หัวข้อข่าวปีที่ 5 ฉบับที่ 28 ประจำวันที่ 2004-07-12

ข่าวการศึกษา

จี้อดิศัยประกาศสัดส่วนGPAให้เด็กมีเวลาเตรียมตัว
สกอ.เผยปฏิทินสอบวัดความรู้เดือน ต.ค.47 ทปอ.เร่ง "อดิศัย" ขอคำตอบทบทวนจีพีเอ ย้ำชัดปี 49 ใช้แอดมิชชั่นแน่
แฉ3รูปแบบให้คนอื่นทำวิทยานิพนธ์ป.โท ใช้ของเก่ารีไซเคิลเปลี่ยน"ปก-ชื่อ"ก็จบได้
"ภาวิช"จี้ ทปอ.ถือธงนำอุดมศึกษาแยกตั้งเป็นกระทรวง
นร.เฮ "อดิศัย" ตัดสินใช้จีพีเอ 5%-พีอาร์ 5% "ภาวิช" สั่งตีพิมพ์ระเบียบสอบวัดความรู้ทันที
ม.เอกชนหนุนจัดอันดับ สถาบันตามสาขาวิชา
เชิญชวนนักศึกษาตรี-โท เข้าค่ายแสงซินโครตรอน
ไทยเล็งดึง"ลีกวนยู"โชว์วิสัยทัศน์ให้อธิการบดี
"อดิศัย" ชี้ ทปอ.เดินผิดทางแยกอุดม
หัวกะทิชีววิทยา ชิงชัยเวทีโอลิมปิกวิชาการ
วช.ปั๊มนักวิจัยสนองงานไฮเทค ตั้งเป้าผลงานตีพิมพ์ระดับโลก
อาชีวะจับมืออุตฯ ทำเกณฑ์วิชาชีพ ชงครม.พิจารณา
ประเทศไทยร่วมพัฒนาเยาวชน สู่โครงการเด็กอัจฉริยะเอเปค
"ทปอ."เดินหน้าเสนอตั้ง"ก.อุดมฯ" อ้างคล่องตัวรับเปิดเสรีการศึกษา

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

เปิดโลกวิทยาศาสตร์สำหรับเยาวชน
สัมผัสดาวเสาร์
ไมโครซอฟท์ทำเว็บmsnไทย
เฟ้นเด็กวิทย์ดูงานชีวภาพอินเดีย
เครื่องพิมพ์แห่งอนาคต สั่งพิมพ์ภาพจากจอทีวี
ฮับเบิลพบดาวเคราะห์ใหม่ 100 ดวง วนรอบดวงอาทิตย์เหมือนระบบสุริยะ
คลื่นวิทยุอ่านรหัสแทนบาร์โค้ด

ข่าววิจัย/พัฒนา

ระบบทำความเย็นเพื่อรักษาความสดของพืชผัก
ย่อยขยะแบบไร้อากาศ เทคโนโลยีลดขยะ-สร้างพลังงานสะอาด
สร้างแบบจำลองไวรัสเด็งกี่ ช่วยยับยั้งการแพร่ระบาด
จานไถจากเทคโนโลยีคอมพ์ฯสนองความต้องการเกษตรกร
เรดาร์ทะลุทะลวงกำแพง ช่วยค้นหาเหยื่อในอาคาร
เอ็มเทคหนุนวิจัยเทคโนโลยีสะอาด
มจธ.ออกแบบบ้านพลังงานธรรมชาติ ชี้จุดเด่นไม่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เดินหน้าถ่ายทอดเทคโนโลยี
เครื่องตัดหญ้า "แบบวางราย" เงียบ-นิ่งฝีมือ นศ.ราชมงคลคลอง 6
วิจัยสร้างเครื่องมือแพทย์ราคาประหยัด
ชี้ชะเอม-อบเชยฆ่าเชื้อในผึ้ง ไร้สารพิษส่งผลดีต่อผู้บริโภค
เคี้ยวแอปเปิลวันละไม่ต่ำกว่า 2 ผลไว้ชนป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหาร
วิจัยพลาสติกผสมน้ำยางพารา ทดแทนยางสังเคราะห์นำเข้า
อังกฤษพัฒนาครีมกันแดดดูแลลึกถึงดีเอ็นเอ
วช.อนุมัติ310ล้านวิจัยเครื่องมือแพทย์-ยา
มจธ.คิดค้นวิธีอบแห้งยีสต์สายพันธุ์ไทย
สบู่ถ่านภูมิปัญญาพื้นบ้านที่เริ่มถูกลืม
ผู้ป่วยเสียโฉมเตรียมเฮ สหรัฐค้นหาวิธีปลูกถ่ายใบหน้าใหม่
เทคนิคผ่าตัดใหม่เนื้อตัวไม่บุบสลาย ล้วงเข้าไปผ่าตัดตับไตไส้พุงได้หมด

ข่าวทั่วไป

อีก17ปีในกทม."เดินเร็วกว่ารถ" แก้ให้ "รถเก๋งต้องช้ากว่ารถเมล์"
เปิดยุทธศาสตร์วิจัยพืชสมุนไพรไทย12ชนิด หวังส่งเสริมการส่งออกและลดการนำเข้า
หนุ่มๆคีบแตะระวังเซ็กซ์เสื่อม
เชียงรายผสมเทียมปลาบึกปีนี้ได้แล้ว
แบนเคมีเกษตร 3 ชนิด สั่ง สวพ.ตรวจเข้มร้านค้า
เบรกติดตั้งอี-พลัสรอผลวิจัย
วธ.เสนอขอเครื่องราชฯสำหรับ4ศิลปินแห่งชาติ
นิสิต มศว.คว้ารางวัล BSA IP Family Design Contest
วิธีลดความอ้วนอย่างมีความสุขให้นอนตื่นสายตามสบายเข้าไว้
พบตัวการสำคัญบีบวัยรุ่นคิดสั้น ผ่าสมองเจอระดับโปรตีนบางตัวลดต่ำผิดปกติ
จักรยานที่ไม่ธรรมดา
4 สตรีนักวิทยาศาสตร์ได้ทุนวิจัย
วิตามินรวมธรรมดาสกัดโรคเอดส์หยุดยั้งไม่ให้กำเริบต่อไปขึ้นได้
การประชุมรัฐมนตรีเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ 2 ว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านโรคเอดส์
ไทยลุ้นจัดแข่งคณิต-วิทย์โอลิมปิก





ข่าวการศึกษา


จี้อดิศัยประกาศสัดส่วนGPAให้เด็กมีเวลาเตรียมตัว

ศ.น.พ.อดุลย์ วิริยะเวชกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส.) ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศ (ทปอ.) เปิดเผยว่า จากการประชุม ทปอ. เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษาเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาหรือแอดมิชชั่น โดยยืนยันที่จะให้เริ่มใช้ระบบดังกล่าวในปีการศึกษา 2549 แน่นอน ซึ่งในเบื้องต้นระบบกลางดังกล่าวจะเปิดโอกาสให้มหาวิทยาลัยทุกแห่งกำหนดวิธีการรับนิสิตนักศึกษาและองค์ประกอบที่จะใช้ในการคัดเลือกได้เองทั้งหมด โดยแต่ละมหาวิทยาลัยอาจจะรับตรงทั้ง 100% หรือ รับตรงบางส่วนและรับผ่านส่วนกลางบางส่วนก็ได้ ทั้งนี้ในการรับผ่านส่วนกลางนั้น ทปอ. เห็นควรให้มีการตั้งหน่วยประสานงานกลางเพื่อทำหน้าที่ประกาศรับสมัคร รับสมัคร และจัดสอบในวิชาที่มหาวิทยาลัยต้องการ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้ กับนิสิตนักศึกษาและผู้ปกครองไม่ต้องวิ่งลอกไปสมัครตามมหาวิทยาลัย สำหรับวิชาที่จะจัดสอบนั้นที่ประชุมเห็นว่าควรจะจัดให้น้อยที่สุด โดยมีการแบ่งเป็นชุดวิชาหลัก ๆ เช่น ชุดวิชาวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ภาษาไทย และอังกฤษ เป็นต้น และการจัดสอบก็จะให้จัดปีละหลายครั้ง เหมือนกับการสอบโทเฟล รวมถึงต้องมีการระบุด้วยว่าคะแนนจากการสอบแต่ละครั้งจะสามารถเก็บไว้ถึงเมื่อใด แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่ถือว่าเป็นข้อสรุป ซึ่งคณะทำงานที่ศึกษาระบบแอดมิชชั่นจะต้องไปศึกษารายละเอียดและเสนอในการประชุม ทปอ. ครั้งต่อไป (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 5 ก.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





สกอ.เผยปฏิทินสอบวัดความรู้เดือน ต.ค.47 ทปอ.เร่ง "อดิศัย" ขอคำตอบทบทวนจีพีเอ ย้ำชัดปี 49 ใช้แอดมิชชั่นแน่

น.พ.อดุลย์ วิริยะเวชกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส.) ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศ (ทปอ.) เปิดเผยผลการประชุม ทปอ. ว่า ที่ประชุมเห็นด้วยในหลักการของระบบกลางการรับนิสิต นักศึกษา หรือแอดมิชชั่น ซึ่งจะใช้ในปีการศึกษา 2549 แน่นอน ส่วนในการสอบเอ็นทรานซ์ ปี 2548 นั้น ที่ประชุมได้กำชับให้ นายธีรวุฒิ บุญยโสภณ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (สจพ.) ในฐานะประธานคณะทำงาน ของ ทปอ. เร่งรัด ศธ.ให้ประกาศสัดส่วนการใช้ GPA ในปี 2548 ให้เร็วที่สุด เพื่อเด็กจะได้เตรียมตัวในการ ด้านสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) กำหนดตารางวันเวลาและสถานที่สอบวัดความรู้วิชาหลัก/วิชาเฉพาะ ครั้งที่ 2/2547 แล้ว. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 5 ก.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





แฉ3รูปแบบให้คนอื่นทำวิทยานิพนธ์ป.โท ใช้ของเก่ารีไซเคิลเปลี่ยน"ปก-ชื่อ"ก็จบได้

คุณหญิงสุชาดา กีระนันทน์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย กล่าวว่า การทำวิทยานิพนธ์อยู่ที่การกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย และอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นหลัก สำหรับการกำกับดูแลการทำวิทยานิพนธ์ของจุฬาฯ จะมีขั้นตอนที่เข้มงวดมาก เริ่มตั้งแต่การเสนอโครงร่างวิทยานิพนธ์ โดยจะมีคณะกรรมการกลุ่มหนึ่งตรวจสอบว่าหัวข้อที่เสนอน่าสนใจหรือไม่ จะทำได้ตามวิธีการหรือไม่ เป็นต้น โดยจะต้องปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษาตลอด จนอาจารย์ที่ปรึกษา และคณะเห็นว่าพร้อมจึงจะลงนามให้สอบได้ โดยจะต้องมีกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ซึ่งประกอบด้วยหัวหน้าหลักสูตร หัวหน้าภาค และกรรมการที่หลากหลายจากภายในและนอกสถาบัน หากเป็นนิสิตปริญญาโทจะมีกรรมการ 3-5 คน และนิสิตปริญญาเอกมี 5-7 คน นายปรัชญา เวสารัชช์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช(มสธ.) กล่าวว่า ปัญหานักศึกษาจ้างทำวิทยานิพนธ์มีมานานแล้ว แม้กระทั่งไปเอามาทั้งดุ้นเปลี่ยนแต่ปกและชื่อก็ยังมี โดยตนทราบจากเพื่อนอาจารย์ที่ไปเรียนปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง พบมีนักศึกษาปริญญาโทเอาวิทยานิพนธ์ของคนที่จบจากมหาวิทยาลัยอื่นมาเปลี่ยนปกและชื่อ แล้วก็จบมาได้ โดยที่อาจารย์ไม่ดูแล ทั้งนี้ เท่าที่ทราบรูปแบบการให้คนอื่นทำวิทยานิพนธ์นั้น มี 3 รูปแบบ คือ 1.จ้างทำวิทยานิพนธ์ 2.ตั้งทีมขึ้นมาโดยตัวเองเป็นหัวหน้าและให้ลูกทีมไปเก็บข้อมูลมาให้ตัวเองวิจัยและวิเคราะห์ ซึ่งรูปแบบนี้ยังพอรับได้ และ 3.ให้ลูกน้องตัวเองหรือพรรคพวกทำ ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดกับผู้บริหารหรือระดับผู้ใหญ่ที่ไม่มีเวลาทำวิทยานิพนธ์เอง อย่างไรก็ตาม หากดูกระบวนการทำวิทยานิพนธ์โดยตลอดแล้ว หากดูแลดีตั้งแต่ระบบอาจารย์ที่ปรึกษา และกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์แล้ว โอกาสที่นักศึกษาไปจ้างทำแทบจะน้อยมาก (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 5 ก.ค. 47 http://www.matichon.co.th)





"ภาวิช"จี้ ทปอ.ถือธงนำอุดมศึกษาแยกตั้งเป็นกระทรวง

รศ.ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรม การการอุดมศึกษา (กอ.) กล่าวถึงกรณีที่มีผู้เสนอให้แยกอุดมศึกษาออกจากกระทรวงศึกษาธิการเพื่อตั้งเป็นกระทรวงอุดมศึกษาว่า การเรียกร้องดังกล่าวเป็น การเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ เพราะที่ผ่านมาถึงแม้ว่าอุดม ศึกษาจะไม่เข้ามารวมกับ ศธ. ก็สามารถเดินหน้าได้ดีอยู่แล้ว แต่พอมารวมกลับทำให้การทำงานชะงักงันและ ต้องปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมให้เข้ากับ ศธ. ซึ่งมีขนาดใหญ่ โตมาก และหากพิจารณาถึงการรวมกระทรวงแล้วพบว่า ผลเสียน่าจะมีมากกว่าผลดี ดังนั้นที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) น่าจะเร่งศึกษาเรื่องนี้เพื่อ เสนอให้ ดร.อดิศัย โพธารามิก รมว.ศึกษาธิการ พิจารณาโดยตรง เนื่องจากขณะนี้รัฐบาลก็มีนโยบายที่จะทบทวนเรื่องการรวมและแยกกระทรวงต่าง ๆ อยู่แล้ว เช่น กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นต้น เลขาธิการ กอ. กล่าวต่อไปว่า สำหรับรูปแบบ การบริหารมหาวิทยาลัยทั่วโลกเท่าที่ทราบมี 3 ลักษณะ คือ 1. มหาวิทยาลัยจะมีอิสระไม่ขึ้นอยู่กับกระทรวงใด 2. มหาวิทยาลัยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ เหมือนทบวงฯ เดิมแต่กระทรวงไม่สามารถสั่งการมหาวิทยาลัยได้ เพียงแต่จะช่วยประสานงานดูแลด้านงบประมาณให้เท่านั้น และ 3. เป็นมหาวิทยาลัย ที่อยู่ในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการเหมือนปัจจุบันนี้ แต่ในลักษณะนี้จะมีน้อยมาก ซึ่งตนอยากฝากว่าเวลานี้มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ก็สนใจที่จะแยกอุดมศึกษาออกไปเป็นกระทรวงโดยเฉพาะ เพราะเห็นว่าอุดมศึกษาเป็นแหล่งสร้างทรัพยากรระดับปัญญา ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องมีอิสระในการทำงาน และมีอิสระในการคิดเรื่องวิชาการด้วย (เดลินิวส์ พุธที่ 7 ก.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





นร.เฮ "อดิศัย" ตัดสินใช้จีพีเอ 5%-พีอาร์ 5% "ภาวิช" สั่งตีพิมพ์ระเบียบสอบวัดความรู้ทันที

จากข้อเสนอของที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ซึ่งขอให้นายอดิศัย โพธารามิก รมว.ศธ.ทบทวนการใช้คะแนนสะสมระดับมัธยมปลาย หรือ จีพีเอ 25% ในการสอบเอ็นทรานซ์ปี 2548 โดยเสนอ 3 ทางเลือกคือ 1. ใช้ตามแนวทางเดิมคือ จีพีเอ 5% ค่าตำแหน่งลำดับที่หรือพีอาร์ 5% 2. ใช้จีพีเอ 10% ไม่มีค่าพีอาร์ และ 3 ใช้คะแนนจีพีเอ 25% นั้น นายสุธรรม แสงประทุม รมช.ศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 6 ก.ค. ว่า นายอดิศัยได้หารือกับ ทปอ. และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) แล้ว ได้ข้อสรุปว่า ควรจะใช้คะแนนจีพีเอ 5% และพีอาร์ 5% เช่นเดิม ซึ่งเป็นการคำนึงถึงความยุติธรรมของโอกาสในโรงเรียนต่างจังหวัด ซึ่งหากต้องแก้ประกาศของ ศธ. ที่ประกาศออกไปแล้วว่า ต้องใช้จีพีเอ 25 เปอร์เซ็นต์ ในปีการศึกษา 2548 ก็สามารถแก้ได้ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จะดำเนินการจัดพิมพ์ระเบียบการสอบวัดความรู้ทันที ซึ่งจัดพิมพ์ได้ทันการสอบวัดความรู้ในเดือน ต.ค.นี้แน่นอน ขอให้นักเรียนตั้งใจเรียนและทำคะแนนให้ดีที่สุด เพราะไม่ว่าจะใช้คะแนนจีพีเอและพีอาร์เท่าใด ก็มีผลต่อการสอบเอ็นทรานซ์ทั้งนั้น (ไทยรัฐ พุธที่ 7 ก.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





ม.เอกชนหนุนจัดอันดับ สถาบันตามสาขาวิชา

ดร.จันจิรา วงษ์ขมทอง อธิการบดีมหาวิทยาลัยคริสเตียน ในฐานะนายกสมาคมสถาบันอุดมเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) จะจัดอันดับสถาบันอุดมศึกษา ในปี 2549 ว่า โดยหลักการการจัดอันดับเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องมีขั้นตอนที่ชัดเจน มีการจัดแบ่งสถาบันอุดมศึกษาแต่ละแห่งให้ชัดว่าอยู่ในกลุ่มใด เช่น 1.มหาวิทยาลัยวิจัย 2.มหาวิทยาลัยเน้นการการสอน 3.มหาวิทยาลัยกึ่งวิจัยและเน้นการสอน และ 4.มหาวิทยาลัยชุมชน จากนั้นต้องกำหนดหลักเกณฑ์ที่จะใช้ประเมินสถาบันอุดมศึกษาแต่ละกลุ่มว่าจะต้องมีอะไรบ้าง และความพร้อมของผู้ประเมินที่ต้องมีความรู้และเป็นที่น่าเชื่อถือได้ นายก สสอท. เห็นด้วยที่จะจัดอันดับเป็นกลุ่มสาขาวิชา เพราะหลายประเทศก็นิยมจัดอันดับด้วยวิธีนี้ แต่ไม่เห็นด้วยกับการจะจัดอันดับเป็นสถาบัน และก็ไม่มีประเทศใดในโลกที่ทำกัน จะมีก็เพียงบริษัทที่ทำธุรกิจการศึกษาที่มาจัดอันดับเอง ซึ่งก็ไม่มีหลักเกณฑ์หรือตัวชี้วัดที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทำให้การจัดอันดับไม่น่าเชื่อถือเท่าที่ควร เวลานี้เรายังไม่พร้อมจะรับการประเมินจัดอันดับในทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของกลุ่มมหาวิทยาลัย หลักเกณฑ์การประเมินที่จะมาจัดอันดับและผู้ที่จะมาประเมิน และถึง สมศ.จะเริ่มจัดอันดับปี 2549 ก็ไม่พร้อมอยู่ดี เราควรจะต้องทำทุกอย่างให้พร้อมก่อน (คมชัดลึก พุธที่ 7 ก.ค. 47 http://www.komchadluek.net)





เชิญชวนนักศึกษาตรี-โท เข้าค่ายแสงซินโครตรอน

ศูนย์ซินโครตรอนแห่งชาติรับสมัครนักศึกษาปริญญาตรี-โท เข้าร่วมกิจกรรมโครงการค่ายวิทยาศาสตร์แสงสยาม ครั้งที่ 1 มุ่งเปิดโอกาสให้เรียนรู้และสัมผัสมิติใหม่ของงานวิจัยวิทยาศาสตร์ชั้นสูง หวังสร้างนักวิทยาศาสตร์ที่มีศักยภาพในอนาคต ดร.ประยูร ส่งสิริฤทธิกุล หัวหน้าฝ่ายการประยุกต์แสงซินโครตรอน ศูนย์ปฏิบัติการวิจัยเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนแห่งชาติ (ศซ.) เปิดเผยว่า โครงการค่ายวิทยาศาสตร์แสงสยาม จัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-17 ต.ค. ณ ห้องปฏิบัติการแสงสยาม จ.นครราชสีมา เป้าหมายเพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้และวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ด้วยเทคโนโลยีระดับสูง สำหรับคุณสมบัติผู้สมัครจะต้องศึกษาอยู่ระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 4 หรือระดับปริญญาโทชั้นปีที่ 2 สาขาฟิสิกส์ ฟิสิกส์ประยุกต์ วัสดุศาสตร์ เคมี ชีววิทยา ชีวเคมี เคมี อุตสาหกรรมและธรณีวิทยา งานนี้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ โดยเปิดรับจำนวนจำกัดเพียง 45 คน กิจกรรมประกอบด้วย การทำความรู้จักกับเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอน แนะนำการใช้แสงซินโครตรอนเพื่อประโยชน์ในงานวิจัย พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ทำการทดลองปฏิบัติงานวิจัยจริง ร่วมกับนักวิจัยผู้ชำนาญอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งศึกษาดูงานนอกสถานที่ สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ 0-4421-7040 หรือสมัครผ่านทาง www.nsrc.or.th ภายในวันที่ 31 ส.ค.นี้ (คมชัดลึก พุธที่ 7 ก.ค. 47 http://www.komchadluek.net)





ไทยเล็งดึง"ลีกวนยู"โชว์วิสัยทัศน์ให้อธิการบดี

รศ.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กอ.) กล่าวในการเปิดการอบรมหลักสูตรการพัฒนาผู้บริหารมหาวิทยาลัยสายสนับสนุน และช่วยวิชาการ รุ่นที่ 4 พร้อมบรรยายพิเศษ เรื่อง นโยบายการบริหารอุดมศึกษากับการพัฒนาอุดมศึกษาไทย ว่า ในหลักการบริหารนั้นบุคลากรที่สำคัญที่สุดคือบุคลากรระดับกลาง หรือ Middle Management เพราะจะทำให้กลไกต่างๆ ขับเคลื่อนไปได้ ทั้งการเขียนนโยบาย วิสัยทัศน์ เป้าหมาย โดยเฉพาะองค์กรใหญ่ๆ บทบาทของบุคลากรระดับกลางจะยิ่งมากขึ้น ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จึงตระหนักถึงความสำคัญและเห็นควรพัฒนาบุคลากรในส่วนนี้ควบคู่ไปกับผู้บริหารระดับสูง โดยเฉพาะโครงการอบรมหลักสูตรการพัฒนาผู้บริหารนี้จะต้องทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องมีการทบทวนความสำเร็จ และข้อบกพร่องเพื่อปรับปรุงหลักสูตรให้ดีขึ้นไป นอกจากนี้อาจขยายหลักสูตรการอบรมไปจนถึงระดับ Top Management เช่น อธิการบดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สกอ.มีนโยบายจะจัดให้มี Leadership Program อีกระดับหนึ่ง ซึ่งเนื้อหาหลักสูตรจะต้องเข้มข้นขึ้น โดยมีการเชิญวิทยากรระดับนานาชาติ ระดับผู้นำประเทศ เช่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวิตร นายกรัฐมนตรี นายลีกวนยู อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศสิงคโปร์ เป็นต้น เพื่อรับทราบวิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศต่อการจัดการศึกษา "ระบบอุดมศึกษาเป็นระบบที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศเป็นอย่างมาก ถือเป็นความอยู่รอดของประเทศ ถ้าระบบอุดมศึกษาไม่สามารถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างมีคุณภาพ ก็จะไม่สามารถนำสังคมไทยไปสู่สังคมที่มีคุณภาพได้ "รศ.ภาวิช กล่าว เพราะฉะนั้น จำเป็นที่ผู้บริหารสายสนับสนุนและช่วยวิชาการ จะต้องเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล มีความรู้ความสามารถ และทักษะการบริหารที่สอดประสานในทิศทางเดียวกับผู้บริหารระดับสูง (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 9 ก.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





"อดิศัย" ชี้ ทปอ.เดินผิดทางแยกอุดม

นายอดิศัย โพธารามิก รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยเกี่ยวกับข้อเสนอของที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ที่ให้แยกสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ไปตั้งเป็นกระทรวงอุดมศึกษาว่า คงเป็นความเข้าใจผิด เนื่องจากก่อนหน้านี้ตนเคยคุยกับ ทปอ. เรื่องการออกนอกระบบของมหาวิทยาลัย ซึ่งมีการดำเนินการคืบหน้าไปว่า แต่การออกนอกระบบของมหาวิทยาลัยที่ทำกันอยู่ไม่ใช่สิ่งที่ตนอยากเห็น เพราะคงทำอะไรมากไม่ได้ สิ่งที่ตนอยากเห็นคือ การให้มหาวิทยาลัยบริหารงานได้เต็มที่ ไม่ต้องติดอยู่กับระบบ และควรมีสิทธิเสรีภาพในด้านต่างๆ อาทิ การจ้างอาจารย์ไม่ควรเป็นข้าราชการเงินเดือนน้อยๆอีกต่อไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะออกจากกระทรวงไปเลย เพราะรัฐบาลยังคงสนับสนุนงบประมาณอยู่ เพียงแต่จะคุมเฉพาะในเรื่องของนโยบายเท่านั้น "การแยกออกไปตั้งเป็นกระทรวงใหม่ เป็นการเดินผิดทาง เพราะจะกลับมารูปเดิมอีก ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากเห็น แต่คิดว่ามหาวิทยาลัยต้องพัฒนาให้มากขึ้น จนราชการเข้าไปเกี่ยวข้องและควบคุมน้อยที่สุด เพื่อให้มีอิสระในการบริหารงาน เพราะในอนาคตเมื่อเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นแล้ว ต่อไปรัฐจะจัดสรรทุนการศึกษาให้กับนักศึกษาทุกคน ในลักษณะกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ที่ผูกติดกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) โดยจ่ายเป็นคูปองให้นักศึกษาไปจ่ายค่าเล่าเรียนให้กับมหาวิทยาลัย ตามความต้องการของนักศึกษา มหาวิทยาลัยจึงต้องสร้างจุดแข็งให้กับตนเอง" รมว. ศึกษาธิการกล่าว (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 9 ก.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





หัวกะทิชีววิทยา ชิงชัยเวทีโอลิมปิกวิชาการ

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้คัดเลือกผู้แทนประเทศไทยสาขาชีววิทยา จำนวน 4 คน ประกอบด้วย นายจิตชัย ขยันการนาวี ร.ร.สวนกุหลาบวิทยาลัย, น.ส.วรวรรณ ลิ่มปิติกุล และนายวรากร กุลาเลิศ ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา และ น.ส.วิชสิณี วิบุลผลประเสริฐ ร.ร.อุดมศึกษาพัฒนาการ เพื่อเตรียมลงชิงชัยในเวทีชีววิทยาโอลิมปิกระหว่างประเทศ ระหว่างวันที่ 10-19 กรกฎาคม นี้ (สยามรัฐ ศุกร์ที่ 9 ก.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)





วช.ปั๊มนักวิจัยสนองงานไฮเทค ตั้งเป้าผลงานตีพิมพ์ระดับโลก

ม.ร.ว.ชิษณุสรร สวัสดิวัตน์ ในฐานะประธานโครงการบัณฑิตศึกษา และเตรียมนักวิจัยด้านคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเทคโนโลยีชีวภาพด้านการแพทย์ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่า โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างบุคลากรระดับนักวิจัยทั้งในระดับปริญญาโทและเอก ใน 3 สาขาหลักๆ เพื่อรองรับโครงการวิจัยบูรณาการของ วช. เนื่องจากเป็นรากฐานสำคัญต่อการพัฒนางานในสาขาอื่นๆ โดยตั้งเป้าว่าภายใน 3 ปี จะต้องผลิตบุคลากรในระดับต่างๆอย่างน้อย100 ราย และมีการตีพิมพ์ผลงานวิจัยใหม่ในต่างประเทศ 45 รายการ สำหรับผลงานวิจัยที่จะวิจัยได้แก่ การสร้างระบบเลเซอร์ที่ใช้ในการกระตุ้นเนื้อเยื่อมะเร็งการศึกษาการเปลี่ยนแปลง ของโปรตีนมะเร็งปากมดลูก เชื้อมาลาเรีย เป็นต้น (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 10 ก.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





อาชีวะจับมืออุตฯ ทำเกณฑ์วิชาชีพ ชงครม.พิจารณา

นางศิริพรรณ ชุมนุม ที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา(สอศ.) เปิดเผยความคืบหน้าเรื่องคุณวุฒิวิชาชีพหรือ"ทีวีคิว"ว่า สอศ.และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกันกำหนดหลักการ และรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้เตรียมให้นายวีระศักดิ์ วงษ์สมบัติ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) เสนอให้นายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเห็นชอบเพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.)ต่อไป ทั้งนี้ ในเบื้องต้นจะมอบหมายให้อุตสาหกรรมทุกภาคส่วน กำหนดมาตรฐานของวิชาชีพ และพัฒนาให้มีศักยภาพวิชาชีพที่ดีขึ้น โดยรัฐบาลจะให้การสนับสนุนเรื่องงบประมาณจำนวนหนึ่ง จากนั้นให้เสนอมาตรฐานวิชาชีพต่อ สอศ.เพื่อปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับมาตรฐานอาชีพที่ผู้ประกอบการกำหนด และนำฝีมือของแรงงานไร้วุฒิมาเทียบเข้าหลักสูตรใหม่ที่สอศ.ปรับปรุง เพื่อให้สามารถมอบคุณวุฒิด้านวิชาชีพได้ ซึ่งจะส่งผลให้แรงงานกลุ่มนี้ได้รับค่าตอบแทนจากนายจ้าง ในอัตราที่สูงกว่าแรงงานขั้นต่ำ ด้านนายเขมทัต สุคนธสิงห์ ประธานบริหารกลุ่มบริษัทสิขร กล่าวว่า หากใช้คุณวุฒิวิชาชีพจะทำให้เกิดความสับสน เพราะแพทย์และวิศวกรก็มีวุฒิเช่นนี้ จึงควรใช้คุณวุฒิอาชีวศึกษาจะเหมาะสมกว่า ดังนั้น หากเร่งผลักดันเรื่องการให้คุณวุฒิอาชีวศึกษา จะเกิดประโยชน์ทั้งลูกจ้างและนายจ้าง และเชื่อว่าอุตสาหกรรมทุกด้านยินดีให้ความร่วมมือเต็มที่ (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 10 ก.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ประเทศไทยร่วมพัฒนาเยาวชน สู่โครงการเด็กอัจฉริยะเอเปค

เพื่อสนับสนุนเด็กไทยให้ก้าวทันความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์โลก กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน จึงได้ร่วมกันจัดตั้ง โครงการการจัดกิจกรรมร่วมของเด็กที่มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ของกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเปค ขึ้นเพื่อเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะการนำความรู้ไปสร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์และการบริการให้มีคุณสมบัติเป็นพิเศษ โดยจะทำการคัดเลือกตัวแทนจากโรงเรียนต่างๆ จำนวน 120 คน เข้าร่วมกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์ในประเทศไทย ที่องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ระหว่างวันที่ 15-18 ก.ค.นี้ จากนั้นจะทำการคัดเลือกเหลือเพียง 10 คน เป็นตัวแทนเยาวชนไทยเข้าร่วมกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์ ที่ประเทศเกาหลีใต้ ในระหว่างวันที่ 16-26 ส.ค.ต่อไป น้องๆ นักเรียนที่สนใจ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร.0-2577-9000, 0-2577-9022, 0-2577-9024 (คมชัดลึก เสาร์ที่ 10 ก.ค. 47 http://www.komchadluek.com)





"ทปอ."เดินหน้าเสนอตั้ง"ก.อุดมฯ" อ้างคล่องตัวรับเปิดเสรีการศึกษา

น.พ.อดุลย์ วิริยะเวชกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม และประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.) ให้สัมภาษณ์กรณีนายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ไม่เห็นด้วยกับการแยกสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) ออกไปตั้งเป็นกระทรวงอุดมศึกษา ตามมติ ทปอ.ว่า มติ ทปอ.ให้ตั้งคณะทำงานพิจารณาเหตุผลประกอบการตั้งกระทรวงอุดมศึกษาว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไร เพราะเชื่อว่าการตั้งกระทรวงอุดมศึกษาน่าจะดีกว่ารวมอยู่ใน ศธ. ก่อนจะเสนอให้ยกร่าง พ.ร.บ.อุดมศึกษา เพิ่มเติมจาก พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 เพราะประเทศต่างๆ ทั่วโลกล้วนมี พ.ร.บ.อุดมศึกษาต่างหาก นายมณฑล สงวนเสริมศรี อธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร และประธานคณะทำงานศึกษาเรื่องการตั้งกระทรวงอุดมศึกษา กล่าวว่า กำลังศึกษาข้อมูลว่าภายหลังจากมีโครงสร้าง ศธ.ใหม่แล้วมีปัญหาอุปสรรคอย่างไรบ้าง และหากแยกกระทรวงแล้วจะเกิดผลดีต่อประเทศชาติอย่างไร เพื่อเสนอรัฐบาลทบทวน เพราะขณะนี้อุดมศึกษาในประเทศต่างๆ ทั่วโลกต่างก็ปรับตัวในแนวทางนี้ เนื่องจากเงื่อนไขขององค์การการค้าโลก หรือ WTO ที่ให้เปิดเสรีทางการศึกษา ทำให้ประเทศต่างๆ ต้องตั้งรับกับการเข้าไปตั้งมหาวิทยาลัยของต่างประเทศ ฉะนั้น โครงสร้างของอุดมศึกษาจึงต้องอิสระและคล่องตัว ทั้งนี้ ยืนยันว่าแนวคิดการตั้งกระทรวงอุดมศึกษาของ ทปอ.ไม่ได้มีปัญหาขัดแย้งกับนายอดิศัย นางจันทร์จิรา วงษ์ขมทอง อธิการบดีมหาวิทยาลัยคริสเตียน และนายกสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย(สสอท.) กล่าวว่า เห็นด้วยกับแนวคิดของ ทปอ. และที่ผ่านมาได้พูดคุยนอกรอบกับอธิการดีสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ซึ่งต่างก็เห็นด้วยกับการตั้งกระทรวงอุดมศึกษา (มติชน เสาร์ที่ 10 ก.ค. 47 http://www.matichon.co.th)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


เปิดโลกวิทยาศาสตร์สำหรับเยาวชน

กรมวิทยาศาสตร์บริการเปิดโลกความรู้วิทยาศาสตร์สำหรับเยาวชน หวังกระตุ้นเด็กไทยรักการศึกษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ พร้อมทั้งมีความคิดในเชิงนวัตกรรมในอนาคต ดร.สุจินดา โชติพานิช อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ เปิดเผยว่า งานเปิดโลกความรู้วิทยาศาสตร์จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-9 ก.ค.นี้ บริเวณกรมวิทยาศาสตร์บริการ เพื่อฉลองสมโภช 200 ปี พระบิดาวิทยาศาสตร์ไทย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งยังกระตุ้นให้เยาวชนไทยรักการศึกษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ พร้อมทั้งมีความคิดในเชิงนวัตกรรมในอนาคต ภายในงานประกอบด้วย นิทรรศการผลงานกรมวิทยาศาสตร์บริการ การสาธิตงานวิทยาศาสตร์ ทั้งในเรื่องการทดสอบมลพิษสิ่งแวดล้อม วิธีการเลือกใช้พลาสติกอย่างปลอดภัย การทำกระดาษหัตถกรรม ทำผลิตภัณฑ์เซรามิก การแยกสารผสม มุมหนังสือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับประชาชน รวมถึงกิจกรรมที่น่าสนใจทางวิทยาศาสตร์หลากหลายประเภท นอกจากนี้ ยังมีการแสดงผลงานการวิจัยด้านหุ่นยนต์ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีคือ หุ่นยนต์ปลา ที่ทำขึ้นเพื่อศึกษาวิธีการเคลื่อนไหวของปลา ซึ่งนำไปสู่การสร้างยานสำรวจใต้น้ำต่อไป และในส่วนของศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา (ท้องฟ้าจำลอง) ได้นำรถเคลื่อนที่การดูระบบสุริยะในตอนสู่อวกาศมาให้ได้ชมกัน ส่วนกรมทรัพยากรธรณีจะให้ความรู้เรื่องหิน แร่ หินลอยน้ำ ร่วมกับผลงานด้านมาตรวิทยาจากสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ ทั้งนี้ สามารถค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://siweb.dss.go.th (คมชัดลึก จันทร์ที่ 5 ก.ค. 47 http://www.komchadluek.net/)





สัมผัสดาวเสาร์

นักวิทยาศาสตร์จากองค์การนาซา องค์กรอวกาศยุโรป(ERA) องค์กรอวกาศของอิตาลี (ISA) ได้ร่วมลงทุนเพื่อปฏิบัติภารกิจสำรวจดาวเสาร์ ซึ่งส่งยานแคสสินีสำรวจแบบไร้มนุษย์อวกาศออกเดินทางจากโลกไปยังดาวเสาร์ ใช้เวลาเดินทางยาวนานถึง 7 ปี จนกระทั่งสามารถเข้าสู่ชั้นวงแหวนของดาวเสาร์ได้อย่างปลอดภัย เสาร์เป็นดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ มีวงแหวนสวยงาม มีดวงจันทร์บริวารมากถึง 13 ดวง ที่คุ้นหูมนุษย์โลกมากที่สุดก็คือ ดวงจันทร์ชื่อ ไททัน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์ระบุว่า เป็นดวงจันทร์บริวารดวงใหญ่ที่สุดในสุริยจักรวาล ดังนั้นแคสสินีต้องใช้เวลาอีกประมาณ 4 ปี ในการสำรวจดาวเสาร์และบริวารทั้งหมด แล้วส่งภาพและรายงานต่าง ๆ กลับมายังฐานปฏิบัติการบนโลก เมื่อแคสสินีเดินทางเข้าสู่วงแหวนก็ได้ส่งภาพกลับมา นักดาราศาสตร์ของนาซา บอกว่า ภาพวงแหวนที่เห็นบางส่วนเหมือนรอยกระเพื่อมของน้ำ บางส่วนเหมือนหมอกบางเบา และบางส่วนก็เป็นขอบมืดและขอบสว่าง บ้างก็ว่าเหมือนลายนูนของไม้ นักวิทยาศาสตร์ต้องค้นหาคำตอบกันต่อไปว่า ดาวเสาร์และวงแหวน รวมทั้งดวงจันทร์บริวารนั้นมีโครงสร้างอย่างไร แตกต่างไปจากชั้นบรรยา กาศของโลกหรือไม่ ตอนนี้แคสสินี กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อส่งข้อมูลกลับมาให้มนุษย์ได้ทำการศึกษาความเป็นไปของจักรวาล ให้คุ้มค่ากับเงินลงทุนกว่า 3,000 ล้าน (เดลินิวส์ อังคารที่ 6 ก.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





ไมโครซอฟท์ทำเว็บmsnไทย

มร.แอนดรูว์ แม็ค บีน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า การเปิดให้บริการเว็บท่า MSN ภาษาไทย (www.msn.co.th) เพื่อให้เว็บดังกล่าวสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้คนไทยได้มากขึ้น โดยขณะนี้ประเทศไทยมีผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บ MSN ประมาณ 2.8 ล้านคน/เดือน โดยมีผู้ใช้บริการ MSN Messenger 940,000 คน และมีผู้ลงทะเบียนสมาชิก MSN Hotmail 1.64 ล้านคน โดยก่อนหน้านี้ MSN ได้ออกเป็นเวอร์ชั่นภาษาท้องถิ่นใน 38 ประเทศทั่วโลกแล้วรวม 18 ภาษา มร.แอนดรูว์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังเพิ่มบริการใหม่อีก 3 รูปแบบ คือ บริการ Money Channel นำเสนอข้อมูลข่าวสารการเงินแบบออนไลน์ ครอบคลุมเรื่องพื้นฐานจนถึงตลาดเงินและการลงทุน บริการ MSN Mobile Channel ดูข้อมูล MSN ผ่านโทรศัพท์มือถือ และบริการ MSN House & Home ดูข้อมูลบ้าน อาคาร และที่ดิน ทั้งนี้ 3 บริการใหม่ ไมโครซอฟท์ จับมือกับ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทย ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด และบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด เพื่อให้บริการดังกล่าวตามลำดับ (เดลินิวส์ อังคารที่ 6 ก.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





เฟ้นเด็กวิทย์ดูงานชีวภาพอินเดีย

นายกร ทัพพะรังสี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เปิดเผยว่า ในวันที่ 9-12 ก.ค.นี้จะนำผู้แทนเยาวชนในโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) จำนวน 12 คน ไปร่วมงาม Bangalore Bio 2004 ที่เมืองบังกาลอร์ ประเทศอินเดีย งานดังกล่าวเป็นงานทางวิทยาศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปเอเชีย จะมีการประชุมวิชาการด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ที่สำคัญต่อเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม เช่น นาโนเทคโนโลยีด้านชีวภาพ การออกแบบและผลิตยา อิเล็กทรอนิกส์ ชีวสารสนเทศ เทเลเมดิซีน ไฟเบอร์ออปติกส์ พร้อมทั้งการจัดนิทรรศการจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนด้านเทคโนโลยีชีวภาพจำนวน 150 เรื่อง จาก 30 ประเทศทั่วโลก คาดว่าจะมีผู้เข้ามาชมงานประมาณ 3 หมื่นคน ด้าน ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน์ ผอ.สวทช.กล่าวว่า เด็กทีได้รับคัดเลือกไปดูงานทั้ง 12 คน เป็นผู้ที่มีความโดดเด่นและมีความสามารถพิเศษในสาขาเทคโนโลยีชีวภาพ เช่น นายพันธุ์วงศ์ คุณธนะวัฒน์ ม.เชียงใหม่ เคยได้รับรางวัลรองชนะเลิศการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ระดับประเทศ น.ส.ปริณดา ทยานุกูล ม.มหิดล เคยได้รับการคัดเลือกเป็นเยาวชนดีเด่นของประเทศ นายธนิษฐ์ ปราณีนรารัตน์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยได้รับรางวัลเหรียญทองจากการแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ สาขาเคมี ซึ่งเด็กทั้ง 12 คน นอกจากได้เข้าร่วมงาน บังกาลอร์ไบโอแล้ว ยังจะพาไปดูงานจากบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีชีวภาพอีก 4 แห่งด้วย เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากที่สุด (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 7 ก.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





เครื่องพิมพ์แห่งอนาคต สั่งพิมพ์ภาพจากจอทีวี

นายเซอิจิ ฮิราโน ประธานบริหารและประธานฝ่ายไอพี มาร์เก็ตติง บริษัท ไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า แนวโน้มเทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ของเอปสันจะรองรับการพิมพ์ภาพดิจิทัลมากขึ้น เพื่อตอบสนองผู้ใช้งานที่บ้าน โดยที่ประเทศญี่ปุ่นได้เปิดตัวพีเอ็ม-ดี 1000 เครื่องพิมพ์แบบใหม่รูปร่างคล้ายเครื่องเล่นดีวีดี สามารถสั่งพิมพ์ภาพดิจิทัลจากหน้าจอดิจิทัลทีวีด้วยรีโมทคอนโทรล แต่เนื่องจากเทคโนโลยีนี้รองรับเฉพาะทีวีระบบดิจิทัลเท่านั้น ทำให้ปัจจุบันประเทศไทยหมดสิทธิใช้ ทั้งนี้ ในการสั่งพิมพ์ผ่านทีวีเพียงเชื่อมต่อเครื่องพิมพ์เข้ากับทีวีด้วยสายต่อเข้ากับช่องเอวี เพียงเท่านี้เครื่องพิมพ์จะสามารถพิมพ์ภาพได้จากวิดีโอ วีซีดี และดีวีดี ทันทีที่พิมพ์งานเสร็จจะสามารถรับชมทีวีได้เหมือนเดิม (คมชัดลึก พุธที่ 7 ก.ค. 47 http://www.komchadluek.net)





ฮับเบิลพบดาวเคราะห์ใหม่ 100 ดวง วนรอบดวงอาทิตย์เหมือนระบบสุริยะ

นักดาราศาสตร์ได้ส่องกล้องโทรทรรศน์ฮับเบิล สเปซ กวาดตาดูดวงดาวนับหมื่นนับพันดวงทั่วกาแล็กซีทางช้างเผือก จนพบดาวเคราะห์ใหม่เพิ่มอีก 100 ดวง หากการค้นพบนี้ได้รับการยืนยัน เท่ากับว่าในกาแล็กซีทางช้างเผือก ซึ่งเป็นที่อยู่ของระบบสุริยจักรวาลที่เราอาศัยอยู่นี้ยังมีระบบสุริยะอื่นอยู่ด้วย และอาจมีจำนวนดาวเคราะห์มากขึ้น 230 ดวง นายสตีเวน เบควิธ ผู้อำนวยการสถาบันสเปซ เทเลสโคป ไซเอนซ์ กล่าวว่า การค้นพบครั้งนี้นับเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญที่สุดในการค้นพบระบบดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ นับตั้งแต่ค้นพบดาวเคราะห์ดวงแรกเมื่อกลางทศวรรษที่ 90 ส่วนการค้นพบครั้งนี้ นักดาราศาสตร์ที่ชื่อ ไคลาส ซาฮู ได้ใช้กล้องฮับเบิลส่องสำรวจท้องฟ้าช่วงเดือน ก.พ.อยู่หนึ่งสัปดาห์ ดาวเคราะห์บางดวงที่เขาพบมีแสงจางมาก สันนิษฐานว่าอาจเป็นช่วงที่ดาวเคราะห์เดินทางผ่านหน้าดาวฤกษ์ทำให้อ่อนลง อย่างไรก็ดี นักดาราศาสตร์ยังจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่กล้องโทรทรรศน์ฮับเบิลสังเกตพบนั้นเป็นดาวเคราะห์จำนวนมากจริงๆ ซึ่งคำตอบสุดท้ายคงออกมาในช่วงก่อนปลายปีนี้ บางทีอาจเป็นเดือน ก.ย หรือ ต.ค. องค์การอวกาศสหรัฐ หรือนาซ่า กำลังอยู่ระหว่างตัดสินใจว่าจะเลือกต่างๆ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของกล้องโทรทรรศน์ฮับเบิล โดยใช้ยานอวกาศที่ไม่มีนักบินอวกาศหลังจากเกิดโศกนาฏกรรมยานโคลัมเบียระเบิดขณะร่อนลงสู่โลก (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 8 ก.ค. 47 http://www.komchadluek.net)





คลื่นวิทยุอ่านรหัสแทนบาร์โค้ด

สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า บาร์โค้ด หรืออุปกรณ์ตรวจสอบสินค้าที่ถูกจับตามองมากที่สุดในขณะนี้จากพ่อค้าปลีก และคลังสินค้าส่งออกภายในสนามบิน คือการใช้คลื่นวิทยุ (Radio Frequency Identification :RFID) แทนการใช้บาร์โค้ดในปัจจุบัน เพราะช่วยให้ทำงานรวดเร็ว สะดวก สบาย ทั้งการขนถ่ายสินค้า และการจ่ายเงิน ร้านค้าปลีกของอเมริกา วอล-มาร์ท, ร้านเมโทรของเยอรมนี และเทสโก้ของอังกฤษ มีโครงการจะนำชิพเก็บข้อมูลสินค้าติดไว้ที่ตัวสินค้าแล้ว พร้อมติดตั้งเครื่องอ่านไว้ภายในคลังสินค้า และร้านค้า เพื่อให้ลูกค้าสามารถจ่ายเงินได้อย่างสะดวกที่ประตูทางออก จากการส่งใบเสร็จโดยตรงจากเครื่องอ่าน ซึ่งคาดว่าจะมีการเร่งนำมาใช้อย่างแพร่หลายในช่วงซัมเมอร์ หลังแนะนำเทคโนโลยีดังกล่าวสู่สาธารณชนอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ชิพดังกล่าวหากมีการใช้อย่างแพร่หลายคาดว่าจะมีราคาอยู่ที่ 0.12-0.61 เหรียญ/ชิ้น คาดว่าจะเริ่มใช้อย่างเป็นทางการภายในปี ค.ศ. 2005 ด้านผู้ผลิตชิพ ฟิลิปส์ ดัตช์ อิเล็กทรอนิกส์ หนึ่งในผู้ผลิตชิพสำหรับ RFID เปิดเผยว่า กำลังพัฒนาเวอร์ชั่นใหม่ในการทำงานของชิพ มีชื่อว่า Near Field Communication สามารถจ่ายเงินผ่านโทรศัพท์มือถือได้ สำหรับประเทศไทยแล้ว นายสมชัย สวัสดีผล รักษาการองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในสนามบินสุวรรณภูมิก็มีโครงการนำ RFID มาใช้ในการแยกสินค้าที่คลังสินค้าของสนามบินเช่นกัน (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 9 ก.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





ข่าววิจัย/พัฒนา


ระบบทำความเย็นเพื่อรักษาความสดของพืชผัก

นายสุเมธ ท่านเจริญ นักวิจัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนุบรี ได้ออกแบบ จัดสร้างระบบลดอุณหภูมิผักอย่างรวดเร็ว (Pre-Cooling) เพื่อรักษาความสดของพืชผัก ผลไม้ไว้ให้ได้นานจนถึงที่หมาย ซึ่งระบบที่ออกแบบนี้ สามารถรองรับผลผลิตได้ประมาณ 300 ตัน/ปี จากการที่มูลนิธิโครงการหลวงได้ส่งเสริมให้ชาวไทยภูเขามีอาชีพปลูกผักซึ่งมีผลผลิตประมาณ 6,500 ตัน/ปี อันมีมูลค่ากว่าร้อยล้านบาท แต่ผักมักประสบกับความเสียหายประมาณ 50% เนื่องจากผักที่ตัดออกมาจากแปลงแล้วย่อมเสื่อมสภาพ ความสดลดลง ความเหี่ยวเข้ามาทดแทน ฉะนั้น จึงคิดว่าทำอย่างไรจึงจะให้ผักมีความสดอยู่ตลอดเวลา จึงได้นำเอาระบบลอดอุณหภูมิผักอย่างรวดเร็วเข้ามาช่วย โดยพยายามดึงอุณหภูมิจากผักลงอย่างรวดเร็วและให้ได้อุณหภูมิต่ำที่สุด หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นการดึงเอาความร้อนออกจากผักให้เร็วที่สุด ซึ่งก็ได้ผลเพราะพืชผักทั้งพืชหัวและพืชใบ สามารถรักษาความสดได้นานขึ้น ซึ่งการใช้ระบบ Pre-Cooling นี้สามารถลดความเสียหายของผลผลิตได้เป็นจำนวนมาก จาก 50% เหลือเพียง 2% เท่านั้น คิดเป็นมูลค่าถึง 4.8 ล้านบาท นอกจากนี้แล้วระบบนี้ยังสามารถลดเวลาในการลดอุณหภูมิใจกลางผักจาก 30 ํC ลดลงเหลือ 4 ํC ในเวลา 2-4 ชั่วโมง จากเดิมที่ต้องใช้เวลาถึง 16-20 ชั่วโมง และยังสามารถยืดอายุการเก็บรักษาผักจาก 10 วัน เป็น 20 วันอีกด้วย สำหรับระบบ PRE-COOLING แบ่งออกเป็น 2 ระบบคือ ระบบ Hydro-Cooling System เป็นวิธีที่ทำให้พืชผักเย็นโดยการใช้น้ำเย็นอุณหภูมิต่ำเข้ามา พืชผักที่เหมาะกับระบบนี้ได้แก่ พวกผักหัว เช่น แครอท บีทรูท เป็นต้น เพราะหากเป็นผักใบถ้านำมาใช้ในระบบนี้แล้ว จะทำให้ใบผักช้ำทำให้เสียหายได้อีกระบบหนึ่งคือ ระบบ Forced -Air Pre-cooling เป็นระบบที่ใช้ลมเย็นเข้ามาช่วย เหมาะสำหรับพืชผักใบ เช่น ผักกาดหอมห่อ ผักกาดขาวปลี ผักกาดหางหงส์ เป็นต้น ผู้สนใจติดต่อได้ที่ นายสุเมธ ท่านเจริญ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โทร. 0-2470-9682. (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 5 ก.ค. 47)





ย่อยขยะแบบไร้อากาศ เทคโนโลยีลดขยะ-สร้างพลังงานสะอาด

น.ส.ชีวานุช ทับทอง นักศึกษาปริญญาเอก โครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) จากบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) กล่าวว่า การฝังกลบทำให้ขยะทับถมกัน ไม่ได้สัมผัสอากาศ การย่อยสลายอินทรียวัตถุจึงเป็นการย่อยแบบไม่ใช้ออกซิเจน ซึ่งขยะเหล่านี้เป็นสารอินทรีย์ที่มีผลพลอยได้คือ "ก๊าซมีเทน" ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกติดไฟ และจากคุณสมบัติที่ติดไฟได้ของก๊าซมีเทนนี่เอง หากมีระบบกำจัดขยะที่มีประสิทธิภาพ ก็สามารถรวบรวมก๊าซที่เกิดขึ้นไปใช้ประโยชน์ได้ โดยนอกจากจะนำความร้อน จากก๊าซดังกล่าว ไปใช้ประโยชน์ได้แล้ว ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซอันเป็นต้นเหตุ ของภาวะโลกร้อนสู่บรรยากาศ ได้อีกทางด้วย ในต่างประเทศ เทคโนโลยีนี้ ได้มีการนำไปใช้ในหลายด้าน เช่น นำไปผลิตกระแสไฟฟ้า หรือส่งความร้อน ไปสร้างความอบอุ่น ให้บ้านเรือน ช่วงฤดูหนาว สำหรับประเทศไทย การใช้ประโยชน์จากก๊าซมีเทน จะอยู่ในฟาร์มเลี้ยงหมู (ขี้หมู) ขณะที่การจัดการกับก๊าซ มีเทนที่เกิดในกองขยะจะเน้นการ "กำจัด" มากกว่าการ "นำไปใช้" เพราะองค์ประกอบของขยะ ในแต่ละประเทศ จะแตกต่างกัน เราจึงไม่สามารถนำเทคโนโลยีการเก็บก๊าซมีเทน ของต่างประเทศมาใช้โดยตรงได้ ด้วยเหตุนี้ น.ส.ชีวานุช จึงได้ทำการศึกษา "ระบบกำจัดขยะแบบไร้ ออกซิเจน สำหรับขยะอินทรีย์จากตลาด" โดยมี รศ. ดร.สิรินทรเทพ เต้าประยูร เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อดูคุณสมบัติการย่อยสลายขยะอินทรีย์จากตลาดสดในประเทศไทย อันที่จะนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีการกำจัดขยะที่เหมาะสม รวมถึงสามารถนำก๊าซมีเทนที่เกิดขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้อย่าง มีประสิทธิภาพเบื้องต้น ผู้วิจัยพบว่าการทำงานของจุลินทรีย์และแบคทีเรีย ในการเปลี่ยนขยะจากของแข็งไปเป็นของเหลวเกิดขึ้นเร็วมาก แต่ของเหลวเหล่านั้นเปลี่ยนไปเป็นก๊าซน้อยกว่าที่ควรจะเป็น โดยพบว่าภายใน 7 วัน ปริมาตรขยะจะลดลงกว่า 70% แต่แทนที่จะทำให้เกิดก๊าซมีเทนมาก กลับกลายเป็นของเหลวเกิดขึ้นในปริมาณมากแทน และยังเป็นตัวไปยับยั้งมิให้ จุลินทรีย์สำคัญสร้างก๊าซมีเทนได้ เพราะความเป็นกรดที่สูงมากของของเหลวนั่นเอง จากงานวิจัยดังกล่าว ทำให้เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น อันจะนำไปสู่การควบคุมกลไก หรือปฏิกิริยา ในกองขยะเหล่านี้ ให้มีสภาพเหมาะสม กับการย่อยสลาย และทำให้เกิดก๊าซมีเทน ในปริมาณที่มากขึ้น ซึ่งขณะนี้ได้ศึกษาเทคนิค การปรับสภาพของเหลว ให้เหมาะต่อการทำงานของจุลินทรีย์ด้วย ตั้งแต่การหาสารที่มาลดค่า ความเป็นกรดของของเหลว หรือการมีระบบที่จะนำของเหลวด้านล่างกองขยะ ขึ้นมาฉีดพ่นด้านบน เพื่อลดความเข้มข้นของสารที่ก้นกองขยะ และเพิ่มปริมาณการย่อยสลายให้มากขึ้น อันนำไปสู่การพัฒนาระบบการกำจัดขยะอินทรีย์แบบไร้อากาศด้วยวิธี ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความสนใจยิ่งจากนักวิจัยทั่วโลก (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 5 ก.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





สร้างแบบจำลองไวรัสเด็งกี่ ช่วยยับยั้งการแพร่ระบาด

น.ส.พันธนี พงศ์สัมพันธ์ บัณฑิตปริญญาเอก สาขาวิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เจ้าของวิทยานิพนธ์ดีเด่นเรื่อง แบบจำลองการแพร่ระบาดของการติดเชื้อไวรัสเด็งกี่ในประเทศไทย เปิดเผยว่า ผลลัพธ์ที่ได้จากวิทยานิพนธ์ฉบับนี้จะเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยในการยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคนี้ ช่วยลดจำนวนผู้ป่วยให้น้อยลง ซึ่งเป็นประโยชน์ในทางการแพทย์ โรคไข้เด็งกี่เกิดจากเชื้ออาร์โบไวรัส (arboviral-disease) พบได้ในประเทศแถบร้อน โดยเฉพาะประเทศไทย โดยมียุงลายเป็นพาหะของโรค ซึ่งโรคเด็งกี่นี้แบ่งเป็น 4 สายพันธุ์คือ 1,2,3,4 โรคนี้เป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญของโลก โดยแต่ละปีจะพบผู้ป่วยมากกว่า 5-10 ล้านคนทั่วโลก และอาการหนักมากต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลถึงปีละ 500,000 คน และโรคนี้มีการแพร่ระบาดเป็นเวลานานมากในประเทศไทย โดยที่ยังไม่มีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพที่สามารถป้องกันโรคนี้ได้ แม้ว่าในปัจจุบันการผลิตวัคซีนไข้เลือดออกได้มีการค้นคว้าและวิจัยโดยทีมนักวิจัยของ ศ.ดร. ณัฐ ภมรประวัติ และ ศ.ดร. สุธี ยกส้าน แห่งมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งมีความคืบหน้าไปถึงขั้นเตรียมการเข้าสู่เฟส 3 หรือขั้นตอนสุดท้ายของการพัฒนาวัคซีน และได้มีการจดสิทธิบัตรของวัคซีนดังกล่าวร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยกับเอกชนในประเทศฝรั่งเศส ที่ร่วมพัฒนาวัคซีนสู่ระดับอุตสาหกรรม (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 5 ก.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





จานไถจากเทคโนโลยีคอมพ์ฯสนองความต้องการเกษตรกร

เจริญ ส้มแก้ว, นัฐวุฒิ พรหมเจริญ, รัตนพงศ์ เสาศิลา, สมคิด สุมาลย์ และสุรชัย ปรีเรือง นักศึกษาภาควิชาวิศว กรรมเครื่องจักรกลเกษตร สถาบันเทค โนโลยีราชมงคล โดยมี อ.มานพ ตันตระบัณฑิตย์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาที่ได้ร่วมกันคิดค้นประดิษฐ์จานไถ ติดรถไถเดินตามแบบ 3 จานไถ ซึ่ง อ.มานพ กล่าวถึง จานไถแบบ 3 จานนี้ว่า โครงการนี้กลุ่มนักศึกษา ได้นำเทคโนโลยีคอม พิวเตอร์เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ ทดสอบ และออกแบบ โดยได้เลือกโปรแกรมไฟไนต์ อิลิเมนต์ มาร่วมวิเคราะห์ โครงสร้างความเสียหายภายใต้ภาระที่กระทำเพราะในการทำงาน เมื่อมีแรงมากระทำต่อตัว-จะไม่สามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของวัสดุด้วยตาเปล่า โดยได้พัฒนามาจากจานไถ 2 จานมาเป็นแบบ 3 จาน ซึ่งจานไถที่ออกแบบใหม่นี้ จะเน้นถึงความสะดวกในการทำงาน โดยที่จานไถสามารถปรับหน้ากว้างและปรับระดับความลึกของการไถได้ ทำให้พื้นที่ไถต่อครั้งกว้างขึ้น ทำให้การเคลื่อนที่ไปกลับในแปลงไถใช้เวลาน้อยลงและรวดเร็วขึ้น 58% สามารถไถได้พื้นที่ 1.82 ไร่/ชั่วโมง ทำให้ลดปัญหาการเกิดสันดินและยังเหมาะสำหรับการทำงานในพื้นที่ในลักษณะต่าง ๆ กันได้เป็นอย่างดีเมื่อเปรียบเทียบกับจานไถแบบ 2 จานแล้ว จานไถแบบ 3 จานสามารถลดอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึง 30% คือเมื่อเปรียบเทียบกับจานไถแบบ 2 จานที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง 1.3 ลิตร/ไร่ แต่สำหรับจานไถแบบ 3 จานแล้ว ใช้น้ำมันเพียง 1 ลิตร/ไร่ เท่านั้น ที่สำคัญในการบำรุงรักษา สามารถ หาชิ้นส่วนที่มีขายได้ตามท้องตลาดและต้นทุนการผลิตก็ไม่สูงเกินไป ติดต่อสอบถามได้ที่ คณะวิศว กรรมและเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโน โลยีราชมงคล โทร. 0-2549-3300 (เดลินิวส์ อังคารที่ 6 ก.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





เรดาร์ทะลุทะลวงกำแพง ช่วยค้นหาเหยื่อในอาคาร

หนังสือพิมพ์ฮาเร็ตซ์ รายงานข่าวเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีเรดาร์ โดยบริษัท คาเมโร ในเมืองเฮิร์ซลิยา ประเทศอิสราเอล ที่ใช้เทคโนโลยีอัลตรา-ไวด์แบนด์ ช่วยผลิตภาพสามมิติของสิ่งที่อยู่ด้านหลังกำแพง โดยภาพที่ได้มีความละเอียดสูง คุณภาพเหมือนกับภาพในระบบอัลตราซาวนด์ ที่สำคัญ สามารถทะลุได้ไกลถึง 20 เมตร และสร้างภาพได้ ณ เวลาจริงด้วย นักวิจัยที่ร่วมทีมพัฒนาดังกล่าว แจ้งว่า ต้นแบบชิ้นแรกของอุปกรณ์ดังกล่าว คาดว่าจะเผยโฉมในอีก 18 เดือนข้างหน้า โดยจะนำไปประยุกต์ใช้ในงานของหน่วยกู้ภัย เพื่อค้นหาเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจากภัยพิบัติต่างๆ บริษัทอิสราเอลแห่งนี้ จึงได้พัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัย ซึ่งคลื่นวิทยุอัลตรา-ไวด์แบนด์ดังกล่าว สามารถสร้างภาพที่มีความละเอียดสูง และยังสามารถส่งผ่านภาพเสมือนจริงออกจากกำแพงในลักษณะสามมิติได้ เพื่อช่วยให้เจ้าหน้าที่บรรลุภารกิจได้เร็วขึ้น และช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ ยังอาจนำไปใช้ทางการทหาร เช่น ใช้สำรวจสถานที่ว่ามีข้าศึกแอบแฝงอยู่ภายในอาคารมากน้อยแค่ไหน เพื่อจะได้จัดเตรียมอาวุธเข้าจู่โจมได้อย่างเหมาะสม บริษัทอิสราเอลหลายแห่งได้พัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่หลายรายการ โดยเฉพาะด้านความปลอดภัย เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทแห่งหนึ่งได้พัฒนารถลาดตระเวนแบบไร้คนขับให้กับกองทัพรัฐบาล เพื่อใช้สำรวจบริเวณฉนวนกาซา โดยรถคันดังกล่าวใช้ระบบคอมพิวเตอร์และเซนเซอร์เป็นตัวตรวจจับ สังเกตการณ์ผู้ก่อการร้าย รวมทั้งสามารถกำจัดฝ่ายตรงข้ามได้ด้วย (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 6 ก.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





เอ็มเทคหนุนวิจัยเทคโนโลยีสะอาด

ดร.ปมทอง มาลากุล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสะอาด (CTAP) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) เปิดเผยว่า สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ควรให้ความสำคัญกับการออกแบบเชิงนิเวศเศรษฐกิจ (Green Design, EcoDesign) ซึ่งเป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งของการใช้เทคโนโลยีสะอาด (Cleaner Technology: CT) ในกระบวนการผลิตสินค้า โดยการออกแบบเชิงนิเวศเศรษฐกิจจะผนวกแนวคิดด้านเศรษฐกิจและด้านสิ่งแวดล้อม เข้าไปในขั้นตอนการออกแบบผลิตภัณฑ์ หรือกระบวนการผลิต โดยพิจารณาตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Product Life Cycle) ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในแต่ละขั้นตอนของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ พร้อมกับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย ทั้งนี้ ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีสะอาด เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ ระเบียบว่าด้วยการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ระเบียบว่าด้วยการจัดการซากยานยนต์ ที่ออกโดยสหภาพยุโรป หรือกฎหมายการเรียกคืนเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือนที่หมดอายุแล้วของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกฎที่เน้นความรับผิดชอบของผู้ผลิต (Producer responsibility) กฎเหล่านั้นล้วนส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อสินค้าส่งออกของไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ที่นำรายได้เข้าประเทศสูงสุด โดยในปี 2546 มูลค่าการส่งออกไปตลาดสหภาพยุโรป (อียู) สูงกว่า 180,000 ล้านบาท หากผู้ผลิตไทยไม่ปรับปรุงรูปแบบการผลิต อาจจะทำให้ตลาดนี้ตกไปเป็นของประเทศที่มีความพร้อมมากกว่า ดังนั้น เอ็มเทคจึงเตือนภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรมและภาคการศึกษา เห็นความสำคัญและเตรียมความพร้อมของอุตสาหกรรมไทย เพื่อรองรับกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้า ตลอดจนสร้างความเข้าใจด้านการพัฒนาและส่งเสริม Green Design ในภูมิภาคเอเชีย (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 6 ก.ค. 47http://www.bangkokbiznews.com)





มจธ.ออกแบบบ้านพลังงานธรรมชาติ ชี้จุดเด่นไม่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เดินหน้าถ่ายทอดเทคโนโลยี

นายธีรยุทธ เจนวิทยา นักวิจัยกลุ่มระบบพลังงานสะอาด สถาบันพัฒนาและฝึกอบรมโรงงานต้นแบบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เปิดเผยว่า มจธ.ออกแบบและพัฒนาบ้านประหยัดพลังงาน ภายใต้โครงการ "บ้านสาธิตเพื่อชีวิตที่ดี" เน้นแนวคิดบ้านพักอาศัยที่อยู่ได้ด้วยตนเอง ไม่พึ่งพาพลังงานจากภายนอก ไม่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ไม่เน้นความสวยงาม แต่เน้นที่การอนุรักษ์พลังงาน ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและอยู่สบาย ที่สำคัญคือประชาชนทั่วไปสามารถนำไปเป็นต้นแบบในการสร้างบ้านได้จริง พลังงานที่ใช้ภายในบ้านดังกล่าวแบ่งเป็น ระบบไฟฟ้ามาจากแผงกักเก็บพลังงานแสงอาทิตย์ หรือโซล่าร์เซลล์และกังหันลมอิสระ ระบบน้ำได้จากแหล่งน้ำซึมจากบ่อตื้น พร้อมทั้งอาศัยน้ำประปาเป็นแหล่งเสริม และระบบระบายอากาศ โดยตัวบ้านถูกออกแบบให้สามารถระบายความร้อนได้เป็นอย่างดี ด้วยผนังสองชั้น หลังคาโปร่ง ทำให้รู้สึกว่าตัวบ้านเย็นขึ้น จึงไม่จำเป็นต้องติดตั้งเครื่องปรับอากาศ "พื้นที่หลังคาบ้านจะติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์ เพื่อรับพลังงานจากแสงอาทิตย์ในเวลากลางวัน และจ่ายให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ในกรณีที่กระแสไฟฟ้าที่ได้จากโซล่าร์เซลล์มีมากกว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าในขณะนั้น กระแสไฟฟ้าส่วนเกินที่ได้จะถูกขายคืนให้กับระบบจำหน่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้า ในทางกลับกัน หากความต้องการใช้กระแสไฟฟ้าในขณะนั้น มีมากกว่าที่โซล่าร์เซลล์ผลิตได้ กระแสไฟฟ้าส่วนที่ขาดจะถูกเสริมเข้ามาจากระบบจำหน่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ซึ่งเท่ากับว่าหากตลอดเดือนมีการใช้ไฟฟ้าน้อยกว่ากระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้ นอกจากจะไม่ต้องเสียค่าไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าแล้ว ยังได้เงินจากการขายกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ ยังออกแบบให้มีบ่อพักน้ำใต้ดิน ซึ่งช่วยในการตกตะกอนสารแขวนลอยบางตัว และระบบกรองแบบ 2 ตัวกรอง ประกอบด้วย สารกรองแอนทราไซท์ และถ่านกัมมันต์ เพื่อกรองสารแขวนลอย บำบัดกลิ่นและสีในน้ำ แล้วจึงส่งน้ำที่กรองได้ไปเก็บไว้ในถังพักบนหลังคา ก่อนที่จะจ่ายไปใช้ภายในบ้านต่อไป บ้านดังกล่าวยังมีระบบบำบัดน้ำเสีย เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ ทั้งนี้ ต้นทุนการผลิตบ้านต้นแบบอยู่ประมาณล้านต้นๆ แต่เมื่อปรับลดขนาดพื้นที่ใช้สอยแล้ว จะทำให้ราคาและต้นทุนถูกลง ส่วนการนำระบบพลังงานธรรมชาติดังกล่าวมาใช้กับบ้านจัดสรร เชื่อว่าในอนาคตจะมีความเป็นไปได้สูง (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 6 ก.ค. 47http://www.bangkokbiznews.com)





เครื่องตัดหญ้า "แบบวางราย" เงียบ-นิ่งฝีมือ นศ.ราชมงคลคลอง 6

นายปฏิภาณ พรโสม นายพายุ นรชาญ และนายกาวิล วัฒนะ นักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ร่วมกับบริษัทปฏิพงศ์ เครื่องมือเกษตร คลอง 10" จ.ปทุมธานี ทำการวิจัยสร้างเครื่องต้นแบบ "เครื่องตัดหญ้าแบบวางราย" (FABRICATION OF SLASHER) โดยมี อาจารย์มานพ ตันตระบัณฑิตย์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ปฏิภาณ พรโสม หนึ่งในทีมนักประดิษฐ์ เผยว่า จากการสังเกตดูเครื่องตัดหญ้าที่ใช้กันอยู่ทั่วๆ ไป เวลาใช้งานมักเกิดปัญหาการสั่นสะเทือนมาก จึงมีความคิดที่จะพัฒนาเครื่องตัดหญ้าให้มีอัตราการสั่นสะเทือนน้อยลงและทำงานเงียบขึ้น ซึ่งจะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักรได้อีกด้วย โดยเครื่องตัดหญ้าแบบวางรายนี้ สามารถเรียงหญ้าที่ตัดแล้วให้ล้มวางเรียงกันเป็นแนว เพื่อง่ายต่อการจัดเก็บและนำไปอัดเป็นฟ่อน ส่วนประกอบหลักแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ชุดตัด ชุดลำเลียง และชุดขับเคลื่อน โดยใช้เครื่องยนต์ไทเกอร์ ขนาด 6 แรงม้า เป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งตัวเครื่องจะมีขนาดความกว้าง 80 เซนติเมตร มีระบบลำเลียงหญ้าด้วยสายพานลำเลียงและใช้ระบบส่งกำลังด้วยสายพาน ยังมีคุณสมบัติพิเศษ คือมีล้อเหล็ก 2 ล้อ ในระบบขับเคลื่อน 2 พร้อมเกียร์เดินหน้า ทำให้ง่ายต่อการใช้งานสำหรับหญ้าที่มีความสูงตั้งแต่ 10-100 เซนติเมตร ในทุกสภาพพื้นที่การเกษตรของประเทศ ซึ่งจากการทดสอบ เครื่องตัดหญ้าแบบวางรายดังกล่าว สามารถตัดหญ้าได้ถึงประมาณ 0.49 ไร่ต่อชั่วโมง สำหรับผู้สนใจเครื่องตัดหญ้าแบบวางรายฝีมือเด็กไทย ที่ได้รับรางวัลเป็นเครื่องการันตีประสิทธิภาพจาก "งานแสดงผลงานพัฒนาเทคโนโลยีทุนปริญญาตรี สกว.ครั้งที่ 2" ซึ่งจัดโดยสำนักงานโครงการ "IRPUS" ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2547 ที่ผ่านมา ประเภทโครงงานดีเด่น "Professional Vote" สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร ศูนย์กลางสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี โทร.0-2549-3300 ในวันและเวลาราชการ (คมชัดลึก อังคารที่ 6 ก.ค. 47 http://www.komchadluek.net)





วิจัยสร้างเครื่องมือแพทย์ราคาประหยัด

ดร.ธนาภรณ์ โกราษฎร์ นักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) เปิดเผยว่า ต้นแบบข้อเข่าเทียมมอดุลาร์และต้นแบบโครงค้ำขาผู้ป่วยโปลิโอ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้พิการทางขาและผู้ป่วยโปลิโอ แต่มีราคาแพงและเกือบทั้งหมดเป็นสินค้านำเข้าจากบริษัทผู้ผลิตเวชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์ในต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและเยอรมนี ทำให้ผู้ป่วยรายได้น้อยเข้าไม่ถึงอุปกรณ์จำเป็นดังกล่าว เอ็มเทคจึงวิจัยและสร้างข้อเข่าเทียมและโครงค้ำขา โดยใช้เทคนิคด้านวิศวกรรมย้อนรอยในการศึกษา และตรวจสอบอุปกรณ์นำเข้าอย่างละเอียด จนกระทั่งมีความเข้าใจถึงการออกแบบเชิงวิศวกรรม ทำให้สามารถออกแบบและสร้างต้นแบบอุปกรณ์ข้อเข่าเทียมและโครงค้ำขา ในรูปแบบใหม่ที่เหมาะสมกับคนไทย สำหรับการวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์ทั้งสอง ได้เน้นความสำคัญด้านวัสดุมากกว่าการออกแบบให้สวยงาม โดยมุ่งเลือกใช้วัสดุที่หาได้ง่ายในไทย น้ำหนักเบาและราคาถูก จึงพิจารณาเลือกวัสดุอะลูมิเนียม ดร.ธนาภรณ์ ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัย กล่าวเพิ่มเติมว่า อุปกรณ์ทั้งสองชิ้นนี้ ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงความแข็งแรงและปลอดภัยของผู้ป่วย ขณะนี้ ต้นแบบชิ้นงานได้นำไปทดสอบใช้กับผู้ป่วยจริงมาแล้วประมาณ 1 เดือน และรอติดตามผลการทดลองที่คาดว่าจะใช้เวลา 6 เดือน โดยอุปกรณ์โครงค้ำขาผู้ป่วยโปลิโอออกแบบ ให้สามารถรองรับน้ำหนักได้มากเกือบ 3 เท่าของน้ำหนักตัวคนทั่วไป ส่วนราคาก็ต่ำกว่า 30% ขณะที่ข้อเข่าเทียมราคาต่ำกว่าเกือบครึ่ง (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 7 ก.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ชี้ชะเอม-อบเชยฆ่าเชื้อในผึ้ง ไร้สารพิษส่งผลดีต่อผู้บริโภค

ดร.ภาณุวรรณ จันทวรรณกูร ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ให้ทำการวิจัยโครงการ : การศึกษาโรคที่เกิดจากแบคทีเรียและเชื้อราในผึ้งพันธุ์และผึ้งโพรงและการใช้สารสกัดจากธรรมชาติในการบำบัด เปิดเผยผลการวิจัยว่า ขณะนี้อุตสาหกรรมการเลี้ยงผึ้งประสบปัญหาสำคัญและต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนขณะนี้คือ การแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคที่เกิดจากจุลินทรีย์และแบคทีเรียในตัวอ่อนผึ้ง "นักวิจัยทดสอบกับสารสกัดสมุนไพรเพื่อหาสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพต้านเชื้อรังผึ้ง โดยขณะนี้พบว่า สารสกัดชะเอมและกานพลูสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย สารสกัดอบเชยและพลูออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อราได้ดีที่สุด ซึ่งจะเป็นผลดีต่อผู้บริโภคด้วย เพราะไม่มีสารเคมีตกค้าง (มติชน พุธที่ 7 ก.ค. 47 http://www.matichon.co.th)





เคี้ยวแอปเปิลวันละไม่ต่ำกว่า 2 ผลไว้ชนป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหาร

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยเฟเดริโก 2 เมืองเนเปิล ค้นคว้าเจอว่า แอปเปิลมีสารที่มีสรรพคุณช่วยปกป้องกระเพาะอาหารได้อย่างดี เพราะมันช่วยซ่อมแซมความเสียหายอันเกิดจากพวกอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความแก่ชรา และเนื้อร้ายในกระเพาะขึ้นได้ ทีมนักวิจัยที่มีคามิลโล เดซ เวกชิโอ บรังโก เป็นหัวหน้า พบว่าสารสกัดจากแอปเปิล อุดมไปด้วยสารที่มีสรรพคุณเป็นตัวล้างพิษ เช่น พวกคาเตชนและกรดโครโรจีนิก สารสกัดจากแอปเปิลกับกรดโคลโรจีนิก ได้แสดงให้เห็นว่าขัดขวางการเติบโต ของเซลล์มะเร็งกระเพาะอาหารได้ รายงานการศึกษาซึ่งเสนออยู่ในวารสารวิทยาศาสตร์ว่าด้วยกระเพาะอาหารและลำไส้ กล่าวแจ้งว่า ขั้นต่อไปจะได้ทดลองกับคน เพื่อวัดสอบฤทธิ์ความแรงของสารประกอบของแอปเปิล ที่ทำหน้าที่เป็นสารป้องกันกระเพาะและลำไส้ต่อไป .(ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 8 ก.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





วิจัยพลาสติกผสมน้ำยางพารา ทดแทนยางสังเคราะห์นำเข้า

ดร.จันทร์ฉาย ทองปิ่นและคณะ นักวิจัยมหาวิทยาลัยศิลปากร เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีการใช้งานพลาสติกพีวีซีมากขึ้น ทำให้เกิดเป็นอุตสาหกรรมเชื่อมโยง เช่น มีการนำพีวีซีมาใช้ในอุตสาหกรรมจำพวกหนังเทียม เสื่อน้ำมัน วอลเปเปอร์ หรือภาชนะใสบรรจุอาหาร และยังมีการนำพีวีซีชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเป็นแผ่นฟิล์มพิมพ์ลายแล้วติดลงบนหน้าไม้อัด เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะและลวดลายไม้ ส่วนวงการเฟอร์นิเจอร์ยังมีการนำฟิล์มพีวีซีดังกล่าวมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น ตู้เสื้อผ้า ชั้นวางหนังสือ โต๊ะคอมพิวเตอร์ แผ่นฟิล์มพีวีซีที่นำไปติดลงบนหน้าไม้ของเฟอร์นิเจอร์ไม้อัด ต้องมีสมบัติรับแรงกระแทกที่ดี ดังนั้นการผลิตจึงต้องเติมสารเพื่อรองรับแรงกระแทก ซึ่งปกติในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์หรือในอุตสาหกรรมอื่นๆ จะนำยางสังเคราะห์ชนิด ABS (Acrylonitile-Butadiene-Styrene) ที่มีราคาสูงมาผสม จึงได้นำยางธรรมชาติมาใช้ทดแทนยางสังเคราะห์ดังกล่าว แต่ยังพบปัญหาว่าฟิล์มที่ได้มีความเหลืองเกิดขึ้น ซึ่งไม่เหมาะในการนำไปใช้กับงานที่ต้องการให้มีสีอ่อน งานวิจัยนี้จึงมุ่งศึกษาปัจจัยที่ทำให้เกิดความเหลือง โดยคณะผู้วิจัยได้ศึกษาการผลิตฟิล์มพีวีซี โดยใช้น้ำยางธรรมชาติทดแทนยางสังเคราะห์ เพื่อให้มีคุณสมบัติลดแรงกระแทกและลดต้นทุนการผลิต พบว่า การนำน้ำยางธรรมชาติที่มีการดัดแปรด้วยคลอรีนมาเป็นตัวเชื่อมประสาน จะทำให้ฟิล์มพีวีซีที่ได้มีสมบัติเชิงกลที่ดี เนื่องจากการยึดเกาะที่ดีขึ้นระหว่างวัฏภาคของพีวีซีและ ยาง ซึ่งตรวจสอบได้ชัดเจนจากโครงสร้างทางจุลภาค และจากการทดสอบวัดค่าความเหลือง สมบัติทางความร้อน ยังพบว่า ความเหลืองที่เกิดขึ้นในฟิล์มลดลง ทำให้สามารถนำพีวีซีที่มีการใช้น้ำยางธรรมชาติ มาใช้เป็นสารปรับปรุงความทนทานต่อแรงกระแทกไปใช้งานได้จริง และใช้กับงานได้กว้างขึ้น ไม่เฉพาะกับลายที่มีสีเข้มเท่านั้น ขณะนี้ภาคเอกชนยังมีความสนใจในการนำไปใช้งานในระดับอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ (กรุงเทพธุรกิจ 8 ก.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





อังกฤษพัฒนาครีมกันแดดดูแลลึกถึงดีเอ็นเอ

ดร.มาร์ค เบิร์ช-มาชิน ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งผิวหนัง มหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล เปิดเผยว่า ทีมงานอยู่ระหว่างจัดตั้งบริษัทชื่อ ดีเอ็นเอแคร์ ซิสเต็มส์ เพื่อพัฒนาสารกันแดดที่มีคุณสมบัติเฉพาะ ในการป้องกันสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอของผิวหนัง โดยบริษัทใหม่นี้จะดำเนินการอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ในเมืองไทนีไซด์ ประเทศอังกฤษ สำหรับสารกันแดดที่วางจำหน่ายทั่วไปในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะมีคุณสมบัติป้องกันการเผาไหม้จากแสงแดดเป็นหลัก แต่ไม่สามารถป้องกันการทำลายดีเอ็นเอของผิวหนัง และจากการวิจัยพบว่าแสงอาทิตย์มีระดับความรุนแรงสูงมาก ไม่เพียงแต่จะทำให้เกิดการเผาไหม้ของผิวหนังแล้ว ยังทะลุเข้าไปทำลายดีเอ็นเอได้ด้วย ดังนั้น คณะทำงานจึงมองเห็นช่องทางที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ให้กับตลาด ด้วยการพัฒนาสารกันแดดตัวใหม่ออกมา ซึ่งระบุชัดว่าสามารถป้องกันดีเอ็นเอจากแสงแดดได้แน่นอน นอกจากนี้ บริษัทตั้งใหม่แห่งนี้ ยังมีแผนจะร่วมมือกับผู้ผลิตสินค้าความงามต่างๆ ที่ต้องการนำสารกันแดดพิเศษนี้เข้าไปเป็นส่วนผสมภายใต้แนวคิดเดียวกัน คือ ป้องกันผิวหนังและดีเอ็นเอจากแสงแดด (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 9 ก.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





วช.อนุมัติ310ล้านวิจัยเครื่องมือแพทย์-ยา

นักวิจัยไทยในสหรัฐเดินทางกลับประเทศ รับทำวิจัยด้านเครื่องมือแพทย์และยาครบวงจร เน้นสร้างผลิตภัณฑ์เพื่อนำไปสู่การขายเชิงพาณิชย์ ระบุสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ อนุมัติงบ 310 ล้านบาท ตั้งเป้า 3 ปีได้ 69 ชิ้นงานใหม่ทดแทนนำเข้า อาทิ ชุดตรวจวินิจฉัยโรค ชุดทดสอบทางยา หวังไทยพึ่งตัวเอง ไม่นำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ดร.ธวัช วิรัชติพงศ์ นักวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมโครงการวิจัยบูรณาการยา เคมีภัณฑ์ และวัสดุอุปกรณ์การแพทย์ของวช.กล่าวว่า ขณะนี้โครงการวิจัยเครื่องมือแพทย์ได้รับการอนุมัติแล้ว ด้วยงบประมาณจำนวน 310 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี ซึ่งจะวิจัยแบบครบวงจรรวมทั้งด้านการตลาด โดยในระยะ 4 เดือนแรก จะใช้งบประมาณจำนวน 10 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มงานวิจัยออกเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มแรกวิจัยผลิตยาในคนจำนวน 11 โครงการ ประกอบด้วย พัฒนาสูตรตำรับและการทดสอบชีวสมบูรณ์ของยาสามัญประจำบ้าน พัฒนาชุดตรวจวินิจฉัยพยาธิใบไม้ในตับ พัฒนาสารสกัดจากต้นหญ้าหวานเพื่อการประยุกต์ใช้ในทางการแพทย์ ส่วนกลุ่มที่สอง จะดำเนินการวิจัยพัฒนากลุ่มยาเคมีภัณฑ์ที่ใช้ในทางปศุสัตว์ 14 โครงการ กลุ่มที่สามวิจัยพัฒนากลุ่มวัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์มี 10 โครงการ ส่วนกลุ่มที่ 4 นั้น จะเป็นโครงการพิเศษที่ใช้วิจัยเพื่อเป็นดัชนีชี้วัดความเร็จ "เนื่องจากโครงการวิจัยชิ้นนี้ เป็นเรื่องของการเน้นการสร้างผลิตภัณฑ์เพื่อนำไปสู่การขายในเชิงพาณิชย์ ฉะนั้นในการทำสัญญาการทำวิจัยจะแบ่งปันผลประโยชน์เอาไว้ชัดเจน เมื่อผลงานวิจัยสำเร็จจะต้องจ่ายภาษีให้กับรัฐบาลประมาณ 12.6% โดยนักวิจัยจะต้องรับผิดชอบ แต่ต้องแบ่งปันผลประโยชน์โดย วช.จะได้ส่วนแบ่ง 25% นักวิจัย 75% รวมทั้งการสนับสนุน (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 9 ก.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





มจธ.คิดค้นวิธีอบแห้งยีสต์สายพันธุ์ไทย

รศ.ดร.ยุวพิน ด่านดุสิตาพันธ์ นักวิจัยกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีการหมัก คณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เปิดเผยว่า ทีมวิจัยได้ประยุกต์ความรู้ด้านชีวภาพ ในการพัฒนาเทคโนโลยีอบแห้งยีสต์ขนมปัง โดยคัดเลือกเชื้อยีสต์สายพันธุ์พื้นเมืองจากลูกตาล คือ แซคคาโรมัยซีส ซีรีวิซิอี จากนั้นพัฒนาสูตรอาหารเลี้ยงยีสต์และสูตรอบแห้งที่เหมาะสม "ทางทีมได้คัดเลือกยีสต์หลายสายพันธุ์ที่แยกได้จากลูกตาล แล้วนำมาเปรียบเทียบผลการหมักแป้งเพื่อผลิตขนมปัง โดยพิจารณาปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ผลิตออกมา เทียบกับสายพันธุ์ที่มีขายอยู่ในท้องตลาด จากนั้นคัดเลือกสายพันธุ์ที่ดีที่สุด ซึ่งสายพันธุ์ที่คัดได้นั้นมีความสามารถเทียบเท่ากับในท้องตลาด" นักวิจัย มจธ.กล่าว จากนั้น จึงพัฒนาสูตรอาหารเลี้ยงยีสต์ที่ดีที่สุดขึ้น โดยทดลองขยายขนาดการเลี้ยงเป็นขนาดโรงงานต้นแบบ ผสมสูตรอาหารจากกากน้ำตาลเป็นองค์ประกอบหลัก ร่วมกับเกลือแร่ ซึ่งสูตรอาหารนี้จะใช้วัตถุดิบที่มีในประเทศ ต้นทุนถูก ผลปรากฏว่า ยีสต์ที่ได้สามารถเจริญได้ดี ให้ผลผลิตสูง คือ ได้ยีสต์สด 60-70 กรัมต่อลิตร จากยีสต์เปียกที่ได้นี้ ทางกลุ่มวิจัยได้นำมากรองผ่านแผ่นกรองจนได้เป็นครีมยีสต์ที่มีความชื้นร้อยละ 60-70 จากกระบวนการนี้สามารถนำยีสต์ไปใช้หมักแป้งผลิตขนมปังได้ทันที เนื่องจากจะมีสารธรรมชาติของยีสต์ที่ทำให้ขนมปังหอมน่ารับประทาน แต่ผู้ผลิตขนมปังไม่นิยมใช้ยีสต์เปียก เนื่องจากอายุการใช้งานสั้นและเก็บไว้ได้ไม่นาน หากเก็บไว้ในตู้เย็นจะอยู่ได้ประมาณ 1 เดือน แต่ถ้ารักษาความชื้นไม่ได้ระดับตามที่ต้องการจะทำให้เกิดเชื้อราขึ้น อีกทั้งยีสต์เปียกใช้พื้นที่ในการเก็บมาก ทางกลุ่มวิจัยจึงพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออบแห้งยีสต์ขึ้น ในการอบแห้งเชื้อยีสต์ได้พัฒนาสูตรสารเคมีที่ใช้ในการอบแห้ง ประกอบด้วย สารที่ทำให้อยู่ตัว สารที่ช่วยให้เกิดอิมัลชัน และสารกันกลิ่นหืน โดยหาสูตรที่เหมาะสม และนำมาผสมกับยีสต์แล้วนำไปอบแห้ง สารเคมีที่ผสมขึ้นนี้จะช่วยป้องกันยีสต์จากความร้อนและปฏิกิริยาทางเคมีในขณะอบแห้ง ทำให้ยีสต์มีชีวิตอยู่รอดได้ และสามารถเก็บไว้ได้นาน โดยทางกลุ่มวิจัยได้ทำการทดสอบความสามารถในการหมักแป้งขนมปัง พบว่า มีความสามารถในระดับเดียวกับยีสต์อบแห้งที่นำเข้า โดยสามารถเก็บไว้ได้นาน 40 สัปดาห์ ขณะนี้ได้ทดลองวางตลาดก่อน ด้านการวิจัยต่อยอดนั้นจะพัฒนาสูตรสารเคมีให้ยีสต์มีอัตราการรอดชีวิตมากขึ้น หลังจากผ่านเครื่องอบแห้งรวมถึงพัฒนาวิธีการอบแห้งด้วย (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 9 ก.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





สบู่ถ่านภูมิปัญญาพื้นบ้านที่เริ่มถูกลืม

ถ่าน ไม่เพียงแค่เป็นเชื้อเพลิง สำหรับหุงต้มอาหาร ในครัวเรือน ในทางการแพทย์ซึ่งผ่านขั้นตอน ขบวนการสกัดมาแล้ว ยังสามารถนำมาใช้ล้างท้อง ในกลุ่มคนที่รับสารพิษเข้าร่างกายในจำนวนมาก และ...ปัจจุบันถ่านยังสามารถนำมาแปรรูปทำ "สบู่" โดยเริ่มแรก นำถ่านไปบดให้เป็นผง และร่อนให้ละเอียดเพื่อให้ได้ปริมาณ 2 ช้อนชา ใช้กรีเซอร์ลีนไม่มีโซดาไฟ 1 กก. น้ำสมุนไพร อาทิ มะเขือเทศที่มีคุณสมบัติช่วย ทำให้ผิวพรรณสดใสมาปั่นคั้นน้ำ มะขามเปียกคั้นน้ำ หรือน้ำผึ้ง อย่างใดอย่างหนึ่ง จำนวน 200 ซีซี และหากต้องการความหอมให้ใส่หัวนํ้าหอมเล็กน้อย มาถึงขั้นตอนการผลิต นำกรีเซอร์ลีนไปนึ่ง ในไอความร้อนให้ละลาย ตามด้วยน้ำสมุนไพร ผงถ่าน กวนให้เข้ากัน สุดท้าย ใส่กลิ่นน้ำหอมตาม ตักใส่พิมพ์ที่เตรียมทิ้งไว้ 30 นาที จะได้สบู่ขนาด 3X2X1 นิ้ว จำนวน 30 ก้อน เมื่อจับตัวเป็นก้อนแข็ง แกะออกและใช้พลาสติกซีน หรือจะเก็บใส่กล่องกระดาษ กล่องไม้ที่ให้กลิ่นหอม เพื่อเก็บไว้ใช้รู้อย่างนี้ สถานเสริมความงามใด ต้องการนำไปทำสปาให้ลูกค้า ชมรมคนเอาถ่านเขาก็ไม่ว่าอะไร ส่วนผู้ที่สนใจฝึกทำสบู่ถ่าน ขอให้รวมกลุ่มตั้งแต่ 7-10 คน ทางชมรมฯยินดีที่จะสอนให้นอกเวลาราชการที่ โทร.0-2280-0180 ต่อ 2981-2 ส่วนผู้ที่อยู่ต่างจังหวัดสามารถติดต่อขอรับการอบรมได้ที่ ธ.ก.ส.ทุกสาขาทั่วประเทศฟรี (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 9 ก.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





ผู้ป่วยเสียโฉมเตรียมเฮ สหรัฐค้นหาวิธีปลูกถ่ายใบหน้าใหม่

นักวิจัยสหรัฐศึกษาตัวยาต้านภาวะการปฏิเสธเนื้อเยื่อที่ได้รับการปลูกถ่าย โดยเฉพาะมือ และใบหน้า การปลูกถ่ายใบหน้าเป็นเรื่องที่จำเป็นมากสำหรับผู้ป่วยที่เสียโฉม ดร.แอนดริว ลี หัวหน้าฝ่ายศัลยกรรมพลาสติก ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก บอกว่า การใช้ยากดภาวะปฏิเสธเนื้อเยื่อในมนุษย์อาจเกิดผลข้างเคียงได้ เนื่องจากตัวยามักมีฤทธิ์ร้ายแรง ขณะนี้เขาและทีมงานกำลังหาทางลดปริมาณการใช้ยา และวิธีเลิกใช้ยากดโดยเด็ดขาด มหาวิทยาลัยหลุยส์วิลล์กำลังดำเนินการขออนุญาตทางการให้พวกเขาสามารถปลูกถ่ายใบหน้าที่ได้จากศพให้กับผู้ป่วยที่เสียโฉม หลังจากที่ทีมงานสามารถปลูกถ่ายใบหน้าจากศพหนึ่งไปยังอีกศพหนึ่งได้สำเร็จ ขณะที่บรรดานักวิจัยในอังกฤษและฝรั่งเศสเองก็กำลังหาทางผ่าตัดเปลี่ยนใบหน้าให้ผู้ป่วยเช่นกัน ซึ่งรวมถึงการปลูกถ่ายผิวหนัง กล้ามเนื้อ ไขมัน หลอดเลือด และเส้นประสาท แคปแลน และลี เห็นตรงกันว่าต้องวิจัยในสัตว์ทดลองมากขึ้นก่อนจะเริ่มปฏิบัติการปลูกถ่ายใบหน้าในคนจริงโดยเฉพาะการผลักดันให้เกิดนโยบายระดับชาติ เพราะนั่นจะช่วยให้สังคมในวงกว้างยอมรับมากขึ้น และเกิดความเชื่อมั่นต่อตัวผู้ป่วยและแพทย์ที่ทำการรักษาด้วย (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 9 ก.ค. 47 http://www.komchadluek.com)





เทคนิคผ่าตัดใหม่เนื้อตัวไม่บุบสลาย ล้วงเข้าไปผ่าตัดตับไตไส้พุงได้หมด

ศัลยแพทย์นักวิจัยกล่าวว่า เทคนิคการศัลยกรรมแบบใหม่ อาศัยการใช้กล้องส่องตรวจทางเดินอาหารขนาดเล็กที่ยืดหยุ่นได้ สอดเข้าทางปากช่วยให้สามารถเข้าไปผ่าแหวะผนังกระเพาะอาหาร เพื่อเข้าถึงอวัยวะภายในช่องท้องต่างๆได้ ซึ่งวิธีนี้จะมีผลดี ช่วยให้คนไข้หายจากการผ่าตัดได้เร็วขึ้น เนื่องจากเยื่อบุกระเพาะอาหารจะประสานกันสนิทได้เร็วกว่าผิวหนัง จากการทดลองในสัตว์ สามารถผ่าแหวะผนังกระเพาะอาหาร และเยื่อหุ้มกระเพาะเข้าไปผ่าตัดซ่อมแซมลำไส้ ตับ ม้าม ถุงน้ำดีและมดลูกได้ หัวหน้าคณะวิจัย ดร.แอนโทนี คอลลู แห่งมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ กล่าวว่า เทคนิคดังกล่าว จะปฏิวัติเทคนิคการผ่าตัดลงโดยสิ้นเชิง ขณะนี้ศัลยแพทย์นักวิจัยของโรงเรียนแพทย์ในสหรัฐฯหลายแห่ง ตลอดจนที่ฮ่องกง กำลังทดลองใช้เทคนิคผ่าตัด โดยอาศัยอุปกรณ์กล้องส่อง ตรวจทางเดินอาหารมาตรฐานอยู่อย่างขะมักเขม้น เพื่อหาความชำนาญ ก่อนจะลองทำกับคนไข้ต่อไป (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 10 ก.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





ข่าวทั่วไป


อีก17ปีในกทม."เดินเร็วกว่ารถ" แก้ให้ "รถเก๋งต้องช้ากว่ารถเมล์"

ผศ.ดร.จำนง สรพิพัฒน์ ประธานสายวิชาพลังงาน บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม หนึ่งในคณะวิจัยแผนที่นำทางการวิจัยแบบบูรณาการ เพื่อมหานครที่ยั่งยืนด้านพลังงาน และสิ่งแวดล้อมสาขาการขนส่ง เปิดเผยผลการศึกษาเบื้องต้น เกี่ยวกับปัญหาระบบขนส่งในเขต กทม.ว่า "ขณะที่กรุงมะนิลา เมืองหลวงฟิลิปปินส์ มีการใช้รถส่วนบุคคลเพียง 22% โดยอีก 88% เป็นรถสาธารณะ แต่กรุงเทพฯกลับมีสัดส่วนการใช้รถส่วนบุคคลสูงกว่าเกือบ 3 เท่าตัว คือสูงถึง 55% เป็นรถสาธารณะเพียง 45%" ดร.จำนงกล่าวต่อไปว่า ยิ่งกว่านั้นเป็นที่คาดว่า ในปี พ.ศ. 2564 จะเหลือการใช้รถสาธารณะเพียง 34% และหากคำนวณความเร็วเฉลี่ยรถยนต์ของพื้นที่ใจกลางเมืองแล้ว เมื่อปี 2544 ที่ความเร็วอยู่ที่ 5-6 กม.ต่อชั่วโมง ในปี 2554 จะเหลือเพียง 3 กม.ต่อชั่วโมง และในปี 2564 จะอยู่ที่ 2 กม.ต่อชั่วโมง ซึ่งหมายถึง "การขับรถ จะช้ากว่าการเดินเท้า" การศึกษาโดยการสนับสนุนของสภาวิจัยแห่งชาติ ให้ความเห็นว่า "เป็นสิ่งจำเป็นต้องสนับสนุนให้ประชาชน หันมาใช้บริการขนส่งมวลชน โดยจำกัดการใช้รถส่วนตัวให้น้อยลง ประเด็นที่สำคัญของงานวิจัยชิ้นนี้คือ "ทำให้รถเก๋งช้ากว่ารถเมล์" แต่มีความเห็นว่ามาตราการเชิงบังคับจะดำเนินการได้ ต่อเมื่อรัฐได้พัฒนาระบบขนส่งมวลชนอย่างครบวงจรและทั่วถึงแล้วเท่านั้น". (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 5 ก.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





เปิดยุทธศาสตร์วิจัยพืชสมุนไพรไทย12ชนิด หวังส่งเสริมการส่งออกและลดการนำเข้า

ในปี 2547-2550 กรมวิชาการเกษตรจึงได้กำหนดแนวทางการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตพืชสมุนไพรเพื่อแข่งขันในเชิงพาณิชย์ โดยมุ่งวิจัยเพื่อกำหนดมาตรฐานสินค้าสมุนไพร 4 ชนิด ได้แก่ ขมิ้นชัน ฟ้าทะลายโจร พริกไทย และบุก อีกทั้งยังจะวิจัยเพื่อปรับปรุงระบบการผลิตและขยายพันธุ์สมุนไพรอีก 8 ชนิด ได้แก่ กระชายดำ ไพล มะขามแขก เจตมูลเพลิงแดง ตะไคร้หอม กวาวเครือขาว หางไหลแดง และวานิลลา ซึ่งตลาดกำลังมีความต้องการสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง น้ำมันหอมระเหย ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม รวมถึงยาปราบโรคและแมลงศัตรูพืชและวัชพืช ยารักษาโรคในสัตว์ทดแทนยาปฏิชีวนะ ตลอดจนใช้ทดแทนฮอร์โมนเพศ และใช้ในด้านการแพทย์และสาธารณสุขมูลฐานด้วย การวิจัยดังกล่าวจะสอดรับกับแผนยุทธศาสตร์สมุนไพร เครื่องเทศ และเครื่องปรุงอาหารไทยของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพรของกระทรวงสาธารณสุข โดยเน้นพัฒนาสมุนไพรทั้งระบบแบบครบวงจร ตั้งแต่การผลิตวัตถุดิบให้มีคุณภาพ เป็นมาตรฐาน มีความปลอดภัย ไร้สารปนเปื้อน จนถึงการแปรรูปผลิตภัณฑ์ให้มีมาตรฐานการผลิตสู่สากล พร้อมกับส่งเสริมการตลาดทั้งในและนอกประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก และให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าสมุนไพรในภูมิภาคเอเชียด้วย เมื่อเสร็จสิ้นการวิจัยคาดว่า จะมีศูนย์กลางข้อมูลพืชสมุนไพรอย่างครบวงจรบริการแก่เกษตรกร ผู้ประกอบการและผู้สนใจ รวมทั้งจะสามารถให้บริการตรวจสอบและรับรองพันธุ์พืชสมุนไพรโดยเทคนิคทางชีวโมเลกุล ตลอดจนให้บริการพันธุ์พืชสมุนไพร และถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต การเก็บเกี่ยว การเก็บรักษา และการแปรรูปไปสู่กลุ่มเกษตรกร ธุรกิจเอกชนอย่างถูกต้องและเหมาะสม และขยายผลสู่ระดับอุตสาหกรรมต่อไป (เดลินิวส์ อังคารที่ 6 ก.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





หนุ่มๆคีบแตะระวังเซ็กซ์เสื่อม

หนังสือพิมพ์เดอะซันของอังกฤษรายงานผลการศึกษาที่อ้างว่า รองเท้าแตะซึ่งวางขายกันในอังกฤษนั้นอาจมีส่วนทำให้สมรรถภาพทางเพศของท่านชายเสื่อม แถมยังทำลายอวัยวะภายในอื่นๆ อีกด้วย และที่สำคัญรองเท้าแตะราคาสูงลิ่วนั้นอาจจะอันตรายกว่ารองเท้าราคาถูกเสียอีก นักวิจัยอ้างว่า รองเท้าแตะไม่ว่าจะแบบคีบหรือสวมนั้นมีสารธาเลต ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้ในการผลิตพลาสติก มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมน และอาจทำลายตับและไต รวมถึงอวัยวะสืบพันธุ์ นอกจากนี้สมาคมรักษ์สิ่งแวดล้อมของเยอรมนียังพบว่า ในรองเท้าแตะที่พวกเขาทำการทดสอบนั้น มีทั้งสารตะกั่ว สังกะสี และสารประกอบฟอสฟอรัสในปริมาณสูง โดยการทดสอบในสัตว์ชี้ว่า ปริมาณที่พบนั้นสูงจนมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันและฮอร์โมนของร่างกายเสียอีก ในการทดสอบรองเท้าแตะ 25 คู่ พบว่า 14 คู่ มีสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย โดยรองเท้าแตะแมวเหมียวยี่ห้อมิสซิกตี้ ซึ่งราคาสูงแพงสุด(30 ปอนด์)นั้นไม่ผ่านการทดสอบ ขณะที่รองเท้าแตะราคาถูกที่สุด (3.5 ปอนด์) ยี่ห้อเอชแอนด์เอ็มนั้นกลับผ่านการทดสอบ นอกจากนี้นิตยสาร "ออกโกเทสต์" ของคุณแม่บ้านยุคใหม่ของเมืองเบียร์ยังพบว่า พวกตุ๊กตาเป่าลมที่คนชอบเอาไปเล่นตอนว่ายน้ำนั้น มีสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอยู่ 14 รายการ จากที่ทดสอบทั้งหมด 18 รายการ (http://www.sanook.com)





เชียงรายผสมเทียมปลาบึกปีนี้ได้แล้ว

26 พฤษภาคม 2526 เป็นวันที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ เสน่ห์ ผลประสิทธิ์ แห่งกรมประมง ได้ประสบผลสำเร็จในการผสมเทียมปลาบึกเป็นคนแรกของโลก ณ หาดไคร้ อ.เชียงของ จ.เชียงราย สมัยนั้นท่านดำรงตำแหน่งหัวหน้าสถานีประมงพะเยา และจากนั้นก็มีการผสมเทียมกันต่อเนื่อง เพราะพ่อแม่พันธุ์ปลาบึกที่มีไข่เต็มท้องและน้ำเชื้อสมบูรณ์ถูกจับกันทุกปีในช่วงเวลาและสถานที่เดียวกัน ขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องบอกเหตุว่า ปลาบึกในแม่น้ำโขงมีโอกาสสูญพันธุ์ได้ในไม่ช้า เพราะเมื่อพ่อแม่พันธุ์ดังกล่าวถูกจับเช่นนี้ทุกปี ผลปรากฏตามความจริงที่คาดไว้ คือ ช่วงระยะหลังปริมาณปลาบึกถูกจับได้ลดน้อยถอยลง หรือบางปีจับไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว แต่สำหรับปีนี้จับได้เพียง 3 ตัวเท่านั้น ถึงแม้ปลาบึกจะเป็นปลาขนาดใหญ่ คือใหญ่ที่สุดในปลาน้ำจืดประเภทไม่มีเกล็ดก็ตามที แต่ถ้าจะปล่อยลูกปลาลงเลี้ยงในบ่อก็จะต้องกำจัดปลาใหญ่ประเภทกินเนื้อออกเสียก่อน มิฉะนั้นลูกปลาบึกตัวเล็ก ๆ ก็จะเป็นอาหารของปลากินเนื้อเป็นธรรมดา ๆ และไม่ควรเลี้ยงลูกปลาบึกตัวเล็กรวมกับปลาบางชนิด เช่น ตะเพียน นิล สวาย เพราะลูกปลาบึกจะกินอาหารไม่ทันกับปลาพวกนี้ที่กินเก่งและกินเร็ว จะทำให้ลูกปลาบึกในระยะแรกผอมและชะงักการเจริญเติบโตได้ ผู้สนใจรายละเอียดติดต่อคุยกับผู้เชี่ยวชาญเสน่ห์ ผลประสิทธิ์ (01) 806-4385 (เดลินิวส์ พุธที่ 7 ก.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





แบนเคมีเกษตร 3 ชนิด สั่ง สวพ.ตรวจเข้มร้านค้า

นายฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า กรมวิชาการเกษตรได้พิจารณาที่จะยกเลิกการใช้สารเคมีเกษตรที่เป็นวัตถุอันตรายอีก 3 ชนิดประกอบด้วย EPN Endosulfan และ Parathion methyl โดยขณะนี้ได้เสนอให้คณะกรรมการวัตถุอันตราย ซึ่งมีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน พิจารณาอนุมัติแล้ว เนื่องจากการศึกษาและติดตามผลการใช้สารเคมีเกษตรทั้ง 3 ชนิดดังกล่าวพบว่า มีผลกระทบต่อพืช มนุษย์ และสภาพแวดล้อม สำหรับสารเคมีเกษตรทั้ง 3 ชนิดดังกล่าวอยู่ในรายชื่อวัตถุอันตราย 12 ชนิดที่กรมวิชาการเกษตรได้เฝ้าระวังไว้ ดังนั้นหลังจากมีการยกเลิกการใช้สารเคมีเกษตรทั้ง 3 ชนิดแล้ว จะเหลือวัตถุอันตรายที่เฝ้าระวังอีก 9 ชนิดคือ Aldicarb Blasticidin-s Carbofuran Dicrotophos Ethoprofos Fromethanate Methidathion Methomyl และ Oxamyl นอกจากนี้ล่าสุดยังได้ให้กรมวิชาการ เกษตร ค้นหาวัตถุอันตรายเพื่อเฝ้าติดตามเพิ่มเติมอีก 13 ชนิด รวมเป็น 22 ชนิด หากพบว่าวัตถุอันตรายดังกล่าว มีผลกระทบต่อพืช มนุษย์ และสภาพแวดล้อม ก็จะเสนอคณะกรรมการวัตถุอันตรายประกาศห้ามใช้ ห้ามซื้อขาย ห้ามนำเข้าทันที โดยในขณะนี้มีวัตถุอันตรายที่ประกาศห้ามใช้ ห้ามซื้อขาย ห้ามนำเข้าแล้วจำนวน 94 ชนิด หากเพิ่มอีก 3 ชนิดจะเป็น 97 ชนิด มากที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับสารเคมีเกษตรล่าสุดที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายได้ประกาศห้ามใช้ ห้ามซื้อขาย ห้ามนำเข้าคือ เมทามิโดฟอส ซึ่งขณะนี้พบว่ายังหลงเหลือในตลาดทั้ง ๆ ที่หมดเขตการ ผ่อนผันแล้ว ดังนั้นกรมวิชาการเกษตรจะใช้มาตรการที่รุนแรงมาใช้ปราบปราม โดย หากตรวจพบก็จะตรวจสอบย้อนให้ถึงต้นตอ พร้อมจะลงโทษให้หนักที่สุดในทุกระดับตั้งแต่ผู้ผลิตจนถึงผู้จำหน่าย และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งนี้การดำเนินการดังกล่าวจะทำอย่างต่อเนื่อง และขยายพื้นที่ให้ครอบคลุมทั่วประเทศทุกจังหวัด เพื่อให้เห็นผลเป็นรูปธรรม และสนับสนุนนโยบายฟู้ดเซฟตี้ของรัฐบาล (เดลินิวส์ พุธที่ 7 ก.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





เบรกติดตั้งอี-พลัสรอผลวิจัย

นายภิมุข สิมะโรจน์ เลขานุการ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เปิดเผยว่า หลังจากนายกร ทัพพะรังสี รมว.วท. เชิญ ดร.พีรศักดิ์ วรสุนทโรสถ ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) และนายเฉลิมชัย ห่อนาค ประธานบอร์ด วว. เพื่อหาข้อสรุปที่บอร์ด วว.ขอให้ชะลอการติดตั้งอี-พลัส อุปกรณ์ประหยัดน้ำมัน เนื่องจากมีการตั้งข้อสังเกตว่าการติดอี-พลัส ยังไม่มีการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานกลางและมีความไม่โปร่งใส โดยได้ข้อสรุปว่า เนื่องจากขณะนี้มีประชาชนกว่า 20,000 ราย ที่ลงชื่อขอติดตั้งอี-พลัส แต่วว.เพิ่งติดตั้งไปเพียง 628 รายเท่านั้น จากที่ตั้งเป้าทดลองกลุ่มแรกจำนวน 10,000 เครื่อง จึงให้ชะลอการติดตั้งอี-พลัสไปก่อน และให้คณะกรรมการกลางจำนวน 3 คน ที่บอร์ด วว.ได้เสนอ ทำการทดสอบประสิทธิภาพของอี-พลัส อย่างละเอียดอีกครั้ง ว่ามีประสิทธิภาพจริงตามที่ วว.วิจัยไว้หรือไม่ โดยให้ได้ข้อสรุปภายในวันที่ 15 ก.ค.นี้ เมื่อได้ผลสรุปแล้วการติดตั้งอี-พลัสทุกครั้ง วว.จะต้องออกใบรับรอง ผลิตภัณฑ์ที่คิดค้น เพื่อให้ประชาชนสบายใจว่า วว.จะเป็นผู้รับผิดชอบหากมีปัญหา และเร่งภาคเอกชนที่จะนำอี-พลัส ไปผลิตในเชิงพานิชย์ โดยนายกร ได้กำชับให้ร่างรายละเอียดเรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างรัฐกับเอกชนให้รอบคอบ และราคาของเครื่องต้องถูกลงด้วย ซึ่งเท่าที่ตนได้พูดคุยกับดร.พีระศักดิ์ มีข้อมูลสรุปผลการติดตั้งเครื่อง อี-พลัสพบว่าประหยัดน้ำมันได้จริง (ไทยรัฐ พุธที่ 7 ก.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





วธ.เสนอขอเครื่องราชฯสำหรับ4ศิลปินแห่งชาติ

ม.ร.ว.จักรรถ จิตรพงศ์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยผลการพิจารณากลั่นกรองการเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ประจำปี 2547 ก่อนเสนอไปยังสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อขอพระราชทานต่อไปว่า ในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรมได้ให้หน่วยงานในสังกัดเสนอผู้ที่กระทำความดีความชอบอันเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ โดยในปี 2547 นี้สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) ได้เสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ให้แก่ผู้มีผลงาน ดีเด่นที่ได้รับรางวัลหรือการยกย่องระดับชาติ โดยคณะกรรมการได้เสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นจตุตถดิเรกคุณาภรณ์ให้แก่ศิลปินแห่งชาติจำนวน 4 คน ได้แก่ นายกรุณา กุศลาสัย สาขาวรรรณศิลป์, นายพร้อม บุญฤทธิ์ สาขาศิลปะการแสดง (หนังตะลุง), นายพิชัย นิรันด์ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) และ น.ส.วนิดา พึ่งสุนทร สาขาศิลปะสถาปัตยกรรม (แบบประเพณี) นอกจากนี้ทางกระทรวงยังได้พิจารณารายชื่อศิลปินแห่งชาติที่ได้รับพระราชทานชั้นจตุตถดิเรกคุณาภรณ์ (จ.ภ.) มาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี และยังทำคุณประโยชน์ให้กับสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ในชั้นที่สูงขึ้น คือ ชั้นตติยดิเรกคุณาภรณ์ (ต.ภ.) จำนวน 3 คน ได้แก่ นายประเวศ ลิมปรังษี สาขาทัศนศิลป์ (สถาปัตยกรรม), นายภิญโญ สุวรรณคีรี สาขาทัศนศิลป์ (สถาปัตย กรรม) และ นายกมล ทัศนาญชลี สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรมและสื่อผสม). (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 8 ก.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





นิสิต มศว.คว้ารางวัล BSA IP Family Design Contest

กลุ่มพันธมิตร ธุรกิจซอฟต์แวร์ (บีเอสเอ) ประกาศผลการตัดสินและมอบรางวัลชนะเลิศการ ประกวดผลงานการออก แบบในระดับเยาวชน "ไอพี แฟมิลี่ ดีไซน์ คอนเทสต์" เพื่อมุ่งสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาให้กับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักเรียนและนักศึกษารวมทั้งผู้ที่อยู่ในแวดวงการศึกษาด้วย โดยได้เผยแพร่ข้อมูลการประกวดไปยังสถาบันการศึกษาทั่วประเทศกว่า 3,000 แห่ง โดยผลงานที่ส่งเข้าประกวดทุกชิ้นจะสื่อความหมายของครอบครัวทรัพย์สินทางปัญญา การประกวดดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระ ทรวงพาณิชย์ และองค์กรที่ดำเนินงานรณรงค์เพื่อการคุ้มครองด้านทรัพย์สินทางปัญญา ได้แก่ สมาคมผู้สร้างภาพยนตร์, สมาคมอุตสาหกรรมสิ่งบันทึกเสียงไทย, อาร์เอส. โปรโมชั่น, จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่, สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย (เอทีเอสไอ) และสมาคมธุรกิจคอมพิวเตอร์ไทย (เอทีซีไอ) มีผลงานส่งเข้ามาเกือบสองร้อยชิ้นงาน จากเยาวชนทั่วประเทศ ผลการตัดสินรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ นายศรัณย์ อยู่คงดี นิสิตวิชาเอกศิลปจินตทัศน์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร วิโรฒ ประสานมิตร อันดับ 2 คือ นายศรัณย์ เย็นปัญญา นิสิตชั้นปีที่ 2 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอันดับ 3 นายโสภณ หนุนเพ็ชร นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะวิทยาศาสตร์ สถาบันราชภัฏเทพสตรี รางวัลสำหรับสถาบันการศึกษาที่มีผู้ส่งผลงานเข้าประกวดมากที่สุด ได้แก่ มหาวิทยาลัยศิลปากร รางวัลสำหรับสถาบันการศึกษาที่ผู้ชนะเลิศลำดับที่ 1 ศึกษาอยู่ คือ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร วิโรฒ ผู้ชนะทั้ง 3 คน จะได้รับรางวัลเป็นคอมพิวเตอร์จากบริษัทเอเซอร์ คอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์จากผู้สนับสนุน อาทิ อะโดบี ออโต้เดสก์, แมคโครมีเดีย, ไมโครซอฟท์และไซแมนเทค ฯลฯ พร้อมกับทุนการศึกษา (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 8 ก.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





วิธีลดความอ้วนอย่างมีความสุขให้นอนตื่นสายตามสบายเข้าไว้

นักวิจัยในสหรัฐฯอ้างอย่างแข็งขันว่า การหลับนอนให้นานขึ้น จะช่วยให้ลดน้ำหนักลงได้เอง โดยได้พบจากการศึกษาวิจัยว่า หากคนเรานอนตื่นสายอีกวันละชั่วโมงเดียว จะทำให้น้ำหนักลดได้ รายงานการศึกษาซึ่งเผยแพร่ ในวารสารการแพทย์"เรื่องการนอน" อ้างว่าเพราะสารเคมีที่ขับออกมา ระหว่างเวลาหลับ ที่ชื่อว่า "เลพติน" นั้น มีสรรพคุณขัดขวางการผลิตเซลล์ไขมัน ด้วยการไปกดความหิวเอาไว้ และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ยิ่งเรามีเวลาตื่นอยู่ยิ่งนาน ก็จะยิ่งกินมากขึ้น เพราะได้ผลในการศึกษาว่า ในหมู่คนอ้วนที่ได้ศึกษาด้วยนั้น ล้วนแต่พากันนอนนานไม่ถึงคืนละ 6 ชม.ทั้งนั้น. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 8 ก.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





พบตัวการสำคัญบีบวัยรุ่นคิดสั้น ผ่าสมองเจอระดับโปรตีนบางตัวลดต่ำผิดปกติ

ดร.กานไชแอม แพนดีย์ จากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ในชิคาโก ได้ศึกษาสมองของวัยรุ่นที่เสียชีวิตจำนวน 34 คน ซึ่งในจำนวนนี้มี 17 ราย ที่เสียชีวิตด้วยการปลิดชีวิตของตัวเอง ส่วนอีก 9 ราย เคยมีประวัติว่ามีความผิดปกติทางจิต อีก 8 รายที่เหลือมีภาวะจิตปกติ แต่มี 2 รายที่มีประวัติติดยาและสุรา จากการศึกษาพบว่า ในสมองของคนที่ฆ่าตัวตายมีระดับโปรตีนที่ชื่อว่า พีเคซี ต่ำกว่าสมองของคนที่เสียชีวิตตามธรรมชาติ เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้แต่แรกว่า โปรตีนพีเคซีกับการฆ่าตัวตายของวัยรุ่นมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวเนื่องกัน โปรตีนพีเคซี เป็นสารประกอบที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับระบบการสื่อสารของเซลล์ และมีความเกี่ยวเนื่องกับความผิดปกติของอารมณ์ด้วย อย่างเช่น ภาวะซึมเศร้าจากประสบการณ์ในอดีต ผลวิจัยพบว่า ในสมองของวัยรุ่นที่กระทำอัตวินิบาตกรรมมีระดับของสารพีเคซีต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับสมองของวัยรุ่นที่เสียชีวิตด้วยสาเหตุอื่น ทีมวิจัยเชื่อว่า ความผิดปกติของพีเคซีนี้อาจช่วยอธิบายได้ว่า เหตุใดวัยรุ่นถึงฆ่าตัวตาย และอาจเป็นกุญแจสำคัญในการคิดหาวิธีรักษาแบบแทรกแซงแก่ผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมฆ่าตัวตาย อย่างไรก็ดี ทีมงานกำลังเร่งศึกษาเพื่อหาคำตอบที่กระจ่างมากขึ้นว่าระดับพีเคซีที่ผิดปกตินี้ส่งผลกระทบอย่างไร และทำไมถึงทำให้คนคิดสั้น ด้านนักวิทยาศาสตร์จากศูนย์วิจัยมะเร็งของสถาบันวิจัยลอนดอนเตือนว่า การวิจัยโดยศึกษาจากระดับของสารในกลุ่มตัวอย่างหลังจากเสียชีวิตต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก เนื่องจากโปรตีนอย่างพีเคซี มีแนวโน้มที่จะเสื่อมสภาพลงเมื่อเวลาผ่านไป (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 8 ก.ค. 47 http://www.komchadluek.net)





จักรยานที่ไม่ธรรมดา

เบอร์นี่ แฮนนิ่ง นักประดิษฐ์ Oybike Technology เจ้าของโครงการโฟน เพาเวอร์ ไบค์ เรนเทล สกีม กล่าวว่า ผู้คนจำนวนมากจะใช้ยานพาหนะและบริการขนส่งมวลชนต่าง ๆ ไปสู่จุดหมายปลายทางทั้งรถบัสและรถไฟ แต่ขนส่งมวลชนเหล่านี้ไม่ได้ไปส่งถึงหน้าประตูบ้านหรือที่ทำงาน ต้องเดินเท้าหรือต่อรถอีกช่วง สำหรับคนที่ไม่ชอบเดินไกล ๆ กำลังจะมีบริการใหม่เกิดขึ้น นั่นคือ บริการเช่ารถจักรยานโดยใช้โทรศัพท์มือถือ รถจักรยาน Oybike จะจอดตามสถานีรถไฟ ผู้ต้องการใช้รถจักรยานจะได้รับรหัสสำหรับปลดล็อกจักรยานโดยใช้โทรศัพท์มือถือ ราคาจะเริ่มตั้งแต่ 30 p ไปจนถึง 8 ปอนด์ ให้เช่าตั้งแต่ 30 นาทีไปจนถึง 8 ชั่วโมง แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียม 10 ปอนด์สำหรับการใช้บริการครั้งแรก เพื่อรับรหัสสำหรับล็อกและปลดล็อกจักรยาน ก็คงจะคล้ายบัตรเติมเงินโทรศัพท์ในบ้านเรา เพียงแต่ไม่ต้องใช้บัตร แต่ใช้มือถือชำระเงินให้แทน ในระยะแรกจะตั้งจุดให้บริการทั้งหมด 28 สถานี ใกล้ ๆ กับสถานีรถไฟใต้ดิน โรงหนังและสถานที่แสดงมหรสพ เจ้าของโครงการนี้หวังว่า โครงการเช่าจักรยานผ่านมือถือ จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับบริการขนส่งมวลชนสาธารณะ และหวังให้ผู้คนชอบมีจักรยานใช้เหมือนกับที่ต้องพกมือถือ จะเริ่มในเมืองฟูลแลมและแฮมเมอร์สมิธ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของกรุงลอนดอนก่อน (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 9 ก.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





4 สตรีนักวิทยาศาสตร์ได้ทุนวิจัย

บริษัท ลอรีอัล ประเทศไทย จำกัด ร่วมกับ สำนักเลขาธิการคณะกรรมการแห่งชาติ ว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ จัดพิธีมอบทุนวิจัย "เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์" ครั้งที่ 2 แก่สตรีนักวิทยาศาสตร์ที่มีความสามารถและศึกษาทำวิจัยในเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อคุณภาพชีวิตของมวลมนุษย์ โดยทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จเป็นองค์ประธานประทานทุนวิจัย ที่โรงแรมโฟร์ ซีซันส์ ปีนี้ทุนวิจัย "เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์ ครั้งที่ 2" จำนวน 4 ทุน ๆ ละ 150,000 บาท มอบให้ผศ.ดร.พรรณิกา เนียมทรัพย์ ศึกษาการดื้อยาที่ใช้รักษาการติดเชื้อ B.pseudomallei ในโรคเมลิออยโดสิส, ผศ.ดร.มัลลิกา เจริญสุธาสินี ศึกษาชีววิทยาพื้นฐานของปลากัดป่ากับพฤติกรรมสุภาพบุรุษ, รศ.รศนา วงศ์รัตนชีวิน ศึกษาแบคทีเรีย Burkholderia pseudomallei ในดินต้นเหตุการเกิดโรคเมลิออยโดสิส และ รศ.ดร.อัญชลี ทัศนาขจร ศึกษาการตอบสนองต่อเชื้อของสารต้านจุลชีพที่แยกได้จากเลือดกุ้ง นอกจากนี้ยังได้มอบรางวัลพิเศษที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรก "บิวตี้ ออฟ ไซแอนซ์" (Beauty of Science Award) แก่ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ มอบให้กับนักวิทยาศาสตร์ที่ทำให้งานวิทยาศาสตร์มีเสน่ห์และเป็นที่สนใจของบุคคลทั่วไป พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ กล่าวว่า งานวิทยาศาสตร์กับความงามสามารถไปด้วยกันได้ เมื่อก่อนหากใครสนใจงานวิทยาศาสตร์มักไม่สนความงาม ถ้าสนในความงามก็ไม่สนงานวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทำให้คิดเป็น มีระบบความคิดที่มีประสิทธิภาพ ผู้หญิงมักถูกมองว่าหลอกง่าย หากเป็นนักวิทยาศาสตร์หรือมีระบบความคิดแบบนักวิทยาศาสตร์จะทำให้ไม่ถูกหลอก เพราะมีเหตุผลมีหลักในการคิด (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 9 ก.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





วิตามินรวมธรรมดาสกัดโรคเอดส์หยุดยั้งไม่ให้กำเริบต่อไปขึ้นได้

คณะแพทย์ได้ประสบจากการรักษาผู้หญิงท้องที่ติดโรคเอดส์ ในแทนซาเนีย เกือบ 1,080 คน ได้พบว่าในรายที่ให้กินวิตามินรวม บี ซี และอีทุกวันนาน 5 ปี จะสามารถชะลออาการของโรคเอาไว้ได้ ถึงเกือบครึ่งต่อครึ่ง หัวหน้าคณะวิจัยของโรงเรียนสาธารณสุขฮาร์วาร์ดของสหรัฐฯ กล่าวว่า เขาเชื่อว่า ควรจะให้คนไข้ได้กินวิตามินรวม เสียตั้งแต่ต้นๆ ซึ่งการกินวิตามินรวมจะเสียค่ายาเพียงปีละ 600 บาทเท่านั้น ซึ่งนับว่าเป็นหนทางยกคุณภาพชีวิตให้สูงขึ้นที่ค่อนข้างถูกมาก อาหารเสริมวิตามินรวมจะช่วยชะลออาการของโรค ไม่ให้กำเริบถึงขั้นจำเป็นต้องใช้ยาต้านไวรัส ซึ่งจะต้องเสียค่ายาสูงถึงปีละ 1,200-1,600 บาทต่อคน (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 9 ก.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





การประชุมรัฐมนตรีเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ 2 ว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านโรคเอดส์

การประชุมนานาชาติเรื่องโรคเอดส์ ครั้งที่ 15 งานประชุมนานาชาติครั้งสำคัญอีกงานหนึ่ง ซึ่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมจะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 11-16 กรกฎาคมนี้ โดยก่อนการเปิดการประชุมนานาชาติเรื่องโรคเอดส์อย่างเป็นทางการในช่วงค่ำวันเดียวกัน ในช่วงเช้าจะมีการประชุมระดับรัฐมนตรีของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกว่าด้วยโรคเอดส์ ครั้งที่ 2 ซึ่งรัฐบาลไทยโดยกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการต่างประเทศ จะเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมร่วมกับรัฐบาลออสเตรเลีย โดยขณะนี้มีประเทศที่ตอบรับที่จะส่งผู้แทนระดับรัฐมนตรีมาเข้าร่วมในการประชุมแล้วทั้งสิ้น 34 ประเทศ จากประเทศที่มีการเชิญทั้งสิ้น 38 ประเทศ หัวข้อของการประชุมระดับรัฐมนตรีของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกว่าด้วยโรคเอดส์ ครั้งที่ 2 ถูกกำหนดให้สอดคล้องกับการประชุมนานาชาติฯ ภายใต้ประเด็น "การเข้าถึง : ความรับผิดชอบทางการเมือง" (Access for All : Political Accountability) โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้แทนจากประเทศต่างๆ ในเอเชียและแปซิฟิกมาหารือเกี่ยวกับความคืบหน้าของความร่วมมือในการป้องกันการแพร่ระบาดและการต่อสู้กับโรคเอดส์ หลังจากที่ได้มีการหารือกันไปในครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม 2544 ที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมจะมีการออกแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรี เพื่อกำหนดกรอบความร่วมมือในด้านต่างๆ รวมถึงสาขาที่จะมีการเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันในอนาคตของประเทศในเอเชียและแปซิฟิก เพื่อรับมือกับปัญหาการแพร่ระบาดของโรคเอดส์อย่างเป็นระบบต่อไป (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 9 ก.ค. 47 http://www.matichon.co.th)





ไทยลุ้นจัดแข่งคณิต-วิทย์โอลิมปิก

นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยกรณีที่ได้รับมอบหมายจากนายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้ไปเข้าร่วมประชุมซีมีโอ ยูเนสโก ยูไนเต็ดคองเกรส ที่ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งผู้บริหารระดับสูงของประเทศอินโดนีเซีย ได้เชิญชวนให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน "Mathematics and Science Olympiad 2005" หรือคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์โอลิมปิก 2005 ซึ่งการแข่งขันนี้จะมีขึ้นในเดือน พ.ย.-ธ.ค. เป็นประจำทุกปี โดยเริ่มจัดครั้งแรกเมื่อปี 2546 มี 10 ประเทศในกลุ่มอาเซียนเข้าร่วม และในปี 2547 มีประเทศในอาเซียนและประเทศที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมอีก 3 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลี และจีนรวมเป็น 13 ประเทศ ซึ่งทั้งสองครั้งนี้จัดขึ้นที่ประเทศอินโดนีเซีย ทั้งนี้ได้มอบหมายให้คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ไปศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการแข่งขันดังกล่าวว่ามีวัตถุประสงค์ รูปแบบการจัดงาน และผลตอบรับเป็นอย่างไร เพื่อนำเสนอขอความเห็นชอบจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการต่อไป นายปิยะบุตร มั่นใจว่า ไทยสามารถเป็นเจ้าภาพจัดงานนี้ได้ เพราะเคยจัดการแข่งขันคณิตศาสตร์ระดับโลกมาแล้ว และจะเป็นประโยชน์กับไทย เพราะได้เห็นถึงความสามารถของเด็ก เช่นเดียวกับประเทศที่ผลิตนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกอย่างญี่ปุ่น เกาหลี และจีน แต่จะต้องเตรียมในเรื่องการหาผู้เชี่ยวชาญระดับโลกมาออกข้อสอบ รวมถึงหาผู้ทรงคุณวุฒิมาตัดสินในการสอบภาคปฏิบัติ (คมชัดลึก เสาร์ที่ 10 ก.ค. 47 http://www.komchadluek.com)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215