หัวข้อข่าวปีที่ 7 ฉบับที่ 40 ประจำวันที่ 2006-10-02

ข่าวการศึกษา

อดีตบิ๊กทบวงฯชี้คิดให้ดีก่อนอุดมฯแยกตัว
สสวท.ชงวาระชาติยกคุณภาพการสอนวิทย์-คณิต-เทคโนโลยี
ร้อง คปค.ยกเลิกแอดมิชชั่น หากเดินหน้าต้องปรับสัดส่วน
ชี้สอบ"โอเน็ต"ครั้งเดียวจำกัดสิทธิ์
"ภาวิช"ฝากคนใหม่ ตรวจคณะม.ตั้งเอง
ปิ๊งชง"รมว.ศธ."เปิดทางขรก.ครูเออร์รี่
หนุนแยกบริหาร"ประถม-มัธยม"
‘อุทุมพร’รับงาน สทศ.มุ่ง O-NET
ศธ.ไทยเข้าโรงเรียนกัมพูชา มุ่งหน้า"ศูนย์กลางการศึกษาเอเชีย"
สมเด็จพระเทพฯเปิดงาน"วันครูโลก" ทรงหวัง..."ครูพัฒนาตน เป็นผู้รอบรู้เท่าทันโลก"

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

3 หนุ่มเซนต์คาเบรียลชนะเลิศตอบปัญหากรมวิทย์ฯ บริการ
“ก๊อกน้ำผลิตไฟฟ้า” ผลงานอาชีวะ จำลองเขื่อนสร้างพลังงานในบ้าน
สวทช.จับมือ อพวช. ผสานจุดแข็งร่วมพัฒนาค่ายวิทยาศาสตร์ถาวร
เปิดตัวยานอวกาศเอกชน "เอสเอส2"-พาทัวร์นอกโลก!
ญี่ปุ่นสร้างชุดมนุษย์ซุปเปอร์แมน ใส่แล้วยกคนไข้เดินได้ตัวปลิว
ละเลงสีแต่งแต้มดอกไม้ใน “ค่ายดอกไม้กับวิทยาศาสตร์” ทีเอ็มซี
ฤดูกาล “โนเบล” ปี 2006 เริ่มแล้ว : 2 นักจักรวาลวิทยาอเมริกันคว้าสาขาฟิสิกส์
เผยแนวคิดจัด “ชั้นเรียนพิเศษ” ยกระดับการเรียนวิทยาศาสตร์
ฟรี!! ศูนย์ซินโครตรอนฯ เปิดรับ นศ.เข้าค่าย หมดเขต 6 ต.ค.
รปภ.ออนไลน์เตือนภัยรูดทรัพย์ผ่านเน็ต อาศัยช่องโหว่โปรแกรมเวบไซต์ล้วงข้อมูลส่วนตัว

ข่าววิจัย/พัฒนา

เชื้อไวรัสโรคหวัดมีอยู่ทั่วไปแค่เอื้อม ให้หมั่นล้าง มือกันไม่ให้เป็นสะพาน
เอ็มเทคจับมือ4สถาบัน พัฒนา"กะโหลกเทียมไฮเทค"
ฮอร์โมนเพศล้นทำสมองทลาย ไปก่อวินาศกรรมหน่วยประสาท
สจพ.สร้างเครื่องวัดชีพจรไร้สาย
พบยาย้อมผมสูตรนาโน "2000 ปี"
มช.คิดชุดตรวจอเนกประสงค์ คลุมตั้งแต่มะเร็งตับจนถึงโรคข้อ
หลังคาลายไม้ไม่กลัวฝน
สแกน"สมอง"สู้โรคอ้วน ชี้อาหารส่งผลคล้ายยาเสพติด
"เอ็มไอที"จัดประชุม หาเทคโนโลยีสู้"โลกร้อน"
เด็กเชียงใหม่คว้าชนะเลิศ'โลงศพฟางข้าว'

ข่าวทั่วไป

โปรดเกล้าฯ"สุรยุทธ์"นายกฯคนที่24ขอ1สัปดาห์ตั้งครม.ใหม่อยู่ในตำแหน่งปีเดียววอนทุกฝ่ายร่วมมือกัน
วัยโจ๋ 50% สูบบุหรี่ 'ชูรส' สธ รุกต้านหวั่นนักสูบ หน้าใหม่
คนไทยข้อเข่าเสื่อม 6 ล้านกว่าคน กินปลาเล็กปลาน้อยป้องกันได้
กินมันฝรั่งทอดเพียงวันละ 1 ถุงเท่ากับซดน้ำมันพืชปีละ 5 ลิตร





ข่าวการศึกษา


อดีตบิ๊กทบวงฯชี้คิดให้ดีก่อนอุดมฯแยกตัว

จากข้อเสนอขอแยกสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เพื่อจัดตั้งเป็นกระทรวงอุดมศึกษาและวิจัย ที่ได้รับเสียงสนับสนุนและเสียงคัดค้านจากบุคลากรในแวดวงการศึกษานั้น ศ.ดร.ประเสริฐ ณ นคร อดีตปลัดทบวงมหาวิทยาลัย กล่าวว่า เรื่องการแยกหรือรวมงานอุดมศึกษา เป็นสิ่งที่พูดกันมานานแล้ว ในที่สุดการปฏิรูปการศึกษาครั้งที่ผ่านมา ก็นำหน่วยงานการศึกษามารวมกันเป็นกระทรวงศึกษาธิการ ไม่ว่าจะรวมหรือแยกกระทรวง ขอให้ข้าราชการตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด เพื่อประเทศชาติก้าวหน้า แต่ที่เป็นห่วงและย้ำมาตลอดคือการศึกษาของเราไม่ได้สอนให้เด็กเป็นตัวของตัวเอง ไม่คิดเอง คอยแต่จะพึ่งพาอาจารย์เสมอ เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องมาช่วยกันหาแนวทางเพื่อให้การศึกษาสอนเด็กให้รู้จักคิด ทดลอง และก้าวไปข้างหน้า ศ.ดร.พจน์ สะเพียรชัย ประธานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) และอดีตรองปลัดทบวงฯ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าโครงสร้าง ศธ.ใหญ่มาก ทำงานอุ้ยอ้าย และการรวมตัวกันก็เพื่อความเป็นเอกภาพ และจะกระจายอำนาจการบริหารไปยังสถานศึกษาและท้องถิ่น แต่ความจริงแล้ว การกระจายอำนาจก็ยังทำไม่ได้เต็มรูปแบบ จึงทำให้เกิดปัญหามากมาย ดังนั้นต้องคิดให้รอบคอบและเกิดผลดีต่อการพัฒนาอุดมศึกษาอย่างแท้จริง นายปราโมทย์ โชติมงคล เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา อดีตรองปลัดทบวงฯ กล่าวว่า ตนไม่แน่ใจว่าข้อเสนอการแยกกระทรวงอุดมศึกษาและวิจัย ของศ. (พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ อดีต เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา ต่อ รมว.ศึกษา-ธิการ คนใหม่ จะเป็นโจทย์หรือเป็นการวางระเบิดต่อ รมว. ศึกษาธิการคนใหม่กันแน่ ซึ่งไม่ว่าโครงสร้างของ ศธ. จะเป็นอย่างไร คนที่จะมากำหนดนโยบายของประเทศจะต้องให้ความสำคัญและจริงจังเรื่องการศึกษา และตนมองว่า ในอนาคตไม่ว่าพรรคไหนมาบริหารประเทศ จะต้องไม่หวังแต่คะแนนเสียงจากประชาชน เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นการศึกษาจะถูกละเลย (ไทยรัฐ จันทร์ 2 ต.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





สสวท.ชงวาระชาติยกคุณภาพการสอนวิทย์-คณิต-เทคโนโลยี

ศ.ดร.สุรินทร์ พงศ์ศุภสมิทธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (สสวท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ สสวท. กำลังระดมความคิดเห็นทางด้านการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีจากนักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำเป็นแผนวาระแห่งชาติในการยกคุณภาพการศึกษาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี เสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนใหม่ เพื่อนำไปประสานกับรัฐมนตรีในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาต่อไป ซึ่งในวาระแห่งชาติดังกล่าวก็จะมีหลักสูตร การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ฯของชาติที่โรง เรียนในทุกสังกัดต้องนำไปใช้สอนด้วย จากนั้น สสวท.จะจัดส่งข้อสอบที่ใช้ในการประเมินผลเด็กไปให้ ซึ่งข้อสอบจะมี 3 ระดับ คือง่าย ปาน กลาง และยาก เพื่อให้รู้ว่าโรงเรียนแต่ละโรงอยู่ในกลุ่มใดและทำการพัฒนาได้อย่างถูกต้องเนื่องจากผลการสอบที่เด็กทำจะทำให้ สสวท.รู้ว่าเด็กมีความแข็งหรืออ่อนกลุ่มสาระใด ซึ่งตนมั่นใจว่าวิธีการนี้จะทำให้เด็กทั้งที่เก่งและไม่เก่งได้รับการยกระดับไปพร้อม ๆ กัน “งานการศึกษาเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่ได้ ถึงแม้จะเปลี่ยน ครม.ชุดใหม่ แต่นโยบายการปฏิรูปการศึกษาที่ได้ตั้งความหวังไว้ว่า อยากให้นักเรียนสนใจเรียนคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์มากขึ้น เพราะเป็นวิชาพื้นฐานสำหรับการเรียนในสาขาวิชาชีพอื่น, เด็กต้องวิเคราะห์เป็นไม่ใช่ท่องจำ และเด็กต้องสามารถเรียนด้วยตนเองได้เนื่องจากมีความรู้อยู่ในทุกหนทุกแห่งนั้น เป็นเรื่องสำคัญและยังเป็นจุดอ่อนของเด็กไทยที่เราต้องดำเนินการปฏิรูปการศึกษาเพื่อไปสู่เป้าหมายดังกล่าวให้ได้” ศ.ดร.สุรินทร์ กล่าวและว่า อย่างไรก็ตามจากการที่ สสวท. ได้วิเคราะห์ และประเมินผลการดำเนินงานการปฏิรูปการศึกษาที่ผ่านมา พบว่ายังไม่สัมฤทธิผลเท่าที่ควร โดยมีปัญหาหลัก ๆ คือ 1. ครูผู้สอนส่วนใหญ่จบสาขาอื่นมา ดังนั้นเวลาสอนจะเปิดตำราสอนเพียงอย่างเดียว ขณะเดียวกันครูผู้สอนที่จบสาขาคณิต ศาสตร์ และวิทยาศาสตร์มาโดยตรง ก็ไม่มีการพัฒนาตนเอง 2.มีการจัดสรรงบประมาณลงไปในเรื่องของการสร้างอาคารเรียน และสนามเด็กเล่น มากกว่าเรื่องของวัสดุการเรียนการสอน ทั้ง ๆ ที่วัสดุการเรียนการสอนจะส่งผลต่อการเรียนของเด็กมากกว่า และ 3.จำนวนนักเรียนต่อห้องที่มากเกินไป ซึ่งถ้าจะให้เกิดผลดีจำนวนครูต่อนักเรียนน่าจะอยู่ที่ 1:25 ไม่ใช่ 1:40 หรือ 50 อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ศ.ดร.สุรินทร์ กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้หาก ครม.ให้ความเห็นชอบในแผนวาระแห่งชาติดังกล่าว หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงมหาดไทย ต้องร่วมมือกันทำงาน โดยนำงบประมาณที่เกี่ยวกับการศึกษามาบูรณาการเข้าด้วยกัน และมีการแบ่งการทำงานเพื่อไม่ให้เกิดการใช้งบประมาณที่ซ้ำซ้อน เช่นการประเมินผล การอบรมครู เป็นต้น ซึ่งคาดว่าจะสามารถนำแผนดังกล่าวมาใช้ได้ในปีการศึกษา 2550. (เดลินิวส์ จันทร์ 2 ต.ค. 2549 http://www.dailynews.co.th)





ร้อง คปค.ยกเลิกแอดมิชชั่น หากเดินหน้าต้องปรับสัดส่วน

พญ.กมลพรรณ ชีวพันธุศรี ประธานเครือข่ายพ่อ แม่ เยาวชนเพื่อการปฏิรูปการศึกษา เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ตนได้เข้ายื่นหนังสือต่อ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) เพื่อให้รับทราบปัญหาระบบการศึกษาของชาติ รวมทั้งได้เสนอให้ยกเลิกระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษา หรือแอดมิชชั่นด้วย แต่ถ้าหากไม่ยกเลิกก็ต้องปรับสัดส่วนต่าง ๆ ให้เหมาะสม เพราะขณะนี้นักเรียน และผู้ปกครองเครียดมาก อีกทั้งงานวิจัยของคณะทำงานแอดมิชชั่นฟอรั่ม ของที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ที่มี ศ.ดร.อุทุมพร จามรมาน ผู้อำนวยการ สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เป็นประธาน ก็ได้สรุปผลการวิจัยระบบแอดมิชชั่นที่ผ่านมาพบว่า โรงเรียนให้เกรดเฟ้อ นักเรียนต้องกวดวิชามากขึ้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่ชี้ให้เห็นได้ว่าควรจะยกเลิกระบบนี้ ส่วนกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และ สทศ.มีมติให้นักเรียนชั้น ม.6 ทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ได้เพียงครั้งเดียวนั้น ก็ถือเป็นการจำกัดสิทธิของนักเรียนอย่างมาก เพราะการสอบ O-NET ในปีที่ผ่านมาเรียกได้ว่ามั่วมาก นักเรียนหลายคนได้คะแนนที่ไม่ใช่ของตัวเอง และจนถึงขณะนี้ สทศ.ก็ยังไม่สามารถชี้แจงให้ชัดเจนได้ทั้งหมด ดังนั้นเรื่องนี้ตนจึงอยากให้มีการรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจของ สทศ. สกอ. และ ทปอ.เท่านั้น อย่างไรก็ตามคงต้องรอรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาเป็นผู้ดำเนินการตัดสินใจในเรื่องนี้ โดยตนจะเสนอให้ รมว.ศึกษาธิการ คนใหม่ เปิดรับฟังความคิดเห็นจากเด็ก ผู้ปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงประเด็นดังกล่าวอีกครั้ง. (เดลินิวส์ จันทร์ 2 ต.ค. 2549 http://www.dailynews.co.th)





ชี้สอบ"โอเน็ต"ครั้งเดียวจำกัดสิทธิ์

พ.ญ.กมลพรรณ ชีวพันธุศรี ประธานเครือข่ายพ่อแม่เยาวชนเพื่อการปฏิรูปการศึกษา กล่าวถึงกรณีสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) และสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ(สทศ.) มีมติให้นักเรียน ม.6 ทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน(โอเน็ต) ได้เพียงครั้งเดียว ว่า การสอบโอเน็ตในปีที่ผ่านมา นักเรียนหลายคนได้คะแนนที่ไม่ใช่ของตัวเอง และจนถึงขณะนี้ สทศ.ยังไม่สามารถชี้แจงให้ชัดเจนได้ทั้งหมด ดังนั้น มติที่ไม่ให้นักเรียนสอบโอเน็ตใหม่จึงถือเป็นการจำกัดสิทธิ์อย่างมาก ตนอยากให้มีการรับฟังความเห็นจากทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วม ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจของสทศ. สกอ. และที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.) เท่านั้น และเมื่อเร็วๆ นี้ ตนได้ยื่นหนังสือต่อคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(คปค.) เพื่อให้รับทราบปัญหาต่อระบบการศึกษาของชาติ รวมทั้งได้เสนอให้ยกเลิกระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษา หรือแอดมิชชั่นด้วย "ดิฉันเสนอคปค.ให้พิจารณายกเลิกระบบแอดมิชชั่น หรือปรับสัดส่วนต่างๆ ให้เหมาะสม ทั้งงานวิจัยของคณะทำงานแอดมิชชั่นส์ฟอรั่มของทปอ.ได้สรุปผลการวิจัยระบบแอดมิชชั่นที่ผ่านมาว่าโรงเรียนให้เกรดเฟ้อ นักเรียนต้องกวดวิชามากขึ้น โดยต้องกวดเพื่อสอบโอเน็ตจากอาจารย์ในโรงเรียน และเพื่อทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง(เอเน็ต) จากสถาบันกวดวิชานอกโรงเรียน ข้อสรุปดังกล่าวเป็นข้อมูลที่ชี้ให้เห็นได้ว่าควรจะยกเลิกระบบนี้ (ข่าวสด อังคารที่ 3 ต.ค. 2549 http://www.matichon.co.th/)





"ภาวิช"ฝากคนใหม่ ตรวจคณะม.ตั้งเอง

นายภาวิช ทองโรจน์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) กล่าวฝากถึงผู้ที่จะมาทำหน้าที่เลขาธิการ กกอ.คนใหม่ ว่า อยากให้เคี่ยวเข็ญคุณภาพการศึกษา และเรื่องปฏิรูปอุดมศึกษาที่ต้องปรับโครงสร้างระดับบนให้ สกอ.มีหน้าที่กำกับดูแลมหาวิทยาลัย ผลักดันการเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับ นอกจากนี้ได้หารือกับ ศ.ดร.เทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานคณะอนุกรรมการด้านมาตรฐาน คณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) ถึงแนวคิดการจัดทำเกณฑ์มาตรฐานรับรองหลักสูตร และการรับรองสถาบันอุดมศึกษาที่อาจดำเนินการระดับคณะด้วย เพราะขณะนี้มหาวิทยาลัยของรัฐสามารถเปิดหลักสูตรได้เองโดยอำนาจของสภามหาวิทยาลัย แต่สภามหาวิทยาลัยแต่ละแห่งมีคุณภาพต่างกัน สกอ.จึงต้องดูแลเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค เพราะเสรีภาพต้องตั้งบนฐานของมาตรฐานด้วย ทั้งยังมีงานปฏิรูปการเงิน ปลดระบบการเงินของมหาวิทยาลัยให้มีความอิสระ ปรับระบบการเงินแบบรายบรรทัดปีต่อปีให้สามารถวางแผนงบประมาณล่วงหน้าระยะ 2-3 ปีได้ เพื่อความต่อเนื่องในการพัฒนาโครงการต่างๆ รวมถึงส่งเสริมการระดมทรัพยากรการเงินสู่อุดมศึกษาให้มากขึ้น ตลอดจนใช้ระบบการเงินเป็นเครื่องมือพัฒนาอุดมศึกษาเชิงคุณภาพ (ข่าวสด อังคารที่ 3 ต.ค. 2549 http://www.matichon.co.th/)





ปิ๊งชง"รมว.ศธ."เปิดทางขรก.ครูเออร์รี่

วันที่ 2 ตุลาคม คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหาร 5 องค์กรบริหารหลักของ ศธ.ว่า ที่ประชุมได้มอบหมายให้แต่ละองค์กรบริหารหลักไปศึกษาเกี่ยวกับการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2549 และงบประมาณที่ขอเพิ่มไปยังสำนักงบประมาณที่ผ่านมาว่า มีปัญหาอะไรหรือไม่ ซึ่งรวมไปถึงงบประมาณปี 2550 ด้วย ที่ได้ให้แต่ละ 5 องค์กรบริหารหลักเสนอตัวเลขขอตั้งงบประมาณไปยังสำนักงบประมาณตั้งแต่วันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา แต่ปรากฏว่ามีปัญหาระบบการทำงานทำให้ไม่สามารถส่งตัวเลขงบประมาณไปได้ครบทุกหน่วยงาน ดังนั้น แต่ละหน่วยงานจะต้องเร่งติดตามและสรุปประเด็นหลักเพื่อเตรียมเสนอรัฐมนตรีว่าการ ศธ.คนใหม่ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณารายชื่อผู้ที่มีความชำนาญด้านการศึกษาไปร่วมเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ และสภานิติบัญญัติ ซึ่งในฐานะที่ ศธ.เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรงและมีกฎหมายการศึกษาที่จะต้องเข้าสู่การพิจารณาจำนวนมาก จึงได้ขอให้แต่ละหน่วยงานเสนอชื่อบุคคลที่มีความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อจะเสนอเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะรัฐบาลต่อไป ปลัด ศธ.กล่าวด้วยว่า ในที่ประชุมยังได้หารือถึงแนวทางการแก้ปัญหาขาดแคลนครู ซึ่งที่ผ่านมาทาง ศธ.ได้เสนอมาตรการแก้ไขไปหลายแนวทางแล้ว อาทิ การขออัตราครูเพิ่ม รวมทั้งยังได้มีการพิจารณากรณีที่จะมีข้าราชการครูขอเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด ซึ่งหากมีข้าราชการครูสนใจกันเป็นจำนวนมากก็จะทำให้ช่วยประหยัดงบประมาณได้มาก โดยคำนวณว่าหากมีข้าราชการครู 10,000 คน ขอเข้าโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด จะช่วยประหยัดงบประมาณได้ 2,000 กว่าล้านบาท ซึ่งงบฯที่ประหยัดได้จำนวนนี้จะเพียงพอที่จะไปจัดจ้างครูใหม่เพิ่มเติม ดังนั้น ตนจะนำเสนอเรื่องนี้ต่อรัฐมนตรีว่าการ ศธ.คนใหม่ต่อไปด้วย (มติชน อังคารที่ 3 ต.ค. 2549 http://www.matichon.co.th/)





หนุนแยกบริหาร"ประถม-มัธยม"

นายโสภณ รัตนา ประธานสมาพันธ์ครูกรมสามัญศึกษา (เดิม) แห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์กรณีสมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งประเทศไทย (สบมท.) ยื่นหนังสือถึง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ เสนอขอปรับเปลี่ยนโครงสร้างสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นทบวงการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยแยกการบริหารงานการมัธยมศึกษา การประถมศึกษาและการศึกษาพิเศษออกจากกัน เพื่อให้การจัดการศึกษาด้านมัธยมดีขึ้นว่า ในส่วนของสมาพันธ์ครูกรมสามัญฯเห็นด้วยและสนับสนุน เพราะถือเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้บริหารและครูโรงเรียนมัธยมที่ไม่สมัครใจถ่ายโอนไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) (มติชน อังคารที่ 3 ต.ค. 2549 http://www.matichon.co.th/)





‘อุทุมพร’รับงาน สทศ.มุ่ง O-NET

ศ.ดร.อุทุมพร จามรมาน ผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยภายหลังการรับมอบงานจาก รศ.ดร.วิเชียร เกตุสิงห์ รักษาการผอ.สทศ. เมื่อวันที่ 2 ต.ค. ว่า ภารกิจแรกที่ต้องเร่งดำเนินการ คือการจัดทดสอบการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือ O-Net ในเดือนมีนาคม 2550 ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย จากนั้นในเดือนเมษายนจะเริ่มพิจารณาว่าจะมีการจัดทดสอบนักเรียนในช่วงชั้นอื่น ๆ อย่างไรต่อไป ทั้งนี้ในสัญญาการว่าจ้างนั้น ตนได้ให้ระบุเพิ่มเติมว่าธุรกรรมใด ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนที่ตนเข้ารับมอบงาน ให้ถือว่าไม่ใช่ความรับผิดชอบของตน “การสอบ O-Net และ A-Net ครั้งต่อไปคงไม่เกิดปัญหาเหมือนปีที่ผ่านมา และแม้จะไม่มีข้อสอบอัตนัย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เด็กคิดวิเคราะห์ไม่ได้ เพราะเราสามารถออกข้อสอบปรนัยให้เด็กคิดวิเคราะห์ได้เช่นกัน นอกจากนี้ได้มีการวางแนวทางไว้ว่าในปีถัดไปจะให้มีการจัดสอบข้อเขียนให้แก่เด็กทุกเดือน โดยไม่ผูกกับการสอบ O-Net และ A-Net” ศ.ดร.เทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานคณะกรรมการสรรหาประธานบริหารสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เปิดเผยว่า ตามที่สทศ.ได้ประกาศรับสมัครประธานบริหาร สทศ. และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ตั้งแต่วันที่ 11-27 ก.ย.ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีผู้สมัครจำนวนน้อยมาก ซึ่งน่าจะมาจากข้อมูลการรับสมัครยังเผยแพร่ไม่ทั่วถึง ดังนั้นจึงจะขยายเวลารับสมัครออกไปถึงวันที่ 11 ต.ค.โดยสมัครผ่านเว็บไซต์ www. ntthailand.com หรือสมัครด้วยตนเองที่สทศ. เลขที่ 128 อาคารพญาไทพลาซ่า ชั้น 35 โทร. 0-2219-2992-5 ต่อ 206, 208 “ถ้าปิดรับสมัครแล้วยังไม่ได้จำนวนเพียงพอก็คงต้องหาวิธีอื่น ๆ เช่น อาจจะต้องฝากหัวหน้าส่วนงานต่าง ๆ รวมทั้งมหาวิทยาลัยช่วยพิจารณาเสนอรายชื่อเข้ามา เพียงแต่วิธีนี้ยังไม่ได้พูดถึง เพราะคิดว่าการขยายเวลารับสมัครและประชาสัมพันธ์เพิ่มขึ้นก็น่าจะทำให้มีผู้สมัครมากขึ้นได้” (เดลินิวส์ พุธที่ 4 ต.ค. 2549 http://www.dailynews.co.th)





ศธ.ไทยเข้าโรงเรียนกัมพูชา มุ่งหน้า"ศูนย์กลางการศึกษาเอเชีย"

จากการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษา (MOU) ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการของไทยและประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 31 พ.ค.2546 สืบเนื่องจากรัฐบาลไทยมีแนวคิด "เป็นศูนย์กลางการศึกษาของประเทศเพื่อนบ้าน" เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพในการแข่งขันของประเทศในภูมิภาคเอเชียในการต่อรองกับประเทศในภูมิภาคอื่น และเห็นว่าจะประสบความสำเร็จได้ ต้องก้าวไปด้วยกันเป้าประสงค์ของกัมพูชา ต้องการให้ไทยช่วยด้านการจัดหลักสูตร อบรม ดูงาน และบุคลากรซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ สถาบันการศึกษาที่คณะจากกระทรวงศึกษาธิการเยี่ยมชม มีโรงเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐานจำนวน 2 แห่ง คือ ประถมศึกษนโรดม (Norodom School) ที่พนมเปญ และมัธยมศึกษาสมเด็จเอิว (Samdech Euv High School) ที่เสียมราฐ ส่วนระดับอุดมศึกษาจำนวน 2 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยพนมเปญ (Royal Univercity of Phnom Penh) ซึ่งเป็นของรัฐ และมหาวิทยาลัยเอกชน Pannasatra แห่งพนมเปญ รวมทั้งวิทยาลัยกำปงเฌอเตียล อ.ซอมโบว์ จ.กำปงธม ที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานความช่วยเหลือด้านการศึกษา เริ่มต้นที่ จ.เสียมราฐ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกัมพูชา ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลสาบเขมรหรือทะเลสาบกัมพูชา เมืองแห่งการท่องเที่ยวมรดกโลก นครวัด นครธม (ข่าวสุด ศุกร์ที่ 6 ต.ค. 49 http://www.matichon.co.th)





สมเด็จพระเทพฯเปิดงาน"วันครูโลก" ทรงหวัง..."ครูพัฒนาตน เป็นผู้รอบรู้เท่าทันโลก"

วันที่ 5 ตุลาคม ที่ศูนย์การประชุมอิมแพค เมืองทองธานี สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯเป็นองค์ประธานเปิดการประชุมสมัชชาการศึกษานานาชาติแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 2 เนื่องในโอกาสวันครูโลก ประจำปี 2549 ภายใต้หัวข้อ "การศึกษาและฝึกอบรมเพื่อโลกที่เปลี่ยนแปลง" ซึ่งหลายหน่วยงานทางการศึกษาจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-6 ตุลาคมนี้ เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี โดยมีครูและนักวิชาการไทยและชาวต่างชาติกว่า 10 ประเทศเข้าร่วมรวมประมาณ 1,500 คน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯมีพระราชดำรัสว่า "โลกในวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในทุกด้าน ก่อให้เกิดข้อดีและข้อเสีย ส่งผลกระทบในการดำเนินชีวิตของประชากรโลก การจัดการศึกษาเพื่อให้ทันกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกจึงมีความสำคัญยิ่ง ครูเป็นผู้มีบทบาทโดยตรงในด้านผู้ให้ความรู้ จึงควรพัฒนาตนให้เป็นผู้มีความรอบรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก และถ่ายทอดความรู้ให้เยาวชนไปพัฒนาสรรพวิทยาต่างๆ" "ขณะเดียวกันการอบรมสั่งสอนเรื่องคุณธรรม จริยธรรมก็เป็นสิ่งสำคัญเสมอกัน จะละเลยเสียไม่ได้ นอกจากครูผู้มีหน้าที่ในการจัดการศึกษาก็ควรต้องปรึกษาหารือร่วมกันวางแผนการศึกษาให้เหมาะสม และส่งเสริมการอบรมครูให้มีความสามารถ รอบรู้ ทันสมัย ข้าพเจ้าเชื่อว่าหากทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจกันก็จะสามารถสร้างสรรค์สังคมแห่งการเรียนรู้ ควบคู่ไปกับความมีคุณธรรม เป็นสังคมแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืน และดำรงอยู่ได้ในกระแสการเปลี่ยนแปลงที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องของโลก" (มติชน ศุกร์ที่ 6 ต.ค. 49 http://www.matichon.co.th)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


3 หนุ่มเซนต์คาเบรียลชนะเลิศตอบปัญหากรมวิทย์ฯ บริการ

วันจันทร์ (25 ก.ย.) ที่ผ่านมา กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ได้จัด “การแข่งขันตอบปัญหาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ขึ้น ณ อาคารศึกษาเคมีปฏิบัติ กรมวิทยาศาสตร์บริการ โดยได้ 10 โรงเรียนที่ผ่านการแข่งขันรอบคัดเลือกมาแล้ว และในวันที่ 29 ก.ย. การแข่งขันรายการเดียวกันก็ถูกจัดขึ้นอีกครั้งหนึ่งในรอบรองชนะเลิศและรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งการแข่งขันรอบรองชนะเลิศจะเป็นการแข่งขันตอบปัญหาปรนัยที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 20 ข้อ เพื่อหาทีมผู้ทำคะแนนสูงสุด 5 ทีม เข้าสู่การแข่งขันรอบสุดท้าย ในรอบนี้ ทั้ง 10 โรงเรียนได้แก่ โรงเรียนเทพศิรินทร์, โรงเรียนเซนต์คาเบรียล, โรงเรียนหอวัง, โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม, โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยรามคำแหง, โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย, โรงเรียนราชวินิต มัธยม, โรงเรียนสุวรรณพลับพลาวิทยาคม, โรงเรียนนวมินทราชูทิศ กรุงเทพมหานคร และโรงเรียนวัดอินทราราม สำหรับคำถามที่ใช้ถามผู้เข้าแข่งขันรอบนี้ ถือว่ามีความแตกต่างจากรอบคัดเลือกพอสมควร โดยจะอิงเนื้อหาในบทเรียนค่อนข้างมาก ตั้งแต่คำถามที่ง่ายไปจนถึงคำถามที่ยาก ขณะที่มีคำถามเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ในชีวิตประจำวันน้อยลง ทั้งนี้ เมื่อผู้เข้าแข่งขันตอบคำถามครบทั้ง 20 ข้อ 5 โรงเรียนที่เข้าชิงชนะเลิศซึ่งมีคะแนนเกาะกลุ่มกันมาตลอด มีโรงเรียนหอวังเป็นผู้ตอบคำถามได้มากที่สุด 15 ข้อจาก 20 ข้อ รองมาคือ โรงเรียนเซนต์คาเบรียล 14 คะแนน โรงเรียนเทพศิรินทร์และโรงเรียนราชวินิตมัธยม 13 คะแนน ส่วนโรงเรียนวัดอินทารามเป็นโรงเรียนสุดท้ายที่เข้าสู่รอบต่อไปด้วยคะแนน 13 คะแนน เท่ากับโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัยและโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่ตอบคำถามสำรองถูกต้องจึงได้สิทธิ์แข่งขันต่อไป อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ กติกาการแข่งขันเปลี่ยนไป โดยทั้ง 5 ทีม ต้องแข่งกันกดสัญญาณไฟตอบปัญหาอัตนัย 15 ข้อ เพื่อหาผู้ชนะเลิศที่ได้คะแนนมากที่สุด ซึ่งสังเกตได้ว่าในรอบนี้ ผู้เข้าแข่งขันตอบคำถามได้น้อยและมักตอบได้ไม่ชัดเจนหรือตอบไม่ได้เลยหลังการตอบปัญหาครบทั้ง 15 ข้อ ทีมโรงเรียนเซนต์คาเบรียลสามารถตอบคำถามได้มากที่สุด (ผู้จัดการ จันทร์ 2 ต.ค. 2549 http://www.manager.co.th)





“ก๊อกน้ำผลิตไฟฟ้า” ผลงานอาชีวะ จำลองเขื่อนสร้างพลังงานในบ้าน

ภายในงาน “ตลาดนัดทรัพย์สินทางปัญญา 2549” (Thailand IP Fair 2006) ซึ่งจัดขึ้นโดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ 29 ก.ย.-1 ต.ค. นี้ ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี (ฮอลล์4) มีผลงานของนักประดิษฐ์มากมายมานำเสนอ ซึ่งเป็นโอกาสให้นักธุรกิจและเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาได้แลกเปลี่ยนซื้อขายความคิด ภูมิปัญญาและเทคโนโลยีระหว่างกัน “อุปกรณ์ผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยการไหลของน้ำ” หรือก๊อกน้ำที่ผลิตกระแสไฟฟ้าได้เป็นผลงานอีกชิ้นที่แสดงถึงภูมิปัญญาของเยาวชนไทย โดย นายเอกวิทย์ ตันเกิด นักศึกษา ปวส.3 ภาควิชาอิเล็กทรอนิกส์อุตสาหกรรม คณะวิชาไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ วิทยาลัยเทคนิคพังงา จ.พังงา เจ้าของความคิดในการประดิษฐ์อธิบายว่าอุปกรณ์ดังกล่าวผลิตกระแสไฟฟ้าโดยให้กระแสน้ำหมุนไดนาโม ทั้งนี้ก๊อกน้ำที่เขาประดิษฐ์ขึ้นนั้นมีส่วนประกอบที่สำคัญคือ 1.ใบพัด และ 2.ไดนาโม “เมื่อน้ำไหลเข้าไปในท่อน้ำก็จะเจอกับใบพัดที่ต่อเข้ากับไดนาโม ทำให้ใบพัดหมุนและไดนาโมก็จะหมุนตามไปด้วย จึงเกิดกระแสไฟฟ้าขึ้น มีแรงดันอยู่ที่ 6 – 30 โวลต์ และให้กระแสไฟฟ้าสลับสูงสุดประมาณ 200 มิลลิแอมป์ แต่ก็ขึ้นอยู่กับแรงดันน้ำด้วย ไฟฟ้าที่ผลิตได้ก็จะนำไปเก็บในแบตเตอรี่ซึ่งก็ต้องแปลงไฟฟ้ากระแสสลับให้เป็นกระแสตรงเสียก่อน” เอกวิทย์อธิบายว่า เขาได้ทดลองเก็บประจุไฟฟ้าโดยเปิดก๊อกให้น้ำไหลตลอดเวลา แบตเตอรี่ ขนาด12 โวลต์ใช้เวลา 15 ชั่วโมงจึงเก็บประจุจนเต็ม ส่วนแบตเตอรี่ขนาด 6 โวลต์ใช้เวลาประมาณ 6-7 ชั่วโมง และกระแสไฟฟ้าที่เก็บได้นำไปใช้กับโคมไฟที่ให้แสงสว่างในบ้าน ซึ่งเป็นโคมไฟที่ใช้หลอดแอลอีดีประเภท Super Bright แนวคิดในการประดิษฐ์ก๊อกน้ำดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่เอกวิทย์ (ขณะเรียนอยู่ชั้น ปวช.2) เดินทางไปเที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลาน (เขื่อนรัชประภา) จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นเขื่อนที่ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าด้วย ระหว่างที่มองดูน้ำในเขื่อนถูกปล่อยลงมานั้น เขาก็เกิดความคิดว่าจะทำอย่างไรให้ภายในบ้านมีแหล่งกำเนิดพลังงานไฟฟ้าอย่างนี้บ้าง เป็นการจุดประกายความคิดให้เขาคิดประดิษฐ์อุปกรณ์ที่เปรียบเสมือนเขื่อนเล็กๆ ภายในบ้านและผลิตกระแสไฟฟ้าได้ เอกวิทย์รวมกลุ่มกับเพื่อนที่วิทยาลัยอีก 2 คน ช่วยกันช่วยกันประดิษฐ์อุปกรณ์ดังกล่าวเป็นเวลา 8 เดือนจึงได้อุปกรณ์ที่เป็นต้นแบบ และผลงานของพวกเขาก็ได้รับรางวัลที่ 3 ประเภทสิ่งประดิษฐ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ในงานสิ่งประดิษฐ์ของคนรุ่นใหม่ ระดับภาคใต้ ประจำปีการศึกษา 2548 ของกรมอาชีวศึกษา และแม้ว่าจะไม่ได้รับรางวัลชนะเลิศ แต่ก๊อกน้ำผลิตไฟฟ้านี้ก็ได้รับสิทธิบัตรกับกรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (ผู้จัดการ จันทร์ 2 ต.ค. 2549 http://www.manager.co.th)





สวทช.จับมือ อพวช. ผสานจุดแข็งร่วมพัฒนาค่ายวิทยาศาสตร์ถาวร

วันที่ 28 ก.ย.2549 ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ใน “โครงการส่งเสริมและพัฒนาค่ายวิทยาศาสตร์ถาวรสำหรับเยาวชน” ขึ้น ระหว่าง 2 หน่วยงานสำคัญทางวิทยาศาสตร์ ได้แก่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) โดยมี นายปฐม แหยมเกตุ รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นประธาน รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เผยว่า สำหรับการลงนามครั้งนี้เป็นการผสมผสานจุดแข็งที่ทั้ง 2 หน่วยงานต่างมีความพร้อมและความถนัดเป็นของตัวเอง เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่การพัฒนาบุคลากรค่าย อันได้แก่เด็กและเยาวชน ซึ่งจะเติบโตมาเป็นกำลังของชาติผู้มีสติปัญญา ความสามารถในเชิงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นกำลังสำคัญของชาติต่อไป ด้านความพร้อมของทั้ง 2 หน่วยงาน สวทช. จะเป็นหน่วยงานที่มีความพร้อมด้านสถานที่ในการจัดค่ายและการเอื้อเฟื้อห้องปฏิบัติการให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ได้ทำการทดลองจริง อีกทั้งยังอุดมไปด้วยบุคลากรการวิจัยจากศูนย์หลัก 4 ศูนย์คือ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) และศูนย์อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) นอกจากนั้น สวทช.ยังมีความพร้อมด้านบุคลากรทางการบริหารงานค่ายวิทยาศาสตร์ที่มีประสบการณ์มาก ขณะเดียวกันก็มีพันธมิตรจากห้างร้านเอกชนและหน่วยงานราชการ โดยในส่วนของ อพวช.ก็เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่มีความพร้อมด้านบุคลากรและสถานที่ มีการจัดกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์อย่างสม่ำเสมอ ทำให้เยาวชนค่ายเกิดกระบวนการคิด และเจตคติที่ดีด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ผู้จัดการ จันทร์ 2 ต.ค. 2549 http://www.manager.co.th)





เปิดตัวยานอวกาศเอกชน "เอสเอส2"-พาทัวร์นอกโลก!

หลังจากโครงการสร้างยานอวกาศ "สเปซ ชิพ ทู" เดินเครื่องเต็มสูบ โดยเพิ่งเปิดโชว์โฉมห้องโดยสารภายในยาน และพร้อมขึ้นบินให้บริการจริงภายในปีพ.ศ.2552 ขณะนี้มีลูกค้าทั่วโลกตีตั๋วจองล่วงหน้าเข้ามาแล้วไม่ต่ำกว่า 200 คน ในราคาใบละ 8 ล้านบาท! ในการสายฝันเปิดกิจการ "ทัวร์อวกาศ" ให้กลายเป็นจริง เซอร์ริชาร์ด แบรนสัน ลงทุนเปิดบริษัท "เวอร์จิ้น กาแล็กติก" ขึ้นมาใหม่ เพื่อทำหน้าที่รับผิดชอบโครงการนี้โดยเฉพาะ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยกัน ส่วนแรกเป็นการก่อสร้างฐานหรือท่าขึ้นลงของยานอวกาศ "สเปซ ชิพ ทู" (เอสเอส 2) มูลค่า 9,000 ล้านบาท ล่าสุด ตอกเสาเข็มกันไปแล้วในรัฐนิวเม็กซิโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนที่สองคือการพัฒนายานเอสเอส 2 โดยมีบริษัทสเกลคอมโพสิท เป็นผู้รับผิดชอบ สเกลคอมโพสิท มี "เบิร์ต รูตั้น" นักออกแบบอากาศยานและยานอวกาศมือฉมังเป็นผู้บริหาร (ข่าวสด อังคารที่ 3 ต.ค. 2549 http://www.matichon.co.th/)





ญี่ปุ่นสร้างชุดมนุษย์ซุปเปอร์แมน ใส่แล้วยกคนไข้เดินได้ตัวปลิว

นักวิทยาศาสตร์ของศูนย์วิจัยไฮเทคของสถาบันเทคโนโลยีคานากาวา กำลังตกแต่งชุดสวมใส่ ที่ทำให้ผู้ใช้ไม่ว่าจะแรงน้อยแค่ไหน ใส่แล้วทำให้มีพละกำลังมากขึ้น สามารถแบกคนไข้หรือสิ่งของหนักๆ ขนาด 80 กิโลกรัม อย่างสบาย ด้วยการออกแรงเพียงครึ่งเดียวของธรรมดาเท่านั้น อุปกรณ์ประกอบด้วยแบตเตอรี่ที่ถอดได้ เครื่องสูบลมขนาดเล็ก และเครื่องตรวจจับอาการกระตุกของกล้ามเนื้อเบาๆ นิตยสารเปิดเผยว่า วิศวกรได้นำเครื่องต้นแบบซึ่งมีน้ำหนัก 30 กิโลกรัม ออกแสดงการสวมใส่ เดินเหินและยกน้ำหนักให้ดู นายฮิโรอิ ซุกุอิ ผู้ทดลองเผยความรู้สึกว่า “เมื่อผมใส่มันอยู่ ไม่รู้สึกว่าหนักหนาอะไรเลย เพราะมันมีเครื่องตรวจวัด คอยกำกับให้กล้ามเนื้อออกแรงที่พอเหมาะกับการยกสิ่งของ” ตามตัวเครื่องจะมีเครื่องตรวจวัดติดไว้กับต้นแขนและต้นขากับที่กล้ามเนื้อเอว คอยรายงานข้อมูลส่งไปยังเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ไปควบคุมลมอัดเข้าไปในข้อมือเสื้อพองลม ให้พองออกแบกน้ำหนักอีกทีหนึ่ง. (ไทยรัฐ พุธที่ 4 ต.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





ละเลงสีแต่งแต้มดอกไม้ใน “ค่ายดอกไม้กับวิทยาศาสตร์” ทีเอ็มซี

ทีเอ็มซีจูงมือ 54 น้องม.ปลายร่วมค่ายดอกไม้กับวิทยาศาสตร์ ดึงเยาวชนให้ใกล้ชิดธรรมชาติ รู้จัก เข้าใจ และใช้ประโยชน์จากดอกไม้นานาพันธุ์ ผ่านกิจกรรมวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศิลปะ รองผอ.ศูนย์ฯ เผยอยากจัดงานค่ายวิทยาศาสตร์เป็นประจำทุกสัปดาห์ หวังลุยจัดค่ายที่ภูมิภาคขยายโอกาสเยาวชน ประเทศไทยของเราถือเป็นแหล่งกำเนิดพันธุ์ไม้นานาชนิด ดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์จึงอยู่รายล้อมเราโดยไม่ต้องสงสัย ทั้งที่เรารู้จักมันบ้าง ไม่รู้จักบ้าง วันนี้ (3 ต.ค.) โครงการค่ายวิทยาศาสตร์ถาวร ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสถาบันนวัตกรรมและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยมหิดล, ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมูลนิธิสวนหลวง ร.9 จัดค่ายดอกไม้กับวิทยาศาสตร์ “ศาสตร์และศิลป์ของโลกสีรุ้ง” ขึ้น ระหว่างวันที่ 3-6 ต.ค. ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ดร.สวัสดิ์ ตันติพันธุ์วดี รองผอ.ทีเอ็มซี ประธานในพิธีเปิดงานค่าย กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อจุดประกายให้เด็กและเยาวชนไทยได้สนใจวิทยาศาสตร์ มีการคิดหาเหตุผลให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันด้วยเหตุผล ผ่านกิจกรรมการบรรยายพิเศษเกี่ยวกับดอกไม้ การทำกิจกรรมการทดลอง การหาความสัมพันธ์ของดอกไม้กับคณิตศาสตร์ การวาดภาพดอกไม้ทางวิทยาศาสตร์ และการไปเยี่ยมชมและสัมผัสกับดอกไม้จริงที่สวนหลวง ร.9 จัดเป็นการเรียนรู้นอกห้องเรียน เพื่อให้เยาวชนได้พัฒนาไปสู่การเรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านห้องสมุดหรืออินเตอร์เน็ต โดยมีนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายทั้งสายวิทยาศาสตร์และสายศิลปะศาสตร์เข้าร่วมค่ายทั้งสิ้น 54 คน คัดเลือกจากเยาวชนทั่วประเทศ 500 คน ผ่านการเขียนเรียงความในหัวข้อ “ดอกไม้ในใจฉัน” เพื่อดูความสนใจจริงของผู้สมัครแต่ละราย รวมถึงการรับรองจากโรงเรียน และผลการเรียนประกอบการคัดเลือก (ผู้จัดการ พุธที่ 4 ต.ค. 2549 http://www.manager.co.th)





ฤดูกาล “โนเบล” ปี 2006 เริ่มแล้ว : 2 นักจักรวาลวิทยาอเมริกันคว้าสาขาฟิสิกส์

ฤดูกาลแห่งการมอบรางวัล “โนเบล” อันทรงเกียรติประจำปี 2006 ได้เริ่มขึ้นแล้ว ประเดิมโดย “โนเบลแพทย์” สาขาแรกจันทร์นี้ ตามติดด้วย “ฟิสิกส์” และ “เคมี” แล้วคั่นกลางด้วย “อิกโนเบล” รางวัลสำหรับความฉลาดๆ ที่หลายคนคาดไม่ถึง ส่วนสาขา “วรรณกรรม” ตามธรรมเนียมจะไม่เปิดเผยวันประกาศรางวัลก่อน 48 ชั่วโมง และปิดท้ายด้วยสาขา “สันติภาพ” ซึ่งเป็นที่จับตาของคนทั่วโลกอีกเช่นเคย การประกาศผลรางวัลโนเบล (Nobel Prizes) จะเริ่มในต้นเดือน ต.ค.ของทุกปี และมีพิธีมอบรางวัลในวันที่ 10 ธ.ค. ซึ่งเป็นวันครบรอบการเสียชีวิตของ อัลเฟรด โนเบล (Alfred Nobel) ผู้ก่อตั้งรางวัลอันทรงเกียรตินี้ โดยเริ่มประกาศรางวัลในสาขาวิทยาศาสตร์ก่อน ณ กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสีเดน ขณะที่สันติภาพเป็นสาขาเดียวในรางวัลอันทรงเกียรตินี้ที่จะประกาศในประเทศนอร์เวย์ (ผู้จัดการ พุธที่ 4 ต.ค. 2549 http://www.manager.co.th)





เผยแนวคิดจัด “ชั้นเรียนพิเศษ” ยกระดับการเรียนวิทยาศาสตร์

ศ.ดร.สุรินทร์ พงศ์ศุภสมิทธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.) เปิดเผยถึงแนวคิดในการยกระดับการเรียนวิทยาศาสตร์ โดยจัดเป็น “ชั้นเรียนพิเศษ” ในโรงเรียนปกติทั่วประเทศ ซึ่งใช้หลักสูตรเช่นเดียวกับการสอนในชั้นเรียนปกติ แต่เพิ่มกิจกรรมพิเศษทางด้านวิทยาศาสตร์ และให้ทางองค์การบริการส่วนตำบล (อบต.) และองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อปจ.) สนับสนุนทางด้านรายจ่าย เพราะเป็นการสนับสนุนการเรียนของลูกหลานในท้องถิ่น แนวคิดข้างต้น ศ.ดร.สุรินทร์กล่าวว่าจะได้ผลมากกว่าตั้ง “โรงเรียนวิทยาศาสตร์” เพราะเป็นการยกระดับการเรียนทั้งระบบ นักเรียนทั้งที่เก่งและไม่เก่งจะได้รับการพัฒนาไปพร้อมกัน เมื่ออยู่โรงเรียนเดียวกันเด็กเก่งก็จะช่วยถ่ายทอดความรู้ให้เพื่อนที่ไม่เก่งได้ ต่างจากโรงเรียนวิทยาศาสตร์ที่มีต้นทุนสูงและเด็กต่างจังหวัดไม่ได้รับโอกาส หากตั้งเป็นโรงเรียนวิทยาศาสตร์ก็จะมีเด็กแค่บางกลุ่มที่ได้เข้าไปเรียน เด็กเก่งก็จะได้รับการพัฒนาขึ้นไป แต่เด็กไม่เก่งก็ยังคงอยู่เท่าเดิม ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเด็กเก่งและไม่เก่งมากขึ้น “ที่ สสวท.ทำอยู่คือ พสวท.(โครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี) แต่ทำได้น้อย แค่ 6 คน/ชั้นเรียน น่าจะทำให้ได้ 25 คน/ชั้นเรียน เด็กเก่งจะกระจายอยู่ทุกจังหวัด และไม่ต้องเข้ามากระจุกอยู่ในกรุงเทพฯ และให้มหาวิทยาลัยในท้องถิ่นรับเด็กเหล่านี้เข้าศึกษาต่อในคณะวิทยาศาสตร์ เช่น ที่ภาคใต้ก็ให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์รับเด็กเข้าไป ที่ภาคเหนือก็ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่รับไป เป็นต้น ที่ประเทศอื่นก็ใช้วิธีนี้ ที่ญี่ปุ่นก็มีชั้นเรียนแบบนี้อยู่ 100 โรงเรียนทั่วประเทศ เรียกว่า Super Science High School” (ผู้จัดการ พุธที่ 4 ต.ค. 2549 http://www.manager.co.th)





ฟรี!! ศูนย์ซินโครตรอนฯ เปิดรับ นศ.เข้าค่าย หมดเขต 6 ต.ค.

ศูนย์ปฏิบัติการวิจัยเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนแห่งชาติ (ศซ.) เปิดรับสมัครนิสิต นักศึกษา เข้าร่วมกิจกรรม “ค่ายวิทยาศาสตร์แสงสยาม ครั้งที่ 3” เพื่อสร้างเครือข่ายงานวิจัยและเสริมความเข้มแข็งของกลุ่มผู้ใช้ประโยชน์แสงซินโครตรอนของไทย ระหว่างวันที่ 17 – 21 ต.ค. 2549 ณ ห้องปฏิบัติการแสงสยาม จ.นครราชสีมา โดยผู้สมัครต้องมีคุณสมบัติเป็นนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 4 และระดับปริญญาโท ในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ประยุกต์ จากสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ ผู้ร่วมกิจกรรมจะได้พบกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีซินโครตรอน และการใช้ประโยชน์แสงซินโครตรอนในด้านต่างๆ รวมถึงเรียนรู้ถึงขั้นตอนของการผลิตแสงซินโครตรอน และเข้าร่วมปฏิบัติการวิจัยโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์ด้านต่างๆ ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์วิจัยจากนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำ และนักศึกษาผู้รับทุน DESY ปี 2549 “Desy Summer School” ประเทศเยอรมนี เปิดรับสมัครถึงวันที่ 6 ต.ค. 2549 ไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายการประยุกต์แสงซินโครตรอน ศซ. โทรศัพท์ 0-4421-7040 ต่อ 444, 606 โทรสาร 0-4421-7047 ดาวน์โหลดใบสมัคร ได้ที่ http://www.nsrc.or.th และส่งไปที่ค่ายวิทยาศาสตร์แสงสยาม ศูนย์ปฏิบัติการวิจัยเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนแห่งชาติ ตู้ ป.ณ.93 ปณจ. นครราชสีมา 30000 (ผู้จัดการ พุธที่ 4 ต.ค. 2549 http://www.manager.co.th)





รปภ.ออนไลน์เตือนภัยรูดทรัพย์ผ่านเน็ต อาศัยช่องโหว่โปรแกรมเวบไซต์ล้วงข้อมูลส่วนตัว

บริษัท ไซแมนเทค คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นธุรกิจด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยบนเครือข่ายเปิดเผยว่า การโจรกรรมข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลบริษัทผ่านอินเทอร์เน็ตยังคงทวีความรุนแรง โดยบรรดามิจฉาชีพออนไลน์ได้พัฒนาเทคนิคอำพรางตัวแอบเข้ามาล้วงข้อมูลในคอมพิวเตอร์ได้แนบเนียนยิ่งขึ้น และตรวจจับได้ยากขึ้น ประเทศที่ตกเป็นเป้าโจรกรรมมากที่สุดคือ สหรัฐ โดยมีสถิติสูงถึงร้อยละ 42 ตามมาด้วย จีน ที่ถูกล้วงตับร้อยละ 7 นายวัชรสิทธิ์ สันติสุขนิรันดร์ ผู้จัดการฝ่ายขายประจำประเทศไทย บริษัท ไซแมนเทค คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ปัญหาดังกล่าวมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและส่งผลกระทบต่อผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในวงกว้าง ไซเมนเทคจึงได้พัฒนาเครื่องมือดักจับรูปแบบใหม่เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และสามารถปกป้องลูกค้าจากภัยออนไลน์ต่างๆ ได้ดีขึ้นในอนาคต ถึงแม้ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์และบริษัทองค์กรต่างๆ ได้พัฒนาเครื่องมือป้องกันภัยคุกคามทางคอมพิวเตอร์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และมีกลยุทธ์ป้องกันระบบอย่างเป็นรูปธรรม แต่บรรดาวายร้ายเองก็มีการปรับเปลี่ยนเป้าหมายและหันไปใช้เทคนิคใหม่ๆ เช่น การมุ่งสร้างความเสียหายต่อเครื่องส่วนบุคคลผ่านทางเวบบราวเซอร์มีปริมาณมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นในมอซิลลา (Mazilla) อินเทอร์เน็ตเอ็กซ์พลอเรอร์ (IE) 38 รายการ หรือแม้แต่ซาฟารี โปรแกรมท่องอินเทอร์เน็ตบนเครื่องแมคอินทอช ซึ่งปกติจะไม่ตกเป็นเป้าหมายของนักล้วงข้อมูลนัก นอกจากนี้โปรแกรมรับส่งอีเมล หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ และโปรแกรมอื่นยังคงเป็นช่องทางสำคัญที่มิจฉาชีพออนไลน์ใช้ดอดเข้ามาล้วงดูข้อมูลรายชื่อผู้ติดต่อ ลูกค้า ที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ โดยภัยคุกคามที่อาศัยเวบแอพพลิเคชั่นนั้นมีอัตราส่วนสูงถึงร้อยละ 69 ตามที่เก็บบันทึกโดยไซแมนเทคในช่วงครึ่งแรกของปี 2549 ขณะเดียวกัน ปัญหาจากอีเมลขยะก็เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 54 ของปริมาณอีเมลใหม่ทั้งหมดในระบบ จากอีเมลอันตรายได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบใหม่ๆ อยู่เสมอ จากที่เคยแนบไฟล์อันตรายติดมากับอีเมล ก็เปลี่ยนเป็นการใส่ "ลิงค์" หลอกให้ผู้ใช้คลิกเข้าไปยังเวบไซต์อันตรายแทน ทั้งนี้ก็เพื่อหลบหลีกการตรวจจับอีเมลอันตรายจากระบบกรองอีเมลของซอฟต์แวร์ปกป้องระบบต่างๆ (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 6 ต.ค. 49 http://www.komchadleuk.net)





ข่าววิจัย/พัฒนา


เชื้อไวรัสโรคหวัดมีอยู่ทั่วไปแค่เอื้อม ให้หมั่นล้าง มือกันไม่ให้เป็นสะพาน

นักวิจัยได้รายงานผลการศึกษาความชุกชุมของเชื้อไวรัสโรคหวัด ที่พบอยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ต่อที่ประชุมสมาคมจุลชีววิทยาอเมริกันว่า ผู้ที่กำลังเป็นหวัด จะทิ้งหยดเล็กฝอยที่มีเชื้อไวรัสไว้ตามสิ่งที่จับต้องต่างๆ อย่างเช่น โทรศัพท์ ลูกบิดประตู ปุ่มโทรทัศน์ ไว้ได้มากประมาณ 35 เปอร์เซ็นต์ ในระยะเวลาหลังจากนั้นชั่วโมงเดียว จะมีผู้อื่นได้เชื้อเหล่านั้นไปเกือบ 60% ของเวลา และหากทิ้งอยู่ถึง 24 ชม. เชื้อโรคเหล่านั้นมากถึง 33% จะถูกถ่ายไปอยู่ตามนิ้วมือคนต่างๆ ศาสตราจารย์วิชากุมารเวชศาสตร์ ดร.โอเวน เฮนด์ลีย์ มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย เฮลธ์ ซิสเตม หัวหน้าคณะนักวิจัย กล่าวว่า เมื่อคนเอามือที่เปื้อนเชื้อเหล่านี้ ไปจับต้องหน้าตาของตนเองเข้าก็จะติดหวัด “ดังนั้น วิธีป้องกันดีที่สุดก็คือ เราควรจะหมั่นล้างมือกันเอาไว้” เพื่อที่จะศึกษาการแพร่เชื้อไวรัสโรคหวัดโดยง่ายให้เห็นจริงเห็นจัง เขาได้ให้อาสาสมัครที่เป็นหวัด ไปพักค้างแรมหนึ่งคืนในโรงแรมแห่งหนึ่ง และได้เข้าไปตรวจตามที่ต่างๆในห้องพักนั้นในวันรุ่งขึ้น พบว่าตามที่ต่างๆที่โดนจับต้อง 150 จุดด้วยกัน มีเชื้อติดอยู่ถึง 52 แห่ง จุดที่อันตรายมากกว่าเพื่อนได้แก่สวิตช์ไฟ ปากกา ก็อกน้ำ ลูกบิดประตู รีโมตโทรทัศน์ และโทรศัพท์”. (ไทยรัฐ จันทร์ 2 ต.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





เอ็มเทคจับมือ4สถาบัน พัฒนา"กะโหลกเทียมไฮเทค"

รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (ผอ.สวทช.) ให้สัมภาษณ์หลังเป็นประธานพิธีลงนามความร่วมมือระหว่าง ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(วท.) กับ ม.ขอนแก่น สงขลานครินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและเชียงใหม่ ในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ "การสนับสนุนและส่งเสริมการวิจัย พัฒนา ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการสร้างต้นแบบรวดเร็วและวัสดุฝังในตลอดจนวัสดุและอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อช่วยเหลือในการศัลยกรรมทางการแพทย์" ว่า การลงนามความร่วมมือครั้งนี้มีระยะเวลา 5 ปี เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการวิจัย พัฒนา ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการสร้างต้นแบบรวดเร็วและวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อช่วยในการศัลยกรรมประเภทต่างๆ เช่น การผ่าตัดกะโหลกศีรษะ ใบหน้า ขากรรไกรหรือความผิดปกติต่างๆ ที่เกิดจากอุบัติเหตุ เป็นต้น พร้อมทั้งเป็นความร่วมมือในการเผยแพร่และถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อให้เกิดการใช้งานจริงอย่างแพร่หลาย มีประสิทธิภาพเกิดประโยชน์สูงสุดเพิ่มโอกาสและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย และเป็นการร่วมมือกันส่งเสริมความสัมพันธ์และการพัฒนาบุคลากรในระดับบัณฑิตศึกษาทางด้านวิศวกรรมชีวการแพทย์เพื่อรองรับงานวิจัยและการพัฒนาบุคลากรระหว่างสถาบันเพื่อการถ่ายทอดความรู้ทางวิชาการต่อไป (ข่าวสด อังคารที่ 3 ต.ค. 2549 http://www.matichon.co.th/)





ฮอร์โมนเพศล้นทำสมองทลาย ไปก่อวินาศกรรมหน่วยประสาท

ผลการศึกษาของคณะนักวิจัยโรงเรียนแพทย์ที่เมืองนิวเฮเวน ที่สหรัฐอเมริกา เตือนให้ระวัง การให้ฮอร์โมนเทสโตสเตโรน อันเป็นฮอร์โมนเพศผู้สูงเกินไป อาจทำให้เกิดความวิบัติ เนื่องจากเซลล์สมองทำลายตนเองลงได้ และเป็นเหตุผลให้ตระหนักถึงอันตรายของการใช้สเตรอยด์อย่างสุ่มสี่สุ่มห้าอันหนึ่ง ผลการศึกษารายงานทางเว็บ ivenhoe. com กล่าวว่า ระดับฮอร์โมนเทสโตสเตโรนที่ล้นเกิน อาจนำไปสู่การสูญสิ้นเซลล์สมองนับเป็นหายนะได้เป็นที่ทราบกันว่า สเตรอยด์อาจก่อให้เกิดการบันดาลโทสะและความคิดฆ่าตัวตาย การศึกษาของมหาวิทยาลัยเยลอธิบายสาเหตุไว้ว่า ระดับของเทสโตสเตโรนที่ล้นเกิน อาจไปจุดชนวนกลไกทำลายตนเองของเซลล์สมองหรือหน่วยประสาทขึ้น นักวิจัยกล่าวไว้ว่า หากหน่วยประสาทตายลงเมื่อใด จะยังผลให้บทบาทของสมองเสียหายลงอย่างถาวร (ไทยรัฐ พุธที่ 4 ต.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





สจพ.สร้างเครื่องวัดชีพจรไร้สาย

นายปัญญา พาสิงห์ศรี นักศึกษาสาขาวิชาอุตสาหกรรม คณะวิทยาศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เปิดเผยว่า จากความร่วมมือของทีมวิจัยจากคณะวิทยาศาสตร์ และคณะอุตสาหกรรม พัฒนาเครื่องวัดชีพจรแบบพกพาได้สำเร็จ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ช่วยวัดอัตราการเต้นของหัวใจ และคลื่นหัวใจของผู้ป่วย โดยไม่จำเป็นต้องนอนวัดอยู่บนเตียง อุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้แพทย์และพยาบาลที่ต้องเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงชีพจรของคนไข้ตลอดเวลา และช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูแลผู้ป่วยเด็ก ซึ่งไม่อยู่นิ่งให้แพทย์วัดชีพจรง่ายๆ และผู้สูงอายุที่ต้องการเคลื่อนไหวร่างกายแทนการนอนพักผ่อนอยู่บนเตียงตลอดเวลา การวัดด้วยอุปกรณ์ที่ติดประจำที่มีความยุ่งยาก และไม่แม่นยำเท่าที่ควร ทีมงานจึงออกแบบและพัฒนาเครื่องมือวัดชีพจรแบบพกพาขึ้น โดยมีลักษณะคล้ายไมค์ลอย ติดอยู่ตามร่างกายของผู้ป่วย เพื่อวัดสัญญาณชีพที่เปลี่ยนแปลงได้ทุกที่ทุกเวลา ทำให้สะดวกต่อการวินิจฉัยของแพทย์ หลักการทำงานของอุปกรณ์ดังกล่าว ยึดการรับค่าการเต้นของชีพจร และคลื่นหัวใจจากจุดต่างๆ ของร่างกาย อาทิ หัวไหล่ด้านซ้าย-ขวา หน้าขา และบริเวณท้อง ทั้งสิ้น 4 จุด ที่สามารถยึดชีพจรได้ง่าย ทั้งนี้ข้อมูลการเต้นของหัวใจจะนำไปประมวลผลหาระดับการเต้นที่ผิดปกติ ซึ่งข้อมูลที่ได้จะถูกแจ้งไปเครื่องคอมพิวเตอร์ไปยังแพทย์ผ่านโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นในทันที โดยส่งข้อมูลผ่านทางสัญญาณไร้สาย หรือบลูทูธ ระยะไม่เกิน 20 เมตร (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 6 ต.ค. 49 http://www.komchadleuk.net)





พบยาย้อมผมสูตรนาโน "2000 ปี"

ดร.ฟิลิป วอลเตอร์ จากศูนย์ฟื้นฟูและวิจัยขององค์การพิพิธภัณฑ์ฝรั่งเศส ค้นพบสูตรยาย้อมผมถาวรด้วยเทคโนโลยีนาโนที่มีอายุเก่าแก่ถึง 2,000 ปี และได้ทดลองทำยาย้อมผมขึ้นมาจำนวนหนึ่งตามตำรับยุคกรีก-โรมัน ที่มีส่วนผสมของออกไซด์ตะกั่วและปูนขาวเปียก จากนั้นได้นำเส้นผมสีทองปริมารณ 50 มิลลิกรัม ลงไปย้อมเป็นเวลา 3 วัน และเฝ้าศึกษาอย่างใกล้ชิด พบว่าผมค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำ และเมื่อนักวิจัยนำผมไปศึกษาผ่านกล้องจุลทรรศน์พบคริสตัลของออกไซด์ตะกั่วอยู่ในเส้นผมมีขนาดเล็กจิ๋วระดับ 5 นาโนเมตร (1 นาโนเมตรเท่ากับ 1/1,000 ล้านเมตร) นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่า สารตะกั่วทำปฏิกิริยากับกำมะถันจากกรดอะมิโนที่อยู่ในเคราตินของเส้นผม เป็นตัวการทำให้เกิดเป็นสีดำ เมื่อสังเกตดูผลึกของตะกั่วซัลไฟด์แล้วพบว่ามีลักษณะเป็นเม็ดจิ๋วขนาดอะตอม ซึ่งเป็นสสารวัตถุชั้นสูงที่ใช้ในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การค้นพบครั้งนี้อาจนำไปใช้พัฒนาสสารนาโนใหม่จากแร่ธาตุได้ ดร.อีวาน เคมป์สัน นักวัสดุศาสตร์และเป็นหนึ่งในทีมวิจัย กล่าวว่า พอใจกับผลวิจัยนี้มาก เหตุที่สนใจเรื่องนี้เพราะต้องการศึกษากระบวนการที่เส้นผมดูดซึมโลหะธาตุจากสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ใจเสียทีเดียวนักว่ากำมะถันในเคราตินทำปฏิกิริยากับตะกั่วในเส้นผมอย่างไร ถ้าสามารถรู้กระบวนการที่ทำให้กำมะถันแทรกซึมเข้าไปในเส้นผม และปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น อาจนำไปใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางประเภทยาย้อมผมได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ ทีมวิจัยยังประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์จากบริษัทลอรีอัล ผู้ผลิตเครื่องสำอางชั้นนำ (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 6 ต.ค. 49 http://www.komchadleuk.net)





มช.คิดชุดตรวจอเนกประสงค์ คลุมตั้งแต่มะเร็งตับจนถึงโรคข้อ

รศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ หัวหน้าศูนย์วิจัยที่มีความเป็นเลิศทางด้านวิศวกรรมเนื้อเยื่อของประเทศไทย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ปัจจุบันการตรวจโรคที่เกี่ยวกับตับ ทำได้โดยวิธีรีเวอร์ฟังก์ชันเทสต์ หรือการตรวจการทำงานของตับ ซึ่งให้ความแม่นยำและระบุชนิดของโรคเพียง 60-80% ด้วยเหตุนี้ศูนย์วิจัยจึงศึกษาและพัฒนาชุดน้ำยาสำเร็จรูป สำหรับตรวจโรคเกี่ยวกับตับ ที่มีความแม่นยำในการระบุชนิดของโรคถึง 93% ที่ผ่านมาการจะระบุชนิดของโรคตับ ต้องผ่านกระบวนการตรวจวินิจฉัยโรค 2-3 ขั้นตอนด้วยกัน ขั้นตอนแรกตรวจระบบการทำงานของตับจากเอนไซม์ ที่บ่งชี้ภาวะการทำงานของตับว่ามีความผิดปกติหรือไม่ ถือเป็นการตรวจเบื้องต้น หากเอนไซม์บ่งชี้สิ่งที่ผิดปกติ จะต้องเข้าสู่ขั้นตอนที่ 2 คือ การตรวจแบบจำเพาะโดยตรวจเอนไซม์เพิ่ม เพื่อบ่งชี้ว่าผู้ป่วยป่วยเป็นโรคตับในระดับใด หากต้องการทราบว่าป่วยเป็นโรคตับชนิดใด จะเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย โดยตรวจชิ้นเนื้อตับของผู้ป่วย รวมจากขั้นตอนแรกถึงสุดท้ายใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ค่าใช้จ่ายกว่า 1.5 หมื่นบาท แต่ชุดน้ำยาสำเร็จรูปที่พัฒนาขึ้น อาศัยเลือดของผู้ป่วยเป็นสิ่งที่ส่งตรวจ ใช้ระยะเวลาในการตรวจเพื่อระบุชนิดของโรคเพียง 1-2 วัน ค่าใช้จ่ายเพียง 400 บาทต่อการตรวจ 1 ครั้ง ชุดน้ำยาสำเร็จรูปที่พัฒนาขึ้นนี้ หากใช้งานร่วมกับการตรวจแบบเดิมจะให้ความแม่นยำในการระบุชนิดของโรคถึง 99% ทั้งยังสามารถตรวจหามะเร็งตับในระยะเริ่มได้ด้วย เมื่อเทียบกับการตรวจแบบเดิม ที่โอกาสตรวจพบโรคมะเร็งตับในระยะเริ่มแรกเป็นไปได้ยากมาก ส่วนมากที่มีการตรวจพบโรคมะเร็งตับจะเป็นการตรวจพบในระยะที่ไม่สามารถรักษาได้แล้ว และผู้ป่วยจะมีชีวิตได้เพียง 6-8 เดือนเท่านั้น หลังจากการตรวจพบ นอกจากตรวจหามะเร็งตับระยะแรกได้แล้ว ชุดน้ำยาสำเร็จรูปดังกล่าวยังสามารถตรวจหาและแยกอาการระหว่างโรคข้อเสื่อมกับโรคข้ออักเสบ ซึ่งอาคารสองโรคนี้คล้ายกันมาก ทำให้แพทย์ไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าผู้ป่วยป่วยเป็นโรคชนิดใด และในการตรวจรักษาที่ผ่านมาจะต้องเจาะน้ำเลี้ยงในกระดูกของผู้ป่วยไปตรวจ แต่การใช้ชุดน้ำยาสำเร็จรูปไม่จำเป็นต้องเจาะน้ำเลี้ยงกระดูก ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องทนเจ็บปวดอีกต่อไป (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 6 ต.ค. 49 http://www.komchadleuk.net)





หลังคาลายไม้ไม่กลัวฝน

นายสิทธิชัย เนี๋ยมเจริญ ผู้จัดการส่วนบริการเทคนิค บริษัท กระเบื้องหลังคาซีแพค จำกัด กล่าวว่า ทีมวิจัยออกแบบกระเบื้องคอนกรีตแบบเรียบลายเนื้อไม้ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่นิยมใช้วัสดุแต่งบ้านลวดลายธรรมชาติมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่พักอาศัย ประเภทรีสอร์ท สปา รวมถึงบ้านพักส่วนตัว กระเบื้องลายไม้ในรุ่นแรก มีลวดลายร่องไม้ทับซ้อนกันใกล้เคียงกับเนื้อไม้ตามธรรมชาติ แถมยังมีร่องลึกบนหน้ากระเบื้องเป็นจำนวนมาก เมื่อเกิดแรงปะทะของน้ำฝนและลม น้ำจะไหลเข้าสู่ร่องไม้ด้านใน และเกิดการรั่วซึมอย่างเห็นได้ชัด "ทีมวิจัยจึงพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว โดยออกแบบระบบไหลเวียนอากาศช่วยลดกระแสลม ด้วยการยกระดับพื้นกระเบื้องด้านบนขึ้นเล็กน้อย เพื่อต้านกระแสลมและบังคับให้ย้อนกลับไปในทิศทางตรงข้าม ตลอดจนสร้างร่องน้ำลึก 1 เซนติเมตร บริเวณด้านข้างของแผ่นกระเบื้องเพื่อระบายน้ำออก" นายสิทธิชัย กล่าว ต้นแบบกระเบื้องลายไม้ผ่านการทดสอบในอุโมงค์ลมเรียบร้อยแล้ว โดยสามารถป้องกันแรงลมและฝนในระดับต่างๆ ได้อย่างดี โดยเฉพาะสภาวะอากาศที่เกิดขึ้นในบ้านเรา เช่น ฝนตกหนักลมน้อย ฝนปานกลางลมแรง และฝนน้อยลมน้อย ซึ่งอ้างอิงข้อมูลสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา บริษัทวางขายกระเบื้องดังกล่าวในช่วง 5-6 เดือนที่ผ่านมา แต่จะยังคงพัฒนาต่อเนื่อง เช่น ออกแบบลวดลายเนื้อไม้ให้หลากหลายขึ้น ตลอดจนพัฒนาให้มีน้ำหนักเบา จากเดิม 60 กิโลกรัม ให้เหลือประมาณ 45 กิโลกรัม เพื่อลดน้ำหนักโครงสร้างของบ้าน ก่อนหน้านี้ บริษัทพัฒนากระเบื้องที่ติดตั้งระบบหลังคาเย็น จากการยกระดับพื้นกระเบื้องขึ้น 2-3 องศา ช่วยให้อากาศไหลเวียนได้สะดวก ตลอดจนพัฒนาอุโมงค์ลมในราคา 3-4 ล้านบาท เพื่อใช้ในการทดสอบผลิตภัณฑ์ โดยไม่ต้องส่งชิ้นงานไปทดสอบที่ต่างประเทศ (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 6 ต.ค. 49 http://www.komchadleuk.net)





สแกน"สมอง"สู้โรคอ้วน ชี้อาหารส่งผลคล้ายยาเสพติด

คณะนักวิจัยจากห้องทดลองปฏิบัติการแห่งชาติบรูคฮาเวน ทดลองติดตัวกระตุ้นที่หลอกร่างกายว่าอิ่มแล้วให้กับอาสาสมัครที่เป็นโรคอ้วน 7 คน จากนั้นใช้เครื่องพีอีทีสแกนว่าสมองส่วนไหนทำงานเมื่อตัวกระตุ้นทำงาน จากการทดสอบพบว่า สมองส่วน "ไฮโปธาลามัส" ที่ควบคุมการผลิตฮอร์โมนหลายชนิดและควบคุมความรู้สึกอิ่มจะทำงาน แต่ผลการสแกนไม่พบการเปลี่ยนแปลงใดๆ ขณะที่พบการทำงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 ที่สมองส่วน "ฮิปโปแคมปัส" ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมเรื่องการเรียนรู้ ความจำ พฤติกรรมทางอารมณ์ การกระตุ้นด้านความรู้สึกและการเคลื่อนไหว ผลการสแกนยังพบด้วยว่า ตัวกระตุ้นส่งความรู้สึกอิ่มไปยังวงจรสมองส่วนที่ทำให้รู้สึกอยากเสพยาที่เกิดขึ้นกับผู้ติดโคเคน "การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า สมองส่วนฮิปโปแคมปัสมีความเกี่ยวโยงกับอารมณ์และความอยากทานอาหาร ช่วยเพิ่มความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกลไกที่คนอ้วนใช้อาหารเป็นเครื่องมือในการสร้างความพึงพอใจในลักษณะเดียวกับที่คนติดยาเสพยา และจะนำไปสู่การศึกษาเพิ่มเติมเพื่อหาวิธีรักษาหรือป้องกันโรคอ้วนให้ได้ผลดียิ่งขึ้น" (ข่าวสุด ศุกร์ที่ 6 ต.ค. 49 http://www.matichon.co.th)





"เอ็มไอที"จัดประชุม หาเทคโนโลยีสู้"โลกร้อน"

ที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาชูเส็ตต์ (เอ็มไอที) สหรัฐอเมริกา ศูนย์รวมความรู้ด้านเทคโนโลยีระดับโลก มีการจัดสัมมนาหัวข้อ "เทคโนโลยีเกิดใหม่" หารือกันถึงแนวทางผลิตพลังงาน ซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาโลกร้อน เป็นหลักทุกวันนี้ ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่กำลังเติบโตทั้งหลาย ล้วนแต่ใช้พลังงานสกปรก-ยุคโบราณ นั่นคือ พลังงานถ่านหิน อันตรายที่เกิดจากการเผาไหม้ถ่านหินมาแปรสภาพเป็นพลังงานก็คือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งถูกปล่อยออกไปสะสมในชั้นบรยากาศโลก ก่อให้เกิดปรากฎการณ์ที่เราเรียกกันว่า "ปรากฎเรือนกระจก" ชั้นคาร์บอนไดออกไซด์นั้นยิ่งสะสมมากเท่าไหร่ ยิ่งกลายเป็นตาข่ายดักความร้อนไม่ให้หลุดออกไปจากโลกของเรา โจเซฟ รอมม์ ผู้อำนวยการศูนย์แก้ปัญหาพลังงานและสภาพอากาศ หนึ่งในผู้ร่วมประชุม บอกว่า ภาวะโลกร้อนขณะนี้เข้าขั้นใกล้ตายแล้ว การพัฒนาเทคโนโลยีที่ดีเลิศ-วิเศษสุด เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนในอนาคต คงรอไม่ได้อีกต่อไปวิธีที่ดีที่สุด คือ นำเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบัน มาพัฒนาต่อยอด ปรับปรุง ให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น (ข่าวสด ศุกร์ที่ 6 ต.ค. 49 http://www.matichon.co.th)





เด็กเชียงใหม่คว้าชนะเลิศ'โลงศพฟางข้าว'

บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด ประกาศผลโครงการ SCBS Young Star Inverstor 2006 หรือ ต้นกล้าความคิดสู่ธุรกิจสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เยาวชนอายุ 15-18 ปี แสดงออกทางความคิดสร้างสรรค์ด้านธุรกิจและอาชีพที่แปลกใหม่ และสามารถพัฒนาให้เป็นจริงได้ โดยมีผู้ส่งผลงานทั้งสิ้น 3,800 ชิ้น และเจ้าของผลงานที่ผ่านการคัดเลือก 20 คน ได้เข้าร่วมกิจกรรมค่ายพลังสร้างสรรค์ทางความคิดที่กรุงเทพ เป็นเวลา 3 วัน 2 คน ผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ได้แก่ น.ส.ศรัณยา กิจดำรงธรรม นักเรียนชั้นม. 5 โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ ในผลงาน “โลงศพฟางข้าว”คือการผลิตโลงศพจากฟางข้าวเหลือใช้ น.ส.ศรัณยา หรือ น้องหมวย กล่าวถึงแนวคิดว่า จากที่ได้เดินทางไปแถบชนบทและเห็นว่าหลังการเก็บเกี่ยวข้างแล้วจะมีฟางข้าววางกองเกลื่อนไว้ ส่วนมากไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์ บางครั้งยังเผาทิ้งกลายเป็นมลพิษทางอากาศ ในขณะที่ โลงศพ ซึ่งเป็นสิ่งมียังคงความต้องการอยู่ตลอดเวลา ซึ่งวัตถุดิบสำคัญในการผลิตคือไม้ แต่ละปีต้องใช้ไม้จำนวนมากในการผลิตโลงศพที่ในที่สุดก็ต้องเผาทิ้งไป ทั้งจำนวนต้นไม้ในประเทศลดลงไปมาก เนื่องจากมีการนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สนองความต้องการประชากรที่เพิ่มมากขึ้น จึงเกิดแนวคิดว่า หากนำฟางข้าวไปบดและบีบอัดลักษณะเดียวกันกับการผลิตกระดาษ แต่ให้มีความหนาและแข็งแรงมากกว่าและมาประกอบเข้าเป็นรูปทรงตามขนาดที่ต้องการ โดยส่วนด้านในจะเคลือบทับด้วยขี้ผึ้งหรือวัสดุที่มีคุณสมบัติป้องกันน้ำและความชื้นที่อาจเกิดขึ้นจากตัวศพ โดยภายนอกยังสามารถตกแต่งสีสัน และลวดลายได้ตามความต้องการ น.ส.ศรัณยา กล่าวอีกว่า ผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอเป็นการนำสิ่งเหลือใช้มาเพิ่มคุณค่า และเป็นการทดแทนทรัพยากรต้นไม้ที่มีจำนวนจำกัด ทั้งจะช่วยให้มลพิษลดลง ต้นไม้ถูกตัดน้อยลงและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ก็จะดีขึ้น และหลังจากเสร็จสิ้นการประกวดอาจจะติดต่อขอจดลิขสิทธิ์ทางปัญญา แต่ขอศึกษาข้อมูลและวิธีการดำเนินการก่อน ส่วนการขยายผลทางธุรกิจนั้น ในเบื้องต้นนี้ยังไม่มีทุนทรัพย์ในการดำเนินการ แต่หากมีผู้สนใจก็ยินดีจะเผยแพร่แนวคิด โดยติดต่อได้ที่ 07-447-5564 (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 6 ต.ค. 49 http://www.bangkokbiznews.com)





ข่าวทั่วไป


โปรดเกล้าฯ"สุรยุทธ์"นายกฯคนที่24ขอ1สัปดาห์ตั้งครม.ใหม่อยู่ในตำแหน่งปีเดียววอนทุกฝ่ายร่วมมือกัน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 24 ของประเทศไทยแล้ว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า ตามที่ได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พุทธศักราช 2549 เพื่อให้เหมาะสมแก่สถานการณ์ปัจจุบันไปพลางก่อน จนกว่าจะได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ซึ่งสภาร่างรัฐธรรมนูญจะได้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายต่อไปนั้น บัดนี้ ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ สมควรได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 14 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว พุทธศักราช 2549 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี บริหารราชการแผ่นดิน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 1 ตุลาคม พุทธศักราช 2549 เป็นปีที่ 61 ในรัชกาลปัจจุบัน โดยมี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ก่อนหน้านี้เวลา 15.15 น. พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ เดินทางเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต เพื่อขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตทูลเกล้าฯ ชื่อ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 24 ของประเทศไทย หลังจากรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แล้ว พล.อ.สุรยุทธ์ พร้อมภริยา ได้ทักทายกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ รวมทั้งบรรดาปลัดกระทรวงต่างๆ ที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในครั้งนี้ด้วย "สรุยุทธ์"ขอ1 สัปดาห์ตั้งครม. ต่อจากนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ ได้ตอบข้อซักถามผู้สื่อข่าวถึงกรอบแนวทางในการสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนด้านเศรษฐกิจ เมื่อถูกถามว่ามีใครอยู่ในใจที่จะมาอยู่ในทีมเศรษฐกิจ ว่าขณะนี้ยังไม่มี และคิดว่าคงจะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ในการเลือกตัวบุคคลเข้ามาอยู่ใน ครม.ชั่วคราว หลังจากนั้นก็จะมีการชี้แจงเรื่องนโยบาย รวมถึงการสร้างความมั่นใจด้านเศรษฐกิจ เพราะเรื่องนี้จะหารือกันหลายคน เพราะนโยบายที่จะออกมาคงไม่ใช่เป็นของตนเพียงคนเดียว เป็นเรื่องของคณะรัฐมนตรีที่จะเข้ามาช่วยกันพิจารณาและบริหารงาน (คมชัดลึก จันทร์ 2 ต.ค. 2549 http://www.komchadleuk.net)





วัยโจ๋ 50% สูบบุหรี่ 'ชูรส' สธ รุกต้านหวั่นนักสูบ หน้าใหม่

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย แถลงข่าว “ภัยบุหรี่ชูรส ลวงเยาวชน” นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ได้ทราบข่าวมาว่า กรมสรรพสามิตมีท่าทียินยอมให้บริษัทบุหรี่นำเข้าจากต่างประเทศ นำเข้าผลิตภัณฑ์ยาสูบบุหรี่ชูรส ซึ่งเป็นบุหรี่ที่มีการปรุงแต่งรสต่างๆ อาทิ ส้ม เชอร์รี่ คาราเมล มะนาว วนิลา ฯลฯ เพื่อดึงดูดให้มีผู้สูบมากขึ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้กระทรวงสาธารณสุข (สธ) ได้ทำหนังสือคัดค้านการอนุญาตการนำเข้าและผลิตบุหรี่ชูรสเหล่านี้ เนื่องจากมีข้อมูลพบว่า บุหรี่ชูรสมีผลต่อการสูบบุหรี่ของนักสูบหน้าใหม่ ซึ่งทางหนึ่งที่จะสกัดกั้นการนำบุหรี่ชูรสทั้งหลายเข้ามาจำหน่ายภายในประเทศคือ สธ จะออกกฎกระทรวง ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลานาน เพราะต้องผ่านมติคณะรัฐมนตรี จากนั้นเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา สธ จึงจะสามารถนำมาประกาศใช้ได้ และปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายห้ามจำหน่ายบุหรี่ชูรส นางมณฑา เก่งการพานิช รอง ผจก.ศูนย์วิจัยการจัดการความรู้เพื่อการควบคุมการบริโภคยาสูบ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า จากการสำรวจเด็กนักเรียน กทม.อายุ 13-15 ปี จำนวน 350 คน เมื่อเดือน ม.ค. 2549 พบว่า 10% สูบบุหรี่ ในจำนวนนี้ 52.8% สูบบุหรี่ชูรส อีก 67.9% สูบบุหรี่ที่มีคำว่า รสอ่อน ซึ่งการสูบบุหรี่ชูรสเป็นเรื่องสำคัญ เพราะบุหรี่ที่มีคำว่า รสอ่อน สธ ได้ออกประกาศห้ามใช้แล้ว (ไทยรัฐ พุธที่ 4 ก.ย. 49 http://www.thairath.co.th)





คนไทยข้อเข่าเสื่อม 6 ล้านกว่าคน กินปลาเล็กปลาน้อยป้องกันได้

สาธารณสุขเผย พบคนไทยเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมในผู้สูงอายุกว่า 6 ล้านคน โดยพบในผู้หญิงวัย 50 ปีขึ้นไป มากถึงร้อยละ 40 แนวโน้มมีสูงขึ้น พร้อมเตือนประชาชนให้เร่งดูแลสุขภาพตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยทำงาน เพราะกระดูกคนเราจะเริ่มเสื่อมเมื่ออายุ 40 ปี ทำให้ไร้ประสิทธิภาพการทำงาน แนะกินปลาเล็กปลาน้อย นม ผักใบเขียวและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะป้องกันได้ นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดประชุมวันโรคข้อสากล เฉลิมพระเกียรติทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ที่โรงพยาบาลราชวิถี ว่า โรคกระดูกและโรคข้อกำลังเป็นปัญหาของประชาชน โดยทั่วโลกมีผู้ ป่วยโรคนี้กว่า 400 ล้านคน ในอีก 20 ปีข้างหน้า คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 50 เนื่องจากประชากรโลกมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อายุยืนยาวขึ้น แต่ขณะเดียวกันผลจากการใช้ชีวิตที่สุขสบายมากขึ้น ขาดการออกกำลังกาย ไม่กินผักใบเขียว จะทำให้เกิดโรคข้อกระดูกและโรคข้อมาก รวมทั้งเกิดมาจากอุบัติเหตุจราจร ทำให้กระดูกหัก กระดูกผิดรูปไป ทั้งนี้ จากสถิติผู้ป่วยโรคกระดูกและข้อในไทยของมูลนิธิโรคข้อพบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคข้อเสื่อมกว่า 6 ล้านคน และมีโรคข้ออักเสบ รูมาตอยด์ และโรคเกาต์ รวมกันเกือบ 7 ล้านคน โรคข้อเสื่อมจะพบมากในกลุ่มผู้สูงอายุ มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป มากถึงร้อยละ 50 รองลงมาคือ โรคกระดูกหัก เนื่องจากกระดูกพรุน ซึ่งพบในหญิงอายุมากกว่า 50 ปี ถึงร้อยละ 40 และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นทุกๆปี “โดยทั่วไป กระดูกคนเราจะเริ่มเสื่อมเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากแคลเซียมในร่างกายจะเริ่มเสื่อมสลายทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายจะลดลง แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ปลาเล็กปลาน้อย นม ผักใบเขียว ตับ งดเครื่องดื่มประเภท ชา กาแฟ สุรา อาหารรสเค็ม และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ” (ไทยรัฐ พุธที่ 4 ต.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





กินมันฝรั่งทอดเพียงวันละ 1 ถุงเท่ากับซดน้ำมันพืชปีละ 5 ลิตร

มูลนิธิโรคหัวใจอังกฤษเปิดเผยความจริงอันน่าตกใจให้ทราบกันว่า ผู้ที่กินของขบเคี้ยว เป็นมันฝรั่งทอดกรอบวันละ 1 ถุง ทุกวัน จะเท่ากับปีหนึ่งซดน้ำมันพืช เข้าไปมากถึง 5 ลิตร ลูกเด็กเล็กแดงตามชาติตะวันตกล้วนแต่กินมันฝรั่งทอดกรอบเป็นของขบเคี้ยว ไม่ ต่ำกว่าวันละถุงกันทุกวัน นอกจากมันจะดูดน้ำมันแล้ว ยังมีเกลือ น้ำตาล และไขมันอยู่ด้วย ศาสตราจารย์ปีเตอร์ ไวส์เบิร์ก ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ของมูลนิธิ สรุปว่า การกินของที่มีไขมันอยู่มาก แต่ไม่ค่อยมีคุณค่าทางอาหาร นับเป็นภัยแก่สุขภาพเด็กในระยะยาว “การกินขนมที่ไม่มีประโยชน์ นับเป็นนิสัยที่น่าห่วง เพราะรังแต่จะทำให้เด็กอ้วนและเป็นโรคเบาหวานแบบที่สองขึ้นในวันหน้าเท่านั้น” (ไทยรัฐ พุธที่ 4 ต.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215