ตู้ชาร์จแบตเตอรี่มือถือ ... ฝีมือคนไทย
ธุรกิจตู้ชาร์จแบตเตอรี่มือถือหยอดเหรียญ เป็นธุรกิจใหม่ที่น่าสนใจ ซึ่งเดิม บริษัทได้นำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย แต่ด้วยข้อจำกัดบางประการทำให้ธุรกิจ ดังกล่าว ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ทั้ง ๆ ที่ตลาดยังมีความต้องการ
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับ ธุรกิจตู้ชาร์จแบตเตอรี่มือถือหยอดเหรียญ นำเข้า คือ ตู้ชาร์จแบตเตอรี่ สายชาร์จชำรุดบ่อยครั้ง ชาร์จไฟไม่เข้า ทำให้จำนวนลูกค้าลดลงเรื่อย ๆ ประกอบกับช่วงหลังตลาดโทรศัพท์มือถือในไทยมีการเปลี่ยนแปลงเร็ว มีโทรศัพท์รุ่นใหม่เข้ามาตลอดเวลา
ด้วยเหตุนี้นี่เอง ที่จุดประกายให้ อดีตผู้เช่าตู้ชาร์จแบตเตอรี่มือถือหยอดเหรียญ ยี่ห้อหนึ่ง คิดที่จะผันตัวเอง จากบทบาทของผู้เช่าตู้ชารจ์แบตเตอรี่มาเป็นผู้ผลิต " และดำเนินธุรกิจด้วยตนเอง สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ดีทีเดียว โดยเฉพาะเวลาที่โทรศัพท์มือถือแบตเตอรี่หมด
ตู้ชาร์จแบตเตอรี่มือถือ "CHARGER มีการทดสอบ คุณสมบัติ โดย ลองชาร์จปกติจะได้ไฟเกือบเท่ากัน ปลอดภัยกับแบตเตอรี่ ไม่ต้องกลัวว่าจะระเบิด หรือแบตเตอรี่จะบวม เพราะมี ตัวคอนโทรล โดยใช้ไมโครคอนโทรเลอร์มาควบคุมที่ชาร์จ ซึ่งเป็นตัวตัดต่อไฟแสดงผล ทรงวิทย์ กลิ่นไทย กล่าวว่า ตู้ชาร์จแบตเตอรี่ตู้แรกใช้เงินทุนส่วนตัวผลิตขึ้นมาใช้เงินไปประมาณ 69,000 บาท ใช้เวลา 4 เดือน ในการประดิษฐ์ ปรากฎว่าสามารถใช้งานได้ ตู้ที่สองใช้เงินประมาณ 30,000 กว่าบาท ซึ่งถูกกว่าตู้แรก ขณะนี้ได้ยื่นขอจด อนุสิทธิบัติแล้ว และอยู่ในระหว่าง การพิจารณา
ในส่วนของค่าบริการ ได้ คิดค่าบริการต่อการชาร์จแบตเตอรี่หนึ่งครั้ง 20 บาท สามารถชาร์จได้นานที่สุดประมาณ 15 นาที หรือประมาณ 1-2 ขีด ซึ่งในเร็วนี้จะขยายเวลาให้ลูกค้าเป็นครึ่งชั่วโมง สามารถรองรับโทรศัพท์มือถือในเมืองไทยได้กว่า 80% และสามารถรองรับ การชาร์จได้ครั้ง 20 เครื่อง แต่จะไม่รองรับโทรศัพท์มือถือบางรุ่น เท่านั้น นับว่าเป็น ธุรกิจใหม่ ฝีมือคนไทยที่น่าสนใจ แ ละ อนาคต คาดว่าจะ ขยายตัว ไปยังต่างประเทศอีกต่อไป
ที่มา เทเลคอม เจอร์นัล วันพุธที่ 27 ตุลาคม 2547 ฉบับที่ 536
http://www.tj.co.th/index.html
ปลูกถ่ายไขกระดูกผู้ป่วยเซลล์เข้ากันได้ครึ่งเดียวสำเร็จ ผลงาน รพ . พระมงกุฏฯ
มะเร็งเม็ดเลือดขาว- Leukemia
รพ . พระมงกุฎเกล้าผ่าตัดปลูกถ่ายเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีลักษณะทางพันธุกรรม เหมือนกันครึ่งเดียวรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวสำเร็จ เพิ่มโอกาสผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดมีโอกาสรักษาหาย ข้อจำกัดอาจติดเชื้อแทรกซ้อนได้ เตรียมนำการรักษาแบบใหม่รักษาโรคไขกระดูกฝ่อ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
มะเร็งเม็ดเลือดขาวมีหลายชนิด ทั้งชนิดเฉียบพลัน ชนิดเรื้อรัง โดยชนิดเฉียบพลันต้องรักษาด้วยวิธีปลูกไขกระดูกทุกคน แต่แบบเรื้อรังบางชนิดใช้ยารักษาและบางชนิดต้องปลูกถ่ายไขกระดูก เกิดได้ทุกเพศทุกวัย แต่ในประเทศไทยพบมากในคนอายุ 20-40 ปี ซึ่งไม่ทราบสาเหตุการเกิดโรคที่ชัดเจน แต่บางส่วนพบว่าเกิดจากการรับสารเคมี ยาฆ่าแมลง รังสี ซึ่งเป็นมลภาวะรอบ ๆ ตัวเรา
รศ . นพ . วิเชียร มงคลศรีตระกูล ศูนย์ปลูกถ่ายไขกระดูก หน่วยโลหิตวิทยา โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กล่าวว่า ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว ปัจจุบันมีวิธีรักษาแบบประคับประคอง คือ ยาบรรเทาอาการ ซึ่งต้องรับประทานอย่างต่อเนื่อง โรคไม่หายขาดและการผ่าตัดปลูกถ่ายเซลล์เม็ดเลือดขาวกระตุ้นการสร้างไขกระดูกหรือเรียกโดยทั่วไปว่า การปลูกถ่ายไขกระดูก รักษาผู้ป่วย วิธีนี้ผู้ป่วยหายจากโรค แต่ข้อจำกัดของการปลูกถ่ายไขกระดูกคือ ต้องใช้เซลล์เม็ดเลือดของพี่น้องท้องเดียวกันที่มีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกันร้อยเปอร์เซ็นต์
นวัตกรรมใหม่ในการปลูกถ่ายไขสันกระดูก โดยใช้เซลล์เม็ดเลือดที่มีลักษณะเหมือนกันครึ่งเดียว โดยสามารถรับบริจาคเซลล์เม็ดเลือดได้จากพี่น้องได้ด้วย รศ . นพ . วิเชียร กล่าว ว่า ได้ ผ่าตัดปลูกถ่ายเซลล์เม็ดเลือดที่เหมือนกันครึ่งเดียวแล้ว 2-3 คน ประสบผลสำเร็จด้วยดี แต่จะผ่าตัดให้ในรายที่จำเป็นไม่สามารถหาเซลล์ที่เหมือนกันร้อยเปอร์เซ็นต์ได้ หลังการผ่าตัดแล้ว คนไข้ทุกรายต้องรับประทานยากดภูมิต้านทานเพื่อมิให้ร่างกายปฏิเสธเซลล์เม็ดเลือดที่ปลูกถ่ายเข้าไป ในบางรายมีผลกระทบน้อย แต่คนไข้ส่วนใหญ่สามารถหยุดรับประทานยาได้ สำหรับค่าใช้จ่ายประมาณในวงเงิน 750,000 บาท ข้าราชการเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ ส่วนคนไข้อื่น ๆ อย่างโครงการ 30 บาท การรักษาด้วยวิธีนี้ยังไม่ครอบคลุม
ที่มา ผู้จัดการออนไลน์ 18 ตุลาคม 2547 11:48 น
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9470000068595
http://thailabonline.com/sec7leukemia.htm


อาการกลัว
อาการกลัวหรือผวากับสิ่งต่างๆ รอบตัว ดูเหมือนว่าจะเป็นอุปสรรคสำคัญของมนุษย์ ล่าสุด นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กสามารถระบุตำแหน่งบนสมองที่ช่วยพวกเราลบ ความกลัว ที่มีอยู่ออกไปได้
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (New York University) ได้รายงานว่า ในมนุษย์ก็มีต่อมลบอาการกลัวได้ เช่นเดียวกับสัตว์ โดยเชื่อว่าต่อมดังกล่าวอยู่ในสมองบริเวณที่เดียวกับที่เราบันทึกความกลัวลงไป
บริเวณที่ลบหรือลืมความกลัวดังกล่าวเรียกว่า อไมกดาลา (amygdala) พื้นที่ขนาดเท่าเมล็ดอัลมอนด์ ฝังอยู่บริเวณซีรีบรัม โดยเชื่อมต่อกับไฮโปธารามัส ซึ่งสมองตรงอไมกดาลาทำหน้าที่สำคัญในการควบคุมเหตุผลและอารมณ์ กลไกทำงานลืมความจำของ อไมกดาลา นี้พบอยู่ในสมองสัตว์ แต่ยังไม่เคยมีผู้ใดพบในสมองของมนุษย์มาก่อน และ การค้นพบนี้ จะช่วยรักษาอาการจิตประสาท หรือ โฟเบีย ของคนไข้ได้
ดร . อลิซาเบธ เฟลปส์ และทีมงาน จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก เปิดเผยว่า การค้นพบตำแหน่งลืมความกลัวนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะจะเป็นโอกาสได้ศึกษาว่าอาการกลัวในมนุษย์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร และเราจะดูแลมันอย่างไร โดย ทีมงานของ ดร . เฟลปส์ ได้ทดลองโดย ใช้การสร้างภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือเอ็มอาร์ไอ (MRI - magnetic resonance imaging) เพื่อเข้าไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับสมองในช่วงระหว่างที่เราเริ่มเลิกกลัว สิ่งที่เคยกลัว โดยพวกเขาได้ให้อาสาสมัครดูภาพสี่เหลี่ยมจตุรัสที่ระบายสีไว้ พร้อมทั้งช็อตด้วยกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ จะทำให้เกิดสภาวะกลัว เหมือนๆ กับอาการจิตประสาท หรือโฟเบีย จากนั้นนักวิทยาศาสตร์ทำให้เลิกกลัวด้วยการย้อนเหตุการ ณ์ คือ ให้อาสาสมัครดูภาพสีเหลี่ยมระบายชุดเดิม พร้อมทั้งช็อตกระแสไฟเข้าไปอีกรอบในปริมาณเท่าเดิม และค่อยลดๆ ลงจนอาสาสมัครดูภาพแบบปกติโดยไม่มีกระแสไฟช็อต ก็จะทำให้อาการกลัวภาพนั้นหายไป
การค้นพบเหล่านี้สนับสนุนงานวิจัยชิ้นก่อนๆ ที่อธิบายกันมาว่า ในสัตว์มีระบบการแก้ไขความวิตกกังวลหรือความกลัวอย่างผิดปกติได้ โดย ดร . เฟลปส์กล่าวว่า หากในมนุษย์ก็มีกลไกนี้เช่นกัน ก็จะง่ายต่อการหายารักษาที่ตรงจุด
ที่มา ผู้จัดการออนไลน์26 กันยายน 2547 18.12 น


เลี้ยงลูกทางเน็ต
ข่าวดีสำหรับคุณพ่อ คุณแม่ที่กังวลเรื่องการเลี้ยงลูก ที่ต้องฝากไว้กับพี่เลี้ยงขณะทำงานนอกบ้าน เพราะ อินเตอร์เน็ตจะช่วยดูลูกน้อยได้จากทางไกล ระบบเฝ้าเด็กแบบใหม่นี้ออกแบบโดย ลิซ่า แวดดิงทัน นักศึกษาปริญญาโท ด้านออกแบบอุตสาหกรรมของมหาวิทยาลัยทีไซด์ สิ่งประดิษฐ์ของเธอทำให้ผู้ปกครองดูเด็กผ่านทางเน็ต ในขณะที่ฟังซีดีอยู่
ระบบนี้ประกอบด้วยสองหน่วยปฏิบัติการ หน่วยแรกเป็นหน่วยใหญ่โดยมีกล้องวิดีโอเครือข่ายอยู่ด้วย และแขวนหน่วยนี้ไว้เหนือเปลเด็ก กล้องสามารถเชื่อมเข้ากับคอมพิวเตอร์หรือโมเด็ม ที่ต่อเข้ากับสายโทรศัพท์อีกที ตัวโพรเซสเซอร์ภายในจะช่วยจัดการให้ส่งภาพวิดีโอผ่านทางโมเด็ม นอกจากนี้ยังมีหน่วยควบคุมบังคับการหมุนของกล้องที่สั่งการได้จากผู้ปกครอง หรือตั้งให้หมุนเองเมื่อมีการเปิดแผ่นซีดีก็ได้
ข้อความจะส่งไปยังอุปกรณ์ที่อยู่กับพี่เลี้ยงเด็ก ก่อนจะส่งต่อไปยังอุปกรณ์ที่เปล แล้วจึงยอมให้ผู้ปกครองดูลูกผ่านทางเบราเซอร์ได้ ระบบแบบนี้ทำให้พี่เลี้ยงเด็กเองก็มั่นใจได้ว่า มีเพียงผู้ปกครองตัวจริงเท่านั้นที่สามารถผ่านเข้ามาดูเด็กผ่านทางกล้องที่เปลได้ ต่อไปนี้ ผู้ปกครองที่ต้องทำงานทั้งคู่ และมีความกังวัลที่ต้องทิ้งเด็กไว้ที่บ้านในขณะที่ตัวเองไปทำงาน ต้องโทรศัพท์มาหาพี่เลี้ยงเด็กอยู่เสมอ เมื่อมีระบบนี้ พวกเขาก็สามารถเห็นได้โดยตรงไม่ต้องโทรฯถามอีกต่อไป
ที่มา http://inscience.tripod.com/babycare.htm

วว. พัฒนาเทคนิคตรวจสารก่อมะเร็งแบบใหม่
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ประสบผลสําเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยีวิธีการทดสอบระยะสั้นทางพันธุพิษวิทยา ( gentic toxicology ) เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติการก่อกลายพันธุ์และมะเร็งของสารเคมี ยา และผลิตภัณฑ์ เป็นประโยชน์ต่อการขอขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ ช่วยลดความเสี่ยงจากการบริโภคสารพิษ และการกีดกันทางการค้าจากต่างประเทศ และเป็นเทคนิคทดสอบที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งกําลังได้รับการพิจารณาให้นํามาทดแทนการทดสอบฤทธิ์การก่อกลายพันธุ์และก่อมะเร็งในสัตว์ทดลอง
โดยฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ วว. ได้ ดําเนินโครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสําหรับตรวจประเมินคุณสมบบัติของสารพันธุพิษ ด้วยเทคนิควิธีทดสอบระยะสั้น (ปี 2546-2547) ขณะนี้ โครงการประสบผลสําเร็จในการพัฒนาเทคนิคทดสอบ Comet assay ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการทดสอบล่าสุด ที่อยู่ในความสนใจของประเทศกลุ่มสหภาพยุโรป
ดร.ประไพภัทร คลังทรัพย์ นักวิชาการ ฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ข้อดีของเทคนิค Comet assay คือ สามารถตรวจวัดการทําลาย DNA ในระดับเซลล์เดี่ยวๆ สามารถใช้กับเซลล์จากอวัยวะต่างๆ มีความแม่นยําสูง และใช้เวลาทดสอบสั้นมาก อาศัยการวิเคราะห์ผลด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ทําให้สามารถทราบผลได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง และการทดสอบดังกล่าวยังเป็นที่ยอมรับในระดับสากล สามารถนํามาประยุกต์ใช้ได้ทั้งงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ งานเฝ้าระวังด้านสุขภาพ งานประเมินการปนเปื้อนของสารพิษในสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ วว. ได้ประยุกต์ใช้ Comet assay ในการทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสําคัญจากพืช 5 ชนิดคือ สาร curcumin (จากขมิ้นชัน) สาร piperine (จากพริกไทย) สาร quercetin (จากต้นแปะก๊วย) สาร rutin (จาก buckwheat grain ) และสาร
?
- tocopherol ซึ่งเป็นต้นกําเนิดของวิตามินอี ซึ่งผลการทดสอบแสดง ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ วว. โทร. 0 2577 9104 ในวันและเวลาราชการ
ที่มา สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ( วว .)
http://www.perceptive.co.uk/case/tistr_comet.htm


เพาะเห็ดนกยูงแบบขึ้นชั้นด้วยวัสดุธรรมชาติ ผลงานนักวิจัย มจธ.
เห็ดนกยูงเป็นเห็ดธรรมชาติชนิดหนึ่งที่สามารถนำมารับประทานได้ ลักษณะทั่วไปของเห็ดนกยูงจะมีความคล้ายคลึงกับเห็ดเมามาก จนแทบจะแยกกันไม่ออก การเก็บเห็ดนกยูงมาประกอบอาหารรับประทาน จึงมีความเสี่ยงสูงที่จะเก็บติดเห็ดเมาได้ ถ้าไม่มีความเชี่ยวชาญจริงๆ ซึ่งการจะดูว่าเป็นเห็ดนกยูงจริงหรือไม่ ให้สังเกตจากสิ่งต่อไปนี้ ได้แก่ หมวกดอกอ่อนจะเป็นรูปไข่ ต่อมาบานเป็นร่มลักษณะกลมจนเกือบแบน เมื่อหมวกดอกบานเต็มที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 8-16 ซ . ม . ดอกเห็ดมีขนาดใหญ่ เมื่อสดมีสีเขียว มีเกล็ดสีน้ำตาลบนหมวกดอก ทำให้เกิดลวดลาย เนื้อหมวกดอกหนาครีบใต้หมวกสีขาว ไม่เชื่อมติดกับก้นดอก ก้านดอกรูปทรงกระบอกใหญ่พองเป็นกระเปาะ ตรงบริเวณโคนก้านมีสีน้ำตาลอ่อน ผิวก้านดอกมีทั้งชนิดเรียบและหมวก หรือชนิดมีขนหรือเกล็ดปกคลุม ไม่มีเยื่อบางๆ หุ้มรอบโคนก้าน
เห็ดนกยูงเป็นเห็ดธรรมชาติ บางฤดูกาลความต้องการบริโภคมีสูงมาก และราคาแพงถึงกิโลกรัมละ 500-800 บาท การเพาะเห็ดนกยูงเพื่อจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ จึงเป็นอีกหนึ่งอาชีพเสริมที่น่าสนใจ เพราะสามารถทำรายได้ให้แก่ผู้เพาะเลี้ยงเป็นอย่างดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ภายใต้การสนับสนุนเชื้อเห็ดนกยูงจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ จึงวิจัยพัฒนารูปแบบและสูตรวัสดุที่ใช้ในการเพาะเห็ดนกยูงขึ้น เพื่อให้ได้ปริมาณเห็ดในอัตราส่วน ที่มากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับเชื้อเห็ดที่ใช้ โดยให้โรงเรียนห้วยยาง จ . ราชบุรี เป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้และถ่ายทอดผลการวิจัยในครั้งนี้
ดร . ทศพร ทองเที่ยง ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เจ้าของโครงการกล่าวว่า " การวิจัยเพาะเลี้ยงเห็ดนกยูงแบบขึ้นชั้น ด้วยวัสดุธรรมชาติที่หาได้ในท้องถิ่นเริ่มขึ้นเมื่อปี 2546 ได้ร่วมกับอาจารย์ศรีราชา บัวเบา ครูที่โรงเรียนบ้านท่ายางเป็นการนำร่อง ทำการทดลองทั้งปี ดูแลเรื่องของอุณหภูมิสภาพแวดล้อม อาหาร ได้ทดสอบใช้น้ำตาล ฟอสเฟต ปุ๋ยไนโตรเจน และส่าโรงเหล้า ในปริมาณต่างๆ กัน ขณะนี้ประสบผลสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว คือ สามารถเพาะเห็ดได้ 20 กิโลกรัม ต่อ 1 โรงเรียน ขายได้กิโลกรัมละ 500 บาท เท่ากับ 10,000 บาทต่อโรงเรือน ขณะที่ต้นทุนตกประมาณโรงเรือนละ 3,000 บาท คาดว่าต้นปีหน้าจะสามารถนำถ่ายทอดให้อาจารย์ในโรงเรียน และชาวบ้านนำไปสร้างอาชีพได้
ความสำเร็จในการเพาะเห็ดนกยูงของแบบขึ้นชั้นของโรงเรียนบ้านห้วยยางในครั้งนี้ ถือเป็นการสร้างความมั่นใจในเทคโนโลยีใหม่ ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีมอบให้แก่เกษตรกร จังหวัดราชบุรี เพื่อการสร้างงาน สร้างอาชีพเสริมให้กับชุมชน ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยตระหนักเป็นอย่างดีว่าการนำความรู้ และเทคโนโลยีใหม่สู่ชุมชน หากให้ชุมชนได้เข้ามาเรียนรู้และปฏิบัติร่วมกันแล้ว เทคโนโลยีที่เหมาะสมก็จะเป็นสิ่งที่สร้างความอยู่ดี มีสุขให้แก่คนในชุมชนได้ ที่สำคัญยังใช้เป็นเครื่องมือให้เด็กได้เรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้ นอกจากการศึกษาจากหนังสือ ทั้งยังให้ความรู้ทางวิชาการเสริมพื้นฐานอาชีพได้อย่างสอดคล้องกับธรรมชาติของแต่ละพื้นที่ และให้กระบวนการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่ไม่แปลกแยกจากวิถีชีวิตของชุมชนด้วย
ที่มา ข่าวสด วันที่ 1 ตุลาคม พ . ศ .2547 ฉบับที่ 5055( หมวด ภูมิภาค ) หน้า 36
http://knowledge.biotec.or.th/doc_upload/20031127143015.pdf (4/10/47)


อันตรายจากเตาไมโครเวฟ
งานวิจัยด้านความปลอดภัยของการใช้เตาไมโครเวฟ พบ ทุกเครื่องมีการรั่วไหลของคลื่น มีข้อแนะนำคือ ควรยืนห่างจากเครื่องอย่างน้อยครึ่งเมตรจากฝาหน้า และควรใช้อุ่นอาหารเท่านั้น ไม่ควรใช้เตาเพื่อปรุงอาหาร เพราะอาจมีผลให้เป็นโรคมะเร็งและตาต้อได้
นายธรรมรัตน์ บุญส่ง นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์เชียงใหม่ กล่าวถึงผลการศึกษาวิจัยเรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อการรั่วของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากเตาอบไมโครเวฟ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ของงานวิจัย เพื่อศึกษาองค์ประกอบของการรั่วของคลื่นจากเตาอบไมโครเวฟ และยังต้องการให้ประชาชนได้ตระหนักถึงวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องในการใช้เตาไมโครเวฟเพื่อไม่ใหเกิดอันตราย จากการรวบรวมเก็บตัวอย่างเตาอบไมโครเวฟ จำนวน 92 เครื่อง 13 ยี่ห้อ ในจังหวัดเชียงใหม่ พบว่าเตาอบไมโครเวฟทุกเครื่องมีคลื่นรั่วทั้งหมด โดยเฉลี่ย 0.1 มิลลิวัตต์ต่อตารางเซนติเมตร ซึ่งไม่เกินจากมาตรฐานกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กำหนด ทั้งนี้จึงมีข้อแนะนำแก่ใช้ คือ การได้รับคลื่นสะสมอาจเกิดโรคได้เช่น โรคมะเร็งผิวหนัง โรคตาต้อกระจก สำหรับการใช้เตาอบไมโครเวฟ ก็ไม่ควรจ้องดูอาหารขณะอบใกล้มากเกินไป ควรตั้งเตาอบไมโครเวฟเข้ามุมใดมุมหนึ่ง เพราะคลื่นแม่เหล็กจะไหลเข้าหาผนังแทนการรั่วเข้าสู่ร่างกาย และควรใช้อุ่นอาหารเท่านั้น ไม่ควรใช้เตาเพื่อปรุงอาหาร
ที่มา : ไทยโพสต์ เอกซ์-ไซต์ ฉบับที่ 2864 วันที่ 28 29 สิงหาคม 2547 หน้า 5
http://www.malila.com/tips03.html (4/10/47)


ตาบอดท่องเว็บ
บริษัทไอบีเอ็มพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ภายใต้ชื่อ เอดีไซเนอร์ ( aDesigner ) เป็นเครื่องมือช่วยคนตาบอดให้สามารถโลดแล่นท่องอินเตอร์เน็ตได้อย่างเพลิดเพลิน แม้ตามองไม่เห็นก็ตาม ซอฟต์แวร์ตัวนี้จะช่วยอ่านข้อความที่ปรากฏบนเว็บไซด์ถ่ายทอดเป็นเสียงให้คนตาบอดได้ยิน ซึ่งโปรแกรมจะเปล่งเสียงออกมา 2 เสียงด้วยกัน หากเป็นข้อความทั่วไปก็จะมีเสียงผู้หญิงดังออกมา และหากเป็นลิงค์เชื่อมต่อไปหน้าอื่นๆ หรือเว็บไซต์อื่นแล้วจะได้ยินเป็นเสียงผู้ชาย ทั้งนี้สามารถเลือกข้อมูลโดยใช้ปุ่มบนคีย์บอร์ดเท่านั้น นอกจากนี้ เอดีไซเนอร์ยังช่วยประเมินเว็บไซด์ที่กำลังเล่นอยู่ว่าเหมาะสมต่อคนตาบอดหรือไม่ ผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปดูได้ที่
http://www.alphaworks.ibm.com/tech/adesigner


พบคลื่นวิทยุนอกโลก เชื่อเป็นสัญญาณมนุษย์ต่างดาว
นักดาราศาสตร์พบสัญญาณวิทยุที่ไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าเป็นสัญญาณชนิดใดจากห้วงอวกาศ เชื่อว่าน่าจะมาจากมนุษย์ต่างดาว ซึ่งอยู่ระหว่างกลุ่มดาวราศีมีนและกลุ่มดาวราศีเมษ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว นักดาราศาสตร์ที่เข้าร่วมในโครงการค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก หรือโครงการเซติ ได้ใช้กล้องโทรทรรศน์คลื่นวิทยุที่ตั้งอยู่ที่เมืองอเรซิโบ ประเทศเปอร์โตริโก ส่องไปตามพื้นที่ซึ่งถูกแบ่งออกเป็น 200 ส่วนในท้องฟ้า ก่อนหน้านี้ กล้องตัวเดียวกันนี้เคยตรวจจับสัญญาณแปลกๆ 2 ครั้ง ในบริเวณกลุ่มดาวดังกล่าว และต่อมานักดาราศาสตร์พยายามตรวจหาเพื่อยืนยันตำแหน่งของสัญญาณอีกครั้ง ล่าสุดทีมงานสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเสร็จเรียบร้อย โดยสัญญาณที่เคยจับได้ทั้งหมดหายไป ยกเว้นเพียงสัญญาณเดียวที่มีกำลังแรงมาก สัญญาณที่ว่านี้ได้รับการตั้งชื่อว่า SHGb02+14a มีคลื่นความถี่ประมาณ 1420 เมกะเฮิรตซ์ สัญญาณดังกล่าวเป็นหนึ่งในคลื่นความถี่หลักที่ก๊าซไฮโดรเจน ซึ่งเป็นธาตุพื้นฐานของจักรวาลสามารถดูดซับและแพร่กระจายคลื่นได้ นักดาราศาสตร์แสดงความเห็นว่า คลื่นความถี่ดังกล่าวเป็นความพยายามของสิ่งมีชีวิตซึ่งมีปัญญานอกโลก ต้องการส่งสัญญาณ ให้จักรวาลรู้ถึงการดำรงอยู่ของพวกเขา คลื่นความถี่นี้คาดว่ามาจากตำแหน่งที่อยู่ระหว่างกลุ่มดาวราศีมีนและเมษ ซึ่งอยู่ห่างโลกประมาณ 1000 ปีแสง และเป็นบริเวณที่ไม่ปรากฏชัดเจนว่ามีระบบสุริยะจักรวาลอยู่ทั้งสัญญาณที่ส่งออกมาก็มีกำลังมาก สัญญาณประหลาดนี้ถูกตรวจจับได้โดยโครงการ SETI@home ซึ่งเป็นโครงการที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์พีซีทั่วโลก ที่ยอมให้ใช้หน่วยประมวลผลหรือซีพียูของตัวเองสำหรับประมวลผลข้อมูล จำนวนมหาศาลที่ได้จากกล้องโทรทรรศน์
ที่มา : หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก ฉบับวันอังคารที่ 7 กันยายน 2547


เต้าปูน.....หอยทะเลมีพิษ
สัตว์ที่มีพิษร้ายแรงชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ในท้องทะเล ภายใต้เปลือกที่แข็งแรงและสวยงาม ความสวยงามของเปลือกที่อาจอำพรางเข็มพิษที่อาบด้วยน้ำพิษอานุภาพร้ายแรง พอที่จะปลิดชีวิตสัตว์ขนาดใหญ่อย่างไดโนเสาร์ได้โดยง่าย และพร้อมจะยิงผู้บุกรุกได้ทุกเมื่อ และนั่นเป็นที่มาของคำขนานนามว่า หอยมรณะ ทั้งที่ชื่อจริงๆ ของหอยชนิดนี้ก็คือ หอยเต้าปูน (Cone Shell)
หอยเต้าปูนเป็นสัตว์ในไฟลัม mollusca วงศ์ Conidae เป็นหอยฝาเดียวมีเปลือกเป็นรูปกรวย ( Cone ) หนาและหนัก ขนาดเปลือกมีตั้งแต่ 2-3 เซนติเมตร ไปจนถึงใหญ่ขนาด 20 เซนติเมตร ลวดลายบนเปลือกแตกต่างกันไปตามชนิดของหอย ทางด้านหน้าของลำตัว (ปลายเรียวเล็กของกรวย) มีท่อน้ำยื่นยาวออกมา เรียกว่า ไซฟอน (Siphon) อยู่ที่ส่วนบนสุดทางด้านหน้า สำหรับทางน้ำออก ช่วยขับให้ตัวหอยเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้แบบเจ็ต ( jet ) ใต้ไซฟอนเป็นหนวด (Tentacles) สองเส้นใช้เป็นประสาทสัมผัส กับงวง ( Proboscis ) หนึ่งอันเป็น ท่อกลมยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร ภายในงวงมีฟัน ( Radula ) ซึ่งมีวิวัฒนาการเปลี่ยนรูปไปคล้ายฉมวกหรือลูกธนู ตามแต่จินตนาการของคนมอง ภายในฟันรูปฉมวกนั้นกลวง มีท่อน้ำพิษซึ่งต่อมาถึงถุงใส่พิษที่ติดอยู่กับคอหอย (Pharynx) ในตัวหอย ถุงน้ำพิษใช้เก็บเข็มพิษและน้ำพิษซึ่งสร้างจากท่อน้ำพิษ โดยมีเซลล์ภายในมากมายทำหน้าที่ผลิตน้ำพิษ ( Conotoxin ) จากการสำรวจพบว่าหอยเต้าปูนทั่วโลกมีมากกว่า 500 ชนิด พบมากในเขตอินโดแปซิฟิก รวมทั้งน่านน้ำ ไทยซึ่งพบกว่า 300 ชนิด โดยจะอยู่ตามพื้นทะเลใกล้แนวปะการังที่ชายฝั่งความลึกประมาณ 1-2 ฟุต หรืออาจอยู่ลึกเป็น 10 ฟุต ในขณะที่บางชนิดอาจอยู่ได้ที่ก้นทะเลความลึกนับ 100 ฟุตเลยทีเดียว
หอยเต้าปูนที่มีพิษร้ายแรงที่สุด ก็คือ หอยเต้าปูนลายแผนที่ ( Geography cone หรือ Conus geographus ) พิษของเจ้าหอยชนิดนี้ ทำให้คนเสียชีวิตไปแล้วกว่า 36 ราย ส่วนอีกชนิดที่ควรจับตามองเช่นกันคือหอยเต้าปูนลายผ้า ( Textile cone ) ซึ่งมีพิษร้ายแรงใกล้เคียงกับชนิดแรก นอกจากนี้ยังมีหอยเต้าปูนลายหินอ่อน ( Conus marmoreus ) และหอยเต้าปูนจักรพรรดิ ( Conus imperialis ) ที่มีพิษเช่นกัน ทั้งสี่ชนิดพบได้ในประเทศไทย
แต่อย่างไรก็ตาม หอยเต้าปูนไม่ได้มีแต่พิษภัยอย่างที่หลายๆ คนคิด ในทางตรงกันข้ามพิษของหอยเต้าปูนยังมีประโยชน์ทางการแพทย์อย่างมหาศาล และเจ้าหอยชนิดนี้ยังช่วยรักษาสมดุลของระบบนิเวศ ด้วยความสวยงามของเปลือกและประโยชน์มากมาย ทำให้หอยเต้าปูนกลายเป็นทรัพยากรมีชีวิตที่มีค่า รอให้ผู้คนลงไปศึกษาและชื่นชมความงามอยู่ใต้ท้องทะเล...
ที่มา Update Magazine ฉบับที่ 206 พฤศจิกายน 2547
http://update.se-ed.com/206/coneshell.htm


ลำโพงดอกไม้
เว็บไซต์เทคเจแปน ( TechJapan ) นำเสนอนวัตกรรมใหม่ล่าสุด ที่พลิกโฉมลำโพงที่คุณเคยเห็นไปโดยสิ้นเชิง ด้วยการเปลี่ยนดอกไม้ใบหญ้าให้กลายเป็นลำโพง
ลำโพงดอกไม้หรือ "FLOWER SPEAKER . Canon" นี้ เปลี่ยนรูปแบบของลำโพงทั่วไปโดยสิ้นเชิง เพราะลำโพงทั่วไปนั้นจะประกอบด้วยแผ่นกระดาษรูปกรวยหรือที่เรียกว่าไดอะแฟรม ซึ่งจะเป็นส่วนสั่นสะเทือนในลำโพงที่เป็นตัวรับสํญญาณไฟฟ้ากระแสสลับ แต่ในลำโพงดอกไม้นี้จะใช้ดอกไม้แทน โดยลำโพงดอกไม้นี้จะยังคงมีขดลวดหรือคอยล์เสียง (coil) และขั้วแม่เหล็ก (magnet) อยู่ แต่จะบรรจุอยู่ในท่ออะคลิริคกันน้ำ ซึ่งหากได้รับกระแสไฟฟ้าสลับก็จะเกิดการสั่นสะเทือนเช่นเดียวกับลำโพงทั่วไป หากในจังหวะนี้ดอกไม้ได้สัมผัสท่ออะคลิริค ดอกไม้ก็จะสั่นสะเทือนตามไปด้วย เมื่อดอกไม้สั่นสะเทือน กลีบดอกไม้ หรือใบไม้ ก็สามารถส่งเสียงออกมาได้ ดอกไม้หรือใบไม้นั้นจะต้องถูกรวบรวมแล้วปักลงในท่ออะคลิริคกันน้ำด้วย เพื่อให้สามารถสัมผัสกับคอยล์เสียงได้
Lets Corporation อธิบายเทคโนโลยีนี้ไว้อย่างน่าฟังว่า " เราได้รวมเอา เสียง ไว้ในประสาทสัมผัสอีก 3 ได้แก่ รูป กลิ่น สัมผัส " นั่นคือ เป็นดอกไม้สีสันสวยงาม กลิ่นหอม จับต้องได้ ในขณะที่ส่งเสียงได้ โดยเป้าหมายการจำหน่ายนั้น ตั้งไว้ที่ 36,000 ชุด โดยมุ่งไปทั้งการใช้งานในองค์กร และการใช้งานในบ้าน
อย่างไรก็ตามจากการทดลองใช้ พบว่าขนาดและชนิดของดอกไม้หรือใบไม้ที่ใช้จะมีผลกับระดับ และคุณภาพของเสียงโดยตรง ลำโพงดอกไม้นี้จะเริ่มชิมลางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นก่อน 3,000 ชุดในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ราคาตั้งแต่ 5,000-50,000 เยน ( ประมาณ 1,900-19,000 บาท )
ที่มา ผู้จัดการออนไลน์ 19 กรกฎาคม 2547 18:00 น

ปรับแผนที่ใหม่ภายใน 5 ปี ชี้ชัดสภาวะการณ์โลกเปลี่ยนเร็ว
รอยเตอร์ - โลกเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วหลายขั้นมากกว่าทศวรรษที่ผ่าน ๆ มา เพียงเวลาแค่ 5 ปี เนชันแนล จีโอกราฟิกได้ปรับปรุงแผนที่โลกครั้งใหญ่ เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่นำมาใช้ ทำให้การวัดระยะและการคำนวณค่ามีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ในเดือนต . ค . นี้ เนชันแนล จีโอกราฟิก จึงได้เปิดตัวหนังสือแผนที่โลกเล่มใหม่ขึ้นมา พร้อมทั้งเปลี่ยนบทบรรณาธิการใหม่และปรับปรุงหนังให้ทันสมัยมากกว่าเดิมถึง 17,000 จุด
แผนที่เวอร์ชันใหม่ได้นำเทคนิคการทำแผนที่แบบดิจิตัลและเทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมใช้ และในแต่ละหน้าจะมีอินเทอร์เน็ตแอดเดรสเพื่อให้ผู้อ่านเข้าไปสืบค้นข้อมูลได้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งหมด 416 หน้า รวมทั้งแผนที่และกราฟิกซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของโลก ดังเช่นกรณีการเกิดความขัดแย้งและการก่อการร้ายในประเทศต่าง ๆ รวมไปถึงการอพยพย้ายถิ่นและคลื่นผู้ลี้ภัย อีกทั้งปัจจัยทางสุขภาพและอัตราการอ่านออกเขียนได้ของประชากร นอกจากนั้นแผนที่ยังสามารถแสดงสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม ตัวอย่างเช่น ทะเลสาบชาด ( Lake Chad ) ที่ได้ทรุดตัวลงเนื่องมาจากความแห้งแล้งที่ยังคงเกิดอย่างต่อเนื่องส่วนการทรุดตัวของทะเลอารัล เป็นผลมาจากการสูบน้ำใต้ดินขึ้นมาใช้ การเปลี่ยนแปลงแผนที่เวอร์ชันนี้ยังมีภาพถ่ายทางดาวเทียมในท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เก็บภาพไว้นานหลายเดือน ช่างเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทำให้เราเห็นภาพการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์จากจำนวนแสงไฟที่ส่องสว่าง ไม่ต้องเดาเลยว่าทางฝั่งตะวันออกของทวีปอเมริกาเหนือและชายฝั่งตะวันตก ยุโรปตะวันตกและบางส่วนของญี่ปุ่นและอินเดีย มีจำนวนการใช้ไฟมากที่สุด ขณะที่บางส่วนของออสเตรเลียถูกปกคลุมไปด้วยไฟป่า ทางสิ่งแวดล้อมจะเกิดขึ้นทีละน้อย ๆ จนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแผนที่เวอร์ชันนี้ยังมีภาพถ่ายทางดาวเทียม ในท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เก็บภาพไว้นานหลายเดือนช่างเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทำให้เราเห็นภาพการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์จากจำนวนแสงไฟที่ส่องสว่าง ไม่ต้องเดาเลยว่าทางฝั่งตะวันออกของทวีปอเมริกาเหนือและชายฝั่งตะวันตก ยุโรปตะวันตกและบางส่วน ของญี่ปุ่นและอินเดีย มีจำนวนการใช้ไฟมากที่สุด ขณะที่บางส่วนของออสเตรเลียถูกปกคลุมไปด้วยไฟป่า
ที่มา ผู้จัดการออนไลน์ 25 ตุลาคม 2547 16:58 น .

ค้นพบดาวเคราะห์จิ๋วดวงใหม่
นักดาราศาสตร์ได้ค้นพบ ดาวเคราะห์ขนาดจิ๋ว ที่มีชื่อว่า 2000 EB173 หรืออีกชื่อหนึ่งว่า "plutino" ซึ่งเป็นก้อนหินและน้ำแข็ง มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 373 ไมล์ ( ประมาณ 1 ใน 4 ของดาวพลูโต ) ดาวเคราะห์จิ๋วดังกล่าวมีวงโคจรอยู่ระหว่างดาวเนปจูน กับดาวพลูโต หรือห่างจากโลกประมาณ 3.6 พันล้านไมล์ การค้นพบดาวนพเคราะห์ EB173 นั้น ทีมนักดาราศาสตร์จาก Venezuela's CIDA astronomy center ร่วมกับ Yale University ได้ใช้อุปกรณ์ ที่ใช้ในการตรวจจับอนุภาคในอวกาศ มาประยุกต์ใช้ในกล้องโทรทรรศน์ ชนิดพิเศษของพวกเขา ซึ่งทำให้มีกำลังขยายจากมากกว่า กล้องโทรทรรศน์ทั่วไปได้ถึง 200 เท่า
โดยทั่วไปมีวัตถุท้องฟ้าใหญ่บ้างเล็กบ้าง โคจรอยู่ในระบบสุริยะจักรวาลของเรา แต่สำหรับวัตถุท้องฟ้าที่จะเรียกว่าดาวเคราะห์ได้นั้นโดยทั่วไปต้องมีคุณสมบัติคือ ต้องมีวงโคจรที่เป็นอิสระ และมีมวลมากพอที่จะคงรูปทรงเป็นทรงกลม โดยทั่วไปถือว่าจะต้องมีมวลอย่างน้อย 100 ล้านล้านกิโลกรัม เจ้าดาว "plutino" นี้ดูเหมือนว่าจะมีมวลน้อยไปซักนิดหนึ่ง
ที่มา http://www.vcharkarn.com/snippets/vcafe/show_message.php?Cid=23&Pid=5679


Nano Geneseq Chip : เทคโนโลยีเพื่อการเก็บรหัสพันธุกรรมตั้งเเต่กำเนิด
นักวิทยาศาสตร์จากประเทศอินเดียได้พัฒนาเทคนิคใหม่ในการทำเเผนที่ DNA ของมนุษย์ที่สามารถทำนายเเนวโน้มของนิสัยในอนาคตเเละช่วยในการต่อสู้กับโรคต่างๆได้ เทคโนโลยีใหม่นี้มีชื่อเรียกว่า Nano Geneseq Chip ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลตำเเหน่งทางพันธุกรรมของมนุษย์ตั้งเเต่เเรกเกิด โดยใช้การประมวลผลด้วยระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งให้ความถูกต้องเกือบ 100 % การทำนายโดยการใช้รหัสพันธุกรรมนี้จะใช้ทำนายอัตราการเจริญเติบโต จากความสูง , สีผิวเเละลักษณะนิสัยในการกินของบุคคลนั้น การวิเคราะห์ผลด้วยรหัส DNA นี้จะอาศัยการเก็บตัวอย่างตั้งเเต่เเรกเกิดโดยอาศัยการตรวจเลือดเเละน้ำเลี้ยงไขสันหลัง ซึ่งมีประสิทธิภาพในการพยากรณ์รหัสพันธุกรรมของทารก เทคโนโลยีนี้มีประโยชน์อย่างมากในทางการเเพทย์ เช่น การตรวจหาเชื้อ HIV , การตรวจรหัสพันธุกรรมเเละการตรวจหามะเร็ง นอกจากนั้นเเผนที่รหัสพันธุกรรมนี้ยังช่วยในวิเคราะห์ต้นกำเนิดการเกิดโรคต่างๆ ในมนุษย์โดยอาศัยการทำนายจากความผิดปรกติ ของลำดับของรหัสพันธุกรรมที่มีส่วนสำคัญในการเกิดโรคเช่นโรคเอดส์เเละมะเร็ง เป็นต้น
การประยุกต์ใช้วิธีนี้ในการทำเเผนที่พันธุกรรมมีประโยชน์อย่างมาก ในการพัฒนายาใหม่ที่จะใช้ในการรักษาโรคเช่นโรคเอดส์ มะเร็งเเละโรคเกี่ยวกับความผิดปรกติทางพันธุกรรมต่างๆ อนึ่งนักวิทยาศาสตร์จากอินเดียที่เป็นผู้คิดค้นวิธีการนี้ได้ทำการจดสิทธิบัตรเพื่อใช้ในทางการค้า
ที่มา http://www.vcharkarn.com
|