หัวข้อข่าวปีที่ 6 ฉบับที่ 44 ประจำวันที่ 2005-11-19

ข่าวการศึกษา

8 องค์กรจับมือตั้ง 'สมาพันธ์สภาวิชาชีพฯ'
หนุนลดภาษีเอกชนอุ้มการศึกษา
ไต้หวันช่วยอีกแรง ส่งครูสอนภาษาจีน พร้อมอบรมครูไทย
เผย7มรภ.พร้อมเป็นม.ในกำกับรัฐบาล
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรให้บริการ ฐานข้อมูลงานวิจัยทางชาติพันธุ์ฯ
โอเพ่น ไลบรารี
"อ๋อย"ผุดโรดแม็ปพัฒนาอุดมศึกษา เดินหน้าแก้ปัญหามหาวิทยาลัยคุณภาพต่ำ
"ม.รังสิต"นำร่องถกแผนผลิตแรงงานทัวร์ตั้งรับFTA
สกอ.ดันตั้งองค์การมหาชนยกระดับอาจารย์-งานวิจัย
จุฬาฯชี้ผลิตครู4+1 แค่ช่วยเฉพาะหน้า จี้จุดขาดอัตราบรรจุ
นักวิชาการหวั่นภาษาถิ่นสูญแนะจัดสอนสองภาษาเพื่อสืบสานมรดกทางภาษา
ม.ทักษิณจับมืออังกฤษ-มาเลย์ เปิดโรงเรียนนานาชาติ"สงขลา"
มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก
"สพฐ."ทุ่มงบประมาณ 10 ล้าน จัดมหกรรมวิชาการโชว์ผลงานร.ร.
สงขลาเปิดใหม่สาขาปกครองท้องถิ่น
เอกชนแนะรัฐแบ่งหน้าที่ปั๊มบัณฑิต
เซนต์คาเบรียลคว้ารางวัลวิทย์ดีเด่น
สสวท.เผยแพร่ชุดสอน โปรแกรมจีเอสพีสู่ ร.ร.
จัดสอบพรีโอเน็ต รับเอนท์แบบใหม่
สกอ.หวั่นราชภัฏโตพรวด300%แต่ขาดแคลนอาจารย์เพียบ
นายกฯเปิดศูนย์ TCDC หวังสร้างนักออกแบบรุ่นใหม่
โอลิมปิกดาราศาสตร์ เหรียญที่ 2 ของประเทศไทยทรงเกียรติ นุตาลัย
แนะรับมือเสรีการศึกษาหวั่นต่างชาติแย่งนักเรียน
ศธ.เล็งเพิ่มศูนย์ความเป็นเลิศ อีก 12 แห่งพร้อมขยายอีก 8 สาขา
สกอ.ผุดสมาคมบ่มเพาะวิสาหกิจหวังขยายฐาน UBI ครบทุกสถาบัน
สกอ.ทวงเพิ่มเงินพนักงานมหา’ลัย

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

เกณฑ์เต่าทำสงคราม บังคับให้สอดแนมถ่ายภาพได้
แพทยสมาคมเปิดเวทีถกภัยมือถือ
"ปินส์"ขอไทยเป็นฐานผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด
สู่ยุค"แผนที่นำทาง"บนมาตรฐานโอเพ่นซอร์ส
ดาวเทียมยุโรปตรวจพบ ก้อนน้ำแข็งยักษ์"บี-15เอ"แตกตัว
เซลล์โบราณผสมพันธุ์ 65 ล้านปี นานที่สุดในโลก
มือถือขนาดบัตรเครดิต
ซูเปอร์คอมพ์เร็วที่สุดในโลก
นักวิจัยสำรวจ"ทะเลตรัง" พบพะยูน-หญ้าทะเลเพิ่ม
ญี่ปุ่นซึม"หุ่นยนต์สำรวจดาว"หาย
ป้องกันคนแอบใช้ Wi-Fi
"โลกร้อน"เพิ่มความเสี่ยงโรคระบาด
ตะกวด-อิกัวนาออสเตรเลีย เข้าบัญชีสัตว์มีพิษเยี่ยง งู-แมงมุม
ระบบเตือนภัยสึนามิขั้นต้น ติดตั้งระยะแรกชายฝั่งอินโดฯ
นาซาใช้"แทร็กเตอร์บีม" เบี่ยงดาวเคราะห์ชนโลก
"หมอวิชัย"ชี้"โป๊ยกั้กพะโล้" ไม่แก้หวัดนก-แค่สารตั้งต้น
ไทยรับมือโลกร้อนตามอนุสัญญายูเอ็น
มหัศจรรย์"ภูกระดึง" บ่อโคลนผุด-บ้านนาแปน

ข่าววิจัย/พัฒนา

ยกทรงรุ่นใหม่ประหยัดพลังงาน
มะกันสร้าง"ปืนเลเซอร์"ยิงตาบอด
ฝรั่งเศสผลิตต้นแบบ"วัคซีน"ต้านไข้หวัดนก
อุปกรณ์ตรวจ"หวัดนก" รู้ผล"คน-สัตว์"ติดโรคทันใจ
ม.ขอนแก่นชู'คราบงู'แผ่นทดสอบยาในแล็บ
พบฮอร์โมนลดน้ำหนักเร็วทันใจ 8 วันลดได้ 1 ใน 5
ยางวิเศษทำกาวปิดแผล ผสมเป็นหมากฝรั่งแถมทำยาได้ด้วย
'เครื่องคัดแยกผลไม้' ทุนต่ำ ผลงานนร.ราชสีมาวิทยาลัย
ผลิตภัณฑ์จากบอระเพ็ดความขมที่เป็นยา ด้วยกรรมวิธืที่แตกต่าง
เบิร์ด อายส์ วิว
“มะกอก” มีดี
เภสัช มอ.ผลิต “เคอร์คิวมินแคปซูล” สูตรสำเร็จเพื่อคนรักสุขภาพ
สั่งเชื้อราจากแอฟริกาตะวันออก อุปกรณ์ใหม่ปราบ 'มาลาเรีย'
วท.เจ๋งผลิตไมโครชิปวัดความดันหัวใจสำเร็จ
แปลงแบคทีเรียสู้เอดส์ เลี้ยงดูให้รู้จักสร้างสารยับยั้งเชื้อเอชไอวี
เด็กอัจฉริยะอายุยืนยาวกว่าปกติ
ศูนย์ทีเซลส์ระดมยีนต้นเหตุคนไทยขี้เมา
"โดรน"จิ๋วบินสอดแนมเหนือเมือง
ไม้เท้าเลเซอร์ช่วยผู้ป่วยพาร์กินสัน เดินสะดวกปลอดภัย
LPG-NGV จากขยะ
วิจัยมช.แนะรักลูกอย่าตี เสี่ยงพฤติกรรมก้าวร้าว
ม.เกษตรผุดศูนย์วิทยาศาสตร์หวัดนก
ว๊าว!"ถุงน่อง" วัสดุทำ"ขาเทียม"ชั้นเลิศ
ผลวิจัย"เอ็มอาร์ไอ"พบ "นั่งสมาธิ"ช่วยเพิ่มพลังสมอง
วิจัย"สเต็มเซลล์"เกาหลีป่วน ดร.มะกันแฉผิดจรรยาบรรณ

ข่าวทั่วไป

สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน เล่ม 30
เตรียมแปะสัญลักษณ์คุณภาพขนมเด็ก
เชื่อคำสอนแม่ไม่เป็นหวัด วิทยาศาสตร์พิสูจน์ว่าจริง
ใช้ยาถูกวิธีชีวีปลอดภัย
แพทย์ตื่นโรคเนื้อสมองอักเสบ มียุงเป็นพาหะ-ชี้ไม่มีทางรักษา
ครม.กำหนด19 เม.ย.49 เป็นวันเลือกตั้งส.ว.





ข่าวการศึกษา


8 องค์กรจับมือตั้ง 'สมาพันธ์สภาวิชาชีพฯ'

ศ.น.พ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา พร้อมด้วย รศ.ดร.ทัศนา บุญทอง นายกสภาการพยาบาล รศ.ฉดับ ปัทมสูต นายกสภาวิศวกร พลโทพิศาล เทพสิทธา นายกทันตแพทยสภา นายมติ ตั้งพานิช นายกสภาสถาปนิก ศ.ดร.ภักดี โพธิศิริ นายกสภาเภสัชกรรม ผศ.สมชาย วิริยะยุทธกร นายกสภาเทคนิคการแพทย์ และนางสุมนา ตัณฑเศรษฐี นายกสภากายภาพบำบัด ได้ร่วมลงนามก่อตั้งสมาพันธ์สภาวิชาชีพแห่งประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ โดยการให้ข้อเสนอแนะแก่องค์กรรัฐ เอกชน ในด้านการประกอบวิชาชีพ เพื่อสาธารณประโยชน์ ส่งเสริมจริยธรรม คุณธรรมผู้ประกอบวิชาชีพในสายงานวิชาชีพ ซึ่งขณะนี้มีอยู่ทั่วประเทศกว่า 500,000 คน รวมทั้งเปิดกว้างที่จะรับสภาทนายความ และสภาวิชาชีพอื่นๆ เข้าร่วมด้วย สมาพันธ์ได้มีการประชุมนายก 8 สภาวิชาชีพร่วมกัน เพื่อพิจารณาร่าง พระราชบัญญัติส่งเสริมวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติรับหลักการเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2543 และสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติรับหลักการในวาระที่ 1 แล้ว เมื่อวันที่ 5 ต.ค.48 ที่ผ่านมา โดยร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ จะมีการจัดตั้งสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล ทำหน้าที่เป็นองค์กรวิชาชีพของผู้ประกอบวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั้งหมด ทำหน้าที่เป็นผู้ออกใบรับรอง ใบอนุญาตหรือวุฒิบัตรในการประกอบวิชาชีพ จากการพิจารณาศึกษาวิเคราะห์ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้โดยละเอียด โดยมีผู้แทนจากสภาทนายความร่วมพิจารณา เพื่อสรุปข้อคิดเห็นและประเด็นด้านกฎหมาย พบว่าร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ยังขาดความชัดเจน และอาจเกิดปัญหาได้ หากมีการบังคับใช้เป็นกฎหมาย ทางสมาพันธ์วิชาชีพจึงเตรียมยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา ประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเสนอความคิดเห็น และขอเข้าร่วมพิจารณาร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว เพื่อให้การกำหนดแนวทางการมีส่วนร่วมของสมาพันธ์สภาวิชาชีพฯ เกิดประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาวิชาชีพ และเพื่อสนองนโยบายในการเปิดเสรีทางการค้า อันจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อองค์กรวิชาชีพ ประชาชนและประเทศชาติต่อไป. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 14 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





หนุนลดภาษีเอกชนอุ้มการศึกษา

จากกรณีที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เตรียมจะเสนอให้รัฐบาลช่วยลดหย่อนภาษีภาคเอกชน เพื่อเป็นการดึงดูดให้บริษัท ห้างร้าน และหน่วยงานต่างๆ เข้ามาสนับสนุนการจัดการศึกษามากขึ้นนั้น ผศ.ดร.นำยุทธ สงค์ธนาพิทักษ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี กล่าวว่า ข้อเสนอดังกล่าวถือเป็นเรื่องดี เพราะ ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า หน่วยงานภาคเอกชนที่เข้ามาสนับสนุนงานการศึกษานั้น ยังค่อนข้างน้อยหากเทียบกับหลายๆ ประเทศ การลดหย่อนภาษีดังกล่าวจะเป็นแรงจูงใจให้ภาคเอกชนที่มีศักยภาพสนใจและกล้าที่จะทุ่มทุนเพิ่มมากขึ้นและหากทำได้จริงในฐานะที่เป็นหน่วยงานจัดการศึกษาก็ต้องขอขอบคุณรัฐบาล เพราะผลที่ตามมาจะเกิดประโยชน์กับวงการการศึกษามากมาย มทร.ธัญบุรี นั้น คาดว่านักศึกษาจะมีโอกาสได้ฝึกประสบการณ์จริงในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ มากขึ้น จากเดิมที่ได้รับความร่วมมืออยู่แล้วระดับหนึ่ง ตลอดจนความร่วมมือในการวิจัย นวัตกรรมใหม่ๆ และการพัฒนาบุคลากรทั้งของสถานศึกษาและของภาคเอกชน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการปฎิบัติงานเพิ่มขึ้นด้วย ส่วนการเสนอลดภาษีนำเข้าอุปกรณ์การเรียนการสอนนั้น เห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีจะได้สื่อจัดการเรียนการสอนที่หลากหลาย ขณะเดียวกันก็มองว่าอุปกรณ์สื่อการเรียนการสอนต่างๆ ที่นำเข้ามานั้น สถานศึกษาแต่ละแห่งควรจะเรียนรู้และต่อยอดอุปกรณ์ได้ เพื่อสร้างฐานความรู้ใหม่ๆ ให้กับตัวเองด้วย (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 14 พ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





ไต้หวันช่วยอีกแรง ส่งครูสอนภาษาจีน พร้อมอบรมครูไทย

ดร.ลิขิต ธีรเวคิน รองประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎรเปิดเผยว่า จากการที่คณะกรรมาธิการการต่างประเทศฯ ได้เดินทางไปเยี่ยมแรงงานไทย ในประเทศไต้หวัน เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีโอกาสหารือกับ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ของไต้หวัน เกี่ยวกับการสอนภาษาจีนในประเทศไทย เพราะขณะนี้รัฐบาลไทยได้เล็งเห็นความสำคัญของการเรียนภาษาจีน ซึ่งในอดีตก็มีการเปิดสอนภาษาจีนในประเทศไทยค่อนข้างมากแต่หลายโรงเรียนได้ปิดตัวไปแล้ว และเวลานี้ประเทศไทยและจีนก็กำลังมีการติดต่อสัมพันธ์ทางการค้า และมีแนวโน้มว่าจะมีการขยายตัวมากยิ่งขึ้น รัฐบาลจึงได้พยายามฟื้นฟูการสอนภาษาจีนขึ้นมาอีกครั้ง ให้เหมือนกับที่มีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง สำหรับข้อเสนอในเบื้องต้นที่ได้มีการหารือ นั้นได้ขอให้ทางไต้หวัน จัดส่งครูเข้ามาสอนภาษาจีนในประเทศไทย ขณะเดียวกันไทยก็จะส่งครูไทยที่สอนภาษาจีน ไปรับการอบรมที่ประเทศไต้หวัน รวมถึงการแลกเปลี่ยนครูสอนภาษาระหว่างสองประเทศ โดยให้สามารถทำงานในประเทศนั้นได้ (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 14 พ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





เผย7มรภ.พร้อมเป็นม.ในกำกับรัฐบาล

นายสว่าง ภู่พัฒน์วิบูลย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม และรองประธานที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ(ทปอ.มรภ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม ทปอ.มรภ.เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน เห็นชอบให้ มรภ.ทั้ง 40 แห่ง เลือกที่จะเปลี่ยนสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐบาล หรือยังคงความเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐภายใน 10 ปีนี้ ปรากฏว่ามี มรภ. 7 แห่ง ที่พร้อมจะเปลี่ยนสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐบาล ได้แก่ มรภ.สวนดุสิต มรภ.สวนสุนันทา มรภ.เชียงใหม่ และ มรภ.ที่เพิ่งตั้งใหม่อีก 4 แห่ง คือ มรภ.ชัยภูมิ มรภ.ร้อยเอ็ด มรภ.กาฬสินธุ์ และ มรภ.ศรีสะเกษ ส่วน มรภ.ที่เหลืออีก 33 แห่ง จะขอเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐต่อไปก่อน เพื่อศึกษาความพร้อมในการเปลี่ยนสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐบาลที่ มรภ.เพิ่งตั้งใหม่ทั้ง 4 แห่ง ประกาศตัวว่าพร้อมจะเป็นมหาวิทยาลัยนอกระบบ เพราะมองว่าขณะนี้ มรภ.ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐน้อยอยู่แล้ว ทำให้มหาวิทยาลัยไม่เติบโต จึงเสี่ยงที่ออกนอกระบบราชการไป เพื่อที่จะพัฒนาสถาบันของตนเองได้เร็วยิ่งขึ้น ส่วนขั้นตอนต่อไปนั้น มรภ.ทั้ง 7 แห่ง ที่พร้อมเปลี่ยนสถานภาพจะต้องไปยกร่างกฎหมายมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐบาล อย่างไรก็ตาม เนื่องจากต้องมีกระบวนการ และขั้นตอนการเสนอกฎหมาย ฉะนั้น คงไม่ใช่ภายใน 1-2 ปีนี้ที่ มรภ.ทั้ง 7 แห่ง จะเปลี่ยนสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐบาล แต่คงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ปี เพราะขนาดมหาวิทยาลัยของรัฐเดิมที่อยู่ในขั้นตอนการเสนอร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับรัฐบาลต่อสภาผู้แทนราษฎร ก็ยังใช้เวลานานหลายปี และจนถึงขณะนี้ร่างกฎหมายก็ยังไม่มีผลบังคับใช้ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบแผนขออัตราเกษียณอายุราชการทดแทนตั้งแต่ปีงบประมาณ 2548-2552 จำนวน 2,142 อัตรา โดย มรภ. 7 แห่ง ที่พร้อมจะเปลี่ยนสถานภาพจะขอคืนเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ส่วน มรภ.ที่เหลืออีก 33 แห่ง จะขอคืนเป็นอัตราข้าราชการ ทั้งนี้ จะเสนอแผนดังกล่าวให้ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา(ก.พ.อ.) เห็นชอบก่อนเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ต่อไป (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 14 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรให้บริการ ฐานข้อมูลงานวิจัยทางชาติพันธุ์ฯ

ดร.ปริตตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล ผู้อำนวยการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร เปิดเผยว่า ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรฯ จัดทำฐานข้อมูลงานวิจัยทางชาติพันธุ์เพื่อรวบรวมและจัดระบบข้อมูลงานวิจัยทางชาติพันธุ์ในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งที่เป็นภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ ที่มีอยู่ตามสถาบันทางวิชาการต่างๆ ให้สามารถสืบค้นได้ง่ายและรวดเร็ว นักวิจัยซึ่งอยู่ในพื้นที่ต่างๆ สามารถค้นคว้าผ่านฐานข้อมูลออนไลน์ได้โดยสะดวก ในเรื่องของแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับงานวิจัยในกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ประเด็นวิจัย ผู้วิจัย ช่วงเวลาที่ทำการวิจัย ลักษณะของเอกสารการวิจัย และสถานที่ค้นคว้า และช่วยให้ผู้วิจัยได้เข้าถึงสาระสำคัญของงานวิจัยทางชาติพันธุ์ เพื่อประมวลและพัฒนาประเด็น การวิจัย เจาะลึกตามที่สนใจได้ ไม่เกิดความซับซ้อนในการวิจัย และสามารถเชื่อมโยงองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ได้ นำไปสู่การพัฒนาทิศทางการวิจัยทางชาติพันธุ์ อีกทั้งยังเอื้ออำนวยต่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารในการวิจัยทางชาติพันธุ์อีกด้วย ส่วนของข้อมูลที่ศูนย์ดำเนินการจัดเก็บในฐานข้อมูลทางชาติพันธุ์นั้น เป็นข้อมูลที่ผ่านการสกัดเอาเนื้อหาสาระสำคัญของงานวิจัยที่ศึกษาด้านชาติพันธุ์ ทั้งที่เป็น หนังสือ วิทยานิพนธ์ งานวิจัย บทความ ซึ่งจะมีทั้งงานที่เขียนด้วยภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ อาทิ ภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาฝรั่งเศส และภาษาเวียดนาม โดยจะสรุปเรียบเรียงเนื้อหาเป็นภาษาไทยตามลำดับประเด็นสำคัญ(subject categories) ที่ได้กำหนดไว้ให้ซึ่งจะยึดตามเนื้อหาที่ปรากฏในงานเป็นสำคัญ ผู้สนใจเข้าชมและทดลองใช้ฐานข้อมูลได้ที่ http://203.144.221.125/ethnicredb/index.html หรือ www.sac.or.th โทร.0-2880-9429 ต่อ 3306, 3309 (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 14 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





โอเพ่น ไลบรารี

โครงการ โอเพ่น ไลบรารี ริเริ่มโดย บรูวสเตอร์ คาเฮิล ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นบรรณารักษ์ดิจิตอลแห่งโลกอินเตอร์เน็ตเจ้าของโครงการ Internet Archive ที่จัดเก็บและทำดัชนีของสื่อชนิดต่างๆ บนอินเตอร์เน็ตเอาไว้ให้ค้นหากันได้สะดวก สำหรับโครงการไอเพ่น ไลบรารี นั้นเป็นโครงการที่คล้ายกับโปรเจ็คต์ กูเทนเบิร์ก ที่จะนำหนังสือหมดลิขสิทธิ์มาใส่ไว้บนอินเตอร์เน็ตให้คนเข้าถึงสะดวก ทว่ารูปแบบของการจัดเก็บนั้นใช้เทคโนโลยีการสแกนชั้นสูง เพื่อให้ผู้อ่านสัมผัสถึงความเป็นหนังสือได้มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นสีของกระดาษต้นฉบับ หรือแม้แต่ริ้วรอยที่ปรากฏอยู่บนหน้าหนังสือที่เจ้าของหนังสือซึ่งอาจจะเสียชีวิตไปนานแล้วทำเอาไว้ จะเปิดพลิกดูแต่ละหน้า หรือจะค้นเนื้อในโดยใช้คีย์เวิร์ดก็ได้ ในขณะเดียวกัน หากใครสนใจจะพรินต์ออกมาเป็นเล่มๆ ที่เหมือนตัวต้นฉบับจริงก็สามารถทำได้ด้วยตัวเอง จะว่าไปแล้วนี่คือโครงการในฝันของคนรักหนังสือเลยทีเดียว ลองนึกถึงบ้านเรากันบ้าง โครงการแบบนี้น่าจะเกิดขึ้นมา เพราะบ้านเราเองก็มีหนังสือที่กลายเป็นสมบัติสาธารณะแล้วไม่น้อยเหมือนกัน หลายเล่มเป็นหนังสือที่หาได้ตามห้องสมุด หรือหาไม่ได้เลยก็มีมาก หากหนังสือถูกแปรรูปเป็นไฟล์ดิจิตอลให้เราสามารถค้นหาและอ่านได้ทางอินเตอร์เน็ตคงเป็นเรื่องดีไม่น้อยเลย แต่ใครจะริเริ่ม เพราะโครงการอย่างนี้ต้องอาศัยทุนรอนไม่น้อย สำหรับโครงการ โอเพ่น ไลบรารี นั้น มีบริษัทธุรกิจสนับสนุนอยู่หลายราย เช่น ไมโครซอฟต์ และยาฮู กลุ่มธุรกิจที่ให้ความสนใจกับการทำห้องสมุดออนไลน์มีอยู่ไม่น้อย ตัวอย่างเช่น กูเกิล ซึ่งทำโครงการร่วมกับมหาวิทยาลัยในอเมริกาหลายแห่งเพื่อจะสแกนหนังสือทั้งหมดของห้องสมุดมหาวิทยาลัยมาสแกนให้สามารถค้นและอ่านทางอินเตอร์เน็ตได้ แต่โครงการชะงักไปเพราะปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์กับสำนักพิมพ์ อีกเจ้าหนึ่งที่เปิดทางค้นหาและอ่านเนื้อในของหนังสือได้ก็คือ ร้านหนังสือออนไลน์ของอเมซอน มีหนังสืออยู่จำนวนหนึ่งที่อเมซอนขาย แต่ก็ให้คนสามารถเข้าไปอ่านเนื้อในกันแบบทั้งเล่มได้ด้วย (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 14 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





"อ๋อย"ผุดโรดแม็ปพัฒนาอุดมศึกษา เดินหน้าแก้ปัญหามหาวิทยาลัยคุณภาพต่ำ

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ เผยถึงการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการอุดมศึกษา ในการดำเนินงานยุทธศาสตร์ปฏิรูปการศึกษาขั้นที่ 2 ว่าขณะนี้ที่ประชุมได้หารือและจัดทำแผนโรดแม็ปในการพัฒนาคุณภาพอุดมศึกษาในช่วง 4 ปี (2548-2551) เรียบร้อยแล้ว แบ่งเป็น 6 ส่วนด้วยกัน คือ 1.การพัฒนาคุณภาพการวิจัย ที่จะต้องเร่งรัดสร้างนักวิจัยมืออาชีพ และร่วมวิจัยกับต่างประเทศ 2.การพัฒนาคุณภาพอาจารย์ ในการเพิ่มคุณวุฒิอาจารย์ระดับปริญญาเอก และอาจารย์ที่มีอยู่ให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ และใช้หลักสูตรการเรียนการสอนแบบใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3.การพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษา จะเน้นในเรื่องการปฏิรูประบบการเงินอุดมศึกษา เปิดให้มีการร่วมมือกับต่างประเทศ ทำแผนพัฒนาผลิตและพัฒนาบุคลากร 4.กำหนดมาตรฐานการอุดมศึกษา จะต้องมีการกำหนดมาตรฐานหลักสูตร มาตรฐานการเรียนการสอน และให้มีการประเมินคุณภาพการจัดการศึกษานอกที่ตั้ง 5.พัฒนาคุณภาพบัณฑิต ต้องเร่งผลิตคนให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ ส่งเสริมการเรียนการสอนต่างประเทศ และ 6.จัดทำระบบตามตรวจสอบและประเมินผลการจัดการศึกษา โดยพัฒนากลไกการตรวจสอบและประเมินผล สร้างเครือข่ายการรายงานผล (ข่าวสด จันทร์ที่ 14 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





"ม.รังสิต"นำร่องถกแผนผลิตแรงงานทัวร์ตั้งรับFTA

นายเสรี วังส์ไพจิตร คณบดีคณะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผย ว่า ได้ร่วมกับสมาคมนักวิชาการการท่องเที่ยว (ประเทศไทย) เตรียมจัดทำโครงการนำร่องแผนการผลิตบุคลากรเข้าสู่อุตสาห กรรมท่องเที่ยว ซึ่งจะใช้เวทีระดมความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญจากทั่วประเทศจัดสัมมนาเรื่อง "การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ : ปัจจัยความสำเร็จของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย" วันที่ 24-25 พฤศจิกายนนี้ ที่อาคารอาทิตย์ อุไรรัตน์ มหาวิทยาลัยรังสิต เนื่องจากมหาวิทยาลัยรังสิตเล็งเห็นว่า ยุทธศาสตร์สำคัญในการสร้างรายได้ของประเทศปัจจุบันและอนาคตตั้งเป้าทำให้ได้ปีละกว่า 1 ล้านล้านบาท แต่สภาพของบุคลากรยังเติบโตไม่ทันธุรกิจ โดยเฉพาะหลักสูตรการผลิตบุคลากรตามสถานศึกษาต่างๆ มีไม่เพียงพอทั้งทางด้านการท่องเที่ยว โรงแรม ธุรกิจการบิน ธุรกิจประชุมและการแสดงสินค้า (MICE) ธุรกิจสปา ล้วนขาดแคลนอย่างเห็นได้ชัด แนวโน้มกระแสการค้าการลงทุนเสรี (free trade agreement : FTA) กำลังจะทะลักเข้ามา คนไทยอาจสูญเสียโอกาสในอาชีพหากไม่เร่งปรับตัว เพราะความพร้อมของประเทศไทยในการขยายศาสตร์เหล่านี้ไปสู่บุคลากรยังอยู่ในระยะเริ่มต้น มีผู้เชี่ยวชาญที่รู้จริงในอุตสาหกรรมไม่มาก ผู้สอนตามมหาวิทยาลัยต่างไม่ได้จบการศึกษาสายตรงในสาขาหลักเหล่านี้ ในเวทีการสัมมนาจะรวบรวมทำเป็นวันสต็อปเซอร์วิส มีโครงการระดมความเห็น การจัดนิทรรศการหนังสือ ตำรา ที่เกี่ยวข้อง และเพื่อให้แต่ละกลุ่มได้แลกเปลี่ยนประสบ การณ์ ร่วมแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนาบุคลากรเข้าสู่อาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเป็นจุดเริ่มการสร้างโอกาสให้เกิดเครือข่ายนักวิชาการและผู้สอนในสาขาการท่องเที่ยว การบริการ และสาขาอื่นที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม ทำให้เกิดความก้าวหน้าอย่างมีทิศทางและรูปแบบชัดเจน แนวทางพัฒนาบุคลากรของมหาวิทยาลัยรังสิตนี้ สอดคล้องกับเทรนด์ที่เจ้าของธุรกิจบริษัทนำเที่ยว โรงแรม และสายการบิน ต่างยืนยันตรงกันว่า อนาคตหากประเทศไทยยังไม่ตื่นตัวที่จะสร้างมาตรฐานแรงงานและผลิตพนักงานระดับบริหารเข้าสู่ตลาดท่องเที่ยว เมื่อรัฐบาลเปิดข้อตกลงเสรีการค้าการลงทุนจะยิ่งทำให้แรงงานไทยทุกระดับเสียเปรียบนักลงทุนจากต่างชาติ (ประชาชาติธุรกิจ จันทร์ที่ 14 พ.ย. 48 http://www. matichon.co.th/prachachart)





สกอ.ดันตั้งองค์การมหาชนยกระดับอาจารย์-งานวิจัย

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิ การ เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ตนได้หารือร่วมกับคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ถึงยุทธศาสตร์เชิงรุกในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาระดับอุดมศึกษา ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศเป็นนโยบายที่จะดำเนินการใน 3 เดือนต่อจากนี้ โดยกระทรวงศึกษาธิการจะร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และ กกอ. ในการคิดระบบ กลไก และวิธีที่จะทำให้เกิดการผลักดันให้มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ในทุกระดับและทุกประเภททำการยกระดับคุณภาพการศึกษาของตนเอง ซึ่งที่ประชุมเห็นตรงกันว่าต้องเริ่มต้นจากการสร้างความตระหนักให้ทุกภาคส่วนทั้งภาคเอกชนและสังคมมาช่วย พร้อมทั้งยกเรื่องสำคัญ ๆ ขึ้นมาดำเนินการให้เห็นเป็นรูปธรรม เช่น การประเมินคุณภาพบัณฑิต การจัดอันดับคุณภาพมหาวิทยาลัย การพัฒนาครูผู้สอนในระดับมหาวิทยาลัย เพื่อสามารถคิด สร้าง และใช้หลักสูตรการเรียนการสอนใหม่ ๆ ได้ การประเมินผลสัมฤทธิ์ของคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ซึ่งเป็นผู้ผลิตครู โดยเอาผลการสอนที่เกิดกับนักเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานมาดู การจัดตั้งสถาบันพัฒนาการเรียนการสอนในแต่ละมหาวิทยาลัยโดยให้ สกอ.เป็นผู้สนับสนุน ตลอดจนการทำการวิจัยร่วมกับภาคเอกชน เป็นต้น ด้าน ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการ กกอ.กล่าวว่า ปัญหาการอุดมศึกษาในปัจจุบันสามารถแบ่งได้เป็น 6 ส่วนใหญ่ ๆ คือ มาตรฐานการอุดมศึกษา คุณภาพบัณฑิต คุณภาพอาจารย์ คุณภาพการจัดการศึกษา คุณภาพงานวิจัย และระบบติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัดการศึกษา ซึ่งการแก้ไขปัญหาคุณภาพการวิจัยกับคุณภาพของอาจารย์ที่ส่วนใหญ่เป็นระดับปริญญาเอกนั้น สกอ.ได้นำมารวมกันเป็นโครงการเมกะโปรเจคท์ที่รัฐบาลให้เงิน 15,000 ล้านบาท ซึ่งอาจจะต้องตั้งเป็นองค์การมหาชนขึ้นมารองรับการดำเนินงานในระยะเวลา 5-10 ปี เพื่อดูแลเฉพาะงานวิจัยและการพัฒนาอาจารย์ เนื่องจากเรื่องนี้เกินมือของสกอ.ที่มีแต่ข้าราชการประจำ ขณะที่เรื่องนี้ต้องมีอาจารย์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย (เดลินิวส์ อังคารที่ 15 พ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





จุฬาฯชี้ผลิตครู4+1 แค่ช่วยเฉพาะหน้า จี้จุดขาดอัตราบรรจุ

รศ.ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และสภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย (สคศท.) จะเข้าพบ รมว.ศึกษาธิการ ในวันที่16 พ.ย.นี้ เพื่อเสนอทบทวนการผลิตครูจากโครงการผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน ระดับปริญญาตรี (หลักสูตร 5 ปี ) เป็นหลักสูตร 4+1 นั้น โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยที่จะทบทวนและเห็นว่า สคศท.น่าจะยืนยันใช้หลักสูตร 5 ปี และแม้ว่ารัฐจะไม่มีทุนต่อก็ตาม แต่สคศท.จะต้องเดินหน้า เพราะเป็นการพัฒนาวิชาชีพครูอย่างชัดเจน และแก้ปัญหาคุณภาพของครูในระยะยาว อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวต่อว่า จุฬาฯ เคยนำหลักสูตร 4+1 มาใช้ถึง 20 ปีแต่ก็ต้องยกเลิกเพราะเป็นแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้า และจากงานวิจัยยังพบว่า หลักสูตร 4+1 เป็นเพียงทางเลือกชั่วคราวในสาขาที่ขาดแคลนจริงๆ เช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ เป็นต้น และใช้ได้กับบางสถาบันเท่านั้น ส่วนหลักสูตร 5 ปี จะต้องเป็นหลักและทำให้เข้มแข็ง อย่างไรก็ตาม ที่หลายคนบอกว่าหลักสูตร 4+1 จะช่วยแก้ปัญหาขาดแคนครูนั้น ถ้าจะมองจริงๆ แล้วเราไม่ได้ขาดแคลนครู เพราะประกาศสอบครูเมื่อไรก็มีมาสมัครกันเป็นร้อยแต่ที่ขาดแคลนคืออัตราบรรจุมากกว่าซึ่งควรแก้ปัญหาให้ถูกจุด (สยามรัฐรายวัน อังคารที่ 15 พ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





นักวิชาการหวั่นภาษาถิ่นสูญแนะจัดสอนสองภาษาเพื่อสืบสานมรดกทางภาษา

ศ.ดร.สุวิไล เปรมศรีรัตน์ สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงสถานการณ์ทางภาษา ชาติพันธุ์ และการศึกษาในประเทศไทย ว่า จากนโยบายการส่งเสริมให้ใช้เฉพาะภาษาไทยมาตรฐานในการศึกษาทุกระดับและในสื่อมวลชน รวมทั้งพัฒนาการของเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การสื่อสารในโลกยุคโลกาภิวัตน์ ล้วนมีอิทธิพลต่อการเสื่อมสลายของภาษาและวัฒนธรรมท้องถิ่นในประเทศไทย โดยทั่วไปภาษาถิ่นของคนไทยจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ ภาษาพื้นบ้านและภาษาประจำชาติพันธุ์ คนไทยที่มีภาษาพื้นบ้านเป็นเอกลักษณ์มักจะพูดได้สองภาษา หรือหลายภาษา คือภาษาราชการและภาษาท้องถิ่น โดยจะพูดภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ของตนในบ้านกับคนในครอบครัว ขณะเดียวกันก็จะพูดภาษาท้องถิ่น หรือภาษาราชการกับคนภายนอก ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ศ.ดร.สุวิไล กล่าวว่า เพราะฉะนั้น ปัจจุบันจึงมีความพยายามที่จะปกป้องรักษามรดกทางภาษาและวัฒนธรรม อาทิ การฟื้นฟูภาษาลานนา หรือคำเมือง และมีการสอนในโรงเรียน ส่วนกลุ่มภาษาของชาติพันธุ์อื่นๆ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่า การจัดการศึกษาระบบสองภาษาสำหรับกลุ่มชาติพันธุ์ในโรงเรียน จะเป็นยุทธศาสตร์ที่จะพัฒนาการศึกษาภาษาไทยและวิชาการต่างๆ ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมพื้นบ้าน โดยรูปแบบการสอนคือ ใช้ภาษาแม่ หรือภาษาท้องถิ่นเป็นสื่อในการเรียนปีแรกๆ ของเด็ก จากนั้นจึงปรับมาสอนภาษาราชการ โดยเริ่มจากภาษาพูด ตามมาด้วยการอ่านเขียน และจึงเข้าสู่การเรียนการสอนโดยใช้ภาษาราชการอย่างเต็มรูปแบบ จากการใช้วิธีดังกล่าว พบว่า ผลการเรียนของเด็กดีขึ้น พ่อแม่เข้าร่วมกิจกรรมของโรงเรียนและการเรียนของลูกได้ เนื่องจากเป็นการเรียนการสอนที่สะท้อนภูมิปัญญาและวัฒนธรรมของกลุ่มชน ซึ่งเขามีความรู้เป็นอย่างดี อีกทั้งเด็กที่เริ่มเรียนด้วยภาษาแม่จะไม่มีความเครียดและไม่ต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน รวมทั้งเป็นการช่วยในการอนุรักษ์และฟื้นฟูภาษาท้องถิ่นอีกด้วย ซึ่งหากทำได้เป็นผลสำเร็จก็จะสามารถใช้เป็นสะพานเชื่อมต่อยอดไปสู่การจัดการศึกษาถ้วนหน้าต่อไป (คมชัดลึก อังคาร 15 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ม.ทักษิณจับมืออังกฤษ-มาเลย์ เปิดโรงเรียนนานาชาติ"สงขลา"

รองศาสตราจารย์(รศ.) ดร.สมเกียรติ สายธนู อธิการบดีมหาวิทยาลัยทักษิณ ปาฐกถาพิเศษตอนหนึ่งเรื่อง ทิศทางการพัฒนามหาวิทยาลัยทักษิณ ในงานวันคล้ายวันสถาปนามหาวิทยาลัยครบรอบ 9 ปี วิทยาเขตสงขลาว่า วันนี้มหาวิทยาลัยต้องมองถึงอนาคตซึ่งอยู่ในภาวะการแข่งขันทั้งในเรื่องของการที่มีสถาบันอุดมศึกษาจำนวนมาก ขณะที่นักเรียนสามารถเลือกเรียนในสถาบันอุดมศึกษาที่เสนอหลักสูตรน่าสนใจมีคุณภาพ จบแล้วมีงานทำแน่นอน จุดแข็งในอดีตที่ทำอยู่เรื่องการจัดการศึกษาโดยเฉพาะการผลิตครูออกมาป้อนตลาดการศึกษาของชาติ ในอนาคตอันใกล้ในปี 2549 มหาวิทยาลัยจะทำความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในลอนดอน กับ Fairview International School ที่ประเทศมาเลเซีย ในการเปิดโรงเรียนนานาชาติขึ้นที่มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา เป็นการเปิดรับตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงมัธยมศึกษา ใช้หลักสูตรของประเทศอังกฤษ รศ.ดร.สมเกียรติกล่าวว่า ในภาวะของการแข่งขัน สิ่งจำเป็นที่ต้องทำก็คือ ต้องทำงานวิจัยเพิ่มมากขึ้นเพื่อเพิ่มศักยภาพของตัวเองในการผลิตบุคลากรไปช่วยเหลือชุมชนในเชิงพัฒนาและการบริการวิชาการ และสิ่งหนึ่งที่ที่เห็นว่ามหาวิทยาลัยทักษิณมีจุดแข็งค่อนข้างมาก และน่าจะทำในอนาคตคือเรื่องสถาบันทักษิณคดีศึกษา ซึ่งทำงานด้านนี้มานานและได้มีการสั่งสมความรู้ความสามารถพอสมควร แต่วันนี้ต้องการจะศึกษาสืบสานและถ่ายทอดออกไปสู่ชุมชนให้มากขึ้น โดยสะท้อนให้เห็นประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของภาคใต้ ต่อเนื่องไปถึงอนาคตว่าจะอยู่ร่วมกันท่ามกลางความหลากหลายทางด้านศิลปวัฒนธรรม ทั้งด้านชนชาติ เชื้อชาติ จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้อย่างไร และน่าจะเป็นประโยชน์เพื่อความสงบสุขของประเทศชาติโดยรวม (มติชนรายวัน อังคารที่ 15 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก

รางวัลโนเบลถือว่าเป็นรางวัลที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลกรางวัลหนึ่ง การจัดอันดับ The Top 200 World University Rankings โดย The Times Higher อันดับหนึ่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งยังคงรักษาอันดับที่หนึ่งเอาไว้ได้เช่นเดียวกับปีที่แล้ว ด้วยคะแนน 100 เต็ม อันดับสอง สถาบันเอ็ม ไอ ที (Massachusetts Institute of Technology) อันดับสาม มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ อันดับสี่ มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด อันดับห้า มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด อันดับหก มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย, เบิร์กเลย์ อันดับเจ็ด มหาวิทยาลัยเยล อันดับแปด แคลิฟอร์เนีย อินสทิติว ออฟ เทคโนโลยี อันดับเก้า มหาวิทยาลัยพริ้นซตัน อันดับสิบ เอกอล โพลีเทคนิค จากฝรั่งเศส อันดับสิบเอ็ด มหาวิทยาลัยดุ๊ก และลอนดอน สคูล ออฟ อีโคโนมิคส์ อันดับสิบสาม อิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน อันดับสิบสี่ มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ อันดับสิบห้า มหาวิทยาลัยปักกิ่ง อันดับสิบหก มหาวิทยาลัยโตเกียว อันดับสิบเจ็ด มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย, ซาน ฟรานซิสโก และมหาวิทยาลัยชิคาโก อันดับสิบเก้า มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น และอันดับยี่สิบมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ดูจาก 200 อันดับเป็นมหาวิทยาลัยจากสหรัฐอเมริกาเสีย 52 แห่ง เพราะจากอันดับหนึ่งถึงสิบก็มาจากสหรัฐอเมริกา 7 แห่งเข้าไปแล้ว ส่วนทางฟากยุโรปก็ได้ไป 50 แห่ง และก็เป็นที่น่าตกใจว่ามหาวิทยาลัยชั้นนำของบ้านเรามีเพียง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเท่านั้นที่ได้อันดับ 121 ทั้งๆ ที่มหาวิทยาลัยจากประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียอย่างจีน เช่น มหาวิทยาลัยปักกิ่ง (อันดับ 15) มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งในจีน, มหาวิทยาลัยฮ่องกง (อันดับ 41), มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (อันดับ 22), มหาวิทยาลัยชิงหัว (อันดับ 62), มหาวิทยาลัยมาลายา แห่งมาเลเซีย (อันดับ 169) (มติชนรายวัน อังคารที่ 15 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





"สพฐ."ทุ่มงบประมาณ 10 ล้าน จัดมหกรรมวิชาการโชว์ผลงานร.ร.

นางพรนิภา ลิมปพยอม เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 24-26 พ.ย. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะจัดงาน "มหกรรมวิชาการการศึกษาขั้นพื้นฐาน คุณภาพเด็กไทยในอนาคต" ขึ้น ที่โรงเรียนสตรีวิทยา 2 โดยสพฐ. ใช้งบประมาณจำนวน 10 ล้านบาท จัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชน สำหรับวัตถุประสงค์การจัดงาน ดังนี้ 1.เพื่อเป็นการเปิดโอกาสและทำความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ว่าครอบคลุมถึงการศึกษาในระดับใดบ้าง โดยได้ร่วมมือกับโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน โรงเรียนเอกชน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวะศึกษา (สอศ.) และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยจะแสดงให้เห็นโอกาสในการจัดการศึกษาอย่างทั่วถึง เด็กทุกระดับ 2.การเน้นคุณภาพการจัดการศึกษา ทั้งในเรื่องหลักสูตรการเรียนการสอนครู อุปกรณ์การเรียน เช่น ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ และสื่อต่างๆ เป็นต้น รวมถึงคุณภาพการบริหารจัดการโรงเรียนจะนำมาแสดงให้เห็นว่า การบริหารจัดการที่ดีเป็นอย่างไร ปัญหาและอุปสรรคเป็นอย่างไร เช่น โรงเรียนขนาดเล็กที่มีปัญหาขาดแคลนครู และอุปกรณ์การเรียนการสอน สพฐ.ได้ใช้วิธีบริหารจัดการด้านครู และอุปกรณ์การเรียนให้ประสบผลสำเร็จ ได้ทำโครงการนำร่องพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็กจนทำให้คุณภาพดีขึ้น ชุมชนนำบุตรหลานมาเข้าเรียนเป็นจำนวนมาก และ 3.ประสิทธิภาพด้านขีดความสามารถในการแข่งขันสู่สากลได้ เช่นการแสดงผลงานด้านการแข่งขันวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ดนตรี และกีฬาที่ได้รับรางวัลในระดับโลกมาแล้ว (ข่าวสด อังคารที่ 15 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





สงขลาเปิดใหม่สาขาปกครองท้องถิ่น

ผศ.ดร.ไพโรจน์ ด้วงวิเศษ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา กล่าวว่า มหาวิทยาลัยร่วมกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เตรียมเปิดการเรียนการสอนสาขาใหม่ คือหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต สาขาการปกครองท้องถิ่น โดยเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ปกครองท้องถิ่น ได้ศึกษาความรู้เพิ่มเติม ในระดับปริญญาตรี โดยจะเปิดรับสมัครปีละ 2 รุ่น เขตพื้นที่รับผิดชอบของมหาวิทยาลัยคือ จ.พัทลุง และตรัง ขณะนี้ มรภ.สงขลาจะนำหลักสูตรดังกล่าวขออนุมัติต่อสภามหาวิทยาลัย และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น จากนั้นจะเชิญผู้บริหารหลักสูตรทุกมหาวิทยาลัย แห่งละๆ 2 คน ร่วมประชุมเพื่อเตรียมการจัดการเรียนการสอน และคาดว่าวันที่ 14 ม.ค. 2549 จะเริ่มเปิดการเรียนการสอน ด้าน ดร.พรเลิศ อาภานุทัศ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ กล่าวว่า หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต สาขาการปกครองท้องถิ่น รป.บ.(การปกครองท้องถิ่น) เป็นหลักสูตรกลางที่สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่นพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น โครงสร้างหลักสูตร (ตามเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับอุดมศึกษา พ.ศ.2548) หน่วยกิตรวม 120 หน่วยกิต วิชาการศึกษาทั่วไป 30 หน่วยกิต วิชาเฉพาะด้าน 84 หน่วยกิต และวิชาเลือกเสรี 6 หน่วยกิต สำหรับการเรียนการสอนนั้น วิชาเฉพาะด้าน 84 หน่วยกิตจะใช้ตำราและหนังสือประกอบการสอนแบบเดียวกันทุกแห่ง เรียนแบบ Block Course เปิดเรียนเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ วันละ 1 วิชา เรียน 6 สัปดาห์ สอบสัปดาห์ที่ 7 และเริ่มเรียนต่อสัปดาห์ที่ 8 ต่อไปอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะใช้เวลาในการเรียน 3 ปีจึงจะจบการศึกษา (ข่าวสด อังคารที่ 15 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





เอกชนแนะรัฐแบ่งหน้าที่ปั๊มบัณฑิต

ศ. (พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาเอกชน เพื่อนำเสนอยุทธศาสตร์พัฒนาสถาบันอุดมศึกษาว่า ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาสัดส่วนจำนวนรับนักศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนพบว่า ในช่วงปี 2546-2547 จำนวนรับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏสูงขึ้นกว่า 300% โดยมีนักศึกษาแรกเข้าปี 2546 จำนวน 77,892 คน ปี 2547 จำนวน 201,985 คน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ปี 2546 จำนวน 28,622 คน ปี 2547 จำนวน 58,210 คน เพิ่มขึ้น 100% ในขณะที่มหาวิทยาลัยเอกชนตัวเลขคงที่คือปี 2546 จำนวน 80,837 คน ปี 2547 จำนวน 80,926 คน เมื่อเทียบกับจำนวนอาจารย์แล้วจะเห็นว่า มรภ.มีอาจารย์ในภาพรวม ประมาณ 10,000 คน ต่อจำนวนนักศึกษาปี 2547 ซึ่งมี 2 แสนกว่าคน คิดเป็นอาจารย์ 1 คนต่อนักศึกษา 20 คน หากดู ทั้ง 4 ชั้นปี จะเท่ากับอาจารย์ 1 คน ต่อนักศึกษา 80 คน จึงน่าเป็นห่วงเรื่องคุณภาพ โดยล่าสุด คณะอนุกรรมการมาตรฐานหลักสูตร ในคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เห็นชอบเกณฑ์อาจารย์ประจำหลักสูตร โดยเดิมกำหนดว่า หลักสูตรหนึ่งจะมีอาจารย์ประจำ 5 คน นั้น ได้มีมติเพิ่มเติมว่า ในกรณีที่มีการเปิดสอนหลักสูตรเดียวกันในหรือนอกสถานที่ จะต้องเพิ่มจำนวนอาจารย์ผู้สอนด้วย นอกจากนี้ ยังได้วางแนวทางการใช้ทรัพยากรร่วมกัน โดย สกอ.จะขยายระบบสารสนเทศให้ครอบคลุมถึงสถาบันอุดมศึกษาเอกชนด้วย และแก้ไขกฎระเบียบต่างๆที่เอื้อต่อการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาเอกชน หรือให้เกิดความเท่าเทียมกับมหาวิทยาลัยของรัฐ เช่น กองทุนพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาเอกชน เพื่อให้เอกชนสามารถกู้เงินจากกองทุนได้ และทบทวนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ด้วย ภราดา บัญชา แสงหิรัฐ อธิการบดีมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ในฐานะนายกสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) กล่าวว่า ไม่อยากให้ม.รัฐกับม.เอกชนแข่งขันกัน ควรที่จะแบ่งหน้าที่กันทำ โดยม.เอกชนผลิตในสาขาด้านสังคมศาสตร์ ซึ่งลงทุนไม่มากนัก ส่วนภาครัฐก็ลงทุนด้านวิทยาศาสตร์กายภาพ. (ไทยรัฐ พุธที่ 16 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





เซนต์คาเบรียลคว้ารางวัลวิทย์ดีเด่น

น.ส.สาลิน วิรบุตร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา สำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน เปิดเผยผลการแข่งขันโอลิมปิกหุ่นยนต์ระดับนานาชาติ ซึ่งมี 125 ทีม จากประเทศไทย จีน ญี่ปุ่น รัสเซีย มาเลเซีย เกาหลี สิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง และฟิลิปปินส์ เข้าร่วมแข่งขันว่า ระดับอายุไม่เกิน 12 ปี การแข่งขันความเร็วจับเวลา ผู้ชนะเลิศได้แก่ทีม "Su Zhou Ma Yi Ke Center Primary School" จากประเทศจีน ประเภทชักเย่อ ผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศได้แก่ ทีม ร.ร.ประชานิเวศน์ จากประเทศไทย อายุ 13-15 ปี ประเภทฮอกกี้รุ่นเล็ก ผู้ชนะเลิศได้แก่ทีม "Swiss-Falcon" จากประเทศฟิลิปปินส์ ประเภทการจราจรในกรุงเทพ ผู้ชนะเลิศได้แก่ "Fu Botics" จากประเทศสิงคโปร์ อายุ 15-18 ปี ประเภทฮอกกี้รุ่นใหญ่ ผู้ชนะเลิศได้แก่ทีม "P.M.Robot 1" จากประเทศไทย ประเภทการจราจรในกรุงเทพฯ ผู้ชนะเลิศได้แก่ ทีม "P.M.Robot 1" จากประเทศไทย การแข่งขันความคิดสร้างสรรค์ ประเภทหุ่นยนต์การกีฬา ผู้ชนะเลิศได้แก่ทีม "Sha Tin Government School" จากฮ่องกง ประเภทหุ่นยนต์ทางด้านวิทยาศาสตร์ ผู้ชนะเลิศได้แก่ทีม "China Team 8" จากฮ่องกง และรางวัล "Judge Awards" ผู้ชนะเลิศได้แก่ทีม "China Team 3" จากประเทศจีน และรางวัลด้านวิทยาศาสตร์ดีเด่น ได้แก่ ทีม "SG3" ของ ร.ร.เซนต์คาเบรียล ออกแบบเครื่องปลูกพืชควบคุมโดยหุ่นยนต์ และเยาวชนจากประเทศรัสเซีย ออกแบบหุ่นยนต์ควบคุมการทำงานประสาทและกล้ามเนื้อนิ้วมือ เป็นต้น (คมชัดลึก พุธที่ 16 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





สสวท.เผยแพร่ชุดสอน โปรแกรมจีเอสพีสู่ ร.ร.

น.ส.นารี วงศ์สิโรจน์กุล รักษาการ ผอ.สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) แจ้งว่า ตามที่ สสวท.ได้ส่งเสริมให้นำโปรแกรม "Geometer's Sketchpad" (จีเอสพี) ที่ใช้ใน 60 ประเทศทั่วโลก มาใช้ในการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ โปรแกรมจีเอสพีพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Key Curriculum Press ตั้งแต่ ค.ศ.1991 และพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนถึงเวอร์ชั่น 4.0 โรงเรียนต่างๆ ในสหรัฐอเมริกาใช้โปรแกรมนี้สอนคณิตศาสตร์ในโรงเรียนมากที่สุด ในส่วนของประเทศไทยได้ลงนามในพิธีครองลิขสิทธิ์การใช้ซอฟต์แวร์ จีเอสพี เวอร์ชั่น 4.0 เมื่อกลางเดือนธันวาคม 2547 ที่ผ่านมา (คมชัดลึก พุธที่ 16 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





จัดสอบพรีโอเน็ต รับเอนท์แบบใหม่

เนชั่น แชนนัล ร่วมกับ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ จัดสอบพรีโอเน็ต (Pre O-Net) จำลองสนามสอบจริง เพื่อเตรียมความพร้อมนักเรียน ม.ปลาย รับมือเอนทรานซ์ระบบใหม่ ก่อนสอบจริงปลายกุมภาพันธ์ 49 นี้ โดยนักเรียนชั้น ม.6 หรือเทียบเท่า จากโรงเรียนทั่วประเทศ ที่จะเข้าร่วมทำข้อสอบเสมือนผ่านทางอินเทอร์เน็ต เริ่มสมัครได้ตั้งแต่วันที่ 5-25 พฤศจิกายน 2548 ผ่านทาง www.nationchannel.com หรือ www.dpu.ac.th ประกาศรายชื่อผู้เข้าสอบและเลขที่สอบในสนามสอบต่างๆ ในเวบไซต์ดังกล่าววันที่ 30 พฤศจิกายน 2548 โดยมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์เป็นตัวแทนสนามสอบเสมือนจริง ในวันอาทิตย์ที่ 4 และวันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม 2548 รับสมัครจำนวน 1,000 คน และจัดสอบผ่านระบบอินเทอร์เน็ตเสมือนจริงแบบจำกัดเวลา ระหว่างวันอังคารที่ 6-วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2548 และจะประกาศผลสอบพร้อมเฉลยข้อสอบทาง www.nationchannel.com วันที่ 26 ธันวาคม 2548 (คมชัดลึก พุธที่ 16 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





สกอ.หวั่นราชภัฏโตพรวด300%แต่ขาดแคลนอาจารย์เพียบ

ศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยผลการหารือร่วมกับผู้แทนจากสถาบันอุดมศึกษาเอกชน จำนวน 30 แห่งทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 15 พ.ย.ว่า สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้เชิญสถาบันอุดมศึกษาเอกชนมาหารือถึงปัญหาและแนวทางการแก้ปัญหาของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน เพื่อกำหนดเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาอุดมศึกษาเอกชน และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป ซึ่งจากการหารือพบว่าจำนวนนิสิต นักศึกษา ที่เอกชนรับเข้าใหม่จะลดลงเป็นลำดับ ดังนี้ ปีการศึกษา 2545 รับได้ 87,617 คน ปีการศึกษา 2546 รับได้ 80,837 คน และปีการศึกษา 2547 รับได้ 80,926 คน ซึ่งตัวเลขที่เอกชนกังวลมากคือ ภาพรวมนักศึกษาที่เพิ่มขึ้นระหว่างปีในปีการศึกษา 2546-2547 จาก 400,000 คน เป็น600,000 คน นั้นไปเพิ่มในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่จำกัดการรับจาก 74,000 คน เป็น 106,000 คน หรือคิดเป็นเพิ่ม 30% แต่ก็เป็นไปตามทิศทางที่รัฐบาลต้องการ ตัวเลขการรับนักศึกษาที่เพิ่มมากขึ้นนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) โดยปีการศึกษา 2547 รับเพิ่มถึง 200,000 คน จากเดิมที่รับ 77,892 คน เพิ่มเป็น 300% และในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) จากเดิม 28,622 คน เป็น 58,210 คน เพิ่มเป็น 100% ซึ่งที่ประชุมเห็นว่าการให้คนมีที่เรียนเป็นเรื่องดีที่ทำให้คนมีที่เรียน แต่ห่วงว่าอาจกระทบต่อคุณภาพการศึกษาของประเทศ สัดส่วนอาจารย์ต่อนักศึกษา โดยเฉพาะของมรภ. พบว่ามีอาจารย์ประมาณ 11,000 กว่าคน แยกเป็นอาจารย์ประจำ 7,000 คน และอาจารย์อัตราจ้าง 4,000 คน คิดเป็นสัดส่วนอาจารย์ต่อนักศึกษาใน 1 ชั้นปีคือ 1 ต่อ 20 คน แต่ถ้าคิดสัดส่วน 4 ชั้นปี พบว่าสัดส่วนประมาณ 1 ต่อ 80 ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจ โดยที่ประชุมได้เสนอให้ สกอ.กำหนดมาตรการมาดูแลเรื่องดังกล่าว โดยตนได้ชี้แจงว่าคณะอนุกรรมการมาตรฐาน ได้สรุปเกณฑ์มาตรฐานอุดมศึกษาเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังจะประกาศเพิ่มเติมเป็นกฎกระทรวงเร็ว ๆ นี้ โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดจำนวนอาจารย์ขั้นต่ำว่าจะต้องมีกี่คนต่อหลักสูตรที่เปิดสอน และมีคุณวุฒิอะไรบ้าง ซึ่งน่าจะช่วยทำให้ตัวเลขที่หลายๆฝ่ายเป็นห่วงนี้ดีขึ้น (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 17 พ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





นายกฯเปิดศูนย์ TCDC หวังสร้างนักออกแบบรุ่นใหม่

“ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ” และห้องสมุดวัสดุ เพื่อการออกแบบ หรือ Thailand Creative & Design Center (TCDC)ได้ฤกษ์เปิดศูนย์ TCDC โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานพร้อมด้วย คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ที่บริเวณชั้น 6 ศูนย์การค้าดิ เอ็มโพเรียม ช้อปปิ้ง คอมเพล็กซ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ศูนย์ TCDC เป็นหนึ่งในโครงการของสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ หรือ The Office of Knowledge Management and Development สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นศูนย์กลางความรู้ด้านการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์ให้กับคนไทย คนไทยมีความรู้ความสามารถ ความคิดสร้างสรรค์มาก แต่ติดที่มีแหล่งข้อมูลจำกัด เราต้องพยายามให้คนไทยดึงพรสวรรค์ออกมาใช้ให้มากที่สุด นำความคิดมาเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจเพื่อพัฒนาศักยภาพของเรา อยากให้คนไทยมีความคิดสร้างสรรค์แบบอิสระและนำมาใช้กับการพัฒนาเศรษฐกิจ สำหรับห้องสมุดวัสดุเพื่อการออกแบบ (Material ConneXion Bangkok) นั้นถือว่ามีประโยชน์มากที่จะช่วยกระตุ้นจินตนาการให้กับนักออกแบบได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ขึ้นมา อยากให้ศูนย์ TCDC เป็นที่รวมของนักคิดนักสร้างสรรค์ให้มาก ทำให้สมองคนไทยมีราคา ไม่ใช่แค่ขายแรงงาน ต่อไปเราต้องขาย Brain & Skill อยากให้ศูนย์ TCDCเป็นตัวจุดประกายให้กล้าคิดกล้าทำ นายไชยยง รัตนอังกูร ผอ.ศูนย์ TCDC กล่าวว่า ศูนย์ TCDC ตั้งบนพื้นที่ 4,490 ตารางเมตร แบ่งเป็นส่วนห้องสมุดที่รวบรวมหนังสือออกแบบ มัลติมีเดีย, ส่วนนิทรรศการถาวรและนิทรรศการหมุนเวียน, ห้องประชุม, พื้นที่จัดแสดงผลงานของนักออกแบบรุ่นใหม่, มุมคาเฟ่ และห้องสมุดวัสดุเพื่อการออกแบบ ซึ่งเป็นที่แรกของเอเชียและเป็นที่ 4 ของโลก ต่อจากนิวยอร์ก, มิลาน และโคโลญจ์ ผู้ใช้บริการจะต้องสมัครสมาชิกซึ่งมีอยู่หลายประเภท สิทธิประโยชน์ในการเข้าใช้จะต่างกัน อย่างห้องสมุดวัสดุเพื่อการออกแบบจะสงวนไว้เฉพาะสมาชิกพิเศษเท่านั้น แต่จะเปิดให้เข้าชมได้ฟรีทุกวันพุธรับจำนวนจำกัดประมาณ 30 คน โดยจะต้องโทรศัพท์จองล่วงหน้าก่อน (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 17 พ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





โอลิมปิกดาราศาสตร์ เหรียญที่ 2 ของประเทศไทยทรงเกียรติ นุตาลัย

จากสนามแข่งขันดาราศาสตร์โอลิมปิกวิชาการ ประจำปี 2548 กรุงปักกิ่ง ทรงเกียรติ นุตาลัย โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รับรางวัลเหรียญทองแดงมาให้ประเทศไทยภูมิใจ ด้วยเพิ่งเป็นปีที่ 2 ที่นักเรียนไทยเข้าร่วม ที่สำคัญคว้าเหรียญมาได้ทั้ง 2 ปี (ข่าวสด พฤหัสบดีที่ 17 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





แนะรับมือเสรีการศึกษาหวั่นต่างชาติแย่งนักเรียน

ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยความคืบหน้าการเปิดเสรีทางการศึกษาในส่วนของอุดมศึกษาว่า ได้มีการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย และลงนามไปแล้ว โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 มีเงื่อนไขสำคัญ เช่น ชาวออสเตรเลียมาตั้งสถาบันอุดมศึกษาในไทยได้ แต่ถือหุ้นข้างมากได้ไม่เกินร้อยละ 60 แต่ยังไม่มีสถาบันการศึกษาของออสเตรเลียเข้ามาจัดการศึกษาในไทย สถาบันอุดมศึกษาส่วนใหญ่ยังไม่สามารถปรับตัวและเตรียมรับมือการค้าเสรีและแข่งขันจากสถาบันอุดมศึกษาต่างชาติได้ จึงมีสถาบันอุดมศึกษาบางส่วนไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะอนุญาตให้สถาบันอุดมศึกษาต่างชาติมาเปิดในไทยได้อย่างเสรี และเกิดคำถามว่า หากนักศึกษาไทยเรียนในมหาวิทยาลัยต่างชาติ จะกู้ยืมเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) ได้หรือไม่ ถ้าได้จะยิ่งทำให้มหาวิทยาลัยไทยถูกแย่งนักศึกษามากขึ้น ซึ่งมหาวิทยาลัยต้องเร่งพัฒนาคุณภาพเพื่อป้องกันการถูกแย่งนักศึกษา (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 18 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ศธ.เล็งเพิ่มศูนย์ความเป็นเลิศ อีก 12 แห่งพร้อมขยายอีก 8 สาขา

ศ.พรชัย มาตังคสมบัติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมเรื่อง "ศูนย์ความเป็นเลิศ" ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่าศูนย์ความเป็นเลิศ เป็นศูนย์ที่ตั้งขึ้นในมหาวิทยาลัย 13 ศูนย์ เพื่อเน้นผลิตบัณฑิตปริญญาเอกและปริญญาโท ให้มีความเข้มแข็งใน 7 กลุ่มสาขาวิชาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งที่ผ่านมาศูนย์ได้ผลิตบัณฑิตระดับปริญญาเอกมาแล้ว 800 คน และปริญญาโท 2,000 คน รวมทั้งได้พัฒนางานวิจัยที่เชื่อมโยงไปสู่ภาคการผลิตด้านต่างๆ เพื่อเพิ่มบุคลากรให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันเนื่องจากศูนย์เป็นแหล่งกำเนิดของนวัตกรรม และสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ แต่การดำเนินงานของศูนย์มีการกำหนดระยะเวลาเพียง 5 ปี และจะหมดวาระในเดือนมีนาคม 2549 สำหรับการดำเนินงานของศูนย์ความเป็นเลิศในระยะที่ 2 ได้เสนอผ่านสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ ) และสำนักงบประมาณไปเรียบร้อยแล้ว โดยจะขยายกลุ่มสาขาวิชาให้เป็น 15 กลุ่มสาขาวิชา จากเดิมที่มีเพียง 7 สาขา อาทิ สาขาฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยีชีวภาพ และคอมพิวเตอร์ เป็นต้น โดยจะพิจารณาขยายไปในมหาวิทยาลัยเพิ่มอีก 12 ศูนย์ เพื่อให้มีศูนย์ความเป็นเลิศเป็น 25 ศูนย์ จากที่มีอยู่เดิม 13 ศูนย์ (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 18 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





สกอ.ผุดสมาคมบ่มเพาะวิสาหกิจหวังขยายฐาน UBI ครบทุกสถาบัน

ศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ลงนามร่วมกันเพื่อจัดตั้งสมาคมหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจ และอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย (Thai Business Incubator and Science & Technology Park Association : Thai-BISPA) ทั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการรวมตัวเป็นประชาคมของหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจ อุทยานวิทยาศาสตร์ และอุทยานเทคโนโลยีต่างๆ ในประเทศไทย สำหรับเป็นกลไกส่งเสริมวิสาหกิจใหม่ในประเทศอย่างเป็นระบบ สกอ.ได้สนับสนุนสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ ในประเทศให้จัดตั้งหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจ (University Business Incubator, UBI) ขึ้นในสถาบัน เพื่อขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ จากองค์ความรู้ สิ่งประดิษฐ์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่คิดค้นขึ้นในแต่ละสถาบัน ซึ่งปัจจุบัน สกอ. ได้จัดตั้ง 25 หน่วยบ่มเพาะฯ ในทุกภูมิภาค และจะเพิ่มเป็น 35 แห่งในปี 2549 สกอ.จะให้การส่งเสริม Thai-BISPA เพิ่มเติม โดยสนับสนุนด้านบุคลากรและการเชื่อมโยงเว็บไซต์และเว็บท่า ของ Thai-BISPA ให้เข้ากับหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจ ในสถาบันการศึกษาต่างๆ พร้อมกับการสร้างบรรยากาศการเป็นผู้ประกอบการและบริษัทรุ่นใหม่ๆ (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 18 พ.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





สกอ.ทวงเพิ่มเงินพนักงานมหา’ลัย

ศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยความคืบหน้าการปรับเงินเดือนพนักงานมหาวิทยาลัย ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้เพิ่ม 11% เท่ากับการขึ้นเงินเดือนข้าราชการ เมื่อเดือน เม.ย. 2547 ว่า ขณะนี้สำนัก งบประมาณยังไม่ได้จัดสรรเงินให้ โดยสำนักงบประมาณ ได้ทำจดหมายถึงมหาวิทยาลัยทุกแห่งให้นำเงินอุดหนุนเหลือจ่ายไปจัดสรรให้พนักงานมหาวิทยาลัยไปก่อน ซึ่งบางมหาวิทยาลัยที่มีเงินเหลือก็ได้จัดสรรให้แก่พนักงานมหาวิทยาลัยไปบางส่วนแล้ว แต่ก็มีหลายมหาวิทยาลัยที่ไม่มีงบประมาณเหลือจ่าย ดังนั้นสำนักงานคณะกรรม การการอุดมศึกษา (สกอ.) จะทำเรื่องอุทธรณ์ต่อ ครม. เพื่อของบประมาณอุดหนุนเพิ่มเติมในเร็ว ๆ นี้ เลขาธิการ กกอ. กล่าวต่อไปว่า เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2548 ครม. มีมติปรับเงินเดือนข้าราชการอีกครั้ง จำนวน 5% ดังนั้นเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม รัฐก็น่าจะ มีการปรับเงินเดือนเพิ่มให้แก่พนักงานมหาวิทยาลัยด้วย ซึ่งเท่าที่ทราบที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ได้มอบหมายให้ ศ.ดร.เกื้อ วงศ์บุญสิน รองอธิการบดี ฝ่ายบริหาร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไปคำนวณตัวเลข การเพิ่มเงินเดือนพนักงานมหาวิทยาลัยที่ชัดเจนแล้ว ด้าน ศ.ดร.เกื้อ กล่าวว่า ขณะนี้ตนกำลังทำตารางเปรียบเทียบเงินเดือนข้าราชการกับเงินเดือนพนัก งานมหาวิทยาลัย และอยู่ระหว่างการตรวจทานความ เรียบร้อย คาดว่าจะแล้วเสร็จและเสนอต่อ สกอ. ได้ในวันที่ 21 พ.ย. เพื่อให้ สกอ. ทำจดหมายแจ้งให้แก่มหาวิทยาลัยรัฐทั้ง 24 แห่งรับทราบ และมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งจะได้คำนวณเม็ดเงินของแต่ละมหาวิทยาลัยได้ จากนั้นจะส่งให้นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) พิจารณาและเสนอต่อสำนักงบประมาณต่อไป. (เดลินิวส์ เสาร์ที่ 19 พ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


เกณฑ์เต่าทำสงคราม บังคับให้สอดแนมถ่ายภาพได้

นายอเลกไซ บูริคอฟ คณบดีคณะชีววิทยา มหาวิทยาลัยธรณีวิทยาของรัฐกล่าวแจ้งว่า มนุษย์จะสามารถบังคับเต่าให้ทำงานได้ โดยติดอุปกรณ์เข้ากับกระดองของมันเท่านั้น ใช้การบังคับให้อุปกรณ์สั่นไหว ก็จะบังคับให้เต่าหันเดินไปตามทางที่ต้องการได้ นอกจากนั้น เมื่อติดกล้องเข้ากับหัวของมัน ก็จะทำให้มองเห็นภาพข้างหน้ามันอีกด้วย อาจบังคับเต่าให้ทำงานได้หลายอย่าง ตั้งแต่งานเสี่ยงอันตราย หรือแม้แต่ให้มันเอาระเบิดไปวางในกองบัญชาการข้าศึก ไปจนถึงให้ลักลอบบันทึกเสียง รวมทั้งในงานด้านกิจการพลเรือน อย่างเช่นติดตามการปฏิบัติงานในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและงานป้องกัน เขายังชี้ให้เห็นอีกว่ายังอาจใช้มันสังเกตการณ์ในป่าดงพงไพร ที่มนุษย์ไม่อาจจะทำได้ด้วย. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 14 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





แพทยสมาคมเปิดเวทีถกภัยมือถือ

พ.อ.น.พ.สุรเดช จารุจินดา คณะกรรมการการจัดงานประชุมวิชาการครบรอบ 84 ปี ของแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งจะบรรยายในหัวข้อผลกระทบจากโทรศัพท์มือถือจริงหรือไม่ในงานสัมมนาวิชาการวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ เปิดเผยว่า ข้อมูลที่ได้จากสภาสมาคมวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (สสวทท.) ระบุการใช้โทรศัพท์มือถือต่อเนื่องกันหลายปี "น่าจะ" มีผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ใช้โดยตรง ผลกระทบในระยะสั้น ผู้ที่ได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์มือถือจะทำให้เกิดอาการปวดหู ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว มึนงง ขาดสมาธิ และเครียด สำหรับผลในระยะยาว คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์มือถืออาจทำให้เกิดโรคความจำเสื่อมเนื่องจากเนื้อเยื่อถูกทำลาย เกิดโรคมะเร็งสมองเนื่องจากเนื้อเยื่อสมองมีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมไปจากปกติ นอกจากนี้ เด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 10 ขวบจะมีผลกระทบต่อสุขภาพมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถผ่านกะโหลกศีรษะของเด็กเข้าสู่เนื้อเยื่อสมองได้ลึกกว่าของผู้ใหญ่ สำหรับวิธีการป้องกันอันตรายดังกล่าว ไม่ควรใช้โทรศัพท์มือถือติดต่อกันเป็นเวลานาน หากจำเป็นต้องคุยนานให้สลับหูซ้ายหูขวา ควรใช้โทรศัพท์สายตรงจะปลอดภัยกว่า ควรใช้อุปกรณ์เสริมสำหรับสนทนาเมื่อใช้โทรศัพท์มือถือ หลีกเลี่ยงการให้เด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 1 ขวบใช้โทรศัพท์มือถือ หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือขณะเติมน้ำมันรถยนต์ เป็นต้น (คมชัดลึก จันทร์ที่ 14 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





"ปินส์"ขอไทยเป็นฐานผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด

ดร.สุทัศน์ ศรีวัฒนพงศ์ นายกสมาคมเทคโนโลยีชีวภาพสัมพันธ์(ส.ทส.) เปิดเผยว่า Mr.Roderico Bioco นายกสมาพันธ์ผู้ปลูกข้าวโพดจากประเทศฟิลิปปินส์ พร้อมคณะตัวแทนเกษตรกรได้เดินทางมาศึกษาดูงานด้านระบบการผลิตข้าวโพด รวมทั้งกลุ่มธุรกิจการค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศไทย โดยมุ่งความสนใจในด้านเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเครื่องสี ไซโลรวมทั้งโรงอบเมล็ดข้าวโพด เนื่องจากฟิลิปปินส์ยังมีปัญหาเรื่องความชื้นในเมล็ดข้าวโพด และขาดแคลนเทคโนโลยีที่จะใช้แก้ไขปัญหาดังกล่าว ขณะเดียวกันทางฟิลิปปินส์ยังมีความประสงค์ที่จะให้ประเทศไทย เป็นฐานการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ป้อนให้กับตลาดฟิลิปปินส์ด้วย ซึ่งปัจจุบันฟิลิปปินส์มีพื้นที่ปลูกข้าวโพดรวมทั้งสิ้น 2 ล้านเฮกตาร์ หรือประมาณ 12.5 ล้านไร่ โดย 4.69 ล้านไร่ เป็นพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสม ในจำนวนนี้มีเกษตรกรประมาณ 20,000 ครัวเรือน ที่ปลูกข้าวโพดต้านทานสารกำจัดวัชพืชหรือข้าวโพดจีเอ็มโอ(GMOs) เพื่อใช้เลี้ยงสัตว์ คิดเป็นพื้นที่ประมาณ 50,000 เฮกตาร์ หรือ 3.125 แสนไร่ ซึ่งมีความต้องการใช้เมล็ดพันธุ์สูงถึง 1,800 ตันต่อปี และอนาคตฟิลิปปินส์ตั้งเป้าที่จะขยายพื้นที่ปลูกข้าวโพดจีเอ็มโอเพิ่มขึ้นถึง 1 แสนเฮกตาร์ หรือ 6.25 แสนไร่ คาดว่าจะมีความต้องการใช้เมล็ดพันธุ์เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 14 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





สู่ยุค"แผนที่นำทาง"บนมาตรฐานโอเพ่นซอร์ส

เมื่อเร็วๆ นี้ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ(เนคเทค) ซึ่งส่ง ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการเนคเทค ในฐานะผู้เชี่ยวชาญจากประเทศไทย เข้าร่วมงานแถลงผลการศึกษาโครงการ "แผนที่นำทางสำหรับการเข้าสู่ระบบไอซีที(ICT) แบบเปิด" ซึ่งจัดขึ้นที่มหานครนิวยอร์ก เมื่อเร็วๆ นี้ งานดังกล่าวมีธนาคารโลก ร่วมกับ Berkman Center for Internet and Society อยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ให้การสนับสนุน ถือเป็นโครงการจัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้แก่ผู้คน เกี่ยวกับประโยชน์ของการใช้มาตรฐานเปิด(open standard) และกระบวนการของการพัฒนาด้วยโอเพ่นซอร์ส ซึ่งการใช้มาตรฐานเปิดในการพัฒนาประสิทธิภาพ นวัตกรรม และการเติบโตในงานของภาครัฐ ธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ใช้เทคโนโลยีทั่วไปที่จะเป็นทางเลือกมากขึ้นในการใช้ประโยชน์ นำไปสู่การแข่งขันที่ให้คุณค่าแก่ผู้บริโภค เนคเทคมีรายงานผลการเข้าร่วมเผยผลการศึกษาแผนที่นำทางนี้ โดยแจกแจงรายละเอียดว่า หากทำสำเร็จจะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถควบคุมสถานการณ์ของธุรกิจตนเองได้ การเข้าใจคุณค่าของระบบเปิด มาตรฐานเปิด และการเลือกใช้ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์จากผู้ใดก็ได้ ที่ตรงตามมาตรฐานเปิด ซึ่งต้องมีคุณสมบัติ 6 ด้าน คือ 1) ต้องไม่อยู่ภายใต้การควบคุมหรือผูกขาดโดยผู้หนึ่งผู้ใด 2) มีกระบวนการสร้างมาตรฐานที่เปิดเผย โปร่งใส 3) ทำงานได้อิสระบนหลายระบบได้ 4) เป็นมาตรฐานที่สามารถหาสเปคมาอ่านได้ทั่วไป 5) นำมาพัฒนาใช้งานโดยไม่ต้องเสียค่าใบอนุญาต หรือมีค่าใช้จ่ายน้อยมากๆ และ 6) เป็นมาตรฐานที่ผู้มส่วนร่วมส่วนใหญ่ให้การรับรอง ทั้งนี้ ไม่จำเป็นใดๆ ที่จะต้องเป็นมาตรฐานที่รัฐบาลรับรอง (อ้างอิงจาก http://www.nectec.or.th/tindex.html) ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล กล่าวว่า แผนที่นำทางนี้จะเป็นประโยชน์กับการวางนโยบายไอซีทีของหลายประเทศทั่วโลก ที่ต้องการพัฒนาประเทศอย่างจริงจัง (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 14 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





ดาวเทียมยุโรปตรวจพบ ก้อนน้ำแข็งยักษ์"บี-15เอ"แตกตัว

เรดาร์รุ่น "เอซาร์" ที่ติดตั้งอยู่ในดาวเทียม "เอ็นวิแซต" ขององค์การอวกาศยุโรป (อีเอสเอ) เปิดเผยภาพล่าสุดของก้อนน้ำแข็งยักษ์ดังกล่าวขณะแตกออกเป็นก้อนน้ำแข็งรูปทรงเหมือนใบมีด 9 ก้อนและก้อนเล็กก้อนน้อยอีกจำนวนมาก เรดาร์เอซาร์ตามจับภาพ บี-15เอ ซึ่งมีรูปทรงเหมือนขวดขนาดยาว 115 กิโลเมตร กินเนื้อที่มากกว่า 2,500 ตารางกิโลเมตรมาตั้งแต่ต้นปี มันเป็นก้อนน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดที่ยังเหลืออยู่ในบรรดาก้อนน้ำแข็งที่แตกออกมาจากภูเขาน้ำแข็ง บี-15 เมื่อปี 2543 และลอยเข้าสู่มหาสมุทรแอนตาร์กติกไปขวางทางน้ำจนมีน้ำแข็งมาเกาะเพิ่มและกลายเป็นที่อยู่อาศัยของเพนกวิน จากนั้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ บี-15เอ ลอยช้าๆ ไปเฉี่ยวกับก้อนน้ำแข็ง "ดรายกัลสกี้" จนทำให้ดรายกัลสกี้แตกออกบางส่วนและลอยไปชนกับตอนปลายของภูเขาน้ำแข็ง "อเวียเตอร์ กลาเซียร์" ที่อ่าวเลดี้ นิวเนส ก่อนจะลอยมาถึงแหลมอะเดเร่และเริ่มแตกออกในที่สุดเมื่อ 28 ต.ค. 2548 (ข่าวสด จันทร์ที่ 14 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





เซลล์โบราณผสมพันธุ์ 65 ล้านปี นานที่สุดในโลก

นักวิทยาศาสตร์อินเดียชื่อนายราญจิต เค.คาร์ ผู้ค้นพบซากโบราณของเซลล์เชื้อรา อยู่ในสภาพผสมพันธุ์กันอยู่ สมัยเมื่อ 65 ล้านปีก่อน ถือได้ว่านับเป็นการผสมพันธุ์ครั้งยาวนานที่สุดของโลก เซลล์ของสิ่งมีชีวิตที่มีเซลล์เดียวคู่นี้ ถูกพบอยู่ในสภาพของการร่วมเพศ” เขากับคณะนักวิทยาศาสตร์ที่สถาบันโบราณชีวศาสตร์ ที่เมืองลัคเนาว์ เมืองหลวงของแคว้นอุตตระประเทศทางเหนือ รายงานการค้นพบเรื่องนี้ในวารสาร “วิทยาศาสตร์ปัจจุบัน” เซลล์มีขนาดเล็กกว่าเส้นผม ได้ศึกษาดูด้วยกล้อง จุลทรรศน์ เหตุที่เขายืนยันได้ว่ามันกำลังอยู่ในระหว่างการผสมพันธุ์กันก็เพราะเหตุว่า มันมีท่าทีว่าต่างฝ่ายต่างได้ใช้ระยางค์ของแต่ละตัวเคลื่อนไหวลำตัวอยู่ “ซากโบราณแสดงว่าเซลล์คู่นี้ อยู่ในระหว่างการผสมพันธุ์ และการที่เราไม่เห็นระยางค์ของแต่ละตัว ก็เป็นเครื่องยืนยันว่ามันผสมกันอยู่ นับว่าเพิ่งเป็นครั้งแรกที่ได้พบการผสมพันธุ์ของสิ่งที่มีชีวิตขนาดจิ๋วในสภาพของซากโบราณ” ซากโบราณดังกล่าวนี้ถูกพบในบ่อแห้งลึก 10 เมตร ในแคว้นทางภาคกลางอินเดีย ซึ่งทับถมด้วยเถ้าถ่านจากภูเขาไฟและซากโบราณต่างๆ. (ไทยรัฐ อังคารที่ 15 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





มือถือขนาดบัตรเครดิต

มือถือ SGH P300 มีขนาดเพียงแค่ 87x54x8.9 มิลลิเมตรเท่านั้น สนับสนุนการทำงานในระบบ Triband สามารถเชื่อมต่อเน็ตผ่านระบบ GPRS ที่มาพร้อมกับกล้อง ดิจิตอลความละเอียด 1.3 ล้านพิกเซลที่บันทึกวิดีโอได้อีกด้วย ในส่วนของหน้าจอแสดงผลจะเป็นแบบ TFT ความละเอียด 220x176 พิกเซล มีหน่วยความจำขนาด 80MB สำหรับบันทึกภาพ วิดีโอ เพลง และเสียงต่างๆ นอกจากนี้ยังมีหน่วยความอีก 4MB ที่ใช้สำหรับรันแอพพลิเคชันจาวา อย่างที่บอกว่า มือถือรุ่นนี้ถึงจะเล็ก และบางเท่ากับนามบัตร แต่ก็เปี่ยมด้วยฟังก์ชันการทำงาน ดังนั้น SGH P300 จะสามารถเล่นไฟล์เพลงในฟอร์แมต MP3 และ AAC อีกทั้งยังสามารถใช้ในการท่องเน็ตโดยใช้บราวเซอร์ WAP 2.0 นอกจากนี้ยังมีเกมให้เล่นคลายเครียดถึง 2 เกมอีกด้วย สำหรับฟังก์ชันอื่นๆ ก็จะมี ระบบเตือนจำด้วยเสียง กำหนดการ ปฏิทิน โน้ตข้อความ นาฬิกาปลุก เครื่องคิดเลข และอื่นๆ อีกมากมาย สามารถจัดเก็บรายชื่อ และหมายเลขผู้ติดต่อได้ถึง 1,000 รายการ แถมยังสามารถเชื่อมโยงรายชื่อเหล่านี้เข้ากับไฟล์ภาพ และไฟล์ MP3 ได้อีกต่างหาก นอกจากนี้ SGH P300 ยังสนับสนุนเทคโนโลยีบลูทูธอีกด้วย นับว่าเป็นมือถือที่จิ๋วแต่แจ๋วจริงๆ ครับ (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 16 พ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





ซูเปอร์คอมพ์เร็วที่สุดในโลก

ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เครื่องที่มีความเร็วในการคำนวณมากที่สุดในโลกปัจจุบันที่ชื่อว่า บลูยีน แอล หรือ Blue Gene/L ซึ่งสร้างโดยบริษัทไอบีเอ็ม เป็นยีนหรือพันธุกรรมของยักษ์สีฟ้า ไอบีเอ็ม ซึ่งมีความสามารถในการคำนวณสูงที่สุดในโลกขณะนี้จากระดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ในบัญชีชั้นยอดของโลก 500 แห่ง ความเร็วในการคำนวณที่วัดได้ คือ 280.6 ล้านล้านครั้งต่อวินาที หรือ 280.6X 1012 หรือ 280,600,000,000,000 ครั้งต่อวินาที ซึ่งในทางทฤษฎีเครื่องจะสร้างให้เกิน 367 ล้านล้านครั้งต่อวินาที หรือ 367 ทีรา ฟลอป (Teraflops) หรือ 367 ทริลเลียน (Trillion) ซึ่งสามารถเร็วกว่ากำแพงกั้นที่ 100 ทีราฟลอป ซึ่งยังไม่มีเครื่องใดในโลกทำได้ ขณะนี้ บลูยีนแอลเครื่องนี้ ประกอบไปด้วยโปรเซสเซอร์หรือเครื่องประมวลผล 130,000 เครื่อง ต่อกันเพื่อเพิ่มกำลังคำนวณ ส่วนอีกเครื่องที่ดังมากคือ เครื่องที่สามารถสร้างแบบจำลองของโลกของบริษัท เอ็นอีซี ซึ่งเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีความเร็ว 35.86 ทีราฟลอป เคยอยู่อันดับหนึ่งของโลกตอนนี้ถูกแซงและถอยไปเป็นอันดับที่ 7 ของโลกไปเสียแล้ว และยังไม่มีเครื่องใดในโลกมีขีดความสามารถเร็วละทุเกิน 100 ทีราฟลอป นอกจากบลูยีน แอล ที่ใกล้เคียง 100 ทีราฟลอปก็คือ เอเอสซี เพอร์เพิล-ASC Purple ซึ่งใช้สำหรับคำนวณแบบจำลองสมรรถภาพของระเบิดนิวเคลียร์ บลูยีนแอลนี้ก็จะใช้ในการคำนวณ อายุของวัสดุ พลศาสตร์ของโมเลกุลแบบ จำลองวัสดุ และพลศาสตร์ของน้ำกระเพื่อมเช่น สึนามิ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ใช้ประโยชน์ได้เยอะมาก เช่น ในทางชีววิทยาก็ใช้ในการเก็บสะสมข้อมูลดีเอ็นเอ และสร้างตัวยาชนิด ใหม่ ๆ สำหรับรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้มนุษย์ ส่วนนักดาราศาสตร์ ก็ยืมสมองของซูเปอร์คอมพิวเตอร์นี่แหละเพื่อสร้างแบบจำลองในการกำเนิดของจักรวาลดังที่เป็นภาพในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังช่วยพยากรณ์อากาศได้แม่นยำมากขึ้นเพื่อระวังอุบัติภัยของมนุษย์ การออกแบบรถยนต์ การวิเคราะห์โรค (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 17 พ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





นักวิจัยสำรวจ"ทะเลตรัง" พบพะยูน-หญ้าทะเลเพิ่ม

นายเสนอ ตันเล่ง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จ.ตรัง เปิดเผยว่า จากการสำรวจพะยูนรอบหาดเจ้าไหม โดยใช้อุปกรณ์การบินเครื่องยนต์เบา หรือพารามอเตอร์ พบว่าพะยูนว่ายน้ำเป็นฝูงใหญ่ขึ้น ฝูงละ 6-8 ตัว รวมประมาณ 100-126 ตัว เพิ่มขึ้นจากการสำรวจก่อนเกิดสึนามิราว 80 ตัว ส่วนหญ้าทะเลบริเวณหน้าเกาะมุกถึงหน้าเกาะลิบงมีประมาณ 200-300 ไร่ ขณะที่ภาพรวมของหญ้าทะลในทะเลอันดามันมีประมาณ 1.4 แสนไร่ พบว่าหลังสึนามิเสียหายประมาณ ร้อยละ 1.5 หรือ 600 ไร่ และนับตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงปัจจุบัน หญ้าทะเลที่เสียหายไปนั้น ก็มีแนวโน้มฟื้นฟูกลับมาใหม่ นางสาวกาญจนา อดุลยานุโกศล ผู้เชี่ยวชาญเรื่องพะยูน สถาบันพัฒนาทรัพยากรทางทะลฯ กล่าวถึงสาเหตุที่พบพะยูนมากขึ้นว่า อาจจะเป็นเพราะพะยูนกล้าปรากฏตัวมากขึ้น แต่ไม่ได้เกิดจากการขยายพันธุ์เพิ่ม ส่วนเรื่องที่นักท่องเที่ยวเรียกร้องให้อุทยานแห่งชาติเปิดให้นักท่องเที่ยวชมพะยูนทางพารามอเตอร์นั้น ไม่เห็นด้วย เพราะการชมพะยูนของนักท่องเที่ยวกับนักวิจัยแตกต่างกัน นักวิจัยใช้พารามอเตอร์สำรวจพะยูนอย่างระมัดระวัง ใช้ระดับความสูงที่ไม่เห็นแม้กระทั่งเงาและเสียง เพราะเกรงพะยูนจะหนี อย่างไรก็ตาม จากการเก็บสถิตินักท่องเที่ยวพบว่าเห็นพะยูนเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น นักท่องเที่ยวสามารถชมพะยูนด้วยวิธีอื่นได้ เพราะเร็วๆ นี้ อุทยานฯหลายแห่งอยู่ระหว่างสร้างหอคอยสำหรับให้นักท่องเที่ยวเข้าชมพะยูนได้แล้ว (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 17 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





ญี่ปุ่นซึม"หุ่นยนต์สำรวจดาว"หาย

คิโยตากะ ยาชิโร่ โฆษกจาซ่า เปิดเผยว่า หลังจากยานแม่ส่งหุ่นยนต์มิเนอร์วาเพื่อลงไปสำรวจผิวดาวเคราะห์น้อยอิโตกาวะไม่นานสัญญาณวิทยุติดต่อก็ขาดหายไปทำให้ไม่สามารถควบคุมการขับเคลื่อนหุ่นยนต์ได้ จนหุ่นมิเนอร์ว่าหลุดหายไปในอวกาศ โดยตอนนี้เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบและตามหามิเนอร์ว่า ทั้งยังหวังว่าลมสุริยะจะพัดมันกลับมายังทิศทางของดาวเพื่อดำเนินการลงจอดอีกครั้ง ขณะที่ภารกิจเก็บตัวอย่างผิวดาวด้วยแสงเลเซอร์ในวันเดียวกันประสบความสำเร็จ ก่อนหน้านี้ ยานฮายาบูซะเคยเกิดความผิดพลาดในการฝึกซ้อมการลงจอดบนดาวเคาะห์เมื่อหาจุดลงจอดไม่พบ รวมทั้งเคยเกิดปัญหากับ 1 ใน 3 ของเครื่องนำร่องของยาน แต่จาซ่ายืนยันว่าความผิดพลาดล่าสุดที่เกิดขึ้นจะไม่กระทบกำหนดการณ์ลงจอดบนดาวอิโตกาวะของยานฮายาบูสะวันที่ 19 พ.ย. และ 25 พ.ย.นี้ (ข่าวสด พฤหัสบดีที่ 17 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ป้องกันคนแอบใช้ Wi-Fi

ข้อมูลวิจัยล่าสุด กลุ่มผู้ใช้ที่เป็นนักธุรกิจกำลังตกเป็นเป้าหมายของการลักลอบขโมยรหัสผ่านขณะเชื่อมต่อเน็ตแบบไร้สาย เนื่องจากผู้ใช้กลุ่มนี้มักจะถูกโจมตีได้ง่ายด้วยซอฟต์แวร์ sniffer (ซอฟต์แวร์ที่ดักจับข้อมูลที่ไม่ได้เข้ารหัส โดยทำให้ระบบของผู้ใช้เปิดเผยตัวเอง เพื่อให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึง และขโมยข้อมูลออกไปได้) กรณีที่ใช้เครือข่าย Wi-Fi ในบ้าน ควรแน่ใจว่า ได้เปิดโพรโตคอลเข้ารหัส (encrypt protocol) ให้กับเราท์เตอร์ไร้สายแล้ว ซึ่งกลไกการเข้ารหัสจะทำให้ข้อมูลที่ส่งออกไปจากเครื่องคอมพิวเตอร์ดูไม่รู้เรื่อง เพื่อป้องกันให้แฮกเกอร์เข้าถึงเครื่องยากขึ้น หรือไม่สามารถอ่านข้อมูลของคุณได้ ปกติอุปกรณ์ Wi-Fi จะมีกลไกการเข้ารหัสพื้นฐานมาให้ด้วยเรียกว่า Wired Equivalnt Privacy (WEP) หรือคุณอาจจะเลือกใช้กลไกการเข้ารหัสใหม่ที่ปลอดภัยกว่าเรียกว่า Wi-Fi Protected Access หรือ WPA ก็ได้ การป้องกันปัญหาดังกล่าวก็คือ เลือกใช้บริการเชื่อมต่อไร้สายที่ให้คีย์พิเศษในการเข้ารหัสข้อมูล เพื่อลดความเสี่ยงจะถูกสอดแนมได้ ซึ่งคีย์ที่ว่านี้จะปกป้องเฉพาะลูกค้าที่ลงทะเบียน เมื่อล็อกออนเข้าสู่ระบบเครือข่ายไร้สายที่เปิดให้บริการ (สยามรัฐรายวัน ศุกร์ที่ 18 พ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





"โลกร้อน"เพิ่มความเสี่ยงโรคระบาด

องค์การอนามัยโลกรายงานว่า ทั่วโลกเกิดโรคระบาด 1,000-3,000 กรณีทุกปี และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าภาวะ "โลกร้อน" ส่งผลให้อุบัติการณ์โรคระบาดเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ จากการวิเคราะห์ข้อมูลโรคระบาดในคาซัคสถานสมัยสหภาพโซเวียต โรคระบาดครั้งใหญ่ในลอนดอนเมื่อพ.ศ. 2208-2209 และที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ แถบเอเชียกลางรวมถึงกาฬโรคที่ระบาดรุนแรงในศตวรรษที่ 14 คลอบคลุมพื้นที่ 1 ใน 3 ของยุโรป คร่าชีวิตคน 34 ล้านคนจนถูกขนานนามว่า "แบล็กเด๊ธ" ที่มีตัวหมัดเล็กๆ เป็นพาหะนำเชื้อ ล้วนแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างภาวะโลกร้อนและอุบัติการณ์ของโรคระบาด สภาพอากาศร้อนชื้นหมายความว่ามีแนวโน้มที่แบคทีเรียในอากาศจะเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติและโอกาสในการแพร่ระบาดมาสู่คนมีสูงและถ้าเป็นแล้วรักษาด้วยยาปฏิชีวนะมันก็จะทุเลาลง แต่ถ้าปล่อยไว้นานกว่านั้นมีโอกาสทำให้เสียชีวิตสูงถึง 60% ศาสตราจารย์นิลส์ สเต็นเซ็ธ ประธานการประชุมราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์นอร์วิเจียนว่าด้วยโรคระบาด กล่าว และว่า จากข้อมูลพบว่าโรคระบาดจะเกิดซ้ำในช่วงที่สภาพอากาศของโลกคล้ายคลึงกับที่เคยเกิดโรคระบาดมาแล้วในอดีต (ข่าวสด ศุกร์ที่ 18 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ตะกวด-อิกัวนาออสเตรเลีย เข้าบัญชีสัตว์มีพิษเยี่ยง งู-แมงมุม

คณะนักวิทยาศาสตร์นานาชาตินำโดยนายไบรอัน ฟราย นักพันธุกรรมโมเลกุลจากหน่วยวิจัยพิษวิทยาออสเตรเลีย มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น เปิดเผยต่อวารสารเนเชอร์ ซึ่งเป็นวารสารด้านวิทยาศาสตร์ ชั้นนำ ฉบับวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า ตะกวดและ อิกัวนาก็มีพิษเช่นกัน สันนิษฐานว่าระบบการสร้างพิษของงูและสัตว์จำพวกกิ้งก่าน่าจะ วิวัฒนาการมาจากจุดเริ่มต้นเดียวกัน ไม่ได้แยกกันอย่างที่เคยเชื่อกันก่อนหน้านี้ และแม้สัตว์จำพวกกิ้งก่าผลิตพิษไม่มากพอที่จะเป็นอันตรายต่อมนุษย์ แต่ก็ทำให้ สัตว์ที่เป็นเหยื่อตายได้ ในปัจจุบันสัตว์เลื้อยคลานประเภทกิ้งก่าเท่าที่พบว่า มีพิษมีเพียงกิ้งก่ากิลามอสเตอร์เท่านั้น อยู่ตามทะเลทรายทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐฯและทะเลทรายในเม็กซิโก คณะนักวิจัยใช้เวลาหลายเดือนตามทะเล ทรายในออสเตรเลียและประเทศเขตร้อน จับ ศึกษา และรีดพิษสัตว์จำพวกกิ้งก่าหลายสิบชนิด นำพิษและดีเอ็นเอของพวกมันมาศึกษา คาดว่าจะนำไปสู่การพัฒนาตัวยาขนานใหม่ๆจากพิษได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนายารักษาความดันโลหิตและเลือดจับตัวเป็นลิ่มอย่างผิดปกติ. (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 19 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





ระบบเตือนภัยสึนามิขั้นต้น ติดตั้งระยะแรกชายฝั่งอินโดฯ

ระบบทุ่นลอยเตือนภัยสึนามิเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลอินโดนีเซีย กับเรือวิจัยของเยอรมัน ที่จะออกเรือไปยังนอกชายฝั่งบริเวณเกาะสุมาตรา แล้วปล่อยให้ทุ่นลอยนั้นส่งข้อมูลเข้ามา โดยระบบทุ่นลอยที่ว่ามีขนาดความยาว 7 เมตรจากเสาเรือ ซึ่งปักอยู่ใต้น้ำ ทุ่นดังกล่าวจะเป็นตัวเก็บอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ที่ลอยอยู่เหนือพื้นน้ำ ตัวทุ่นลอยจะเชื่อมกับอุปกรณ์ วัดแรงดันที่วางอยู่ใต้ท้องทะเล เมื่อมันจับความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้ ทุ่นลอยที่ตั้งโปรแกรมไว้ จะส่งข้อมูลผ่านดาวเทียมไปยังสถานีกลางบนแผ่นดิน จากนั้น นักวิทยาศาสตร์ต้องตีความข้อมูลและตัดสินใจว่าจะเตือนภัยหรือไม่ ริดวัน ซามซุดดิน หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ อินโดนีเซีย ที่ร่วมงานครั้งนี้บอกว่า นักวิทยาศาสตร์ ของทั้ง 2 ประเทศกำลังเรียนรู้การทำงานของทุ่นลอยเตือนภัยว่ามันจะทำงานอย่างไร (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 19 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





นาซาใช้"แทร็กเตอร์บีม" เบี่ยงดาวเคราะห์ชนโลก

หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานว่า นักบินอวกาศขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ(นาซา) ของสหรัฐอเมริกา แนะนำให้สร้าง "แทร็กเตอร์ บีม" เครื่องสร้างแรงโน้มถ่วงเทียมขึ้นมา เพื่อใช้สำหรับการช่วยให้โลกรอดพ้นจากการถูกดาวเคราะห์น้อยพุ่งชน หลังจากมีการสำรวจพบว่าดาวเคราะห์น้อยที่ชื่อ "เอ็มเอ็น 4" หรือ "อโพฟิส" มีโอกาสจะพุ่งชนโลกในอีก 31 ปีข้างหน้าหรือปี 2579 โดยวารสารเนเจอร์รายงานว่า นายเอ็ดเวิร์ด ลู และสแตนลีย์ เลิฟ สองนักบินอวกาศของนาซา ได้เสนอแผนที่จะให้มีการสร้างแทร็กเตอร์ บีม ซึ่งเป็นเครื่องสร้างแรงโน้มถ่วงเทียมขึ้น เหมือนกับที่เคยปรากฏตามภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น "สตาร์วอร์" หรือ "สตาร์เทร็ก" เพื่อใช้สำหรับทำให้ดาวเคราะห์น้อยเคลื่อนตัวได้ช้าลงหรือเร็วขึ้นในช่วงระยะเวลาไม่กี่นาที แต่กระบวนการดังกล่าวหากทำเป็นระยะเวลานาน 10 หรือ 20 ปี ก็จะทำให้ดาวเคราะห์น้อยไม่พุ่งชนโลกได้และไม่เข้ามาเฉียดใกล้โลกมากจนเกินไป ขณะที่มีรายงานว่า นาซาได้ร่างแผนการเพื่อเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนโลกเอาไว้ หลังจากได้รับคำเตือนมาจากกลุ่ม บี 612 โดยรายละเอียดของแผนดังกล่าว คือ นับจากนี้ไปอีก 8 ปี หากโอกาสในการพุ่งชนในปี 2579 ยังมีอยู่ นาซาจะเริ่มการวางแผนในการส่งยานไปสำรวจดาวเคราะห์ดังกล่าวหรือโคจรอยู่รอบๆ มัน ในปี 2562 ซึ่งหากผลการสำรวจยังไม่สามารถสรุปได้ว่าจะเกิดการพุ่งชนหรือไม่ นาซาจะพยายามที่จะทำให้ดาวเคราะห์น้อยเบี่ยงเบนไปยังเป้าหมายอื่นที่ไม่เป็นอันตราย ภายในปี 2567-2571 (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 19 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





"หมอวิชัย"ชี้"โป๊ยกั้กพะโล้" ไม่แก้หวัดนก-แค่สารตั้งต้น

นพ.วิชัย โชควิวัฒน อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า โป๊ยกั้กเป็นสารตั้งต้นชนิดหนึ่งที่ใช้ในการผลิตยาโอเซลทามิเวียร์เพราะโป๊ยกั้กมีกรด "ชิคิมิก" ที่มีสูตรโครงสร้างทางเคมีคล้ายกับสูตรโครงสร้างของโอเซลทามิเวียร์ โดยวิธีการนำมาใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตยานั้น จะต้องผ่านกระบวนการกว่า 10 ขั้นตอนเพื่อให้มีสูตรโครงสร้างทางเคมีที่เหมือนกัน จึงสามารถนำไปใช้ได้ แต่การทานอาหารที่มีส่วนผสมของโป๊ยกั้ก เช่น พะโล้ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ไม่สามารถบอกได้ว่าจะมีกรดตัวนี้เหลืออยู่ในอาหารหรือไม่ และถ้ามีก็เป็นเพียงกรดที่มีสูตรโครงสร้างคล้ายกับโอเซลทามิเวียร์เท่านั้น จึงยังไม่สามารถต้านเชื้อไวรัสไข้หวัดนกได้ เพราะหากจะนำไปรักษาไข้หวัดนกจริงๆ ต้องนำโป๊ยกั้กไปผ่านกระบวนการถึง 3 ขั้นตอน คือ หมัก สกัด และทำให้กรดที่สกัดออกมาบริสุทธิ์ หลังจากนั้นต้องผ่านกระบวนการอีกหลายขั้นตอนถึงจะนำมาใช้ผลิตยาต้านไข้หวัดนกได้ ขอให้อย่าสับสน ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ องค์การอนามัยโลก กล่าวว่า ไม่ทราบว่าโป๊ยกั้กใช้ต้านไวรัสไข้หวัดนกได้หรือไม่ (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 19 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





ไทยรับมือโลกร้อนตามอนุสัญญายูเอ็น

นางนิศากร โฆษิตรัตน์ เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กล่าวว่า ประเทศไทยจัดเป็นประเทศที่สร้างผลกระทบกับภาวะโลกร้อนคิดเป็นร้อยละ 0.64 ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ไม่สร้างผลกระทบต่อภาวะโลกร้อน ขณะที่สหรัฐอเมริกาสร้างภาวะโลกร้อนอันดับที่ 1 คิดเป็นร้อยละ 28 จีน อันดับที่ 2 อินเดีย อันดับที่ 3 โดยวัดจากปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่คืนกลับมาสู่บรรยากาศ แต่สหรัฐฯไม่ได้เป็นสมาชิกอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกและขณะนี้ไทยกำลังเตรียมออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการรับมือปัญหาภาวะโลกร้อน ตามที่ระบุไว้ในภารกิจของประเทศสมาชิก พร้อมกันนี้ ไทยยังจะจัดตั้งองค์กรอิสระที่จะมาทำหน้าที่ทำงานเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวด้วย ในวันที่ 28 พ.ย.-9 ธ.ค.2548 จะมีการจัดประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 11 และการประชุมสมัชชาประเทศภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ 1 ที่เมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา ซึ่งไทยจะเข้าร่วมประชุมพร้อมแสดงจุดยืน 6 ประการ ได้แก่ 1.การปรับตัวของประเทศไทยกับภาวะโลกร้อน 2.การลดก๊าซที่เป็นต้นเหตุของภาวะโลกร้อน 3.การวิจัยและพัฒนาการใช้เทคโนโลยีสะอาดเพื่อลดปริมาณก๊าซพิษในบรรยากาศ 4. ศักยภาพของบุคลากรไทยในการให้ความรู้ และเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน 5.การสร้างความตระหนักต่อสาธารณชน และ 6.องค์กรและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมรับภาวะโลกร้อนที่เปลี่ยนไปของประเทศไทยด้วย (ข่าวสด เสาร์ที่ 19 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





มหัศจรรย์"ภูกระดึง" บ่อโคลนผุด-บ้านนาแปน

ที่บ้านนาแปน ต.ศรีฐาน อ.ภูกระดึง จ.เลย เกิดโคลนผุดขึ้นเป็นบ่อจำนวนมาก แต่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปนัก นอกจากคนในพื้นที่เท่านั้น นับสิบปีแล้ว ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะนี้มีนับกว่า 10 บ่อแล้ว กินระยะทางยาวหลายกิโลเมตร บ่อดินโคลนผุดนั้นแต่ละหลุมจะมีความกว้างประมาณ 3 เมตรขึ้นไป ลึกประมาณ 4 เมตร บ่อดินโคลนนี้หากเราเอาไม้กระทุ้งลงไปไม่กี่ครั้งโคลนก็จะผุดขึ้นมา บางบ่อจะผุดเหมือนน้ำเดือดขึ้นมาเป็นระยะๆ สีของโคลนจะแตกต่างกันคือ ที่ตีนภูค้อนั้นเป็นสีดำ ส่วนบริเวณที่นาของตนสีน้ำตาลอ่อนๆ เมื่อจับดูจะมีความละเอียดมากแต่เมื่อแห้งแล้วจะออกสีนวลๆเหมือนกับทาแป้ง เคยมีนักวิชาการมาดู เขาบอกว่า เป็นดินโคลนที่มีแร่ธาตุทำเครื่องสำอาง โดยนำไปทาตามตัวและใบหน้า เพราะจะทำให้ผิวนวลขึ้น นายเสน่ห์ นนทะโคตร นายอำเภอภูกระดึง ได้มอบหมายทาง อบต.ศรีฐาน ทำการสำรวจบ่อดินโคลนผุดว่ามีกี่แห่ง อยู่ในที่ของใครบ้าง เพื่อนำไปวิเคราะห์อย่างละเอียดว่ามีแร่ธาตุอะไร เอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้ (ข่าวสด เสาร์ที่ 19 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ข่าววิจัย/พัฒนา


ยกทรงรุ่นใหม่ประหยัดพลังงาน

บริษท ไทร์อัมพ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ญี่ปุ่น) ออกแบบชุดชั้นในรุ่นใหม่ "วอร์มบิซ" ใช้ใยผ้าที่ให้ความอบอุ่น เมื่อได้รับรังสีอินฟราเรดจากแสงแดด แถมแผ่นดันทรงภายในยังบรรจุเจล ซึ่งเมื่อได้รับความร้อนจากไมโครเวฟ หรือน้ำร้อน ก็จะยิ่งให้ไออุ่นกับอกของผู้สวมใส่ในยามหน้าหนาว จึงช่วยประหยัดพลังงานโดยไม่ต้องใช้เครื่องทำความร้อนเกินจำเป็น นอกจากตัวเสื้อจะทำให้อกอุ่นได้แล้ว บริษัทยังได้ออกแบบให้สายเสื้อชั้นใน สามารถนำมาคล้องคอเหมือนกับมีผ้าพันคอในตัว สร้างความอบอุ่นให้กับลำคอได้อีกทางด้วย ออกแนวแฟชั่นเล็กๆ ที่ใช้อวดโฉมกันได้ในที่ทำงาน ขณะนี้บริษัทยังไม่ได้ผลิตออกมาวางจำหน่าย เพราะเป็นต้นแบบที่หวังจะใช้ต่อยอดผลิตเป็นเสื้อผ้าเพิ่มไออุ่นกับผู้สวมใส่ในช่วงฤดูหนาวต่อไป แนวคิดของไทร์อัมพ์มีขึ้น หลังจากที่รัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งนำโดยนายจุนอิชิโร โคอิซูมิ นายกรัฐมนตรี รณรงค์ให้ประชาชนหันมาใส่เสื้อลำลอง และไม่ต้องผูกเนกไทมาทำงาน ภายใต้ชื่อโครงการ "คูลบิซ" เพื่อจะได้ไม่ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศคลายร้อนในที่ทำงาน และยังจะเป็นการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาทำลายสิ่งแวดล้อมอีกด้วย จากมาตรการดังกล่าว ทำให้ญี่ปุ่นสามารถประหยัดพลังงานได้มาก โดยพลังงานส่วนที่หายไปจะนำไปป้อนให้ประชาชนได้มากถึง 240,000 ครัวเรือนต่อเดือน สำหรับในช่วงฤดูหนาวนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังรณรงค์ให้คนในชาติ ช่วยกันประหยัดพลังงาน ด้วยการตั้งค่าเครื่องทำความร้อนไว้ไม่ให้เกิน 20 องศาเซลเซียส (คมชัดลึก จันทร์ที่ 14 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





มะกันสร้าง"ปืนเลเซอร์"ยิงตาบอด

"เซเบอร์ 203" ห้องปฏิบัติการกองทัพอากาศสหรัฐในรัฐนิวเม็กซิโก พัฒนาปืนไรเฟิลเลเซอร์รุ่นใหม่ "Personnel Halting and Stimulation Response" หรือ "PHASR" ที่ออกแบบมาเพื่อเป็นอาวุธยับยั้งผู้ร้ายทำให้มองไม่เห็นชั่วครู่แต่ไม่ทำให้เป็นอันตรายถึงตาย มีรูปทรงกระบอกแบบไรเฟิลทั่วไปเพียงแต่กำลังแสงเลเซอร์ต่ำและมีวิถียิงที่ระยะ 300 เมตรซึ่งเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐระบุว่าอาวุธชนิดนี้จะนำมาใช้ในกรณีสกัดผู้ต้องสงสัยซึ่งขับฝ่าจุดตรวจบนถนน สำหรับต้นแบบปืนเลเซอร์ 2 กระบอกถูกส่งไปทดสอบประสิทธิภาพที่ฐานทัพสหรัฐในรัฐเท็กซัสและเวอร์จิเนียแล้ว จากนั้นจึงส่งไปตรวจสอบอย่างละเอียดตามระเบียบว่าด้วยอาวุธปืนเลเซอร์ที่ทำให้ตาบอด ปี 2538 ของสหประชาชาติที่ห้ามใช้เลเซอร์ซึ่งเป็นอันตรายถึงตายแต่ไม่มีข้อห้ามสำหรับเลเซอร์ที่ทำให้ตาพร่าชั่วคราว (ข่าวสด จันทร์ที่ 14 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ฝรั่งเศสผลิตต้นแบบ"วัคซีน"ต้านไข้หวัดนก

บริษัทยาซาโนฟี-เอเวนติซ" ของฝรั่งเศสตกลงเซ็นสัญญาผลิตวัคซีนต้นแบบต้านไข้หวัดนกปริมาณ 1.4 ล้านโดส ให้กับกระทรวงสาธารณสุขฝรั่งเศสแล้ว คาดว่าจะผลิตแล้วเสร็จก่อนสิ้นปีนี้ โฆษกซาโนฟี เผยว่า บริษัทได้พัฒนาวัคซีนต้นแบบต้านหวัดนกเอช 5 เอ็น 1 เมื่อเดือนที่แล้วและผ่านการทดลองทางคลินิกกับคน 400 คนที่มีช่วงอายุตั้งแต่ 18-60 ปี เรียบร้อยแล้วในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา หากเกิดภาวะหวัดนกระบาดทั่วโลกทางบริษัทจะเพิ่มกำลังผลิตวัคซีนเป็น 28 ล้านโดสทันที ปัจจุบัน ทั่วโลกต่างหวั่นเกรงว่าเชื้อไวรัสหวัดนกเอช 5 เอ็น 1 ที่คร่าชีวิตคนไปแล้วมากกว่า 60 คนในเอเชียจะกลายพันธุ์จนสามารถระบาดจากคนสู่คนจนทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายล้านคนทั่วโลก (ข่าวสด จันทร์ที่ 14 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





อุปกรณ์ตรวจ"หวัดนก" รู้ผล"คน-สัตว์"ติดโรคทันใจ

บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ "Rockeby" ของสิงคโปร์ เพิ่งเปิดตัวชุดตรวจหาเชื้อไวรัสหวัดนกสายพันธุ์อันตราย "เอช 5 เอ็น 1" ซึ่งแฝงตัวอยู่ในสัตว์ปีกทั้งหลาย ตามเอกสารแถลงข่าวของ "Rockeby" ระบุว่า เมื่อนำมูล เลือด หรือ เนื้อเยื่อของสัตว์ปีกมาตรวจกับชุดอุปกรณ์ดังกล่าวจะสามารถทราบผลภายใน 10 นาทีได้เลยว่า สัตว์ปีกเหล่านั้นติดเชื้อเอช 5 เอ็น 1 หรือไม่ ส่วนชุดอุปกรณ์ตรวจหวัดนกอย่างรวดเร็วใน "มนุษย์" ยังไม่มีใครพัฒนาสำเร็จแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ โดย ในปัจจุบัน ต้องใช้วิธีส่งตัวอย่างไปตรวจในห้องทดลอง กินระยะเวลา 3-4 วันกว่าจะรู้ผล อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์เคธี่ โรวเลน นักชีวเคมี มหาวิทยาลัยโคโรลาโด สหรัฐอเมริกา บอกว่า ทีมงานของเธอกำลังช่วยกันพัฒนา "ชิปคอมพิวเตอร์" รุ่นใหม่ ซึ่งช่วยลดเวลาการตรวจหาเชื้อหวัดนกลงจากเดิม 1 ใน 4 ล่าสุด ศูนย์ป้องกันโรคของสหรัฐ (ซีดีซี) กำลังทดสอบ "ชิป" ตัวนี้อยู่ ก่อนจะอนุญาตให้มีการนำไปใช้ภาคสนามจริงๆ เบื้องต้น "ชิปคอมพิวเตอร์" ของศ.เคธี่กับทีมงานสามารถตรวจแยกแยะเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ถึง 11 สายพันธุ์ ในจำนวนนี้รวมถึงเชื้อหวัดนกสายพันธุ์เอช 5 เอ็น 1 ซึ่งคร่าชีวิตคนเอเชียไปแล้ว 60 กว่าราย ศ.เคธี่ กล่าวว่า การตรวจวิเคราะห์เชื้อหวัดนกอย่างรวดเร็วจะทำให้หน่วยราชการวางแผนป้องกันโรคไข้หวัดนกระบาดทันท่วงที ทั้งยังทำให้เจ้าหน้าที่ไปติดตามตัวบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อหวัดนก เช่น กลุ่มญาติๆ มากักบริเวณอย่างรวดเร็ว ชุดอุปกรณ์ชิปคอมพิวเตอร์รุ่นนี้พกพาไปได้ทุกที่ สะดวกต่อการตรวจหวัดนกในพื้นที่ทุรกันดารของประเทศต่างๆ เช่น อินโดนีเซีย กัมพูชา และคองโก (ข่าวสด จันทร์ที่ 14 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ม.ขอนแก่นชู'คราบงู'แผ่นทดสอบยาในแล็บ

รศ.ดร.อรุณศรี ปรีเปรม ภาควิชาเทคโนโลยีเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่าขณะนี้กำลังทำวิจัยเรื่อง 'โครงการทดสอบการใช้คราบงูจงอางเป็นเมมเบรนเยื่อกั้น' ซึ่งได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นเงินจำนวน 9.6 แสนบาท ในระยะเวลา 3 ปี โดยใช้คราบงูจงอางที่ได้จากบ้านโคกสง่า ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านงูจงอางในจังหวัดขอนแก่น มาเป็นวัสดุหลักในการทำวิจัย มีคราบงูเหลือทิ้งเป็นจำนวนมากเช่นกัน เราก็เลยเห็นว่าน่าจะนำคราบงูเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ได้ เพราะก่อนหน้านี้ เคยใช้หนังคน และหนังหนู มาทดสอบการแพร่ผ่านของยาอยู่แล้ว ประกอบกับมีรายงานการวิจัยจากเมืองนอกจำนวนหนึ่งระบุว่า คราบงูที่งูสลัดทิ้งสามารถนำมาใช้เป็นเมมเบรนได้ ก่อนหน้านี้เมื่อสองปีที่แล้ว ทีมวิจัยได้ทดลองใช้คราบงูทำเป็นเมมเบรนทดสอบการแพร่ผ่านของสารนิโคตินเพื่อเปรียบเทียบกับหนังคมมาแล้ว พบว่ามีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน โดยจากการทดสอบกับหนังคน พบว่านิโคตินผ่านไปได้ 1 โมเลกุล ขณะที่คราบงูจะผ่านไปได้ 1.2 โมเลกุลโดยเฉลี่ย แต่ยังให้ข้อสรุปไม่ได้ต้องทำการทดสอบกับตัวยาอีกหลายตัวก่อนเพื่อให้มั่นใจว่าใช้จริง ดังนั้น ทีมงานจึงขยายต่อเป็นตัวยา 10 ชนิด มีตั้งแต่ยาแก้ปวด แก้อักเสบตามข้อ และพวกยากันบูดที่ใส่ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ซึ่งนักวิจัยทั่วโลกกำลังให้ความสนใจในเรื่องนี้อย่างมาก เนื่องจากเคยมีกรณีที่มีผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ดับกลิ่นใต้วงแขนแล้วเกิดเป็นมะเร็งขึ้นมา นอกจากนี้ การใช้คราบงูมาทดสอบยังง่ายกว่าการใช้หนังคน เพราะต้องผ่านกระบวนการขออนุมัติหลายขั้นตอน ขณะนี้ทดสอบตัวยาทั้งหมดกับคราบงูเรียบร้อยแล้ว กำลังรอการอนุมัติหนังคนจากคณะกรรมการด้านจริยธรรม เพื่อมาศึกษาเปรียบเทียบดูอัตราการแพร่ผ่านว่าใกล้เคียงระหว่างคราบงูกับหนังคน คาดว่าน่าจะสักประมาณ 4-5 เดือนน่าจะได้คำตอบหากงานวิจัยชิ้นนี้สำเร็จ โอกาสที่จะพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ออกมาจำหน่ายในอนาคตก็เป็นไปได้สูง (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 14 พ.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)]





พบฮอร์โมนลดน้ำหนักเร็วทันใจ 8 วันลดได้ 1 ใน 5

นักวิทยาศาสตร์รายงานในวารสารวิชาการ “วิทยาศาสตร์” ของสหรัฐฯว่า ได้ค้นพบว่าได้พบฮอร์โมนอย่างใหม่ซึ่งเพิ่งค้นพบให้หนูทดลอง กินทำให้มันกินอาหารไม่ลง กินได้แค่เพียงครึ่งเดียวของปกติเท่านั้น และทำให้ลดน้ำหนักตัวลงได้ ชั่วในระยะเวลา 8 วันได้ถึง 1 ใน 5 ชื่อ “โอเบสสเตติน” ด้วยเชื่อว่าวันหนึ่ง อาจจะนำมาใช้เป็นประโยชน์ในการลดน้ำหนักของคนเราได้ นายอารอน ซูเอห์ แห่งโรงเรียนแพทย์ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กล่าวอธิบายว่า มันมีท่าว่าอาจจะใช้กับมนุษย์ได้ เพียงแค่ด้วยการฉีด หรืออีกทางหนึ่งก็โดยการให้ทางจมูก ฮอร์โมนนี้นับว่าเพิ่งเป็นฮอร์โมนชนิดที่ 3 ที่มีฤทธิ์เกี่ยวกับความหิวได้ ที่เคยพบมาก่อนหน้า 2 ชนิดเท่านั้น ชนิดหนึ่งเป็นฮอร์โมน แต่อาจจะเรียกว่าเป็นฮอร์โมนชูชก ทำให้กินมาก และอีกชนิดหนึ่งคือฮอร์โมนเลปติน ซึ่งฉีดให้กับหนูในห้องทดลองลดน้ำหนักลงได้เหมือนกัน หากแต่ไม่มีผลกับมนุษย์. (ไทยรัฐ อังคารที่ 15 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





ยางวิเศษทำกาวปิดแผล ผสมเป็นหมากฝรั่งแถมทำยาได้ด้วย

รศ.ดร.จิตต์ลัดดา ศักดาภิพาณิชย์ เมธีส่งเสริมนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ใช้กระบวนการทางเคมีปรับคุณสมบัติของหางน้ำยางหรือยางสกิม ซึ่งเป็นของเสียจากอุตสาหกรรมยาง ให้มีความบริสุทธิ์มากขึ้น จนกระทั่งสามารถใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเป็นเทปกาว ทดแทนยางสังเคราะห์ที่ราคาสูงกว่ายางธรรมชาติถึง 10 เท่า หางน้ำยางที่ผ่านการปรับโฉมใหม่ จะมีคุณสมบัตินุ่มแบบยางธรรมชาติ ทนต่อแรงดึงสูงกว่ายางสังเคราะห์ และมีความเหนียวสูงในขณะที่ความหนืดต่ำ จึงเหมาะนำไปทำเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องการความเหนียวดังกล่าว นอกจากนี้จากการวิจัยยังพบว่า ยางบริสุทธิ์ที่ได้จากหางน้ำยาง ปราศจากส่วนประกอบของโปรตีนก่อภูมิแพ้ จึงเหมาะที่จะนำยางบริสุทธิ์ที่ได้ไปผลิตเป็นกาวในวัสดุทางการแพทย์ อาทิ ปลาสเตอร์ปิดแผล เทปกาวทางการแพทย์ นักวิจัยยังได้ค้นพบ "สารตั้งต้นชนิดใหม่" จากหางน้ำยาง ซึ่งมีคุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรีย จึงเหมาะสำหรับการผลิตยาชนิดต่างๆ เช่น ยาต้านมะเร็ง ยารักษาโรคอัลไซเมอร์และยาปฏิชีวนะ อีกทั้งความหวานที่มีอยู่ในสารดังกล่าว ยังสามารถนำมาใช้ทดแทนน้ำตาล สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานได้ด้วย ขณะเดียวกันสารดังกล่าวมีความชุ่มชื้น สามารถใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางบำรุงผิว แต่จะต้องทำวิจัยเพิ่มในเรื่องของความปลอดภัยต่อผู้บริโภค เช่นเดียวกับหมากฝรั่งจากส่วนผสมของยางธรรมชาติ จากงานวิจัยเพิ่มมูลค่าให้หางน้ำยาง ซึ่งเป็นของเสียจากอุตสาหกรรมยางดังกล่าว ส่งผลให้ รศ.ดร.จิตต์ลัดดา ได้รับรางวัลนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ ปี 2548 จากมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (คมชัดลึก อังคาร 15 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





'เครื่องคัดแยกผลไม้' ทุนต่ำ ผลงานนร.ราชสีมาวิทยาลัย

นายชมภู โรจนวงศ์ และ นายภูมินาท ปาเบ้า นักเรียนชั้น ม.4 โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย แห่งเมืองย่าโม คิดค้นและประดิษฐ์ "สายพานคัดแยกผลไม้ด้วยน้ำหนัก" ต้นทุนต่ำ ประสิทธิภาพสูง ประสบผลสำเร็จนั้น ทำให้พวกเขาได้รับรางวัลอันดับ 2 ของประเทศประจำปี 2548 จากการประกวดโครงงานคอมพิวเตอร์ ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ปัจจุบันการคัดแยกใช้แรงงานคน มีข้อเสียคืออาจผิดพลาดและเชื่องช้า ขณะเดียวกันเครื่องคัดแยกผลไม้อัตโนมัติที่มีขายก็ราคาสูง จึงคิดค้นระบบนี้ขึ้นมา เน้นไปที่การคัดแยกมะม่วงเป็นหลัก เลือกใช้ระบบสายพานลำเลียงในการคัดแยก ซึ่งระบบนี้จะใช้ตาชั่งสปริง และเซ็นเซอร์ ส่งข้อมูลให้ไมโครคอนโทรลเลอร์ประมวลผล แล้วคัดแยกมะม่วงตามน้ำหนัก ส่วนวัสดุและขั้นตอนการประดิษฐ์นั้น นายชมภู เสริมว่า ประกอบด้วย มอเตอร์ DC ซึ่งเป็นมอเตอร์มือสองจากตลาดคลองถม 5 ตัว โดยใช้ 2 ตัวใหญ่ที่มีแรงบิดสูง มีระบบเฟืองทดในตัวสำหรับขับระบบสายพาน ใช้ 1 ตัวเล็กสำหรับทำแขนปัดมะม่วงลงจากตาชั่ง และอีก 2 ตัว ใช้ปิดเปิดประตูทางเข้าออก นอกจากนี้ก็ใช้ตาชั่งสปริง เซ็นเซอร์วัดระยะทาง บอร์ดควบคุม SCI-Box บอร์ดควบคุมมอเตอร์ บอร์ดบันทึกข้อมูลเสียง เพื่อใช้แสดงขนาดของมะม่วง และระบบสายพานลำเลียง ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนที่ 1 เพื่อลำเลียงมะม่วงเข้าสู่ระบบคัดแยก ส่วนที่ 2 แยกขนาดโดยใช้น้ำหนัก และส่วนที่ 3 ลำเลียงผลไม้ไปลงช่องคัดแยกตามขนาดที่กำหนดไว้ ระบบสายพานคัดแยกผลไม้ด้วยน้ำหนักนี้ สามารถเขียนโปรแกรมไปควบคุมมอเตอร์ให้นำผลมะม่วงส่งเข้าไปในระบบการตรวจผลไม้นั้นก็จะวิ่งไปตามสายพานลำเลียง มีการประมวลผลเพื่อจำแนกน้ำหนัก มีประตูสำหรับคัดแยกขนาดใหญ่และขนาดกลาง ที่เปิดให้ผลไม้ลงในช่องแยกขนาดได้ถูกต้อง (คมชัดลึก อังคาร 15 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ผลิตภัณฑ์จากบอระเพ็ดความขมที่เป็นยา ด้วยกรรมวิธืที่แตกต่าง

นางจตุพร เผ่าพงษ์ไทย หัวหน้าสาขาผลิต ภัณฑ์ธรรมชาติ งานพัฒนางานวิจัยสถาบันวิจัยเคมี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี บอกว่าผลิตภัณฑ์ของเราถึงแม้ว่าจะทำจากสมุนไพร แต่สมุนไพรที่นำมาทำผลิตภัณฑ์จะต้องผ่านกระบวนการสกัดเพื่อคัดเลือกเอาสารที่จำเป็นต่อการผลิตสมุนไพรชนิดนั้น ๆ เสียก่อน ซึ่งเราไม่รู้ว่าจะได้สารที่เป็นประโยชน์ในนั้นมากน้อยแค่ไหน แต่ส่วนดีของการนำสมุนไพรมาสกัดก่อนนั้นก็คือเราสามารถเลือกเอาเฉพาะสารที่เราสกัดได้ที่ให้ตรงตามความต้องการของผลิตภัณฑ์ เช่น ประโยชน์ต่อผิวหนังก็เลือกเอาเฉพาะสารที่เป็นประโยชน์กับผิว ต้องการทำแชมพู ก็เลือกเอาสารสกัดสมุนไพรตัวที่เป็นประโยชน์กับเส้นผมและหนังศีรษะ โดยที่สารสกัดชนิดที่เหลือก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่น ๆ ได้ อย่าง แชมพูและครีมนวดผม ผสมสมุนไพร “บอระเพ็ด” ก็เหมือนกัน เราได้ดึงเอาสารที่สำคัญและเป็นประโยชน์กับเส้นผมและหนังศีรษะจากบอระเพ็ดมาใช้ เพราะอย่างที่เรารู้กันดีว่า บอระเพ็ดเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณมากมาย เช่น เป็นยาบำรุงกำลัง ขับน้ำย่อย ช่วย เจริญอาหาร ส่วนในแง่ความงามนั้นบอระเพ็ดมีสรรพคุณ ช่วยในด้านผมหงอกก่อนวัย แก้รังแค ช่วยบรรเทาอาการคันศีรษะ ช่วยป้องกันผมร่วง ทำให้ผมดกดำตามธรรม ชาติ ช่วยให้รากผมแข็งแรง จากสรรพคุณข้อนี้เองทำให้สถาบันวิจัยเคมี ได้สกัดโดยผ่านเครื่องกลั่น เอาสารที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ ผมและศีรษะมาผลิตเป็นแชมพูและครีมนวดผม ซึ่ง นอกจากจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากสรรพคุณที่บอระเพ็ด แล้ว ยังแน่ใจได้ว่า เราจะปลอดภัยจากสารตกค้าง เพราะ ถึงอย่างไร บอระเพ็ดก็เป็นพืชสมุนไพรจากธรรมชาติไม่ได้เป็นสารเคมีเป็นอันตรายต่อร่างกาย ส่วนราคาก็ไม่ได้แพงอย่างที่คิด ผู้ใดสนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ สถาบัน วิจัยเคมี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี หมาย เลขโทรศัพท์ 0-2549-3526-9. (เดลินิวส์ พุธที่ 16 พ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





เบิร์ด อายส์ วิว

มุมสูง เป็นมิติของภาพที่ให้อารมณ์ และความรู้สึกที่แตกต่างจากบรรยากาศที่เห็นบนพื้นราบทั่วไป ธเนศ ดวงพัตรา ผู้สนใจ และถ่ายภาพจากที่สูง ที่เลือกตำแหน่งบันทึกภาพตามชอบใจ โดยอาศัยอากาศยานจำลองบังคับวิทยุทุกชนิดมาเป็นผู้ช่วย หลักการง่าย ๆ ก็คือเอากล้องคอมแพ็กดิจิทัล หรือกล้องมินิดีวี ถ่ายภาพเคลื่นไหว ติดตั้งไว้ที่อากาศยานจำลอง ซึ่งธเนศ ใช้ได้ทั้งชนิดเครื่องบินปีก เครื่องเฮลิคอปเตอร์ และบอลลูน การเลือกมุมกล้อง และการกดชัตเตอร์สั่งบันทึกภาพเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ได้ภาพออกมาน่าพอใจ เขาใช้วิธีเสียบสาย TV out จากกล้องมาต่อกับเครื่องรับโทรทัศน์ หรือใช้ระบบส่งสัญญาน TV sender ลงมาดูมุมที่ต้องการ การบันทึกภาพ ก็กดรีโมต ไปยิงคลื่นอินฟราเรดบังคับให้ชัตเตอร์ทำงาน ทั้งหมดนี้ไม่มีอุปกรณ์สำเร็จรูปวางขายในตลาด ทุกชิ้นต้องคิด พัฒนา และดัดแปลง เอาเอง ไม่ว่าจะเป็นอากาศยาน หรืออุปกรณ์ถ่ายภาพ การถ่ายภาพมุมสูงกลางแจ้ง ทำได้ด้วยกล้องที่ติดไว้กับเครื่องบิน ส่วนการถ่ายในที่ร่ม หรือในอาคาร ก็ทำได้ดีด้วยการพัฒนาเอาบอลลูน บรรจุก๊าซฮีเลียมที่ไม่อันตราย ไม่ติดไฟ ติดกล้องขึ้นบินถ่ายทอดเหตุการณ์ กิจกรรมในห้องประชุมให้ได้เห็นกันแล้ว ภาพมุมสูงสถานที่ต่างๆที่เขาถ่ายไว้ เข้าไปดูได้ที่ www.thaisky-digital.com/ (เดลินิวส์ พุธที่ 16 พ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





“มะกอก” มีดี

ศูนย์วิจัยเคมีในสหรัฐอเมริกาได้ค้นพบว่า ใน “น้ำมันมะกอก” มีสารเคมีตามธรรมชาติ คล้ายกับยาแก้ปวดแก้อักเสบที่ไม่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ อาทิ อิบิวโพรเฟนและแอสไพริน ประชากรในแถบทะเลมิเตอร์เรเนียน ส่วนใหญ่ยังเลือกใช้น้ำมันมะกอกมาใช้ปรุงอาหารอีกด้วย ทั้งนี้ เมื่อพวกเขานำน้ำมันมะกอกมาวิเคราะห์ พบว่า ในน้ำมันมะกอกมีสารเคมีตามธรรมชาติชนิดหนึ่ง ชื่อว่า “โอลีโอแคนธาล” (Oleocanthal)เป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย “สารโอลีโอแคนธาล” มีฤทธิ์คล้ายกับยาแก้ปวดแก้อักเสบประเภทอิบิวโพรเฟนและแอสไพริน แต่ความแรงของสารดังกล่าวในน้ำมันมะกอกจะอยู่ในระดับ 1 ใน 10 ของยาเท่านั้น ซึ่งนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้อาหารจากเมดิเตอร์เรเนียนมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคเส้นเลือดสมองอุดตัน โรคหัวใจ โรคมะเร็งทรวงอก มะเร็งปอด และโรคผิดปกติทางสมองบางชนิด ทั้งนี้ แคลร์ วิลเลียมสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการประจำมูลนิธิโภชนาการ ประเทศอังกฤษ ให้ความเห็นถึงผลการศึกษาของศูนย์เคมีโมเนลล์ฯ อีกว่า ในน้ำมันมะกอกมีสารประกอบทางชีวภาพหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และเชื่อว่าในน้ำมันมะกอกมีคุณสมบัติบางอย่างที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งอีกด้วย (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 16 พ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





เภสัช มอ.ผลิต “เคอร์คิวมินแคปซูล” สูตรสำเร็จเพื่อคนรักสุขภาพ

“สุริยัน เต็งใหญ่” และ “ อรภัทร ภูรีเสถียร” นักศึกษาชั้นปีที่ 5 คณะเภสัชศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ จึงได้คิดค้นสารต้านอนุมูลอิสระตัวใหม่ “เคอร์คิวมิน” ซึ่งมีแหล่งวัตถุดิบอยู่ในเมืองไทย เคอร์คิวมิน เป็นสารสกัดจากเหง้าขมิ้นชัน ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรที่คนไทยรู้จักกันมานานและมีการนำมาใช้ประโยชน์ในหลายด้าน ได้แก่ การใช้ประโยชน์ทางด้านอาหาร โดยใช้ในการแต่งกลิ่นและรสชาติอาหาร ทำสีผสมอาหาร และเป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์อาหาร อาหารเสริมสุขภาพ ยาและเครื่องสำอาง เป็นต้น มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ศึกษาเกี่ยวกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของเคอร์คิวมิน ซึ่งพบว่า มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในการต้านการอักเสบ และป้องกันมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังสามารถชะลอการเกิดริ้วรอย และชะลอการเสื่อมโทรมของเซลล์ อีกด้วย อย่างไรก็ตามตัวเคอร์คิวมิน ยังมีปัญหาในเรื่องของการละลายน้ำ ซึ่งจากการทดลองวิจัยพบว่า “เคอร์คิวมิน” จะละลายน้ำได้น้อยมากทั้งในสภาวะที่เป็นกรด และเป็นกลางจึงทำให้มีการดูดซึมที่น้อยมากเมื่อให้โดยการรับประทาน ดังนั้นการเพิ่มการละลายของตัวยา จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มการดูดซึมของเคอร์คิวมินได้มากขึ้น เคอร์คิวมินแคปซูล เป็นแคปซูลใสบรรจุของผสมเป็นผงสีส้มอ่อน เครื่องดื่มชาเคอร์คิวมิน เป็นสารละลายใสสีเหลือง รสหวานเล็กน้อย มีกลิ่นหอม และสารแต่งสีเคอร์คิวมิน เป็นสารละลายใสสีส้มเหลือง “ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้น ผู้บริโภคสามารถนำมาใช้ได้ง่าย และสร้างเสริมสุขภาพให้แก่ผู้บริโภค อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้แก่สมุนไพรไทย การทดแทนการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพจากต่างประเทศ และมีศักยภาพในการพัฒนาสู่ระดับอุตสาหกรรม เพื่อเป็นสินค้าส่งออกไปยังตลาดโลกด้วย” (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 16 พ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





สั่งเชื้อราจากแอฟริกาตะวันออก อุปกรณ์ใหม่ปราบ 'มาลาเรีย'

ทีมนักวิจัยนานาชาติจากเนเธอร์แลนด์ แทนซาเนีย และอังกฤษ ศึกษาร่วมกันพบเทคนิค ที่ช่วยลดจำนวนผู้เป็นมาลาเรียลงได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยอาศัยเชื้อราจากแอฟริกาตะวันออก มาช่วยทำงาน งานวิจัยดังกล่าวนำเสนอในที่ประชุมแพน-แอฟริกัน มาลาเรีย ครั้งที่ 4 ในประเทศแคเมอรูน พบว่าเมื่อตัวแมลง หรือยุงที่มีเชื้อมาลาเรียเมื่อติดเชื้อราดังกล่าว รานั้นจะเข้าไปเจริญเติบโต อย่างรวดเร็วจนถึงขั้นปลิดชีพสัตว์ชนิดนั้นลงได้ และมันยังสามารถทำให้ยุงพาหะ นำโรคมาลาเรียนั้นมีอายุสั้นลงถึง 2 ใน 3 ของเวลาเดิม คือเหลือแค่ 7 วัน ศาสตราจารย์วิลเลม ทัคเคน จากเนเธอร์แลนด์ กล่าวว่า เชื้อราพื้นเมืองชนิดดังกล่าว ยังช่วยยับยั้งไม่ให้ยุงส่งผ่านเชื้อมาลาเรียมาสู่คนได้ด้วย กล่าวคือเมื่อยังติดเชื้อรา แล้วมันก็จะหยุดพฤติกรรมดูดเลือดลงไปด้วย ดูเหมือนว่ามันไม่ค่อยหิวเท่าไร แม้จะยังกินน้ำอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่อยากดูดเลือดอีกต่อไป การศึกษาดังกล่าวทำขึ้นในประเทศแทนซาเนีย โดยนักวิจัยเชื่อมั่นว่าเทคนิคการใช้เชื้อรา จะนำไปสู่การผลิตในขั้นอุตสาหกรรม ขนาดเล็กตามเมืองต่างๆทั่วแอฟริกาได้ต่อไป เนื่องจากสปอร์ของเชื้อรานั้นสามารถเลี้ยงให้โตขึ้นในพืชตระกูลข้าวและข้าวฟ่างได้ด้วย (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 17 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





วท.เจ๋งผลิตไมโครชิปวัดความดันหัวใจสำเร็จ

ดร.ประวิช รัตนเพียร รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ หรือทีเมค (TMEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) วท. ประสบความสำเร็จในการสร้างไมโครชิปจากระบบเครื่องกลไฟฟ้าจุลภาค (MEMS) โดยทีเมค ได้ทำข้อตกลงกับบริษัทราดิเมดิคอล ซิสเต็ม จำกัด (RADI) ในการผลิตอุปกรณ์วัดความดันในหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญสำหรับผลิตภัณฑ์สายวัดความดันหัวใจ เพื่อช่วยในการตรวจวัดความดันหลอดเลือดได้อย่างแม่นยำและสามารถรักษาได้อย่างตรงจุด โดยการฝังชิปที่มีขนาดกว้าง 140 ไมครอน ยาว 1,300 ไมครอน ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าเส้นผม สำหรับวิธีตรวจจะทำการสอดสายวัดตรงเส้นเลือดใหญ่บริเวณขาหนีบ ขึ้นไปสู่หลอดเลือดหัวใจ เมื่อพบจุดที่มีการอุดตันของเส้นเลือด ชิปจะส่งสัญญาณไปยังเครื่องรับเพื่อแสดงผลออกทางจอมอนิเตอร์ จากนั้นแพทย์จะทำการรักษาบริเวณเส้นเลือดที่อุดตันนั้นๆ โดยขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาตัวไมโครชิปให้มีขนาดเล็กและบางลง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และในอนาคตจะพัฒนาเครื่องมือการตรวจวัดให้เป็นระบบไร้สาย รวมทั้งสามารถนำมาวัดอัตราการเต้นของหัวใจในผู้ที่มีประวัติป่วยด้วยโรคหัวใจ คาดว่าจะสามารถผลิตต้นแบบและทดลองใช้งานจริงได้กลางปี 2549 ขณะนี้มียอดการจำหน่ายเทคโนโลยีดังกล่าวเพียง 15 แผ่นต่อปี ห่างจากเป้า 60 แผ่นต่อปี ดังนั้น จำเป็นต้องเพิ่มยอดการจำหน่าย ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ไม่เพียงแต่ภาคเอกชน แต่ต้องรวมถึงภาครัฐบาลทั้งหมด อาทิ เมกะโปรเจกต์ของรัฐบาล สามารถที่จะนำไมโครชิปไปติดเพื่อประโยชน์ ต่างๆได้ เช่น ติดชิปในบัตรเข้าออกที่สนามบินสุวรรณภูมิ เป็นต้น. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 17 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





แปลงแบคทีเรียสู้เอดส์ เลี้ยงดูให้รู้จักสร้างสารยับยั้งเชื้อเอชไอวี

สถาบันมะเร็งแห่งสหรัฐ ได้ศึกษาพบว่า การแพร่เชื้อเอชไอวีจากผู้ติดเชื้อไปยังผู้อื่น ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นบริเวณผิวบนของลำไส้และอวัยวะในการให้กำเนิด เช่น มดลูก ซึ่งปกติจะเคลือบด้วยชั้นของแบคทีเรีย นักวิจัยจึงเกิดความคิดที่จะเอาแบคทีเรียเหล่านี้มาดัดแปลงพันธุกรรม เพื่อให้สร้างสารเคมีที่เอาไว้ขัดขวางเชื้อเอชไอวีไม่ให้เข้ามาโจมตีเซลล์ ในการทดลองพวกเขาได้เอาแบคทีเรียที่แก้ไขพันธุกรรมแล้วใส่เข้าไปในตัวหนู เมื่อเข้าไปแล้วแบคทีเรียเพิ่มจำนวนมากมายบริเวณปลายลำไส้ และยังพบมีจำนวนหนาแน่นเช่นกัน แต่น้อยกว่าที่บริเวณช่องคลอด ก่อนหน้านี้ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้พัฒนาครีม หรือเจลป้องกันเอดส์ หรือที่เรียกว่า ครีมไมโครบิไซด์ สำหรับใช้ทาบริเวณช่องคลอดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ อย่างไรก็ดี เทคนิคดังกล่าวจำเป็นต้องใช้เป็นประจำก่อนมีเพศสัมพันธ์ และมีฤทธิ์ป้องกันในระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่สำหรับวิธีการใหม่ที่สถาบันมะเร็งสหรัฐคิดค้นนี้ เชื่อว่าจะป้องกันได้ในระยะเวลาที่นานขึ้น ข้อดีของการคิดเทคนิคใช้แบคทีเรียต้านเอดส์คือ แบคทีเรียสามารถผลิต เก็บ แจกจ่าย และดูแลได้ง่าย และมีราคาถูกกว่าครีมทาช่องคลอดต้านเอดส์ และยังเชื่อมั่นว่า พวกเขาสามารถดัดแปลงให้แบคทีเรียสามารถขับสารเคมี หรือโปรตีนชนิดอื่นให้กับอวัยวะส่วนอื่นของร่างกายได้ด้วย แม้ว่าเทคนิคใหม่จะออกแบบมาเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี นักวิจัยก็เชื่อว่า วิธีการใหม่นี้ควรใช้ร่วมกับการรักษาเชื้อเอชไอวีด้วยยา ในกรณีที่ใช้รักษาผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว เจ้าหน้าที่จากองค์การอนามัยโลก แสดงความเห็นว่า เทคนิคดังกล่าวน่าสนใจอย่างยิ่ง แต่ยังคงต้องรอการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อให้แน่ใจว่า เจ้าพวกแบคทีเรียดัดแปลงพันธุกรรมที่ไปเติบโตและสร้างอาณาจักรในร่างกาย จะไม่ส่งผลข้างเคียงต่อระบบย่อยอาหารในร่างกาย (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 17 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





เด็กอัจฉริยะอายุยืนยาวกว่าปกติ

ดร.ลอรี ที มาร์ติน และลอรา ดี คับแซนสกี้ จากวิทยาลัยสาธารณสุขฮาร์วาร์ด พบความสัมพันธ์ระหว่างระดับไอคิวกับการมีอายุยืนยาว แม้จะยังไม่ใช่รายงานที่สมบูรณ์ เนื่องจากติดตามเฉพาะอาสาสมัครที่มาจากครอบครัวที่ร่ำรวย และส่วนใหญ่เป็นคนขาว แต่ผู้ที่ไอคิวสูงถึง 163 หรือกว่านั้น ไม่มีให้เห็นกันบ่อยนัก เพราะโดยเฉลี่ยแล้วไอคิวของประชากรทั่วไปจะมีคะแนนอยู่ที่ 100 สำหรับการศึกษาครั้งนี้ ใช้ข้อมูลจากชายและหญิงจำนวน 826 คน ซึ่งเริ่มติดตามดูตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อในปี 2465-2529 โดยทั้งหมดมีไอคิวเมื่อยังเล็กที่ระดับ 135 หรือสูงกว่า และได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มเด็กอัจฉริยะ นักวิจัยพบว่า ผู้ที่มีคะแนนไอคิวสูงจะมีอายุยืนยาวกว่าคนที่มีไอคิวน้อยกว่า เช่น ผู้ที่วัยเด็กมีไอคิว 150 จะเสี่ยงเสียชีวิตน้อยกว่าผู้ที่ไอคิว 135 ราว 44% แม้จะยังไม่ชัดเจนว่า ทำไมไอคิวตอนเด็กถึงมีผลต่อการมีอายุยืนยาว แต่นักวิจัยเชื่อว่าเป็นไปได้ในหลายสาเหตุ อาทิ เด็กเหล่านี้อาจได้รับการอบรมสั่งสอนให้มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพที่ดีเยี่ยม อย่างการออกกำลังกายเป็นประจำ หรือหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ นอกจากนี้ ระดับคะแนนไอคิวยังสะท้อนถึง "ทักษะ" หลายประการ ทั้งด้านการมีเหตุและผล การวางแผนและการสื่อสาร ซึ่งแสดงให้เห็นภาพการดูแลสุขภาพของคนคนนั้นด้วย เพราะคนกลุ่มนี้มักนิยมไปพบแพทย์เป็นประจำและออกกำลังอยู่เสมอ (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 17 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ศูนย์ทีเซลส์ระดมยีนต้นเหตุคนไทยขี้เมา

นายแพทย์ธงชัย ทวิชาชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย (ทีเซลส์) กล่าวว่า ศูนย์ทีเซลส์ได้ขอความร่วมมือคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงพยาบาลพระมงกุฎ กรมสุขภาพจิตและมหาวิทยาลัยเยล เพื่อดำเนินโครงการวิจัยค้นหาพันธุกรรม ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมติดแอลกอฮอล์หรือโรคพิษสุราเรื้อรังในคนไทย ซึ่งเป็นการเก็บรวบรวมตัวอย่างยีน สำหรับนำมาวิเคราะห์และระบุถึงยีนต้นเหตุการติดแอลกอฮอล์ โครงการคาดว่าจะใช้ระยะเวลา 3 ปีสำหรับการเก็บข้อมูลพันธุกรรมที่ทำให้ร่างกายมีพฤติกรรมติดแอลกอฮอล์ในคนไทย โดยในเบื้องต้นได้ติดต่อกรมสุขภาพจิต เพื่อนำร่องโครงการดังกล่าว เนื่องจากมีความพร้อมด้านบุคลากรและห้องปฏิบัติการ ด้าน ผศ.ดร.จาคโค แลปปาไลเนน ภาควิชาพันธุกรรมมนุษยศาสตร์ คณะจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเยล สหรัฐอเมริกา ผู้ค้นพบพันธุกรรมที่ส่งผลกระทบให้มนุษย์ติดแอลกอฮอล์ กล่าวว่า ยีนดังกล่าวจะกระตุ้นให้มนุษย์เกิดอาการอยากดื่มเครื่อมดื่มแอลกอฮอล์ โดยผ่านกระบวนการเผาผลาญพลังงานของร่างกายและทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ ดังนั้น คนที่ติดแอลกอฮอล์จึงมีภาวะกระหายน้ำอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งการค้นพบครั้งนี้จะช่วยบอกได้ว่า บุคคลใดบ้างที่เสี่ยง หรือมีโอกาสติดแอลกอฮอล์ ผลการศึกษาดังกล่าว ได้จากการเก็บรวบรวมกลุ่มตัวอย่างเด็ก ที่ติดแอลกอฮอล์และไม่ติดแอลกอฮอล์ จากนั้นนำมาเปรียบเทียบพันธุกรรม ประกอบกับศึกษาประวัติการติดแอลกอฮอล์ หรือพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ของสมาชิกในครอบครัวด้วย โดยเฉพาะพ่อแม่ของเด็ก ซึ่งพบว่าเด็กที่มีพ่อแม่ติดแอลกอฮอล์มีโอกาสสูงที่จะติดแอลกอฮอล์ โดยพฤติกรรมดังกล่าวถูกถ่ายทอดผ่านทางพันธุกรรมด้วย สำหรับประเด็นกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมติดแอลกอฮอล์ แต่ไม่มียีนดังกล่าว ดร.จาคโค กล่าวว่า ยังมีพันธุกรรมตัวอื่นด้วยที่ส่งผลให้มีพฤติกรรมดังกล่าว ซึ่งขณะนี้ ยังไม่สามารถระบุ และคาดว่าในเร็วๆ นี้ จะสามารถค้นพบยีนชนิดอื่นที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมติดแอลกอฮอล์ รวมทั้งสารเสพติดอย่างอื่นได้มากขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 17 พ.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





"โดรน"จิ๋วบินสอดแนมเหนือเมือง

บริษัทฮันนี่เวลล์ รัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเครื่องบินหุ่นยนต์ (โดรน) ขนาดเล็กรุ่น "ดราก้อน อาย" เพื่อใช้ในภารกิจบินสอดแนมทางทหารเหนือเมืองต่างๆ "ดราก้อน อาย" ติดตั้งกล้องวิดีโอและเครื่องตรวจจับสัญญาณ รวมทั้งเครื่องระบุตำแหน่งผ่านดาวเทียม (จีพีเอส) สามารถเร่งความเร็วได้ถึง 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและบินได้นาน 50-60 นาทีด้วยแบตเตอรี่ วอจน์ ฟุลตัน เจ้าหน้าที่ฮันนี่เวลล์ เผยว่า หุ่นยนต์บินได้ใช้ระบบเดียวกับที่เครื่องบินต่อสู้ส่วนใหญ่ใช้และจะเป็นเหมือนดวงตาคอยสอดส่องความปลอดภัยแทนตำรวจหรือหน่วยความมั่นคงเมื่อเกิดกรณีฉุกเฉิน โดยทางบริษัทและกองทัพสหรัฐกำลังตกลงทำสัญญากัน โดยคาดว่าหลังจากนี้ดราก้อน อายจะถูกใช้ลาดตระเวนเพื่อความปลอดภัยในประเทศและจะถูกส่งไปปฏิบัติการทหารในอิรักในอีกปีหรือ 2 ปีข้างหน้า (ข่าวสด พฤหัสบดีที่ 17 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ไม้เท้าเลเซอร์ช่วยผู้ป่วยพาร์กินสัน เดินสะดวกปลอดภัย

ผศ.น.พ.รุ่งโรจน์ พิทยศิริ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ศึกษาวิจัยร่วม กับอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ในการผลิตไม้เท้าเลเซอร์ช่วยในการเดิน ของผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน ซึ่งได้รับรางวัลทุนวิจัยเซเรบอส อวอร์ด ประจำปีนี้ ผศ. น.พ.รุ่งโรจน์เปิดเผยว่า ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันจะมีปัญหาหลักในเรื่องการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินที่ติดขัด ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยในขณะเดินได้ ปัญหาการเดินติดขัดนับเป็นอาการของโรคพาร์กินสันที่ยังไม่มีวิธีการรักษาที่เฉพาะ เจาะจงปัจจุบัน นอกจากการรักษาด้วยวิธีรับประทานยาในกลุ่มลีโวโดปา ซึ่งพบว่า อาการเดินติดขัดนั้นตอบสนอง ต่อยาไม่สม่ำเสมอแล้ว อีกวิธีหนึ่งในการรักษาคือ การผ่าตัด โดยการฝังสายกระตุ้นไฟฟ้าเข้าไป ในสมองส่วนลึกของผู้ป่วยที่ถูกกระทบกระเทือน การกระตุ้นไฟฟ้าอย่างอ่อนที่ไม่เป็นอันตราย ในสมองส่วนนี้ จะทำให้ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น อาการสั่น ตัวแข็งเกร็งลดลง ในขณะที่อาการเดินที่ติดขัดนั้น การตอบสนองต่อการผ่าตัดยังได้ผลไม่แน่นอน จึงเป็นที่มาของการพัฒนาไม้เท้าที่สามารถยิงแสงเลเซอร์ลงไปที่พื้น เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยที่มีอาการดังกล่าวสามารถก้าวเดินต่อไปได้ (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 18 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





LPG-NGV จากขยะ

“ขยะ” เป็นปัญหาโลกแตกของทุกประเทศ แต่การนำขยะมาทำให้เกิดประโยชน์ก็เป็นเรื่องน่าสนใจไม่ น้อย สมชาย แก้วจันทร์ฉาย จากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีแพร่ เจ้าของงาน “ถังแก๊สชีวภาพ” และ “อุปกรณ์แยกก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากแก๊สชีวภาพ” เปิดเผยว่า การประดิษฐ์ดังกล่าวมีจุดประสงค์ต้องการที่จะลดขยะในชุมชนให้มากที่สุด เพราะทุกวันนี้ประเทศไทยมีปัญหาขยะล้นเมืองเต็มไปหมด ยากที่จะขจัดให้หมดไปด้วยสารพัดวิธีที่จะสรรหามากำจัดกัน การสร้างถังหมักแก๊สชีวภาพปัจจุบันถูกจำกัดเฉพาะในฟาร์มเลี้ยงสัตว์เท่านั้น ทั้ง ๆ ที่เศษอาหารตามบ้านเรือนก็สามารถทำแก๊สชีวภาพ ทำเป็นก๊าซหุงต้ม (LPG) ได้ เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน นอกจากนี้ แก๊สชีวภาพยังมีศักยภาพที่จะแปรสภาพให้เป็นแก๊สเอ็นจีวี (NGV) ได้ โดยการแยกก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป และจะกลายเป็นก๊าซมีเทนบริสุทธิ์ สามารถเติมในรถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ได้ แต่การทำเป็น NGV นั้น มีรายละเอียดมาก จึงให้ความสำคัญกับการผลิต LPG มากกว่า ด้วยการสร้างถังหมักตัวอย่างไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อที่จะประชาสัมพันธ์ให้คนหันมาสนใจตรงนี้ เพราะในอนาคตคิดว่าแก๊สชีวภาพจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น งานการประดิษฐ์นี้ได้มีการจดอนุสิทธิบัตรไว้ เป็นผลงานของราชการ ซึ่งหากมีการทำตลาดดี ๆ ก็น่าจะได้รับการตอบรับที่ดีในเชิงการค้า (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 18 พ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





วิจัยมช.แนะรักลูกอย่าตี เสี่ยงพฤติกรรมก้าวร้าว

ทีมวิจัยนานาชาติร่วมกันศึกษากลุ่มตัวอย่างใน 6 ประเทศ ได้แก่ จีน อินเดีย อิตาลี เคนยา ฟิลิปปินส์ และไทย จำนวน 336 ครอบครัว ซึ่งมีทั้งที่ใช้วิธีตีและไม่ตีลูกเพื่ออบรมสั่งสอน โดยพบว่า เด็กที่ถูกตีไม่ว่าจะอยู่ในสังคมไหนมักจะมีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาทางพฤติกรรมมากกว่าเด็กที่ไม่ถูกตี ทีมวิจัยสอบถามทั้งแม่และเด็กเกี่ยวกับสถานะทางอารมณ์ และจำนวนครั้งในการขัดขืนของเด็กเมื่อถูกตี โดยบรรดาแม่จากเมืองไทยใช้การเฆี่ยนตีเพื่ออบรมสั่งสอนลูกน้อยที่สุด ขณะที่อินเดียและเคนยาเลือกใช้วิธีการนี้มากที่สุด ผลวิจัยพบว่า เด็กทั้งหมด ซึ่งถูกอบรมสั่งสอนด้วยการตี จะมีระดับความก้าวร้าวและอารมณ์วู่วามที่สูง รวมทั้งปัญหาด้านสภาวะทางอารมณ์มากกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน การตีทำให้เด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าวได้ ดังนั้นพ่อแม่จึงไม่ควรใช้วิธีการรุนแรงในการอบรมสั่งสอนลูก งานวิจัยดังกล่าวเป็นความร่วมมือของมหาวิทยาลัยดุ๊ค มหาวิทยาลัยโอเรกอน ในสหรัฐ มหาวิทยาลัยฮ่องกง มหาวิทยาลัยโกเตนเบิร์ก สวีเดน มหาวิทยาลัยเนเปิลส์ มหาวิทยาลัยแห่งโรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยเดลี ในอินเดีย (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 18 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ม.เกษตรผุดศูนย์วิทยาศาสตร์หวัดนก

รศ.ดร.งามผ่อง คงคาทิพย์ หน่วยปฏิบัติการวิจัยผลิตภัณฑ์ธรรมชาติและเคมีอินทรีย์สังเคราะห์ (NPOS) ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่า หน่วยปฏิบัติการ มีความพร้อมที่จะผลิต "ทามิฟลู" ยารักษาโรคไข้หวัดนกในคน หากได้รับการติดต่อหรือสนับสนุนด้านงบประมาณอย่างเพียงพอจากภาครัฐและเอกชนที่สนใจ ในราคาถูกกว่ายานำเข้าหลายเท่าตัวจากราคาทั่วไปประมาณ 140 บาท/แคปซูล ขณะที่ประสิทธิภาพของฤทธิ์ยาไม่ต่างกัน เนื่องจากทีมวิจัยได้ศึกษาโครงสร้างทางเคมีของยาทามิฟลู พบว่าโครงสร้างทางเคมีไม่ซับซ้อน จึงมีความเป็นไปได้ที่จะผลิตสารออกฤทธิ์ ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงยาต้านหวัดนกไม่ยาก ประกอบกับการค้นพบสารประกอบประเภทน้ำตาล ซึ่งราคาถูกกว่าสารประกอบจากเชื้อแบคทีเรียที่ใช้ผลิตยาชนิดนี้ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตต่ำกว่าหลายเท่าตัว หากมีการผลิตในจริงในอนาคต ก็จะเพิ่มปริมาณยารักษาโรคไข้หวัดนกราคาถูกออกสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ นอกจากการผลิตขององค์การเภสัชกรรม และพร้อมที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตยาทามิฟลู น่าจะอยู่ในรูปแบบการผลิตสารตั้งต้นเพื่อจำหน่ายให้ผู้ผลิตยานำไปผลิตเป็นแคปซูลได้ทันที โดยมหาวิทยาลัยจะไม่เข้ามาผลิตเป็นเม็ดยาสำเร็จรูป แต่จะเป็นลักษณะการถ่ายทอดความรู้จากงานวิจัยให้เอกชนที่สนใจ (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 18 พ.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ว๊าว!"ถุงน่อง" วัสดุทำ"ขาเทียม"ชั้นเลิศ

เจ้าของไอเดีย "ขาเทียมถุงน่อง" นายสว่าง เตียวโล่ วัย 41 ปี เจ้าหน้าที่นักกายอุปกรณ์ โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ เล่าแรงบันดาลใจที่นำถุงน่องมาประดิษฐ์เป็นขาเทียมว่า วัสดุที่ใช้ทำขาเทียมเป็นวัสดุที่นำเข้ามาจากต่างประเทศคือถุงสต๊อกกิเนต ซึ่งมีราคาสูง เพื่อลดต้นทุนจึงคิดประดิษฐ์ขาเทียมที่ทำจากถุงน่องขึ้น ถุงน่องมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับใยแก้วและถุงสต๊อกกิเนตวัสดุหลักที่ใช้ผลิตขาเทียม คือมีความเหนียว และมีความยืดหยุ่นสูง เมื่อนำมาประดิษฐ์ขาเทียมประสิทธิภาพการใช้งานที่ได้จึงไม่แตกต่างกัน เขาเริ่มพัฒนาขาเทียมจากถุงน่องตั้งแต่ปี 2546 ขั้นตอนการผลิตทำโดยนำถุงน่องที่ใช้แล้ว(ถุงน่องมีสภาพและสีใดก็ได้) มาสวมทับลงไปในแบบหล่อขา เทเรซิ่นลงไปที่แบบหล่อเพื่อให้แบบคงรูปอยู่ได้ เมื่อเห็นว่าแบบที่ได้มีความพอดีกับขาของผู้ป่วยแล้ว ก็นำข้อเท้าและเท้าเทียมมาต่อเข้ากับขา แล้วตกแต่งสีของขาเทียมให้สวยงามด้วยการสวมถุงน่องทับลงไปอีกครั้งหนึ่ง โดยเลือกใช้สีของถุงน่องให้ใกล้เคียงกับสีผิวของผู้ป่วย ขาเทียมถุงน่องมี 2 แบบ แบบแรกเป็นขาเทียมระดับเหนือเข่าใช้ถุงน่อง 40 ชั้นหรือ 20 คู่ต่อขาเทียม 1 ข้าง และแบบที่สองเป็นขาเทียมระดับใต้เข่าใช้ถุงน่อง 8 ชั้น หรือ 40 คู่ต่อขาเทียม 1 ข้าง นอกจากนี้ขาเทียมถุงน่องยังมีน้ำหนักเบากว่าขาเทียมทั่วไปที่หนักถึง 1.5 กิโลกรัม ในขณะที่ขาเทียมถุงน่องหนักเพียง 1 กกเท่านั้น "ข้อดีของขาเทียมถุงน่อง คือสีของขาที่มีความใกล้เคียงกับสีเนื้อของคน ต่างจากขาเทียมทั่วไปที่มีสีมาตรฐานเพียงสีเดียวคือสีเนื้อ อย่างถ้าผู้ป่วยผิวคล้ำจะสวมถุงน่องสีเข้มทับลงไปหลายๆ ชั้นจนสีเข้ากับสีเนื้อของคน ขาเทียมที่ได้จะมีสีเนื้อเนียนละเอียดเหมือนคนใส่ถุงน่อง น้ำหนักเบา ช่วยลดปริมาณขยะและรักษาสิ่งแวดล้อม โดยการนำวัสดุที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ และสำคัญที่สุดคือลดต้นทุนการผลิตจาก 1,996 บาท เหลือเพียง 681 บาท ผู้ที่จะบริจาคติดต่อได้ที่คอนเนอร์ขายเชอรีล่อน ตามห้างสรรพสินค้าทุกแห่งทั่วประเทศ (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 18 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





ผลวิจัย"เอ็มอาร์ไอ"พบ "นั่งสมาธิ"ช่วยเพิ่มพลังสมอง

ซาร่า ลาซาร์ จากวิทยาลัยการแพทย์ฮาร์วาร์ด เสนอผลการศึกษาในที่ประชุมสมาคมประสาทวิทยาประจำปี ว่า การทำ "สมาธิ" ซึ่งมีมาแต่โบราณตามหลักการของพุทธศาสนานอกจากจะช่วยทำให้จิตใจมั่นคงไม่วอกแวกง่าย ยังช่วยเพิ่มความตั้งใจให้สมองทำงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น จากการเก็บข้อมูลอาสาสมัครชาวตะวันตกที่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธแต่ทำสมาธินาน 20 นาทีทุกวันด้วยเครื่องสร้างภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า "เอ็มอาร์ไอ" เพื่อสังเกตการทำงานของสมองส่วนความจำและความตั้งใจ พบว่า การทำสมาธิช่วยเพิ่มเนื้อที่สมองส่วนนั้นให้หนามากขึ้น โดยปกติแล้วสมองส่วนดังกล่าวจะหดเล็กลงเมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น แต่การค้นพบชี้ว่าผู้สูงอายุที่ทำสมาธิเป็นประจำจะสามารถยับยั้งการหดตัวของสมองส่วนนั้นและยังคงมีความสามารถในการจดจำรายละเอียดต่างๆ ได้ดี ผลการวิจัยอีกชิ้นของ บรูซ โอฮารา จากมหาวิทยาลัยเคนทักกีที่ศึกษาว่าการทำสมาธิมีผลอย่างไรต่อความใจจดใจจ่อที่มีต่องานน่าเบื่อในช่วงเที่ยงวันซึ่งเป็นเวลาที่ความตั้งใจของคนเราอ่อนล้า พบว่า อาสาสมัคร 10 คนที่ทำสมาธินาน 40 นาที สามารถทำแบบทดสอบเพื่อวัดความตั้งใจได้ดีกว่าหลังจากให้อ่านหนังสือนาน 40 นาที และเป็นที่ทราบดีว่า การนอนหลับไม่เพียงพอส่งผลให้ความตั้งใจของคนเราลดลง ดังนั้น นักวิจัยจึงจัดให้อาสาสมัครกลุ่มควบคุมอดนอนตอนกลางคืนแต่ให้ทำสมาธิแทน พบว่า สมาธิช่วยทดแทนการพักผ่อนของสมองและทำให้การแสดงออกถึงความตั้งใจดีขึ้น นอกจากนั้น ริชาร์ด เดวิดสัน จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ทำการศึกษากลุ่มภิกษุในพุทธศาสนา พบว่าการทำสมาธิช่วยกระตุ้นพื้นที่สมองที่เกี่ยวกับความตั้งใจและทำให้คนเรามีความคิดรอบคอบมากขึ้น (ข่าวสด ศุกร์ที่ 18 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





วิจัย"สเต็มเซลล์"เกาหลีป่วน ดร.มะกันแฉผิดจรรยาบรรณ

ดร.เจอรัลด์ พี. ชัตเทน นักวิจัยมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก สหรัฐ ประกาศถอนตัวจากโครงการพัฒนา "สเต็มเซลล์" หรือ เซลล์ต้นกำเนิดของดร.วู ซุก ฮวาง นักวิจัยชื่อดังชาวเกาหลีใต้ ผู้สร้างชื่อเสียงไปทั่วโลกเมื่อปี 2547 ภายหลังจากประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์จากตัวอ่อนมนุษย์ที่เกิดจากการะบวนการโคลนนิ่ง หรือ การคัดลอกแบบทางพันธุกรรมเป็นครั้งแรกของโลก ดร.ชัตเทน ซึ่งเป็นนักวิจัยด้านสเต็มเซลล์คนสำคัญ เปิดแถลงข่าวว่า ตนได้รับข้อมูลที่เชื่อได้ว่า กระบวนการโคลนนิ่งตัวอ่อนมนุษย์ของดร.ฮวางเมื่อปีก่อนนั้นละเมิดจรรยาบรรณทางการแพทย์ ทำให้ตนต้องถอนตัวออกจากโครงการทั้งหมดของดร.วู เพราะถูกดร.วูหลอกมาโดยตลอดว่าโครงการสเต็มเซลล์ทั้งหมดทำด้วยความโปร่งใส ทั้งนี้ มีรายงานว่า ดร.ฮวางทำผิดจรรยาบรรณแพทย์เนื่องจาก "ไข่" ที่นำมาสร้างตัวอ่อนโคลนนิ่งเป็นไข่ของลูกทีมวิจัย ซึ่งจรรยาบรรณแล้วทำไม่ได้ เพราะเท่ากับว่าดร.ฮวาง ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมวิจัย อาจบีบบังคับให้ลูกทีมยินยอมปฏิบัติตามคำสั่ง (ข่าวสด ศุกร์ที่ 18 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ข่าวทั่วไป


สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน เล่ม 30

โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ จัดพิมพ์หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่ม 30 เสร็จเรียบร้อยและวางจำหน่ายแล้ว ภายในบรรจุเรื่องที่น่าสนใจไว้ 9 เรื่อง พร้อมภาพประกอบที่สวยงามคือ 1.ศิลปะการเห่เรือ 2.หอพระไตรปิฎก 3.ปราสาทขอมในประเทศไทย 4.กฎหมายตราสามดวง 5.ไม้ดอกไม้ประดับ 6.กล้วย 7.ปลากัด 8.คลื่นสึนามิ 9.วัสดุการแพทย์ แต่ละเรื่องมีเนื้อหาสาระที่น่าสนใจ สนใจหาซื้อได้ตามร้านหนังสือตัวแทนจำหน่าย ในราคาเล่มละ 250 บาท (ข่าวสด จันทร์ที่ 14 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





เตรียมแปะสัญลักษณ์คุณภาพขนมเด็ก

รศ.ดร.ประไพศรี ศิริจักรวาล หัวหน้าฝ่ายมนุษยโภชนาการ สถาบันวิจัยโภชนาการ มหิดล กล่าวว่า สถาบันได้วิจัยคุณค่าของขนมที่ให้สารอาหารประเภทต่างๆ โดยวิเคราะห์สารอาหาร ปริมาณน้ำมัน ปริมาณ น้ำตาล โซเดียม ไขมัน โปรตีน ใยอาหาร วิตามินเอ บี 1 บี 2 ซี แคลเซียม และธาตุเหล็กโดยขนมชนิดใดที่มีคุณค่าทางสารอาหารที่มีประโยชน์ก็จะให้ดาวไว้ ทั้งนี้ กำลังทำการสำรวจเพิ่มเติมกับเด็กและผู้ปกครองชั้นอนุบาลและประถมศึกษาในเขตกทม.เกี่ยวกับการทำฉลากบนซองขนมต่อไปว่าจะดำเนินการออกมาในรูปแบบใดที่จะสามารถให้ผู้บริโภคเข้าใจชัดเจน สถาบันได้หารือกับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่จะมีการทำสัญลักษณ์ติดบนซองขนม เพื่อให้ผู้ปกครองหรือเด็กเลือกรับประทาน อาจเป็นในรูปแบบสัญลักษณ์ดาว หรือหยดน้ำมัน หรือเป็นตัวอักษรภาษอังกฤษ หรือเป็นคะแนน ทั้งนี้ แต่ละสัญลักษณ์จะมีสีแดง เหลือง เขียว เพื่อแบ่งปริมาณสารอาหารที่มีในขนมด้วย จากตัวอย่างที่สำรวจขนมซองขณะนี้ที่ทดสอบเรียบร้อยแล้ว เบื้องต้นพบว่าขนมที่ไม่มีสารอาหารที่จำเป็นและมีปริมาณสารอาหารที่ควบคุมสูงกว่ากำหนด คือ ข้าวเกรียบกุ้ง 1 ซองเล็ก มันฝรั่งทอด 1 ซองเล็ก ส่วนขนมที่มีสารอาหารเหมาะสม เช่น เกาลัดปริมาณ 30 กรัม (ข่าวสด อังคารที่ 15 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





เชื่อคำสอนแม่ไม่เป็นหวัด วิทยาศาสตร์พิสูจน์ว่าจริง

นักวิทยาศาสตร์แนะนำให้เด็กๆพากันเชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้เป็นแม่โดยเคร่งครัด กับที่พร่ำบอกให้หมั่นปกปิดร่างกายเมื่ออากาศเย็นให้อบอุ่นไว้เสมอ เมื่อพิสูจน์ได้เป็นครั้งแรกว่า การป่วยเป็นหวัดกับความเย็นเกี่ยวพันกัน ศูนย์วิจัยโรคหวัดสามัญที่เมืองคาร์ดิฟฟ์ของอังกฤษ ได้ทดลองกับอาสาสมัคร 18 คน ครึ่งหนึ่งให้แช่เท้าเปล่าในน้ำเย็นเป็นน้ำแข็งวันละ 20 นาที ปรากฏว่าคนเหล่านั้นพากันเป็นหวัดกันงอมถึง 29% ในเวลาไม่เกิน 5 วันเท่านั้น ผิดกับคนที่ไม่ได้แช่เท้ามีป่วยเพียง9% เท่านั้น ศาสตราจารย์โรนัลเอกซ์เซิลน์ ผู้อำนวยการศูนย์ กล่าว เมื่อร่างกายรู้สึกหนาวเย็น ก็จะไปทำให้เส้นเลือดตามจมูกหดตัวลง และปิดขวางไม่ให้เลือดอุ่นๆ ซึ่งจะขนเม็ดเซลล์เม็ดโลหิตขาวไปต่อสู้กับโรคไปได้ ทำให้แนวต้านทานในจมูกอ่อนแอลง เปิดช่องให้ไวรัสเข้มแข็งขึ้น จึงเป็นหวัดกัน ที่จริงแล้วเมื่อเรารู้สึกเป็นหวัดขึ้นนั้น แท้จริงเชื้อโรคได้ยึดเอาตัวเราได้หมดแล้ว (ไทยรัฐ พุธที่ 16 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





ใช้ยาถูกวิธีชีวีปลอดภัย

องค์การเภสัชกรรม ให้คำแนะนำไว้ในเว็บไซต์ www.gpo.or.th ไว้ว่า เมื่อต้องซื้อยาควรซื้อ จากร้านยาที่ได้รับอนุญาต และมีเภสัชกรประจำร้าน ยาที่ วางจำหน่าย ต้อง อยู่ในตู้ที่สะอาด ไม่ร้อน หรืออับชื้นเกินไป ส่วนภาชนะบรรจุยาก็ต้องสะอาด มีฉลากยาอ่านชัดเจนและ ชื่อยาที่ปรากฏนั้นต้องมีทั้ง ชื่อสามัญ (generic name) และ ชื่อการค้า (trade name) เมื่อไปซื้อยา ไม่ควรซื้อตามตัวอย่างยาที่มีอยู่ เพราะมียาเป็นจำนวนมากที่รูปร่างและสีเดียวกัน แต่ใช้รักษาโรคแตกต่างกันมาก เมื่อได้ยา ที่ต้องการ ควรสอบถามวิธีใช้ให้แน่ชัด ถ้าเป็นยาก่อนอาหารควรรับประทานก่อนอาหารอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ยาหลังอาหารควรรับประทานหลังอาหารอย่างน้อย 15 นาที ส่วนยาวันละครั้งนั้นจะใช้ยาเวลาไหนก็ได้ แต่ควรให้เวลาตรงกันทุกวัน ยากลุ่มปฏิชีวนะ ควรซื้อในจำนวนที่รักษาโรคให้หายโดยคำแนะนำของเภสัชกรประจำร้าน ในการไปซื้อยาถ้าพาผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิดมาซื้อได้ยิ่งดี เพราะเภสัชกรอาจถามอาการเจ็บป่วยเพิ่มเติม และควรแจ้งประวัติการแพ้ยาแก่ เภสัชกรด้วย ในการซื้อยาทุกครั้ง ควรอ่านฉลากยาหรือเอกสารกำกับยา ซึ่งระบุชื่อยา วันผลิต และวันหมดอายุ ดูลักษณะยาว่าต้องไม่เสื่อมสภาพ และข้อห้ามใช้ หากไม่ได้ระบุ “วันหมดอายุยา” โดยทั่วไปให้ดูจากวันผลิต กรณียาเม็ดไม่เกิน 5 ปี กรณียาน้ำและยาทาเฉพาะที่ไม่เกิน 3 ปี วันหมดอายุอาจจะระบุเป็นภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษ เช่น Exp.Date, used before, use by, Expired Date เป็นต้น. (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 19 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





แพทย์ตื่นโรคเนื้อสมองอักเสบ มียุงเป็นพาหะ-ชี้ไม่มีทางรักษา

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน พญ.สุรางค์ เมฆดี รักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า จากกรณีแพทย์โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยาตรวจพบโรคเนื้อสมองอักเสบใน ด.ช.จักรวาล วงศ์ศรีทา อายุ 8 ขวบ นักเรียนชั้น ป.3 โรงเรียนวัดม่วงหวาน ปัจจุบันนอนเป็นเจ้าชายนิทรานั้น โรคเนื้อสมองอักเสบหรือ Encephalitis รุนแรงกว่าโรคไข้สมองอักเสบหลายเท่า หากติดเชื้อและแสดงอาการของโรคออกมา โอกาสที่ผู้ป่วยจะรอดชีวิตและกลับมาปกติแทบเป็นจะศูนย์ และประมาณ 50% จะเสียชีวิตทันที ส่วนอีก 50% ที่ไม่เสียชีวิตก็จะสมองตายทั้งหมด โรคดังกล่าวเคยพบในไทยมาแล้วแต่พบไม่มากนัก โดยพบบริเวณภาคเหนือหรือตามป่าเขา แต่เพิ่งระบาดมากในภาคกลางเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นโรคทำลายเนื้อสมองของเชื้อไวรัสกลุ่ม Togavirus-B มีประมาณ 20 สายพันธุ์ แต่รักษาได้เพียงสายพันธุ์เดียว ส่วนอีก 19 สายพันธุ์หมดสิทธิรักษา มียุงรำคาญเป็นพาหะ โดยยุงรำคาญไปกัดกินเลือดหมูหรือวัวมา จากนั้นไวรัสจะเพาะเชื้อในตัวยุง เมื่อคนถูกยุงกัดจะติดเชื้อทันที โดยมีระยะฟักตัวในคนประมาณ 1-10 วันเท่านั้น เชื้อโรคจะเข้าสู่คนได้ทุกช่วงวัย เมื่อเชื้อไวรัสแสดงอาการแล้ว สมองจะถูกทำลายภายใน 1 สัปดาห์ ปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาได้โดยตรง หากเป็นไข้ติดต่อกัน 3 วันโดยไข้ไม่ลด ให้พบแพทย์ที่โรงพยาบาลทันที หากพบว่าถูกยุงกัด และมีสัตว์เลี้ยงจำพวกหมู วัว ใกล้บ้าน ให้สันนิฐานเบื้องต้นว่าเป็นโรคนี้และรีบรักษา ปัจจุบันวงการแพทย์ตื่นตัวกับโรคนี้มาก เพราะติดเชื้อง่าย และทุกช่วงวัยอย่างไรก็ตาม สามารถฉีดวัคซีนป้องกันได้ โดยหากเป็นเด็กอายุเกิน 5 ปีและผู้ใหญ่ แนะนำไปให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้ตามสถานพยาบาล 3 เข็ม ค่าวัคซีนประมาณเข็มละ 360 บาท แต่ไม่สามารถใช้บัตรทอง 30 บาทในการรับบริการได้ (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 19 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





ครม.กำหนด19 เม.ย.49 เป็นวันเลือกตั้งส.ว.

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "นายกทักษิณฯคุยกับประชาชน" ถึงการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) แทนชุดปัจจุบันที่จะหมดวาระประมาณเดือน มี.ค. 2549 ว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา กำหนดให้วันที่ 19 เม.ย. 2549 เป็นวันเลือกตั้ง เนื่องจากหากเป็นวันอาทิตย์ที่ 16 เม.ย. ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ประชาชนมักจะมีงานเลี้ยงสังสรรค์กัน อาจทำให้เกิดการร้องเรียนจำนวนมาก เมื่อกำหนดให้เป็นวันที่ 19 เม.ย.ก็จะให้ถือวันดังกล่าวเป็นวันหยุดชดเชยเทศกาลสงกรานต์ ช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2549 จะกำหนดให้หยุดในวันที่ 13-16 เป็นเวลา 4 วัน และวันที่ 19 ที่เป็นวันเลือกตั้งอีก 1 วัน ส่วนเทศกาลปีใหม่นี้ จะกำหนดให้หยุดในวันที่ 31 ธ.ค. และ 1 ม.ค. และชดเชยอีก 2 วัน ในวันที่ 2 และ 3 ม.ค. 49 (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 19 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215