|
หัวข้อข่าวปีที่ 5 ฉบับที่ 41 ประจำวันที่ 2004-10-10
ข่าวการศึกษา
ปลุกชาวอุดมศึกษาพร้อมรับ พ.ร.บ.กพอ. เผยกฎหมายให้อิสระ ม.รัฐเพิ่ม ปรับเงินเดือนทำพิษ ม.หวั่นพนักงานโวย ศธ.รับอีก 46.8 ล.เร่งผลิตแพทย์เพิ่ม ปอมท.จี้รัฐบาลถอนร่างม.ในกำกับรัฐ ร่อนหนังสือวอนวุฒิตรวจสอบ "พระเทพ" ทรงเตือนแม่พิมพ์รู้เท่าทันโลก "ยูเนสโก" แนะครูอย่าเน้นสอนอาชีพ ทปอ.จี้รัฐบาลเร่งทำความเข้าใจ ม.นอกระบบ มหาวิทยาลัยไทย-ญี่ปุ่น จัดอบรมเทคโนโลยีชีวภาพ จีน เปิดวิศวกรรมเหมืองแร่ เผย กบข.อ้าแขนรับดูแลพนักงานมหาวิทยาลัย สอศ.ดึงสถาบันไทย-เยอรมัน ปั้นช่างเทคนิคเยอรมันพันธุ์แท้
ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี
ดีเอชแอลใช้อุปกรณ์ไฮเทคตามหาพัสดุ ญี่ปุ่นพบธาตุใหม่ลำดับ 113 รอพิสูจน์ก่อนลงตารางธาตุ เตือนผู้ชอบเดินทางโดยเครื่องบิน เสี่ยงกับถูกรังสีคอสมิกเป็นมะเร็ง ยานอวกาศพาณิชย์สร้างสถิติตะลุยอวกาศ 3นักวิทย์มะกันเจ๋งพิชิตโนเบลฟิสิกส์ อุปกรณ์กลบเสียงปลดทุกข์ สิ่งประดิษฐ์คู่สุขาหญิงญี่ปุ่น สูติแพทย์อัพเดทเทคโนฯผ่าตัดส่องกล้อง ทางเลือกรักษาโรคทางช่องท้อง ลดความเสี่ยงแผลติดเชื้อ ล็อกซเล่ย์รับจ้างติดตามรถ ช่วยสอดส่องคนขับรถผ่านจอคอมพ์ แผ่นดิสก์ความจุสูงเก็บข้อมูลมหาศาล อเมริกันคว้าโนเบลแพทย์ปี 47 ผลงานค้นพบยีนรับรู้-จำแนกกลิ่น แพทย์ไทยเปลี่ยนข้อสันหลังสำเร็จ นักวิทย์ผลงาน โคลนนิงมนุษย์ บรรยายในไทย ไขความลับของ "ควาร์ก" คว้าโนเบลฟิสิกส์ เปลนอนโปร่งใสช่วยงานเอกซเรย์ ผลงานรังสีแพทย์ รพ.พุทธชินราช สวทช.รุกอีสานใต้ จับมือเทคโนธานี พัฒนาอุตสาหกรรม ญี่ปุ่นปั้น "แสง" เป็นเทคโนโลยี เชื่อมต่อไร้สาย หญิงเคนยาคว้าโนเบลไพร้ซ์ ชูบทบาทต่อสู้ด้านสิ่งแวดล้อม สหรัฐชม"ศูนย์โรคหัวใจไทย"มาตรฐานดีที่สุดในเอเชีย
ข่าววิจัย/พัฒนา
คอยาได้เป็นแชมป์นอนกรน ทิ้งคนอ้วนท้วนเสียห่างไกล ยับยั้งโรคกุ้งด้วยสมุนไพรไทย เร่งศึกษาลดปัญหากีดกันการค้า อีก3เดือนได้เอกชนทำป้ายรถเมล์อัจฉริยะ เฟ้นนักวิทย์อาเซียนติวเข้ม'ไบโอเทค' ไทย-ญี่ปุ่นจับมือถ่ายทอดเทคโนโลยีพันธุกรรม จุฬาฯ สร้างเสียงให้อีเมลรับฟังทางมือถือแทนอ่านบนเวบ กินวิตามินสกัดมะเร็งสูญเปล่า กลับตายเร็วกว่าปกติเสียด้วยซ้ำ ม.เกษตร พัฒนาอ้อยสายพันธุ์ใหม่ ผลผลิตสูง ม.เกษตรพัฒนาเครื่องย่อยยางเก่า ตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยส่งรง.รีไซเคิล วิจัยสร้างประสาทตา ช่วยคนแก่มองเห็นอีกครั้ง เก็บรักษาแปรงสีฟันไว้รวมกันแพร่โรคใส่กันในหมู่คนในบ้าน ม.ขอนแก่นชูข้าวฟ่างหวานผลิตเอทานอล วัตถุดิบใหม่รับมืออ้อย มันสำปะหลังขาดแคลน วิตามินซีสร้างบุญคุณให้กับคอยาล้างพิษของนิโคตินในหลอดเลือด ลาดกระบังพัฒนา 'เซนเซอร์นาโน' ต้นแบบอุปกรณ์ดักจับมลพิษ อิตาลีโชว์หุ่นยนต์แคปซูลช่วยผ่าตัดลำไส้ 'นวัตกรรม' โชว์ผลงานวิจัยหนุนภาคธุรกิจ เวทีนักวิทย์หนุนวิจัยเชิงลึกรับมือโรคอุบัติใหม่ เน้นวิจัยผลิตเวชภัณฑ์ใหม่-น้ำยาชันสูตรโรคปูทางสู่เมดิคัลฮับ หุ่นจิ๋วสอดแนมเส้นเลือด ฝีมือนักวิทย์จีนช่วยงานแพทย์ เอ็นอีซีช่วยคนอ่อนภาษาไม่กลัวฝรั่ง พัฒนาเครื่องแปลส่งสำเนียงอังกฤษ นวัตกรรมแห่งอนาคต Rescue Robot กับความมุ่งมั่นของนักศึกษา ม.สงขลานครินทร์ ทีมวิจัยมช.เจ๋งประดิษฐ์ดอกไม้ฟิสิกส์คุณค่ามหาศาล
ข่าวทั่วไป
ความเครียดวาดรอยคล้ำใต้ตา แนะใส่แว่นตากันแดดป้องกัน แนะนำนักเขียนซีไรต์ 9 ประเทศ ไทยเปิดฉากประชุมไซเตส เปิดเผยท่านั่งขับรถมาตรฐาน ป้องกันไม่ให้เป็นโรคปวดหลัง แพทย์ไทยเตือนอันตรายยาไวออกซ์ จุฬาฯวิจัยทำกทม.เมืองน่าอยู่ แนะวิธีจิบน้ำชากันอย่างถูกต้อง เพื่อบำรุงสุขภาพและป้องกันโรค กรมบัญชีกลางเอาใจขรก. ขยายออนไลน์โรคเรื้อรัง จ้างมก.ปลูกป่าทะเลกรุงเทพฯ พืช-สัตว์ป่าสูญพันธุ์วันละ 100 ชนิด ปี 48 ราชการต้องใส่ข้อมูลจัดซื้อ-จ้างบนเว็บ กระทรวงเกษตรฯ เตรียมโชว์ศักยภาพ เป็นเจ้าภาพจัดประชุม GF-2 ระดับโลก กวีออสเตรียคว้าโนเบลวรรณกรรม
ข่าวการศึกษา
ปลุกชาวอุดมศึกษาพร้อมรับ พ.ร.บ.กพอ. เผยกฎหมายให้อิสระ ม.รัฐเพิ่ม
นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) คาดว่า พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. ...หรือ พ.ร.บ.กพอ. จะมีผลบังคับใช้ ซึ่ง พ.ร.บ.กพอ.มีความแตกต่างจาก พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย หรือ กม.ดังนี้ ประการที่ 1 โครงสร้างของคณะกรรมการ กพอ. ซึ่งเดิมกรรมการ กม. จะมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน แต่สำหรับกรรมการ กพอ. จะมี รมว.ศธ. เป็นประธาน มีผู้แทนจากกลุ่มต่างๆ 3 กลุ่มใหญ่ คือ ผู้แทนนายกสภามหาวิทยาลัย จะคัดเลือกกันเองให้เหลือ 2 คน ผู้แทนอธิการบดีมหาวิทยาลัย เลือกกันเองเหลือ 2 คน โดยแบ่งเป็น ม.รัฐ เดิม 1 คน ม.ราชภัฏ 1 คน และผู้แทนจากข้าราชการในมหาวิทยาลัยเลือกกันเอง เหลือ 2 คน ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาจะเตรียมประชุมผู้แทนกลุ่มต่างๆ เพื่อชี้แจงกฎหมายและดำเนินการจัดให้มีการคัดเลือกกันเองดังกล่าว ประการที่ 2 พ.ร.บ.กพอ.จะให้ความสำคัญกับสภามหาวิทยาลัย ในการบริหารงานบุคคล รวมไปถึงการมอบอำนาจให้สภามหาวิทยาลัย พิจารณาตำแหน่งทางวิชากรจนถึงระดับ ศ. โดย กพอ.จะเป็นผู้วางเกณฑ์กลาง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาด้านคุณภาพ ซึ่งเบื้องต้นมีการวางเกณฑ์โดยระบุว่า ผู้พิจารณาผลงานระดับ ศ. จะต้องเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มีอยู่ในบัญชีรายชื่อที่ กพอ.กำหนดเท่านั้น และต้องใช้บุคคลภายนอก และรายงานให้ กพอ.ทราบ ประการที่ 3 ให้มหาวิทยาลัยมีอิสระในการกำหนดค่าตอบแทนอาจารย์ 4 มีการกำหนดจรรยาบรรณวิชาชีพซึ่งกำหนดว่า พฤติกรรมใดที่เข้าข่ายผิดจรรยาบรรณและมีบทลงโทษทางวินัย เช่น ห้ามอาจารย์รับจ้างทำวิทยานิพนธ์ หรือห้ามละเมิดเพศนักศึกษา ซึ่งมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งจะต้องประกาศเกณฑ์จรรยาบรรณของอาจารย์ให้รับทราบกัน ประการที่ 5 กำหนดให้ผู้มีตำแหน่งทางวิชาการตั้งแต่ รศ. ขึ้นไป ที่ประสงค์เป็นข้าราชการต่อสามารถต่ออายุราชการได้จนถึง 65 ปี ภายใต้ความเห็นชอบของสภามหาวิทยาลัย โดย กพอ.จะวางเกณฑ์กลางไว้. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 4 ต.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
ปรับเงินเดือนทำพิษ ม.หวั่นพนักงานโวย
ดร.เกื้อ วงศ์บุญสิน รองอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้ปรับเงินเดือนข้าราชการขึ้นอีก 3% และให้อีก 2 ขั้น รวมแล้วจะทำให้ข้าราชการมีเงินเดือนขึ้นถึง 11% จากเงินเดือนที่ได้รับอยู่ในปัจจุบัน และยังมีการขึ้นเงินเดือนให้กับข้าราช การระดับ 1-4 อีกคนละ 1,000 บาทนั้น เรื่องดังกล่าวทำให้เกิดปัญหากับมหาวิทยาลัยมาก เนื่องจากการปรับเงินเดือนไม่ได้รวมถึงพนักงานของมหาวิทยาลัยด้วย ทั้งที่มหาวิทยาลัยมีพนักงานถึง 1 ใน 6 ของข้าราชการมหาวิทยาลัยทั้งหมด ซึ่งถ้ารัฐบาลไม่มีการปรับเงินเดือนเพิ่มให้กับพนักงานของมหาวิทยาลัยด้วย ตนเชื่อว่าต่อไปคงจะไม่มีใครอยากจะมาเป็นพนักงานอีก เพราะเงินเดือนที่พนักงานได้รับถือว่าไม่มาก โดยเงินที่พนักงานได้รับในปัจจุบันจะมีเพียงเงินเดือนข้าราชการคูณด้วย 1.5-1.7 เท่าของเงินเดือนข้าราชการ ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละมหาวิทยาลัยว่าจะใช้อัตราส่วนเท่าใด และบวกด้วยค่าตำแหน่งทางวิชาการเท่านั้น ในขณะเดียวกันพนักงานจะต้องเสียค่าประกันสังคม และค่ารักษาพยาบาลทั้งของตนเองและครอบครัว โดยไม่สามารถเบิกได้ และยังไม่มีเงินบำนาญเหมือนกับข้าราชการทั่วไปด้วย ด้าน ศ.ดร.อมเรศ ภูมิรัตน คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ ม.มหิดล กล่าวว่า ในส่วนของ ม.มหิดล ก็มีปัญหาเดียวกันเพราะพนักงานในมหาวิทยาลัยมีเพิ่มขึ้นตลอด โดยเฉพาะคนที่เข้ามาใหม่จะเป็นพนักงานทั้งหมด และพนักงาน ของ ม.มหิดลก็มีหลายร้อยคน ดังนั้นเมื่อข้าราช การมีการปรับเงินเดือนขึ้นมหาวิทยาลัยก็จะต้องมีการปรับเงินเดือนให้กับพนักงานด้วย มิฉะนั้นต่อไปอาจจะไม่มีใครอยากจะมาเป็นพนักงาน. (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 4 ต.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)
ศธ.รับอีก 46.8 ล.เร่งผลิตแพทย์เพิ่ม
นายทศพร เสรีรักษ์ โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ ได้เปิดเผยเมื่อวันที่ 1 ต.ค. ว่า สำนักงบประมาณได้อนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 จากงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวนเงิน 46,800,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินการจัดการเรียนการสอนของนักศึกษาแพทย์ที่รับเพิ่มในปีการศึกษา 2547 จำนวน 468 คน ตามโครงการเร่งรัดการผลิตแพทย์เพิ่มของสถาบันผลิตแพทย์ พ.ศ. 2547-2556 ของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ซึ่งเป็นไปตามความต้องการของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีมหาวิทยาลัยต่างๆ ของรัฐ จำนวน 9 แห่ง ที่ได้รับงบดังกล่าวดังนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 9 ล้านบาท มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 4.5 ล้านบาท มหาวิทยาลัยขอนแก่น 3.6 ล้านบาท มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2 ล้านบาท หาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 3 ล้านบาท มหาวิทยาลัยนเรศวร 5.7 ล้านบาท มหาวิทยาลัยมหิดล 6.6 ล้านบาท มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 6 ล้านบาท มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 6.4 ล้านบาท เป็นต้น (คมชัดลึก จันทร์ที่ 4 ต.ค. 47 http://www.komchadluek.net)
ปอมท.จี้รัฐบาลถอนร่างม.ในกำกับรัฐ ร่อนหนังสือวอนวุฒิตรวจสอบ
น.พ.พิศิษฐ์ โจทย์กิ่ง ประธานที่ประชุมประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ปอมท.) เปิดเผยว่า จากการประชุมวิสามัญของ ปอมท. เพื่อหารือเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ที่ประชุมมีมติว่าร่าง พ.ร.บ.ยังมี ประเด็นที่จะเกิดผลลบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน ดังนี้ 1. สถานภาพของมหาวิทยาลัยจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐ ต้องหารายได้พึ่งพาตนเอง ส่งผลให้ต้นทุนการศึกษาสูงขึ้น เป็นเหตุให้ต้องขึ้นค่าเล่าเรียน ทำให้ประชาชนที่มีฐานะปานกลางและยากจนได้เรียนต่อน้อยลง 2. ระบบการบริหารบุคคล ทำให้ อาจารย์มหาวิทยาลัยขาดอิสรภาพด้านวิชาการ และหมดหลักประกันความมั่นคงในวิชาชีพ 3. องค์ประกอบของสภามหาวิทยาลัยและการได้มาของผู้บริหารขาดความชัดเจน ขาดระบบตรวจสอบ ขาดการถ่วงดุลอำนาจ ทำให้เกิดระบบผูกขาด 4. การให้ผู้เรียนจ่ายค่าเรียนตามต้นทุนทางการศึกษา 100% จะทำให้เป็นระบบธุรกิจการศึกษาอย่างเต็มรูปแบบ 5. มีการแทรกแซงจากการเมือง ทั้งนี้ ปอมท. มีมติว่ารัฐบาลควรนำร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐซึ่งอยู่ในรัฐสภามาจัดทำกระบวนการรับฟังความคิดเห็น จากประชาคมตามรัฐธรรมนูญและความเห็นของคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รวมทั้งสนองพระราชกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ให้มีการปรึกษาหารือผู้ที่เกี่ยวข้องก่อนจะประกาศใช้ ซึ่ง ปอมท.พร้อมตัวแทนจากสมาพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยได้ยื่นหนังสือต่อนายผ่อง เล่งอี้ ประธานคณะกรรมาธิการการศึกษา ศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม นายสุชน ชาลีเครือ ประธานวุฒิสภา ขอให้มีการตรวจ สอบผลดีผลเสียของการออกนอกระบบของมหาวิทยาลัย ซึ่งทั้งสองรับปากว่าจะตรวจสอบให้ (ไทยรัฐ อังคารที่ 5 ต.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
"พระเทพ" ทรงเตือนแม่พิมพ์รู้เท่าทันโลก "ยูเนสโก" แนะครูอย่าเน้นสอนอาชีพ
วันที่ 5 ต.ค. ที่หอประชุมคุรุสภา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินเป็นประธานเปิดงาน เนื่องในโอกาสวันครูโลก และทรงมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า การศึกษามีความสำคัญต่อมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะมีสถานภาพใด และอยู่ที่ใด ในปัจจุบันองค์กรระหว่างประเทศทุกองค์กรล้วนมีคำขวัญ Education for all ซึ่งหมายความว่าการศึกษาเพื่อทุกคนและร่วมกันผลักดัน ให้การศึกษาเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ นอกจากนี้ ยังมีความพยายามที่จะพัฒนาคุณภาพของการศึกษา โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มีการปฏิรูปการศึกษาด้านต่างๆทั่วโลก การที่จะทำให้เป้าหมายในเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพดังกล่าวสำเร็จนั้น ต้องอาศัยครูเป็นปัจจัยสำคัญ แม้ในปัจจุบันเทคโนโลยีการสื่อสารจะก้าวหน้า ข้อมูลข่าวสารไร้พรมแดน แต่ก็ไม่สามารถทดแทนครูได้ เพราะการศึกษาไม่ใช่เป็นเพียงการรับรู้ การบันทึกข้อมูลข่าวสารเท่านั้น แต่มีสิ่งที่สำคัญกว่าคือ การอบรม บ่มนิสัยให้แต่ละคนสามารถพึ่งพาตนเองได้ และมีน้ำใจที่จะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น ซึ่งส่วนนี้ต้องใช้คนสอนเท่านั้น หากเทคโนโลยีก้าวไกลเพียงใด ก็ยิ่งต้องการครูที่มีความสามารถมากขึ้นเพียงนั้น ครูต้องพัฒนาตนเองให้รู้ทันโลก จึงจะอบรมบ่มนิสัยคนในยุคใหม่ได้ งานวันครูโลกที่จัดขึ้นวันนี้แสดงให้เห็นว่า ทั่วโลกให้ความสำคัญแก่ครู ครูทุกท่านควรภูมิใจที่เป็นผู้มอบสิทธิพื้นฐานให้แก่มนุษย์ วิชาครูจึงถือเป็นวิชาชีพชั้นสูงในทุกยุคสมัย นายเชลดอน เชฟเฟอร์ ผอ.ยูเนสโก ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า การผลิตและพัฒนาครูต้องรับการกระตุ้นจากภายในและภายนอกระบบการศึกษา การศึกษามีความสำคัญในการลดความยากจน และต้องมุ่งการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงมากกว่ามุ่งฝึกทักษะอาชีพที่จำเพาะ ไอซีทีต้องเข้ามามีบทบาทในการลดช่องว่างทางการศึกษาและคุณภาพของการศึกษา และต้องอนุรักษ์เอกลักษณ์ ทางวัฒนธรรม ปรับการสอนให้สามารถรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ต้องมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต ดังนั้นบทบาทของครูจึงต้องปรับเปลี่ยน ดังนี้ 1. จากการสอนเพื่อเลี้ยงชีพเป็นการสอนแบบมืออาชีพ 2. จากความเป็นผู้รู้และผู้ปั้นศิษย์เปลี่ยนเป็นคอยแนะนำ เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้สิ่งใหม่ 3. จากการเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้มาเป็นผู้ส่งเสริมช่วยเหลือให้เกิดการเรียนรู้ 4. เปลี่ยนการสอนแบบบรรยายหน้าชั้นเรียนเป็นการสอนโดยใช้เทคโนโลยี 5. ครูต้องทำงานเป็นทีม มีส่วนร่วมกับชุมชน 6. ไม่ใช่เป็นพวกอนุรักษ์นิยมที่ไม่สนใจต่อการเปลี่ยนแปลง (ไทยรัฐ พุธที่ 6 ต.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
ทปอ.จี้รัฐบาลเร่งทำความเข้าใจ ม.นอกระบบ
จากกรณีที่ประชุมประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ปอมท.) เรียกร้องให้รัฐบาลและรัฐสภาทบทวนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับรัฐ และขอให้มีการทำประชาพิจารณ์อีกครั้งนั้น เมื่อวันที่ 5 ต.ค. น.พ.อดุลย์ วิริยะเวชกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส.) ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) กล่าวว่า ขณะนี้เลยขั้นตอนการนำร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับรัฐ กลับมาทำประชาพิจารณ์ใหม่แล้ว ส่วนเสียงคัดค้านจาก ปอมท.นั้น น่าจะเกิดจากเงินเดือนหรือสวัสดิการไม่ได้เป็นไปตามที่ได้ตกลงกันไว้ โดยเฉพาะกรณีที่รัฐบาลขึ้นเงินเดือนข้าราชการ 3% และปรับ 2 ขั้น โดยไม่รวมพนักงานมหาวิทยาลัยเข้าไปด้วย ทำให้พนักงานมหาวิทยาลัยข้องใจ และไม่มั่นใจในการสนับสนุนของรัฐบาล สิ่งที่รัฐบาลควรทำขณะนี้คือ ให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบทำความเข้าใจ เรื่องมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐให้ชัดเจนอีกครั้ง หากรัฐบาลยังไม่สนใจ หรือไม่มีการเพิ่มเงินให้แก่พนักงานมหาวิทยาลัย ก็จะทำให้มหาวิทยาลัยประสบภาวะลำบาก โดยเฉพาะต่างจังหวัดจะไม่มีอาจารย์ที่ดี และมีคุณภาพไปสอน ความคืบหน้าการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับรัฐ 20 แห่ง พบว่าร่างกฎหมายที่อยู่ในขั้นตอนวุฒิสภา มี 2 ฉบับ ได้แก่ ม.บูรพา อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญของวุฒิสภา กับ ม.ทักษิณ รอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญของวุฒิสภา ร่างกฎหมายที่อยู่ในขั้นตอนการพิจารณา ของคณะกรรมการกฤษฎีกา 14 แห่ง ร่างกฎหมายที่อยู่ในขั้นตอนการพิจารณา ของสำนักงานเลขาธิการคณะ รัฐมนตรี มี 2 ฉบับ ได้แก่ ม.สุโขทัย และ ม.แม่โจ้ ส่วนที่ยังอยู่กับสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษามี 1 ฉบับ ได้แก่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และที่ยังไม่ได้ส่งออกจากมหาวิทยาลัยคือ ม.ธรรมศาสตร์ (ไทยรัฐ พุธที่ 6 ต.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
มหาวิทยาลัยไทย-ญี่ปุ่น จัดอบรมเทคโนโลยีชีวภาพ
มหาวิทยาลัยมหิดล นำทีมมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย และศูนย์ไบโอเทค จับมือกับมหาวิทยาลัยโอซากา ประเทศญี่ปุ่น จัดอบรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพแก่นักวิจัยรุ่นเยาว์ ระดับหลังปริญญา จาก 9 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย ศ.ดร.อมเรศ ภูมิรัตน คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า จากการที่มหาวิทยาลัยโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ได้จัดตั้งหน่วยความร่วมมือการวิจัย สำหรับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ศูนย์นานาชาติด้านเทคโนโลยีชีวภาพขึ้นที่คณะวิทยาศาสตร์ ม.มหิดล ในปี 2545 เพื่อพัฒนาวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพและเทคโนโลยีที่มีความสำคัญในการพัฒนาสายพันธุ์พืชและสัตว์เศรษฐกิจ รวมทั้งพัฒนาวิชาการด้านเกษตร การแพทย์ และการสาธารณสุข ในประเทศแถบภูมิภาคนี้ ในปีนี้โครงการนี้ได้ร่วมกับ จุฬาฯ, ม.เกษตรฯ, ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, ศูนย์ไบโอเทค ม.โอซากา และยูเนสโก จัดอบรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพแก่นักวิจัยรุ่นเยาว์ระดับหลังปริญญาของประเทศในภูมิภาคเอเชีย โดยได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณจากกระทรวงศึกษาธิการ กีฬา วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประเทศญี่ปุ่น "ระหว่างเดือน ต.ค. 2547-ต.ค. 2548 นักวิจัยรุ่นเยาว์ระดับหลังปริญญาของภูมิภาคเอเชีย จำนวน 15 คน จาก ประเทศบังกลาเทศ กัมพูชา อินเดีย มองโกเลีย พม่า ลาว ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น และไทย จะเข้ารับการอบรมและทำวิจัยในไทยและญี่ปุ่น จากนั้นจะฟังบรรยายสรุปที่ญี่ปุ่นอีก 1 เดือน (คมชัดลึก พุธที่ 6 ต.ค. 47 http://www.komchadluek.net)
จีน เปิดวิศวกรรมเหมืองแร่
ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน เป็นหนึ่งในประเทศที่มีสินแร่ทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ของโลกก็ว่าได้โดยแต่ละปีอุตสาหกรรมเหมืองแร่ของจีนทำเงินเข้าประเทศ สูงนับแสนล้านดอลลาร์ทีเดียว ทางการจีนจึงมอบหมายให้มหาวิทยาลัยต่างๆ จัดหลักสูตร วิศวกรรมเหมืองแร่ อาจารย์ ฉี จิน เฟ็ง อธิการบดีมหาวิทยาลัยเหลี่ยวหนิง เปิดเผยว่า การเปิดหลักสูตรวิศวกรรมเหมืองแร่นี้ ก็เพื่อต้องการสร้างบุคลากรออกไปทำงานด้านกิจการเหมืองแร่โดยเฉพาะ เน้นย้ำเรื่องความรู้ความชำนาญในสายงานด้านเหมืองแร่เป็นหลัก ที่นอกจากจะทำให้กิจการของประเทศเจริญก้าวหน้าแล้ว ยังทำให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดในการทำงานด้วย ( สยามรัฐ พุธที่ 6 ต.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)
เผย กบข.อ้าแขนรับดูแลพนักงานมหาวิทยาลัย
จากกรณีที่ประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ปอมท.) เรียกร้องให้ทบทวนร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับรัฐ และขอให้มีการทำประชาพิจารณ์กับประชาคมอีกครั้งนั้น นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ชี้แจงว่า เรื่องที่ห่วงว่ามหาวิทยาลัยต้องหารายได้ เอง จะส่งผลต่อการขึ้นค่าหน่วยกิตนั้น ความจริงรัฐบาลก็ยังคงเป็นเจ้าของมหาวิทยาลัยอยู่ และยังให้เงินสนับสนุนเหมือนเดิม และหากมหาวิทยาลัยมีเงินไม่เพียงพอ ก็สามารถขึ้นค่าหน่วยกิตได้ และหากเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐก็ขึ้นค่าหน่วยกิตได้เช่นกัน ส่วนเรื่องกองทุนกู้ยืมที่ผูกติดกับรายได้ในอนาคต ก็เป็นแนวทางที่จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน ไม่ว่าจะเป็น ม.ในกำกับรัฐหรือไม่ ส่วนที่ห่วงว่าการเมืองจะแทรกแซงการทำงานของ ม.กำกับรัฐ เนื่องจากต้องปฏิบัติตามมติ ครม.และนโยบายรัฐบาลนั้น เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกัน เพราะมหาวิทยาลัยก็เป็นหน่วยงานราชการที่ต้องปฏิบัติตามมติ ครม.และนโยบายของรัฐบาลอยู่แล้ว สำหรับการทำประชาพิจารณ์อีกครั้งนั้น พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับรัฐทุกแห่ง ผ่านการทำประชาพิจารณ์ กับนิสิตนักศึกษามาเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ สกอ.ก็พร้อมจะชี้แจงต่อรัฐสภา และขอฝากไปยังสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยทุกแห่ง ขอให้ช่วยกันดูแลการเคลื่อนไหวและการให้ข้อมูลอย่างถูกต้องโดยปอมท.ด้วย ส่วนที่เป็นห่วงเรื่องการขึ้นเงินเดือนข้าราชการของรัฐบาล จะส่งผลกระทบต่อเงินเดือนพนักงานมหาวิทยาลัยนั้น นายภาวิช กล่าวว่า ขณะนี้อัตราเงิน เดือนพนักงานก็ยังสูงกว่าเงินเดือนข้าราชการ นอกจากนี้ รัฐบาลก็รับหลักการที่จะให้มีการแก้ไขกฎหมายกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) รวมพนักงานมหาวิทยาลัยเข้าระบบรักษาพยาบาลของรัฐ มีสวัสดิการและค่ารักษาพยาบาลเหมือนที่ข้าราชการทั่วไป (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 7 ต.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
สอศ.ดึงสถาบันไทย-เยอรมัน ปั้นช่างเทคนิคเยอรมันพันธุ์แท้
นายวีระศักดิ์ วงษ์สมบัติ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (เลขาธิการ กอศ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ร่วมกับสถาบันไทย-เยอรมัน ริเริ่มนำหลักสูตรช่างฝึกหัดต้นแบบจากเยอรมนีเข้ามาพัฒนาทักษะฝีมือให้นักศึกษา โดยมีสถานประกอบการ 7 แห่ง รับนักศึกษาช่างอุตสาหกรรม เป็นช่างฝึกหัดรุ่นบุกเบิก 50 คน โดยคัดเลือกจากสถานศึกษาในสังกัด สอศ. 4 แห่ง ที่เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ วิทยาลัยเทคนิคฉะเชิงเทรา วิทยาลัยเทคนิคบ้านค่าย และ วิทยาลัยการอาชีพพานทอง รวมทั้งสถาบันไทย-เยอรมัน ให้ไปฝึกทักษะในบริษัท อัลลายด์ดาต้า เทคโนโลยี (ไทย) จำกัด บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เค.ที.แมชชีนนิ่ง เทคโนโลยี จำกัด บริษัท นูมาน แอนด์ เอสเซอร์ เซ้าท์อีสต์เอเซีย จำกัด บริษัท โซนี่ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ทีอาร์ดับเบิ้ลยู ฟูจิ เสรีนา จำกัด และบริษัทเอเชี่ยน เคมีคัล แอนด์ เอ็นยิเนียริ่ง จำกัด โดยนักศึกษาที่ร่วมโครงการทั้ง 50 คน ต้องทำสัญญาเป็นช่างฝึกหัดของบริษัท เพื่อเข้ารับการฝึกทักษะวิชาชีพในโรงงานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปีเต็ม เน้นฝึกปฏิบัติงานภายใต้การทำงานจริง ร่วมกับพนักงานของสถานประกอบการ ซึ่งเป็นระบบการผลิตนักศึกษาช่างฝึกหัดที่นำต้นแบบมาจากเยอรมนี (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 8 ต.ค. 47 http://www.komchadluek.net)
ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี
ดีเอชแอลใช้อุปกรณ์ไฮเทคตามหาพัสดุ
นายเฮอร์เบิต วงศ์ภูษณชัย กรรม การผู้จัดการ บริษัท ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ดีเอชแอล จับมือกับเอไอเอส ไมโครซอฟท์ และซิมโบล เทคโนโลยีส์ พัฒนาอุตสาหกรรมขน ส่งด่วนเอกสารและพัสดุภัณฑ์ทางอากาศระหว่างประเทศของไทย โดยใช้อุป กรณ์ไร้สายอัจฉริยะซึ่งทำหน้าที่ได้ทั้งโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์พกพาในเครื่องเดียว พร้อมทั้งใช้สแกนหมายเลขใบนำส่งสินค้าทางอากาศ และส่งข้อมูลไปยังศูนย์ข้อมูลส่วนกลาง ซึ่งผู้รับสินค้าปลายทางสามารถตรวจสอบและติดตามสถานะการขนส่งทั่วโลกได้ภายใน 15 นาที ผ่านเว็บไซต์ของดีเอชแอล ซึ่งทำงานแบบเรียลไทม์ ขณะนี้ในแถบเอเชีย เทคโนโลยีดังกล่าวเพิ่งใช้ในประเทศสิงคโปร์และไทยเท่านั้น อุปกรณ์ไร้สายอัจฉริยะ หรือ Global Courier Real-Time Handheld Device ทำงานบนระบบปฏิบัติการไมโครซอฟท์ วินโดวส์ โมบาย 2002 พ็อกเกต พีซี โดยรวบรวมฟังก์ชันในการใช้งานของคูเรียร์ (พนักงานนำส่งสินค้า) ไว้อย่างครบถ้วน อาทิ ระบบสแกนบาร์โค้ด การสื่อสารโทรศัพท์เคลื่อนที่ และระบบลายเซ็นดิจิทัล ซึ่งส่งข้อมูลผ่านจีพีอาร์เอส (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 4 ต.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)
ญี่ปุ่นพบธาตุใหม่ลำดับ 113 รอพิสูจน์ก่อนลงตารางธาตุ
โคจิ โมริโมโตะ ทีมวิจัยจากสถาบันวิจัยฟิสิกส์และเคมี (ริเคน) เปิดเผยว่า จากการทดลองยิงอะตอมสังกะสี (Zn) จำนวน 2.5 ล้านล้านอะตอมต่อวินาทีนาน 80 วันใส่อะตอมของธาตุบิสมัธ (Bi ) ซึ่งเป็นธาตุลำดับที่ 83 และเป็นธาตุโลหะที่มักใช้เป็นส่วนประกอบในอัลลอย ปรากฏว่าได้พบธาตุชนิดใหม่ และหากผ่านการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว จะเป็นธาตุลำดับที่ 113 ของตารางธาตุ กำลังพิจารณาตั้งชื่อระหว่าง เจราเนียม (jaranium) หรือ ริเคเนียม (rikenium) เพื่อเป็นเกียรติแก่สถาบัน" โมริโมโตะกล่าวและว่า ทีมงานจะเริ่มสร้างวัสดุใหม่ขึ้นมาอีกในราวสิ้นเดือนหน้า ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน ก.พ.นักวิทยาศาสตร์รัสเซียได้อ้างว่า ค้นพบธาตุหมายเลข 113 และ 115 แต่การค้นพบดังกล่าวยังไม่ผ่านการรับรองจากสหพันธ์ไอยูพีเอพี (International Union of Pure and Applied Physics) และไอยูพีเอซี (International Union of Pure and Applied Chemistry) โดยตารางธาตุปัจจุบันมีจำนวนถึงหมายเลข 111 (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 5 ต.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
เตือนผู้ชอบเดินทางโดยเครื่องบิน เสี่ยงกับถูกรังสีคอสมิกเป็นมะเร็ง
นักวิทยาศาสตร์เตือนผู้ที่ชอบเดินทางทางเครื่องบินบ่อยๆว่า เท่ากับเอาตัวไปเสี่ยงกับมะเร็ง อันเนื่องมาจากถูกรังสีคอสมิก เพราะพบว่ามีคนจำนวนมาก ที่ยังบินมากเกินกว่าที่จำกัดเอาไว้ พวกลูกเรือเครื่องบินโดยสารมีข้อบังคับไว้ว่า ห้ามบินเกินกว่า 800 ชม.ในหนึ่งปี และยิ่งผู้ที่ถูกจัดให้ทำงานกับเครื่องบิน ที่มีเส้นทางการบินผ่านย่านที่มีรังสีเข้มข้นยิ่งกว่าที่อื่น เช่น เส้นทางบินข้ามขั้วโลก (ไทยรัฐ พุธที่ 6 ต.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
ยานอวกาศพาณิชย์สร้างสถิติตะลุยอวกาศ
ยานอวกาศสเปซชิปวันประสบความสำเร็จคว้ารางวัลแข่งขันสร้างยานอวกาศเอกชนครั้งแรกของโลกเพื่อชิงรางวัลแอนซารี เอ็กซ์ ไพรซ์ มูลค่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 400 ล้านบาท)โดยทำการบินขึ้นสู่ห้วงอวกาศเป็นครั้งที่ 2 ตามข้อบังคับการแข่งขัน ยานสเปซชิปวันเครื่องบินแบบ 3 ที่นั่ง ถูกส่งขึ้นสู่ห้วงอวกาศจากทะเลทรายโมฮาเว มลรัฐแคลิฟอร์เนีย และทำการบินอยู่ห่างจากพื้นโลกเกิน 100 กิโลเมตร ระดับที่เป็นตำแหน่งสุดเขตบรรยากาศของโลกและถือเป็นเขตเริ่มของอวกาศ ด้วยความเร็วเหนือกว่าเสียงถึง 3 เท่าตัว หรือประมาณ 3,500 กม.ต่อ ชม. ทันทีที่ยานร่อนลงจอดสู่พื้นโดยสวัสดิภาพ ผู้ชมต่างพากันโห่ร้องด้วยความยินดีตามกฎของการแข่งขันที่ยานที่ร่วมแข่งขันต้องขึ้นแตะระดับ103 กิโลเมตร จากบรรยากาศโลกให้ได้ 2 ครั้ง ภายใน 14 วัน ซึ่งสเปซชิปวันสามารถทำได้ในที่สุด ส่วนความสำเร็จครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่ยุคอวกาศหน้าใหม่ว่า ต่อไปการเดินทางนอกโลก จะกลายเป็นธุรกิจอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เป็นแค่ความฝันอีกต่อไป และนักธุรกิจการบินได้เข้ามาซื้อเทคโนโลยีจากผู้ผลิตสเปซชิปวันแล้ว (เดลินิวส์ พุธที่ 6 ต.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)
3นักวิทย์มะกันเจ๋งพิชิตโนเบลฟิสิกส์
ปี 2547 นักวิทยาศาสตร์ชาวสหรัฐ 3 คนประสบความสำเร็จคว้ารางวัลโนเบลร่วมในสาขาฟิสิกส์ คณะกรรมการรางวัลโนเบลประกาศว่า 3 นักวิทยาศาสตร์ชาวสหรัฐคือ นายเดวิด เจ.กรอสส์, นายเอช.เดวิด โพลิทเซอร์ และนายแฟรงค์ วิลเซค เป็นผู้คว้ารางวัลโนเบลร่วมในสาขาฟิสิกส์สำหรับการบุกเบิกการทำงานเพื่อการอธิบายถึงอนุมูลน้อยที่สุดที่ประกอบขึ้นเป็นอนุภาคของปรมาณู ซึ่งการค้นพบดังกล่าว ทำให้พวกเขาทั้งสามได้รับรางวัลโนเบลอันทรงเกียรติในสาขาฟิสิกส์ นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ยังแจ้งต่อไปว่า การทำงานของบุคคลทั้งสามถือเป็นก้าวสำคัญของวงการวิทยาศาสตร์ในการค้นหาคำอธิบายเกี่ยวกับปริศนาที่ลึกลับอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติในจักรวาล พร้อมกับยอมรับว่า การค้นพบของพวกเขาสัมพันธ์กับชีวิตประจำวัน สำหรับผู้คว้ารางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์จะได้รับเงินรางวัล 10 ล้านโครเนอร์ (1.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ขณะที่คณะกรรมการฯ จะทยอยประกาสผลรางวัลโนเบลที่เหลือในเดือนนี้ ส่วนการมอบรางวัลจะมีขึ้นในวันที่ 10 ธ.ค. ที่เป็นวันครบรอบการถึงแก่กรรมของนายอัลเฟรด โนเบล ผู้ก่อตั้งรางวัลดังกล่าวขึ้นมาเมื่อปี 2439 (เดลินิวส์ พุธที่ 6 ต.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)
อุปกรณ์กลบเสียงปลดทุกข์ สิ่งประดิษฐ์คู่สุขาหญิงญี่ปุ่น
คูมิ โกโตะ โฆษกหญิงจากบริษัท โตโต้ ผู้ผลิตเครื่องสุขภัณฑ์ชั้นนำ เปิดเผยว่า บริษัทจำหน่ายอุปกรณ์กลบเสียงที่ชื่อ "โอโต ไฮเมะ" (เสียงเจ้าหญิง) ตั้งแต่ปี 2531 จนถึงปัจจุบันได้จำหน่ายไปแล้ว 500,000 เครื่อง และขณะนี้กลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับอาคารที่ก่อสร้างใหม่ โดยเฉพาะในปีที่ผ่านมายอดสั่งซื้อเพิ่มร้อยละ 125 และลูกค้าหลักคือ โรงเรียนและบริษัท สำหรับอุปกรณ์กลบเสียงนี้จะติดตั้งภายในห้องน้ำหญิงสาธารณะ เพียงผู้ใช้โบกมือผ่านเซ็นเซอร์เสียงกระแสน้ำไหลจะดังมาจากลำโพง เพื่อกลบเสียงไม่พึงประสงค์ขณะประกอบกิจวัตรส่วนตัวเนื่องจากความเขินอาย อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ความนิยมในอุปกรณ์นี้เพิ่มขึ้น คือ ในเรื่องสิ่งแวดล้อม หญิงในญี่ปุ่นกดชักโครกบ่อยครั้งมากเพื่อกลบเสียงที่เกิดขึ้น ดังนั้นเสียงเจ้าหญิงนี้นอกจากจะช่วยประหยัดน้ำแล้ว ยังลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคของผู้ให้บริการในอาคารสาธารณะ (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 6 ต.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
สูติแพทย์อัพเดทเทคโนฯผ่าตัดส่องกล้อง ทางเลือกรักษาโรคทางช่องท้อง ลดความเสี่ยงแผลติดเชื้อ
นายแพทย์วิบูลย์ กมลพรวิจิตร สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลราชวิถี เปิดเผยว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีส่องกล้องตรวจวินิจฉัยโรคและทำการผ่าตัดเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ในการวินิจฉัยและรักษาโรคบริเวณโพรงมดลูก โดยช่วยให้การผ่าตัดแม่นยำอย่างมาก เนื่องจากภาพจากกล้องมีกำลังขยายสูง แม้จะใช้ช่วงเวลาผ่าตัดนานกว่าการผ่าตัดแบบปกติ แต่บาดแผลจะมีขนาดเล็กกว่า ลดความเสี่ยงการติดเชื้อจากการผ่าตัด อีกทั้งยังบรรเทาอาการปวดของคนไข้ ทำให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น "เครื่องมือที่ใช้ในการผ่าตัดส่องกล้องนั้น มีลักษณะคล้ายกับกล้องส่องทางไกล ขนาดกว้างกว่าเข็มถักไหมพรมเพียงเล็กน้อย มีระบบแสงเป็นไฟเบอร์ออบติค (fiberoptic) โดยวิธีการใช้งาน แพทย์จะเจาะรูที่หน้าท้องของคนไข้ ให้มีขนาดความกว้างประมาณ 5 มิลลิเมตร แล้วสอดกล้องเข้าไปทำหน้าที่แทนลูกตาของแพทย์ โดยแสดงผลผ่านทางจอภาพ ขณะเดียวกันภายในกล้องจะมีอุปกรณ์ช่วยผ่าตัดรวมอยู่ด้วยสำหรับทำการรักษาผ่าตัดได้ทันที" นายแพทย์วิบูลย์ กล่าว สำหรับการผ่าตัดส่องกล้องทางนรีเวช ทั้งในอุ้งเชิงกรานและในโพรงมดลูกมีเป้าหมายเพื่อวินิจฉัยโรค ซึ่งได้รับการพัฒนาและได้รับความนิยมอย่างมากในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลชั้นนำในไทยหันมาให้ความสนใจกับเทคโนโลยีดังกล่าวมากขึ้น ทำให้เครื่องมือมีความก้าวหน้าและทันสมัย อีกทั้งความละเอียดของภาพที่ปรากฏบนจอรับภาพที่สูงขึ้น ทำให้แพทย์สามารถผ่าตัดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 6 ต.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
ล็อกซเล่ย์รับจ้างติดตามรถ ช่วยสอดส่องคนขับรถผ่านจอคอมพ์
น.ส.นภาพร ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัทโมบาย อินโนเวชั่น จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมเปิดให้บริการระบบติดตามยานพาหนะ สำหรับธุรกิจรถรับจ้างขนส่งที่มีรถบริการตั้งแต่ 1 คันขึ้นไป ทำให้เจ้าของสามารถทราบตำแหน่งรถที่วิ่งออกไปได้ทันที รวมทั้งบริหารเส้นทางรถวิ่งที่ประหยัดค่าใช้จ่ายที่สุด และช่วยประหยัดน้ำมันในภาวะน้ำมันแพง ตลอดจนลดอัตราการขับรถออกนอกเส้นทางของคนขับได้ การทำงานของระบบติดตามยานพาหนะจะสื่อสารกับดาวเทียมจีพีเอส เพื่อหาตำแหน่งพิกัดของรถ จากนั้นจะส่งตำแหน่งพิกัดดังกล่าวผ่านเครือข่ายจีพีอาร์เอสของค่ายมือถือเอไอเอส มาที่เครือข่ายคอมพิวเตอร์ของศูนย์โมบาย อินโนเวชั่น ที่จะแสดงภาพตำแหน่งรถในแผนที่ดิจิทัล ขณะที่เจ้าของยานพาหนะสามารถตรวจสอบได้จากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งซอฟต์แวร์ของระบบ ช่วงแรกกลุ่มเป้าหมายของบริษัทจะเป็นธุรกิจขนส่งทั่วไป และบริษัทที่มีการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและเล็ก เช่น ธุรกิจค้าไม้ ค้าน้ำมัน และในปีที่ 2 จะขยายสู่กลุ่มราชการ โดยจะผลักดันให้ติดตั้งระบบในรถประจำทาง และรถแท็กซี่ เพื่อเน้นความปลอดภัยของผู้โดยสาร (คมชัดลึก พุธที่ 6 ต.ค. 47 http://www.komchadluek.net)
แผ่นดิสก์ความจุสูงเก็บข้อมูลมหาศาล
ปีเตอร์ มันโร หนึ่งในทีมวิจัยจากอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน ในอังกฤษ เปิดเผยว่า ทีมวิจัยสร้างแผ่นดิสก์ที่มีความจุต่อชั้น 250 กิกะไบต์ เพียงพอสำหรับจัดเก็บภาพยนตร์ความยาว 118 ชั่วโมง หมายความว่ารายการโทรทัศน์ทุกตอนที่แพร่ภาพไปแล้ว จะสามารถนำมาจัดเก็บในดิสก์แผ่นเดียวได้ โดยที่ดิสก์ขนาด 4 ชั้น จะให้ความจุถึงระดับ 1 เทราไบต์หรือ 1,000 กิกะไบต์ สำหรับดิสก์จัดเก็บข้อมูลเชิงแสงที่ทันสมัยที่สุดในขณะนี้ ใช้เทคโนโลยีเกี่ยวกับคลื่นแสงที่ส่งผลให้เกิดการบีบอัดไฟล์ข้อมูลเรียกว่า "บลู-เรย์" สามารถจัดเก็บข้อมูลได้ราว 100 กิกะไบต์ ทีมงานคาดว่าน่าจะใช้เวลาราว 5 ปี เทคโนโลยีนี้ถึงจะเสร็จสมบูรณ์ และพร้อมออกสู่เชิงพาณิชย์ได้ในปี 2553 วูลฟ์กัง ชลิชติง ผู้อำนวยการหน่วยจัดเก็บข้อมูลของบริษัทไอดีซี เชื่อว่าตลาดจะมีความต้องการดิสก์รูปแบบใหม่นี้อย่างมหาศาล และยิ่งถ้าย่อส่วนแผ่นดิสก์ให้เล็กลง ก็เชื่อว่าจะได้รับความนิยมมากขึ้นไปอีก ชลิชติง เตือนว่าทีมผู้ผลิตจะต้องหาวิธีที่ผลิตแล้วคุ้มทุน เพราะเทคโนโลยีรูปแบบนี้ทำได้ยาก และมีราคาแพงกว่ารูปแบบทั่วไป ด้านมันโรแย้งว่าแม้จะยังไม่มีแผ่นดิสก์รุ่นใหม่วางตลาด แต่เขาเชื่อว่าหากตลาดหันมาใช้ดิสก์ใหม่นี้แล้ว การทำสำเนาดิสก์เถื่อนจะเป็นเรื่องยากเพราะต้องซื้ออุปกรณ์ต้นแบบมายกชุด (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 7 ต.ค. 47 http://www.komchadluek.net)
อเมริกันคว้าโนเบลแพทย์ปี 47 ผลงานค้นพบยีนรับรู้-จำแนกกลิ่น
สถาบันคาโรลินสก้าแห่งสวีเดน ได้ประกาศตัวผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาการแพทย์ประจำปี 2547 สองท่าน ได้แก่ นายริชาร์ด แอ็กซ์เซล วัย 58 ปี และนางลินดา บัค วัย 57 ปี ทั้งคู่ได้ค้นพบยีนกลุ่มใหญ่ราว 1,000 ยีน หรือเท่ากับ 3% ของยีนทั้งหมดของร่างกาย ยืนเหล่านี้ได้สร้างตัวรับรู้กลิ่น 1,000 ประเภทเท่ากับจำนวนยีน ตัวรับรู้กลิ่นเหล่านี้จะแยกย้ายกันอยู่ตามเซลล์ของระบบรับรู้กลิ่นกลุ่มเล็กๆ ที่อยู่บริเวณเยื่อบุจมูกบน ซึ่งทำหน้าที่ตรวจจับโมเลกุลของกลิ่นที่สูดหายใจเข้าไป เซลล์ของตัวรับรู้กลิ่นแต่ละตัวนี้จะทำงานให้กับตัวรับกลิ่นเฉพาะแต่ละประเภท และมีความสามารถในการตรวจจับโมเลกุลของกลิ่นได้จำนวนจำกัด ดังนั้น เซลล์ของตัวรับกลิ่นแต่ละตัวสามารถระบุประเภทของกลิ่นได้สองสามประเภทเท่านั้น จากนั้นเซลล์จะส่งข้อมูลไปยังกลุ่มเส้นโลหิตประสาทโดยตรง ทุกครั้งที่เซลล์รับรู้กลิ่นแต่ละชนิด มันจะส่งไปยังกลุ่มเส้นโลหิตประสาทเดิมที่มันเคยส่งให้ ข้อมูลกลิ่นเหล่านี้จะถูกถ่ายทอดต่อไปยังส่วนอื่นๆ ของสมอง ข้อมูลจากตัวรับกลิ่นทั้งหมดจะถูกนำมารวมกันและสร้างเป็นรูปแบบขึ้นมา ดังนั้น มนุษย์จึงสามารถจดจำกลิ่นได้ เมื่อได้รับในครั้งหนึ่ง และยังสามารถจดจำกลิ่นดังกล่าวได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์อเมริกันทั้งสองคนจะได้รับเงินรางวัลมูลค่า 10 ล้านโครนสวีเดน (1.38 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 55.2 ล้านบาท) (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 7 ต.ค. 47 http://www.komchadluek.net)
แพทย์ไทยเปลี่ยนข้อสันหลังสำเร็จ
ที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหา วิทยาลัย เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ผศ.น.พ.วิชาญ ยิ่งศักดิ์มงคล หน่วยศัลยกรรมกระดูกสันหลัง ภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงข่าวถึงความสำเร็จในการผ่าตัดข้อกระดูกสันหลังเทียมครั้งแรกในประเทศไทยว่า เมื่อวันที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมาได้ผ่าตัดเปลี่ยนข้อกระดูกสันหลังเทียมให้กับผู้ป่วยหญิงไทย 2 ราย ที่มีอาการปวดหลังซึ่งมีสาเหตุมาจากหมอนรองกระดูกเสื่อม สำเร็จเป็นแห่งแรกของประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 2 ของเอเชีย โดยวิธีการผ่าตัดดังกล่าวได้นำข้อเทียมใส่เข้าไปแทนที่หมอนรองกระดูก และผิวของข้อทั้ง 2 ด้านของหมอนรองกระดูกที่เสื่อม โดยผิวข้อ 2 ด้านทำมาจาก วัสดุคุณภาพสูง เคลือบด้วยวัสดุไบโอแอคทีฟ ซึ่งประกอบด้วยไทเทเนียม และแคลเซียมฟอสเฟต ผ่านการทดสอบมานานแล้วว่าไม่เป็นปัญหาเมื่ออยู่ในร่างกายของมนุษย์ ทำให้ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวได้ใกล้เคียงกับปกติ และไม่มีอาการเจ็บปวดหลงเหลืออยู่ สำหรับค่าใช้จ่ายในการผ่าตัด จะมีค่าข้อกระดูกสันหลังที่ต้องนำเข้ามาจากประเทศเยอรมนี ที่ตกข้อละประมาณ 150,000 บาท และค่าผ่าตัด แต่เมื่อรวมกันแล้วถือว่าใกล้เคียงกับการผ่าตัดด้วยวิธีมาตรฐานที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน คือการเชื่อมข้อกระดูกสันหลังเข้าด้วยกัน ซึ่งวิธีหลังจะทำให้ผู้ป่วยต้องสูญเสียข้อกระดูกสันหลัง การเคลื่อนไหวก็จะไม่เหมือนเดิม และอาการปวดหลังก็จะกลับมาอีกเป็นระยะอีกด้วย (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 8 ต.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)
นักวิทย์ผลงาน โคลนนิงมนุษย์ บรรยายในไทย
รศ.ดร.คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ นายกสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า สมาคมร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (ประสานมิตร) จัดประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 30 (วทท.30) โดยเชิญ ศ.ดักกลาส โอโซลอฟ นักวิทยาศาสตร์ รางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ ประจำปี 2539 จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐ ผู้เชี่ยวชาญด้านฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ บรรยายเกี่ยวกับความล้มเหลวของยานอวกาศโคลัมเบีย (The Columbia Accident Investigation and Its Impact on the Future of Human Spaceflight) นอกจากนี้ ยังได้รับเกียรติจากนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของประเทศเกาหลีเหนือ นำโดย ศ.ฮวง วูซุค ผู้ศึกษาการทำโคลนนิงมนุษย์สำเร็จเป็นประเทศแรก มาร่วมบรรยายเกี่ยวกับการโคลนนิงตัวอ่อนจากสเต็มเซลล์ เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ (Human Embryo Cloning) ขณะที่ น.พ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นของไทยที่ทั่วโลกให้การยอมรับ ร่วมบรรยายทางการแพทย์เกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้า พร้อมกับนักเทคโนโลยีดีเด่นประจำปีนี้ด้วย "การประชุมวิชาการจัดขึ้นวันที่ 19-21 ต.ค.นี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และรวบรวมผลงานทางวิชาการในสาขาต่างๆ ออกมาเผยแพร่ถึง 825 ผลงาน โดยเป็นผลงานรวบรวมจากนักวิทยาศาสตร์ 12 สาขาวิชา อาทิ คณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เคมี ฟิสิกส์ วัสดุศาสตร์ การแพทย์ สิ่งแวดล้อม วิศวกรรม และวิทยาศาสตร์ศึกษา" นายกสมาคมวิทยาศาสตร์กล่าว (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 8 ต.ค. http://www.bangkokbiznews.com)
ไขความลับของ "ควาร์ก" คว้าโนเบลฟิสิกส์
ราชบัณฑิตยสภาวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดนได้ประกาศให้ผลงานการคิดค้นเชิงทฤษฎีของนักวิทยาศาสตร์สามท่าน ได้แก่ เดวิด กรอส เดวิด โพลิตเซอร์ และแฟรงค์ วิลค์เซก เป็นผู้ได้นับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปีนี้ โดยทั้งสามได้ค้นพบเกี่ยวกับ "พฤติกรรมของแรงในนิวเคลียสของอะตอม" ซึ่งเป็นแรงที่อนุภาคควาร์กในโปรตอนและนิวตอนกระทำต่อกัน ทั้งนี้ โครงสร้างของสสารประกอบด้วยนิวเคลียสของโปรตอน (p) นิวตรอน (n) โดยมีกลุ่มของอิเล็กตรอนเคลื่อนตัวอยู่รอบนิวเคลียส ขณะที่โปรตรอนและนิวตรอนเคลื่อนไหวอยู่ภายในนิวเคลียส ทั้งนิวตรอนและโปรตรอนประกอบขึ้นจาก ควาร์ก (quarks) อย่างละสามตัว โดยควาร์กเป็นอนุภาคที่มีขนาดเล็กลงไปอีก นักวิทยาศาสตร์ทั้งสามได้ค้นพบ "แรงของควาร์ก" ซึ่งทีแรกพวกเขารู้สึกว่ามันมีพฤติกรรมที่ขัดแย้งกับความรู้สึกอย่างสิ้นเชิง แต่พอเอาสูตรคณิตศาสตร์เข้าไปอธิบายทำให้ทราบว่า เมื่อควาร์กทั้งสามอยู่ใกล้กัน "ประจุสี" ของควาร์กแต่ละตัวจะอ่อนลง เมื่อควาร์กอยู่ใกล้กันมากๆ แรงของควาร์กจะอ่อนลงมากจนทำให้มันมีพฤติกรรมเหมือนกับอนุภาคอิสระ ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า "asymptotic freedom" หมายถึง พฤติกรรมอิสระที่เกิดจากการเข้าใกล้กัน ตรงกันข้าม เมื่อควาร์กแยกห่างกันจะยิ่งมีแรงเพิ่มขึ้น นักวิทยาศาสตร์ได้ประกาศการค้นพบจากการใช้สมการคณิตศาสตร์ชั้นสูงมาอธิบาย จนไปสู่การตั้งเป็นทฤษฎีที่เรียกว่า "ควอนตัม โครโมไดนามิก" หรือควีซีดี ทฤษฎีดังกล่าวช่วยสนับสนุนทฤษฎีที่เรียกว่า "สแตนดาร์ด โมเดล" ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ใช้อธิบายฟิสิกส์ทุกแขนงที่เกี่ยวข้องกับแรงแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเป็นแรงที่เกิดจากการกระทำระหว่างอนุภาคที่มีประจุ แรงดึงดูดอ่อนกำลัง (weak force) ที่มีความสำคัญต่อการผลิตพลังงานของแสงอาทิตย์ และแรงดึงดูดเพิ่มกำลัง (strong force) ซึ่งเป็นแรงที่เกิดจากการกระทำระหว่างควาร์ก การค้นพบของนักวิทยาศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ปีนี้ ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ใกล้ที่จะบรรลุความฝันอันสูงสุดในสมการเพื่อสร้างเป็นทฤษฎีเอกภาพ (unified theory) เพื่อใช้อธิบายทั้งปรากฏการณ์ระดับจักรวาล เหมือนกับทฤษฎีสัมพัทธภาพของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ และทฤษฎีควอนตัมที่ใช้อธิบายหน่วยที่มีขนาดเล็กระดับอะตอม ซึ่งเป็นสองขั้วทฤษฎีที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 8 ต.ค. 47 http://www.komchadluek.net)
เปลนอนโปร่งใสช่วยงานเอกซเรย์ ผลงานรังสีแพทย์ รพ.พุทธชินราช
นายสมบัติ บุญขวาง นักรังสีการแพทย์ 8 กลุ่มงานรังสีวิทยา โรงพยาบาลพุทธชินราช จ.พิษณุโลก กล่าว โรงพยาบาลพุทธชินราชประสบปัญหา การให้บริการฉายรังสีวินิจฉัยกับผู้ป่วยอุบัติเหตุกระดูก แขน ขาหัก ขณะที่การฉายรังสีถ่ายภาพผู้ป่วยจำเป็นจะต้องเคลื่อนย้ายหรือจัดท่าทางผู้ป่วยหลายครั้ง และต้องใช้เจ้าหน้าที่อย่างน้อย 4 คน ทำให้เสี่ยงต่อการบาดเจ็บซ้ำซ้อน รวมทั้งการถ่ายภาพในหลายส่วนจะต้องใช้เวลาอย่างต่ำประมาณ 15 นาทีในกรณีที่ผู้ป่วยอาการสาหัสไม่สามารถเคลื่อนย้าย จึงจำเป็นต้องถ่ายภาพบนเปลรับส่งผู้ป่วย โดยใช้แผ่นกรองรังสีเข้ามาช่วย แต่หากภาพถ่ายเกิดเคลื่อนที่เนื่องจากตัวผู้ป่วยกดทับแผ่นกรองรังสี และจากการยุบตัวของเบาะรอง จะส่งผลต่อคุณภาพของฟิล์มที่ได้ จนถึงบางครั้งต้องทำการเอกซเรย์ซ้ำ ซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับปริมาณรังสีเกินความจำเป็น จากสภาพปัญหาดังกล่าว จึงได้ประดิษฐ์เปลตรวจรังสีแบบราบพื้นแข็ง โดยใช้แผ่นอะคริลิกใสเป็นวัสดุ ช่วยให้การวินิจฉัยอาการผู้ป่วยหนักจากภาพถ่ายมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น โดยสามารถถ่ายรังสีได้ทันทีโดยไม่ต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วย เพียงสอดฟิล์มเข้าใต้แปลให้ตรงตามตำแหน่งที่ต้องการ พื้นที่มีลักษณะใสจะช่วยให้สามารถมองเห็นตำแหน่งฟิล์มและปรับเลื่อนตำแหน่งได้ตามต้องการ สำหรับเปลพื้นใสดังกล่าว ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเจ้าหน้าที่มากขึ้น รวมถึงอุปกรณ์จับยืดฟิล์มสำหรับถ่ายภาพบริเวณกระดูกกะโหลกศีรษะ กระดูกปลายแขน ไปจนถึงกระดูกข้อเท้า และอุปกรณ์จับกรองรังสีที่ช่วยลดปริมาณรังสีบางช่วง เพื่อให้สามารถมองเห็นรายละเอียดภาพถ่ายในช่องท้องและช่วงอกได้โดยไม่ต้องถ่ายภาพหลายครั้ง โดยอุปกรณ์ที่คิดค้นได้รับความสนใจจาก โรงพยาบาลในบริเวณใกล้เคียง เพราะลดจำนวนครั้งการซื้อฟิล์มและเปลี่ยนหลอดเอกซเรย์ ซึ่งมีอายุการใช้งานสั้น (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 9 ต.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
สวทช.รุกอีสานใต้ จับมือเทคโนธานี พัฒนาอุตสาหกรรม
รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า สวทช.ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) เพื่อเป็นการขยายเครือข่ายโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย หรือ ITAP โดยมีเทคโนธานี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีเป็นหน่วยงานดำเนินงาน สำหรับให้บริการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและการจัดการเชิงลึกแบบครบวงจร โดยมีเป้าหมายเพื่ออุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ซึ่งเป็นเครือข่ายโครงการ ITAP แห่งที่ 3 โดยแห่งแรกดำเนินงานโดย สวทช.เครือข่ายภาคเหนือ และแห่งที่ 2 ครอบคลุมพื้นที่ในภาคใต้ ดำเนินงานโดยมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย 4 กลุ่มหลักได้แก่ อาหารและเกษตร ยานยนต์และชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์และอุตสาหกรรมสนับสนุน ทั้งนี้ สวทช. มีความมุ่งหวังที่จะขยายการบริการให้ครอบคลุมพื้นที่ในส่วนภูมิภาคให้มากยิ่งขึ้น โดยในขณะนี้อยู่ระหว่างการติดต่อประสานงานกับสถาบันอุดมศึกษาอีก 3 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เพื่อเข้าร่วมในการดำเนินงานเครือข่ายโครงการ ITAP ต่อไป (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 9 ต.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
ญี่ปุ่นปั้น "แสง" เป็นเทคโนโลยี เชื่อมต่อไร้สาย
สมาคมวิซิเบิล คอมมิวนิเคชันส์ กลุ่มความร่วมมือของบริษัทไอที 12 แห่งในญี่ปุ่น เสนอแนวคิดพลิกหลอดไฟแอลอีดี (light emitting diodes) ใช้ถ่ายโอนข้อมูล คาดมีความเร็วสูงสุด 500 เมกะบิตต่อวินาที นายมาซาโอะ นาคากาว่า ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาเคโอะ นักวิจัยในสมาคมดังกล่าว เปิดเผยว่า แม้หลอดไฟแอลอีดี ซึ่งได้รับการคาดหมายว่า จะถูกนำมาใช้งานมากขึ้นในอีก 5-10 ปีนั้น จะถ่ายโอนข้อมูลได้ไม่ดีนัก เนื่องจากให้แสงสว่างน้อยกว่าหลอดปกติ แต่สำหรับหลอดแอลอีดี ที่ออกแบบมาเพื่อการสื่อสาร จะสามารถถ่ายโอนข้อมูลได้ดี จากผลการวิจัย พบว่า หลอดแอลอีดีขาว สามารถส่งข้อมูลได้ที่ความเร็ว 80 เมกะบิตต่อวินาที ขณะที่สีแดงและเขียว สามารถย้ายข้อมูลได้ที่ความเร็ว 200 เมกะบิตต่อวินาที และ 500 เมกะบิตต่อวินาที ตามลำดับ นายนาคากาว่า อธิบายว่า ระบบที่ว่านี้ จะประกอบด้วย 2 ส่วนประกอบพื้นฐาน คือ หลอดไฟแอลอีดี และตัวรับคลื่นวิทยุ ซึ่งมีชิพซิลิคอนขนาดเล็ก ทำหน้าที่สับเปลี่ยนข้อความจากหลอดแอลอีดีไป-มากับเครื่องแม่ข่าย ด้วยเทคโนโลยีตัวนี้ จะช่วยให้ประชาชนที่ติดอยู่ในตึก ผูกโทรศัพท์มือถือติดไว้กับไฟเพดาน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ช่วยชีวิต ระบุตำแหน่งที่แท้จริงของเขาหรือเธอได้คล้ายๆ กัน สำหรับรถยนต์ที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านไฟหน้าและไฟท้าย ขณะที่ระบบคอมพิวเตอร์ในรถยนต์จะบอกคนขับได้ว่ามีหล่มขนาดใหญ่อยู่ข้างหน้า ด้านนายชินิชิโร่ ฮารุยาม่า ศาสตราจารย์ทางด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และข้อมูลของมหาวิทยาลัยเคโอะ กล่าวว่า แสงมีข้อดีมากกว่าเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายหลายประการ อาทิ การป้องกันความเป็นส่วนตัวที่ทำได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น แค่ปิดประตู หรือหน้าต่าง หรือเก็บมือถือไว้ในกระเป๋า คนอื่นก็จะไม่อาจล้วงข้อมูลจากโทรศัพท์มือถือที่สามารถสื่อสารกับหลอดแอลอีดีได้ (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 9 ต.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
หญิงเคนยาคว้าโนเบลไพร้ซ์ ชูบทบาทต่อสู้ด้านสิ่งแวดล้อม
รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปี 2004 ตกเป็นของนางวันการี มาไต อดีตรัฐมนตรีช่วยสิ่งแวดล้อมเคนยา และผู้ก่อตั้งกลุ่ม กรีน เบลล์ ซึ่งมีบทบาทต่อสู้เรียกร้องยกระดับสถานภาพของผู้หญิง พัฒนาสิ่งแวดล้อม และต่อสู้กับการคอรับชั่นในภูมิภาคแอฟริกามาตลอด 30 ปี ซึ่งกลุ่มกรีน เบลล์ กลายเป็นองค์กรสิ่งแวดล้อมระดับชุมชนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคแอฟริกา โดยทำงานมุ่งด้านปลูกต้นไม้และต่อสู้เพื่อยกระดับสถานะของผู้หญิงแอฟริกาและนางมาไตยังเป็นผู้หญิงแอฟริกาคนแรกที่คว้ารางวัลสาขาทรงเกียรตินี้ และเป็นคนเชื้อชาติแอฟริกาคนที่เจ็ดที่คว้ารางวัลนี้ นับเป็นครั้งแรกที่ประเด็นสิ่งแวดล้อมถูกเลือกให้ชนะเลิศการพิจารณาของโนเบลไพร้ซ์ อนึ่งสำหรับนางมาไต ยังถือเป็นบุคคลดังของแอฟริกา ที่ได้รับการยอมรับระดับสากลต่อบทบาทต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (สยามรัฐ เสาร์ที่ 9 ต.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)
สหรัฐชม"ศูนย์โรคหัวใจไทย"มาตรฐานดีที่สุดในเอเชีย
น.พ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) เปิดเผยว่า สปสช.ได้เร่งจัดทำศูนย์ Excellence Center บริการตติยภูมิเฉพาะด้านคือ โรคมะเร็ง อุบัติเหตุ และโรคหัวใจ ซึ่งขณะนี้ได้รับการพัฒนาและยกระดับความสามารถทั้งระบบการจัดคิวการรักษา การพิจารณาสนับสนุนทุนและเทคโนโลยีที่เหมาะสม และผู้เชี่ยวชาญร่วมกันพัฒนาความสามารถของทีมผู้ให้บริการ ซึ่งจะช่วยเหลือคนที่เป็นโรคหัวใจทั้งในชนบทและในเมืองได้รับบริการที่ดี มีมาตรฐานเทียบเท่าสากล น.พ.สงวนเปิดเผยว่า นิตยสาร Cath Lab Digest ฉบับเดือนกรกฎาคม 2004 ปีที่ 12 ฉบับที่ 7 ซึ่งเป็นนิตยสารเกี่ยวกับวงการแพทย์โรคหัวใจระดับโลก ได้ตีพิมพ์เผยแพร่บทความของ Charles c. Barbiere และ Darren Powel ชื่นชมระบบการพัฒนาศูนย์ตติยภูมิเฉพาะด้านโรคหัวใจของไทยว่ามีผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการตรวจรักษาโรคหัวใจด้วยเทคโนโลยีสายสวน การผ่าตัดโรคหัวใจในประเทศไทยซึ่งเป็นมาตรฐานการจัดการบริการตติยภูมิที่เทียบเท่าสหรัฐอเมริกา อยู่ในระดับผู้เชี่ยวชาญจากเดนเวอร์,โคโลราโด และวอชิงตัน ประเทศไทยมีระบบบริการตติยภูมิเฉพาะด้านโรคหัวใจดีที่สุดประเทศหนึ่งในเอเชีย (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 9 ต.ค. 47 http://www.matichon.co.th)
ข่าววิจัย/พัฒนา
คอยาได้เป็นแชมป์นอนกรน ทิ้งคนอ้วนท้วนเสียห่างไกล
นิตยสารด้านระบบทางเดินหายใจและการดูแลรักษา ของสหรัฐฯตีพิมพ์บทความการวิจัยฉบับเดือนตุลาคม พบว่า ผู้ติดบุหรี่จะมีปัจจัยเสี่ยงในการนอนกรน การศึกษากับกลุ่มตัวอย่าง 15,555 คน ซึ่งเป็นคนในประเทศแถบสแกนดิเนเวียน 5 ประเทศ ได้แก่ เดนมาร์ก นอร์เวย์ สวีเดน เอสโตเนีย และไอซ์แลนด์ พบว่า ผู้ที่อายุระหว่าง 25-54 ปี จะมีความเสี่ยงในการนอนกรนอยู่บ่อยครั้งมากถึงร้อยละ 17.1 เมื่อเทียบกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคอ้วนจะนอนกรนถึงร้อยละ 4.3 และในผู้ที่เลิกสูบบุหรี่ไปแล้วถึงร้อยละ 2.2 ซึ่งการวิจัยนี้นับเป็นครั้งแรกที่พบว่าผู้ที่เลิกสูบบุหรี่ไปแล้ว จะมีความเสี่ยงสูงในการเป็นโรคนอนกรน (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 4 ต.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
ยับยั้งโรคกุ้งด้วยสมุนไพรไทย เร่งศึกษาลดปัญหากีดกันการค้า
สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ให้ทุนอุดหนุนการวิจัยเพื่อพัฒนาและแก้ปัญหาอุตสาหกรรมเลี้ยงกุ้งของประเทศไทย ทั้งระบบและครบวงจร ในปีงบประมาณ 2546 โดยมีโครงการวิจัยทั้งหมด 7 ชุดโครงการ ผลของสมุนไพรไทย 3 ชนิด ต่อเชื้อแบคทีเรียก่อโรค การเจริญเติบโต อัตรารอด สุขภาพกุ้ง และความต้านทานโรคในกุ้งกุลาดำ เป็นหัวข้อหนึ่งภายใต้ชุดโครงการวิจัย อาหารกุ้งกุลาดำเพื่อนำไปสู่การผลิตกุ้งปลอดภัย ปลอดสารพิษและเอื้อต่อสิ่งแวดล้อม โดยมี ดร.มะลิ บุณยรัตผลิน เป็นหัวหน้าชุดโครงการวิจัย ดร.มะลิ กล่าวว่า จากการตรวจพบสารตกค้างปฏิชีวนะ ของสหภาพยุโรปในกุ้งกุลาดำของไทย และสหภาพยุโรปได้ใช้ประเด็นนี้กีดกันกุ้งไทยมาตลอดจนถึงขณะนี้ มีการนำสมุนไพรมาใช้แทนยาปฏิชีวนะและสารเคมี 3 ชนิด ได้แก่ ขมิ้นชัน ฟ้าทะลายโจร และพญาปล้องทอง จากการวิเคราะห์คุณภาพและหาปริมาณสมุนไพรทั้ง 3 ชนิด พบว่า สามารถใช้แอลกอฮอล์สกัดสารจากสมุนไพรได้ทั้ง 3 ชนิด โดยยังคงปริมาณและคุณภาพสารสำคัญไว้ และยังง่ายต่อการควบคุมปริมาณการใช้ อีกทั้งสารสกัดดังกล่าวยังคงคุณสมบัติในการยับยั้งเชื้อ Vibrio spp ในโรคกุ้งได้ โดยสารสกัดขมิ้นชันมีความไวต่อเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวนอกตัวกุ้งได้ดีที่สุด นอกจากนั้น เมื่อนำสารสกัดสมุนไพร ที่ได้มาผสมอาหาร ให้กุ้งกุลาดำ ในระดับความเข้มข้นไม่เกิน 25 มก./กก. (0.025%) พบว่า ขมิ้นชันทำให้กุ้งมีประสิทธิภาพ ในการต้านทานต่อเชื้อแบคทีเรีย และไวรัสได้มากขึ้น ในขณะที่กุ้งมีประสิทธิภาพ ในการต่อต้านเชื้อไวรัส WSSV ได้ดีขึ้น (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 4 ต.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
อีก3เดือนได้เอกชนทำป้ายรถเมล์อัจฉริยะ
นายทวีศักดิ์ เลิศประพันธ์ ผู้อำนวยการกองการขนส่ง สำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 30 ก.ย. ที่ผ่านมา ได้สรุปรายละเอียดโครงการที่จอดรถแท็กซี่และป้ายรถเมล์อัจฉริยะนำเสนอ นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองผู้ว่าฯกทม. พิจารณาตามนโยบายที่ให้ไปรับฟัง ข้อเสนอแนะจากเอกชน ซึ่งสรุปว่าจะทำที่จอดรถแท็กซี่อัจฉริยะนำร่องก่อน 200 จุด ในพื้นที่ชั้นในโดยพัฒนาจากจุดรอแท็กซี่ที่ กทม. ก่อสร้าง ไว้ก่อนแล้ว ส่วนป้ายรถเมล์อัจฉริยะก็จะทำก่อน 200 จุด เช่นเดียวกัน ในพื้นที่ชั้นในที่มีปัญหาการจราจรหนาแน่น โดยใช้คลื่นวิทยุในการส่งสัญญาณ โดยมีเทคนิคที่ติดตั้งเครื่องรับสัญญาณที่บริเวณที่จอดแท็กซี่และป้ายรถเมล์ และติดเครื่องตอบรับที่รถแท็กซี่และรถเมล์เพื่อแจ้งข้อมูลระหว่างกันเมื่อประชาชนไปรอแท็กซี่ก็กดปุ่มที่ติดตั้งไว้ สัญญาณจะส่งไปยังแท็กซี่ที่ติดเครื่องตอบรับเพื่อแจ้งข้อมูลและมารับผู้โดยสาร ส่วนป้ายรถเมล์อัฉริยะก็จะติดเครื่องรับสัญญาณบนรถเมล์เพื่อส่งข้อมูลไปยังป้ายแสดงข้อความที่ป้ายรถเมล์ว่าสายใดจะมาถึงภายในกี่นาที โดยทั้ง 2 โครงการจะประกวดราคาให้เอกชนเข้ามาลงทุนโดยแลกกับค่าโฆษณา เพื่อประหยัดงบประมาณขึ้นอยู่กับเทคนิคและวงเงินที่เสนอ ซึ่งจะต้องจ่ายผลตอบแทนให้ กทม. ด้วย ใช้รูปแบบเหมือนกับการให้สัมปทานเอกชนในการสร้างป้ายรถเมล์ โดยแท็กซี่อัจฉริยะจะต้องเสร็จภายใน 90 วัน ส่วนป้ายรถเมล์ 4 เดือนเสร็จ 40 จุด และอีก 10 เดือนเสร็จครบ 200 จุด ส่วนที่จอดรถอัจฉริยะนั้นเบื้องต้นได้ข้อสรุปจะก่อสร้างที่หลังเขตราชเทวีและที่สวนลุมฯ เพื่อนำร่องก่อน กทม. จะก่อสร้างเองใช้งบประมาณ 80-90 ล้านบาท จอดได้ 160-170 คัน ซึ่ง สจส. อยู่ระหว่างพิจารณาเพื่อทำร่างทีโออาร์เช่นกัน (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 4 ต.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)
เฟ้นนักวิทย์อาเซียนติวเข้ม'ไบโอเทค' ไทย-ญี่ปุ่นจับมือถ่ายทอดเทคโนโลยีพันธุกรรม
โครงการอบรมหลักสูตร เทคโนโลยีชีวภาพได้คัดเลือกนักวิจัยเหลือเพียง 15 คน ได้แก่ นักวิจัยจากประเทศกัมพูชา บังกลาเทศ อินเดีย มองโกเลีย พม่า ลาว ฟิลิปปินส์ ประเทศละ 1 คน จากเวียดนามและอินโดนีเซีย ประเทศละ 2 คน และประเทศไทย 4 คน ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลญี่ปุ่น คณบดีวิทย์ ม.มหิดลเผย นักวิจัยไทย เลือกศึกษาพันธุกรรมพืช ที่มหาวิทยาลัยฮาราชิ ขณะที่นักวิจัยเวียดนามเลือกศึกษาสาโทในไทย ระบุโครงการ ช่วยยกระดับงานวิจัยอาเซียน ให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยมี มหาวิทยาลัยมหิดลร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) พร้อมด้วยมหาวิทยาลัยโอซากา มหาวิทยาลัยโตโฮกุ มหาวิทยาลัยโตเกียว มหาวิทยาลัยเกียวโต และมหาวิทยาลัยคิวชู จากประเทศญี่ปุ่น จัดอบรมถ่ายทอดความรู้ด้านเทคโนโลยีชีวภาพให้นักวิจัยรุ่นใหม่ ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจากกระทรวงศึกษาธิการ กีฬา วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประเทศญี่ปุ่น ในส่วนของการอบรมจะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ระดับพื้นฐาน สำหรับผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือโท และระดับสูงสำหรับผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาโทหรือเอก เข้าร่วมอบรมโดยใช้ระยะเวลาทั้งสิ้น 1 ปี ในเดือนแรกจะเป็นภาคบรรยายครอบคลุมเนื้อหาด้านเทคโนโลยีชีวภาพที่มหาวิทยาลัยมหิดล จากนั้นใช้เวลา 10 เดือนในการทำงานวิจัย ก่อนที่จะเข้าฟังบรรยายสรุปอีกครั้งที่ประเทศญี่ปุ่นในเดือนสุดท้ายของการอบรม (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 4 ต.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
จุฬาฯ สร้างเสียงให้อีเมลรับฟังทางมือถือแทนอ่านบนเวบ
นายณัฐพงศ์ ชาตบุตร ผู้จัดการทั่วไปบริษัท ซัน ซิสเต็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมมือกับศูนย์วิจัยการประมวลผลภาษาและวัจนะ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินโครงการวิจัย "ระบบสังเคราะห์เสียงพูดภาษาไทย และระบบรู้จำคำพูดภาษาไทยแบบอัตโนมัติ" เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อกับระบบตอบรับอัตโนมัติทางเสียงของบริษัท โดยโครงการระยะแรกภายใต้วงเงินกว่า 20 ล้านบาทได้เสร็จเรียบร้อยแล้ว และเตรียมทุ่มอีกกว่า 10 ล้านบาทพัฒนาเสียงสังเคราะห์ให้เสมือนจริงมากขึ้น ทั้งสองระบบที่จุฬาฯ พัฒนาขึ้น สามารถเข้ามาเชื่อมต่อกับระบบตอบรับอัตโนมัติทางเสียงของบริษัทได้สมบูรณ์ ซึ่งในระยะแรกจะเน้นสร้างบริการเสริมให้กับระบบโทรศัพท์มือถือ และโทรศัพท์พื้นฐานก่อน เช่น บริการอีเมลเสียง ที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเข้าไปอ่านผ่านเวบ เพียงโทรไปยังหมายเลขให้บริการ จากนั้นระบบจะจัดการอ่านอีเมลออกมาเป็นเสียงให้ทันที สำหรับเสียงพูดที่ได้ยินเป็นเสียงสังเคราะห์ ที่มีความเป็นธรรมชาติคล้ายคลึงกับเสียงพูดของมนุษย์ อ่านได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รวมถึงตัวเลขและสัญลักษณ์ต่างๆ โดยไม่จำกัดประเภท และยังออกแบบให้ผู้ใช้งานสามารถเพิ่มคำศัพท์ใหม่ หรือคำที่มีวิธีการออกเสียงแตกต่างกันไปจากปกติได้ด้วย ผู้จัดการทั่วไปบริษัท ซัน ซิสเต็ม กล่าวอีกว่า ในอนาคตระบบนี้จะเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันมากขึ้น ผู้บริโภคจะสามารถใช้งานผ่านโทรศัพท์ได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ ซึ่งต่อไปจะสามารถส่งงานด้วยเสียงได้ โดยไม่ต้องกดแป้นพิมพ์เลือกเมนูเหมือนเช่นเคย อาทิ ข้อมูลท่องเที่ยวที่สามารถใช้เสียงเลือกจังหวัด และประเภทข้อมูลได้โดยตรง (คมชัดลึก จันทร์ที่ 4 ต.ค. 47 http://www.komchadluek.net)
กินวิตามินสกัดมะเร็งสูญเปล่า กลับตายเร็วกว่าปกติเสียด้วยซ้ำ
นักวิจัยได้รายงานในวารสารการแพทย์ "แลนเซต" ของอังกฤษว่า จากการศึกษาด้วยการทบทวนรายงานการทดลองเกี่ยวกับคนเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า 170,000 คน รวม 14 เรื่องด้วยกัน ได้พบว่า การกินวิตามินพวกที่มีสรรพคุณเป็นตัวล้างพิษ อย่างเช่น วิตามินอี ไม่เคยพบว่ามีสรรพคุณช่วยป้องกันโรคมะเร็งชนิดต่างๆได้เลย ตรงกันข้ามผู้ที่กินอาหารเสริมบางชนิดบางราย กลับอายุสั้น ตายก่อนวัยอันควร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง ดร.ริชาร์ด ซุลลิแวน แห่งสถานวิจัยโรคมะเร็ง กล่าวให้ความเห็นว่า ไม่มีทางลัดกับการสกัดโรคมะเร็งลำไส้ อันใด หากคิดกินวิตามินเพื่อป้องกันมัน ก็จะเสียเงินเปล่าๆ วิธีดีที่สุดที่จะหลีกหนีมัน ก็คือการกินอาหารที่ถูกส่วนและไม่สูบบุหรี่ (ไทยรัฐ อังคารที่ 5 ต.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
ม.เกษตร พัฒนาอ้อยสายพันธุ์ใหม่ ผลผลิตสูง
รศ.ประเสริฐ ฉัตรวชิระวงษ์ ภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน เปิดเผยว่า คณะวิจัยได้พัฒนาพันธุ์อ้อยใหม่ 4 สายพันธุ์ ได้แก่ เกษตรศาสตร์ (มก.) 60-1, มก.60-2, มก.60-3 และพันธุ์ TBy20-0663 เพื่อให้ได้พันธุ์อ้อยเฉพาะถิ่นที่ไว้ตอได้นาน และทิ้งกาบใบเป็นหลัก โดยมก.60-1 มีลักษณะเด่นที่สามารถไว้ตอได้ไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง ช่วยลดต้นทุนได้มาก เพราะปลูกครั้งเดียวสามารถเก็บเกี่ยวได้หลายครั้ง ขณะที่พันธุ์ 91-2-056 ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ปลูกเดิมจะไว้ตอได้ไม่เกิน 2 ครั้ง ส่วน มก.60-2 ลักษณะเด่นคือ โตเร็ว ขนาดลำใหญ่และมีผลผลิตติดอันดับ 1-3 ของแปลงทดสอบเสมอ ขณะที่ มก.60-3 ถือเป็นพันธุ์ที่เด่นอย่างมาก เพราะเป็นพันธุ์แรกของไทยที่สามารถทิ้งกาบใบได้เอง และทนแล้งได้ดีที่สุดเหมาะกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ด้าน ศ.ดร.มรกต ตันติเจริญ ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีแห่งชาติ (ไบโอเทค)กล่าวว่า ขณะนี้ไบโอเทคกำลังสร้างฐานข้อมูลพันธุกรรมสายพันธุ์อ้อย โดยจะประเมินด้านพันธุกรรมว่ามีลักษณะทนโรคและทนแล้งอะไรบ้าง รวมทั้งการหาเครื่องหมายพันธุกรรม (มาร์กเกอร์) ที่ควบคุมความหวานของอ้อยว่าอยู่ตรงส่วนไหนของโครโมโซม เพื่อประโยชน์ในการผสมพันธุ์เพื่อคัดเลือกพันธุ์ นอกจากนี้ ไบโอเทคยังได้ใช้เทคนิคเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อขยายพันธุ์อ้อยแทนการใช้ท่อนพันธุ์ด้วย เนื่องจากวิธีการดังกล่าวจะได้พันธุ์อ้อยที่ปลอดโรคใบขาว โดยเตรียมพันธุ์อ้อยไว้ 12 สายพันธุ์ ซึ่งจะทดลองปลูกทั่วประเทศครั้งแรกในเดือนพ.ย เพื่อดูว่าในแต่ละพันธุ์มีการตอบสนองต่อพื้นที่แตกต่างกันอย่างไร ช่วยให้เกษตรกรแต่ละพื้นที่ไม่จำเป็นต้องใช้สายพันธุ์เดียวกันหมด (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 5 ต.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
ม.เกษตรพัฒนาเครื่องย่อยยางเก่า ตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยส่งรง.รีไซเคิล
ดร.ศุภสิทธิ์ รอดขวัญ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนา สถาบันค้นคว้าและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตทางอุตสาหกรรม (RDIPT) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เสนอแนวทางการนำผลิตภัณฑ์ยางกลับมาใช้ใหม่ เพื่อทดแทนการสั่งซื้อเครื่องจักรย่อยยางราคาสูงที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ยางที่นำกลับมาแปรรูปใช้ใหม่จะมีประสิทธิภาพดีแค่ไหนขึ้นอยู่กับความสามารถของเครื่องจักรที่จะตัดยางให้เป็นเศษเล็ก ดังนั้น นักวิจัยจึงให้ความสำคัญต่อการออกแบบใบมีดตลอดจนคำนวณองศาของใบมีด ความเร็วรอบของจานตัด และกำลังของมอเตอร์ ในการทดลองผู้วิจัยโครงการ การออกแบบและประดิษฐ์เครื่องย่อยยาง ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้นำยางอัดดอก ยางรถจักรยาน และยางจักรยานยนต์เก่ามาผ่านเครื่อยย่อย และพบว่า ใน หนึ่งรอบการทำงาน ขนาดของชิ้นงานหลังจากถูกย่อยแล้วจะมีขนาดพื้นที่หน้าตัดของชิ้นงานยางลดลงประมาณ 93% สำหรับยางอัดดอกและยางรถจักรยาน และ 52% สำหรับยางรถจักรยานยนต์ โดยมีอัตราเร็วเฉลี่ยในการตัดประมาณ 90 กิโลกรัมต่อชั่วโมง การทำงานของเครื่องย่อยยางต้นแบบมีประสิทธิภาพเป็นที่น่าพอใจ แต่ยังมีข้อบกพร่องบางประการจากความเที่ยงตรงของขนาดใบมีดที่ใช้สำหรับตัดเฉือน ซึ่งมีผลกับการประกอบเครื่องจักรและการย่อยชิ้นงาน จึงเตรียมปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น เพื่อให้ได้เศษยางที่เล็กลงเพื่อประโยชน์ใช้งานได้จริงในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 6 ต.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
วิจัยสร้างประสาทตา ช่วยคนแก่มองเห็นอีกครั้ง
นักวิจัยจากสามสถาบันการแพทย์เผยความสำเร็จในการสร้างเซลล์เรตินา หรือจอรับภาพจากสเต็มเซลล์ตัวอ่อน มั่นใจจะช่วยให้ผู้สูงอายุกลับมามองเห็นอีกครั้งจากโรคประสาทตาเสื่อม โรเบิร์ต แลนซา หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ ศูนย์เทคโนโลยีเซลล์ชั้นสูง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเวคฟอร์เรสต์ และมหาวิทยาลัยชิคาโก เปิดเผยว่า หากการทดลองในสัตว์ได้ผลดี จะเริ่มทดลองกับมนุษย์และจะรอดูผลอย่างน้อย 2 ปี จึงจะยืนยันความสำเร็จครั้งนี้ และคาดว่าเซลล์จอตาที่ได้จากสเต็มเซลล์ตัวอ่อน จะทำให้ผู้ป่วยโรคประสาทตาเสื่อมที่ตาบอดไปแล้ว สามารถกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง สเต็มเซลล์ตัวอ่อน คือ เซลล์ต้นกำเนิดที่สามารถกลายรูปไปเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่เฉพาะของร่างกายได้ และนักวิจัยเชื่อว่าสิ่งนี้จะช่วยรักษาโรคร้ายได้สารพัด (คมชัดลึก พุธที่ 6 ต.ค. 47 http://www.komchadluek.net)
เก็บรักษาแปรงสีฟันไว้รวมกันแพร่โรคใส่กันในหมู่คนในบ้าน
สมาคมสุขภาพปากและฟันของสหรัฐฯ ประกาศเตือนประชาชน เรื่องการเก็บแปรงสีฟันในบ้านเอาไว้รวมกัน เพราะได้ศึกษาพบว่าแปรงสีฟัน ที่เก็บไว้รวมกัน อาจทำให้ติดโรคหวัดสามัญและไข้หวัดใหญ่กันได้ นักวิจัยได้พบในการศึกษาว่า ขนของแปรงสีฟันเป็นที่ซ่องสุมเชื้อโรคต่างๆอย่างดี เช่น เชื้อโคลิฟอร์ม ซึ่งเป็นตัวการทำให้เป็นโรคอุจจาระร่วง และยังได้พบหลักฐานส่อว่า เชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดการอักเสบในช่องปากยังอาจมีส่วนทำให้ป่วยเป็นโรคหัวใจ โรคเบาหวานและคลอดลูกก่อนกำหนดได้อีกด้วย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำ ให้ต่างคนต่างเก็บแปรงสีฟันของตนไว้คนละที่ และหมั่นทำความสะอาดมันเป็นประจำจะดีกว่า (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 7 ต.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
ม.ขอนแก่นชูข้าวฟ่างหวานผลิตเอทานอล วัตถุดิบใหม่รับมืออ้อย มันสำปะหลังขาดแคลน
รศ.ดร.ประสิทธิ์ ใจศีล รองคณบดีฝ่ายวิจัย คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า ม.ขอนแก่น ได้จัดทำโครงการบูรณาการเรื่องพลังงานทดแทน พบว่า ข้าวฟ่างหวานเป็นพืชชนิดหนึ่งที่มีศักยภาพสูงในการนำมาผลิตเป็นเอทานอล โดยสามารถนำมาใช้เสริมกับการใช้กากน้ำตาล(อ้อย)และมันสำปะหลัง จากเดิมข้าวฟ่างหวานจะนำไปใช้เฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ แต่ยังไม่เคยมีการคิดค้นนำมาใช้ในโรงงานผลิตเอทานอลแต่อย่างใด ขณะนี้มีโรงงานผลิตเอทานอล 2 แห่งที่สนใจนำข้าวฟ่างหวานไปใช้ในการผลิตคือ โรงงานน้ำตาลขอนแก่นที่ อ.น้ำพอง และโรงงานน้ำตาลมิตรผล ที่ อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ สำหรับโครงการบูรณาการดังกล่าวดำเนินการวิจัยร่วมกันใน 3 คณะ โดยคณะเกษตรศาสตร์จะวิจัยเพื่อค้นหาพืชทางเลือกที่เหมาะสม ในการนำมาผลิตเป็นเอทานอล นอกเหนือจากอ้อยและมันสำปะหลัง ขณะที่คณะเทคโนโลยีจะศึกษาถึงสภาวะและเชื้อยีสต์ที่ใช้ในการหมักและการกลั่น ที่จะให้ผลผลิตเอทานอลออกมามากที่สุดและมีสัดส่วนของน้ำน้อยที่สุด ส่วนคณะวิศวกรรมศาสตร์จะนำเอทานอลไปศึกษาหาสัดส่วน ที่เหมาะสมในการนำไปใช้งานและตรวจวัดผลกระทบที่เกิดขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 7 ต.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
วิตามินซีสร้างบุญคุณให้กับคอยาล้างพิษของนิโคตินในหลอดเลือด
นักวิจัยชาวญี่ปุ่นรายงานผลการศึกษาในวารสารของสมาคมแพทย์โรคหัวใจอเมริกันว่า จากการศึกษากับคอยาที่ยังหนุ่มฉกรรจ์จำนวน 25 คน ซึ่งตรวจพบว่าปริมาณของโลหิตที่ไหลไปยังหัวใจ ต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย แต่กลับทำงานได้แข็งขันขึ้น หลังจากได้รับวิตามินซีปริมาณถึง 2 กรัม การหมุน เวียนของโลหิตของคอยา 13 ราย ในจำนวนนี้กลับดีขึ้น มากเท่ากับเพื่อนวัยเดียวกันที่ไม่ได้สูบบุหรี่ ด้วยเกรงว่าคอยาทั้งหลายจะเข้าใจไปว่าวิตามินซีสามารถ จะช่วยล้างพิษที่เกิดจากการสูบบุหรี่ได้เกลี้ยง นักวิจัยได้รีบชี้ให้เห็นว่า ผลของการศึกษาวิจัยหนนี้ แท้จริงได้ช่วยให้มองเห็นพิษภัยของบุหรี่มากกว่า นายอิสเซอิ โคมูโร นักวิจัยอาวุโสกล่าวว่า แท้จริงมันเท่ากับบอกให้รู้ว่า ผู้สูบบุหรี่นั้นควรจำเป็นจะต้องเลิกสูบเสีย อย่างไรก็ตาม ผลของการศึกษาก็ยังได้ชี้ชัดว่าวิตามินซีไม่เคยให้คุณกับผู้สูบบุหรี่ เคยมีการศึกษาวิจัยก่อนหน้า แสดงว่าการกินวิตามินซีมากๆ ไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรเลย อย่างน้อยก็ในระยะสั้น นายโคมูโรกล่าวว่า ควรจะมีการศึกษาต่อไป เพื่อจะให้รู้ว่าการกินวิตามินซีประจำวัน จะช่วยลดอันตรายในระยะยาว ของการเจ็บป่วยด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจลงได้ หรือไม่ (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 8 ต.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
ลาดกระบังพัฒนา 'เซนเซอร์นาโน' ต้นแบบอุปกรณ์ดักจับมลพิษ
ดร.สุธิชัย ชัยสิทธิศักดิ์ อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และหัวหน้าโครงการประดิษฐ์ก๊าซเซนเซอร์ โดยใช้คาร์บอนนาโนทิวบ์ เปิดเผยว่า ทีมวิจัยกำลังพัฒนาเซนเซอร์วตรวจจับก๊าซพิษจากไอเสียรถยนต์ ด้วยคาร์บอนนาโนทิวบ์หรือท่อนาโนคาร์บอน ซึ่งให้ความแม่นยำและมีสัมผัสไวต่อก๊าซ สำหรับคาร์บอนนาโนทิวบ์ (CNT) เป็นคาร์บอนรูปแบบใหม่ ที่ม้วนตัวมาบรรจบกันเป็นท่อ โดยเทคนิคในการทำท่อซีเอ็นทีในห้องวิจัยมีอยู่มากมายหลายวิธี และสามารถทำให้ท่อมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเพียงไม่กี่นาโนเมตร (1/1000 ล้านส่วน) มีความยาวเพียงไม่กี่ไมครอน (1/100 ล้านส่วน) สามารถนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องกล ท่อนาโนมีคุณสมบัติพิเศษสามารถนำมาใช้เป็นสารประกอบร่วม เพื่อเพิ่มคุณสมบัติให้กับวัสดุ อาทิ ใช้ผสมกับเหล็กเพื่อทำตัวรถยนต์ให้มีความแกร่ง แต่ยืดหยุ่น และมีน้ำหนักเบากว่าเหล็กมาก ซึ่งจะช่วยให้รถสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น ขณะที่ใช้เชื้อเพลิงน้อยลง นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดที่จะนำคาร์บอนนาโนทิวบ์มาใช้งานแทนทรานซิสเตอร์ และใช้ทำลิฟต์อวกาศด้วย อย่างไรก็ดี แนวคิดในการประยุกต์ใช้งานลักษณะดังกล่าว ยังเป็นเพียงแนวคิด และหลักการที่อยู่ในห้องวิจัยเท่านั้น ทั้งนี้ นักวิจัย สจล. เลือกใช้วิธีสังเคราะห์ที่เรียกว่า ซีวีดี (chemical vapor deposition : CVD) หรือการเคลือบผิวด้วยไอระเหยทางเคมีเป็นแกนหลัก ในการสร้างคาร์บอนนาโนทิวบ์ เนื่องจากสามารถควบคุมตำแหน่งคาร์บอนลงบนซิลิกอนได้ ดังนั้น ทีมงานจึงต้องผลิตและวัดคุณสมบัติไปพร้อมๆ กัน เพื่อดูว่าพารามิเตอร์ไหนสำคัญบ้าง และหากสามารถควบคุมคุณสมบัติทางไฟฟ้าได้ระดับหนึ่งแล้ว ขั้นต่อไปคือการนำไปประยุกต์ใช้ เพื่อผลิตเซนเซอร์ โดยจะเน้นไปที่การตรวจวัดก๊าซพิษ ในส่วนของตัวอุปกรณ์ คณะทำงานจะใช้ไมโครอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีระบบเครื่องกลไฟฟ้าจุลภาค หรือเมมส์เข้าช่วย ด้วยการนำวัสดุ อย่าง โพลิเมอร์ หรืออนุภาคนาโนอื่นๆ มาเป็นส่วนผสม เพื่อให้มีพื้นที่สัมผัสเยอะ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซับให้สูงขึ้น ขณะที่ตัวเซนเซอร์ภายใน จะเป็นท่อนาโนคาร์บอน ที่ทีมงานพัฒนาขึ้นมา "คาดว่าภายในสองปีนี้ น่าจะได้เซนเซอร์ต้นแบบออกมา แต่หากจะผลิตเชิงพาณิชย์ได้นั้น ต้องศึกษาต่อยอดอีกเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม งานวิจัยชิ้นนี้ได้รับทุนจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ราว 6 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาดำเนินการทั้งสิ้น 2 ปี" หัวหน้าวิจัย กล่าว (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 8 ต.ค. http://www.bangkokbiznews.com)
อิตาลีโชว์หุ่นยนต์แคปซูลช่วยผ่าตัดลำไส้
นักวิจัยจากศูนย์เซนต์ แอนนา วาลเดอรา ในอิตาลี และสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกาหลี ในกรุงโซล ร่วมกันเปิดตัวต้นแบบหุ่นยนต์แคปซูล ทำหน้าที่ตรวจดูอวัยวะภายในให้กับแพทย์ในการวินิจฉัยโรค ด้วยการส่งสัญญาณภาพถ่ายออกมานอกร่างกาย เพื่อให้แพทย์ได้เห็นในทันทีแล้ว ยังสามารถชอนไชเข้าไปในลำไส้ได้เอง โดยที่ผู้ป่วยไม่เกิดอาการระคายเคืองแม้แต่น้อย โดยทีมวิจัยเชื่อว่าหุ่นยนต์แคปซูลจะสามารถปฏิบัติภารกิจได้ดีกว่าแคปซูลรุ่นเก่า แนวคิดของทีมงานชุดนี้ ซึ่งนำโดยเปาโล ดาริโอ นักวิจัยจากเซนต์ แอนนา วาลเดอรา เชื่อว่า นอกจากจะตรวจดูอวัยวะภายในได้แล้ว หุ่นยนต์แคปซูลควรจะได้รับการเสริมเขี้ยวเล็บให้สามารถผ่าตัดเล็กๆ ได้ เพราะแคปซูลรุ่นใหม่จะประกอบด้วยขาจำนวนมาก สำหรับช่วยการชอนไชไปยังส่วนต่างๆ ของลำไส้ได้ง่ายขึ้น "หลังจากกลืนแคปซูลเข้าไปยังกระเพาะแล้ว สารเคลือบผิวจะย่อยสลาย จากนั้นตัวหุ่นยนต์จะเริ่มเคลื่อนที่" ดาริโอให้สัมภาษณ์และว่า แนวคิดนี้เป็นการปรับปรุงเทคนิคที่ใช้อยู่เดิมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จากการทดสอบเบื้องต้น พบว่าบรรดาขาต้นแบบสามารถเดินผ่านเข้าไปในเนื้อเยื่อกระเพาะอาหารและสำไส้ได้โดยไม่เกิดอันตรายใดๆ ต่ออวัยวะภายใน และทีมงานได้พัฒนาระบบควบคุมการเคลื่อนที่ของขาเหล่านั้น ด้วยการใช้โลหะจำรูป (shape memory alloy) เป็นส่วนประกอบหลัก โดยโลหะจำรูปมีลักษณะพิเศษที่สามารถ "จดจำ" และกลับคืนรูปร่างเดิมได้เหมือนสปริง คณะทำงานมีแผนทดลองขีดความสามารถของหุ่นยนต์แคปซูลในสัตว์ หลังจากได้ปรับปรุงการเคลื่อนตัวของขาให้ดีก่อน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยที่สุดก่อนนำไปใช้จริง (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 8 ต.ค. http://www.bangkokbiznews.com
'นวัตกรรม' โชว์ผลงานวิจัยหนุนภาคธุรกิจ
นายศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) เปิดเผยว่า สนช.เตรียมจัดแสดงนิทรรศการและผลงานนวัตกรรมกว่า 100 ชิ้น ทั้งเป็น นวัตกรรมวัสดุชีวภาพ นวัตกรรมยางและไม้ยางพารา นวัตกรรมการออกแบบและสร้างตราสินค้า นวัตกรรมด้านพลังงาน นวัตกรรมเพื่อการเกษตร นวัตกรรมเพื่อสุขภาพ รวมถึงผลงานประดิษฐกรรม สิ่งประดิษฐ์ และคลินิกเทคโนโลยี ในงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 19-23 ตุลาคมนี้ นอกจากผลงานที่น่าสนใจแล้ว ภายในงานนักวิจัยและผู้ประกอบการภาคธุรกิจเอกชน จะมีโอกาสแลกเปลี่ยนและรับฟังความคิดเห็น พร้อมต่อยอดการลงทุนจากงานวิจัยไปสู่ภาคธุรกิจ โดย สนช. จะสนับสนุนในเรื่องของดอกเบี้ยวงเงินกู้กว่า 5 ล้านบาทต่อโครงการ ให้งานวิจัยของธุรกิจเอกชนที่เห็นควรได้รับการต่อยอด ภายใต้โครงการนวัตกรรมดี ไม่มีดอกเบี้ย ซึ่งดำเนินโครงการร่วมกับสถาบันการเงินกว่า 6 แห่ง นายศุภชัย กล่าวอีกว่า สำหรับนวัตกรรมวัสดุทางชีวภาพที่นักวิจัย จะนำเสนอผลงานเกี่ยวกับเส้นใยสิ่งทอชีวภาพจากข้าวโพด พลาสติกชีวภาพที่ใช้อ้อยเป็นวัตถุดิบ มีคุณสมบัติพิเศษคือย่อยสลายง่ายและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงระบบการตรวจสอบย้อนกลับในกุ้งที่เอกชนทำวิจัยร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ (ไบโอเทค) วิจัยขึ้นเพื่อแก้ปัญหาการส่งออกกุ้งของประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยเพิ่มคุณภาพของยางพารา และผลผลิตจากยางพาราที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับยางแผ่น อาทิ งานวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในการควบคุมเนื้อยางแผ่นให้มีคุณภาพไม่ขึ้นรา จนถึงการศึกษาคุณสมบัติถุงมือยางชนิดพิเศษทางการแพทย์ ที่ผสมสารกันไม่ให้โปรตีนจากถุงมือเล็ดลอดออกมาเป็นอุปสรรคในการตรวจรักษาทางการแพทย์ (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 8 ต.ค. http://www.bangkokbiznews.com)
เวทีนักวิทย์หนุนวิจัยเชิงลึกรับมือโรคอุบัติใหม่ เน้นวิจัยผลิตเวชภัณฑ์ใหม่-น้ำยาชันสูตรโรคปูทางสู่เมดิคัลฮับ
ศ.เกียรติคุณ พรชัย มาตังคสมบัติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะประธานกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวบรรยาย "แนวโน้มของการวิจัยและพัฒนาเชิงแนวหน้าด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์" ว่า ในอนาคตการวิจัยของประเทศไทย ควรมุ่งไปที่ด้านเวชภัณฑ์ชนิดใหม่ และน้ำยาชันสูตรโรคแบบใหม่ (Biomarker) ที่ทำให้รู้ถึงการก่อตัวของเชื้อโรค ก่อนที่จะก่อโรคต่อร่างกายมนุษย์ ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดโรคได้แม่นยำมากขึ้น รวมทั้งสามารถหาวิธีการบำบัดรักษาโรคได้ตรงตามอาการมากที่สุด แต่ปัจจุบันน้ำยาชันสูตรโรคสามารถบ่งบอกโรคได้บางชนิดเท่านั้น อาทิ โรคมะเร็งในลำไส้ และมะเร็งตับ ทั้งนี้ ในเบื้องต้นการวิจัยด้านน้ำยาชันสูตรโรค ควรมุ่งไปที่โรคมะเร็งและโรคติดเชื้อ เช่น โรคไข้หวัดนก โรคซาร์ส หากสามารถมีตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนแล้ว จะสามารถเฝ้าระวังโรคได้ดีขึ้นกว่าเดิม ด้าน ศ.ดร.อานนท์ บุณยะรัตเวช คณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า สำหรับการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ในอนาคตประเทศไทย ควรมุ่งไปที่การสร้างความรู้และความเข้าใจ ในระบบการทำงานทางชีวภาพของเซลล์ในระดับอณูที่แม่นยำ ที่นำไปสู่สุขภาพ หรือการเป็นโรค ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงการดูแลรักษาผู้ป่วยในศตวรรษที่ 21 อีกทั้งการนำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไปประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะที่เห็นได้ชัดเจน เนื่องจากงานวิจัยที่ผ่านมา ไม่สอดคล้องกับความต้องการหรือประโยชน์ของผู้ใช้งานวิจัย แต่ตอบสนองต่อความอยากรู้ของนักวิจัยมากกว่า ขณะเดียวกัน นักวิจัยมุ่งวิจัยเฉพาะด้านมากเกินไป ขาดการบูรณาการงานวิจัยที่รอบด้าน เพื่อเป็นประโยชน์ต่องานด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ การวินิจฉัยโรค และการพัฒนาประเทศไทยไปสู่ผู้นำด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ประธานโครงการชีวโมเลกุล ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้านไวรัสตับอักเสบ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึง การเตรียมพร้อมวิทยาการด้านวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน สำหรับโรคอุบัติใหม่ ว่า ขณะนี้ ประเทศไทยยังขาดความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน สำหรับโรคอุบัติใหม่อย่างมาก อาทิ โรคไข้หวัดนก และโรคซาร์ส ทั้งนี้ งานวิจัยด้านนี้จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการทำงานและความร่วมมือ จากหลายหน่วยงาน อาทิ แพทย์ สัตวแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ นักนิเทศศาสตร์และสังคมศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ และรัฐศาสตร์ เป็นต้น โดยเฉพาะการประสานงานกับองค์กร และนักวิทยาศาสตร์จากต่างประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยีในการวินิจฉัยโรค (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 8 ต.ค. http://www.bangkokbiznews.com)
หุ่นจิ๋วสอดแนมเส้นเลือด ฝีมือนักวิทย์จีนช่วยงานแพทย์
เต๋า เหม่ย นักวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติจีน ในกรุงปักกิ่ง เปิดเผยว่า เขาและทีมงานจากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติจีน ได้พัฒนาหุ่นยนต์ต้นแบบที่มีรูปทรงสามเหลี่ยมขนาด 3 มิลลิเมตร ซึ่งใช้สนามแม่เหล็กภายนอกเป็นตัวขับเคลื่อน โดยจะไปควบคุมการเคลื่อนไหวของครีบที่ติดอยู่กับลำตัวของหุ่นยนต์ ครีบดังกล่าวที่ทำจากอัลลอย จะหดตัวตอบสนองต่อคลื่นสนามแม่เหล็กที่ได้รับ และเมื่อปิดการส่งสัญญาณคลื่น ครีบจะกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม การตอบสนองดังกล่าวทำให้ตัวหุ่นยนต์สามารถเคลื่อนตัวไปได้อย่างช้าๆ อย่างไรก็ตาม ทีมงานเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่จะควบคุมความเร็วของหุ่นยนต์ ด้วยการปรับแต่งคลื่นความถี่ของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า โดยขั้นต่อไปจะสร้างหุ่นยนต์ที่ครีบสามารถตอบสนองความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้แตกต่างกัน นั่นจะทำให้สามารถควบคุมครีบได้อย่างอิสระ และบังคับให้หุ่นยนต์เคลื่อนตัวไปในทิศทางที่ต้องการได้ แม้โครงการนี้จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่นักวิจัยเชื่อว่าหุ่นยนต์ที่ว่ายน้ำได้ และควบคุมจากระยะไกลนี้ จะสามารถนำส่งยาไปยังอวัยวะเป้าหมายผ่านทางกระแสเลือดได้อย่างแม่นยำ ซึ่งหุ่นต้นแบบที่กำลังทดสอบอยู่ในขณะนี้ มีขนาดกว้าง 2 มิลลิเมตร ยาว 3 มิลลิเมตร และสูง 0.4 มิลลิเมตร แต่มีแผนพัฒนารุ่นใหม่ที่มีความยาวเพียง 1 มิลลิเมตรในเร็วๆ นี้ คิ่น ฟง เหลย นักวิจัยด้านหุ่นยนต์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติจีนในฮ่องกง บอกว่า หุ่นยนต์ว่ายน้ำได้ตัวนี้มีขนาดเล็กที่สุดเท่าที่เคยเห็น และเชื่อว่าจะสามารถประยุกต์ใช้งานได้อย่างหลากหลาย หุ่นยนต์ในลักษณะนี้ จะนำส่งยาไปยังอวัยวะต่างๆ ในร่างกายมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าการรักษาในรูปแบบเดิมทั้งนี้ หุ่นยนต์ว่ายน้ำได้สัญชาติจีนตัวนี้ ได้รับการเปิดตัวในงานประชุมนานาชาติเรื่องระบบและหุ่นยนต์อัจฉริยะ (ไอรอส) ณ เมืองเซนได ประเทศญี่ปุ่น (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 8 ต.ค. 47 http://www.komchadluek.net)
เอ็นอีซีช่วยคนอ่อนภาษาไม่กลัวฝรั่ง พัฒนาเครื่องแปลส่งสำเนียงอังกฤษ
บริษัท เอ็นอีซี พัฒนาอุปกรณ์แปลภาษาที่สามารถเปลี่ยนคำพูดจากภาษาญี่ปุ่นเป็นอังกฤษ และอังกฤษเป็นญี่ปุ่น โดยที่เครื่องนี้มีองค์ประกอบ 3 อย่างในตัวคือ ระบบจดจำคำพูด ซอฟต์แวร์แปลภาษา และระบบสร้างเสียง มีหลักการทำงานดังนี้ อันดับแรก เมื่อผู้พูดพูดภาษาอังกฤษ หรือญี่ปุ่นเข้าไปในเครื่อง เครื่องจะทำการจดจำเสียงนั้นไว้ และแปลงเป็นข้อความอักษร จากนั้นโปรแกรมแปลภาษาจะเปลี่ยนข้อความจากภาษาญี่ปุ่นเป็นอังกฤษ หรืออังกฤษเป็นญี่ปุ่นแล้วแต่จะตั้งค่าไว้ ต่อมาเครื่องจะอ่านออกเสียงข้อความที่แปลแล้วออกมาเป็นเสียงพูด กระบวนการทั้งหมดนี้กินเวลาเพียง 1 วินาทีเท่านั้น ในเบื้องต้น ระบบแปลภาษานี้จะมุ่งไปที่นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นและนักธุรกิจที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ และจะมีจำหน่ายในญี่ปุ่นเท่านั้น แต่คากิโทชิ โอคุมูระ นักวิจัยจากเอ็นอีซีผู้อยู่เบื้องหลังระบบนี้ กล่าวว่า อุปกรณ์แปลภาษาสามารถพัฒนาให้แปลจากภาษาต่างๆ ได้ด้วยเช่นกัน นักวิจัยกล่าวว่า เอ็นอีซีเริ่มต้นทำเครื่องรุ่นอื่นสำหรับแปลภาษาญี่ปุ่นกับภาษาจีน สำหรับภาษาอื่นนั้นระบบจะต้องถูกฝึกให้จดจำเสียงพูดของคนที่ประเทศนั้นก่อน ซึ่งในการฝึกต้องใช้เสียงแตกต่างกันประมาณ 100 เสียง เครื่องแปลภาษาพัฒนาโดยเอ็นอีซีใช้หน่วยประมวลผลหรือโพรเซสเซอร์ความเร็ว 400 เมกะเฮิรตซ์ ในอนาคต เอ็นอีซีอาจพัฒนาเครื่องแปลภาษาบนโทรศัพท์มือถือ ทว่าก็ยอมรับว่า อุปกรณ์แปลภาษานี้ต้องมีการปรับปรุงให้รู้จักแยกเสียงจากเสียงรอบข้าง และจดจำสำเนียงที่แตกต่างกันซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ปัญหาสำคัญในการพัฒนาอุปกรณ์แปลคือ เครื่องจะมีปัญหาในการใช้งานเมื่อเสียงที่ได้ยินไม่ชัดเจน และเป็นปัญหาทั้งในการออกแบบหน้าจอการทำงาน และการพัฒนาระบบบ อเล็กซ์ รัดนิกกี ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องแปลภาษาอีกท่านหนึ่งจากมหาวิทยาลัยคาร์เนกี เมลลอน กล่าว ระบบของเอ็นอีซีมีประสิทธิภาพมาก แต่อย่าคิดไปไกลถึงขั้นที่จะเอามาใช้แทนการสนทนาในชีวิตประจำวัน เพราะมันเป็นแค่เครื่องมือสื่อสารที่ช่วยให้คนสองคนก้าวข้ามอุปสรรคของการสื่อสารได้ (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 9 ต.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
นวัตกรรมแห่งอนาคต Rescue Robot กับความมุ่งมั่นของนักศึกษา ม.สงขลานครินทร์
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นอีกหนึ่งสถาบัน ที่ให้ความสนใจ ในนวัตกรรมของเทคโนโลยีการประดิษฐ์หุ่นยนต์ และสมัครเข้าร่วมการแข่งขันประดิษฐ์หุ่นยนต์กู้ภัย Thailand Rescue Robot Championship 2004 ซึ่งเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยเครือซิเมนต์ไทยเป็นผู้ริเริ่ม ด้วยการเล็งเห็นถึงความสำคัญ ของการพัฒนาขีดความรู้ความสามารถ ทางด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ของเยาวชน ภายหลังการปิดรับสมัคร เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เสียงตอบรับจากพลังสมองของเยาวชนไทยในระดับอุดมศึกษา ก็แพร่ขยายไปทั่วประเทศ ต่างให้ความสนใจสมัครเข้าร่วมประดิษฐ์หุ่นยนต์กู้ภัยเป็นจำนวนมาก โดยกลุ่มนักศึกษาจากคณะวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ ที่มีความรู้พื้นฐานจากที่เรียนมานำมาต่อยอด ประดิษฐ์หุ่นยนต์กู้ภัยเพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน การสร้างหุ่นยนต์กู้ภัย ของนักศึกษาจากทั้งสองทีมนี้ ถือว่าเป็นครั้งแรก ที่ต้องมีการเรียนรู้ลองถูกลองผิด เพื่อให้หุ่นยนต์สามารถใช้งานได้จริง ต้องหาความใหม่ๆ จากตำรา หรือแหล่งข้อมูลสำคัญอย่างอินเตอร์เน็ต เพื่อเป็นแนวทางในการเติมเต็มความรู้ใหม่ๆ มาแทนช่องว่างของความบกพร่องของหุ่นยนต์กู้ภัยที่สร้างขึ้นมา ประกอบกับแรงสนับสนุน จากอาจารย์ที่ปรึกษาเข้ามาส่วนมีร่วมดูแล แนะแนวทางการแก้ไขปัญหาการทำงานอย่างใกล้ชิด
.ทำให้นักศึกษาปรับตัวและเรียนรู้ได้เร็วกว่าการศึกษาจากตำรา ในการร่วมสร้างนวัตกรรมที่ท้าทาย กับบทบาทที่เป็นประโยชน์ของหุ่นยนต์กู้ภัย ซึ่งกำลังได้รับความสนใจในหลายประเทศที่เป็นมหาอำนาจของเทคโนโลยีการสร้าง หุ่นยนต์ สำหรับการแข่งขัน Thailand Rescue Robot Championship 2004 ในรอบแรกจะเริ่มในวันที่ 19-21 ตุลาคมนี้ ซึ่งถือว่าเป็นการเผยโฉมครั้งแรกในเมืองไทย (สยามรัฐ เสาร์ที่ 9 ต.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)
ทีมวิจัยมช.เจ๋งประดิษฐ์ดอกไม้ฟิสิกส์คุณค่ามหาศาล
ดร.พิสิษฐ์ สิงห์ใจ นักวิจัยประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางทีมวิจัยของมหาวิทยาลัย ประสบผลความสำเร็จ สามารถวิจัยและค้นพบดอกไม้ท่อนาโนเทคโนโลยี หรือดอกไม้ทางฟิสิกส์ สำเร็จเป็นดอกแรกของประเทศไทย เป็นดอกไม้ทางฟิสิกส์ที่เล็กที่สุด ซึ่งตนในฐานะหนึ่งในทีมวิจัยรู้สึกดีใจมาก โดยดอกไม้ท่อนาโนคาร์บอนดอกแรกนี้ เป็นกรรมวิธีที่ได้จากการสังเคราะห์ด้วยวิธีตกสะสมไอสารเคมีของก๊าซอะเซทีลีนบนอนุภาคเหล็ก ซึ่งทางห้องปฏิบัติการหน่วยวิจัยนาโนวัสดุได้รับการก่อตั้งขึ้นมา เพื่อพัฒนาวิธีการผลิตวัสดุในปริมาณมาก (mass production) ทำให้ได้สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น ถ่านไม้ที่มีราคาถูก กิโลกรัมละไม่กี่สิบบาท เมื่อนำมาทำเป็นคาร์บอนนาโนทิวบ์ ราคาจะตกกิโลกรัมละหลายแสนบาท ถือว่าเป็นการวิจัยและค้นพบที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งที่มีคุณค่าอย่างมหาศาลในเชิงพาณิชย์ในอนาคต โดยไม่ต้องพึ่งพาของต่างประเทศ และสามารถผลิตได้เป็นจำนวนมาก เพียงพอต่อความต้องการของตลาด แต่ในช่วงนี้ยังถือว่าเป็นช่วงของการวิจัย และก็มีหลายหน่วยงานเข้ามาศึกษาและนำกลับไปใช้บ้างแล้ว ทีมวิจัยได้ทำการทดลองนำถ่านไส้ดินสอที่มีความเข้ม EE ที่ศิลปินใช้วาดรูปที่ให้ความดำเข้มมา ซึ่งเป็นคาร์บอนธรรมดา มาผ่านกระบวนการให้ความร้อนสูง ด้วยเทคนิคใหม่ที่พัฒนาขึ้นในห้องวิจัยที่เรียกว่า current-heating technique (CHT) ซึ่งเป็นเทคนิคการให้ความร้อนด้วยกระแสไฟฟ้าในระดับสูงหลายพันเคลวิน พร้อมกับควบคุมแรงดัน และกระแสไฟฟ้าจนทำให้แท่งดินสอเปลี่ยนสถานะเป็นนาโนคาร์บอน ซึ่งนาโนคาร์บอนตัวนี้ หากจะเปรียบเทียบแล้วก็ไม่ต่างอะไรไปจากเพชร หรือเหล็กกล้า ซึ่งมีความแข็งแรงทนทานต่อความยืดหยุ่นของโลหะที่นำไปผสม และยังคงสถานะของสิ่งนั้นอยู่ โดยไม่ทำให้สิ่งที่นำนาโนคาร์บอนไปผสมเปลี่ยนรูปร่าง แต่กลับจะทำให้มีความคงทนแข็งแรงขึ้นมากกว่าเดิมเกือบ 10 เท่าตัว นอกจากนี้ ยังนำไปวิจัย พัฒนา และประยุกต์ใช้เป็นส่วนประกอบใน รถยนต์ เครื่องบิน สิ่งปลูกสร้างต่างๆ และสามารถนำมาใช้งานได้ทั้งในลักษณะของวัสดุผสม วัสดุเคลือบผิวหน้า วัสดุเชิงชีวภาพ เซลล์เชื้อเพลิง โซลาร์เซลล์ และในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ได้ด้วย โดยวัตถุประสงค์ของการวิจัยนาโนวัสดุเป้าหมายหลักคือ พัฒนาวิธีการผลิตวัสดุนาโนให้ได้ปริมาณมาก ต้นทุนต่ำ และมีคุณสมบัติดี เทียบเท่ากับกรรมวิธีการผลิตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงของต่างประเทศ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรม ตัวอย่างวัสดุนาโนที่หน่วยวิจัยสามารถผลิตได้แล้ว เช่น เส้นใยนาโนซิลิกอนคาร์ไบด์ ท่อนาโนคาร์บอน และฟิล์มบางจุดนาโน สำหรับ การค้นพบท่อนาโนคาร์บอน (carbon nanotubes) ค้นพบครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.2534 โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น ชื่อ สุมิโอะ อีจิมะ (Sumio Iijima) ด้วยคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมทั้งในทางกลและทางอิเล็กทรอนิกส์ กล่าวคือมันมีความแข็งแรงที่ วัดได้ค่ามากว่าเหล็กกล้าถึง 100เท่า และอาจจะถูกนำเข้าไปใส่แทนที่ซิลิคอนชิป หรือพวกไอซีต่างๆ ในวงจรอิเลกทรอนิกส์ (สยามรัฐ เสาร์ที่ 9 ต.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)
ข่าวทั่วไป
ความเครียดวาดรอยคล้ำใต้ตา แนะใส่แว่นตากันแดดป้องกัน
น.พ.ปิติ พลังวชิรา คณะแพทยศาสตร์ ศูนย์ผิวหนัง มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวว่า รอยดำคล้ำใต้ตาเกิดจากหลายสาเหตุดังนี้ พันธุกรรม พักผ่อนไม่เพียงพอ เครียด หรืออาจมีโรคภัยไข้เจ็บบางอย่าง เช่น ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ในแง่กลไกการทำงานของร่างกาย เชื่อว่าความเครียดหรือพันธุกรรมจะเป็นตัวกระตุ้นให้ต่อมใต้สมองผลิตฮอร์โมนตัวหนึ่ง ซึ่งสามารถกระตุ้นเซลล์สร้างสีเมลาโนไซต์ ซึ่งอยู่รอบดวงตาให้สร้างรงควัตถุชื่อ "เมลานิน" เพิ่มปริมาณมากขึ้น ส่งผลให้เห็นขอบตาดำคล้ำชัดเจนขึ้น นอกจากนั้น ภาวะการมีประจำเดือน ช่วงสุดท้ายของการตั้งครรภ์ ซึ่งมีผลเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนสามารถทำให้ขอบตาคล้ำเพิ่มมากขึ้น ในวัยผู้สูงอายุที่มีขอบตาดำคล้ำจะเป็นอยู่นานและจะคงอยู่เช่นนั้นเรื่อยไป อีกประการหนึ่งสืบเนื่องมาจากผิวหนังรอบดวงตาบาง ไขมันใต้ผิวหนังมีน้อย ทำให้เห็นเงาดำเหล่านี้ชัดขึ้น ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากหลอดเลือดดำ ซึ่งไหลผ่านบริเวณนั้น คนที่ผิวซีด หรือมีอาการเหน็ดเหนื่อย ก็จะเห็นขอบตาคล้ำชัดขึ้น เนื่องจากเหตุผลแบบเดียวกัน นอกจากนั้น อาจจะเกิดจากการมีเม็ดเลือดหลุดออกมานอกหลอดเลือดในบริเวณดังกล่าว ผู้ที่มีความกังวลเรื่องรอยคล้ำใต้ตา อาจทำให้เบาบางลงโดยใช้เครื่องสำอางทากลบ ทายาลบรอยดำ ทาครีมกันแดด และเมื่อออกแดดก็ให้สวมแว่นตา ซึ่งสามารถป้องกันแสงแดด อันจะส่งผลให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น แพทย์บางคนอาจรักษาโดยวิธีใช้คลื่นความถี่สูง (ultrasonic) ซึ่งสามารถทำให้รอยคล้ำใต้ตาลดลงได้ (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 4 ต.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
แนะนำนักเขียนซีไรต์ 9 ประเทศ
.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ประธานคณะกรรมการดำเนินงานรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) จัดงานแนะนำนักเขียนซีไรต์ ประจำปี 2547 ทั้ง 9 ประเทศ ในวันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม 2547 เวลา 10.00 น. ณ ห้องเจ้าพระยา โรงแรมโอเรียนเต็ล นักเขียนซีไรต์ 9 ประเทศ ประกอบด้วย 1. เช ชัป จากประเทศกัมพูชา 2. ทองใบ โพธิเสน จากประเทศลาว 3. โด ชู จากประเทศเวียดนาม 4. ซูรินาห์ ฮัซซัน จากประเทศมาเลเซีย 5. ดร.เซซาร์ รูอิซ อากีโน จากประเทศฟิลิปปินส์ 6. ดร.ซูน ไอ ลิง จากประเทศสิงคโปร์ 7. กุส ทีเอฟ ซาไก จากประเทศอินโดนีเซีย 8. หะจี จาวาวี บิน อะหมัด จากประเทศบรูไน 9. เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ จากประเทศไทย และ มีรา จัน นักเขียนชื่อดัง เป็นแขกรับเชิญพิเศษให้มากล่าวสุนทรพจน์ในงานพระราชทานรางวัล ในปีนี้ด้วย (สยามรัฐ จันทร์ที่ 4 ต.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)
ไทยเปิดฉากประชุมไซเตส
เมื่อวันอาทิตย์ การประชุมว่าด้วยค้าการค้าสัตว์และพันธุ์พืชเสี่ยงสูญพันธุ์ทั่วโลก ได้เปิดงานขึ้นที่กรุงเทพ มีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 2 พันคน โดยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย กล่าวเปิดประชุมเรียกร้องให้รัฐบาลต่างๆ ทั่วโลกร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อต่อสู้ขบวนการลักลอบค้าสัตว์สงวน พร้อมทั้งเสนอจัดตั้งหน่วยปฎิบัติการระดับภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะออกขึ้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรและตำรวจของแต่ละประเทศสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลความพยายามลักลอบค้าสัตว์สงวนระหว่างกันได้อย่างทันท่วงที ไซเตสมุ่งที่จะคุ้มครองสัตว์และพืชพันธุ์หายากทั่วโลกกว่า 3 หมื่นชนิด ท่ามกลางหลายประเทศที่ต่างมีเป้าหมายที่จะเรียกร้องให้มีการเพิ่มและลดมาตรการเข้มควบคุมสัตว์สงวนของแต่ละประเทศโดยออสเตรเลียและมาดากาสการณ์ต้องการให้มีการเพิ่มการคุ้มครองฉลามขาวซึ่งมักถูกล่าเพื่อค้าอวัยวะหลายประเภท อาทิ เขี้ยว ฟัน หนัง และครีบ เคนยาต้องการให้มีการห้ามการค้าหนังสิงโต ส่วนนามิเบียต้องการให้มีผ่อนข้อห้ามให้ตนสามารถค้างาช้างอย่างจำกัด เพื่อช่วยเป็นรายได้สำคัญเข้าประเทศ รวมทั้งสามารถขายหนังและขนช้างที่ตามตามธรรมชาติและป่วยตายด้วย (สยามรัฐ จันทร์ที่ 4 ต.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)
เปิดเผยท่านั่งขับรถมาตรฐาน ป้องกันไม่ให้เป็นโรคปวดหลัง
บริษัทประกันภัยรถยนต์ปรูเดนเชียลของสหรัฐฯ ได้เปิดเผยผลของการศึกษาจากการสำรวจเมื่อเร็วๆนี้ พบว่าผู้ขับขี่รถส่วนใหญ่มักจะชอบ นั่งขับด้วยอาการหลังงอหรือหลังค่อมกันด้วยกันทั้งนั้น จึงเป็นเหตุให้ปวดหลังหรือไม่สบายขึ้น วิธีแก้ง่ายๆ ก็คือ ต้องพยายามฝืนนั่งขับให้ตัวตรงไว้ โดยเฉพาะนักขับรถแข่งผู้มีชื่อเสียง นายทิฟฟ์ นีเดลล์ ได้ให้คำแนะนำของท่านั่งขับรถอย่างถูกต้อง ซึ่งจะป้องกันผู้ขับขี่ไม่ให้ปวดหลังว่า ผู้ขับรถควรจะนั่งวางแขนให้ต้นแขนห้อยทำมุม 25 องศากับตัว ส่วนขาให้วางทำมุม 45 องศากับคันเร่งหรือเบรก หากนั่งในท่าดังกล่าวเอาไว้ จะช่วยป้องกันกระดูกสันหลังไม่ให้เสื่อมโทรมลงหรือเป็นโรคปวดหลังขึ้นได้ "การนั่งขับรถให้ถูกท่า ไม่แต่เพียงจะสามารถบังคับรถได้อย่างแม่นยำเท่านั้น หากยังจำเป็นกับการรักษาสุขภาพของเราด้วย" เขากล่าว (ไทยรัฐ อังคารที่ 5 ต.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
แพทย์ไทยเตือนอันตรายยาไวออกซ์
น.พ.สุชัย กิจศิริพรชัย ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ บริษัทเอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาและเวชภัณฑ์ กล่าวว่า หลังจากบริษัท เมิร์ค แอนด์ โค อิงค์ ได้ออกมาประกาศถอนยาไวออกซ์หรือโรฟิค็อกสิบ ภายหลังวิจัยพบว่า ผู้ป่วยได้ที่รับยาไวออกซ์มีอัตราความเสี่ยงมากขึ้นต่อการเกิดอาการเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจวาย จึงขอให้แพทย์และผู้ป่วยที่ใช้ยาตัวนี้ในการรักษาโรคข้ออักเสบและอาการปวดเฉียบพลัน หรือป้องกันการเกิดเนื้องอกบริเวณลำไส้ใหญ่และไส้ตรง ควรหยุดใช้ตัวยานี้ทันที และปรึกษาแพทย์เพื่อใช้ตัวยาอื่นรักษาแทนยาชนิดนี้เพื่อความปลอดภัย โดยบริษัทจะเรียกเก็บผลิตภัณฑ์ยาชนิดนี้คืนทั้งหมดและนำไปทำลายอย่างถูกต้อง ทั้งนี้ได้ประสานงานสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา และทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรส่งไปทาง อย.อีกครั้งในวันที่ 1 ต.ค. ขณะนี้กำลังรอการตอบรับกลับมา เพื่อเรียกเก็บคืนตัวยาจากโรงพยาบาลและร้านขายทุกแห่งทั่วไปประเทศ และนำไปทำลายอย่างถูกต้อง "ยาตัวนี้จะเป็นอันตรายก็ต่อเมื่อใช้มาเป็นระยะเวลานาน เช่น ป้องกันเนื้องอกในลำไส้ใหญ่และไส้ตรง ซึ่งต้องใช้ติดต่อกันประมาณ 3 ปีจึงจะเห็นผล แต่การใช้ระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่สัปดาห์ เช่น รักษาโรคข้ออักเสบและอาการปวดเฉียบพลัน ซึ่งไม่ค่อยมีผลต่อการเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดมากนัก" น.พ.สุชัย กล่าว (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 5 ต.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
จุฬาฯวิจัยทำกทม.เมืองน่าอยู่
เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม น.พ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ รองอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า จุฬาฯได้ร่วมกับกรุงเทพมหานครและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำการวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของคนเมืองหรือคนกรุงเทพฯ และการพัฒนาชุมชน วิจัยเกี่ยวกับการตั้งผังเมืองกรุงเทพฯ ความปลอดภัยบนอาคารสูง ความปลอดภัยจากอัคคีภัย และเกี่ยวกับปัญหาการจราจรที่เกิดจากพฤติกรรมของผู้ขับขี่รถยนต์จนเกิดปัญหาจราจรติดขัด ล่าสุดกำลังทำวิจัยเพื่อทำให้กรุงเทพฯกลายเป็นเมืองที่น่าอยู่ด้วย (มติชนรายวัน อังคารที่ 5 ต.ค. 47 http://www.matichon.co.th)
แนะวิธีจิบน้ำชากันอย่างถูกต้อง เพื่อบำรุงสุขภาพและป้องกันโรค
วารสารของกลุ่ม "สตรีผู้ใฝ่ใจในอนามัย" ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แห่งสหรัฐฯเล่มใหม่ ได้ให้ข้อเท็จจริงในวิธีดื่มชา เพื่อให้ได้ประโยชน์ในการบำรุงสุขภาพอย่างเต็มที่ โดยที่ไม่เลือกว่าจะเป็นชาเขียว ชาดำ หรือชาอู่หลง วารสารกล่าวว่า ชาเขียวถือกันว่าเป็นแหล่งที่อุดมด้วยกลุ่มสารที่เรียกว่า คาเตชินมากที่สุด และเป็นที่ทราบกัน จากการทดลองในหลอดแก้วทดลองพบว่า มันมีสรรพคุณแรงยิ่งกว่าวิตามินซีและอี ในการหยุดยั้งความเสียหายของเซลล์จากการกัดกร่อนของออกซิเจน และยังดูเหมือนจะมีคุณสมบัติต่อต้านโรคภัยต่างๆอีกด้วย รายงานได้แนะให้ดื่มชาหนึ่งถ้วยวันละ 2-3 หน เพื่อจะได้ส่วนประกอบที่มีคุณสมบัติบำรุงสุขภาพ และเป็นตัวล้างพิษของชาอย่างพอเพียง วิธีที่จะให้ได้สารคาเตชินและสารฟลาโวนอยด์มากที่สุด จะต้องดื่มชาที่เพิ่งชงใหม่ โดยปล่อยให้ชานอนทิ้งอยู่นานสัก 3-5 นาที ส่วนชาที่ถูกสกัดเอาคาเฟอินทิ้ง และชาสำเร็จรูปต่างๆจะมีสารประกอบเหล่านี้น้อยลงไป (ไทยรัฐ พุธที่ 6 ต.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
กรมบัญชีกลางเอาใจขรก. ขยายออนไลน์โรคเรื้อรัง
เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม น.ส.สุภา ปิยะจิตติ รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้ดำเนินการปฏิรูประบบสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล เพื่อให้ข้าราชการและผู้มีสิทธิได้รับความสะดวกสบายในการใช้บริการจากสถานพยาบาลมากยิ่งขึ้น โดยกรมได้พัฒนาระบบการเบิกจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอก กลุ่มเรื้อรังประกอบด้วยโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคอัมพฤกษ์หรืออัมพาต เป็นการทดลองระบบการเบิกจ่ายในระบบ E-Payment กับสถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งระบบดังกล่าวเป็นการอำนวยความสะดวกให้ข้าราชการและผู้มีสิทธิที่ไม่ต้องสำรองจ่ายเงินไปก่อน ในปีงบประมาณ 2548 กรมบัญชีกลางได้ขยายสถานพยาบาลจาก 5 แห่งเป็น 100 กว่าแแห่ง ซึ่งรายชื่อสามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ของกรมบัญชีกลาง www.cgd.go.th โดยข้าราชการและครอบครัวที่ต้องการใช้สิทธิให้นำหลักฐานไปจดทะเบียนที่สถานพยาบาลนั้นๆ ได้ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2547 เป็นต้นไป เพื่อนำรายชื่อเข้าสู่ระบบหลังจากนั้นก็สามารถเข้ารับการรักษาได้โดยไม่ต้องสำรองจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลอีกต่อไป นอกจากนี้ ในปีงบประมาณ 2548 กรมบัญชีกลางยังมีแผนที่จะขยายคำจำกัดความของโรคเรื้อรังเพื่อให้ครอบคลุมถึงโรคมะเร็ง และโรคไตวายเรื้อรังอีกด้วย เนื่องจากเห็นว่าโรคดังกล่าวเป็นโรคที่ต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และมีค่าใช้จ่ายสูง หากข้าราชการต้องสำรองจ่ายไปก่อนก็จะส่งผลกระทบต่อรายได้ในการดำรงชีพ จึงได้นำขึ้นพิจารณาเป็นโรคเรื้อรัง (มติชนรายวัน พุธที่ 6 ต.ค. 47 http://www.matichon.co.th)
จ้างมก.ปลูกป่าทะเลกรุงเทพฯ
นายดำรงค์ ศรีพระราม หัวหน้าโครงการปลูกพันธุ์ไม้ชายเลน ปรับปรุงภูมิทัศน์ชายทะเลบางขุนเทียน อาจารย์ประจำคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ กทม. ได้ตกลงความร่วมมือทางวิชาการ เพื่อพัฒนาพื้นที่สีเขียวของ กทม. มาประมาณ 7 ปี โดยสำรวจและปรับปรุงต้นไม้ในพื้นที่ต่างๆของ กทม. มาตามลำดับ สำหรับโครงการปลูกพันธุ์ไม้ชายเลน ปรับปรุงภูมิทัศน์ชายทะเลบางขุนเทียน เป็นส่วนหนึ่งของการปรับปรุง และพัฒนาพื้นที่สีเขียวของ กทม. โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสให้รักษาสภาพแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติชายทะเลบางขุนเทียน เพื่อให้คงสภาพธรรมชาติ นอกจากนี้ นโยบายของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2546 ได้ให้ความสำคัญกับพื้นที่ชายทะเลบางขุนเทียน โดยให้ฟื้นฟูสภาพและปรับปรุงพื้นที่ให้เป็นสวนสาธารณะ และแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของประชาชนทั่วไป โครงการจะดำเนินการเลือกพันธุ์ไม้ที่เหมาะสม และฟื้นฟูระบบนิเวศของพืชพรรณก่อนเป็นอันดับแรก โดยส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมกับโครงการ เช่น ให้ชาวบ้านจัดหาพันธุ์ไม้ เพื่อเตรียมพันธุ์กล้าไม้ ขนาด 1 เมตร สำหรับการปลูก และจะจัดสร้างเรือนเพาะชำต้นไม้ขึ้นในโรงเรียนพิทยาลงกรณ์ เมื่อโครงการเสร็จก็จะมอบให้แก่โรงเรียนเพื่อทำประโยชน์ต่อไป ขณะเดียวกัน จะเตรียมพื้นที่ปลูกป่าชายเลน โดยทำคันดินกว้าง 2 เมตร ความสูงในระดับถนน สำหรับพื้นที่บริเวณสองข้างทาง จะจัดเตรียมไว้สำหรับปลูกพันธุ์ไม้ป่าทนเค็ม โดยเน้นความหลากหลายของชนิดพันธุ์ และโครงการจะจัดการฝึกอบรมให้ความรู้ชาวบ้าน ชุมชนท้องถิ่น เกี่ยวกับการปลูกป่าชายเลน และการจัดการป่าชายเลน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศต่อไป (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 7 ต.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
พืช-สัตว์ป่าสูญพันธุ์วันละ 100 ชนิด
การประชุมไซเตส ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ได้ข้อมูลจาก กองทุนเพื่อสวัสดิภาพสัตว์ป่า สรุปรวบรวมเอาไว้ดังนี้ 1.องค์กรสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ(ไอยูซีเอ็น) ระบุว่า ขณะนี้มีสัตว์ตั้งแต่ แมลง ไปถึงช้าง จำนวน 5,428 สายพันธุ์ กำลังอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์
2.ในแต่ละวันจะมีสัตว์และพืชถึง 100 ชนิดสูญพันธุ์ 3.สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 1,130 ชนิด จากกว่า 4,000 ชนิด ที่ค้นพบ และนก 1,183 ชนิด จาก 10,000 ชนิด กำลังอยู่ในสภาวะใกล้สูญพันธุ์ 4. สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ใกล้สูญพันธุ์มากถึง 520 ชนิด นกที่ใกล้สูญพันธุ์ และเกือบสูญพันธุ์ 503 ชนิด 5.สัตว์เลื้อยคลานที่ใกล้สูญพันธุ์มากถึง 70 ชนิด 6.สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่ใกล้สูญพันธุ์ 63 ชนิด 7.สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ 28% ของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำในแอฟริกา 632 ชนิด เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ 8.การล่าและการสูญเสียถิ่นที่อยู่ทำให้ประชากรช้างเอเชียเหลือเพียง 35,000 ตัวเท่านั้น 9.ปัจจุบันนี้มีเสือในป่าธรรมชาติเหลืออยู่เพียง 5,000 ตัวทั่วโลก 10.การล่าทำให้ช้าง เสือ ลิงขนาดใหญ่สูญพันธุ์ไปจากป่าภายใน 20-50 ปี โดยที่ลิงอุรังอุตังอาจจะสูญพันธุ์ได้ในอีก 5 ปีข้างหน้า 11.การล่าช้างในอุทยานแห่งชาติ การามบา ในประเทศคองโก ทำให้ประชากรช้างลดลงถึง 90% จาก 11,175 ตัว ใน พ.ศ.2528 เหลือ 1,543 ตัว ใน พ.ศ.2546 (มติชนรายวัน 7 ต.ค. 47 http://www.matichon.co.th)
ปี 48 ราชการต้องใส่ข้อมูลจัดซื้อ-จ้างบนเว็บ
น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีว่าการกระ ทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุม "การจัดซื้อจัดจ้างผ่านเว็บไซต์" ของ 20 กระทรวง ว่า วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2548 ทุกหน่วยงานในกระทรวงต่าง ๆ ที่จะจัดซื้อ-จัดจ้าง ต้องขึ้นมาโพสข้อมูลบนเว็บไซต์ www.gprocurement.go.th ตามนโยบายปราบปรามคอร์รัปชันของนายกรัฐมนตรี หากหน่วยงานใดไม่โพสข้อมูลบนเว็บไซต์ถือว่าผิดระเบียบพัสดุใหม่ของกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ซึ่งเปลี่ยนจากใช้แบบสมัครใจเป็นระเบียบที่มีมาตรการบังคับใช้แทน ส่วนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น อบต. อบจ. จะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทย ทั้งนี้ เว็บไซต์ดังกล่าวจะนำเสนอข้อมูล ต่าง ๆ ของหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์ การมหาชน ที่มีแผนจัดซื้อ-จัดจ้าง ประกอบด้วยข้อมูลผู้ยื่นซอง จำนวนผู้ยื่นซอง และหากเป็นนิติบุคคลสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ถือหุ้นและกรรมการ บริษัทได้ นอกจากนี้ทางกระทรวงไอซีทีจะช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลในระบบ เพราะอนาคตต้องมีการยื่นซองประกวดราคา และจัดประมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 8 ต.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)
กระทรวงเกษตรฯ เตรียมโชว์ศักยภาพ เป็นเจ้าภาพจัดประชุม GF-2 ระดับโลก
นายสมชาย ชาญณรงค์กุล รองผู้อำนวยการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนการประกาศนโยบายปีแห่งความปลอดภัยอาหารของประเทศไทย คณะรัฐมนตรีได้มีมติมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุม The Second FAO/WHO Global Forum of Food Safety Regulators (GF-2) โดยได้มอบหมายให้ มกอช. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบเรื่องการเตรียมการจัดประชุมระหว่างวันที่ 12-14 ตุลาคม 2547 ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ
ทั้งนี้คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมประชุมจากประเทศสมาชิกของ FAO และ WHO รวมทั้งองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ และองค์การอิสระต่าง ๆ ไม่ต่ำกว่า 500 คน โดยในการประชุมครั้งนี้มีประเด็นในการนำเสนอ 2 หัวข้อคือ 1.Strengthenins official safety food control services และ 2. Epidemio-surveillance of foodborne diseases and food safety rapid alert systems (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 8 ต.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)
กวีออสเตรียคว้าโนเบลวรรณกรรม
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานกรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ระบุว่า เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม มูลนิธิโนเบลในสวีเดนประกาศรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมประจำปี 2547 ได้แก่ นางเอลฟริด เจลิเน็ก นักเขียนและนักกวีวัย 57 ปี ชาวออสเตรีย สำหรับผลงานการใช้ภาษาที่เลื่อนไหลในวรรณกรรมและการแสดง อีกทั้งยังใช้ภาษาที่เผ็ดร้อนในการเปิดโปงความเหลวแหลกของสังคม ทำให้นางเจลิเน็กกลายเป็นผู้หญิงคนที่ 10 ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ตั้งแต่มีการมอบรางวัลเมื่อปี พ.ศ.2444 หรือเป็นคนแรกตั้งแต่ปี พ.ศ.2539 นางเจลิเน็กเป็นเจ้าของหนังสือ "เดอะ เปียโน ทีเชอร์" ซึ่งนำไปทำภาพยนตร์เมื่อปี 2544 นอกจากนี้ นางเจลิเน็กได้เขียนวรรณกรรมหลายเล่มเช่น "วี อาร์ ดี คอยส์ เบบี้" "วันเดอร์ฟูล วันเดอร์ฟูล ไทมส์" เป็นต้น ผลงานของเธอถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากหลังจากเข้าไปร่วมการเคลื่อนไหวของนักศึกษาที่ขยายไปทั่วยุโรปช่วงทศวรรษที่ 1970 พิธีมอบรางวัลจะมีขึ้นที่สวีเดนในวันที่ 10 ธันวาคม (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 8 ต.ค. 47 http://www.matichon.co.th)
KMUTT
Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215
|
|
|