้เทคนิค microsatellite analysis เพื่อตรวจสอบ genotype ของผึ้งงาน ไข่ของผึ้งงาน ตัวอ่อน และดักแด้ที่เจริญมาจากไข่ของผึ้งงานพบว่า มีผึ้งงานจากรังอื่นแอบเข้ามาอาศัยอยู่ร่วมด้วย และยังพบไข่ ตัวอ่อน และดักแด้ ที่มีกำเนิดมาจากผึ้งงานของรังอื่นด้วย พฤติกรรมดังกล่าวเรียกว่า “social parasitism” หรือ “พฤติกรรมกาฝาก” ซึ่งอธิบายได้ว่า เมื่อรังผึ้งขาดนางพญาแล้ว ผึ้งงานจะหนีรังและไปอาศัยอยู่ในรังอื่น เพื่อวางไข่ของตนให้ผึ้งงานในรังอื่นเลี้ยง อีกทางหนึ่งเมื่อรังผึ้งขาดนางพญาแล้ว ผึ้งงานจากรังอื่นก็อาศัยช่องว่างดังกล่าวเข้ามาวางไข่ เพื่อให้ผึ้งงานในรังที่นางพญาหายไปเลี้ยงลูกแทนตนเอง ซึ่งเป็นการพบพฤติกรรมนี้เป็นครั้งแรกในผึ้งมิ้มในประเทศไทย (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 5 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





ไทยเพาะสำเร็จ กล้วยไม้พันธุ์ใหม่

น.ส.ภัทริน ซอโสตถิกุล เจ้าของโครงการการ์เด้นมอลล์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้นำกล้วยไม้พันธุ์ใหม่ มาเปิดแสดงในโครงการ ซึ่งเชื่อว่าเป็นพันธุ์ที่ไม่มีในโลก เพราะได้จากการเพาะพันธุ์ จากกล้วยไม้พันธุ์ลูกไทยกับช้างกระ ด้วยวิธีการปั่นตา แล้วนำเนื้อเยื่อมาเพาะ ด้วยภูมิปัญญาของคนไทย จนเกิดพันธุ์ลูกผสม มีสีดอกที่แปลก ลำต้นแข็งแรง การเพาะพันธุ์กล้วยไม้ชนิดนี้ มีวิธีคล้ายกับพันธุ์แวนด้า สันทรายบลู ที่เคยทำรายได้เข้าประเทศไทย หลายร้อยล้านบาทมาแล้ว ซึ่งคณะกรรมการทางสมาคมกล้วยไม้แห่งประเทศไทย มีความคาดหวังว่ากล้วยไม้พันธุ์นี้จะมีความโดดเด่น และน่าจะทำรายได้เข้าประเทศได้หลายร้อยล้านบาทเช่นกัน เจ้าของโครงการการ์เด้นมอลล์กล่าวอีกว่า กล้วยไม้ต้นที่นำมาให้ดูเป็นกล้วยไม้ต้นแรก และน่าจะออกดอกเป็นช่อแรกของโลก ซึ่งยังไม่มีชื่อเป็นทางการ สำหรับจุดขายของกล้วยไม้พันธุ์ใหม่นี้มีความสวยงาม ทนทานต่อสภาพอากาศร้อน กลิ่นหอมสดชื่น ซึ่งเป็นกลิ่นที่สามารถใช้ทำหัวเชื้อน้ำหอมได้ มีสีเขียวที่ตัวดอก มีกระกระจายอยู่ทั่วไปคล้ายกล้วยไม้พันธุ์ช้างกระ ปลายของเกสรดอกจะเป็นสีม่วงเข้มจัด ทำให้ตัดกับตัวดอกสวยงามไปอีกแบบหนึ่ง เลี้ยงง่าย ออกดอกปีละ 3 ครั้ง อายุดอกอยู่ได้นาน 2-3 เดือน จากการสอบถามผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับกล้วยไม้เป็นพันธุ์ใหม่เพาะยาก ผู้เพาะคือนายวุฒิพันธ์ กี่สง่า ที่บอกว่ามีคนมาให้ราคาที่สูงมากแต่ไม่ขาย เพราะว่าพันธุ์สามารถทำรายได้ให้เจ้าของหลายล้านบาท เมื่อนำไปขยายพันธุ์ด้วยการเพาะแบบเนื้อเยื่อ ขณะที่ ศ.ดร.ระพี สาคริก ผู้เชี่ยวชาญด้านกล้วยไม้ กล่าวว่า ยังไม่เห็นกล้วยไม้ต้นดังกล่าว แต่เท่าที่ทราบ เป็นลูกผสมระหว่างขาวแกะกับช้างกระ จึงได้พันธุ์ใหม่ ถือว่าเป็นต้นเดียวของโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมที่คนไทยทำได้ (ไทยรัฐ อาทิตย์ที่ 6 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





เครื่องช่วยป้อนอาหาร

ชัชวาล คำเพชรดี หัวหน้าทีมผู้ประดิษฐ์ “เครื่องช่วยป้อนอาหาร” จากวิทยาลัยการอาชีพพิมาย เปิดเผยว่า การประดิษฐ์ดังกล่าวต้องการช่วยเหลือผู้เป็นอัมพฤกษ์ หรือผู้พิการทางแขน ที่ไม่สามารถที่จะทานอาหารด้วยตนเองได้ ซึ่งจะได้ไม่กลายเป็นภาระของใคร อุปกรณ์ดังกล่าวมี 3 ระบบคือ ตัวจับยึดโต๊ะ ตัวหมุนถาด และแขนกล ที่จะทำให้อุปกรณ์มีความสมบูรณ์ และในระบบแขนกลตรงนี้มี 3 ระบบคือ ระบบธรรมดา อัตโนมัติ และระบบติดตั้ง โดยใช้มอเตอร์ทำงาน เพื่อหมุนช้อนลงไปตักข้าว และหมุนตักข้าวขึ้นมาที่ปากได้ ระบบดังกล่าวสามารถควบคุมการทำงานด้วยการหมุนคันกระเดื่อง ใช้มือและเท้าบังคับ ซึ่งรูปแบบแรกที่ออกมาทำมาจากวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น ด้วยราคาไม่แพง การทำงานก็พอใช้ได้ ได้จดอนุสิทธิบัตรไว้เพราะเป็นความคิดใหม่ และน่าจะพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไปอีกได้ หากจะผลิตขายในเชิงพาณิชย์ยอด (เดลินิวส์ อาทิตย์ ที่ 6 พ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





ข่าวทั่วไป


หมอเตือนนอนกรนระวังภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

รศ.น.พ.วีระชัย คีรีกาญจนะรงค์ ภาควิชาโสตนาสิกลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสวนาเรื่อง “นอนกรน รักษาได้” ว่า คนที่นอนกรนจะหลับไม่สนิท ในตอนกลางคืน เมื่อตื่นนอนแล้วไม่สดชื่น ทั้งๆ ที่นอนมากตื่นสายก็ยังมีอาการง่วงๆ ซึมๆ หงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย ความสามารถในการจำลดลง ขาดการกระตือรือร้นในการทำงาน ทำงาน ไม่เป็นผล ง่วง หาวนอนตอนกลางวันเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุจากการทำงานได้ การนอนกรนมีทั้งชนิดที่ไม่เป็นอันตราย เพียงสร้างความรำคาญแก่คนที่นอนด้วย หรือรบกวนกระบวนการนอน ทำให้สะดุ้งตื่นบ่อยจากเสียงกรนของตนเอง กับชนิดที่เป็นอันตรายคือ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ หรือการอักเสบของต่อมทอนซิล ต่อมอะดินอยด์ ซึ่งพบมากในเด็ก การนอนกรนมักเกิดในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมาก มีรูปคางสั้น น้ำหนักมากกว่ามาตรฐาน ดื่มสุรา สูบบุหรี่ กินยาคลายเครียด หรือยานอนหลับเป็นประจำ ทำให้ระบบทางเดินหายใจมีประสิทธิภาพแย่ลง ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขจะทำให้เกิดโรคความดันเลือดสูง โรคหัวใจขาดเลือด และสมองขาดเลือดได้ง่าย การแก้ไขปัญหาทำได้โดยการควบคุมน้ำหนัก หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และยากล่อมประสาท การนอนหงายจะทำให้มีอาการกรน และหยุดหายใจได้บ่อยกว่า การนอนตะแคงหรือนอนคว่ำ หากมีอาการมากควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อทำการแก้ไขภาวะที่ทำให้มีการตีบตันของทางเดิน หายใจ ซึ่งมีทั้งการใช้เครื่องมือ ทางทันตกรรม การใช้เครื่องอัดอากาศ เพื่อช่วยหายใจขณะนอนหลับหรือการผ่าตัด ถ้าพบสาเหตุที่ชัดเจน เช่น การตีบของโพรงจมูก ต่อมอะดินอยด์โต ต่อมทอนซิลโต เป็นต้น (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 31 ต.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





อย.เล็งออกกฎคุม"เยลลี่" อายุต่ำกว่า3ขวบห้ามกิน

ดร.ภักดี โพธิศิริ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) กล่าวถึงกรณีเด็กอายุ 2 ขวบดังกล่าวเสียชีวิตเพราะกินเยลลี่ว่า ไม่ได้เป็นปัญหาที่ผลิตภัณฑ์ แต่เป็นปัญหาที่รูปแบบและวิธีการกิน โดยขนมเยลลี่เป็นอาหารที่อยู่ในความควบคุมของ อย. จัดอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ต้องขออนุญาตและต้องเป็นไปตามมาตรฐานการผลิต เหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นกับเด็กเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แต่เป็นเด็กอายุ 6 ปี ที่ จ.นครศรีธรรมราช ที่ซื้อขนมเยลลี่มาและบริโภคด้วยวิธีที่ดูตื่นเต้น เช่น การดูดเยลลี่เข้าปากโดยเร็ว ทำให้ไหลลงลำคอและไปอุดกั้นหลอดลม ได้มอบให้ทางผู้เชี่ยวชาญอาหารไปดูเพิ่มเติม ในเรื่องการให้ข้อมูลวิธีการกินเยลลี่กับผู้บริโภคมากขึ้นเพื่อป้องกันปัญหา ซึ่งอาจเสนอให้ติดคำเตือนลงไปในฉลาก ทำให้เกิดความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะผู้ปกครองที่จะนำให้เด็กรับประทาน ซึ่งเดิมเพียงแต่กำหนดเตือนว่า ไม่ให้กินมากเกินไปเท่านั้น นอกจากนี้ ยังอาจจะพิจารณากำหนดอายุ โดยอาจระบุว่า เด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบไม่ควรบริโภค เพราะไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์ที่เยลลี่ผสมหัวบุกที่อยู่ในความควบคุม เป็นเส้นใยยากต่อการย่อย เมื่อเด็กเล็กกินเข้าไปอาจทำให้เกิดปัญหาติดท่อหลอดลมได้เช่นกัน จึงกำหนดให้ผลิตขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่ต่ำกว่า 4.5 ซม. เพื่อให้เป็นลักษณะของการตักกิน และควรบริโภคเฉพาะเด็กโตหรือผู้ใหญ่เท่านั้น (มติชนรายวัน อังคารที่ 1 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





5วิธีง่ายๆ... ผ่อนคลายให้หาย"เครียด

"วิถีแห่งการคลายเครียดทั้ง 5" จากงานสัมมนา "สายสุขภาพไฟเซอร์กับเคล็ดลับฝ่าวิกฤตโรคเครียด" นพ.พนมทวน ชูแสงทอง จิตแพทย์ และอาจารย์ประจำวิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล บอกว่า วิธีที่ 1 "พูด" ระบายความเครียด ลองหาคนสนิทไว้ใจได้และพร้อมที่จะรับฟังเป็นคู่สนทนาระบายสิ่งที่อึดอัดใจอยู่ข้างใน แม้คู่สนทนาจะไม่ช่วยแก้ไขปัญหาได้ แต่อย่างน้อยก็ได้ปลดปล่อยและระบายภาวะเครียดได้ส่วนหนึ่ง วิธีที่ 2 "กิน" อาหารคลายเครียด ช็อกโกแลตกับน้ำมะตูม จะช่วยลดความตึงเครียดและขับลมได้เป็นอย่างดี ส่วนใครที่เครียดจนนอนไม่หลับ ก่อนนอนหยิบกล้วยเชื่อมกับนม รับรองหลับสบายแน่นอน แต่หากกลัวจะหุ่นไม่ "เช้ง" เปลี่ยนเป็นกล้วยหอมสุกหรือกล้วยน้ำว้าสุกก็ได้ผลดีเช่นเดียวกัน วิธีที่ 3 " "ดนตรีคลายเครียด" ด้วยการใช้เพลงบรรเลง อาทิ บีโธเฟ่น ไชคอร์ฟสกี โมสาร์ท หรือค้างคาวกินกล้วยของไทยเรา รวมถึงดนตรีกลุ่มเสียงธรรมชาติ เช่น น้ำตก นกร้อง เสียงคลื่นเบา ก็ช่วยให้ผ่อนคลายได้มากทีเดียว วิธีที่ 4 "ดม" กลิ่นบำบัดหรือที่เรียกว่าอโรมา เทอราปี เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้หายจากอาการเครียดได้ชะงัก ไม่ว่าจะใช้ธูปหอมกลิ่นที่สดชื่น หรือหยดน้ำมันหอมระเหยแล้วนอนหรือทำงานผ่อนคลายไปด้วย ควบคู่ไปกับการแช่น้ำอุ่นๆ กลิ่นที่ช่วยผ่อนคลายได้ดีคือ กลิ่นไม้จันทน์หอม กลิ่นกำยาน ช่วยผ่อนคลาย ส่วนกลิ่นการบูร กลิ่นส้ม กลิ่นมะนาว สร้างความสดชื่น สุดท้าย "นวด" ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ นั่งหรือนอนในท่าที่สบายๆ ค่อยๆ เกร็งกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ไล่จากปลายเท้า ข้อเท้า น่อง ต้นขา ลำตัว แขน มือ นิ้ว ไหล่ คอ ศีรษะ และใบหน้า เกร็งไว้สักอึดใจหนึ่ง จากนั้นค่อยๆ ผ่อนคลายย้อนกลับไป โดยเริ่มใบหน้าจนถึงปลายเท้า เท่านี้ก็ช่วยให้บรรเทาจากอาการคลายเครียดได้แล้ว (มติชนรายวัน อังคารที่ 1 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





แพทย์เตือนนั่งอ่าน"อีเมล์"ทั้งวันเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ

ดร.ดั๊กมอร์ กล่าวว่า เทคโนโลยีอีเมล์ทำให้พนักงานสำนักงานไม่ต้องลุกเดินออกจากโต๊ะไปส่งจดหมาย ส่งข้อความ หรือทำการสื่อสารใดๆ กับเพื่อนร่วมงาน เนื่องจากการติดต่อสื่อสารใช้วิธีส่งอีเมล์ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้เลย พฤติกรรมเช่นนี้ถือเป็นการทำลายสุขภาพทางหนึ่งเช่นกัน เพราะร่างกายแทบไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหนเลยในแต่ละวัน ดร.ดั๊กมอร์ กล่าวแนะนำ โดยทั่วไปคนที่นั่งทำงานทั้งวัน ควรสละเวลาออกกำลังกายบ้างวันละ 40 นาที นอกจากนั้น ควรเดินขึ้นลงบันได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ขึ้นลิฟต์ตลอดเวลา (มติชนรายวัน อังคารที่ 1 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





รู้จักมาตรฐาน CG-ROSC

ในเอกสาร "มอง CG ตลาดทุนไทยผ่านแว่นตาธนาคารโลก" ที่จัดทำโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาด หลักทรัพย์ อธิบายถึงการประเมินผลการปฏิบัติตามมาตรฐานสากล CG หรือ CG-ROSC (Corporate Governance-Report on the Observance of Standards and Codes) ไว้ว่า CG-ROSC เป็นโครงการของธนาคารโลกที่ประเมินว่าตลาดทุนของแต่ละประเทศนั้นเป็นไปตามมาตรฐานสากลมากน้อยเพียงใด โดยปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมโครงการกว่า 31 ประเทศ เฉพาะประเทศในแถบเอเชียมีผู้เข้าร่วมโครงการ 7 ประเทศ ได้แก่ เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย อินเดีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ฮ่องกง และไทย โดยเกณฑ์ที่ธนาคารโลกใช้ประเมิน CG นั้นกำหนดโดยองค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (organization for economic cooperation and development) หรือหลัก OECD ซึ่งมีทั้งหมด 32 ข้อ แบ่งออกเป็นหมวดใหญ่ๆ 6 หมวด 1.โครงสร้างพื้นฐานด้าน CG 2.สิทธิของผู้ถือหุ้น 3.การปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นอย่างเท่าเทียม 4.บทบาทของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น พนักงาน เจ้าหนี้ และชุมชนที่บริษัทตั้งอยู่ 5.การเปิดเผยข้อมูลและความโปร่งใส 6.บทบาทและความรับผิดชอบของกรรมการบริษัท โดยในการประเมินแต่ละหัวข้อว่าจะเป็นไปตามหลัก OECD หรือไม่ หรือมากเพียงใด จะพิจารณาจากกลไกต่างๆ ที่มีในตลาดทุนว่ามีส่วนส่งเสริมให้เกิด CG ที่ดีมากน้อยเพียงใด อาทิ มีกฎหมายและกฎเกณฑ์รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายที่จริงจังและมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามมาตรฐานสากลหรือไม่ ผู้ปฏิบัติมีความรู้ความเข้าใจและให้ความสำคัญต่อเรื่อง CG รวมทั้งมีการนำแนวทาง CG ไปใช้เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติหรือไม่ และมีสภาพแวดล้อมที่ผลักดันให้เกิด CG ที่ดี เช่น ผู้ลงทุนขยันขันแข็งในการใช้สิทธิของตนหรือไม่ สำหรับผลการประเมินธนาคารโลกจะแบ่งเป็น 5 ระดับ ได้แก่ O, LO, PO, MNO และ NO โดยสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มดังนี้ 1.กลุ่มที่ถือว่าทำได้ตามมาตรฐานสากลแล้ว ได้แก่ คะแนนระดับ O (observed) ที่หมายถึงมีหลักเกณฑ์ตรงกับสากลและปฏิบัติตามครบถ้วน และ LO (largely observed) หมายถึงมีหลักเกณฑ์ตรงกับสากล การปฏิบัติขาดเพียงเรื่อง เล็กน้อย 2.กลุ่มที่ควรมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อปรับปรุง/ยกระดับ คือคะแนนระดับ PO (partially observed) หมายถึงมีหลักเกณฑ์ตรงกับสากล แต่การปฏิบัติบางเรื่องยังไม่จริงจังเพียงพอ 3.กลุ่มที่คะแนนไม่ผ่าน/ต่ำกว่ามาตรฐาน ได้แก่ คะแนนระดับ MNO (materially not observed) หมายถึงหลักเกณฑ์ที่ยังไม่ตรงกับสากล หรือตรงแต่ไม่เชื่อว่าจะปฏิบัติได้ และ NO (not observed) หมายถึงไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร สำหรับขั้นตอนในการประเมิน ธนาคารโลกจะเข้ามาเก็บข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับตลาดทุนไทยและข้อมูลในเชิงลึกด้วยการสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องในแวดวงตลาดทุน เช่น บริษัทจดทะเบียน บริษัทหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก.ล.ต. และผู้ลงทุน เป็นต้น (ประชาชาติธุรกิจ อังคารที่ 1 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/prachachart)





อันตรายจากกลิ่นน้ำมันเบนซิน

พฤติกรรมหนึ่งสำหรับผู้ขับรถยนต์ ที่มักจะชอบทำอยู่บ่อยๆ เวลาเติมน้ำมันรถก็คือ เปิดประตูรถทิ้งไว้เล็กน้อย ทำให้ไอน้ำมันต่างๆ รวมทั้งกลิ่นน้ำมันเบนซินที่เติมเข้าไปนั้น ทำให้เกิดปัญหากับสุขภาพได้หากได้รับปริมาณมากๆ และเป็นเวลานานเหตุก็เพราะไอน้ำมันและน้ำมันเบนซิน มีสารที่สามารถทำลายไขกระดูกผสมอยู่คือ สารไฮโดรคาร์บอน โดยสารดังกล่าวอาจทำให้เกิดปัญหาของไขกระดูกฝ่อหรือไขกระดูกไม่ทำงาน หรืออาจจะเป็นสารก่อมะเร็งได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งเม็ดเลือด ที่น่ากลัวก็คือในเด็กเล็กๆ ยิ่งมีโอกาสเสี่ยงสูง ทั้งนี้ ก็เพราะเซลล์ต่างๆ ยังค่อนข้างไวต่อการเปลี่ยนแปลงและการถูกทำลายจากสิ่งแวดล้อม โอกาสได้รับผลกระทบจึงมากกว่าผู้ใหญ่นั่นเอง การสูดดมไอน้ำมันหรือสารต่างๆ จากน้ำมันอยู่เสมอๆ ก็สามารถทำให้ระคายเคืองเยื่อบุจมูกอีกต่างหาก ซึ่งถ้านานวันไปก็อาจทำให้เป็นโรคเยื่อบุจมูกอักเสบเรื้อรังได้ (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 2 พ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





องค์การเภสัชเริ่มผลิตยาทามิฟลูรักษาไข้หวัดนก

พลโท นายแพทย์มงคล จิวะสันติการ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม แถลงว่า องค์การเภสัชกรรมได้ซื้อวัตถุดิบสารตั้งต้นเพื่อผลิตยาโอเซลทามิเวียร์หรือชื่อการค้าในต่างประเทศว่า ยาทามิฟลู เพื่อรักษาไข้หวัดใหญ่ที่เกิดจากเชื้อไวรัสเอช 5เอ็น 1 หรือไข้หวัดนก จากประเทศอินเดีย ซึ่งมีการทดลองผลิตในห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันคุณภาพของวัตถุดิบแล้ว พบว่า มีการละลาย กระจายตัว ดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้ดี คาดว่าไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์ 2549 จะนำผลการศึกษาและตัวอย่างยาส่งให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นผู้ทดสอบเปรียบเทียบประสิทธิภาพกับยาทามิฟลูต้นแบบ และจะขอขึ้นทะเบียนกับ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ทั้งนี้กรมควบคุมโรคต้องการให้ผลิตยาทามิฟลูจำนวน 1 ล้านเม็ด เพื่อใช้ในกลุ่มเสี่ยงคือแพทย์ พยาบาล ผู้สูงอายุที่จะติดเชื้อง่ายประมาณ 100,000 คน ส่วนการผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ในคนนั้น ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า กำลังอยู่ระหว่างติดต่อกับประเทศจีน ญี่ปุ่นและฝรั่งเศส เกี่ยวกับเทคโนโลยีการผลิต ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ร่วมกับองค์การเภสัชกรรมได้เตรียมแผนรองรับไว้แล้ว หากรัฐบาลสั่งการมาอย่างเป็นทางการ สามารถดำเนินการได้ทันที ด้านเภสัชกรวันชัย ศุภจัตุรัส รองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า ราคาวัตถุดิบในการผลิตยาโซลทามิฟลูเพิ่มขึ้นประมาณ 5 เท่า จึงคาดว่าจะจำหน่ายยาในราคาเม็ดละ 70 บาท ซึ่งคนหนึ่งต้องรับประทาน 10 เม็ด มีค่าใช้จ่ายคนละ 700 บาทต่อโด๊ส ขณะที่ยานำเข้าราคาเม็ดละ 120 บาท (ประชาชาติธุรกิจ ศุกร์ที่ 4 พ.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





วัดรอบเอวไว้เตือนภัยความเสี่ยงโรค

ดรรชนีมวลกาย หรือที่แปลจากภาษาอังกฤษว่า body mass index (BMI) นั้นเป็นสูตรการคิดที่ให้นำน้ำหนักตัว เป็นกิโลกรัมเป็นตัวตั้ง หารด้วยความสูงเป็นเมตรที่ยกกำลัง 2 แล้ว (น้ำหนักเป็นกิโลกรัม/ความสูงเป็นเมตร)2 จะได้เป็นตัวเลขสองหลัก ถ้าได้ ระหว่าง 18.5-24.9 จัดว่าสุขภาพดี ถ้าผลลัพธ์อยู่ที่ 25-29.9 เข้าขั้นน้ำหนักเกิน แต่ถ้า 30 ขึ้นไปอันนี้ต้องบอกว่าน่าเป็นห่วง แน่นอนว่าการคิดดรรชนีมวลกายมีส่วนบอกได้ว่าเรามีปัจจัยเสี่ยง ต่อการเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ และเบาหวานมากน้อยเพียงใด แต่ก็ยังมีอีกวิธีที่พอจะส่งสัญญาณบอกเตือนความเสี่ยงต่อการเป็นโรคบางอย่างได้ เพียงแค่หยิบเอาสายวัดตัวมาใช้ให้เป็นประโยชน์ แล้วยืนเท้าชิดกันจากนั้นวัดหาเลขที่ออกระหว่างซี่โครงซี่สุดท้ายกับด้านบนของกระดูกสะโพก เมื่อได้ตัวเลขแล้วลองมาดูผลข้างล่างกัน หากเส้นรอบวงหรือเส้นรอบเอววัดออกมาได้ 36 นิ้วหรือกว่านั้น แสดงว่าการกระจายน้ำหนักค่อนข้างจะไม่ค่อยดีเท่าไร และเป็นสัญญาณที่ส่อแสดงว่าอาจเสี่ยงกับการเป็นโรคเบาหวานและหัวใจได้ด้วย ถ้าหากอัตราส่วนระหว่างกระดูกสะโพกกับเอวอยู่ในระดับต่ำแสดงว่ามีแนวโน้มจะดี ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงมีเส้นรอบเอว 30 นิ้ว ส่วนรอบสะโพก 40 นิ้ว อัตราส่วนที่ได้เป็น .74 ก็แสดงว่าอยู่ในระดับความเสี่ยงต่ำ แต่ถ้าหากคนที่มีรอบเอว 41 นิ้ว กับสะโพก 39 นิ้ว ค่าอัตราส่วนที่ได้ก็เป็น 1.05 แสดงว่ามีความเสี่ยง สูงที่จะเผชิญหน้ากับโรคเบาหวานหรือหัวใจได้ (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 5 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





ความสำคัญของเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก

โครงการเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2526 มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นมาตรการที่สามารถพิสูจน์ตรวจสอบและควบคุมประชาชนของประเทศไทยได้โดยทั่วถึงและสนับสนุนมาตรการการทำบัตรประจำตัวประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังช่วยพัฒนาระบบงานทะเบียนราษฎรให้มีความถูกต้อง รวดเร็ว สามารถสนับสนุนการป้องกันการทุจริตปลอมแปลงได้ เลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก หมายถึง การกำหนดเลขประจำตัวประชาชนให้แก่ประชาชนทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยด้วยเลข 13 หลัก หมายถึง สำนักทะเบียนที่ออกเลขประจำตัวประชาชนให้กับประชาชน ส่วนที่ 3 และส่วนที่ 4 รวมกันมี 7 หลัก หมายถึง ลำดับที่ของบุคคลในแต่ละประเภทของแต่ละสำนักทะเบียน ส่วนที่ 5 มี 1 หลัก หมายถึง เลขตรวจสอบความถูกต้องของเลขประจำตัวประชาชนทั้งหมด สำหรับเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ดังนี้ 1.เป็นกุญแจสู่บริการของรัฐในการติดต่อราชการต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องแสดงทะเบียนบ้านทุกครั้ง 2.เป็นมาตรการที่รักษาและคุ้มครองสิทธิเบื้องต้นในด้านสังคม การเมือง การปกครองของประชาชน เช่น สิทธิการเป็นพลเมืองไทย สิทธิเกี่ยวกับการรับมรดก สิทธิเกี่ยวกับการได้รับการบริการจากหน่วยงานของรัฐ สิทธิเงื่อนไขในด้านการทะเบียนราษฎร ฯลฯ 3.ประชาชนจะได้รับความสะดวกรวดเร็วในการรับบริการจากภาครัฐและเอกชน ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านอยู่ ณ ที่ใด สามารถขอรับบริการตรวจสอบรายการคัดสำเนาทะเบียนบ้าน รวมทั้งการแจ้งย้ายที่อยู่ได้ บัตรประจำตัวประชาชนเพียงใบเดียวสามารถรับบริการได้หลากหลายรูปแบบจากรัฐ ซึ่งหากพี่น้องประชาชนมีข้อสงสัยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางโทรศัพท์สายด่วน หมายเลข 1548 หรือ e-mail Addressm03094300@dopa.go.th หรือที่สำนักบริหารการทะเบียนกรมการปกครอง โทร.0-2791-7312-4 และสามารถเปิดดูได้ที่เว็บไซต์ www.khonthai.com (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 5 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215