หัวข้อข่าวปีที่ 5 ฉบับที่ 33 ประจำวันที่ 2004-08-16

ข่าวการศึกษา

มหาวิทยาลัยปั้นนักออกแบบนวัตกรรม เน้นคนเป็นศูนย์กลางแทนดีไซน์ผลิตภัณฑ์
ดันตั้งสถาบันกลาง พัฒนา-วิจัยอาชีวะ
ม.มหิดล เพิ่มสัดส่วนรับตรง ความท้าทายต่อ 'ระบบแอดมิชชั่น'
ประเมินวิทยาลัยชุมชนผ่านลื่น
เปิดประตูสู่โลกภาษาจีน
"อดิศัย" รุก สอศ.ต่อยอดความรู้นักศึกษา จัดเวทีโชว์ศักยภาพ-ความสามารถทุกเดือน
รม.เจาะลึกข้อมูลเด็กมีงานทำใช้พัฒนาการสอน
ม.สยาม ติวเอนท์ฟรี ทั่วประเทศเริ่ม 28 ส.ค.
ส่งเด็กไทยเข้าค่ายวิทย์เอเปค ปลูกฝังให้รักวิทยาศาสตร์
สสวท.ตั้งเป้าปั้นนักวิทย์ปีละ2แสนคน ชง3ระดับต่อเนื่องประถม-อุดมฯ/อนาคตรายได้ดี

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

ใช้วิธีแบบเอาเลือดมาล้างเลือดเสริมสวยลบ "รอยตีนกา" ออกหมด
อังกฤษศึกษาฟอสซิลนกดึกดำบรรพ์
รมต.ไอทีเสนอลงขันตั้งศูนย์ไอซีทีอาเซียน
โลกของเรากำลังจะกลายล่องหน ชาวโลกอื่นมีโอกาสจะเจอได้ยาก
ลูกตาช่วยทำนายถึงโรคหัวใจ ให้รู้ตัวล่วงหน้าก่อนนาน 5 ปี
กระจกอัจฉริยะกันความร้อนเข้าตึก แต่ปล่อยให้แสงแดดผ่านเหมือนเดิม
ฟุตบอลหุ่นยนต์ระเบิดแข้งรอบใหม่
ดำดิ่งใต้มหาสมุทรแอตแลนติก สำรวจสัตว์ทะเลพันธุ์ใหม่ของโลก
หวังไทยเป็นผู้นำแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม
นักวิทย์รัสเซียเจอซากสมบัติมนุษย์ต่างดาว

ข่าววิจัย/พัฒนา

กระดาษจากเปลือกทุเรียน
รับจ้างโคลนนิ่งสัตว์เลี้ยงแสนรักประกันเหมือนต้นแบบราวกับแกะ
โอสถสารกระชายดำวิจัยพบฤทธิ์เทียบเท่าโสมเกาหลี
กี่กระตุกไฮเทค ทอผ้าไทยเร็วกว่าเดิม 5 เท่า
นักวิทย์วิจัยสารสกัดบอระเพ็ด ลดเบาหวาน
เสริมพลังงานรถไฟฟ้าด้วยโซลาร์เซลล์
รู้จัก'คิวริโอ'
รักษาอาการปวดหัวด้วยปืนแม่เหล็กยิงส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เข้าไปในหัว
ตู้เสื้อผ้าอัจฉริยะช่วยเลือกชุดได้ฉับไว
ประดิษฐ์ฟิล์มห่ออาหารรุ่นใหม่ไม่ต้องแกะ-กินได้พร้อมอาหาร
นักวิจัยคิดค้นแผ่น 'ฟิล์มนาโน' กันแสงยูวี
ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา งานวิจัยท้าทายโลก 'สยบพันธุ์หมาบ้า'
หมอเตือนฉีดวัคซีนสกัด "ไวรัสค้างคาว"
พัฒนาเครื่องอัลตราซาวนด์ราคาถูก ให้โรงพยาบาลท้องถิ่นใช้ตรวจครรภ์แม่ชนบท
บราซิลเฟ้นสุดยอดกาแฟพันธุ์อึด ให้ผลผลิตเพิ่ม-อายุใช้งานนาน
เทคนิคอบแห้งใหม่ คงโปรตีนถั่วเหลือง เพิ่มค่าอาหารสัตว์
ดาวเด่นการศึกษา
นักวิทย์ประดิษฐ์เครื่องกลจิ๋วด้วยอาร์เอ็นเอ
มช.พัฒนากระเป๋าลากอัจฉริยะเดินตามเจ้าของ เคลื่อนที่เองอัตโนมัติไม่ต้องออกแรงเข็น

ข่าวทั่วไป

อีก20ปี"โรคข้อ-กระดูก"พุ่ง50% พบเหตุชีวิตสบายขึ้นจนขี้เกียจ
พัฒนาหมอนข้างคู่นอนของสาวโสดไม่นอนกรนนอน ดิ้นอย่างมนุษย์
คนไอทีเสี่ยงสารพัดโรค ทั้งตาแห้ง จิตป่วน รุนแรงถึงแท้งลูก
เตือนเปิบพิสดาร เสี่ยงติดเอชไอวี สายพันธุ์ใหม่
งานช่วยป้องกันสมองฝ่อยามชรายิ่งเป็นงานใช้สมองหนักกลับยิ่งดี
ตั้ง "บ้านเกร็ด" ศูนย์เรียนรู้ค้ามนุษย์
อย.ห้ามเติมน้ำตาลในนมเด็ก เตรียมดันร่างประกาศบังคับใช้
กระทรวงวิทย์ไม่รับรองอีพลัส-ชี้ผลทดสอบขัดกัน





ข่าวการศึกษา


มหาวิทยาลัยปั้นนักออกแบบนวัตกรรม เน้นคนเป็นศูนย์กลางแทนดีไซน์ผลิตภัณฑ์

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เปิดหลักสูตรใหม่ สร้างมหาบัณฑิต นักออกแบบนวัตกรรมเพื่อผู้บริโภค หลังประสบความสำเร็จ ในระดับปริญญาตรี เล็งผลิตบุคลากร ที่มีทักษะรองรับนโยบายภาครัฐ ที่มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพ และแฟชั่น ชูออกแบบผลิตภัณฑ์ เน้นความต้องการของคนเป็นหลัก พร้อมเปิดรับรุ่นแรก ตุลาคมนี้ ดร.สกล ธีระวรัญญู คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เปิดเผยว่า หลังจากได้แทรกหลักสูตรด้านการออกแบบเพื่อผู้ใช้ (Human-Centered Design) ในสาขาศิลปะอุตสาหกรรม ระดับปริญญาตรีมาระยะหนึ่ง ในที่สุดคณะได้ตัดสินใจต่อยอดออกมาเป็นหลักสูตรระดับปริญญาโท เพื่อเน้นให้เกิดการสร้างสรรค์ และออกแบบนวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้งานได้จริง และเพื่อรองรับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันให้ประเทศ กลายเป็นศูนย์กลางทางด้านสุขภาพ แฟชั่น คอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ จุดเด่นของหลักสูตรจะเน้นการออกแบบเพื่อผู้ใช้งานเป็นหลัก นั่นคือเน้นคนเป็นศูนย์กลางมากกว่าตัวผลิตภัณฑ์ โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน การออกแบบผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับสรีระร่างกายของมนุษย์ เพื่อลดอาการปวดหรืออุบัติเหตุที่เกิดจากการทำงาน สาขาจิตวิทยาและการเรียนรู้ เจาะลึกในเรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ใช้งานง่าย และสาขาสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างผลิตภัณฑ์ ให้เป็นไปตามวิถีชีวิตของคนในสังคม สำหรับตัวอย่างนวัตกรรมจากการศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับผลิตภัณฑ์ที่ผ่านมา อาทิ อุปกรณ์ที่ช่วยในการเต้นแอโรบิกมวยไทย เป็นการออกแบบเครื่องมือให้สอดคล้องกับท่าเต้นต่างๆ ทั้งเตะ ตีเข่า ออกหมัด ชก ในรูปของถุงมือที่สามารถนับจำนวนการปล่อยหมัด และสามารถแยกความแตกต่างระหว่าง หมัดตรง และหมัดโค้ง อีกทั้งยังสามารถติดอุปกรณ์นี้ไว้ที่เท้า เพื่อให้รู้ท่าของการแตะ และเมื่อเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ ก็สามารถนำไปใช้ในการฝึกสอนการเต้นแอโรบิก หรือการเล่นเกมที่เกี่ยวกับมวยไทยได้ (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 10 ส.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ดันตั้งสถาบันกลาง พัฒนา-วิจัยอาชีวะ

เมื่อวันที่ 9 ส.ค. นายอดิศัย โพธารามิก รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงการพัฒนางานอาชีวศึกษาว่า ตนเห็นว่างานการอาชีวศึกษาในขณะนี้ ยังขาดรวมตัวด้านการวิจัยและพัฒนา ซึ่งตนมีแนวคิดที่จะจัดตั้งสถาบันกลาง ขึ้นดูแลในเรื่องดังกล่าว โดยให้อยู่ภายใต้สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เพื่อทำหน้าที่รวบรวมศักยภาพด้านการอาชีวศึกษาต่างๆ ของประเทศมารวมกัน เพื่อบริหารจัดการและพัฒนาให้เกิดทิศทางที่ชัดเจน และนำมาพัฒนาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ โดยคาดว่าภายใน 1-2 เดือนนี้ จะสามารถจัดตั้งสถาบันดังกล่าวได้ โดยจะใช้งบประมาณที่มีอยู่ในการจัดตั้ง และจะมีการขยายไปยังจังหวัดต่างๆ เพื่อรองรับกับสถาบันอาชีวศึกษา 400 แห่งทั่วประเทศ ขณะที่นายวีระศักดิ์ วงษ์สมบัติ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.)กล่าวว่า สำหรับแผนการจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาผลงาน และผลิตภัณฑ์อาชีวศึกษา จะเริ่มขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ โดยเน้นสาขาและผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่ต้องการของประเทศ ซึ่งสอศ.มีความพร้อมอยู่แล้ว เช่น ยานยนต์ คอมพิวเตอร์ ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยจะพัฒนาเป็นเชิงพาณิชย์มากขึ้น และจะทำในสองรูปแบบทั้งสถาบันอาชีวศึกษาผลิตขายเอง และขายลิขสิทธิ์ให้แก่บริษัทเอกชน ขณะเดียวกัน อาจารย์และนักศึกษา จะต้องทำวิจัยและออกแบบผลิตภัณฑ์ได้ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้ รวมถึงการให้สถาบันอาชีวศึกษาทั่วประเทศ จัดโครงการเปิดสถาบันหรือโอเพ่นเฮาส์ เพื่อจัดแสดงผลงานและผลิตภัณฑ์ให้ประชาชน เอกชน ได้เห็นถึงความก้าวหน้าในการจัดการศึกษาและจูงใจให้เด็กเข้ามาเรียน เพื่อให้เห็นว่าอาชีวศึกษาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น (สยามรัฐ อังคารที่ 10 ส.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)





ม.มหิดล เพิ่มสัดส่วนรับตรง ความท้าทายต่อ 'ระบบแอดมิชชั่น'

หลัง จากที่กระทรวงศึกษาธิการ ได้ประกาศชัดเจนที่จะยกเลิกระบบการสอบคัดเลือกเพื่อเข้าสู่สถาบันอุดมศึกษา หรือ “เอน ทรานซ์” โดยให้ปีการศึกษา 2548 เป็นปีสุดท้ายที่จะมีการเอนทรานซ์ และในปี 2549 ก็จะเริ่มใช้ระบบกลางการคัดเลือกนิสิตนักศึกษาหรือ “แอดมิชชั่น” ที่จะเปิดโอกาสให้มหาวิทยาลัยทุกแห่งสามารถคัดเลือกนิสิตนักศึกษาได้เองตามความต้องการ ซึ่งการประกาศดังกล่าว ได้ทำให้หลายมหาวิทยาลัยมีความตื่นตัวในการหาวิธีที่จะให้ได้มาซึ่งนิสิตนักศึกษาที่ตรงตามความต้องการของมหาวิทยาลัย ขณะเดียวกันก็เป็นความต้องการของผู้เรียนที่จะเข้าไปใช้ชีวิตในรั้วสถาบันนั้น ๆ เช่นกัน และเมื่อทั้งผู้เรียนและสถาบันมีความต้องการที่ตรงกันแนวโน้มของระบบแอดมิชชั่นก็มีความชัดเจนยิ่งขึ้น แล้ววิธีการจะเป็นอย่างไรกันบ้าง ก็ดูเหมือนว่าที่ผ่านมาจะมีน้ำหนักไปที่การรับตรงมากขึ้น เพราะมหาวิทยาลัยเชื่อว่าได้เด็กที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด มหาวิทยาลัยมหิดล (มม.) ก็ได้ถือโอกาสออกมาประกาศตัวเป็นมหาวิทยาลัยแรกว่า ปีการศึกษา 2548 มม. จะรับตรงประมาณ 2,000 คน ใน 13 คณะ 24 หลักสูตร ที่เหลือรับผ่านระบบเอนทรานซ์ ซึ่งเป็นการเพิ่มสัดส่วนจากปีการศึกษา 2547 ถึง 3 เท่า เพราะปีที่แล้ว ม.มหิดล รับตรง ไม่เกิน 10 หลักสูตร จำนวนเพียง 500 กว่าคน หลายมหาวิทยาลัยยังคลางแคลงอยู่ว่าการรับตรงเป็นการรองรับระบบแอดมิชชั่นหรือไม่ และมีผลดีอย่างไร และหากใครสนใจจะสมัครตรง กับ มม. ก็สามารถส่งใบสมัครไปทางไปรษณีย์ระหว่างวันที่ 16 สิงหาคม-16 กันยายน 2547 หรือสมัครทาง www.mahidol.ac.th.muthai หรือจะสมัครที่โรงเรียนก็ได้ และหากต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมสอบถามได้ที่กองบริการการศึกษา สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม การที่ ม.มหิดล ออกมาประกาศรับตรงมากขึ้นเป็นมหา วิทยาลัยแรกของประเทศ ถือเป็นการปรับมาตรฐานการรับนักศึกษา ครั้งใหญ่ที่สอดคล้องกับนโยบายการศึกษาของประเทศที่ให้เปิด โอกาสให้นักเรียนได้เลือกเรียนในคณะหรือสาขาที่ตนเองต้องการหรือมีความถนัดอย่างแท้จริง และน่าจะเป็นตัวอย่างในการตัดสินใจให้กับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ได้ แต่ไม่ว่ามหาวิทยาลัยไหนจะตัดสินใจใช้วิธีการใดก็ตามขอได้โปรดตระหนักถึงหัวอกของผู้เรียน และประโยชน์ที่จะเกิดกับประเทศชาติเป็นสำคัญด้วย (เดลินิวส์ พุธที่ 11 ส.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





ประเมินวิทยาลัยชุมชนผ่านลื่น

นายสุธรรม แสงประทุม รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ตนได้หารือร่วมกับสมาคมวิทยาลัยชุมชน เพื่อประเมินผลการดำเนินงานของวิทยาลัยชุมชน 10 แห่ง ซึ่งได้เปิดนำร่องไปแล้ว 2 ปี โดยพบว่าในภาพรวมประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ โดยในการจัดการศึกษาได้แยกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ สาขาวิชาทั่วไปที่มีความเหมือนกันทุกพื้นที่ เช่น บริหารธุรกิจ และกลุ่มที่สอง เป็นสาขาวิชาที่เป็นความต้องการเด่นชัดเฉพาะแต่ละพื้นที่ เช่น การท่องเที่ยว ซึ่งจากการประเมินพบว่า กลุ่มที่ 1 ในระดับอนุปริญญาตรี 2 ปีแรกนั้น วิทยาลัยชุมชนทำหน้าที่เป็นสถานที่กลั่นกรอง สร้างความพร้อมให้กับนักศึกษาที่ไม่มีโอกาสศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีได้อย่างดี โดยสามารถเรียนก่อน 2 ปีแรก แล้วจึงค่อยต่อยอดปริญญาตรีในช่วงปลายกับสถาบันอุดมศึกษาที่มีอยู่ ซึ่งขณะนี้วิทยาลัยชุมชนนำร่องทั้ง 10 แห่ง ได้ประสานเชื่อมต่อหลักสูตรกับสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ เอกชน ม.ราชภัฏ หรือ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า สำหรับกลุ่มที่ 2 ซึ่งเปิดการเรียนการสอนเฉพาะสาขาที่เป็นความต้องการเด่นชัดของชุมชนนั้นๆ ก็พบว่าได้ช่วยสร้างงาน และสร้างรายได้ให้กับชุมชน ทำให้ไม่ต้องทิ้งถิ่นซึ่งเป็นไปตามปรัชญาของวิทยาลัยชุมชนที่ต้องการให้การศึกษาสร้างงาน สร้างคน และสร้างชาติ (เดลินิวส์ พุธที่ 11 ส.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





เปิดประตูสู่โลกภาษาจีน

สถาบันการศึกษานานาชาติไทย-จีน (ทีซีไออี) ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทียนสิน จะเปิดหลักสูตรภาษาจีนกลางสำหรับผู้สนใจที่จะพัฒนาศักยภาพทางภาษา ได้แก่ หลักสูตรภาษาจีนเพื่อการเรียนรู้ หลักสูตรเร่งรัดสนทนาในชีวิตประจำวันและหลักสูตรเร่งรัดสนทนาธุรกิจ เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 20 สิงหาคม 2547 สนใจสมัครได้ที่ สถาบันการศึกษานานาชาติไทย-จีน (ทีซีไออี) ตึกช้าง ชั้น 4 ถนนพหลโยธิน กรุงเทพฯ โทร. 0-2937-4588 หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณจินตนา ธรรมสุวรรณ โทร. 0-2937-4588 ต่อ 603 หรือดูรายละเอียดที่ www.chinese2learn.com (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 13 ส.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





"อดิศัย" รุก สอศ.ต่อยอดความรู้นักศึกษา จัดเวทีโชว์ศักยภาพ-ความสามารถทุกเดือน

วันที่ 12 ส.ค. เวลา 14.00 น. ที่ อิมแพค เมืองทองธานี นายอดิศัย โพธารามิก รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวเปิดงาน "มหกรรมอาชีวศึกษาเทิดไท้ 72 พรรษามหาราชินี" ตอนหนึ่ง ว่า วิถีชีวิตของมนุษย์ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามโลกในยุคโลกาภิวัตน์ การเสริมสร้างนวัตกรรมและภูมิปัญญา จึงเป็นสิ่งที่จะต้องคิดและทำในกระบวนการเรียนการสอน ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ในยุคปัจจุบันที่จะต้องเรียนแล้วนำไปปฏิบัติประกอบอาชีพได้ และอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ขณะนี้งานของชาวอาชีวะของดีมีมาก แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีการนำออกมาแสดงให้สังคมได้ชม ดังนั้น งาน "มหกรรมอาชีวศึกษาเทิดไท้ 72 พรรษามหาราชินี" จึงเป็นกิจกรรมหนึ่งที่เด็กอาชีวศึกษาจะได้นำผลงาน และสิ่งดีๆ ออกมาโชว์ศักยภาพให้สังคมได้รับรู้ "เวลานี้งานอาชีวศึกษามีหลากหลายตั้งแต่เรื่องของเทคนิคจนไปถึงเรื่องของอาหารการกิน การได้นำมาแสดงให้ประชาชนได้เห็น จะช่วยให้เกิดการพัฒนายิ่งขึ้น ดังนั้น ผมจึงอยากจะให้มีการจัดงานลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ปีละครั้ง 2 ครั้ง แต่อยากให้จัดทุกเดือน เพราะจะเป็นเวทีให้นักศึกษา ได้นำผลงานมาแสดง เมื่อมีที่แสดงประชาชน และผู้ประกอบการรับรู้ รับทราบ ก็จะเกิดกระบวนการพัฒนาต่อยอดความรู้ในที่สุด" รมว.ศธ. กล่าว (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 13 ส.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





รม.เจาะลึกข้อมูลเด็กมีงานทำใช้พัฒนาการสอน

นายนำยุทธ สงค์ธนาพิทักษ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล (รม.)เปิดเผยว่า ตนมีนโยบายให้ทุกวิทยาเขตให้ความสำคัญกับการติดตาม และสำรวจผลการมีงานทำของนักศึกษา รม.ทุกคนอย่างต่อเนื่อง เพื่อการพัฒนาคุณภาพของสถาบัน เนื่องจากที่ผ่านมาได้มีการติดตามผลการมีงานทำของนักศึกษาโดยส่งแบบสอบถามไปที่บ้าน แต่มักไม่ได้รับคำตอบ อาจเป็นเพราะเด็กย้ายที่อยู่ หรือเพิกเฉยไม่ได้สนใจเท่าที่ควร ทำให้ไม่ทราบผลที่แน่นอน ทั้งยังมีการสอบถามจากนักศึกษาเองในวันรับปริญญา แต่ก็ยังไม่ทราบผลที่ชัดเจนมากนัก ดังนั้น ตนจึงคิดที่จะหาวิธีติดตามและสำรวจผลอย่างเป็นระบบที่สมบูรณ์ เพื่อผลที่ชัดเจนและถูกต้อง เพราะผลที่ได้จะมีส่วนสำคัญในการผลักดันทำให้เกิดการวิจัยและพัฒนาสถาบันในระยะยาว ต้องยอมรับว่า รม.ไม่สามารถเจียระไนทุกคนให้เป็นเพชรน้ำหนึ่งได้ แต่ทำให้เด็กเป็นคนมีสติ มีหลักยึด เมื่อพบเจอกับปัญหายากๆ สามารถหาทางออกได้ เพื่อการทำงานที่ยั่งยืนและมีคุณภาพ และเพื่อผลที่ชัดเจน คงต้องขอความร่วมมือองค์กรที่เด็กทำงานอยู่ และเพื่อนร่วมงานด้วย "รม.จะไม่ทอดทิ้งเด็กที่จบไปแล้วว่าจะดีจะร้ายอย่างไร เพราะเราไม่ต้องการเพียงแค่สอนให้จบไปเท่านั้น แต่เรายังห่วงอนาคตของเด็ก และเชื่อว่าผลที่ได้จะมีความสำคัญต่อการพัฒนาบัณฑิตให้มีคุณภาพ และสามารถนำไปบอกกับสังคมได้ด้วยว่าเด็ก รม.เป็นอย่างไร" นายนำยุทธ กล่าว. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 13 ส.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





ม.สยาม ติวเอนท์ฟรี ทั่วประเทศเริ่ม 28 ส.ค.

ดร.พรชัย มงคลวนิช อธิการบดีมหาวิทยาลัยสยาม กล่าวว่า การสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย หรือการสอบเอนทรานซ์ตามระบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบันยังเป็นทางเลือกลำดับแรกของนักเรียนมัธยมปลายในการศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา ผู้ปกครองส่วนใหญ่จึงให้ความสำคัญและสนับสนุนให้บุตรหลานไปเรียนกวดวิชา เพื่อสร้างโอกาสในการสอบให้มากขึ้น ซึ่งค่าใช้จ่ายตรงนี้นับเป็นภาระที่ค่อนข้างหนักสำหรับครอบครัวที่มีบุตรหลานหลายคน อีกทั้งกระทรวงศึกษาธิการได้มีนโยบายให้สถาบันอุดมศึกษาในสังกัด ช่วยกันจัดบริการแนะแนวเอนทรานซ์แก่นักเรียน ม.สยามมีความพร้อมในด้านนี้ และได้ตระหนักถึงหน้าที่ในการให้บริการทางวิชาการแก่สังคม เพื่อช่วยแบ่งเบาและเสริมภารกิจของภาครัฐ จึงได้จัดโครงการ "ติวเข้มพิชิตเอนทรานซ์" ครั้งที่ 3 ขึ้น โดยนักเรียนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ในวันเสาร์ที่ 28 ส.ค. 2547 เวลา 09.00 น. ที่หอประชุมใหญ่ ม.สยาม การติวจะเริ่มในวันเสาร์ที่ 28 ส.ค. ด้วยวิชาคณิตศาสตร์ วันเสาร์ที่ 4 ก.ย.และวันที่ 11 ก.ย. จะเป็นวิชาสังคม ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ตามลำดับ ส่วนภูมิภาคจะจัดติวร่วมกับโรงเรียนใน จ.เชียงใหม่ นครราชสีมา อุบลราชธานี และสงขลา ปลายเดือน ก.ย.นี้ นักเรียนที่สนใจสามารถไปลงชื่อได้ที่ฝ่ายแนะแนวของโรงเรียนที่ศึกษาอยู่ หรือติดต่อขอสมัครได้ที่โทร.0-2457-0068 ต่อ 307-308 (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 13 ส.ค. 47 http://www.komchadluek.net)





ส่งเด็กไทยเข้าค่ายวิทย์เอเปค ปลูกฝังให้รักวิทยาศาสตร์

ระหว่างวันที่ 16-26 ส.ค.ที่จะถึงนี้ คือวันที่เยาวชนไทย 10 คนที่ผ่านการคัดเลือกจาก 120 คน ในค่ายวิทยาศาสตร์ที่องค์การพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ (อพวช.) จะได้เดินทางไปร่วมเข้าค่ายกับผู้นำเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) กว่า 300 คน จาก 21 ประเทศ ที่เมืองปูซาน เกาหลีใต้ ซึ่งทุกคนตั้งใจว่าจะนำประสบการณ์ที่ได้รับมาเผยแพร่ให้กับเพื่อนๆ เยาวชนไทยอีกทอดหนึ่ง ด.ช.ภัททิยะ พึ่งวงศ์ หรือนน้องภัท หนึ่งในตัวแทนเยาวชนไทยระดับประถมศึกษา ด.ญ.อติพร เทอดโยธิน หรือน้องอร ตัวแทนเยาวชนไทยระดับ ม.ต้น จากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน กรุงเทพฯ น.ส.นวลพรรณ ตั้งถาวร นักเรียนชั้นม.5 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพฯ เจษฎา ศิรินิรันดร์ หรือโจ้ ชั้น ม.5 โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย จ.เชียงใหม่ (คมชัดลึก เสาร์ที่ 14 ส.ค. 47 http://www.komchadluek.net)





สสวท.ตั้งเป้าปั้นนักวิทย์ปีละ2แสนคน ชง3ระดับต่อเนื่องประถม-อุดมฯ/อนาคตรายได้ดี

ศ.ดร.พรชัย มาตังคสมบัติ ประธานกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) กล่าวถึงความสำคัญของอาชีพนักวิทยาศาสตร์ต่อการพัฒนาประเทศไทยในอนาคตว่า เป้าหมายของสสวท.ในการพัฒนาการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ของประเทศแบ่งได้เป็น 3 ระดับหลักๆ คือ ระดับที่หนึ่งมุ่งให้เด็กไทยที่เรียนระดับการศึกษาภาคบังคับ 12 ปี จำนวนปีละประมาณ 900,000 คน มีความคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ รู้จักใช้เหตุและผล สามารถประเมินข้อมูลที่ได้รับ ทำการวิเคราะห์ และสังเคราะห์เพื่อหาคำตอบในชีวิตประจำวันของตนได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ระดับที่ 2 มุ่งให้เด็กที่มีศักยภาพเข้าเรียนต่ออุดมศึกษาสายวิทยาศาสตร์ ได้ในทุกวิชาชีพ โดยเพิ่มจำนวนนักเรียนที่สนใจเรียนด้านนี้ให้เพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันมีผู้สนใจเรียนต่ออุดมศึกษาสายวิทยาศาสตร์เพียงไม่ถึง 30% ในแต่ละปี ส่วนที่เหลืออีก 70% เลือกเรียนต่อสายสังคมศาสตร์ “เราตั้งเป้าหมายว่าในปี 2563 หรือ คศ.2020 จะมีเด็กไทยที่เข้าศึกษาจนจบมหาวิทยาลัยในสายวิทยาศาสตร์ เป็นฐานการเรียนปีละประมาณ 200,000-280,000 คนซึ่งเมื่อเทียบกับปัจจุบันแล้วมีเพียงประมาณปีละ 40,000 คนเท่านั้น” ศ.ดร.พรชัย กล่าว และว่า สำหรับเป้าหมายระดับที่ 3 คือสร้างเด็กที่มีศักยภาพสูงให้เป็นนักประดิษฐ์ คิดค้นของประเทศ โดยเตรียมจากบัณฑิตที่จบปริญญาตรีให้ได้มีโอกาสเรียนต่อปริญญาโท-เอก และทำงานวิจัยพัฒนาองค์ความรู้เพื่อคิดค้นเทคโนโลยีในระดับสูงยิ่งขึ้น ซึ่งที่ สสวท. ดำเนินงานมาแล้วกว่า 20 ปีจนถึงขณะนี้ก็ คือสร้างนักเรียนทุนโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) กว่า 40 ปีที่ผ่านมาสภาพการทำวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ของไทยเริ่มดีขึ้น มีนักวิจัยไทยผลิตผลงานที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับระดับโลกเพิ่มขึ้น นับเป็นงานวิจัยที่กระตุ้นให้เกิดผลงานใหม่ๆ และรายได้ดี (สยามรัฐ เสาร์ที่ 14 ส.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


ใช้วิธีแบบเอาเลือดมาล้างเลือดเสริมสวยลบ "รอยตีนกา" ออกหมด

นักวิทยาศาสตร์เมืองเบียร์ได้ค้นพบวิธีลบรอยเหี่ยวย่นของผิวหนัง อันเนื่องมาจากความแก่ชราให้หายหดหมดลงไปได้ ด้วยวิธีแบบใช้เลือดล้างเลือด พวกเขาได้คิดทำครีมบำรุงผิวที่ทำขึ้นจากส่วนน้ำของโลหิตของเจ้าตัวเอง แล้วใช้ฉีดเข้าใต้ผิวหนังอย่างแบบโบทอกซ์ เนื่องจากเพราะทำมาจากส่วนน้ำของโลหิตของคนไข้เอง มันจึงไม่มีพิษภัยที่จะทำให้เกิดมีอาการแพ้แต่อย่างใด หนังสือพิมพ์มิวนิก เออร์ซต์ ไซตุง ซึ่งเสนอข่าวเรื่องนี้ กล่าวว่า ส่วนน้ำของโลหิตที่ดูดมาจากคนไข้มาได้ จะนำมาฆ่าเชื้อก่อน ถึงจะมาทำเป็นครีมสำหรับใช้ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง เพื่อทำให้ผิวหนังที่เหี่ยวย่นกลับเรียบตึงเหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุว่าครีมดังกล่าวมันจะถูกร่างกายดูดซับเอาไปอยู่เสมอ ดังนั้นเมื่อทำไปนานหลายๆเดือนเข้า ก็จะกลับมาฉีดซ้ำอีก (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 9 ส.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





อังกฤษศึกษาฟอสซิลนกดึกดำบรรพ์

ดร.แอนเจอลา มิลเนอร์ จากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ กรุงลอนดอน เปิดเผยว่า ทีมงานได้ใช้เทคนิคซีทีสแกน (computed tomography scanning) เอกซเรย์สมองของ "อาร์คีออฟเทอริกซ์" (Archaeopteryx) ซึ่งเป็นนกดึกดำบรรพ์ในยุคจูราสสิค และพบว่าโครงสร้างของสมองเหมือนกับนกยุคใหม่อย่างมาก โดยเฉพาะในส่วนควบคุมการบินและสร้างสมดุล ฟอสซิลอาร์คีออฟเทอริกซ์ ถูกค้นพบเมื่อพ.ศ. 2404 และเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญให้กับชุมชนบรรพชีวินวิทยา โดยนกกินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร ซึ่งมีความยาวปีกราว 50 เซนติเมตร มีคุณสมบัติทั้งที่เหมือนไดโนเสาร์และนกในธรรมชาติ จะเห็นได้ว่านอกจากจะสามารถบินได้แล้ว ยังมีฟันและกรงเล็บด้วย ในการศึกษา นักวิจัยเลือกใช้เทคนิคซีทีสแกน ทำการเอกซเรย์กะโหลกสมองของนกโบราณและนำมาแปลงเป็นภาพสามมิติ โดยสร้างเป็นกะโหลกที่ห่อหุ้มสมอง และหูชั้นใน ซึ่งภาพที่ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับบรรดาผู้เชี่ยวชาญอย่างมาก ข้อมูลที่ได้ชี้ให้เห็นว่า พัฒนาการสมองของนกได้รับการสืบทอดต่อกันผ่านโครงสร้างทางกายภาพ ทั้งนี้ ดร.กราแฮม เทย์เลอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกลศาสตร์การบินของสัตว์ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด บอกว่า งานวิจัยชิ้นนี้น่าตื่นเต้นมาก เพราะเป็นการยืนยันหลักฐานเดิมที่นักวิจัยรับรู้เกี่ยวกับการบินของอาร์คีออฟเทอริกซ์ และยังบอกให้รู้ถึงวิวัฒนาการของสมองด้วย นักวิจัยมีแผนตรวจสอบฟอสซิลของนกดึกดำบรรพ์ชนิดอื่นๆ เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบินในยุคเริ่มต้น แต่ฟอสซิลที่มีอายุเก่าแก่กว่าอาร์คีออฟเทอริกซ์ยังไม่ได้รับการค้นพบ ปัจจุบันฟอสซิลนกโบราณดังกล่าวมีทั้งสิ้น 6 ชิ้น และถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 9 ส.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





รมต.ไอทีเสนอลงขันตั้งศูนย์ไอซีทีอาเซียน

นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยว่า ประชุมรัฐมนตรีไอซีทีอาเซียน ครั้งที่ 4 ซึ่งปีนี้ไทยเป็นเจ้าภาพ โดยที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันให้ตั้งกองทุนพัฒนาไอซีทีของภูมิภาคอาเซียน ซึ่งสมาชิก 10 ประเทศ จะสมทบทุนประเทศละ 20 ล้านบาท รวม 200 ล้านบาท หลังจากตั้งคณะทำงาน และเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านโทรคมนาคมอาเซียน หรือเทลซอม (TEL SOM) แล้วจะหารือกันอีกครั้งประมาณปลายปีนี้ ที่ประชุมทั้ง 10 ประเทศมีความเห็นตรงกันว่า ไอซีทีเป็นเรื่องสำคัญที่ควรจะพิจารณากันอย่างจริงจังจึงมีศูนย์ไอซีทีอาเซียน เพื่อพัฒนาโครงการไอทีร่วมกัน นอกจากนี้ยังพูดถึงการกำหนดมาตรฐานของเครื่องมือระบุตัวบุคคล หรือตัวสินค้า จากการอาศัยคลื่นความถี่วิทยุ หรือ RFID (Radio Frequency Indentification) ซึ่งในอนาคต จะใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก จึงควรกำหนดมาตรฐานร่วมกัน มิฉะนั้นอาจจะเหมือนกรณีโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งมีหลายมาตรฐานจนทำให้เกิดปัญหาไม่สามารถนำโทรศัพท์เคลื่อนที่จากประเทศหนึ่งไปใช้อีกประเทศหนึ่งได้ นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้ตกลงพัฒนาโครงข่ายด้านโทรคมนาคมในภูมิภาคเพื่อใช้บรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตในการติดต่อสื่อสาร เนื่องจากประเทศในกลุ่มอาเซียนสามารถติดต่อด้วยกันในโครงข่ายของประเทศอาเซียนด้วยกันเองได้ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเสียค่าใช้จ่าย ในการเชื่อมต่อโครงข่ายไปสู่ทวีปอเมริกา หรือทวีปอื่น ๆ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลือง ทั้งนี้การประชุมรัฐมนตรีไอซีทีอาเซียนครั้งต่อไปจะจัดขึ้นที่ประเทศเวียดนามในปี 2548 (เดลินิวส์ อังคารที่ 10 ส.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





โลกของเรากำลังจะกลายล่องหน ชาวโลกอื่นมีโอกาสจะเจอได้ยาก

นายแฟรงค์ เดรก นักวิทยาศาสตร์ประจำโครงการ กล่าวแจ้งที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดของสหรัฐฯว่า เนื่องจากสถานีโทรทัศน์ต่างๆบนโลกกำลังใช้เทคโนโลยีไม่ให้คลื่นความถี่วิทยุรั่วไหลออกไป ในอวกาศได้มากขึ้นเหมือนอย่างแต่ก่อน โครงการค้นหาสิ่งที่มีชีวิตสติปัญญาของโลกอื่น ได้ทุ่มเทความพยายามส่วนใหญ่กับการดักรับสัญญาณวิทยุ ที่อาจจะมาจากดาวเคราะห์บริวารของดาวฤกษ์ใกล้เคียงดวงใดดวงหนึ่ง ในขณะที่ทางด้านโลกของเรา การส่งโทรทัศน์ก็ทำให้เกิดคลื่นสัญญาณวิทยุรั่วออกไปในอวกาศ นับเป็นสัญญาณที่แสดงถึงการมีอยู่ของมนุษย์เราที่แรงที่สุด ตามปกติแล้วเสาอากาศของสถานีโทรทัศน์ที่มีขนาดกำลังส่ง 1 เมกะวัตต์ จะสามารถทำให้ฟองคลื่นความถี่วิทยุฟูฟ่องออกไปนอกระบบสุริยจักรวาลของเรา ได้ไกลเป็นระยะทางถึง 50 ปีแสง แต่เหตุการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว สถานีโทรทัศน์หลายแห่งได้เปลี่ยนมาส่งไปตามสาย หรือไม่ก็ส่งขึ้นไปยังดาวเทียม โดยแต่ละสถานีใช้กำลังส่งเพียงช่องละ 20 วัตต์เท่านั้น แล้วยิงกลับมายังพื้นโลกได้อย่างแม่นยำ ซึ่งทำให้แทบไม่มีคลื่นความถี่วิทยุรั่วไหลออกไปในอวกาศ เป็นเหตุให้ระยะทางที่จะมีสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาของโลกอื่นจะได้ยินจากโลกเรา เหลือระยะทางแค่เพียงระยะใกล้ๆเท่านั้น. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 13 ส.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





ลูกตาช่วยทำนายถึงโรคหัวใจ ให้รู้ตัวล่วงหน้าก่อนนาน 5 ปี

นักวิทยาศาสตร์เมืองจิงโจ้ค้นพบว่า ลูกตาอาจทำนายให้รู้ล่วงหน้าได้ว่า จะเป็นโรคหัวใจ ได้ก่อนหน้าเป็นเวลานานถึง 5 ปี นักวิทยาศาสตร์ เปิดเผยว่า เพราะหลอดเลือดฝอยแถวรอบๆ จอตา จะแสดงอาการค่อยหดตัวเล็กแคบลง ก่อนหน้าที่ความดันโลหิต จะเพิ่มสูงขึ้นก่อนเป็นเวลานาน ดังนั้น หากได้รับการตรวจลูกตาก็อาจจะทำให้ล่วงรู้ว่า อาจจะเป็นโรคหัวใจขึ้นในวันหน้า รู้ตัวก่อนหน้าได้เป็นเวลานาน (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 13 ส.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





กระจกอัจฉริยะกันความร้อนเข้าตึก แต่ปล่อยให้แสงแดดผ่านเหมือนเดิม

กระจกกันความร้อนอัจฉริยะจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของตึกระฟ้ากลางใจเมือง เพราะของเทคโนโลยี จากประเทศอังกฤษ ยืนยันว่า คุณสมบัติในการปรับตัวกันความร้อนทันที ที่อุณหภูมิสูงที่ระดับ 29 องศาเซลเซียส จะทำให้บรรยากาศภายในห้องไม่ร้อนระอุเหมือนสภาพอากาศภายนอก อีวาน พาร์คิน และทรอย แมนนิง จากมหาวิทยาลัยคอลเลจ ลอนดอน ผู้พัฒนากระจกอัจฉริยะ เปิดเผยว่า แม้กระจกที่เขาพัฒนาจะสามารถกันความร้อนเมื่อห้องเริ่มมีอุณหภูมิสูงขึ้นได้ด้วยตัวเอง แต่แสงธรรมชาติก็ยังสามารถผ่านเข้ามาสร้างความสว่างได้ เคล็ดลับของกระจกอัจฉริยะอยู่ที่สารวานาเดียมไดออกไซด์ที่ใช้เคลือบกระจก ซึ่งจะยอมให้คลื่นแสงที่มองเห็นและอินฟราเรดสามารถผ่านทะลุกระจกเข้ามาได้ที่ระดับอุณหภูมิปกติ แต่เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นราว 70 องศาเซลเซียสปฏิกิริยาทางเคมีจะเปลี่ยนไป เนื่องจากอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลให้อิเล็กตรอนในวัสดุเปลี่ยนโครงสร้างใหม่ นั่นคือ จากเซมิคอนดักเตอร์ปกติกลายเป็นโลหะโดยบัดดล ส่งผลให้ตัววัสดุสามารถกันแสงอินฟราเรดได้ เมื่อรู้เช่นนี้ นักวิจัยจึงพยายามหาทางให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีขึ้น เมื่ออุณหภูมิอยู่ที่ 29 องศาเซลเซียส ด้วยการเชื่อมวัสดุเข้ากับทังสเตน นอกจากนี้ ทีมพัฒนายังพบวิธีนำสารเคลือบเข้าสู่กระบวนการผลิตกระจกทั่วไปได้ ใน ราคาที่ถูกลง เมื่อผลิตในปริมาณมาก และคาดว่าจะพร้อมผลิตเพื่อจำหน่ายได้ภายใน 3 ปีนี้ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดอีกหลายรายการที่ต้องได้รับการแก้ไข อย่างแรกคือ สารเคลือบดังกล่าวไม่สามารถยึดติดถาวรกับกระจก และการเคลือบยังทำให้กระจกเกิดสีเหลืองเข้ม แต่แมนนิง เชื่อว่ามีทางแก้ปัญหาได้เพียงเพิ่มสารตัวอื่น อย่างไททาเนียมไดออกไซด์ ก็จะเข้าไปช่วยยึดสารเคลือบกับกระจก และอาจใช้สีย้อมกระจกไม่ให้เป็นสีเหลืองได้ (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 13 ส.ค. 2547 http://www.bangkokbiznews.com)





ฟุตบอลหุ่นยนต์ระเบิดแข้งรอบใหม่

บริษัท ซีเกท ประเทศไทย ร่วมมือสมาคมวิชาการหุ่นยนต์ไทย จัดการแข่งขันฟุตบอลหุ่นยนต์ชิงแชมป์ประเทศไทย คัดเลือกทีมชนะเลิศส่งเข้าร่วมแข่งขันหุ่นยนต์ชิงแชมป์โลกที่ ประเทศญี่ปุ่น รศ.ดร.มนูกิจ พานิชกุล นายกสมาคมวิชาการหุ่นยนต์ กล่าวว่า การแข่งขันฟุตบอลหุ่นยนต์นับเป็นการแข่งขันหุ่นยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีสูงที่สุด และเพื่อให้นักศึกษาไทยมีองค์ความรู้ในเทคโนโลยีดังกล่าว จึงได้จัดการแข่งขันฟุตบอลหุ่นยนต์ขึ้น โดยปีนี้เป็นปีที่ 3 แล้ว และในรอบที่ผ่านมาเยาวชนไทยเริ่มมีพื้นฐานทั้งด้านฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์มากขึ้น ทีมงานยอมรับว่า ยังขาดในเรื่องของการเตรียมความพร้อม เนื่องจากจะต้องเข้าเรียนตามหลักสูตรปกติ จึงทำให้ไม่มีเวลาเท่าที่ควร ส่วนประสบการณ์ที่ได้จากการแข่งขันที่ผ่านมานั้น จะเป็นการเรียนรู้ที่หาไม่ได้ในห้องเรียน รวมถึงเป็นประสบการณ์ที่สามารถนำมาใช้ได้ในอนาคต สมาชิกพลาสม่า ซี การแข่งขันดังกล่าวได้รับการสนับสนุนด้านเงินรางวัลจากบริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด และสำหรับทีมชนะเลิศจะได้เป็นตัวแทนไปแข่งขันฟุตบอลหุ่นยนต์ชิงแชมป์โลก (โรโบคัพ 2005) ที่ประเทศญี่ปุ่น ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนสมัครและอ่านรายละเอียดกฎกติกาการแข่งขันเพิ่มเติมได้จากเวบไซต์ www.trs.or.th (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 13 ส.ค. 2547 http://www.bangkokbiznews.com)





ดำดิ่งใต้มหาสมุทรแอตแลนติก สำรวจสัตว์ทะเลพันธุ์ใหม่ของโลก

นักวิทยาศาสตร์โครงการสำรวจสำมะโนประชากรสัตว์ทะเลระหว่างประเทศ (ซีโอเอ็มแอล) ซึ่งมีหน่วยงานของรัฐบาลนอร์เวย์ออกทุนสนับสนุน ได้รายงานหลังจากออกสำรวจบริเวณสันทวีปใต้ทะเลกลางมหาสมุทรแอตแลนติกกว่าสองเดือน พบสัตว์ทะเลพันธุ์ใหม่มากมาย เช่น ปลาและปลาหมึกเล็ก ปลาหมึกยักษ์สปีชีส์ใหม่ รวมถึงปลาหมึกสีแดงสด การสำรวจนี้จะกินเวลาทั้งหมด 10 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2543 มีวัตถุประสงค์จะบันทึกชีวิตสัตว์ทะเลที่รู้จักทั้งหมดลงใน "สมุดวันสิ้นโลก" การสำรวจประชากรทางทะเลดังกล่าวใช้ยานสำรวจใต้น้ำท่องไปตามแนวสันเขาใต้ทะเลที่ทอดยาวระหว่างไอส์แลนด์ และเทือกเขาอซอเรส โดยมีการจัดตั้งทีมนักวิทยาศาสตร์ทางทะเลขึ้นในวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อวิจัยสัตว์ทะเลที่ใช้ชีวิตอยู่แถบเทือกใต้สมุทรแห่งนี้ ซึ่งมีความสูงของเทือกเขาราว 2 กิโลเมตร เส้นทางสำรวจมีระยะทางทั้งสิ้น 6,437 กิโลเมตร วิ่งผ่านตลอดความยาวของเทือกเขาใต้น้ำสองรอบ ใช้อุปกรณ์ทันสมัยหลายชนิด รวมถึงหุ่นยนต์ใต้น้ำ กล้องวิดีโอ และเรือดำน้ำที่ใช้เจ้าหน้าที่ประจำเรือ ในช่วงเริ่มต้นสำรวจ ทีมวิจัยได้ค้นพบปลาสายพันธุ์ใหม่ 300 ชนิด และปลาหมึกเล็กกับปลาหมึกยักษ์อีกประมาณ 50 สายพันธุ์ การสำรวจที่ใช้เวลาหนึ่งทศวรรษนี้ จะเสร็จสิ้นในปี 2553 นี้ โดยแบ่งพื้นที่สำรวจออกเป็น 7 ส่วน นอกจากการสำรวจเทือกเขาใต้น้ำกลางแอตแลนติกแล้ว นักวิทยาศาสตร์กำลังตรวจสอบแนวชายฝั่งแปซิฟิก อ่าวไมเน กระแสน้ำอุ่น เส้นทางหากินของปลาแซลมอนบริเวณชายฝั่ง และอื่นๆ (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 13 ส.ค. 47 http://www.komchadluek.net)





หวังไทยเป็นผู้นำแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม

ปัจจุบันภาวะมลพิษได้สร้างความเสียหายให้แก่สภาวะแวดล้อมโลก โดยเฉพาะปัญหาโลกร้อนที่กำลังคุกคามมนุษย์อยู่อย่างไม่หยุดยั้ง ประเทศทั่วโลกต่างก็ตระหนักในปัญหานี้จึงได้พยายามหาทางที่จะช่วยแก้ปัญหาในแง่ต่าง ๆ รวมไปถึงการออกกฎระเบียบเพื่อนำไปสู่การลดมลพิษ ที่เกิดขึ้น ประเทศไทยซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอีกประเทศหนึ่งมีปัญหามลพิษมาก โดยนายจาเมล คัสซัม รองประธานธนาคารโลกภาคพื้นเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กในกรุงเทพฯ มีค่าเกินมาตรฐานอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะตามถนนสายหลัก ร้อยละ 32 ของน้ำผิวดินมีคุณภาพต่ำ ปริมาณป่าไม้ก็ลดจำนวน ลงเหลือเพียงร้อยละ 25 ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง ปริมาณน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคมีอัตราต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มอาเซียน ในขณะเดียวกันกลับมีแหล่งน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมสูงเป็นอันดับที่ 14 ของโลก ธนาคารโลกเลือกที่จะให้ไทยเป็นประเทศนำร่องในการแก้ปัญหาสภาวะแวดล้อมในภูมิภาคนี้ โดยจะให้การสนับสนุนงบประมาณจำนวน 2,120 ล้านบาท เป็นโครงการต่อเนื่อง 3 ปี เพื่อปรับปรุงคุณภาพอากาศ คุณภาพน้ำ ปัญหาขยะมูลฝอย รณรงค์ให้เลิกใช้สารทำลายชั้นโอโซน และการควบคุมสารเคมี การพัฒนากฎระเบียบและองค์กรด้านสิ่งแวดล้อม จะช่วยให้สิ่งแวดล้อมไทยดีขึ้น จนกลายเป็นผู้นำเพื่อสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคนี้ (เดลินิวส์ อาทิตย์ที่ 15 ส.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





นักวิทย์รัสเซียเจอซากสมบัติมนุษย์ต่างดาว

นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียอ้างว่าได้ค้นพบซากอุปกรณ์บางอย่างของมนุษย์ต่างดาว ในบริเวณที่เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ ในไซบีเรีย เมื่อ 100 กว่าปีที่ผ่านมา สำนักข่าวอินเทอร์แฟกซ์ รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ทำงานให้กับโครงการศึกษาปรากฏการณ์อวกาศตุนกัสกา เปิดเผยว่า ได้พบซากสิ่งประดิษฐ์บางอย่างที่เชื่อว่ามาจากนอกโลก และยังพบก้อนหินประหลาดหนัก 50 กิโลกรัม ในบริเวณที่เกิดการระเบิด โดยได้ส่งต้วอย่างเหล่านี้วิเคราะห์ในห้องทดลองที่เมืองคราสโนยาร์สก์ ไซบีเรียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ เหตุระเบิดดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อ 30 มิ.ย. 1908 บริเวณท้องฟ้าเหนือแม่น้ำตุนกัสกา แคว้นไซบีเรีย โดยไม่มีผู้ทราบสาเหตุของการระเบิดครั้งนั้น แต่นับว่าเป็นเรื่องลี้ลับทางวิทยาศาสตร์ครั้งใหญ่สุดในรอบศตวรรษที่ 20 ซึ่งแรงระเบิดพุ่งไปไกลหลายร้อยกิโลเมตร และทำให้ผืนป่าไซบีเรียถูกทำลายไปกว่า 2,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเป็นการระเบิดของอุกกาบาต แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดพิสูจน์ได้ (ผู้จัดการรายสัปดาห์ อาทิพย์ที่ 15 ส.ค. 47 http://www.manager.co.th)





ข่าววิจัย/พัฒนา


กระดาษจากเปลือกทุเรียน

สมทรง ปวีณการก์ และสมยศ เอี่ยมใบพฤกษ์ นักวิชาการเกษตรและคณะ กลุ่มวิจัยพัฒนาการแปรรูปผลิตผลเกษตร สำนักวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลผลิตเกษตรกรมวิชาการเกษตร ทดลองศึกษาความเป็นไปได้ในการแปรรูปเปลือกทุเรียนให้เป็นกระดาษ ปรากฏว่ามีความเป็นไปได้สูง ซึ่งเปลือก ทุเรียนเมื่อแปรรูปเป็นกระดาษแล้วจะมีคุณภาพเด่นเฉพาะตัว คือให้เส้นใยนุ่มและเหนียว สามารถนำไปทำเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้หลายชนิด โดยการทำกระดาษจากเปลือกทุเรียนนี้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถเพิ่มมูลค่าของเปลือกทุเรียนให้สูงขึ้น สามารถเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรอีกทาง (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 9 ส.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





รับจ้างโคลนนิ่งสัตว์เลี้ยงแสนรักประกันเหมือนต้นแบบราวกับแกะ

บริษัทยีนเนติก เซพวิ่ง แอนด์ โคลน ของสหรัฐฯ ประกาศรับจ้างโคลนนิ่งสัตว์เลี้ยงแสนรัก เพาะพันธุ์สัตว์ขึ้นจากเนื้อเยื่อ โดยไม่อาศัยการผสมพันธุ์ ในราคาตัวละสองแสนบาท โดยใช้เทคนิคใหม่ที่ปลอดภัยและได้ผลดีกว่าเทคนิคการโคลนนิ่งแบบเก่าๆ ได้เริ่มกิจการโดยการประเดิมโคลนนิ่งแมวเลี้ยงพันธุ์เบงกอลของผู้อำนวยการบริษัทเอง สำเร็จออกมาสองตัวแล้ว ทั้งนี้ เพื่อเป็นการทดสอบวิธีการ ก่อนจะเปิดรับโคลนนิ่งสัตว์เลี้ยงให้กับคนทั่วไป และขณะนี้บริษัทก็ยังทำโคลนนิ่งแมวของบรรดาผู้บริหารบริษัทอยู่อีก 5 ตัว ซึ่งขณะนี้ยังฝากเลี้ยงอยู่ในท้องของแม่แมวอยู่ จะถึงกำหนดตกลูกตอนปลายปีนี้ ก่อนหน้านี้ก็มีนักวิทยาศาสตร์บางคนอย่างเช่น ดร.โรบิน โลเวลล์แบดจ์ แห่งสภาวิจัยการแพทย์สหรัฐฯ ได้กล่าวเตือนการโคลนนิ่งสัตว์เลี้ยงไว้เหมือนกันว่า เป็นเรื่องเสี่ยงอยู่ เหมือนกัน ด้วยเหตุว่าลูกที่โคลนนิ่งออกมาได้ นั้น เพราะต้องไปฝากเลี้ยงในท้องของแม่ตัวอื่น อาจทำให้สีขนและนิสัยใจคอผิดจากต้นแบบได้ หากแต่ผู้บริหารของบริษัทกล่าวรับรองว่า สัตว์ที่โคลนนิ่งด้วยเทคนิคใหม่นี้ จะคงมีรูปร่างลักษณะเหมือนกับต้นแบบราวกับแกะ "เพราะเราทำโดยผู้เชี่ยวชาญและใช้เทคนิคที่ก้าวหน้าเพียงพอ ลูกแมวที่โคลนนิ่งจะออกมาในเวลาอีกไม่นานนี้ จะไม่มีปัญหาใดๆทั้งสิ้น" (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 9 ส.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





โอสถสารกระชายดำวิจัยพบฤทธิ์เทียบเท่าโสมเกาหลี

นายฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่าแม้กระชายดำจะราคาตกต่ำ แต่ก็เป็นสมุนไพรร่วมสมัยที่ผู้คนให้ความสนใจ เนื่องจากมีสรรพคุณมากมายทั้งต้านการอักเสบ ต้านเชื้อรา เชื้อไวรัส วัณโรค มาลาเรีย การเกิดอนุมูลอิสระและแผลในกระเพาะอาหาร และที่โดดเด่นที่สุดก็คือ สรรพคุณในด้านบำรุงกำลังเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ จนได้รับการขนานนามว่า "โสมไทย" นอกจากนี้ ผลการวิจัยล่าสุดยังได้พบว่ากระชายดำมีฤทธิ์ "ต้านทานความเหนื่อยล้า" ด้วยเห็นว่าเป็นสมุนไพรที่ยังมีอนาคต และเพื่อหาข้อมูลทางวิชาการ มาเป็นเครื่องยืนยัน กรมวิชาการเกษตร จึงร่วมกับ สำนักงานพัฒนา การวิจัยการเกษตร (สวก.) ซึ่งเป็นองค์การมหาชน จัดทำ "โครงการศึกษาสารออกฤทธิ์ ต้านความเหนื่อยล้า ของเหง้ากระชายดำ สำหรับการคัดเลือกพันธุ์เชิงพาณิชย์" โดย สวก.ให้ทุนสนับสนุนการวิจัย แก่กรมวิชาการเกษตร จำนวน 5,833,432 บาท ใช้ระยะเวลาทำวิจัย 2 ปี (2547-2549) ดร.เสริมสกุล พจนการุณ นักวิชาการเกษตร 6 ศูนย์บริการและวิชาการด้านพืช และปัจจัยการผลิตจังหวัดเลย หนึ่งในผู้ทำวิจัย เปิดเผยว่า โครงการนี้มีนักวิจัยทำงาน ร่วมกันหลายคน โดยในส่วนของตัวเองรับผิดชอบ ในการรวบรวม ศึกษาและคัดเลือกพันธุ์กระชายดำ และการวิจัยเชิงสำรวจ และศึกษาความเป็นไปได้ ทางเศรษฐศาสตร์ ส่วนการทดสอบฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ของสารสกัดเหง้ากระชายดำ การศึกษาวิเคราะห์องค์ ประกอบเคมีของสัดส่วน (fraction) ที่มีฤทธิ์ต้านความเหนื่อยล้าและวัยขณะเก็บเกี่ยว และการเก็บรักษาเหง้ากระชายดำที่เหมาะสมนั้น ได้ให้ทาง ดร.ไชยยง รุจจนเวท, ดร.ประสาท กิตตะคุปต์ และ รศ.ดร.มานิตย์ โฆษิตตระกูล เป็นผู้ทำการศึกษาตามความถนัดของแต่ละคน(ไทยรัฐ จันทร์ที่ 9 ส.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





กี่กระตุกไฮเทค ทอผ้าไทยเร็วกว่าเดิม 5 เท่า

นายสาธิต พุทธชัยยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตเทคนิคกรุงเทพ เปิดเผยว่า ผ้ายกดอกที่มีลายซับซ้อนสวยงาม ส่วนใหญ่จะเป็นฝีมือของผู้สูงอายุในชุมชน เพราะผ้าแต่ละผืนทอยากและใช้เวลานานกว่าแล้วเสร็จ ทำให้เด็กรุ่นใหม่ไม่สนใจเรียนรู้ เขาจึงเกิดแนวคิดขึ้นมาว่า ต้องดึงเทคโนโลยีที่ไม่ซับซ้อนเกินไปเข้ามาช่วยต่ออายุให้กับอาชีพทอผ้าของคนไทย จึงได้พัฒนากี่กระตุกกึ่งอัตโนมัติ 16 ตะกอขึ้นมา ด้วยเหตุผล 3 ประการ คือช่วยให้ชาวบ้านทอผ้า โดยเฉพาะลายผ้ายกดอกให้เร็วขึ้น ต้องรักษาความเป็นหัตถกรรมบนผืนผ้า และต้องดึงดูดให้คนรุ่นใหม่หันมาทอผ้าให้ได้โดยปกติหลักการทำงานของกี่กระตุกจะมี 3 ขั้นตอน ได้แก่ การเปิดตะกอด้วยการใช้เท้าเหยียบ การส่งกระสวยเพื่อสอดเส้นพุ่ง และการกระทบเส้นพุ่งให้ชิดขอบผ้า หรือการกระทบผ้า ซึ่งขั้นตอนที่ช้าที่สุดก็คือการเปิดตะกอยกดอกลายผ้า จุดนี้เองที่ต้องใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าช่วย สำหรับกี่กระตุกกึ่งอัตโนมัติ 16 ตะกอ ซึ่งใช้มอเตอร์จักรเย็บผ้าเป็นตัวช่วยขับเคลื่อน พัฒนาแล้วเสร็จเมื่อปี 2543 สามารถทอผ้าได้เร็วกว่าเดิม 5-7 เท่า เช่น ผ้ายกดอก 1 ลาย ความยาว 1 เมตร ทอมือปกติใช้เวลา 1 วัน แต่หากใช้กี่กระตุกไฮเทคในเวลาเท่ากัน จะทอผ้าได้ยาว 5-7 เมตร "ขณะนี้ผมได้ให้สิทธิผลิตเพื่อจำหน่ายกับบริษัทเอกชนรายหนึ่งแล้ว เชื่อว่ากระตุกกึ่งอัตโนมัติเครื่องนี้ จะสามารถคงความเป็นหัตถกรรมไว้ได้ และช่วยให้การทอผ้าเป็นเรื่องง่าย ต่อไปสิ่งที่ทุกคนต้องเรียนรู้ไม่ใช่เรื่องวิธีการทอ แต่จะเป็นเรื่องการออกแบบลายมากกว่า" อาจารย์สาธิต กล่าว (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 9 ส.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





นักวิทย์วิจัยสารสกัดบอระเพ็ด ลดเบาหวาน

รศ.ดร.งามผ่อง คงคาทิพย์ หัวหน้าโครงการสมุนไพร หน่วยปฏิบัติการผลิตภัณฑ์ธรรมชาติและเคมีอินทรีย์สังเคราะห์ ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่า โครงการวิจัยค้นหาคุณสมบัติของสารสกัดสมุนไพรบอระเพ็ด (Tinospora crispa) มีความคืบหน้าอย่างมาก ขณะนี้สามารถระบุชนิดของสารสำคัญในบอระเพ็ดที่ออกฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้แล้ว และทดสอบไม่พบความเป็นพิษเฉียบพลัน ขณะนี้อยู่ระหว่างทดสอบความเป็นพิษเรื้อรังในหนูทดลอง สำหรับสาเหตุที่เลือกวิจัยบอระเพ็ด เนื่องจากเป็นสมุนไพรที่ระบุอยู่ในตำรับยาไทยมากสุด โดยมีสรรพคุณที่ชัดเจน 4 ด้าน คือ บำรุงหัวใจ ลดไข้ เจริญอาหารและลดน้ำตาลในเลือด ดังนั้น นอกจากวิจัยทางวิทยาศาสตร์ถึงสรรพคุณลดน้ำตาลในเลือดแล้ว ทีมงานยังวิจัยถึงการออกฤทธิ์บำรุงหัวใจด้วย โดยค้นพบสารออกฤทธิ์แล้ว 3 ชนิด "ลำต้นแก่จะมีสารกลุ่มอัลคาลอยด์มากกว่าลำต้นอ่อน ซึ่งช่วยเพิ่มแรงบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจห้องบนขวาและซ้ายได้ดี ขณะเดียวกันไม่เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ จากปกติยารักษาโรคหัวใจจะเพิ่มทั้งแรงบีบตัวกล้ามเนื้อหัวใจและอัตราการเต้นของหัวใจด้วย ดังนั้น ถ้าได้ยาที่ไม่เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจจะเป็นยาที่ดีกว่ายารักษาโรคหัวใจที่มีอยู่ปัจจุบัน จึงคาดหวังว่า 2 โครงการวิจัยข้างต้นน่าจะพัฒนาเป็น "ยาเสริม" สำหรับคนไข้เบาหวานและโรคหัวใจ" รศ.ดร.งามผ่อง กล่าว จากการวิจัยยังค้นพบกลไกการออกฤทธิ์ของบอระเพ็ด ที่เข้าไปเพิ่มการหลั่งอินซูลินในร่างกาย ทำให้น้ำตาลในเลือดลดลง ส่วนกลไกการออกฤทธิ์ด้านบำรุงหัวใจยังอยู่ระหว่างศึกษา บอระเพ็ดเป็นสมุนไพรที่ไม่มีสารยับยั้งเชื้อรา ทำให้ผลิตภัณฑ์จากบอระเพ็ดโดยเฉพาะแคปซูลบรรจุผงบอระเพ็ดเกิดเชื้อราได้ง่าย จึงเตือนผู้ที่นิยมบริโภคแคปซูลควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกใหม่ และไม่ควรซื้อเก็บนานหลายวัน (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 9 ส.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





เสริมพลังงานรถไฟฟ้าด้วยโซลาร์เซลล์

ในการประชุมวิชาการเพื่อนำเสนอผลงานวิจัยระดับปริญญาเอกจาก 3 สถาบันการศึกษา อันประกอบด้วยบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล และมหาวิทยาลัยเกียวโต (ประเทศญี่ปุ่น) เมื่อเดือนที่ผ่านมา อาจารย์นพพร พัชรประกิติ จากคณะวิชาไฟฟ้า สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตเชียงราย ผู้นำเสนองานวิจัยเรื่อง "การตรวจติดตามกำลังไฟฟ้าสูงสุดของระบบโฟโตโวลตาอิก สำหรับการประจุแบตเตอรี่" กล่าวว่า การนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ขับเคลื่อนยานพาหนะแม้จะมีมานานแล้ว แต่ก็ยังติดปัญหาเรื่องความไม่สะดวกในการใช้งานที่เหมาะจะใช้เฉพาะเวลากลางวัน ดังนั้นแนวคิดของตนเองคือให้ใช้ไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์มาเป็นพลังงานเสริมให้กับรถยนต์ไฟฟ้า โดยทำให้รถยนต์คันดังกล่าวสามารถชาร์จไฟฟ้าได้ทั้งขณะจอดอยู่ที่บ้านในเวลากลางคืน และขณะนำไปจอดทิ้งไว้ในเวลากลางวันก็สามารถได้ไฟฟ้าฟรี ๆ จากแสงแดด ด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ไว้กับตัวรถเพื่อชาร์จไฟให้กับรถที่จอดทิ้งไว้กลางแดด งานวิจัยของอาจารย์นพพร จึงเป็นการพัฒนา แผงวงจรควบคุมกระแสและแรงดันไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ ที่ไม่ต้องใช้เครื่องวัดความเข้มแสงหรือเครื่องวัดอุณหภูมิ แต่จะใช้การตรวจจับกระแสและแรงดันของแผงเซลล์ และนำมาคำนวณหาค่ากำลังไฟฟ้า แล้วนำไปเปรียบเทียบกับค่ากำลังไฟฟ้าที่ได้ก่อนหน้านั้น เพื่อปรับค่าต่าง ๆ ให้มี "กำลังไฟฟ้า" สูงสุด ซึ่งค่าสูงสุดของกำลังไฟฟ้าที่ ได้ย่อมหมายถึง ประสิทธิภาพในการชาร์จไฟมีค่าสูงสุดทุกช่วงเวลาได้เช่นเดียวกับระบบของต่างประเทศที่มี ราคาหลายหมื่นจนเป็นแสนบาท ขณะที่วงจรอิเล็ก ทรอนิกส์และชุดควบคุมนี้มีต้นทุนค่าวัสดุไม่เกิน 5,000 บาท แถมวงจรนี้ยังสามารถชาร์จแบตเตอรี่ขนาดต่าง ๆ กันได้พร้อม ๆ กันอีกด้วย จากความสำเร็จในการพัฒนาแผงวงจรดังกล่าว ขณะนี้อาจารย์นพพรกำลังจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์กับรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า เพื่อนำวงจรการประจุไฟจากโซลาร์เซลล์ไปติดตั้ง และทดสอบว่า ไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์นี้จะสามารถทำให้รถไฟฟ้าคันดังกล่าวทำงานได้มากน้อยเพียงใด และหากได้ผลทางทีมวิจัยก็จะนำไปศึกษาพัฒนาต่อไป นอกจากนี้วงจรดังกล่าวยังสามารถใช้ได้กับการชาร์จไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์จำเป็นเช่น โทรศัพท์มือถือ โน้ตบุ๊ก ในยามที่เจ้าของอยู่ในท้องถิ่นที่ซึ่งระบบไฟฟ้าเข้าไม่ถึงอีกด้วย (เดลินิวส์ อังคารที่ 10 ส.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





รู้จัก'คิวริโอ'

ไฮไลต์สำคัญของงานบางกอกอิน เตอร์เนชั่นแนล ไอซีทีเอ็กซ์โป 2004 ซึ่งจัดผ่านไป กับหุ่นยนต์อัจฉริยะ คิวริโอ (QRIO) นับตั้งแต่พิธีเปิดงาน ซึ่งสร้างความประทับใจให้กับผู้เข้าร่วมงานด้วยลีลารำไทยของคิวริโอตัวน้อยถึง 4 ตัวแถมท้ายด้วยการมอบพวงมาลัยให้แก่ท่านนายกรัฐมนตรี สำหรับคิวริโอ จัดเป็นหุ่นยนต์บันเทิง ที่คิดค้นพัฒนาโดยบริษัท โซนี่ คอร์เปอเรชั่น ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของเทคโนโลยีด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ มีขนาดกะทัดรัด สูงไม่ถึง 2 ฟุต หนักแค่ 7 กิโลกรัมเท่านั้น สามารถเดินทรงตัวได้ด้วยเท้าทั้งสองข้างเหมือนกับมนุษย์ มีกลไกในการขับเคลื่อนที่เรียกว่า Intelligent Servo Actuator สามารถเคลื่อนไหวข้อต่อต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างคล่องแคล่ว ปรับตัวให้เคลื่อนที่บนทางลาดหรือพื้นผิวต่าง ๆ ได้ หากหกล้มก็สามารถลุกเองได้ภายใน 30 วินาที นอกจากนี้เจ้าตัวน้อยยังสามารถรับรู้สิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวในรูปแบบ 3 มิติ ด้วยกล้อง สเตอริโอที่ทำให้สามารถวิเคราะห์ระยะทาง กำหนดทิศทางของต้นกำเนิดเสียงด้วยไมโครโฟนทั้ง 7 ตัว หลบหลีกสิ่งกีดขวางหรือหันไปในทิศทางของต้นกำเนิดเสียงได้ ประมวลความสามารถจากเทคโนโลยีหลาย ๆ อย่างทำให้คิวริโอเจ้าหุ่นยนต์ตัวน้อย ๆ สามารถเต้นรำ เตะบอล หรือรำไทยโชว์ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถรับรู้และเข้าใจประโยคคำพูดและโต้ตอบกลับได้ด้วยเสียงพูดของ ตัวเองพร้อมแสดงกิริยาท่าทางประกอบ แยกแยะบุคคลแต่ละคนได้จากน้ำเสียงและองค์ประกอบจากใบหน้า สามารถจดจำคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นได้ถึง 6 หมื่นคำ ความแม่นยำในการจำถึง 93%หากเจอศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย ก็สามารถลอกเลียนเสียงได้เช่นภาษาไทยที่ใช้ในการทักทายวันเปิดงาน สำหรับด้านความปลอดภัย คิวริโอ ได้รับการออกแบบหลาย ๆ ด้านเพื่อป้องกันการเกิดอันตรายแก่มนุษย์ และมีจุดประสงค์หลักเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดความเสียหายต่อร่างกายของตนเอง เช่น หากต้องการหยุดการเคลื่อนที่ของเจ้าตัวน้อยชั่วคราว ก็สามารถยกแกนจับบนด้านหลังของหุ่นยนต์นี้ ปัจจุบันโซนี่พัฒนาคิวริโอมาแล้ว 3 รุ่น รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ 4 (เดลินิวส์ อังคารที่ 10 ส.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





รักษาอาการปวดหัวด้วยปืนแม่เหล็กยิงส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เข้าไปในหัว

นักวิทยาศาสตร์ของโรงพยาบาลแมคมาสเตอร์ ของแคนาดา ได้ประดิษฐ์ ปืนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อใช้รักษาอาการปวดศีรษะ แบบที่ยาแก้ปวดก็ ไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้ พวกเขาเชื่อว่าปืนแม่เหล็กไฟฟ้าจะสามารถช่วยรักษาอาการปวดศีรษะไมเกรน ซึ่งยาแก้ปวดธรรมดาไม่อาจเยียวยาให้ บรรเทาลงได้ ตัวปืนแก้ปวดหัวหนักประมาณ 1 กก.เศษ ใช้ถ่านไฟฉายขนาด 2 เอ จำนวน 6 ก้อน เชื่อว่าจะสามารถผลิต ออกมาจำหน่ายในสหรัฐฯ ได้ก่อนที่อื่น ภายในเวลา 2 ปีนี้ (ไทยรัฐ อังคารที่ 10 ส.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





ตู้เสื้อผ้าอัจฉริยะช่วยเลือกชุดได้ฉับไว

น.ส.มนันยา อัศวอิ่มสุวรรณ น.ส.กมลชนก พรรณนา และ น.ส.วลัยลักษณ์ อุทัยธำรง นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักศึกษาเจ้าของโครงการ และผศ.ณรงค์ บวบทอง อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ ตู้เสื้อผ้าอัจฉริยะนี้มีความสามารถในการจัดเก็บ ค้นหา รวมถึงรายงานสถานะของเสื้อผ้าที่เก็บอยู่ในตู้ได้ตามต้องการใช้งาน เพียงเลือกชุดที่ต้องการผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ จากนั้นเปิดประตูตู้เสื้อผ้า ชุดที่ทำการเลือกไว้จะเลื่อนตำแหน่งมายังหน้าประตูตู้โดยทันที การสั่งงานตู้เสื้อผ้าดังกล่าวผู้ใช้เพียงป้อนรหัสของเสื้อผ้าที่ต้องการผ่านคีย์บอร์ดเข้าโปรแกรมควบคุมทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ จากนั้นไมโครคอนโทรลเลอร์จะทำหน้าที่ประมวลผลและควบคุมมอเตอร์บริเวณรางของราวแขวนผ้าให้หมุนเคลื่อนที่ และนำเสื้อผ้าชุดตามที่ระบุไว้ในรหัสบาร์โค้ดที่ต้องการมายังบริเวณประตูตู้เสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ผู้ใช้จะต้องกำหนดรหัสของชุดต่างๆ ผ่านแถบบาร์โค้ดเพื่อบอกตำแหน่งของเสื้อผ้าภายในตู้ ซึ่งจะติดไว้บนไม้แขวนเสื้อ ทั้งนี้ระบบดังกล่าวสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเครื่องค้นหาอุปกรณ์ต่างๆ อาทิ เครื่องเก็บแผ่นซีดี ไปจนถึงตู้เก็บรองเท้า หรือสัมภาระต่างๆ อย่างไรก็ตามทีมผู้วิจัยต้องทำการปรับขนาดของตู้ให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ด้วย "ในอนาคตจะทำการพัฒนาให้คอมพิวเตอร์สามารถสั่งงานผ่านระบบสัมผัสหน้าจอ (ทัชสกีน) และติดตั้งบนฝาตู้เสื้อผ้า เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้มากขึ้น" เจ้าของโครงการกล่าว โครงการตู้เสื้อผ้าอัจฉริยะได้คว้ารางวัลรองชนะเลิศในการประกวดคอมพิวเตอร์ล่องหน ครั้งที่ 2 จากสมาคมสมองกลฝังตัวไทย (TESA) โดยได้รับการสนับสนุนจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) จากโครงงานที่ผ่านการคัดเลือกในรอบแรกรวมทั้งสิ้น 73 โครงงานจากทั่วประเทศ (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 10 ส.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ประดิษฐ์ฟิล์มห่ออาหารรุ่นใหม่ไม่ต้องแกะ-กินได้พร้อมอาหาร

ดร.ยั่นหยุ่น จ้าว ผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีเรื่องอาหารของมหาวิทยาลัย กล่าวว่า ฟิล์มห่อของนี้เมื่อห่ออาหาร ไม่แต่จะช่วยรักษาให้คงสดใหม่อยู่เสมอแล้ว ยังจะกินได้โดยปลอดภัยด้วย เพราะฟิล์มทำจากวัสดุที่ได้จากธรรมชาติ เช่น พวกวิตามินและเกลือแร่ เมื่อจะใช้หุ้มห่ออาหาร เช่น ผลไม้ ก็เพียงแต่ฉีดพ่นเท่านั้น "เมื่อเวลาจะหุ้มห่ออาหาร เพียงแค่ฉีดพ่นหรือจุ่มมันลงในน้ำยาเท่านั้น นอกจากนั้นยังอาจจะเพิ่มส่วนผสมให้มีคุณค่าอาหารเพิ่มมากขึ้นได้อีกด้วย โดยการเติมวิตามินอีและแคลเซียมลงไป" เขาและคณะได้คิดค้นฟิล์มห่อของขึ้นมาได้ มาจากการค้นคว้าทดลองกับสารไคโตซาน อันเป็นสารประกอบอินทรีย์เชิงซ้อนพวกเดียวกับคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่ง ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในเปลือกกุ้ง ปู และแมลง กับสารไลโซไซย์ม อันเป็นโปรตีนของไข่ขาวอย่างหนึ่ง "เมื่อเอาทั้งคู่มารวมกัน ทำให้เราได้สิ่งซึ่งมีคุณประโยชน์อย่างยิ่ง" (ไทยรัฐ พุธที่ 11 ส.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





นักวิจัยคิดค้นแผ่น 'ฟิล์มนาโน' กันแสงยูวี

ดร.จิตติพร เครือเนตร นักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) กล่าวว่า เกษตรกรที่ปลูกพืชในโรงเรือนมักประสบปัญหาพืชในเรือนปลูกเหี่ยวเฉา อันเนื่องมากจากแผ่นฟิล์มกันความร้อนคลุมหลังคาโรงเรือนไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตและความร้อนได้ดีพอ ซึ่งส่งผลให้กระบวนการสังเคราะห์แสงของพืชผิดปกติ ดร.จิตติพร เผยถึงงานวิจัยว่า เป็นการปรับปรุงและพัฒนาแผ่นฟิล์มกันความร้อนให้มีราคาไม่แพงมากและเหมาะสมกับการใช้งานในประเทศไทย หรือประเทศที่มีสภาพภูมิอากาศร้อนจัด โดยเริ่มต้นทำการศึกษาค้นคว้าหาชนิด ปริมาณ และขนาดของสารเติมแต่งอนินทรีย์ที่เหมาะสมในการสร้างฟิล์มที่ต้องการ จึงได้คิดค้นวิธีการเติมสารเติมแต่งลงในโพลิเมอร์เพื่อช่วยในการลดการผ่านของรังสีอัลตราไวโอเลต และอินฟาเรดจากดวงอาทิตย์ ในช่วงที่ไม่จำเป็นต้องใช้แสงอาทิตย์ทำให้พืชเจริญเติบโต ซึ่งถ้าพืชได้รับแสงในช่วงที่ไม่ต้องการมากเกินไปก็จะทำให้เกิดผลเสียต่อพืชได้" ดร.จิตติพร กล่าวว่า พลาสติกที่ใช้ผลิตฟิล์มชนิดนี้ คือโพลิเอธิลีนชนิดความหนาแน่นต่ำ มีลักษณะใส ยืดหยุ่นสูงสามารถโค้งงอได้โดยไม่แตกหัก และมีสมบัติในการลดการส่องผ่านของรังสีอัลตราไวโอเลต ได้ร้อยละ 99 ทั้งยังง่ายต่อการขึ้นรูป และที่สำคัญคือราคาถูก โดยใช้ไทเทเนียมไดออกไซด์เป็นสารเติมแต่ง ซึ่งมีความสามารถในการลดการผ่านของรังสีอัลตราไวโอเลต และโลหะออกไซด์ ที่ช่วยในการลดการผ่านของรังสีอินฟาเรดเหลือเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ "เมื่อเติมสารเติมแต่งโลหะออกไซด์ขนาดนาโนเมตรลงในโพลิเมอร์ ประสานกับการเคลือบแผ่นพลาสติกด้วยชั้นกันความร้อนที่ใส เพื่อให้กันรังสียูวีและกันรังสีความร้อนได้ แต่ยอมให้แสงขาวผ่านได้ นอกจากนี้ยังผสมพลาสติกชนิดอื่นลงไปในโพลิเอธิลีนเพื่อทำให้ได้พลาสติกที่ยืดหยุ่นและแข็งแรงยิ่งขึ้น ขณะนี้อยู่ระหว่างทดสอบการตอบสนองของพืช ว่ามีผลต่อการเจริญเติบโตในระดับใด "ในอนาคตอาจปรับปรุงสมบัติฟิล์มที่ได้ให้ดีขึ้นเพื่อนำมาใช้แทนฟิล์มกันแดดเคลือบติดกับช่องแสงของอาคาร เพื่อกำหนดแสงสีที่จะผ่านมาในอาคาร หรือติดกระจกรถยนต์ ทั้งกระจกด้านหน้าที่ต้องการความใสสูง กระจกด้านหลัง และด้านข้าง ที่อาจต้องการให้มีสีต่างๆ ซึ่งค่าใช้จ่ายในการผลิตฟิล์มดังกล่าวค่อนข้างต่ำเนื่องจากไม่ต้องใช้เครื่องมือราคาแพงหรือพลังงานในการผลิตมาก (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 11 ส.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา งานวิจัยท้าทายโลก 'สยบพันธุ์หมาบ้า'

ศ.น.พ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรแพทย์และประสาทวิทยา จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเจ้าของรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นประจำปี 2547 ก็พร้อมสร้างโมเดลต้นแบบในการควบคุมสุนัขจรจัด โดยเลือกจังหวัดกาญจนบุรี เป็นพื้นที่ศึกษา และเชื่อว่าหากสำเร็จสามารถนำไปปรับใช้ได้ทั่วโลก จากข้อมูลพื้นฐานหมายรวมถึงการศึกษาข้อมูลที่ได้จากการถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสของสุนัขบ้าจาก 56 จังหวัด เพื่อใช้ในการบอกลักษณะของแต่ละพื้นที่ว่ามีความหลากหลายของสายพันธุ์ไวรัสมากน้อยเพียงใด พบว่าไวรัสสุนัขบ้าในไทย สามารถจัดได้เป็นอย่างน้อย 6 กลุ่ม การกระจายตัวของไวรัสจากข้อมูลที่เราได้ บอกให้รู้ถึงตำแหน่งที่มาของไวรัส และสะท้อนให้ห็นถึงความไม่รัดกุม ในการควบคุมสุนัขในพื้นที่ที่มีการเล็ดรอดของสุนัขบ้าจากพื้นที่อื่น และเกิดการกระจายติดต่อในสุนัขในพื้นที่นั้นอย่างกว้างขวาง เฉพาะในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล 5 จังหวัดเต็มไปด้วยไวรัสหลากหลายสายพันธุ์ มีมากถึง 5-6 สายพันธุ์ สาเหตุก็เพราะมีการโคจรเข้าออกของสุนัขที่นำโรคจำนวนมาก" นั่นหมายความว่า การจะควบคุมสุนัขจรจัดในกรุงเทพมหานาคร และปริมณฑลไม่ใช่เรื่องง่าย กาญจนบุรีจึงถูกเลือกให้เป็นจังหวัดนำร่อง เพราะข้อมูลพันธุกรรมไวรัสบอกให้รู้ว่าพื้นที่นี้มีไวรัสสายพันธุ์เดี่ยว ขณะที่ภูมิประเทศเป็นภูเขาส่งผลให้ไม่มีการโคจรของสุนัขเข้าออกมาก อีกทั้งอาสาสมัครหมู่บ้านก็พร้อมที่จะเข้าร่วมโครงการเฝ้าระวังและควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าในครั้งนี้ ขั้นต่อไปคือ การลงพื้นที่เพื่อทำหมันสุนัขเพศผู้ เพื่อลดจำนวนประชากรสุนัขจรจัดจำนวน 50,000 ตัว ด้วยเทคนิคการทำหมัน 2 นาที โดยฉีดสารบางอย่างเข้าไปทำลายเซลล์สเปิร์มในอัณฑะของสุนัข ซึ่งไม่ได้ทำให้สุนัขเจ็บปวด เมื่อฟื้นจากยาสลบสามารถวิ่งได้เป็นปกติ ถ้าสำเร็จ กาญจนบุรีจะเป็นต้นแบบให้กับทุกจังหวัดได้ (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 11 ส.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





หมอเตือนฉีดวัคซีนสกัด "ไวรัสค้างคาว"

นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นปี 2547 ได้ออกมาเปิดเผยผลการวิจัยการค้นพบ เชื้อไวรัสนิปาห์ในค้างคาว ซึ่งสามารถแพร่เชื้อสู่คนและทำให้เกิดโรคไข้สมองอักเสบได้นั้น ก่อให้เกิดความตื่นตัวในวงกว้าง ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 ส.ค. ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) น.พ.ธีระวัฒน์ กล่าวยืนยันผลการวิจัยว่า จากการเก็บตัวอย่างค้างคาวในพื้นที่ 9 จังหวัด ที่เป็นแหล่งชุมนุมของค้างคาว พบเลือดค้างคาวมีเชื้อไวรัสนิปาห์ 7.7% ส่วนในน้ำลายกับปัสสาวะมีสารพันธุกรรมไวรัสนิปาห์แบบเดียวกับที่ มีรายงานไว้ในธนาคารเชื้อพันธุ์ 100% หมายความว่า เชื้อไวรัสที่พบในค้างคาวจากประเทศไทย เป็นตัวเดียวกับที่เคยแพร่ระบาดในประเทศมาเลเซีย บังกลาเทศ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากค้างคาวที่มีไวรัสจะไม่แสดงอาการป่วย จึงไม่สามารถแยกแยะได้ และว่าการออกมาเปิดเผยครั้งนี้ ต้องการใช้เป็นสัญญาณเตือนให้วางมาตรการป้องกัน และเฝ้าระวังโรคอย่างเป็นระบบ ซึ่งประชาชนกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่เข้าไปเก็บและหาของป่าในถ้ำ และเก็บมูลค้างคาวขาย สามารถป้องกันตัวเองได้โดยการไม่บริโภคผลไม้ที่มีรอยแทะของค้างคาว รวมทั้งนักท่องเที่ยวที่ชอบไปถ้ำและตามวัดที่มีค้างคาวอาศัยอยู่ ก็อาจหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับน้ำลาย ปัสสาวะ มูลค้างคาว ตลอดจนน้ำคร่ำและรก และลูกค้างคาวเกิดใหม่ ซึ่งมีเชื้อของไวรัสอยู่ โดยเฉพาะนักเปิบพิสดารที่ชอบดื่มเลือดค้างคาว ขอให้เลิกพฤติกรรมที่เสี่ยงๆแบบนี้ เพราะถือว่าอันตรายมาก นอกจากนี้ถ้าเป็นไปได้ขอกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า เพราะ แม้คนไทยจะป่วยเป็นโรคไข้สมองอักเสบปีละประมาณ 1,000 กว่าราย แต่ระบบการวินิจฉัยโรคก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร เพราะยังไม่สามารถแยกแยะว่าคนป่วยเสียชีวิตจากไวรัสตัวไหน และจากการตรวจสอบยังไม่มีการระบาดของเชื้อในหมู. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 12 ส.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





พัฒนาเครื่องอัลตราซาวนด์ราคาถูก ให้โรงพยาบาลท้องถิ่นใช้ตรวจครรภ์แม่ชนบท

ผศ.ดร.สุพล อนันตา ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เจ้าของรางวัลนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ประจำปี 2547 เปิดเผยว่า ทีมงานประสบความสำเร็จในการพัฒนาวิธีผลิตผงเซรามิคคุณภาพสูงหลายชนิดด้วยต้นทุนที่ต่ำมาก สามารถทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ และนำมาถ่ายทอดเป็นวิชาสอนในมหาวิทยาลัยได้หลายรายการ อาจารย์สุพลยังมีแผนจะพัฒนาเครื่องอัลตราซาวนด์ทั้งชุด ด้วยการเริ่มต้นจากทรานสดิวเซอร์ ซึ่งเป็นตัวเซนเซอร์ที่ทำจากเซรามิค ทำหน้าที่ดูดซับสัญญาณและส่งออกมาเป็นภาพผ่านจอแสดงผล "เป็นโครงการใหญ่นะ เพราะต้องมีแพทย์ วิศวะ และวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง ขณะนี้ เราเริ่มคุยกันแล้วว่าต้องศึกษาคุณสมบัติของวัสดุในด้านไหนบ้าง คาดว่าน่าจะถูกกว่าเครื่องอัลตราซาวนด์ที่นำเข้าจากต่างประเทศปกติราคาจะอยู่ที่ 6-10 ล้านบาท แต่ของเราเชื่อว่าน่าจะราว 1 ล้านบาท หากสำเร็จจะพัฒนาให้กับโรงพยาบาลทุกแห่งทั่วประเทศ เพื่อให้คุณแม่ในชนบทมีโอกาสใช้บริการได้ในราคาที่ถูก" ทั้งนี้ ทีมงานของ ผศ.ดร.สุพล จะเน้นพัฒนาในส่วนของเซนเซอร์ และวัสดุที่ใช้ ขณะที่ทีมวิศวกรรมจะพัฒนาในเรื่องซอฟต์แวร์ประมวลผลเพื่อสร้างภาพออกมา ภายใต้การร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) และทีมวิศวกรด้านคอมพิวเตอร์ และทีมแพทย์จากเชียงใหม่ โรงพยาบาล 1 แห่ง จะต้องมีเครื่องอัลตราซาวนด์ 1 ชุด แม้ต้นทุนของเครื่องต้นแบบจะแพงเป็นล้าน แต่ถ้าผลิตในจำนวนมากราคาย่อมถูกลง ขั้นต่อไปจะต้องมีการพัฒนาเทคนิคใหม่ๆ และวิธีการที่จะทำให้เครื่องราคาถูกลงมาอีก" อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านฟิสิกส์กล่าว (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 12 ส.ค. 2547 http://www.bangkokbiznews.com)





บราซิลเฟ้นสุดยอดกาแฟพันธุ์อึด ให้ผลผลิตเพิ่ม-อายุใช้งานนาน

บราซิลประสบผลสำเร็จทำแผนที่ดีเอ็นเอต้นกาแฟ ตั้งเป้าพัฒนาพันธุ์เพื่อลดต้นทุนการผลิต ทนโรคและแมลง แถมให้ผลผลิตมากขึ้นและยาวนานกว่าเดิมสองเท่า เฟ้นสุดยอดเมล็ดกาแฟที่ต้องลิ้นลูกค้าอเมริกาและยุโรป หลังจากใช้เวลาศึกษาอยู่นาน 2 ปี ในที่สุด บราซิลก็ประสบผลสำเร็จในการถอดรหัสพันธุกรรมกาแฟ เพื่อทำฐานข้อมูลกาแฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีข้อมูลดีเอ็นเอทั้งหมด 200,000 เบส และมีจำนวนยีนทั้งสิ้น 35,000 ยีน ที่ให้ความแตกต่างทางด้านกลิ่น และระดับของกาเฟอีนของเมล็ดกาแฟที่เพาะปลูกกันในเขตร้อน บราซิล ตั้งเป้าว่าจะใช้ข้อมูลจากการถอดรหัสมาเพิ่มผลผลิตเมล็ดกาแฟที่ปลูกแบบธรรมชาติ ไม่พึ่งปุ๋ยเคมี และสารกำจัดศัตรูพืช และพัฒนาพันธุ์ใหม่ปลอดกาเฟอีน นอกจากนี้ หน่วยงานของรัฐบาลยังมีแผนที่จะทำให้บราซิลเป็นแหล่งผลิตกาแฟราคาถูกด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของบราซิล กล่าวว่า รัฐบาลจะสร้าง "ซูเปอร์กาแฟ" เพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย และหวังว่าเมล็ดพันธุ์กาแฟที่ผ่านการปรับเปลี่ยนพันธุวิศวกรรมแล้ว จะช่วยเพิ่มผลผลิตต่อไร่ได้มากเป็นสองเท่า แถมยังลดต้นทุนในการเพาะปลูกลงอีกร้อยละ 20 และสามารถให้ผลผลิตต่อเนื่องถึง 30 ปี จากเดิมที่เพาะปลูกได้ 15 ปี ทั้งนี้ สถาบันวิจัย 6 แห่งในบราซิล ได้รับอนุญาตให้สามารถเข้าใช้ข้อมูลจากการถอดรหัสดีเอ็นเอ และอีก 5-6 ปีข้างหน้า ถึงจะเปิดให้เอกชนเข้าใช้ข้อมูล ซึ่งอาจรวมทั้งบริษัทในต่างประเทศด้วย ซึ่งต้องจ่ายค่าใช้ข้อมูลสิทธิบัตรนี้ด้วย (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 12 ส.ค. 2547 http://www.bangkokbiznews.com)





เทคนิคอบแห้งใหม่ คงโปรตีนถั่วเหลือง เพิ่มค่าอาหารสัตว์

รศ.ดร. สมเกียรติ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ได้ทำการวิจัยการอบแห้งถั่วเหลืองด้วยเทคนิคฟูอิไดซ์เบด (Fluidized bed) โดยใช้ไอน้ำร้อนยวดยิ่งแทนอากาศร้อน ไอน้ำยวดยิ่งคือการทำให้ไอน้ำกลายเป็นไอที่อุณหภูมิสูงกว่าปกติหลายเท่า ซึ่งเมื่อสัมผัสกับถั่วเหลืองที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า จะเกิดการควบแน่นของไอน้ำบนผิวของวัสดุ ส่งผลให้เกิดการถ่ายเทความร้อนจากไอน้ำร้อนยวดยิ่งไปสู่วัสดุอย่างรวดเร็ว และทำให้อุณหภูมิของถั่วเหลืองเพิ่มขึ้นรวดเร็วกว่าการอบแห้งด้วยอากาศร้อนทั่วไป นอกจากนี้ยังมีประสิทธิภาพของการใช้พลังงานสูงกว่าการใช้อากาศร้อน เพราะสามารถนำไอน้ำกลับมาใช้ใหม่ได้ การทดลองของเราจึงใช้ไอน้ำร้อนยวดยิ่งที่ 120 องศา แทนที่จะเป็น 150 องศาเซลเซียส เหมือนการใช้อากาศร้อน แม้เวลาที่ใช้จะนานขึ้นจาก 5 เป็น 7 นาที แต่คาดว่าจะสามารถประหยัดพลังงานที่ใช้ได้มากกว่าเดิม ที่สำคัญเราพบว่า ถั่วเหลืองที่ได้จากการฟูอิไดซ์ด้วยไอน้ำร้อนยวดยิ่งของเรา มีโปรตีนเหลืออยู่ถึง 85 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าสูงมาก ปัจจุบัน งานวิจัยดังกล่าวซึ่งนำทีมโดยศ.ดร. สมชาติ โสภณรณฤทธิ์ ร่วมกับ รศ.ดร.สมเกียรติ กำลังพัฒนาเครื่องอบแห้งฟูอิไดซ์เบดด้วยไอน้ำร้อนยวดยิ่งร่วมกับภาคเอกชนอยู่ และมีความเป็นไปได้ที่จะนำไปสู่การพัฒนาเครื่องดังกล่าว สำหรับใช้กับถั่วเหลืองอาหารสัตว์ต่อไป (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 13 ส.ค. 2547 http://www.bangkokbiznews.com)





ดาวเด่นการศึกษา

น.ส.ธีรนันท์ ศิริตานนท์ หรือน้องจูน จากโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จ.เชียงใหม่ นักเรียนทุนโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เจ้าของโครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง "การแยกสารสกัดจากรากต้นนกยูงไทย" จนทำให้ได้สารใหม่ที่สามารถยับยั้งการเติบโตของเชื้อวัณโรค เซลล์มะเร็งเต้านม เซลล์มะเร็งในปอดคน ในหลอดเลือด และเซลล์มะเร็งเยื่อบุแก้ม ซึ่งจะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาประโยชน์ต่อไป ขั้นตอนแรกของการแยกสารสกัดจากรากต้นนกยูงไทยนั้น ใช้คอลัมน์โครมาโตกราฟีที่มี ซัฟฟาเด็กซ์ เป็นตัวดูดซับ และเมทานอลเป็นตัวทำละลาย แยกสารสกัดจากรากหางนกยูงไทยในไดคลอโรมีเทนออกมาเป็นส่วนๆ และทดสอบว่าสารที่ต้องการนั้นอยู่ที่ส่วนใด แล้วใช้คอลัมน์โครมาโตกราฟีที่มีซิลิกาเจลเป็นตัวดูดซับ และใช้ไดคลอโรมีเทนกับเอทิลอะซีเตตเป็นตัวทำละลาย แยกสารในส่วนนั้นๆ ออกเป็นส่วนย่อยลงเรื่อยๆ จนได้สารบริสุทธิ์ที่ต้องการ คือ RCHA (สารใหม่) และ RHCB ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อวัณโรค เซลล์มะเร็งเต้านม ฯลฯ (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 13 ส.ค. 47 http://www.komchadluek.net)





นักวิทย์ประดิษฐ์เครื่องกลจิ๋วด้วยอาร์เอ็นเอ

เป่ยฉวน เกา ศาสตราจารย์ด้านไวรัสวิทยาโมเลกุล จากมหาวิทยาลัยเพอร์ดิว ใช้กรดไรโบนิวคลิอิก หรือที่รู้จักกันในชื่อของอาร์เอ็นเอ ซึ่งเป็นตัวจำลองของสารพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) สำหรับผลิตโปรตีนที่เป็นส่วนสำคัญของร่างกาย มาใช้สร้างโครงสร้างขนาดจิ๋ว อาทิ ขดเกลียว สามเหลี่ยม ก้านคันชัก และเข็มกลัด เพื่อใช้ทำเป็นชิ้นส่วนกลไกของอุปกรณ์นาโนเทคโนโลยี เขาเล่าว่า อาร์เอ็นเอเป็นส่วนที่บรรจุข้อมูลของสารพันธุกรรม ขณะที่ดีเอ็นเอบรรจุคำสั่งสำหรับสร้างโปรตีน โมเลกุลอาร์เอ็นเอจะนำคำสั่งไปสู่กลไกการทำงานของเซลล์ ในการการทดลอง เกาและคณะได้ลองใช้ประโยชน์ของความสามารถของอาร์เอ็นเอในการประกอบเป็นรูปร่าง นักวิจัยมักเจอกับปัญหาต่างๆเมื่อต้องเคลื่อนย้ายส่วนประกอบขนาดเล็กจิ๋วที่จำเป็นสำหรับทำให้เป็นเครื่องกลขนาดนาโนเมตร ดังนั้น ความเป็นไปได้คือ ต้องหาทางออกแบบและสร้างวัสดุที่สามารถประกอบตัวเองได้เอง ดิเอเตอร์ โมลล์ นักวิจัยในห้องปฏิบัติการของเกา กล่าวว่า สารประกอบที่ทำจากอาร์เอ็นเอจะมีประโยชน์กับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมและการแพทย์ ซึ่งจะพบว่าอาร์เอ็นเอจะช่วยให้พวกเขาสร้าง และเคลื่อนย้ายชิ้นส่วนขนาดจิ๋วได้ง่ายขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 14 ส.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





มช.พัฒนากระเป๋าลากอัจฉริยะเดินตามเจ้าของ เคลื่อนที่เองอัตโนมัติไม่ต้องออกแรงเข็น

คณิตพงษ์ เพ็งวัน อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า นายพงศ์สุรฉัฐ อักษรศรี นักศึกษาซึ่งเป็นเจ้าของนวัตกรรมล้อลากแสนรู้ได้เห็นปัญหาที่มักพบเสมอเวลาไปสนามบิน ล็อบบีโรงแรม หรือซูเปอร์มาร์เก็ต ที่เจ้าของต้องคอยระมัดระวังกระเป๋าเดินทางหรือสัมภาระที่ติดตัวมาด้วย ดังนั้น จึงเกิดแนวคิดพัฒนาล้อลากให้สามารถเดินตามเจ้าของได้ เพื่อเพิ่มความสะดวก และปลอดภัย ล้อลากแสนรู้ใช้คลื่นเสียงอัลตราโซนิกเข้าช่วยในการตรวจจับระยะห่างระหว่างเจ้าของกับสัมภาระไม่เกิน 2 เมตร ใช้เซ็นเซอร์เหมือนกับระบบกันชนหลังรถยนต์ เพียงแต่นำมาประยุกต์ใช้หาตัวเจ้าของ เวลาเจ้าของเดินไปไหนก็จะเดินตาม เพียงแต่ตัวต้นแบบที่พัฒนาขึ้นมานี้ เจ้าของต้องกดปุ่มเรียกมันให้เดินตามก่อนในขั้นแรก ส่วนประกอบร่วมของล้อลากแสนรู้ ได้แก่ มอเตอร์จากที่ปัดน้ำฝนในรถยนต์จำนวน 2 ตัว สามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่ากับคนเดินปกติ ตัวล้อลากมีด้วยกัน 3 ล้อ ใช้แบตเตอรี่ 12 โวลต์ พลังงานที่ใช้ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของสัมภาระ ซึ่งออกแบบไว้ที่ 10 กิโลกรัม รถเข็นอัตโนมัตินี้จะเคลื่อนที่ตามเจ้าของ ซึ่งมีอุปกรณ์ขนาดกะทัดรัดพกพาสำหรับส่งสัญญาณคลื่นเสียงอัลตราโซนิกระหว่างอุปกรณ์กับรถลาก โดยมีรัศมีทำงานในระยะห่าง 1-2 เมตร วิธีใช้งานล้อลากไม่ยุ่งยาก เพียงพกตัวกำหนดสัญญาณอัลตราโซนิกที่มีลักษณะเหมือนกับพวงกุญแจรีโมตติดตัวไว้ จากนั้นเมื่อต้องการให้ล้อลากเดินมาหา ก็เพียงแต่กดปุ่มเรียก ตัวต้นแบบนี้ยังมีข้อจำกัดที่ต้องแก้ไขหลายรายการ อาทิ ระบบนี้จะสามารถทำงานได้ดีเฉพาะในที่โล่ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสะท้อนของคลื่นอัลตราโซนิก และในกรณีที่มีล้อลากหลายตัวอยู่ในบริเวณเดียวกัน ล้อลากจะไม่สามารถแยกได้ออกว่าคนไหนเป็นเจ้าของที่แท้จริง (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 14 ส.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ข่าวทั่วไป


อีก20ปี"โรคข้อ-กระดูก"พุ่ง50% พบเหตุชีวิตสบายขึ้นจนขี้เกียจ

น.พ.มงคล วัฒนสุข ประธานมูลนิธิทศวรรษโรคกระดูกและข้อ(ประเทศไทย)แถลงเมื่อวันที่ 8 สิงหาคมว่า จากการประชุมนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางโรคกระดูกและข้อจากทั่วโลกที่ประเทศสวีเดน พบว่าในอีก 20 ปีข้างหน้าจะมีประชากรโลกที่ป่วยด้วยโรคข้อและกระดูกเพิ่มขึ้น 50% เนื่องจากประชากรโลกมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นทำให้มีอายุยืนยาว ประกอบกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป มนุษย์มีความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตมากขึ้น ขาดการออกกำลังกาย และบริโภคอาหารในปริมาณและสัดส่วนที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนา อุบัติเหตุมีแนวโน้มสูงขึ้น ทำให้คนมีโอกาสเป็นโรคนี้สูงขึ้น และว่า ปีนี้เพื่อเป็นการร่วมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 72 พรรษา มูลนิธิจะจัดงานเดิน-วิ่งมินิมาราธอนเฉลิมพระเกียรติ เพื่อรณรงค์เพื่อสุขภาพ และป้องกันโรคข้อและโรคกระดูก(มติชนรายวัน จันทร์ที่ 9 ส.ค. 47 http://www.matichon.co.th)





พัฒนาหมอนข้างคู่นอนของสาวโสดไม่นอนกรนนอน ดิ้นอย่างมนุษย์

นักออกแบบญี่ปุ่นได้ออกแบบ สิ่งที่อวดอ้างว่าเป็นคู่นอนที่เหมาะสมกับพวกสาวโสด เป็นหมอนข้างที่เป็นทั้งคู่นอนด้วย โดยที่ไม่สร้างความรำคาญให้เหมือนกับคู่นอนที่เป็นมนุษย์ด้วยกันเลย เพราะจะไม่นอนกรนหรือนอนดิ้นแต่อย่างใด หมอนข้างคู่นอนแต่ละลูก จะมีเสื้อมาให้ สีน้ำเงินกับสีชมพูอย่างละตัว สามารถถอดเอาไปซักรีดใหม่ได้ เมื่อเห็นสกปรก บริษัทนักออกแบบผู้ประดิษฐ์ยังแจ้งว่า หมอนข้างคู่นอนยังมีแบบที่ทำหน้าที่เหมือนกับนาฬิกาปลุกได้อีกด้วย โดยมันจะสั่นให้รู้เมื่อถึงเวลาจะต้องตื่น โฆษกบริษัทกล่าวว่า หมอนข้างแสนรู้ขายดิบขายดีมาก มีรายชื่อผู้สั่งจองอยู่ยาวเหยียด และมีลูกค้าเป็นสตรีทุกวัย มารอเข้าแถวซื้อเป็นแถวยาวถึงรอบช่วงตึก "หมอนราคาตกประมาณลูกละ 2,400 บาท ขณะนี้ยังมีขายอยู่ในญี่ปุ่นเท่านั้น แต่มีกำหนดจะส่งออกในเวลาอีกไม่นานนี้" (ไทยรัฐ อังคารที่ 10 ส.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





คนไอทีเสี่ยงสารพัดโรค ทั้งตาแห้ง จิตป่วน รุนแรงถึงแท้งลูก

น.พ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า ชาวไอทีหรือผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์การสื่อสาร มีโอกาสสูงที่จะเจ็บป่วยจากการใช้คอมพิวเตอร์นาน โดยโรคที่พบบ่อย ได้แก่ เอ็นข้อมืออักเสบจากการใช้คีย์บอร์ดพิมพ์ข้อมูลเข้าเครื่อง ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณข้อมือต้องเคลื่อนไหวในท่าเดียวซ้ำๆ เร็วๆและเป็นเวลานาน แก้ไขได้โดยเลือกใช้คีย์บอร์ดที่เหมาะสมและสวมถุงมือที่ช่วยลดการกระทบบริเวณข้อมือ การจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ อาจทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับตาและสายตา ทำให้ตาแห้งหรือรู้สึกระคายเคือง วิธีแก้ไขที่ดีที่สุดคือ ควรใช้จอแอลซีดี หรือใช้กระจกกรองแสงเพื่อลดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จอภาพควรห่างสายตา 18-30 นิ้ว ตำแหน่งกลางจอควรอยู่ต่ำกว่าระดับสายตา 20 องศา ที่สำคัญไม่ควรนั่งพิมพ์งานเป็นเวลานาน ควรหยุดพักสายตาเป็นระยะๆ สำหรับจอคอมพิวเตอร์ที่ปล่อยคลื่นแม่เหล็กออกมามาก จะทำให้การเปลี่ยนแปลงสารเคมีในร่างกาย และอาจทำให้เกิดการแท้งบุตร ความพิการของทารก เนื้องอกหรือมะเร็งได้ รวมทั้งพบความเสี่ยงเดียวกันนี้ในกรณีการใช้โทรศัพท์มือถือ ซึ่งผู้ใช้ต้องสัมผัสกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเช่นกัน ทั้งนี้ มีผลวิจัยระบุว่าร้อยละ 59 ของคนทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ยอมรับว่ากลายเป็นคนขี้โมโหหรือโกรธง่ายขึ้น ด้าน พ.ญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ จิตแพทย์ กล่าวว่า นอกจากคนในยุคไอทีจะได้รับผลกระทบทางด้านกายแล้ว ปัญหาสุขภาพจิตสามารถเกิดได้เช่นกัน โดยคนไข้ในความดูแลมีทั้งวัยรุ่นและวัยทำงาน ส่วนใหญ่มีพฤติกรรมแยกตัวจากสังคม โดยคนกลุ่มนี้ชอบเล่นอินเทอร์เน็ตนานๆ เพราะเหมือนมีโลกส่วนตัว ส่วนวัยรุ่นที่ชอบใช้อินเทอร์เน็ตดูภาพลามกและเล่นเกมที่รุนแรง จะเกิดสภาวะทางอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในทางเลวร้ายได้เช่นกัน (คมชัดลึก อังคารที่ 10 ส.ค. 47 http://www.komchadluek.net)





เตือนเปิบพิสดาร เสี่ยงติดเอชไอวี สายพันธุ์ใหม่

วารสารนิวไซแอนทิสต์รายงานผลเลือดของชาวแคเมอรูนพบว่ามีทั้งเชื้อไวรัสเอชไอวี และเอสไอวี (SIV) ซึ่งเป็นไวรัสก่อโรคในกลุ่มสัตว์ไพรเมท ได้แก่ ลิง แสดงให้เห็นว่าไวรัสร้ายเอสไอวี ซึ่งมีคุณสมบัติเหมือนกับเอชไอวีในมนุษย์ กำลังแพร่ระบาดในกลุ่มสัตว์ป่าด้วยกัน และแพร่เชื้อให้กับมนุษย์ที่บริโภคเนื้อสัตว์เข้าไป บรรดาผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งเข้าร่วมประชุมในสมาคมอนุรักษ์ชีววิทยา มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย รัฐนิวยอร์ก เชื่อว่าการบุกรุกป่าเพื่อล่าสัตว์ป่ามากินเป็นอาหาร และค้าสัตว์ป่าให้กับผู้บริโภคที่นิยมเลี้ยงสัตว์แปลกๆ ถือเป็นอีกเงื่อนไขที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคร้ายรูปแบบใหม่ เพราะสัตว์เหล่านี้ถือเป็นแหล่งกักโรคที่สำคัญ เมื่อต้นปี 2547 มีรายงานการตรวจพบไวรัส simian foamy ซึ่งแพร่ระบาดในกลุ่มลิง และยังพบในตัวของนักล่าสัตว์ป่าด้วย นอกจากนี้ไวรัสดังกล่าวยังมีสายพันธุ์ที่แตกต่างกันถึง 3 สายพันธุ์ แม้ผู้ติดเชื้อจะไม่แสดงอาการเจ็บป่วยออกมาให้เห็น แต่เชื้อจะค่อยๆ กลายพันธุ์และทำลายระบบการทำงานภายในร่างกาย อันตรายของการกินสัตว์ป่าทำให้การแพร่ระบาดของเชื้อเอสไอวี (SIV) กำลังขยายตัวในสัตว์ไพรเมทแถบแอฟริกามากถึง 26 สายพันธุ์ และสัตว์จำพวกนี้หลายตัวถูกล่าและนำมาจำหน่ายเพื่อเป็นอาหาร (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 11 ส.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





งานช่วยป้องกันสมองฝ่อยามชรายิ่งเป็นงานใช้สมองหนักกลับยิ่งดี

ดร.แคธลีน สมิท ผู้เข้าร่วมการศึกษาครั้งใหม่นี้ กล่าวอธิบายว่า งานที่ต้องใช้สมองอาจจะทำให้สมองไม่เฉื่อย จึงช่วยต่อต้านสมองฝ่อลงได้ "มันอาจเป็นเพราะเหตุที่การได้ใช้สมองทำให้สมองไม่นอนวัน จึงมีเซลล์สมองเหลือสำรองอยู่ ต้านกับโรคสมองฝ่อได้" พร้อมกับได้บอกแนะนำว่า "อยากจะชักชวนให้ผู้สูงอายุเล่นเกม ที่ต้องใช้ความคิด เช่น พวกหมากรุก หรือฝึกใช้เครื่องมือใหม่ๆ เรียนภาษา หรือเล่นเกมอักษรไขว้ พยายามคิดทำอะไรใหม่ๆ เป็นสิ่งซึ่งจะไปปลุกสมองให้กระฉับกระเฉงขึ้น". (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 12 ส.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





ตั้ง "บ้านเกร็ด" ศูนย์เรียนรู้ค้ามนุษย์

นายสรอรรถ กลิ่นประทุม รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวภายหลังการประชุมผู้บริหารกระทรวง ว่า จากการกำหนดให้การแก้ปัญหาการค้ามนุษย์เป็นวาระแห่งชาติ พม.จึงรับเป็นเจ้าภาพทำงานด้านนี้ และแต่งตั้งคณะทำงาน เพื่อดำเนินยุทธศาสตร์และแผนในการแก้ปัญหาค้ามนุษย์ พร้อมแต่งตั้งคณะกรรมการเข้ามาดูแลงบจำนวน 500 ล้านบาท ที่จะนำมาใช้ในการบำบัดและฟื้นฟูผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ โดยงบนี้ถือเป็นเงินนอกงบประมาณ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการนำมาใช้ ซึ่งบางส่วนจะมีการนำมาปรับปรุงสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพบ้านเกร็ดตระการ ให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ของหน่วยงานต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาบ้านเกร็ดตระการได้รับคำชมจากผู้นำต่างประเทศหลายคนที่ไปเยี่ยม นอกจากนี้จะเตรียม การประชุมเรื่องการค้ามนุษย์กับ 5 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ในวันที่ 27-28 ส.ค. เป็นการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโส ที่ประเทศพม่า และประชุมอีกครั้งในวันที่ 29 ต.ค. โดย พล.อ.ขิ่น ยุ้น นายกรัฐมนตรีพม่าจะเป็นประธาน (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 12 ส.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





อย.ห้ามเติมน้ำตาลในนมเด็ก เตรียมดันร่างประกาศบังคับใช้

น.พ.ศุภชัย คุณารัตนพฤกษ์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ตามที่กลุ่มองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน ได้เสนอต่อกระทรวงสาธารณสุข ให้มีการแก้ไขประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 156 พ.ศ.2537 ไม่ให้มีการเติมน้ำตาลในนมผงสูตรต่อเนื่องสำหรับเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป เนื่องจากข้อมูลการวิจัยพบว่าการบริโภคน้ำตาลที่มากเกินไปจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ โดยเฉพาะโรคฟันผุ และโรคอ้วน ซึ่งมีแนวโน้มตัวเลขผู้ป่วยทั้ง 2 โรคนี้สูงมากขึ้น ทั้งในเขตชุมชนเมืองและชนบท ทำให้รัฐต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ทั้งๆ ที่เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ การแก้ไขประกาศ ฉบับที่ 156 พ.ศ.2537 ไม่ให้มีการเติมน้ำตาลในนมสูตรต่อเนื่องสำหรับเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไปนี้เป็นมาตรการทางกฎหมาย และเป็นเพียงมาตรการหนึ่งในหลายๆ มาตรการที่จะช่วยลดปัจจัยของการติดรสหวาน แต่สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ปกครอง คือ การเลือกอาหารที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดโรคอ้วน และโรคฟันผุได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 14 ส.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





กระทรวงวิทย์ไม่รับรองอีพลัส-ชี้ผลทดสอบขัดกัน

เมื่อวันที่ 13 ส.ค. นายภิมุข สิมะโรจน์ เลขานุการ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยเกี่ยวกับผลการทดสอบประสิทธิภาพเครื่องมือประหยัดน้ำมันอี-พลัส ว่า คณะกรรมการบริหารของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ส่งอี-พลัสให้กับการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ซึ่งการทดสอบในห้องปฏิบัติการพบว่า ประสิทธิภาพที่กล่าวอ้างในเรื่องการประหยัดน้ำมัน 10% ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทดสอบโดยการวิ่งจริงกลับพบว่าสามารถประหยัดน้ำมันได้จริงประมาณ 10-11% นอกจากนี้ยังรวมถึงผลการทดสอบจากประชาชนที่นำเอาเครื่องมือดังกล่าวไปติดตั้ง พบว่ารถบางรุ่นก็ใช้ไม่ได้ผล บางรุ่นใช้ได้ผลดีซึ่งเมื่อผลการทดสอบออกมาในลักษณะดังกล่าว กระทรวงวิทยาศาสตร์คงจะรับรองประสิทธิภาพให้ไม่ได้ ซึ่งตนได้ส่งผลการทดสอบทั้งหมดให้คณะกรรมการบริหาร วว.พิจารณาตัดสินใจว่า เมื่อผลการทดสอบไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน จะดำเนินการอย่างไรต่อไปกับเครื่องมืออี-พลัส แต่สำหรับประชาชนที่ติดตั้งอี-พลัสไปแล้วหากมีปัญหาสามารถติดต่อมายัง วว.เพื่อรับเงินคืนได้ (ไทยรัฐ อาทิตย์ที่ 15 ส.ค. 47 http://www.thairath.co.th/thairath)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215