หัวข้อข่าวปีที่ 7 ฉบับที่ 31 ประจำวันที่ 2006-07-31

ข่าวการศึกษา

ธรรมศาสตร์ดึงนักศึกษาทำนา สอนติดดิน-รับใช้คนจน
ผจก.กองทุนกยศ.แจงโอนเงินช้าติดปัญหาเอกสาร
“จาตุรนต์” หนุนเอ-โอเน็ตสอบอัตนัย
แพทยศาสตร์ผนึกพลังรับตรง 12 คณะ
กองสลากให้เงินกว่า 900 ล้านจ้าง นศ.ทำงาน
เด็กต่างด้าวมีสิทธิเรียนฟรี
แจง ร.ร.ไม่มีสิทธิเก็บเงินเพิ่ม ชี้เป็นหน้าที่ต้นสังกัด-เขตพื้นที่
'จาตุรนต์'แถลงผลงาน1ปีปลื้มแก้โอเน็ตวุ่น
ปากีสถานมอบทุนต่อโทวิศวะเอไอที
‘ปรัชญา’ชี้จัดสอบ A-NET ควรมีหลายหน่วยงานร่วมทำ
ศธ.ยอมรับ กรอ.ทำให้เด็ก ปวส.ลดลงจริง

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

10 เยาวชนโกยเหรียญงานนักประดิษฐ์สากล
ก.วิทย์ควัก 100 ล้านจัดยิ่งใหญ่สัปดาห์วิทยาศาสตร์
โรงงานสับปะรดผันน้ำเสียเป็นก๊าซชีวภาพ
มนุษย์อวกาศยาน “อพอลโล 11” โวยถูกส่งไปเสี่ยงกับความหายนะ
ฮอตไลน์ 1313 วิทย์ไขข้อข้องใจ
ครม.ทุ่ม8พันล้านปั้น"ศิริราช" สถาบันแพทย์ชั้นเลิศในเอเ

ข่าววิจัย/พัฒนา

วิจัยยันค้างคาวไทยปลอดไวรัสพิษสุนัขบ้า
ไทยคิดค้นอุปกรณ์ช่วยจัดฟันรายแรกในโลก
ชากับแกงกะหรี่ช่วยรักษารูปทรง บำรุงไฟธาตุให้มีความแข็งแรง
กระดาษตะไคร้
ผลิต“ตุ๊กๆ กันกระสุน”ลุยชายแดนใต้
เทคโนประดิษฐ์ สกัดไขมันสัตว์ทำครีมขัดรองเท้า
เด็กไทย 7 รางวัลโอลิมปิกหุ่นยนต์
อุปกรณ์ไฮเทคช่วยเก็บตะปูเรือใบบนถนน
ไซเซลอุปกรณ์เน็ตเวิร์กน้องใหม่

ข่าวทั่วไป

'มารดาครูจูหลิง' ได้รับเลือกเป็นแม่ดีเด่นแห่งชาติ
อนุมัติหักค่าลดหย่อนเพิ่มไม่เกิน1แสน
องค์การเภสัชพัฒนาแข่งนอก จับมือโครงการหลวงผลิตครีมบำรุงผิวดอยคำ-จีพีโอ





ข่าวการศึกษา


ธรรมศาสตร์ดึงนักศึกษาทำนา สอนติดดิน-รับใช้คนจน

มธ.จัดโครงการธรรมศาสตร์ทำนา สอนนักศึกษารู้จักชีวิตคนยากจน ทำตัวติดดิน สร้างสำนึกรับใช้ประชาชนคนรากหญ้า "สุเมธ"นำทีมอธิการบดี-อาจารย์มธ.ดำนา ระบุ "รวยแล้วต้องหมั่นทำบุญสร้างกุศล กรรมไม่คอยใคร" ด้านอธิการบดีเผยนักศึกษาร่วมโครงการ 200 คน ระบุไม่บังคับให้เป็นไปตามสมัครใจ แนวโน้มใช้เป็นกิจกรรมรับเพื่อนใหม่ ที่แปลงนาข้าวด้านข้างคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ได้มีพิธีเปิดโครงการ"ธรรมศาสตร์ทำนาเศรษฐกิจพอเพียง"ขึ้น โดยมีดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาและนายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.)เป็นประธานพร้อมด้วยศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมธ. คณะผู้บริหาร อาจารย์และนักศึกษามธ.ประมาณ 200 คนเข้าร่วม ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีม.ธรรมศาสตร์ กล่าวรายงานความเป็นมาโครงการธรรมศาสตร์ทำนาว่า โครงการนี้เป็นกิจกรรมหนึ่งที่จัดขึ้นเนื่องในโอกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 60 ปีเพราะปัจจุบันนักศึกษามธ.ส่วนใหญ่เป็นคนเมือง มีคนชนบทไม่มากและไม่มีโอกาสได้เห็นวิถีชีวิต ความยากลำบากของคนส่วนใหญ่ของประเทศเช่น เกษตรกร โดยเฉพาะชาวนาเป็นอาชีพที่เป็นนามธรรมมาก นักศึกษาเคยเห็นแต่ในตำราเรียน อยากให้นักศึกษาได้มีความเข้าใจวิถีชีวิตของคนส่วนใหญ่ของประเทศ เมื่อเห็นว่ามธ.ศูนย์รังสิตมีพื้นที่ว่างมากพอ จึงทำเป็นแปลงนา 6 ไร่และให้นักศึกษาที่สนใจสมัครเข้ามาทำนา โดยไม่มีการบังคับใดๆ ตอนนี้มีนักศึกษาสนใจทำนาประมาณ 200 คน เพื่อนักศึกษาได้เรียนรู้ชีวิตของชาวนากว่าจะได้ข้าวมาแต่ละเม็ดยากลำบากอย่างไร ทำให้ทัศนคติของนักศึกษาที่มีต่อชาวนาเปลี่ยนไป (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 31 ก.ค. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





ผจก.กองทุนกยศ.แจงโอนเงินช้าติดปัญหาเอกสาร

นายเปรมประชา ศุภสมุทร ผู้จัดการกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.) ซึ่งดูแลกองทุนเงินให้กู้ยืมที่ผูกกับรายได้ในอนาคต(กรอ.) ได้ชี้แจงกรณีความล่าช้าในการโอนเงิน กรอ.ให้กับสถานศึกษาว่า การโอนเงินให้สถานศึกษามี 2 ส่วน ได้แก่ เงิน กยศ.ซึ่งโอนให้สถานศึกษาแล้วประมาณ 80% ส่วนเงิน กรอ.สาเหตุที่ล่าช้านั้น เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่ และเงินที่ให้นักศึกษากู้ก็เป็นเงินงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งต้องมีการเซ็นสัญญาเงินกู้ระหว่าง นักศึกษากับ กยศ. และสัญญาดังกล่าว กยศ.ได้ให้สำนักงานอัยการสูงสุด ตรวจสอบเพื่อให้ความเห็นชอบ และเพิ่งจะให้ความเห็นชอบมาอย่างไม่เป็นทางการเมื่อวันที่ 28 ก.ค.นี้เอง ทั้งนี้ เนื่องจากสัญญาเงินกู้ กรอ.ไม่ได้ระบุวันชำระเงินคืน และอัตราดอกเบี้ย เหมือนสัญญาทั่วไป โดยระบุเพียงว่า ชำระเงินคืนมีขึ้นเมื่อผู้กู้มีเงินเดือนในอัตรา 16,000 บาท ส่วนดอกเบี้ยจะคิดโดยปรับค่าเงินต้นด้วยอัตราเงินเฟ้อ ทำให้อัยการสูงสุดค่อนข้างปวดหัว แต่ก็ได้หาทางออกให้และให้ความเห็นชอบสัญญาดังกล่าวแล้ว จากนั้น กยศ.จะส่งเอกสารสัญญาทางเว็บไซด์ให้กับสถานศึกษา เพื่อให้นักศึกษาเซ็นรับสัญญาเป็นรายบุคคลและส่งกลับมาให้ กยศ. เมื่อมีการยืนยันข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ทาง กยศ.ก็จะโอนเงินให้สถานศึกษาได้ ภายใน 1 สัปดาห์ ทั้งนี้สถานศึกษาสามารถดาวน์โหลดสัญญาและส่งคืนให้กับ กยศ.ตั้งแต่วันที่ 31 ก.ค.นี้เป็นต้นไป (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 31 ก.ค. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





“จาตุรนต์” หนุนเอ-โอเน็ตสอบอัตนัย

ตามที่คณะทำงานจัดระบบรับตรงและระบบแอดมิชชั่นของที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ซึ่งมี รศ.ดร.วันชัย ศิริชนะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) เป็นประธาน ได้สรุปว่าการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง หรือเอเน็ต ในปีการศึกษา 2550 จะไม่ใช้ข้อสอบอัตนัยนั้น นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่เป็นข้อสรุป และต้องนำเข้าหารือในการประชุม ทปอ.ในวันที่ 5 ส.ค. ก่อน ซึ่งตนได้มอบให้ ศ. (พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เข้าไปชี้แจง ทปอ. โดยตนเสนอให้ทบทวนการดำเนินการจัดสอบเอเน็ตใหม่ ที่เริ่มตั้งแต่ว่าใครจะเป็นผู้จัดสอบ และเมื่อรู้ว่าใครจัดสอบแล้วค่อยมากำหนดว่าจะให้มีการจัดสอบอัตนัยหรือไม่ แต่ส่วนตัวยังยืนยันว่าควรต้องจัดสอบอัตนัย และให้สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เป็นผู้จัดสอบ ทั้งแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ต และเอเน็ต และเร็วๆนี้ตนจะเชิญ ศ.ดร.ปรัชญา เวสารัชช์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ประธาน ทปอ. มาหารือในเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง “ผมไม่เห็นด้วยที่จะให้มหาวิทยาลัยเป็นผู้จัดสอบเอง เพราะจะกลับไปเป็นระบบเอ็นทรานซ์เหมือนเดิม ซึ่งถือเป็นความล้มเหลวในการปฏิรูปการศึกษา ทำให้ครู นักเรียน ผู้ปกครองไม่สนใจการศึกษาขั้นพื้นฐาน แต่จะกลับไปกวดวิชาเหมือนเดิม นอกจากนี้จะทำให้มหาวิทยาลัยออกข้อสอบเกินหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน แต่หากให้ สทศ.จัดสอบเอง ศธ.สามารถเข้าไปกำกับดูแลเรื่องนี้ได้” นายจาตุรนต์กล่าว ด้าน ศ. (พิเศษ) ดร.ภาวิชกล่าวว่า หาก ทปอ.ไม่จัดสอบอัตนัย ไม่เป็นไร เพราะแต่ละฝ่ายมีเหตุผลที่รับฟังได้ ส่วนที่นายจาตุรนต์ต้องการให้มีข้อสอบอัตนัยในการสอบคัดเลือกทุกระดับนั้น เรื่องนี้ ทปอ.ก็ทราบดีอยู่แล้ว ซึ่งในการประชุม ทปอ.วันที่ 5 ส.ค.นี้ ตนจะเข้าร่วมประชุมด้วย และจะนำเสนอความเห็นและนโยบายของ รมว.ศธ. ต่อ ทปอ. แต่ที่สุดแล้วก็ต้องขึ้นกับการตัดสินใจของ ทปอ. นายปรัชญากล่าวว่า ข้อห่วงใยของนายจาตุรนต์ ที่เสนอมาทั้ง 2 ประเด็นนั้น ทปอ.จะหยิบยกไปหารือกันในวันที่ 5 ส.ค.นี้ แต่มติ ทปอ.จะออกมาอย่างไรก็ต้องว่าไปตามนั้น เพราะการคัดเลือกบุคคลเข้าสู่มหาวิทยาลัยเป็นหน้าที่ของมหาวิทยาลัยโดยตรง (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 31 ก.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





แพทยศาสตร์ผนึกพลังรับตรง 12 คณะ

ศ.น.พ.อาวุธ ศรีสุกรี เลขาธิการกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.) เปิดเผยว่า ในปีการศึกษา 2550 กสพท. จะรับนิสิตนักศึกษาเข้าศึกษาต่อคณะแพทยศาสตร์ ผ่านระบบรับตรง จำนวน 12 คณะ ดังนี้ คณะแพทย์ฯ ม.ขอนแก่น 50 คน จุฬาฯ 200 คน ม.เชียงใหม่ 60 คน ม.ธรรมศาสตร์ 60 คน ม.นเรศวร 30 คน คณะแพทย์รามาธิบดี ม.มหิดล 148 คน คณะแพทย์ศิริราชพยาบาล 200 คน ม.รังสิต 30 คน ม.ศรีนครินทรวิโรฒ 120 คน ม.สงขลานครินทร์ 60 คน วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล 80 คน วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า 100 คน เริ่มรับสมัครตั้งแต่วันที่ 1-31 ส.ค.นี้ ทางเว็บไซต์ของกลุ่ม กสพท. เลือกได้ 3 อันดับ ชำระเงินค่าสมัครที่ธนาคารไทยพาณิชย์ทุกสาขา จำนวน 715 บาท กำหนดวันสอบวิชาเฉพาะคือ วันที่ 28 ต.ค.นี้ ส่วนการประกาศผลการสอบสัมภาษณ์ จะกำหนดให้สอดคล้องกับปฏิทินการรับแอดมิชชั่น ซึ่งผู้สมัครต้องติดตามในเว็บไซต์ ผู้ผ่านการคัดเลือกและยืนยันสิทธิจะนำรายชื่อไปตัดสิทธิในระบบแอดมิชชั่นกลาง ศ.น.พ.อาวุธกล่าวอีกว่า องค์ประกอบคะแนนที่ใช้ในการคัดเลือก ประกอบด้วย การสอบวิชาเฉพาะ 30% เป็นการทดสอบศักยภาพในการเรียนรู้และแนวคิดทางจริยธรรม ซึ่งไม่จำเป็นต้องกวดวิชาเพื่อสอบวิชาเฉพาะ นอกจากนี้ยังใช้ผลการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูงหรือเอเน็ต 70% แบ่งเป็น วิชาวิทยาศาสตร์ 40% คณิตศาสตร์ 20% ภาษาอังกฤษ 20% ภาษาไทย 10% สังคม 10% โดยแต่ละกลุ่มสาระต้องมีคะแนนไม่น้อยกว่า 30% จากคะแนนเต็ม และผลการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐานหรือโอเน็ต วิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทยและสังคม ที่ต้องมีคะแนนร่วมกันไม่น้อยกว่า 60% สำหรับคุณสมบัติผู้ศึกษาต้องมีผลคะแนนการศึกษา 4 ภาคไม่น้อยกว่า 2.75 และมีผลการเรียนเฉลี่ยตลอดหลักสูตร (GPAX) ไม่น้อยกว่า 3.00 คุณสมบัติอื่นๆดูได้ในเว็บไซต์แต่ละสถาบัน เช่น www.md.chula.ac.th, www.si.mahidol.ac.th, www.pcm.ac.th, www.ra.mahidol.ac.th เป็นต้น ซึ่งเชื่อมต่อไปทุกสถาบัน (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 31 ก.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





กองสลากให้เงินกว่า 900 ล้านจ้าง นศ.ทำงาน

ดร.สุเมธ แย้มนุ่น รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ในฐานะประธานกรรมการดำเนินงานโครงการสนับสนุนให้นักศึกษาทำงานระหว่างเรียน เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้อนุมัติเงินจำนวน 902 ล้านบาท ให้แก่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) เพื่อนำไปจัดสรรให้สถานศึกษาต่าง ๆ นำไปจ้างนิสิตนักศึกษาทำงานระหว่างเรียน โดยคาดว่าการจัดส่งเงินจากสำนักงานสลากกินแบ่งฯ จะมาถึงสกอ. ได้ประมาณปลายเดือนสิงหาคมนี้ จากนั้น สกอ. จะเร่งดำเนินการส่งต่อไปยังสถานศึกษาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาสถาบันการศึกษาและมหาวิทยาลัยหลายแห่งได้ส่งรายละเอียดของลักษณะงานที่จะให้นิสิตนักศึกษาทำระหว่างเรียนมาให้ สกอ. พิจารณาแล้ว โดย มหาวิทยาลัยได้ใช้เงินของมหาวิทยาลัยจ้างนิสิตนักศึกษาทำงานไปก่อนแล้ว ดังนั้นเมื่อได้เงินมา สกอ. ก็จะต้องส่งเงินคืนให้แก่สถานศึกษาและมหาวิทยาลัยต่อไป ดร.สุเมธ กล่าวต่อไปว่า สำหรับลักษณะงานที่สถานศึกษาจัดให้นิสิตนักศึกษาทำระหว่างเรียนนั้น สกอ. ได้กำหนดกรอบกว้าง ๆ ว่า จะต้องเป็นงานที่เหมาะกับสถานภาพของการเป็นนิสิตนักศึกษา ไม่ล่อแหลม ไม่เสี่ยงอันตราย และไม่กระทบเวลาเรียน เป็นงานที่ส่งผลต่อการพัฒนาการเรียนการสอนของนิสิตนักศึกษาในหลักสูตรที่ศึกษา หรือการพัฒนาศักยภาพของนิสิตนักศึกษา เป็นงานที่นิสิตนักศึกษาทำได้ทั้งในลักษณะที่ต้องรับผิดชอบคนเดียวหรือเป็นกลุ่ม และเป็นงานที่ให้ทำอย่างต่อเนื่อง มีค่าตอบแทนไม่ต่ำกว่า 10 เดือนในแต่ละปีการศึกษา หรือคิดเป็นเงินจำนวน 2,400 บาทต่อเดือน ส่วนนิสิตนักศึกษาที่จะเข้าร่วมโครงการนี้ได้จะต้องมีคุณสมบัติเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด คือ ต้องเป็นนักศึกษาที่ยากจนชั้นปีที่ 1 ระดับอนุปริญญาหรือประกาศ นียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หรือระดับปริญญาตรี ปีการการศึกษา 2549 ในสถานศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ และมีรายได้ครอบครัวไม่เกิน 140,000 บาทต่อปี (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 31 ก.ค. 2549 http://www.dailynews.co.th)





เด็กต่างด้าวมีสิทธิเรียนฟรี

ดร.นงราม เศรษฐพานิช ที่ปรึกษาสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา(สกศ.) กล่าวในการนำเสนอผลการวิจัย เรื่อง โอกาสทางการศึกษาและการลาออกกลางคันของบุตรหลานแรงงานต่างด้าวและชนเผ่าในจังหวัดสมุทรสาคร เมื่อวันที่ 1 ส.ค.ที่โรงแรมปริ๊นพาเลซ กรุงเทพฯ ว่า จากการเก็บข้อมูลโรงเรียนที่จัดการศึกษาให้แก่เด็กต่างด้าวและชนเผ่า จำนวน 24 แห่ง และศูนย์การเรียน 5 แห่ง พบว่า โรงเรียน 12.5% ไม่รู้ว่ากระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีนโยบายให้เด็กต่างด้าวเรียนฟรี 12 ปี และมีโรงเรียน 45.8% ที่ยังไม่ได้ รับเงินอุดหนุนรายหัวสำหรับเด็กต่างด้าว แต่อย่างไรก็ตามเด็กต่างด้าวกลับมีแนวโน้มลาออกกลางคันน้อยกว่าเด็กไทยที่มีแนวโน้มออกกลางคันสูงถึง 41.7% และยังพบว่าเด็กต่างด้าว 71.6% มีผลการเรียนอยู่ในระดับค่อนข้างดี โดยมีเกรดเฉลี่ยระดับ 3.01 และเด็กต่างด้าว 47.3% ก็มีความหวังที่จะเรียนถึงระดับอุดมศึกษา แต่ก็พบว่าผู้บริหารสถานศึกษาระดับจังหวัดบางแห่งมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการจัดการศึกษาให้แก่เด็กต่างด้าว ทำให้บางโรงเรียนไม่รับเด็กต่างด้าวเข้าเรียน ส่งผลให้เด็กต่างด้าวไม่ได้รับโอกาสทางการศึกษาเท่าที่ควร ดร.นงราม กล่าวต่อไปว่า ผู้วิจัยได้เสนอแนะให้หน่วยงานต้นสังกัดสนับสนุนงบประมาณแก่สถานศึกษาเพื่อสร้างทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการให้การศึกษาแก่เด็กต่างด้าวหรือชนเผ่า ส่วนโรงเรียนก็ควรจัดการศึกษาให้เป็นไปตาม นโยบายของรัฐ บริหารและจัดการเรียนโดยคำนึงถึงความจำเป็นของผู้เรียน ในขณะเดียวกันรัฐควรมีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าว สร้างความเข้าใจให้ผู้ปกครองเห็นถึงประโยชน์ในการส่งเด็กเข้าเรียน ส่งเสริมให้องค์กรเอกชนจัดการศึกษาให้เด็กต่างด้าวในรูปแบบศูนย์การเรียน และให้มีการเทียบโอนผลการเรียนได้ รวมทั้งส่งเสริมให้ศูนย์การเรียนมีการเตรียมความพร้อมด้านการสื่อสารภาษาไทย และการปรับตัวเข้ากับสังคมไทยให้แก่เด็กต่างด้าวก่อนที่จะส่งต่อไปเข้าโรงเรียน ตลอดจนส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนที่ ส่งเสริมการมีรายได้ และการทำงานระหว่างเรียนให้ครอบคลุมทั้งเด็กไทย และเด็กต่างด้าว ซึ่งจะช่วยให้เด็กมีรายได้ รวมทั้งปลูกฝังนิสัยรักการ ทำงานด้วย (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 31 ก.ค. 2549 http://www.dailynews.co.th)





แจง ร.ร.ไม่มีสิทธิเก็บเงินเพิ่ม ชี้เป็นหน้าที่ต้นสังกัด-เขตพื้นที่

น.ส.แสงวรรณ มณีวรรณ เครือข่ายการศึกษาเพื่อเด็กนำเสนอผลการศึกษาเข้าถึงสิทธิทางการศึกษาแห่งชาติตาม พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ มาตรา 10 กรณีศึกษาค่าใช้จ่ายการศึกษาที่แพงขึ้นทั้งที่รัฐให้เรียนฟรี 12 ปี โดยระบุโรงเรียนในฝันมีค่าใช้จ่ายสูง เช่น ค่าจ้างกรรมการมาพัฒนาเพื่อรองรับการประเมินของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) นั้น ศ.กิติคุณ ดร.สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ ผู้อำนวยการ สมศ. กล่าวว่า การดำเนินการประเมินคุณภาพภายนอกของ สมศ.ได้รับเงินอุดหนุนจากงบประมาณแผ่นดิน โดยสถานศึกษาไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ถ้าผู้ปกครองได้รับการเรียกเก็บเงินเพื่อการประเมินคุณภาพภายนอกแจ้งข้อมูลดังกล่าวมาได้ที่ สมศ.ตลอดเวลา "สมศ.ชี้แจงให้สถานศึกษาที่จะต้องรับการประเมินคุณภาพภายนอกทราบถึงการเตรียมความพร้อมอย่างต่อเนื่องว่า ให้เตรียมเอกสาร หลักฐาน ตามระเบียบข้อบังคับในการดำเนินงานตามปกติเท่านั้น และเป็นหน้าที่ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) และหน่วยงานต้นสังกัด หากสถานศึกษานำ สมศ.ไปกล่าวอ้างกับผู้ปกครองว่าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายและเรียกรับเงินจากผู้ปกครองเพิ่มเติมในส่วนนี้ ขอให้ผู้ปกครองอย่าหลงเชื่อ" (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 3 ส.ค. 2549 http://www.komchadluek.net)





'จาตุรนต์'แถลงผลงาน1ปีปลื้มแก้โอเน็ตวุ่น

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) แถลงผลงานที่ได้ทำไปหลังจากมานั่งในตำแหน่ง รมว.ศธ.ครบ 1 ปี ว่า 1 ปี ในตำแหน่ง ได้แก้วิกฤตที่สำคัญของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) 4 เรื่องด้วยกัน 1. การประเมินวิทยฐานะ สามารถที่ผลักดันให้มีการประเมินวิทยฐานะครูและบุคลากรทางการศึกษา ตามที่พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษากำหนดไว้ได้สำเร็จ ซึ่งก่อนหน้านี้ ทุกฝ่ายกังวลใจว่าการประเมินวิทยฐานะจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ รวมทั้งรับทราบและกำลังหาทางแก้ปัญหาให้กับบุคลากรของศธ. ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับโครงสร้าง ต้องไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถประเมินวิทยฐานะได้ พร้อมทั้งแก้ปัญหาให้บุคคลกรทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการปรับโครงสร้าง 2. ได้แก้ปัญหาวุ่นวายในการตรวจและประกาศผลทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) และผลทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง (A-NET) ถึงแม้จะผ่านไปได้อย่างใจหายใจคว่ำแต่ก็สามารถทำให้ระบบแอดมิชชั่นที่เริ่มต้นตั้งแต่ปีการศึกษา 2549 เดินหน้าต่อไปได้ 3. การแก้ปัญหาการถ่ายโอนสถานศึกษาให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งถูกครูเดินขบวนคัดค้านในช่วงแรกเป็นอย่างมาก ซึ่งตนได้ประสานกับทุกฝ่ายและหาทางออกที่ดีและเป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ได้ และ 4. ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญมาก ในเรื่องการแก้ปัญหาเกี่ยวกับการขาดแคลนครู ก่อนหน้านี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ยอมรับว่าศธ. ขาดแคลนครูอย่างหนัก แต่ตนก็ได้ชี้แจงจนหน่วยงานเหล่านี้ยอมรับและเห็นชอบร่วมกันว่า ศธ. ขาดครูอย่างหนัก และเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งแก้ ถือเป็นความก้าวหน้าในการแก้ปัญหาอย่างมาก ที่เหลือก็ต้องผลักดันให้การแก้ปัญหาในเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ อีกทั้งต้องเตรียมหางบประมาณสำหรับการรับครูเพิ่ม รวมทั้งสร้างระบบบริหารจัดการที่ดีเพื่อช่วยลดจำนวนการใช้ครู ซึ่งขณะนี้ ในส่วนของ ศธ.เองได้ทำภาพรวมการขาดปัญหาขาดแคลนครูไว้แล้ว (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 4 ส.ค. 2549 http://www.Bandkokbiznews.com)





ปากีสถานมอบทุนต่อโทวิศวะเอไอที

ดร.เอส.โรเฮล เฮช นาควี ผู้อำนวยการบริหารของคณะกรรมาธิการการศึกษาระดับอุดมศึกษาแห่งปากีสถาน กล่าวว่า คณะกรรมาธิการการศึกษาระดับอุดมศึกษาแห่งปากีสถานและสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที) ได้ลงนามในข้อตกลงเมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อมอบทุนการศึกษาระดับปริญญาโททางด้านวิศวกรรมศาสตร์ จำนวน 60 ทุน ให้แก่นักศึกษาชาวปากีสถานมาศึกษาต่อที่สถาบันเอไอที ประเทศไทย ในช่วง 3 ปีข้างหน้านี้ "จุดประสงค์ของโครงการทุนการศึกษานี้ คือ การให้โอกาสทางการศึกษาระดับสูงสำหรับนักวิชาชีพของปากีสถาน เพื่อพัฒนาบุคลากรที่จำเป็นสำหรับความยั่งยืนในระยะยาวของปากีสถาน" ดร.นาควี กล่าวต่อว่า ทุนการศึกษาของปากีสถาน ประกอบด้วย ทุนอุดหนุนค่าเล่าเรียนมูลค่า 3 ใน 4 ของค่าเล่าเรียนทั้งหมด รวมทั้งค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ มูลค่า 1.27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 47.9 ล้านบาท ในระยะเวลา 3 ปี สถาบันเอไอทีจะจ่ายทุนการศึกษาสมทบค่าเล่าเรียนส่วนที่เหลือ 1 ใน 4 ซึ่งในเดือนสิงหาคม 2549 นักศึกษาปากีสถานชุดแรกจำนวน 11 คน จะเข้าศึกษาภายใต้โครงการทุนการศึกษาดังกล่าว (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 4 ส.ค. 2549 http://www.Bandkokbiznews.com)





‘ปรัชญา’ชี้จัดสอบ A-NET ควรมีหลายหน่วยงานร่วมทำ

ศ.ดร.ปรัชญา เวสารัชช์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เปิดเผยว่า ในการประชุมทปอ.วันที่ 5 ส.ค.นี้ที่ ม.บูรพา ตนจะหารือกับที่ประชุมถึงข้อห่วงใยของนายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการ รมว. ศึกษาธิการ เกี่ยวกับการจัดสอบแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง หรือ A-NET ที่ นายจาตุรนต์ อยากให้สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เป็นผู้รับผิดชอบ และอยากให้ข้อสอบ A-NET มีอัตนัยด้วย ซึ่งข้อยุติจะเป็นอย่างไรต้องขึ้นอยู่กับทปอ. เพราะอำนาจการรับนักศึกษาเป็นของมหา วิทยาลัยโดยตรง แต่โดยส่วนตัวตนเห็นว่าการจัดสอบ A-NET ควรทำร่วมกันระหว่าง ทปอ. สทศ. และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เพราะแต่ละหน่วยงานก็จะต้องใช้ฐานข้อมูลของเด็กร่วมกันอยู่แล้ว และไม่ควรที่จะมาคิดว่าใครทำแล้วจะได้หน้าได้ตา แต่ต้องดูหลักการที่ว่าการดำเนินการต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดกับเด็กให้มากที่สุด หรือไม่เกิดปัญหากับเด็กหรือถ้าจะเกิดก็ให้มีน้อยที่สุด ต่อข้อถามหากทปอ.มีมติที่จะไม่ใช้ข้อสอบอัตนัย ประธาน ทปอ. กล่าวว่า นายจาตุรนต์จะต้องนำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งถ้าครม.เห็นชอบตามที่นายจาตุรนต์เสนอ ทางมหาวิทยาลัยในฐานะที่เป็นหน่วยงานราชการก็ต้องทำตามมติ ครม. แต่ตนไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น และไม่ใช่เรื่องที่ดีที่จะทำให้ดูเหมือนว่ามีการทะเลาะกัน ทั้งที่จริง ๆ แล้วน่าจะคุยกันรู้เรื่อง และแทนที่จะมาทะเลาะกันกับเรื่องนี้ก็น่าจะเอาเวลาไปทำประโยชน์อย่างอื่นจะดีกว่า ศ.นพ.พรชัย มาตังคสมบัติ อธิการ บดีมหาวิทยาลัยมหิดล ประธานจัดตั้งมูลนิธิของ ทปอ. ที่จะดูแลเกี่ยวกับการพัฒนามหาวิทยาลัยและระบบแอดมิชชั่น กล่าวว่า จากการหารือเบื้องต้นนายจาตุรนต์ต้องการให้ออกข้อสอบที่วัดความเข้าใจของเด็ก ความสามารถในการแก้ปัญหา การคิดวิเคราะห์และการแสดงออกไม่ใช่เน้นแต่ความจำ ซึ่งวิธีออกข้อสอบลักษณะนี้ก็มีทั้งให้เขียนข้อความย่อ ๆ หรือวิธีการอื่นที่จะต้องแสดงความสามารถในการคิดที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น ข้อสอบ TOEFL หรือ SAT หรือ GRE ซึ่งเป็นข้อสอบที่วัดเรื่องการคิดวิเคราะห์ได้โดยมีข้อสอบอัตนัยอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้ร่วมมือกับ ETS ซึ่งเป็นสถาบันในสหรัฐอเมริกาทำมา 4-5 ปีแล้ว โดยมีการสร้างข้อสอบและวิธีวัดซึ่งต้องมีการทดสอบและติดตามประเมินผล โดยขณะนี้ในวิชาชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ และคอมพิวเตอร์ เราทำไว้หมดแล้ว (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 4 ส.ค. 2549 http://www.dailynews.co.th)





ศธ.ยอมรับ กรอ.ทำให้เด็ก ปวส.ลดลงจริง

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการ รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) ว่า กรอ. ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในภาคเรียนที่ 1/49 และจะต้องเติบโตต่อ แม้จะมีข้อจำกัดด้านงบประมาณอยู่บ้าง เพราะยังไม่มีกฎหมายรองรับชัดเจน แต่คณะกรรมการอำนวยการปฏิรูประบบการเงินเพื่อการอุดมศึกษาก็ได้แก้ปัญหา โดยจะนำเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ส่วนหนึ่งมาจัดสรรให้แก่สถาบันอุดมศึกษาในวันที่ 9 ส.ค.นี้ โดยไม่จำเป็นต้องรอสัญญากู้ยืมจากนักศึกษา อย่างไรก็ตามทาง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีได้กำชับในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้กระทรวงการคลังช่วยเร่งแก้ไขปัญหางบประมาณให้แก่ กรอ. แล้ว นายจาตุรนต์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับปัญหาที่ในปี 2549 มีเด็กที่จบ ปวช. และเปลี่ยนมาเรียนต่อระดับปริญญาตรีในสถาบันอุดมศึกษาเป็นจำนวนมาก เพราะสามารถกู้ยืม กรอ. ได้มากกว่าการเรียนต่อในระดับ ปวส. ทั้งที่ ศธ. มีนโยบายเพิ่มกำลังคนภาคอาชีวะนั้น ตนถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไข และยอมรับว่าไม่คาดคิดว่า กรอ. จะส่งผลกระทบต่อการเรียนในระดับปวส. มากขนาดนี้ นายวีระศักดิ์ วงษ์สมบัติ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวว่า ปีการศึกษา 2549 มีจำนวนนักศึกษา ปวช. ที่เรียนต่อ ปวส. ลดลงถึงร้อยละ 30 ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จะต้องเปลี่ยนวิธีสอน โดยให้นักศึกษาได้ทำงานพร้อมกับเรียนหนังสือ และสามารถนำประสบการณ์การทำงานมาเทียบโอนวุฒิได้ เพื่อจูงใจเด็ก และที่สำคัญต้องปรับค่านิยมของผู้ปกครองที่ยังยึดติดการส่งให้ลูกหลานเรียนโดยไม่ได้ให้ทำงานด้วย และขณะเดียวกันคณะทำงานระบบคุณวุฒิวิชาชีพซึ่งมีตนเป็นประธานกำลังดำเนินการจัดทำมาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพ โดยจะมีการกำหนดร่วมกับสถานประกอบการว่าหากเด็กมีฝีมือในระดับไหน จะได้รับค่าตอบแทนเท่าใด ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นเป็นรูปธรรมในบางสาขาประมาณเดือนธันวาคมนี้(เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 4 ส.ค. 2549 http://www.dailynews.co.th)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


10 เยาวชนโกยเหรียญงานนักประดิษฐ์สากล

นักเรียนไทยส่งผลงานร่วมแข่งขันนักประดิษฐ์รุ่นเยาว์ ISIE 2006 ประเทศเกาหลี โกยรางวัลเพียบ เครื่องไกวเปลอัตโนมัติประหยัดพลังงาน คว้าเหรียญทอง ร่วมกับผลงานใช้สีผสมอาหารแทนหมึกเคมีใส่ตลับหมึกพิมพ์อิงค์เจ็ท นางมธุรส สุมิพันธ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) แถลงข่าวความสำเร็จของทีมเยาวชนไทยที่ได้ส่งผลงานเข้าร่วมประกวดในงาน International Students’ Invention Exhibition 2006 (ISIE 2006) ประเทศเกาหลี ร่วมกับ 114 ผลงาน จากผู้เข้าแข่งขันอีก 16 ประเทศทั่วโลก อาทิเช่น ประเทศจีน โครเอเชีย เยอรมนี ฮ่องกง อิหร่าน ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ รัสเซีย สิงคโปร์ และสวีเดน เป็นต้นผลงานที่สามารถคว้ารางวัลเหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดง ของนักเรียนไทยครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงงานที่ส่งเข้าร่วมประกวดในงานวันนักประดิษฐ์ 2549 จาก 4 ภูมิภาค และวช. ได้คัดเลือก 10 ผลงานเด่น เพื่อส่งเข้าร่วมประกวดในงานระดับสากลครั้งนี้ น.ส.ศศิธร สงมาก นักเรียนจากโรงเรียนบางบ่อวิทยาคม จังหวัดสมุทรปราการ เปิดเผยว่า โรงเรียนบางบ่อวิทยาคมได้ส่งผลงานหมึกพิมพ์อิงค์เจ็ทมหัศจรรย์ เข้าประกวดในงาน ISIE 2006 และสามารถคว้ารางวัลเหรียญทองจากการประกวด ผลงานดังกล่าวเป็นการศึกษาคุณสมบัติของสีธรรมชาติ เพื่อใช้แทนสารเคมีที่อยู่ในหมึกพิมพ์อิงค์เจ็ท ซึ่งจากการศึกษาสีชนิดต่างๆ อาทิ สีผสมอาหาร สีพลาสติก และสีน้ำมัน พบว่าเมื่อนำสีผสมอาหารยี่ห้อหนึ่งมาผสมกับน้ำและแอลกอฮอล์ในปริมาณที่เหมาะสม สามารถนำมาใช้แทนหมึกพิมพ์จากสารเคมีที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันได้ (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 31 ก.ค. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





ก.วิทย์ควัก 100 ล้านจัดยิ่งใหญ่สัปดาห์วิทยาศาสตร์

ดร.ประวิช รัตนเพียร รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า กระทรวงได้อนุมัติงบกว่า 100 ล้านบาทซึ่งใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา สำหรับจัดงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำปี 2549 พร้อมทั้งมอบหมายให้องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ (อพวช.) เป็นแม่งาน โดยกำหนดจัดในวันที่ 11-22 สิงหาคมนี้ ณ ศูนย์แสดงนิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา การจัดงานปีนี้ได้ปรับปรุงจากปีที่แล้ว 2 เรื่องหลักคือ เพิ่มพื้นที่จัดแสดงเป็น 40,000 ตารางเมตร จากเดิม 20,000 ตารางเมตร และเปลี่ยนสถานที่จากอิมแพคเมืองทองธานีมาเป็นไบเทคบางนา รวมทั้งขยายเวลาจัดงานจาก 7 วันเป็น 10 วัน เพื่อลดความแออัดของสถานที่ ส่วนกิจกรรมในงานยังคงเน้นความหลากหลายของผลงานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ทั้งของไทยและต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้มี 7 ประเทศยืนยันที่จะส่งผลงานร่วมจัดแสดงแล้ว (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 31 ก.ค. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





โรงงานสับปะรดผันน้ำเสียเป็นก๊าซชีวภาพ

นายสมเกียรติ์ ชวลิตวรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กุยบุรีผลไม้กระป๋อง จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทประสบความสำเร็จในการผลิตก๊าซชีวภาพจากระบบบำบัดน้ำเสีย ทำให้ประหยัดค่าเชื้อเพลิงได้ปีละ 6.9 ล้านบาท โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผ่านโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP) ในรูปแบบเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี "ที่ผ่านมาโรงงานต้องใช้พื้นที่ 50 ไร่ทำบ่อบำบัดน้ำเสีย 17 บ่อ ทั้งยังมีปัญหาเรื่องกลิ่นรบกวนพนักงานและชุมชนข้างเคียง จึงได้หารือ สวทช.ถึงเทคโนโลยีบำบัดน้ำเสีย และได้สนับสนุนทำระบบบำบัดแบบ UASB ซึ่งอาศัยแบคทีเรียกลุ่มผลิตก๊าซมีเทนเป็นตัวย่อยสลาย ส่วนความเข้มข้นของน้ำเสียในบ่อบำบัด 6,500 ซีโอดี และหลังการบำบัดก่อนปล่อยสู่ลำคลองสาธารณะเหลือค่าซีโอดี 40-50 ซีโอดี" (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 31 ก.ค. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





มนุษย์อวกาศยาน “อพอลโล 11” โวยถูกส่งไปเสี่ยงกับความหายนะ

มนุษย์อวกาศเอดวิน อัลดริน ในทีมคนหนึ่ง กล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่า ทางการส่งพวกเขาเดินทางไปอย่างต้องลุ้น มากกว่าจะเป็นไปตามการคาดหมาย ทำให้การเดินทางต้องผจญกับความเสี่ยงที่จะเกิดความหายนะหลายครั้ง และเพราะขาดความแน่นอน ถึงกับทำให้ อดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ถึงกับได้เตรียมคำประกาศบอกกับชาวอเมริกันแล้วว่า คณะมนุษย์ อวกาศทั้งสามคนต้องพลีชีพจากอุบัติเหตุในการเดินทาง มนุษย์อวกาศอัลดริน บัดนี้อายุ 76 ปีแล้ว ได้บรรยายว่า เขาต้องตกใจแทบสิ้นสติ เมื่อพบว่าสวิตช์ สำคัญตัวหนึ่งในยาน เสียหาย เพราะไปเกี่ยวเข้ากับชุดอวกาศอันอุ้ยอ้ายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มันเป็นสวิตช์ตัวสำคัญที่ต้องใช้ในการพาทั้งชุดคืนกลับสู่โลกโดยปลอดภัย “เมื่อถึงเวลานับถอยหลัง ผมต้องใช้ปากกาด้ามหนึ่งที่เรามีอยู่หลายด้าม ดันสวิตช์ให้มันต่อกระแสไฟในวงจรไฟฟ้าแทน” ภาพยนตร์ยังเปิดเผยให้รู้ว่า มนุษย์อวกาศนีล อาร์มสตรอง ก็เกือบตาย เมื่อยานพาลงสู่พื้นดวงจันทร์เหออกนอกทาง เนื่องจากคอมพิวเตอร์ บนเครื่องเสีย แต่ก็ลงสู่พื้นดวงจันทร์ได้อย่างใจหายใจคว่ำ ชั่วมีเชื้อเพลิงเหลือติดอยู่ก้นถัง พอใช้ได้อีก 15 วินาทีเท่านั้น. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 31 ก.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





ฮอตไลน์ 1313 วิทย์ไขข้อข้องใจ

นายประวิช รัตนเพียร รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า กระทรวงได้ปรับโฉมการทำงานให้เป็น “กระทรวงวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ ใกล้ชิดประชาชน” โดยจัดตั้งศูนย์บริการร่วมขึ้นบริเวณห้องโถงชั้น 1 เพื่อเปิดให้บริการไขข้อข้องใจให้กับประชาชน พร้อมทั้งเป็นที่ตั้งของศูนย์ตอบปัญหาทางโทรศัพท์สายด่วน 1313 ศูนย์บริการดังกล่าวได้รวบรวมข้อมูลจากทุกหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวง มาบรรจุลงในฐานข้อมูลแบบออนไลน์เพื่อสะดวกต่อการค้นหา อาทิ ข้อมูลจากหน่วยงานภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) และองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) เป็นต้น (คมชัดลึก จันทร์ที่ 31 ก.ค. 2549 http://www.komchadluek.net)





ครม.ทุ่ม8พันล้านปั้น"ศิริราช" สถาบันแพทย์ชั้นเลิศในเอเ

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ภายในปี 2553 นี้ ประเทศไทยจะมีศูนย์การแพทย์ที่ใหญ่และทันสมัยระดับภูมิภาค เพราะการประชุม ครม.วันนี้ได้อนุมัติงบประมาณกว่า 8,738.02 ล้านบาท ให้กับโครงการพัฒนาศิริราชเป็นสถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ เป็นโครงการก่อสร้างศูนย์การแพทย์ระดับภูมิภาคในที่ดิน 33 ไร่ บริเวณสถานีรถไฟธนบุรี ริมแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงที่เชื่อมต่อคลองบางกอกน้อย ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ใช้เวลาดำเนินการ 4 ปี ตั้งปี 2550-2553 นอกจากนี้ ยังมีการตั้งคณะกรรมการกำกับโครงการพัฒนาศิริราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน และได้มีการประชุมกรรมการหลายครั้ง ได้ข้อสรุปตามข้อเสนอของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชว่า โครงการดังกล่าว จะประกอบด้วย 7 โครงการย่อยที่จะต้องก่อสร้าง ได้แก่ 1.ศูนย์ความเป็นเลิศทางการวิจัย 2.ศูนย์ความเป็นเลิศในการบริหารทางการแพทย์ 3.ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศทางการแพทย์ศิริราช 4.ศูนย์พัฒนาวิทยาการผู้สูงอายุ 5.สถานการแพทย์แผนไทยประยุกต์ 5.พิพิธภัณฑ์การแพทย์ศิริราช และโครงการสวนเฉลิมพระเกียรติ ทางเดินริมน้ำ ท่าน้ำ และอนุรักษ์อาคารสถานีรถไฟธนบุรี (คมชัดลึก จันทร์ที่ 31 ก.ค. 2549 http://www.komchadluek.net)





ข่าววิจัย/พัฒนา


วิจัยยันค้างคาวไทยปลอดไวรัสพิษสุนัขบ้า

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการโรคทางสมอง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหัวหน้าโครงการวิจัยการศึกษาโรคสมองอักเสบอุบัติเหตุใหม่ที่เกิดจากไวรัสนิปาห์ในค้างคาวไทย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เปิดเผย ว่า โครงการเป็นการศึกษาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2545 นอกจากติดตามหาเชื้อไวรัสนิปาห์ก่อโรค สมองอักเสบแล้ว ขณะนี้กำลังวิจัยดูโอกาสการติดเชื้อหวัดนกในค้างคาวด้วย ทั้งนี้ นักระบาดวิทยาได้แบ่งค้างคาวเป็น 2 กลุ่มตามวิวัฒนาการของสายพันธุ์คือ กลุ่มโลกเก่าและกลุ่มโลกใหม่ โดยกลุ่มแรกพบในเอเชียกลาง จากการตรวจเลือดไม่พบการติดเชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้าในค้างคาวกลุ่มนี้รวมถึงค้างคาวไทย แต่พบการติดเชื้อไวรัสนิปาห์ และไวรัสในตระกูลลิสสาตัวใหม่ที่ยังไม่สามารถระบุแน่ชัด ส่วนค้างคาวกลุ่มโลกใหม่อาศัยทางแถบสหรัฐและยุโรป ศึกษาพบ 6-7 ชนิดที่ติดเชื้อไวรัสสุนัขบ้า แต่มีเพียง 2 ชนิดที่สามารถนำโรคสู่คน จึงสันนิษฐานได้ถึงสาเหตุของโรคพิษสุนัขบ้าในสหรัฐ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่มีปัญหาสุนัขจรจัด นักวิจัยได้เพาะหาเชื้อไวรัสในค้างคาวทั่วโลกพบ 66 ชนิดเป็นแหล่งรังโรค แหล่งเพาะโรค และนำโรค ทั้งกลุ่มนำโรคพิษสุนัขบ้า กลุ่มนำโรคไข้หวัดใหญ่ (flu A) นิปาห์ สมองอักเสบ และโรคซาร์ส เป็นต้น (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 31 ก.ค. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





ไทยคิดค้นอุปกรณ์ช่วยจัดฟันรายแรกในโลก

นายอนุชา มีเกียรติชัยกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท เอ๊กซาซีแลม จำกัด ดำเนินธุรกิจผู้ผลิตฟันปลอม เปิดเผยว่า ทีมงานซึ่งประกอบด้วยชาวไทย 2 คน ชาวต่างประเทศ 2 คน ร่วมกันประดิษฐ์เครื่องวัดมุมองศาของฟัน ซึ่งเป็นเครื่องมือช่วยในการจัดฟัน ทดแทนการพึ่งพาเทคโนโลยีนำเข้า และถือเป็นเครื่องแรกในโลก พร้อมทั้งได้พัฒนาต่อยอดเครื่องวางตำแหน่ง Bracket หรือตัวเสริมยึดในการจัดฟันด้านใน (Lingual Bracket Positioning Device) เพิ่มขึ้นด้วย ในการจัดฟันให้คนไข้จะอาศัยการคำนวณด้วยสายตา หรืออาจใช้ไม้บรรทัดวัด การทำงานจึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก อีกทั้งยังขาดความแม่นยำ และต้องอาศัยความรู้ความชำนาญของช่างทันตกรรมเป็นสำคัญ ขณะที่การวัดองศาของฟันทำได้ยาก เพราะแต่ละคนจะมีมุมองศาของฟันที่แตกต่างกัน ทำให้การวัดมุมต้องทำการวัดเฉพาะรายบุคคล (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 31 ก.ค. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





ชากับแกงกะหรี่ช่วยรักษารูปทรง บำรุงไฟธาตุให้มีความแข็งแรง

การศึกษาวิจัยเรื่องใหม่ ทำให้ได้ความรู้ว่าชาและแกงกะหรี่ อาจจะช่วยทำให้เราลดน้ำหนักตัวลงให้สะโอดสะองได้ เพราะพบว่าเครื่องเทศช่วยบำรุงไฟธาตุเผาผลาญไขมัน ให้กลายเป็นความร้อนของร่างกายได้ รายงานการศึกษาค้นคว้า ของมหาวิทยาลัย มาสตริชต์ ประเทศฮอลแลนด์ ยังได้กล่าวว่า ทั้งชาเขียวและชาดำ ต่างก็มีคุณประโยชน์ในการบำรุงไฟธาตุเช่นกัน นักวิจัยได้พบในการศึกษาถึง ทิกกา อาหารของอินเดียอย่างหนึ่ง เป็นเนื้อชิ้นเล็ก อาจจะเป็นเนื้อวัว แกะ หรือไก่ หมักเครื่องปรุง นำไปอบหรือย่างในเตาอบดินเผาของชาวอินเดียทางเหนือ กับบัลติ อันเป็นอาหารมาจากปากีสถานเหนือ เป็นเนื้อ หรือไก่ หรือผักใส่ เครื่องเทศว่าเป็นอาหารที่มีคุณประโยชน์สูง เพราะมันทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว จึงทำให้กินได้น้อย ทั้งยังย่อยง่ายด้วย คุณสมบัติส่วนใหญ่จะได้มาจากบรรดาเครื่องเทศ อันมีพริกไทยดำ ขมิ้น พริกแดง ยี่หร่า ขิงและหัวหอม ช่วยให้ย่อยอาหารได้ง่ายและก่อให้เกิดคุณประโยชน์โดยรวม แต่คณะนักวิจัยได้บอกไว้ในรายงาน ที่ได้เสนออยู่ในวารสาร “สรีรวิทยาและพฤติกรรม” ว่า ไม่ควรจะมัวแต่คิดพึ่งชากับแกงกะหรี่ เพื่อรักษารูปทรงเท่านั้น หากต้องไม่ทิ้งการออกกำลังด้วย (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 31 ก.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





กระดาษตะไคร้

ผลงานการประดิษฐ์กระดาษจากต้นตะไคร้ ของ น.ส.แก้วกาญจน์ ไทยประยูร และคณะจาก โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งคว้าเหรียญทองแดง จากการประกวดในงาน International Students’ Invention Exhibition 2006 (ISIE 2006) ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เวทีของนัก ประดิษฐ์อายุระหว่าง 6-19 ปี สำหรับหลักการทำกระดาษตะไคร้ จะใช้ต้นตะไคร้ส่วนปลายต้มกับโซเดียมไดออกไซด์ ประมาณ 1 ชั่วโมง จนเปื่อย แล้วนำมาฟอกกับโซลีน เพื่อกำจัดกลิ่น เมื่อเสร็จขั้นตอน พบว่า กระดาษจากตะไคร้มีความเหนียว ทนต่อแรงดึง และดูดซับน้ำได้ดีกว่ากระดาษสา ทำให้ลงสีวาดรูปได้สวยขึ้น. (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 31 ก.ค. 2549 http://www.dailynews.co.th)





ผลิต“ตุ๊กๆ กันกระสุน”ลุยชายแดนใต้

เวลา 14.00 น. ที่โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัลลาดพร้าว ศ.อานนท์ บุณยะรัตเวช เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เป็นประธานแถลงข่าวการจัดงาน “การนำเสนอผลงานวิจัยแห่งชาติ 2549” ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9- 13 ก.ย.นี้ ที่เซ็นทรัล พลาซ่า ลาดพร้าว ศ.อานนท์ กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ(วช.) จัดงานดังกล่าวขึ้นเพื่อร่วมเผยแพร่พระอัจฉริยะภาพด้านการวิจัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในงานจะมีการประชุมสัมมนาและนิทรรศการแสดงผลงานการวิจัยกว่า 200 ผลงาน จาก 90 หน่ายงาน ทั้งนี้ในงานแถลงข่าวมีการนำไฮไลท์งานวิจัยเด่นมาแสดง อาทิ รถตุ๊กตุ๊กกันกระสุน, ประตูห้องพักครูกันกระสุนและวัตถุระเบิด, อุปกรณ์ป้องกันภัยสำหรับพระภิกษุภาคใต้ รวมถึงอุปกรณ์พิเศษอื่นๆ สำหรับเจ้าหน้าที่ใช้ปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ต.ทรงพล เอี่ยมบุญฤทธิ์ หัวหน้านักวิจัยโครงการบางระจัน เจ้าของผลงานรถตุ๊กๆกันกระสุน เปิดเผยว่า รถดังกล่าวบรรทุกเจ้าหน้าที่ได้ประมาณ 7 คน วิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 70 กม./ชม. สามารถทนแรงระเบิดขนาด 5 ปอนด์ได้ ตัวรถทำจากวัสดุกันกระสุน มีกระจกนิรภัย ยางใช้โฟมพิเศษเมื่อเหยียบตะปูก็สามารถขับขี่ต่อไปได้ และมีปุ่มสัญญาณแจ้งเตือนภัยฉุกเฉิน ซึ่งวัสดุที่ใช้ทั้งหมดเป็นวัสดุที่ผลิตเองในประเทศ ราคา 3.5 แสนบาท นอกจากนี้ยังมีผลงานวิจัยล่าสุด คือประตูห้องพักครูกันกระสุนและวัตถุระเบิด สามารถกันกระสุนปืนได้ทุกชนิด รวมถึงระเบิดขนาดไม่เกิน 5 ปอนด์ เหมาะสำหรับป้องกันภัยใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ราคาไม่เกิน 3 หมื่นบาท/บาน ทั้งนี้ ผลงานการวิจัยที่ใช้ปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัจจุบันเริ่มนำไปใช้งานจริงในพื้นที่บางส่วนบ้างแล้ว (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 31 ก.ค. 2549 http://www.dailynews.co.th)





เทคโนประดิษฐ์ สกัดไขมันสัตว์ทำครีมขัดรองเท้า

ผลิตภัณฑ์เครื่องหนังเป็นสิ่งของเครื่องใช้ในรูปแบบต่างๆ ทั้งรองเท้า กระเป๋า เบาะรถ ซึ่งจะต้องได้รับการเช็ดถูบ่อยครั้งโดยใช้ครีมขัดเงาเครื่องหนัง เพื่อให้เครื่องหนังนั้นขึ้นเงาจึงจะดูสวยงาม เยาวชนจากขอนแก่นจึงคิดค้นครีมขัดเงาเครื่องหนัง สูตรน้ำมันเครื่องเก่าผสมไขมันสัตว์ ที่ให้ประสิทธิภาพทัดเทียมครีมจากสารเคมีสังเคราะห์ แต่ราคาถูกกว่าเท่าตัว นายศักดิ์ดา ดรพระศรี นักศึกษาวิทยาลัยการอาชีพขอนแก่น เจ้าของผลงานผลิตภัณฑ์ครีมขัดเงาเครื่องหนัง กล่าวว่า ทีมงานได้ศึกษาเพิ่มมูลค่าให้น้ำมันเครื่องเก่า ซึ่งเป็นของเหลือใช้ที่ได้จากการเรียนการสอนในแผนกช่างยนต์ โดยนำมาผสมกับไขมันสัตว์ชนิดต่างๆ เช่น ไขมันหมูและไขมันวัว เพื่อทำเป็นครีมขัดรองเท้าที่ราคาถูก สำหรับใช้แทนครีมและสเปรย์ที่ทำจากสารเคมี ซึ่งนิยมใช้กันในปัจจุบัน จากการทดลองพบว่า ครีมที่ได้จากการผสมระหว่างน้ำมันเครื่องกับไขมันวัว สามารถผลิตเป็นครีมขัดเงา เครื่องหนัง รองเท้าหนัง ตลอดจนขอบยางรถยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยครีมช่วยป้องกันฝุ่นละอองเกาะรองเท้า ทั้งยังทำให้รองเท้าขึ้นเงาอยู่ได้ประมาณ 3-5 วัน ตามสภาพการใช้งาน (คมชัดลึก จันทร์ที่ 31 ก.ค. 2549 http://www.komchadluek.net)





เด็กไทย 7 รางวัลโอลิมปิกหุ่นยนต์

จากการที่สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษาร่วมกับภาคเอกชนส่งนักเรียนนักศึกษา “ยุวชนอาชีวศึกษา” 2 ทีม เข้าร่วมการแข่งขัน Inter-City Robot Olympic 2006 ครั้งที่ 2 ณ เขตปกครองพิเศษฮ่องกงนั้น เมื่อวันที่ 3 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตัวแทนเด็กไทยสามารถคว้ามาได้ 7 รางวัล ได้แก่ เหรียญเงิน 3 รางวัล และเหรียญทองแดง อีก 4 รางวัล โดยนายบุญเลียง อบแสงทอง รองผอ.วิทยาลัยการ อาชีพนวมินทราชินูทิศ ผู้คุมทีมเปิดเผยว่า การแข่งขันครั้งนี้จัดขึ้น 3 ประเภท ได้แก่ ประเภทที่ 1 หุ่นยนต์มอเตอร์เดี่ยว คือ การประดิษฐ์หุ่นยนต์โดยใช้มอเตอร์เพียง 1 ตัว ประเภทที่ 2 หุ่นยนต์มอเตอร์คู่ และประเภทที่ 3 หุ่นยนต์มัลติมอ เตอร์ คือ ใช้มอเตอร์มากกว่า 2 ตัว ซึ่งการแข่งขันครั้งนี้มีประเทศที่เป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีเข้าร่วมหลายประเทศ นายบุญเลียง กล่าวต่อว่า ในการแข่งขันแต่ละประเทศสามารถส่งได้ 2 ทีม ซึ่งประเทศไทยก็ส่ง 2 ทีม โดยทีมแรกมาจากการคัดเลือกในงานพลังอาชีวะสร้างชาติ ส่วนทีมที่สองมาจากการแข่งขันหุ่นยนต์ยุวชนอาชีวศึกษาครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นการรวมตัวของนักเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาหลายสถาบัน ได้แก่ รร. เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการบางใหญ่ จ.นนทบุรี รร.สิชลคุณาธารวิทยา จ.นครศรีธรรมราช รร. เบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 จ.ฉะเชิงเทรา รวมถึงเด็กเก่งจากโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน หรือ รร. ตชด.ทอท.เฉลิมพระเกียรติ จ.เชียงราย ด้วย สำหรับรางวัลที่ได้รับประกอบด้วย เหรียญทองแดง 4 เหรียญ ในประเภท หุ่นยนต์วิ่งเร็ว ทีมละ 1 เหรียญ และหุ่นยนต์วิ่งผลัด (ประเภทมอเตอร์เดี่ยว) ทีมละ 1 เหรียญ ส่วนรางวัลเหรียญเงิน 3 เหรียญได้จากการแข่งขันหุ่นยนต์ต่อสู้ เกมหุ่นยนต์สำรวจดาวนพเคราะห์ และการแข่งขันหุ่นยนต์สะเทินน้ำสะเทินบก.(เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 4 ส.ค. 2549 http://www.dailynews.co.th)





อุปกรณ์ไฮเทคช่วยเก็บตะปูเรือใบบนถนน

นายสรยศ ชินกาญจนโรจน์ หรือ น้องฉ่อย นักเรียนทุนโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เจ้าของโครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง “อุปกรณ์ช่วยเก็บตะปูเรือใบบนพื้นถนนด้วยแม่เหล็ก” เล่าถึงการทำโครงงานชิ้นนี้ว่า... ...ได้จำลองการประดิษฐ์อุปกรณ์ที่ช่วยเก็บตะปูเรือใบบนท้องถนนที่ทำให้ล้อยางรถแตก โดยออกแบบลักษณะของอุปกรณ์ให้มีแม่เหล็กเป็นตัวดูดตะปูเรือใบขึ้นมา โดยโครงงานชิ้นนี้จะมุ่งศึกษาหาขีดจำกัดของอุปกรณ์จำลองที่สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยจะดูจากระยะห่างของตัวแม่เหล็กกับพื้นถนน และขีดจำกัดของความเร็วที่สามารถใช้อุปกอุปกรณ์ชิ้นนี้ได้ เริ่มจากการสร้างชุดอุปกรณ์สำหรับดูดตะปูขึ้นมาใช้เหล็กฉากเป็นแกนแขนทั้งสองข้าง นำแผ่นพลาสติกวางตรงกลางระหว่างเหล็กฉาก โดยมีแม่เหล็กวางอยู่ใต้ท้องแผ่นพลาสติก แล้วนำมาประกอบเข้ากับรถเด็กเล่นที่เตรียมไว้ จากนั้นทำการทดลองเปรียบเทียบความสามารถในการดูดตะปูเรือใบในระดับความสูงต่าง ๆ ของแม่เหล็กที่ห่างจากพื้น คือ 2.5, 3.0, และ 3.5 เซนติเมตร และความสามารถในการดูดตะปูเรือใบที่ความเร็วต่างกัน โดยกำหนดระยะทางการวิ่งไว้ที่ 70 เซนติเมตร จากการศึกษาพบว่า ความสูงของแม่เหล็กที่ดีที่สุด คือ 2.5 เซนติเมตร โดยขีดจำกัดความเร็วสูงสุดที่สามารถวัดได้ และอุปกรณ์สามารถดูดเก็บตะปูเรือใบครบทุกตัว คือ 19.3845 กิโลเมตร/ชั่วโมง (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 4 ส.ค. 2549 http://www.dailynews.co.th)





ไซเซลอุปกรณ์เน็ตเวิร์กน้องใหม่

อุปกรณ์เชื่อมต่อเครือข่ายจากไต้หวัน ยี่ห้อ ไซเซล มั่นใจภายใน 3 ปี จะเข้ามาเป็นอุปกรณ์สำคัญในการใช้ชีวิตประจำวันของคนไทย ดร.ชุน อี ชู ประธานกรรมการ และผู้ก่อตั้ง ไซเซล คอมมิว นิเคชั่นส์ คอร์ปเปอเรชั่นส์ ไต้หวัน กล่าวถึงการลงทุนตั้งสำนักงานสาขาประเทศไทย ว่า ตลาดบรอดแบนด์ ที่โตแบบก้าวกระโดดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ไซเซลมีอัตราการเติบโตเกินกว่า 100% ในช่วงสามปีที่ผ่านมา โดยแต่งตั้ง บริษัท ซินเนค (ประเทศไทย) จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็น ทางการ และบริษัท ไอที ซิตี้ (มหา ชน) จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าในกลุ่มคอนซูมเมอร์ เน็ตเวิร์กกิ้ง โดย บริษัท ไซเซล (ไทยแลนด์) จำกัด จะสนับสนุนด้านกิจกรรมการตลาด การบริการหลังการขาย และการเตรียมความพร้อมของตัวแทนจำหน่าย สินค้าของ ไซเซล แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ 1. กลุ่ม อุปกรณ์เครือข่ายสำหรับผู้ให้บริการ ครอบคลุมไปถึง WiMAX, VDSL, IP DSLAM และ DSL CPE devices 2. กลุ่มอุปกรณ์สำหรับลูกค้าองค์กรธุรกิจขนาดกลาง และขนาดเล็ก เช่น ระบบรักษาความปลอดภัยของผู้ใช้งานเครือข่าย (Internet Security Appliance) กลุ่มอุปกรณ์สื่อสาร ผ่านไอพี (Voice over IP) และ 3. กลุ่มอุปกรณ์เครือข่ายสำหรับกลุ่มลูกค้าขนาดเล็กและลูกค้าทั่วไป (SOHO) คาดว่า ภายใน 3 ปี สินค้าของไซเซลจะสามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนรุ่นใหม่ที่นิยมใช้เทคโนโลยีสำหรับอำนวยความสะดวกในเรื่องต่าง ๆ (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 4 ส.ค. 2549 http://www.dailynews.co.th)





ข่าวทั่วไป


'มารดาครูจูหลิง' ได้รับเลือกเป็นแม่ดีเด่นแห่งชาติ

นางคำมี ปงกันมูล มารดาของ น.ส.จูหลิง ปงกันมูล ครูโรงเรียนบ้านกูจิงลือปะ อ.ระแงะ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งถูกรุมทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บสาหัส ได้รับการคัดเลือกให้เป็นแม่ดีเด่นประจำปี 2549 ประเภทแม่ของผู้ทำประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ โดยในวันเสาร์ที่ 12 สิงหาคมนี้ นางคำมี จะเดินทางเข้าเฝ้าฯ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ องค์ประธานในพิธีเปิดงานวันแม่แห่งชาติ ณ อาคารใหม่สวนอัมพร กรุงเทพฯ เพื่อรับประทานพระบรมฉายาลักษณ์พระราชทานและเกียรติบัตร นางคำมี กล่าวว่า เป็นความปลาบปลื้มอย่างมาก และภูมิใจในตัวบุตรสาวที่ประพฤติตัวดี เป็นเกียรติประวัติที่ดีต่อครอบครัว โดยเฉพาะในวันที่บุตรสาวถูกทำร้าย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอย่างยิ่งจากสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ที่ทรงห่วงใยอาการตลอดเวลา สำหรับอาการ น.ส.จูหลิง ล่าสุด (1 ส.ค.) คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ แถลงว่า ยังคงมีอาการคงที่ และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจต่อไป โดยภาวะปอดอักเสบและปอดส่วนล่างด้านขวาแฟบนั้น มีอาการดีขึ้น ทางแพทย์ได้เคาะปอดเพื่อระบายเสมหะ และลดการอุดตันของปอด ซึ่งขณะนี้ยังคงมีอาการติดเชื้อและภาวะปอดอักเสบ (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 31 ก.ค. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





อนุมัติหักค่าลดหย่อนเพิ่มไม่เกิน1แสน

วันที่ 1 ส.ค. นายไชยยศ สะสมทรัพย์ รมช.คลัง ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบให้ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถหักเพิ่มค่าใช้จ่าย จากปัจจุบันที่อนุญาตให้หักค่าใช้จ่ายได้ 40% แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 60,000 บาท เพิ่มขึ้นเป็น 60% แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท โดยจะส่งเรื่องทั้งหมดให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ หลังจากนั้นจะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.อีกครั้ง และเข้าจะสู่กระบวนการพิจารณาของรัฐสภา เพื่อขอแก้ไขประมวลรัษฎากร กับพระราชกฤษฎีกาต่อไป สำหรับการหักเพิ่มค่าใช้จ่ายครั้งนี้คงจะยังไม่สามารถดำเนินการได้เพราะยังไม่มีสภาผู้แทนราษฎร แต่รัฐบาลเห็นว่าเป็นเรนื่องที่มีประโยชน์ต่อประชาชน เนื่องจากจะทำให้ประชาชนเสียภาษีน้อยลง และจะเหลือเงินอยู่ในกระเป๋าไว้ใช้จ่ายมากขึ้นในช่วงที่ค่าครองชีพแพง นายไชยยศ กล่าวว่า ปัจจุบันคนโสดที่มีรายได้เพิ่งประเมิน ไม่ถึงปีละ 190,000 บาท หรือเฉลี่ยเดือนละ 15,833 บาทต่อเดือนไม่ต้องเสียภาษีเงินบุคคลธรรม แต่ถ้าการหักเพิ่มค่าใช้จ่ายมีผลบังคับใช้ จะทำให้คนโสดที่มีรายได้ไม่ถึง 230,000 บาทต่อปี หรือ 19,160 ต่อเดือน ไม่ต้องเสียภาษี ส่วนกรณีคนที่สมรสแล้วและมีบุตร 1 คน ถ้ามีรายได้ไม่ถึง 275,000 บาทต่อปี หรือเดือนละ 22,916 บาทต่อเดือน ไม่ต้องเสียภาษีเช่นกัน โดยคาดว่าการหักเพิ่มค่าใช้จ่ายในครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ในปีภาษี 2549 ที่ต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมภายในเดือน พ.ค.2550 โดยคาดว่า กรมสรรพากรจะสูญเสียรายได้ประมาณ 10,000 ล้านบาท (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 31 ก.ค. 2549 http://www.dailynews.co.th)





องค์การเภสัชพัฒนาแข่งนอก จับมือโครงการหลวงผลิตครีมบำรุงผิวดอยคำ-จีพีโอ

ดร.ประคองศิริ บุญคง ผู้จัดการศูนย์บริหารผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ องค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า องค์การเภสัชกรรม ได้ร่วมกับโครงการหลวงผลิตครีมบำรุงผิวตัวใหม่ภายใต้ชื่อ "ดอยคำ-จีพีโอ" ซึ่งจะมีส่วนผสมของพืชสมุนไพร "คาโมมาย(chamomile)" พืชจากประเทศแทบยุโรป แต่ปลูกได้ในพื้นที่ของโครงการหลวง ส่วนใหญ่พืชชนิดนี้ใช้เป็นส่วนผสมของครีมบำรุงผิว ทำให้ผิวนุ่มนวล ชุ่มชื่น ซึ่งมีการนำเข้าปีละไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท องค์การเภสัชกรรม มีผลิตภัณฑ์ที่โด่งดังอยู่แล้ว คือ จีพีโอ เคอร์มินท์ และจีพีโอ เพล็กซ์ และล่าสุดคือ ดอยคำ-จีพีโอ ซึ่งกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการ วันที่ 30 สิงหาคมนี้ ในงานมหกรรมสมุนไพรไทยแห่งชาติ ครั้งที่ 3 ภายใต้แนวคิด "หกสัมผัส ภูมิปัญญาไท ร่วมสมัย" ระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม-3 กันยายน 2549 ที่อาคาร 7-8 อิมแพ็ค เมืองทองธานี น.พ.วิชัย โชควิวัฒน กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ในการจัดงานครั้งนี้ กรมแพทย์แผนไทยฯ จะประสานเชิญแพทย์ทางเลือกจาก จีน อินเดีย พม่า และเกาหลี ซึ่งกำลังโด่งดังจากหมอโฮจุน มารักษาประชาชนที่มาเที่ยวในงานฟรีด้วย พร้อมทั้งสอนการนวดแผนไทยให้ประชาชนในงานฟรีด้วยเช่นกัน คาดว่าในงานนี้ ประชาชนจะได้ความรู้ นำไปใช้ดูแลรักษาสุขภาพตัวเอง ได้เป็นอย่างดี คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมชมงาน ตลอดทั้ง 5 วัน ไม่น้อยกว่า 300,000 คน จะได้รับทั้งความรู้ทางวิชาการและร่วมทำกิจกรรมมากมายที่ช่วยสร้างความรอบรู้พร้อมได้เคล็ดลับการมีสุขภาพดีกันทั่วหน้า (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 3 ส.ค. 2549 http://www.komchadluek.net)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215