หัวข้อข่าวปีที่ 7 ฉบับที่ 16 ประจำวันที่ 2006-04-24

ข่าวการศึกษา

‘SMaRT School’ เปิดโลกเด็กคือสร้างสรรค์ค์ผ่าน ICT
เผย น.ศ.จีนทางตอนใต้ ลูกค้ารายใหญ่ของไทย
มส.หนุนเปิดหลักสูตรพระเครื่อง
จุฬาฯเปิดหลักสูตรใหม่ปริญญาโท-เอก สหสาขา"วิศวกรรมชีวเวช"รุ่นแรก มุ่งพัฒนาเครื่องมือทางการแพทย์
ม.ราชภัฏลำปางปลื้มมาตรฐาน เครือข่ายตรวจสอบวิทยาศาสตร์
"มฟล."เปิดคณะใหม่พยาบาลศาสตร์ปี 50
"ผู้ดี"ลด2ปีจบปริญญาตรี
เซียนคอมพิวเตอร์รั้วศรีปทุม คว้าแชมป์ MOS Olympic2006OO
JGSEE รับปริญญาโท-เอกพลังงาน
ตั้งเป้าผลิตป.เอก5พันคนใน15ปี

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

เปิดใช้กล้องโทรทรรศน์รับสัญญาณ ส่งมาจากมนุษย์ต่างดาวไกลลิบ
สารบอแรกซ์ในหมึกกรอบ
สสวท.จับมือออสซี่พัฒนาสื่อการสอนดิจิตอล
"กูเกิ้ล"เปิดบริการใหม่
พบซาก"ฟอสซิลเอธิโอเปีย" โยง"วิวัฒนาการมนุษย์"ครั้งสำคัญ
หุ่นยนต์-หุ่นผู้หญิง
อินเดียเตือนพิษกระดาษเงินห่อของ ปล่อยสารก่อมะเร็งเข้าสู่ร่างกาย
จราจรอัจฉริยะ...
กาวแบคทีเรียเหนียวที่สุดในโลก
วิจัยพบแบคทีเรียในป่าธรรมชาติ ดูดซับก๊าซเรือนกระจกชั้นเยี่ยม
"กระป๋อง-กะละมัง"สร้างสรรค์ นวัตกรรมอินเตอร์เน็ตไร้สาย
ผู้ประกอบการไทยโชว์ฝีมืพัฒนาสารกำจัดลูกน้ำยุงลาย
เลือดจากรก (Umbilical cord blood)
สัญญาณโลกร้อน ธารน้ำแข็งแห่งอาร์เจนตินาหลอมละลาย
หมอรามาชูเทคนิคใหม่ผ่าตัดข้อเข่าเสื่อม

ข่าววิจัย/พัฒนา

บำบัดน้ำเสียด้วยระบบปิด สามารถนำเป็นพลังงานทดแทนได้
ครั้งแรกในโลกวิจัยตรวจ ‘มะเร็งท่อน้ำดี’ จากเลือด
เครื่องบีบน้ำมันพืชอย่างง่ายใช้เกลียวอัดปลอดสารตกค้าง
เครื่องกลั่น‘น้ำส้มควันไม้’ด้วยระบบทำความเย็น
จุฬาฯ วิจัยวางยาสลบปลา พึ่งสมุนไพรไทยแทนยานำเข้า-ไร้สารตกค้าง
คอนกรีตนาโนสร้างถนนผิวเรียบราคาถูก
เครื่องเป่าชี้ตัวคนเมาทันที2 วินาทีแจ้งผลประหยัดเวลาคนขับ-จราจร
ราสเบอร์รี่กันมะเร็งดีกว่าผลมะเขือเทศ
ลดแคลอรีจากอาหารลง 1 ใน 4 ทำให้อายุยืนขึ้น
อาหารแคลอรีสูง เสี่ยงมะเร็งลำไส้
สนช.พบสารต้านอนุมูลอิสระลำไย พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ
มข.คิดชุดตรวจโรคเมลิออยโดสิส
วช.วิจัยเพิ่มค่าหอยกาบน้ำจืดผลิตไข่มุก ชี้เปลือกสกัดทำฟันปลอม พร้อมหนุนเกษตรกรเพาะเลี้ยง
มะกันใช้"ส้ม-มะนาว" แปรรูปผลิตเอทานอล
มด(เก่า)แก่กว่าที่คิด
กะเพราไล่ยุง
"ฝรั่งอบแห้งชนิดแท่ง" อาหารเช้าคุมน้ำหนัก ฝีมือนักศึกษา"มทร.พระนคร"
“เทคนิคการแพทย์” มช.สร้างตู้ดูภาพรังสีเต้านม
แบคทีเรียใหม่บำบัดน้ำเสีย นศ.มหิดลเจ๋งคว้า1ล้านงานแผนธุรกิจสหรัฐ
ศ.ดร.วิชัย ริ้วตระกูล คว้ารางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ
"เครื่องคั่วและป่นพริก" ชนะเลิศสิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์
ศูนย์วิจัยปตท.นำร่องใช้ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง เล็งเพิ่มกำลังผลิตเป็น 250 จากเฟสแรก 50 กิโลวัตต์
รากฟันเทียมแบบฉบับคนเอเชีย ระดมทันตแพทย์พัฒนาคาด 3 ปีใช้จริง

ข่าวทั่วไป

ป้องภัยแสงแดดให้ถูกวิธี
แพทย์เผยหญิงเสี่ยง ‘ไมเกรน’ กว่าชาย
แพทย์เตือนมือสั่นเกร็งเคลื่อนไหวผิดปกติควรพบแพทย์
ฮ่องกงเตือนภัยผ่าเสริมอึ๋ม ฉีด"โพลีอะครีลามายด์"สุดอันตราย
จีนห้ามขายคอมพิวเตอร์ไร้ซอฟต์แวร์
พระราชทานรางวัล The King of Thailand Vetiver Awards ในการประชุมหญ้าแฝกนานาชาติครั้งที่ 4 ประเทศเวเนซุเอลา
ลำปางบูมเครื่องปั่นเซรามิก หนุน “ร้านอาหาร” ใช้ผลิตภัณฑ์
แผนพัฒนาชาติ
"ในหลวง"นักพัฒนา-ยูเอ็นถวายรางวัล
ราชภัฏจอมบึงทำใจดึงมวลชนร่วมวงวิจัย ยืดเวลาสรุปผลโรงไฟฟ้าราชบุรี-ตอบโจทย์ฝนกรด
กินอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียน หนีห่างจากโรคสมองเสื่อม
แอปเปิลแทนยา
แนะ 10 วิธีรักษาคุณภาพเสียงดี
สร้างหิมะเทียมให้"หมีแพนด้า"





ข่าวการศึกษา


‘SMaRT School’ เปิดโลกเด็กคือสร้างสรรค์ค์ผ่าน ICT

“สมาร์ทสคูล” (SMaRT School) เป็นอีกหนึ่งโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหราชอาณาจักร ที่ดำเนินการภายใต้โครงการตอบแทนคืนทางเศรษฐกิจรูปแบบต่าง ๆ ระหว่าง 2 ประเทศ โดยในส่วนของรัฐบาลไทยมีกระทรวงกลาโหมร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยมอบหมายให้สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) รับผิดชอบในการจัดโครงการ SMaRT School ซึ่งมีจุดเด่นคือการนำ ICT มาใช้ในการจัดการเรียนการสอน การออกแบบเทคโนโลยี ที่มีการนำบางส่วนในหลักสูตรของสหราชอาณาจักรมาทดลองใช้ในโรงเรียนนำร่องของไทย ซึ่งได้บูรณาการกับวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ให้ทัดเทียมกับประเทศที่เป็นผู้นำทางเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว และที่สำคัญทำให้ครูสามารถจัดการเรียนการสอนวิชาดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนักเรียนได้คิดอย่างสร้างสรรค์และได้ลงมือปฏิบัติจริง โรงเรียนนำร่องในโครงการ SMaRT School ได้ปูพรมใน 10 โรงเรียน ซึ่ง รร.ตราษตระการคุณ จ.ตราด ก็เป็นหนึ่งในโรงเรียนนำร่องที่ได้ดำเนินการมา 1 ปีการศึกษาแล้ว ซึ่งจากการเปิดศูนย์ SMaRT School อย่างเป็นทางการ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ดร.ประวิช รัตนเพียร รักษาการรมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มองว่า การพัฒนาประเทศควรเริ่มต้นที่การพัฒนาคน พัฒนาองค์ความรู้และการเรียนรู้ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาการเรียนรู้ให้ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งโครงการ SMaRT School นับเป็นมิติใหม่แห่งการเรียนรู้ที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนช่วยในการจัดการเรียนการสอน ให้ผู้เรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างผลงาน เกิดองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีระดับโรงเรียน ซึ่งเป็นองค์ความรู้ใหม่ที่ประเทศไทยเพิ่งเริ่มจัดให้มีการเรียนการสอนอย่าง เป็นทางการ และการที่ประเทศไทยสนับสนุนโครงการดังกล่าว จะส่งผลให้เกิดการพัฒนาทางด้านการศึกษาเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ อันจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืนต่อไป โครงการ SMaRT School ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการเรียนรู้ และเป็นเพียงวิชาเสริมที่นำมาจัดในโรงเรียนเท่านั้น โดยมี 4 หลักสูตร คือ 1.หลักสูตร Primary Design and Technology ที่จะเน้นการเตรียมความพร้อมและความเข้าใจในทักษะการสื่อสารด้วยการวาดภาพ ที่ทำให้ผู้เรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์อย่างเป็นระบบ ผ่านกระบวนการเทคโนโลยี 2.หลักสูตร Secondary Design and Technology เน้นการเรียนการสอนการออกแบบและเทคโนโลยี ที่ทำให้ผู้เรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์โครงงานที่จะแก้ปัญหาชีวิตประจำวัน การปูพื้นฐานทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ การใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในการทดสอบการทำงานของวงจร รวมถึงพื้นฐานการป้อนคำสั่งเพื่อควบคุมอุปกรณ์ 3. หลักสูตร CAD/CAM ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงช่วยในการออกแบบและผลิตชิ้นงาน และ 4.หลักสูตร Secondary Design and Technolong ที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ช่วยในการจัดทำสื่อและการเรียนการสอน โดยผ่าน Interactive WhiteBoard ที่นำแหล่งการเรียนรู้จากหลายแหล่งมารวมกัน (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 17 เม.ย. 49 http://www.dailynews.co.th)





เผย น.ศ.จีนทางตอนใต้ ลูกค้ารายใหญ่ของไทย

รศ.ดร.วันชัย ศิริชนะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) เปิดเผยว่า ในปีการศึกษา 2549 นี้ มีนักศึกษาจีน ให้ความสนใจมาเรียนที่ มฟล.จำนวน 30 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นจากทุกปี เนื่องจากในปัจจุบันคนจีนสนใจเรียนภาษาไทยมากขึ้น แม้ว่าในประเทศจีนเองจะมีมหาวิทยาลัยที่เปิดการเรียนการสอนวิชาเอกภาษาไทยอยู่แล้วก็ตาม แต่เพราะการแข่งขันเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของประเทศจีนมีอัตราที่สูงมาก ขณะเดียวกันฐานะทางเศรษฐกิจของคนจีนก็ดีขึ้น ทำให้นักศึกษาจีนที่มีทุนส่วนตัวจะเดินทางออกมาศึกษาต่อต่างประเทศ โดยนักศึกษาจีนที่มาเรียนใน มฟล.ส่วนใหญ่จะมาจากเมืองคุนหมิง มณฑล ยูนนาน และมณฑลอื่น ๆ ทางตอนใต้ของประเทศจีน นอกจากนี้ยังมีเหตุผลอีกประการหนึ่งที่นักศึกษาจีนเลือกมาเรียนที่เมืองไทย คือ เมื่อมาเรียนเมืองไทยแล้วก็จะหาทางไปศึกษาต่อในประเทศที่ 3 เช่น อังกฤษ ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา เป็นต้น สำหรับสาขาที่นักศึกษาจีนให้ความสนใจเป็นพิเศษ คือ สาขาภาษาไทย เพื่อกลับไปประกอบอาชีพล่าม มัคคุเทศก์ หรือทำงานในบริษัทไทยที่เข้าไปเปิดในประเทศจีนซึ่งขณะนี้มีจำนวนมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรนานาชาติที่ได้รับความสนใจจากนักศึกษาจีนไม่น้อย โดยนักศึกษาจีนส่วนใหญ่จะมีความรู้ภาษาอังกฤษค่อนข้างดี การเลือกเรียนหลักสูตรนานาชาติที่มฟล. ก็เพื่อที่จะไปศึกษาต่อในประเทศแถบยุโรป สหรัฐอเมริกา มหาวิทยาลัยไทยจะต้องปรับตัวและทำให้นักศึกษาจีนรู้จักมหาวิทยาลัยของประเทศไทยให้มากขึ้น อย่างไรก็ตามการจัดนิทรรศการเพื่อเชิญชวนนักศึกษาจีนมาเรียนในไทยหรือโรดโชว์ที่ได้มีการจัดไปหลายครั้งนั้น ก็นับว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่งแต่ยังมีข้อจำกัดว่าได้รับความสนใจเฉพาะเมืองหรือปริมณฑลของเมืองที่ไปจัดงานเท่านั้น นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องหอพัก สิ่งอำนวยความสะดวก ที่สะอาด ปลอดภัย ราคายุติธรรม รอไว้ด้วย (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 17 เม.ย. 49 http://www.dailynews.co.th)





มส.หนุนเปิดหลักสูตรพระเครื่อง

พระธรรมกิตติเมธี โฆษกมหาเถรสมาคม (มส.) วัดสัมพันธวงศ์ กล่าวถึงการที่สำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) จัดทำหลักสูตรการเรียนทางไกลในหลักสูตร "การศึกษาพระเครื่องขั้นพื้นฐาน" ว่าผู้ที่มาศึกษาในหลักสูตรนี้ ถ้ามุ่งศึกษาความรู้ด้านประวัติศาสตร์ของวัตถุมงคลหรือปูชนียวัตถุที่ถูกสร้างขึ้นมา ถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะความรู้ด้านประวัติศาสตร์จำเป็นต้องศึกษาไว้ ไม่เช่นนั้นจะขาดหายไป และโดยทั่วไปแล้วคนที่จะมาศึกษาด้านประวัติศาสตร์ของวัตถุมงคล จะไม่ใช่คนที่สร้างวัตถุมงคล แต่จะศึกษาเพราะต้องการอยากรู้ และต้องการรู้ถึงที่มาที่ไปของวัตถุมงคลชิ้นนั้นๆ ที่สำคัญจะทำให้คนที่ศึกษารู้จริงถึงแหล่งที่มา ทำให้จะช่วยป้องกันการถูกหลอกจากพวกมิจฉาชีพได้ การศึกษาด้านพุทธศิลป์ ศิลปะ ประวัติศาสตร์ ของพระเครื่องหรือวัตถุมงคลต่างๆ จะทำให้การสืบต่อถึงศิลปวัฒนธรรม จากรุ่นสู่รุ่น ไม่ขาดหาย สำหรับหลักสูตร "การศึกษาพระเครื่องขั้นพื้นฐาน" คิดขึ้นโดยสถาบันการศึกษาทางไกล กศน.ร่วมกับสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย โดยจะเป็นหลักสูตรการเรียนการสอน 160 ชั่วโมง เนื้อหาหลักสูตรประกอบด้วย การกำเนิดพระเครื่อง การจำแนกพระพิมพ์ พิมพ์ทรงพระเครื่องยอดนิยม วิธีสร้างพระเครื่อง การดูแลรักษา ซึ่งทางสมาคมผู้นิยมพระเครื่องฯ จะให้การสนับสนุนด้านวิทยากร และจะเริ่มเปิดรับสมัครนักศึกษาในเดือนก.ค.นี้ (ข่าวสด อังคารที่ 18 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)





จุฬาฯเปิดหลักสูตรใหม่ปริญญาโท-เอก สหสาขา"วิศวกรรมชีวเวช"รุ่นแรก มุ่งพัฒนาเครื่องมือทางการแพทย์

ข่าวจากบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาฯ ได้เปิดหลักสูตรใหม่ในระดับปริญญาโทและเอก หลักสูตรวิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิต และวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สหสาขาวิชาวิศวกรรมชีวเวช ในปีการศึกษา 2549 นี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตดุษฎีบัณฑิต และมหาบัณฑิตที่มีความรู้ความสามารถด้านวิศวกรรมชีวเวช มีทักษะในการแสวงหาความรู้ มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์และทำการวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ เทคโนโลยี และเครื่องมือ เพื่อแก้ปัญหาได้อย่างมีระบบ มีวิจารณญาณและเจตคติที่ดีในการทำงาน สามารถใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมชีวเวชเพื่อสร้างความเจริญก้าวหน้าให้ประเทศชาติ ทั้งนี้ วิศวกรรมชีวเวช (Biomedical Engineering) เป็นศาสตร์ที่สำคัญแขนงหนึ่งเกี่ยวข้องกับการนำองค์ความรู้และเทคโนโลยีทางวิศวกรรมศาสตร์มาประยุกต์และพัฒนาองค์ความรู้ และนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อพัฒนาอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ให้มีประสิทธิภาพ สำหรับการตรวจวินิจฉัย วิเคราะห์ รักษา และการเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้ป่วยหรือผู้พิการ โดยบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาฯ ได้ผนึกความร่วมมือระหว่างผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาต่างๆ เปิดสอนเป็นหลักสูตรในลักษณะสหสาขาวิชา สำหรับคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครเข้าศึกษาในหลักสูตรนี้ ต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทหรือปริญญาตรีทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ วิศวกรรมชีวเวช วิทยาศาสตร์กายภาพ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาฯ โทร.0-2218-3502-5 (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 20 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th)





ม.ราชภัฏลำปางปลื้มมาตรฐาน เครือข่ายตรวจสอบวิทยาศาสตร์

นายวิลาศ พุ่มพิมล คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) ลำปาง เปิดเผยว่า คณะวิทยาศาสตร์ มรภ.ลำปางได้ผ่านการประเมินจากกรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ ให้เป็นเครือข่ายห้องปฏิบัติการดำเนินการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์อีกแห่งหนึ่งจากทั้งหมด 13 แห่งในคณะวิทยาศาสตร์ หรือศูนย์วิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ประยุกต์ มหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ ซึ่งจะทำให้คณะวิทยาศาสตร์ มรภ.ลำปางสามารถตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ได้หลากหลาย และรองรับการขอใช้บริการจากหน่วยงานต่างๆ ได้เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดความร่วมมือช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรมจึงได้มีการลงนามบันทึกความร่วมมือทางวิชาการกับกรมวิทยาศาสตร์บริการ โดยระยะแรกกรมวิทยาศาสตร์บริการจะเป็นพี่เลี้ยงให้ความรู้เกี่ยวกับขั้นตอนการเข้าสู่มาตรฐาน ISO 17025 และการให้ความช่วยเหลือด้านการอบรมเทคนิคเฉพาะทางกับอาจารย์และเจ้าหน้าที่ และปีนี้คณะวิทยาศาสตร์จะดำเนินการตามระบบเพื่อเข้าสู่การรับรองมาตรฐานดังกล่าว และให้บริการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์แก่หน่วยงานต่างๆ อย่างต่อเนื่อง (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 20 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th)





"มฟล."เปิดคณะใหม่พยาบาลศาสตร์ปี 50

รศ.ดร.วันชัย ศิริชนะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) เปิดเผยว่าในปี 2550 นี้ มฟล.จะเปิดสำนักวิชาพยาบาลศาสตร์ เพื่อเป็นการเจริญรอยตามพระยุคลบาทสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่พระองค์ทรงเป็นพยาบาลและให้ความสำคัญกับงานการพยาบาลมาโดยตลอด อีกทั้งวิชาชีพพยาบาลยังเป็นที่ต้องการของสังคมอีกจำนวนมาก ดังนั้น มฟล.จึงมีนโยบายที่การแก้ปัญหาดังกล่าว ทั้งนี้การเรียนการสอนในด้านวิชาก่อนคลินิก เช่น กายวิภาค เภสัชวิทยา วิทยาศาสตร์พื้นฐาน สามารถใช้ห้องปฏิบัติการร่วมกับสำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพที่มีอยู่แล้วได้ ทำให้ไม่สิ้นเปลืองทรัพยากร ส่วนการฝึกงานของนักศึกษาจะใช้โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ซึ่งเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นความตกลงร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข คาดว่าจะเริ่มรับนักศึกษารุ่นแรกในปี 2550 จำนวน 100 คน ขณะนี้กำลังทยอยรับอาจารย์จำนวน 20 คนและอยู่ระหว่างการจัดทำหลักสูตรโดยมีรศ.ดร.ทัศนา บุญทอง เลขาธิการสมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยเป็นผู้ร่าง ทั้งนี้จะเป็นหลักสูตรภาคภาษาอังกฤษ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถปฏิบัติงานได้ทั้งในและนอกประเทศ นอกจากนี้จะเสริมการบริการด้านการแพทย์แผนไทยประยุกต์ เช่น การนวด การฝังเข็ม หรือการบำบัดวิชาชีพอื่น ๆ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับประโยชน์สูงสุด โดยไม่ต้องไปก้าวก่ายวิชาชีพแพทย์ (ข่าวสด พุธที่ 19 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)





"ผู้ดี"ลด2ปีจบปริญญาตรี

เมื่อวันที่ 18 เม.ย. บีบีซีรายงานว่า มหาวิทยาลัย 5 แห่งของอังกฤษจะนำร่องทดลองให้นักศึกษาเรียนจบปริญญาตรีภายใน 2 ปี แทนที่จะเป็น 3 ปีตามปกติ ในเดือนกันยายนนี้ เพื่อรองรับความต้องการของตลาดงานและเพื่อแข่งขันกับประเทศอื่นๆ เช่น อินเดียและจีนที่กำลังก้าวเข้ามาเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจ นายบิล แรมเนล รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า หลักสูตรเร่งรัดด้วยการให้นักศึกษาเรียนในช่วงฤดูร้อนและการเพิ่มการเรียนการสอนจะทำให้นักศึกษาเสียค่าใช้จ่ายน้อยลงและทำงานได้เร็วขึ้น (ข่าวสด พุธที่ 19 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)





เซียนคอมพิวเตอร์รั้วศรีปทุม คว้าแชมป์ MOS Olympic2006OO

การแข่งขัน Microsoft Office Specialist (MOS) Olympic Thailand Competition 2006 จัดโดยสถาบันไอทีไอที ร่วมกับ อุทยานการเรียนรู้ (TK Park) และบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ผ่านมามีนักเรียน นักศึกษาจากโรงเรียนและสถาบันอุดมศึกษาในประเทศให้ความสนใจเข้าร่วมแข่งขันเป็นจำนวนมาก การแข่งขันแบ่งออกเป็น 2 รอบ รอบแรก แข่งในระดับภาค จากนั้นจึงนำผู้ที่มีคะแนนผ่านเกณฑ์มาแข่งขันรอบสุดท้ายที่กรุงเทพฯ ณ อุทยานการเรียนรู้ (TK Park) ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ พลาซา ผลปรากฏว่า นายสิริวุฒิ เฉลยญาณ นักศึกษาคณะสารสนเทศศาสตร์ สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยศรีปทุม ทำคะแนนสูงสุด 782 คะแนนจากคะแนนเต็ม 1,000 คะแนน คว้ารางวัลชนะเลิศในการแข่งขันประเภท ไมโครซอฟท์ ออฟฟิศ 2000 รุ่นภาษาไทย โปรแกรมไมโครซอฟท์ เวิร์ด 2000 สำหรับรางวัลที่สิริวุฒิได้รับประกอบด้วย รางวัลเงินสดจำนวน 20,000 บาท โล่เกียรติยศ วุฒิบัตร และโปรแกรมไมโครซอฟท์ตัวลิขสิทธิ์ โดยมี ดร.สิริกร มณีรินทร์ ผู้บริหารอุทยานการเรียนรู้ (TK Park) เป็นประธานมอบรางวัล (ข่าวสด ศุกร์ที่ 21 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)





JGSEE รับปริญญาโท-เอกพลังงาน

บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) กำลังเปิดรับผู้สนใจเข้าศึกษาต่อ ในระดับปริญญาโท-เอก ในหลักสูตรานานาชาติ ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม โดยมีสาขาวิชาหลัก 2 ด้าน คือ ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและด้านการวางแผนจัดการ ทั้งนี้ ผู้ผ่านการคัดเลือกเข้าศึกษาจะได้รับทุนการศึกษาและทุนวิจัยตลอดหลักสูตร และร่วมทำงานวิจัยกับสถาบันร่วมทั้งในประเทศและต่างประเทศ สนใจสอบถามและสมัครด้วยตนเองที่ฝ่ายการศึกษา มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี โทร.0-2470-8337-8 หรือดาวน์โหลดใบสมัครที่ www.jgsee.kmutt.ac.th ปิดรับวันที่ 28 เม.ย.นี้ (สยามรัฐ เสาร์ที่ 22 เม.ย. 49 http://www.siamrath.co.th)





ตั้งเป้าผลิตป.เอก5พันคนใน15ปี

ศ.นักสิทธิ์ คูวัฒนาชัย ผู้อำนวยการโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) เปิดเผยในงานจัดประชุมวิชาการโครงการปริญญาเอก คปก. ครั้งที่ 7 ที่โรงแรมจอมเทียน ปาล์มบีช รีสอร์ท พัทยา ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-21 เมษายน นี้ว่า คปก. ได้ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (ทบวงมหาวิทยาลัย) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดการประชุมขึ้นเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบบวิจัยและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ มีเป้าหมายผลิตนักวิจัยระดับปริญญาเอกในระยะแรกจำนวน 5,000 คน ภายในเวลา 15 ปี (ปี 2540-2554) โดยมีมาตรการควบคุมคุณภาพงานวิจัย 3 ด้าน คือ 1.คัดเลือกอาจารย์ที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและมีผลงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนร่วมมือกับอาจารย์ในสถาบันชั้นนำในต่างประเทศ 2. คัดเลือกนักศึกษาที่มีความสามารถสูง โดยวุฒิปริญญาตรีจะต้องได้เกียรตินิยม ปริญญาโทต้องมีผลการเรียนระดับดี มีผลงานตีพิมพ์เผยแพร่ และ 3. ผู้ได้รับทุน คปก. จะต้องตีพิมพ์ผลงานวิจัยในวารสารวิชาการนานาชาติ หรือยื่นขอจดสิทธิบัตรก่อนสำเร็จการศึกษา ซึ่งระหว่างกำลังวิจัยปริญญาเอก นักศึกษาจะมีโอกาสไปทำวิจัยในต่างประเทศ เพื่อเป็นการเปิดโลกทัศน์ด้านการวิจัยด้วย ในปัจจุบัน คปก. ให้ทุนไปแล้ว 1,700 คน มีโครงการร่วมมือกับต่างประเทศ 1,570 โครงการ มีอาจารย์ที่ปรึกษาต่างประเทศ 1,338 คน มีมหาวิทยาลัย 300 แห่ง จาก 37 ประเทศทั่วโลก สามารถผลิตบุคลากรปริญญาเอกได้แล้ว 500 คน ในการผลิตบัณฑิตทุน คปก.นั้น มีค่าใช้จ่าย 1.7 ล้านบาทต่อคน ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับการส่งนักศึกษาไปต่างประเทศที่จะต้องใช้งบประมาณคนละ 6 ล้านบาท ดังนั้น หากสามารถผลิตดุษฎีบัณฑิตปริญญาเอกได้ตามเป้า คือ 5,000 คน ก็จะช่วยประหยัดงบได้ถึง 21,500 ล้านบาท ขณะนี้สามารถผลิตงานวิจัยที่เผยแพร่ในวารสารนานาชาติไปแล้ว 1,195 เรื่อง จดสิทธิบัตรได้แล้ว 27 เรื่อง (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 21 เม.ย. 49 http://www.bangkokbiznews.com)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


เปิดใช้กล้องโทรทรรศน์รับสัญญาณ ส่งมาจากมนุษย์ต่างดาวไกลลิบ

หอดูดาวแมสซาชูเสตต์ของสหรัฐฯ ได้เปิดใช้กล้องโทรทรรศน์แรงสูงอันใหม่ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อใช้รับสัญญาณแสง ที่อาจส่งมาจากมนุษย์ต่างดาว แม่กองโครงการ นายบรูซ เบตตส์ แห่งสมาคมระหว่างดวงดาว อันเป็นกลุ่มซึ่งสนับสนุนการ สำรวจอวกาศและให้ทุนสร้างกล้องขึ้น กล่าวว่า การเปิด กล้องนี้ถือได้ว่าเป็นก้าวอันหาได้ยาก ในความพยายามทางวิทยาศาสตร์เมื่อมีโอกาสเปิดให้ มันเป็นกล้องอันแรกที่สร้างขึ้น เพื่อจะใช้กวาดท้องฟ้าหาสัญญาณแสงที่ส่งมาจากมนุษย์ต่างดาว กล้องจะสามารถกวาดคลุม พื้นที่ของท้องฟ้า ได้กว้างขวางใหญ่โตมากยิ่งกว่าอุปกรณ์ที่มีใช้กันอยู่ในปัจจุบันถึง 100,000 เท่า เขาบอกต่อไปว่า “การส่งสัญญาณแสงเลเซอร์ ข้ามจักรวาล เป็นหนทางที่เป็นไปได้ที่มนุษย์ต่างดาวอาจจะทำได้ แต่เรามีเครื่องมือไม่ดีพอที่จะรับสัญญาณ เหล่านี้ได้ มาจนกระทั่งบัดนี้” นักวิจัยกล่าวแสดงความเห็นว่า อารยธรรมบนโลกอื่นอาจจะส่งสัญญาณแสงมาให้มากกว่าที่จะพยายามติดต่อด้วยวิทยุ สัญญาณแสงที่อาจจะรวมกันเป็นลำจะช่วยส่งข้อมูลมาให้ดีกว่า. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 17 เม.ย. 49 http://www.thairath.co.th)





สารบอแรกซ์ในหมึกกรอบ

บอแรกซ์ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าน้ำประสานทองนั้น เป็นสารอนินทรีย์สังเคราะห์ นิยมใช้กันมากในอุตสาหกรรมทำแก้วและเครื่องเคลือบ ไม่ใช้รับประทาน หากรับประทานเข้าไปในปริมาณน้อยแต่ได้รับติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ นอกจากนี้ พิษที่สะสมอยู่ในร่างกายจะทำให้เกิดอาการกรวยไตอักเสบได้ สำหรับวิธีสังเกตกันอย่างง่ายๆ สำหรับอาหารที่ใส่บอแรกซ์ มีดังนี้ อาหารทอดและอาหารประเภทอื่นๆ ควรสังเกตว่า ถ้าทอดมานานแล้วหลายชั่วโมง หากยังมีลักษณะที่กรอบอยู่ก็ไม่ควรรับประทาน เพราะอาจมีสารบอแรกซ์เจือปนอยู่ เพื่อความปลอดภัย มีมาตรฐานเกี่ยวกับสารบอแรกซ์ในอาหาร ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 151 (พ.ศ.2536) กำหนดให้วัตถุจำนวน 12 ชนิด ห้ามใช้ในอาหาร ซึ่งรวมถึงสารบอแรกซ์ด้วย และเพื่อยืนยันความปลอดภัย สถาบันอาหารจึงได้สุ่มตัวอย่างหมึกกรอบ (ที่ใส่ในเย็นตาโฟ) ตามย่านต่างๆ ในเขตกรุงเทพฯ เพื่อนำมาวิเคราะห์หาสารบอแรกซ์ปนเปื้อน จำนวน 5 ตัวอย่าง จากผลการวิเคราะห์มีความปลอดภัย (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 17 เม.ย. 49 http://www.thairath.co.th)





สสวท.จับมือออสซี่พัฒนาสื่อการสอนดิจิตอล

ดร.พรพรรณ ไวทยางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงศึกษาธิการของไทย โดย สสวท.ได้ร่วมกับประเทศออสเตรเลีย ทำโครงการพัฒนาสื่อดิจิตอลคุณภาพสูง ในชื่อ Learning Object นั้น ขณะนี้ สสวท. ได้พัฒนาสื่อดิจิตอลฯ สำหรับช่วงชั้นที่ 2 ถึงช่วงชั้นที่ 4 เสร็จเรียบร้อยแล้ว จำนวน 17 เรื่อง ได้แก่ กำเนิดแมกม่า ชนิดของแมกม่า กำเนิดหินอัคนี ชนิดของหินอัคนี ห้องหินตะกอน ตะกร้อลอดห่วง ความรักของต้นถั่ว การออกแบบกล่องใส่ซีดี ดีเอ็นเอลูกผสม กฎของบอยล์ การเปรียบเทียบเศษส่วน พีเอชดิน เกมต่อติด รอบรู้เรื่องแลน การแปลงรหัส ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริค มองต่างมุม ซึ่งสื่อดังกล่าวจะครอบคลุมเนื้อหาสาระการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี ช่วงเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2549 นี้ สสวท.จะเริ่มเผยแพร่สื่อดิจิตอลฯที่ได้พัฒนาขึ้นทั้งหมดไปยังสถานศึกษาทั่วประเทศ และจะจัดให้มีการอบรมครู เพื่อให้ครูผู้สอนสามารถนำไปใช้เป็นสื่อการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสม ตามศักยภาพและความสนใจที่หลากหลายแตกต่างของผู้เรียนแต่ละคน นอกจากนี้จะมีการเผยแพร่สื่อดิจิตอลฯเหล่านั้นผ่านทาง www.ipst.ac.th สำหรับโรงเรียนที่มีอินเทอร์เน็ต ซึ่งครูและผู้สนใจทั่วไปสามารถดาวน์โหลดไปใช้ได้ฟรี ในขณะเดียวกันก็จะจัดทำเป็นซีดีแจกจ่ายไปยังโรงเรียนที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ สสวท.ยังได้ แปล Learning Object ที่ผลิตโดยประเทศออสเตรเลียเป็นภาษาไทย อีกจำนวน 5 เรื่อง โดยสื่อที่คัดเลือกมาแปลเป็นภาษาไทยนั้นได้คำนึงถึงความเหมาะสมและสอดคล้องกับหลักสูตรและผู้เรียนในประเทศไทย (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 17 เม.ย. 49 http://www.dailynews.co.th)





"กูเกิ้ล"เปิดบริการใหม่

บริษัท "กูเกิ้ล" ยักษ์ใหญ่เว็บไซต์สืบค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเปิดให้บริการจัดตารางเวลา หรือปฏิทินออนไลน์แบบใหม่ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถจัดการนัดหมายผ่านระบบออนไลน์ได้รับการแจ้งเตือนและแลกเปลี่ยนแผนการกับบุคคลอื่น ปฏิทินออนไลน์ของกูเกิ้ลเริ่มเปิดใช้ตั้งแต่สัปดาห์ก่อน ออกแบบขึ้นเพื่อสร้างความสะดวกสบายให้ผู้ใช้ในการเข้าถึงผ่านเว็บไซต์ http://www.google.com/calendar นอกจากนั้นมีการส่งข้อมูลผ่านทาง "จีเมล์" ซึ่งเป็นบริการอีเมล์ของกูเกิ้ลเพื่อแสดงผลอัตโนมัติเมื่อมีข้อความระบุเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ปฏิทินกูเกิ้ลเป็นบริการล่าสุด ซึ่งนักวิเคราะห์ระบุว่ากำลังเข้ามาแทนที่บริการค้นหา ซึ่งเป็นบริการหลักของกูเกิ้ล ที่ผ่านมากูเกิ้ลเผชิญการแข่งขันกับบริษัท "ยาฮู!" และ "เอ็มเอสเอ็น" ของบริษัทไมโครซอฟท์ ที่เปิดให้บริการจดหมายอีเมล์ ข่าวสาร แลกเปลี่ยนรูปภาพ ข้อความเร่งด่วน การซื้อของ บริการแผนที่ และการเงินมานานกว่า 4 ปี กูเกิ้ลตั้งเป้าว่า ปฏิทินออนไลน์จะช่วยให้ผู้ใช้บริการจัดข้อมูลและเข้าถึงได้ง่าย และการบริการใหม่ดังกล่าวจะทำให้กูเกิ้ลสามารถแข่งขันกับยาฮู! ที่ให้บริการปฏิทินมาตั้งแต่ปี 2541 รูปแบบดังกล่าวช่วยให้ผู้ใช้ปฏิทินกูเกิ้ลส่งบัตรเชิญและจัดทำรายชื่อแขกผ่านเว็บ Evite.com ที่ให้บริการส่งบัตรเชิญออนไลน์ ทั้งนี้ กูเกิ้ลหวังจะได้รับประโยชน์จากบริการปฏิทินและอื่นๆ เพื่อครองใจลูกค้าต่อไป (ข่าวสด จันทรที่ 17 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)





พบซาก"ฟอสซิลเอธิโอเปีย" โยง"วิวัฒนาการมนุษย์"ครั้งสำคัญ

นักชีววิทยาด้านพืชและสัตว์โบราณจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า ฟอสซิลอายุ 4 ล้านปีจำนวน 8 ชิ้นที่พบในเอธิโอเปียเป็นหลักฐานชัดเจนชิ้นแรกที่เชื่อมโยงวิวัฒนาการของมนุษย์ 2 ขั้นตอนสำคัญ เพราะสามารถเติมเต็มช่องว่างของสิ่งมีชีวิตยุคก่อนมนุษย์ปัจจุบัน 2 สายพันธุ์ วารสาร "เนเชอร์" ฉบับล่าสุด ตีพิมพ์คำอธิบายของนักมานุษยวิทยาเกี่ยวกับการค้นพบฟอสซิลดังกล่าวว่า ซึ่งเป็นครั้งแรกที่สามารถเชื่อมโยงขั้นตอนวิวัฒนาการของมนุษย์ขั้นแรกและขั้นที่ 2 ฟอสซิล 8 ชิ้นถูกพบในแคว้นอะฟาร์ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเอธิโอเปีย เป็นซากของสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ "ออสทราโลปิเธกัส อะนาเมนซิส" อยู่ในกลุ่ม "ออสทราโลปิเธกัส จีนัส" ที่เชื่อกันว่าเป็นบรรพบุรุษสายตรงของมนุษย์ ฟอสซิลเหล่านี้มีลักษณะทางกายวิภาคอยู่ระหว่างสายพันธุ์อาร์ดิปิเธกัส รามิดัส กับออสทราโลปิเธกัส อะฟาเรนซิส สภาพแวดล้อมทางนิเวศวิทยาของสถานที่พบฟอสซิลบ่งชี้ว่าสิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้เป็นพวกอาศัยอยู่ในป่า เนเชอร์ระบุด้วยว่า เอธิโอเปียเป็นแหล่งกำเนิดของมนุษย์ เนื่องจากฟอสซิล 3 สายพันธุ์ใหม่ที่พบล้วนอยู่ในเอธิโอเปียเป็นเพียงสถานที่เดียวในโลกที่พบหลักฐานยืนยันขั้นตอนวิวัฒนาการของมนุษย์ถึง 3 ขั้นตอนด้วยกัน (ข่าวสด จันทรที่ 17 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)





หุ่นยนต์-หุ่นผู้หญิง

"โทโมทากะ ทากาฮาชิ" ผู้ก่อตั้งศูนย์พัฒนาหุ่นยนต์ "โรโบ-การาจ" ภายใต้สังกัดมหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น กำลังพยายามประดิษฐ์หุ่นยนต์ที่มีรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นอ่อนช้อยเหมือนกับนางแบบสาวขึ้นมา มีชื่อเรียกเบื้องต้นแบบตรงตัวว่า "หุ่นยนต์ผู้หญิง" หรือ "เอฟที" (Femalt Robot : FT) ต้นแบบที่ทดลองผลิตออกมาแล้วนั้น สูง 35 เซนติเมตร หนัก 800 กรัม ดูลีลาการโพสท่าในภาพต้องบอกว่าไม่ธรรมดาโทโมทากะกับทีมงานสั่งสมชื่อเสียงมาจากการสร้างหุ่นยนต์ดังๆ หลายรุ่น เช่น หุ่นกู้ภัย "เอ็นริว" กับหุ่นคล้ายมนุษย์ "โครอิโน" ที่เดินสองขาได้คล่องแคล่ว ความลับที่ช่วยให้สร้างหุ่นเอฟทีได้สำเร็จก็คือ การติดตั้งอุปกรณ์ "ไจโรเซ็นเซอร์" ขนาดเล็กและบางเฉียบ 2 ตัวเอาไว้ในตัวหุ่น ซึ่งทำหน้าที่คอยควบคุมให้หุ่นหยุดเดินไปข้างหน้าในทันทีที่เริ่มเป๋ จากนั้นเมื่อหุ่นปรับสมดุลได้ที่แล้วจึงค่อยเดินต่อ โทโมทากะมองว่า หุ่นเอฟทีจะเหมาะสำหรับงานประชาสัมพันธ์ และงานอื่นๆ ที่ต้องการภาพลักษณ์ของความนุ่มนวล แต่จะพัฒนาจนสมบูรณ์ถึงขั้นวางตลาดหรือไม่นั้นคงต้องรอดูกันต่อไป (ข่าวสด จันทรที่ 17 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)





อินเดียเตือนพิษกระดาษเงินห่อของ ปล่อยสารก่อมะเร็งเข้าสู่ร่างกาย

ศูนย์วิจัยพิษวิทยาอุตสาหกรรมของอินเดีย กล่าวแจ้งว่า คนอินเดียเรือนล้านพากันกินพิษ พวกโลหะที่ก่อให้เป็นมะเร็งอยู่เป็นประจำ เมื่อ กินขนมและหมากที่ห่อด้วยกระดาษเงินบางๆที่ใช้ห่อเข้าไป เฉลี่ยแล้วปีหนึ่งๆ ชาวภารตะพากันกินกระดาษเงินที่ใช้ห่อสิ่งของต่างๆเข้าไปรวมกันประมาณ 275,000 กิโลกรัม ทางศูนย์กล่าวว่าแผ่นกระดาษเงินที่ห่อขนม และยาสูบตามร้านขายทั่วประเทศ มีสารโลหะนิกเกิล ตะกั่ว โครเมียมและแคดเมียมที่ก่อมะเร็งในปริมาณที่สังเกตได้ เจ้าหน้าที่กล่าวว่า ควรจะห้ามการใช้กระดาษเงินห่อขนมหรือหมากพลูเสีย หรือให้ใช้ภายใต้การควบคุมอย่างเคร่งครัดเท่านั้น ดร.เอสเค คานนา ผู้ร่วมทำรายงานกล่าวว่า เมื่อล่วงล้ำเข้าไปในร่างกาย กระดาษเงินบางๆที่ไม่บริสุทธิ์เหล่านี้จะขับโลหะหนักอย่างพวกนิกเกิล แคดเมียมและโครเมียมออกมา โลหะเหล่านี้ล้วนแต่ก่อมะเร็งและทำให้เป็นมะเร็งขึ้นในที่สุด. (ไทยรัฐ อังคารที่ 18 เม.ย. 49 http://www.thairath.co.th)





จราจรอัจฉริยะ...

ระบบการขนส่งและจราจรอัจฉริยะ (ITS : Inteligent Transport System) หรือการนำเทคโนโลยีพื้นฐานทางด้านคอมพิว เตอร์ อิเล็กทรอนิกส์และการสื่อสาร มาใช้ในการแก้ปัญหาด้านจราจรให้เกิดประสิทธิภาพและคุณภาพ เนคเทค หรือศูนย์ เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอม พิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโน โลยี (สวทช.) ได้จัดตั้ง ITS Cluster เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือและเป็นหน่วยงานวิจัยให้กับโครงการ ITS ต่าง ๆ ผลงานการวิจัยที่เกี่ยวข้อง อย่างเช่น เครือข่ายเซ็นเซอร์ไร้สายสำหรับงานตรวจนับรถยนต์ ดร.จตุพร ชินรุ่งเรือง”นักวิจัยจากเนคเทคเจ้าของผลงานดังกล่าวบอกว่า อุปกรณ์ตรวจนับรถยนต์ปัจจุบันมีอยู่หลายชนิด เช่นท่อลม ขดลวดเหนี่ยวนำ หรือ กล้อง วงจรปิด แต่อุปกรณ์เหล่านี้มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ซึ่งที่สำคัญคือต้องใช้เวลาในการติดตั้ง ใช้กำลังคนและซ่อมบำรุงรักษายาก เนื่องจากเวลาติดตั้งต้องมีการขุดเจาะถนน ส่วนกล้องวงจรปิดนั้นโปรแกรมที่ใช้จะทำได้ยากและมีความถูกต้องแม่นยำน้อยกว่าท่อลมและขดลวดเหนี่ยวนำ เครือข่ายเซ็นเซอร์ไร้สาย จึงได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อลดเวลาในการติดตั้งและซ่อมบำรุง ไม่จำเป็นต้องขุดเจาะพื้นถนน ติดตั้งได้ในเวลาไม่ถึง 10 นาที สามารถติดตั้งได้เกือบทุกจุด เนื่องจากอุปกรณ์ที่ตรวจนับรถยนต์เป็นแบบสัญญาณวิทยุไร้สาย ทำงานโดยใช้แบตเตอรี่ ไม่ต้องลากสายให้ยุ่งยาก เครือข่ายเซ็นเซอร์ไร้สายรุ่นแรกถูกพัฒนาโดยใช้เซ็นเซอร์ชนิดแสง ติดตั้งในชุดลูกข่าย เมื่อรถวิ่งผ่านเซ็นเซอร์แสงจะทำให้เส้นทางปกติของแสงถูกขวางทำให้สามารถตรวจจับได้ว่ามีรถวิ่งผ่านได้ สัญญาณที่ได้จากเซ็นเซอร์แสงจะถูกส่งต่อไปยังหน่วยประมวลผล เมื่อรวบรวมข้อมูลจำนวนรถได้มาก ตามที่กำหนดไว้ ก็จะทำการส่งข้อมูลผ่านคลื่นวิทยุไปยังชุดแม่ข่ายต่อไป นอกจากนี้ยังมีระบบประมวลผลภาพ เพื่อตรวจสภาพการจราจร ซึ่งเป็นการพัฒนาองค์ความรู้ด้าน image processing โดยทำการติดตั้งกล้องวิดีโอและกล้องภาพ นิ่งความละเอียดสูง รวมถึง Servers ณ อาคารมหานครยิบซั่ม เพื่อประมวลผลภาพการจราจรบนทางด่วน ก่อนส่งผ่านสายการ สื่อสารความเร็วสูงมายังห้องปฏิบัติการที่เนคเทค รังสิต จากการประมวลผลภาพทั้งจากวิดีโอ ที่สามารถนับรถและจับความเร็วเฉลี่ยและภาพนิ่งที่เก็บภาพเพื่อจัดทำ ภาพพาโนรามา สามารถนำทั้งสองส่วนมาประกอบกันเพื่อแสดงสภาพการจราจรบนเว็บไซต์ ผู้ใช้สามารถเลือกชมข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ ยังมีโครงการวิจัยที่ ต้นแบบโปรแกรมอ่านป้ายทะเบียนรถ จากกล้องวิดีโอ ซึ่งมีการตัดภาพ และใช้ระบบการรู้จำอักษรหรือ OCR ในการประมวลผล สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการจัดการ การจอดรถอัตโนมัติ จดเวลา เข้า-ออกและคำนวณค่าจอด รวมถึงการรักษาความปลอดภัย ติดตามรถหายและรถที่อยู่ในรายชื่อรถที่ต้องสงสัยได้ และโครงการสุดท้ายที่แม้ว่าปัจจุบันจะยังเป็นเพียงงานวิจัยในกระดาษ คือ การประเมินสภาพการจราจรด้วยข้อมูลจากระบบโทรศัพท์มือถือ ซึ่งประยุกต์ใช้เครือข่ายโทรศัพท์มือถือและเครื่องมือถือที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในการจัดเก็บข้อมูลสภาพการจราจร ช่วยการตัดสินใจในการเลือกใช้เส้นทางของผู้ขับขี่ยานพาหนะ (เดลินิวส์ อังคารที่ 18 เม.ย. 49 http://www.dailynews.co.th)





กาวแบคทีเรียเหนียวที่สุดในโลก

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอินเดียนา ซึ่งค้นพบกาวพิเศษของแบคทีเรียเคาโลแบคเทอร์ครีสเซ็นทัส (Caulobacter crescentus) เป็นกาวที่เหนียวมากที่สุด เหตุที่มันต้องผลิตสารเหนียวมาเป็นกาวเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกพัดพาไปกับกระแสน้ำ แรงยึดเกาะของกาวที่มันผลิตออกมานี้สามารถทนต่อแรงกดดันได้มหาศาล และดีกว่ากาวที่ดีที่สุดที่ขายในท้องตลาดถึง 2-3 เท่า แบคทีเรียที่ว่านี้เป็นแบคทีเรียเซลล์เดียวอาศัยอยู่แถบแม่น้ำ ลำธาร และท่อน้ำ การที่มันจะเกาะอยู่ได้ ไม่ไหลไปกับกระแสน้ำ มันต้องผลิตกาวขึ้นมาไว้ใช้ยึด กาวนี้นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่แน่ใจว่ามีกลไกการยึดเกาะอย่างไร แต่คาดว่ามันน่าจะเป็นสารประเภทน้ำตาลที่มีโปรตีนเป็นส่วนประกอบร่วมด้วย นักวิจัยเสนอว่า กาวที่ยึดเกาะสูงนี้สามารถนำไปใช้งานได้หลายประเภท เช่น นำไปใช้เป็นกาวยึดกับพื้นผิวที่เปียก ที่เป็นไปได้อีกก็อาจเอาไปทำเป็นตัวสมานแผลผ่าตัดทางชีวภาพที่ย่อยสลายได้เอง หรือน่าจะเอาไปใช้ทางด้านวิศกรรมก็ได้ ทว่า การคิดค้นเพื่อผลิตกาวเหนียวหนึบจากแบคทีเรียยังเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง เพราะต้องทำให้ยึดเกาะได้กับทุกสภาพผิว ปัญหาอีกประการคือการประดิษฐ์อุปกรณ์ที่ใช้ผลิตกาวนี้ด้วย ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ ทีมนักวิจัยยังไม่สามารถหาวิธีแงะกาวออกจากพื้นผิวที่ยึดเกาะได้ (อังคารที่ 18 เม.ย. 49 http://www.komchadluek.net)





วิจัยพบแบคทีเรียในป่าธรรมชาติ ดูดซับก๊าซเรือนกระจกชั้นเยี่ยม

ผศ.ดร.อำนาจ ชิดไธสง บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) เปิดเผยว่า ก๊าซเรือนกระจกที่เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ก๊าซไนตรัสออกไซด์ และก๊าซโอโซน จากการวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับก๊าซมีเทนในประเทศไทยพบว่า ป่า เป็นพื้นที่สำคัญที่ทำหน้าที่ควบคุมปริมาณก๊าซมีเทนในบรรยากาศ โดยป่าจะทำหน้าที่ดูดกลับก๊าซมีเทนจากบรรยากาศผ่านกระบวนการทำปฏิกริยากับอ๊อกซิเจน หรือการทำออกซิไดซ์ ทั้งนี้ จากการศึกษาในพื้นที่ 3 แหล่ง คือ ป่าธรรมชาติ ป่าปลูกใหม่ และแหล่งทำการเกษตร พบว่า พื้นที่ป่าธรรมชาติสามารถดูดกลับก๊าซมีเทนจากบรรยากาศได้มากที่สุด รองลงมาคือพื้นที่ป่าปลูกใหม่ แต่ในแหล่งทำการเกษตรไม่พบการลดลงของปริมาตรก๊าซมีเทน นอกจากนี้ จากการเก็บตัวอย่างดินเพื่อศึกษาสิ่งมีชีวิตในดินที่มีผลต่อการลดลงของก๊าซมีเทน พบว่า แบคทีเรียชนิดต่างๆ ในดิน ที่มีความสามารถในการดูดกลับก๊าซมีเทนในบรรยากาศนั้น จะพบในเฉพาะดินป่าธรรมชาติ และป่าปลูกใหม่ แต่แบคทีเรียในดินในพื้นที่ทำการเกษตร ไม่มีความสามารถในการดูดซับก๊าซมีเทนที่ความเข้มข้นระดับบรรยากาศได้ แบคทีเรียที่อยู่ในดินเหล่านี้จะดูดซับก๊าซมีเทนจากบรรยากาศอยู่ตลอดเวลา ปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมันคือ ก๊าซออกซิเจนและก๊าซมีเทนจากบรรยากาศ แบคทีเรียจะไม่สามารถดูดซับก๊าซได้เลยถ้าอยู่ในสภาพไร้ออกซิเจน พื้นดินในป่าเป็นแหล่งที่เหมาะสมในการดำรงชีวิตและการดูดซับก๊าซของแบคทีเรีย เนื่องจากเศษใบไม้ที่ทับถมกันในป่าจะมีการย่อยสลายเป็นอินทรียสารตามธรรมชาติมีช่องว่างในการผ่านเข้าออกของออกซิเจนได้อย่างสะดวก แต่การทำการเกษตรที่ต้องมีการรบกวนผิวดินอยู่เป็นประจำนั้น ทำให้ดินมีการอัดแน่นมากขึ้น ออกซิเจนแทรกเข้าไประหว่างอนุภาคของเม็ดดินได้ลำบาก อีกทั้งยังมีการใส่ปุ๋ย หรือ สารเคมี ที่รบกวนการดำรงชีวิตของแบคทีเรีย ทำให้ศักยภาพในการดูดซับก๊าซมีเทนเปลี่ยนไป ดังนั้น การทำลายป่า นอกจากจะเป็นการทำลายแหล่งสะสมคาร์บอนที่สำคัญแล้ว ยังเป็นการทำลายแหล่งดูดกลับของก๊าซเรือนกระจกมีเทนด้วย ดังนั้น หากมีการปลูกป่าขึ้นใหม่ในพื้นที่เสื่อมโทรม และลดการรบกวนพื้นดินบริเวณนั้น ความสามารถของดินในการเป็นแหล่งดูดกลับก๊าซมีเทนจะฟื้นคืนกลับมาได้ดังเดิม (มติชน อังคารที่ 18 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th)





"กระป๋อง-กะละมัง"สร้างสรรค์ นวัตกรรมอินเตอร์เน็ตไร้สาย

กนกพล เมืองรักษ์ เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์คอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มรท.) ศรีวิชัย วิทยาเขตภาคใต้ จ.สงขลา เป็นผู้คิดค้นนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ร่วมกับอุปกรณ์ในครัวเรือนได้อย่างลงตัว และใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยนำเอากระป๋องนมผงขนาด 270 กรัม ที่ใช้แล้วมาออกแบบเป็นตัวส่งสัญญาณและรับสัญญาณ ทำงานร่วมกับตัวกระจายและรวมสัญญาณด้วยกะละมังอะลูมิเนียมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 30 ซม. โดยอุปกรณ์ดังกล่าวเปรียบเสมือนสายอากาศ ซึ่งมีอุปกรณ์ในการส่ง-รับสัญญาณต่อรวมกับสายอากาศ อุปกรณ์ตัวนี้สามารถกระจายสัญญาณได้ไกลประมาณ 500 เมตร โดยไม่ต้องวางระบบสาย ใช้ต้นทุนเพียง 200 บาท และจากการทดสอบปฏิบัติงานจริงภายในมหาวิทยาลัย และบ้านพักอาจารย์ทุกหลัง พบว่าระบบอินเตอร์เน็ตไร้สายสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยผ่านสายอากาศกระป๋องและกะละมังที่ใช้แล้ว ผู้สนใจติดต่อได้ที่โทร.0-7432-3504-6 ต่อ 1911 (มติชน อังคารที่ 18 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th)





ผู้ประกอบการไทยโชว์ฝีมืพัฒนาสารกำจัดลูกน้ำยุงลาย

นายอรรณพ วงศ์ธิติโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิคาริ เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ เริ่มดำเนินธุรกิจเมื่อปี 2546 ในการผลิตสารกำจัดลูกน้ำยุงลายภายใต้เครื่องหมายการค้าถึง 5 แบรนด์ด้วยกัน จำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากสินค้าที่ผลิตเป็นวัตถุอันตราย จึงเข้มงวดเรื่องความปลอดภัยอย่างมาก มีการตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์ในทุกขั้นตอนของการผลิต โดยได้ทำการทดสอบจริงในหมู่บ้านต่าง ๆ เป็นระยะเวลา 6 เดือน Azai-ss สารกำจัดลูกน้ำยุงลายชนิดเม็ดเกล็ดซีโอไลท์เคลือบสารสังเคราะห์ในกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต ที่ผ่านการตรวจสอบประสิทธิผลจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และองค์การอนามัยโลก (WHO) ว่าใช้ในการป้องกันกำจัดยุงลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งซีโอไลท์ที่นำมาใช้นี้ คือ Hydrous aluminium silicates ที่พบในหินภูเขาไฟ ปกติใช้บำบัดน้ำเสียเช่นเดียวกับถ่าน มีคุณสมบัติพิเศษคือกำจัดลูกน้ำยุงลายได้นาน 3-6 เดือน ด้วยสูตรผสมและเทคโนโลยีพิเศษ สารที่ออกฤทธิ์มีความปลอดภัยสูงชนิดเดียวกับทรายอะเบท เมื่อใส่ลงไปในน้ำในอัตราส่วนที่พอเหมาะจะไม่มีกลิ่นเหม็น ด้วยสารดูดซับกลิ่นซีโอไลท์จากธรรมชาติ และไม่มีคราบน้ำมันปนเปื้อนบนผิวน้ำ ช่วยให้น้ำไม่ขุ่นและใสขึ้น มีการบรรจุในขนาดต่าง ๆ ตั้งแต่ 20 กรัมถึง 25 กิโลกรัม แต่ที่สำคัญที่สุดคือการนำซีโอไลท์มาใช้ในการกำจัดลูกน้ำยุงลายนี้บริษัทฯ ถือเป็นรายแรกในประเทศไทยและรายแรกในโลกที่นำมาใช้เพราะส่วนใหญ่จะใช้ทรายเป็นผลิตภัณฑ์ แทบทั้งสิ้น โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโน โลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)ได้เข้ามาช่วยในการถ่ายทอดเทคโนโลยี แนะนำกระบวนการผลิต การปรับปรุงอาคารสถานที่ อุปกรณ์การผลิต การสุขาภิบาล การทำความสะอาด โดย รศ.ดร.ประสาน ธรรมอุปกรณ์ อาจารย์ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้ามาควบคุมดูแลในฐานะที่ปรึกษา ภายใต้โครงการยกระดับมาตรฐานโรงงานตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิต (GMP) แก่โรงงานอุตสาหกรรมผลิตสารกำจัดลูกน้ำยุงลาย ผลิตภัณฑ์จากซีโอไลท์ที่พัฒนาขึ้นนี้ กำลังได้รับความนิยมในประเทศทางแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ญี่ปุ่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และในอนาคตจะขยายตัวไปทาง กลุ่มประเทศมุสลิมและประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0-2564-8000 หรือ www.nstda.or.th/itap (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 20 เม.ย. 49 http://www.dailynews.co.th)





เลือดจากรก (Umbilical cord blood)

เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด (Stem cells) เป็นเซลล์ซึ่งทำหน้าที่สร้างเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด เซลล์นี้ทำหน้าที่สร้างเม็ดเลือดอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เราเกิดจนเสียชีวิต เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดมีคุณสมบัติพิเศษคือสามารถแบ่งตัวให้กำเนิดตัวเองได้ด้วย จึงทำให้ไม่มีวันหมดไปจากร่างกายเหมือนเส้นผมหรือเล็บซึ่งสามารถงอกใหม่ได้ตลอดเวลา เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด มีปริมาณมากที่สุดในไขกระดูก และเลือดจากรกที่อาจเก็บเพื่อตัวเอง เก็บจากพี่น้อง หรือบุคคลอื่น เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดสามารถนำมาปลูกถ่ายรักษาโรคหลายชนิดให้หายขาดได้ เช่น โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย โรคมะเร็งเม็ดโลหิต โรคพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของไขกระดูกบกพร่อง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด ปัจจุบันมีผู้ป่วยที่รอการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดอยู่เป็นจำนวนมาก เลือดจากรก แต่โอกาสที่จะหาเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดจากผู้บริจาคที่มีชนิดเนื้อเยื่อตรงกันจะยากมาก พบได้ประมาณ 1 ต่อ 50,000 ใน ขณะที่การปลูกถ่ายเลือดรกจากพี่น้อง ถ้ามีพี่น้อง 1 คน โอกาสที่จะมีเนื้อเยื่อตรงกันเป็นร้อยละ 25 ถ้ามีพี่น้อง 2 คน จะมีโอกาสเนื้อเยื่อตรงกัน 44% แต่ถ้ามีพี่น้อง 3 คนมีโอกาสเนื้อเยื่อตรงกัน 58% การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดจากรกจึงสามารถทดแทนไขกระดูกได้ เลือดจากรกมีข้อได้เปรียบไขกระดูกอยู่หลายประการ เช่น วิธีการเก็บง่ายและไม่เจ็บ เป็นแหล่งเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดที่พร้อมต่อการปลูกถ่ายได้ทันที การเกิดเชื้อไวรัสต่ำ ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดกับการปลูกถ่ายต่ำและรุนแรงน้อยกว่า โดยทั่วไปแล้วแม้มีความแตกต่างของเนื้อเยื่อ 1-2 ตำแหน่งก็ยังใช้ปลูกถ่ายได้ ในขณะที่การเก็บไขกระดูกจากผู้บริจาคอาจจะทำให้เกิดความเจ็บปวดอาจเสี่ยงต่ออันตราย นอกจากนี้ ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดกับการปลูกถ่ายไขกระดูกอาจรุนแรงจนทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต โดยเฉพาะในรายที่มีชนิดของเนื้อเยื่อแตกต่างกัน จึงมีการจัดตั้งธนาคารเลือดจากรกเพื่อเพิ่มโอกาสของผู้ป่วยในการหาเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดที่เข้ากันได้นำไปใช้ปลูกถ่ายเลือดสายสะดือทารกในผู้ป่วยที่ไม่ใช่พี่น้องตั้งแต่ปี 2544 โดยคณะแพทยศาสตร์จุฬาฯ และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ร่วมกับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ริเริ่มทำการเก็บเลือดจากรกผู้บริจาคโดยได้รับความยินยอมจากมารดาที่มาคลอด และจัดเก็บโดยการแช่แข็งไว้ที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติปัจจุบันมีมากกว่า 300 หน่วย การปลูกถ่ายเลือดจากรกที่ได้จากบุคคลอื่นได้ผลสำเร็จเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เกิดขึ้นที่คณะแพทยศาสตร์จุฬาฯ และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2545 โดยใช้เลือดที่เก็บสะสมไว้ใน ธนาคารเลือดจากศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย นำมาปลูกถ่ายรักษาผู้ป่วยเด็กชายอายุ 15 เดือน ที่ป่วยเป็น โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด การปลูกถ่ายได้ผลสำเร็จดี ปัจจุบันมีการปลูกถ่ายเลือดจากรกที่ได้จากบุคคลอื่นไปแล้ว 6 ราย (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 20 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th)





สัญญาณโลกร้อน ธารน้ำแข็งแห่งอาร์เจนตินาหลอมละลาย

"เพริโต โมเรโน" อันธารน้ำแข็งขนาดมหึมามีอายุอานามนับพันปี กำลังละลาย และพังลงอย่างน่ากลัว ธารน้ำแข็งนี้อยู่ในเมืองเอล คาลาฟาเต ประเทศอาร์เจนตินา กลายเป็นจุดสนใจของชาวอาเจนไตน์และเหล่านักท่องเที่ยว เนื่องจากเพริโต โมเรโน เป็นธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ก่อตัวเสมือนเป็นเขื่อนธรรมชาติ สูงราว 60 เมตร กินพื้นที่ประมาณ 6,000 ตารางกิโลเมตร อยู่ในเขตอุทยานธารน้ำแข็งแห่งชาติอาร์เจนตินา อันปกคลุมด้วยธารน้ำแข็งถึง 13 สาย ธารน้ำแข็งดังกล่าวเริ่มละลายตัวอย่างช้าๆ ครั้งแรกในปี 1986 โดยยังมีธารน้ำแข็งขนาดหย่อมๆ ที่ไหลมาจากแถบแอนตาร์ติกาอีกกว่า 200 สายอยู่รายล้อม แต่เมื่อกลางเดือนมีนาคม 2548 ที่ผ่านมานี้ ธารน้ำแข็งส่วนที่เป็นเหมือนสะพานเชื่อมระหว่างน้ำแข็งกับแผ่นดินขนาดใหญ่ถูกสายน้ำแข็งที่ไหลพัดผ่านเซาะพังทลายลงมาสร้างเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่พังทลายลง เป็นสัญญาณบ่งบอกภาวการณ์โลกร้อนที่กำลังวิกฤตขึ้นทุกวินาที แม้ไวท์ ไจแอนท์นี้กลายเป็นจุดท่องเที่ยว ที่พลิกโฉมทัศนียภาพจากดั้งเดิม มีนักท่องเที่ยวมาเฝ้าชมดูการพังทลายและละลายของน้ำแข็ง (ข่าวสด พฤหัสบดีที่ 20 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)





หมอรามาชูเทคนิคใหม่ผ่าตัดข้อเข่าเสื่อม

รศ.นพ.วิโรจน์ กวินวงศ์โกวิท ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียมชนิดเนื้อเยื่อบาดเจ็บน้อย ภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ปัจจุบันมีเทคโนโลยีการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมชนิดเนื้อเยื่อบาดเจ็บน้อย หรือ MIS TKA( Minimally Invasive Surgery for Total Knee Arthroplasty) โดยใช้ข้อเข่าเทียมชนิดพิเศษแบบ Hight Flexion TKA จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นที่ยอมรับในการช่วยลดความบาดเจ็บของกล้ามเนื้อได้ ในการผ่าตัดแบบเดิม แพทย์จะเปิดแผลผ่าตัดยาวประมาณ 8-12 นิ้วและตัดผ่านกล้ามเนื้อเหนือลูกสะบ้าและเส้นเอ็นบางส่วน เพื่อเข้าไปให้ถึงผิวข้อเข่าด้านใน จากนั้นใช้ข้อเข่าเทียมชนิดมาตรฐานต่อบริเวณข้อเข่าที่เสื่อม แต่การผ่าตัดแบบใช้ข้อเข่าเทียมชนิดพิเศษ จะเปิดแผลผ่าตัดเพียง 3-5 นิ้ว โดยใช้เครื่องมือที่ถูกออกแบบมาพิเศษสำหรับแผลขนาดเล็ก ซึ่งช่วยให้หลีกเลี่ยงการตัดกล้ามเนื้อเหนือลูกสะบ้าได้ จึงทำให้เสียเลือดน้อยและลดระยะพักฟื้นเหลือประมาณ 4 วัน ทั้งนี้ อุบัติการณ์ของผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมทั่วโลกมีประมาณ 2.5 แสนคนต่อปี ในประเทศไทยพบโอกาสเป็นโรคดังกล่าวมากกว่ายุโรป โดยเฉพาะเพศหญิงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เนื่องจากกิจวัตรประจำวัน อาทิ การนั่งพับเพียบ การนั่งคุกเข่า การนั่งยองๆ การขึ้นลงบันได และกิจกรรมในการใช้ข้อเข่ามากๆ เป็นต้น ซึ่งกลุ่มแม่บ้านมีโอกาสเสี่ยงสูง อย่างไรก็ตาม โรคข้อเข่าเสื่อมยังพบได้ในกลุ่มคนอายุน้อย อาทิ กลุ่มที่บาดเจ็บบริเวณหัวเข่าอย่างรุนแรง ทำให้เกิดภาวะเสื่อมได้ นอกจากนี้ การใช้ข้อเข่าเทียมแบบใหม่จะลดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อได้แล้ว ยังสามารถรองรับการงอเข่าของผู้ป่วยถึง 155 องศา ซึ่งข้อเข่าเทียมทั่วไปรองรับการงอเข่าได้เพียง 110-130 องศา อีกทั้งรูปแบบของตัวข้อเข่าเทียมแบบใหม่ ยังมีลักษณะแข็งแรง หนาและสูงขึ้น ช่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากการเลื่อนหลุดของตัวข้อ สำหรับอายุการใช้งานเมื่อเปลี่ยนข้อเข่าเทียมแบบใหม่ จะสามารถอยู่ได้ประมาณ 20 ปี แต่ราคาจะสูงกว่าประมาณ 10 % จากปกติราคา 50,000 -60,000 บาท (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 21 เม.ย. 49 http://www.bangkokbiznews.com)





ข่าววิจัย/พัฒนา


บำบัดน้ำเสียด้วยระบบปิด สามารถนำเป็นพลังงานทดแทนได้

ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สนง.พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) นำระบบบำบัดนํ้าเสียเพื่อผลิตก๊าซชีวภาพมาใช้ ในโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลัง การวิจัยในเรื่องนี้มีมานาน แต่ว่ามีการปรับและพัฒนาเพื่อให้ได้ระบบที่มีประสิทธิภาพที่เหมาะสม ล่าสุดจึงได้ “ระบบบำบัดแบบตรึงฟิล์มจุลินทรีย์ชนิดไร้อากาศ” (Anaerobic Fixed Film Reactor : AFFR) ซึ่งนอกจากจะบำบัดนํ้าเสียแล้ว ยังใช้พื้นที่น้อยกว่าระบบบ่อเปิด ที่สำคัญคือมีผลพลอยได้จากก๊าซชีวภาพ เป็นพลังงานทดแทนน้ำมันเตา เป็นการลดภาระต้นทุนจากเชื้อเพลิง ดร.อรรณพ นพรัตน์ นักวิจัยและผู้เชี่ยว ชาญจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กล่าวว่า “ระบบดังกล่าวเป็น เทคโนโลยีที่คิดค้นและพัฒนาขึ้นเองในประเทศ ซึ่งมีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการบำบัดน้ำเสียจากโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลัง โดยใช้หลักการตรึงเซลล์จุลินทรีย์ไว้บน ผิววัสดุตัวกลางที่เป็นตาข่ายไนลอน ขึงติดตั้งอย่างเป็นระเบียบภายใน ถังปฏิกรณ์” การที่จุลินทรีย์ยึดเกาะอยู่บนตัวกลาง สามารถลดการสูญเสียจุลินทรีย์ไม่ให้หลุดออกไปจากระบบบำบัดพร้อมกับน้ำที่บำบัด ทำให้กักเก็บจุลินทรีย์ให้อยู่ในระบบได้เป็นระยะเวลานาน มีประสิทธิภาพในการกำจัด ของเสียได้ร้อยละ 80 และใช้กับน้ำเสียที่มีสารแขวนลอยสูงได้ โดยไม่ต้องปรับสภาพก่อน เข้าระบบ ทำ ให้การดูแลไม่ซับซ้อน... และประหยัดค่าสารเคมี โดยวัสดุตัวกลาง จะอยู่ในถังปฏิกรณ์ เพื่อ ให้จุลินทรีย์เกาะบนตัวกลางในลักษณะของฟิล์มชีวะ หรือระบบตรึงฟิล์มจุลินทรีย์ ซึ่งระบบดังกล่าวสามารถรับสารอินทรีย์ได้ 6-8 กก.ซีโอดี/ลบ.ม.ของถัง/วัน ที่ระยะเวลากักเก็บ (HRT) 3-4 วัน จะทำให้ได้ปริมาณก๊าซที่เกิดขึ้น 0.4-0.5 ลบ.ม./กก.ซีโอดีที่กำจัด และยังได้ก๊าซชีวภาพที่มีองค์ประกอบของก๊าซมีเทนประมาณ 60-70% ที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดสารอินทรีย์ได้ถึง 80% การก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียแบบไม่ใช้ อากาศ AFFR มจธ.ดำเนินการนำร่องให้กับบริษัท ชลเจริญ จำกัด ซึ่งล่าสุดบริษัทสามารถเดินระบบไปได้แล้วถึง 80% จะเดินระบบได้เต็มที่ภายในกลาง เดือนเมษายน และนำก๊าซชีวภาพมาใช้แทนน้ำมัน เตาทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการใช้น้ำมันเตาลงได้กว่า 20 ล้านบาท/ปี จากความสำเร็จดังกล่าวทำให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เตรียมเดินหน้าถ่ายทอด เทคโนโลยีดังกล่าว ไปยังโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลังอื่นๆ อีก 48 แห่งทั่วประเทศ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2564-7000 ต่อ 1335, 1339 (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 17 เม.ย. 49 http://www.thairath.co.th)





ครั้งแรกในโลกวิจัยตรวจ ‘มะเร็งท่อน้ำดี’ จากเลือด

รศ.ดร.โสพิศ วงศ์คำ อาจารย์ประจำภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และกรรมการบริหารศูนย์วิจัยพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี เปิดเผยถึงอุบัติการณ์ของการเกิดโรคมะเร็งท่อน้ำดีว่า เป็นโรคมะเร็งที่มีอุบัติการณ์ของโรคสูงในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ได้แก่ มหาสารคามและกาฬสินธุ์ เป็นจังหวัดที่มีผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีมากที่สุดในโลก ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งท่อน้ำดีในภูมิภาคนี้คือพยาธิใบไม้ตับ ซึ่งเป็นพยาธิที่อาศัยอยู่ในท่อน้ำดีของคน โดยพยาธิใบไม้ตับจะชอนไชไปในท่อน้ำดี ทำให้เกิดการอักเสบที่บริเวณท่อน้ำดี อีกทั้งตัวพยาธิจะมีการปล่อยสารบางชนิดออกมากระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ ทำให้เกิดการแบ่งเซลล์มาก และมีแบบแผนการเจริญที่ผิดปกติ และยังมีผลต่อการควบคุมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายด้วย อาการของผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีจะคล้ายกับมะเร็งชนิดอื่นๆ คือ ไม่มีอาการในระยะแรก และจะแสดงอาการของโรคเมื่อมะเร็งเข้าสู่ระยะสุดท้ายแล้ว ทำให้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ จึงทำให้ผู้ป่วยมีอัตราการตายสูง อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวอีกว่า ล่าสุด ประเทศไทยได้ทำการวิจัยการวิจัยการตรวจหาตัวบ่งชี้การเกิดมะเร็งท่อน้ำดีได้จากเลือดเป็นครั้งแรกของโลก ทำให้สามารถตรวจพบผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีจากกลุ่มเสี่ยงได้อย่างแม่นยำ และรักษาผู้ป่วยได้ก่อนมะเร็งจะเข้าถึงขั้นสุดท้ายหรือก่อนที่จะลุกลามที่ยังตำแหน่งอื่น ทำให้ประเทศไทยเป็นแหล่งรวบรวมความรู้ที่มีการศึกษาด้านพยาธิใบไม้ตับ และมะเร็งท่อน้ำดีอย่างต่อเนื่องและยาวนานมากที่สุด ทั้งด้านระบาดวิทยา การศึกษากลไกการก่อมะเร็งท่อน้ำดีจากพยาธิใบไม้ตับ บทบาทของตัวพยาธิในการก่อมะเร็ง เพื่อหาแนวทางป้องกัน พัฒนาวิธีการรักษา และลดอัตราการเกิดมะเร็งท่อน้ำดีได้ให้ได้ผลในที่สุด. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 17 เม.ย. 49 http://www.thairath.co.th)





เครื่องบีบน้ำมันพืชอย่างง่ายใช้เกลียวอัดปลอดสารตกค้าง

คณาจารย์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี นำโดย ผศ.ชลิตต์ มธุรสมนตรี เป็นหัวหน้าคณะทำงาน มี ผศ. ชวลิต แสงสวัสดิ์, ดร.ศิวกร อ่างทอง และอาจารย์ ประจักษ์ อ่างบุญตา ร่วมเป็นคณะทำงาน ได้คิดค้นวิธีการสกัดน้ำมันพืชโดยไม่ใช้สารเคมี ซึ่งใช้ระบบจักรกลโดยทำเป็นเครื่องบีบอัดน้ำมันจากเมล็ดพืชแบบ เกลียวเดี่ยว ขั้นตอนแรกได้นำเมล็ดพืชน้ำมันอย่างเช่น เมล็ดทานตะวัน, เมล็ดงาขาว, เมล็ดถั่ว ลิสง, เมล็ดฟักทองและเนื้อมะพร้าวขูดตากแห้ง มาทดลองบีบอัด ผลออกมาสามารถได้น้ำมันจากเมล็ดพืชเหล่านี้ใกล้เคียงกับการใช้สารเคมีสกัด ระบบการทำงานของเครื่องบีบอัดน้ำมันที่ผลิตขึ้นมานี้ ใช้มอเตอร์ เป็นตัวต้นกำลัง โดยให้ใส่ วัตถุดิบลงในกรวยรับวัตถุดิบด้านบน แล้วเกลียวบีบอัดก็จะทำการบีบอัด จนได้น้ำมันจากพืชนั้นๆออกมา ส่วนกากก็จะแยก ลงมาทางช่องคายกากที่มีภาชนะรองรับกากอยู่ จากการศึกษาพบ ว่าวัตถุดิบที่แตกต่างกัน ใช้ ความเร็วรอบของเกลียวที่บีบอัดต่างกัน รวมถึงขนาดของช่องคายกากก็แตกต่างกันไปด้วย อย่างเช่น เมล็ดทานตะวันกะเทาะเปลือกจะบีบอัดได้ ปริมาณน้ำมันมากที่สุด โดยใช้ความเร็วในการบีบอัด 15 รอบต่อนาที ช่องคายกากขนาด 8 มิลลิเมตร และควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ที่ 59 องศาเซลเซียส ส่วนเนื้อมะพร้าวขูดตากแห้ง เมื่อบีบอัดออกมาแล้วจะได้น้ำมันที่มีประสิทธิภาพที่สุด โดยใช้ความเร็วรอบอยู่ที่ 85 รอบต่อนาที ช่องคายกากมีขนาด 14 มิลลิเมตรและควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ที่ 55 องศาเซลเซียส และยังพบว่าในวัตถุดิบทั้ง 5 ชนิดนี้ เนื้อมะพร้าวขูดตากแห้งได้อัตราน้ำมันมากที่สุด เมล็ดถั่วลิสงได้อัตราต่ำที่สุด เนื่องจากไม่ได้ทำการบดเมล็ดถั่วก่อนทำการบีบอัด วัตถุดิบยิ่งมีขนาดเล็กเท่าไหร่ ยิ่งทำให้บีบอัดง่ายและมีปริมาณน้ำมันออกมามาก เมื่อเปรียบเทียบปริมาณน้ำมัน ที่ได้จากการบีบอัดด้วยเครื่องฯนี้ กับปริมาณน้ำมันที่มีการศึกษาวิเคราะห์ผลทางเคมีแล้วพบว่าน้ำมันที่ได้จากการบีบอัดไร้สารเคมีตกค้างมีปริมาณเป็นที่น่าพอใจ ถ้าไม่ใช้กับการผลิตน้ำมันเพื่อเป็นอาหาร ก็สามารถปรับปรุงใช้ได้กับพืชพลังงานทดแทนได้ เช่น สบู่ดำหรือละหุ่งได้ดีเช่นกัน ผู้สนใจติดต่อได้ที่ ผศ. ชลิตต์ มธุรสมนตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มทร. ธัญบุรี 0-2549-3386-7 (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 17 เม.ย. 49 http://www.thairath.co.th)





เครื่องกลั่น‘น้ำส้มควันไม้’ด้วยระบบทำความเย็น

มณีรัตน์ ปัญญพงษ์ เจ้าหน้าที่กองประชาสัมพันธ์ราชมงคลธัญบุรีบอกมาว่ามีนักศึกษากลุ่ม หนึ่งร่วมกันคิดค้นเครื่องกลั่นน้ำส้มควันไม้ ด้วย ระบบทำความเย็นขึ้น ประกอบด้วย นายอนุวรรธ วงษ์สวัสดิ์, นายสุปริญญ์ มิ่งมิต และนายอนุสรณ์ จันทร์แก้ว สามหนุ่มจากภาควิชาเครื่องจักรกลเกษตร คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี โดยมี อาจารย์เกียรติศักดิ์ แสงประดิษฐ์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา เจ้าของผลงานเล่าว่า วัตถุประสงค์หลักของเราก็คือการสร้างเครื่องกลั่นน้ำส้มควันไม้ให้มีประสิทธิ ภาพสูงขึ้น โดยเราได้นำเอาหลักการของระบบทำความเย็นมาเป็นตัวกลั่น ซึ่งผลที่ออกมาก็เป็นที่น่าพอใจ โดยอาศัยหลักการทำงานภายในท่อกลั่นจะมีขดลวดทองแดงพันอยู่รอบๆ ท่อ และมีน้ำอยู่ภายในท่อ ซึ่งชุดทำความเย็นจะทำความเย็นให้กับน้ำในท่อ เมื่อควันที่มีอุณหภูมิสูงจากเตาเผาถ่านไหลผ่านท่อที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า ก็จะเกิดการควบแน่นได้น้ำส้มควันไม้ ในการเผาถ่านหนึ่งครั้งโดยใช้ไม้ 80 กิโลกรัม ได้ถ่าน 17 กิโลกรัม แล้วได้น้ำส้มควันไม้ 4 ลิตร และจากที่ได้ทดสอบเตาเผาถ่าน 200 ลิตรและปล่องดักควันน้ำส้มควันไม้ด้วยเครื่องกลั่นนี้ ได้ผลเป็นที่น่าพอใจคือ สามารถกลั่นน้ำส้มควันไม้ได้มากกว่าเดิมเมื่อเปรียบเทียบกับการเก็บน้ำส้มควันไม้โดยใช้ไม้ไผ่ในการเก็บน้ำส้มควันไม้ 5-8 เท่า และเมื่อมาวิเคราะห์ด้านการลงทุน พบว่ามีค่าใช้จ่ายประมาณ 70 บาทต่อครั้ง ใน 1 ปีสามารถเผาได้ 150 ครั้ง ต่อปี ระยะเวลาคืนทุนได้เท่ากับการเผาทั้งหมด 18 ครั้ง ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสอบถามรายละเอียดไปได้ที่ ภาควิชาเครื่องจักรกลเกษตร คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร หมายเลขโทรศัพท์ 0-2549-3300 (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 17 เม.ย. 49 http://www.dailynews.co.th)





จุฬาฯ วิจัยวางยาสลบปลา พึ่งสมุนไพรไทยแทนยานำเข้า-ไร้สารตกค้าง

นักวิจัยจุฬาฯ ค้นพบสมุนไพรไทยมีฤทธิ์ทำให้สัตว์น้ำสลบแต่ปลอดภัย ไร้สารตกค้าง เร่งหาวิธีใช้งานที่ง่ายสำหรับเกษตรกร โดยรศ.ดร.เจนนุช ว่องธวัชชัย จากคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ความคิดที่จะนำสมุนไพรมาวิจัยเพื่อใช้เป็นยาสลบปลาเกิดขึ้นหลังจากเข้าไปช่วยงานสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ดูเรื่องตำรับสมุนไพรและพบสมุนไพรที่ให้น้ำมันหอมระเหยชนิดหนึ่งที่ใช้อุดฟันเวลาปวดฟัน และนวดขาเวลาปวดกล้ามเนื้อ จึงสนใจที่จะนำมาทดลองใช้ทำยาสลบสัตว์น้ำเพื่อขนส่ง นอกจากนี้ยังสามารถนำมาใช้วางยาสลบกับปลาสวยงามเพื่อใช้ในการผ่าตัดปลาที่ราคาแพงด้วย อันดับแรก ทีมวิจัยได้ทดลองใช้กับหอยเป๋าฮื้อ พบว่าได้ผลดีมาก โดยธรรมชาติของหอยเป๋าฮื้อเกษตรกรจะเพาะเลี้ยงให้เกาะกับแผ่นกระเบื้อง เวลานำไปจำหน่ายจึงต้องงัดหอยออกจากแผ่นทำให้เป็นแผล ระหว่างขนส่งไปขายที่สิงคโปร์ แผลจะเน่าและตาย แต่ยาสลบจากสมุนไพรทำให้กล้ามเนื้อหอยคลายตัวและหลุดจากแผ่นเกาะ จึงไม่ต้องใช้วิธีแกะหอยเป๋าฮื้อให้บาดเจ็บ สำหรับโครงการวิจัยดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนงานบูรณาการด้านยา เคมีภัณฑ์ และวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการบูรณาการระยะกลางมูลค่า 310 ล้านบาท ของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ มีเป้าหมายส่งเสริมงานวิจัยที่มีศักยภาพ ตลอดจนพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สินค้าในเชิงพาณิชย์ นักวิจัยยังพบด้วยว่า เมื่อใช้สมุนไพรชนิดนี้ละลายในน้ำเพื่อวางสลบปลาแล้ว ยังช่วยรักษาคุณภาพน้ำ ไร้สารตกค้างในเนื้อปลา และเมื่อทำให้ปลาตื่นมาอีกครั้ง ปลายังมีสภาพแข็งแรงอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ความยากของการวิจัยนี้คือ การหาปริมาณที่เหมาะสมสำหรับนำมาใช้กับปลาแต่ละชนิด รวมทั้งต้องหาวิธีการใช้งานที่ง่ายและพร้อมใช้สำหรับเกษตรกร (คมชัดลึก จันทร์ที่ 17 เม.ย. 49 http://www.komchadluek.net)





คอนกรีตนาโนสร้างถนนผิวเรียบราคาถูก

นักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) ทดลองนํา "อนุภาคไมโคร/นาโนไททาเนียมไดออกไซด์" ขนาด 150 นาโนเมตร มาผสมกับคอนกรีต (สูตรสร้างถนน) พร้อมทั้งนำเส้นเชือกไนลอนมาใช้แทนเหล็กเส้น เมื่อหล่อชิ้นงานคอนกรีตเสริมแรงแล้วนําไปทดสอบพบว่า ชิ้นงานที่ได้รับแรงอัดได้ดีกว่าคอนกรีตเสริมแรงที่ใช้เหล็กเส้น อีกทั้งคอนกรีตเสริมแรงที่มีเส้นเชือกไนลอนยังมีระยะแอ่นตัวดีกว่า 22% ซึ่งหมายความว่า ผิวถนนจะเป็นลอนน้อยกว่าผิวถนนแบบปกติ ส่งผลให้การขับขี่จะนุ่มนวล และรักษาช่วงล่างของรถยนต์ที่ขับผ่านได้ด้วย ขณะเดียวกันผิวถนนยังให้ความขาวสว่าง ทําให้ถนนที่ได้มีการสะท้อนแสงในเวลาค่ำคืนดีกว่า แต่ก็อาจมีปัญหาการสะท้อนแสงในเวลากลางวันมากกว่าด้วย ประกอบกับต้นทุนการสร้างถนนสูตรนาโนไททาเนียมไดออกไซด์เสริมเส้นเชือกไนลอนยังไม่แพง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดค่าก่อสร้างได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ไททาเนียมไดออกไซด์เป็นแร่ชนิดหนึ่ง ใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่างๆ เมื่อนำไปเติมในเส้นด้ายหรือสิ่งทอก็ช่วยลดกลิ่นและช่วยสลายสารพิษ นอกจากนี้ไททาเนียมไดออกไซด์ยังมีคุณสมบัติในการดูดกลืนคลื่นแสง จึงนำมาใช้ในครีมกันแดดและเครื่องสำอางผิวขาวทั่วไป รวมทั้งนำไปประยุกต์เป็นเซลล์แสงอาทิตย์ได้ด้วย สำหรับทีมผู้วิจัยประกอบด้วยนายไพจิตร หรรษา, นายวุฒิชัย ศรีสุข และนางสาวอรอุมา ชูพุ่มพัว นักศึกษาสาขาวิชาวิศวกรรมเคมีสิ่งทอ-ย้อมสีและตกแต่งสิ่งทอ ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งทอ โดยมี ผศ.ดร.อภิชาติ สนธิสมบัติ อาจารย์ประจําภาควิชาวิศวกรรมสิ่งทอ และ ผศ.เผ่าพงศ์ นิจจันทร์ พันธ์ศรี และอาจารย์สุคม ลิปิเลิศ อาจารย์ประจําภาควิชาวิศวกรรมโยธา เป็นที่ปรึกษาโครงการ (คมชัดลึก จันทร์ที่ 17 เม.ย. 49 http://www.komchadluek.net)





เครื่องเป่าชี้ตัวคนเมาทันที2 วินาทีแจ้งผลประหยัดเวลาคนขับ-จราจร

กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือเนคเทคพัฒนาเครื่องเป่าแอลกอฮอล์แบบพกพาสะดวกและราคาถูก เผยใช้งานง่ายเหมาะกับช่วงเทศกาลที่การจราจรหนาแน่น ทราบผลทันทีหลังเป่าภายใน 2-5 วินาที โดยที่ผู้ขับขี่ไม่ต้องออกจากรถ ทั้งยังแสดงผลเป็นไฟแดงพร้อมเสียงหากเข้าข่ายเมาแล้วขับ เนคเทคจัดทำการพัฒนาต้นแบบเครื่องดังกล่าวมาเป็นรุ่นที่ 5 คือรุ่นเอสเอเอ็ม-05 (SAM-05) ซึ่งผ่านการทดสอบการใช้งานจริงภาคสนาม โดยกองบังคับการตำรวจจราจร และปรากฏผลว่าการใช้งานเป็นที่น่าพอใจ สำหรับเครื่องต้นแบบดังกล่าว เป็นเครื่องที่หัววัดสร้างจากเทคโนโลยีเซ็นเซอร์แบบเซมิคอนดักเตอร์ สำหรับตรวจวัดระดับออกไซด์ ซึ่งราคาไม่แพงและสามารถนำไปใช้ตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในลมหายใจของผู้ขับขี่ยานพาหนะในเบื้องต้น จึงนับว่าเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการตรวจวัดปริมาณการดื่มสุรา เพราะมีความไวสูง สามารถใช้วัดจากลมหายใจโดยตรง ใช้งานได้สะดวกรวดเร็วและทราบผลทันที นอกจากนี้เครื่องเอสเอเอ็ม-05 ไม่จำเป็นต้องใช้หลอดเป่า จึงลดการสิ้นเปลือง ตลอดจนยังมีรูปแบบทันสมัยและน้ำหนักเบาเหมาะกับการใช้งาน โดยเฉพาะกรณีที่มีปริมาณผู้ขับขี่บนท้องถนนหนาแน่น การใช้เครื่องดังกล่าวจะช่วยลดระยะเวลาการตรวจ โดยที่ผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องลงจากยานพาหนะ ทั้งนี้เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐ ในการรณรงค์เพื่อลดอุบัติภัยบนท้องถนนจากการเมาสุราขณะขับขี่ยานพาหนะ เนคเทคจึงพร้อมที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เอกชนดำเนินการผลิตเพื่อจำหน่าย และทดแทนการนำเข้าเครื่องตรวจวัดแบบเป่าจากต่างประเทศที่มีราคาแพง โดยเครื่องเป่าของเนคเทคมีราคา 1 ใน 5 ของต่างประเทศ หรือราคาเครื่องละ 5,000 บาท ในการผลิตเชิงอุตสาหกรรม ส่วนการทำงานของเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ในลมหายใจ อาศัยหลักการที่ว่าเมื่อกระแสเลือดไหลไปที่ปอดเพื่อฟอกเอาแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกาย แอลกอฮอล์ในกระแสเลือดบางส่วนจะซึมผ่านเข้าไปในปอดด้วย ซึ่งระดับแอลกอฮอล์ในปอดจะสัมพันธ์โดยตรงกับระดับแอลกอฮอล์ในเลือด ดังนั้นเมื่อหายใจออกมา แอลกอฮอล์จึงถูกขับออกจากปอดด้วยเช่นกัน ทำให้เซ็นเซอร์ตรวจวัดได้ ในการแสดงผลของเครื่องดังกล่าว จะแสดงตัวเลข 3 หลักของระดับแอลกอฮอล์ที่ตรวจวัดได้ (% มิลลิกรัม) และไฟเตือนประกอบด้วยสีเขียว สีส้มและสีแดง โดยสีเขียวแสดงว่าผ่าน สีแดงบอกว่าไม่ผ่านหรือปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่ากฎหมายกำหนด พร้อมส่งเสียงเตือน ส่วนไฟสีส้มแจ้งให้ทราบว่าแบตเตอรี่อ่อน หากเป็นแบตเตอรี่ชนิดอัลคาไลน์ขนาด 2 เอ 4 ก้อน รองรับการใช้งาน 900 ครั้งเมื่อใช้ต่อเนื่อง และใช้ได้ 600 ครั้งเมื่อใช้แบตเตอรี่แบบชาร์จไฟซ้ำได้ (อังคารที่ 18 เม.ย. 49 http://www.komchadluek.net)





ราสเบอร์รี่กันมะเร็งดีกว่าผลมะเขือเทศ

คณะนักวิจัยจากวิทยาลัยการเกษตร ในเมืองวาเกนนินเกนของเนเธอร์แลนด์ เผยแพร่ผลงานวิจัยในนิตยสาร "ไบโอ แฟคเตอร์ส" ฉบับล่าสุด ระบุว่า ผลราสเบอร์รี่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมากยิ่งกว่าผักบร็อกโคลี ผลกีวี และมะเขือเทศ ซึ่งมีผลวิจัยรับรองว่าเป็นสุดยอดผลไม้ หรือผลไม้ซูเปอร์สตาร์ ที่อุดมไปด้วยประโยชน์มากมายแก่ร่างกาย โดยเฉพาะ "สารต้านอนุมูลอิสระ" สารต้านอนุมูลอิสระมีหน้าที่กำจัดตัวอนุมูลอิสระ เพราะถ้าร่างกายมีสารอนุมูลอิสระมากเกินไป จะเพิ่มอัตราการเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลายชนิด โรคที่สำคัญและมีการศึกษากันมาก ได้แก่ โรคหลอดเลือดตีบและแข็งตัว โรคมะเร็งบางชนิด อัลไซเมอร์ หรือโรคความจำเสื่อม โรคไขข้ออักเสบ โรคแก่ก่อนวัยรวมทั้งเป็นตัวการทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นและหมองคล้ำ เป็นต้น โดยร่างกายได้รับสารอนุมูลอิสระจากมลพิษในสิ่งแวดล้อม ก๊าซจากท่อไอเสียรถยนต์ ควันบุหรี่และสารเคมีในอาหาร นักวิจัยบอกว่า ผลราสเบอร์รี่มีสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพ มากกว่าอาหารทุกประเภทที่พวกเขาเคยพบ และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่ามะเขือเทศถึง 10 เท่าอีกด้วย ขณะที่นักโภชนาการแนะนำว่าควรจะกินผลไม้สดในกลุ่มซูเปอร์สตาร์ข้างต้นเป็นประจำทุกวัน เพื่อป้องกันการเกิดโรคมะเร็งและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ข้อเสียของราสเบอร์รี่คือมีราคาค่อนข้างแพงและหาได้เป็นจำนวนน้อย นอกจากนี้ คณะนักวิจัยยังเรียกร้องให้มีการวิจัยพัฒนาเพื่อปรับปรุงสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่ให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น รวมทั้งให้ปรับปรุงเรื่องรสชาติด้วย เพราะบางคนก็ไม่ชอบรสชาติที่เปรี้ยวของราสเบอร์รี่ (อังคารที่ 18 เม.ย. 49 http://www.komchadluek.net)





ลดแคลอรีจากอาหารลง 1 ใน 4 ทำให้อายุยืนขึ้น

ผลการศึกษาในสหรัฐชี้ว่า การลดแคลอรีที่ได้จากอาหารลง 1 ใน 4 เป็นเวลานาน 6 เดือนช่วยให้มีอายุยืนยาวขึ้น วารสารสมาคมการแพทย์อเมริกันลงพิมพ์ผลการศึกษาของศูนย์วิจัยชีวการแพทย์เพนนิงตัน เป็นการประเมินเปรียบเทียบผลระยะยาวของการลดแคลอรีที่ได้รับจากอาหาร ศึกษากับอาสาสมัครชายและหญิงอายุ 25 - 50 ปี เป็นเวลา 6 เดือน กลุ่มแรกควบคุมอาหารแต่ละวันให้ได้รับแคลอรีลดลงร้อยละ 25 กลุ่มที่สองลดแคลอรีที่ได้รับลงร้อยละ 12.5 และเพิ่มการเผาผลาญพลังงานด้วยการออกกำลังกายหรือไม่ ก็ให้รับแคลอรีจากอาหารเพียงวันละ 1,800 - 2,000 แคลอรี จนกระทั่งน้ำหนักลดลงร้อยละ 15 หลังจากผ่านไป 6 เดือน พบว่า อาสาสมัครทุกคนมีน้ำหนักตัวและไขมันในร่างกายลดลง แต่กลุ่มที่ควบคุมอาหารเคร่งครัดมีระดับอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่า และดีเอ็นเอเสียหายเพราะกระบวนการออกซิเดชันน้อยกว่า เชื่อกันว่าสิ่งเหล่านี้เป็นตัวบ่งชี้ความแก่ตัวในระดับโมเลกุลและชีวเคมี ด้านนายจอห์น ฮอลลอสซี อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ในรัฐมิสซูรีของสหรัฐเห็นว่า ผลการศึกษานี้วางรากฐานให้แก่งานวิจัยในอนาคต ว่า การควบคุมแคลอรีมีผลระยะยาวช่วยให้คนอายุยืนขึ้นหรือไม่ เนื่องจากเขาเคยวิจัยพบเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ว่า หนูที่ถูกจำกัดแคลอรีในอาหารมีอายุยืนขึ้นร้อยละ 30 (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 18 เม.ย. 49 http://www.bangkokbiznews.com)





อาหารแคลอรีสูง เสี่ยงมะเร็งลำไส้

จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยนอร์ธแคโรไลน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา สรุปผลที่ได้จากการติดตามเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,609 คน พบว่าการรับประทานอาหารที่มีแคลอรีสูง เช่น คาร์โบไฮเดรตโปรตีน และไขมัน นอกจากจะทำให้อ้วนง่ายแล้ว ยังจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ 2-3 เท่าตัวด้วย เนื่องจากสารอาหารเหล่านี้ไม่เพียงให้พลังงานแก่ร่างกายสูงมากเกินไป หนำซ้ำเมื่อถูกย่อยกลายเป็นกากอาหารแล้ว ยังขับถ่ายออกจากร่างกายได้ยากลำบากอีกด้วย ทำให้กากอาหารดังกล่าวบูดเน่า และหมักหมมเป็นพิษอยู่ในลำไส้ส่งผลให้ลำไส้ระคายเคือง และกระตุ้นให้เกิดเซลล์มะเร็งขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 18 เม.ย. 49 http://www.bangkokbiznews.com)





สนช.พบสารต้านอนุมูลอิสระลำไย พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ

นายชาญวิทย์ รัตนราศรี ผู้ประสานงานโครงการ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการพัฒนานวัตกรรมอุตสาหกรรมลำไยเพื่อแก้ปัญหาลำไยล้นตลาดว่า สนช.ร่วมกับสภาอุตสาหกรรม จ.เชียงใหม่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และสำนักงานความร่วมมือทางวิชาการของเยอรมนี ประจำประเทศไทย (GTZ) อยู่ระหว่างศึกษาหานวัตกรรมใหม่ๆ ในการแปรรูปลำไยเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ให้แตกต่างไปจากอุตสาหกรรมเดิม คือ ลำไยกระป๋อง และลำไยอบแห้ง โดยล่าสุดนักวิจัยพบว่า ในลำไยมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เชื่อว่าสามารถป้องกันการสะสมของสารต่างๆ ในหลอดเลือด และลดความเสื่อมของเซลล์ได้ ทั้งนี้ อยู่ระหว่างศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการนำมาสกัดเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ นอกจากค้นหาสารสกัดเพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่แล้ว ในส่วนของผลิตภัณฑ์แบบเดิม อย่างลำไยอบแห้งยังประสบปัญหาไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน เนื่องจากขึ้นราได้ง่าย จำเป็นต้องหานวัตกรรมต่างๆ มาปรับปรุงและเพิ่มคุณภาพของลำไย อาทิ การใช้ห้องเย็นซีเอ ที่ปรับบรรยากาศต่างๆ ในห้องให้อยู่ในสภาพที่สามารถเก็บรักษาลำไยได้นาน นอกจากนี้ ปัญหาเรื่องรสชาติยังพบว่าลำไยอบแห้งมีรสหวานเกินไปไม่เหมาะกับตลาดฝั่งยุโรป จำเป็นต้องแก้ไข ขณะนี้อยู่ในช่วงคัดเลือกหานวัตกรรมต่างๆ มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ช่วยเพิ่มคุณภาพของลำไยให้เป็นที่ยอมรับของตลาดโลก น่าจะได้ข้อสรุปภายใน 6 เดือน ซึ่งหลังจากนี้จะเชิญบรรดาเกษตรกรและผู้ประกอบการต่างๆ มาหารือและสรุปว่าต้องการนวัตกรรมใดบ้างเพื่อช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์จากลำไย (มติชน อังคารที่ 18 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th)





มข.คิดชุดตรวจโรคเมลิออยโดสิส

นายสุรศักดิ์ วงศ์รัตนชีวิน ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคเมลิออยโดสิส คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า โรคเมลิออยโดสิส เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรีย Burkholderia (Pseudomonas) pseudomallei หรือ B. pseudomallei ซึ่งพบได้ในคน และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิด เช่น แพะ แกะ หมู โค กระบือ หากอาการรุนแรง โลหิตเป็นพิษเฉียบพลัน ก็จะเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญคือมีผู้ป่วยโรคนี้ในประเทศไทยติดอันดับโลก ปีละประมาณ 2,000-3,000 คน และผู้ป่วยส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคอีสาน โดยเฉลี่ย 4.4 ต่อ 100,000 คน ในประเทศไทยมีรายงานแยกเชื้อได้จากดิน และน้ำของทุกภาค โดยเฉพาะที่ จ.ขอนแก่น มีผู้ป่วยติดเชื้อจากโรคนี้มากถึงร้อยละ 20 ของผู้ป่วยทั่วประเทศ โรคเมลิออยโดสิส ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน มีอัตราป่วยตายสูง โดยเฉพาะผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสโลหิต มีอัตราป่วยตายถึงร้อยละ 60 และมักพบอาการรุนแรงถึงเสียชีวิตในคนที่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคไต นอกจากนี้ อาการของโรคยังคล้ายกับโรคติดเชื้ออื่นหลายโรค จนเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรคนักเลียนแบบ ซึ่งอาจทำให้การวินิจฉัยผิดพลาด ขณะนี้ ศูนย์วิจัยโรคเมลิออยโดสิส ได้คิดชุดอุปกรณ์ตรวจแยกวิเคราะห์เชื้ออย่างง่ายสำเร็จโดยใช้เวลาเพียง 2.5 นาที ศูนย์วิจัยโรคเมลิออยโดสิสร่วมกับคณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนาชุดตรวจแยกเชื้อด้วยวิธี latex agglutination test เพื่อมาใช้แยกเชื้อ Burkholderia pseudomallei ซึ่งเป็นเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคเมลิออยโดสิส โดยชุดตรวจนี้ประกอบด้วย Latex Agglutination, Positive Control และ Negative control ขณะนี้ นำไปทดลองใช้ในโรงพยาบาลหลายแห่ง มีผู้สนใจมาติดต่อขอซื้อ เช่น ฮ่องกง สเปน และสหรัฐอเมริกา สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์วิจัยโมลิออยโดสิส คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โทร.0-4336-3515 หรือ e-mail : melioid@kku.ac.th หรือ เข้าชมเว็บไซต์ http://www.melioid.org (มติชน อังคารที่ 18 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th)





วช.วิจัยเพิ่มค่าหอยกาบน้ำจืดผลิตไข่มุก ชี้เปลือกสกัดทำฟันปลอม พร้อมหนุนเกษตรกรเพาะเลี้ยง

สภาวิจัยแห่งชาติหนุนศึกษาคุณสมบัติหอยกาบน้ำจืด พบเปลือกหอยอุดมด้วย "ไฮดรอกซีอะปาไทต์" สารประกอบกระดูกเทียม รากฟันและฟันปลอม ทั้งยังมีธาตุแคลเซียมสูงเหมาะเป็นสารผสมในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและเครื่องสำอาง ส่วนตัวหอยกาบ 6 ใน 28 ชนิดมีศักยภาพผลิตไข่มุกน้ำจืด ชี้เม็ดใหญ่ มีความแวววาวเป็นมุก เหมาะส่งเสริมให้เกษตรกรเพาะเลี้ยง รศ.ดร.สุธาทิพย์ ศิริไพศาลพิพัฒน์ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่า เปลือกหอยาบน้ำจืดมี "สารไฮดรอกซีอะปาไทต์" (hydroxyapatite) ซึ่งนิยมนำไปเป็นส่วนผสมในการทำฟันปลอมและรากฟัน นอกจากนี้ยังเป็นสารผสมที่ใช้ในการกำจัดสารพิษในสิ่งแวดล้อม ซึ่งในแต่ละปีประเทศไทยต้องนำสารประกอบไฮดรอกซีอะปาไทต์รวมมูลค่าหลายพันล้านบาท นอกจากเปลือกหอยจะมีสารไฮดรอกซีอะปาไทต์แล้ว ยังพบธาตุแคลเซียมในเปลือกหลังการเกิดไข่มุกในปริมาณมากถึงร้อยละ 36-40 จึงสามารถใช้เปลือกหอยแทนไข่มุก สำหรับเป็นส่วนผสมในอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง สำหรับความรู้ข้างต้นได้จากโครงการวิจัย “การวิเคราะห์องค์ประกอบของเปลือกหอยและไข่มุก ที่ได้จากหอยกาบน้ำจืดวงศ์ Amblemidae ในประเทศไทย” ซึ่งคณะวิจัยได้ศึกษาคุณสมบัติ และสมบัติทางเคมีของไข่มุกและเปลือกหอยที่เกิดจากหอยกาบในแหล่งน้ำจืดตามภูมิภาคต่างๆ โดยใช้เทคนิควิธีวิเคราะห์ต่างๆ เพื่อตรวจสอบสมบัติทางเคมีของเปลือกหอยกาบ จากการวิจัยพบว่าไข่มุกและเปลือกหอย มีธาตุแคลเซียมที่เหมาะสมและมีปริมาณมากพอ ที่จะนำมาสกัดเป็นสารที่นำไปทำกระดูกเทียมได้ซึ่งในต่างประเทศขายกันแพงมากตกมิลลิกรัมละ 1 พันบาท หากสามารถผลิตได้เองก็จะทดแทนการนำเข้าและสร้างมูลค่าเพิ่มให้เปลือกหอยอีกด้วย (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 20 เม.ย. 49 http://www.bangkokbiznews.com)





มะกันใช้"ส้ม-มะนาว" แปรรูปผลิตเอทานอล

รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ต้องสั่งให้หน่วยงานวิจัยทางการเกษตร (เออาร์เอส) คิดค้นวิธีการผลิตเชื้อเพลิงใหม่ๆ มาทดแทน ซึ่งขณะนี้กำลังทดลองนำเอาเปลือกของส้มและมะนาวมาแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงเอทานอลสำหรับเติมรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ไฮบริดจ์ เออาร์เอสระบุว่า เปลือกส้มและมะนาวมีเซลลูโลส สารเพคติน และโพลีซัคคาไรด์ มากเพียงพอที่จะนำมาผ่านกระบวนการแปรรูปให้กลายเป็นน้ำตาลและหมักเป็นแอลกอฮอล์เพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิงเอทานอลต่อไป งานวิจัยของเออาร์เอสชิ้นนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2535 แต่ที่ผ่านมาไม่ประสบผลสำเร็จเพราะต้นทุนในการผลิตเอทานอลสูงมาก ไม่คุ้มทุน จนกระทั่งปี 2537 นายบิล วิดเมอร์ นักเคมี ได้เข้ามาปรับปรุงกระบวนการผลิตจนเข้ารูปเข้ารอย และเออาร์เอสกำลังสร้างโรงงานผลิตเอทานอลจากเปลือกส้มและมะนาวที่มีกำลังการผลิตวันละ 10,000 แกลลอนเพื่อการทดลอง (ข่าวสด พฤหัสบดีที่ 20 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)





มด(เก่า)แก่กว่าที่คิด

นักวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา นำโดย ศาสตราจารย์นาโอมิ เพียซ ตีพิมพ์ผลงานวิจัยในวารสารวิทยาศาสตร์ว่า มดมีอยู่ในโลกมานานมากกว่าที่เคยคิดไว้คือ ย้อนหลังกลับไป 140-168 ล้านปีก่อนก็มีมดในโลกแล้ว จากเดิมที่คิดไว้แค่ 40 ล้านปี จากการศึกษาโครงสร้างตระกูลมดโดยอาศัยดีเอ็นเอจาก 6 ยีน ของมด 139 สายพันธุ์ทั่วโลก ผนวกกับการวิเคราะห์จากฟอสซิลและหลักฐานอื่นๆ คณะศึกษาประเมินว่า ความหลากหลายของมดเกิดขึ้นเมื่อราว 100 ล้านปีก่อน พร้อมกับการเพิ่มจำนวนของพืชดอกชั้นสูงประเภทที่มีเมล็ด เพราะพืชเหล่านี้ทำให้มดมีแหล่งที่อยู่อาศัยและอาหารใหม่ๆ โดยตระกูลมดที่เก่าแก่ที่สุดคือ ซับแฟมิลี่ เล็กทานิลลิแน รองลงมามี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มพาเนอรอยด์ หรือมดนักล่า และฟอร์มิซอยด์ เช่น มดทั่วไป (ข่าวสด พุธที่ 19 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)





กะเพราไล่ยุง

"กะเพรา" ซึ่งเป็นไม้พุ่มเตี้ย ลำต้นและใบมีขนปกคลุม ปลายใบแหลม ที่นิยมปลูกเป็นสวนครัวมี 2 ชนิดคือ กะเพราขาว ใบสีเขียว และกะเพราแดง ใบมีสีออกแดงเลือดหมู สารไล่หรือกำจัดยุงหาได้จากใบ โดยนำใบมาตัด หั่น บดให้เป็นผง แล้วนำผสมกับวัสดุอื่นผลิตเป็นแท่งหรือเป็นขด ใช้จุดไฟให้เกิดควันอันผสมด้วยสารที่มีคุณสมบัติไล่แมลง การทดสอบใช้ใบกะเพราไล่ยุง ทำได้โดยขยี้ใบกะเพราสดหลายๆ ใบวางไว้ใกล้ตัว กลิ่นน้ำมันที่ระเหยออกจากใบจะไล่ยุงไม่ให้เข้ามาใกล้ หรือจะขยี้ใบสดมาทาถูบริเวณผิวหนังโดยตรงก็ได้ แต่กลิ่นน้ำมันกะเพราจะระเหยหมดไปค่อนข้างเร็ว ควรหมั่นเปลี่ยนบ่อยครั้ง สังเกตจากก่อนใช้และหลังใช้ว่ายุงเข้ามาใกล้ตัวเราจำนวนหรือครั้งถี่ห่างต่างกันเพียงใด นอกจากนี้กะเพรากับเพื่อนสมุนไพรบางชนิดยังมีคุณสมบัติกำจัดลูกน้ำยุงลาย มีผลต่อการลดปริมาณการวางไข่ และอัตราการฟักของไข่ด้วย โครงงานวิทยาศาสตร์ของนักเรียนโรงเรียนขุนยวมวิทยา อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ยืนยัน เป็นโครงงานที่ได้แนวคิดมาจากการสังเกตเห็นลูกน้ำยุงลายจำนวนมาก และต้องการทำลายโดยไม่ใช้สารเคมีที่อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อมตามมา จึงมองหาสมุนไพรในท้องถิ่นที่มีสรรพคุณอยู่แล้วมาดัดแปลงให้เกิดประโยชน์ในการควบคุมและกำจัดลูกน้ำยุงลายแทนสารเคมี ตัวแปรต้นในการวิจัยคือลูกน้ำยุงลาย ตัวแปรตามคือกระเทียม พริก หอมแดง กะเพรา ตัวแปรควบคุมคือปริมาณของสมุนไพร จำนวนลูกน้ำยุงลายและระยะเวลาสังเกตผลการเปลี่ยนแปลง สรุปผลจากการทดลอง หลังจากทิ้งสมุนไพรไว้ 2 คืน พบว่าสมุนไพรที่สามารถฆ่าลูกน้ำได้ดีคือกระเทียม พริก หอมแดง และกะเพรา ด้วยคุณสมบัติความเผ็ดและกลิ่นฉุนของสมุนไพรชนิดต่างๆ สามารถฆ่าลูกน้ำยุงลายได้ดี (ข่าวสด พุธที่ 19 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)





"ฝรั่งอบแห้งชนิดแท่ง" อาหารเช้าคุมน้ำหนัก ฝีมือนักศึกษา"มทร.พระนคร"

นักศึกษาในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) พระนคร วิทยาเขตโชติเวช สาขาวิชาอาหารโภชนาการ-พัฒนาผลิตภัณฑ์ มีความคิดวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น โดยการนำผลไม้ ได้แก่ ฝรั่ง มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเช้าที่ให้คุณค่าทางโภชนาการ โดยมีส่วนผสมที่ลงตัว โดย น.ส.บูชิตา พงษ์พัว และ น.ส.สุนิสา พ่วงบุญมาก สองนักศึกษา มทร.พระนคร วิทยาเขตโชติเวช ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปชนิดแท่งจากฝรั่งอบแห้ง มีขั้นตอนกรรมวิธีที่ไม่ค่อยยุ่งยาก โดยมีส่วนผสมดังนี้ ฝรั่งอบแห้ง, ข้าวพอง, ซูคราโลส, แบะแซ, น้ำผึ้ง และน้ำเปล่า จากนั้นเริ่มด้วยการนำน้ำมาผสมกับสารให้ความหวานที่ชื่อซูคราโลส น้ำผึ้งและแบะแซ ต้มให้เดือดทิ้งไว้ประมาณสองนาที แล้วนำฝรั่งอบแห้งมาผสมกับข้าวพอง คนให้เข้ากันจนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นำทั้งสองอย่างมาผสมกันอีกครั้งหนึ่ง คนให้เข้ากันให้สารความหวานเกาะติดที่เนื้อฝรั่ง จากนั้นตักใส่ถาดนำไปขึ้นรูปโดยการนำไปผนึกถุง ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปชนิดแท่งจากฝรั่งอบแห้งนี้ เหมาะสำหรับเป็นอาหารเช้าที่ทานร่วมกับนมได้เป็นอย่างดี และไม่เพียงแต่เป็นอาหารเช้า ยังเป็นอาหารคบเคี้ยวได้ทุกเวลา เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย ผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้ช่วยในเรื่องของการขับถ่ายได้เป็นอย่างดี และมีวิตามินซีสูงอีกด้วย ที่สำคัญไม่ใช้น้ำตาลทรายที่ให้ความหวาน แต่ใช้สารให้ความหวานซูคราโลสมาทดแทน ซึ่งให้ความหวาน แต่ไม่ให้พลังงาน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก และผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่สาขาวิชาอาหารโภชนาการ-พัฒนาผลิตภัณฑ์ โทร.0-2282-8531-2, 0-5132-0027 (มติชนรายวัน พุธที่ 19 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th)





“เทคนิคการแพทย์” มช.สร้างตู้ดูภาพรังสีเต้านม

การคิดค้นประดิษฐ์ “ตู้ดูภาพรังสีเต้านม” เครื่องมือที่เพิ่มประสิทธิภาพในทุกขั้นตอนของกระบวนตรวจหามะเร็งเต้านม ซึ่งช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้อย่างถูกโรค โดยฝีมือของ “กฤศณัฎฐ์ เชื่อมสามัคคี” นักศึกษาจากคณะเทคนิคการแพทย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภายใต้การสนับสนุนในโครงการ “โครงงานสำหรับนักศึกษาปริญญาตรี” หรือ IRPUS (Industrial and Research Projects for Undergraduate Students) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว) กฤศณัฎฐ์ ผู้ออกแบบผลิตและประเมินชุดอุปกรณ์สำหรับอ่านภาพรังสีเต้านม หรือ “ตู้ดูภาพรังสีเต้านม” อธิบายว่า กระบวนการวินิจฉัยโรคมะเร็งเต้านมของรังสีแพทย์ คือการอ่านภาพรังสี ซึ่งจำเป็นต้องใช้ชุดอุปกรณ์เฉพาะสำหรับการอ่าน ได้แก่ ตู้อ่านฟิล์มชนิดพิเศษ เลนส์ขยาย และไฟสำหรับดูรอยโรคเฉพาะที่ เพื่อทำให้สามารถเห็นรอยโรคที่มีขนาดเล็กได้ และยังช่วยให้การวินิจฉัยโรคมีมีความคลาดเคลื่อนน้อยลงด้วย จากประสบการณ์การฝึกงานที่ผ่านมาพบว่า ตามโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลประจำจังหวัด ยังขาดแคลนอุปกรณ์ช่วยสำหรับการอ่านภาพรังสีเต้านม ซึ่งอาจเป็นผลจากงบประมาณที่ไม่เอื้ออำนวย ขณะเดียวกันก็พบว่าอุปกรณ์ช่วยอ่านภาพรังสีเต้านมในหลายรูปแบบล้วนนำเข้าจากต่างประเทศ และมีราคาแพงจึงไม่นิยมนำมาใช้ในประเทศไทย สำหรับเครื่องต้นแบบที่ประดิษฐ์ขึ้นจะใช้อุปกรณ์หลักๆ คือ ตู้อ่านฟิล์มชนิดพิเศษ เลนส์ขยายไฟสำหรับส่องดูรอยโรคเฉพาะที่ และมีอุปกรณ์ประกอบย่อยอีก 2-3 ชิ้น ซึ่งทั้งหมดทำจากวัสดุที่หาได้ภายในประเทศ อาทิ ไฟเบอร์กลาส หลอดไฟชนิดพิเศษ สำหรับขนาดชุดเครื่องมือนี้ มีความกว้างประมาณ 50 ซม. และสูง 180 ซม. อีกทั้งยังสามารถถอดประกอบเคลื่อนย้ายได้สะดวก และใช้ไฟประมาณ 250 วัตต์เท่านั้น ส่วนเรื่องประสิทธิการทำงานแพทย์สามารถใช้อ่านวินิจฉัยโรคมะเร็งเต้านม ได้ 2 ชุดพร้อมกัน ได้แก่ ภาพรังสีเต้านมข้างขวา 2 ภาพ และข้างซ้าย 2 ภาพ อีกทั้งยังสามารถดูภาพรังสีทั่วไป ที่ประกอบการวินิจฉัยโรคได้อีก 3 ภาพในคราวเดียวกัน ราคาอยู่ที่ 35,000 บาท แต่ถ้าเป็นของนำเข้าจะมีราคาสูงถึง 4-5 แสนบาท (สยามรัฐรายวัน ศุกร์ที่ 21 เม.ย. 49 http://www.siamrath.co.th)





แบคทีเรียใหม่บำบัดน้ำเสีย นศ.มหิดลเจ๋งคว้า1ล้านงานแผนธุรกิจสหรัฐ

ปริญญาโทมหิดลสร้างชื่อให้สถาบัน ได้รับรางวัลชนะเลิศการแข่งขันแผนธุรกิจระดับโลก จัดขึ้นโดยมหาวิทยาลัยโอเรกอน สหรัฐอเมริกา รับเงินรางวัล 1 ล้านบาท เผยผลงานนำเสนอแบคทีเรียตัวใหม่ มีประสิทธิภาพบำบัดน้ำเสียสูง แถมให้ผลพลอยได้เป็นสารเร่งเนื้อแดงตามธรรมชาติ สำหรับใช้ในอุตสาหกรรมอาหารทะเลและปลาสวยงาม ทีมงานได้นำเสนอผลิตภัณฑ์คือ "ไทยแลนเดนสิส" ซึ่งเป็นชื่อของแบคทีเรียตัวใหม่ที่เพิ่งค้นพบ โดยประสิทธิภาพของแบคทีเรียตัวนี้สามารถใช้ "บำบัดน้ำเสีย" ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าแบคทีเรียตัวอื่นๆ ที่อยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมจำพวกน้ำตาลและกระดาษ ที่สำคัญในระหว่างกระบวนการบำบัดน้ำเสีย แบคทีเรียตัวนี้จะกินของเสียที่เป็นอินทรีย์สารซึ่งปนเปื้อนในน้ำ จากนั้นจะสร้างสารตัวใหม่ภายในตัวเอง จนเกิดเป็นสารที่ชื่อว่า "แอนตาแซนธีน" ซึ่งเป็นสารที่มีมูลค่าในตลาดโลกที่สูงมาก ราคากิโลกรัมละ 8 หมื่นบาท โดยสารตัวนี้เป็นตัวที่เพิ่มและเร่งความเข้มข้นของสี ซึ่งใช้กันในอุตสาหกรรมปลาซามอน กุ้ง ตลอดจนปลาสวยงาม เพื่อเร่งให้เนื้อของสัตว์เหล่านี้มีสีเข้ม สวยงาม ตัวใหญ่และสุขภาพดี สมาชิกของอะควาสยาม ได้แก่ นายอัมรินทร์ อ้ายหล้า นายทรงภัทร สนิทวงศ์ ณ อยุธยา น.ส.ภัฑรียา ชลากรกุล และ น.ส.ปราณปริยา วิศรุตนันทะ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมจัดตั้งบริษัท เพื่อดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจตามแผนธุรกิจดังกล่าว คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 160 ล้านบาท ด้าน ศ.ดร.เลียงชัย ลิ้มล้อมวงศ์ คณบดีวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ในปี 2549 นี้มีแผนธุรกิจที่ผ่านรอบคัดเลือกให้เข้าร่วมแข่งขันในรอบตัดสิน ณ มหาวิทยาลัยโอเรกอน ทั้งสิ้นจำนวน 20 แผนธุรกิจ ซึ่งมาจากทีมนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ส่วนทีมไทยมี 2 มหาวิทยาลัยที่ผลงานเข้ารอบสุดท้ายคือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยมหิดล และจะเป็นตัวแทนของอาเซียน เพื่อไปเข้าแข่งขันในเวทีระดับโลก ณ รัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 3- 6 พฤษภาคมนี้(คมชัดลึก ศุกร์ที่ 21 เม.ย. 49 http://www.komchadluek.net)





ศ.ดร.วิชัย ริ้วตระกูล คว้ารางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ

ศ.ดร.วิชัย ริ้วตระกูลได้รับการคัดเลือกจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ประกาศเกียรติคุณเป็น 1 ใน 10 นักวิชาการ ผู้ได้รับรางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2548 สาขาวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช เมื่อเร็วๆ นี้ สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีทางเคมี (เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง) มหาวิทยาลัยซิดนีย์ สหรัฐอมเริกา ปี 2509 ปริญญาเอกทางเคมีอินทรีย์ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐ ปี 2514 และได้ปริญญาวิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาเคมี อีก 2 ใบ จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ปี 2540 และ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ปี 2547 ในช่วงปี 2546 ได้รับโปรดเกล้าฯเป็นราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ ราชบัณฑิตยสถาน และได้รับเลือกเป็นเมธีวิจัยอาวุโส สกว. ปี 2539-2550 ชีวิตราชการเริ่มเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ตั้งแต่ปี 2514 จนถึงปัจจุบัน โดยก้าวหน้าตามลำดับ เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ ศาสตราจารย์และศาสตราจารย์ ระดับ 11 สำหรับผลงานวิจัยสำคัญที่ส่งผลให้ได้รับรางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ คือ การวิจัยพื้นฐานแบบกำหนดทิศทางด้านเคมีอินทรีย์สังเคราะห์ ซึ่งเกี่ยวกับการศึกษาและค้นหาสารที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพจากธรรมชาติ อาจนำไปสู่สารต้นแบบที่นำมาจดสิทธิบัตรได้ เพื่อการพัฒนาไปสู่เชิงพาณิชย์และเชิงสาธารณประโยชน์ต่อไป อีกงานวิจัยคือ โครงการ drug discovery การพัฒนาสารประเภทที่มีด้าน anti-inflammatory antimicrobial และ antioxidant activities เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน อาทิ เครื่องสำอาง หรือสารที่ใช้เรื่องการรักษาผลไม้สดให้อยู่ได้นานขึ้น (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 21 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th)





"เครื่องคั่วและป่นพริก" ชนะเลิศสิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์

กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประกาศผลประกวด "สิ่งประดิษฐ์คิดค้นทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี" ปีล่าสุด สำหรับการประกวดหมวด "เครื่องจักรกลเพื่อการเกษตรและสิ่งแวดล้อมการเกษตร" มีผู้ส่งผลงานเข้าประกวด 39 ชิ้นงาน ผู้ชนะเลิศรางวัลที่ 1 ได้แก่ ผลงาน "เครื่องคั่วและป่นพริก" (CHILLI ROASTED–CRUSHED MACHINE) ของนายวิโรจน์ โชคอุดมชัย และคณะจากมหาวิทยาลัยราชภัฎเพชรบูรณ์ คุณประโยชน์ของ "เครื่องคั่วและป่นพริก" ที่โดดเด่นจนสามารถชนะการแข่งขัน มีดังนี้ 1. แก้ไขปัญหาการระคายเคืองบริเวณตา ผิวหนัง และระบบหายใจจากการคั่วพริก 2. ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากพริกมีความสะอาดปลอดภัย น่ารับประทาน 3. ช่วยส่งเสริมในด้านอุตสาหกรรมของกลุ่มแม่บ้าน (โอท็อป) 4. ลดระยะเวลาที่ใช้ในการคั่วพริกและป่นพริก 5. สามารถผลิตพริกป่นได้ตามจำนวนที่ต้องการ สร้างมูลค่าเพิ่มจากพริก ผลงานสิ่งประดิษฐ์ครื่องคั่วและป่นพริก ดังกล่าวยังมีจุดเด่นอีกหลายประการ นั่นคือ สามารถคั่วและป่นพริกในขั้นตอนเดียวกันหรือแยกขั้นตอนได้ นอกจากนั้น จุดกำเนิดของเครื่องคั่วและป่นพริกยังตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อประหยัดเวลาให้แก่ผู้ประกอบการ จากเดิมใช้เวลาคั่วพริก 40 นาที ทำให้พริกแตกละเอียดอีกประมาณ 50 นาที สำหรับเครื่องคั่วพริกและป่นพริกใช้เวลาคั่วและป่น เพียง 25 นาที เร็วกว่า 65 นาทีต่อรอบการผลิต สำหรับผู้สนใจเครื่องคั่วและป่นพริก เจ้าของรางวัลสิ่งประดิษฐ์คิดค้นทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีปีล่าสุดนี้ สามารถติดต่อได้ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ โทร. 0-5671-1396 ต่อ 1601 (ข่าวสด ศุกร์ที่ 21 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ศูนย์วิจัยปตท.นำร่องใช้ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง เล็งเพิ่มกำลังผลิตเป็น 250 จากเฟสแรก 50 กิโลวัตต์

ปตท.ทดลองใช้เซลล์เชื้อเพลิง หวังหาทางผลิตให้ได้กระแสไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยเริ่มทดสอบก่อน 50 กิโลวัตต์ ถ้าได้ผลดีจึงเพิ่มกำลังการผลิต พร้อมจับมือสหรัฐพัฒนาระบบควบคุมการไหลเวียนเซลล์เชื้อเพลิง มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตกระแสไฟฟ้า นายอดิเรก ศรีวัฒนาวงษา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไฮเจน เพาเวอร์ จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากการลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกับบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ในโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าระบบเซลล์เชื้อเพลิงโดยใช้ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งติดตั้งภายในสถาบันวิจัยและเทคโนโลยี ปตท. อำเภอวังน้อย พระนครศรีอยุธยา ล่าสุดบริษัทกำลังพัฒนาระบบควบคุมการไหลเวียนของเซลล์เชื้อเพลิง เพื่อผลิตพลังงานให้มีประสิทธิภาพมากสุด เทคโนโลยีดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างบริษัท ไฮเจน เพาเวอร์ จำกัด กับบริษัท เจนเซลล์ สหรัฐอเมริกา สำหรับพัฒนาระบบให้เหมาะสมกับการใช้งานในไทย โดยสัญญามีอายุ 10 ปี แต่บริษัทจะดำเนินการติดตั้งเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้านำร่องขนาด 50 กิโลวัตต์ ในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนเพื่อทดสอบระบบการผลิตกระแสไฟฟ้า หลังจากนั้นจึงขยายขนาดกำลังการผลิตเป็น 250 กิโลวัตต์ในระยะถัดไป ทั้งนี้ เซลล์เชื้อเพลิงใช้หลักการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยอาศัยปฏิกิริยาเคมีไฟฟ้าซึ่งมีการทำงานคล้ายกับแบตเตอรี่ แต่ต่างกันที่เซลล์เชื้อเพลิงไม่จำเป็นต้องหยุดเพื่อชาร์จไฟ และสามารถทำงานอย่างต่อเนื่อง หากที่ยังคงมีการป้อนเชื้อเพลิงและก๊าชออกซิแดนท์ โดยเชื้อเพลิงที่ป้อนเข้ามีตั้งแต่ ก๊าชไฮโดรเจน เมทานอล และเอทานอล ในขณะที่ก๊าชออกซิแดนท์ คือ ก๊าชออกซิเจน หรือ อากาศเป็นหลัก สำหรับโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าระบบเซลล์เชื้อเพลิงนั้น เป็นเซลล์เชื้อเพลิงแบบเกลือคาร์บอเนตหลอมเหลว (Molten Carbonate Fuel Cell- MCFC) ใช้พลังงานก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีกำลังการผลิต 250 กิโลวัตต์ และมีประสิทธิภาพในการผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึงร้อยละ 48 ซึ่งโครงการนี้สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ประมาณปีละ 1.8 ล้านหน่วย เพื่อป้อนอาคารทดสอบเครื่องยนต์ ภายในสถาบันวิจัยฯ ปตท. โดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงประมาณ 0.05 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน สำหรับความร้อนที่ได้จากการผลิตพลังงาน จะนำไปใช้กับเครื่องปรับอากาศเพื่อช่วยประหยัดพลังงาน สำหรับประเทศไทยความต้องการใช้เซลล์เชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นอีก 5 ปีข้างหน้า และจะมีการลงทุนเพื่อนำมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น เนื่องจากประหยัดต้นทุนและไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ไทยจะเป็นประเทศที่สองในเอเชีย ที่มีการพัฒนาเซลล์เชื้อเพลิงขึ้นมาใช้งานในการผลิตกระแสไฟฟ้า (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 21 เม.ย. 49 http://www.bangkokbiznews.com)





รากฟันเทียมแบบฉบับคนเอเชีย ระดมทันตแพทย์พัฒนาคาด 3 ปีใช้จริง

ทันตแพทย์จาก 8 มหาวิทยาลัยแพทย์ ร่วมมือพัฒนาชุดรากฟันเทียมในอุดมคติ เน้นเหมาะกับสรีระคนเอเชีย และคนไทย สวมใส่ง่าย และราคาประหยัด ผศ.ทพ.สรรพัชญ์ นามะโน ภาควิชาทันตกรรมประดิษฐ์ คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ทันตแพทย์กลุ่มหนึ่งจากมหาวิทยาลัยแพทย์ทั่วประเทศ ร่วมกันร่างต้นแบบอุปกรณ์รากฟันเทียมในแบบฉบับของคนไทย และถูกต้องตามอุดมคติของทันตแพทย์ โดยได้รับความร่วมมือในการร่างแบบจากอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นจะนำต้นแบบที่ได้ไปผลิตเป็นต้นแบบ 50 ชิ้นแรกที่โรงงานในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากในปัจจุบันประเทศไทย ยังไม่มีโรงงานผลิตวัสดุในลักษณะนี้โดยเฉพาะ วัสดุทำรากเทียมที่ออกแบบขึ้นนี้ มีขนาดและลักษณะเฉพาะของเกี่ยวรากเทียม ที่ช่วยให้การยึดเกาะและสมานแผลเข้ากับเหงือกได้ดี โดยวัสดุที่ใช้ยังเป็นโลหะไททาเนียมเช่นเดียวกับวัสดุนำเข้า เพียงแต่มีรูปร่างที่แตกต่างกัน สำหรับต้นแบบอุปกรณ์รากฟันเทียมในแบบฉบับของคนไทย เกิดจากการหารือในกลุ่มทันตแพทย์ เกี่ยวกับการทำวิจัยพัฒนาวัสดุอุปกรณ์ของรากฟันเทียมในแบบฉบับคนไทย โดยมีคุณลักษณะพิเศษคือ สวมใส่สะดวกและเข้ากับสรีระของคนเอเชีย จากปัจจุบันที่อุปกรณ์รากเทียมมีหลายยี่ห้อ ซึ่งลักษณะแตกต่างกัน ทั้งยังราคาแพงเพราะต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ทีมทันตแพทย์จึงร่างแบบชิ้นส่วนรากฟันเทียมที่เหมาะกับคนไทยขึ้น จากข้อคิดเห็นของทันตแพทย์ 8 มหาวิทยาลัยแพทย์ หลังจากที่ได้ตัวต้นแบบของวัสดุทำรากเทียม อาทิ รากเทียม วัสดุพิมพ์ปาก หัวกรอกระดูก หมวกปิดรากเทียม สกูร วัสดุสมานแผล เป็นต้น ซึ่งอุปกรณ์ทุกชิ้นจะนำมาทดสอบความเป็นพิษในเซลล์ของโลหะระดับห้องปฏิบัติการ ทดสอบใช้งานในสัตว์ทดลองประเภทสุนัข 10 ตัว และติดตามผลประมาณ 8 เดือน หลังจากแน่ใจในความปลอดภัยแล้วจากนั้นจึงเริ่มทดสอบในคน 50 ราย โดยคาดว่าต้องใช้เวลาประมาณ 3 ปีสำหรับการยืนยันผล ทีมวิจัยคาดว่าหากต้นแบบวัสดุรากเทียมทั้งหมดใช้งานได้จริง โดยไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ ในอนาคตจะผลักดันให้เกิดการผลิตระดับอุตสาหกรรมในประเทศ ซึ่งจะทำให้ราคาต้นทุนของวัสดุลดลงกว่า 50% ทำให้ค่ารักษาทันตกรรมด้วยวิธีการใส่รากเทียมมีราคาถูกลงมาก โดยปัจจุบันราคาของรากเทียมอยู่ที่ 40,000-100,000 บาทต่อซี่ ขึ้นกับยี่ห้อของรากเทียม (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 19 เม.ย. 49 http://www.bangkokbiznews.com)





ข่าวทั่วไป


ป้องภัยแสงแดดให้ถูกวิธี

ข้อควรคำนึงง่ายๆ ก่อนออกแดดมีอยู่ว่า ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมนอกบ้านช่วงกลางวันที่แดดร้อนเปรี้ยง โดยเฉพาะระหว่างเวลา 10 โมงเช้า ถึง 4 โมงเย็น • ถ้าจำเป็นต้องออกนอกบ้าน ควรหาอุปกรณ์กันแดดและเสื้อผ้าที่เหมาะสม เช่น หมวกปีกกว้าง เสื้อเชิ้ตแขนยาว และกางเกงขายาว • ควรสวมใส่แว่นกันแดดอย่างชนิดที่ป้องกันรังสียูวี 100 เปอร์เซ็นต์ เพื่อปกป้อง ดวงตา • อย่าลืมทาครีม กันแดดก่อนออกนอกบ้าน เลือกเอาชนิดที่มีค่า SPF (Sun Pro- tection Filter) ระดับ 15 เป็นอย่างน้อย ยิ่งค่าเอสพีเอฟสูงก็ยิ่งกรองรังสีจากดวงอาทิตย์ได้มาก • วิธีทาครีมกันแดดควรจะทาให้ทั่วตามบริเวณต่างๆที่จะถูกแดด ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า หลังหู คอ และเท้า อย่างน้อย 15-30 นาทีก่อนออกไปข้างนอก และทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมงหลังจากนั้น อย่าลืมว่าแม้ ในวันที่แดดไม่แรงจัด มีเมฆปกคลุม ก็ยังต้องทาครีมกันแดดด้วย เพราะรังสีจากแสงแดดไม่มีวันหยุดพักนั่นเอง. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 17 เม.ย. 49 http://www.thairath.co.th)





แพทย์เผยหญิงเสี่ยง ‘ไมเกรน’ กว่าชาย

รศ.น.พ.ก้องเกียรติ กูณฑ์กันทรากร ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันพบผู้ป่วยด้วยอาการไมเกรนเพิ่มมากขึ้น โดยผู้หญิงมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ชาย ทั้งนี้ พบผู้หญิงมีอาการไมเกรนประมาณ 17% ของประชากร ขณะที่ผู้ชายพบเพียง 6% เท่านั้น ทั้งนี้ อาการไมเกรนมักเกิดกับผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์อายุระหว่าง 25-34 ปี โดยจะมีอาการปวดไมเกรนในช่วงก่อนมีประจำเดือน เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน ส่วนใหญ่จะมีอาการปวดศีรษะแบบครึ่งซีกบริเวณขมับ เบ้าตาและท้ายทอย อาการปวดมักเป็นแบบตุบๆ บางคนอาจรู้สึกปวดตื้อๆสลับกับปวดตุบๆในสมอง ในรายที่รุนแรงอาจมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย อาการไมเกรนเป็นโรคที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ รวมทั้งมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น คนที่มีความเครียดอยู่ตลอดเวลา จริงจังกับชีวิต ไม่รู้จักปล่อยวางผ่อนสั้นผ่อนยาว จะมีโอกาสเป็นไมเกรนสูง รวมถึงผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงด้วย การหลีกเลี่ยงการเกิดอาการไมเกรน สามารถทำได้ โดยหลีกเลี่ยงอากาศร้อนจัด เย็นจัด หรือการอยู่ท่ามกลางแสดงแดดจ้า รวมทั้งหลีกเลี่ยงอารมณ์โกรธ กังวล ตื่นเต้น ตกใจ เครียด อดอาหาร พักผ่อนไม่เพียงพอ เมื่อมีอาการไมเกรนควรปรึกษาแพทย์ (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 17 เม.ย. 49 http://www.thairath.co.th)





แพทย์เตือนมือสั่นเกร็งเคลื่อนไหวผิดปกติควรพบแพทย์

ศ.นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เป็นประธานมอบรางวัลผู้ชนะการประกวดคำขวัญเนื่องในวันพาร์กินสันโลก ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในเดือนเมษายนของทุกปี โดยปีนี้เลือกจัดงานตรงกับวันที่ 10 เมษายน เนื่องจากตรงกับสัปดาห์ผู้สูงอายุแห่งชาติ ผลการประกวดคำขวัญ ผลงานที่ได้รับรางวัลที่ 1 เป็นของ น.ส.ขวัญสุดา วรวิบูล โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช จังหวัดอุบลราชธานี คำขวัญคือ “โรคพาร์กินสันไม่น่ากลัว หากเรารู้ตัวรีบรักษา” รางวัลที่ 2 เป็นผลงานของ น.ส.มุกรินทร์ คัทจันทร์ โรงเรียนจตุรพักตรพิมานรัชดาภิเษก จังหวัดร้อยเอ็ด คำขวัญคือ “พาร์กินสันรักษาได้ ถ้าเอาใจใส่อย่างถูกวิธี มือสั่นเกร็งเคลื่อนไหวไม่ดี พบแพทย์ทันทีรักษาทันใด” ต่อจากนั้นเป็นการบรรยายเพื่อประชาชนเรื่อง การรักษาโรคพาร์กินสันแบบทันสมัย โดย ผศ.นพ.รุ่งโรจน์ พิทยศิริ สาขาประสาทวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า โรคพาร์กินสันและกลุ่มความเคลื่อนไหวผิดปกติ เป็นโรคทางระบบประสาท พบได้บ่อยและทำให้ผู้ป่วยประกอบกิจวัตรประจำวันไม่ได้ พบได้ร้อยละ 1 ของประชากรที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป สาเหตุของโรคที่ชัดเจนยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ส่วนใหญ่เกิดจากสารโดปามีนในสมองมีปริมาณน้อยลง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเคลื่อนไหวช้าลง เกร็ง เดินลำบาก มีอาการสั่น หากพบอาการเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ สำหรับการรักษาพาร์กินสันแบบทันสมัยนั้น ได้มีการใช้ยาเพื่อรักษาระดับสารโดปามีนให้สม่ำเสมอ โดยแพทย์จะสั่งยากลุ่มลีโวโดปา แต่มีผลข้างเคียงคือ การคลื่นไส้อาเจียน จึงเกิดการพัฒนายาสูตรอื่น ๆ เพื่อลดผลข้างเคียงและมีทางเลือกให้กับผู้ป่วยมากขึ้น อีกทั้งมีทางเลือกด้วยการผ่าตัด ฝังสายอิลโทรดในสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว ส่งผลให้การเกร็ง สั่นหรือหยุกหยิกลดลงได้อย่างชัดเจน “ปัจจุบันทางการแพทย์สามารถปลูกถ่ายเซลล์รักษาโรคพาร์กินสันเพื่อผลิตสารโดปามีน แต่ผลการวิจัยล่าสุด ผู้ป่วยที่รับการปลูกถ่ายเซลล์อาการไม่ได้ขึ้น บางคนมีผลข้างเคียงคือ อาการยุกยิกที่ขา ไม่สามารถควบคุมได้ อีกทั้งการรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ยังเป็นแค่การวิจัยเท่านั้น คณะแพทยศาสตร์จุฬาฯ ร่วมกับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เปิดศูนย์รักษาโรคพาร์กินสันและกลุ่มความเคลื่อนไหวผิดปกติครบวงจร เนื่องจากต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา เปิดบริการเป็นคลินิกเฉพาะทางบริการทุกวันอังคารและวันพุธ ที่ตึก ภปร ชั้น 3 โรงพยาบาลจุฬาฯ (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 18 เม.ย. 49 http://www.bangkokbiznews.com)





ฮ่องกงเตือนภัยผ่าเสริมอึ๋ม ฉีด"โพลีอะครีลามายด์"สุดอันตราย

กระทรวงสาธารณสุขฮ่องกง เตือนว่า มีรายงานผู้หญิง 53 คน เกิดอาการแทรกซ้อนจากกระบวนการเสริมขนาดหน้าอกทั้งการติดเชื้อ เป็นหนอง และผดผื่น ในจำนวนนี้ 6 คน ประสบปัญหารุนแรง และจำเป็นต้องตัดหน้าอกบางส่วน นอกจากนี้ การใช้สารเคมีโพลีอะครีลามายด์เพื่อเพิ่มขนาดหน้าอกยังก่อให้เกิดอันตราย โดยมีรายงานว่าผู้หญิงส่วนใหญ่มีอาการแทรกซ้อนเคยเข้ารับการผ่าตัดด้วยสารชนิดนี้ในฮ่องกง จีน และไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมพลาสติกฮ่องกงระบุว่า การเพิ่มขนาดหน้าอกด้วยการฉีดสารเคมีเข้าไปโดยตรงเป็นการกระทำที่ล้าสมัย ด้านแพทย์เตือนให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังหากมีผู้ป่วยประสบปัญหาจากการใช้เจล รวมทั้งการดำเนินการผิดกฎหมาย ทั้งนี้ แพทย์ในฮ่องกงเตือนถึงอันตรายจากการใช้เจลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว หลังมีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งร้องเรียนเกี่ยวกับอาการบวมและมะเร็งหลังการฉีดสารเคมีเข้าไป โดยระบุว่าการฉีดเจลไม่สามารถเอาออกจากร่างกายได้ง่ายเหมือนกับการใช้ถุงน้ำเกลือและซิลิโคน ชาวฮ่องกงตกเป็นเหยื่อของคลินิกที่ให้บริการศัลยกรรมผิดกฎหมายและยังใช้ผลิตภัณฑ์เสริมความงามต้องห้าม ทางการฮ่องกงได้ออกคำเตือนเมื่อปีที่แล้วเกี่ยวกับอันตรายของโลชั่นที่ช่วยปรับผิวขาวและครีมเสริมความงามอื่นๆ ที่วางขายทั่วไปในจีนซึ่งมีส่วนผสมของสารปรอทในปริมาณมากที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย (ข่าวสด อังคารที่ 18 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)





จีนห้ามขายคอมพิวเตอร์ไร้ซอฟต์แวร์

จีนจะห้ามขายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) ที่ไม่มีซอฟต์แวร์ในกรุงปักกิ่ง เพื่อกวาดล้างตลาดซอฟต์แวร์เถื่อน คำสั่งดังกล่าวมีขึ้นก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีหู จิ่น เทา ออกเดินทางไปเยือนสหรัฐ ซึ่งกำลังกดดันให้จีนปราบปรามการลักลอบกอปปี้ซอฟต์แวร์เพลง และสินค้าอื่น ๆ โดยผิดกฎหมาย สำนักงานลิขสิทธิ์ของกรุงปักกิ่งกล่าวว่า คำสั่งห้ามดังกล่าวจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปลายปีนี้ โดยคอมพิวเตอร์ที่นำเข้าและผลิตในประเทศทุกเครื่องจะต้องขายไปพร้อมกับซอฟต์แวร์ที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น จีนถูกมองว่าเป็นผู้ผลิตซอฟต์แวร์ภาพยนตร์และผลิตภัณฑ์ลอกเลียนแบบรายใหญ่ของโลก (ข่าวสด อังคารที่ 18 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)





พระราชทานรางวัล The King of Thailand Vetiver Awards ในการประชุมหญ้าแฝกนานาชาติครั้งที่ 4 ประเทศเวเนซุเอลา

นายสมพล พันธุ์มณี เลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เปิดเผยถึงความก้าวหน้าในการเตรียมความพร้อมการจัดสัมมนาหญ้าแฝกนานาชาติ ครั้งที่ 4 ได้กำหนดจัดสัมมนาฯ ณ เมืองคารากัส ประเทศเวเนซุเอลา ระหว่างวันที่ 22-26 ตุลาคม 2549 โดย มูลนิธิโพลาร์ ร่วมกับเครือข่ายหญ้าแฝกโลกและองค์กรต่าง ๆ ในการสัมมนาครั้งนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในฐานะองค์อุปถัมภ์ หญ้าแฝกโลกฯ จะเสด็จฯ เข้าร่วมการสัมมนาและพระราชทานรางวัล The King of Thailand Vetiver Awards จากมูลนิธิชัยพัฒนา ให้แก่นักวิชาการและผู้ปฏิบัติงานหญ้าแฝกที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ รวมจำนวน 4 รางวัล สำหรับหลักเกณฑ์ในการพิจารณา คัดเลือก และตัดสินรางวัล ประกอบด้วย รางวัลด้านงานวิจัยหญ้าแฝกดีเด่น 2 รางวัล โดยผลงานที่ส่งเข้าประกวดต้องมีคุณสมบัติดังนี้ เป็นการดำเนินการศึกษาของนักวิจัยหรือคณะ นักวิจัย เป็นงานศึกษาวิจัยพื้นฐานหรือประยุกต์ เป็นผลงานวิจัยที่ทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ และเป็นผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ส่วนรางวัลด้านงานส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยีระบบหญ้าแฝกดีเด่น 2 รางวัล ต้องมีคุณสมบัติดังนี้ เป็นผลงานที่แสดงถึงวิธีการส่งเสริมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีการนำไปใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง เป็นผลงานที่มีแนวทางในการพัฒนาอย่างยั่งยืน เป็นผลงานที่ใช้ได้อย่างกว้างขวาง โดยคำนึงถึงเทคโนโลยีที่เหมาะสมสอดคล้องและเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุน เป็นผลงานที่ได้รับการยอมรับ และนำไปสู่การใช้ประโยชน์ด้านรายได้เสริม โดยมีมูลค่ารางวัลละ 2,500 เหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ สำนักงาน กปร. ในฐานะเลขานุการฯ ได้แจ้งหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งประกาศทางเว็บไซต์http://prvn.rdpb.go.th,http://thvn.rdpb.go.th,http:// www.vetiver.com,Vetiverim Newsletter และจุลสารภูมิวารินอนุรักษ์ โดยผู้สนใจสามารถส่งผลงานเข้าประกวดได้ที่ กองแผนงานและวิเทศสัมพันธ์ สำนักงาน กปร. 78 ทำเนียบรัฐบาล ถนนราชดำเนินนอก เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300 หรือผู้ที่สนใจจะเข้าร่วมสัมมนาหรือนำเสนอผลงาน สามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.fpolar.org.ve/ICV 4 หมดเขตส่งผลงานภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2549 และประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศในวันที่ 31 สิงหาคม 2549. (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 20 เม.ย. 49 http://www.dailynews.co.th)





ลำปางบูมเครื่องปั่นเซรามิก หนุน “ร้านอาหาร” ใช้ผลิตภัณฑ์

นายสิทธิชัย สุรนันท์บุตร นายกสมาคมเครื่องปั้นดินเผาจังหวัดลำปาง เปิดเผยว่า ภายในปี 2549 นี้ ทางสมาคมฯได้มีแผนการดำเนินงานหลักของสมาคมฯ 5 ด้าน ที่จะเร่งดำเนินงานให้แล้วเสร็จ และเป็นรูปธรรมที่เห็นผลได้แก่การสนับสนุนร้านอาหารในจังหวัดลำปาง ให้ใช้ภาชนะใส่อาหารให้เป็นเซรามิก โดยอาจจะมีการจัดกิจกรรมกระตุ้นให้ผู้ประกอบการร้านอาหาร สนใจในการเข้าร่วมโครงการกับทางสมาคมฯ ซึ่งหากร้านผู้ประกอบการไหนใช้เซรามิกที่เป็นถ้วยตราไก่ก็จะเป็นการดีเยี่ยม โดยทางสมาคมฯอาจจะมีการมอบรางวัล หรือมอบประกาศเกียรติคุณให้แก่ร้านค้านั้นๆ ทางสมาคมฯยังจะได้จัดทำเว๊ปไซค์เพื่อสมาชิก หรือประชาชนที่สนใจเข้ามาค้นหาข้อมูลของสมาคมเครื่องปั้นดินเผาจังหวัดลำปาง โดยเว๊ปไซค์ของทางสมาคมฯจะเป็นเว๊ปไซค์ที่รวบรวมข่าวสารความเคลื่อนไหวต่างๆ ของสมาคมฯ หรือผู้ประกอบการเซรามิกทุกแห่งในจังหวัดลำปาง นอกจากนี้ยังจะมีการทำโครงการพัฒนาสถานที่สอนการทำเซรามิกในจังหวัดลำปาง ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างสมาคมฯกับสถานศึกษาที่มีการเปิดหลักสูตรด้านการทำเซรามิก โดยทางสมาคมฯจะได้ประสานไปยังสถาบันการสอนต่างๆ เพื่อเสนอแนะแนวทางการสอนให้ถูกต้องตามหลักปฎิบัติการทำเซรามิกจริง พร้อมกับจัดส่งผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในแต่ละขั้นตอนไปร่วมเป็นวิทยากร หรืออาจารย์พิเศษให้กับสถาบันการศึกษาที่เปิดการเรียนการสอนหลักสูตรดังกล่าว ผลดีที่จะตามมากก็คือผู้ประกอบการเซรามิกจะได้ตลาดแรงงานที่มีคุณภาพ เพื่อบรรจุเข้าทำงานต่อไป ทางสมาคมฯ ยังจะมีการดำเนินโครงการร่วมใจลดต้นทุน และวัตถุดิบ ซึ่งเป็นโครงการที่ช่วยเหลือสมาชิก โดยจะรวบรวมกันในการซื้อวัตถุดิบเพียงครั้งเดียว และจำนวนมากๆ เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ตลอดจนจะเป็นการต่อรองกับแหล่งวัตถุดิบให้มีการจำหน่ายในราคาที่เท่ากัน และเป็นธรรม (สยามรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 20 เม.ย http://www.siamrath.co.th)





แผนพัฒนาชาติ

จากการให้สัมภาษณ์ของดร.อำพน กิตติอำพล เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติลงในวารสารยุทธศาสตร์แผนฯ 10 ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 ธันวาคม 2548 ความว่า เป้าหมายของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 10 คือ ความสุขของคนไทย ที่เกิดจากความสามารถในการเพิ่มทุนทางด้านเศรษฐกิจ ทุนทางสังคมและทุนทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดังนั้น จุดเน้นของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 10 ก็ยังให้คนเป็นจุดศูนย์กลางของการพัฒนาต่อเนื่อง จากแผนพัฒนาฉบับที่ 8 และ 9 เพราะคนเป็นผู้สร้างทุน และหากคนมีทุนอยู่ในตัวเอง มีจิตสำนึกที่ดี ครอบครัวก็จะมีความอบอุ่น อีกทั้งมีรายได้ที่พอเพียงกับการยังชีพ ส่งผลให้ชุมชนมีความสุข ชุมชนก็จะขยายผลไปยังสถาบันต่างๆ และไปถึงระดับประเทศในที่สุด และศ.น.พ.ประเวศ วะสี ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษถึงยุทธศาสตร์และแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 10 ในวารสารยุทธศาสตร์ แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 10 ปีที่ 4 ฉบับที่ 3 ประจำเดือนมีนาคม 2548 ว่าด้วยการพัฒนาสังคมสู่ความร่มเย็น เป็นสุข เป็นเรื่องการบูรณาการ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ จิตใจ สังคมและสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกันซึ่งควรมีพื้นฐานสัมมาชีพเต็มพื้นที่จะเป็นรากฐานของความอยู่เย็นเป็นสุข พื้นฐานทางสังคม คือการเคารพศักดิ์ศรี คุณค่าของความเป็นคนเท่าเทียมกัน เช่น สิทธิมนุษยชน สิทธิสตรี เรื่องสุขภาพ การศึกษา ความเป็นธรรมในสังคม ถ้าขาดตรงนี้จะไม่เกิดความร่มเย็นเป็นสุข จากบทสัมภาษณ์ของทั้งสองท่านสามารถนำความสุขที่เกิดจากการเพิ่มทุนทางด้านเศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และความสุขที่เกิดจากจิตใจ มาบูรณาการเข้าด้วยกันได้ เพื่อจะได้หล่อหลอมคนในชาติให้มีศีลธรรม จริยธรรม และคุณธรรม นำมาซึ่งความผาสุกของมนุษย์ร่วมโลก สาเหตุหนึ่งที่ประเทศไทยกำลังประสบกับปัญหาทางการเมือง ก็เนื่องมาจากคนส่วนมากขาดคุณธรรม และจริยธรรม ลุ่มหลงอยู่กับวัฒนธรรมต่างชาติ ขาดจิตสมนึกของความเป็นไทย ดังนั้น ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการร่างและเขียนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 10 ควรบรรจุเรื่องของความสุขด้านจิตใจลงในแผนพัฒนาฯ ด้วย ไม่ใช่ไขว่ขว้าหาความสุขด้านวัตถุอย่างเดียว ควรเน้นถึงการทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำสอนของศาสนาทุกศาสนาที่ตนนับถือ ตั้งแต่วัยเรียน เช่น ศาสนาพุทธโดยสรุปแล้วจะสอนให้เราเดินทางสายกลาง ใช้หลักในการดำเนินชีวิตด้วยความพอดี เพื่อนำไปเป็นหลักในการปฏิบัติตน จะได้ไม่เกิดความโภล โกรธ หลง ในด้านวัตถุ จนขาดจริยธรรม คุณธรรม (ข่าวสด พฤหัสบดีที่ 20 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)





"ในหลวง"นักพัฒนา-ยูเอ็นถวายรางวัล

วันที่ 18 เม.ย.ที่ทำเนียบรัฐบาล น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรี และรักษาการรมว.วัฒนธรรม ได้แจ้งต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่าเมื่อวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรประจำองค์การสหประชาชาติ ได้รับการประสานงานจากสำนักงานเลขาธิการสหประชาชาติว่า นายโคฟี่ อันนัน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ขอเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทูลเกล้าฯถวายรางวัลเกียรติยศด้านการพัฒนา ของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nation Development Programme Award-UNDP) แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเฉลิมพระเกียรติ และแสดงความตระหนักถึงการที่ทรงอุทิศพระวรกาย และพระวิริยะอุตสาหะในการทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ และดำเนินโครงการในพระบรมราชูปถัมภ์นานัปการ เพื่อการพัฒนา ยกระดับความเป็นอยู่รวมทั้งนำประโยชน์ และความเจริญอย่างยั่งยืนมาสู่ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ โดยนายโคฟี่ อันนัน มีกำหนดเดินทางมาประเทศไทยในวันที่ 25-27 พ.ค.นี้ และจะขอพระบรมราชานุญาตเข้าเฝ้าฯเพื่อทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลดังกล่าว เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีด้วย (ข่าวสด พุธที่ 19 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ราชภัฏจอมบึงทำใจดึงมวลชนร่วมวงวิจัย ยืดเวลาสรุปผลโรงไฟฟ้าราชบุรี-ตอบโจทย์ฝนกรด

ผศ.พิทักษ์ อาจคุ้มวงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง เปิดเผยถึงการศึกษาวิจัยผลกระทบโรงไฟฟ้า จ.ราชบุรีว่า การศึกษาวิจัยขณะนี้ถือว่าช้ามาก เนื่องจากติดขัดบางประการ ซึ่งกระบวนการวิจัยจะต้องมีการตรวจสอบรอบ 2 หากเป็นเรื่องสำคัญก็ต้องตรวจสอบหลายครั้ง รวมถึงการนำผลให้เครือข่ายของมหาวิทยาลัย ทั้งมหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตรวจสอบจนผลที่ออกมามั่นใจ จึงจะสามารถนำผลดังกล่าวให้ประชาชนและกลุ่มราชบุรีสนทนาที่เป็นตัวแทนประชาชนอภิปรายว่าจะมีแนวทางการแก้ปัญหาอย่างไร ทั้งนี้ ได้กลับมาวางแผนที่จะดึงประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ซึ่งต้องมีการให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการวิจัยอย่างชัดเจนก่อน ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีและนักวิจัยทำใจไว้แล้ว สำหรับการศึกษาวิจัยอาจต้องเลื่อนระยะเวลาออกไป ส่วนผลด้านวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนจะออกมาในช่วงของเดือนที่ 6-7 ของการวิจัย ส่วนผลด้านสังคมที่ประชาชนกังวลเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมต่างๆ ได้เปิดเวทีหลายครั้ง ซึ่งประชาชนมีความเข้าใจมากขึ้นในการมีส่วนร่วมการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น ส่วนการที่ทางจังหวัดต้องการให้มาดูแลเรื่องฝนกรดนั้นต้องมาดูกันอีกครั้ง เบื้องต้นตามกระบวนการวิจัยจะต้องทำตามแผนที่วางไว้ ส่วนประเด็นอื่นๆ หรือสิ่งที่ทางจังหวัดต้องการก็จะมีการดำเนินการต่อไป (ข่าวสด พุธที่ 19 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)





กินอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียน หนีห่างจากโรคสมองเสื่อม

นักวิจัยของศูนย์แพทย์มหาวิทยาลัยโคลัมเบียแห่งสหรัฐฯ พบในการศึกษาว่า การบริโภคอาหารสไตล์แบบชาวเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีผักและผลไม้เป็นหลัก พืชตระกูลถั่ว ปลาและพวกนมเนยกับเนื้อสัตว์เล็กน้อย ซึ่งช่วยสร้างสารต้านอนูมูลอิสระ จะช่วยให้ห่างพ้นจากโรคสมองเสื่อมได้ 40% คณะนักวิจัยได้สรุปผลการศึกษาหลังจากที่ได้ศึกษาการกินอาหารและสุขภาพของผู้คนจำนวน 2,200 รายมาเป็นเวลา 4 ปี ในเวลาเดียวกันพวกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการรักษาโรคสมองเสื่อม กล่าวให้ความเห็นว่า ผลการศึกษานับเป็นหลักฐานแสดงว่า อาหารอนามัยมีผลช่วยป้องกันโรคได้ (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 21 เม.ย. 49 http://www.thairath.co.th)





แอปเปิลแทนยา

“แอปเปิล” ผลไม้รสชาติอร่อยหากินได้ง่ายตลอดปี ทั้งผลสีแดงที่มีรสชาติหวานกรอบอร่อยหรือออกเปรี้ยวนิดๆ อย่างผลสีเขียว นอกจากวิตามินที่ซีและเกลือแร่ที่ได้จากแอปเปิลแล้ว ยังเป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย เริ่มกันที่ “ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน” แม้จะไม่ใช่เรื่องแปลกที่แอปเปิลสามารถป้องกันโรคเลือกออกตามไรฟันได้ เพราะเป็นทีรู้กันดีว่าในแอปเปิลให้วิตามินซี ทั้งนี้เป็นเพราะแอปเปิลจะช่วยเพิ่มปริมาณโพแทสเซียมนั่นเอง ซึ่งหากคนที่เลือดออกตามไรฟัน รับประทานแอปเปิลหลังอาหารและก่อนนอนก็สามารถช่วยลดอาการดังกล่าวได้ ประโยชน์ข้อถัดมาคือ “ทำให้ความดันโลหิตลดลง” น้อยคนนักที่จะรู้ว่าแอปเปิลสามารถช่วยขับเกลือที่มีมากเกินไปออกจากร่างกายได้ เพียงรับประทาน แอปเปิล ปอกเปลือกวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ผล ติดต่อไปสักระยะหนึ่ง ความดันจะค่อยๆ ลดลงเป็นปกติ นอกจากนี้ แอปเปิลยังช่วยให้ “ระบบย่อยอาหารดีขึ้น” ซึ่งหมายถึงช่วยได้ทั้งอาการท้องผูกและท้องเสีย โดยคนที่ท้องเสียไม่มาก ให้รับประทานแอปเปิลสับละเอียดติดต่อกันสัก 2 วัน อาการท้องเสียจะค่อยๆ หายไป (สยามรัฐรายวัน ศุกร์ที่ 21 เม.ย. 49 http://www.siamrath.co.th)





แนะ 10 วิธีรักษาคุณภาพเสียงดี

นักวิจัยจากสหรัฐจึงมีข้อแนะนำในการรักษาเส้นเสียงเรา 10 ข้อ 1. ต้องดื่มน้ำมากๆ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์และกาเฟอีน เพื่อให้ร่างกายชุ่มชื้น ไม่ขาดน้ำ เพราะเส้นเสียงจะสั่นเร็วมากจึงต้องมีน้ำเป็นตัวรักษาสมดุลช่วยหล่อลื่นมันไว้ ถ้ารับประทานอาหารที่มีน้ำมากๆ จะยิ่งดี เช่น แตงโม องุ่น แพร์ 2. เมื่อใช้เสียงมากๆ ก็ต้องให้เสียงได้หยุดพักบ้าง โดยเฉพาะครูอาจารย์ที่ต้องใช้เสียงในการสอนหนังสือทั้งวัน ก็ยิ่งต้องพักเสียงให้มากๆ ไม่ควรมานั่งคุยจ้อกแจ้กกับคนอื่นๆ ตอนพักกลางวันด้วยซ้ำไป 3. ไม่ควรสูบบุหรี่ หรือถ้าสูบไปแล้วง่ายนิดเดียว เลิกไปเลย เพราะการสูบบุหรี่ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในลำคอเป็นอย่างมาก ถึงแม้ไม่สูบ แต่สูดกลิ่นเข้าไปก็ทำให้เส้นเสียงระคายเคืองได้เหมือนกัน 4. อย่าใช้เสียงไปเรื่อย ไม่ควรตะโกนหรือกรีดร้อง และไม่ควรพูดเสียงดังแม้อยู่ในที่ที่มีเสียงรบกวน ถ้ารู้สึกว่าคอแห้งหรือเสียงเริ่มแหบ ต้องลดการใช้เสียงลง เสียงแหบเป็นสัญญาณเตือนว่าเส้นเสียงระคายเคืองแล้ว 5. พยายามให้คอและกล้ามเนื้อลำคอผ่อนคลายแม้ว่ากำลังร้องเพลงที่เสียงสูงหรือต่ำมากก็ตาม นักร้องบางคนจะเงยหน้าขึ้นเมื่อใช้เสียงสูงและก้มหน้าเมื่อใช้เสียงต่ำ 6. ลองดูว่าในแต่ละวันใช้เสียงพูดอย่างไรบ้าง นักแสดงที่ร้องเพลงเก่งๆ ยังเผลอพูดจนทำลายเสียงตัวเองเลย นักร้องที่ร้องเพลงเก่งมากๆ ก็ยังไม่ใช้เสียงติดต่อกัน และควรมีช่วงการหายใจในขณะพูดด้วย 7. พยายามอย่ากระแอมบ่อยจนเกินไปนัก จะเป็นการทำให้เส้นเสียงกระแทกกัน ยิ่งทำบ่อยๆ เสียงจะแหบ พยายามจิบน้ำเพื่อเคลียร์ลำคอแทน แต่ถ้าอยากให้ลำคอโล่งจริงๆ คงต้องไปหาหมอเผื่อว่าจะมีอาการกรดไหลย้อนขึ้นมา อาการแพ้ หรือเป็นไซนัส 8. ถ้าป่วย เก็บเสียงไว้บ้าง ไม่ต้องฝืนพูดทั้งๆ ที่เสียงแหบเพราะเป็นหวัดหรืออะไรก็ตาม ดูสังขารตัวเองก่อนดีกว่า 9. ถ้าต้องพูดในที่สาธารณะ ในคนกลุ่มใหญ่ๆ หรือกลางแจ้ง ไปหาเครื่องขยายเสียงมาช่วยดีว่าการตะโกน 10. พยายามปรับสภาพให้สถานที่อยู่อาศัย หรือที่ทำงานมีความชุ่มฉ่ำ (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 21 เม.ย. 49 http://www.komchadluek.net)





สร้างหิมะเทียมให้"หมีแพนด้า"

นายธนภัทร พงษภมร ผอ.สวนสัตว์เชียงใหม่ เปิดเผยว่า ทางคณะกรรมการสวนสัตว์เชียงใหม่ประชุมและมีมติอนุมัติ เพื่อของบประมาณก่อสร้างอาคารสร้างหิมะเทียมให้หมีแพนด้า 2 ตัว ในสวนสัตว์เชียงใหม่ อาคารหิมะเทียมจะต้องใช้งบประมาณในการก่อสร้างทุกอย่างจำนวน 50 ล้านบาท ใช้เนื้อที่ก่อสร้างต่อเติมจากอาคารสวนจัดแสดงหมีแพนด้าออกไปอีก 1 ไร่ มติของคณะกรรมการผ่านแล้วเหลือขั้นตอนเสนอไปยังกรมจัดสรรงบประมาณส่วนกลาง เพื่อเข้าสู่ครม.อนุมัติต่อไป คาดจะก่อสร้างในปี 2550 เพื่อให้หมีแพนด้าได้สัมผัสหิมะ และประชาชนที่เข้าชมหมีแพนด้าก็จะได้สัมผัสและเห็นหิมะไปด้วยเช่นกัน กำลังส่งเรื่องไปยังสำนักงบประมาณกลาง เพื่อของบจำนวน 50 กว่าล้านบาท ในการก่อสร้างอาคารหิมะเทียมเพื่อให้หมีแพนด้า โดยจะสร้างในพื้นที่ของสวนสัตว์เชียงใหม่ อาคารหิมะเทียมจะเป็นอาคารที่สามารถผลิตหิมะให้ตกตามอุณหภูมิได้ ทั้งหมีแพนด้าและประชาชนจะได้สัมผัส หากแล้วเสร็จจะถือว่าเป็นสถานที่สมบูรณ์ที่สุดของหมีแพนด้าในประเทศไทย (ข่าวสด ศุกร์ที่ 21 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215