การใช้ยาสำหรับเด็ก
 |
คำแนะนำและข้อควรระวังสำหรับการใช้ยาในเด็ก โดย ภญ. อุบลรัตน์ ประดิษฐ์กุล สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์
สภากาชาดไทย ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า เด็กเล็กๆมักมีภูมิต้านทานโรคต่างๆอยู่น้อยมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอากาศ อาหาร ยา ฯลฯ
รวมทั้งมีโอกาสเจ็บป่วยได้ง่าย และบ่อยครั้งด้วย เนื่องจากสภาพแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จนร่างกายเด็กปรับตัวไม่ทัน
ไม่ควรพาลูกเล็กๆ ออกไปสัมผัสกับบรรยากาศนอกบ้านมากเกินความจำเป็น และควรหลีกเลี่ยงการพาลูกเข้าไปในที่ชุมชนแออัด
เช่น ศูนย์การค้า รวมทั้งหมั่นรักษาความสะอาดของร่างกายลูก และการให้ลูกดื่มนมแม่ให้นานที่สุด เพราะนมแม่มีประโยชน์ในการ
ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกได้เป็นอย่างดีด้วย |
เมื่อไรก็ตามที่ลูกน้อยเกิดเจ็บป่วย และจำเป็นต้องใช้ยาควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรทุกครั้งเป็นวิธีการที่ดีที่สุด
เพราะการซื้อยาให้ลูกรับประทานเอง อาจเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ หลักการใช้ยาทั่วไปในเด็กที่คุณพ่อคุณแม่ควรปฏิบัติตามมีดังต่อไปนี้
1. ยาที่มีรสขมจัดเมื่อรินขนาดตามสั่งแล้ว ควรเจือจางด้วยน้ำสักเล็กน้อยก่อน หากขมมากอาจใช้น้ำเชื่อมหรือน้ำหวานแทน
ถ้ารับประทานยายาก คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรกรอกยาใส่ปาก ไม่ควรบีบจมูกเพื่อให้อ้าปากแล้วกรอกยา เพราะอาจสำลักยาเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได
้
2. อย่าผสมยากับนม เพราะถ้าลูกดื่มนมไม่หมด ก็จะทำให้ไม่ได้รับยาตามจำนวนที่แพทย์สั่ง และอาจส่งผลให้ลูกไม่ยอมดื่มนมอีกด้วย
3. ควรใช้ช้อนยามาตรฐานป้อนยาให้ลูก เพื่อให้ได้จำนวนยาตรงตามขนาด ขนาดยาที่ใช้กับเด็กไม่ใช่ครึ่งหนึ่งของขนาดที่ใช้กับผู้ใหญ่
ต้องคำนวณจากน้ำหนักตัวของเด็กจึงเป็นขนาดที่ถูกต้องเหมาะสม ควรให้ลูกได้รับยาอย่างต่อเนื่อง ข้อสำคัญที่คุณแม่และคุณพ่อควรจำ คือ
ยาเม็ดที่มีลักษณะเหมือนกัน หรือยาน้ำที่มีสีเดียวกันอาจไม่ใช่ยาชนิดเดียวกัน ดังนั้นห้ามป้อนยาให้ลูกโดยที่ยังไม่ทราบชื่อยาอย่างเด็ดขาด
4. ยาบางชนิดไม่ควรใช้ในเด็กเล็ก เช่น ยาพวกซัลฟาและยาคลอแรมเฟนิคอล ซึ่งห้ามใช้ในเด็กแรกเกิด ส่วนยาเตตร้าซัยคลินไม่ควรใช้ในเด็กอายุน้อยกว่า 6 ขวบ
หรือยาใช้ภายนอก เช่น ครีม หรือขี้ผึ้งจะต้องระมัดระวังไม่ให้ลูกเอามือจับแผลที่ทายา เพราะลูกอาจเผลอนำมือเข้าปาก หรือเอามือไปขยี้ตา
5. หากลูกน้อยเคยได้รับยาแล้วมีอาการแพ้ยา คุณพ่อคุณแม่ต้องจำชื่อยานั้นไว้ให้แม่น และแจ้งให้คุณหมอทราบทุกครั้งก่อนที่คุณหมอจะจ่ายยาให้
อีกประการหนึ่งคือ ยาที่ใช้รักษาอาการติดเชื้อ (ยาแก้อักเสบ) ควรให้ลูกรับประทานอย่างต่อเนื่องจนหมดขวด แม้ว่าอาการเด็กจะดูเหมือนหายแล้วก็ตาม
ข้อสำคัญคือไม่ควรตวงยาด้วยช้อนกาแฟที่ใช้ตามบ้าน
ที่มา: http://www.dailynews.co.th/know.asp
กินไข่ปลอดภัย ไม่ต้องกลัวไข้หวัดนก
 |
ต่อไปนี้จะกินไข่แต่ละครั้งก็ไม่ต้องกลัวไข้หวัดนกอีกแล้ว จากการยืนยันของนักวิจัยไทยคนเก่งที่ชื่อ
รองศาสตราจารย์นายสัตวแพทย์ ดร.ทวีศักดิ์ ส่งเสริม นักวิจัยจากภาคพยาธิวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ หาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เพราะจากผลการศึกษาวิจัย พบว่าเชื้อไข้หวัดนกที่ติดมากับเปลือกไข่จะถูกทำลายภายใน 1 วัน เนื่องจากช่วงที่แม่ไก่ได้รับเชื้อไวรัสไข้หวัดนก
ตั้งแต่ระยะฟักตัวของเชื้อฯ จนถึงระยะแสดงอาการป่วย แม่ไก่จะเบื่ออาหาร เมื่อกินไม่ได้ตามปกติก็จะไม่วางไข่ แม้แต่ตัวที่ยังให้ไข่ได้อยู่
ดังนั้นแม้จะมีเชื้อติดมากับมูลไก่บนเปลือกไข่ แต่เชื้อก็จะสลายไปเองภายใน 1 วัน |
ส่วนมูลไก่ที่ติดเชื้อฯ ถ้าอยู่ในอุณหภูมิ 33-35 องศาเซลเซียสจะถูกทำลายภายใน 30 นาที ส่วน ภาวะของเชื้อไข้หวัดนกในอาหารที่ทำจากผลิตภัณฑ์สัตว์ปีก
ได้ทดลองโดยการนำเชื้อไข้หวัดนกในปริมาณสูงที่ทำให้แม่ไก่ตายใน 3 วัน ฉีดเข้าไปในไข่ดิบ เนื้อไก่ หรือเนื้อเป็ด ที่หันเป็นชิ้นพอคำ จากนั้นนำไปทำไข่ต้ม
(ต้มสองนาทีในน้ำเดือด) ไข่ดาว(ยางมะตูม) ไข่ลวก(ลวกในน้ำที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส) ไก่ต้ม ไก่ทอด และผัดกระเพราไก่ ปรากฏว่า
ไม่พบเชื้อไข้หวัดนกหลงเหลืออยู่ในอาหาร
ทั้งนี้ รองศาสตราจารย์นายสัตวแพทย์ ดร.ทวีศักดิ์ ส่งเสริม ทวีศักดิ์ ยืนยันว่า การปรุงอาหารให้สุกตามปกติในเมนูอาหารแบบไทย ๆ
สามารถทำลายเชื้อไข้หวัดนกได้ทั้งหมด ในกรณีผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดนกนั้น มีสาเหตุหลักมาจากการไปสัมผัสกับสัตว์ปีกที่ติดเชื้อฯ
หรืออุจจาระสัตว์ปีกที่มีเชื้ออยู่ หรือติดเชื้อระหว่างการชำแหละ แต่ไม่ได้ติดเชื้อจากการรับประทานสัตว์ปีกที่ปรุงสุกแล้ว
ที่มา: http://www.dailynews.co.th/col/col.asp?columnid=15736(140148)

เรือดำน้ำลำแรกฝีมือไทย
 |
กระทรวงกลาโหมร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ฯ พัฒนาเรือดำน้ำลำแรกของไทย เผยจุผู้โดยสาร 5 คน
ดำน้ำลึก 50 เมตร ขานรับภารกิจสำรวจใต้ทะเลและการท่องเที่ยว คาด 3 ปีเสร็จสมบูรณ์
รศ.ดร.สาโรช ตั้งจิตธรรม นักวิชาการภาควิชากลศาสตร์ประยุกต์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันโพลีเทคโนโลยีมลรัฐเวอร์จิเนีย
และที่ปรึกษาโครงการสมองไหลกลับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า |
สวทช.ร่วมกับกระทรวงกลาโหมและบริษัท ยูนิไท ชิพยาร์ด จัดทำโครงการวิจัยสร้าง "ยานใต้น้ำ" เพื่อสำรวจใต้น้ำในทะเลไทย
และกิจกรรมท่องเที่ยวใต้น้ำ โดยใช้งบประมาณ 30 ล้านบาท จากกระทรวงกลาโหม 25 ล้านบาท ส่วนที่เหลือได้จาก สวทช.
ส่วนภาคเอกชนจะเป็นผู้ลงมือสร้าง โดยเริ่มตั้งแต่การออกแบบโครงสร้าง จนถึงการสร้างเรือดำน้ำเต็มรูปแบบ ซึ่งนอกจากจะได้เรือดำน้ำแล้ว
สิ่งสำคัญคือองค์ความรู้ในการสร้างเรือดำน้ำ ซึ่งสามารถต่อยอดสู่อุตสาหกรรม และการซ่อมบำรุงเรือดำน้ำในอนาคต เพื่อรองรับอุตสาหกรรมต่อเรือดำน้ำ
ทั้งนี้ โครงการจะใช้เวลาดำเนินการ 3 ปี โดย รศ.ดร.สาโรช เป็นที่ปรึกษาด้านการออกแบบ เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญด้านกลศาสตร์
และทำงานคลุกคลีกับผู้ชำนาญการสร้างเรือดำน้ำ ซึ่งต้องอาศัยซอฟต์แวร์ในการสร้างแบบจำลองโดยเฉพาะ โดยเบื้องต้นบริษัท ยูนิไท
สามารถสร้างต้นแบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนทดสอบระบบขับเคลื่อน ก่อนการสร้างเรือดำน้ำขนาดจริง
สำหรับเรือดำน้ำดังกล่าวมีขนาดความยาว 8.05 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.80 เมตร บรรทุกผู้โดยสาร 2-5 คน ความเร็วใต้น้ำประมาณ 5 นอต
ดำน้ำลึกไม่เกิน 50 เมตร อยู่ใต้น้ำได้นาน 3-5 ชั่วโมง ประกอบไปด้วยระบบการทำงานหลักที่สมบูรณ์และระบบปฏิบัติการอิสระ อาศัยพลังงานจากแบตเตอรี่
"การทำเรือดำน้ำเป็นโครงการที่ท้าทายสูง แม้ไม่ใช่เรือดำน้ำขนาดใหญ่ แต่สามารถใช้การได้จริง อีกทั้งได้รับความรู้พื้นฐานสำหรับการสร้างเรือดำน้ำและซ่อมบำรุง
แถมยังช่วยลดการนำเข้าไม่ต่ำกว่าร้อยล้านบาท" รศ.ดร.สาโรช กล่าว
ที่มา กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 12 มกราคม 2549 10:56 น.
http://www.bangkokbiznews.com/2006/01/14/s001_67566.php?news_id=67566
ข้าวหอมพื้นเมืองไทยกับการแปรรูป
 |
ปัจจุบันข้าวหอมพื้นเมืองไทยนอกจากจะแปรรูปเป็นอาหาร เช่นข้าวเม่า ข้าวหมาก ขนมจีน และขนมขบเคี้ยวต่างๆแล้ว
ยังสามารถแปรรูปเป็นเครื่องดื่มธัญพืชเพื่อสุขภาพ เช่น น้ำข้าวกล้อง หรือเครื่องดื่มที่ผ่านกรรมวิธีการหมักให้เกิดแอลกอฮอล์
เช่น เบียร์ หรือนำส่วนผสมที่ผ่านการหมักแล้ว ไปกลั่นแยกเอาแอลกอฮอล์ออกมาเป็นเครื่องดื่ม เช่น สุรา และเบียร์
ข้าวหอมที่นิยมนำไปหมักทำเบียร์ และเอาไปหมักทำอุหรือกระแช่ได้ ได้แก่ ข้าวหอมพันธุ์พื้นเมืองไทยพันธุ์หอมดอ ที่มีแหล่งปลูก
ได้แก่สกลนคร อุดรธานี นอกจากนี้พันธุ์พิเศษบางพันธุ์ ที่นิยมนำมาแปรรูปเป็นเหล้าสาเก ที่นิยมดื่มกันมากในญี่ปุ่น |
จึงมีบางบริษัท
ตั้งโรงงานเหล้าสาเกขึ้นมา และมีการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกข้าวพันธุ์นี้อย่างกว้างขวาง ทางภาคเหนือของไทยหลายจังหวัด
รอบๆบริเวณที่ตั้งโรงงานมีการประกันราคารับซื้อผลผลิตจากเกษตรกร ที่เข้าร่วมโครงการทั้งหมดเพื่อนำผลผลิตเป็นวัตถุดิบ ป้อนโรงงานผลิตเหล้าสาเก
ทำให้เกษตรกรสนใจเข้าร่วมโครงการปลูกข้าวพันธุ์นี้ส่งโรงงานกันมาก เพราะได้ราคาดีและลดความเสี่ยงด้านความผันผวนของราคา
ที่มา : จดหมายข่าวผลิใบ กรมวิชาการเกษตร
http://www.dailynews.co.th/agriculture/each.asp?newsid=7921
ความลับของกาแฟมูลชะมด
 |
มีเรื่องเหลือเชื่อที่จะบอกว่า กาแฟที่แพงที่สุดในโลกนั้นเป็นกาแฟที่ได้จากการคุ้ยเขี่ยกองมูลชะมด
ณ วันนี้ความลับของกาแฟที่ผู้คนตามหามากที่สุดในโลก ที่ถูกเล่าขานจนกลายเป็นตำนาน ได้ถูกเปิดเผยแล้ว
การค้นพบกาแฟ โกปิลูแว็ก (kopi luwak เป็นคำพื้นเมืองของอินโดนีเซีย kopi แปลว่า กาแฟ ส่วน luwak หมายถึง ตัวชะมด)
ที่ทั้งหายากและแพงที่สุดนี้ นับได้ว่าเป็น ผลงานชิ้นโบแดงของแมสซีโม มาร์โคน เลยทีเดียว กาแฟชนิดนี้ได้มาจากเมล็ดกาแฟ
ที่ตัวชะมดซึ่งมีหน้าตาคล้ายแมว ถ่ายออกมาพร้อมมูล หลังจากที่กินผลกาแฟสุกเข้าไป ซึ่งมาร์โคนได้ศึกษาว่าเมล็ดกาแฟโกปิลูแว็ก
มีสารเคมีที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากกาแฟอื่น อีกทั้งยังได้พิสูจน์แล้วว่าชะมดกินเมล็ดกาแฟ และถ่ายออกมาพร้อมมูลจริงๆ |
ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าบรรดาคนที่ ยังสงสัยเรื่องนี้อยู่ อยากจะให้มันเป็น เพียงแค่นิยายปรัมปรา ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อนึกไปถึงการดื่มกาแฟที่ต้องไปคุ้ย
ออกมาจากกองมูลของสัตว์ ก็ดูจะไม่น่า พิศมัยนัก อย่างไรก็ตาม ว่ากันว่ากาแฟ ชนิดนี้มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ถึง ขนาดที่มีนักดื่มกาแฟ
ที่ต้องการจะลองลิ้มชิมรสมาก จนต้องเข้าคิวรอกันเป็นปีๆ เนื่องจากจะมีการผลิตกาแฟโกปิลูแว็กในปริมาณเพียงแค่ 230 กิโลกรัมต่อปีเท่านั้น
ส่วนราคาก็พลอยสูงตามไปด้วยถึง 1,000 เหรียญฯต่อกิโลกรัม ซึ่งนับว่ามีราคาแพงกว่ากาแฟที่แพงเป็นอันดับสองถึงสิบเท่า
จอร์จ กูทรี พ่อค้ากาแฟของฮอล์แลนด์คอฟฟีในเมืองสปาร์ตา รัฐนิวเจอร์ซีกล่าวว่า มีกาแฟชนิดนี้ไม่เยอะมากนักหรอก อีกทั้งยังมีราคาแพง
และไม่มีความแน่นอนอีกต่างหาก บางครั้งก็อาจจะได้มาสองสามกิโล หรือบางทีก็ต้องรอกันเป็นเดือนๆ หรือไม่ได้เลยก็มี
เรื่องราวของกาแฟโกปิลูแว็กนี้ย้อนกลับไปได้เมื่อประมาณ 200 ปีที่แล้ว ตอนที่ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวดัตช์เริ่มปลูกกาแฟบนเกาะชวา สุมาตราและ สุลาเวสี
ซึ่งทั้งหมดตอนนี้คือดินแดนประเทศอินโดนีเซีย เกาะเหล่านี้เป็นที่อยู่ของชะมดซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Paradoxurus hermaphroditus
และเป็นสัตว์ตระกูลเดียวกับแมว โดยอาศัยอยู่ตามต้นไม้ กินผลไม้ แมลงและสัตว์ขนาดเล็กเป็นอาหาร ชะมดที่อาศัยอยู่บนเกาะเหล่านี้
จึงเริ่มกินเมล็ดกาแฟสุกเป็นอาหาร ส่วนคนงานผู้ถือคติ อย่าทิ้งไว้ให้เสียของ ก็เก็บเมล็ดกาแฟที่อยู่ในกองมูลชะมดกลับมาด้วย
จนในที่สุดก็มีคนรับรู้ถึงรสชาติที่ไม่เหมือนใครของกาแฟชนิดนี้ หลังจากนั้นกาแฟแบบใหม่ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น
มาร์โคนเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง โดยการพิสูจน์ สิ่งแรกที่เขาจะต้องทำก็คือหาให้ได้ก่อนว่าเมล็ดกาแฟนี้มีอะไร ที่แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องกับการทำงาน
ของกระเพาะอาหารหรือไม่ หลังจากที่เขาใช้กล้องกำลังขยายหมื่นเท่าส่องดู ก็พบบางอย่างบนพื้นผิวตรงร่องเมล็ดกาแฟที่เมล็ดกาแฟอื่นๆ
ซึ่งปลูกในบริเวณเดียวกันของแคว้นสุมาตราไม่มี จึงค่อนข้างจะเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าต้นเหตุมาจากการย่อยของเอนไซม์ อย่างไรก็ตาม
ร่องบนผิวเมล็ดกาแฟนี้ก็ไม่ได้เป็นตัวการที่ทำให้รสชาติกาแฟเปลี่ยนไป มาร์โคนจึงสงสัยต่อไปว่าเอนไซม์จะมีผลถึงข้างในเมล็ดกาแฟด้วยหรือเปล่า
ซึ่งผลที่ได้ก็แสดงให้เห็นถึงสัญญาณการแตกตัวของโปรตีนในเมล็ดกาแฟโกปิลูแว็กที่ไม่มีในเมล็ดกาแฟอื่น มาร์โคนกล่าวว่าการแตกตัวนี้
อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้กาแฟนี้มีรสชาติไม่เหมือนใคร
มาร์โคนยังเชื่ออีกด้วยว่าทางเดินอาหารของชะมด ทำหน้าที่เหมือนกับขั้นตอนการแปรรูปเมล็ดกาแฟ ที่เรียกว่าการทำกาแฟด้วยวิธีเปียก
คือแทนที่จะนำเมล็ดกาแฟไปตากแห้งโดยอาศัยความร้อนจากแสงแดด กลับนำไปล้างน้ำแล้วหมักทิ้งไว้ 12 - 36 ชั่วโมง กาแฟที่ได้จากกระบวนการนี้
จะมีรสชาติดีกว่ากาแฟตากแห้ง ซึ่งเชื่อกันว่ากระบวนการดังกล่าวก็เหมือนกับกระบวนการหมัก มาร์โคนบอกว่าดูเหมือนลำไส้ของชะมดจะทำหน้าที่เป็นเครื่องหมัก
แบบธรรมชาติไปเสียแล้ว แถมยังมีแบคทีเรียที่ผลิตกรดแล็กติก ซึ่งเป็นกรดชนิดเดียวกับที่ใช้ในการทำกาแฟด้วยวิธีเปียกอยู่อีกด้วย
แปลและเรียบเรียงจาก Bean there, dungthat, NewScientist, 16 October 2004 โดย... บราลี สุคนธรังษ
Udate magazine online ฉบับ 222 มีนาคม 2549
http://update.se-ed.com/222/kopi-luwak.htm(20/03/49)
ญี่ปุ่นยินดีกับความสำเร็จทดลองระบบป้องกันขีปนาวุธ
 |
นายกรัฐมนตรีจุนอิชิโร โคอิซูมิ ของญี่ปุ่น กล่าวแสดงความยินดีต่อความสำเร็จ ในการทดสอบจรวดต่อต้านขีปนาวุธ ซึ่งพัฒนาร่วมกับสหรัฐ
นายโคอิซูมิ กล่าวว่า ความสำเร็จแสดงถึงเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น และต้องการเห็นโครงการนี้ เดินหน้าต่อไป
สำนักงานป้องกันภัยขีปนาวุธของสหรัฐกล่าวว่า จรวดเอสเอ็ม-3 รุ่นปรับปรุงใหม่ ถูกยิงขึ้นมาจากเรือลาดตระเวนชั้นอีจิสที่ลอยลำอยู่นอกชายฝั่งเกาะฮาวาย เมื่อวันพุธที่ผ่านมา จรวดลูกนี้มีญี่ปุ่นร่วมพัฒนาในส่วนของกรวยหัว ซึ่งสามารถดีดตัวออกจากจรวดขับดัน ตามโปรแกรมที่ตั้งไว้โดยไม่ผิดพลาด |
การทดสอบครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งในการวิจัยร่วมด้านกลาโหม ระหว่างสองประเทศที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2542 หลังจากเกาหลีเหนือสร้างความตกตะลึง
ด้วยการยิงขีปนาวุธข้ามญี่ปุ่นไปตกที่มหาสมุทรแปซิฟิก
นายชินโซ อาเบะ หัวหน้าคณะเลขาธิการคณะรัฐมนตรี กล่าวว่า ความสำเร็จครั้งนี้พิสูจน์ความเชื่อมั่นในโครงการร่วมพัฒนาระบบป้องกันขีปนาวุธข้ามทวีปกับสหรัฐ
ขณะเดียวกันมีรายงานว่าในขณะที่ญี่ปุ่นและสหรัฐประสบความสำเร็จในการทดลองระบบจรวดต่อต้านขีปนาวุธ แต่ในฝั่งเกาหลีเหนือมีการทดลองขีปนาวุธ
พิสัยใกล้ครั้งใหม่ 2 ครั้ง แต่นายอาเบะ ระบุว่า การทดลองครั้งนี้ไม่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของญี่ปุ่น
ที่มา: สำนักข่าวไทย 2006-03-09

สหรัฐฯพัฒนายานพาหนะใช้พลังงานไฮโดรเจนเชิงพาณิชย์

กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ประกาศให้เงินทุนวิจัยถึง 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วง 4 ปีข้างหน้านี้ วัตถุประสงค์เพื่อเอาชนะอุปสรรคในการผลิตยานพาหนะขับเคลื่อนด้วย พลังงานไฮโดรเจนให้สามารถผลักดันยานพาหนะดังกล่าวออกสู่ตลาดในปี พ.ศ. 2563
อุปสรรคทางเทคนิคที่พบได้แก่ การผลิตเยื่อหุ้มเซลล์เชื้อเพลิง (fuel-cell membranes) ระบบการถ่ายเทของน้ำภายในเซลล์เชื้อเพลิง (water transport within the stack) การพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยาขั้วลบ (advanced cathode catalysts) และชิ้นส่วนอื่นๆที่ประกอบกัน รวมไปถึงวิธีลดการปนเปื้อน ของเซลล์เชื้อเพลิงซึ่งจะทำให้ใช้เชื้อเพลิงได้ยาวนานและมีประสิทธิภาพ
เซลล์เชื้อเพลิง ( fuel cell) เป็นอุปกรณ์ที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมี-ไฟฟ้า ระหว่างออกซิเจนกับไฮโดรเจน ซึ่งสามารถเปลี่ยนเชื้อเพลิงไปเป็นพลังงานไฟฟ้าโดยตรง ไม่ต้องผ่านการเผาไหม้ ไม่ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เช่นเซลล์เชื้อเพลิงชนิดอื่น ๆ ทำให้เครื่องยนต์ที่ใช้เซลล์เชื้อเพลิงนี้ไม่ก่อมลภาวะทางอากาศ นอกจากจะได้พลังงานไฟฟ้าหลังการเกิดปฏิกิริยาในเซลล์ แล้วก็จะได้น้ำบริสุทธิ์ และพลังงานความร้อนไว้ใช้ตามความเหมาะสมด้วย ราคาของยานยนต์ดังกล่าวยังแพงอยู่ ทั้งนี้เพราะราคาของเยื่อหุ้มเซลล์เชื้อเพลิง (membrane) และสารเร่งปฏิกิริยา (catalyst materials) ยังมีราคาแพงอยู่ในปัจจุบัน รวมไปถึงปฏิกิริยานี้ใช้อุณหภูมิสูงมาก
ทางเลือกในตอนนี้ได้แก่เยื่อหุ้มโพลิเมอร์ ( polymer membrane ) หรือเยื่อหุ้มเซลล์เชื้อเพลิงจากไฮโดรคาร์บอน ซึ่งปฏิบัติงานได้ที่อุณหภูมิ 95 องศาเซลเซียส เยื่อหุ้มชนิดอื่นๆนั้นแค่อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งหรือสูงถึง 80 องศาเซลเซียสก็มีข้อบกพร่องแล้ว ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตรถยนต์หลายๆแห่งเช่น ฮอนดา ไครสเลอร์ เจเนอรัลมอเตอร์ ฯลฯ ได้คิดค้นพัฒนารถยนต์ต้นแบบเครื่องยนต์ที่ใช้เซลล์เชื้อเพลิงอยู่
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานสหรัฐฯแถลงว่าจะคัดเลือกโครงงาน 12 แบบเพื่อมอบเงินทุนจำนวน 19 ล้านเหรียญสหรัฐฯในการวิจัยใน 5 ปีข้างหน้านี้โดยมุ่งเน้นเรื่องการวิจัยเยื่อหุ้มเชื้อเพลิงโพลิเมอร์ ให้ทนทานตลอดอายุการใช้งานและลดค่าใช้จ่าย
From left to right: Mazda Begins Leasing Hydrogen Dual-Fuel Rotary, GM Downsizes Diesel in Meriva and Fiat in Test Program With Panda Hydrogen
ที่มา : Chemical & Engineering ฉบับวันที่ 30 มกราคม 2549 และข้อมูลจาก http://www.howstuffworks.com/fuel-cell 2. htm ) ,http://www.thaiembdc.org/index.htm(20 /03/ 49)

เตือนคนชอบฟังเพลงดัง ทำการได้ยินบกพร่อง
 |
กระแสของเครื่องฟังเพลงแบบพกพา โดยเฉพาะเครื่องเล่นเอ็มพี 3 กำลังเฟื่องฟูสุดขีด ที่ทำยอดขายไอพอดทุกเวอร์ชั่นไปแล้วมากกว่า
40 ล้านเครื่องทั่วโลก บ่งบอกถึงความฮิตอินเทรนด์ของ "เครื่องฟังเพลง" ในยุคนี้ได้เป็นอย่างดี
แต่ทว่าท่ามกลางการแข่งขันในตลาดที่เติบโตขึ้นทุกปี ทั้งในเรื่องดีไซน์ และคุณภาพเสียง กลับมีผลสำรวจที่ชี้ว่า
เครื่องฟังเพลงในยุคโมเดิร์นนี้ มีอันตรายต่อประสาทรับฟังมากขึ้นกว่าเดิม |
สมาคมการพูดและการฟังแห่งสหรัฐอเมริกา (เอเอสเอชเอ) เผยผลสำรวจการฟังเพลงจากหูฟังว่า เด็กวัยรุ่นมากกว่าครึ่งไม่ได้ให้ความสนใจว่า
เครื่องเล่นเอ็มพี 3 จะทำลายระบบรับฟังหรือไม่ ผลการสำรวจยังชี้ว่า เด็กวัยรุ่นที่ยังอยู่ในวัยเรียนกว่า 28% และคนรุ่นโต 26% ต้องปรับระดับเสียง
จากโทรทัศน์หรือวิทยุเพิ่มขึ้น ขณะที่เด็กวัยรุ่นจำนวน 29% มีปัญหาทางการได้ยินระหว่างการสนทนาตามปกติ จนต้องพูดว่า "อะไรนะ" ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เอเอสเอชเอ แนะนำว่า ควรจะฟังเพลงในระดับเสียงที่เบาลง และในระยะเวลาที่สั้นลง หรือไม่ก็หาซื้อเอียร์บัด หรือที่กรองเสียงมาสวมทับเพื่อหลีกเลี่ยงเสียงที่ดังจนทำลายระบบการได้ยิน
อเล็กซ์ จอห์นสัน ประธานสมาคมเอเอสเอชเอ กล่าวว่า สาเหตุของการบกพร่องทางการได้ยินยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ผลสำรวจก็แสดงให้เห็นว่า
ผู้คนฟังเสียงที่ดังขึ้นและยาวนานขึ้น นั่นเป็นเพราะถูกทำลายระบบการได้ยินไปบางส่วน
จอห์นสัน ซึ่งเป็นศาสตราจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเวนย์ สเตท กล่าวด้วยว่า อเมริกันชนวัยกลางคนกว่า 22 ล้านคนที่มีอายุระหว่าง 20
ถึง 69 ปี มีปัญหาในการได้ยิน เพราะฟังเสียงดังเกินระดับติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
ไมค์ เฟอร์กูสัน ส.ส.พรรครีพับริกันจากนิวเจอร์ซีย์ ได้ยกย่องนวัตกรรมเอ็มพี 3 และเทคโนโลยีเพลงอื่นๆ แต่กระนั้นไมค์ก็ระบุว่า ควรจะมีการศึกษาค้นคว้า
เพื่อความปลอดภัยมากกว่านี้
ด้านสถาบันสาธารณสุขสหรัฐเห็นด้วยกับผลสำรวจดังกล่าว พร้อมกับต้องการให้เอเอสเอชเอ ทำการวิจัยถึงผลเสียของการใช้หูฟัง
และหาสาเหตุของการบกพร่องทางการได้ยินอย่างชัดเจน
สำหรับในเมืองไทยเอง ตลาดเครื่องเล่นเอ็มพี 3 แบบพกพา ทั้งไอพอดหรือยี่ห้ออื่น ก็กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน
แต่ขณะนี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหวในการป้องกันอันตรายจากการฟังเพลงแต่อย่างใด หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจจะรอให้ลูกค้า
ที่หูแทบหนวกร้องเรียนก่อนแล้วล้อมคอกกัน หรือราคาชีวิตคนไทยนั้นต่ำเตี้ยกว่าชาติอื่นก็ไม่ทราบได้
ที่มา : http://content.kapook.com/content/publish/article_38609.shtml
ภาพ :หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

ยานอวกาศสำรวจดาวอังคารเข้าสู่วงโคจรสำเร็จ
 |
เจ้าหน้าที่องค์การบริหารการบิน และอวกาศแห่งชาติสหรัฐ หรือนาซา ต่างส่งเสียงดีใจตาม ๆ กัน หลังจากยานสำรวจดาวอังคาร มูลค่า 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 18,000 ล้านบาท สามารถเข้าสู่วงโคจรดาวอังคารได้สำเร็จ เมื่อวานนี้ตามเวลาสหรัฐ
หลังจากนี้ยานอวกาศจะโคจรรอบดาวอังคาร 500 รอบ เป็นเวลา 6 เดือน เพื่อส่งข้อมูลดาวอังคารที่ดีกว่าข้อมูลก่อนหน้านี้ถึง 10 เท่า กลับมายังโลก รวมทั้งสำรวจหาพื้นที่เหมาะสม สำหรับการลงจอดของยานอวกาศที่มีมนุษย์เดินทางไปด้วย |
การส่งยานสำรวจอวกาศเข้าสู่วงโคจรของดาวอังคาร นับว่ายากลำบากมาก ยานสำรวจดาวอังคารของนาซา 2 จาก 4 ลำ ก่อนหน้านี้หายสาบสูญไประหว่างการเดินทางสู่วงโคจรดาวอังคาร ยานสำรวจอวกาศลำนี้ออกเดินทางจากโลกเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว และเคลื่อนทางสู่ดาวอังคารด้วยความเร็ว 17,600 กิโลเมตรต่อชั่วโมง.
ที่มา: สำนักข่าวไทย 2006-03-11 : 12:16:13

วว. เจ๋งพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากสมุนไพรไทย
..ป้องกันโรคตับ
 |
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ประสบความสำเร็จในการพัฒนา ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากสมุนไพรไทย
..ป้องกันโรคตับ ออกฤทธิ์ป้องกันการทำลายของเซลล์ตับ หรือบำรุงรักษาตับ ระบุประสิทธิผลยอดเยี่ยม มีความปลอดภัยสูง พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่หน่วยงานภาครัฐ/เอกชน เพื่อนำไปผลิตเชิงพาณิชย์ |
ดร.นงลักษณ์ ปานเกิดดี ผู้ว่าการ วว. ชี้แจงว่า จากการที่ วว.ได้ดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากพืชสมุนไพรไทยออกฤทธิ์ป้องกันโรคตับ โดยได้นำหลักการเดียวกับการวิจัยของประเทศอินเดียมาประยุกต์ใช้ เพื่อช่วยการลดระยะเวลาและขั้นตอนในการทำการวิจัยเกี่ยวกับสมุนไพรได้เป็นอย่างดี ขณะนี้ วว. ประสบความสำเร็จในการพัฒนา ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากสมุนไพรไทย
ป้องกันโรคตับ เป็น 2 ชนิด คือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Livetal-D ที่ช่วยบำรุงและป้องกันพิษจากสารเคมีต่อตับ และ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Livetal ที่ช่วยในการบำรุงและป้องกันพิษจากแอลกอฮอล์ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนำมาใช้ร่วมกับยาเพื่อรักษา หรือช่วยให้ตับแข็งแรงโดยไม่มีผลข้างเคียงเช่นเดียวกับยาสังเคราะห์ จึงนับเป็นทางเลือกใหม่ สำหรับป้องกันโรคตับอย่างมีประสิทธิผลและความปลอดภัยสูง
ดร.ชุลีรัตน์ บรรจงลิขิตกุล นักวิชาการประจำฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ วว. ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ในการวิจัยครั้งนี้ วว. ได้ประยุกต์หลักการของประเทศอินเดียมาใช้ โดยขั้นตอนของการวิจัยเริ่มจากการคัดเลือกพืชสมุนไพรที่มีฤทธิ์ในการป้องกันโรคตับ และนำสารสกัดหยาบที่ได้จากพืชแต่ละชนิดไปทดสอบฤทธิ์ ในการป้องกันการทำลายเซลล์ตับที่เกิดจากสารเคมี กระตุ้นการสร้างเซลล์ตับใหม่ขึ้นทดแทนเซลล์ที่ถูกทำลายและการเพิ่มการหลั่งของน้ำดี ผลจากการคัดเลือกปรากฏว่า พืชสมุนไพร 3 ชนิด ได้แก่ พริกไทย ผักบุ้ง และขมิ้นชัน ให้ผลในการป้องกันโรคตับได้ดี จากนั้นจึงนำสารสกัดจากพืชสมุนไพรทั้ง 3 ชนิดที่มีฤทธิ์เสริมกัน มาผสมในอัตราส่วนที่เหมาะสม และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดเม็ดดังกล่าว พร้อมกับทดสอบฤทธิ์ในการป้องกันการถูกทำลายของตับจากสารเคมี กระตุ้นการสร้างเซลล์ตับ และเพิ่มการหลั่งน้ำดีของผลิตภัณฑ์
ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ยังไม่มีจำหน่ายในท้องตลาด ขณะนี้ วว. อยู่ในระหว่างรอบริษัทเอกชนมารับการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อนำไปผลิตในเชิงพาณิชย์ต่อไป สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ วว. เทคโนธานี คลอง 5 จ.ปทุมธานี โทร. 0 2 577 9106 ในวันและเวลาราชการ
ที่มา : สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย 09-03-2006 09:39 http://www.tistr.or.th/tistr2006/newsboard/show.php?Category=newsboard&No=38

ตะลึงปลาการ์ตูน ถูกจับเกลี้ยงทะเล

เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2549 ดร.ธรณ์ ธำรงค์นาวาสวัสดิ์ นักวิชาการประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่า ได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านในหมู่บ้านชาวเล จ.ตรัง ว่าขณะนี้มีการลักลอบจับปลาสวยงามในพื้นที่หมู่เกาะอาดัง ราวี เกาะตะรุเตา เกาะแหวน เกาะกระดาน ซึ่งพื้นที่ทั้งหมดล้วนอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเล ปลาที่ถูกลักลอบจับกันมากนั้นคือ ปลาการ์ตูน และปลาสิงห์โต โดยมีพ่อค้าจากต่างถิ่นเข้ามาว่าจ้างชาวบ้านในพื้นที่ในการจับ วิธีการจับ คือ ดำน้ำลงไปช้อนแล้วนำใส่ถุง ไปเก็บไว้ในอ่างสำหรับอนุบาลลูกกุ้ง ซึ่งมีหลายแห่งที่เปิดไว้บังหน้า แต่ความจริงแล้วไม่มีลูกกุ้ง จะมีแต่ปลาการ์ตูน และปลาสวยงามอื่นๆ เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีรายงานจากมูลนิธิช่วยชีวิตสัตว์ป่าและตำรวจที่ตั้งด่านตรวจจับของผิดกฎหมายพบว่า ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา ตรวจจับรถบรรทุกที่ลักลอบขนปลาสวยงามผิดกฎหมายจำนวนมากคือ สัปดาห์ละ 30-40 ลัง แต่ละลังพบว่ามีปลาการ์ตูนอยู่ประมาณ 100 ตัว
และเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้ผมลงไปดำน้ำที่ อาดัง-ราวี ในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา ปรากฏว่าทั้งเกาะไม่มีปลาการ์ตูนเหลืออยู่เลยแม้แต่ตัวเดียว มีแต่ดอกไม้ทะเลชูคอกันสลอน ซึ่งปกติแล้วปลาการ์ตูนและดอกไม้ทะเลจะอาศัยอยู่ด้วยกัน และเมื่อชาวบ้านไปร้องเรียนการลักลอบจับปลาดังกล่าวกับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ กลับมีการโยนความรับผิดชอบกันไปมา ระหว่างกรมอุทยานแห่งชาติทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) และกรมประมง ถึงหน้าที่ในการดำเนินการจับกุม ผลก็คือ ปลาการ์ตูนหายไปจนหมดทะเลตรังเสียแล้ว" ดร.ธรณ์กล่าว
ดร.ธรณ์กล่าวว่า ปลาการ์ตูนเหล่านี้เกือบทั้งหมดถูกนำไปขายให้อะควาเรียม คือ ทางอะควาเรียมเป็นผู้สั่งซื้อ เพราะขณะนี้มีอะควอเรียมน้อยใหญ่ผุดขึ้นตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ ราวกับดอกเห็ด แต่ละวันจะมีปลาตัวเล็กภายในอะควอเรียมตายจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงต้องหาปลามาเปลี่ยนทุกวัน" และว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้มงวดกวดขัน เพราะหากปล่อยไว้เช่นนี้ปลาการ์ตูนและปลาสวยงามชนิดๆ จะหมดไปจากแนวปะการังทุกแนวในประเทศไทย
ที่มา http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01p0121200349&day=2006/03/20 ภาพ http://www.nemotour.com/nemo.htm, www.thairath.co.th
|