หัวข้อข่าวปีที่ 7 ฉบับที่ 26 ประจำวันที่ 2006-06-26

ข่าวการศึกษา

สจล.ยืนยันจัดการศึกษาคุณภาพไม่ตกต่ำ
‘อุ้มพระขึ้นดอยแง่ม’ ผูกสัมพันธ์พี่น้องแม่ฟ้าหลวง
'สทศ.'ยกเลิกจัด50อันดับบ๊วย หวั่นโรงเรียนไม่พอใจ
แนะทปอ.ฟังความเห็นนร.ก่อนประกาศแอดมิชชั่นส์ปี50
จะเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน:ดูอย่างไรไม่ให้ถูกหลอก
จี้ กก.สทศ.ลาออกคืนอำนาจเสมา 1
ฟ้องศาล29มิ.ย ค้านแอดมิชชั่นส์ ปี50ยึดสูตรเดิม
แอดมิชชั่นส์กับการเข้าถึงข้อมูล
คณะทำงานเสนอ ทปอ. สอบเอเน็ต-วิชาเฉพาะ
เสนอ ทปอ.ตั้งมูลนิธิฯ คุมระบบแอดมิชชั่น

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

ก.วิทย์ผนึกนักวิทย์ไทย-จีน หนุนแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี
เทรนด์ไมโครเตือนระวังอีเมล ‘หวังดี’
ยกย่อง “ในหลวง” บิดานวัตกรรมไทย
เครื่องดูดฝุ่นราคาประหยัด
รปภ.โรโบคัพ
คนไทยเป็นโรคสมองเสื่อมมากขึ้น เหตุเพราะอาหาร ประเภทผัดทอด
รถเข็นปรับยืนได้คันแรกในโลก
โจรไฮเทคใช้โน้ตบุ๊คขโมยรถหรู
เปิดผลงานเด็กเก่ง บันไดสู่นักวิทยาศาสตร์อาชีพ
ญี่ปุ่นเสนอไอเดียแก้โลกร้อน ฝังก๊าซเสียลงดินลดมลพิษ
ทีมชาติไทยคว้ารองแชมป์หุ่นยนต์โลก
มอ.เปิดตัวหุ่นยนต์กู้ระเบิด

ข่าววิจัย/พัฒนา

กินผักใบเขียวเพื่อป้องกันมะเร็ง ของต่อมน้ำเหลืองชนิดลุกลามเร็ว
นักวิจัยมะกันพบยิ่งคุณแม่ยังสาว ลูกยิ่งมีอายุยืนยาวอาจเกือบถึง 100 ปี
รู้จักสมุนไพรช่วยให้หน้าขาว
รัฐบาลถังแตกขาดงบวิจัย พัฒนางานศิลปวัฒนธรรม
กรมวิทย์การแพทย์ค้นหาสมุนไพรหยุดโรค
วิจัยใบข้าวสาลีทำน้ำชาล้างพิษ ศึกษาพบวิตามินแร่ธาตุเพียบดีกว่าชาเขียว
สารสกัดเห็ดยืดอายุผู้ป่วยมะเร็ง เพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกายได้ ไม่มีผลข้างเคียง
เอไอทีสร้างทุ่นเตือนสึนามิสำเร็จ ทำเองให้สอดคล้องกับภูมิศาสตร์ชายฝั่งไทย
มทร.ธัญบุรีได้งบ5ล้าน พัฒนาแก๊สถ่านไม้-ผลิตไฟฟ้าป้อนโรงงาน
บริโภคเนื้อวัวเนื้อแกะสีแดงนานๆ เสี่ยงกับเป็นมะเร็ง ของตับอ่อน

ข่าวทั่วไป

ฝังเข็มสยบปวดประจำเดือน
วธ.นำตัวชี้วัดพัฒนาองค์กร สร้างประสิทธิภาพบุคลากร
อย.ทลายแหล่งขายเครื่องสำอางต้องห้าม-ยาสัตว์อันตราย
เผยพระไตรปิฎกฉบับสู้ลักธิล่าอาณานิคม
อยากได้ลูกชายกินแฮมเบอร์เกอร์ อยากได้ลูกสาว อย่าตามใจปาก
ดื่มนมแพะสุขภาพแข็งแรง
ว่าที่วิศวกรไทยได้เฮอีก5ปีซัมซุงรับ1พันคน
จีนเตรียมเปิดทางรถไฟที่อยู่สูงที่สุดในโลก 1 ก.ค.





ข่าวการศึกษา


สจล.ยืนยันจัดการศึกษาคุณภาพไม่ตกต่ำ

ตามที่บุคลากรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ตั้งข้อสังเกตว่าหากการสรรหาอธิการบดี มก. ยืดเยื้อจะทำให้คุณภาพการศึกษาตกต่ำ เหมือนกับ สจล. ที่มีปัญหาจากการสรรหาอธิการบดียืดเยื้อเช่นกัน โดยเห็นได้จากการที่สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) เข้าไปประเมินคุณภาพและพบว่า สจล. มีปัญหาเรื่องคุณภาพการศึกษานั้น รศ. กิตติ ตีรเศรษฐ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้า คุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเป็นความเข้าใจที่ผิดจากความเป็นจริงมาก อีกทั้งปัญหาในการสรรหาอธิการบดีของ สจล. ที่ผ่านมาก็เป็นอุบัติเหตุจากกระบวนการสรรหา โดยการสรรหาอธิการบดี สจล. เริ่มเป็นปัญหาเมื่อกลางปี 2547 และยืดเยื้อเรื่อยมาจนมีการสรรหาให้ตนมาดำรงตำแหน่งรักษาการอธิการบดีในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2548 และได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นอธิการบดี เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2548 รศ.กิตติ กล่าวต่อไปว่า ในช่วงกลางเดือนมิถุนายน 2548 สมศ. ได้เข้ามาประเมิน สจล. ในรอบแรก และปรากฏว่าผลการประเมินอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยบางดัชนีชี้วัดอยู่ในเกณฑ์ดีมาก บางตัวอยู่ในระดับปานกลาง และไม่มีข้อใดที่บ่งบอกว่าคุณภาพการศึกษาของ สจล. ตกต่ำ ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณภาพการศึกษาของ สจล. ในช่วงนั้นไม่มีปัญหา เนื่องจาก ศ. (พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เข้ามาดำรงตำแหน่งรักษาการอธิการบดี สจล. จึงทำให้ภารกิจทุกอย่างของมหาวิทยาลัยยังดำเนินต่อไปได้ตามแผนที่วางไว้ โดยจำนวนการผลิตบัณฑิตระดับปริญญาตรี และปริญญาโทก็อยู่ในสัดส่วนเดิม ส่วนระดับปริญญาเอกสามารถผลิตได้มากกว่าเดิม และภาวะการมีงานทำของบัณฑิตก็ยังคงที่เหมือนทุกปีคือประมาณร้อยละ 90 (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 26 มิ.ย.2549 http://www.dailynews.co.th)





‘อุ้มพระขึ้นดอยแง่ม’ ผูกสัมพันธ์พี่น้องแม่ฟ้าหลวง

กิจกรรมรับน้องใหม่เป็นประเพณีที่รุ่นพี่ทุกคณะ และทุกมหาวิทยาลัยต่างยึดถือเป็นแนวปฏิบัติกันมานานแล้ว โดยมุ่งหวังที่จะผูกมิตรไมตรี สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้อง ตลอดจนการแนะนำเส้นทางการใช้ชีวิตร่วมกันในรั้วมหาวิทยาลัย แต่ก็ต้องยอมรับว่าในระยะหลายปีที่ผ่านมา ในสถาบันอุดมศึกษาหลายๆแห่ง มีการจัดกิจกรรมรับน้องแบบผิดเพี้ยนไป แทนที่จะให้สิ่งดี ๆ และสร้างความประทับใจให้แก่รุ่นน้อง แต่กลับกลายเป็นว่าเกือบทุกปีจะเกิดเรื่องให้น่าหดหู่ใจหรือบาดหมางกันระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้อง และหลายครั้งยังก่อให้เกิดความเสียใจแก่พ่อแม่ ผู้ปกครอง ตลอดจนสังคมภายนอกที่ได้รับรู้ผ่านทางสื่อสารมวลชน นายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จึงได้ออกประกาศกระทรวงศึกษา ธิการห้ามมหาวิทยาลัยทุกแห่งจัดรับน้องแบบโหดร้ายรุนแรง แต่ให้หันมาจัดรับน้องอย่างสร้างสรรค์ โดยกำหนดว่าถ้านิสิตนักศึกษาคนใดแหกคอกจะถูกลงโทษขั้นรุนแรงถึงไล่ออก ซึ่งจากประกาศดังกล่าวทำให้ทุกสถาบันตื่นตัวหาทุกวิธีการมาป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำซากเหมือนทุกปี ซึ่งที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ขานรับการจัดกิจกรรมรับน้องในเชิงสร้างสรรค์อย่างจริงจัง โดย รศ.ดร.วันชัย ศิริชนะ อธิการบดี มฟล. เล่าว่า กิจกรรมรับน้อง มฟล. มุ่งเน้นให้เกิดความรัก ความผูกพัน ความสามัคคี มีระเบียบวินัย สืบสานประเพณีอันดีงามของมหาวิทยาลัย ไม่แสดงกิริยาหรือกิจกรรมที่ล่วงละเมิดทางเพศ รวมถึงเคารพสิทธิในร่างกายและจิตใจของนักศึกษา ไม่แตะต้องสิ่งเสพติดใด ๆ และหากเกิดกรณีที่ไม่เหมาะสม เกิดความเสียหายต่อมหาวิทยาลัยหรือนักศึกษา รุ่นพี่ก็จะถูกลงโทษตามความผิดและสั่งระงับกิจกรรมนั้น ๆ ทันที มฟล. ได้จัดกิจกรรมรับน้อง ภายใต้ชื่อว่าโครงการกิจกรรมสัมพันธ์ฉันพี่น้อง มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงที่ได้เริ่มกิจกรรมมาตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม โดยจะให้เวลาทำกิจกรรม ประมาณวันละ 1 ชั่วโมง ระหว่าง 18.00-19.00 น. และห้ามจัดกิจกรรมทุกอย่างเกิน 20.00 น. เพื่อที่จะได้มีเวลาในการดูหนังสือ และกิจกรรมรับน้องทั้งหมดจะต้องเสร็จสิ้นในวันที่ 5 กรกฎาคมนี้ (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 26มิ.ย.2549 http://www.dailynews.co.th)





'สทศ.'ยกเลิกจัด50อันดับบ๊วย หวั่นโรงเรียนไม่พอใจ

ดร.วิเชียร เกตุสิงห์ รักษาการผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ(สทศ.) เปิดเผยความคืบหน้าการจัดอันดับโรงเรียนที่ทำคะแนนแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน(โอเน็ต) สูงสุด หรือโรงเรียนท็อป 50 อันดับแรก และโรงเรียนที่มีผลคะแนนต่ำสุด หรือ โรงเรียนบ๊วย 50 อันดับ ประจำปีการศึกษา 2549 โดบเขาระบุว่า ตนได้หารือกับ รศ.ดร.คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ รักษาการประธานคณะกรรมการ สทศ.แล้วว่า หากมีการจัดอันดับโรงเรียนบ๊วย 50 อันดับ และเผยแพร่ออกไปอาจไม่เป็นผลดีกับโรงเรียนแต่ละแห่ง เพราะเหมือนเป็นการตอกย้ำโรงเรียน และอาจส่งผลให้โรงเรียนอันดับท้ายๆ พยายามทำทุกวิถีทาง แม้แต่การทุจริต หรือโกง เพื่อให้ผลจัดอันดับ ออกมาว่าโรงเรียนเหล่านั้นอยู่ในอันดับที่สูงขึ้น ดังนั้น จึงมีความเห็นว่า สทศ.จะเผยแพร่เฉพาะโรงเรียนท็อป 50 อันดับแรก และยกเลิกการจัดอันดับโรงเรียนบ๊วย 50 อันดับไป แต่จะจัดส่งข้อมูลผลคะแนนทั้งหมดให้โรงเรียนทุกแห่ง เพื่อให้ผู้บริหารของแต่ละโรงเรียนทราบสถานะของโรงเรียนว่าอยู่ในอันดับใดจากโรงเรียนที่เข้าสอบทั้งหมด 3,000 กว่าแห่ง และควรที่จะต้องพัฒนาและปรับปรุงการเรียนการสอนในด้านใดบ้าง (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 26 มิ.ย.2549 http://www.bangkokbiznews.com)





แนะทปอ.ฟังความเห็นนร.ก่อนประกาศแอดมิชชั่นส์ปี50

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เปิดเผยถึงแนวทางในการวางทิศทางของระบบกลางคัดเลือกนักศึกษาเข้าสู่มหาวิทยาลัย (แอดมิชชั่น) ปี 2550 ของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่า ในวันที่ 28 มิ.ย.นี้ ศธ.จะจัดประชุมสัมมนาเรื่อง “มองอนาคต ยกเครื่องระบบ Admission : อะไรคือคำตอบ” และจะบรรยายพิเศษในหัวข้อ “นโยบาย ทิศทาง Admission พ.ศ. 2550 กับอุดมศึกษาไทย” ที่คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อระดมความคิดเห็นจากนักเรียน นักศึกษา ผู้ปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแม้ว่าทางที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ทปอ.) จะมีแนวทางออกมาบ้างเกี่ยวกับการใช้ค่าคะแนนผลการเรียนเฉลี่ยรายวิชาตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ (GPA) ที่ยังให้คงเดิมเป็น 20% เหมือนปี 2549 ไม่ได้ปรับขึ้นเป็น 30% ตามข้อตกลงของศธ. และใช้ค่าผลการเรียนเฉลี่ยตลอดหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย (GPAX) 10% เท่าเดิม แต่ศธ. เห็นว่าควรฟังความคิดเห็นจากที่ประชุมก่อน จึงค่อยเปลี่ยนแปลงประกาศที่ได้กำหนดการใช้ค่า GPA ด้านศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการตำแหน่งประธานอนุกรรมการสรรหาผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ต่อรศ.ดร.คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ รักษาการประธานคณะกรรมการบริหารสทศ. โดยให้เหตุผลว่า การดำเนินการของสทศ.ในปีที่ผ่านมาสร้างความเสียหายและบอบช้ำให้สังคมมาก ขณะนี้ปัญหาก็คลี่คลายลงแล้วก็น่าจะหมดความชอบธรรมในการดำเนินการต่อไป ดังนั้นคณะกรรมการชุดปัจจุบันควรร่วมกันแสดงความรับผิดชอบ ด้วยการลาออกทั้งคณะ และให้ประธานบริหารสทศ.เข้าหารือและคืนเรื่องทั้งหมดให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อเริ่มต้นดำเนินการเกี่ยวกับสทศ.ใหม่ทั้งหมด และเท่าที่ดูคณะกรรมการชุดนี้ก็ยังไม่ได้วางแนวทางป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นอีกในปีหน้า จึงเป็นห่วงถ้าไม่เริ่มช้าจะไม่ทัน (คมชัดลึก อังคารที่ 27 มิ.ย. 2549 )http://www.komchadluek.net)





จะเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน:ดูอย่างไรไม่ให้ถูกหลอก

หน่วยงานที่เก่าแก่และมีเครือข่ายนักเรียนแลกเปลี่ยนทั่วโลกซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีก็คือมูลนิธิ AFS แต่ในเมืองไทยก็มีหน่วยงานมากมายที่ทำหน้าที่จัดส่งเยาวชนไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนในประเทศต่าง ๆ เพียงใช้ Google ค้นหาดูก็มีเว็บต่าง ๆ เกี่ยวกับนักเรียนแลกเปลี่ยนในไทยให้อ่านแทบไม่หวาดไม่ไหว ดังนั้นเยาวชนก็คงต้องใช้วิจารณญาณในการเลือกใช้บริการ ซึ่ง ณัฐนิชา สถิตย์จินดาวงศ์ General Manager ของบริษัท Eduworld Overseas Study Center กล่าวว่า ลักษณะของโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนโดยทั่วไป จะเป็นการคัดเลือกนักเรียนที่ถือสัญชาติไทย อายุ 14-18 ปี มีทัศนคติที่ดี มีใจเปิดกว้างในการเรียนรู้สิ่งใหม่เป็นตัวแทนไปเรียนร่วมกับนักเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษาในประเทศต่าง ๆ เป็นระยะเวลา 1 ปีการศึกษา (ประมาณ 10 เดือน) โดยพักอยู่ร่วมกับครอบครัวอาสาสมัครหรือที่เรียกว่าครอบครัวอุปถัมภ์ โดยนักเรียน จะได้เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ในโรงเรียน และกิจกรรมของมูลนิธิ สำหรับค่าใช้จ่ายจะประกอบด้วยทุนสมทบที่ต้องจ่ายให้แก่โครงการซึ่งมีตั้งแต่ 4,900–6,900 ดอลลาร์สหรัฐ ขึ้นอยู่กับความสามารถของนักเรียนโดยเงินจำนวนนี้ครอบคลุมค่าเล่าเรียน ค่าที่พัก 1 ปีการศึกษา Pocket Money และค่าใช้จ่ายจุกจิกอื่น ๆ ในชีวิตประจำวันโดยเฉลี่ย 100–300 ดอลลาร์ต่อเดือน รวมถึงค่าตั๋วเครื่องบินและค่าธรรมเนียมวีซ่า สรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 250,000–350,000 บาท ควรเตรียมตัวเรื่องภาษา โดยเฉพาะทักษะการฟังและพูด เพราะเป็นด่านแรกที่จะต้องผ่านในการทดสอบ นอกจากนี้ ควรจะต้องดูหนังฟังเพลงของประเทศที่เป็นจุดมุ่งหมายของเราให้มาก ๆ เพื่อความเข้าใจในวัฒนธรรมและนำไปใช้ในการปรับตัวให้สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในต่างแดนอย่างคุ้มค่า การอยู่ร่วมกับครอบครัวมีแนวทางสำคัญอยู่ที่การคัดเลือกบริษัทเอกชนที่ให้บริการส่งบุตรหลานไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน โดยควรจะพิจารณาจากประสบการณ์การบริหารโครงการ เช่น เคยดูแลบริหารโครงการนี้มาก่อนหรือไม่ ความมั่นคงและน่าเชื่อถือขององค์กรมีผู้อ้างอิงได้หรือไม่ การให้ข้อมูลอย่างถูกต้องและตรวจสอบได้ เช่น ข้อมูลต่าง ๆ เป็นความจริงหรือไม่ มูลนิธิในเมืองนอกที่องค์กรประสานงานมีตัวตนจริงหรือไม่ เป็นต้น นอกจากนี้การปรับตัวของนักเรียนก็เป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นจึงต้องมีระบบการติดตามดูแลน้อง ๆ ในระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศโดยเฉพาะช่วงเดือนแรกที่ไปถึงซึ่งเป็นช่วงแห่งการปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับมูลนิธิที่นักเรียนทุกคนอยู่ภายใต้การดูแล หรือสามารถติดต่อทาง Email หรือโทรศัพท์ได้ตลอดเวลา หากนักเรียนเกิดปัญหาก็จะสามารถให้คำปรึกษาแก่นักเรียนโดยตรงได้ทันที (เดลินิวส์ อังคารที่ 27 มิ.ย. 2549 http://www.dailynews.co.th/ )





จี้ กก.สทศ.ลาออกคืนอำนาจเสมา 1

ศ. (พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการบริหารสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ แต่งตั้งตนเป็นประธานอนุกรรมการสรรหา ผอ.สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) นั้น ตนได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากประธานอนุกรรมการสรรหา ผอ.สทศ.ต่อประธานคณะกรรมการบริหาร สทศ. แล้ว เนื่องจากการจัดการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติที่ผ่านมาเกิดข้อผิดพลาดอย่างมาก สร้างความบอบช้ำให้กับสังคมไทยโดยกว้างเกินที่จะประมาณได้มาก ดังนั้นคณะกรรมการชุดเดิมจึงหมดความชอบธรรมในการที่จะดำเนินการใดๆต่อไปและควรลาออกโดยเร็ว แต่ตนก็ยังเห็นกรรมการชุดเดิมยังคงเดินหน้าทำงานต่อโดยไม่ทบทวนบทเรียนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในปีหน้า ทั้งยังไม่เตรียมมาตรการป้องกันปัญหา “ผมคิดว่าประธานคณะกรรมการบริหาร สทศ. ควรเข้าพบนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ และคืนเรื่องทั้งหมดให้กับ รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะที่เป็นผู้ดูแล สทศ. เพื่อให้ รมว.ศึกษาธิการตัดสินใจ ดำเนินการเริ่มต้นเกี่ยวกับ สทศ.ใหม่ทั้งหมดโดยด่วน” ศ. (พิเศษ) ดร.ภาวิช กล่าวและว่า ระบบแอดมิชชั่นในปีหน้าก็ส่อแววว่าจะเกิดปัญหา แต่ก็ยังไม่สายที่จะดำเนินการ ซึ่งตนได้หารือกับ ศ.ดร. ปรัชญา เวสารัชช์ ประธาน ทปอ. แล้วเห็นว่า หากในปีหน้าจะให้ สกอ.จัดสอบวิชาเฉพาะอีก ซึ่งสอบในเดือน ต.ค.นี้ ก็ต้องตั้งคณะกรรมการออกข้อสอบได้แล้ว ส่วนการรับแอดมิชชั่นในปี 2550 ซึ่ง ทปอ. ประกาศให้คงเกณฑ์ของปีที่ผ่านมานั้น นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ภายในสัปดาห์นี้จะมีการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องโอเน็ตและเอเน็ต จากทั้ง ทปอ. และนักเรียน เพื่อสรุปข้อดี ข้อเสีย แต่ที่ต้องการย้ำให้ทาง ทปอ. เข้าใจ คือ ทปอ. ไม่ควรทำให้ระบบการรับนักศึกษามากระทบกับการปฏิรูปการเรียนการสอนในการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวคือ ต้องไม่ทำให้เด็ก ครู ผู้ปกครอง ไม่สนใจการเรียนในโรงเรียน แต่หันไปสนใจการกวดวิชาเพื่อต้องการสอบเข้ามหาวิทยาลัย (ไทยรัฐ อังคารที่ 27 มิ.ย. 2549 http://www.thairath.co.th)





ฟ้องศาล29มิ.ย ค้านแอดมิชชั่นส์ ปี50ยึดสูตรเดิม

วันที่ 28 มิถุนายน 2549 นายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวในการสัมมนา "มองอนาคต ยกเครื่องระบบแอดมิชชั่นส์ อะไรคือคำตอบ" ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า ขอให้ช่วยกันคิดวิธีคัดเลือกเด็กเข้ามหาวิทยาลัยโดยเฉพาะในปี 2552-2554 โดยไม่ยึดติดกับตัวคะแนน และเด็กไม่ต้องกวดวิชานอกหลักสูตร ส่วนในปี 2550-2551 คงเปลี่ยนแปลงได้ไม่มากนัก เพราะเด็กเตรียมตัวล่วงหน้าแล้ว แต่อาจปรับปรุงการสอบ การออกข้อสอบ การวัดผลเพื่อป้องกันข้อผิดพลาด ส่วนการรับตรงถ้ามหาวิทยาลัยจัดเอง ศธ.ยินดีสนับสนุน แต่อยากให้ประสานงานเรื่องเวลา และระบบรับเพื่อลดความยุ่งยาก ด้าน พ.ญ.กมลพรรณ ชีวพันธุศรี ประธานเครือข่ายพ่อแม่เยาวชนเพื่อการปฏิรูปการศึกษา เปิดเผยว่า วันที่ 29 มิถุนายนนี้ เวลา 15.00 น. จะยื่นหนังสือคัดค้านใช้แอดมิชชั่นส์ที่ ศธ. และฟ้องต่อศาลปกครองถึงความไม่ชอบธรรมใช้แอดมิชชั่นส์ ขณะที่ ศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่า ความไม่มั่นใจในการให้เกรดของโรงเรียน จะใช้โอเน็ตเปรียบเทียบว่าโรงเรียนให้เกรดเฟ้อหรือไม่ ซึ่งต้องขอโอกาสให้ระบบเริ่มทำงาน ซึ่งในปีหน้าอาจจัดสอบโอเน็ต-เอเน็ตให้เร็วขึ้น 1 เดือน เพื่อให้เวลาตรวจข้อสอบได้ทันไม่ฉุกละหุก นายยศ ตันสกุล ผู้เข้าสอบแอดมิชชั่นส์ปี 2549 ปัจจุบันเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะอินเตอร์เนชั่นแนล บิสซิเนสส์ (International Business) มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า หากในปี 2550 แอดมิชชั่นส์ยังใช้จีพีเอและจีพีเอ็กซ์ที่ร้อยละ 30 จะเพิ่มแรงกดดันให้เด็ก ควรกลับไปใช้จีพีเอในสัดส่วนร้อยละ 5-10 เพื่อไม่ให้เด็กบ้าเรียนเป็น 2 เท่าและไปกวดวิชาเพิ่ม (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 29 มิ.ย. 2549 http://www.komchadluek.net)





แอดมิชชั่นส์กับการเข้าถึงข้อมูล

แม้ว่าการประกาศผลผู้มีสิทธิเข้าสอบสัมภาษณ์ในแอดมิชชั่นส์ทั้งระบบตรงและกลางเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่เชื่อว่าผู้ที่พลาดหวัง หรือสอบผ่านหลายคนไม่ยอมรับผลสอบที่ออกมา เพราะหลังประกาศผลแอดมิชชั่นส์กลาง พบว่ามีรายชื่อเด็กสอบซ้ำซ้อน เพราะมีรายชื่อเด็กที่สอบได้คณะแพทย์ 9 สถาบัน และที่สอบติดแอดมิชชั่นส์ตรงได้ยืนยันสิทธิเข้าเรียนแล้ว แต่มาสมัครแอดมิชชั่นส์กลางและสอบติดในคณะที่เลือกไว้ รายชื่อเด็กกลุ่มนี้น่าจะถูกตัดออกไป ก่อนที่ประมวลผลแล้ว ทำให้เกิดปัญหาที่ว่างในคณะและมหาวิทยาลัยที่เด็กกลุ่มนี้สอบติด หลายมหาวิทยาลัยแก้ปัญหาโดยรับนักศึกษาเพิ่ม แม้เปิดรับสมัครรอบ 2 หรือรอบ 3, 4 และ 5 ในบางมหาวิทยาลัย แต่มหาวิทยาลัยเหล่านี้อยู่ในกรุงเทพฯ และรับสมัครทางอินเทอร์เน็ตเท่านั้น!! (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 30 มิ.ย. 2549 http://www.komchadluek.net)





คณะทำงานเสนอ ทปอ. สอบเอเน็ต-วิชาเฉพาะ

ตามที่ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) มีมติตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาระบบการคัดเลือกนักศึกษาระยะปัจจุบัน ระยะกลางและยาวโดยให้ ศ.เกียรติคุณ ดร.พรชัย มาตังคสมบัติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นประธานนั้น เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน คณะทำงานประชุมหาข้อสรุปการจัดระบบการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยประจำปี 2550 ศ.เกียรติคุณ ดร.พรชัย กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติเสนอให้ ทปอ.จัดสอบวิชาเฉพาะเดือนตุลาคม 17 วิชา และการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูงหรือเอเน็ตเอง เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นจากสังคม ส่วนการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐานหรือโอเน็ตให้เป็นเรื่องของสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) และเสนอ ทปอ. จัดตั้งหน่วยงานที่เป็นนิติบุคคลในลักษณะมูลนิธิเพื่อการพัฒนามหาวิทยาลัยไทย โดยความร่วมมือทุกมหาวิทยาลัย ซึ่งข้อเสนอทั้งหมดเสนอ ทปอ.ในวันที่ 4 กรกฎาคมนี้ คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ปลัด ศธ. กล่าวว่า ที่รักษาการประธานคณะกรรมการบริหาร สทศ. เสนอเลื่อนจัดสอบโอเน็ตเร็วขึ้น 1 เดือน เพื่อมีเวลาตรวจข้อสอบนานขึ้นนั้น จะต้องหารือกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่าเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะให้โรงเรียนเร่งสอนให้จบหลักสูตรเร็วขึ้น (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 30 มิ.ย. 2549 http://www.komchadluek.net)





เสนอ ทปอ.ตั้งมูลนิธิฯ คุมระบบแอดมิชชั่น

ศ.เกียรติคุณ ดร.พรชัย มาตังคสมบัติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะประธานคณะทำงานเพื่อพิจารณาระบบการคัดเลือกนักศึกษาระยะปัจจุบัน ระยะกลางและระยะยาว ของที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เปิดเผยว่า ตามที่ ทปอ.มีมติเกี่ยวกับการรับนักศึกษาเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย โดยมีหลักการว่า เรื่องการรับนักศึกษาเป็นเรื่องของมหาวิทยาลัยนั้น คณะทำงานได้หารือร่วมกันแล้วมีข้อเสนอต่อ ทปอ.ในการประชุมวิสามัญ ทปอ. วันที่ 4 ก.ค.นี้ว่า ในการสอบวิชาเฉพาะเดือน ต.ค.นี้จำนวน 17 วิชา ทปอ.จะเป็นผู้ดำเนินการจัดสอบเอง โดยความร่วมมือจากบุคลากรของ สกอ.ที่เคยดำเนินการเรื่องนี้มาก่อน สำหรับการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐานหรือโอเน็ตนั้น เป็นเรื่องของสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ส่วนการวัดความรู้เข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ซึ่งเดิมใช้ผลการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง หรือเอเน็ต ทปอ.ก็จะดำเนินการสอบเองเช่นกัน เพื่อเป็นการฟื้นความเชื่อมั่นจากสังคมกลับคืนมา ส่วนการดำเนินการนั้น ควรจะจัดตั้งองค์กรขึ้นมาดูแล เป็นนิติบุคคลในรูปของมูลนิธิเพื่อการพัฒนามหาวิทยาลัยไทย ซึ่งจะเป็นการร่วมมือจากทุกมหาวิทยาลัย (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 30 มิ.ย. 2549 http://www.thairath.co.th)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


ก.วิทย์ผนึกนักวิทย์ไทย-จีน หนุนแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี

นายประวิช รัตนเพียร รักษาการ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า กระทรวงวิทยาศาสตร์มีโครงการที่จะขยายความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บนพื้นฐานของงานวิจัยและพัฒนา โดยร่วมกับสภาวิทยาศาสตร์แห่งชาติจีน เพื่อผลักดันงานวิจัยของประเทศ โดยมุ่งเน้นไปที่งานวิจัยด้านเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ และรีโมทเซ็นซิ่ง หรือเทคโนโลยีควบคุมระยะไกล เทคโนโลยีชีวภาพและความหลากหลายทางชีวภาพ และการวิจัยเชื้ออุบัติใหม่ อาทิ โรคไข้หวัดนก ตลอดจนความร่วมมือเพื่อพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและวัสดุศาสตร์ เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ 2 หน่วยงานได้จัดการประชุมปฏิบัติการ เพื่อหารือถึงหัวข้องานวิจัยที่นักวิจัยไทย-จีน จะสามารถทำร่วมกันได้ โดยจะมุ่งเน้นให้เกิดการผลักดันไปสู่การผลิต พร้อมทั้งจัดตั้งสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยีไทย-จีน เพื่อสนับสนุนโครงการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีอย่างเป็นรูปธรรม (คมชัดลึก จันทร์ที่ 26 มิ.ย.2549 http://www.komchadluek.net)





เทรนด์ไมโครเตือนระวังอีเมล ‘หวังดี’

รายงานข่าวจากเทรนด์ ไมโคร แจ้งว่าเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาบริษัท เทรนด์ ไมโคร ได้ตรวจพบโทรจันที่ใช้เทคนิควิศวกรรมทางสังคม (social enginee-ring) จำแลงกายมาในรูปของโปรแกรมซ่อมแซมระบบไม่ผิดเพี้ยน โดยอีเมลฉบับหนึ่งอ้างว่าส่งมาจากบริษัท ไมโครซอฟท์ และได้กล่าวถึงหนอนตัวใหม่ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างหนัก เนื้อความในอีเมลเขียนว่าผู้ใช้จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมซ่อมแซมเพื่อป้องกันการติดไวรัสร้ายตัวนี้โดยด่วน แต่เนื่องจากเกิดปัญหาบางประการกับเว็บไซต์ Microsoft Automatic Update ทางเราจึงส่งโปรแกรมซ่อมแซมแนบท้ายมากับอีเมลฉบับนี้ด้วย นายเจมซ์ ยาเนซ่า นักวิเคราะห์อาวุโสด้านภัยคุกคามของบริษัท เทรนด์ ไมโคร กล่าวว่า เทคนิคนี้ถูกใช้ค่อนข้างบ่อย แต่ก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จทุกครั้งไป หากเผลอไปคลิกติดตั้งโปรแกรมซ่อมแซมที่แนบท้ายอีเมลมานั้น แทนที่จะเป็นการซ่อมแซมระบบแต่กลับเป็นการเรียกใช้มัลแวร์ให้ทำงาน โดยการเปิดไฟล์แนบท้ายจะเป็นการติดตั้งโปรแกรมคีย์ล็อกเกอร์ (keylogger) ที่จะดักจับทุกข้อความที่พิมพ์ผ่านแป้นพิมพ์ นอกจากนี้ ระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ยังจะเป็นแหล่งเพาะตัวของสปายแวร์ที่เป็นโทรจันอีกอย่างน้อย 3 รายการ ซึ่งเป็นที่รู้จักดีในกลุ่มผู้ค้าซอฟต์แวร์ด้านความปลอดภัย แต่นักเขียนไวรัสก็มักจะนำมาใช้ซ้ำเสมอ ทั้งนี้สัญญาณเตือนว่าอีเมลที่ได้รับเป็นของปลอม ดูได้จากข้อความอ้างอิงถึงมัลแวร์เก่า อย่าง Beagle.D ว่าเป็นมัลแวร์ที่ “กำลังแพร่ระบาดอยู่” ข้อความร้องขอให้ผู้ใช้อย่าได้มองคำแนะนำในอีเมล เป็นเรื่องตลก ขู่ผู้ใช้ว่าจะเป็นการทำผิดกฎหมายถ้าไม่ได้ติดโปรแกรมซ่อมแซมนี้ ภัยคุกคามเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นสแปมเมล์ ฟิชชิ่ง และอื่น ๆ ข้อความในอีเมลจะมีการสะกดและไวยากรณ์ผิดพลาดอยู่หลายจุด ดังนั้นผู้ใช้ควรตรวจสอบอีเมลที่ได้รับให้รอบคอบ เมื่อมีข้อสงสัย ควรเปิดโปรแกรมเบราเซอร์และเข้าไปยังเว็บไซต์ ของผู้ค้าซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสโดยตรง (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 26 มิ.ย.2549 http://www.dailynews.co.th)





ยกย่อง “ในหลวง” บิดานวัตกรรมไทย

นางลัดดา หงส์ลดารมภ์ โฆษกกระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (วท.) เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี ได้เห็นชอบตามที่ วท. เสนอเรื่องการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะทรงเป็น “พระบิดาแห่งนวัตกรรมไทย” และให้ประกาศวันที่ 5 ต.ค.ของทุกปีเป็นวันนวัตกรรมแห่งชาติ แล้ว ทั้งนี้ สืบเนื่องจากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ “แกล้งดิน” ในเขต จ.นราธิวาส โดยรัฐบาลและ วท. จะทำหนังสือขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อขอพระบรมราชานุญาตต่อไป โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ “แกล้งดิน” ในเขต จ.นราธิวาส คือพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทางด้านนวัตกรรม ที่ทรงใช้กรรมวิธี “แกล้งดิน” คือการ ทำดินที่มีสภาพเปรี้ยวให้กลับคืนสภาพที่สามารถทำการเพาะปลูกได้อีกครั้ง ด้วยการทำให้ดินแห้งและเปียกสลับกัน เพื่อเร่งปฏิกิริยาทางเคมีของดินให้มีความเป็นกรดจัดมากขึ้นจนถึงที่สุด จากนั้นจึงมีการทดลองปรับปรุงดินเปรี้ยวโดยวิธีการต่างๆ กัน เช่น โดยการควบคุมระบบน้ำใต้ดินเพื่อป้องกันการเกิดกรดกำมะถัน การใช้วัสดุปูนผสมประมาณ 1-4 ตันต่อไร่ การใช้น้ำชะล้างจนถึงการเลือกใช้พืชที่จะเพาะปลูกในบริเวณนั้น การ “แกล้งดิน” ตามแนวพระราชดำริสามารถทำให้พื้นดินที่เปล่าประโยชน์ และไม่สามารถทำอะไรได้ กลับฟื้นคืนสภาพที่สามารถทำการเพาะปลูกได้อีกครั้งหนึ่ง (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 26 มิ.ย.2549 http://www.thairath.co.th)





เครื่องดูดฝุ่นราคาประหยัด

นายบุญส่ง อำนวยเดชกร อายุ 75 ปี กรรมการผู้จัดการบริษัท ด.เด่นชัย เมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทรับอบไม้ปาร์เกต์ อ.เด่นชัย จ.แพร่ เปิดเผยว่า หลังจากที่คลุกคลีอยู่กับโรงงานไม้ที่ต้องเจอกับฝุ่นมานานนับสิบปี จึงเกิดแนวคิดที่จะพัฒนาเครื่องกำจัดฝุ่นละอองสำหรับโรงงาน โดยเน้นการประยุกต์หรือดัดแปลงอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในประเทศ หลังจากใช้เวลาคิดค้นเกือบ 2 ปี พบว่าเครื่องยนต์อเนกประสงค์ขนาด 5.5 แรงม้า ที่เกษตรกรนิยมใช้ติดตั้งทำเป็นเครื่องสูบน้ำและเครื่องตัดหญ้า มีความเหมาะสมที่สุด สำหรับดัดแปลงเป็นเครื่องดูดฝุ่น เพราะมีความทนทานสูง อัตราความสิ้นเปลืองต่ำกว่าเครื่องจากต่างประเทศที่ใช้ไฟฟ้า เพราะการเติมน้ำมัน 1 ครั้ง สามารถใช้ได้นานกว่า 1 สัปดาห์ อีกทั้งใบกวาดฝุ่นสามารถปรับระดับได้ ซึ่งแตกต่างจากเครื่องนำเข้าที่ใช้ระบบลมดูด และไม่เหมาะกับลักษณะผงฝุ่นในเมืองไทยที่มีลักษณะเป็นฝุ่นหนัก จากการทดสอบใช้ในโรงงาน ปรากฏว่า ประสิทธิภาพในการใช้งานไม่ด้อยไปกว่าเครื่องนำเข้าที่ราคาประมาณ 1.7 แสนบาท ส่วนเครื่องที่ผลิตโดยฝีมือคนไทยราคาเพียงเครื่องละ 4 หมื่นบาท แม้ว่าจะมีจุดด้อยคือ การออกแบบที่ไม่สวยงามเมื่อเทียบกับเครื่องนำเข้าก็ตาม เครื่องฝีมือไทยนี้สามารถเก็บฝุ่นได้ประมาณ 40 ลิตร โดยความแรงของแรงลมขึ้นอยู่กับการตั้งรอบเครื่องยนต์ โดยตอนนี้ได้ผลิตออกมารอจำหน่ายแล้ว 10 เครื่อง แต่ก่อนหน้านี้ได้มีโรงงานในกรุงเทพฯ และโรงพยาบาลอำเภอสันป่าตอง จ.เชียงใหม่ ซื้อไปใช้งานแล้ว (คมชัดลึก อังคารที่ 27 มิ.ย. 2549 )http://www.komchadluek.net)





รปภ.โรโบคัพ

รปภ.โรโบคัพ หุ่นยนต์รักษาความปลอดภัย OFRO ขณะทำหน้าที่รอบ ๆ สนามแข่งขันฟุตบอลโลก 2006 ในกรุงเบอร์ลิน เยอรมนี โดยหุ่นยนต์ดังกล่าวติดตั้งกล้องวิดีโอ แล้วส่งภาพแบบเรียลไทม์ไปยังสถานีควบคุมที่อยู่ห่างออกไป (เดลินิวส์ อังคารที่ 27 มิ.ย. 2549 http://www.dailynews.co.th/ )





คนไทยเป็นโรคสมองเสื่อมมากขึ้น เหตุเพราะอาหาร ประเภทผัดทอด

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคสมองเสื่อม เผยแนวโน้มคนไทยและซีกโลกตะวันออกเป็นโรคสมองเสื่อมสูงขึ้น และอาจเป็นตั้งแต่ก่อนอายุ 60 ปี แต่อาการเพิ่งปรากฏเมื่ออายุ 60 ปี ขึ้นไป ระบุเหตุมาจากวิถีชีวิตการกินอาหารประเภททอด-มัน-ผัด แนะระมัดระวังบริโภคแป้งหรืออาหารหวานจัด ทอดหรือมันเกิน พ.ญ.สิรินทร ฉันศิริกาญจน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคสมองเสื่อม รพ.รามาธิบดี เปิดเผยว่า จากสถิติของผู้ป่วยในไทย ที่อายุประมาณเกิน 60 ปีขึ้นไปเป็นโรคสมองเสื่อมถึงกว่า 600,000 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 10 ของผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ทั้งนี้ โรคสมองเสื่อมเกิดจากเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงสมองเกิดอาการตีบ ทำให้ เซลล์สมองหมดประสิทธิภาพ ขณะที่โรคอัลไซเมอร์ เกิดจากสภาพของสมองเสื่อมหรือตายไปแล้ว ผู้ป่วยที่เป็นโรคสมองเสื่อมมักมีอาการก่อนอายุ 60 ปี แต่ยังไม่ ปรากฏชัดเจน เมื่ออายุ 60 ปีถึงมีอาการขึ้นมาแท้จริงอาจเป็นก่อนหน้านี้แล้ว จึงขอให้ระมัดระวังอาหารของทอด ผัด มัน ถ้าอยากกินเนื้อสัตว์ให้เลือกปลา และกินข้าวเป็นหลักไม่กินแป้ง ส่วนผักและผลไม้ ซึ่งมีมากในประเทศไทยนั้น ผักกินได้เกือบทุกประเภท ยกเว้นผลไม้ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีความหวานมาก ต้องเลือกบริโภคผลไม้ที่ไม่มีน้ำตาลมาก เช่น ฝรั่ง สำหรับอาการที่อาจจะมีแนวโน้มว่าจะเป็นโรคสมองเสื่อมและพบก่อนอายุ 60 ปีคือ เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ซึ่งผู้ที่กังวลว่าตัวเองจะเป็นโรคสมองเสื่อมหรือไม่ จะมีแบบทดสอบ ผู้ที่ต้องการทราบติดต่อสอบถามได้ที่สมาคมผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมแห่งประเทศ ไทย โทร.0-2201-2588, 0-2880-8542 และในวันที่ 21 ก.ย. ที่จะถึงนี้ ครบ 100 ปี ซึ่งค้นพบผู้ป่วยคนแรกที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ สมาคมร่วมกับกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จัดงานกิจกรรมทางวิชาการครั้งใหญ่ ในวันที่ 23 ก.ย. ที่ รพ.ราชวิถี ขอเชิญผู้สนใจร่วมกิจกรรม (ไทยรัฐ อังคารที่ 27 มิ.ย. 2549 http://www.thairath.co.th)





รถเข็นปรับยืนได้คันแรกในโลก

นายกมลชนก สิริรรณะ นักศึกษาภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยถึงผลงานรถเข็นคนพิการแบบปรับยืนได้ว่า ลักษณะที่พิเศษกว่ารถเข็นทั่วไป เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถลุกขึ้นยืนและทำงานบางอย่างได้ โดยไม่ต้องอาศัยผู้อื่นช่วยพยุง ไม่ว่าจะเป็นเปลี่ยนหลอดไฟ สับคัตเอาท์ หรือหยิบของจากที่สูงได้ด้วยตัวเอง ซึ่งปกติคนพิการขาขาดจะไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน ในการออกแบบรถเข็นดังกล่าว ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการออกแบบทางวิศวกรรม เพื่อเพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพในการใช้งาน โดยเฉพาะขั้นตอนของการปรับยืนด้วยระบบกลไกของกระบอกสูบ หรือโช้คอัพ โดยโปรแกรมจะจำลองแรงของกระบอกสูบ เพื่อหาขนาดของการผ่อนแรง เวลาออกแรงยกตัว ซึ่งช่วยให้เห็นภาพการเคลื่อนที่ชัดเจน สำหรับใช้วิเคราะห์เสถียรภาพของกลไกในขณะปรับยืน “รถเข็นที่พัฒนาขึ้นนี้ ราคาต้นทุนอยู่ที่ 7,200 บาท ผลิตจากวัสดุจากในประเทศทั้งสิ้น ซึ่งที่ผ่านมา ในบ้านเราได้แต่นำเข้ารถเข็นระบบอัตโนมัติ ยังไม่เคยมีใครพัฒนารถเข็นชนิดปรับยืนขึ้นเองได้เลย” เจ้าของผลงาน กล่าวและว่า หลังจากที่จดสิทธิบัตรรถเข็นตัวนี้แล้ว ในขั้นตอนต่อไปจะเดินหน้าพัฒนาระบบล็อกขาและลำตัวให้แข็งแรงยิ่งขึ้น รวมถึงออกแบบเพิ่มเติมให้ตัวรถที่สามารถปรับยืน หรือตั้งฉากได้แล้ว ให้สามารถปรับนอนได้ด้วยเพื่อความสะดวกสบายให้ผู้พิการ ซึ่งจะนำไปสู่การใช้งานจริงอย่างแพร่หลายในอนาคต เนื่องจากรถเข็นคันนี้มีราคาถูกกว่ารถเข็นนำเข้า ทั้งยังเป็นรถเข็นแบบเดียวในโลกที่สามารถปรับยืนได้ด้วย (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 27 มิ.ย. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





โจรไฮเทคใช้โน้ตบุ๊คขโมยรถหรู

มีข่าวพาดหัวกระฉ่อนไปทั่วเมื่อโจรไฮเทคใช้คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค และคลื่นวิทยุส่งสัญญาณเปิดล็อกประตู และสตาร์ทเครื่องยนต์ ฉกรถหรูบีเอ็มดับเบิลยู รุ่นเอ็กซ์ 5 ของเดวิด เบ็คแฮม หายวับและนับเป็นคันที่สองแล้วที่เศรษฐีนักค้าแข้งต้องสูญรถบีเอ็มไปด้วยเทคโนโลยีโจรกรรมสมองกล หัวขโมยใช้คอมพิวเตอร์ถอดรหัสข้อมูลชิพอาร์เอฟไอดี ซึ่งเป็นระบบที่นำมาใช้กับรถรุ่นใหม่ซึ่งไม่ต้องใช้กุญแจรีโมท เมื่อได้รหัสสัญญาณแล้วส่งสัญญาณวิทยุไปยังคอมพิวเตอร์รถให้ปลดล็อกและติดเครื่อง ไม่ใช่ครั้งแรกที่รถหรูที่ใช้ระบบกุญแจไร้สายถูกขโมยไป เมื่อตอนที่ระบบกุญแจไร้สายถูกนำมาใช้กับรถเมื่อสองปีที่แล้ว ซึ่งยังถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ และคุยฟุ้งว่าสุดยอดปลอดภัย ไม่มีวันที่ใครจะถอดรหัสได้ แต่แล้วผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกเขาสามารถปลดล็อกได้ด้วยคอมพิวเตอร์ และต่อมาอีกสามเดือนพวกเขาลองทำกับรถรุ่นใหม่ขึ้น และทำได้สำเร็จ เครื่องมือที่นักคอมพิวเตอร์ศาสตร์ใช้เปิดรถและสตาร์ทเครื่องยนต์ประกอบด้วยคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค เสาอากาศ และซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ สามารถถอดรหัสชิพอาร์เอฟไอดี ซึ่งเป็นชิพที่เข้ารหัสข้อมูลที่อยู่ในกุญแจ เท่ากับว่ารถที่ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวสามารถถูกขโมยได้โดยเซียนคอมพิวเตอร์ ถึงกระนั้น ไม่ใช่เรื่องกล้วยๆ ที่โจรทั่วไปจะทำกันได้ และวิธีที่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยดังกล่าวใช้นั้น เรียกว่าอยู่เหนือฝีมือโจรอยู่หนึ่งก้าว แต่ผลจากการทดลองครั้งนี้ทำให้บริษัท เทคซัส อินสตรูเมนต์ ผู้ผลิตชิพหาทางป้องกันแน่นหนาขึ้นด้วยการเข้ารหัสแบบ 128 บิต ซึ่งใครคิดจะถอดรหัสแล้วยากยิ่งกว่ารหัสลับดาวินชีเสียอีก (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 29 มิ.ย. 2549 http://www.komchadluek.net)





เปิดผลงานเด็กเก่ง บันไดสู่นักวิทยาศาสตร์อาชีพ

จิตศักดิ์ เป็นหนึ่งใน 63 คนที่มีโอกาสนำเสนอโครงงานวิทยาศาสตร์ เพื่อคัดเลือกเข้าโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน (JSTP) ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จากโครงงานเรื่องการระบาดวิทยาของเชื้อ Rickettsial Bacteria ในประเทศไทย “ผมต้องการหาคำตอบเกี่ยวกับ เชื้อริคเค็ทเซีย ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคไข้ไม่ทราบสาเหตุ จนทำให้มีคนตายจากโรคนี้ประมาณ 10% ของผู้ป่วยเพราะรักษาไม่ถูกวิธีและให้ยาไม่ตรงกับโรค ทั้งนี้เชื้อดังกล่าวพบระบาดมากที่สหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส แต่ของไทยยังไม่มีฐานข้อมูลที่ชัดเจน ซึ่งการศึกษาทำให้ทราบว่าเชื้อดังกล่าวมีการระบาดแถวเชียงใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มชาวไทยภูเขา แต่เป็นเชื้อคนละสายพันธุ์กับของต่างประเทศ และการระบาดของเชื้อจะมาจากหนูและสัตว์ฟันแทะโดยมีไรอ่อน เห็บเป็นตัวพาหะมาสู่คน ยังมีเยาวชนอีกหลายคนเช่นเดียวกับจิตศักดิ์ ที่ต้องการโอกาสในการเป็นนักวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตามไม่เพียงแต่การให้ทุนเยาวชน เพื่อปั้นเข้าสู่อาชีพนักวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ที่ผ่านมา สวทช.ยังจัดค่ายวิทยาศาสตร์ถาวร เพื่อเป็นบ้านให้เด็กเข้ามาทำงานทางด้านวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นค่ายนักสืบนิติวิทยาศาสตร์ ค่ายนาโนโซลาร์เซลล์ ค่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอวกาศ ค่ายนักวิทยาศาสตร์ตาบอดรุ่นเยาว์ และในช่วงเดือนต.ค.นี้จะจัดค่ายนักวิทยาศาสตร์กับดอกไม้ด้วย (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 29 มิ.ย. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





ญี่ปุ่นเสนอไอเดียแก้โลกร้อน ฝังก๊าซเสียลงดินลดมลพิษ

นายมาซาฮิโร นิชิโอะ เจ้าหน้าที่กระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ญี่ปุ่นหวังลดการปล่อยก๊าซที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกและต่อสู้ปัญหาโลกร้อน ด้วยแผนการสูบก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปเก็บกักไว้ใต้ดิน แทนที่การปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ ข้อเสนอนี้มีการเปิดเผยเมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการศึกษาถึงรายละเอียดของการปฏิบัติและความเป็นไปได้จริง โดยตั้งเป้าหมายที่จะลงมือปฏิบัติภายในปี 2563 หรืออีก 14 ปีข้างหน้า โดยจะฝังก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ปีละ 200 ล้านตัน ซึ่งจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ 1 ใน 6 สำหรับกระบวนการนั้น จะมีการนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่โรงงานต่างๆ ปล่อยออกมา อัดให้อยู่ในรูปของเหลว จากนั้นนักวิทยาศาสตร์จะฉีดของเหลวเหล่านี้ลงไปยังชั้นของดิน หรือหิน ที่มีน้ำขังอยู่ ทำให้ของเหลวเหล่านี้ไม่กลับขึ้นมาปะปนบนชั้นบรรยากาศอีก โดยแนวความคิดในการเก็บกักคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ใต้ดิน สะท้อนว่าชาติอุตสาหกรรมรู้สึกถึงความเร่งด่วนในการควบคุมผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ข้อมูลระบุว่า ญี่ปุ่นปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปีละ 1,300 ล้านตัน หรือระดับต้นๆ ของโลก ทั้งที่เป็นกลไกหลักเบื้องหลังพิธีสารเกียวโต อันเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศ เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายในปี 2555 (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 30 มิ.ย. 2549 http://www.komchadluek.net)





ทีมชาติไทยคว้ารองแชมป์หุ่นยนต์โลก

การแข่งขัน World Robocup 2006 หรือการแข่งขันชิงถ้วยหุ่นยนต์โลกได้จัดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับการแข่งขันฟีฟ่าคัพ หรือฟุตบอลโลก ที่คนทั่วโลกเฝ้าลุ้นผลกันทุกนัด โดยปีนี้ทีมนักพัฒนาหุ่นยนต์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยใช้ความเก๋าคว้ารางวัลชนะเลิศรองอันดับ 2 มาครองได้สำเร็จ หลังจากเข้าร่วมแข่งขัน และสั่งสมประสบการณ์มาตลอด นวรัตน์ เติมธนาสมบัติ นิสิตภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะหัวหน้าทีมพลาสมาซี (Plasma-Z) เปิดเผยว่า นอกจากรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 แล้ว พวกเขายังได้รับรางวัลเทคนิคยอดเยี่ยม (First Place Technical Advancement Award) มาครอง และเป็นทีมเดียวที่สามารถยิงประตูได้จากทีมแชมป์โลกถึง 3 ประตู สำหรับการแข่งขันฟุตบอลหุ่นยนต์ แต่ละทีมจะมีหุ่นยนต์ 5 ตัวเข้าแข่งขันยิงลูกบอลเข้าประตูฝ่ายตรงข้ามให้ได้มากที่สุด กติกาการแข่งขันคล้ายฟุตบอลจริง คือมีการออกเส้นข้าง ออกเส้นหลัง ทุ่มเข้า เตะมุม ใบเหลือง ใบแดง ซึ่งแต่ละทีมจะต้องเขียนโปรแกรมกลยุทธ์การแข่งขันโดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ไว้ล่วงหน้าเพื่อให้หุ่นยนต์แข่งขันกันเอง โดยไม่มีมนุษย์เข้าไปบังคับหรือส่งสัญญาณให้กับหุ่นในระหว่างการแข่งขัน จึงนับว่าเป็นหุ่นยนต์อัตโนมัติเต็มรูปแบบที่สมบูรณ์ที่สุด และใช้เทคโนโลยีระดับสูง ความสามารถในการเขียนโปรแกรมให้หุ่นยนต์สามารถตัดสินใจแก้ไขสถานการณ์ได้ด้วยตัวเองถือว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดในการพัฒนาหุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ โดยเฉพาะหุ่นยนต์ภาคสนามซึ่งไม่อาจคาดเดาสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ ตัวอย่างหุ่นยนต์อัตโนมัติที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการปฏิบัติงานได้แก่ หุ่นยนต์สปิริต และออพพอทูนิตี้ ที่องค์การนาซ่าของสหรัฐส่งไปสำรวจภาคพื้นดาวอังคาร (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 30 มิ.ย. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





มอ.เปิดตัวหุ่นยนต์กู้ระเบิด

ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จังหวัดสงขลา ดร.ภัทร อัยรักษ์ ผู้ช่วยคณบดีคณะวิทยาศาสตร์ ฝ่ายวิชาการ ร่วมกับ นายปิยพัฒน์ พูลทอง นักศึกษาระดับปริญญาโท คณะวิทยาศาสตร์ เปิดตัว "หุ่นยนต์ยกยาง" สนับสนุนเจ้าหน้าที่กู้ระเบิด พร้อมสาธิตการกู้วัตถุระเบิด ซึ่งเป็นผลงานการคิดค้นที่ประสบความสำเร็จ และได้รับรางวัลชมเชย จากโครงการรางวัลนวัตกรรมแห่งประเทศไทย ที่จัดโดยสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย ดร.ภัทร เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะมีการใช้ระเบิดในการก่อเหตุ ทำให้ประสบปัญหาในการเก็บกู้ เนื่องจากมีความเสี่ยงอันตรายสูง จึงเกิดแนวคิดสร้างหุ่นยนต์ดังกล่าว โดยควบคุมระบบกลไก 2 ประเภท คือ ผ่านคลื่นวิทยุ และต่อสายตรงในกรณีที่ไม่ต้องการให้คลื่นวิทยุรบกวน หรือมีการตัดสัญญาณคลื่นต่างๆ โดยเฉพาะวิธีการต่อสายตรง เนื่องจากระเบิดส่วนใหญ่จุดชนวนด้วยสัญญาณโทรศัพท์มือถือ การกู้จึงจำเป็นต้องตัดสัญญาณเพื่อความปลอดภัย ในเบื้องต้นได้ทดสอบการใช้งาน ปรากฏว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ สามารถควบคุมระบบการทำงานได้ในระยะประมาณ 50 เมตร และมีการติดตั้งกล้องถ่ายภาพ ทำให้สามารถตรวจสอบวัตถุต้องสงสัยได้ชัดเจน สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการสร้างหุ่นยนต์ต้นแบบประมาณ 150,000 บาท ทั้งนี้ สามารถนำมาพัฒนาประสิทธิภาพ เพื่อนำไปปฏิบัติงานได้จริง โดยเฉพาะการปรับให้มีขนาดเล็กลง เพื่อความคล่องตัว รวมถึงการติดตั้งปืนยิงน้ำสำหรับทำลายวัตถุระเบิด ล่าสุดตำรวจตระเวนชายแดนที่ 43 แสดงความสนใจเข้าร่วมพัฒนาประสิทธิภาพให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อจะขอนำไปทดลองใช้ในพื้นที่แล้ว (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 30 มิ.ย. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





ข่าววิจัย/พัฒนา


กินผักใบเขียวเพื่อป้องกันมะเร็ง ของต่อมน้ำเหลืองชนิดลุกลามเร็ว

คณะนักวิจัยในสหรัฐฯพบว่าการรับประทานผักใบเขียวมากๆ อาจช่วยป้องกันการเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดแพร่กระจายเร็ว ที่เรียกว่า นันฮอดจ์กินส์ วารสารอเมริกันด้านโภชนาการการแพทย์ฉบับเดือนมิถุนายน ลงพิมพ์งานวิจัยของคณะแพทย์เมโยคลินิก ในเมืองโรเชสเตอร์ รัฐมินเนโซตา ว่าผลการศึกษาผู้ใหญ่ชาวอเมริกันกว่า 800 คน ทั้งที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนันฮอดจ์กินส์ และไม่เป็น พบว่าผู้ที่รับประทานผักใบเขียวมากที่สุด มีโอกาสเป็นมะเร็งชนิดนี้น้อยกว่าคนที่รับประทานน้อยที่สุดถึงร้อยละ 42 ยิ่งเป็นบร็อคโคลี ผักโขม ดอกกะหล่ำ ดูเหมือนจะให้ผลป้องกันมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนันฮอดจ์กินส์ได้ สารอาหาร 2 ชนิดในผักใบเขียวที่ให้ผลในเรื่องนี้คือ ลูตีนและซีแซนธีน เช่นเดียวกับสังกะสีที่ได้จากเนื้อสัตว์ และถั่ว คณะนักวิจัยสันนิษฐานว่า คำตอบในเรื่องนี้เกิดจากการที่สารอาหารในผักใบเขียว ช่วยต้านอนุมูลอิสระที่ทำให้เซลล์เกิดความเสียหายและนำไปสู่การเป็นมะเร็ง มะเร็งต่อมน้ำเหลืองนันฮอดจ์กินส์เกิดขึ้นเมื่อเซลล์ในต่อมน้ำเหลือง ที่ทำหน้าที่ต่อสู้เชื้อโรคเกิดความผิดปกติและแบ่งตัวอย่างควบคุมไม่ได้ (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 26 มิ.ย.2549 http://www.thairath.co.th)





นักวิจัยมะกันพบยิ่งคุณแม่ยังสาว ลูกยิ่งมีอายุยืนยาวอาจเกือบถึง 100 ปี

ปัจจัยด้านอายุของมารดาหากมีอายุต่ำกว่า 25 ปี จะมีผลมากกว่าปัจจัยอื่นๆ ขณะที่รายงานระบุว่าอายุของพ่อเด็กนั้นส่งผลเพียงเล็กน้อยต่ออายุขัยของลูกน้อย ซึ่งการวิจัยก่อนหน้านี้ ของด็อกเตอร์ทั้ง 2 ท่านระบุว่า ลำดับการเกิดก็ส่งผลต่ออายุขัยของบุตรเช่นกัน โดยเฉพาะลูกคนโต และถ้ายิ่งเป็นลูกผู้หญิงก็จะยิ่งมีอายุยืนยาวได้ถึง 100 ปี แต่รายงานวิจัยล่าสุดนี้ ชี้ชัดว่า อายุของแม่นั้นเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออายุขัยของลูกด้วย จากการเก็บข้อมูลทะเบียนราษฎรและข้อมูลด้านการลำดับวงศ์ตระกูลของสหรัฐฯ 2 นักวิจัยได้เก็บข้อมูลจากผู้มีอายุเกิน 100 ปี จำนวน 198 คน ในสหรัฐฯ ที่เกิดระหว่างปี 2433-2436 พวกเขาพบว่าการเกิดจากแม่ที่อายุน้อยเป็นปัจจัยสำคัญที่จะมีอายุยืนยาวถึง 100 ปี ส่วนปัจจัยอื่นๆก็มีส่วนด้วยเช่นกัน อาทิ การเติบโตในภาคตะวันตกของสหรัฐฯ การใช้ชีวิตวัยเด็กในฟาร์มและการเกิดเป็นลูกคนแรก การพบว่าเด็กที่เกิดจากแม่ที่อายุยังน้อยน่าจะมีอายุยืนนานถึง 100 ปีนี้ อาจมีข้อสันนิษฐานทางสังคมที่สำคัญรวมอยู่ด้วย เพราะผู้หญิงหลายคนเลือกที่จะมีลูกตอนค่อนข้างจะมีอายุแล้ว เนื่องจากเหตุผลด้านอาชีพการงานและยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ส่วนโธมัส เอ็ดเวิร์ด หนึ่งในคณะวิจัยเรื่องนี้ กล่าวว่างานวิจัยนี้ช่วยให้เราเข้าใจถึงปัจจัยที่บ่งชี้ความ มีอายุยืนและบ่งบอกว่ามีข้อสันนิษฐานต่างๆทางสังคมและธุรกิจมากขึ้น อย่างไรก็ดี ผู้วิจัยเรื่องนี้เห็นว่าต้องทำการศึกษาเพิ่มเติมอีกต่อไป. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 26 มิ.ย.2549 http://www.thairath.co.th)





รู้จักสมุนไพรช่วยให้หน้าขาว

คอลัมน์ “คนงามเพราะแต่ง” ใน อภัยภูเบศรสาร เดือนมิถุนายน 2549 เขียนโดย เภสัชกรหญิงวัจนา สุจีรพงศ์สิน แห่งโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี อธิบายว่า สีผิวของคนเรานั้นเกิดจากเม็ดสีที่อยู่ในชั้นผิวหนังเรียกว่า “เมลาโนไซท์” ที่สร้างเมลานิน อันเป็นสารสีที่อยู่ในผิว มี 2 ชนิดด้วยกัน คือยูเมลานิน ให้สีน้ำตาลและดำ กับแฟโอเมลานิน ให้สีเหลืองจนถึงน้ำตาลแดง สัดส่วนของเมลานินทั้งสองที่ต่างกันทำให้ผิวของเรามีสีที่ต่างกัน เครื่องสำอางในท้องตลาดมีส่วนผสมของสารเคมีที่ช่วยให้หน้าขาวอยู่หลายชนิด เช่น ไฮโดรควิโนน จะลดการสร้างเม็ดสีในชั้นผิวหนัง ทำให้หน้าขาวเร็ว แต่จะมีปัญหาในระยะยาว เพราะกระตุ้นการสร้างเม็ดสีมากขึ้นจนเป็นฝ้าถาวรได้ กรดวิตามินเอ เป็นสารอีกกลุ่มหนึ่งที่ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว อาจเกิดการระคายเคืองได้ ต้องใช้ภายใต้ความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สำหรับ สมุนไพรที่ช่วยให้หน้าขาว มีรายงานวิจัยว่า สมุนไพรที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสีมีอยู่หลายชนิด แต่ต้องอาศัยระยะเวลาการออกฤทธิ์ที่นานกว่า เช่น มะหาด สารสกัดจากชะเอม สารสกัดจากมะขามป้อม ต่างมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ที่ช่วยสร้างเม็ดสี ทำให้ผิวกระจ่างใส ลดจุดด่างดำ หรือในอีกกลุ่ม สมุนไพร ที่มีฤทธิ์เร่งการผลัดเซลล์ผิว ก็มีส่วนช่วยให้ ผิวขาวได้ เช่น มะขาม ที่มี AHA จากธรรมชาติ ข้าวกล้อง ที่มี Phytic acid ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวและช่วยยับยั้งเอนไซม์สร้างเม็ดสี พืชตระกูลส้ม มะนาวที่มีวิตามินซีกระตุ้นการผลัดเซลล์ ทำให้ผิวหน้ากระจ่างใส เภสัชกรหญิงวัจนาบอกว่า ผลิตภัณฑ์ทำ ให้หน้าขาวที่มีส่วนผสมจากสารสกัดธรรมชาติ น่าจะเป็นทางเลือกให้หน้าขาวได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพกว่า แม้ให้ผลช้าหน่อย แต่ก็ดีกว่าเสี่ยงกับสารเคมี. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 26 มิ.ย.2549 http://www.thairath.co.th)





รัฐบาลถังแตกขาดงบวิจัย พัฒนางานศิลปวัฒนธรรม

นางปริศนา พงษ์ทัดศิริกุล เลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (กวช.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงานสัมมนาผลงานวิจัยความหลากหลายทางวัฒนธรรม วานนี้ (22 มิ.ย.) ว่า ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในภาวะขาดงานวิจัยด้านศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เป็นองค์ความรู้แก่สังคม และหน่วยงานต่างๆ จากการศึกษาพบว่านักวิจัยส่วนใหญ่ไม่ได้นำผลงานไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม แต่กลับเก็บไว้ในตู้โชว์ นักวิจัยส่วนหนึ่งไม่มีความรู้ความชำนาญเรื่องการทำวิจัยอย่างเป็นกระบวนการจริงๆ อีกทั้งขาดงบประมาณในการสนับสนุนให้ผู้วิจัยทำงานวิจัยจากหน่วยงานภาครัฐ จึงไม่เกิดแรงจูงใจให้นักวิจัยเสนอโครงการศึกษา "เมื่อเราขาดงานวิจัยทำให้เกิดปัญหาขาดองค์ความรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมที่เกิดจากการมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาองค์ความรู้อื่นๆ อาทิ ผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม ผลิตภัณฑ์ทางอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ดนตรี สินค้าโอท็อปชุมชน ทำให้เกิดความเสียเปรียบด้านการครอบครองศิลปวัฒนธรรม ตลอดถึงปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ทางปัญญามีหลายประเทศแอบมาจดลิขสิทธิ์ภูมิปัญญาหลายอย่างของไทยไปครอบครอง โดยเฉพาะภูมิปัญญาที่มีผลทางรายได้เศรษฐกิจ อาทิ ยารักษาโรค สมุนไพรไทย เป็นต้น" (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 26 มิ.ย.2549 http://www.bangkokbiznews.com)





กรมวิทย์การแพทย์ค้นหาสมุนไพรหยุดโรค

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ลงนามข้อตกลงความร่วมมือ กับมหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ เพื่อดำเนินโครงการศึกษาวิจัยสารสกัดสมุนไพร ที่มีฤทธิ์ฆ่าหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคต่างๆ นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า โครงการวิจัยในระยะแรกจะมุ่งไปที่เชื้อไวรัส และแบคทีเรียก่อโรคสำคัญที่เป็นปัญหาทางสาธารณสุข อาทิ เชื้อไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดนก ไข้เลือดออก วัณโรค โรคฉี่หนู โรคระบบทางเดินลำไส้ และระบบทางเดินหายใจจากแบคทีเรีย เป็นต้น โครงการซึ่งมี รศ.ดร.ธวัชชัย แพชมัด เป็นหัวหน้าโครงการ ร่วมกับคณะนักวิจัยจากวิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ จะเลือกศึกษาสารสกัดจากสมุนไพรที่พบทั่วไปในประเทศไทย และยังไม่เคยปรากฏในรายงานวิจัยมาก่อน โดยกำหนดระยะเวลาดำเนินโครงการ 2 ปี ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2550 ทั้งนี้ หลังจากได้สารสกัดสมุนไพรเป้าหมายแล้ว ทีมวิจัยจะนำสารสกัดที่ผ่านการตรวจสอบนั้น มาศึกษาหาชนิดหรือส่วนประกอบทางเคมี พร้อมทั้งทำการทดสอบความเป็นพิษในสัตว์ทดลอง จากนั้นจึงจะพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ออกวางจำหน่ายต่อไป (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 26 มิ.ย.2549 http://www.bangkokbiznews.com)





วิจัยใบข้าวสาลีทำน้ำชาล้างพิษ ศึกษาพบวิตามินแร่ธาตุเพียบดีกว่าชาเขียว

ดร.ปัทมา ศิริธัญญา นักวิจัยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยสถาบันวิจัยและฝึกอบรมการเกษตรลำปาง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เปิดเผยว่า ไบโอเทคสนับสนุนทุนวิจัย "โครงการพัฒนาการเพิ่มผลผลิตและเพิ่มมูลค่าข้าวสาลี" โดยเลือก อ.บ่อเกลือ จ.น่าน ซึ่งเพาะปลูกข้าวสาลีจำนวนมากเป็นพื้นที่ศึกษาพบว่าต้นกล้าของข้าวสาลีที่อายุประมาณ 14 วัน มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด จากข้อมูลดังกล่าวนำไปสู่การศึกษาแปรรูป เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ต้นกล้าของข้าวสาลี โดยนักวิจัยในโครงการกำลังทดลองใช้ต้นกล้าและเมล็ดข้าวสาลีเป็นวัตถุดิบ พัฒนาเป็นเครื่องดื่มสุขภาพที่มีคุณสมบัติด้านการล้างพิษให้ร่างกาย พร้อมทั้งร่วมมือกับธุรกิจเอกชนรับซื้อเมล็ดพันธุ์ เพื่อนำไปผลิตเป็นต้นกล้าสำหรับประกอบอาหาร จากนั้นส่งวางขายในห้างสรรพสินค้า "นอกจากการแปรรูปเป็นเครื่องดื่มข้างต้นแล้ว นักวิจัยยังได้ศึกษาเพิ่มถึงวิธีการเก็บรักษา "ยอดใบอ่อน" ของต้นกล้าข้าวสาลีในรูปแบบการทำแห้ง ซึ่งเป็นเทคนิคเดียวกับการเก็บรักษาใบชาเขียว และสามารถคงคุณค่าของเอนไซม์ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพไว้ได้" นักวิจัยไบโอเทค กล่าวและว่า หากได้รับการส่งเสริมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เชื่อว่าน้ำชาจากใบอ่อนของต้นกล้าข้าวสาลีจะได้รับการยอมรับเหมือนกับน้ำชาจากใบชาเขียว สำหรับสารอาหารสำคัญที่พบมากในต้นกล้าข้าวสาลีคือ เอนไซม์กลุ่มของกรดอะมิโนที่ให้พลังงานและความสดชื่นแก่ร่างกาย และสารคลอโรฟิลล์ ซึ่งเป็นแหล่งรวมของโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุเกือบ 100 ชนิด ทำให้ใบชาข้าวสาลีมีคุณสมบัติช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกาย ทั้งยังมีสารป้องกันมะเร็งและล้างสารพิษที่ตกค้างในแต่ละวันได้ด้วย (คมชัดลึก อังคารที่ 27 มิ.ย. 2549 )http://www.komchadluek.net)





สารสกัดเห็ดยืดอายุผู้ป่วยมะเร็ง เพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกายได้ ไม่มีผลข้างเคียง

น.พ.สุพล มโนรมณ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเคมีบำบัด สถาบันมะเร็งแห่งชาติ เปิดเผยว่า ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติได้ศึกษาวิจัยผู้ป่วยมะเร็งตับในคนไทย ด้วยการนำสารสกัดโปรตีโอไกลแคน (Proteoglycan) มาศึกษาคุณสมบัติในการสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย ด้วยการรับประทาน โดยมีอาสาสมัครคนไทยที่เป็นมะเร็งตับระยะสุดท้ายเข้าร่วม 44 ราย ผู้ป่วยดังกล่าวเป็นกลุ่มที่ไม่สามารถทำการผ่าตัด หรือรักษาด้วยเคมีบำบัด ใช้เวลาศึกษา และติดตามผลเป็นเวลา 3 ปี โดยแบ่งกลุ่มผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่รับประทานสารสกัดโปรตีโอไกลแคน จำนวน 34 คน และกลุ่มที่รักษาปกติ หรือประคับประคอง จำนวน 10 คน ในกลุ่มผู้ที่ได้รับประทานจะได้รับสารสกัดโปรตีโอไกลแคน วันละ 6 กรัม ผลการวิจัย สรุปว่า กลุ่มผู้ป่วยที่รักษาแบบประคับประคองเสียชีวิตทั้งหมด ในเวลาเฉลี่ย 3.5 เดือน และกลุ่มที่รับประทานสารสกัดโปรตีโอไกลแคน ยังมีชีวิตอยู่สูงถึง 73% ทำให้การมีชีวิตอยู่ได้นานกว่า และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ผลการตรวจพบว่า ระดับสารอินเตอร์ลิวคีน 12 (IL 12) และสารอินเตอร์เฟอรอนแกมมา (IFN-y) เพิ่มขึ้น ซึ่งบ่งชี้ว่า ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีประสิทธิภาพสูงขึ้นโปรตีโอไกลแคน จึงสามารถใช้เป็นตัวกระตุ้นภูมิต้านทานด้วยการรับประทานได้ (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 30 มิ.ย. 2549 http://www.komchadluek.net)





เอไอทีสร้างทุ่นเตือนสึนามิสำเร็จ ทำเองให้สอดคล้องกับภูมิศาสตร์ชายฝั่งไทย

รศ.ดร.มนูกิจ พานิชกุล จากภาควิชาเมคาโทรนิคส์ คณะเทคโนโลยีชั้นสูง สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที) เปิดเผยว่า ระบบเตือนภัยล่วงหน้าคลื่นยักษ์สึนามิที่มีใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เป็นเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ต่างมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน แต่ละระบบมักออกแบบเพื่อให้เหมาะกับลักษณะทางภูมิศาสตร์ของแต่ละประเทศ แต่ยังไม่มีระบบใดที่เหมาะสมกับไทยโดยตรง สำหรับโครงการพัฒนาระบบติดตามและเตือนภัยคลื่นสึนามิ AIT’s Tsunami Tracking and Alerting System (ATTA) ของเอไอที มีเป้าหมายเพื่อสร้างเครื่องตรวจจับสึนามิที่สมบูรณ์แบบ และตรงกับลักษณะภูมิศาสตร์ทางทะเลของประเทศไทย ซึ่งมีชายฝั่งทะเลที่ทอดยาวและมีหมู่เกาะจำนวนมาก และเนื่องจากเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นนี้เป็นของคนไทย จึงสามารถใช้งานได้ทันที ล่าสุด ทุ่นตรวจจับสึนามิต้นแบบได้พัฒนาเสร็จแล้ว โดยคาดว่าจะติดตั้งที่ความลึก 100-200 เมตร หรือระยะประมาณ 100 กิโลเมตรจากชายฝั่ง เพื่อทำหน้าที่วัดระดับน้ำ ตัวทุ่นจะติดตั้งเซ็นเซอร์วัดความดันใต้ทะเล ซึ่งยึดติดกับสมอ และมีเซ็นเซอร์วัดความดันที่ใช้จะทำงานแยกจากสัญญาณรบกวน เพื่อบอกระดับน้ำทะเลและส่งสัญญาณดิจิทัลเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่บนทุ่น เพื่ออ่านค่าสัญญาณระดับน้ำ จากนั้นจะส่งข้อมูลผ่านดาวเทียมไปยังสถานีรับข้อมูลภาคพื้น เพื่อนำไปวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ของการเกิดคลื่นยักษ์สึนามิ ข้อมูลดังกล่าวสามารถระบบระยะเวลาที่สึนามิจะเคลื่อนตัวมายังชายฝั่ง โครงการดังกล่าวยังได้แบ่งออกเป็นโครงการย่อย อาทิ โครงการพัฒนาระบบตรวจวัดระดับน้ำอัตโนมัติ โครงการพัฒนาเซ็นเซอร์วัดความดันโดยใช้เทคนิคนาโนสำหรับตรวจวัดระดับน้ำ โครงการวิเคราะห์การเคลื่อนตัวของสึนามิเข้าชายฝั่งประเทศไทยโดยวิธีไฟไนท์อีลิเมนท์ โครงการวิเคราะห์ลักษณะสึนามิที่มีความเข้มข้นของตะกอนสูง โครงการนำข้อมูลสารสนเทศมาใช้ในการแสดงผลการเกิดสึนามิและลักษณะการทำงานของทุ่นตรวจจับสึนามิที่พัฒนาโดยนักวิจัยเอไอที (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 29 มิ.ย. 2549 http://www.komchadluek.net)





มทร.ธัญบุรีได้งบ5ล้าน พัฒนาแก๊สถ่านไม้-ผลิตไฟฟ้าป้อนโรงงาน

งานวิจัยแก๊สถ่านไม้แทนน้ำมันของอาจารย์ มทร.ธัญบุรี รุ่ง สำนักงานนวัตกรรมฯ อนุมัติงบ 5 ล้านพัฒนาผลิตเครื่องยนต์แก๊สซิไฟเออร์เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ นายเจริญ พิทักษ์ชัยกุล นายกสมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) เลขาธิการพลังงานทดแทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการที่ ผศ.ศุภวิทย์ ลวณะสกล อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ได้คิดค้นเครื่องยนต์แก๊สซิไฟเออร์ใช้ถ่านไม้ทดแทนพลังงานน้ำมัน ช่วยให้ภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรมตื่นตัวนำมาผลิตแก๊สซิไฟเออร์ ซึ่ง มทร.ได้ผลักดันให้คณะอาจารย์ มทร.นำงานวิจัยไปพัฒนาให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน ทั้งนี้ ได้ติดต่อเสนอโครงการผลิตเครื่องยนต์แก๊สซิไฟเออร์ใช้ถ่านไม้มาพัฒนาต่อยอดด้วยการใช้พลาสติกแทนถ่านไม้ ขนาด 200 กิโลวัตต์ จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติของบประมาณ 5 ล้านบาท เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เบื้องต้นทราบโครงการได้รับอนุมัติงบแล้ว เหลือเพียงแจ้งให้คณะกรรมการบริหารสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติรับทราบ คาดว่าดำเนินการได้ภายในต้นเดือนกรกฎาคมปีนี้ (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 30 มิ.ย. 2549 http://www.komchadluek.net)





บริโภคเนื้อวัวเนื้อแกะสีแดงนานๆ เสี่ยงกับเป็นมะเร็ง ของตับอ่อน

ดร.ซูซานนา ซี. ลาร์สสัน แห่งสถาบันคาโรลินสกา ที่กรุงสตอกโฮล์มหัวหน้าคณะ กล่าวแจ้งว่า มะเร็งของตับอ่อน เป็นมะเร็งที่ทำให้ถึงตายมากที่สุดอย่างหนึ่ง ส่วนใหญ่เพราะตอนเป็นใหม่ๆ ยังรักษาไหวมักตรวจไม่เจอ หลายราย ถึงจะผ่าตัดออกทิ้งไปก็ไม่อาจทำได้ เนื่องจากโรคลุกลามออกไปภายนอกแล้ว ดร.ลาร์สสันเผยว่า “จากการศึกษาส่อให้รู้ว่า การบริโภคเนื้อวัวหรือเนื้อลูกแกะที่มีสีค่อนข้างคล้ำมากๆ มีส่วนสัมพันธ์ กับความเสี่ยงกับการเป็นโรค จากการศึกษาผู้หญิงไม่ต่ำกว่า 61,000 คน เป็นเวลา 17 ปี เพื่อศึกษาหาความรู้ ผลของการบริโภคเนื้อสัตว์ ปลา และสัตว์ปีกจำพวกเป็ดไก่ ระหว่างช่วงเวลานั้น เกิดมีผู้เป็นโรคดังกล่าวขึ้น 172 คน รายงานสรุปได้ว่าการบริโภคเนื้อมาอย่างยาวนาน มีส่วนสัมพันธ์ กับการเป็นโรค ในขณะที่การบริโภคเนื้อของสัตว์ปีก กลับมีความสัมพันธ์ไปในทางตรงกันข้าม. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 30 มิ.ย. 2549 http://www.thairath.co.th)





ข่าวทั่วไป


ฝังเข็มสยบปวดประจำเดือน

น.พ.สมชัย โกวิทเจริญกุล สูตินรีแพทย์และนายกสมาคมแพทย์ฝังเข็มและสมุนไพร กล่าวว่า อาการปวดท้องประจำเดือนเริ่มพบตั้งแต่วันที่มีประจำเดือนครั้งแรกในชีวิต คือ อายุประมาณ 12 ปีขึ้นไป โดยร้อยละ 50 ของเด็กหญิงจะมีอาการปวดท้องเล็กน้อย และร้อยละ 40 มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ขณะที่ร้อยละ 10 เป็นอาการปวดที่เกิดจากภาวะผิดปกติในช่องท้อง อาทิ เนื้องอก ผังผืดในมดลูก เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ และมะเร็ง เป็นต้น จากตัวเลขดังกล่าวบ่งบอกว่า ร้อยละ 80-90 มีอาการปวดที่เป็นโดยธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากการไหลเวียนเลือดไม่สะดวก ประกอบกับอาการเครียด วิตกกังวล ทำให้เลือดลมเปลี่ยนแปลง อาการเหล่านี้สามารถรักษาให้หายได้ ด้วยวิธีการพักผ่อนให้เพียงพอและปรับอารมณ์ให้คงที่อยู่เสมอ แต่หากอาการปวดยังคงอยู่ควรพบแพทย์เพื่อดูอาการ โดยส่วนใหญ่แพทย์จะไม่ตรวจภายใน แต่จะใช้วิธีอัลตราซาวนด์ที่หน้าท้องแทน ขณะที่การฝังเข็มจะช่วยกระตุ้นการทำงานของจุดต่างๆ ในร่างกาย ทำให้เลือดไหลเวียนสะดวก มดลูกคลายตัวจากการบีบรัดโดยไม่ต้องใช้ยา ส่วนจุดฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการปวดประจำเดือน มีเพียงไม่กี่จุดในร่างกาย เช่น บริเวณมือ ขา และหน้าท้อง โดยแพทย์จะฝังเข็มทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที จากนั้นอาการปวดจะลดลงในทันที อย่างไรก็ตาม จำนวนเข็มและจำนวนครั้งในการฝังเข็มรักษานั้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค หากอาการปวดเพียงเล็กน้อยใช้วิธีฝังเข็ม 1-2 ครั้ง อาการก็จะดีขึ้น แต่หากเป็นอาการปวดจากโรคร้ายจะต้องรักษาด้วยวิธีการให้ยาปรับฮอร์โมน หรือผ่าตัดส่องกล้อง จึงจะเป็นการดีที่สุด (คมชัดลึก จันทร์ที่ 26 มิ.ย.2549 http://www.komchadluek.net)





วธ.นำตัวชี้วัดพัฒนาองค์กร สร้างประสิทธิภาพบุคลากร

นายเกรียงไกร สัมปัชชลิต รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวในงานการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง ระดับความสำเร็จของการถ่ายทอดตัวชี้วัดระดับองค์กรสู่ระดับบุคคลในช่วงที่ผ่านมา ว่า คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.)ได้กำหนดให้ทุกส่วนราชการจัดทำตัวชี้วัดประเมินผลการดำเนินงาน ซึ่งได้กำหนดขึ้นมาหลายตัวชี้วัด ทั้งนี้ ก.พ.ร.ยังได้กำหนดตัวชี้วัดที่สำคัญ 3 ตัวชี้วัด ได้แก่ การดำเนินงานตามขั้นตอนการพัฒนาคุณภาพ การบริหารจัดการภาครัฐ การจัดทำบริหารความเสี่ยง การถ่ายทอดตัวชี้วัด และเป้าหมายของระดับองค์กรสู่ระดับบุคคล ซึ่งตัวชี้วัดดังกล่าว ถือเป็นเรื่องใหม่ โดยส่วนราชการจะต้องทำในส่วนที่มีความพร้อมก่อน ดังนั้น ทางกระทรวงวัฒนธรรมจึงได้ เลือกความสำเร็จในการถ่ายทอดตัวชี้วัด และเป้าหมายของระดับองค์กรสู่ระดับบุคคลมาเป็นตัวชี้วัดตัวที่ 26 ของกระทรวง “การที่กระทรวงวัฒนธรรมเลือกตัวชี้วัดดังกล่าว เพราะเห็นว่าตัวชี้วัดนี้ เป็นการกำหนดแผนการ วิธีการ และเป้าหมายการปฏิบัติงานตามยุทธศาสตร์ 3 ด้าน ได้แก่ การพัฒนาระบบบริหารจัดการงานวัฒนธรรม การสร้างค่านิยม จิตสำนึก และความพึงพอใจในความเป็นไทย และพัฒนาความสัมพันธ์กับต่างประเทศโดยใช้มิติทางวัฒนธรรม ซึ่งจะเป็นโอกาสดีที่จะให้ข้าราชการในกลุ่มต่างๆ ได้ทบทวนว่างานที่ได้ทำอยู่นั้น ตรงกับเป้าหมายที่รัฐบาลอยากได้หรือไม่ ควรที่จะปรับปรุงในส่วนไหนจึงจะมีความเหมาะสม และจะมีวิธีการอย่างไรถึงทำให้ตัวชี้วัดบรรลุผลสำเร็จ ในขณะเดียวกันยังเป็นการทำให้ผู้บริหาร และข้าราชการหน่วยงานได้มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อจัดทำวิสัยทัศน์ พันธกิจ ยุทธศาสตร์เป้าประสงค์ ร่วมกันด้วย” ซึ่งในขณะนี้กระทรวงวัฒนธรรมอยู่ในระหว่างการจัดทำยุทธศาสตร์ระดับสำนักงานซึ่งต่อไปผู้อำนวยการสำนักงาน ผู้อำนวยการกอง ผู้อำนวยการศูนย์ ผู้อำนวยการสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด จะต้องลงนามรับรองการปฏิบัติราชการกับปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และในอนาคตข้าราชการระดับบุคคลจะต้องลงนามรับรองการปฏิบัติงานกับผู้บริหารหน่วยงานนั้นๆ ในการจัดทำตัวชี้วัดในระดับบุคคลด้วย (สยามรัฐ อังคารที่ 27 มิ.ย. 2549 http://www.siamrath.co.th)





อย.ทลายแหล่งขายเครื่องสำอางต้องห้าม-ยาสัตว์อันตราย

ศ.ดร.ภักดี โพธิศิริ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เนื่องจาก อย. ได้รับการร้องเรียนจากผู้บริโภคว่ามีการจำหน่ายเครื่องสำอางที่อยู่ในบัญชีรายชื่อเครื่องสำอางอันตราย 74 ยี่ห้อ ที่ อย. ได้ประกาศเตือนไปแล้วเมื่อเดือนมีนาคม 2549 ที่ผ่านมา จากการตรวจสอบพบว่ามีการจำหน่ายเครื่องสำอางหลายยี่ห้อ เช่น ทรีเดย์ วินเซิร์ฟ สมุนไพรแตงกวาคิวทู ครีมไข่มุก ว่านนางพญาหน้าขาว ว่านนางพญา โรส แพนบี เพิร์ลครีม ป็อบ และพรีม มูลค่ารวมกว่า 2 ล้านบาท โดยมีนายสมภพ รุ่งโรจน์กิตติกุล อายุ 40 ปี เป็นเจ้าของบ้าน จากผลการตรวจวิเคราะห์เครื่องสำอางดังกล่าวพบสารห้ามใช้ ได้แก่ ไฮโดรควิโนนและกรดเรทิโนอิก โดยไฮโดรควิโนนทำให้ผู้ใช้เกิดอาการระคายเคือง เกิดจุดด่างขาวที่หน้า ผิวหน้าดำ เป็นฝ้าถาวร รักษาไม่หาย ส่วนกรดเรทิโนอิก ทำให้เกิดอาการหน้าแดงแสบร้อนรุนแรง เกิดการอักเสบ ผิวหน้าลอกอย่างรุนแรง และอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ ซึ่งสถานที่ดังกล่าวเป็นสถานที่เก็บและจำหน่ายสินค้าประเภทผลิตภัณฑ์ยาแผนปัจจุบันและยาที่ไม่มีเลขทะเบียนตำรับยา ซึ่งมีนางจิตตรัตน์ รุ่งเช้า ได้รับว่าเป็นเจ้าของอาคารจากการตรวจสอบพบว่ามีการขายผลิตภัณฑ์ยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต และขายยาที่ไม่มีเลขทะเบียนตำรับยาจริง ทั้งหมดเป็นยาสัตว์ ได้แก่ ยาหยอดหูท๊อฟฟี่ (TOFFY EAR DROPS) จำนวน 175 ขวด โลชั่นรักษาโรคขี้เรื้อนสุนัข (JENNY MANGE TREATMENT LOTION) จำนวน 120 ขวด ขี้ผึ้งรักษาโรคผิวหนัง ขี้เรื้อนและเชื้อราต่างๆ (CANDY DERMA OINTMENT) จำนวน 131 ขวด สเปรย์รักษาแผลและผิวหนัง (TOFFY VIOLET SOLUTION SPRAY) จำนวน 170 ขวด โลชั่นรักษาโรคขี้เรือนสุนัข (JENNY CANINE MANGE TREATMENT LOTION) จำนวน 38 ขวด และโลชั่นรักษาโรคขี้เรือนสุนัข (CANDY MANGE TREATMENT LOTION) จำนวน 30 ขวด ทั้งนี้ อย. จะดำเนินการตามกฏหมายทั้ง 2 รายการทันที โดยกรณีแรกเป็นการจำหน่ายเครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัย มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ สำหรับกรณีที่ 2 เป็นการขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน มีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกิน 5 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และกรณีขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้ขายมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท (คมชัดลึก อังคารที่ 27 มิ.ย. 2549 )http://www.komchadluek.net)





เผยพระไตรปิฎกฉบับสู้ลักธิล่าอาณานิคม

รศ.ดร.สุภาพรรณ ณ บางช้าง ประธานหอพระไตรปิฎกนานาชาติ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า จากการที่หอพระไตรปิฎกฯ ได้ทำการรวบรวมพระไตรปิฎกฉบับต่าง ๆ ทั้งที่เก่าหายาก เช่น พระไตรปิฎกสุวรรณภูมิ ไทเขิน ล้านนา เชียงตุง และของใหม่ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ถึงรัชกาลที่ 5 ที่ได้มาจากผู้มีจิตศรัทธานำมามอบให้ รวมถึงการค้นคว้าเพิ่มเติมที่หอสมุดแห่งชาติ ทำให้ได้พบพระไตรปิฎกฉบับจุลจอมเกล้าบรมธรรมิกมหาราช พ.ศ. 2436 (รศ.112) รัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นชุดที่หายาก เพราะพิมพ์เป็นภาษาบาลี อักษรสยาม แต่มีการนำไปเทียบเสียงกับอักษรโรมัน ซึ่งไม่เคยพบเห็นที่ไหน และไม่มีใครจัดพิมพ์ในลักษณะดังกล่าวอีกแล้ว ตนจึงได้ขออนุญาตทางหอสมุดแห่งชาติในการถ่ายสำเนาและนำมาจัดพิมพ์เพื่อเก็บรวบรวมไว้ในหอพระไตรปิฎกฯ รศ.ดร.สุภาพรรณ กล่าวต่อไปว่า พระไตรปิฎกดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระราชนิพนธ์คาถาสรรเสริญพระรัตนตรัยในรัชกาลที่ 4 มาแสดงเป็นอักษรโรมันด้วย เพื่อเป็นตัวอย่างในการเทียบพยัญชนะและการออกเสียงอักษรไทย-บาลี กับอักษรโรมัน-บาลี เช่น พุท์โธ เป็น Buddho วัน์ทามิ เป็น Vandaํmi หลังจากนั้นได้พระราชทานให้แก่สถาบันสำคัญในต่างประเทศกว่า 260 แห่งทั่วโลก รวมทั้งยังได้พระราชทานไปยังวัดต่าง ๆ อีก 500 วัดทั่วประเทศ เพื่อเฉลิมฉลองการครองราชย์ครบ 25 ปีของพระองค์ (เดลินิวส์ อังคารที่ 27 มิ.ย. 2549 http://www.dailynews.co.th/ )





อยากได้ลูกชายกินแฮมเบอร์เกอร์ อยากได้ลูกสาว อย่าตามใจปาก

ถ้าหากอยากได้ลูกผู้ชาย ก็ให้หม่ำแฮมเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟรายและไอศกรีมเข้าไปมากๆ แต่ถ้าหากอยากได้ลูกผู้หญิง ก็ควรหมั่นควบคุมอาหาร และพยายามลดน้ำหนักเข้าไว้ ทั้งนี้ เป็นความรู้ที่นายจอห์น โรช นักวิทยาศาสตร์ขององค์การเดกซ์เซล ซึ่งเป็นองค์การวิจัยการเลี้ยงวัวนม ของนิวซีแลนด์ ได้รับรู้มาจากการศึกษาวิจัยกับวัวตัวเมีย จำนวน 1,200 ตัว ตั้งแต่ พ.ศ. 2529 เป็นต้นมาเป็นเวลานานถึง 18 ปี โดยที่เขาได้กล่าวแสดงความเห็นว่า “เราอาจจะคาดเอาได้ว่ามันคงเป็นหลักความจริง ในหมู่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเหมือนกันทั้งหมด” เขากับคณะได้พบว่าแม่วัวที่อ้วนท้วนขึ้นก่อนติดลูก มักจะได้ลูกวัวตัวผู้ ในขณะที่แม่วัวที่น้ำหนักลดลงก่อนตั้งท้อง ก็มักจะมีลูกตัวเมีย อาจารย์โรชสารภาพในการให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์รายวัน ที่เมืองแฮมิลตัน ซึ่งเป็นศูนย์ กลางอุตสาหกรรมการเลี้ยงวัวนมของประเทศว่า เขาเองก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่า เหตุใดน้ำหนักตัวแม่วัวถึงมีส่วนกำหนดเพศลูกของมัน เพียงแต่ทราบว่า ตัวผู้จะเป็นฝ่ายกำหนดเพศของตัวอ่อนเมื่อตัวเมียตั้งท้องขึ้น แต่แม่วัวก็อาจมีส่วนเลือกว่าจะอุ้มท้องลูกตัวอ่อนเพศใดเอาไว้จนถึงครบกำหนดตกลูกหรือไม่. (ไทยรัฐ อังคารที่ 27 มิ.ย. 2549 http://www.thairath.co.th)





ดื่มนมแพะสุขภาพแข็งแรง

โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่า นมแพะมีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย ด้วยคุณค่าทางอาหารที่ใกล้เคียงนมแม่มากที่สุด อีกทั้งนมแพะยังดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย โดยใช้เวลาน้อยกว่านมประเภทอื่นถึง 6 เท่า จึงเหมาะใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับเด็กที่กำลังเจริญเติบโต รวมถึงคนในทุกช่วงวัย นมแพะมีคุณสมบัติดูดซึมได้เร็วและย่อยได้ง่ายใกล้เคียงนมแม่ เนื่องจากในน้ำนมแพะ มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวและเป็นกรดไขมันจำเป็นชนิดห่วงโซ่สั้น ทำให้น้ำย่อยสามารถแทรกซึมเข้าไปช่วยย่อยสลายได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็ว โดยใช้เวลา 10-20 นาที ทั้งยังลดการทำงานของกระเพาะอาหารและลำไส้อีกด้วย จึงเหมาะสำหรับเด็กที่มีปัญหาในระบบการย่อย “นมแพะมีส่วนช่วยช่วยปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน เสริมสร้างภูมิต้านทานต่อการเกิดภูมิแพ้ในร่างกาย และกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโรคขึ้น จากกรดอะมิโนโปรตีนในนมแพะ จะช่วยให้เซลล์เม็ดเลือดขาวทำงานได้ดีขึ้น ประกอบกับวิตามินต่างๆ ที่มีส่วนช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกายด้วย” นอกจากนี้ นมแพะยังเป็นทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการรักษาหุ่นเพราะดื่มแล้วไม่อ้วน เนื่องจากขนาดของโปรตีนและไขมันที่เล็กละเอียด อีกทั้งคอเลสเตอรอลและไขมันอิ่มตัวที่พบในนมแพะจะมีปริมาณต่ำกว่านมชนิดอื่น จึงดื่มได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเพิ่มไขมันให้ร่างกาย แพทย์ได้แนะนำให้นมแพะเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่แพ้นมชนิดอื่น อาทิ นมวัวและนมถั่วเหลือง เนื่องจากร่างกายต่อต้านสารก่อภูมิแพ้พบในนมชนิดดังกล่าว ส่งผลให้เกิดอาการอาเจียนและท้องเสียหลังจากดื่มนม อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีผู้ผลิตนมแพะเพียงไม่กี่ราย ที่ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ผู้บริโภคควรจะเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีเครื่องหมาย อย.เท่านั้น (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 29 มิ.ย. 2549 http://www.komchadluek.net)





ว่าที่วิศวกรไทยได้เฮอีก5ปีซัมซุงรับ1พันคน

มร.ควัง คี ปาร์ค กรรมการผู้จัดการบริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวในการแถลงข่าวโครงการทุนการศึกษาสำหรับนักศึกษาทั่วโลกของซัมซุง (Samsung Global Scholarship Program : GSP) ว่า บริษัท ซัมซุงอิเล็คทรอนิกส์ จำกัด ให้ทุนการศึกษานักศึกษาทั่วโลกไปแล้ว 130 คน โดยในไทยให้ทุนนักศึกษามหาวิทยาลัยปีสุดท้ายในทุกสาขาวิชาเพื่อเรียนต่อปริญญาโท หลักสูตรบริหารธุรกิจของ The Samsung Graduate School of Business ที่มหาวิทยาลัยซอง กยุน ควัน ประเทศเกาหลีใต้ ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2544 จนถึงปัจจุบันรวม 7 คน โดยให้ทุนเรียน 2 ปี คนละ 1 แสนดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเรียนจบก็ให้โอกาสทำงานกับบริษัทซัมซุง และมีโครงการร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีเอเชียรับเด็กจบปริญญาตรีด้านวิศวะจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น ม.ธรรมศาสตร์ ม.ขอนแก่น เข้าทำงานที่ จ.ชลบุรี ซึ่งปัจจุบันมีวิศวกร 200 คน ซึ่งไทยซัมซุงมีพนักงาน 2,300 คน แต่ละปีรับผู้จบวิศวะ เช่น ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องกล 20-30 คน คาดว่า 5 ปีข้างหน้ารับบุคลากรเพิ่ม 5,000 คน โดยรับผู้ได้รับทุนโครงการจีเอสพี ด้านวิศวะและบริหารธุรกิจ 50 คน และรับวิศวกร 1,000 คน ที่เหลือรับผู้จบปริญญาตรี เช่น บริหารธุรกิจ บัญชี โลจิสติกส์ ออกแบบผลิตภัณฑ์ เป็นต้น (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 30 มิ.ย. 2549 http://www.komchadluek.net)





จีนเตรียมเปิดทางรถไฟที่อยู่สูงที่สุดในโลก 1 ก.ค.

สาธารณรัฐประชาชนจีน จะเปิดเส้นทางรถไฟที่อยู่สูงที่สุดในโลกเชื่อมระหว่างทิเบตและเมืองต่างๆ ของจีน ในวันเสาร์ (1 ก.ค.) นี้ โดยงานก่อสร้างเส้นทางรถไฟไปยังทิเบต ที่มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 5,000 เมตร หยุดชะงักไปช่วงหนึ่ง หลังจากมีการขยายเส้นทางไปยังเมืองทางตะวันตกเมื่อปี 2527 และเพิ่งเริ่มก่อสร้างอีกครั้งเมื่อปี 2544 ด้วยงบประมาณทั้งสิ้น 34,000 ล้านหยวน หรือประมาณ 163,200 ล้านบาทนับแต่เริ่มโครงการ ซึ่งนับตั้งแต่วันเสาร์นี้เป็นต้นไป ผู้โดยสารสามารถเดินทางจากกรุงปักกิ่งไปยังเมืองลาซาในทิเบตได้ โดยใช้เส้นทางรถไฟสายนี้รวมเป็นระยะทางถึง 4,561 กม. และเสียค่าเดินทางถูกกว่าการเดินทางโดยเครื่องบิน ด้านนายหู จิ่นเทา ประธานาธิบดีของสาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวชื่นชมโครงการนี้ว่า เป็นโครงการขนาดใหญ่อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์การก่อสร้างทางรถไฟ และสื่อมวลชนจีนได้ชื่นชมที่โครงการนี้สำเร็จลงด้วยดีในเวลาไม่นาน ซึ่งจีนคาดหวังว่าเส้นทางรถไฟสายนี้จะช่วยส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจทางภาคตะวันตกของประเทศ (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 30 มิ.ย. 2549 http://www.thairath.co.th)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215