การใช้ยาสำหรับเด็ก


คำแนะนำและข้อควรระวังสำหรับการใช้ยาในเด็ก โดย ภญ. อุบลรัตน์ ประดิษฐ์กุล สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า เด็กเล็กๆมักมีภูมิต้านทานโรคต่างๆอยู่น้อยมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอากาศ อาหาร ยา ฯลฯ รวมทั้งมีโอกาสเจ็บป่วยได้ง่าย และบ่อยครั้งด้วย เนื่องจากสภาพแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จนร่างกายเด็กปรับตัวไม่ทัน ไม่ควรพาลูกเล็กๆ ออกไปสัมผัสกับบรรยากาศนอกบ้านมากเกินความจำเป็น และควรหลีกเลี่ยงการพาลูกเข้าไปในที่ชุมชนแออัด เช่น ศูนย์การค้า รวมทั้งหมั่นรักษาความสะอาดของร่างกายลูก และการให้ลูกดื่มนมแม่ให้นานที่สุด เพราะนมแม่มีประโยชน์ในการ ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกได้เป็นอย่างดีด้วย

เมื่อไรก็ตามที่ลูกน้อยเกิดเจ็บป่วย และจำเป็นต้องใช้ยาควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรทุกครั้งเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพราะการซื้อยาให้ลูกรับประทานเอง อาจเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ หลักการใช้ยาทั่วไปในเด็กที่คุณพ่อคุณแม่ควรปฏิบัติตามมีดังต่อไปนี้

1. ยาที่มีรสขมจัดเมื่อรินขนาดตามสั่งแล้ว ควรเจือจางด้วยน้ำสักเล็กน้อยก่อน หากขมมากอาจใช้น้ำเชื่อมหรือน้ำหวานแทน ถ้ารับประทานยายาก คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรกรอกยาใส่ปาก ไม่ควรบีบจมูกเพื่อให้อ้าปากแล้วกรอกยา เพราะอาจสำลักยาเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได

2. อย่าผสมยากับนม เพราะถ้าลูกดื่มนมไม่หมด ก็จะทำให้ไม่ได้รับยาตามจำนวนที่แพทย์สั่ง และอาจส่งผลให้ลูกไม่ยอมดื่มนมอีกด้วย

3. ควรใช้ช้อนยามาตรฐานป้อนยาให้ลูก เพื่อให้ได้จำนวนยาตรงตามขนาด ขนาดยาที่ใช้กับเด็กไม่ใช่ครึ่งหนึ่งของขนาดที่ใช้กับผู้ใหญ่ ต้องคำนวณจากน้ำหนักตัวของเด็กจึงเป็นขนาดที่ถูกต้องเหมาะสม ควรให้ลูกได้รับยาอย่างต่อเนื่อง ข้อสำคัญที่คุณแม่และคุณพ่อควรจำ คือ ยาเม็ดที่มีลักษณะเหมือนกัน หรือยาน้ำที่มีสีเดียวกันอาจไม่ใช่ยาชนิดเดียวกัน ดังนั้นห้ามป้อนยาให้ลูกโดยที่ยังไม่ทราบชื่อยาอย่างเด็ดขาด

4. ยาบางชนิดไม่ควรใช้ในเด็กเล็ก เช่น ยาพวกซัลฟาและยาคลอแรมเฟนิคอล ซึ่งห้ามใช้ในเด็กแรกเกิด ส่วนยาเตตร้าซัยคลินไม่ควรใช้ในเด็กอายุน้อยกว่า 6 ขวบ หรือยาใช้ภายนอก เช่น ครีม หรือขี้ผึ้งจะต้องระมัดระวังไม่ให้ลูกเอามือจับแผลที่ทายา เพราะลูกอาจเผลอนำมือเข้าปาก หรือเอามือไปขยี้ตา

5. หากลูกน้อยเคยได้รับยาแล้วมีอาการแพ้ยา คุณพ่อคุณแม่ต้องจำชื่อยานั้นไว้ให้แม่น และแจ้งให้คุณหมอทราบทุกครั้งก่อนที่คุณหมอจะจ่ายยาให้
อีกประการหนึ่งคือ ยาที่ใช้รักษาอาการติดเชื้อ (ยาแก้อักเสบ) ควรให้ลูกรับประทานอย่างต่อเนื่องจนหมดขวด แม้ว่าอาการเด็กจะดูเหมือนหายแล้วก็ตาม ข้อสำคัญคือไม่ควรตวงยาด้วยช้อนกาแฟที่ใช้ตามบ้าน

ที่มา: http://www.dailynews.co.th/know.asp



กินไข่ปลอดภัย ไม่ต้องกลัวไข้หวัดนก

ต่อไปนี้จะกินไข่แต่ละครั้งก็ไม่ต้องกลัวไข้หวัดนกอีกแล้ว จากการยืนยันของนักวิจัยไทยคนเก่งที่ชื่อ รองศาสตราจารย์นายสัตวแพทย์ ดร.ทวีศักดิ์ ส่งเสริม นักวิจัยจากภาคพยาธิวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ หาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

เพราะจากผลการศึกษาวิจัย พบว่าเชื้อไข้หวัดนกที่ติดมากับเปลือกไข่จะถูกทำลายภายใน 1 วัน เนื่องจากช่วงที่แม่ไก่ได้รับเชื้อไวรัสไข้หวัดนก ตั้งแต่ระยะฟักตัวของเชื้อฯ จนถึงระยะแสดงอาการป่วย แม่ไก่จะเบื่ออาหาร เมื่อกินไม่ได้ตามปกติก็จะไม่วางไข่ แม้แต่ตัวที่ยังให้ไข่ได้อยู่ ดังนั้นแม้จะมีเชื้อติดมากับมูลไก่บนเปลือกไข่ แต่เชื้อก็จะสลายไปเองภายใน 1 วัน

ส่วนมูลไก่ที่ติดเชื้อฯ ถ้าอยู่ในอุณหภูมิ 33-35 องศาเซลเซียสจะถูกทำลายภายใน 30 นาที ส่วน ภาวะของเชื้อไข้หวัดนกในอาหารที่ทำจากผลิตภัณฑ์สัตว์ปีก ได้ทดลองโดยการนำเชื้อไข้หวัดนกในปริมาณสูงที่ทำให้แม่ไก่ตายใน 3 วัน ฉีดเข้าไปในไข่ดิบ เนื้อไก่ หรือเนื้อเป็ด ที่หันเป็นชิ้นพอคำ จากนั้นนำไปทำไข่ต้ม (ต้มสองนาทีในน้ำเดือด) ไข่ดาว(ยางมะตูม) ไข่ลวก(ลวกในน้ำที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส) ไก่ต้ม ไก่ทอด และผัดกระเพราไก่ ปรากฏว่า ไม่พบเชื้อไข้หวัดนกหลงเหลืออยู่ในอาหาร

ทั้งนี้ รองศาสตราจารย์นายสัตวแพทย์ ดร.ทวีศักดิ์ ส่งเสริม ทวีศักดิ์ ยืนยันว่า การปรุงอาหารให้สุกตามปกติในเมนูอาหารแบบไทย ๆ สามารถทำลายเชื้อไข้หวัดนกได้ทั้งหมด ในกรณีผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดนกนั้น มีสาเหตุหลักมาจากการไปสัมผัสกับสัตว์ปีกที่ติดเชื้อฯ หรืออุจจาระสัตว์ปีกที่มีเชื้ออยู่ หรือติดเชื้อระหว่างการชำแหละ แต่ไม่ได้ติดเชื้อจากการรับประทานสัตว์ปีกที่ปรุงสุกแล้ว

ที่มา: http://www.dailynews.co.th/col/col.asp?columnid=15736(140148)



เรือดำน้ำลำแรกฝีมือไทย

กระทรวงกลาโหมร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ฯ พัฒนาเรือดำน้ำลำแรกของไทย เผยจุผู้โดยสาร 5 คน ดำน้ำลึก 50 เมตร ขานรับภารกิจสำรวจใต้ทะเลและการท่องเที่ยว คาด 3 ปีเสร็จสมบูรณ์

รศ.ดร.สาโรช ตั้งจิตธรรม นักวิชาการภาควิชากลศาสตร์ประยุกต์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันโพลีเทคโนโลยีมลรัฐเวอร์จิเนีย และที่ปรึกษาโครงการสมองไหลกลับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า
สวทช.ร่วมกับกระทรวงกลาโหมและบริษัท ยูนิไท ชิพยาร์ด จัดทำโครงการวิจัยสร้าง "ยานใต้น้ำ" เพื่อสำรวจใต้น้ำในทะเลไทย และกิจกรรมท่องเที่ยวใต้น้ำ โดยใช้งบประมาณ 30 ล้านบาท จากกระทรวงกลาโหม 25 ล้านบาท ส่วนที่เหลือได้จาก สวทช. ส่วนภาคเอกชนจะเป็นผู้ลงมือสร้าง โดยเริ่มตั้งแต่การออกแบบโครงสร้าง จนถึงการสร้างเรือดำน้ำเต็มรูปแบบ ซึ่งนอกจากจะได้เรือดำน้ำแล้ว สิ่งสำคัญคือองค์ความรู้ในการสร้างเรือดำน้ำ ซึ่งสามารถต่อยอดสู่อุตสาหกรรม และการซ่อมบำรุงเรือดำน้ำในอนาคต เพื่อรองรับอุตสาหกรรมต่อเรือดำน้ำ

ทั้งนี้ โครงการจะใช้เวลาดำเนินการ 3 ปี โดย รศ.ดร.สาโรช เป็นที่ปรึกษาด้านการออกแบบ เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญด้านกลศาสตร์ และทำงานคลุกคลีกับผู้ชำนาญการสร้างเรือดำน้ำ ซึ่งต้องอาศัยซอฟต์แวร์ในการสร้างแบบจำลองโดยเฉพาะ โดยเบื้องต้นบริษัท ยูนิไท สามารถสร้างต้นแบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนทดสอบระบบขับเคลื่อน ก่อนการสร้างเรือดำน้ำขนาดจริง สำหรับเรือดำน้ำดังกล่าวมีขนาดความยาว 8.05 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.80 เมตร บรรทุกผู้โดยสาร 2-5 คน ความเร็วใต้น้ำประมาณ 5 นอต ดำน้ำลึกไม่เกิน 50 เมตร อยู่ใต้น้ำได้นาน 3-5 ชั่วโมง ประกอบไปด้วยระบบการทำงานหลักที่สมบูรณ์และระบบปฏิบัติการอิสระ อาศัยพลังงานจากแบตเตอรี่ "การทำเรือดำน้ำเป็นโครงการที่ท้าทายสูง แม้ไม่ใช่เรือดำน้ำขนาดใหญ่ แต่สามารถใช้การได้จริง อีกทั้งได้รับความรู้พื้นฐานสำหรับการสร้างเรือดำน้ำและซ่อมบำรุง แถมยังช่วยลดการนำเข้าไม่ต่ำกว่าร้อยล้านบาท" รศ.ดร.สาโรช กล่าว

ที่มา กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 12 มกราคม 2549 10:56 น. http://www.bangkokbiznews.com/2006/01/14/s001_67566.php?news_id=67566



ข้าวหอมพื้นเมืองไทยกับการแปรรูป

ปัจจุบันข้าวหอมพื้นเมืองไทยนอกจากจะแปรรูปเป็นอาหาร เช่นข้าวเม่า ข้าวหมาก ขนมจีน และขนมขบเคี้ยวต่างๆแล้ว ยังสามารถแปรรูปเป็นเครื่องดื่มธัญพืชเพื่อสุขภาพ เช่น น้ำข้าวกล้อง หรือเครื่องดื่มที่ผ่านกรรมวิธีการหมักให้เกิดแอลกอฮอล์ เช่น เบียร์ หรือนำส่วนผสมที่ผ่านการหมักแล้ว ไปกลั่นแยกเอาแอลกอฮอล์ออกมาเป็นเครื่องดื่ม เช่น สุรา และเบียร์

ข้าวหอมที่นิยมนำไปหมักทำเบียร์ และเอาไปหมักทำอุหรือกระแช่ได้ ได้แก่ ข้าวหอมพันธุ์พื้นเมืองไทยพันธุ์หอมดอ ที่มีแหล่งปลูก ได้แก่สกลนคร อุดรธานี นอกจากนี้พันธุ์พิเศษบางพันธุ์ ที่นิยมนำมาแปรรูปเป็นเหล้าสาเก ที่นิยมดื่มกันมากในญี่ปุ่น

จึงมีบางบริษัท ตั้งโรงงานเหล้าสาเกขึ้นมา และมีการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกข้าวพันธุ์นี้อย่างกว้างขวาง ทางภาคเหนือของไทยหลายจังหวัด รอบๆบริเวณที่ตั้งโรงงานมีการประกันราคารับซื้อผลผลิตจากเกษตรกร ที่เข้าร่วมโครงการทั้งหมดเพื่อนำผลผลิตเป็นวัตถุดิบ ป้อนโรงงานผลิตเหล้าสาเก ทำให้เกษตรกรสนใจเข้าร่วมโครงการปลูกข้าวพันธุ์นี้ส่งโรงงานกันมาก เพราะได้ราคาดีและลดความเสี่ยงด้านความผันผวนของราคา

ที่มา : จดหมายข่าวผลิใบ กรมวิชาการเกษตร http://www.dailynews.co.th/agriculture/each.asp?newsid=7921



ความลับของกาแฟมูลชะมด

มีเรื่องเหลือเชื่อที่จะบอกว่า กาแฟที่แพงที่สุดในโลกนั้นเป็นกาแฟที่ได้จากการคุ้ยเขี่ยกองมูลชะมด ณ วันนี้ความลับของกาแฟที่ผู้คนตามหามากที่สุดในโลก ที่ถูกเล่าขานจนกลายเป็นตำนาน ได้ถูกเปิดเผยแล้ว

การค้นพบกาแฟ โกปิลูแว็ก (kopi luwak เป็นคำพื้นเมืองของอินโดนีเซีย kopi แปลว่า กาแฟ ส่วน luwak หมายถึง ตัวชะมด) ที่ทั้งหายากและแพงที่สุดนี้ นับได้ว่าเป็น ผลงานชิ้นโบแดงของแมสซีโม มาร์โคน เลยทีเดียว กาแฟชนิดนี้ได้มาจากเมล็ดกาแฟ ที่ตัวชะมดซึ่งมีหน้าตาคล้ายแมว ถ่ายออกมาพร้อมมูล หลังจากที่กินผลกาแฟสุกเข้าไป ซึ่งมาร์โคนได้ศึกษาว่าเมล็ดกาแฟโกปิลูแว็ก มีสารเคมีที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากกาแฟอื่น อีกทั้งยังได้พิสูจน์แล้วว่าชะมดกินเมล็ดกาแฟ และถ่ายออกมาพร้อมมูลจริงๆ

ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าบรรดาคนที่ ยังสงสัยเรื่องนี้อยู่ อยากจะให้มันเป็น เพียงแค่นิยายปรัมปรา ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อนึกไปถึงการดื่มกาแฟที่ต้องไปคุ้ย ออกมาจากกองมูลของสัตว์ ก็ดูจะไม่น่า พิศมัยนัก อย่างไรก็ตาม ว่ากันว่ากาแฟ ชนิดนี้มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ถึง ขนาดที่มีนักดื่มกาแฟ ที่ต้องการจะลองลิ้มชิมรสมาก จนต้องเข้าคิวรอกันเป็นปีๆ เนื่องจากจะมีการผลิตกาแฟโกปิลูแว็กในปริมาณเพียงแค่ 230 กิโลกรัมต่อปีเท่านั้น ส่วนราคาก็พลอยสูงตามไปด้วยถึง 1,000 เหรียญฯต่อกิโลกรัม ซึ่งนับว่ามีราคาแพงกว่ากาแฟที่แพงเป็นอันดับสองถึงสิบเท่า

จอร์จ กูทรี พ่อค้ากาแฟของฮอล์แลนด์คอฟฟีในเมืองสปาร์ตา รัฐนิวเจอร์ซีกล่าวว่า “มีกาแฟชนิดนี้ไม่เยอะมากนักหรอก อีกทั้งยังมีราคาแพง
และไม่มีความแน่นอนอีกต่างหาก บางครั้งก็อาจจะได้มาสองสามกิโล หรือบางทีก็ต้องรอกันเป็นเดือนๆ หรือไม่ได้เลยก็มี”

เรื่องราวของกาแฟโกปิลูแว็กนี้ย้อนกลับไปได้เมื่อประมาณ 200 ปีที่แล้ว ตอนที่ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวดัตช์เริ่มปลูกกาแฟบนเกาะชวา สุมาตราและ สุลาเวสี ซึ่งทั้งหมดตอนนี้คือดินแดนประเทศอินโดนีเซีย เกาะเหล่านี้เป็นที่อยู่ของชะมดซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Paradoxurus hermaphroditus และเป็นสัตว์ตระกูลเดียวกับแมว โดยอาศัยอยู่ตามต้นไม้ กินผลไม้ แมลงและสัตว์ขนาดเล็กเป็นอาหาร ชะมดที่อาศัยอยู่บนเกาะเหล่านี้ จึงเริ่มกินเมล็ดกาแฟสุกเป็นอาหาร ส่วนคนงานผู้ถือคติ “อย่าทิ้งไว้ให้เสียของ” ก็เก็บเมล็ดกาแฟที่อยู่ในกองมูลชะมดกลับมาด้วย จนในที่สุดก็มีคนรับรู้ถึงรสชาติที่ไม่เหมือนใครของกาแฟชนิดนี้ หลังจากนั้นกาแฟแบบใหม่ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น

มาร์โคนเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง โดยการพิสูจน์ สิ่งแรกที่เขาจะต้องทำก็คือหาให้ได้ก่อนว่าเมล็ดกาแฟนี้มีอะไร ที่แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องกับการทำงาน ของกระเพาะอาหารหรือไม่ หลังจากที่เขาใช้กล้องกำลังขยายหมื่นเท่าส่องดู ก็พบบางอย่างบนพื้นผิวตรงร่องเมล็ดกาแฟที่เมล็ดกาแฟอื่นๆ ซึ่งปลูกในบริเวณเดียวกันของแคว้นสุมาตราไม่มี จึงค่อนข้างจะเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าต้นเหตุมาจากการย่อยของเอนไซม์ อย่างไรก็ตาม ร่องบนผิวเมล็ดกาแฟนี้ก็ไม่ได้เป็นตัวการที่ทำให้รสชาติกาแฟเปลี่ยนไป มาร์โคนจึงสงสัยต่อไปว่าเอนไซม์จะมีผลถึงข้างในเมล็ดกาแฟด้วยหรือเปล่า ซึ่งผลที่ได้ก็แสดงให้เห็นถึงสัญญาณการแตกตัวของโปรตีนในเมล็ดกาแฟโกปิลูแว็กที่ไม่มีในเมล็ดกาแฟอื่น มาร์โคนกล่าวว่าการแตกตัวนี้ อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้กาแฟนี้มีรสชาติไม่เหมือนใคร

มาร์โคนยังเชื่ออีกด้วยว่าทางเดินอาหารของชะมด ทำหน้าที่เหมือนกับขั้นตอนการแปรรูปเมล็ดกาแฟ ที่เรียกว่าการทำกาแฟด้วยวิธีเปียก คือแทนที่จะนำเมล็ดกาแฟไปตากแห้งโดยอาศัยความร้อนจากแสงแดด กลับนำไปล้างน้ำแล้วหมักทิ้งไว้ 12 - 36 ชั่วโมง กาแฟที่ได้จากกระบวนการนี้ จะมีรสชาติดีกว่ากาแฟตากแห้ง ซึ่งเชื่อกันว่ากระบวนการดังกล่าวก็เหมือนกับกระบวนการหมัก มาร์โคนบอกว่าดูเหมือนลำไส้ของชะมดจะทำหน้าที่เป็นเครื่องหมัก แบบธรรมชาติไปเสียแล้ว แถมยังมีแบคทีเรียที่ผลิตกรดแล็กติก ซึ่งเป็นกรดชนิดเดียวกับที่ใช้ในการทำกาแฟด้วยวิธีเปียกอยู่อีกด้วย

แปลและเรียบเรียงจาก Bean there, dungthat, NewScientist, 16 October 2004 โดย... บราลี สุคนธรังษ Udate magazine online ฉบับ 222 มีนาคม 2549 http://update.se-ed.com/222/kopi-luwak.htm(20/03/49)



ญี่ปุ่นยินดีกับความสำเร็จทดลองระบบป้องกันขีปนาวุธ

นายกรัฐมนตรีจุนอิชิโร โคอิซูมิ ของญี่ปุ่น กล่าวแสดงความยินดีต่อความสำเร็จ ในการทดสอบจรวดต่อต้านขีปนาวุธ ซึ่งพัฒนาร่วมกับสหรัฐ นายโคอิซูมิ กล่าวว่า ความสำเร็จแสดงถึงเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น และต้องการเห็นโครงการนี้ เดินหน้าต่อไป

สำนักงานป้องกันภัยขีปนาวุธของสหรัฐกล่าวว่า จรวดเอสเอ็ม-3 รุ่นปรับปรุงใหม่ ถูกยิงขึ้นมาจากเรือลาดตระเวนชั้นอีจิสที่ลอยลำอยู่นอกชายฝั่งเกาะฮาวาย เมื่อวันพุธที่ผ่านมา จรวดลูกนี้มีญี่ปุ่นร่วมพัฒนาในส่วนของกรวยหัว ซึ่งสามารถดีดตัวออกจากจรวดขับดัน ตามโปรแกรมที่ตั้งไว้โดยไม่ผิดพลาด
การทดสอบครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งในการวิจัยร่วมด้านกลาโหม ระหว่างสองประเทศที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2542 หลังจากเกาหลีเหนือสร้างความตกตะลึง ด้วยการยิงขีปนาวุธข้ามญี่ปุ่นไปตกที่มหาสมุทรแปซิฟิก

นายชินโซ อาเบะ หัวหน้าคณะเลขาธิการคณะรัฐมนตรี กล่าวว่า ความสำเร็จครั้งนี้พิสูจน์ความเชื่อมั่นในโครงการร่วมพัฒนาระบบป้องกันขีปนาวุธข้ามทวีปกับสหรัฐ ขณะเดียวกันมีรายงานว่าในขณะที่ญี่ปุ่นและสหรัฐประสบความสำเร็จในการทดลองระบบจรวดต่อต้านขีปนาวุธ แต่ในฝั่งเกาหลีเหนือมีการทดลองขีปนาวุธ พิสัยใกล้ครั้งใหม่ 2 ครั้ง แต่นายอาเบะ ระบุว่า การทดลองครั้งนี้ไม่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของญี่ปุ่น

ที่มา: สำนักข่าวไทย 2006-03-09



สหรัฐฯพัฒนายานพาหนะใช้พลังงานไฮโดรเจนเชิงพาณิชย์



กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ประกาศให้เงินทุนวิจัยถึง 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วง 4 ปีข้างหน้านี้ วัตถุประสงค์เพื่อเอาชนะอุปสรรคในการผลิตยานพาหนะขับเคลื่อนด้วย พลังงานไฮโดรเจนให้สามารถผลักดันยานพาหนะดังกล่าวออกสู่ตลาดในปี พ.ศ. 2563

อุปสรรคทางเทคนิคที่พบได้แก่ การผลิตเยื่อหุ้มเซลล์เชื้อเพลิง (fuel-cell membranes) ระบบการถ่ายเทของน้ำภายในเซลล์เชื้อเพลิง (water transport within the stack) การพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยาขั้วลบ (advanced cathode catalysts) และชิ้นส่วนอื่นๆที่ประกอบกัน รวมไปถึงวิธีลดการปนเปื้อน ของเซลล์เชื้อเพลิงซึ่งจะทำให้ใช้เชื้อเพลิงได้ยาวนานและมีประสิทธิภาพ

เซลล์เชื้อเพลิง ( fuel cell) เป็นอุปกรณ์ที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมี-ไฟฟ้า ระหว่างออกซิเจนกับไฮโดรเจน ซึ่งสามารถเปลี่ยนเชื้อเพลิงไปเป็นพลังงานไฟฟ้าโดยตรง ไม่ต้องผ่านการเผาไหม้ ไม่ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เช่นเซลล์เชื้อเพลิงชนิดอื่น ๆ ทำให้เครื่องยนต์ที่ใช้เซลล์เชื้อเพลิงนี้ไม่ก่อมลภาวะทางอากาศ นอกจากจะได้พลังงานไฟฟ้าหลังการเกิดปฏิกิริยาในเซลล์ แล้วก็จะได้น้ำบริสุทธิ์ และพลังงานความร้อนไว้ใช้ตามความเหมาะสมด้วย ราคาของยานยนต์ดังกล่าวยังแพงอยู่ ทั้งนี้เพราะราคาของเยื่อหุ้มเซลล์เชื้อเพลิง (membrane) และสารเร่งปฏิกิริยา (catalyst materials) ยังมีราคาแพงอยู่ในปัจจุบัน รวมไปถึงปฏิกิริยานี้ใช้อุณหภูมิสูงมาก

ทางเลือกในตอนนี้ได้แก่เยื่อหุ้มโพลิเมอร์ ( polymer membrane ) หรือเยื่อหุ้มเซลล์เชื้อเพลิงจากไฮโดรคาร์บอน ซึ่งปฏิบัติงานได้ที่อุณหภูมิ 95 องศาเซลเซียส เยื่อหุ้มชนิดอื่นๆนั้นแค่อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งหรือสูงถึง 80 องศาเซลเซียสก็มีข้อบกพร่องแล้ว ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตรถยนต์หลายๆแห่งเช่น ฮอนดา ไครสเลอร์ เจเนอรัลมอเตอร์ ฯลฯ ได้คิดค้นพัฒนารถยนต์ต้นแบบเครื่องยนต์ที่ใช้เซลล์เชื้อเพลิงอยู่

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานสหรัฐฯแถลงว่าจะคัดเลือกโครงงาน 12 แบบเพื่อมอบเงินทุนจำนวน 19 ล้านเหรียญสหรัฐฯในการวิจัยใน 5 ปีข้างหน้านี้โดยมุ่งเน้นเรื่องการวิจัยเยื่อหุ้มเชื้อเพลิงโพลิเมอร์ ให้ทนทานตลอดอายุการใช้งานและลดค่าใช้จ่าย

From left to right: Mazda Begins Leasing Hydrogen Dual-Fuel Rotary, GM Downsizes Diesel in Meriva and Fiat in Test Program With Panda Hydrogen

ที่มา : Chemical & Engineering ฉบับวันที่ 30 มกราคม 2549 และข้อมูลจาก http://www.howstuffworks.com/fuel-cell 2. htm ) ,http://www.thaiembdc.org/index.htm(20 /03/ 49)



เตือนคนชอบฟังเพลงดัง ทำการได้ยินบกพร่อง

กระแสของเครื่องฟังเพลงแบบพกพา โดยเฉพาะเครื่องเล่นเอ็มพี 3 กำลังเฟื่องฟูสุดขีด ที่ทำยอดขายไอพอดทุกเวอร์ชั่นไปแล้วมากกว่า 40 ล้านเครื่องทั่วโลก บ่งบอกถึงความฮิตอินเทรนด์ของ "เครื่องฟังเพลง" ในยุคนี้ได้เป็นอย่างดี

แต่ทว่าท่ามกลางการแข่งขันในตลาดที่เติบโตขึ้นทุกปี ทั้งในเรื่องดีไซน์ และคุณภาพเสียง กลับมีผลสำรวจที่ชี้ว่า เครื่องฟังเพลงในยุคโมเดิร์นนี้ มีอันตรายต่อประสาทรับฟังมากขึ้นกว่าเดิม

สมาคมการพูดและการฟังแห่งสหรัฐอเมริกา (เอเอสเอชเอ) เผยผลสำรวจการฟังเพลงจากหูฟังว่า เด็กวัยรุ่นมากกว่าครึ่งไม่ได้ให้ความสนใจว่า เครื่องเล่นเอ็มพี 3 จะทำลายระบบรับฟังหรือไม่ ผลการสำรวจยังชี้ว่า เด็กวัยรุ่นที่ยังอยู่ในวัยเรียนกว่า 28% และคนรุ่นโต 26% ต้องปรับระดับเสียง จากโทรทัศน์หรือวิทยุเพิ่มขึ้น ขณะที่เด็กวัยรุ่นจำนวน 29% มีปัญหาทางการได้ยินระหว่างการสนทนาตามปกติ จนต้องพูดว่า "อะไรนะ" ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เอเอสเอชเอ แนะนำว่า ควรจะฟังเพลงในระดับเสียงที่เบาลง และในระยะเวลาที่สั้นลง หรือไม่ก็หาซื้อเอียร์บัด หรือที่กรองเสียงมาสวมทับเพื่อหลีกเลี่ยงเสียงที่ดังจนทำลายระบบการได้ยิน

อเล็กซ์ จอห์นสัน ประธานสมาคมเอเอสเอชเอ กล่าวว่า สาเหตุของการบกพร่องทางการได้ยินยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ผลสำรวจก็แสดงให้เห็นว่า ผู้คนฟังเสียงที่ดังขึ้นและยาวนานขึ้น นั่นเป็นเพราะถูกทำลายระบบการได้ยินไปบางส่วน

จอห์นสัน ซึ่งเป็นศาสตราจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเวนย์ สเตท กล่าวด้วยว่า อเมริกันชนวัยกลางคนกว่า 22 ล้านคนที่มีอายุระหว่าง 20 ถึง 69 ปี มีปัญหาในการได้ยิน เพราะฟังเสียงดังเกินระดับติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน

ไมค์ เฟอร์กูสัน ส.ส.พรรครีพับริกันจากนิวเจอร์ซีย์ ได้ยกย่องนวัตกรรมเอ็มพี 3 และเทคโนโลยีเพลงอื่นๆ แต่กระนั้นไมค์ก็ระบุว่า ควรจะมีการศึกษาค้นคว้า เพื่อความปลอดภัยมากกว่านี้

ด้านสถาบันสาธารณสุขสหรัฐเห็นด้วยกับผลสำรวจดังกล่าว พร้อมกับต้องการให้เอเอสเอชเอ ทำการวิจัยถึงผลเสียของการใช้หูฟัง และหาสาเหตุของการบกพร่องทางการได้ยินอย่างชัดเจน

สำหรับในเมืองไทยเอง ตลาดเครื่องเล่นเอ็มพี 3 แบบพกพา ทั้งไอพอดหรือยี่ห้ออื่น ก็กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน แต่ขณะนี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหวในการป้องกันอันตรายจากการฟังเพลงแต่อย่างใด หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจจะรอให้ลูกค้า ที่หูแทบหนวกร้องเรียนก่อนแล้วล้อมคอกกัน หรือราคาชีวิตคนไทยนั้นต่ำเตี้ยกว่าชาติอื่นก็ไม่ทราบได้

ที่มา : http://content.kapook.com/content/publish/article_38609.shtml
ภาพ :หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์




ยานอวกาศสำรวจดาวอังคารเข้าสู่วงโคจรสำเร็จ

เจ้าหน้าที่องค์การบริหารการบิน และอวกาศแห่งชาติสหรัฐ หรือนาซา ต่างส่งเสียงดีใจตาม ๆ กัน หลังจากยานสำรวจดาวอังคาร มูลค่า 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 18,000 ล้านบาท สามารถเข้าสู่วงโคจรดาวอังคารได้สำเร็จ เมื่อวานนี้ตามเวลาสหรัฐ

หลังจากนี้ยานอวกาศจะโคจรรอบดาวอังคาร 500 รอบ เป็นเวลา 6 เดือน เพื่อส่งข้อมูลดาวอังคารที่ดีกว่าข้อมูลก่อนหน้านี้ถึง 10 เท่า กลับมายังโลก รวมทั้งสำรวจหาพื้นที่เหมาะสม สำหรับการลงจอดของยานอวกาศที่มีมนุษย์เดินทางไปด้วย

การส่งยานสำรวจอวกาศเข้าสู่วงโคจรของดาวอังคาร นับว่ายากลำบากมาก ยานสำรวจดาวอังคารของนาซา 2 จาก 4 ลำ ก่อนหน้านี้หายสาบสูญไประหว่างการเดินทางสู่วงโคจรดาวอังคาร ยานสำรวจอวกาศลำนี้ออกเดินทางจากโลกเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว และเคลื่อนทางสู่ดาวอังคารด้วยความเร็ว 17,600 กิโลเมตรต่อชั่วโมง.

ที่มา: สำนักข่าวไทย 2006-03-11 : 12:16:13



วว. เจ๋งพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากสมุนไพรไทย…..ป้องกันโรคตับ

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ประสบความสำเร็จในการพัฒนา “ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากสมุนไพรไทย…..ป้องกันโรคตับ” ออกฤทธิ์ป้องกันการทำลายของเซลล์ตับ หรือบำรุงรักษาตับ ระบุประสิทธิผลยอดเยี่ยม มีความปลอดภัยสูง พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่หน่วยงานภาครัฐ/เอกชน เพื่อนำไปผลิตเชิงพาณิชย์

ดร.นงลักษณ์ ปานเกิดดี ผู้ว่าการ วว. ชี้แจงว่า จากการที่ วว.ได้ดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากพืชสมุนไพรไทยออกฤทธิ์ป้องกันโรคตับ โดยได้นำหลักการเดียวกับการวิจัยของประเทศอินเดียมาประยุกต์ใช้ เพื่อช่วยการลดระยะเวลาและขั้นตอนในการทำการวิจัยเกี่ยวกับสมุนไพรได้เป็นอย่างดี ขณะนี้ วว. ประสบความสำเร็จในการพัฒนา “ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากสมุนไพรไทย…ป้องกันโรคตับ” เป็น 2 ชนิด คือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Livetal-D ที่ช่วยบำรุงและป้องกันพิษจากสารเคมีต่อตับ และ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Livetal ที่ช่วยในการบำรุงและป้องกันพิษจากแอลกอฮอล์ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนำมาใช้ร่วมกับยาเพื่อรักษา หรือช่วยให้ตับแข็งแรงโดยไม่มีผลข้างเคียงเช่นเดียวกับยาสังเคราะห์ จึงนับเป็นทางเลือกใหม่ สำหรับป้องกันโรคตับอย่างมีประสิทธิผลและความปลอดภัยสูง

ดร.ชุลีรัตน์ บรรจงลิขิตกุล นักวิชาการประจำฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ วว. ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ในการวิจัยครั้งนี้ วว. ได้ประยุกต์หลักการของประเทศอินเดียมาใช้ โดยขั้นตอนของการวิจัยเริ่มจากการคัดเลือกพืชสมุนไพรที่มีฤทธิ์ในการป้องกันโรคตับ และนำสารสกัดหยาบที่ได้จากพืชแต่ละชนิดไปทดสอบฤทธิ์ ในการป้องกันการทำลายเซลล์ตับที่เกิดจากสารเคมี กระตุ้นการสร้างเซลล์ตับใหม่ขึ้นทดแทนเซลล์ที่ถูกทำลายและการเพิ่มการหลั่งของน้ำดี ผลจากการคัดเลือกปรากฏว่า พืชสมุนไพร 3 ชนิด ได้แก่ พริกไทย ผักบุ้ง และขมิ้นชัน ให้ผลในการป้องกันโรคตับได้ดี จากนั้นจึงนำสารสกัดจากพืชสมุนไพรทั้ง 3 ชนิดที่มีฤทธิ์เสริมกัน มาผสมในอัตราส่วนที่เหมาะสม และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดเม็ดดังกล่าว พร้อมกับทดสอบฤทธิ์ในการป้องกันการถูกทำลายของตับจากสารเคมี กระตุ้นการสร้างเซลล์ตับ และเพิ่มการหลั่งน้ำดีของผลิตภัณฑ์

ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ยังไม่มีจำหน่ายในท้องตลาด ขณะนี้ วว. อยู่ในระหว่างรอบริษัทเอกชนมารับการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อนำไปผลิตในเชิงพาณิชย์ต่อไป สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ วว. เทคโนธานี คลอง 5 จ.ปทุมธานี โทร. 0 2 577 9106 ในวันและเวลาราชการ

ที่มา : สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย 09-03-2006 09:39 http://www.tistr.or.th/tistr2006/newsboard/show.php?Category=newsboard&No=38




ตะลึงปลาการ์ตูน ถูกจับเกลี้ยงทะเล



เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2549 ดร.ธรณ์ ธำรงค์นาวาสวัสดิ์ นักวิชาการประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่า ได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านในหมู่บ้านชาวเล จ.ตรัง ว่าขณะนี้มีการลักลอบจับปลาสวยงามในพื้นที่หมู่เกาะอาดัง ราวี เกาะตะรุเตา เกาะแหวน เกาะกระดาน ซึ่งพื้นที่ทั้งหมดล้วนอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเล ปลาที่ถูกลักลอบจับกันมากนั้นคือ ปลาการ์ตูน และปลาสิงห์โต โดยมีพ่อค้าจากต่างถิ่นเข้ามาว่าจ้างชาวบ้านในพื้นที่ในการจับ วิธีการจับ คือ ดำน้ำลงไปช้อนแล้วนำใส่ถุง ไปเก็บไว้ในอ่างสำหรับอนุบาลลูกกุ้ง ซึ่งมีหลายแห่งที่เปิดไว้บังหน้า แต่ความจริงแล้วไม่มีลูกกุ้ง จะมีแต่ปลาการ์ตูน และปลาสวยงามอื่นๆ เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีรายงานจากมูลนิธิช่วยชีวิตสัตว์ป่าและตำรวจที่ตั้งด่านตรวจจับของผิดกฎหมายพบว่า ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา ตรวจจับรถบรรทุกที่ลักลอบขนปลาสวยงามผิดกฎหมายจำนวนมากคือ สัปดาห์ละ 30-40 ลัง แต่ละลังพบว่ามีปลาการ์ตูนอยู่ประมาณ 100 ตัว

และเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้ผมลงไปดำน้ำที่ อาดัง-ราวี ในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา ปรากฏว่าทั้งเกาะไม่มีปลาการ์ตูนเหลืออยู่เลยแม้แต่ตัวเดียว มีแต่ดอกไม้ทะเลชูคอกันสลอน ซึ่งปกติแล้วปลาการ์ตูนและดอกไม้ทะเลจะอาศัยอยู่ด้วยกัน และเมื่อชาวบ้านไปร้องเรียนการลักลอบจับปลาดังกล่าวกับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ กลับมีการโยนความรับผิดชอบกันไปมา ระหว่างกรมอุทยานแห่งชาติทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) และกรมประมง ถึงหน้าที่ในการดำเนินการจับกุม ผลก็คือ ปลาการ์ตูนหายไปจนหมดทะเลตรังเสียแล้ว" ดร.ธรณ์กล่าว

ดร.ธรณ์กล่าวว่า ปลาการ์ตูนเหล่านี้เกือบทั้งหมดถูกนำไปขายให้อะควาเรียม คือ ทางอะควาเรียมเป็นผู้สั่งซื้อ เพราะขณะนี้มีอะควอเรียมน้อยใหญ่ผุดขึ้นตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ ราวกับดอกเห็ด แต่ละวันจะมีปลาตัวเล็กภายในอะควอเรียมตายจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงต้องหาปลามาเปลี่ยนทุกวัน" และว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้มงวดกวดขัน เพราะหากปล่อยไว้เช่นนี้ปลาการ์ตูนและปลาสวยงามชนิดๆ จะหมดไปจากแนวปะการังทุกแนวในประเทศไทย

ที่มา http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01p0121200349&day=2006/03/20 ภาพ http://www.nemotour.com/nemo.htm, www.thairath.co.th






Presented by
Digital Library Team | e-mmet@lib.kmutt.ac.th