หัวข้อข่าวปีที่ 7 ฉบับที่ 43 ประจำวันที่ 2006-10-24

ข่าวการศึกษา

ติงนโยบายการศึกษาเมินปลูกฝังคุณธรรม
สทศ.แจงกลุ่มสอบโอเน็ตฟรี ตกรุ่น-สอบใหม่จ่าย ค่าสมัคร
เสมา 1 ลุยผลักดัน ม.นอกระบบ ส่งสภานิติบัญญัติฯ ผ่านกฎหมาย
นิสิตเสนอแนวทางแก้จุดบอดแอดมิชชั่น
สทศ.ประกาศปฏิทินรับสมัครโอเน็ต
‘วิจิตร’ ย้ำอนาคตเข้าม.1ต้องไม่มีสอบแข่ง
ทปอ.ถกรมว.ศึกษาฯสรุปเฉพาะหน้าแก้บริหารคล่องตัวก่อน
สทศ.เผยรับสมัครโอเน็ต1-15ธ.ค.นี้
เลิกสอบเข้า ม.1 เว้นเฉพาะโรงเรียนดัง 430 แห่ง

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

ธาตุที่ 118: นักวิทย์สหรัฐ-รัสเซียสังเคราะห์อะตอมหนักสุดได้แล้ว!
มทร.พระนครอวดหุ่นยนต์กู้ภัยออกปฏิบัติงานช่วยชีวิตเบาภาระอาสาสมัคร
เอ็มไอทีคิดค้นแบตเตอรี่จิ๋วพลังสูง
"ไอ้หนุ่มไวไฟ"คว้าเทคโนโลยีดีเด่น
เอาไม้ไปผสมกับวัตถุพลาสติก กลายเป็นวัสดุเบาแต่แข็งแกร่ง
โทษไร้แสงดาวฤกษ์ส่องมาถึง อุณหภูมิโลกจึงเพิ่มสูงมากขึ้น
เสนอตั้งเครือข่ายนักวิจัย ดึงตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงคนชราคลุกคลีวิทยาศาสตร์
ก.วิทย์ฯ ดัน สทอภ.-สสนก.ร่วมวงแก้ปัญหาน้ำ เผยพร้อมเต็มที่
ก.วิทย์โต้โผทำโรดแมพพัฒนาเครื่องจักร
มหิดลปล่อยคลื่นแม่เหล็กสำรวจโลกใต้พิภพ

ข่าววิจัย/พัฒนา

อีกคืบสู่โลกจินตนาการ ทำ "วัตถุล่องหน” ได้แล้ว 2 มิติ
Clean Batt ล้างแบตเสื่อม-ลดขยะพิษ
ก้าวกระโดด! 5 ปี “จรวดขวดน้ำ” พัฒนาไกลระบบยิงอย่างกับมืออาชีพ
มหิดลปล่อยคลื่นแม่เหล็กสำรวจโลกใต้พิภพ
สวทช.ถ่ายทอดวิธีผลิตฟิล์มหุ้มโซลาร์เซลล์
เซกเวย์สัญชาติไทยผลงานลาดกระบัง
‘กล่องใส่ยาพูดได้’
สตรอเบอร์รี่ฟื้นสมองผู้สูงอายุ แต่ต้องกินให้ได้วัน 5 กก.
เตรียม “ไฮโดรเจน” รับ “เซลล์เชื้อเพลิง” ด้วย “ตัวเร่งนาโน”
จับตาน้ำฝนสิ่งประดิษฐ์จากรุ่นเยาว์
ระบบป้องกันขโมย(มืออาชีพ) แกะรอย.."มือถือ"หาย!!


ข่าวทั่วไป

ไทยมีรอยแยกขนาดเล็กกระจาย อาจเกิดแผ่นดินไหวเล็กเป็นระยะ
วัยโจ๋วอนขจัดร้านเหล้าพ้นสถานศึกษา
“รถสื่อสารฉุกเฉิน” บรรเทาเครียด-เชื่อมการติดต่อพื้นที่น้ำท่วม “อ่างทอง”
กินผักเป็นนิจศีลแก่ตัวไปไม่หลงลืม
โจ้กกึ่งสำเร็จรูปคุณค่าน้อยกว่าซีเรียล
เตือนหญิงวัยทองกินยามาก ระวังติดไม่รู้ตัว-แนะออกกำลังกาย





ข่าวการศึกษา


ติงนโยบายการศึกษาเมินปลูกฝังคุณธรรม

รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า จากการติดตามดูการกำหนดนโยบายการศึกษาของ ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รมว.ศึกษาธิการ เริ่มพบความไม่เป็นกลางของ ศ.ดร.วิจิตร ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมกำลังจับตามอง เนื่องจากนโยบายการศึกษามีส่วนคล้ายคลึงกับนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งในเรื่องของการกระจายอำนาจ และแนวทางการเร่งรัด การปฏิรูปการศึกษาที่ยึดกฎหมายเป็นหลัก โดยเฉพาะการตั้ง ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตคณะกรรมการบริหาร สปศ. และนายสมเชาว์ เกษประทุม ที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการ ก็เป็นอดีตกรรมการบริหาร สปศ.เช่นกัน ก็เป็นการยึดกรอบของสำนักงานปฏิรูปการศึกษา (สปศ.) มากเกินไปเช่นกัน โดยส่วนตัวเห็นว่า ศ.ดร.วิจิตรกำลังละเลยและไม่สนใจแนวนโยบายการศึกษาของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ที่เน้นให้กระทรวงศึกษาธิการปลูกฝัง ด้านคุณธรรม จริยธรรม และใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการสมานฉันท์ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ ตนไม่เห็นมีการกำหนดอยู่ในนโยบายการศึกษาของ ศ.ดร. วิจิตรเลย อาจารย์คณะครุศาสตร์ กล่าวต่อว่า การที่ ศ.ดร. วิจิตร หารือร่วมกับข้าราชการประจำและรับฟังความคิดเห็นเป็นสิ่งที่ดี แต่ตนเป็นห่วงว่าจะเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เช่น ปัญหาเขตพื้นที่การศึกษา ปัญหาการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อระดับ ม.ต้น และมหาวิทยาลัย และการประกาศผลักดันกฎหมายการศึกษาที่ค้างอยู่ 44 ฉบับให้ผ่านภายใน 1 ปี ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ กระทรวงศึกษาธิการควรจัดลำดับความสำคัญของปัญหาการศึกษาที่ต้องดำเนินการ รวมไปถึงจัดลำดับความสำคัญในการผลักดันกฎหมายการศึกษา 6-7 ฉบับ ภายในระยะเวลาการทำงานของรัฐบาลนี้คือ 1 ปี ไม่ควรทำทั้งหมด 44 ฉบับ อาจไม่สามารถแก้กฎหมายอะไรได้เลยสักฉบับ เพราะกฎหมายของกระทรวงอื่นๆ ก็ยังมีอีกจำนวนมาก “ศ.ดร.วิจิตรกำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบราชการเต็มตัว เริ่มพูดภาษาเดียวกันกับข้าราชการประจำ ทำให้กลายเป็นซุปเปอร์ปลัดกระทรวงแทนที่จะเป็น รมว.ศึกษาธิการ ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะ ศ.ดร.วิจิตรถอยห่างจากงานการศึกษามา 2 ปีเต็ม อย่างที่เคยชี้แจงไว้ หากตั้งหลักไม่ได้ ก็น่าเป็นห่วงว่า 1 ปีของรัฐบาลนี้ งานการศึกษา อาจจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็ได้” รศ.ดร.สมพงษ์กล่าว (ไทยรัฐ อังคารที่ 24 ต.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





สทศ.แจงกลุ่มสอบโอเน็ตฟรี ตกรุ่น-สอบใหม่จ่าย ค่าสมัคร

ศ.ดร.อุทุมพร จามรมาน ผอ.สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยว่า สทศ. ประกาศปฏิทินการสมัครสอบการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐานหรือโอเน็ต ไปแล้วนั้น สำหรับนักเรียนที่เข้ารับการทดสอบโอเน็ต โดยไม่ต้องสมัครสอบและไม่ต้องเสียเงินค่าสมัครสอบ ได้แก่ นักเรียนชั้น ม.6 ที่กำลังจะจบในปีการศึกษา 2549 สายสามัญทุกสังกัด คือ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานการศึกษาเอกชน (สายสามัญ) โรงเรียน สาธิตทั้งหมด โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร เทศบาล เมืองพัทยา และนักเรียนที่เทียบเท่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่จะจบการศึกษาในปีการศึกษา 2549 ที่เรียนในสถานศึกษาสังกัดต่างๆ คือ กรมการศาสนา สำนักงานการศึกษาเอกชน (สายพาณิชย์) การศึกษานอกโรงเรียน พลศึกษา โรงเรียนกีฬา นาฏศิลป์ อาชีวศึกษา เตรียมทหาร ช่างฝีมือทหาร ช่างการไฟฟ้า ฯลฯ โดยโรงเรียนหรือสถานศึกษาจะต้องเป็นผู้รวบรวมและส่งรายชื่อมาที่ สทศ. หากโรงเรียนหรือสถานศึกษาไม่ดำเนินการ นักเรียนก็จะต้องเป็นผู้สมัครสอบเองผ่านทางเว็บไซต์ของสทศ.ที่ www.niets.or.th หรือเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยที่เป็นศูนย์สอบทั้ง 18 ศูนย์ ในวันที่ 1-15 ธ.ค.2549 และตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิสอบและเลขที่นั่งสอบได้ในวันที่ 10-20 ม.ค.2550 ผอ.สทศ.กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ที่ต้องสมัครสอบโอเน็ตและต้องเสียค่าสมัครสอบ วิชาละ 100 บาท ไม่รวมค่าธรรมเนียมในการโอนเงินผ่านธนาคาร ได้แก่ ผู้ที่จบชั้น ม.6 หรือเทียบเท่าที่จบก่อนปีการศึกษา 2549 หรือผู้ที่สมัครสอบโอเน็ตเป็นครั้งที่ 2 โดยสมัครทางเว็บไซต์ของ สทศ.หรือเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยที่เป็นศูนย์สอบเช่นกัน. (ไทยรัฐ อังคารที่ 24 ต.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





เสมา 1 ลุยผลักดัน ม.นอกระบบ ส่งสภานิติบัญญัติฯ ผ่านกฎหมาย

ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า จากการหารือร่วมกับ ศ.ดร. ปรัชญา เวสารัชช์ ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ถึงมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐ ซึ่ง ทปอ.ยืนยันว่าอยากให้ขับเคลื่อนเรื่องนี้ในระยะเวลา 1 ปี ที่ตนดำรงตำแหน่ง โดยหากมหาวิทยาลัยแห่งใดพร้อมและแสดงความประสงค์อยากออกนอกระบบก็ควรได้ออกนอกระบบทั้งหมด ดังนั้น จึงได้หารือถึงมหาวิทยาลัยของรัฐที่เป็นส่วนราชการอยู่อีกประมาณ 22 แห่ง ขณะนี้สถานภาพของร่าง พ.ร.บ.ออกนอกระบบของมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งมีทั้งที่เข้าสภาไปแล้วและตกไปเพราะยุบสภา หรือที่ผ่านการตรวจร่างจากคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้วรอเสนอเข้าสู่ที่ประชุมสภาฯ และอีก 2 ฉบับที่อยู่ระหว่างการตรวจร่างของคณะกรรมการกฤษฎีกา จึงหารือกันว่า หาก พ.ร.บ.ใดที่มหาวิทยาลัยยืนยันแล้วและผ่านการตรวจร่างจาก คณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว เพื่อความรวดเร็ว ตนจะขออนุมัติจาก ครม.ให้สามารถนำเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้เลย รมว.ศึกษาธิการกล่าวอีกว่า ในเร็วๆนี้ตนจะทำหนังสือไปยังมหาวิทยาลัยต่างๆ และขอให้ยืนยันการออกนอกระบบมา โดยจะต้องผ่านความเห็นชอบของสภามหาวิทยาลัย ทั้งนี้ หากมหาวิทยาลัยใดเสนอเรื่องเข้ามาก่อนก็จะเสนอไปตามลำดับโดยไม่ต้องรอให้เสนอเข้าสู่การพิจารณาพร้อมกันทุกแห่ง เพื่อให้การผลักดันร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวเป็นไปอย่างรวดเร็วแต่รอบคอบ นอกจากนี้ ยังได้หารือถึงการปรับแก้กฎหมายที่เกี่ยวกับระบบการบริหารงานบุคคลของสถาบันอุดมศึกษา เพื่อรองรับพนักงานมหาวิทยาลัยให้มีความมั่นคง ซึ่งหากมหาวิทยาลัยใดที่ออกนอกระบบไปก็จะมีกฎหมายมารองรับพนักงานมหาวิทยาลัยของตนเอง. (ไทยรัฐ อังคารที่ 24 ต.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





นิสิตเสนอแนวทางแก้จุดบอดแอดมิชชั่น

นายทศพล เชี่ยวชาญประพันธ์ รองประธานกลุ่มสนทนาภาษาสิงห์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมด้วย น.ส.ทิพศริน ภัคนกุล วิทยาลัยบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยบูรพา นายกวิน น้ำใจดี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และนายพันธิตร ศรีสถาพร คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ยื่นข้อเสนอเรื่องระบบกลางการรับนิสิต นักศึกษา หรือแอดมิชชั่น พร้อมรายชื่อนิสิตผู้ให้การสนับสนุน 184 รายชื่อ ต่อ ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รมว.ศึกษาธิการ โดยนายทศพลกล่าวว่า จากการรับฟังความคิดเห็นนิสิตชั้นปีที่ 1 ในจุฬาฯ ที่เพิ่งผ่านระบบแอดมิชชั่น และนักเรียน ม.6 ที่กำลังจะผ่านระบบแอดมิชชั่น รวมถึงการศึกษาข้อมูลทำให้ทราบถึงปัญหาและความผิดพลาดที่เกิดขึ้น จึงได้ทำเป็นข้อเสนอและแนวทางแก้ไขยื่นต่อ รมว.ศึกษาธิการ ทั้งนี้ พวกตนไม่ได้เสนอยกเลิกระบบ แต่อยากให้มีการปรับปรุง เพราะยอมรับว่าระบบแอดมิชชั่นเป็น ระบบที่ใช้ได้ หากยกเลิกจะทำให้เกิดความวุ่นวายมากขึ้น นายทศพลกล่าวอีกว่า สำหรับปัญหาที่พบแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ 1. ปัญหาเทคนิค การบริหารจัดการ และการประกาศกฎเกณฑ์ซึ่งไม่ถึง 3 ปีตามข้อตกลง การยกเลิกศูนย์รับสมัครมาใช้ระบบอินเตอร์เน็ต ทำให้ เด็กจำนวนมากเข้าไม่ถึงระบบ และยังมีปัญหาระบบล่มตลอดเวลา 2. องค์ประกอบของแอดมิชชั่นยังมีปัญหา การให้สอบแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐานหรือโอเน็ตเพียงครั้งเดียวทำให้เด็กไม่มีโอกาสแก้ตัว จึงเสนอว่าควรให้สอบโอเน็ตได้หลายครั้ง นอกจากนี้อยากให้ทบทวนค่าน้ำหนักของแต่ละรายวิชาด้วย ส่วนการใช้ผลการเรียนเฉลี่ยรายกลุ่มสาระ (จีพีเอ) ถึง 30% ส่งผลให้โรงเรียนปล่อยเกรดได้ จึงควรลดลงมาเหลือ 10% น่าจะเหมาะสมที่สุด 3. ความผิดพลาดที่สะท้อนวิธีคิดในระดับนโยบายการศึกษา รวมทั้งการไม่มีมาตรการรองรับการเปลี่ยนผ่านระบบการคัดเลือกนิสิต นักศึกษา จึงทำให้เกิดความผิดพลาดและความวุ่นวาย ทั้งนี้ 5 ปีที่ผ่านมารัฐบาลชุดก่อนทำให้การมีส่วนร่วมเรื่องการศึกษาของภาคประชาชน นักเรียน นักศึกษาขาดหายไปจากสังคม การที่ รมว.ศึกษาธิการคนใหม่รับฟังความเห็นของพวกตนและรับที่จะดูแลทำให้มีความหวังขึ้น หากแก้ได้ทันในปีการศึกษา 2550 ก็อยากให้เร่งทำ แต่หากไม่ทันจริงๆ ขอให้ ทันปี 2551 ด้าน ศ.ดร.วิจิตรกล่าวว่า ตนรับข้อเสนอมาพิจารณา และจะเปิดเวทีสนทนารับฟังความเห็นเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง ทั้งจะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือเพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกัน อย่างไรก็ตาม หากมีการปรับปรุงแก้ไขจะประกาศให้ทราบล่วงหน้า. (ไทยรัฐ อังคารที่ 24 ต.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





สทศ.ประกาศปฏิทินรับสมัครโอเน็ต

ดร.อุทุมพร จามรมาน ผอ.สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยว่า สทศ.ประกาศรายละเอียดปฏิทินการรับสมัครสอบและการสอบแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ตประจำปีการศึกษา 2549 ดังนี้ การรับสมัครจะสมัครผ่านเว็บไซต์ของ สทศ. ที่ www.niets.or.th หรือเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยที่เป็นศูนย์สอบทั้ง 18 ศูนย์ ได้แก่ ม.เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน, สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ, ม.ศิลปากร วังท่าพระ, ม.ศรีนครินทรวิโรฒ, สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต, ม.ขอนแก่น, ม.เชียงใหม่, ม.เทคโนโลยีสุรนารี, ม.นเรศวร, ม.บูรพา, ม.มหาสารคาม, ม.วลัยลักษณ์, ม.ศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์, ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่, ม.อุบลราชธานี โดยจะรับสมัครสอบสำหรับผู้ที่จบ ม. 6 ก่อนปีการศึกษา 2549 วันที่ 1-15 ธ.ค. 2549, รับสมัครสอบสำหรับผู้ที่กำลังศึกษาหลักสูตรเทียบเท่าชั้น ม. 6 เช่น หลักสูตรอาชีวศึกษา การศึกษานอกโรงเรียน เป็นต้น วันที่ 1-15 ธ.ค. 2549 ส่วนผู้ที่กำลังศึกษาชั้น ม. 6 ปีการศึกษา 2549 ไม่ต้องสมัครสอบ ทุกคนมีสิทธิ์เข้าสอบ ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าสอบทั้งหมด วันที่ 10-20 ม.ค.2550, ประกาศที่นั่งสอบ วันที่ 20-30 ม.ค. 2550 ทางเว็บไซต์ www.niets.or.th หรือเว็บไซต์ ของศูนย์สอบทั้ง 18 ศูนย์ สอบวันที่ 24-25 ก.พ. 2550 และประกาศผลสอบวันที่ 10 เม.ย. 2550 ทั้งนี้ข้อสอบโอเน็ตจะเป็นปรนัยเท่านั้น ส่วนการขอสอบโอเน็ตครั้งที่ 2 นั้น นักเรียนสามารถทำได้ แต่มหาวิทยาลัยจะพิจารณาผลคะแนนสอบโอเน็ตที่สอบในครั้งแรกเท่านั้น สำหรับการเรียกเก็บค่าสมัครสอบโอเน็ตสำหรับนักเรียนที่จบนอกรุ่นปี 2549 ควรจะเก็บค่าใช้จ่ายหรือไม่นั้น ขณะนี้ฝ่ายกฎหมายกำลังพิจารณาอยู่ คาดว่าจะได้ข้อยุติสัปดาห์หน้า ผอ.สทศ.กล่าวต่อว่า ส่วนตารางสอบนั้น วันที่ 24 ก.พ. 2550 เวลา 08.30-10.30 น.สอบสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เวลา 12.00-14.00 น. สอบ ภาษาอังกฤษ เวลา 15.00-17.00 น. สอบคณิตศาสตร์ วันที่ 25 ก.พ. 2550 เวลา 08.30-10.30 น. สอบวิทยาศาสตร์ เวลา 12.00-14.00 น. สอบภาษาไทย (ไทยรัฐ อังคารที่ 24 ต.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





‘วิจิตร’ ย้ำอนาคตเข้าม.1ต้องไม่มีสอบแข่ง

ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยความคืบหน้าการกำหนดนโยบายรับนักเรียน ปีการศึกษา 2550 ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า ใน เร็ว ๆ นี้ตนจะขอหารือกับ ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รมว.ศึกษา ธิการ เกี่ยวกับแนวทางการรับนักเรียน โดยจะเชิญผู้อำนวยการสถานศึกษา และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) เข้าร่วมประชุมด้วย เพื่อให้แนวทางการรับนักเรียนออกมาสอดคล้องกับนโยบายของ รมว.ศึกษาธิการ ที่ไม่ต้องการให้มีอัตราส่วนการสอบคัดเลือกมากขึ้น ในขณะเดียวกัน รมว. ศึกษาธิการ จะได้รับทราบถึงปัญหาการรับนักเรียนของสถานศึกษา และ สพท.ด้วย ดร.ชินภัทร กล่าวต่อไปว่า เมื่อ รมว.ศึกษาธิการมี นโยบายออกมาแล้ว ทาง สพฐ. และสถานศึกษาก็ต้องปรับแผนการดำเนินงาน โดยศึกษาวิจัยหาแนวทางว่า ถ้าเราจะเปิดช่องให้ยังคงมีระบบการสอบคัดเลือก โรงเรียนที่จะใช้ระบบการสอบคัดเลือกก็คงต้องมีรูปแบบพิเศษ โดยต้องทำเป็นแนวปฏิบัติออกมา และหากโรงเรียนใดไม่เข้าตามเกณฑ์ก็จะต้องรับเด็กตามนโยบายที่ไม่ต้องมีการสอบคัดเลือกทั้งหมด อย่างไรก็ตามตนเชื่อว่า นโยบายการรับนักเรียนใหม่ จะประกาศใช้ได้ทันปีการศึกษา 2550 นี้ เพราะที่ผ่านมา สพฐ.ก็ประกาศนโยบายการรับนักเรียนประมาณปลายเดือนตุลาคมของทุกปี ด้าน ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การหารือกับดร.ชินภัทร ภูมิรัตน จะเป็นการวางแนวทางสำหรับผลในระยะยาว ส่วนปีการศึกษา 2550 คงไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้มากมายแบบกะทันหัน เนื่องจากจะส่งผลกระทบกับนักเรียนที่ได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นส่วนใหญ่จะยังยึดตามหลักการเดิมที่ รมว.ศธ.คนก่อนกำหนดไว้ แต่อาจจะมีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดบ้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ และจะไม่ส่งผลกระทบต่อนักเรียนแน่นอน เช่น กรณีการขอให้ยกเลิกหรือลดสัดส่วนเด็กฝาก เพื่อไปเพิ่มสัดส่วนการจับสลากสำหรับเด็กในพื้นที่บริการ ซึ่งเชื่อว่าคงจะไม่มีใครคัดค้าน ส่วนจะปฏิบัติจริงได้หรือไม่คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง (ไทยรัฐ อังคารที่ 24 ต.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





ทปอ.ถกรมว.ศึกษาฯสรุปเฉพาะหน้าแก้บริหารคล่องตัวก่อน

ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รมว.กระทรวงศึกษาธิการกล่าวถึงการหารือกับที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ว่าเห็นตรงกันว่าโครงสร้างการทำงานที่ ทปอ.เสนอขอแยกสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เป็นเรื่องต้องพิจารณาแต่ประเด็นสำคัญเร่งด่วนที่มากับกรอบเวลาต้องตอบสนองการทำงานของรัฐบาลที่จะมีการแถลงนโยบายรัฐบาลวันที่ 27 ต.ค. และพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 โดยประกาศในวันที่ 1 ม.ค. ซึ่ง ศธ.และมหาวิทยาลัยจะต้องเสนองบประมาณภายในวันที่ 31 ต.ค. ดังนั้น จึงตกลงกันว่า เห็นปัญหาเรื่องโครงสร้างเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องแก้กฎหมายและกระทบงานอื่นด้วย ในช่วงเวลาที่มีอยู่เห็นว่าควรแก้ไขให้การบริหารงานของมหาวิทยาลัยคล่องตัวในโครงสร้างปัจจุบันโดยยกเลิกการตั้งกฎระเบียบขึ้นมาเองว่าเรื่องของมหาวิทยาลัยต้องผ่านสำนักงานปลัดกระทรวง แต่ให้ขึ้นตรงกับรัฐมนตรี ยกเว้นเรื่องงบประมาณที่ยังต้องพิจารณาร่วมกันใน 5 องค์กรหลัก จากการหารือยังมีเรื่องเกี่ยวกับการปรับระบบการเงินเพื่อการอุดมศึกษาที่จัดระบบเงินอุดหนุนมหาวิทยาลัยผ่านผู้เรียนพบปัญหาที่จะต้องทบทวนกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) กับกองทุนเงินให้กู้ยืมที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) ทปอ.เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน ซึ่งตนรับไว้จะมาศึกษาทุกแง่มุม เบื้องต้นคาดว่าจะนำข้อดีของทั้งสองกองทุนมาพิจารณารวมกันเป็นกองทุนเดียว และยังมีในส่วนต้องจัดเพิ่มงบประมาณอุดหนุนให้กับมหาวิทยาลัย หากจัดหาเพิ่มโดยรวมได้ไม่เพียงพอ ต้องหาแนวทางเพื่อจัดหางบประมาณมาอุดหนุน ซึ่งอาจเป็นในรูปของภาษีการศึกษา เช่น จัดเก็บภาษีมรดกแล้วกันเงินส่วนหนึ่งเพื่อการศึกษา (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 25 ต.ค. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





สทศ.เผยรับสมัครโอเน็ต1-15ธ.ค.นี้

ศ.ดร.อุทุมพร จามรมาน ผอ.สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยว่า สทศ. ประกาศรายละเอียดปฏิทินการรับสมัครสอบและการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ตประจำปีการศึกษา 2549 ดังนี้ เปิดรับสมัครสอบสำหรับผู้ที่จบม.6 ก่อนปีการศึกษา 2549 และผู้ที่กำลังศึกษาหลักสูตรเทียบเท่าชั้นม.6 เช่น หลักสูตรอาชีวศึกษา การศึกษานอกโรงเรียน เป็นต้น วันที่ 1-15 ธ.ค.2549 ส่วนผู้ที่กำลังศึกษาชั้นม.6 ปีการศึกษา 2549 ทุกคนมีสิทธิ์เข้าสอบโดยไม่ต้องสมัคร และจะประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าสอบทั้งหมด วันที่ 10-20 ม.ค.2550 ทั้งนี้ จะรับสมัครผ่านเว็บไซด์ของ สทศ. ที่ www.niets.or.th หรือเว็บไซด์ของมหาวิทยาลัยที่เป็นศูนย์สอบทั้ง 18 ศูนย์ทั่วประเทศ หลังจากนั้นจะประกาศที่นั่งสอบ วันที่ 20-30 ม.ค.2550 ทางเว็บไซด์ www.niets.or.th หรือเว็บไซด์ของศูนย์สอบทั้ง 18 ศูนย์ และจะจัดทดสอบโอเน็ตระหว่างวันที่ 24-25 ก.พ.2550 ส่วนการชำระเงิน จะผ่านระบบธนาคารได้แก่ ธนาคารกรุงไทย กรุงศรีอยุธยา กสิกรไทย ทหารไทย ไทยพาณิชย์ กรุงเทพ ส่วนตารางสอบนั้น อย่างไรดี การเรียกเก็บค่าสมัครสอบโอเน็ตสำหรับนักเรียนที่จบนอกรุ่นปี2549 ควรจะเก็บค่าใช้จ่ายหรือไม่นั้น ขณะนี้ตนได้ขอให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาอยู่ คาดว่าสัปดาห์หน้าคงจะได้คำตอบ (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 25 ต.ค. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





เลิกสอบเข้า ม.1 เว้นเฉพาะโรงเรียนดัง 430 แห่ง

ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า ได้ข้อยุติเรื่องการรับนักเรียนเข้า ม.1 แล้วโดยให้นโยบายโรงเรียนทั่วประเทศยกเลิกการสอบคัดเลือก แล้วให้ใช้การสมัครแทน หากโรงเรียนใดมีจำนวนนักเรียนสมัครเกินให้ใช้วิธีจับฉลาก ยกเว้นโรงเรียนดังทั่วประเทศที่มี 430 โรงเรียน ให้ใช้สูตรรับนักเรียน 50:40:10 โดยเป็นการรับนักเรียนในพื้นที่บริการร้อยละ 50 จัดสอบร้อยละ 40 และอีกร้อยละ 10 เป็นความสามารถพิเศษและเงื่อนไขพิเศษ หลักการนี้ได้หารือกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) แล้ว และมอบให้ไปทำเป็นระเบียบรายละเอียดเพื่อจะได้ประกาศให้นักเรียนทราบภายในเดือนตุลาคมนี้ สำหรับโรงเรียนที่ยังต้องจัดสอบคัดเลือกจะต้องมีคำอธิบายให้ชัดเจนว่าทำไมต้องสอบ เพราะการศึกษาภาคบังคับไม่ควรต้องมีการสอบเข้าเรียน “การสอบนี้ผมไม่ค่อยเห็นด้วย และได้มอบหมายให้ สพฐ.และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาไปคิดมาว่าจะมีวิธีทำอย่างไรให้ต่อไปทุกโรงเรียนต้องเปิดรับนักเรียน เพราะการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปีเป็นการศึกษาภาคบังคับ แต่การจะทำให้ได้อย่างนั้นต้องทำภายในระยะเวลา 1-2 ปีซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้น ปีนี้ต้องใช้สูตรนี้ไปก่อน” (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 27 ต.ค. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


ธาตุที่ 118: นักวิทย์สหรัฐ-รัสเซียสังเคราะห์อะตอมหนักสุดได้แล้ว!

มหาวิทยาลัยวอชิงตัน - นักวิทย์มะกัน-รัสเซียสังเคราะห์ธาตุที่ 118 อะตอมหนักสุดในตารางธาตุให้ปรากฏในเสี้ยววินาที และวางแผนที่จะสังเคราะห์ธาตุที่ 120 ต่อไป หลังจาก 7 ปีที่ผ่านมามีคนอ้างว่าสังเคราะห์ได้แต่กลายเป็นการใส่ข้อมูลเท็จ ท่ามกลางการแข่งขันหาธาตุหนักใน “หมู่เกาะแห่งความเสถียร” นักวิทยาศาสตร์จากห้องปฏิบัติการแห่งชาติลอเรนซ์ ลิเวอร์มอร์ (Lawrence Livermore National Laboratory: LLNL) ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ได้ร่วมกับนักวิทยาศาสตร์จากสถาบันร่วมวิจัยนิวเคลียร์ (Joint Institute for Nuclear Research: JINR) ในเมืองดุบนา รัสเซีย สังเคราะห์ธาตุที่ 118 ในตารางธาตุ ซึ่งเป็นธาตุหนักที่สุดที่มีการค้นพบ ธาตุนี้มีชื่อเรียกทั่วไปว่า “ยูนันนอกเทียม” (Ununoctiam) และไม่สามารถพบได้ในธรรมชาติ อีกทั้งยังไม่เคยพบได้ในห้องปฏิบัติการมาก่อน ธาตุที่มีโปรตอน 118 อนุภาคในนิวเคลียสนี้สังเคราะห์ขึ้นในเครื่องเร่งอนุภาคที่ JINR ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ และเดือนมิถุนายนของปี 2548 โดยนักวิจัยใช้ประจุของแคลเซียม (Ca) นับล้านล้านล้านประจุระดมยิงธาตุแคลิฟอร์เนียม (Cf) ซึ่งเป็นธาตุสังเคราะห์ แล้วได้ธาตุยูนันนอกเทียม ที่มีชื่อเรียกชั่วคราวว่า “ซูเปอร์เฮฟวี่” (Superheavy) และพวกเขาคาดว่าธาตุที่สังเคราะห์ได้ใหม่นี้จะมีคุณสมบัติเป็นก๊าซเฉื่อยเหมือน ซีนอน (Xe) คริปตอน (Kr) และเรดอน (Ra) โดยยูนันนอกเทียมจะถูกจัดให้อยู่ด้านล่างของก๊าซเรดอนในตารางธาตุ แม้จากการคำนวณแล้วธาตุซูเปอร์เฮฟวี่จะมีความเสถียร แต่ธาตุเหล่านี้ก็จะยังคงแตกตัวทางนิวเคลียร์ได้ อีกทั้งยังมีความแตกต่างจาก “ยูเรเนียม”(U) และ “พลูโตเนียม” (Pu) ซึ่งจะเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชันหรือทำระเบิดได้ก็ต่อมี “มวลวิกฤต” (critical mass) ในปริมาณหลายกิโลกรัม แต่คาดการณ์ว่าธาตุซูเปอร์เฮฟวี่จะมีมวลวิกฤตในปริมาณไม่กี่มิลลิกรัม ซึ่งอาจกลายเป็นแหล่งพลังงานนิวเคลียร์ขนาดพกพาได้ ธาตุหนักสุดที่พบได้ในธรรมชาติคือยูเรเนียม ซึ่งประกอบไปด้วยโปรตอน 92 อนุภาคและนิวตรอน 146 อนุภาค แต่ธาตุซูเปอร์เฮฟวี่อย่างธาตุที่ 118 ซึ่งเรียกอีกอย่างว่า “ธาตุทรานส์ยูแรนนิก” (transuranic) นั้น หนักกว่ายูเรเนียมและไม่พบในธรรมชาติ จะพบได้ก็จากการสังเคราะห์ในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์หรือเครื่องเร่งอนุภาคเท่านั้น (ผู้จัดการ อังคารที่ 24 ต.ค. 2549 http://www.manager.co.th)





มทร.พระนครอวดหุ่นยนต์กู้ภัยออกปฏิบัติงานช่วยชีวิตเบาภาระอาสาสมัคร

อาจารย์ณัฐพงศ์ พันธุนะ อาจารย์แผนกไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร วิทยาเขตพระนครเหนือ เปิดเผยว่า ทีมวิจัยได้พัฒนาหุ่นยนต์เพื่อปฏิบัติงานช่วยเหลือการกู้ภัยร่วมกับเจ้าหน้าที่อาสาสมัครจากมูลนิธิต่างๆ ทีมวิจัยอันประกอบด้วย นายศิรติ สังกา นายสุภัทร ภูรีสิริโชติ และนายพิชิต เอี้ยวตระกูล คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม สาขาวิชาเทคโนโลยีไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ระดมความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ ประดิษฐ์เป็นหุ่นยนต์กู้ภัย สำหรับค้นหาผู้รอดชีวิตหรือผู้เสียชีวิต ที่ตกค้างอยู่ในซากปรักหักพังต่างๆ โดยหุ่นยนต์ดังกล่าวมีความสามารถในการทำงานที่ใกล้เคียงกับการทำงานของมนุษย์มากที่สุด นายศิรติ ผู้ร่วมทีมเล่าถึงการทำงานว่า หุ่นยนต์ตัวนี้ประกอบด้วยล้อขับเคลื่อนทั้งหมด 8 ล้อ โดยชุดล้อทั้งหมดจะถูกขับด้วยมอเตอร์เกียร์ ด้านบนลำตัวหุ่นยนต์จะมีชุดกล้องและตัวเซ็นเซอร์ตรวจสอบอุณหภูมิ เพื่อตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายของผู้รอดชีวิต และยังมีเซ็นเซอร์ตรวจจับเสียง เพื่อคอยฟังเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ด้านหลังหุ่นยนต์จะมีชุดยกกล้องเพื่อมองภาพในมุมสูง สำหรับตรวจสอบตำแหน่งของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายให้ถึงตัวเหยื่ออย่างรวดเร็ว ชุดล้อหน้าหลังสามารถพับขึ้น และโก่งตัวขึ้นด้วยตัวเองได้ เพื่อใช้สำหรับข้ามสิ่งกีดขวางในสถานการณ์ต่างๆ "กล้องตัวที่หนึ่งติดตั้งอยู่ด้านหน้า ตัวที่สองและสามอยู่ด้านบนทำให้การมองเห็นได้จากมุมสูง ตัวเซ็นเซอร์ตรวจสอบอุณหภูมิชนิดอินฟราเรด แสดงผลหน้าจอแอลซีดีเพื่อชี้จุดเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายได้แม่นยำ ซึ่งขณะนี้หุ่นยนต์สามารถใช้งานได้จริง 100 เปอร์เซ็นต์" (คมชัดลึก อังคารที่ 24 ต.ค. 2549 http://www.komchadluek.net.co.th)





เอ็มไอทีคิดค้นแบตเตอรี่จิ๋วพลังสูง

ศ.อลัน เอปสไตน์ นักวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ หรือเอ็มไอที เชื่อว่า หากสามารถพัฒนาเครื่องผลิตไฟฟ้ากังหันก๊าซ ให้มีขนาดเล็กเหมาะกับการใช้ในแบตเตอรี่แล็ปทอปได้ จะช่วยยืดอายุการใช้งานได้นานกว่าแบตเตอรี่ทั่วไปที่มีน้ำหนักและระดับราคาเดียวกันถึง 10 เท่า นักวิจัยเล่าว่า ตอนที่บอกกับคนทั่วไปว่าจะย่อโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซให้เล็กลงมาเหลือขนาดเหรียญ 50 เซนต์ พวกเขาหัวเราะกันตกเก้าอี้ แต่สำหรับนักวิทยาศาสตร์ด้วยกันเองแล้ว รู้ดีว่าสิ่งที่ ศ.เอปสไตน์พูดนั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น และทั้งหมดก็เริ่มทำให้แนวคิดเป็นจริง ทีมวิจัย 50 ชีวิต ช่วยกันหาทางย่อส่วนโรงผลิตกระแสไฟฟ้า เริ่มตั้งแต่ห้องอัดอากาศ ห้องเผาไหม้และกังหัน ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ทีมวิจัยประยุกต์การผลิตชิพมาใช้ในการย่อส่วนโรงไฟฟ้า โดยวางชิพซิลิคอน 6 แผ่นซ้อนกัน แล้วผนึกเป็นชิ้นเดียวกัน และเพื่อให้ต้นทุนถูกลง ชิ้นส่วนนับร้อยชิ้นจะทำขึ้นพร้อมกันบนแผ่นชิพขนาดใหญ่ แล้วค่อยตัดลงเป็นชิ้นเล็ก กระบวนการทำงานของโรงไฟฟ้าจิ๋ว แทบจะไม่ต่างจากโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซ เพียงแต่เปลี่ยนมาเป็นห้องเผาไหม้จิ๋วสำหรับผสมอากาศกับเชื้อเพลิง ที่ให้ความร้อนสูงขนาดละลายเหล็กได้ อากาศร้อนที่ได้จะถูกส่งไปปั่นกังหันที่หมุนด้วยความเร็วที่ 2 หมื่นรอบต่อวินาที เครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าจิ๋วนี้ผลิตไฟฟ้าได้ 10 วัตต์ มีอุปกรณ์อัดอากาศทำหน้าที่เพิ่มแรงอัดอากาศสำหรับการเผาไหม้ พร้อมกับระบบระบายความร้อนสำหรับออกไปนอกห้องเผาไหม้ (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 25 ต.ค. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





"ไอ้หนุ่มไวไฟ"คว้าเทคโนโลยีดีเด่น

ผู้ผลิตเครื่องจักรกลเกษตรเอกชนส่งเครื่องนวดเกี่ยวข้าวเกษตร รุ่น "ไอ้หนุ่มไวไฟ" คว้ารางวัลชนะเลิศเทคโนโลยียอดเยี่ยมด้านเครื่องจักรกลทางการเกษตร จากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมเครื่องจักรกลเพื่อการผลิต สิ่งแวดล้อมและพลังงาน สมชัย หยกอุบล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เครื่องจักรกลเกษตรไทย จำกัด กล่าวถึงความสำเร็จครั้งนี้ว่า "เครื่องนวดเกี่ยวข้าวที่พัฒนาขึ้นนี้สามารถช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานเก็บเกี่ยว ซึ่งหากเกี่ยวข้าวไม่ทัน ข้าวจะล้ม และไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้อีก เครื่องดังกล่าวสามารถใช้แทนแรงงานคนได้ ถึง 50 คน และเก็บเกี่ยวได้เต็มที่วันละ 50 ไร่" นายสมชัย กล่าว ผลงานการพัฒนาเครื่องนวดเกี่ยวข้าวนี้ได้รับรางวัลชนะเลิศเทคโนโลยียอดเยี่ยมเครื่องจักรกลทางการเกษตรจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยลดต้นทุน และช่วยสร้างความสามารถด้านการแข่งขันในตลาดโลก แม้เครื่องจักรรุ่นนี้ออกแบบมาให้กับนาข้าวเป็นหลัก แต่บริษัทมีแผนพัฒนาเทคโนโลยีให้เครื่องนวดเกี่ยวข้าวสามารถประยุกต์เก็บเกี่ยวข้าวโพดได้ด้วย (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 25 ต.ค. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





เอาไม้ไปผสมกับวัตถุพลาสติก กลายเป็นวัสดุเบาแต่แข็งแกร่ง

นักวิทยาศาสตร์คณะป่าไม้และสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยรัฐนิวยอร์ก พบหนทางเอาเส้นใยของไม้ผสมกับพลาสติก ทำให้มันแข็งแกร่งขึ้น โดยสกัดเอาผลึกนาโนของสารเซลลูโลสจากวัตถุที่เป็นไม้ ตั้งแต่ต้นไม้ที่เป็นต้นๆ จนถึงพันธุ์ไม้เลื้อย ผสมกับพลาสติก จะได้พลาสติกที่เบาแต่แข็งแรง ศาสตราจารย์วิลเลียม วินเตอร์ วิชาเคมี ผู้เป็นแม่กองสถานีวิจัยสารเซลลูโลสของมหาวิทยาลัย กล่าวว่า “โดยเอาผลึกเพียงสัก 30 กรัม ผสมกับพลาสติกหนัก 1 ปอนด์ จะทำให้พลาสติกแข็งแกร่งขึ้นถึงขนาด 3,000 และเมื่อไม่ใช้แล้ว เอาทิ้งถมดิน มันก็จะสลายตัวเป็นน้ำกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเอาไปใช้ทำมวลชีวภาพได้” อาจารย์วิลเลียมกล่าวต่อไปว่า ผลึกนาโน ยังอาจใช้ในการทำเซรามิกและอุปกรณ์ชีวเวช เช่น พวกข้อต่อเทียมและอุปกรณ์การแพทย์อื่นๆ ที่ใช้ แล้วทิ้งได้ “พวกวัสดุจากไม้ ล้วนแต่มีสารเซลลูโลสไม่ต่ำกว่า 25% ยิ่งเป็นไม้จากต้นไม้ยิ่งมีมากระหว่าง 40-50% (ไทยรัฐ พุธที่ 25 ต.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





โทษไร้แสงดาวฤกษ์ส่องมาถึง อุณหภูมิโลกจึงเพิ่มสูงมากขึ้น

ผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ครั้งใหม่ สงสัยว่า เหตุที่อุณหภูมิบนโลกสูงขึ้น เพราะเหตุว่าโลกไร้แสงของดาวฤกษ์ตกถึงพื้น แต่ยังมีนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ ยังข้องใจอยู่ นักวิทยาศาสตร์เคยตั้งทฤษฎีไว้ว่า เมื่อดาวฤกษ์ในทางช้างเผือกที่อยู่ห่างไกลเกิดระเบิดขึ้น จะมีรังสีคอสมิก อันเป็นอนุภาคปรมาณูความเร็วสูง ตกทะลุผ่านชั้นบรรยากาศในโลกลงมา กลายเป็นอิเล็กตรอนอิสระ อิเล็กตรอนเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นและเร่งให้เกิดกลุ่มอณูของน้ำกับกรดกำมะถัน อันเป็นเชื้อก่อเมฆขึ้น รังสี คอสมิกจึงเท่ากับช่วยให้เกิดเมฆปกคลุมโลกหนาขึ้น ช่วยสะท้อนแสงแดดกลับออกไป เป็นเหตุให้โลกเย็นโดยเปรียบเทียบ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสนามแม่เหล็ก ซึ่งหุ้มห่อโลกไม่ให้โดนรังสีเหล่านั้น ได้ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงศตวรรษที่แล้วขึ้นอีกเท่าตัว อาจเป็นผลทำให้ เกิดเมฆน้อยลง เป็นเหตุให้โลกอุ่นขึ้นได้ นักวิทยาศาสตร์ของศูนย์อวกาศแห่งชาติเดนมาร์ก ได้ลองจำลองปฏิกิริยาเคมีที่เกิดในบรรยากาศชั้นต่ำ ในเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูขนาดใหญ่ โดยสร้างก๊าซผสมของก๊าซหลายชนิด และใช้ดวงโคมอัลตรา-ไวโอเลตแทนดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดหยดฝอยน้ำเล็กๆ อันเป็นเชื้อของเมฆที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เริ่มลอยขึ้นในอากาศภายในเครื่องปฏิกรณ์ได้ คณะนักวิจัยเชื่อว่า ยังจำเป็นที่จะต้องศึกษาเพิ่มเติมอีก จึงจะสามารถประเมินกลไกในส่วนที่เป็นฝีมือมนุษย์ ที่เป็นเหตุให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นได้. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 26 ต.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





เสนอตั้งเครือข่ายนักวิจัย ดึงตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงคนชราคลุกคลีวิทยาศาสตร์

ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดงานเสวนา “ครึ่งทศวรรษทุนส่งเสริมกลุ่มนักวิจัยอาชีพ” ขึ้น ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดยมี ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เป็นประธานเปิดงาน พร้อมปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ความสำเร็จและความเสี่ยงในเส้นทางอาชีพนักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ศ.ดร.ยงยุทธ กล่าวเปิดงานว่า การจัดงานในครั้งนี้เป็นการจัดงานเพื่อฉลองวาระครบ 5 ปีของการจัดตั้งโครงการทุนส่งเสริมกลุ่มนักวิจัยอาชีพที่ไบโอเทคให้การสนับสนุนมาตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา เพื่อให้นักวิจัยสามารถทำงานวิจัยได้อย่างยั่งยืน ไม่ต้องคอยกังวลกับเรื่องเงินทุนสนับสนุนการวิจัยมากนัก ทว่าโครงการดังกล่าวจะสนับสนุนเงินทุนวิจัยต่อเนื่องให้แก่นักวิจัยที่ได้รวมกลุ่มกันทำงานวิจัยเป็นระยะเวลา 5 ปี โครงการละ 20 ล้านบาท พร้อมทั้งมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานโครงการเป็นประจำทุกปี ปีหนึ่งๆ จะมีโครงการวิจัยใหม่ๆ เข้ามาขอการสนับสนุนทุนวิจัยต่อเนื่องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นโยบายหนึ่งที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จะผลักดันต่อไปคือการสร้างกลุ่มนักวิจัยอาชีพเป็นภาพใหญ่ของกระทรวงฯ ซึ่งจะมีนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติในวันที่ 27 ต.ค.นี้ โดยนอกจากจะเป็นการรวบรวมนักวิจัยในทุกระดับไว้แล้ว ยังจะมีการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ขึ้นมาด้วย โดยมี สวทช.เป็นหน่วยงานวิจัยสำคัญของกระทรวงฯ พร้อมทั้งมีพันธมิตรสำคัญต่างกระทรวงฯ ที่จะทำงานร่วมกันด้วย เช่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดยการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาช่วยให้ร่วมกันทำงานได้คล่องขึ้น เช่น กลุ่มสนทนาบนอินเตอร์เน็ต (บล็อก) เป็นต้น นอกจากนั้นแล้ว กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ยังมีนโยบายการพัฒนากำลังคน ที่จะไม่จำกัดเฉพาะแต่นักวิจัยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างความตระหนักให้แก่ประชาชนทั่วไปด้วย อาทิ การผลักดันโครงการปลูกฝังปัญญาเยาว์ให้แก่เด็กเล็กก่อนวัยเรียน ตลอดจนถึงการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุหลังเกษียณอายุได้ฝึกฝนทักษะใหม่ๆ ทางเทคโนโลยี เช่น การฝึกใช้คอมพิวเตอร์ ที่เชื่อว่าผู้สูงอายุจะมีเวลาว่างและทำได้ดี หรือแม้กระทั่งยังอาจทำงานวิจัยได้ด้วย (ผู้จัดการ พฤหัสบดีที่ 26 ต.ค. 2549 http://www.manager.co.th)





ก.วิทย์ฯ ดัน สทอภ.-สสนก.ร่วมวงแก้ปัญหาน้ำ เผยพร้อมเต็มที่

ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ รมว.วิทยาศาสตร์ฯ เปิดเผยผลการประชุมว่า กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้มีหน่วยงานหลักที่มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในเวลานี้อยู่ 2 หน่วยงานด้วยกัน คือ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ องค์การมหาชน (สทอภ.) และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (สสนก.) ทั้งนี้ ในส่วนของ สทอภ. ได้มีการติดตามภาพถ่ายดาวเดียวเรดาร์แซตในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบไว้แล้วทุก 3-5 วัน/ครั้ง และจะส่งต่อไปยังหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ ได้ใช้ประโยชน์ในการรับมือกับปัญหาต่อไป เช่น การพิสูจน์และแก้ไขความเสียหายจากผลกระทบของน้ำท่วม ขณะที่ สสนก.ได้ร่วมมือกับกรมชลประทานติดตั้งระบบโทรมาตรในบริเวณแก้มลิงตะวันตก ณ จ.สมุทรสาคร แล้วจำนวน 3 จุด ด้วยงบประมาณราว 2 แสนบาท รวมทั้งยังมีการทำแบบจำลองคาดการณ์น้ำท่วมล่วงหน้าที่จะคาดการณ์เหตุการณ์อุทกภัยล่วงหน้าได้ถึง 30 วัน โดยเป็นความร่วมมือกับสถาบันเทคโนโลยีเอเชีย (เอไอที) เพื่อให้สามารถผันน้ำออกสู่ลุ่มน้ำท่าจีนได้อย่างเหมาะสม ไม่เกิดปัญหาตลิ่งพังตามมาในภายหลัง นอกจากนั้น เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต สสนก.ยังจะร่วมมือกับบริษัทเอไอเอส เพื่อติดตั้งเครื่องวัดปริมาณน้ำฝนและวัดอุณหภูมิอัตโนมัติที่ จ.ชุมพร อีก 6 จุด เพื่อให้สามารถติดตามสภาพพายุในพื้นที่ดังกล่าวได้อย่างทันท่วงที เนื่องจากเป็นพื้นที่แรกที่จะได้รับผลกระทบจากพายุและเป็นพื้นที่ที่มีฝนตกชุกมาก สำหรับการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในอนาคต ศ.ดร.ยงยุทธ เผยว่า ที่ผ่านมาแม้ประเทศไทยจะมีโครงสร้างพื้นฐานอย่างเขื่อนและฝายเก็บน้ำอยู่แล้ว ทว่ายังขาดการบริหารจัดการอยู่มากจนเกิดปัญหาน้ำท่วมตามมาในที่สุด ซึ่งหากมีการปรับโครงสร้างคณะกรรมการที่กำกับดูแลทรัพยากรน้ำแล้วนั้น ทางกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ก็มีความพร้อมอย่างยิ่งที่จะมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำโดยหน่วยงานของกระทรวงฯ ด้วยคือ สทอภ.และ สสนก. เช่น ความร่วมมือระหว่าง สสนก. เอไอที และบริษัทแอสดีคอน (Asdecon) เพื่อสร้างแบบจำลองน้ำท่วมที่ใช้ในการคาดการณ์อุทกภัยในอนาคตที่มีอยู่ 5 ลักษณะคือ เหตุการณ์น้ำท่วมมาก น้ำท่วมปานกลาง น้ำปกติ น้ำแล้งปานกลาง และน้ำแล้งมาก เพื่อไม่ให้ต้องมาคอยแก้ปัญหาเมื่อเกิดน้ำท่วมแล้วอย่างทุกครั้งที่ผ่านมา (ผู้จัดการ พฤหัสบดีที่ 26 ต.ค. 2549 http://www.manager.co.th)





ก.วิทย์โต้โผทำโรดแมพพัฒนาเครื่องจักร

นายศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยผลการสำรวจข้อมูลเครื่องจักรกลจากกลุ่มผู้ผลิต และกลุ่มผู้ใช้เทคโนโลยี จำนวน 764 โรงงานทั่วประเทศ พบว่า เครื่องจักรกลส่วนใหญ่ที่ผลิตโดยคนไทยยังเป็นเครื่องจักรพื้นฐาน ส่วนเครื่องจักรที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงยังต้องนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศทั้งสิ้น และเมื่อเกิดชำรุดเสียหายยังไม่สามารถซ่อมแซมเครื่องจักรให้กลับมาใช้งานใหม่ได้ ในที่ประชุมประชาพิจารณ์ว่าด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลไทย ภายในงานตลาดนัดเทคโนโลยี ที่จัดโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว โดยกระทรวงวิทยาศาสตร์ได้นำเสนอแผนยุทธศาสตร์ ซึ่งได้รับการรับรองจากตัวแทนภาคอุตสาหกรรมทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวประกอบด้วย กลยุทธ์ที่เข้าถึง 5 ผลิตภัณฑ์ยุทธศาสตร์ ได้แก่ เทคโนโลยีเครื่องจักรกลพื้นฐาน CNC และเครื่องมือกล , เครื่องจักรกลทางการเกษตร , เครื่องจักรเพื่อสิ่งแวดล้อมพลังงาน , เครื่องจักรกลพลาสติก รวมถึงเครื่องจักรกลแปรรูปอาหารและวัตถุดิบ นอกจากนี้ยังรวมถึง 3 กลยุทธ์ในการพัฒนาเทคโนโลยีการซ่อมบำรุง การทำวิศวกรรมย้อนรอย และเทคโนโลยีการประกอบ และ 9 กลยุทธ์การปฏิบัติ เช่น การพัฒนาอุตสาหกรรมโดยการเชื่อมโยงกลุ่มผลิตภัณฑ์ การสร้างหุ้นส่วนความร่วมมือทางธุรกิจ การสร้างกองทุนรวมด้านเทคโนโลยี การปรับโครงสร้างด้านภาษี ส่งเสริมการจัดซื้อในประเทศ ผลักดันมาตรฐาน พัฒนาช่างฝีมือ ตลอดจนรวมกลุ่มสร้างเครือข่าย และส่งเสริมการส่งออก (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 27 ต.ค. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





มหิดลปล่อยคลื่นแม่เหล็กสำรวจโลกใต้พิภพ

ดร.วีรชัย สิริพันธ์วราภรณ์ ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การสำรวจโครงสร้างใต้พื้นโลก ในปัจจุบันมีข้อจำกัดอยู่ที่เทคโนโลยีขุดเจาะ ที่ไม่สามารถลงลึกไปยังพื้นโลกในระดับที่นักวิจัยต้องการ อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการขุดเจาะสูง นักวิจัยทั่วโลกจึงคิดค้นวิธีทางธรณีฟิสิกส์ เพื่อการสำรวจ พร้อมทั้งพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยแสดงผล โปรแกรมสำรวจพื้นโลก ผลงานที่พัฒนาขึ้นนี้ อาศัยข้อมูลดิบที่ได้จากวิธีทางธรณีฟิสิกส์ โดยนักธรณีวิทยาปล่อยคลื่นกระแสไฟฟ้าและคลื่นสนามแม่เหล็กลงลึกไปในชั้นดิน เพื่อวัดความต้านทานในแต่ละจุด จากนั้นนำมาแปลผลเป็นโครงสร้างแผ่นเปลือกโลกที่อยู่ใต้พื้นพิภพ งานวิจัยนี้ทำร่วมกับทีมวิจัย จากสถาบันวิจัยแผ่นดินไหว มหาวิทยาลัยโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ขณะที่ทีมวิจัยจากสหรัฐอเมริกาและเยอรมนีดูแลการสำรวจพื้นโลกในทวีปต่างๆ ต่างประเทศใช้เทคนิคทางธรณีฟิสิกส์สำรวจหาแหล่งแร่ใต้ดิน แหล่งน้ำบาดาล แหล่งน้ำมัน เพื่อประกอบการวางแผนก่อสร้างโรงงาน โรงไฟฟ้าและฐานขุดเจาะน้ำมัน ส่วนนักธรณีวิทยาสนใจข้อมูลที่อยู่ลึกไปราว 100 กิโลเมตร เพราะแสดงถึงรอยเลื่อนแผ่นดินไหว การมุดตัวของเปลือกโลกรวมถึงแมกม่าใต้ภูเขาไฟ ล้วนมีความสำคัญทางธรณีวิทยา “การนำเทคโนโลยีนี้ มาใช้สำรวจรอยเลื่อนใต้พื้นดินของไทย สามารถทำได้และจะเป็นประโยชน์มาก สำหรับการวางผังเมืองและวางแผนก่อสร้าง แต่เนื่องจากบ้านเรายังขาดแคลนงบประมาณและบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านนี้ ทำให้ไม่มีการใช้เทคนิคนี้อย่างแพร่หลาย โดยลักษณะการใช้งานในปัจจุบัน ส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบการจ้างเอกชนต่างชาติให้เข้ามาดำเนินการสำรวจพื้นที่” (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 27 ต.ค. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





ข่าววิจัย/พัฒนา


อีกคืบสู่โลกจินตนาการ ทำ "วัตถุล่องหน” ได้แล้ว 2 มิติ

นักวิทยาศาสตร์จากสหรัฐอเมริกาและอังกฤษประสบความสำเร็จในการทำให้กระบอกทองแดงล่องหน โดยวงกลมทองแดงที่มีจุดศูนย์กลางร่วมกันบนแผ่นไฟเบอร์กลาส สามารถหักเหคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มาตกกระทบ โดยปรากฏคลื่นไมโครเวฟไหลผ่านรอบๆ วัตถุเหมือนกับกระแสน้ำที่ไหลผ่านก้อนหิน ผลงานดังกล่าวเป็นการพัฒนาของ เดวิด สมิธ (David Smith) ศาสตราจารย์ในสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์และไฟฟ้า ของมหาวิทยาลัยดุ๊ก (Duke University) และเดวิด ชูริก (David Schurig) ผู้ช่วยนักวิจัย โดยทั้งคู่ตีพิมพ์ผลงานลงในวารสาร “ไซน์” (Science) ฉบับวันศุกร์ที่ (20 ต.ค.) โดยเป็นการพัฒนาต่อเนื่องมาจากทฤษฎีของเซอร์จอห์น เพนดรี (John Pendry) จากวิทยาลัยอิมพีเรียล (Imperial College) ในลอนดอน ที่ตีพิมพ์ไปเมื่อ 5 เดือนที่แล้ว ความพยายามครั้งแรก ทีมนักวิจัยได้ออกแบบการล่องหนของวัตถุโดยให้ขัดขวางการตรวจจับของคลื่นไมโครเวฟ ซึ่งคลื่นไมโครเวฟก็เหมือนคลื่นแสงและเรดาร์ที่ตกกระทบกับวัตถุต่างๆ และหักเหเข้าสู่ดวงตาทำให้มองเห็นและเกิดแสงเงา ต่างจากเทคโนโลยีสเตลธ (stealth) ที่ไม่ได้ทำให้เครื่องบินหรือจรวดหายไป แค่เพียงเกือบจะมองไม่เห็น และทำให้ยากแก่การตรวจจับด้วยเรดาร์ หลักการคือให้วัตถุที่สร้างขึ้นมาสามารถนำแสงเดินทางไปรอบๆ ช่องโพรงภายในเมทาเมทีเรียลส์ได้ ดังนั้นวัตถุใดก็ตามที่วางอยู่ในบริเวณที่เมทาเมทรีเรียลส์ห่อหุ้มอยู่นี้ก็จะถูกซ่อนไว้ เพราะแสงไม่สามารถส่องถึงวัตถุนั้นได้ จะเดินทางอ้อมผ่านไปเท่านั้น ชูริกและสมิธต่างร่วมกันพัฒนาวัสดุล่องหนพร้อมกับทีมนักวิจัยของอิพีเรียล โดยการสนับสนุนของเซ็นเซอร์แมทริกซ์ (SensorMetrix) บริษัทด้านวัสดุและเทคโนโลยีในซานดิเอโก สหรัฐฯ ร่วมด้วยโครงการวิจัยหลังปริญญาเอก (Intelligence Community Postdoctoral Research Fellowship Program) และสภาวิจัยด้านวิศวกรรมและฟิสิกส์ของอังกฤษ (United Kingdom Engineering and Physical Sciences Research Council) (ผู้จัดการ อังคารที่ 24 ต.ค. 2549 http://www.manager.co.th)





Clean Batt ล้างแบตเสื่อม-ลดขยะพิษ

ในยุคที่เบอร์มือถือกลายเป็นหมายเลขประจำตัวของคนยุคนี้ ปัญหา “ขยะพิษ” ล้นเมืองจากแบตเตอรี่เสื่อมจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ปัญญพัฒน์ หวังพิทักษ์ชน ก็มองเห็นปัญหานี้และไม่อยู่เฉย จึงทดลองซ้ำไปซ้ำมาจนสามารถประดิษฐ์อุปกรณ์ชาร์จไฟเพื่อนำแบตเตอรี่กลับมาใช้ใหม่ได้ แม้แต่ “แบตฯ ตาย” ที่ประจุไฟไม่ได้แล้ว เขาก็รับรองว่าชาร์จไฟให้นำกลับมาใช้ใหม่ได้ หลักการทำงานของเครื่องรีชาร์จที่ปัญญพัฒน์พัฒนาขึ้นมาคือ นำแบตเตอรี่ใส่เครื่องเพื่อคายประจุที่ค้างออกให้หมด ถ้ามีประจุค้างมากก็ต้องใช้เวลานาน จากนั้นเรียงโมเลกุลให้กับแบตเตอรี่ใหม่ประมาณ 1 ชั่วโมงสำหรับแบตเตอรี่ที่ใช้กับมือถือ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของแบตเตอรี่ด้วยหากเป็นชนิดอื่นก็ใช้เวลามากกว่านี้ ขั้นตอนการนำแบตฯ เก่ากลับมาใช้ใหม่จะไม่เติมสารเคมีใดทั้งสิ้น ใช้แค่ขั้นตอนการชาร์จไฟเท่านั้น สำหรับประเภทของแบตเตอรี่ที่นำกลับมารีชาร์จด้วยเครื่องของปัญญพัฒน์ได้ เป็นชนิด “แบตฯ แห้ง” และที่รีชาร์จได้เท่านั้น เช่น แบตฯ มือถือ วิทยุ กล้องดิจิทัล ถ่าน 2A, 3A เป็นต้น แต่ไม่รับชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ ส่วนเรื่องค่าไฟนั้น ปัญญพัฒน์ยืนยันว่าไม่มี “กินไฟ” อย่างแน่นอน เพราะได้ทดลองชาร์จแบตฯ เก่าด้วยเครื่องชาร์จไฟ 10 เครื่อง แล้วปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านทุกชนิด ปรากฏว่ามิเตอร์ไฟฟ้าหมุนช้ามาก ปัญญพัฒน์กล่าวว่าปัจจุบันขยะจากแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นมากและก็ไม่มีใครจำกัดได้ เขาจึงหาวิธีเพื่อยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่เหล่านั้นเพื่อลดปัญหาขยะพิษ ทั้งที่ไม่มีความรู้แต่ด้วยความที่ชอบทดลอง จึงลองผิดลองถูก จนหมดเงินไปเป็นล้าน ในที่สุดก็พัฒนาเครื่องชาร์จแบตเตอรี่เสริมได้ในราคาเครื่องละประมาณ 5,000 บาท ใช้เวลา 2 ปีนับแต่เริ่มคิดเมื่อปี 2546 ระยะแรกก็ให้บริการญาติและเพื่อนๆ ตลอดจนสำนักงานต่างๆ กระทั่งตระหนักว่าถึงเวลาแล้วที่จะเป็นธุรกิจ และเขาก็ได้จดสิทธิบัตรผลงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (ผู้จัดการ อังคารที่ 24 ต.ค. 2549 http://www.manager.co.th)





ก้าวกระโดด! 5 ปี “จรวดขวดน้ำ” พัฒนาไกลระบบยิงอย่างกับมืออาชีพ

การแข่งขันจรวดขวดน้ำระดับประเทศ ครั้งที่ 5 ในรอบชิงชนะเลิศ ระหว่างวันที่ 19-20 ต.ค.นี้ ขององค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ก็ได้ทีมผู้ชนะ แม้ว่าระหว่างการแข่งขันจะสายฝนกระหน่ำลงมาจนต้องหยุดพักการแข่งขันไปเกือบชั่วโมง ทั้งนี้มีทีมเยาวชนในระดับการศึกษาตั้งแต่ ป.4-ม.6 เข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 20 ทีม ซึ่งเป็นประเภทความไกล 10 ทีมและประเภทความแม่นยำอีก 10 ทีม การแข่งขันยิงจรวดขวดน้ำแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ ประเภทความไกลที่แต่ละทีมต้องยิงให้ได้ไกลกว่า 150 เมตร ใครยิงจรวดได้ไกลสุดกู่ก็ขึ้นแท่นรับรางวัลได้เลย และประเภทความแม่นยำ ที่แต่ละทีมต้องปล่อยจรวดให้ตกตรงเป้าหมายที่ระยะ 70 เมตร ในรัศมีไม่เกิน 5 เมตร ยิงใกล้เป้าหมายมากที่สุดเอาแชมป์ประเภทนี้ไปเลย และใครทำคะแนนรวมทั้ง 2 ประเภทได้มากที่สุดก็รับรางวัลประเภทคะแนนรวม นอกจากนี้ยังมีรางวัลประเภทการนำเสนอผลงานสิ่งประดิษฐ์จรวดขวดน้ำและฐานปล่อย ที่ต้องแข่งขันก่อนยิงจรวดจริงๆ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นรางวัลกัน “แห้ว” เพราะแต่ละทีมก็ยังไม่รู้ว่าจะยิงจรวดแม่นหรือไปได้ไกล แต่หากนำเสนอดีก็เอารางวัลไปกอดได้เลย ประเภทคะแนนรวม ผู้ชนะเลิศ คือ ทีมศรีบุณยานนท์ 2 จากโรงเรียนศรีบุณยานนท์ จ.นนทบุรี ทำคะแนนได้สูงสุด 128.45 คะแนน ประเภทความไกล ผู้ชนะเลิศ คือ ทีมกระโจน 2 จากวิทยาลัยการอาชีพพรรณนานิคม จ.สกลนคร ทำสถิติได้สูงสุด 228.03 เมตร ประเภทความแม่นยำ ผู้ชนะเลิศ คือ ทีมกฤษณ์กังวาน 4 จากโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ จ.ฉะเชิงเทรา ทำสถิติยิงจรวดได้ใกล้เป้าหมายมากที่สุด 0.24 เมตร หลายคนอาจจะมองว่าการแข่งขันจรวดขวดน้ำเป็นเรื่องเด็กๆ แต่สำหรับเยาวชนเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะพวกเขาได้ประมวลความรู้วิทยาศาสตร์ในชั้นเรียนมาใช้อออกแบบจรวดเพื่อให้ยิงได้ไกลและแม่นยำที่สุด ส่วนฐานปล่อยก็ถูกออกแบบให้มีเกจวัดแรงดันในขวดน้ำ มีระบบในการกำหนดมุมที่แม่นยำมากขึ้น อีกทั้งยังมีการแลกเปลี่ยนเทคนิคและความรู้กันทางอินเทอร์เน็ตอีกด้วย จรวดขวดน้ำทุกวันนี้จึงไม่ใช่แค่การยิงขวดพลาสติกเหลือทิ้งอีกต่อไป (ผู้จัดการ อังคารที่ 24 ต.ค. 2549 http://www.manager.co.th)





มหิดลปล่อยคลื่นแม่เหล็กสำรวจโลกใต้พิภพ

ดร.วีรชัย สิริพันธ์วราภรณ์ ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การสำรวจโครงสร้างใต้พื้นโลก ในปัจจุบันมีข้อจำกัดอยู่ที่เทคโนโลยีขุดเจาะ ที่ไม่สามารถลงลึกไปยังพื้นโลกในระดับที่นักวิจัยต้องการ อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการขุดเจาะสูง นักวิจัยทั่วโลกจึงคิดค้นวิธีทางธรณีฟิสิกส์ เพื่อการสำรวจ พร้อมทั้งพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยแสดงผล โปรแกรมสำรวจพื้นโลก ผลงานที่พัฒนาขึ้นนี้ อาศัยข้อมูลดิบที่ได้จากวิธีทางธรณีฟิสิกส์ โดยนักธรณีวิทยาปล่อยคลื่นกระแสไฟฟ้าและคลื่นสนามแม่เหล็กลงลึกไปในชั้นดิน เพื่อวัดความต้านทานในแต่ละจุด จากนั้นนำมาแปลผลเป็นโครงสร้างแผ่นเปลือกโลกที่อยู่ใต้พื้นพิภพ งานวิจัยนี้ทำร่วมกับทีมวิจัย จากสถาบันวิจัยแผ่นดินไหว มหาวิทยาลัยโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ขณะที่ทีมวิจัยจากสหรัฐอเมริกาและเยอรมนีดูแลการสำรวจพื้นโลกในทวีปต่างๆ ต่างประเทศใช้เทคนิคทางธรณีฟิสิกส์สำรวจหาแหล่งแร่ใต้ดิน แหล่งน้ำบาดาล แหล่งน้ำมัน เพื่อประกอบการวางแผนก่อสร้างโรงงาน โรงไฟฟ้าและฐานขุดเจาะน้ำมัน ส่วนนักธรณีวิทยาสนใจข้อมูลที่อยู่ลึกไปราว 100 กิโลเมตร เพราะแสดงถึงรอยเลื่อนแผ่นดินไหว การมุดตัวของเปลือกโลกรวมถึงแมกม่าใต้ภูเขาไฟ ล้วนมีความสำคัญทางธรณีวิทยา (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 25 ต.ค. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





สวทช.ถ่ายทอดวิธีผลิตฟิล์มหุ้มโซลาร์เซลล์

ศ.ดร.ชัชนาถ เทพธรานนท์ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (ทีเอ็มซี) หน่วยงานในสังกัดสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวว่า ทีเอ็มซีร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี พัฒนาเทคโนโลยีโพลิเมอร์โปร่งแสง ชนิด Ethylene Vinyl Acetate (EVA) และพร้อมจะถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เอกชนนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมการผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์ภายในประเทศที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสส่งออกได้อีกด้วย ดร.พอพนธ์ สิชฌนุกฤษฏ์ รองผู้อำนวยการศูนย์ทีเอ็มซี และผู้ดูแลรับผิดชอบสถาบันพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ กล่าวว่า แผ่นฟิล์มโปร่งแสงอีวีเอ ใช้เสมือนกาวห่อหุ้มเซลล์แสงอาทิตย์ให้ติดกับกระจก เพื่อป้องกันความชื้นในการประกอบเป็นแผงเซลล์แสงอาทิตย์ โดยแผ่นฟิล์มมีความเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทย ที่สภาพอากาศร้อนชื้นสูง (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 25 ต.ค. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





เซกเวย์สัญชาติไทยผลงานลาดกระบัง

รศ.ประภาษ อุคคกิมาพันธุ์ ภาควิชาวิศวกรรมการวัดคุม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า ทีมงานได้พัฒนา "เพนดูบอท" (Pendubot) หุ่นยนต์สองล้อเคลื่อนที่ได้คล้ายกับ "เซกเวย์" ยานพาหนะสองล้อที่อาศัยการทรงตัวของผู้ขับขี่ควบคุมการเดินหน้าและถอยหลัง ความคืบหน้าของการพัฒนาขณะนี้ไปไกลกว่า 80% โดยหุ่นยนต์สามารถทรงตัวและเคลื่อนที่ได้ตามต้องการในระดับหนึ่ง "ทีมงานคาดว่าอีก 7 ปีข้างหน้าจะมีพาหนะสองล้อฝีมือคนไทยออกวางตลาดในราคาถูกกว่าเครื่องนำเข้าที่กำลังผูกขาดตลาดทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยอยู่ในปัจจุบัน โดยราคาขาย 3-4 แสนบาท เหตุที่ทีมงานต้องรอถึง 7 ปี จึงจะเดินหน้าด้านการตลาด เพราะติดสิทธิบัตรของยานพาหนะสองล้อนำเข้า" ในเบื้องต้น โครงการพัฒนาหุ่นยนต์เคลื่อนที่สองล้อ เป้าหมายเพื่อการศึกษาและวิจัยในห้องปฏิบัติการของนักศึกษาระดับปริญญาตรี จากนั้นทีมนักศึกษาร่วมกันพัฒนา "เพนดูลัม" หรือแกนควบคุมการทรงตัว ซึ่งถือเป็นกลไกทำงานหลัก พร้อมทั้งเลือกใช้วัสดุที่หาง่ายมาประกอบเข้าด้วยกัน ทำให้ต้นทุนต่ำกว่าเครื่องนำเข้าถึง 10 เท่า เช่น รีโมตคอนโทรลจากรถวิทยุบังคับ มอเตอร์จากสว่านไฟฟ้าทั่วไป ล้อรถมือสอง เป็นต้น หุ่นยนต์ตัวนี้ สามารถประยุกต์ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น รับส่งเอกสาร ประคองผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านการเดิน หรือจะต่อยอดจนเป็นยามนิรภัย ที่ติดกล้องออกลาดตระเวน ทีมงานใช้เวลาประมาณ 1 ปี ในการพัฒนา โดยเริ่มจากการศึกษาเสถียรภาพการทรงตัว จากนั้นพัฒนาต่อการเพิ่มล้อ 2 ล้อพร้อมทั้งปรับในเรื่องการทรงตัวอีกครั้ง ล่าสุดได้ติดตั้งมอเตอร์ 2 ตัวที่ข้างซ้ายและขวา เพื่อแยกโสตการทำงาน ให้สามารถหมุนรอบตัวเอง 360 องศา อีกทั้งสามารถเลี้ยวซ้ายและขวาได้อย่างแม่นยำ ส่วนขั้นตอนต่อไปจะพัฒนาด้านระบบใช้งาน ตั้งเป้ารัศมีสั่งการครอบคลุมอย่างน้อย 15 เมตร และกินไฟน้อยกว่า 200 มิลลิแอมป์ (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 25 ต.ค. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





‘กล่องใส่ยาพูดได้’

โครงงานนวัตกรรมที่ว่าก็คือ “กล่องใส่ยาพูดได้” ผลงานของ “ด.ช.รชต สรณาคมน์” หรือ “น้องเฟรม” นักเรียนชั้น ม.1 โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย จ.นครราชสีมา คิดประดิษฐ์งานชิ้นนี้ขึ้นมา โดยใช้เทคโนโลยีไมโครคอนโทรลเลอร์ และเขียนภาษาพีเบสิก เพื่อให้เป็นคำสั่งในการควบคุมการทำงานของไมโครคอนโทรลเลอร์ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถตั้งค่าระยะเวลาที่รับประทานยาด้วยเวลาจริง เป็นชั่วโมงและนาที โดยการกดสวิตช์ควบคุมผ่านจอ LCD ขนาดเล็ก ซึ่งเครื่องต้นแบบนี้จะสามารถกำหนดช่วงระยะเวลาได้ 4 ช่วง คือ เช้า-กลางวัน-เย็น-ก่อนนอน สำหรับการใช้งานนั้นหากช่วงเวลาใดไม่มียาที่ต้องรับประทานก็สามารถข้ามช่วงนั้นไปได้ ส่วนลักษณะของกล่องยาจะแบ่งเป็นช่องขนาดเล็ก ๆ 4-8 ช่องต่อกล่อง และเมื่อใส่ยาครบจะรับประทานได้ 4-8 วัน ต่อการเติมยาใส่กล่องหนึ่งครั้ง และเมื่อนำกล่องยาไปวางบนแท่นที่มีระบบเซ็นเซอร์ในการตรวจสอบว่ากล่องใส่ยาอยู่ในตำแหน่ง หรือถูกหยิบออกมา ซึ่งหากกล่องใส่ยาถูกหยิบออกจากตำแหน่งที่วางไว้ เซ็นเซอร์ก็จะส่งข้อมูลไปให้ไมโครคอนโทรลเลอร์ ดังนั้นเมื่อถึงเวลารับประทานยาที่ผู้ดูแลผู้ป่วยได้กำหนดไว้ล่วงหน้า ก็จะมีเสียงแจ้งเตือนให้ผู้ป่วยทราบ ด้วยเสียงพูดที่บันทึกไว้ถูกเรียกมาแสดงผลผ่านลำโพง และถ้าผู้ป่วยหยิบกล่องยาผิดกล่องขึ้นมา ก็จะมีการแจ้งเตือนว่า หยิบกล่องยาไม่ถูกต้อง สำหรับสิ่งที่พิเศษ คือกล่องใส่ยาสามารถส่งเสียงเตือนการรับประทานยาเป็นเสียงที่ผู้ป่วยเลือกได้ เช่น เสียงของบุตรหลาน ญาติพี่น้อง ซึ่งจะมีส่วนช่วยสร้างกำลังใจที่ดีให้กับผู้ป่วยอีกด้วย นอกจากนี้หากผู้ใช้งานต้องการระบบการติดตามแบบไร้สายก็สามารถเพิ่มวงจรบลูทูธและโปรแกรมสั่งงานให้ไมโครคอนโทรล เลอร์ส่งข้อมูลไปให้เครื่องรับโทรศัพท์แบบมือถือส่งข้อมูลแบบ SMS ผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือไปยังเครื่องรับโทรศัพท์ของลูกหลานหรือญาติพี่น้อง ที่ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยที่อยู่ห่างไกลออกไปได้อีกด้วย น้องเฟรม บอกต่อว่า ความยากของงานชิ้นนี้อยู่ที่การเขียนภาษาคำสั่งหรือภาษาพีเบสิกลงในไมโครคอนโทรลเลอร์ ส่วนการประกอบใช้เวลาไม่มากนัก สำหรับงบประมาณของอุปกรณ์ทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 2,000 กว่าบาทต่อหน่วย แต่หากผลิตหลาย ๆ ชิ้นต้นทุนก็จะถูกลง (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 26 ต.ค. 2549 http://www.dailynews.co.th)





สตรอเบอร์รี่ฟื้นสมองผู้สูงอายุ แต่ต้องกินให้ได้วัน 5 กก.

คณะนักวิจัยของแคลิฟอร์เนีย ที่สหรัฐฯเชื่อว่า ผลสตรอเบอร์รี่อาจจะช่วยผู้สูงอายุให้มีความจำดีขึ้นได้ เพราะเห็นผลจากการ ทดลองกับหนูว่า สารต่อต้านอนุมูลอิสระในสตรอเบอร์รี่ ได้ช่วยให้หนูมีความจำดีขึ้นกว่าเก่า พวกเขาได้ศึกษา สารไฟเซติน อันเป็นสารธรรมชาติซึ่งช่วยปกป้องเซลล์ไม่ให้เสื่อมสลายอย่างละเอียด โดยหัวหน้าคณะนักวิจัย ดร.ปามีเลีย มาเฮอร์ กล่าวในการรายงานผลในวารสาร “วิทยาศาสตร์” ว่า มันอาจจะเรียกได้ว่าเป็นอาหารทิพย์ของสมองก็ได้ แต่จะต้องศึกษาให้มากกว่านี้ หนังสือพิมพ์รายวัน “เดอะ ซัน” ยักษ์ ใหญ่ของอังกฤษ ซึ่งเสนอข่าวเรื่องนี้ รายงานว่า หมอปามีเลียกล่าวว่า “หากว่าจะกินผลสตรอเบอร์รี่ให้เห็นผล อาจจะต้องกินให้ได้มากถึงวันละหนัก 4 กิโลกรัมครึ่ง” (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 26 ต.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





เตรียม “ไฮโดรเจน” รับ “เซลล์เชื้อเพลิง” ด้วย “ตัวเร่งนาโน”

ผศ.ดร.นวดล เหล่าศิริพจน์ จากบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) คณะพลังงานและวัสดุ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้พัฒนากระบวนการผลิตไฮโดรเจนเพื่อใช้กับเซลล์เชื้อเพลิง โดยพัฒนา “ตัวเร่งปฏิกิริยานาโน” ที่ใช้ในกระบวนการเปลี่ยนสารไฮโดรคาร์บอนเป็นไฮโดรเจน เรียกกระบวนการดังกล่าวว่า “กระบวนการรีฟอร์มมิ่ง” (Reforming) ตัวเร่งปฏิกิริยาชนิดใหม่ที่ได้รับความสนใจในปัจจุบันคือ ตัวเร่งปฏิกิริยาซีเรียมออกไซด์(ซีเรีย) แต่ยังอยู่ที่ระดับไมครอน ทาง ผศ.ดร.นวดลและทีมวิจัยจึงนำนาโนเทคโนโลยีมาช่วยลดขนาดให้สารประกอบซีเรยอยู่ในระดับนาโน และหลังจากนำไปทดสอบในกระบวนการผลิตไฮโดรเจนจากสารไฮโดรคาร์บอน พบว่าตัวเร่งปฏิกิริยาที่พัฒนาขึ้นมานั้นมีศักยภาพในการผลิตมากกว่าตัวเร่งปฏิกิริยาทั่วไปที่ใช้อยู่ นอกจากการพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยาแล้ว ผศ.ดร.นวดลยังทำงานวิจัยเกี่ยวกับการออกแบบระบบการผลิตไฮโดรเจนที่เหมาะสมกับสารตั้งต้นชนิดต่างๆ โดยได้ออกแบบและสร้างระบบผลิตไฮโดรเจนสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้าจากเซลล์เชื้อเพลิงขนาด 1 กิโลวัตต์ โดยใช้สารตั้งต้น อาทิ ก๊าซธรรมชาติ ก๊าซมีเทน ก๊าซหุงต้ม เมทานอล เป็นต้น ซึ่งพบว่าใช้ก๊าซธรรมชาติผลิตไฮโดรเจนได้ดีที่สุด แต่หากจะนำไปใช้ในระดับครัวเรือนยังเป็นอุปสรรค เพราะยังไม่มีระบบท่อส่งในระดับครัวเรือน ขณะที่การใช้ก๊าซหุงต้มแก้ปัญหาดังกล่าวได้เพราะมีการใช้ในระดับครัวเรือนอยู่แล้ว (ผู้จัดการ พฤหัสบดีที่ 26 ต.ค. 2549 http://www.manager.co.th)





จับตาน้ำฝนสิ่งประดิษฐ์จากรุ่นเยาว์

นายฆนัท จินดามัยกุล นักเรียนจากโรงเรียนสตรีวิทยา 2 กล่าวถึงเครื่องเตือนอุทกภัยแบบอัตโนมัติ ซึ่งเป็นผลงานที่ออกแบบพัฒนาร่วมกับกลุ่มเพื่อนว่า เครื่องดังกล่าวทำหน้าที่วัดปริมาณน้ำฝน หากมีปริมาณมากกว่าระดับที่กำหนดไว้ ไซเรนจะส่งเสียงเตือนให้คนในพื้นที่ได้ยิน สำหรับเฝ้าระวังภัยน้ำท่วมได้ทันการณ์ ในการพัฒนาเครื่องดังกล่าว เริ่มต้นด้วยการศึกษาเปรียบเทียบ ระหว่างเครื่องวัดน้ำฝนแบบธรรมดากับเครื่องวัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติที่ขายอยู่ตามท้องตลาด ราคาไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นบาท เพื่อนำข้อดีของเครื่องวัดแต่ละแบบมาพัฒนาเป็นเครื่องวัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติที่ราคาถูก ทีมงานได้ติดตั้งเซ็นเซอร์ หรือตัวตรวจวัดระดับน้ำสองชนิด คือเซ็นเซอร์แสงกับเซ็นเซอร์ตรวจจับสนามแม่เหล็ก โดยติดตั้งไว้บริเวณจุดรับน้ำ จากนั้นเซ็นเซอร์จะส่งข้อมูลที่ตรวจพบไปยังไมโครคอนโทรลเลอร์หรือชุดสมองกล ซึ่งจะทำหน้าที่ประมวลผล หากพบว่าปริมาณน้ำฝน ณ จุดรับน้ำมากกว่าที่กำหนดไว้ ชุดสมองกลจะส่งสัญญาณให้ไซเรนทำงานในทันที ผลจากการพัฒนาเครื่องมือดังกล่าว ทำให้ได้เครื่องเตือนภัยน้ำท่วมแบบอัตโนมัติสำหรับใช้เองในประเทศ ราคาเครื่องละ 3,000 บาท โดยไม่ต้องนำเข้าเครื่องราคาแพงกว่า 1 หมื่นบาทขึ้นไป พร้อมนำไปใช้งานแทนเครื่องวัดน้ำฝนแบบธรรมดาได้ทันที เพียงตั้งค่าปริมาณน้ำฝนที่ต้องการวัดให้เหมาะสมแต่ละพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ทีมงานตั้งใจพัฒนาเครื่องให้น้ำหนักเบา พกพาสะดวก ตลอดจนติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์แทนการใช้มอเตอร์ไฟฟ้า พร้อมทั้งปรับปรุงรูปลักษณ์ให้สวยงาม (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 27 ต.ค. 2549 http://www.komchadleuk.net)





ระบบป้องกันขโมย(มืออาชีพ) แกะรอย.."มือถือ"หาย!!

นักศึกษาปี 4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาคอมพิวเตอร์ หลักสูตรนานาชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ประกอบด้วย วีรวิชญ์ เชาว์ชัยสิทธิ์, ถาวร ลิ้มวัฒนาชัย, ฉัตรชัย คุ้มคำ, พิชาน์ มหากิตติคุณ และ พีระพงษ์ พัวพันธ์ ที่ร่วมด้วยช่วยกัน ประดิษฐ์คิดค้น "ระบบป้องกันการโจรกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่" ล่าสุด ระบบป้องกันการโจรกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพิ่งไปคว้ารางวัลชนะเลิศจากการประกวด โครงการรางวัลนวัตกรรมแห่งประเทศไทย ประจำปี 2549 ระดับอุดมศึกษา สาขาวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี มาหมาดๆ ซึ่งจัดโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งทั้ง 5 หนุ่ม ได้ช่วยกันคิดค้นโปรแกรมติดตั้งในเครื่องโทรศัพท์มือถือ โดยใช้หลักการที่ว่าเมื่อเริ่มติดตั้งโปรแกรมลงโทรศัพท์มือถือแล้ว จะต้องลงทะเบียนเพื่อเริ่มใช้โปรแกรมครั้งแรกด้วยการกรอกข้อมูลส่วนตัวที่ระบุความเป็นเจ้าของโทรศัพท์ผ่านการลงทะเบียน เพื่อเชื่อมต่อหมายเลขประจำตัวโทรศัพท์ (IMEI) หมายเลข MAC ADDRESS กับข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เป็นเจ้าของ เช่น อี-เมลแอดเดรส หรือรหัสผ่านที่ผู้ใช้งานตั้งขึ้น หลังจากนั้น ข้อมูลในการลงทะเบียนจะถูกบันทึกไว้ทั้งในส่วนของหน่วยความจำบนตัวเครื่อง และส่งไปยัง Server database จากนั้น ต้องตั้งหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นเบอร์ที่ตั้งสำรองไว้นอกเหนือจากเบอร์ที่ใช้งานอยู่ เพื่อติดต่อกับเจ้าของเครื่องถ้าโทรศัพท์โดนขโมย หากโทรศัพท์มือถือที่ผ่านการติดตั้งระบบป้องกันการโจรกรรมแล้ว แม้จะไปทำหล่นหายที่ไหน หรือถูกขโมยไป ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกเอาซิมการ์ดเก่าออก เพื่อเปลี่ยนซิมการ์ดใหม่ ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะต้องขออนุญาตระบบก่อนเปลี่ยน ที่สำคัญคือ เมื่อระบบเปิดทำงานซอฟต์แวร์บนมือถือจะพบว่ามีการโจรกรรมเกิดขึ้น ซอฟต์แวร์ก็จะแจ้งเตือน พร้อมทั้งส่งข้อมูลในการติดตามโทรศัพท์มือถือ และระบุตัวผู้ทำผิดไปยังระบบแม่ข่าย GPRS/EDGE และโทรศัพท์เคลื่อนที่อีกเครื่องหนึ่งผ่าน SMS ตามหมายเลขฉุกเฉิน เพื่อให้เจ้าของเครื่องตรวจสอบ และแจ้งข้อมูลของการถูกโจรกรรม เพื่อติดตามโทรศัพท์ และจับกุมผู้ทำผิดต่อไป เบื้องต้น ระบบป้องกันการโจรกรรมมือถือนี้ ถูกนำไปทดลองใช้จริงกับโนเกีย 6630 โดยจำลองสถานการณ์ต่างๆ ที่มือถือมีความเสี่ยงที่จะถูกขโมย หรือถูกขโมยไปแล้ว ผลที่ได้คือ โปรแกรมสามารถตรวจสอบสถานะความปลอดภัยในแต่ละระดับ รายงานข้อมูลไปยังเจ้าของโทรศัพท์เมื่อถูกขโมย นอกจากนี้ ระบบป้องกันการโจรกรรมยังช่วยในเรื่องของการซื้อขายโทรศัพท์มือสองได้อีกด้วย ซึ่งเป็นการทำลายวงจรการโจรกรรมมือถือที่ถูกขโมย เพื่อไม่ให้มือถือถูกนำไปขายต่อได้ เพราะทางร้านหรือผู้รับซื้อสามารถตรวจสอบความเป็นเจ้าของโทรศัพท์ที่แท้จริงผ่านเว็บไซต์ เพราะระบบจะมีข้อมูลส่วนตัวแสดง ซึ่งจะแสดงข้อมูลส่วนตัวพร้อมกับแจ้งสถานะของโทรศัพท์มือถือว่าอยู่ในสถานะถูกโจรกรรมหรือไม่ อย่างไรก็ตาม โปรแกรมนี้ยังมีข้อจำกัด เพราะใช้ได้กับมือถือรุ่นที่รองรับเทคโนโลยี JAVA Application, GPRS/EDGE และเครื่อง Symbian (มติชน ศุกร์ที่ 27 ต.ค. 2549 http://www.matichon.co.th)







ดร.เทิดชาย ช่วยบำรุง ผู้จัดการวิจัยการพัฒนาและการจัดการท่องเที่ยวเชิงพื้นที่ สำนักประสานงานการพัฒนาและจัดการการท่องเที่ยวเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในธุรกิจที่เติบโต และสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยโดยเฉลี่ยปีละ 7.8% แต่การท่องเที่ยวก็ส่งผลกระทบในแง่ลบ ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะจากนักท่องเที่ยว แต่ยังเกิดจากแหล่งท่องเที่ยวที่ขาดเข็มทิศในการกำหนดทิศทาง ดังนั้น สกว.จึงจัดโครงการธนาคารข้อมูลเพื่อการพัฒนาและจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เพื่อเป็นมันสมอง และเข็มทิศที่จะพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยมันสมองดังกล่าวเกิดจากการศึกษาวิจัยที่ สกว.ได้จัดทุนสนับสนุนให้กับนักวิจัย จากนั้นจะนำผลงานวิจัยบรรจุในธนาคารข้อมูลเพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณะเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปใช้สู่การปฏิบัติจริงในการกำหนดยุทธศาสตร์พัฒนาการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน "ข้อมูลการวิจัยได้แบ่งเป็นระดับพื้นที่ ประเทศ และภูมิภาค ซึ่งระดับพื้นที่จะแยกออกเป็นกลุ่มอันดามัน กลุ่มล้านนา กลุ่มอีสานใต้ และกลุ่มบูรพา ที่ผ่านมาได้ดำเนินการในกลุ่มอันดามันไปแล้ว ขณะนี้กำลังดำเนินการในกลุ่มล้านนา ระยะที่ 1 โดยดำเนินการใน จ.เชียงราย เป็นแห่งแรก ภายใต้โจทย์ที่ว่า "บริบทฐานรากการพัฒนาและจัดการการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย" มีนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา และวิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย ร่วมเสนอผลงานจำนวนมาก แต่ผ่านการพิจารณา 28 โครงการ คาดว่าภายใน 2-3 เดือน งานวิจัยจะเสร็จสมบูรณ์ และเผยแพร่ได้" รศ.ร.อ.ชูวิทย์ สุจฉายา ภาควิชาการออกแบบและวางผังชุมชนเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิประเมินผลงานวิจัย กล่าวว่า โครงการนี้จะสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ในพื้นที่เพื่อการศึกษา และนำข้อมูลการวิจัยไปสู่การวางแผนพัฒนาในระดับพื้นที่จนถึงระดับประเทศที่สอดคล้องกับความเป็นจริง ที่สำคัญสถาบันอุดมศึกษายังได้สร้างปฏิสัมพันธ์กับชุมชนในพื้นที่ ทั้งนี้ งานวิจัยถือเป็นภารกิจหลักของสถาบันอุดมศึกษา ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าการนำผลงานวิจัยไปใช้ทางปฏิบัติยังไม่เกิดผล ส่วนหนึ่งเพราะภาพรวมของประเทศด้วยที่ยังไม่ค่อยนำไปใช้ และไม่ได้ถูกย่อยไปใช้ในพื้นที่อย่างทั่วถึง อย่างไรก็ตาม นักวิจัยรุ่นใหม่มีความตั้งใจในการทำงาน มีความสามารถในการรวบรวมข้อมูล การเข้าถึงพื้นที่แต่ยังขาดการตกผลึกที่เป็นการมองรอบด้าน แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ (มติชน ศุกร์ที่ 27 ต.ค. 2549 http://www.matichon.co.th)





ข่าวทั่วไป


ไทยมีรอยแยกขนาดเล็กกระจาย อาจเกิดแผ่นดินไหวเล็กเป็นระยะ

นายทศพร นุชอนงค์ ผู้อำนวยการกองธรณีวิทยาสิ่งแวดล้อม กรมทรัพยากรธรณี กล่าวถึงกรณีการเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้งในบริเวณประเทศไทยในช่วงนี้ว่า ในเชิงวิชาการ การเกิดแผ่นดินไหวขนาดเล็กเกิดจากการ ปรับตัวของเปลือกโลกที่มาจากการสะสมพลังงานความร้อนที่อยู่ใต้เปลือกโลก เมื่อพลังงานที่ปลดปล่อยออกมาก็จะออกมาตามรอยแตกและรอยเลื่อนที่มีอยู่แล้ว ซึ่งบริเวณประเทศไทยและประเทศ เพื่อนบ้าน เช่น พม่า สปป.ลาว จะมีรอยเลื่อนขนาดเล็ก โดยเฉพาะประเทศไทยจะมีรอยเลื่อนตั้งแต่ภาคเหนือฝั่งตะวันตกไล่ลงมาถึงภาคใต้ คาดว่าคงจะมีเหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นเป็นระยะๆ สำหรับ รอยแตกของเปลือกโลกขนาดเล็กในประเทศไทย จากการสำรวจมีอยู่ 16 กลุ่มกระจายอยู่ทั่วไป ส่วนใหญ่จะอยู่ทางภาคตะวันตก ภาคเหนือ และภาคใต้ “ส่วนรอยแตกขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ประเทศ ไทยที่สุดก็อยู่ห่างไป 400-500 กิโลเมตร คือบริเวณหมู่เกาะอันดามัน หมู่เกาะนิโคบาร์ ที่เคยเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ ทำให้เกิดสึนามิเมื่อปลายปี 2547 ส่วนที่ว่ารอยแตกที่อินโดนีเซียจะต่อเนื่องหรือมีความสัมพันธ์กับรอยเลื่อนในไทยหรือไม่นั้น เท่าที่มีข้อมูลทางวิชาการชี้ว่าไม่มีการเชื่อมโยง และยังไม่มีข้อมูลที่แสดงชัดเจนว่าเชื่อมโยงกันหรือจะเกิดผลกระทบอย่างไร” (ไทยรัฐ พุธที่ 25 ต.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





วัยโจ๋วอนขจัดร้านเหล้าพ้นสถานศึกษา

เครือข่ายนักเรียนต้านภัยสุราและยาสูบ เครือข่ายนิสิตนักศึกษา ร่วมกันแถลงถึงผลการสำรวจร้านเหล้าและป้ายโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใกล้สถานศึกษา นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ จากศูนย์ กิจกรรมเยาวชนเพื่อชุมชนและสังคม กล่าวว่า เครือข่ายเยาวชนฯ สำรวจร้านเหล้าและป้ายน้ำเมารอบมหาวิทยาลัย 11 แห่งทั่วกรุงเทพฯ ในเขต 500 เมตร พบว่ามีร้านเหล้าถึง 335 ร้าน ป้ายโฆษณาน้ำเมา 128 ป้าย อันดับ 1 คือ บริเวณรอบ ม.เกษตรศาสตร์ 48 ร้าน ป้ายโฆษณาเหล้า 16 ป้าย อันดับที่ 2 คือ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 45 ร้าน ป้ายโฆษณาเหล้า 19 ป้าย อันที่ 3 คือ ม.ราชภัฏสวนดุสิตและ ม.ราชภัฏสวนสุนันทา 34 ร้าน ป้ายโฆษณาเหล้า 13 ป้าย ทั้งนี้ จากการสัมภาษณ์เชิงลึกพบว่า นักเรียนนักศึกษาจะรู้จักกับเจ้าของร้านเหล้าเป็นอย่างดี และเจ้าของร้านเหล้าก็จะรับฝากหนังสือ เสื้อผ้าตอนเช้าก่อนเข้าเรียน หลังเลิกเรียนก็จะเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ร้านเหล้าและยังดูต้นทางให้กับนักเรียนนักศึกษาด้วย เมื่อสอบถามคนขับรถแท็กซี่ซึ่งดื่มมานาน 20 ปี มีลูกชายอายุ 13 ปีที่กลายเป็นนักดื่มไปแล้วเพราะดื่มตามพ่อ รวมทั้งเห็นโฆษณาเหล้าจากสื่อโทรทัศน์ ทำให้อยากดื่ม นอกจากนี้ ยังพบว่ามีอาชีพใหม่เกิดขึ้นคือ เจ้าของร้านเหล้าจะจ้างวัยรุ่นหญิงมาเที่ยวในผับหรือร้านของตนเอง เพื่อล่อนักเที่ยวชายให้เข้าร้าน จึงขอเรียกร้องให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองขจัดแหล่งอบายมุขใกล้สถานศึกษาให้หมดไปโดยเร็ว น.ส.ภรทิพย์ มั่นคง นักเรียนชั้น ม.6 รร.มัธยมวัดสิงห์ กล่าวว่า จากการสำรวจโรงเรียนใน กทม. 4 เขต ได้แก่ เขตดินแดง มี รร.ที่มีป้ายโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระยะ 500 เมตร จำนวน 14 โรง เขตวังทองหลาง มี 16 โรง เขตพระนคร มี 8 โรง เขตห้วยขวาง มี 15 แห่ง สำหรับโรงเรียนที่มีร้านเหล้าใกล้โรงเรียนมากที่สุดคือ รร.พิมานวิทย์ มีร้านเหล้าถึง 44 ร้าน ที่น่าห่วงคือ รร.นี้เป็น รร.ประถม ใกล้ ถ.ข้าวสาร อันดับที่ 2 คือ รร.วัดสังเวช มีร้านเหล้าใกล้โรงเรียน 35 ร้าน อันดับที่ 3 รร.กุนนทีรุทธารามวิทยาคม มี 10 ร้าน ขอเรียกร้องให้รัฐบาลกำหนดเขต 500 เมตรจากรั้วสถานศึกษาเป็นเขตควบคุมการขายสุรา เพราะร้านขายเหล้าเป็นแหล่งมั่วสุม และกับดักล่อลวงเยาวชนที่ร้ายแรงที่สุด (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 26 ต.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





“รถสื่อสารฉุกเฉิน” บรรเทาเครียด-เชื่อมการติดต่อพื้นที่น้ำท่วม “อ่างทอง”

ท่ามกลางความยากลำบากของผู้ประสบภัยน้ำท่วม ทางศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ(เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (สวทช.) ได้ร่วมกับสภากาชาดไทยจัดส่งรถสื่อสารฉุกเฉินเพื่อสังคมไทย (EECV) ลงพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม ต.ป่างิ้ว อ.เมือง จ.อ่างทอง เพื่อให้บริการโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแก่ทีมกู้ภัยของสภากาชาดไทยและผู้ประสบภัยในบริเวณกองอำนวยการเฉพาะกิจช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ทั้งนี้รถ EECV ให้บริการโทรศัพท์ได้มากกว่า 30 หมายเลขพร้อมส่งโทรสารได้ อินเทอร์เน็ต 25 เครื่อง รวมทั้งปั่นไฟได้ 3 วัน โดยจะให้บริการตั้งแต่ช่วง 8.00-23.00 น. ระหว่างวันที่ 21-27 ต.ค. จากนั้นจะเคลื่อนไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อทดสอบระบบอินเทอร์เน็ตบอร์ดแบรนด์ไร้สายสำหรับชุมชนหลังจากนี้ นายโกศล หอมเพียร เจ้าหน้าที่ระบบรถ EECV กล่าวว่าตั้งแต่มาให้บริการโดยจอดรถในพื้นที่ของกำนัน ต.ป่างิ้ว มีผู้ใช้บริการประมาณ 70 คน โดยส่วนใหญ่เป็นเด็กที่มาใช้บริการอินเทอร์เน็ต ส่วนโทรศัพท์ก็มีผู้มาใช้บริการประมาณ 30 คน นอกจากนี้ก็มีผู้มาใช้บริการพิมพ์งานบ้าง ส่วนใหญ่ที่มาใช้พิมพ์งานจะเป็นเจ้าหน้าที่ของกองอำนวยการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม หน้าที่ของนายโกศลคือการดูแลระบบเทคนิคของรถ เช่น ระบบอินเทอร์เน็ต ตรวจสอบเครื่องคอมพิวเตอร์ รวมทั้งซ่อมบำรุง เป็นต้น และเนื่องจากรถ EECV ที่ให้บริการนี้เป็นเครื่องต้นแบบ จึงประสบปัญหาหลายอย่าง ส่วนใหญ่เป็นปัญหาทางด้านเครื่องกล เนื่องจากรถมีน้ำหนักมากถึง 5.8 ตัน นายสุทัศน์ ปฐมนุพงศ์ หัวหน้าโครงการรถสื่อสารฉุกเฉิน เนคเทค กล่าวว่ารถ EECV สามารถดึงเสาส่งสัญญาณได้สูงถึง 18 เมตร ซึ่งจะให้บริการได้ครอบคลุมพื้นที่ 3 กิโลเมตร แต่ในพื้นที่บริการจริงไม่ได้บริการได้ไกลนัก จึงยึดเสาสูง 4-5 เมตร ซึ่งจะส่งสัญญาณได้ไกล 300 เมตร (ผู้จัดการ พฤหัสบดีที่ 26 ต.ค. 2549 http://www.manager.co.th)





กินผักเป็นนิจศีลแก่ตัวไปไม่หลงลืม

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยศูนย์การแพทย์แห่งหนึ่งในชิคาโก วิจัยประโยชน์ของการกินผักที่ผู้สูงอายุจะได้รับ โดยศึกษาอาสาสมัครอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป จำนวน 3,718 คน ในชิคาโก ด้วยการให้ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับอาหารที่รับประทาน พร้อมกับการตรวจความสามารถด้านสมองอย่างน้อย 2 ครั้งในช่วงเวลาที่ทำวิจัย ผลวิจัยพบผู้สูงอายุที่รับประทานผัก 2.8 จานต่อวัน จะมีปัญหาด้านความจำเสื่อมหรือปัญหาด้านสมองเสื่อมอื่นๆ ช้ากว่าร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับผู้ที่รับประทานน้อยกว่า 1 จานต่อวัน งานวิจัยนี้จึงเป็นข่าวดีที่จะช่วยให้เราไม่ต้องเผชิญปัญหาด้านความจำที่แย่ลงตามอายุที่มากขึ้น ส่วนผักที่ช่วยให้ความจำดี ได้แก่ พวกกะหล่ำปลีและผักขม ถ้าจะให้ดีที่สุดต้องเป็นพวกผักสีเหลือง เช่น ฟักทอง หรือพืชตระกูลบรอกโคลี ในขณะที่พืชตระกูลถั่ว อาทิ ถั่วลิสง หรือถั่วฝักยาว ให้ผลน้อยที่สุด อย่างไรก็ตาม ในงานวิจัยพบว่า การกินผลไม้ไม่มีผลเกี่ยวกับการช่วยเรื่องความจำชัดเจน มีการทดลองพบว่า สารอาหารจำนวนมากที่พบในผลไม้ประเภทเบอร์รี่ช่วยพัฒนากระบวนการทำงานของสมองในหนูทดลองให้ดีขึ้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีวิตามินอีจำนวนมาก ซึ่งช่วยให้สมองทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนนิยมกินผักร่วมกับไขมัน อาทิ น้ำสลัด เนย มาการีน และมายองเนส ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นตัวช่วยดูดซึมวิตามินอีที่ดี (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 27 ต.ค. 2549 http://www.komchadleuk.net)





โจ้กกึ่งสำเร็จรูปคุณค่าน้อยกว่าซีเรียล

ผลวิจัยพบว่า กระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นในขั้นตอนการผลิตอาหารเช้ากึ่งสำเร็จรูปเหล่านี้ คือตัวการสำคัญที่ทำให้คุณค่าทางอาหารเสียไป ปฏิกิริยาดังกล่าวเรียกว่า ปฏิกิริยาเมลลาร์ด เป็นปฏิกิริยาระหว่างกรดอะมิโนกับน้ำตาล โดยมีความร้อนสูงตั้งแต่ 100 องศาเซลเซียสขึ้นไปเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา แม้ว่าปฏิกิริยาดังกล่าวจะทำให้อาหารทอดกรอบมีรสชาติถูกปาก แต่เวลาเดียวกันทำให้คุณค่าทางอาหารสูญเสียไปด้วย ทีมงานได้นำอาหารกล่องซีเรียลเย็น 60 ชนิดมาศึกษาวัดปริมาณสารเคมีที่เรียกว่า "ฟูโรไซน์" ซึ่งเป็นสารเคมีที่เกิดจากกระบวนการเมลลาร์ด ถ้ายิ่งพบฟูโรไซน์มากเท่าไร แสดงว่าคุณค่าโปรตีนลดลงมากเท่านั้น ทีมวิจัยพบว่าอาหารเช้าซีเรียลกรอบที่ทำจากข้าวสาลี ข้าวเจ้า และข้าวโพด มีสารฟูโรไซน์ไม่ต่างกันนัก และมีแนวโน้มจะมีสารฟูโรไซน์น้อยกว่า หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือมีคุณค่ามากกว่าอาหารเช้าประเภทที่ต้องใช้ความร้อนให้พองตัวเพื่อรับประทานอย่างพวกโจ๊ก แม้ว่ากระบวนการผลิตอาหารเช้าประเภทซีเรียลชนิดแผ่นกรอบกับชนิดต้มให้พองจะคล้ายกัน แต่อาหารเช้าประเภทที่ต้องใช้อุณหภูมิที่สูงกว่าเพื่อให้เนื้ออาหารพองตัว ยิ่งต้องใช้ความร้อนมากเท่าไร ปฏิกิริยาเมลลาร์ดจึงมากขึ้นเท่านั้น คุณค่าของอาหารยิ่งสูญเสียไปมากขึ้น (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 27 ต.ค. 2549 http://www.komchadleuk.net)





เตือนหญิงวัยทองกินยามาก ระวังติดไม่รู้ตัว-แนะออกกำลังกาย

พ.ญ.เยาวรัตน์ ปรปักษ์ขาม ผู้วิเคราะห์ข้อมูลการสำรวจภาวะสุขภาพอนามัยของประชากรไทย ครั้งที่ 3 เปิดเผยว่า จากการสำรวจพฤติกรรมการกินยาของประชาชนไทย โดยสำนักงานการสำรวจสภาวะสุขภาพอนามัย และสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ซึ่งสอบถามถึงพฤติกรรมกินยาต่อเนื่องกว่า 1 เดือน พบว่ากลุ่มผู้หญิงอายุ 60-70 ปี บริโภคยาหลายอย่าง โดยพบร้อยละ 45 ของประชากรกลุ่มอายุนี้ บริโภคยากล่อมประสาท ร้อยละ 1.5 ประมาณ 6 แสนคน และยานอนหลับ ร้อยละ 2.9 ประมาณ 1.3 ล้านคน การบริโภคยากล่อมประสาทและยานอนหลับอย่างต่อเนื่อง ร่างกายจะเกิดความเคยชิน และต้องเพิ่มปริมาณของยามากขึ้นเรื่อยๆ หากกินมากเกินไปอาจทำให้หมดสติ หรือเสียชีวิตได้ โดยผลสำรวจทุกกลุ่มอายุชี้ให้เห็นสถิติการกินยาในคนไทยว่า ยาแก้ปวดเป็นยาที่คนไทยกินมากที่สุด ร้อยละ 4.3 ประมาณ 1.8 ล้านคน เนื่องจากทำงานหนักและความเครียด ซึ่งการกินยาแก้ปวดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะมีผลต่อการทำงานของตับและไต อาจส่งผลให้เกิดโรคกับตับและไตขึ้นได้ภายหลัง พ.ญ.เยาวรัตน์ กล่าวอีกว่า กลุ่มวัยรุ่นอายุ 15-25 ปี พบว่ายาที่กินต่อเนื่องกันมากที่สุด คือ ยาลดความอ้วน เฉลี่ยร้อยละ 0.3 ของประชากรทั้งหมดที่มีเกือบ 2 แสนคน หากกินต่อเนื่องกันเป็นเวลานานและปริมาณมาก จะทำให้หมดสติและถึงขั้นเสียชีวิต การหลีกเลี่ยงจากการกินยาบางประเภทต่อเนื่องกันคือ ออกกำลังกาย รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ กินผักผลไม้มากๆ ช่วยเพิ่มวิตามินและแร่ธาตุให้ร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรงมีภูมิต้านทานโรคต่างๆ ดีขึ้น โดยไม่ต้องกินยาบำรุง (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 27 ต.ค. 2549 http://www.komchadleuk.net)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215