หัวข้อข่าวปีที่ 6 ฉบับที่ 48 ประจำวันที่ 2005-12-17

ข่าวการศึกษา

มหา’ ลัยยืดเกษียณ 70 ปีพยุงปัญหาขาดอจ.
สกอ.จับมือสิงคโปร์ แลกเปลี่ยน นศ. UBI จับคู่วิจัย 6 สาขาวิทย์
ที่สุดของมหา’ ลัยในอเมริกา
ม.บูรพาเซ็นเอ็มโอยูเกาหลี
"มหา"ลัย"โสม3อาจารย์มอ.จับมือมอ.ทำพจนานุกรม
ป.เอก"รัฐประศาสนศาสตร์" มหาวิทยาลัยรามคำแหง
กาง8ยุทธศาสตร์ ยกคุณภาพอุดมศึกษาไทย
คนสุโขทัยชุมนุมขอ"ม.ราม3"
"จาตุรนต์"หนุนมหา"ลัย วิจัยส่งเสริมงานร.พ.
ม.ไทยจับมือสิงคโปร์ตั้งบริษัทน.ศ. พร้อมวิจัยองค์ความรู้โลกอนาคต
หลักสูตรใหม่"เภสัชบำบัด" ม.ขอนแก่น
บูมเรียนภาษาจีน ม.ปลาย-มหา’ ลัย อีก 5 ปีโตเกิน 30%
ต้าน ม.ออกนอกระบบ หวั่นขูดรีดเลือดคนไทย
กยศ.พบสถาบันการศึกษาเสี่ยงหนี้เสียสูง
เวียดนามทุ่ม 14 ล้าน ตั้งสถาบันอินโดจีนฯ ศูนย์ภาษาริมฝั่งโขง
เล็งเพิ่มบัณฑิตโลจิสติกส์
ติงลดครูแนะแนวผิดพลาด
เครื่องวัดพฤติกรรมเด็ก ไทยทำได้ชาติแรกเอเชีย
สกอ.เร่งวางยุทธศาสตร์รับนศ.จีนทะลักเรียนต่อไทย
ศธ.ปรับโฉมอาชีวะเน้นทันสมัย

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

VoIP เทคโนโลยีมาแรง
ชี้นักวิทยาศาสตร์ควรศึกษาผลกระทบนาโนเทคโนโลยี เพราะอาจมีอันตรายที่คาดไม่ถึงผู้บริโภคในอนาคต
ไทยขึ้นแท่นฮิต "ไร้สาย" มากสุด
ไทยเจ้าภาพประชุมพลังชีวมวลจับมือบางจากขยายกำลังผลิตไบโอดีเซล
นักธรณีอาศัยดาวเทียมจับตาสึนามิรอบใหม่
รู้จักดาวแคระน้ำตาล นักสร้าง"ดาวเคราะห์"
โครงข่ายอุตุฯโลก พยากรณ์ภัยธรรมชาติ
เก็บหินจากดาวเคราะห์น้อยอิโตกาวะ
หวั่น 10 ปีข้างหน้ามีสึนามิรอบใหม่ ใช้ดาวเทียมส่องจับตาเปลือกโลกเคลื่อน
คำนวณ อีก 50 ปีขั้วแม่เหล็กโลกเบนเข็มตำแหน่งไปไซบีเรีย
ม.มหิดลแฉเล่ห์โกงกีฬายุคใหม่
วท.ค้นเทคโนโลยีใหม่ สกัดหวัดนกกลายพันธุ์
แบตเตอรี่อนาคต
เหมืองทอง ใต้มหาสมุทร
ใช้ GIS กับสารสนเทศ เพิ่มทักษะปฏิบัติพัฒนาที่ดิน
ไทยเจ้าภาพประชุมเทคโนโลยีอนาคต
ไทยลุ้นขึ้นแท่นฮับชีวมวลเอเชีย
"นาซ่า"คาดอีก31ปีดาวเคราะห์ชนโลก
"หน้าต่างอัจฉริยะ"สวีเดน
ปี 2005 ผงาดปีโลกร้อนที่สุดในรอบทศ.
อังกฤษไฟเขียวให้ปลูกถ่ายใบหน้าทั้งหน้ารายแรกของโลก

ข่าววิจัย/พัฒนา

เครื่องช่วยเปิดหนังสือเพื่อคนพิการแขน
เข็มฉีดยาส่วนตัวไม่ง้อหมอ ติดตั้งสมองกลสั่งปล่อยยาไม่พลาด
ดูพันธุกรรมหมารู้โรคร้ายในคนได้
เด็กหัวโตเสี่ยงมะเร็งกินสมอง
นักพันธุศาสตร์จ้องถอดดีเอ็นเอตัวไร
เกษตรศาสตร์บริการตรวจดีเอ็นเอพันธุ์ข้าวไทย
นักวิทยาศาสตร์ใช้หนูสร้างสมองมนุษย์
เทคโนโลยีจากดวงตา
น้ำสลัดครีมน้ำนมถั่วเหลืองปราศจากไข่ ปลอดไข่หวัดนก
วช.ดันพ.ร.บ.สัตว์ทดลอง ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ปลาวาฬขั้วโลกสารพิษอื้อ วอนอียูออกกฎคุ้มครอง"อาร์กติก"
มรภ.เพชรบูรณ์ลุยวิจัย"กลอย"พืชเศรษฐกิจ ตั้งกลุ่มวิชาชีพกลอย-พัฒนาเป็นวิสาหกิจชุมชน
ปลูกสร้างสมองมนุษย์ในหนู หวั่นปัญหาจริยธรรมตามมา
ลูกบอลติดกล้องสอดแนมก่อนจู่โจม
ดื่มชาลดเสี่ยงเป็นมะเร็งรังไข่
“หุ่นยางพาราพูดได้” สื่อผสมฝีมือไทยล้วนๆ
เนรมิตทะเลทรายเป็นผืนป่า ญี่ปุ่นกำสูตรเร่งรากพืชยาวถึงแหล่งน้ำ
ผ้าพันคอแฟชั่นเปลี่ยนสีได้ซ้ำแบบ
สกว.ประกาศ 18 ผลงานวิจัยดีเด่นประจำปี 48
'อาซิโม'โฉมใหม่เก่งกว่า-ฉลาดกว่า

ข่าวทั่วไป

ห้ามนอนเอาตะเกียงเข้าเต็นท์ ขาดอากาศสมองหยุดทำงาน
ลมหนาวชวนเป็นโรคซึมเศร้า ให้วิธีป้องกันรักษา 4 อย่าง
เตรียมศึกษาสร้างสะพานข้ามแม่น้ำ 4 แห่ง
เร่งสร้างมอเตอร์เวย์ 13 สาย
หวั่นวธ.เอเชียถูกละเมิด ยูเนสโกจี้ประเทศสมาชิดจดลิขสิทธิ์
กินยาแก้ปวดมากเสี่ยงตับทรุด
ญี่ปุ่นช่วย"อาเซียน"ตุนทามิฟลู
ไทยควรทุ่มพัฒนาเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร
"เมล็ดสบู่ดำ"มีพิษ กินแล้วอาจถึงตาย
ก.วัฒนธรรมทุ่ม 118 ล. จดลิขสิทธิ์ภูมิปัญญา
ปีใหม่เฮนั่งรถไฟฟรี
“เปิดด่านเชียงแสน” พิสูจน์มาตรฐานสินค้าเกษตร
ภูเก็ต-กรุงเทพเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมเอเชีย





ข่าวการศึกษา


มหา’ ลัยยืดเกษียณ 70 ปีพยุงปัญหาขาดอจ.

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการหารือถึงการแก้ปัญหาการขาดแคลนครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า องค์หลักของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) สามารถวิเคราะห์ภาพการขาดแคลนครูทั้งระบบได้อย่างชัดเจนมากขึ้น แนวโน้มก็ยังขาดแคลนครูสูงอยู่ ซึ่งการแก้ปัญหานั้น ศธ.ได้เตรียมจัดทำข้อเสนอ 2 ส่วนคือ การขออัตรากำลังเพิ่มเฉพาะหน้า โดยในปีการศึกษา 2549 ในระยะแรก จะมีการเสนอขอจำนวนครู ในส่วนของ สพฐ., สอศ และ สกอ. องค์กรละประมาณ 10,000 ราย และ กศน.อีกประมาณ 1,000 ราย ทั้งนี้ในส่วนของ สอศ.อาจจะมีการปรับตัวเลขใหม่ให้ลดลงโดยอาจจะใช้วิธีจ้างผู้เชี่ยวชาญจากสถานประกอบการมาช่วยสอน แทนการจ้างครู นอกจากนี้จะเสนอของบประมาณในการดำเนินการแก้ปัญหาในด้านต่างๆ อาทิ การปรับเปลี่ยนวิธีการสอน การใช้สื่อการสอนสมัยใหม่ การจัดระบบการสอนทางไกล การใช้ครูภูมิปัญญา การใช้ครูหมุนเวียน เป็นต้น ทั้งนี้การดำเนินการแก้ปัญหาขาดครูนั้นจะเชิญผู้บริหารขององค์กรหลัก และผู้รับผิดชอบฝ่ายงานบุคลากรของแต่ละองค์กรหลักมาหารืออีกครั้ง ก่อนที่จะนำเสนอนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี พิจารณาต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แต่ละองค์กรได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาการขาดแคลนขององค์กรต่างๆ โดย สพฐ.จะจัดระบบการสอนทางไกล จ้างครูพิเศษ เพิ่มค่าตอบแทนพิเศษแก่ครูที่สอนเกิน จัดให้มีการเรียนการสอนแบบช่วงชั้น/คละชั้น เป็นต้น ส่วนอาชีวะฯ จะจัดการเรียนการสอนแบบทวิภาคี เพิ่มชั่วโมงสอนควบคู่ค่าตอบแทนพิเศษ ให้เอกชนรับดำเนินการบางวิชา และจ้างผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นต้นด้าน สกอ.จะขยายเวลาเกษียณอายุราชการของคณาจารย์จาก 65 ปี เป็น 70 ปี เป็นต้น (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่12 ธ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





สกอ.จับมือสิงคโปร์ แลกเปลี่ยน นศ. UBI จับคู่วิจัย 6 สาขาวิทย์

ศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยถึงการดูงานเรื่องการจัดหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษา หรือ UBI และการจัดการทรัพย์สินทางปัญญา และความสัมพันธ์ระหว่างการวิจัยกับภาคอุตสาหกรรม ที่ประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ ว่า ม.แห่งชาติสิงคโปร์ จะเชี่ยวชาญเรื่องนี้มาก ขณะที่ UBI ของเราเพิ่งตั้งใหม่ ดังนั้นจึงได้เจรจาความร่วมมือที่จะให้มีการแลกเปลี่ยนนักศึกษาเพื่อทำงานด้าน UBI ร่วมกัน โดยเฉพาะการทำบริษัทที่คล้ายกันก็ให้มาร่วมมือกันทำงาน เช่น บริษัทไอที ก็มาช่วยกันดูว่า มีสิ่งไหนที่จะร่วมกันพัฒนาให้ดีขึ้นหรือจะแลกเปลี่ยน ความคิดกัน รวมทั้งหากมีการผลิตอุปกรณ์ใดๆ ในสิงคโปร์ แล้วอาจจะนำมาขายในไทยก็ได้ เพราะตลาดของไทยใหญ่กว่า ขณะเดียวกันที่สิงคโปร์ก็มีช่องการตลาดที่ดีเช่นกัน ซึ่งผู้บริหาร ม.แห่งชาติสิงคโปร์ ก็ให้ความสนใจมาก ไทยได้ลงนามความร่วมมือกับ อธิการบดี ม.แห่งชาติสิงคโปร์ ในการพัฒนาการวิจัยและบุคลากรระดับสูง ใน 6 สาขาวิชา เช่น สาขาไบรโออินฟอร์เมติก สาขานาโนเทคโนโลยี สาขาคอก์เนทีฟไซแอนส์ สาขาคณิตศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์ และสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ซึ่งหลังจากนี้จะมาจับคู่กันทำวิจัย และเท่าที่ดูจะสนใจทางด้านสาขาวิทยาศาสตร์กันมาก รวมทั้ง ม.แห่งชาติสิงคโปร์ ยังมีความเข้มแข็งในการบริหารจัดการสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ที่ติดอันดับต้นของโลก ที่จะได้มีการร่วมมือกัน ทางด้านวิชาการ โดยทาง ม.แห่งชาติสิงค์โปร์ ได้ให้เงื่อนไขว่าถ้าไทยส่งคนไปเรียนปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยจะให้ทุนเพิ่ม เช่น ถ้าส่งคนไป 10 คน จะให้ทุนเพิ่มอีก 10 ทุน ม.แห่งชาติสิงคโปร์ เป็นมหาวิทยาลัยติดอันดับโลก ซึ่งได้งบประมาณปีละ 1,100 ล้านเหรียญสิงคโปร์ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 30,000 ล้านบาท ดูแลศึกษาแค่ 30,000 คนขณะนี้มหาวิทยาลัยไทยมีงบฯ 50,000 ล้านบาท ดูแลมหาวิทยาลัยรัฐ 77 มหาวิทยาลัย และดูแลนักศึกษา 2 ล้านคน (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่12 ธ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ที่สุดของมหา’ ลัยในอเมริกา

ปีนี้ทาง “เดอะ พรินซ์ตัน” บริษัทธุรกิจด้านการศึกษา ของนิวยอร์ก ออกมาเผยผลสำรวจ “ความเป็นที่สุด” ซึ่งมาจากเสียงโหวตของนักศึกษากลุ่มตัวอย่างกว่า 110,000คน จาก 361 สถาบันการศึกษา เริ่มกันที่ “ระบบการจัดการศึกษา ต่ำกว่าปริญญาตรี หรือประกาศนียบัตร” หรือที่เรียกกันว่า อันเดอร์แกรดส์ (Undergrads) เขายกให้ “วิทยาลัยลีด” รัฐโอเรกอนเพราะที่นี้เน้นการเรียนการสอนในระดับนี้มาก โดยจะแบ่งกลุ่มนิสิตเป็นกลุ่มเล็กๆ เพื่อให้ง่าย สะดวก ต่อการสอน ในส่วนของคณาจารย์นั้นก็จะมีการพัฒนาอบรม เพิ่มศักยภาพอย่างสม่ำเสมอ จนมีการยกย่อง วิทยาลัยแห่งนี้ให้เป็นสถาบันการศึกษาของนักศึกษาอันเดอร์แกรดส์ตัวอย่าง เลยทีเดียว ส่วนมหาวิทยาลัยที่มี “ความแปลก” โดยเฉพาะหลักสูตรแปลกๆ ล่ะก็หนีไม่พ้นมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ล่าสุดเปิดตัวหลักสูตรใหม่ “ปรัชญาและการเดินทางของดวงดาว” ด้านความหลากหลายภายในมหาวิทยาลัย ปรากฏว่า มหาวิทยาลัยจอร์จเมสัน รัฐเวอร์วิเนีย คว้าตำแหน่งนี้ไป...ที่นี่มีนักศึกษาหลากหลายเชื้อชาติ เรียกว่ามาจากทุกมุมโลก แถมยังอยู่ร่วมกันโดยไม่ปัญหาระหว่างเชื้อชาติ หรือสีผิว แต่ถ้าเป็นด้านอนุรักษ์นิยมแล้ว ก็ต้องไปที่ “วิทยาลัยฮิลลส์เดล” รัฐมิชิแกน เป็นแหล่งรวม “นักอนุรักษ์นิยม” หรือ “พวกหัวเก่า” ในมหาวิทยาลัยเลยมีแต่ของเก่าดั้งเดิมทั้งนั้นตรงกันข้ามกับ “วิทยาลัยมิลลส์” รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่มีแต่พวกหัวก้าวหน้าเสรีนิยม และมองความเก่าความคร่ำครึ ว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจ จนได้รับตำแหน่ง “สถาบันการศึกษาเสรีนิยม หรือหัวก้าวหน้ายอดเยี่ยม” ด้านคุณภาพชีวิตในมหาวิทยาลัย กันบ้าง “แคมปัส” ที่ถูกยกย่องว่า “มีความสวยงามที่สุด” ก็คือ “มหาวิทยาลัยเปปเปอร์ไดน์” รัฐแคลิฟอร์เนีย ก็เพราะว่า “เปปเปอร์ไดน์” ตั้งอยู่ติดทะเลเวลาที่นักศึกษา “เดินเรียน” ก็เหมือนกับกำลังเดินริมหาดมหาสมุทรแปซิฟิก ส่วน “เรื่องอาหาร” นักศึกษาที่เป็น “นักชิม” ต่างโหวตให้ “วิทยาลัยโบว์ดอยน์” รัฐเมน ...ที่นี่มีครัวที่ทำอาหารถูกลิ้นมากที่สุด ส่วนสถาบันที่ดูแลด้าน “คุณภาพชีวิต” ของนักศึกษาดีชนิดว่ายุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม ต้องเป็นที่ “วิทยาลัยแฟรงคลิน ดับเบิลยู.โอลิน” รัฐแมสซาชูเซตส์ ขณะที่มหาวิทยาลัยในฝัน เรียนแล้วมีความสุดที่สุด ต้องที่มี “มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด” โดยมหาวิทยาลัยมีระบบนันทนาการ สันทนาการต่างๆ ให้กับนักศึกษาหลายมุมด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกีฬา พิพิธภัณฑ์ น้ำพุสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ กิจกรรมไต่เขา พักแรมตามเชิงเขา เดินชมหาดชายทะเล ฟังเอ็มพี 3 เป็นต้น สถาบัน ที่นักศึกษาขยันไปเรียนมากที่สุด ล่ะก็เห็นจะไม่มีที่ไหนเกิน “วิทยาลัยรีด” เมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน ตรงกันข้ามกับ “มหาวิทยาลัยมิสซิสซิปปี” เมืองออกซ์ฟอร์ด กลับมา “นักศึกษาขาดเรียนมากที่สุด” ปิดท้ายที่ “มหาวิทยาลัยที่เรียนหนักที่สุดๆ” “สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์” หรือ “สถาบันเอ็มไอที” (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่12 ธ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ม.บูรพาเซ็นเอ็มโอยูเกาหลี

.สุชาติ อุปถัมภ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยบูรพา เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้ลงนามเอ็มโอยูกับ นายซอ มยอง ดก อธิการบดีมหาวิทยาลัย ซัง-มยอง ประเทศเกาหลี เป็นสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงทางด้าน เทคโนโลยี และศิลปกรรม เพื่อพัฒนาวิชาการเกาหลีศึกษาร่วมกัน โดยจะแลกเปลี่ยนอาจารย์ นักศึกษา ทำวิจัย รวมทั้งการจัดทำหลักสูตรเกาหลีศึกษา ในคณะศึกษาศาสตร์ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2549 และเปิดรับนักศึกษาได้ในปี 2550 โดยจะให้เรียนที่ ม.บูรพา 2 ปี และเรียนที่ ม.ซัง-มยอง อีก 2 ปี และผู้ที่สำเร็จการศึกษา จะได้รับปริญญาบัตรจากทั้ง 2 มหาวิทยาลัย นายซอ มยอง ดก ให้เหตุผลที่ร่วมมือทางวิชาการกับ ม.บูรพา ว่า เนื่องจากเป็นสถาบันการศึกษาของไทย ที่มีรายวิชา คณะ และทำเลที่ตั้งใกล้เคียงกัน และเป็นสถาบันการศึกษาเดียวของไทย ที่มีความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในเกาหลีจำนวนมาก อีกทั้งยังมีศูนย์เกาหลีศึกษาด้วย ทำให้มีความพร้อมที่จะร่วมมือทางวิชาการในลักษณะที่ยืนยาว ขณะที่ รศ.ทัศนีย์ ทานตวณิช ผู้อำนวยการศูนย์เกาหลีศึกษา ม.บูรพา กล่าวว่า ม.บูรพา เป็นสถาบันการศึกษาแห่งที่ 3 ที่เปิดสอนวิชาเอกภาษาเกาหลี โดยเริ่มจากการเปิดสอนที่คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เมื่อปี 2543 แต่บุคลากรด้านนี้เป็นที่ต้องการของตลาด คณะศึกษาศาสตร์ จึงได้จัดทำหลักสูตรผลิตครูวิชาเอกเกาหลีขึ้นเพื่อไปสอนตามสถาบันการศึกษาที่เปิดสอน ทั้งนี้ศูนย์เกาหลีศึกษา จะจัดประกวดสุนทรพจน์ภาษาเกาหลีระหว่างสถาบันการศึกษาที่เปิดสอนทุกปี เพื่อส่งเสริมให้นักศึกษาได้ฝึกฝนการใช้ภาษาเกาหลี โดยในปีนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 14 ธันวาคม (คมชัดลึก อังคารที่ 13 ธ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





"มหา"ลัย"โสม3อาจารย์มอ.จับมือมอ.ทำพจนานุกรม

นายประจวบ ยิ้นเสน อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ให้สัมภาษณ์ว่า ปัญหาอย่างหนึ่งของการเรียนการสอนภาษาเกาหลีคือ ไม่มีพจนานุกรมเกาหลี-ไทย มีแต่พจนานุกรมไทย-เกาหลี ทำให้นักศึกษาต้องหันไปใช้พจนานุกรมเกาหลี-อังกฤษแทน แล้วถึงมาเทียบกับภาษาไทยอีกครั้งหนึ่ง จึงเกิดความยุ่งยากมาก ทางมหาวิทยาลัยฮันกุ๊กภาษาและกิจการต่างประเทศ ประเทศเกาหลีใต้ จึงได้ทำโครงการพจนานุกรมเกาหลี-ไทยขึ้น โดยมีนักวิชาการไทยเข้าร่วม ซึ่งตนก็ร่วมด้วย ทำมาประมาณ 8 ปีแล้ว คาดว่าจะพิมพ์เสร็จในต้นปี 2550 ถือเป็นพจนานุกรมเกาหลี-ไทยเล่มแรก มีคำศัพท์ทั้งหมดประมาณ 6 หมื่นคำ รวมทุกสาขาวิชาชีพ โดยมีอาจารย์เช ชังซอง อาจารย์ชาวเกาหลี ผู้บุกเบิกการสอนภาษาไทยในมหาวิทยาลัยฮันกุ๊ก เป็นประธานโครงการ ซึ่งพูดภาษาไทยเก่งมาก นายประจวบกล่าวว่า ปัจจุบันมีสถาบันการศึกษาต่างๆ เปิดสอนภาษาเกาหลีมากขึ้น มีทั้หงมด 11 แห่ง แต่ของ มอ.ปัตตานี เก่าแก่ที่สุด 20 ปีแล้ว ส่วนใหญ่เปิดเป็นวิชาเอก และวิชาเลือกเสรี ทั้งนี้จากการที่ตนไปเรียนอยู่เกาหลีหลายปี เห็นว่ามหาวิทยาลัยที่นั่นพร้อมจะให้ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยของไทย เพียงแต่ทางไทยต้องเดินเข้าไปหาเท่านั้น (มติชนรายวัน อังคารที่ 13 ธ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ป.เอก"รัฐประศาสนศาสตร์" มหาวิทยาลัยรามคำแหง

รศ.ดร.อุทัย เลาหวิเชียร ผู้อำนวยการโครงการหลักสูตรดุษฎีบัณฑิต สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง(มร.) ฝากประกาศเชิญชวนผู้สนใจเข้าศึกษาในหลักสูตรนี้ ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับนักการเมือง นักบริหารทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งคณาจารย์มหาวิทยาลัย เพื่อการเป็นผู้นำทางวิชาการทางด้านรัฐประศาสนศาสตร์ หลักสูตรนี้ มีเป้าหมายเพื่อการส่งเสริมให้ผู้ศึกษามีความเป็นผู้นำทางวิชาการ สามารถนำความรู้ไปแก้ไขปัญหา ตลอดจนพัฒนาหน่วยงานและประเทศชาติได้ เนื่องจากได้จัดระบบการศึกษาไว้อย่างเข้มข้น มีการศึกษารายวิชาในชั้นเรียน จำนวน 36 หน่วยกิต การค้นคว้าทางวิชาการ และศึกษาดูงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งทำวิทยานิพนธ์ 36 หน่วยกิต รวมตลอดหลักสูตร จำนวน 72 หน่วยกิต จะใช้เวลาเรียนนอกเวลาราชการ ใช้เวลาศึกษาไม่เกิน 5 ปี ซึ่งที่ผ่านมามีผู้สำเร็จการศึกษาคนแรกแล้ว คือ นายพศวัจณ์ กนกนาก ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา นักศึกษาที่สนใจเข้าเรียนสามารถจะเลือกศึกษาได้ 4 กลุ่ม คือ สาขานโยบายสาธารณะ สาขาบริหารทรัพยากรมนุษย์ สาขาการจัดการภาครัฐและเอกชน และสาขาการจัดการสิ่งแวดล้อม ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร.0-2310-8483-89 ต่อ 27 หรือโทร.0-2310-8493 (มติชนรายวัน อังคารที่ 13 ธ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





กาง8ยุทธศาสตร์ ยกคุณภาพอุดมศึกษาไทย

จากการประชุมเพื่อกำหนดกรอบแนวคิดเชิงนโยบายอุดมศึกษา จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) ที่โรงแรมสยามซิตี เมื่อเร็วๆ นี้ สกอ.ได้นำเสนอกรอบแนวคิดเชิงนโยบายอุดมศึกษา ที่จะยกระดับคุณภาพและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ หลังจากที่พบว่าระบบอุดมศึกษาไทยยังด้อยในเรื่องของคุณภาพ จึงได้จัดทำแผนพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานอุดมศึกษาไทยในช่วงระยะ 5 ปี ตั้งแต่ปี 2549-2553 ประกอบด้วย 8 ยุทธศาสตร์สำคัญ ดังต่อไปนี้ ประการแรก จะเน้นการผลิตและพัฒนากำลังคนทั้งด้านคุณภาพและขยายปริมาณ โดยเร่งศึกษาและกำหนดความต้องการกำลังในสาขาวิชาต่างๆ ที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ ประการที่ 2 สกอ.ให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพและมาตรฐานอุดมศึกษา โดยจัดทำโรดแมปการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานอุดมศึกษาไทยในช่วง 5 ปีจากนี้ไป ตั้งแต่ปี 2549-2553 ประการที่ 3 การวิจัยและพัฒนา ซึ่งถือเป็นปัญหาสำคัญยิ่งของระบบอุดมศึกษาไทย ประการที่ 4 การพัฒนาอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา มีหลักสำคัญคือ การกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของอาจารย์อุดมศึกษาให้มีวุฒิปริญญาเอก ประการที่ 5 การปฏิรูประบบการเงินอุดมศึกษา โดยเริ่มต้นที่พัฒนาระบบกองทุนเงินให้กู้ยืมที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคต (ICL) ให้แล้วเสร็จเพื่อให้ทันประกาศใช้ในปีการศึกษา 2549 ประการที่ 6 โครงสร้างและการบริหารจัดการ จะมีการยกร่างพระราชบัญญัติอุดมศึกษากลางที่เอื้อให้รัฐสามารถกำกับดูแลสถาบันอุดมศึกษาในการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล ประการที่ 7 การผลิตและพัฒนาครู จะมีการกำหนดบทบาทที่ชัดเจนของมหาวิทยาลัยราชภัฏในการผลิต พัฒนาครูและการขยายตัวของมหาวิทยาลัยราชภัฏ และประการที่ 8 ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเอกชนในการจัดการศึกษา โดยใช้กลไกของการปฏิรูปการเงินเพื่อการอุดมศึกษาเป็นเครื่องมือ ซึ่งทุกฝ่ายคงต้องร่วมด้วยช่วยกันผลักดันให้กรอบแนวคิดดังกล่าวนี้บังเกิดผลจริง เพื่อการยกระดับคุณภาพสถาบันอุดมศึกษาไทยให้ก้าวสู่ความเป็นเลิศในระดับสากลต่อไป (มติชนรายวัน อังคารที่ 13 ธ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





คนสุโขทัยชุมนุมขอ"ม.ราม3"

นายมนู พุกประเสริฐ ประธานคณะผู้ขอก่อตั้งมหาวิทยาลัยรามคำแหง วิทยาเขตสุโขทัย พร้อมด้วยคณะผู้ก่อตั้ง และพลังมวลชนประชาชน นักเรียน นักศึกษา ตลอดทั้งกลุ่มองค์กรเอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสุโขทัย จำนวนเกือบ 1 หมื่นคน ได้มาชุมนุมรวมพลังบริเวณหน้าอนุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ภายในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย เพื่อลั่นกระดิ่งร้องทุกข์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เพื่อขอยกฐานะมหาวิทยาลัยรามคำแหงเฉลิมพระเกียรติ สาขาวิทยบริการจังหวัดสุโขทัย ที่ตั้งอยู่ในต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.สุโขทัย ให้เป็นมหาวิทยาลัยรามคำแหง วิทยาเขตสุโขทัย หรือมหาวิทยาลัยรามคำแหง 3 ผู้ชุมนุมให้เหตุผลว่า การยกระดับดังกล่าว จะเป็นการขยายโอกาสทางการศึกษาไปสู่ส่วนภูมิภาค เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่อยู่ในภูมิภาคและท้องถิ่นต่างๆ มีโอกาสได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในลักษณะที่เรียกว่า เรียนใกล้บ้านสอบใกล้บ้าน ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้กับนิสิตนักศึกษาที่ไม่มีโอกาสได้ศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยภายในกรุงเทพฯ ได้ เพราะต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านต่างๆ เป็นจำนวนมาก และการยกมหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาบริการสุโขทัย เป็นมหาวิทยาลัยรามคำแหง วิทยาเขตสุโขทัย ซึ่งจะทำให้นิสิตนักศึกษาที่มีเงินทุนน้อยในภาคส่วนภูมิภาคได้มีโอกาสศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสทางการศึกษาในระบบภูมิภาคตามนโยบายของรัฐบาล และยังจะเป็นการลดความแออัดของประชากรในกรุงเทพฯ ลงได้ ซึ่งมหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาบริการสุโขทัยแห่งนี้ เป็นสถานที่สำหรับใช้ในการประชุม ครม.สัญจร ของคณะนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในระหว่างวันที่ 19-20 ธ.ค.นี้ (ข่าวสด อังคารที่ 13 ธ.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





"จาตุรนต์"หนุนมหา"ลัย วิจัยส่งเสริมงานร.พ.

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวบรรยายพิเศษในการประชุมวิชาการประจำปีครั้งที่ 14 ของงานเวชสารสนเทศของประเทศเพื่อการเรียนรู้ จัดโดยคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ว่า การสัมมนาครั้งนี้ประกอบไปด้วยผู้ที่ทำงานด้านสาธารณสุข โรงพยาบาล ผู้ที่ต้องดูแลคนไข้ จึงมีการพูดถึงการยกระดับพัฒนาการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ที่กำลังผลักดันและส่งเสริมให้กระทรวงต่างๆ คิดวางแผนให้พัฒนาหน่วยงานที่รับผิดชอบ ให้มีความทันสมัยและพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ดังนั้น เรื่องงานเวชสารสนเทศของประเทศเพื่อการเรียนรู้ จึงเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการด้วย เพราะเป็นการพัฒนาโรงพยาบาล ที่เชื่อมโยงกับการเรียนการสอนของคณะแพทยศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยต่างๆ นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้มหาวิทยาลัย มาช่วยพัฒนาความรู้ การวิจัย และบุคลากร เพื่อส่งเสริมให้งานของโรงพยาบาล คณะแพทยศาสตร์ มีความเจริญก้าวหน้าด้วย เพื่อให้เกื้อกูลกันส่งผลดีซึ่งกันและกันระหว่างโรงพยาบาลที่สังกัดมหาวิทยาลัย กับสถาบันอุดมศึกษา ทำให้มหาวิทยาลัยพัฒนาบุคคล และสร้างองค์ความรู้อีกด้วย (ข่าวสด จันทร์ที่ 12 ธ.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ม.ไทยจับมือสิงคโปร์ตั้งบริษัทน.ศ. พร้อมวิจัยองค์ความรู้โลกอนาคต

นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) เปิดเผยผลการไปศึกษาดูงานหน่วยวิสาหกิจบ่มเพาะ หรือ UBI ที่ประเทศสิงคโปร์ว่า ตนพร้อมด้วยอธิการบดี รองอธิการบดี และผู้จัดการหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในมหาวิทยาลัย 25 แห่งในประเทศไทย ได้เดินทางไปดูงานหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง เพราะเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นเรื่องใหม่สำหรับประเทศไทย ในขณะที่ทางสิงคโปร์ก้าวไปไกลมากแล้ว โดยปัจจุบันมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ได้จัดตั้งบริษัทถึง 90 บริษัท มีทั้งระดับคณะและมหาวิทยาลัย และมีทั้งที่นักศึกษาเป็นผู้จัดตั้ง อาจารย์ร่วมกับนักศึกษา หรือศิษย์เก่า นอกจากนี้ ยังได้เจรจาความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ เช่น ร่วมมือในรูปแบบบริษัท เช่น บริษัทด้านซอฟต์แวร์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยไทยกับสิงคโปร์ เป็นต้น เพื่อต่อยอดผลิตภัณฑ์ในตลาดของทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งจะให้นักศึกษาไทยไปฝึกงานกับมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ซึ่งมีประสบการณ์ไปลงทุนตั้งบริษัทวิจัยในสหรัฐอเมริกา จีน และอินเดีย เพื่อส่งนักศึกษาของตนเองไปฝึกงาน นอกจากนี้ ยังได้ลงนามความร่วมมือกับอธิการบดีมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ เกี่ยวกับงานวิจัยและการพัฒนาระดับสูงในสาขาวิชาที่จะเป็นความรู้สำคัญของโลกอนาคต เช่น ไบโออินฟอร์เมติก ไบโอเทคโนโลยี และไฟเบอร์เนติก เป็นต้น ซึ่งในประเทศไทยยังมีองค์ความรู้เรื่องเหล่านี้น้อยมาก โดยทางมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ยินดีจะร่วมวิจัย และรับคณาจารย์ไทยไปเรียนต่อในระดับปริญญาเอกด้วย (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 12 ธ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





หลักสูตรใหม่"เภสัชบำบัด" ม.ขอนแก่น

คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น(มข.) กำลังจะเปิดหลักสูตรใหม่ในปีการศึกษา 2549 ระดับบัณฑิตศึกษา สาขาเภสัชบำบัด คาดว่าจะเปิดรับสมัครนักศึกษาได้ราวกลางปีหน้า รศ.ดร.บังอร ศรีพานิชกุล คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ มข. ส่งข้อมูลมาว่า คณะเภสัชศาสตร์ มข. ภายใต้การกำกับดูแลของวิทยาลัยเภสัชบำบัด สภาเภสัชกรรม จะเปิดสอนในหลักสูตรใหม่ดังกล่าว เป็นหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาเภสัชบำบัด ซึ่งผู้สำเร็จการศึกษาจะได้รับวุฒิบัตร ว.ภ. (เภสัชบำบัด) หลักสูตรนี้จะเน้นการส่งเสริมการฝึกฝนและการวิจัยองค์ความรู้ ทักษะและเจตคติในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม สาขาการบริบาลทางเภสัชกรรม เป็นการเพิ่มคุณภาพและต้องการยกระดับมาตรฐานการให้บริการทางเภสัชกรรม เพื่อให้ประชาชนผู้ใช้ยาได้รับการบริบาลทางเภสัชกรรมอย่างถูกต้อง เหมาะสม และครบถ้วน บนพื้นฐานข้อมูลที่ทันสมัยและเชื่อถือได้ เพื่อประโยชน์สูงสุดจากการใช้ยา นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนในการให้ข้อมูลและการให้คำปรึกษาเรื่องการใช้ยาที่ถูกต้องและปลอดภัยแก่ผู้ป่วยทางสาธารณสุขอื่นๆ โดยมีลักษณะการผสมผสานกิจกรรมในการบริบาลทางเภสัชกรรมต่างๆ เช่น การติดตามอาการที่ไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาหรือโอสถกรรมานุบาล โอสถกรรมศาสตร์ หรือเภสัชบำบัด โดยเน้นในด้าน pharmacotherpy ผู้สนใจขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ ผศ.อาภรณ์ ไชยาคำ คณะเภสัชศาสตร์ มข. โทร.0-4320-2378, 0-4320-2379 (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 12 ธ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





บูมเรียนภาษาจีน ม.ปลาย-มหา’ ลัย อีก 5 ปีโตเกิน 30%

คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี ได้เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์การสอนภาษาอังกฤษและภาษาจีน ตามที่ ศธ.เสนอ แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตั้งข้อสังเกตเพื่อให้กลับไปปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์นั้น ศธ.ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ความคิดเห็น ซึ่งได้ข้อเสนอแนะว่า อยากให้ ศธ.กำหนดกลุ่มเป้าหมายให้มีความชัดเจนมากขึ้น และเรียนแล้วได้อะไร โดยไม่เน้นเฉพาะนักเรียนเท่านั้นแต่ต้องรวมไปถึงประชากรในวัยแรงงานด้วย เนื่องจากเห็นว่ากลุ่มเป้าหมายการสอนภาษาจีนที่ ศธ.ตั้งไว้ว่าจะสอนนักเรียนในทุกระดับนั้น เป็นเป้าหมายที่ค่อนข้างกว้าง จึงอยากให้เน้นไปที่ระดับม.ปลายอาชีวศึกษา และอุดมศึกษา เพื่อให้สามารถนำไปประกอบอาชีพได้ รวมทั้งเป็นพื้นฐานในการเรียนต่อ ขณะเดียวกันให้ลดปริมาณระดับ ม.ต้นและประถมลงมา รวมทั้งระบุในแผนให้ชัดเจนว่าโรงเรียนเอกชนจะเข้ามามีบทบาทอย่างไร เพื่อให้โรงเรียนที่สอนภาษาจีนอยู่แล้วได้จัดการเรียนการสอนได้เต็มที่ สำหรับวิธีการจัดการเรียนการสอนทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีนนั้น มีข้อเสนอว่าควรจะนำสื่อมาใช้ให้มากขึ้น และควรให้เชื่อมโยงกับระบบการเรียนการสอนทางไกล ที่สำคัญต้องมีระบบกำกับติดตามโดยมีคณะกรรมการแบบถาวรซึ่งหลายฝ่ายเห็นว่าที่จะให้มีสถาบันเป็นการภายในที่จะกำกับติดตาม แต่ในอนาคตอาจจะจัดตั้งเป็นองค์กรใดองค์กรหนึ่ง ส่วนเรื่องบุคลากร นั้นเห็นตรงกันว่าจำเป็นที่จะต้องจ้างครูต่างประเทศมาสอน แต่อยากให้มีโครงการที่ชัดเจนเพื่อจะได้ไม่มีภาระผูกพันเมื่อจบโครงการแล้ว และหากจำเป็นต้องจ้างครูไทยมาช่วยก็ให้ทำเป็นงบค่าตอบแทนเฉพาะกิจ อย่างไรก็ตามคาดว่าภายใน 5 ปีข้างหน้าจะมีเด็กสนใจเรียนภาษาจีนเพิ่มมากขึ้น 20-30% โดย ศธ.จะให้การสนับสนุนอย่างเป็นระบบ (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 14 ธ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ต้าน ม.ออกนอกระบบ หวั่นขูดรีดเลือดคนไทย

นายมาโนช ชูทุ่งยอ ประธานสมาพันธ์นักศึกษาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง (ม.ร.) แกนนำนักศึกษา ม.ร.ปราศรัยรณรงค์เพื่อให้นักศึกษาทั่วประเทศร่วมกันคัดค้านการปรับเปลี่ยนสถานะของมหาวิทยาลัยให้อยู่ในกำกับของรัฐ หรือนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ เพราะหากปล่อยให้มหาวิทยาลัยของรัฐแปรเปลี่ยนสถานภาพจะส่งผลกระทบต่อนักศึกษา ประชาชน และสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะค่าเล่าเรียนที่สูงขึ้น เป็นการขูรีดเลือดประชาชนชาวไทย ประธานสมาพันธ์นักศึกษา กล่าวอีกว่า เมื่อมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ จึงเป็นการเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติ เข้ามาครอบครองมหาวิทยาลัยของรัฐ ในรูปแบบของการขาย ร่วมทุน เช่า เช่าซื้อ และแลกเปลี่ยน โดยไม่มีระเบียบในการรองรับหรือป้องกันสถาบันการศึกษาให้ปลอดภัยจากการฮุบของชาวต่างชาติ นอกจากนี้ ปรัชญาในการให้การศึกษาจากเดิมที่มุ่งสอนให้เป็นคนดี คนเก่งและมีสำนึกในการรับใช้ชาติ จะเปลี่ยนเป็นสอนให้คนเก่งเพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตนมากขึ้น เพราะต้องลงทุนในการเรียนจำนวนมาก ขณะที่ผู้กู้เงินเรียนเมื่อมีงานทำก็จะต้องทำงานชดใช้หนี้มากขึ้น (คมชัดลึก พุธที่ 14 ธ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





กยศ.พบสถาบันการศึกษาเสี่ยงหนี้เสียสูง

ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการตรวจสอบการดำเนินงานกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้รายงานผลการสุ่มตรวจการดำเนินงานกองทุนของสถานศึกษาที่มียอดการชำระคืนเงินกองทุนต่ำกว่าสถานศึกษาอื่นจำนวนทั้งสิ้น 50 แห่ง พบว่ามีมหาวิทยาลัยอนุมัติให้ผู้กู้ที่ผู้ปกครองมีรายได้เกินกว่ากำหนด จึงถือว่าการกู้เป็นโมฆะ รวมทั้งมหาวิทยาลัยไม่ให้ความสนใจดูแลการบริหารงานกองทุน ทำให้ประสิทธิภาพการบริหารงานต่ำ นอกจากนี้ยังพบผู้กู้ที่ค้างชำระเงิน เป็นบัณฑิตที่จบจากมหาวิทยาลัยและสาขาที่ไม่มีคุณภาพ อีกทั้งสถาบันการศึกษานำ กยศ.ไปใช้โฆษณาดึงนักศึกษาเข้าเรียน และมหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่งมียอดเงินกู้ยืมที่ไม่ได้จัดสรรให้นักศึกษา เนื่องจากนักศึกษาลาออก หรือพักการเรียน แต่ไม่ส่งเงินคืนให้ กยศ. และยังพบว่ามีมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งเปิดรับนักศึกษา แต่กลับให้นักศึกษาบางส่วนไปเรียนในโรงเรียนเอกชน และเมื่อโควตาเงินกู้ยืมจัดสรรหมดแล้ว ก็ใช้โควตาของโรงเรียนแทน ขณะนี้ได้นำข้อปัญหาที่พบไปกำหนดเป็นข้อปฏิบัติที่ชัดเจนให้มหาวิทยาลัยดำเนินงานกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) โดยจะมีการลงนามข้อตกลงร่วมกันกับผู้บริหารมหาวิทยาลัย และหากไม่ปฏิบัติตามก็จะมีมาตรการดำเนินการที่ชัดเจน (คมชัดลึก พุธที่ 14 ธ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





เวียดนามทุ่ม 14 ล้าน ตั้งสถาบันอินโดจีนฯ ศูนย์ภาษาริมฝั่งโขง

ศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยผลการประชุมสภามหาวิทยาลัยนครพนม เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ที่ประชุมได้ทบทวนการ ดำเนินการของหน่วยงานต่างๆ ที่จะเข้ามารวมอยู่ใน ม.นครพนม เช่น มหาวิทยาลัยราชภัฎ (มรภ.) นครพนม เดิมที่ผลิตครูออกมาในแต่ละปีเป็นจำนวนมากแต่มีงานทำไม่ถึงครึ่ง ดังนั้นทางสภามหาวิทยาลัยนครพนม จึงเห็นชอบว่า คณะครุศาสตร์ของ ม.นครพนมจะต้องไม่เหมือนที่อื่น จะตั้งเป็นคณะครุศึกษาและพัฒนามนุษย์ โดยจะเน้นผลิตบัณฑิตศึกษาและจะไม่สอนปริญญาตรี ซึ่งสามารถทำได้ทันที เพราะอาจารย์ยังมีน้อยจึงปรับตัวได้ไม่ยากและยังเห็นชอบให้ตั้งสถาบันอินโดจีนศึกษา เนื่องจากจ.นครพนม มีความร่วมมือกับนครฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจำนวน 14 ล้านบาท เพื่อให้จัดตั้งศูนย์สอนภาษาเวียดนาม ดังนั้น ผู้ว่าราชการ จ.นครพนม จึงมอบ ม.นครพนมดูแลศูนย์ดังกล่าว ความร่วมมือครั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) จะทำเรื่องเสนอต่อรัฐบาล เพื่อจัดตั้งสถาบันอินโดจีน โดยจะมีศูนย์สอนภาษาเวียดนามอยู่ในสถาบันดังกล่าว และในอนาคตสถาบันนี้จะมีศูนย์สอนภาษาเขมร และศูนย์สอนภาษาลาว เข้ามาอยู่ด้วย ทั้งนี้ในระยะแรกนี้จะเริ่มตั้งศูนย์สอนภาษาเวียดนามก่อน โดยจะไปตั้งอยู่ที่พิพิธภัณฑ์หมู่บ้านบาเจาะ จ.นครพนม ซึ่งเป็นที่พักของประธานโฮจิมิน เมื่อครั้งลี้ภัยการเมือง สกอ.คิดที่จะไปเปิดสำนักงานที่ กรุงฮานอย หรือโฮจิมิน เพื่อที่จะให้ข้อมูลกับคนเวียดนาม ที่สนใจอยากจะมาเรียนในประเทศไทย ว่ามหาวิทยาลัยของไทยมีที่ไหนบ้าง แต่ละแห่งเปิดสอนในสาขาใดบ้าง และที่สำคัญจะให้ศูนย์สอนภาษาเวียดนาม ของ ม.นครพนม ช่วยเตรียมตัวในการสอนภาษาไทยให้กับนักศึกษาของเวียดนามก่อนที่จะมาเรียนที่เมืองไทยด้วย (สยามรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 15 ธ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





เล็งเพิ่มบัณฑิตโลจิสติกส์

นายวิรัช คารวะพิทยากุล ผู้อำนวยการวิทยาลัยการขนส่งและโลจิสติกส์ ม.บูรพา เปิดเผยว่า ขณะนี้บุคลากรทางด้านขนส่งและโลจิสติกส์เป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะทางด้านอุตสาหกรรมการบริการขนส่งในทุกช่องทาง ซึ่งจำเป็นจะต้องใช้ความรู้ความสามารถด้านการจัดการด้านโลจิสติกส์มาปรับใช้ เพื่อปรับลดต้นทุนในการผลิต ซึ่งหากมีบุคลากรที่มีคุณภาพ จะทำให้ช่วยลดรายจ่ายด้านการขนส่งของประเทศได้ถึงปีละ 10% ดังนั้น วิทยาลัยการขนส่งและโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา ซึ่งตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2541 โดยครั้งแรกชื่อ "วิทยาลัยการพาณิชยนาวี" ต่อมาเปลี่ยนเป็น "วิทยาลัยการขนส่งและโลจิสติกส์" เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2548 จึงได้ลงนามสัญญาความร่วมมือทางวิชาการด้านโลจิสติกต์กับมหาวิทยาลัยนานยางเทคโนโลยี ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและเทคโนโลยี วารสารและสิ่งพิมพ์ ทางด้านวิชาการ ตลอดจนส่งเสริมให้การดำเนินโครงการวิจัยระหว่างประเทศร่วมกัน ปัจจุบันโครงสร้างทางเศรษฐกิจการค้าของประเทศ หันมาพึ่งพาประสิทธิภาพด้านการขนส่งทุกด้าน ทั้งทางน้ำ ทางทางบก ทางราง และทางอากาศ จำเป็นจะต้องมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพถึงจะลดต้นทุนการผลิตได้ บัณฑิตด้านนี้จึงจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศมาก ดังนั้นวิทยาลัยการขนส่งและโลจิสติกส์ จึงได้เปิดสอนหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาธุรกิจพาณิชยนาวี เป็นหลักสูตรต่อเนื่อง 2 ปี ขณะนี้จบไปแล้ว 3 รุ่น หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต มี 4 สาขาคือ สาขาวิทยาการเดินเรือ หลักสูตร 5 ปี ขณะนี้นักศึกษาเรียนอยู่ปี 4 สาขาการจัดการอุตาสหกรรมพาณิชยนาวี หลักสูตร 4 ปี ขณะนักศึกษาเรียนอยู่ปี 2 สาขาวิชาการจัดการโลจิสติกส์ หลักสูตร 4 ปี เปิดรับนักศึกษาปีหน้า และเปิดปริญญาเอก ปี 2550 และสาขาการจัดการขนส่งและโลจิสติกส์ ระดับปริญญาโท หลักสูตร 2 ปี จบแล้ว 1 รุ่น ผู้ที่สนใจสอบถามได้ที่โทร.0-3874-5900 ต่อ 3210-13, 038-393-231 หรืออีเมล bmc@buu.ac.th (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 15 ธ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ติงลดครูแนะแนวผิดพลาด

ผศ.ดร.ทศวร มณีศรีขำ ภาควิชาการแนะแนวและจิตวิทยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยว่า ขณะนี้นโยบายการศึกษาชาติลดบทบาทครูแนะแนวลง เป็นนโยบายที่ไม่ถูกต้อง ดูได้จากแต่ละโรงเรียนขาดครูแนะแนว ตำแหน่งครูแนะแนวในโรงเรียนมีการบรรจุน้อยลง เพราะนโยบายการศึกษาชาติโดยผ่านมาทางกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ระบุว่า ครูทุกคนสามารถเป็นครูแนะแนวได้หมด ผศ.ดร.ทศวร กล่าวต่อว่า สังคมโรงเรียนยังต้องการครูแนะแนวที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญเพื่อให้คำปรึกษา เพราะปัญหาของเด็กมีความหลากหลาย อยากฝากถึงผู้วางนโยบายการศึกษาชาติว่า มีความเข้าใจบทบาทหน้าที่และความสำคัญมากแค่ไหน เป้าหมายที่บอกว่าให้ครูทุกคนเป็นครูแนะแนว อาจจะฟังแล้วดูดี แต่ไม่มีทางทำได้ ยิ่งทุกวันนี้ปัญหาเด็กมีความซับซ้อนมากขึ้น ทุกโรงเรียนยังมีความจำเป็นต้องมีครูแนะแนวที่มีความเชี่ยวชาญด้านการให้คำปรึกษาและเข้าใจจิตวิทยาเด็ก (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 15 ธ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





เครื่องวัดพฤติกรรมเด็ก ไทยทำได้ชาติแรกเอเชีย

นพ.อภิชัย มงคล รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า กรมสุขภาพจิตได้จัดทำเครื่องมือในการประเมินพฤติกรรมเด็กที่เรียกว่า SDQ(Strengths and Difficulty Questionnaire) ขึ้นใช้ในประเทศอย่างสมบูรณ์แล้ว หลังจากใช้เวลาจัดทำ 2 ปี โดยร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและประเทศเยอรมนี จะนำมาใช้ในปี 2549 เครื่องมือดังกล่าวจะประกอบไปด้วยแบบสอบถาม 25 ข้อ ที่บอกพ่อแม่ ผู้ปกครอง ตลอดจนครูในโรงเรียนได้ว่า เด็กมีปัญหาหรือไม่เพื่อที่จะรีบหาทางแก้ไข คำถามแบ่งเป็น 5 กลุ่ม กลุ่มละ 5 ข้อ เป็นแบบสอบถามที่ประเมินปัญหา 4 กลุ่ม คือ 1.อารมณ์ 2.พฤติกรรม 3.การซุกซนก้าวร้าวมากเกินไป และ 4.ปัญหาในการเข้าหาเพื่อน ส่วนแบบประเมินอีก 1 กลุ่มที่เหลือนั้นเป็นการประเมินความสามารถในการเข้าสังคม ซึ่งถือว่าเป็นแบบประเมินที่เป็นมาตรฐาน เพราะได้มีการทดสอบประเมินในเด็กจำนวน 10,000 คน ตามโรงเรียนต่างๆ ใน 13 จังหวัดทั่วประเทศ พบว่า มีเด็กพฤติกรรมก้าวร้าว 10% ที่ต้องได้รับการแก้ไข และมีเด็กที่มีพฤติกรรมก้ำกึ่งและมีแนวโน้มก้าวร้าว 10% ที่ต้องติดตามดูแลใกล้ชิด และที่เหลืออีก 80% เป็นเด็กที่มีพฤติกรรมปกติไม่เป็นปัญหา ไทยถือเป็นประเทศแรกในกลุ่มเอเชีย ที่มีเครื่องมือประเมินเด็กที่เป็นค่ามัธยฐาน โดยทั่วโลกมี 4 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี อังกฤษ และไทย (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 15 ธ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





สกอ.เร่งวางยุทธศาสตร์รับนศ.จีนทะลักเรียนต่อไทย

ศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยผลการประชุมระดมความคิดเห็นเพื่อจัดทำยุทธศาสตร์ความร่วมมือด้านอุดมศึกษากับสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ว่า สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้เชิญสถาบันอุดมศึกษาต่าง ๆ ที่มีความร่วมมือทางวิชาการกับประเทศจีนมาให้ข้อมูลว่าได้มีการดำเนินการในเรื่องใดบ้าง เพื่อที่ สกอ.จะได้วางยุทธศาสตร์ความร่วมมือก้าวต่อไปข้างหน้าให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งเบื้องต้นทราบว่ามหาวิทยาลัยในจีนยังมีไม่เพียงพอที่จะรองรับนักศึกษาที่ต้องการเรียนในระดับอุดมศึกษาถึงปีละ 9 ล้านคน แต่มหาวิทยาลัยรับได้เพียง 3 ล้านคน ดังนั้นจีนจึงมียุทธศาสตร์ที่จะส่งนักศึกษาไปเรียนในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก และไทยก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่จีนสนใจส่งเด็กมาเรียน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้ยังพบว่าสถาบันอุดมศึกษาไทยและจีนมีข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการอย่างเป็นทางการรวม 127 ฉบับ แต่คิดว่าน่าจะมีความร่วมมือด้าน อื่น ๆ อีกหลายพันโครงการ โดยเป็นความร่วมมือหลายรูปแบบ เช่น การแลกเปลี่ยนนักศึกษา แลกเปลี่ยนอาจารย์ หรือร่วมกันทำงานวิชาการ แนวโน้มนักศึกษาจีนจะมาเรียนในไทยมากขึ้นแน่นอน ดังนั้น สกอ.คิดว่าน่าจะมีการตั้งศูนย์บริการขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในประเทศจีนเพื่อคอยให้ข้อมูลแก่นักศึกษาจีนที่สนใจเข้ามาเรียนในไทย เช่น ประเทศไทยมีมหาวิทยาลัยใดบ้าง และแต่ละแห่งเปิดสอนสาขาอะไร เป็นต้น ขณะเดียวกันทางจีนก็อยากจะเผยแพร่การเรียนการสอนภาษาจีนและจีนศึกษา โดยสำนักงานว่าด้วยการสอนภาษาจีนในฐานะเป็นภาษาต่างประเทศของจีน ได้มีนโยบายจัดตั้งสถาบันขงจื้อขึ้นในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยตั้งเป้าหมายไว้ประมาณ 100 แห่ง และเท่าที่ทราบ ทางจีนได้ทำความตกลงกับมหาวิทยาลัยไทยไปแล้ว 2 แห่งคือ ม.เชียงใหม่ และม.เกษตรศาสตร์ ที่จะตั้งสถาบันขงจื้อขึ้นในมหาวิทยาลัยดังกล่าว อย่างไรก็ตามสถาบันอุดมศึกษาของไทยจะต้องขยายความร่วมมือกับจีนในสาขาอื่น ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่จีนกำลังพัฒนาไปมาก ขณะที่จีนก็ยังอยากที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับการเกษตรจากไทยเช่นกัน (เดลินิวส์ ศุกร์ที่16 ธ.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ศธ.ปรับโฉมอาชีวะเน้นทันสมัย

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า จากการหารือร่วมกับผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ตนเน้นให้เร่งระดมความคิดเพื่อปรับบทบาทวิทยาลัยอาชีวศึกษาแต่ละประเภทใหม่ อาทิ วิทยาลัยเทคนิค วิทยาลัยอาชีวศึกษา วิทยาลัยสารพัดช่าง วิทยาลัยการอาชีพ โดยวิทยาลัยแต่ละประเภทควรจะหารือกันก่อน จากนั้นก็ไปหารือในระดับจังหวัดร่วมกับชุมชน ภาคเอกชน หอการค้า สภาอุตสาหกรรม เพื่อวางบทบาทของตนเองใหม่ในการจัดการเรียนการสอน การจัดหลักสูตร ซึ่งตนได้เปิดช่องให้แต่ละแห่งเปลี่ยนบทบาทได้มาก จนถึงขั้นจะเปลี่ยนชื่อวิทยาลัยใหม่เลยก็ได้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ สอศ. ที่จะให้มีการเปลี่ยนชื่อวิทยาลัยอาชีว-ศึกษาบางแห่ง ให้มีชื่อทันสมัยอยู่แล้ว ทั้งนี้ ควรดูความ ต้องการของเอกชน และความต้องการการผลิตในแต่ละด้านของพื้นที่นั้นๆ ด้วย นอกจากนั้น ตนยังได้เน้นให้ พัฒนาอาชีวศึกษาให้ทันสมัย เพราะเป็นเรื่องที่รัฐบาลกำลังมีนโยบาย หากจำเป็นต้องของบประมาณเพิ่มก็ให้ของบจากการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ยังได้ย้ำเรื่องการเชื่อมโยงการเรียนของอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และวิทยาลัยชุมชนเข้าด้วยกัน ในเรื่องของการเทียบโอน การคิดหลักสูตรของแต่ละส่วน เพื่อให้ส่งเสริมซึ่งกันและกัน เช่น อาชีวศึกษาคิดหลักสูตรให้นักศึกษาการศึกษานอกโรงเรียนเข้ามาเรียนได้ คาดว่าในปีการศึกษาหน้าคงจะเริ่มปรับบทบาทไปได้บ้าง แต่ในระยะต่อไปคงจะมีการปรับได้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะเมื่อมีระบบคุณวุฒิวิชาชีพ. (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 17 ธ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


VoIP เทคโนโลยีมาแรง

ไอดีซี ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาและให้ข้อมูลการตลาดชั้นนำในอุตสาหกรรมไอทีและโทรคมนาคม ไอดีซีวิเคราะห์ให้ข้อมูลว่า ในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา ธุรกิจให้บริการ Voice over IP หรือ “VoIP” มีอัตราการเติบโตสูงขึ้นมาก ผลสำรวจด้านสื่อสารและโทรคมนาคมของไอดีซีระบุว่า องค์กรธุรกิจจำนวนมากในประเทศไทย โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่และบริษัทข้ามชาติที่มีพนักงานมากกว่า 1,000 คน ได้ติดตั้งและใช้งานระบบ VoIP ภายในองค์กรของตนแล้ว โดยจัดซื้ออุปกรณ์จากผู้ผลิตที่มีความน่าเชื่อถือในระดับโลก แล้วดำเนินการติดตั้งและดูแลระบบเอง (self-implemented) ไอดีซีคาดว่า ผู้ให้บริการโครงข่ายการสื่อสารและโทรคมนาคมในประเทศไทยจะสามารถให้บริการ VoIP เต็มรูปแบบได้ตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นไป ในจำนวนนี้รวมถึงผู้บริหารโครงข่าย IP PBX สำหรับองค์กร ผลสำรวจด้านสื่อสารและโทรคมนาคมของไอดีซี ประจำปี 2548 ระบุว่า กลุ่มผู้ใช้ยังคงมองว่าระบบ VoIP เป็นเพียงอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการสื่อสารราคาประหยัดนอกเหนือจากการใช้โทรศัพท์พื้นฐานเท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้วระบบ VoIP มีขีดความสามารถและให้ประโยชน์ที่คุ้มค่ามากกว่าที่องค์กรทั่วไปรับรู้ บริการ VoIP ไม่ได้อยู่ที่การเป็นผู้ให้บริการโทรฯทางไกลราคาถูกหรือเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มาแทนระบบโทรศัพท์พื้นฐานแบบเก่า แต่อยู่ที่ขีดความสามารถในการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ ทั้งเสียง ข้อมูล และภาพ ผู้ใช้สามารถเลือกรูปแบบการสื่อสารให้สอดคล้องกับความต้องการของตนเองนับแต่จุดเริ่มต้นจนถึงปลายทาง และทุกอย่างต้องปลอดภัย (เดลินิวส์ อังคารที่ 13 ธ.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ชี้นักวิทยาศาสตร์ควรศึกษาผลกระทบนาโนเทคโนโลยี เพราะอาจมีอันตรายที่คาดไม่ถึงผู้บริโภคในอนาคต

นักวิเคราะห์ชี้ว่า ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์กำลังใช้นาโนเทคโนโลยีปฎิวัติโลก จากการเปลี่ยนแปลงข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของมนุษย์นับร้อยๆ ชิ้น แต่ถึงขณะนี้ยังไม่มีการยืนยันความปลอดภัยของเทคโนโลยีนานาเทคโนโลยีต่อสุขภาพมนุษย์หรือสิ่งแวดล้อมได้อย่างแน่นอน แม้ว่ารัฐบาลและภาคธุรกิจจะใช้เงินวิจัยในส่วนนี้เป็นจำนวนหลายล้านดอลลาร์ แต่ผู้สันทัดกรณีชี้ว่ายังเป็นเงินจำนวนเล็กน้อยและต้องใช้เงินจำนวนมากกว่านั้นจึงจะวิจัยรู้ถึงผลกระทบของมัน ที่ผ่านมา มีการศึกษาพบว่าอนุภาคนาโนบางตัว เช่นนาโนคาร์บอน อาจมีพิษต่อเซลล์สัตว์ และส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ โดยอนุภาคนาโนที่มีขนาดเล็กมากอาจถูกสูบดมเข้าทางจมูก และมีผลกระทบต่อเซลล์สมอง หรือแม้แต่หลอดนาโนที่วางบนผิวหนัง อาจมีผลกระทบต่อดีเอ็นเอของคนเรา อย่างไรก็ตาม สถาบันด้านสาธารณสุขและความปลอดภัยทางวิชาชีพแห่งชาติของสหรัฐกำลังพัฒนาคำแนะนำในการทำงานกับวัตถุดิบนาโน โดยอนุภาคบางตัวควรหลีกเลี่ยงเพราะอาจมีภัยเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ (สยามรัฐรายวัน อังคารที่ 13 ธ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ไทยขึ้นแท่นฮิต "ไร้สาย" มากสุด

บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า อินเทลได้ดำเนินการติดตั้ง "ระบบเครือข่ายไร้สาย" ให้มหาวิทยาลัยต่างๆ ของไทยรวม 15 แห่ง และในประเทศอื่นๆ อีก 300 แห่งทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในระบบการศึกษา ทำให้การใช้คอมพิวเตอร์พกพาในกลุ่มนักศึกษาและอาจารย์เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ช่วยให้เกิดพัฒนาการที่ดีขึ้นทั้งด้านเรียน ทำวิจัยและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน ทั้งนี้ อินเทลได้สำรวจมหาวิทยาลัยในเอเชีย 360 แห่ง พบว่ามหาวิทยาลัยของประเทศไทย มีอัตราการเติบโตและการใช้งานไวไฟสูงสุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นอกจากนี้ การสำรวจยังพบว่ามหาวิทยาลัยหลายแห่งไม่มีเงินทุนสนับสนุนเพียงพอ ต่อการติดตั้งเครือข่ายแลนไร้สาย อย่างไรก็ตาม การสำรวจครั้งนี้ยังได้ให้ตัวอย่างของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่สามารถประหยัดงบประมาณด้านไอทีเพื่อการศึกษา โดยการติดตั้งเครือข่ายไวไฟแทนลงทุนสร้างห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ซึ่งรองรับจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ได้จำกัดเพียงไม่กี่เครื่อง แต่หากเทียบกับการลงทุนติดตั้งระบบไร้สายแล้ว เท่ากับว่าสถานศึกษามีคอมพิวเตอร์กระจายตามที่ต่างๆ นอกห้องเรียนเป็นจำนวนหลายตัว ส่วนข้อถามเกี่ยวกับประโยชน์ใช้งานนั้น ผู้ร่วมสำรวจรู้สึกได้ถึงความสามารถที่ได้รับในการเชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยไม่ต้องพะวงกับการหาปลั๊กเสียบสายโทรศัพท์ แต่พวกเขารู้สึกกังวลถึงอายุการใช้งานแบตเตอรี่ และความเสถียรของโครงสร้างพื้นฐาน สำหรับเครือข่ายไร้สายและความเร็วโดยรวมของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ผู้ร่วมสำรวจเห็นตรงกันว่า เครือข่ายไร้สายช่วยพัฒนาระบบการศึกษาให้ดีขึ้น โดยครูอาจารยสามารถปรับเปลี่ยนกระบวนการสอนให้ทันสมัย นักเรียนสามารถรับข้อมูลจากการสอนในแต่ละครั้งจากเครือข่ายไร้สายได้อย่างสะดวกและง่ายดาย แต่การเรียนรู้แบบอีเลิร์นนิ่งยังคงเป็นไปอย่างช้าๆ เนื่องจากครูอาจารย์ยังคงวิธีการสอนแบบเดิมๆ ที่ล้า (คมชัดลึก อังคารที่ 13 ธ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ไทยเจ้าภาพประชุมพลังชีวมวลจับมือบางจากขยายกำลังผลิตไบโอดีเซล

นายประวิช รัตนเพียร รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เตรียมจัดงานประชุมเชิงปฏิบัติการ "ชีวมวลเอเชีย" ครั้งที่ 2 โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยและการผลิตเทคโนโลยีพลังงาน เข้าร่วมประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับชีวมวล รวมทั้งหาแนวทางพัฒนาการใช้พลังงานทางเลือกให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งปัจจุบันได้ใช้กันอย่างแพร่หลาย อาทิ ก๊าซโซฮอล์ ไบโอดีเซล และขยะจากชุมชน เป็นต้น นอกจากนี้ยังนำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตทดแทนปิโตรเคมี เชื้อเพลิงชีวมวลคือ เชื้อเพลิงที่มาจากผลผลิตของสิ่งมีชีวิต เช่น แกลบ กากอ้อย เศษไม้ ขยะ เศษเหลือทิ้งจากการเกษตร โดยนำมาเผาให้ความร้อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า นอกจากนี้ยังรวมถึงมวลสัตว์และของเสียจากโรงงานแปรรูปทางการเกษตร เช่น เปลือกสับปะรดจากโรงงานสับปะรดกระป๋อง หรือน้ำเสียจากโรงงานแป้งมัน ที่เอามาหมักและผลิตเป็นก๊าซชีวภาพ เป็นทางเลือกใหม่ในการผลิตกระแสไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้าน ดร.ปริทรรศน์ พันธุบรรยงก์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ กล่าวว่า ในการประชุมครั้งนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จะเสนอตัวเป็นศูนย์กลางชีวมวลแห่งเอเชีย เพื่อเป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารทางด้านเทคโนโลยี รวมทั้งงานวิจัยที่เกี่ยวข้องของประเทศในกลุ่มเอเปค ซึ่งจะช่วยให้การพัฒนาด้านพลังงาน ชีวมวลก้าวไปไกลมากขึ้น ปัจจุบัน กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้ร่วมมือกับบริษัทบางจาก เพื่อพัฒนาและสร้างโรงงานต้นแบบผลิตน้ำมันไบโอดีเซล โดยขยายกำลังผลิตจาก 1,000 ลิตรต่อวัน เป็น 1 หมื่นลิตรต่อวัน เพื่อตอบสนองความต้องการที่มีมากถึง 90 ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งปัจจุบันผลิตได้เพียง 3 แสนลิตรต่อวัน ความร่วมมือในครั้งนี้ ประกอบด้วย ในส่วนการวิจัยพัฒนาและเงินทุน โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กรมอู่ทหารเรือ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยคณะวิจัยทั้งหมดจะได้มีโอกาสเข้าไปศึกษาเทคโนโลยีการสร้างโรงงานผลิตน้ำมันของบริษัทบางจาก เพื่อนำมาเป็นต้นแบบในการพัฒนาต่อไป (คมชัดลึก จันทร์ที่ 12 ธ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





นักธรณีอาศัยดาวเทียมจับตาสึนามิรอบใหม่

สหรัฐมั่นใจว่า"เกาะสุมาตรา" มีสิทธิเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหม่ รุนแรงกว่าเดิม ทั้งยังมีโอกาสเกิดคลื่นยักษ์สึนามิในอีก 10 ปีข้างหน้า ศาสตราจารย์เคอร์รี่ ไซห์ จากสถาบันคาลเท็กซ์ สหรัฐ ใช้เครือข่ายระบบจีพีเอส ซึ่งเป็นระบบแสดงพิกัดด้วยดาวเทียม ติดตามการเคลื่อนตัวของแผ่นดินที่อยู่ใกล้กับรอยเลื่อนใหญ่ที่เกิดแแยกตัวเมื่อปลายเดือนธันวาคมปีที่แล้ว และส่งผลให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิถล่มชายฝั่งใกล้เคียง เป็นผลให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ชายฝั่งมหาสมุทรอินเดีย และทะเลอันดามันเสียชีวิตเรือนแสน จากการติดตามการเคลื่อนตัวของแผ่นดิน พบว่าบริเวณสันธรณีที่แผ่นทวีปชนกัน ยังมีความเครียดปรากฏอยู่ และอาจปล่อยพลังงานออกมาในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งเชื่อว่าเมืองชายฝั่งอย่างเช่น เปดัง และเบงกูลู ของอินโดนีเซียมีความเสี่ยงมากที่สุด นักวิจัยยอมรับว่ายังไม่อาจบอกได้ชัดเจนว่า การปล่อยพลังงานของแผ่นทวีปที่เคลื่อนตัวมาชนกันนี้จะเกิดขึ้นอีกเมื่อไร แต่ทีมงานของเขาก็ได้แจ้งเตือนให้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าว ได้ทราบแล้วว่าอาจเกิดแผ่นดินไหว และคลื่นสึนามิได้ในชั่วชีวิตของรุ่นลูก ศาสตราจารย์เคอร์รี่ กล่าวว่า ความเครียดที่ก่อตัวขึ้นในบริเวณนี้ให้สังเกตจากสภาพของแนวชายฝั่งของเกาะต่างๆ อาทิ ชายฝั่งบางแห่งกำลังมุดตัวลง ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว แผ่นทวีปสองแผ่นที่มาชนกันจะไม่ชนในแนวเฉือน แต่มักจะเป็นในรูปแบบที่แผ่นหนึ่งมุดลงใต้อีกแผ่นหนึ่ง และหลังจากเกิดแผ่นดินไหวแล้ว แผ่นดินที่ถูกกดลงจะดันตัวโผล่ขึ้นมาใหม่ หมายความว่า ขอบที่เกยของแผ่นทวีปที่มุดตัวจะถูกดึงลงในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะดันตัวขึ้นไปใหม่ ซึ่งรูปแบบนี้จะทำให้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ จากการสำรวจใต้พื้นทะเลบริเวณเกาะสุมาตราตอนเหนือหลังจากเกิดสึนามิเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม และ 28 มีนาคม พบว่า ปะการังโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเนื่องจากแผ่นดินถูกดันขึ้นมา และเมื่อไล่มองไปตามแนวทางใต้สันทวีป พบว่าพวกพืชทะเลและชายฝั่งเติบโตอยู่ใต้ผิวน้ำ ยังไม่โผล่ขึ้นมา ทำให้นักวิจัยรู้ว่ายังคงมีความเครียดสะสมอยู่ และเครือข่ายจีพีเอสยืนยันข้อมูลดังกล่าวเช่นกัน จึงเป็นเหตุให้พวกเขาวิตกจะเกิดแผ่นดินไหวขึ้นอีก (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 13 ธ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





รู้จักดาวแคระน้ำตาล นักสร้าง"ดาวเคราะห์"

ข้อมูลจากสมาคมดาราศาสตร์ไทย โดยวิมุติ วสะหลาย ระบุว่า "ดาวแคระน้ำตาล" เป็นวัตถุคล้ายดาวฤกษ์ชนิดหนึ่ง เปล่งแสงสว่างและแผ่ความร้อนได้แบบดาวฤกษ์ กระบวนการกำเนิดพลังงานของดาวแคระน้ำตาลไม่ได้เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์เช่นในดาวฤกษ์ เนื่องจากมีมวลและอุณหภูมิที่ใจกลางต่ำเกินไปเกินกว่าจะจุดปฏิกิริยานิวเคลียร์ จึงไม่อาจเป็นดาวฤกษ์เต็มตัวได้ ได้แค่เกือบเป็นดาวฤกษ์เท่านั้น นักดาราศาสตร์พบข้อมูลใหม่ว่า แม้ดาวแคระน้ำตาลจะไม่ประสบความสำเร็จในการเป็นดาวฤกษ์ แต่ก็สามารถผลิตดาวเคราะห์สร้างครอบครัวของตัวเองได้เก่งไม่แพ้ดาวฤกษ์ คณะนักดาราศาสตร์จากยุโรปได้ใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศ "สปิตเซอร์" ของ "นาซ่า" ได้สำรวจดาวแคระน้ำตาลอายุน้อยหลายดวงในกลุ่มดาวกิ้งก่าคะมีเลียนในย่านความถี่อินฟราเรด พบหลักฐานหลายอย่างที่บ่งบอกว่ามีการผลิตดาวเคราะห์อยู่รอบดาวแคระน้ำตาลเหล่านั้น ในจำนวนดาวแคระน้ำตาลหกดวงที่สำรวจนี้ มีถึงห้าดวงที่พบฝุ่นและผลึกที่โคจรรอบอยู่มีการเกาะกลุ่มกันเป็นก้อน ก้อนฝุ่นเหล่านี้ก็คือตัวอ่อนของดาวเคราะห์ ซึ่งจะค่อยๆ สะสมฝุ่นให้ใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นดาวเคราะห์ต่อไป เป็นกระบวนการให้กำเนิดดาวเคราะห์แบบเดียวกับที่เกิดขึ้นรอบดาวฤกษ์ นอกจากนี้ ยังพบว่าฝุ่นรอบดาวแคระขาวบางดวงเริ่มจัดรูปกันเป็นจานบางๆ ซึ่งยิ่งเป็นหลักฐานว่ามีการสร้างดาวเคราะห์เกิดขึ้นแล้ว การค้นพบครั้งนี้แสดงว่าดาวเคราะห์เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าที่นักดาราศาสตร์เคยคาดคิดกันไว้ ในอนาคตคาดว่าดาวแคระน้ำตาลจะเป็นเป้าหมายสำคัญอีกชนิดหนึ่งในการค้นหาดาวเคราะห์ต่อไป (ข่าวสด อังคารที่ 13 ธ.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





โครงข่ายอุตุฯโลก พยากรณ์ภัยธรรมชาติ

"ที่ประชุมสหภาพธรณีวิทยาอเมริกัน" (เอจียู) เป็นชุมชนวิทยาศาสตร์ระดับหัวแถวของสหรัฐที่พยายามระดมสมองและร่วมมือกับเพื่อนนักวิทยาศาสตร์หลายประเทศทั่วโลก คิดหาวิธีวางระบบ "เตือนภัยธรรมชาติ" ล่วงหน้าให้ดีกว่าเดิม โครงการหนึ่งที่เอจียูกำลังเดินหน้าร่วมกับหน่วยงานวิทยาศาสตร์ใน 60 ประเทศ ได้แก่ การวางโครงข่ายระบบสำรวจโลก หรือ "จีออส" ลักษณะการทำงานของระบบ "จีออส" มุ่งเน้นไปที่การรวบรวมข้อมูลตรวจจับสภาพอากาศและสภาพความเคลื่อนไหวทั้งบนบก ในน้ำ ในอากาศของโลกผ่านดาวเทียมเข้าด้วยกันเป็น "หนึ่งเดียว" หรือ เป็นแนวคิด "บูรณาการระบบอุตุนิยมวิทยา" จากทั่วโลกเข้าด้วยกัน โดยมีเครือข่ายคอมพิวเตอร์กลาง ทำหน้าที่เป็น "ตัวกลาง" รับ-ส่ง-ประมวลผลข้อมูลและแจ้งเตือนภัยธรรมชาติอย่างรวดเร็ว โครงการ เบื้องต้น ก็คือโครงข่ายสารไฟเบอร์ออพติก "เนชั่นแนล แลมบ์ดาเรล" ซึ่งมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัย 18 แห่งในสหรัฐช่วยกันวางระบบขึ้นมา คุณสมบัติของ "เนชั่นแนล แลมบ์ดาเรล" อยู่ตรงที่ความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายจะสูง 10 กิกะไบต์ต่อวินาที การวางโครงข่ายไฟเบอร์ออพติกพื่อบูรณาการระบบอุตุนิยมวิทยาจากทั่วโลกยังต้องใช้เวลาอีกนาน และจะนานมากขึ้นถ้า "ภาคเอกชน" ไม่เข้ามาร่วมมือด้วย (ข่าวสด อังคารที่ 13 ธ.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





เก็บหินจากดาวเคราะห์น้อยอิโตกาวะ

มีรายงานข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศ ถึงความตื่นเต้นของคนญี่ปุ่น เมื่อสถาบันอวกาศและการบินอวกาศ(Institute of Space and Astronautical : ISAS) สังกัดองค์การสำรวจบรรยากาศและอวกาศแห่งญี่ปุ่น(เจกซา) ส่งยานสำรวจญี่ปุ่นชื่อ "ฮายาบูสะ" ที่คำนี้มีความหมายว่า "นกเหยี่ยว" สามารถสร้างประวัติศาสตร์อวกาศโฉมใหม่ ด้วยการทะยานสู่ห้วงอวกาศ ไปสู่เป้าหมายบนพื้นผิวของ "ดาวเคราะห์น้อยชื่อ อิโตกาวะ" ที่อธิบายลักษณะของมันไว้ว่า มีรูปร่างเหมือนมันฝรั่ง ทำได้สำเร็จโดยระยะทางอยู่ห่างจากโลก 290 ล้านกิโลเมตร และสามารถเก็บตัวอย่าง "หินและดิน" กลับมายังโลก เพื่อศึกษาถึงที่มาของแหล่งกำเนิดระบบสุริยจักรวาล ผลงานครั้งนี้ มีหุ่นยนต์ขนาดเล็กที่ติดตั้งกล้อง 3 ตัว ปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ด้วย เราจึงได้เห็นภาพในมุมต่างๆ ของดาวเคราะห์น้อยอิโตกาวะ ตามที่คนแดนอาทิตย์อุทัยเรียกกันมาให้ชม ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่า พื้นผิวของ "ดาวเคราะห์น้อย" มีก้อนหินและดินอันเป็นร่องรอยที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ก่อนระบบสุริยะก่อกำเนิด รวมถึงความสัมพันธ์ของดาวเคราะห์น้อยกับอุกกาบาต และเชื่อว่าหินของดาวเคราะห์น้อยน่าจะให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับต้นกำเนิดของตัวดาวได้ โดยญี่ปุ่นพยายามสร้างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอวกาศมาเป็นเวลานาน จนสำเร็จในครั้งนี้ และยังมีแผนจะส่งมนุษย์ไปท่องนอกโลกในปี 2550 อีกด้วย (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 12 ธ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





หวั่น 10 ปีข้างหน้ามีสึนามิรอบใหม่ ใช้ดาวเทียมส่องจับตาเปลือกโลกเคลื่อน

นักวิทยาศาสตร์สหรัฐฟันธง "เกาะสุมาตรา" ของอินโดนีเซีย มีสิทธิเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหม่ รุนแรงกว่าเดิม ทั้งยังมีโอกาสเกิดคลื่นยักษ์สึนามิในอีก 10 ปีข้างหน้า หลังจากใช้แผนที่ดาวเทียมสังเกตการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก ศ.เคอร์รี่ ไซห์ จากสถาบันคาลเท็กซ์ สหรัฐ ใช้เครือข่ายระบบจีพีเอส ซึ่งเป็นระบบแสดงพิกัดด้วยดาวเทียม ติดตามการเคลื่อนตัวของแผ่นดินที่อยู่ใกล้กับรอยเลื่อนใหญ่ ที่เกิดแแยกตัวเมื่อปลายเดือนธันวาคม ปีที่แล้ว และส่งผลให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิถล่มชายฝั่งใกล้เคียง เป็นผลให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียและทะเลอันดามันเสียชีวิตเรือนแสน นักวิจัย กล่าวว่า จากการติดตามการเคลื่อนตัวของแผ่นดิน พบว่า บริเวณสันธรณีที่แผ่นทวีปชนกัน ยังมีความเครียดปรากฏอยู่ และอาจปล่อยพลังงานออกมาในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งเชื่อว่าเมืองชายฝั่ง อย่างเปดังและเบงกูลู ของอินโดนีเซีย มีความเสี่ยงมากที่สุด แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ปีที่แล้ว วัดแรงสั่นสะเทือนได้ถึง 9.2 ริคเตอร์ เป็นผลมาจากการเคลื่อนตัวชนกันของแผ่นเปลือกโลกอินเดีย/ออสเตรเลีย กับแผ่นทวีปยูเรเซีย ส่งผลให้เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินตามแนวชายฝั่งทะเล ตั้งแต่ตอนเหนือของเกาะสุมาตรา ไทย ศรีลังกา และอินเดีย หลังจากนั้นไม่นานได้เกิดแผ่นดินไหวระดับ 8.7 ริคเตอร์ ตามมาในเดือนมีนาคม ซึ่งการปลดพลังงานครั้งที่ 2 นี้ เกิดขึ้นเลื่อนลงมาทางใต้ของรอยเลื่อน ความเครียดที่ก่อตัวขึ้นในบริเวณนี้ ให้สังเกตจากสภาพของแนวชายฝั่งของเกาะต่างๆ ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว แผ่นทวีป 2 แผ่นที่มาชนกัน จะไม่ชนในแนวเฉือน แต่มักจะเป็นในรูปแบบที่แผ่นหนึ่งมุดลงใต้อีกแผ่นหนึ่ง และหลังจากเกิดแผ่นดินไหวแล้ว แผ่นดินที่ถูกกดลงจะดันตัวโผล่ขึ้นมาใหม่ หมายความว่า ขอบที่เกยของแผ่นทวีปที่มุดตัวจะถูกดึงลงในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะดันตัวขึ้นไปใหม่ ซึ่งรูปแบบนี้จะทำให้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ จากการสำรวจใต้พื้นทะเลบริเวณเกาะสุมาตราตอนเหนือหลังแผ่นดินไหว พบว่า ปะการังโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเนื่องจากแผ่นดินถูกดันขึ้นมา และเมื่อไล่มองไปตามแนวทางใต้สันทวีป พบว่า พวกพืชทะเลและชายฝั่งเติบโตอยู่ใต้ผิวน้ำ ยังไม่โผล่ขึ้นมา ทำให้นักวิจัยรู้ว่ายังคงมีความเครียดสะสมอยู่ และเครือข่ายจีพีเอสยืนยันข้อมูลดังกล่าวเช่นกัน จึงเป็นเหตุให้พวกเขาวิตกจะเกิดแผ่นดินไหวขึ้นอีก (คมชัดลึก พุธที่ 14 ธ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





คำนวณ อีก 50 ปีขั้วแม่เหล็กโลกเบนเข็มตำแหน่งไปไซบีเรีย

นักวิทยาศาสตร์คำนวณ อีก 50 ปี ขั้วแม่เหล็กโลกจะเปลี่ยนตำแหน่งจากทวีปอเมริกาเหนือย้ายไปไซบีเรียของรัสเซียแทน ส่งผลให้ดินแดนแห่งน้ำแข็งขั้วโลกอลาสกาหมดเสน่ห์ เพราะปรากฏการณ์แสงเหนือจะย้ายตามไปด้วย ขั้วแม่เหล็กโลกเป็นส่วนหนึ่งของสนามแม่เหล็ก ที่เกิดจากเหล็กหลอมเหลวที่อยู่ในแกนกลางของโลก แต่ไม่ใช่ขั้วโลกในเชิงภูมิศาสตร์ที่เป็นตำแหน่งแกนกลางที่โลกหมุนรอบตัวเอง ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์รู้มานานแล้วว่า ขั้วแม่เหล็กโลกสามารถขยับที่ได้ และในบางกรณีอาจจะกลับข้างไปเลย ส่วนอะไรที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวยังคงเป็นปริศนาอยู่ โจเซฟ สโตเนอร์ นักธรณีวิทยาสนามแม่เหล็กจากสหรัฐ อธิบายว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจเป็นผลจากการแกว่งตัวปกติอันเป็นผลมาจากการหมุนของโลกก็ได้ และถึงที่สุดแล้วมันก็จะย้ายกลับมาที่แคนาดาอีก จากการศึกษาก่อนหน้านี้ แสดงให้เห็นว่า สนามแม่เหล็กโลกมีความเข้มลดลง 10% ในช่วง 150 ปีที่ผ่านมา ขั้วแม่เหล็กโลกยังได้ย้ายที่ไปแถบอาร์คติก ประมาณ 1,100 กิโลเมตร และในรอบร้อยปีที่ผ่านมา ขั้วแม่เหล็กโลกมีอัตราการเคลื่อนที่เร็วขึ้น ปัจจุบัน ขั้วแม่เหล็กเหนือกำลังแกว่งตัวออกจากแคนาดาเหนือไปยังไซบีเรีย ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นต่อไปจะไม่มีแสงเหนือปรากฏให้เห็นที่อลาสกาอีก เนื่องจากปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น เมื่ออนุภาคที่มีประจุที่แผ่ออกมาจากดวงอาทิตย์ทำปฏิกิริยากับก๊าซต่างๆ ในบรรยากาศโลก (คมชัดลึก พุธที่ 14 ธ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ม.มหิดลแฉเล่ห์โกงกีฬายุคใหม่

นักวิชาการมหาวิทยาลัยมหิดลเผยเทคนิครักษาด้วยยีน หรือยีนบำบัดอาจเป็นดาบสองคมหากถูกนำมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพให้กับนักกีฬา เผยนักกีฬาต่างประเทศใช้เพิ่มพลังกันเกร่อ เพราะไม่สามารถตรวจจับได้เหมือนยาโด๊ป ผศ.ดร.น.พ.ชัชวาลย์ ศรีสวัสดิ์ จากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ความก้าวหน้าทางการแพทย์ช่วยให้มีการพัฒนาวิธีการรักษาแบบใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาด้วยยีน ซึ่งเป็นการนำยีนที่มีคุณสมบัติที่ต้องการเข้าสู่เซลล์เพื่อทดแทนยีนที่ผิดปกติหรือยีนที่ก่อโรคเพื่อรักษาโรค วิธีการรักษาด้วยยีนนี้สามารถนำไปใช้เพิ่มสมรรถนะและความแข็งแรงของร่างกายได้ เช่น การพัฒนาการรักษาด้วยยีนสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหากล้ามเนื้อฝ่อลีบโดยการใช้ยีนตัวหนึ่งที่สามารถทำให้กล้ามเนื้อมีขนาดใหญ่และแข็งแรงขึ้นได้ นอกจากนี้ ยังใช้วิธียีนบำบัดรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะโลหิตจางได้ด้วย เพื่อทำให้ปริมาณเม็ดเลือดแดงที่ทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ เพิ่มมากขึ้น เป็นต้น การรักษาดังกล่าวได้เริ่มทำการศึกษาทดลองในผู้ป่วยเป็นผลสำเร็จเมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการวิจัยเพื่อพัฒนาให้การรักษามีประสิทธิภาพและความปลอดภัยมากขึ้น วิธีการดังกล่าวพบว่าถูกลักลอบนำมาใช้โดยนักกีฬาเพื่อกระตุ้นสมรรถนะของร่างกาย หรือที่เรียกว่า ยีนโด๊ป เพื่อช่วยให้นักกีฬามีกล้ามเนื้อที่ใหญ่และแข็งแรงมากขึ้น ทำให้มีความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยช่วยให้มีเม็ดเลือดแดงปริมาณสูงขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อและอวัยวะต่างๆ ได้รับออกซิเจนได้มากขึ้น จึงไม่เกิดอาการล้าหรือเป็นตะคริวได้ง่าย ด้วยเหตุนี้ ในระหว่างวันที่ 19-21 ธันวาคมนี้ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา ได้จัดการประชุมวิชาการในหัวข้อ "การฝึกกีฬาและเทคโนโลยีการกีฬา ทันสมัยเพื่อความเป็นเลิศ" เพื่อให้ความรู้แก่คนทั่วไป และผู้เกี่ยวข้องได้ทราบถึงวิธีการป้องกันและการตรวจสอบการโกงกีฬาแบบใหม่ (คมชัดลึก พุธที่ 14 ธ.ค. 48 http://www.komchadluek.net





วท.ค้นเทคโนโลยีใหม่ สกัดหวัดนกกลายพันธุ์

วันที่ 13 ธันวาคม ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(วท.) นายประวิช รัตนเพียร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แถลงข่าว "การจัดงานประชุมนานาชาติ เรื่องเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญต่อโลกอนาคต : โอกาสทองของธุรกิจใหม่" ซึ่งจัดในวันที่ 16 ธันวาคม ที่โรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส ว่า ปัจจุบันเกิดคำถามว่าโรคไข้หวัดนกจะเกิดการกลายพันธุ์หรือไม่ และจะมีเทคโนโลยีใดที่สามารถช่วยเหลือ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกลายพันธุ์ หรือการระบาดครั้งใหญ่นั้น การประชุมครั้งนี้ จะสำรวจโอกาสของเทคโนโลยีที่จะต่อสู้กับโรคติดเชื้อ อาทิ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ตรวจสอบว่าพื้นที่ใดที่เกิดการระบาดของโรคไข้หวัดนก และมีแนวโน้มลุกลามไปยังพื้นที่ใด ซึ่งเป็นป้องกันการแพร่ระบาดใหญ่ได้ทันท่วงที และการใช้เทคโนโลยีชีวภาพ เกี่ยวกับการใช้ยาและการพัฒนาวัคซีนว่าในอนาคตจะมีแนวโน้มเป็นเช่นไร นอกจากนี้ ยังได้ทำการสำรวจโอกาสและความท้าทายที่จะเกิดจากเทคโนโลยี อาทิ เทคโนโลยีวิศวกรรมชีวภาพเพื่อการแพทย์ เทคโนโลยีเกี่ยวกับสมองและการรับรู้ เป็นต้น (มติชนรายวัน พุธที่ 14 ธ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





แบตเตอรี่อนาคต

ต้นแบบ "แบตเตอรี่" ยุคใหม่ของบริษัทเอ็นอีซี ประเทศญี่ปุ่น ผลิตจากพลาสติกชนิดพิเศษ มีรูปทรงบางเฉียบ ยืดหยุ่นโค้งงอได้ และชาร์จไฟเต็มภายใน 30 วินาที พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้กับบัตรสมาร์ทการ์ดและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต (ข่าวสด พุธที่ 14 ธ.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





เหมืองทอง ใต้มหาสมุทร

ศ.ปีเตอร์ กล่าวว่า มีบริษัททำเหมืองแร่บางแห่ง เช่น "นอติลุส มิเนอรัลส์" กำลังศึกษาหาวิธีการดำน้ำลงไปสร้างเหมือง เพื่อสกัดแร่เหล็ก เงิน ทอง ทองแดง รวมทั้งแร่ธาตุมีราคาต่างๆ จากพื้นที่บริเวณ "ปล่องภูเขาไฟใต้มหาสมุทร" แรงจูงใจของการลงทุนครั้งนี้มาจากสถานการณ์ "ราคาเหล็ก" ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เบื้องต้น พื้นที่ใต้ปากปล่องภูเขาไฟใต้สมุทรที่ดึงดูดในนายทุนทำเหมือง ได้แก่ พื้นทะเลนอกชายฝั่งเกาะปาปัวนิวกินี และปากปล่องภูเขาไฟใต้ทะเลใกล้กับประเทศตองกา ซึ่งตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก การทำเหมืองใต้ทะเลไม่ใช่เรื่องห่างไกลความจริง และน่าจะเริ่มต้นขึ้นภายในไม่กี่ปีข้างหน้านี้ ขณะนี้ก็มีบริษัทบางแห่งเข้าไปหาประโยชน์จากปล่องภูเขาไฟใต้ทะเลกันแล้วด้วยการนำเอา "จุลชีพ" ในบริเวณดังกล่าวมาผลิตเป็น"เอนไซม์" (โปรตีน) สำหรับใช้ในอุตสาหกรรมถนอมอาหาร เป็นต้น ดังนั้นถ้า "ภาครัฐ" ยังนิ่งเฉย ไม่เตรียมคิดออกกฎหมายควบคุมการทำเหมืองใต้ทะเล เชื่อว่า สภาพแวดล้อมใต้ทะเลคงถึงคราวเสียหาย (ข่าวสด พุธที่ 14 ธ.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ใช้ GIS กับสารสนเทศ เพิ่มทักษะปฏิบัติพัฒนาที่ดิน

นายชัยวัฒน์ สิทธิบุศย์ อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน เปิดเผยว่า กรมพัฒนาที่ดินได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ เข้ามาใช้ในการพัฒนาระบบฐานข้อมูลดินและการใช้ประโยชน์ที่ดินของประเทศไทย โดยทำการรวบรวมองค์ความรู้และข้อมูลต่างๆ มาจัดไว้ในรูปของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ระบบ GIS มาตราส่วน 1:50,000 ซึ่งสามารถวิเคราะห์ข้อมูลดิน การปลูกพืชเศรษฐกิจที่เหมาะสมกับดินและที่ดิน รวมทั้งการโซนนิ่งพืชเศรษฐกิจ ได้ในระดับตำบล อำเภอและจังหวัดให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยระบบดังกล่าวสามารถอำนวยความสะดวกให้กับนักวิชาการ นักวางแผน นักพัฒนาการเกษตรและจัดการทรัพยากรธรรมชาติตลอดจนเกษตรกรและประชาชนที่สนใจ เข้ามาใช้ข้อมูลในระบบประกอบการตัดสินใจดำเนินงานหรือวางแผนการผลิตสินค้าเกษตรได้ เนื่องจากข้อมูลดังกล่าวมีความถูกต้องแม่นยำและมีประสิทธิภาพ เพราะมีข้อมูลใหม่ๆตลอดเวลา ซึ่งผู้ใช้งานสามารถมั่นใจข้อมูลในระบบได้ กรมพัฒนาที่ดินจึงได้กำหนดจัดงานประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่องการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศข้อมูลดินและการใช้ประโยชน์ที่ดิน เพื่อจัดทำแผนพัฒนาทรัพยากรดินระดับจังหวัด ขึ้นในระหว่างวันที่ 20-21 ธันวาคม 2548 ให้กับหัวหน้าสถานีพัฒนาที่ดินทั้ง 76 จังหวัด หัวหน้ากลุ่มวิชาการเพื่อการพัฒนาที่ดิน หัวหน้ากลุ่มวางแผนการใช้ที่ดินหัวหน้ากลุ่มวิเคราะห์ดิน หัวหน้าฝ่ายสำรวจเพื่อทำแผนที่จากสำนักงานพัฒนาที่ดินทั้ง 12 เขตทั่วประเทศ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานด้านการจัดทำแผนพัฒนาทรัพยากรดิน การจัดประชุมครั้งนี้จะทำให้เจ้าหน้าที่ของกรมพัฒนาที่ดิน ซึ่งเป็นผู้ที่ต้องปฏิบัติงานในพื้นที่สามารถนำระบบ GIS เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการทรัพยากรดินในพื้นที่ที่ตนเอง รับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนสามารถขยายผลการใช้ GIS ในการวางแผนการผลิตให้กับเกษตรกร ส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตรที่เพิ่มขึ้น อันจะนำไปสู่รายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 15 ธ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ไทยเจ้าภาพประชุมเทคโนโลยีอนาคต

กระทรวงวิทย์ฯ จัดงานประชุมนานาชาติ 16 ธันวาคมนี้ ชี้แนวโน้มการควบรวมเทคโนโลยีที่จะมีบทบาทสำคัญต่อโลกอนาคต โอกาสทองของการสร้างธุรกิจใหม่ ดร.ประวิช รัตนเพียร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า เทคโนโลยีกำลังมีบทบาทสำคัญต่อโลกอนาคตและได้ มีการพัฒนาให้มาบรรจบกันโดยเฉพาะเทคโนโลยีใน 4 สาขาหลักคือเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เทคโนโลยีโลหะวัสดุ (Material Technology) เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) และเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับสมองและการรับรู้ (Cognotechnology) ซึ่งจะนำไป สู่การใช้ประโยชน์ร่วมกันมากขึ้น โดยในหลายประเทศ ทั้งหน่วยงานและองค์กรธุรกิจต่าง ๆ ตลอดจนบุคคลทั่วไป ต่างพยายามสร้างความมั่งคั่งจากเทคโนโลยี เหล่านี้ กระทรวงวิทย์ฯ ในฐานะเป็นหน่วยงานหลักด้านการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ ได้จัดงานประชุมนานาชาติในหัวข้อเรื่อง “เทคโนโลยีที่จะมีบทบาทสำคัญต่อโลกอนาคต : โอกาสทองของธุรกิจใหม่” ขึ้น เพื่อแสดงให้เห็นแนวโน้มทางเทคโนโลยีที่จะมีความสำคัญต่อโลกอนาคตและนวัตกรรมที่จะมีบทบาทกำหนดสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมในโลกยุคใหม่ งานประชุมดังกล่าวจะมีขึ้นในวันที่ 16 ธันวาคมนี้ ที่ห้องบอลรูม โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส กรุงเทพฯ ตั้งแต่ 09.00 น. มีหัวข้อบรรยายที่น่าสนใจอาทิ ผลกระทบของเทคโนโลยีใหม่เพื่อต่อสู้กับโรคติดเชื้อ เทคโนโลยีวิศวกรรมชีวภาพเพื่อการแพทย์ เทคโนโลยีด้านการสื่อสารโทรคมนาคมเพื่ออุตสาหกรรมใหม่ เทคนิคการมองอนาคตเทคโน โลยีและการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้เพื่ออุตสาหกรรมสำหรับอนาคตอันใกล้. (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 15 ธ.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ไทยลุ้นขึ้นแท่นฮับชีวมวลเอเชีย

รศ.ดร.ปริทรรศน์ พันธุบรรยงก์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) เปิดเผยว่า กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ "พลังงานชีวมวลเอเชีย" ครั้งที่ 2 เพื่อรับฟังปัญหาเกี่ยวกับพลังงานทดแทนชีวมวล ที่เกิดกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาค พร้อมผสานความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีร่วมกัน โดยประเทศไทยมีข้อได้เปรียบที่มีวัตถุดิบประเภทชีวมวลเป็นจำนวนมาก ขณะที่ระดับของเทคโนโลยีอยู่ในขั้นปานกลาง เมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่างประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี ซึ่งมีเทคโนโลยีขั้นสูงแต่ยังต้องการแหล่งวัตถุดิบที่เพียงพอและยั่งยืน การประชุมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-15 ธันวาคมนี้ ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ ปาร์ค กรุงเทพฯ มีผู้แทนจาก 15 ประเทศกว่า 400 คนเข้าร่วม และคาดหวังว่าภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม จะนำไปสู่การตั้งหน่วยงานกลางชื่อว่า "ศูนย์ชีวมวลแห่งเอเชีย" ซึ่งคาดว่าจะตั้งขึ้นในประเทศไทย เพื่อเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลด้านวัตถุดิบและเทคโนโลยี รวมถึงประสานการรวมกลุ่มระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย หลังจากการประชุมครั้งนี้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จะสร้างความร่วมมือกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ในการตั้ง "ศูนย์พัฒนาเชื้อเพลิงชีวมวล" จากนั้นจะขยายขนาดและความรับผิดชอบของศูนย์ให้ครอบคลุมภูมิภาคเอเชีย โดยหวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมขั้นสูง (AIST) ประเทศญี่ปุ่น ในการสนับสนุนเทคโนโลยี สิ่งที่คาดว่าจะได้จากการประชุมชีวมวลเอเชีย ครั้งที่ 2 คือ รายงานปัญหาพลังงานชีวมวลจากประเทศต่างๆ ที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันผ่านเวทีการประชุม สำหรับใช้วางแผนแก้ปัญหาร่วมกันมากขึ้น โดยไม่ต้องเสียเวลาเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น เพราะดูแล้วปัญหาก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่พลังงานกำลังจะหมดไป สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ก็คือการนำพลังงานชีวมวลมาใช้อย่างเร่งรัด (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 15 ธ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





"นาซ่า"คาดอีก31ปีดาวเคราะห์ชนโลก

สำนักงานบริหารอวกาศสหรัฐ หรือ "นาซ่า" มีข้อมูลใหม่ล่าสุดมาเขย่าขวัญคนขวัญอ่อนอีกแล้ว เมื่อค้นพบว่าดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่งจะพุ่งมาชนโลกในราว 3 ทศวรรษข้างหน้า "อะโปฟิส" ดาวเคราะห์น้อยขนาดกว้าง 390 เมตร ถูกค้นพบเมื่อเดือนมิ.ย.ปีที่แล้ว สร้างความหวั่นวิตกให้นักวิทยาศาสตร์อีกครั้งเมื่อพบว่ามันมีโอกาสจะพุ่งชนโลกในปี พ.ศ.2579 หรืออีก 33 ปีข้างหน้า หลังจากที่ช่วงปลายปีที่แล้วคำนวณพบว่ามันจะชนโลกปีพ.ศ. 2572 แต่ในที่สุดทิศทางของมันก็เบี่ยงเบนออกไป นาซ่าประเมินว่า หากอะโปฟิสพุ่งชนโลกจะปลดปล่อยพลังงานร้ายแรงมากกว่าพลังงานระเบิดนิวเคลียร์ที่ถล่มฮิโรชิมะของญี่ปุ่นถึงหนึ่งแสนเท่า พื้นที่หลายพันตารางกิโลเมตรจะได้รับความเสียหายโดยตรงจากแรงระเบิด ขณะที่คนทั่วโลกจะมองเห็นละอองฝุ่นคลุ้งอยู่ในชั้นบรรยากาศ นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าเหลือเวลาน้อยมากที่จะตัดสินใจลงมือแก้ไขเพราะจะต้องใช้เวลาเป็นสิบปีในการออกแบบ ทดสอบและสร้างเทคโนโลยีที่จะหันเหทิศทางดาวเคราะห์ดังกล่าว (ข่าวสด พฤหัสบดีที่ 15 ธ.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





"หน้าต่างอัจฉริยะ"สวีเดน

ศ.เคลย์ กล่าวว่า มนุษย์จะใช้พลังงานมีประสิทธิภาพมากหากอาคารบ้านเรือนไม่มีหน้าต่าง แต่เราคงไม่ต้องการแบบนั้นแน่ หน้าต่างจึงเป็นประเด็นหลักของนักวิทยาศาสตร์ในการค้นคว้าเพื่อควบคุมการใช้พลังงานในตัวอาคารมานานหลายปี หน้าต่างอัจฉริยะที่เรียกว่า "อิเล็กโทรโครมิค วินโดว์" แตกต่างจากหน้าต่างธรรมดาทั่วไป เป็นหน้าต่างที่สามารถเปลี่ยนจากโปร่งแสงไปเป็นมืดทึบและกลับมาโปร่งแสงอีกครั้ง เพียงแค่กดปุ่มหรือเปลี่ยนโดยอัตโนมัติตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพแสงภายนอก ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงานและเงินตราได้มาก ด้วยเทคโนโลยีโครโมเจนิคที่ใช้ไฟฟ้าในการเปลี่ยนสี ชั้นของกระจกเคลือบด้วยสารเคมี เช่น ทังสเตนออกไซด์ที่ทำงานคล้ายแบตเตอรี่ ทังสเตนจะโปร่งใสเมื่อประจุไฟ แต่จะมืดดำเมื่อไม่มีไฟฟ้า ส่วนที่สำคัญสำหรับหน้าต่างอัจฉริยะคือหน่วยความจำที่ทำให้หน้าต่างเปลี่ยนจากสถานะหนึ่งไปอีกสถานะหนึ่งและคงอยู่อย่างนั้น ซึ่งจะใช้เวลาเปลี่ยนแปลงไม่กี่วินาทีขึ้นอยู่กับขนาดหน้าต่างผ่านการควบคุมด้วยระบบไร้สาย ทำให้ง่ายต่อการใช้งาน (ข่าวสด ศุกร์ที่ 16 ธ.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ปี 2005 ผงาดปีโลกร้อนที่สุดในรอบทศ.

หน่วยงานอุตุนิยมวิทยาโลกของสหประชาชาติเปิดเผยว่า ปี 2005 ได้กลายเป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นอันดับสอง นับตั้งแต่ปี 1996-2005 และเป็นอันดับแปดนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยอุณหภูมิปีนี้เพิ่มขึ้น 0.48 องศาเซลเซียสจากปีที่แล้ว ขณะที่เดือนมิถุนายนและตุลาคม ถือเป็นช่วงที่ร้อนที่สุดของปี และร้อนกว่าช่วงเดียวกันในปี 1998 และ 2004 โดยบริเวณซีกโลกเหนือถือว่าเผชิญช่วงร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนบริเวณซีกโลกใต้ ประเมินว่าร้อนที่สุดเป็นอันดับสี่นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ ปี 2005 ยังถือว่าอยู่ในช่วงทศวรรษแห่งโลกร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ หรือตั้งแต่ปี 1996-2005 โดยเมื่อปี 2005 บริเวณพื้นที่โลกร้อนอย่างน่าจับตาได้แพร่กระจายออกไปจากอดีต ตั้งแต่ แอฟริกา,ออสเตรเลีย,บราซิล,จีน และสหรัฐ และคาดว่าผลจากภาวะโลกร้อน น่าจะส่งผลให้ขั้วโลกเหนือร้อนเป็นครั้งประวัติการณ์ ขณะที่ปริมาณน้ำแข็งในขั้วโลกใต้ลดลง 20 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับอัตราลดลงในเกณฑ์รวม รายงานเผยด้วยว่า ในแอฟริกาตะวันตก อากาศร้อนทำให้เกิดภาวะแห้งแล้งขยายบริเวณนับตั้งแต่เคนยาไปจนถึงโมซัมบิกและซิมบับเว ส่งผลให้ประชากรหลายล้านคนต้องหิวโหย ส่วนออสเตรเลีย ปี 2005 ถือเป็นปีที่ร้อนที่สุดนับตั้งแต่ปี 1910 อย่างไรก็ดี รายงานยังวิตกด้วยว่า ภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในปีนี้อาจเป็นผลจากปฎิกิริยาเรือนกระจกที่รุนแรงขึ้นจากโลก จากการปล่อยสารเรือนกระจกจากภาคอุตสาหกรรมในทั่วโลก (สยามรัฐรายวัน เสาร์ที่ 17 ธ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





อังกฤษไฟเขียวให้ปลูกถ่ายใบหน้าทั้งหน้ารายแรกของโลก

ศัลยแพทย์พลาสติก ปีเตอร์ บัทเลอร์ ชาวอังกฤษ เผยเมื่อวันศุกร์ (16 ธ.ค.) ว่าได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการจริยธรรมของโรงพยาบาลรอยัลฟรี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลของรัฐในเมืองแฮมสเตด ทางเหนือของกรุงลอนดอนแล้ว โดยให้คณะแพทย์สามารถหาคนไข้ที่เหมาะสมสำหรับปลูกถ่ายใบหน้าทั้งใบหน้าเป็นครั้งแรกของโลก หลังจากที่คณะแพทย์ในฝรั่งเศสเพิ่งประสบความสำเร็จเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ในการปลูกถ่ายใบหน้าส่วนล่างให้แก่สตรีวัย 38 ปี ที่ถูกสุนัขกัดจนจมูก คาง และปากเสียหายใช้งานไม่ได้ น.พ.บัทเลอร์ ผู้วิจัยเรื่องกระบวนการปลูกถ่ายใบหน้า และโอกาสที่ร่างกายจะปฏิเสธเนื้อเยื่อมานานกว่า 10 ปี เผยว่า คนไข้ที่เหมาะสมควรเป็นผู้ที่ใบหน้าไหม้หรือเสียหายอย่างหนัก และผ่านการนำผิวหนังไปปะใบหน้ามาแล้วหลายครั้ง ขณะเดียวกัน การพิจารณาเลือกคนไข้ยังต้องคำนึงถึงทั้งประเด็นทางกายภาพและจิตใจของคนไข้ด้วย เมื่อคณะแพทย์เลือกตัวคนไข้ได้แล้ว จะต้องขออนุมัติในด้านศีลธรรมต่อไป ซึ่งเชื่อว่าอาจถูกต่อต้านจากศัลยแพทยสภารอยัลคอลเลจของอังกฤษ ที่ออกรายงานเมื่อปี 2546 ไม่เห็นด้วยกับการปลูกถ่ายใบหน้าทั้งใบหน้า น.พ.บัทเลอร์ อ้างว่า คนส่วนใหญ่สนับสนุนเรื่องนี้ และขณะนี้ถึงเวลาที่จะต้องเริ่มกระบวนการนี้แล้ว หลังผลการทดลองจำลองภาพทางคอมพิวเตอร์ แสดงให้เห็นว่าครอบครัวของผู้บริจาคเนื้อเยื่อแทบจะจำเค้าโครงหน้าเดิมของญาติตัวเองที่ไปปลูกถ่ายบนหน้าของคนไข้ไม่ได้ ขณะเดียวกัน แพทยสภาฝรั่งเศสได้ออกแถลงการณ์ตำหนิคณะแพทย์ที่ปลูกถ่ายใบหน้าให้แก่คนไข้รายแรกของโลกว่า โหดร้ายต่อครอบครัวของคนไข้ และไร้จริยธรรม แพทยสภาฝรั่งเศสยังได้ตำหนิคณะแพทย์ปลูกถ่ายที่นำโดย น.พ.ฌอง มิเชล-ดูแบร์นาร์ด ว่า ละเมิดจริยธรรมของวิชาชีพ เนื่องจากแพทย์ไม่ควรหาทางประชาสัมพันธ์ผลงานของตัวเอง การเสนอข่าวก่อนเวลาอันควรอย่างไร้การควบคุม โดยมุ่งให้ความสนใจทั้งหมดไปที่ความสามารถทางเทคนิค แต่ขาดความเคารพทั้งต่อคนไข้ ผู้บริจาคและครอบครัวของทั้งสองฝ่าย (คมชัดลึก เสาร์ที่ 17 ธ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ข่าววิจัย/พัฒนา


เครื่องช่วยเปิดหนังสือเพื่อคนพิการแขน

โครงงานคอมพิวเตอร์ “เครื่องช่วยเปิดหนังสือเพื่อคนพิการแขน” เป็นผลงานของ “เกรียงไกร แก้วชัยภูมิ” (กอ) และ “กฤษฎา สุวรรณภูฏ” (เอิง) นักเรียน ม.5 โรงเรียนชัยภูมิชุมพล จ.ชัยภูมิ ซึ่งสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ได้รับรางวัลที่ 2 จากการประกวดโครงงานคอมพิวเตอร์ระดับประเทศ ประจำปี 2548 จากสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) สำหรับอุปกรณ์หลักที่ใช้ประดิษฐ์ประกอบด้วย ชุดสมองกล เซนเซอร์ชน เซนเซอร์เสียง มอเตอร์ 3 ตัว พัดลมขนาดเล็ก 2 ตัว สายไฟ สายพาน และรางเลื่อน หลังจากที่ติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ให้เข้ากับขนาดหนังสือที่ต้องการแล้ว ยามจะใช้งาน ตัวเซนเซอร์เสียงจะรอรับคำสั่ง เมื่อได้รับเสียงเกินกว่า 85 เดซิเบลเครื่องก็จะเริ่มทำงาน โดยส่วนที่ 1 คือ พัดลมที่ใช้สำหรับดูดกระดาษ จะเลื่อนลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งสัมผัสกับกระดาษ จากนั้นก็ดูดกระดาษแล้วยกขึ้นระยะหนึ่ง จากนั้นส่วนที่ 2 คือ ตัวปัดหนังสือจะหมุมเพื่อปัดให้หนังสือพลิกไปยังหน้าต่อไป ทั้งนี้การทำงานทั้งด้านซ้ายและด้านขวาจะมีหลักการทำงานเหมือนกัน เครื่องนี้ยังมีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ให้กวนใจอยู่บ้าง คือการดูดกระดาษ บางเวลาพัดลมดูดกระดาษขึ้นมาก็ดูดไม่ติด หรือบางทีก็ติดขึ้นมา 2-3 แผ่นเลยต้องตั้งรอบพัดลมให้พอดี (สยามรัฐรายวัน อังคารที่ 13 ธ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





เข็มฉีดยาส่วนตัวไม่ง้อหมอ ติดตั้งสมองกลสั่งปล่อยยาไม่พลาด

ดร.สุรีย์ พุ่มรินทร์ อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า "อุปกรณ์ฉีดยาพกพา" เป็นผลงานการคิดค้นร่วมของนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์กับคณะแพทยศาสตร์ ที่จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยธาลัสซีเมียในการฉีดยาขับธาตุเหล็กได้ด้วยตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปรับบริการจากสถานพยาบาล ซึ่งแต่ละครั้งใช้เวลารักษานานถึง 10 ชั่วโมง ทั้งนี้ ผู้ป่วยธาลัสซีเมียที่เข้ารับการให้เลือดเป็นครั้งคราว หรือสม่ำเสมอ จะเกิดอาการข้างเคียงไม่พึงประสงค์คือ ภาวะธาตุเหล็กเกินและตกค้างในร่างกาย ก่ออันตรายต่อตับและหัวใจ จึงต้องรับการรักษาขับธาตุเหล็กส่วนเกิน ด้วยวิธีการฉีดยาบริเวณใต้ผิวหนังอย่างช้าๆ กินเวลา 10-12 ชั่วโมง โดยจะฉีดก่อนเข้านอนและดึงเข็มออกตอนตื่นนอน ด้วยเครื่องฉีดยาอัตโนมัติที่ตั้งโปรแกรมให้จ่ายยาอย่างช้าๆ แต่เนื่องจากอุปกรณ์ดังกล่าวมีราคาค่อนข้างสูง นิสิตจึงได้พัฒนา "ต้นแบบเครื่องฉีดยาพกพา" ให้มีราคาถูก ขณะที่ประสิทธิภาพทัดเทียมกับเครื่องที่มีอยู่ในปัจจุบัน ส่วนความคืบหน้าของเครื่องฉีดยาแบบพกพานั้น ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนาโปรแกรมในส่วนของการแสดงข้อมูล รวมถึงทดลองประสิทธิภาพการใช้งานกับสิ่งไม่มีชีวิต เช่น หนังหมู จากนั้นจึงจะส่งต่อให้ทีมแพทย์ในหน่วยโลหิตวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ทดสอบประสิทธิภาพและออกใบรับรอง โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงต้นปี 2549 หลักการทำงานจะใช้สมองกล หรือไมโครคอนโทรเลอร์ควบคุมการทำงาน อาศัยพลังงานจากแบตเตอรี่ และสามารถปรับความเร็วได้ 16 ระดับ แสดงผลอัตราการจ่ายยาผ่านหน้าจอแอลซีดี พร้อมระบบเตือนด้วยเสียงและไฟกะพริบ ทั้งยังใช้ได้กับหลอดฉีดยาขนาดมาตรฐาน ส่วนกรณีที่วงจรขัดข้อง เช่น เกิดการอุดตัน แบตเตอรี่หมด ยาหมดหลอด จะมีเสียงพร้อมไฟกะพริบเตือนให้ทราบ จากการทำงานของเครื่องที่สามารถปรับอัตราฉีดยาได้ในช่วงกว้าง ทำให้สามารถนำเครื่องฉีดยาดังกล่าวไปใช้การใช้ยาผู้ป่วยที่ต้องการยาในอัตราที่ต่ำและต่อเนื่องเป็นเวลานาน เช่น การให้ยาเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด การควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน และการให้ยาสำหรับผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน เป็นต้น (คมชัดลึก อังคารที่ 13 ธ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ดูพันธุกรรมหมารู้โรคร้ายในคนได้

ดร.อีริค แลนเดอร์ ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันบรอด ภายใต้สังกัดของสถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาชูเซตส์ (เอ็มไอที) และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เปิดเผยว่า จีโนมสุนัขที่ได้จะช่วยให้ทีมวิจัยสามารถระบุยีนก่อโรคในมนุษย์ได้ง่ายกว่าเดิมถึง 50 เท่า และเชื่อได้ว่าในอีก 3-4 ปีข้างหน้า พวกเขาจะสามารถระบุยีนโรคมะเร็งกระดูกในสุนัขได้ งานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารเนเจอร์ เป็นผลงานของนักวิจัยจาก 15 สถาบัน ซึ่งได้ศึกษาเปรียบเทียบรหัสพันธุกรรมของสุนัขพันธุ์บ็อกเซอร์กับสายพันธุ์อื่นอีก 10 ชนิด ได้แก่ บีเกิล, ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์, เยอรมัน เชฟเฟิร์ด, อิตาเลียน เกรย์ฮาวนด์, อิงลิช ชีฟด็อก, เบดลิงตัน เทอร์เรีย, โปรตุกิส วอเทอร์ ด็อก, อลาสกัน มาลามูท, ร็อตไวเลอร์ และสุนัขป่าอีก 4 ชนิด นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังได้เปรียบเทียบแผนที่พันธุกรรมสุนัขกับแผนที่พันธุกรรมมนุษย์ หนู และชิมแปนซีที่เสร็จสมบูรณ์แล้วด้วย สำหรับจีโนมสุนัขที่ได้มานี้ ประกอบด้วยรหัสดีเอ็นเอ 2.4 พันล้านตัว มีโครโมโซม 39 คู่ ขณะที่มนุษย์มีโครโมโซมเพียง 23 คู่เท่านั้น จีโนมสุนัขจะทำให้รู้ได้ว่ายีนตัวไหนที่ทำให้สุนัขตัวใหญ่ หรือตัวเล็ก ตลอดจนยีนที่ทำให้สุนัขหน้ายาวหรือหน้าสั้น รวมทั้งยีนก่อโรคต่างๆ ด้วย ทั้งหมดนี้เป็นผลที่คาดว่าจะได้มาหลังจากการศึกษาด้านชีววิทยา การแพทย์ และวิวัฒนาการเสร็จสมบูรณ์แล้ว ดร.ฟรานซิส คอลลิน ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยจีโนมมนุษย์แห่งชาติ สหรัฐ เปิดเผยว่า เพื่อนสนิทสี่ขาที่แสนดีของมนุษย์เปรียบเสมือนหนังสือ ที่เรายังอ่านข้างในไม่กระจ่างชัด การถอดรหัสพันธุกรรมในครั้งนี้จะช่วยเผยความลับที่มีอยู่ในสุนัขออกมาได้หมด โดยเฉพาะในส่วนโรคร้ายที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ เพราะการหายีนก่อโรคในสุนัขเป็นเรื่องง่ายกว่าหาในตัวมนุษย์ (คมชัดลึก จันทร์ที่ 12 ธ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





เด็กหัวโตเสี่ยงมะเร็งกินสมอง

สถาบันสาธารณสุขแห่งนอร์เวย์เกิดสงสัยว่า เด็กเกิดมาหัวโตมีความเกี่ยวข้องอย่างไรหรือไม่กับมะเร็งสมอง จึงทดสอบสมมติฐานดังกล่าวด้วยการตรวจดูประวัติสุขภาพของคนหนุ่มสาวนับล้าน และพบว่าคนที่เกิดมาหัวใหญ่กว่าปกติ มีโอกาสเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป ซึ่งนักวิจัยเองบอกว่าความสัมพันธ์กันระหว่างหัวโตกับมะเร็งสมองเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเอาการอยู่ ทีมวิจัยคำนวณว่า ขนาดของศีรษะที่ใหญ่ขึ้นทุก 1 เซนติเมตร เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งสมองราวร้อยละ 27 แต่ไม่ต้องกังวลไปนัก เพราะจากสถิติพบว่า ในจำนวนเด็ก 1,010,366 รายที่ศึกษาพบว่า มีรายที่เป็นมะเร็งสมองเพียง 453 รายเท่านั้น โดยแต่ละปี อังกฤษพบเด็กที่ป่วยเป็นมะเร็งสมองราว 300 คน ร้อยละ 30 เสียชีวิต นักวิจัยชี้ว่ามะเร็งสมองน่าจะเริ่มพัฒนาการมาตั้งแต่ก่อนคลอด จึงเป็นเหตุให้เด็กมีศีรษะโตกว่าปกติ เชื่อกันว่า เซลล์มะเร็งถูกกระตุ้นด้วยโปรตีนที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณระหว่างเซลล์เพื่อให้เซลล์อื่นๆ เติบโต หรือที่เรียกว่า "โกร์ธ แฟคเตอร์" (growth factor) ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อเซลล์ปกติเติบโตด้วยอัตราเร็วกว่าปกติ อาจแสดงว่าโปรตีนที่ช่วยให้เซลล์เติบโตมีระดับเพิ่มขึ้นจนทำให้พัฒนาไปเป็นเนื้อร้ายมากขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีสมมติฐานอีกอย่างที่อธิบายว่าเด็กหัวโตเสี่ยงมะเร็งสมองก็คือ เด็กเหล่านี้มีเซลล์มากกว่าคนทั่วไป อย่างไรก็ดี ยังไม่พบความเกี่ยวข้องกันระหว่างขนาดของศีรษะกับความเสี่ยงมะเร็งชนิดอื่น นักวิจัยกล่าวว่า งานศึกษาดังกล่าวถือเป็นครั้งแรกที่มีการรายงานถึงความเกี่ยวข้องกันระหว่างขนาดรอบศีรษะกับมะเร็งสมอง แต่เพื่อความแน่นอนควรมีงานวิจัยเพิ่มเติมเพื่อมายืนยันข้อสรุปดังกล่าว (คมชัดลึก จันทร์ที่ 12 ธ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





นักพันธุศาสตร์จ้องถอดดีเอ็นเอตัวไร

นักกีฏวิทยาจากมลรัฐอินดีแอนา สหรัฐ มั่นใจว่า ถ้าเอาพันธุกรรมของตัวไรมาตีแผ่แล้วจะได้แผนที่พันธุกรรมที่มีขนาดเล็กที่สด เมื่อเทียบกับพันธุกรรมของแมลงชนิดอื่น ซึ่งแปลว่า โครงการนี้คงใช้เวลาจัดเรียงข้อมูลพันธุกรรมตัวไรไม่นาน โครงการนี้มีนักพันธุศาสตร์อย่างน้อย 6 คนร่วมกันทำงาน โดยได้รับเงินสนับสนุนจากสถาบันสาธารณสุขแห่งสหรัฐ ขณะที่นักวิจัยจากหลายมหาวิทยาลัยกำลังช่วยกันรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับดีเอ็นเอส่วนต่างๆ ของตัวไร จากนั้นจึงเอาส่วนที่แยกกันศึกษานี้มาประกอบกันเป็นแผนที่พันธุกรรม ซึ่งจะทำให้เข้าใจชีววิทยาของตัวไรพวกนี้ได้ดีขึ้น ข้อมูลเบื้องต้นของชิ้นส่วนดีเอ็นเอที่แยกกันศึกษานี้ จะถูกส่งไปยังศูนย์วิจัยของสถาบันสาธารณสุข ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับดำเนินการถอดรหัสพันธุกรรมจริงจัง โครงการทำแผนที่พันธุกรรมตัวไรตามแผนจะเริ่มต้นในปีหน้า และคาดว่าจะใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี ถึงจะเสร็จสมบูรณ์ นอกจากตัวไรจะเป็นตัวแพร่เชื้อไข้รากสาดแล้ว ยังทำให้เกิดไข้เพ้อและอาการป่วยอื่นๆ จากการดูดเลือดคนที่มันไปอาศัยอยู่ ไรพวกนี้ยังเป็นแมลงญาติสนิทกับเหาด้วย แต่เหาไม่แพร่เชื้อ ตัวไรเป็นแมลงสีออกเหลือง มีขนาดพอกับเม็ดข้าวสาร อาศัยอยู่ตามทุ่งหญ้า ทุ่งเลี้ยงสัตว์ ตัวอ่อนเติบโตบนใบไม้ คอยหาโอกาสเกาะสัตว์และคนที่เดินผ่านเพื่อดูดน้ำเหลือง ไรเป็นตัวแพร่เชื้อไข้รากสาดใหญ่ ซึ่งทำให้คนนับล้านในประเทศกำลังพัฒนาต้องเสียชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เกิดสงครามและเกิดความอดอยาก (คมชัดลึก จันทร์ที่ 12 ธ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





เกษตรศาสตร์บริการตรวจดีเอ็นเอพันธุ์ข้าวไทย

ดร.สมวงศ์ ตระกูลรุ่ง ผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการดีเอ็นเอเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยเกษตร ร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ในการเปิดห้องปฏิบัติเพื่อตรวจสอบความบริสุทธิ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 และแก้ปัญหาการปลอมปนกับข้าวสายพันธุ์อื่น ซึ่งเป็นปัญหาด้านคุณภาพข้าวส่งออกเป็นอย่างมาก ขณะที่การตรวจสอบในระบบเดิมด้วยวิธีทางกายภาพ และทางเคมี ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากข้าวแต่ละพันธุ์มีลักษณะคล้ายกันมาก จึงมีการนำเทคโนโลยีดีเอ็นเอเข้ามาช่วย ในการตรวจสอบหาเปอร์เซ็นต์การปลอมปนในข้าวหอมมะลิพันธุ์ส่งออก ซึ่งศักยภาพของแล็บดีเอ็นเอสามารถตรวจสอบแป้งข้าวได้ทุกเมล็ด จากกลุ่มตัวอย่างที่กระทรวงพาณิชย์สุ่มมาให้ตรวจ โดยมีค่าความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้อยู่ที่ 2 เปอร์เซ็นต์ สำหรับค่าบริการในการตรวจสอบข้าว ด้วยกระบวนการดีเอ็นเอเทคโนโลยียังค่อนข้างสูงประมาณ 2,000 - 3,000 บาทต่อ 1 ตัวอย่าง และต้องใช้เวลาในการตรวจนานถึง 6 เดือน แต่ถ้าเริ่มใช้เทคโนโลยีดีเอ็นเอใหม่เข้ามาช่วยในการตรวจสอบ คาดว่าจะร่นระยะเวลาในการตรวจให้เหลือเพียง 6 วัน ขณะที่ราคาค่าบริการถูกลงกว่าเท่าตัว แม้ว่าเทคโนโลยีดีเอ็นเอที่ใช้อยู่ในห้องแล็บขณะนี้จะเป็นเทคโนโลยีเก่า แต่ห้องแล็บมีเครื่องมือที่ช่วยตรวจสอบโครงสร้างทางเคมีของดีเอ็นเอ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งอยู่ระหว่างการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามา และเมื่อมีการนำเครื่องมือที่ทันสมัยมาใช้ในการตรวจสอบมากขึ้น จะช่วยลดระยะเวลา และค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบลง ทั้งนี้ ดีเอ็นเอแล็บเปิดให้บริการมาเป็นปีที่ 7 แล้ว โดยหลักๆ จะทำหน้าที่แก้ปัญหาให้กับเกษตรกร ตลอดจนปัญหาของชาติในเรื่องข้อกฎหมายกับประเทศคู่ค้า การขโมยพันธุ์ ปัจจุบันมีเอกชนเข้ามาใช้บริการกว่า 800 บริษัท โดยแก้ปัญหาในเรื่องของจีเอ็มโอเพิ่มมูลค่าการส่งออกไปกว่า 4-5 หมื่นล้านบาท ในเรื่องของข้าว ห้องปฏิบัติการนี้ได้เริ่มทำวิจัยมานานพอสมควร ตั้งแต่การวิจัยพันธุ์ข้าวใหม่ๆ ช่วยเพิ่มคุณภาพพันธุ์ข้าวไทย และร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศในการศึกษาลำดับเบสของข้าว ซึ่งผลวิจัยต่อเนื่องที่นำมาทำช่วยตรวจสอบความบริสุทธิ์ของสายพันธุ์ข้าว เป็นต้น ด้าน รศ.ดร.วิโรจ อิ่มพิทักษ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยเกษตร ได้ร่วมกับไบโอเทค สารต่อโครงการตรวจสอบข้าวด้วยการกระจายเทคโนโลยีดีเอ็นเอ สู่ 19 จังหวัดภาคอีสานในลักษณะของเครือข่ายมหาวิทยาลัย โดยมีมหาวิทยาลัยต่างๆ เข้าร่วมในการจัดอบรมถ่ายทอดความรู้ ให้บริการเครื่องมือตรวจสอบ รวมถึงทำหน้าที่ช่วยเหลือเกษตรกร ตั้งแต่ขั้นตอนการคัดเลือกพันธุ์ จนถึงขั้นตอนการตรวจสอบก่อนจำหน่าย (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 9 ธ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





นักวิทยาศาสตร์ใช้หนูสร้างสมองมนุษย์

นักวิทยาศาสตร์สถาบันซอล์กในนครซานดิเอโกประสบความสำเร็จในการปลูกสร้างมันสมองมนุษย์ในหนูทดลอง อาจารย์เฟรด เกจ และคณะฉีดเซลล์พื้นฐานมนุษย์จำนวน 100,000 เซลล์เข้าไปในสมองหนูในครรภ์วัย 14 วัน เมื่อหนูคลอดออกมาปรากฏว่า แต่ละตัวมีเซลล์สมองมนุษย์ติดมาด้วยคิดเป็นร้อยละ 0.1 ของปริมาณสมองหนู โดยปกติแล้ว ยีนของหนูร้อยละ 97.5 เป็นยีนเดียวกันกับมนุษย์ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า ความสำเร็จของการทดลองนี้ไม่เป็นการจัดระเบียบโครงสร้างของสมองหนูใหม่และไม่เป็นการทำให้หนูมีความสามารถทางสมองเช่นเดียวกับคน อาจารย์เดวิด แม็กนัส ผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเพื่อจริยธรรมด้านการแพทย์ชีวภาพ กล่าวว่า การวิจัยนี้ทำให้เกิดความกังวลว่า วิทยาศาสตร์จะก้าวข้ามเส้นจริยธรรมหากเกิดการทำให้สัตว์เป็นมนุษย์ แต่นักวิทยาศาสตร์ด้านเซลล์พื้นฐานเห็นตรงกันว่า การผสมเซลล์มนุษย์กับสัตว์เป็นหนทางเดียวในการพัฒนาวิธีรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ที่เป็นความหวังในการรักษาโรคร้ายแรง เช่น พาร์กินสัน เนื่องจากไม่มีใครกล้าทดลองวิจัยกับมนุษย์โดยตรง. (เดลินิวส์ พุธที่ 14 ธ.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





เทคโนโลยีจากดวงตา

ผลงานของนักพันธุวิศวกรจาก University of California, Berkeley ประเทศสหรัฐอเมริกาที่สามารถค้นพบวิธีการสร้างดวงตาเทียมเลียนแบบสิ่งมีชีวิตได้สำเร็จ ด้วยวัสดุซึ่งเป็น “โพลีเมอร์” ชนิดพิเศษ (พลาสติกก็ถือเป็นโพลีเมอร์ชนิดหนึ่ง) ตามปกติแล้วมนุษย์เราสามารถมองเห็นได้โดยการที่แสงส่องกระทบวัตถุต่าง ๆ แล้วสะท้อนเข้ามาสู่ดวงตาเรา โดยผ่านเลนส์แก้วตาซึ่งมีความโค้งซึ่งทำให้แสงถูกโฟกัสไปรวมที่จุด ๆ หนึ่งบนเรตินาจากนั้นเส้นประสาทจะส่งสัญญาณไปประมวลผลที่สมองทำให้เราสามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ และการที่เราสามารถมองเห็นวัตถุที่อยู่ใกล้ ไกล ได้ก็เพราะได้กล้ามเนื้อชิ้นเล็กช่วยในการปรับระยะโฟกัสในการรับแสงนั่นเอง แต่สำหรับสิ่งมีชีวิตอย่าง “วาฬ” นั้น กระบวนการดังกล่าวต่างออกไปจากของมนุษย์เรา นั่นคือวาฬจะมีช่องว่างหรือโพรงภายหลังดวงตาที่สามารถถูกเติมเต็มด้วยของเหลวหรือทำให้ว่างเปล่าได้ด้วยกลไกพิเศษคล้ายกับระบบไฮดรอลิก ที่ทำให้เลนส์แก้วตาสามารถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าหรือถอยหลังเพื่อปรับระยะโฟกัสในการรับภาพระยะใกล้ ไกล ได้ตามความเหมาะสม นักพันธุวิศวกรได้ทดลองสร้างดวงตาเทียมซึ่งเลียนแบบการทำงานของวาฬขึ้นในห้องทดลอง โดยการทำงานของมันนั้นสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้หลากหลาย ตัวอย่างหนึ่งก็คือกล้องถ่ายภาพที่ใช้เลนส์เพียงอันเดียว แต่สามารถปรับกำลังขยายและระยะโฟกัสได้ตามความต้องการด้วยระบบไฮดรอลิกภายใน เป็นต้น ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังพัฒนาดวงตาเทียมซึ่งเลียนแบบดวงตาของ “แมลงปอ” และก็กำลังใกล้กับความเป็นจริงเข้าไปทุกขณะ แต่ก่อนอื่นคุณผู้อ่านต้องทราบไว้อย่างหนึ่งว่าดวงตาของแมลงปอนั้นประกอบด้วยเลนส์ตากว่า 29,000 ชิ้นต่อดวงตา 1 ข้าง ซึ่งแต่ละชิ้นก็ทำงานเป็นอิสระต่อกันและรับภาพเพียงส่วนเล็กๆของภาพใหญ่ทั้งภาพ ด้วยเหตุนี้เองดวงตาของแมลงทั้งหลายจึงมีความไวเป็นพิเศษต่อการเคลื่อนที่ของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ลักษณะดวงตาของแมลงปอนั้นทำให้มันมีมุมมองที่กว้างถึง 360 องศา เพียงแต่ว่าความชัดเจนจะถูกจำกัดที่มุมที่น้อยกว่านั้น เราสามารถนำเลนส์ดังกล่าวไปใช้ในการสร้างกล้องที่สามารถจับภาพได้ในมุมมอง 360 องศาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัย โดยอาจมาแทนที่กล้องวิดีโอวงจรปิดธรรมดาที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน หรือไม่ก็ใช้ในการส่งลงไปสำรวจอวัยวะอย่างเช่น ระบบทางเดินอาหารโดยการกลืนลงไปตามหลอดอาหาร ซึ่งจะทำให้การวินิจฉัยโรคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น (เดลินิวส์ พุธที่ 14 ธ.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





น้ำสลัดครีมน้ำนมถั่วเหลืองปราศจากไข่ ปลอดไข่หวัดนก

นางสาววิสาขา นิรมานสกุลพงศ์, นางสาวรุ่งทิพย์ หล่าไธสง, นางสาวเบญจวรรณ เกสร และนายณัฐพงษ์ สีแดง นักศึกษาจาก สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ภาควิชาอาหารและโภชนาการ ธุรกิจอาหาร ชั้นปีที่ 4 คิดค้กดารทำ “น้ำสลัดครีมน้ำนมถั่วเหลือง” สำหรับวิธีทำเริ่มจากการเตรียม ส่วนประกอบ ได้แก่ ถั่วเหลือง (น้ำนมถั่วเหลือง) 55 เปอร์เซ็นต์ น้ำมันถั่วเหลือง 15 เปอร์เซ็นต์ น้ำตาล 14 เปอร์เซ็นต์ น้ำส้มสายชู 15 เปอร์เซ็นต์ เกลือ 5 เปอร์เซ็นต์ และ มัสตาร์ด 5 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นให้นำถั่วเหลืองไปแช่น้ำไว้ประมาณ 6 ชั่วโมง แล้วนำมาปั่นกับน้ำ ในสัดส่วน ถั่วเหลือง 1 ส่วน น้ำ 3 ส่วน ต้มจนเดือด เมื่อเดือดแล้ว ทิ้งไว้ 10 นาที นำส่วนผสมที่ได้มาเทลงในผ้าขาวบางเพื่อกรองและแยกกากถั่วเหลืองออกมา เสร็จแล้ว นำน้ำนมถั่วเหลืองไปปั่น ระหว่างปั่นให้ค่อย ๆ รินน้ำมันถั่วเหลืองลงไปจนหมด ต่อมาให้เทส่วนผสมของเกลือและน้ำส้มสายชูลงไป ปั่นสักครู่ แล้วจึงนำส่วนผสมที่ได้มาตุ๋นด้วยไฟปานกลาง ระหว่างตุ๋นให้คนสม่ำเสมอประมาณ 1 ชม. จนส่วนผสมมีความหนืด แล้วใส่มัสตาร์ดลงไปเพื่อเพิ่มสีสันให้น้ำสลัด ได้ทำออกจำหน่ายกระปุกละ 35 บาท ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้บริโภคที่นิยมบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพมากพอสมควรด้วย ผู้ใดสนใจ สูตรการทำ น้ำสลัดครีมน้ำนมถั่วเหลือง สามารถติดต่อผ่านทาง อาจารย์อุจิตชญา จิตร วิมล หรือ อาจารย์สีวลี ไทยถาวร ภาควิชาอาหารและโภชนาการ คณะคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี โทร. 0-2549-3161, 0-2549-3188 ต่อ 1101 เวลาราชการ. (เดลินิวส์ พุธที่ 14 ธ.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





วช.ดันพ.ร.บ.สัตว์ทดลอง ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม

วันที่ 13 ธันวาคม ที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ(วช.) ศ.ดร.อานนท์ บุณยะรัตเวช เลขาธิการ วช. แถลงข่าว "การจัดงานสัมมนาประชาพิจารณ์ร่าง พ.ร.บ.การเลี้ยงและการใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ..." วันที่ 16 ธันวาคมนี้ ที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่าแม้สภาวิจัยแห่งชาติจะประกาศให้มีจรรยาบรรณการใช้สัตว์มาตั้งแต่ปี 2542 แต่หากไม่มีกฎหมายควบคุมชัดเจนอาจก่อปัญหาต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ในกรณีที่สัตว์ทดลองมีสารพิษปนเปื้อนหลุดรอดออกสู่ธรรมชาติ พ.ร.บ.นี้จะครอบคลุมสถานที่เลี้ยง วิธีการเลี้ยง การทดลอง การวิจัย และการดำเนินงานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และเกิดการยอมรับในผลงานวิจัยจากสัตว์ทดลอง ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก ประธานคณะทำงานร่าง พ.ร.บ.การเลี้ยงและการใช้สัตว์ฯ กล่าวว่า ไม่ได้สนับสนุนให้เกิดการวิจัยจีเอ็มโอหรือโคลนนิ่ง เนื่องจากการที่จะทำวิจัยโดยใช้สัตว์ทดลอง จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาจากสำนักงานพัฒนาการเลี้ยงและการใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ในการออกใบอนุญาต (มติชนรายวัน พุธที่ 14 ธ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ปลาวาฬขั้วโลกสารพิษอื้อ วอนอียูออกกฎคุ้มครอง"อาร์กติก"

นักวิจัยสถาบันขั้วโลก ประเทศนอร์เวย์ พบว่า ปลาวาฬเพชฌฆาตเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในแถบขั้วโลกเหนือที่ได้รับสารเคมีจากกิจกรรมของมนุษย์เข้าไปสะสมในร่างกายมากที่สุด โดยประเภทของสารเคมีที่ตรวจพบตกค้างอยู่ในปลาวาฬเพชฌฆาต ประกอบด้วย ยาฆ่าแมลง สารเคมีทนไฟ และสารพีบีซี ซึ่งใช้กันแพร่หลายในกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรม สัตว์ที่อยู่ชั้นบนสุดของวงจร "ห่วงโซ่อาหาร" เช่น หมีขั้วโลกและปลาวาฬเพชฌฆาตจะได้รับผลกระทบจากสารพิษที่ตกค้างในระบบนิเวศวิทยามากที่สุด และสัตว์เหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นเหมือนกับสัญญาณเตือนภัยให้รู้ว่าคุณภาพของสิ่งแวดล้อมในถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกมันกำลังมีปัญหา "สารเคมีทนไฟเป็นสิ่งที่นักวิจัยวิตกกังวลมาก เนื่องจากบางชนิดยังจัดอยู่ในกลุ่มสารเคมีถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ใช่สารเคมีกลุ่มควบคุมและมีใช้กันแพร่หลาย ด้านกลุ่มพิทักษ์สิ่งแวดล้อมสากล "ดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ" ระบุว่า คณะรัฐมนตรีสหภาพยุโรป (อียู) ต้องเร่งพิจารณาออกกฎหมายห้ามการนำสารเคมีมากทิ้งในอาร์กติกโดยด่วนเพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพของทั้งสิ่งแวดล้อมและมนุษย์ เพราะทุกวันนี้พื้นที่แถบอาร์กติกเป็นสถานที่ที่กลุ่มอุตสาหกรรมนำขยะเคมีเป็นพิษมาทิ้งมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม คาดว่าอุตสาหกรรมเคมีจะต่อสู้เพื่อสกัดกั้นไม่ให้มีการออกกฎหมายในลักษณะนี้อย่างแน่นอน (ข่าวสด พุธที่ 14 ธ.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





มรภ.เพชรบูรณ์ลุยวิจัย"กลอย"พืชเศรษฐกิจ ตั้งกลุ่มวิชาชีพกลอย-พัฒนาเป็นวิสาหกิจชุมชน

นายพิพัฒน์ ธนาเทพาพร หัวหน้าชุดโครงการวิจัยการศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพของกลอย มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางมหาวิทยาลัยกำลังทำการศึกษาวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพของกลอย เพื่ออนุรักษ์ และใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน โดยมีชาวบ้านชุมชนบ้านถ้ำน้ำบัง ต.นายม อ.เมืองเพชรบูรณ์ เข้าร่วม และการจัดตั้งกลุ่มวิชาชีพกลอย เพื่อพัฒนาไปสู่การเป็นวิสาหกิจชุมชน การวิจัยครั้งนี้มีคณะอาจารย์ของมหาวิทยาลัย คณะเทคโนโลยีการเกษตรเข้าร่วม โดยจัดทำหัวข้อวิจัยย่อย 5 โครงการ คือโครงการวิจัยย่อยที่ 1 เรื่องการศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพของกลอย โดยการเก็บรวบรวมพันธุ์กลอยที่มีอยู่ในพื้นที่จ.เพชรบูรณ์ โครงการที่ 2 การขยายพันธุ์ของกลอย โดยใช้วิธีการต่างๆ โครงการที่ 3 การศึกษาภูมิปัญญาในการกำจัดพิษของกลอยของชาวบ้านถ้ำน้ำบัง ต.นายม โครงการที่ 4 การผลิตกลอยผงเพื่อลดการใช้แป้งในขนมไทย และโครงการที่ 5 การศึกษาการใช้ประโยชน์จากหัวกลอย ในการป้องกันกำจัดแมลง และศัตรูพืช ซึ่งผลของการวิจัยมีความคืบหน้าไปมาก ด้านรศ.เปรื่อง จันดา อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ กล่าวว่า การทำวิจัยเรื่องกลอยของคณะอาจารย์ครั้งนี้ ถือว่ามีประโยชน์มาก เพราะในอดีต กลอยนั้นถือว่าเป็นอาหารหลักของคนไทยในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะเป็นช่วงที่ข้าวยาก หมากแพง คนไทยยุคนั้นต้องพากันเข้าป่าไปขุดหาหัวกลอย มานึ่งรับประทานแทนข้าว ในระยะหลังๆ คนไทยไม่ค่อยจะนำกลอยมาใช้ประโยชน์ โดยหันไปใช้ของอย่างอื่นแทน ถ้าหากเราสามารถนำกลอยมาทำเป็นแป้งจะช่วยลดต้นทุนเงินตราของประเทศได้ ไม่ว่าจะใช้เป็นแป้ง ใช้เป็นยารักษาโรค และใช้เป็นสารกำจัดแมลง และการวิจัยครั้งนี้ ทางมหาวิทยาลัยได้สนับสนุนเงินในการทำวิจัยจำนวนหนึ่งด้วย (ข่าวสด พุธที่ 14 ธ.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ปลูกสร้างสมองมนุษย์ในหนู หวั่นปัญหาจริยธรรมตามมา

เฟรด เกจ และคณะนักวิจัยในสหรัฐฯได้ทดลองฉีดเซลล์พื้นฐานมนุษย์ จำนวน 100,000 เซลล์ เข้าไปในสมองหนูในครรภ์วัย 14 วัน เมื่อหนูคลอดออกมาปรากฏว่า แต่ละตัวมีเซลล์สมองมนุษย์ติดมาด้วยคิดเป็นร้อยละ 0.1 ของปริมาณสมองหนู โดยปกติแล้ว ยีนของหนูร้อยละ 97.5 เป็นยีนเดียวกันกับมนุษย์ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า ความสำเร็จของการทดลองนี้ไม่เป็นการจัดระเบียบโครงสร้างของสมองหนูใหม่ และไม่เป็นการทำให้หนูมีความสามารถทางสมองเช่นเดียวกับคน ด้านเดวิด แม็กนัส ผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เพื่อจริยธรรมด้านการแพทย์ชีวภาพ กล่าวว่า การวิจัยนี้ทำให้เกิดความกังวลว่า วิทยาศาสตร์จะก้าวข้ามเส้นจริยธรรม หากเกิดการทำให้สัตว์เป็นมนุษย์ แต่นักวิทยาศาสตร์ด้านเซลล์พื้นฐานเห็นตรงกันว่า การผสมเซลล์มนุษย์กับสัตว์เป็นหนทางเดียวในการพัฒนาวิธีรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ ที่เป็นความหวังในการรักษาโรคร้ายแรง เช่น พาร์กินสัน หรืออัมพาตแบบสั่น เนื่องจากไม่มีใครกล้าทดลองวิจัยกับมนุษย์โดยตรง. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 15 ธ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ลูกบอลติดกล้องสอดแนมก่อนจู่โจม

อิสราเอลพัฒนาอุปกรณ์พิเศษลักษณะคล้ายลูกเบสบอล สำหรับภารกิจเสี่ยงภัยของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยติดกล้องวิดีโอแบบไร้สายไว้ภายใน เหมาะนำไปสอดส่องลาดเลาของสถานการณ์เสี่ยงภัยที่ไม่รู้ความเป็นไปของฝ่ายตรงข้าม เช่น การชิงตัวประกัน ก่อนตัดสินใจจู่โจมเข้าช่วยเหลือ อุปกรณ์ดังกล่าวมีชื่อว่า "อายบอล" (EyeBall) เป็นกล้องที่มีขนาดเท่ากับลูกเบสบอล สามารถขว้างเข้าไปในอาคาร และทนแรงกระแทกกับพื้นหรือกำแพงได้อย่างไม่น่าเชื่อ จากนั้นก็จะส่งสัญญาณภาพวิดีโอแบบไร้สายกลับมายังตัวฐานรับสัญญาณ กล้องอายบอลหนักไม่ถึงครึ่งกิโลกรัม ห่อหุ้มด้วยยางอย่างหนาและโพลียูรีเทน ทำให้มั่นใจได้ว่าเมื่อปาเข้าไปกระทบหน้าต่าง หรือกระแทกกับผนังจะไม่ได้รับความเสียหายใดๆ หลังจากบอลหยุดนิ่งแล้วจะทำการหาตำแหน่งที่เสถียรให้ตัวเอง จากนั้นจะเริ่มส่งสัญญาณภาพและเสียงออกมายังตัวรับสัญญาณภายนอกที่อยู่ไกลกันได้มากถึง 200 เมตร อุปกรณ์สอดแนมชิ้นนี้เป็นผลงานการพัฒนาของบริษัท โอดีเอฟ ออปโทรนิกส์ จำกัด ในอิสราเอล ซึ่งได้จำหน่ายให้กองทัพอิสราเอล และกองทัพอื่นๆ ที่ไม่เปิดเผยชื่อ รวมทั้งทางการของหลายประเทศในเอเชียและยุโรป ขณะที่สหรัฐ บริษัท รีมิงตัน อาร์ม โค. ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมาธิการสื่อสาร สหรัฐ หรือเอฟซีซี ให้สามารถจำหน่ายอุปกรณ์ดังกล่าวในประเทศได้แล้ว โดยคาดว่าจะมีหน่วยงานภาครัฐนับสิบแห่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ ทั้งนี้ โดยทั่วไปแล้วการจับภาพและเสียงระยะไกลในสถานการณ์ที่เสี่ยงภัย ต้องกระทำการในระยะค่อนข้างประชิด ซึ่งเสี่ยงที่จะเกิดอันตราย แต่กล้องบอลนี้สามารถปาจากระยะไกลเข้าในตัวอาคาร เพื่อดูว่ามีอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังประตูที่ปิดสนิทนั้นหรือไม่ ทำให้โอกาสที่จะเพลี่ยงพล้ำต่อฝ่ายตรงข้ามจึงมีน้อยลง สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยากพกอายบอลติดตัว อาจต้องคิดหนักสักนิด เพราะราคาขายราว 192,000 บาทต่อกล้องบอล 2 ลูก ซึ่งมาพร้อมกับอุปกรณ์รับสัญญาณวิดีโอแบบไร้สายจากตัวกล้อง และแบตเตอรี่ของกล้องจะต้องชาร์จไฟทุกครั้งหลังจากใช้งานไปแล้วราว 2 ชั่วโมง (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 15 ธ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ดื่มชาลดเสี่ยงเป็นมะเร็งรังไข่

ทีมนักวิจัยจากสวีเดนการันตีคุณประโยชน์ของชา ดื่มวันละ 2 ถ้วยช่วยลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งรังไข่ได้ 50% โดยเชื่อว่าสารต้านอนุมูลอิสระในชาช่วยออกฤทธิ์คุ้มครอง ทีมวิจัยได้สัมภาษณ์ผู้หญิง 61,057 ราย ที่มีอายุระหว่าง 40-76 ปี เกี่ยวกับอุปนิสัยการรับประทานอาหาร และการดื่มในช่วงปี 2530-2533 และได้ติดตามผลอย่างต่อเนื่องจนถึงเดือนธันวาคม 2537 เพื่อดูว่ามีกี่รายที่เป็นมะเร็งรังไข่ โดยพบว่าผู้หญิงร้อยละ 68 ดื่มชาอย่างน้อยเดือนละครั้ง ส่วนใหญ่เป็นชาดำ และมีเพียง 301 รายเท่านั้นที่เป็นมะเร็งรังไข่ นักวิจัยพบว่า ผู้หญิงที่ดื่มชาวันละ 2 ถ้วย หรือมากกว่านั้นต่อวันมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งรังไข่ลดลง 48% เทียบกับกลุ่มที่ไม่ดื่มชาเลย ส่วนกลุ่มที่ดื่มวันละ 1 ถ้วย มีความเสี่ยงลดลงร้อยละ 24 และกลุ่มที่ดื่มวันละน้อยกว่าหนึ่งถ้วย ลดความเสี่ยงลงไปได้ร้อยละ 18 งานวิจัยก่อนหน้านี้รายงานชิ้นได้ระบุถึงประโยชน์ของชาได้มากมายเช่นกัน อย่างไรก็ดี สถาบันแพทย์ในอังกฤษมีความเห็นว่า ประโยชน์ของการดื่มชากับมะเร็งรังไข่นั้นยังเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ และควรมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยัน (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 15 ธ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





“หุ่นยางพาราพูดได้” สื่อผสมฝีมือไทยล้วนๆ

รศ.ดร.อภินันท์ สุประเสริฐ หัวหน้าภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ คือคนไทยช่างคิดประดิษฐ์ “หุ่นยางพารา” พูดได้ ภายใต้โครงการโครงการวิจัยหุ่นจำลองยางพารา ซึ่งใช้เวลาคิดค้นจนสมบูรณ์แบบนานถึง 3 ปีเต็ม ได้รับรางวัล “สิ่งประดิษฐ์แห่งปี 2549” สาขาพัฒนาสังคม (การศึกษา) จากคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เป็นที่ยอมรับว่าสื่อการสอน เป็นตัวกลางที่สำคัญในกระบวนการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถรับความรู้และเข้าใจง่ายขึ้น โดยเฉพาะในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ ซึ่งต้องอาศัย สื่อสื่อการสอนในรูป “หุ่นจำลอง” ที่เป็นสื่อวัสดุสามมิติและสามารถจับต้องได้ โดยการนำสารธรรมชาติยางพารามาใช้ผลิตเป็นหุ่นยางพารา ทดแทนวัสดุสารสังเคราะห์ เพิ่มคุณค่าของหุ่นจำลอง โดยนำเอาเทคโนโลยีด้านอิเลคทรอนิกส์ ทำให้หุ่นมีเสียงพูดได้ มีเสียงตอบบรรยายตามจุดต่างๆ เป็นจุดเร้าความสนใจของผู้เรียนมากยิ่งขึ้น และยังเป็นการเพิ่มมูลค่าของหุ่นยางพาราในเชิงพาณิชย์ เพื่อลดปริมาณการนำเข้าสื่อการสอนจากต่างประเทศด้วย ขั้นตอนการสร้างหุ่นยางพาราพูดได้ อย่างคราวๆว่า เริ่มจากการปั้นเป็นหุ่นมนุษย์ทั้งตัวด้วยดินน้ำมัน แสดงอวัยวะภายในส่วนต่างๆ เช่น สมอง ปอดหัวใจ ตับ กระเพาะอาหาร ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระดูก จากนั้นสร้างเบ้าแม่พิมพ์จากหุ่นดินน้ำมัน แล้ววางแผงเซนเซอร์ชนิด Reed switch ตามจุดอวัยวะต่างๆ ที่ต้องการ ขั้นตอนต่อไปคือ การหล่อชิ้นงานด้วยส่วนผสมยางพารา ซึ่งจะใช้ขบวนการ Silicofluoride rocess สูตร KU-NR 60 แล้วต่อแผงวงจรที่จัดเตรียมไว้เข้ากับชิ้นงาน ทาสีตกแต่งชิ้นงานเป็นอันเสร็จ หลังจากนั้นก็จะเป็นการนำหุ่นจำลองที่ได้ไปทดสอบประเมินเสียงนั่นเอง จำหน่ายให้โรงเรียนกว่า 50,000 แห่งทั่วประเทศในราคาถูก ผู้สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ โครงการวิจัยหุ่นจำลองจากยางพารา โทร.0-2942-8954-6 (สยามรัฐรายวัน ศุกร์ที่ 16 ธ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





เนรมิตทะเลทรายเป็นผืนป่า ญี่ปุ่นกำสูตรเร่งรากพืชยาวถึงแหล่งน้ำ

บริษัท มิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสทรีส์ เจ้าของงานวิจัยชิ้นนี้ บอกว่าพืชโดยทั่วไปมักจะมีรากที่ไม่ยาวมากนัก ทำให้เมื่อนำไปเพาะปลูกในทะเลทรายจึงไม่สามารถเจริญเติบโตขึ้นมาได้ ดังนั้นการที่ทำให้พืชมีรากยาวขึ้นได้ ก็จะช่วยให้พืชสามารถเข้าถึงน้ำใต้ดินในทะเลทราย ที่มักจะอยู่ลึกมากในระดับ 50-200 เซนติเมตร วิธีดังกล่าวจะเป็นทางออกให้ประเทศที่มีภูมิประเทศส่วนใหญ่เต็มไปด้วยผืนดินที่แห้งแล้ง กลับมามีชีวิตชีวามากขึ้นด้วยพืชนานาพรรณ โครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนของกระทรวงวิทยาศาสตร์ ญี่ปุ่น รัฐบาลซาอุดีอาระเบีย และบรรดามหาวิทยาลัยของทั้งสองประเทศ จะสร้างโรงเพาะเลี้ยงพืชภาคทดลองตามแนวทะเลแดง หรือเรดซี ในซาอุดีอาระเบียตั้งแต่เดือนเมษายน 2549 โดยหากสำเร็จ ผลการทดลองที่ได้จะนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่แห้งแล้งหลายแห่งในตะวันออกกลาง แอฟริกา อินเดีย และจีน แนวคิดนี้สร้างกำลังเป็นที่จับตามองของหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่แห้งแล้งจนไม่สามารถเพาะปลูกพืชใดๆ ขึ้นมาได้ โดยจากแถลงการณ์ของมิตซูบิชิ ระบุว่า ทีมวิจัยจะพยายามทำให้พืชรอดชีวิตในทะเลทรายให้ได้ จากนั้นก็จะจำลองผืนป่าขนาดเล็กขึ้นมา โดยพื้นที่เพาะปลูกจะอยู่ใกล้ๆ กับทะเลแดง เพื่อให้เกิดการก่อตัวของเมฆฝนได้ดีขึ้น และหากเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ก็จะเกิดฝนตกขึ้นมาได้แน่นอน การดำเนินการดังกล่าวอาจไม่ง่ายนัก เพราะนักวิจัยจะต้องควบคุมคุณสมบัติของดินที่ใช้ปลูกพืช ทั้งความแข็ง ความชื้น อุณหภูมิ และสารอาหาร จากการทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่า หากมีการดูแลพืชอย่างดี จะมีอัตราการงอกเร็วกว่าเดิมโดยเฉลี่ย 3 เท่า เห็นได้จากการเพาะเมล็ดถั่วเหลืองในห้องทดลอง หลังจากผ่านไปได้กว่า 1 สัปดาห์ รากก็งอกยาวถึง 38 เซนติเมตร ขณะที่อีกแปลงซึ่งไม่ได้ดูแลเป็นพิเศษ มีรากงอกเพียง 8 เซนติเมตรเท่านั้น พื้นที่ทะเลทรายมีอัตราส่วนคิดเป็น 1 ใน 3 ของพื้นดินบนโลก ครอบคลุมตะวันออกกลาง และพื้นที่ตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ออสเตรเลีย และบางส่วนของอเมริกา (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 16 ธ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ผ้าพันคอแฟชั่นเปลี่ยนสีได้ซ้ำแบบ

อากิระ วากิตะ และทีมงานจากมหาวิทยาลัยไคโอะ ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น รู้หัวอกคนรักแฟชั่นเป็นอย่างดี จึงได้พัฒนาผ้าพันคอเปลี่ยนสีให้เข้ากับเครื่องแต่งกายที่สวมใส่ได้เองโดยอัตโนมัติ ความลับอยู่ที่หลอดแอลอีดีแสงสีแดง น้ำเงิน และเขียวที่ติดตั้งลงในเนื้อผ้า และจะคอยส่องแสงสว่างเป็นโทนสีต่างๆ ได้ตามต้องการ นอกจากนี้ ในผ้าพันคอยังได้ติดตั้งเซ็นเซอร์ และชิพประมวลผล ซึ่งจะทำหน้าที่เหมือนกับมีคอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋วฝังตัวอยู่ในผ้าพันคอ โดยเซ็นเซอร์จะเป็นตัวตรวจจับสีของชุดที่สวมใส่ จากนั้นส่งข้อมูลไปให้ชิพประมวลผล ที่ถูกโปรแกรมไว้เรียบร้อยแล้วว่า ให้คอยเลือกสีของผ้าพันคอให้เข้ากับชุดๆ นั้น ตัวอย่างเช่น หากวันนี้คุณใส่เสื้อสีน้ำเงินเข้ม ผ้าพันคอก็จะเปลี่ยนเป็นโทนสีน้ำเงินสว่างเพื่อให้เข้าคู่กับชุดที่สวมใส่ โดยไม่ต้องไปกดปุ่มอะไรให้เสียเวลา เพราะกระบวนการเปลี่ยนสีของผ้าพันคอทั้งหมดจะดำเนินการโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม หากผู้สวมใส่นึกสนุกอย่างเปลี่ยนสีให้เปรี้ยวกว่าที่โปรแกรมกำหนดไว้ คอมพิวเตอร์จิ๋วในผ้าพันคอก็สามารถกำหนดให้จับคู่กับสีพิเศษได้มากขึ้น โดยทางทฤษฎีแล้ว ผ้าพันคอไฮเทคผืนนี้สามารถเปลี่ยนสีได้มากถึง 400 สี เพียงแต่ว่าสายตาของมนุษย์อาจมองไม่เห็นความแตกต่างของสีที่ใกล้เคียงกันมากๆ ได้ (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 16 ธ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





สกว.ประกาศ 18 ผลงานวิจัยดีเด่นประจำปี 48

ศ.ดร.ปิยะวัต บุญ-หลง ผอ.สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เปิดเผยว่า ตามที่ สกว.ได้คัดเลือกงานวิจัยดีเด่นเพื่อประกาศเกียรติคุณ และสร้างแรงจูงใจในการสร้างผลงานเป็นประจำทุกปี ในปี 2548 มีผลงานที่ได้รับการคัดเลือก 18 โครงการ ดังนี้ 1. นวัตกรรมเทคโนโลยียาง การตรวจหาปริมาณสบู่ลอเรตในน้ำยางที่ง่ายและรวดเร็ว 2. ระเบียบวิธีไฟไนต์เอลิเมนต์เพื่อวิเคราะห์การไหล อุณหภูมิ และโครงสร้างซึ่งมีผลกระทบต่อกัน 3. การศึกษาความคงอยู่ ความคงทนของเชื้อไข้หวัดนก H5N1 ในสภาพแวดล้อมต่างๆและความไวต่อการถูกทำลายด้วยยาฆ่าเชื่อชนิดต่างๆ 4. วิถีใหม่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในประเทศไทย 5. การวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์เครื่องช่วยฝึกทางทหารและตำรวจ 6. โครงการพัฒนาระบบกฎหมายไทย 7. โครงการบูรณาการจังหวัดเพื่อแก้ปัญหาความยากจน 8. โครงการธรรมาภิบาลและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการสิ่งแวดล้อม 9. โครงการภูมิปัญญาทักษิณจากวรรณกรรมและพฤติกรรม 10. การวิจัยชีวภาพการแพทย์พื้นฐานของโรคไข้เลือดออก 11. หาบเร่แผงลอยอาหาร:ความสำเร็จและบ่งชี้ 12. โครงการศึกษาและเตรียมแผ่นสไตรีน-เมทิลเมทาคริเลตโคพอลิเมอร์ ทนแรงกระแทกแบบโปร่งใส 13. โครงการส่งเสริมการจัดการความรู้เรื่องการทำนาข้าวในระบบเกษตรกรรมยั่งยืน โดยสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม 14. โครงการศึกษาสังคมและวัฒนธรรมคนมุสลิมที่ปัตตานี 15. โครงการรูปแบบการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์แบบยั่งยืน บ้านแม่กำปอง จ.เชียงใหม่ 16. โครงการวิจัยการจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนบ้านเมืองบัวอย่างมีส่วนร่วมของชุมชน 17. การเพิ่มประสิทธิภาพการมีส่วนร่วมของชุมชนในการช่วยเหลือเด็กและเยาวชนบ้านดอนยูง จ.อุบลราชธานี และ 18. การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการป่าชายเลน บ้านคลองลิดี จ.สตูล. (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 17 ธ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





'อาซิโม'โฉมใหม่เก่งกว่า-ฉลาดกว่า

บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น แถลงเปิดตัว "อาซิโม" หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์รุ่นใหม่ ที่ได้รับการพัฒนาความสามารถในการสื่อสารกับมนุษย์ได้ดีขึ้น เช่น เดินจูงมือไปพร้อมกับมนุษย์ ขนสิ่งของโดยใช้รถเข็น ทำให้อาซิโมสามารถทำงานด้านการต้อนรับ หรือการให้ข้อมูลข่าวสาร และบริการส่งของได้อัตโนมัติ นอกจากนี้ ความสามารถในการเดินได้พัฒนาให้เด็กได้เร็วขึ้นจนกลายเป็นการวิ่ง ที่ความเร็ว 6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แถมยังวิ่งเป็นวงกลมได้อีกด้วย ความสามารถในการเป็นพนักงานบริการของอาซิโม เกิดจากการติดตั้งเซ็นเซอร์ชนิดต่างๆ อาทิ เซ็นเซอร์รับภาพทำให้รับรู้ถึงสิ่งแวดล้อมรอบตัว เซ็นเซอร์วัดแรงที่ทำให้สามารถส่งหรือรับสิ่งของ เช่น ถาด ในระยะเวลาที่เหมาะสม หรือสามารถจับมือกับมนุษย์ และเคลื่อนไหวไปกับมือที่จับได้อีกด้วย รวมทั้งสามารถบอกตำแหน่งมนุษย์ และสิ่งของได้ ที่อยู่รอบตัวทั้ง 360 องศาได้ โดยภาพรวมแล้ว อาซิโมรุ่นใหม่สามารถใช้รถเข็นได้อย่างดี โดยรักษาระยะห่างจากรถเข็นโดยปรับแรงของแขนขวา และแขนซ้าย ในการผลักรถเข็นโดยใช้เซ็นเซอร์วัดแรงซึ่งอยู่ที่ข้อมือ เมื่อมีสิ่งกีดขวางการเคลื่อนที่ของรถเข็นอาซิโมสามารถปรับเปลี่ยนการเคลื่อนที่ ได้โดยเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ หรือเคลื่อนที่ให้ช้าลง ฮอนด้าจะเริ่มสาธิตความสามารถของหุ่นยนต์อาซิโมรุ่นใหม่นี้ ประมาณเดือนมีนาคม-เมษายน ปีหน้า ที่สำนักงานใหญ่ฮอนด้าวาโกะ และในอนาคตมีแผนจะผลิต และให้เช่าหุ่นยนต์รุ่นนี้ด้วย อย่างไรก็ตาม ในด้านการวิจัยและพัฒนานั้น ฮอนด้าจะยังคงดำเนินการต่อไป แต่จะเน้นพัฒนาด้านความฉลาดให้กับอาซิโมอย่างต่อเนื่อง เช่น คาดหวังว่าจะทำให้อาซิโมสามารถตัดสินใจได้ครอบคลุมในสถานการณ์ต่างๆ สำหรับเทคโนโลยีที่ได้จากการพัฒนาอาซิโมนี้ ได้แก่ เทคโนโลยีควบคุมการวางท่าทาง เทคโนโลยีรับรู้ภาพ และเสียง เทคโนโลยีคาดคะเนและหลบหลีกสิ่งกีดขวาง จะถูกนำไปใช้พัฒนากับเทคโนโลยีอื่นๆ ของรถฮอนด้า เช่น เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยของรถยนต์ (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 17 ธ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ข่าวทั่วไป


ห้ามนอนเอาตะเกียงเข้าเต็นท์ ขาดอากาศสมองหยุดทำงาน

นายอนุชา โมกขะเวส อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวว่า ประชาชนมักนิยมไปท่องเที่ยวตามหุบเขา ป่าไม้ ยอดดอย อุทยานแห่งชาติ และมักนำเตาไฟ ตะเกียงเข้าไปผิงไฟให้ความอบอุ่นภายในเต็นท์ ซึ่งอาจทำให้เกิดเหตุเพลิงไหม้ได้ เนื่องจากเต็นท์ส่วนใหญ่มักทำจากผ้าใบที่เป็นวัสดุไวไฟเมื่อติดไฟจึงลุกลามอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญเมื่อมีการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงในสถานที่มิดชิด จะทำให้ออกซิเจนหมดเร็วขึ้น แต่จะมีก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ที่เกิดจากการเผาไหม้มาแทนที่ ส่งผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้หายใจลำบากถึงขั้นสมองหยุดทำงาน ซึ่งจะทำให้อวัยวะทุกส่วนในร่างกายหยุดการทำงานไปด้วย หากเผลอหลับไปจะทำให้เสียชีวิตได้โดยไม่รู้ตัว ถ้าจะนำเตาไฟหรือตะเกียงที่จุดแล้วเข้าไปในเต็นท์ ต้องทำช่องระบายเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้เสมอ (ไทยรัฐ อังคารที่ 13 ธ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ลมหนาวชวนเป็นโรคซึมเศร้า ให้วิธีป้องกันรักษา 4 อย่าง

น.พ.วิวัฒน์ วิริยกิจจา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดระยอง กล่าวว่า โรคซึมเศร้าถือเป็นปัญหาหนึ่งในด้านสาธารณสุข ซึ่งในจังหวัดระยองพบมีผู้ป่วยอาการซึมเศร้าอยู่ในระดับปานกลาง จากสถิติที่ผ่านมาพบว่า ในช่วงที่มีอากาศหนาวเย็นลง จะทำให้ผู้ป่วยที่มีอาการซึมเศร้า คิดฆ่าตัวตายมากเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ อาจจะเนื่องมาจากในหน้าหนาวมีการระบาด ของโรคหลายชนิดเพราะมีอากาศเย็น ทำให้ผู้ป่วยอยากจะนอนซึมอย่างเดียว จึงทำให้จิตใจฟุ้งซ่าน คิดมาก และเป็นที่มาของการฆ่าตัวตาย อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวทางการแก้ไขผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ไม่ให้คิดฆ่าตัวตายนั้น สามารถปฏิบัติได้ 4 แนว ทางด้วยกัน คือ 1. ควรหมั่นออกกำลังกาย เพื่อให้เหงื่อขจัดอาการซึมเศร้าให้หมดไป 2. หาอาหารที่มีรสแซบๆ รับประทาน ให้หูตาสว่าง 3. ทำสมาธิเพื่อกวาดขยะออกจากสมอง และแนวทางที่ 4 พยายามทำให้ตัวเองคิดในเชิงบวก. (ไทยรัฐ อังคารที่ 13 ธ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





เตรียมศึกษาสร้างสะพานข้ามแม่น้ำ 4 แห่ง

รายงานข่าวจากกรุงเทพมหานคร (กทม.) แจ้งว่า ขณะนี้ กทม. อยู่ระหว่างดำเนินการจัดจ้าง บริษัทที่ปรึกษาเพื่อออกแบบสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา 4 แห่ง คือ สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณเกียกกาย สะพานบริเวณท่าน้ำราชวงศ์-ท่าดินแดง สะพานบริเวณถนนลาดหญ้า-ถนนมหาพฤฒาราม และสะพานบริเวณถนนจันทน์-ถนนเจริญนคร ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับความเห็นชอบตามมติที่ประชุมคณะกรรมการจัดการจราจรทางบก (คจร.) ตั้งแต่ปี 2547 งบศึกษารวม 160 ล้านบาท รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ทั้งนี้ กทม. ยังไม่ได้ดำเนินการในส่วนของการออก พ.ร.ฎ.สำรวจและเวนคืนที่ดินในบริเวณที่จะทำก่อสร้าง โดยจะรอดูแบบจากบริษัทที่ปรึกษาก่อนว่าจะเป็นรูปแบบใดและใช้พื้นที่ประมาณเท่าไหร่ โดยที่ปรึกษาจะต้องเสนอรูปแบบมา ซึ่งจะสัมพันธ์กับการเสนอของบประมาณในการก่อสร้างและงบประมาณในการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินด้วย ทั้งนี้ตามรายละเอียดที่ได้เสนอในที่ประชุม คจร. เมื่อปี 2547 ใช้งบในการก่อสร้างสะพานเกียกกาย 4,400 ล้านบาท สะพานท่าน้ำราชวงศ์ฯ 1,000 ล้านบาท สะพานถนนลาดหญ้าฯ 2,400 ล้านบาท สะพานถนนจันทน์ฯ 3,260 ล้านบาท รวมเป็นเงินกว่า 11,000 ล้านบาทนั้น คงจะต้องมีการปรับตัวเลขเพิ่มขึ้นมาก ตามสภาพราคาน้ำมันและภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งก็ต้องให้ทางบริษัทที่ปรึกษาเป็นผู้ประเมินราคา และออกข้อกำหนดเงื่อนไขการประกวดราคาให้ด้วย โดยคาด ว่าภายในต้นปี 49 จะสามารถเซ็นสัญญากับที่ปรึกษา และให้เวลาออกแบบ 8 เดือน. (เดลินิวส์ อังคารที่ 13 ธ.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





เร่งสร้างมอเตอร์เวย์ 13 สาย

พล.อ.ชัยนันท์ เจริญศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงคมนาคม ซึ่งกำกับดูแลด้านการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมได้กำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาถนนหลวงในอนาคต โดยมุ่งเน้นการพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ให้ครบ 13 สาย ตามแผนการศึกษาที่กรมทางหลวงในฐานะเจ้าของโครงการได้ศึกษาไว้ ซึ่งจะสามารถเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดและภูมิภาค ด้วยความรวดเร็ว เพราะจุดตัดน้อย ทำให้ระบบการขนส่งเกิดความคล่องตัว ขณะที่ในอนาคตการพัฒนาทางมอเตอร์เวย์จะมีการเปิดจุดเข้าออกสู่ระบบ ที่สัมพันธ์ต่อการเติบโตของเมืองแต่ละภูมิภาคมากขึ้น เช่น มหาวิทยาลัย ย่านชุมชน ซึ่งจะเป็นการอำนวยความสะดวกนำการสัญจรเข้าสู่ระบบ พล.อ.ชัยนันท์ กล่าวว่า ส่วนโอนทางมอเตอร์เวย์ 2 สาย คือ หมายเลข 7 (กรุงเทพ-ชลบุรี ) และหมายเลข 9 (ถนนวงแหวนตะวันออก) จากกรมทางหลวงไปให้กทพ.ที่เป็นนโยบายเดิมนั้น ยังสามารถทำต่อไปได้ โดยขณะนี้กระบวนการอยู่ระหว่างการพิจารณาแก้ไขกฎหมายโอนย้ายทรัพย์สินหน่วยงานของรัฐของวุฒิสภา ซึ่งทางคณะกรรมาธิการแปรญัตติ ได้เห็นชอบแล้วว่าเมื่อมีการโอนทางมอเตอร์เวย์ 2 สายไปแล้วก็ควรโอนภาระหนี้ที่เกิดจากการลงทุนทั้ง 2 โครงการ ประมาณ 15,000 ล้านบาทไปให้กทพ. เพื่อจัดเก็บรายได้ส่งให้กระทรวงการคลังนำส่งชำระเจ้าหนี้ต่อไป ทั้งนี้เชื่อว่ากระบวนการโอนย้ายน่าจะแล้วเสร็จในปีหน้า (สยามรัฐรายวัน อังคารที่ 13 ธ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





หวั่นวธ.เอเชียถูกละเมิด ยูเนสโกจี้ประเทศสมาชิดจดลิขสิทธิ์

นางปริศนา พงษ์ทัดศิริกุล เลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยว่า องค์การยูเนสโกได้ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมวิถีชน ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ เช่น มุขปาฐะ ความเชื่อ ประเพณีของท้องถิ่น และความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล หรือวัฒนธรรมที่มีลักษณะเป็นนามธรรมที่เป็นวิถีชีวิตของคนในแต่ละภูมิภาค องค์การยูเนสโกจึงต้องการให้ประเทศสมาชิกร่วมลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกวัฒนธรรมวิถีชน เพื่อให้มรดกวัฒนธรรม ความรู้พื้นบ้านในแต่ละภูมิภาคได้รับการจดลิขสิทธิ์คุ้มครอง ไม่ถูกล่วงละเมิด หรือถูกนำไปใช้หาผลประโยชน์โดยเจ้าของวัฒนธรรมไม่ได้รับประโยชน์ตอบแทน กลุ่มประเทศในเอเชียจึงเริ่มหันมาตระหนักถึงความสำคัญในมรดกวัฒนธรรมวิถีชน จึงได้ร่วมมือกันจัดการประชุมผู้เชี่ยวชาญนานาชาติว่าด้วยเรื่อง "มรดกวัฒนธรรมวิถีชนในกลุ่มประเทศเอเชีย : การคุ้มครองและจัดทำคลังข้อมูล" (Sub-Regional Experts Meeting in Asia on Intangible Cultural Heritage : Safeguarding and Inventory-Making Methodologies) ระหว่างวันที่ 13-15 ธันวาคม 2548 นี้ ที่หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ การประชุมครั้งนี้จะเชิญผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐ นักวิจัย และชาวบ้านเจ้าของวัฒนธรรมจากสมาชิกองค์การยูเนสโก รวม 15 ประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการ ตลอดจนการคุ้มครองมรดกวัฒนธรรมวิถีชนและการจัดทำคลังข้อมูลของแต่ละประเทศ สร้างเครือข่ายในกลุ่มผู้ทำงานดังกล่าวให้กว้างขวางยิ่งขึ้น และจะมีการนำเสนอผลงานและการบรรยายในเรื่อง "การคุ้มครองและจัดทำคลังข้อมูลมรดกวัฒนธรรมวิถีชน" นายอารักษ์ สังหิตกุล อธิบดีกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยว่า จากการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีนโยบายที่จะพัฒนาประเทศแบบก้าวกระโดด และใช้เทคโนโลยีเป็นส่วนช่วยในการพัฒนา และ วธ.ได้นำเสนอ 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการอนุรักษ์ทรัพย์สินทางวัฒนธรรม 2.โครงการสร้างมูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรมสารัตถะ และ 3.โครงการนำพระพุทธศาสนาเข้าสู่ระดับสากล โดยล่าสุด นางอุไรวรรณ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้มอบหมายให้กรมศิลปากรจัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว ซึ่งขณะนี้ตนได้เร่งประชุมผู้บริหารเพื่อหาแนวทางในการทำงานและจัดทำรายละเอียดในส่วนโครงการที่เกี่ยวข้องกับกรมศิลปากร (คมชัดลึก อังคารที่ 13 ธ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





กินยาแก้ปวดมากเสี่ยงตับทรุด

จากรายงานประจำปีในสหรัฐ พบว่าผู้ป่วยโรคตับล้มเหลวอันมีสาเหตุมาจากการรับประทานยาพาราเซตามอน หรือยาแก้ปวดและลดไข้เพิ่มขึ้นจาก 28% ในปี 2541 เป็น 51% ในปี 2546 โดยคณะวิจัยระบุว่าการกินยาแก้ปวดเพียง 20 เม็ดต่อวัน ก็สามารถทำลายตับให้ทรุดโทรมได้แล้ว ซึ่งข้อแนะนำการใช้ยาจะระบุไว้ว่าให้กินได้สูงสุดไม่เกินวันละ 8 เม็ด ทางออกที่เป็นไปได้ขณะนี้ คือการจำกัดปริมาณยาที่ขายตามร้านขายทั่วไป และดูเหมือนว่าอังกฤษจะเป็นตัวอย่างที่ดีได้ในเรื่องนี้ เพราะตั้งแต่ปี 2541 ที่รัฐบาลอังกฤษประกาศให้ร้านขายยาจำหน่ายยาพาราเซตามอนให้ผู้มาซื้อได้รายละไม่เกิน 32 เม็ด ก็สามารถแก้ปัญหาได้อย่างมาก ขณะที่ผลการศึกษาของกลุ่มวิจัยภาวะตับล้มเหลวอย่างรุนแรงในสหรัฐ ภายใต้ความร่วมมือของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสหรัฐหลายแห่ง ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ป่วยภาวะตับล้มเหลวในช่วงปี 2541-2546 จำนวน 662 รายที่เข้ารับการรักษาพบว่า ผู้ป่วยในกลุ่มนี้ใช้ยาแก้ปวด 275 ราย 48% ใช้เพราะเผอเรอขณะที่ 44% ใช้เพื่อฆ่าตัวตาย และจากการศึกษายังพบด้วยว่า ยาแก้ปวดแค่เพียง 10 กรัม หรือเท่ากับ 20 เม็ด ก็ทำให้ตับล้มเหลวได้แล้ว ดร.แอนน์ ลาร์สัน หนึ่งในทีมวิจัย กล่าวว่า เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องให้ความรู้กับผู้ป่วย แพทย์ และเภสัชกรเกี่ยวกับความเสี่ยงของยาแก้ปวด และอาจต้องนำมาตรการจำกัดปริมาณการซื้อยาแก้ปวดมาใช้ด้วย เพราะนั่นจะเป็นแนวทางป้องกันอีกหนทางที่เป็นไปได้ (คมชัดลึก จันทร์ที่ 12 ธ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ญี่ปุ่นช่วย"อาเซียน"ตุนทามิฟลู

หนังสือพิมพ์นิฮอน เคไซ รายงานว่า รัฐบาลญี่ปุ่นมีแผนจัดสรรยาต้านไวรัสทามิฟลูให้กับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อช่วยรับมือกับการระบาดของโรคไข้หวัดนก โดยนายกรัฐมนตรีจุนอิจิโร โคอิซึมิ เตรียมประกาศแผนช่วยเหลือประเทศอาเซียนในสัปดาห์นี้ เพื่อสำรองยาทามิฟลูสำหรับรักษาประชาชน 300,000 คน โคอิซึมิจะประกาศแผนความช่วยเหลือในการประชุมสุดยอดกับผู้นำชาติอาเซียนที่มาเลเซีย และจะระบุตัวเลขที่ให้ความช่วยเหลืออย่างแน่ชัด ภายหลังจากที่ได้หารือกับเจ้าหน้าที่อาเซียนแล้ว เมื่อเดือนที่แล้วเจ้าหน้าที่สาธารณสุขญี่ปุ่น กล่าวว่า ญี่ปุ่นไม่มียาทามิฟลูสำรองเพียงพอ หากมีการระบาดในคน แต่คาดว่าอาจมีมากขึ้นในเดือนต่อๆ ไป โดยจะเพิ่มปริมาณการสำรองยาให้เพียงพอกับประชาชน 25 ล้านคน หลังมีความวิตกกันว่าเชื้อไวรัสไข้หวัดนกอาจกลายพันธุ์ติดต่อระหว่างคน จนถึงขั้นทำให้มีผู้เสียชีวิตนับล้านคนและสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง (ข่าวสด อังคารที่ 13 ธ.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ไทยควรทุ่มพัฒนาเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร

ประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป มีสินค้าอุตสาหกรรม สินค้าเทคโนโลยี มีสิทธิบัตรครอบครองลิขสิทธิ์ทางปัญญา ฯลฯ ที่สามารถสร้างรายได้อย่างมหาศาล แต่ประเทศเหล่านี้ก็ไม่เคยทอดทิ้งเรื่องเกษตรกรรม ประเทศเหล่านี้มีความก้าวหน้าทางด้านเกษตรกรรม มีสินค้าเกษตรมากมาย เลี้ยงตัวเองได้ และยังต้องพยายามส่งสินค้าเกษตรออก เกษตรกรในประเทศเหล่านี้ก็มีฐานะทางเศรษฐกิจดี จะเห็นได้ว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว ทุ่มเทพัฒนาช่วยเหลือด้านการเกษตรอย่างจริงจัง ชาร์ลส์ เดอโกลด์ อดีตประธานาธิบดีของฝรั่งเศสกล่าวไว้ว่า ประเทศที่ไม่สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ด้านอาหาร มิใช่มหาประเทศ จากรากฐานนี้ ประกอบกับภัยพิบัติอดอยากขาดแคลนอาหารในช่วงหลังสงครามโลก ทำให้นักการเมืองฝรั่งเศสให้ความสำคัญกับเรื่องเกษตรกรรมมาก การผลิตอาหารได้พอเพียงมีความสำคัญเท่าเทียมกับการที่ฝรั่งเศสจะต้องมีนิวเคลียร์ให้ได้ นักการเมืองฝรั่งเศสจำนวนมากมีพื้นฐานจากภาคการเกษตร และที่สำคัญคือสหภาพการเกษตร (Farm union) ของฝรั่งเศสเข้มแข็ง มีเครือข่ายเข้าถึงการเมือง เช่น 8.5% ของวุฒิสมาชิกเป็นเกษตรกร ปัจจุบันฝรั่งเศสเป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตรใหญ่ที่สุดในสหภาพยุโรป และเป็นหัวหอกในการต่อสู้เพื่อคงการอุดหนุนเกษตรกรและกำแพงภาษีสินค้าเกษตรเอาไว้ ชี้ให้เห็นว่า ประเทศที่ร่ำรวยเขาให้ความสำคัญกับการเกษตรกันทั้งนั้น ทั้งๆ ที่ด้านเทคโนโลยีอุตสาหกรรมเขาก็ก้าวหน้า ไทยเราจะทุ่มเทไปวิ่งไล่ตามเขาทางด้านอุตสาหกรรม โดยไม่ทุ่มเทให้กับการพัฒนาภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรกันหรือ สื่อตะวันตกเช่นวอลล์สตรีท เจอร์นัล ชี้ว่า เศรษฐกิจเอเชีย ปี 2549 จะเข้มแข็งได้ต้องพึ่งพาการส่งออก และการสร้างอุปสงค์ภายในแต่ละประเทศของเอเชีย การส่งออกของเอเชียนั้นเติบโตเร็วมาก แต่ก็อ่อนแอได้เร็วเช่นกัน ถ้าหากประเทศพัฒนาแล้ว อย่างสหรัฐฯ เกิดปัญหา หยุดบริโภคสินค้าจากเอเชีย รัฐบาลควรจะ สร้างรายได้ให้กับประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งก็รวมถึงเกษตรกรด้วย กระจายรายได้ให้เป็นธรรมให้ทั่วถึงขึ้น อุปสงค์ภายในจะเกิดขึ้น (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 14 ธ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th





"เมล็ดสบู่ดำ"มีพิษ กินแล้วอาจถึงตาย

วันที่ 13 ธันวาคม นพ.ไพจิตร์ วราชิต อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ขอนแก่น รายงานว่า มีนักเรียนแห่งหนึ่งใน จ.ขอนแก่น นำเมล็ดสบู่ดำมาบริโภคและเกิดอาการเป็นพิษจนต้องเข้ารับการรักษาตัว 32 ราย จากเหตุการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ายังมีประชาชนอีกมากยังไม่ทราบว่าต้นสบู่ดำมีพิษ การรักษาอาการผู้ที่ได้รับพิษสบู่ดำว่า หากสัมผัสน้ำยางควรใช้สบู่ล้างออกจากผิวหนัง หากรับประทานเข้าไป ให้แก้ไขเบื้องต้นด้วยการดื่มนมมากๆ หรือทำให้อาเจียน และรีบพบแพทย์เพื่อรักษาตามอาการต่อไป ทั้งนี้ สารพิษในสบู่ดำ คือ toxalbumin (curcin) และ phorbal ester มีอยู่ในน้ำยางและเมล็ด หากน้ำยางถูกผิวหนังจะเกิดอาการระคายเคือง บวมแดง แสบร้อนอย่างรุนแรง ส่วนเมล็ดและน้ำมันในเมล็ด หากรับประทาน ประมาณ 30-60 นาที จะเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย ถ่ายเป็นเลือด ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจมีอาการเกร็งของกล้ามเนื้อที่มือและเท้า หายใจเร็ว หอบ ความดันเลือดต่ำ หัวใจเต้นผิดปกติ บางรายอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ (มติชนรายวัน พุธที่ 14 ธ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ก.วัฒนธรรมทุ่ม 118 ล. จดลิขสิทธิ์ภูมิปัญญา

นางปริศนา พงษ์ทัดศิริกุล เลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุมผู้เชี่ยวชาญนานาชาติเรื่อง "มรดกวัฒนธรรมวิถีชนของกลุ่มประเทศเอเชีย : การคุ้มครองและจัดทำคลังข้อมูล" โดยมีผู้เชี่ยวชาญจาก 15 ประเทศ รวมกว่า 100 คน เข้าร่วม ที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ในการสืบค้นข้อมูลวัฒนธรรมวิถีชน วธ.ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2548 ด้วยงบ 38 ล้านบาท และเตรียมขอเพิ่มอีก 80 ล้านบาท รวม 118 ล้านบาท ภูมิปัญญา 4 สาขาที่เราจำไปจดลิขสิทธิ์ 4 สาขา คือ ศิลปะการแสดง งานช่างฝีมือ ภูมิปัญญา และมุขปาฐะตำนานต่างๆ ในรูปของภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว การบันทึกเสียง โดยนำมาเก็บไว้ในระบบสืบค้นผ่านอินเทอร์เน็ต จากนั้นจะนำความรู้ไปพัฒนาเป็นหลักสูตรการเรียนการสอนในหลักสูตรท้องถิ่น ประกอบสาระวิชาศาสนา ศิลปวัฒนธรรมในสถานศึกษา และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สร้างอาชีพและรายได้แก่ชาวบ้าน เช่น ซีดีเพลงพื้นบ้าน ของที่ระลึก คาดว่าภายในปี 2549 จะจัดเก็บข้อมูลเข้าสู่คลังได้ทั้ง 360 ประเภทการแสดง (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 15 ธ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ปีใหม่เฮนั่งรถไฟฟรี

ที่กระทรวงคมนาคม เมื่อเวลา 18.40 น. วันที่ 16 ธ.ค. นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่กระทรวงฯ ได้มอบของขวัญให้กับประชาชนด้วยการให้ประชาชนนั่งรถไฟฟรีในระหว่างวันที่ 31 ธ.ค. 48 ถึง 1 ม.ค. 49 นี้ โดยเฉพาะรถไฟชั้น 3 รถไฟชานเมือง และรถไฟท้องถิ่น จำนวนทั้งหมด 146 ขบวน แบ่งเป็นสายเหนือ 18 ขบวน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 30 ขบวน ใต้ 34 ขบวน ตะวันออก 22 ขบวน และสายแม่กลอง 42 ขบวน ซึ่งหากประชาชนรายใดสนใจเดินทางสามารถแจ้งความจำนงได้ที่ รฟท. ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นอกจากนี้ได้ให้กรมทางหลวงจะยกเว้น การจัดเก็บค่าผ่านทางมอเตอร์เวย์ในระหว่างวันที่ 29 ธ.ค. เวลา 16.00 น. จนถึงวันที่ 4 ม.ค. 49 โดยมีทั้งหมด 4 ด่าน คือด่านทับช้าง ลาดกระบัง ธัญบุรี และด่านพานทอง คาดว่าจะเสนอเรื่องเข้าที่ประชุม ครม. ในวันที่ 20 ธ.ค.นี้ เนื่องจากในช่วงวันดังกล่าวประชาชนเดินทางใช้บริการมอ เตอร์เวย์และวงแหวนตะวันออกเป็นจำนวนมาก ส่วนการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) จะเสนอขอปรับลดค่าผ่านทางด่วนอุดรรัถยา ช่วงบางปะอิน-ปากเกร็ด กับบริษัททางด่วนกรุงเทพ (บีอีซีแอล) เอกชนคู่สัญญา โดยจะลดราคาให้เท่ากับดอนเมืองโทลล์เวย์ 20 บาท ตลอดสาย นอกจากนี้จะเสนอ ครม.อนุมัติขยายเวลาลดค่าผ่านทางด่านอาจณรงค์ 1 ด่านศรีรัช และด่านฉลองรัช เหลือ 10 บาทต่อคัน สำหรับรถทุกประเภทต่อไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 49 ถึง 31 ธ.ค. 49 สำหรับบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) มี นโยบายลดค่าโดยสารให้กับผู้โดยสาร 50% ที่เดินทางกลับต่างจังหวัดในช่วงวันที่ 21-25 ธ.ค. นี้ ส่วนขากลับจะต้องเดินทางออกจากต่างจังหวัดในช่วงวันที่ 5-9 ม.ค. 49 เพื่อไม่ให้ผู้โดยสารเดินทางกระจุกตัวในวันเดียวกัน และได้สั่งการให้ บขส.เตรียมความพร้อมให้บริการประชาชนในด้านการอำนวยความสะดวก ความปลอดภัยและการจราจร (เดลินิวส์ เสาร์ที่ 17 ธ.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





“เปิดด่านเชียงแสน” พิสูจน์มาตรฐานสินค้าเกษตร

เร็วๆ นี้สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ได้นำคณะสื่อมวลชนเข้าไปดูเส้นทางสินค้าเกษตรไทยจีนที่ท่าเรือเชียงแสน การไปในครั้งนี้ก็ได้มีส่วนที่เกี่ยวข้องได้เข้ามาให้ข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนการทำงานและการตรวจสอบสินค้าทางการเกษตรที่ส่งมาจากจีน ซึ่งจากการไปดูเส้นทางสินค้าทางการเกษตรครั้งนี้ทำให้ทราบว่าประเทศไทยนั้นยังเสียเปรียบประเทศจีนหลายอย่างในการเปิดการค้าเสรีในครั้งนี้ โดยเฉพาะความพร้อมในด้านการตรวจสอบสินค้าที่มาจากจีนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของเรา อย่างแรกสุดที่เห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อมาถึงที่ท่าเรือเชียงแสนก็คือขนาดของท่าเรือที่คับแคบอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนสินค้าที่ทั้งเข้าและออกในท่าเรือแห่งนี้ รถบรรทุกจำนวนมากที่รอคิวในการขนส่งสินค้า ซึ่งเรื่องของขนาดพื้นที่นี้ก็ส่งผลไปถึงการตรวจสอบสินค้าที่นำเข้ามาด้วยโดยภาพที่อาจเห็นจนชินตาสำหรับคนที่เข้ามายังท่าเรือแห่งนี้ก็คือ การที่เจ้าหน้าที่สุ่มตรวจสินค้าที่นำเข้ามาโดยการเปิดตรวจด้วยสายตากันสดๆ ที่ข้างถนนบริเวณท่าเรือซึ่งเต็มไปด้วยรถสิบล้อที่เข้ามาขนของตลอดเวลา โดยการตรวจสอบตรงนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นการตรวจสอบเบื้องต้นด้วยตาเปล่าแต่ก็เป็นภาพที่มองได้หลายอย่าง ซึ่งก็จะอิงไปในทางที่ไมีค่อยดีนัก ถึงแม้จะได้รับการชี้แจงว่าจะมีการเก็บตัวอย่างเข้าไปตรวจสอบในแล็บอีกที แต่ในความเป็นจริงที่ได้รับรู้มานั้นกว่าที่ผลตรวจจะออกมานั้นสินค้าเหล่านี้ก็ได้กระจายไปสู่ผู้บริโภคเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมาตรฐานการตรวจสอบตรงนี้ถือมีช่องโหว่ที่จะทำให้สินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือว่ามีสิ่งปลอมปนที่เป็นอันตรายหลุดรอดมาสู่ผู้บริโภคบ้านเราได้ง่าย เพราะลำพังการตรวจด้วยสายตาเป็นอันดับแรกนั้นคงไม่สามารถตรวจสอบได้มาก การเปิดการค้าเสรีไทยจีนถึงแม้จะมีข้อมูลบางส่วนบอกว่าเราได้ดุลการค้า เพราะเราส่งออกยางแผ่นรมควันและลำไยอบแห้งไปยังจีนเป็นจำนวนมาก ซึ่งมากกว่ามูลค่าสินค้าที่จีนส่งเข้ามาในบ้านเรา แต่จากมาตฐานการตรวจสอบสินค้าที่นำเข้ามานี้เราอาจเสียเปรียบเรื่องของมาตรฐานการตรวจสอบสินค้า เพราะด้วยระบบและขั้นตอนที่ไม่เอื้ออำนวยนี้ทำให้สินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานและอันตรายบางส่วนหลุดรอดเข้ามาในบ้านเรามากขึ้น ซึ่งตรงนี้ก็ต้องหวังให้ผู้มีส่วนรับผิดชอบเข้ามาจัดการระบบการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าที่นำเข้าให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทั้งหมดเน้นการบูรณาการในการทำงานกันให้มากขึ้น เพื่อความปลอดภัยของประชาชนภายในประเทศ (สยามรัฐรายวัน เสาร์ที่ 17 ธ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ภูเก็ต-กรุงเทพเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมเอเชีย

น.ส.เอื้อมพร จิรกาลวิศัลย์ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสิงคโปร์ เป็นผู้แทน ททท. เข้ารับรางวัล Time Readers’ Travel Choice Awards 2005 ในงานประกาศรางวัลผลสำรวจความนิยมผู้อ่านของนิตยสารไทม์ ทางด้านการเดินทางท่องเที่ยวประจำปี 2548 โดยที่ จ.ภูเก็ต และกรุงเทพฯ คว้ารางวัลจุดหมายปลายทางเพื่อการพักผ่อน ยอดนิยมอันดับ 2 และ 3 ในเอเชีย รองจากบาหลี ขณะที่ โรงแรมบันยันทรี จ.ภูเก็ต ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ประเภท Favorite holiday destination แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่สดใสในการฟื้นตัวจากภัยพิบัติสึนามิ ของแหล่งท่องเที่ยวแถบอันดามันที่ยังคงมีชื่อเสียงในสายตาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และเริ่มกลับมาอยู่ในความนิยมของนักท่องเที่ยวอีกครั้ง ทั้งนี้ ผลการจัดอันดับดังกล่าวมาจากการสำรวจความนิยมจากผู้อ่านระหว่างวันที่ 18 เม.ย.–24 มิ.ย. 2548 เกี่ยวกับจุดหมายปลายทางในเอเชียเพื่อการพักผ่อนยอดนิยม (Favorite holiday destination) (ไทยรัฐ อาทิตย์ที่ 18 ธ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215