|
หัวข้อข่าวปีที่ 5 ฉบับที่ 45 ประจำวันที่ 2004-11-08
ข่าวการศึกษา
"สมเด็จพระเทพฯ" ต้นแบบเด็กเรียนจีน ศธ.ตั้งศูนย์ไชนีสเซ็นเตอร์จัดร.ร.พี่-น้องแลกบุคลากร "จุฬาฯ" เปิดเชิงรุกดึงคนเก่งเรียน บัณฑิตศึกษาดูแลเรียนได้ทุกคน ศธ.ให้เด็กจนเข้าร.ร.ดังหวังเปิดโลกทัศน์ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม "วิทยาลัยในวัง" เผยแพร่วิถีชีวิตหญิงไทย ยื่นรอบ3ขึ้นเงินเดือนพนง.มหา"ลัย 'ศูนย์กลางการเรียนรู้ไอซีทีแห่งชาติ' นศ.นับหมื่นแห่สมัครเรียนธุรกิจการบิน ไฟเขียวยกเว้นภาษีวัสดุการศึกษาวิจัย 7 รายการ นายกฯ ลั่นต้องสร้างจีโนมวิชาการ ธรรมศาสตร์ทำตุ๊กตา"แอดมิชชั่นส์" เสนอ ทปอ. แฉอจ.ดึงนิสิตค้าน "ม.นอกระบบ" อธิการฯมบ.สัญญาไม่ขึ้นค่าเรียน
ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี
ดวงจันทร์ "ไทตัน" เป็นโลก "อันซีน" ดินแดนแปลกประหลาดพิสดาร เตือนภัยอินเตอร์เน็ตระดับสูงสุด หนอนตัวใหม่ระบาดไวทั่วโลก โรงไฟฟ้าใหม่ใช้พลังงานทดแทน ประจำการบินขับไล่ไอพ่นอภินิหาร ราคาลำละหนึ่งหมื่นล้านบาทเศษ ญี่ปุ่นใช้เทคโนฯ ทหารสอดส่องลูก ทัพเรือประยุกต์จากอุปกรณ์รักษาโรคดำน้ำลึก ชวนชมปรากฏการณ์ดาวคู่ก่อนฟ้าสางพฤหัสโคจรคู่ดาวศุกร์ นาโนเทคโนโยลีในการแพทย์ เอกชนรับถ่ายทอดเทคโนผลิตกรดมะนาว สวทช.จัดหามือโปรต่างชาติช่วยแก้ปัญหาตรงจุด "KMITNB AIS ROBOT CAMP 2004" สานฝันเด็กไทยสร้างหุ่นยนต์อัตโนมัติ
ข่าววิจัย/พัฒนา
พบเพรียงหัวหอมรักษามะเร็งเต้านม ไทยถนัดคิดค้นยาจากสมุนไพร พัฒนาสูตรผลิตยางโมเลกุลต่ำ คุณสมบัติเทียบยางสังเคราะห์นำเข้า ผ้าพันแผลติดชิพเบาแรงแพทย์ แจ้งผลรักษาไม่ต้องตรวจซ้ำ สหรัฐสร้างชิพทำงานแทนสมอง เล็ง 15 ปีติดตั้งทดสอบจริงในคน เกษตรผลิตเชื้อเพลิงดีเซลจากเมล็ดสบู่ดำ ทดสอบรถไถเดินตามผ่านฉลุย ยกระดับเป็นพืชน้ำมันใหม่ แผ่นผ้าฉลาดเตือนคนขี้ลืม ติดเซ็นเซอร์เช็คชื่อสิ่งของก่อนออกบ้าน คอนแทคเลนส์ใหม่รักษาต้อหิน สิงคโปร์อวดเจ๋งกว่ายาหยอด ดื่มนมเปรี้ยวไม่ทำให้เป็นนางแบบ แพทย์ย้ำกินแล้วอ้วนเพราะน้ำตาล นักวิจัยดัตช์ทำลำคอเทียมแทนนักชิม หมอ-วิศวกรคิดค้นนวัตกรรมการแพทย์ ช่วยศัลยแพทย์ระบุจุดลงมีดลึกในสมองได้แม่นยำ ม.สยามพัฒนาเครื่องซักผ้าใหม่ ส่งคลื่นขจัดคราบสกปรก ไม่ใช้ผงซักฟอก "เครื่องย่อยยาง"ฝีมือนักวิจัย ม.เกษตร หนุนพาณิชย์รักษาสิ่งแวดล้อม ช็อตด้วยไฟฟ้าพาลิ้นว่องไวขึ้นพูดจาได้คล่องแคล่วกว่าเดิม สหรัฐรอขายวัคซีนมะเร็งปากมดลูก เซเลนเนี่ยมไทยเปิดตัว 'เซลล์เชื้อเพลิงพืช' รัสเซียคิดวัคซีนชุบให้กลับหนุ่มสาวอาจทำขึ้นสำเร็จได้ในอีก 2-3 ปี โพลิเมอร์ชนิดใหม่เคลือบผิวกันรอยข่วน ชี้นาโนเทคโนโลยีเพิ่มมูลค่าสมุนไพรไทย รักษาความคงตัวของสารเคมี ซึมเข้าสู่เป้าหมายรวดเร็วแม่นยำ ประดิษฐ์เครื่องแปลภาษาพูดออกสดๆ พูดภาษาต่างประเทศได้ไม่ต้องเรียน เอไอทีวิจัย'คอนกรีตพลังช้าง'แห้งเร็วทันใจ ฝรั่งเศสโชว์นวัตกรรมบำบัดก๊าซ ป้อนผู้ผลิตเคมีไทย-ปลอดมลพิษ พพ.เสนอวิจัยเซลล์แสงอาทิตย์ครบวงจร ของบพันล้านทำอาร์แอนด์ดีตั้งแต่ต้นนำถึงปลายน้ำ
ข่าวทั่วไป
กทม.คิดสร้างสวนสัตว์น้ำใหญ่ที่สุดในประเทศ "ศิริราช" เจ๋งผ่ามะเร็งไม่ต้องตัดเต้า ทีมแพทย์เผยเป็นแห่งที่ 2 ในเอเชีย เร่งเปิดหลักสูตรเกาหลี กันแรงงานไทยถูกหลอก ถอนฟันในปากกระทบขึ้นถึงสมองถอน1ซี่ดูดความจำหายไปด้วย ออกกำลังแบบเรียนลัดเหนือกว่าเอาแต่นั่งๆ นอนๆ ไม่ทำอะไร หุ่นยนต์เพื่อนใหม่ของมนุษย์? ฉีดพ่นไร่นาสวนด้วยน้ำอัดลมเชื่อว่าควบคุมแมลงศัตรูพืชได้ กินยาแผนโบราณเข้าสเตียรอยด์อาจทำให้หัวใจเกิดหยุดเต้นได้ บุหรี่ส่งสารก่อมะเร็งถึงทารก แพทย์เตือนหญิงตั้งครรภ์งดสูบ
ข่าวการศึกษา
"สมเด็จพระเทพฯ" ต้นแบบเด็กเรียนจีน
การเสด็จฯ เยือนประเทศจีนของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อทรงศึกษาภาษาและวัฒนธรรมจีน ณ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ระหว่างวันที่ 14 ก.พ.-15 มี.ค. 2544 การศึกษาของพระองค์ไม่ได้มุ่งหวังเพียงความรู้ หากแต่ทรงแบ่งเวลาเรียนรู้วิถีชีวิตชาวจีนอย่างเข้าใจ แล้วถ่ายทอดในหนังสือพระราชนิพนธ์ "เมื่อข้าพเจ้าเป็นนักเรียนนอก" ไว้อย่างรอบด้าน สมเด็จพระเทพฯ ทรงเป็นพระราชวงศ์ชั้นสูงพระองค์แรกของโลกที่ไปศึกษา ณ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง และทรงได้รับการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่พิเศษมาก เนื่องจากมหาวิทยาลัยปักกิ่งไม่มอบปริญญาเอกกิตติมศักดิ์ให้ใครง่ายๆ แม้จะเป็นถึงระดับผู้นำประเทศก็ตาม พระวิริยะอุตสาหะของพระองค์สร้างความประทับใจให้กับชาวจีนอย่าง รศ.ดร.เริ่น อี สง อาจารย์คณะภาษาต่างประเทศ มหาวิทยาลัยปักกิ่งเป็นอย่างมาก เขาโชคดีที่มีโอกาสรับเสด็จในหลายๆ กิจกรรม เมื่อครั้งพระองค์เสด็จฯ ไปทรงศึกษาที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง จึงได้ถ่ายทอดความประทับใจไว้ในบทความพิเศษ "นามบัตรใบหนึ่ง" ในวารสารสองภาษารายเดือนฉบับเดือน เม.ย. 2547 ตอนหนึ่งว่า "...ในการศึกษาเล่าเรียนของสมเด็จพระเทพฯ เป็นที่ศรัทธาของผู้คนมานานแล้ว การเสด็จฯ ไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งในครั้งนี้ นับตั้งแต่อาจารย์ผู้สอนไปจนถึงผู้รับเสด็จทั้งหลาย ต่างมีโอกาสได้เห็นด้วยสายตาของตนว่า พระองค์ทรงรักและทะนุถนอมเวลาดั่งทองคำ ทรงมีความมุมานะและสุขุมเป็นพหูสูต สนพระทัยการเรียนอย่างแท้จริง เมื่อพระองค์เสด็จฯ ไปยังที่ใด จะทรงศึกษาสถานที่นั้นอย่างละเอียด..." สำหรับนักเรียนที่ต้องการไปศึกษาต่อประเทศจีน ปัจจุบันมีสถานศึกษารัฐบาลและเอกชน 100 แห่ง รองรับ เปิดรับเฉพาะในภาคเรียนแรกตั้งแต่เดือน ก.ย.-ม.ค. ค่าใช้จ่าย (รวมค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ต่อปี) เซี่ยงไฮ้ 595,800 บาท ปักกิ่ง 483,920 บาท ฮ่องกง 1,029,420 บาท เท่ากันทั้งปริญญาตรี-โท-เอก ดูรายละเอียดการขอวีซ่าได้ที่ www.travelchinaguide.com/embassy/thailand.htm หรือศูนย์แนะแนวการศึกษาต่อ สยามสแควร์ โทร.0-2252-9737-8 (คมชัดลึก จันทร์ที่ 1 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)
ศธ.ตั้งศูนย์ไชนีสเซ็นเตอร์จัดร.ร.พี่-น้องแลกบุคลากร
ดร.จรวยพร ธรณินทร์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่าตามที่ ศธ.ได้รับการประสานจาก Mdm. Mediua อธิบดีสำนักแห่งชาติเพื่อการสอนภาษาจีนเป็นภาษาต่างประเทศนั้น เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาถึงแนวทางในการดำเนินการ คือ การจัดตั้งศูนย์ไชนีสเซ็นเตอร์ โดยจะนำคณะทำงานไปดูงานที่ศูนย์ไชนีสเซ็นเตอร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย เพื่อใช้เป็นแนวทางตั้งศูนย์ไชนีสเซ็นเตอร์ ระดับกระทรวง นอกจากนี้ ยังจะมีโรงเรียนพี่โรงเรียนน้องที่แลกเปลี่ยนความรู้และบุคลากรกับทางประเทศจีน และแลกเปลี่ยนนักแสดงของทั้ง 2 ประเทศ โดยให้ดูความสนใจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงวัฒนธรรม หรือสถาบันอุดมศึกษา และการแลกเปลี่ยนเยาวชนไทย-จีน นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาว่าน่าจะมีการสนับสนุนมหาวิทยาลัย ที่รับนักศึกษาจากจีนเข้ามาเรียนในไทย เช่น มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) มีนักศึกษาจากจีนเข้ามาเรียนถึงปีละ 3,000 คน ทั้งนี้ จีนถือเป็นผู้นำด้านการศึกษาในภูมิภาคเอเชีย และยังเป็นแหล่งการค้า การลงทุนทางอุตสาหกรรม ดังนั้น การเรียนภาษาจีนจะช่วยพัฒนาสู่อาชีพต่อไป (คมชัดลึก จันทร์ที่ 1 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)
"จุฬาฯ" เปิดเชิงรุกดึงคนเก่งเรียน บัณฑิตศึกษาดูแลเรียนได้ทุกคน
ศ.ดร.สุชาดา กีระนันท์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จุฬาฯ มีหลักการที่จะดูแลนิสิตระดับปริญญาตรีทุกคน ที่เข้าศึกษาในจุฬาฯ ทุกคนที่มีปัญหาความเดือดร้อน เรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียน และความเป็นอยู่ให้สามารถเรียนจบได้ โดยถือเป็นสัญญาประชาคม ซึ่งจะมีทั้งทุนการศึกษาช่วยเหลือเป็นค่าเล่าเรียน และค่าธรรมเนียมการศึกษา รวมทั้งค่าใช้จ่ายรายเดือน วงเงินทุนๆ ละประมาณ 58,000-72,000 บาท ทุนช่วยเหลือค่าเล่าเรียน และค่าธรรมเนียมการศึกษาตามที่จ่ายจริง วงเงินทุนไม่เกินทุนละ 17,000-24,000 บาท ทุนช่วยเหลือค่าใช้จ่ายประจำเดือนๆ ละไม่เกิน 4,000 บาท รวมเป็นเงินทุนไม่เกินทุนละ 48,000 บาท เป็นทุนช่วยเหลือค่าใช้จ่ายบางส่วน วงเงินไม่เกิน 10,000 บาท นอกจากนี้ ทุนการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ให้มีทั้งระดับปริญญาโท และปริญญาเอก โดยเฉพาะจุฬาฯ อยากได้นิสิตบัณฑิตศึกษา ที่มีความสามารถเข้ามาเรียนมากขึ้น เพื่อจะพัฒนาให้เป็นมหาวิทยาลัยวิจัย ปรับกระบวนการรับทั้งปี หากเป็นผู้ที่มีความสามารถจะให้มาช่วยงานวิจัยกับอาจารย์ ก็ให้ผ่านกระบวนการคัดเลือกได้ โดยไม่ต้องผ่านระบบคัดเลือกประจำปี วิธีนี้จะทำให้ได้เด็กเก่งเข้ามาทั้งปี (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 2 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
ศธ.ให้เด็กจนเข้าร.ร.ดังหวังเปิดโลกทัศน์ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม
นายชินภัทร ภูมิรัตน รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้จัดโครงการทุนการศึกษาให้เด็กที่เรียนดีแต่ยากจน ซึ่งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลได้หมุนเวียนเข้ามาเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อในกทม. เช่น ร.ร.สวนกุหลาบ ร.ร.สตรีวิทยา ร.ร.บดินทรเดชา ตามนโยบายของนายอดิศัย โพธารามิก รมว.ศึกษาธิการ ที่ต้องการให้เด็กในชนบทได้เปิดโลกทัศน์และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างสังคมเมืองและสังคมชนบท โดย สพฐ. ได้มอบหมายให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ไปทำการคัดเลือกนักเรียนชั้น ม.1-ม.3 ที่มีคะแนนเฉลี่ย 3.0 ขึ้นไป มีรายได้ครอบครัวละไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี จาก 172 เขตพื้นที่การศึกษา ยกเว้น 3 เขตใน กทม. โดยรุ่นที่ 1 จะคัดเลือกนักเรียนเขตละ 3 คน รวมทั้งหมด 516 คน และรุ่นที่ 2 จะคัดเลือกเขตละ 6 คน รวมทั้งหมด 1,032 คน และให้หมุนเวียนเข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดังใน กทม. เป็นเวลา 1 ภาคเรียน นักเรียนที่ผ่านการคัดเลือกในรุ่นแรกจะเริ่มเข้าเรียนในภาคเรียนที่ 2/2547 และรุ่นที่ 2 ในภาคเรียนที่ 1/2548 นอกจากนี้ยังได้รับทุนคนละ 15,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว และจ่ายให้กับสถานศึกษาที่เป็นเจ้าภาพอีกหัวละ 10,000 บาท เพื่อนำไปจัดหาที่พัก ชุดนักเรียน อาหาร และกิจกรรมอื่นๆ โดยให้สพท. แต่ละแห่งเป็นผู้รับผิดชอบในการเทียบโอนผลการเรียนเมื่อนักเรียนกลับไปเรียนยังโรงเรียนของตนเอง โครงการนี้จะทำให้เด็กกระตือรือร้นในการพัฒนาตัวเองและนำประสบการณ์ที่ได้ไปเผยแพร่ อีกทั้งครู ผู้บริหารใน กทม.จะได้รับทราบปัญหาของเด็กในชนบทยิ่งขึ้นด้วย คาดว่ากลางเดือน พ.ย.จะเปิดปฐมนิเทศในรุ่นแรกได้ และจัดระบบบัดดี้ให้เด็กได้สร้างความคุ้นเคยกันเพื่อจะได้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ทั้งนี้โครงการดังกล่าวคาดว่าจะใช้งบประมาณ 45 ล้านบาท (คมชัดลึก อังคารที่ 2 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)
"วิทยาลัยในวัง" เผยแพร่วิถีชีวิตหญิงไทย
ม.ร.ว.ภิญโญสวัสดิ์ สุขสวัสดิ์ ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนกาญจนภิเษก (วิทยาลัยในวัง) เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2548 สำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน อนุมัติให้ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนกาญจนาภิเษก ฝึกอบรมวิชาชีพช่างสิบหมู่เพื่อการมีงานทำ ตามแนวพระราชดำริในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประกอบด้วยหลักสูตรระยะยาว 8 เดือน เช่น งานหัวโขน งานประดับมุก จิตรกรรมไทย และบุดุนโลหะ พร้อมทั้งหลักสูตรวิถีชีวิตของหญิงไทยในอดีต ระยะสั้น 4 เดือน เช่น อาหารว่าง ดอกไม้ ใบตอง แกะสลักผลไม้ เครื่องหอม เครื่องแขวนไทย ฯลฯ พร้อมทั้งเปิดอบรมหลักสูตรแม่ครัวไทย เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการปรุงอาหารไทย การตกแต่งภาชนะพร้อมเสิร์ฟ ติดต่อได้ที่ ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนกาญจนาภิเษก (วิทยาลัยในวัง) โทร. 0-2431-3623 หรือ www.nfe.go.th (คมชัดลึก พุธที่ 3 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)
ยื่นรอบ3ขึ้นเงินเดือนพนง.มหา"ลัย
ผศ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนาและบริหารทรัพย์สิน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวถึงความคืบหน้าถึงการทำหนังสือไปถึงสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) ว่าด้วยเรื่องการปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานมหาวิทยาลัย ซึ่งที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ให้ตนเป็นตัวแทนร่างหนังสือดังกล่าว โดยมีศ.น.พ.อดุลย์ วิริยเวชกุล อธิการมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทยเป็นคนลงนาม หนังสือฉบับนี้เป็นฉบับที่ 3 ถือเป็นฉบับล่าสุดที่เรายืนไปที่สกอ. โดยส่งเรื่องไปเมื่อวันที่ 18 ต.ค. โดยได้ประมวลคำขอและเหตุผลความจำเป็นในการขอปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานมหาวิทยาลัยอย่างละเอียด แต่เรื่องทั้งหมดก็ยังเงียบ คาดว่าสกอ.คงใช้หลักคิดเดิมของตัวเองที่ต้องการให้มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งจัดการเพิ่มเงินเดือนให้พนักงานมหาวิทยาลัยโดยใช้งบประมาณมหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตามสิ่งที่เราได้ดำเนินการยื่นหนังสือไปให้สกอ.นั้นไม่ได้ทำเพื่อสถาบันใดสถาบันหนึ่ง แต่เราทำเพื่อสถาบันอุดมศึกษาของรัฐทุกแห่ง ในส่วนของมศว นั้นได้แจ้งให้คณะกรรมการบริหารพนักงานมหาวิทยาลัยทราบแล้วและได้ประสานไปยังประธานสภาคณาจารย์รับทราบ ส่วนจะมีการเคลื่อนไหวอย่างไรนั้นคงต้องรอดูอีกครั้ง (มติชนรายวัน พุธที่ 3 พ.ย. 47 http://www.matichon.co.th)
'ศูนย์กลางการเรียนรู้ไอซีทีแห่งชาติ'
กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือไอซีที มอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (ซิป้า) จัดตั้งศูนย์กลางการเรียนรู้ไอซีทีแห่งชาติหรือ ICT Learning Center บนเนื้อที่ 3,000 ตารางเมตร ชั้น 6 ของศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ พลาซ่า เพื่อดึงดูดเป้าหมายอย่างเยาวชน วัยรุ่นที่คุ้นเคยกับการไปห้างสรรพสินค้า เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ทันสมัย และครบวงจรโดยใช้ไอซีทีเป็นกลไกสำคัญในการสร้างสรรค์บรรยากาศการเรียนรู้ให้น่าสนใจ และสนุกสนาน เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลชุดนี้ที่วางเป้าพัฒนาสังคมไทยโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนให้ก้าวไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้หรือ Knowledge Bases Society สำหรับความทันสมัยและสะดวกสบายซึ่งเป็นแนวคิดหลักของศูนย์แห่งนี้พบเห็นได้ตั้งแต่การตกแต่งบรรยากาศที่สวยงาม ส่วนการเข้าถึงก็ใช้สมาร์ทการ์ดในการให้บริการตั้งแต่สมัครสมาชิกจนถึงการใช้บริการในโซนต่าง ๆ ซึ่งอยู่ภายใต้แนวคิด 4e คือ e-Technology โซนแห่งการนำเสนอเทคโน โลยีใหม่ นวัตกรรมต้นแบบจากผู้ผลิตด้านไอซีที ส่วนที่ 2 คือ e-Expo ให้บริการด้านความ บันเทิง มีการแสดงผลงานด้านไอซีทีของเยาวชน ส่วนที่ 3 คือ e-Training ให้บริการด้านการเรียนการสอนและจัดอบรมด้านไอทีและส่วนที่ 4 คือ e-Content ซึ่งรวบรวมเนื้อหาความรู้ต่าง ๆ ด้านธุรกิจไอที แบ่งเป็นห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ให้ผู้สนใจอ่านหนังสือหายากได้ฟรีและมุมอีเลิร์นนิ่งที่มีคอมพิวเตอร์กว่า 30 เครื่องสำหรับการศึกษาแบบออนไลน์ แหล่งเรียนรู้รูปแบบใหม่นี้เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 10.00-21.00 น. (เดลินิวส์ พุธที่ 3 พ.ย. 47 http://www.dailynews.co.th)
นศ.นับหมื่นแห่สมัครเรียนธุรกิจการบิน
นายสุรพล ศิริเศรษฐ หัวหน้าศูนย์หัวหิน มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่าจากการร่วมกับสถาบันการบินพลเรือนเปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรี สาขาธุรกิจการบิน มาเกือบ 3 ปี มีนักศึกษาให้ความสนใจมากขึ้น สำหรับในปีการศึกษา 2548 จะเปิดรับสมัครนักศึกษาใหม่ทั้งประเทศ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 18 มีนาคม 2548 โดยเน้นวิชาภาษาอังกฤษมากเป็นพิเศษ และจะคัดเฉพาะนักศึกษาที่มีความรู้ความสามารถด้านนี้เป็นหลัก รวมทั้งมีส่วนสูงตามที่กำหนด การสอบแต่ละภาคจะเลือกสอบตามจังหวัดใหญ่ๆ ที่มีสนามบิน ส่วนการเรียนการสอนจะอยู่ที่ศูนย์หัวหินทั้งหมด เพราะมีเพียงแห่งเดียวและแห่งแรกในประเทศไทย สำหรับนักศึกษาที่เรียนจบหลักสูตรจะมีงานทำทันที เพราะในอนาคตงานด้านธุรกิจการบินจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว หลังจากสนามบินสุวรรณภูมิเปิดใช้อย่างเป็นทางการ แต่ปัจจุบันยังขาดแคลนบุคลากรด้านนี้จำนวนมาก (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 4 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
ไฟเขียวยกเว้นภาษีวัสดุการศึกษาวิจัย 7 รายการ
นางจรวยพร ธรณินทร์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณายกเว้นอากรนำเข้าวัสดุการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ กล่าวว่า คณะกรรมการยกเว้นและลดอัตราอาการนำเข้าสำหรับวัสดุเพื่อการศึกษาและการวิจัย ประชุมพิจารณาเรื่องที่หน่วยงานต่างๆ ได้มีการร้องขอยกเว้นภาษี เนื่องจากระเบียบส่วนที่ใช้กับการศึกษายังไม่ยกเว้นเครื่องดนตรี อุปกรณ์กีฬา และอุปกรณ์เสริมทักษะ เพราะไม่อยู่ในหลักการสากล ดังนั้น กรมศุลกากร จึงได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 29 ก.ย.มีผลบังคับใช้แล้ว สำหรับประกาศกรมศุลกากรที่ออกมานั้น เป็นไปตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ขอให้มียกเว้นภาษีอากรนำเข้าวัสดุเพื่อการศึกษาและวิจัยรวมทั้งสิ้น 7 รายการ ได้แก่ 1.หนังสือพิมพ์ สิ่งพิมพ์และเอกสาร 2.ศิลปวัตถุและสิ่งที่นักสะสม 3.โสตทัศนูปกรณ์ทางการศึกษา วิทยาศาสตร์ หรือวัฒนธรรม 4.วัสดุและเครื่องมือ หรือเครื่องใช้วิทยาศาสตร์ 5.สิ่งของสำหรับคนพิการ 6.เครื่องดนตรี อุปกรณ์กีฬาและอุปกรณ์เสริมทักษะ 7.อุปกรณ์การศึกษาด้านศิลปะ และสถาปัตยกรรมศาสตร์ ทั้งนี้ เดิมคณะกรรมการทำตามกติกาสากล ซึ่งอุปกรณ์กีฬากับดนตรีไม่ได้ถูกยกเว้น แต่ในไทยได้เรียกร้องกันมาหลายปี และกรมศุลกากรออกระเบียบรองรับ แต่ต้องมีคณะกรรมการพิจารณา จึงเห็นว่า คณะกรรมการพิจารณายกเว้นอากรนำเข้าวัสดุการศึกษา พิจารณาเรื่องนี้อยู่แล้ว ควรจะทำหน้าที่พิจารณายกเว้นอากรนำเข้าอุปกรณ์กีฬาและดนตรีด้วย จึงขอเชิญชวนให้หน่วยงานรัฐและเอกชนยื่นคำขอยกเว้นอากรนำเข้าอุปกรณ์กีฬาและดนตรีมายังคณะกรรมการ คำขอยกเว้นอาการนำเข้าวัสดุการศึกษาและวิทยาศาสตร์ของหน่วยงานรัฐและสถาบันอุดมศึกษาทั้งหมด 9 แห่ง ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล รวมทั้งสิ้น 41 คำขอ เป็นมูลค่า 196,274,518 บาท ทางคณะกรรมการพิจารณาอนุมัติ 39 คำขอ เป็นมูลค่า 193,764,504 บาท (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 5 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
นายกฯ ลั่นต้องสร้างจีโนมวิชาการ
เมื่อวันที่ 3 พ.ย. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง "คลังสมองกับการพัฒนาประเทศทางด้านสังคม" ในการสัมมนาเชิงปฏิบัติการนักวิชาการเพื่อการพัฒนาประเทศ ครั้งที่ 2 โดยมีนักวิชาการสาขาสังคมศาสตร์ จากทั่วประเทศกว่า 1,000 คน เข้ารับฟัง ว่าปัจจุบันความรู้ด้านเทคโนโลยีและวิชาการสาขาต่างๆ ไม่มีเส้นแบ่งเขต แต่เป็นลักษณะการนำความรู้ต่างสาขามาศึกษาร่วมกัน ทำให้เกิดความรู้ใหม่ๆ ส่งผลให้ประเทศมีอำนาจต่อรองในสังคมโลกค่อนข้างสูง ขณะที่ประเทศไทยการทำงานของนักวิชาการยังเป็นรูปแบบเดิม ไม่มีการร่วมกันคิดเพื่อสร้างความรู้ใหม่ ทำให้เสียเปรียบประเทศอื่น ดังนั้น นักวิชาการต้องสร้างจีโนมทางวิชาการ คือ รวมกลุ่มนักวิชาการหลากหลายสาขาเพื่อช่วยกันคิดสร้างองค์ความรู้ใหม่ และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม และเพิ่มศักยภาพในการต่อรองกับประเทศอื่นในสังคมโลกด้วย นายกฯ ได้มอบนโยบายแก่คณะอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) ทั่วประเทศ ว่าขอให้ มรภ.เป็นตัวเชื่อมต่อให้ความรู้ทางวิชาการแก่ประชาชน และเรียนรู้รากเหง้าวัฒนธรรม รักษาของดีในมือ ทั้งภูมิปัญญาท้องถิ่น วัฒนธรรมท้องถิ่นไว้ สำหรับการผลิตนักศึกษา มรภ.มีความแตกต่างกับมหาวิทยาลัย จึงไม่จำเป็นต้องสุดโต่งด้านคุณภาพหรือปริมาณ แต่สิ่งสำคัญคือเป็นสถาบันการศึกษาที่ให้ความรู้กับประชาชนในภูมิภาคทุกระดับ ไม่จำเป็นต้องผลักดันให้จบด้วยผลการเรียนระดับสูง แค่ผ่านตามเกณฑ์ก็เพียงพอ ให้นักศึกษามีพื้นฐานการศึกษาที่จะพัฒนาตัวเองได้ในอนาคต ส่วน มรภ.ขนาดใหญ่ 25 แห่ง นักศึกษามากกว่า 10,000 คน ต้องมีศักยภาพเทียบเท่ากับมหาวิทยาลัย ส่วนอีก 16 แห่งที่เป็นขนาดกลางและขนาดเล็ก ควรหาจุดเด่นของสถาบัน ทั้งปรับการบริการการศึกษาเป็นเชิงรุกอย่างทั่วถึง (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 5 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)
ธรรมศาสตร์ทำตุ๊กตา"แอดมิชชั่นส์" เสนอ ทปอ.
ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ รักษาการอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยภายหลังประชุมสภาคณบดีคณะต่างๆ เพื่อหาข้อสรุปการจัดทำเกณฑ์การดำเนินการใช้ระบบกลางการรับนักศึกษา หรือแอดมิชชั่นส์ ปีการศึกษา 2549 ว่า ข้อสรุปเบื้องต้นในแนวทางของ มธ.จะใช้องค์ประกอบค่าคะแนนเฉลี่ยสะสม ม.ปลาย (จีพีเอ)และค่าตำแหน่งลำดับที่ (พีอาร์) ร้อยละ 25 ใช้คะแนนสอบวัดความรู้ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ร้อยละ 25 ซึ่งจะมาจากการจัดสอบของสถาบันทดสอบทางการศึกษา ดังนั้นสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ควรรีบจัดตั้งหน่วยงานดังกล่าวโดยเร็ว แต่หากจัดตั้งไม่ทันคะแนนส่วนนี้อาจให้ สกอ.เป็นผู้จัดสอบแทน ส่วนอีกร้อยละ 50 จะให้แต่ละคณะวิชาพิจารณาคุณสมบัติผู้สมัครตามความจำเป็น และจัดสอบได้ไม่เกิน 3 วิชา ทั้งนี้ได้มอบหมายให้คณะวิชาต่างๆไปหารือเพื่อได้ข้อยุติเบื้องต้นภายในเวลา 4 สัปดาห์ จากนั้นตนจะเสนอรายละเอียดต่อที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) "มธ.เร่งทำเรื่องนี้เป็นตุ๊กตาเสนอ ทปอ. ต่อไปการหารือใน ทปอ. ก็จะเป็นแบบมีตุ๊กตาเทียบเคียงไม่ใช่เป็นคุยแบบแอดมิชชั่นส์ฟอรั่มกันตลอด ผมอยากให้คณะเดียวกันของแต่ละมหาวิทยาลัยมีเกณฑ์เดียวกัน เช่น แพทยศาสตร์ นิติศาสตร์ เพื่อวางระบบร่วมกัน ลดภาระเด็กที่ต้องวิ่งลอกสอบหลายสถาบัน แอดมิชชั่นส์เป็นแบบนี้ไม่ใช่ต่างคนต่างรับ ดังนั้นการรับตรงของมหาวิทยาลัยกับแอดมิชชั่นส์ไม่เหมือนกันครับ" ศ.ดร.สุรพล กล่าว (คมชัดลึก เสาร์ที่ 6 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)
แฉอจ.ดึงนิสิตค้าน "ม.นอกระบบ" อธิการฯมบ.สัญญาไม่ขึ้นค่าเรียน
เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน นายสุชาติ อุปถัมภ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยบูรพา (มบ.) ให้สัมภาษณ์กรณีมีกลุ่มนิสิต มบ.เคลื่อนไหวเพื่อถวายฎีกาคัดค้านร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับรัฐบาล โดยอ้างไม่มีหลักประกันด้านการศึกษา และค่าเล่าเรียนจะสูงขึ้นว่า เรื่องนี้ตนได้ชี้แจงนิสิตแล้วว่า ขณะนี้เลยกระบวนการไม่ให้มหาวิทยาลัยเปลี่ยนสถานภาพแล้ว อีกทั้งร่าง พ.ร.บ.มบ.ก็อยู่ในขั้นการพิจารณาของวุฒิสภาแล้ว ส่วนประเด็นการขึ้นค่าเล่าเรียนนั้น ได้ชี้แจงว่าเป็นคนละเรื่อง เพราะแม้เป็นมหาวิทยาลัยรัฐก็ขึ้นค่าเล่าเรียนได้ แต่อย่างไรก็ตาม ตนยืนยันว่าจะไม่ขึ้นค่าเล่าเรียน ซึ่งนิสิตได้ขอคำสัญญา ตนก็สัญญาแล้ว ส่วนที่มีกลุ่มนิสิตเคลื่อนไหวไปยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ประธานวุฒิสภา หรือแม้แต่จะถวายฎีกา ตนก็ไม่ได้ว่าอะไร "ความจริงปัญหาการคัดค้านมหาวิทยาลัยนอกระบบราชการใน มบ.นั้น มีเรื่องอื่นแอบแฝงอยู่ โดยมีอาจารย์บางกลุ่มใน มบ.อยู่เบื้องหลัง และต้องการเบี่ยงเบนประเด็น จึงเอาประเด็นเรื่องคัดค้านมหาวิทยาลัยนอกระบบมาบังหน้า และได้บิดเบือนว่าค่าเล่าเรียนจะสูงขึ้น ซึ่งผมจะดูแลเรื่องนี้เพื่อให้เกิดความเรียบร้อย" นายสุชาติกล่าว ด้านนายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) กล่าวว่า กรณีมีนักศึกษาจะถวายฎีกาก็ทำได้ แต่ต้องดูความบังควรหรือไม่ โดยต้องหาข้อมูลให้ถ่องแท้ก่อน เพราะขณะนี้มีการบิดเบือน ทั้งที่เรื่องนี้เป็นเพียงการเปลี่ยนระบบบริหารให้คล่องตัวขึ้นเท่านั้น จึงอยากให้ผู้เกี่ยวข้องได้ใช้วิจารณญาณให้ถูกต้อง (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 6 พ.ย. 47 http://www.matichon.co.th)
ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี
ดวงจันทร์ "ไทตัน" เป็นโลก "อันซีน" ดินแดนแปลกประหลาดพิสดาร
นักวิทยาศาสตร์โจนาธาน ลูไนน์ ผู้รับผิดชอบภาพถ่ายของยานอวกาศ "แคสซินี่" กล่าวเปิดเผยหลังจากการตรวจวิเคราะห์ว่า "สภาพของไทตันนับว่าเป็นโลกที่ยังปรวนแปรและยังไม่ถึงกับตายซาก ไม่ว่าตามพื้นผิวหรือในบรรยากาศ ยังสังเกตเห็นมีความเคลื่อนไหวอยู่ในบรรยากาศ อาจจะเป็นกระแสลม และวัตถุที่ปลิวไปตามลมอยู่นอกจากนั้น ยังสังเกตเห็นมีหมู่เมฆ แถบใกล้ๆกับขั้วใต้ ซึ่งคาดว่าอาจจะเป็นก๊าซมีเทน แต่ละอองของมันมีขนาดโตกว่าที่จะเป็นก๊าซมีเทน นักวิทยาศาสตร์ซึ่งตรวจสอบภาพถ่ายของดวงจันทร์ไทตันมา 2 วันแล้ว ได้กล่าวสรุปสภาพของไทตันว่า ดวงจันทร์ยักษ์ดวงนี้เป็นโลกที่ประกอบด้วยส่วนต่างๆหลายอย่างหลายประการ เป็นโลกที่แปลกประหลาด ภูมิประเทศก็มีหลายแบบหลายลักษณะ เต็มไปด้วยช่องแคบ สันเขา และแนวทางพาดผ่านเต็มไปหมด แต่ที่น่าแปลกอีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่เห็นร่องรอยสิ่งที่อาจจะเป็นหลุมบ่อยักษ์อยู่เลย. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 1 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)
เตือนภัยอินเตอร์เน็ตระดับสูงสุด หนอนตัวใหม่ระบาดไวทั่วโลก
บริษัทซอฟต์แวร์แพนด้าในรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯออกประกาศเตือนภัยระดับสูงสุดว่า หนอนคอมพิวเตอร์ตัวใหม่ที่ชื่อ "แบเกิล" กำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วกับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั่วโลก เพราะภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงที่ปรากฏตัว มันมีระดับความร้ายกาจถึงครึ่งหนึ่งของไวรัส ที่ตรวจพบบ่อยๆแล้ว ด้านแมสเซจแลปส์ บริษัทด้านความปลอดภัย ทางคอมพิวเตอร์อีกแห่งหนึ่งแจ้งว่า ได้สกัดอีเมล์เกือบ 900,000 ฉบับ ที่หนอนแบเกิลคัดลอกมา อีเมล์เหล่านี้ปลอมแปลงที่อยู่โดยหลอกล่อให้ดูเหมือนมาจากเพื่อน คนรู้จัก หรือสมาชิกในครอบครัว หัวเรื่องจดหมายของอีเมล์จะขึ้นต้นด้วยคำทักทายประเภทคำว่า "Hello" "Thank you" และ "Thanks" โดยจะมีไฟล์แนบมาในชื่อ "Price" หรือ "Joke" เมื่อผู้ใช้คอมพิวเตอร์เปิดไฟล์พวกนี้ หนอนแบเกิลก็จะแพร่กระจายทันที ส่วนโซฟอส บริษัทซอฟต์แวร์เตือนผู้ที่มีคอมพิวเตอร์ให้ป้องกันหนอนอินเตอร์เน็ตแบเกิล เพราะมันจะทำให้กล่องรับอีเมล์เต็มง่ายๆ และอาจชะลอความเร็วในการเข้าอินเตอร์เน็ตให้ช้ามากหากระบาดถึงขั้นรุนแรง (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 1 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)
โรงไฟฟ้าใหม่ใช้พลังงานทดแทน
รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ปี 48 จะเสนอให้กระทรวงฯ ปรับข้อกำหนดที่ว่าด้วย โรงไฟฟ้าที่สร้างขึ้นใหม่ต้องผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทน 5% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด หรือ อาร์พีเอสนั้น จะกำหนดให้เป็นพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ โซลาร์เซลในสัดส่วน 50% ของอาร์พีเอส ทั้งนี้จะนำเสนอต่อคณะกรรมการบริหารพลังงานแห่งชาติ(กพ.) ต่อไป ล่าสุดกระทรวงพลังงานกำลังวิจัยปรับปรุงแผงโซลาร์เซลเพื่อให้คนไทยได้ใช้ในราคาถูกลง โดยตั้งเป้าให้ราคาอยู่ที่ 80 บาทต่อวัตต์เท่านั้น "ปัจจุบันราคาแผงโซลาร์เซลจะอยู่ที่ 200 บาทต่อวัตต์ แต่อาจทำให้ราคาถูกลงได้ในราคา 140 บาทต่อวัตต์เท่านั้น เนื่องจากเซลล์แสงอาทิตย์มีราคาแพงเพราะต้องสั่งนำเข้าจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม กระทรวงพลังงานจะทำวิจัยแผงโซลาร์เซลล์เพื่อลดต้นทุนให้ถูกลงกว่านี้ โดยไม่ต้องให้ตลาดโลกปรับราคาลงมา" นายไกรสีห์ กรรณสูต ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า การกำหนดให้โรงไฟฟ้าการผลิตไฟด้วยโซลาร์เซลนั้น เป็นแนวความคิดของกระทรวงพลังงานเอง ที่เล็งเห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีแดดจัดและสม่ำเสมอโดยเฉพาะในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย. แต่ในปัจจุบันราคาแผงโซลาร์เซลในปัจจุบันมีราคาแพงมาก และมีปัญหาสำคัญคือพื้นที่ในการติดตั้ง ทั้งนี้ หากต้องปรับแผนพลังงานทดแทน หรือ อาร์พีเอส ให้ใช้โซลาร์เซล 50% ของพลังงานทดแทน 5% จะต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 1 พ.ย. 47 http://www.dailynews.co.th)
ประจำการบินขับไล่ไอพ่นอภินิหาร ราคาลำละหนึ่งหมื่นล้านบาทเศษ
สหรัฐฯนำเครื่องบินขับไล่อภินิหารแบบใหม่ ซึ่งมีราคาแพงที่สุดในโลก ตกถึงลำละ 10,920 ล้านบาท หลังจากใช้เวลาสร้างนานถึง 20 กว่าปี เข้าประจำการในกองทัพอากาศเป็นฝูงแรก กองทัพอากาศอเมริกา กล่าวว่า เครื่องบินขับไล่แบบเอฟ/เอ-22 ที่มีสมญา-นามว่า "สัตว์ปีกที่ดุร้าย" นับเป็นบทใหม่ของแสนยานุภาพทางฟ้า เป็นเครื่องบินรบที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าที่สุด มีหูตาทิพย์ล่วงรู้ความเคลื่อนไหวของข้าศึกได้หมด บินได้อย่างเหมือนกับล่องหน ด้วยความเร็ว 1,600 กม.ต่อชั่วโมง โดยเรดาร์ไม่อาจจับได้ พร้อมกับถล่มข้าศึกด้วยลูกระเบิดแสนรู้ที่แม่นเหมือนจับวาง ทัพฟ้าสหรัฐฯวางแผนคิดสร้างเครื่องบินนี้มาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น เมื่อ 23 ปีมาแล้ว เพื่อจะให้มันสามารถบินเล็ดลอดฝ่าม่านเรดาร์ของรัสเซียเข้าไปโดยไม่ให้ถูกจับได้ เพื่อเข้าไปชิงโจมตีทำลายล้างฝูงเครื่องบินรบไอพ่นของรัสเซีย หากว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 เกิดระเบิดขึ้น (ไทยรัฐ อังคารที่ 2 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)
ญี่ปุ่นใช้เทคโนฯ ทหารสอดส่องลูก
พ่อแม่ชาวญี่ปุ่นได้รับการกระตุ้นให้ใส่ใจในเรื่องของการเฝ้าติดตามตัวลูกๆ โดยได้รับการแนะนำให้นำเทคโนโลยีของทหารมาติดตั้งเอาไว้ที่กระเป๋านักเรียนของเด็ก เพื่อที่จะได้ทราบสถานที่อยู่ของบุตรหลานตลอดเวลา คาดว่าจะมีการนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้กับเด็กทั่วประเทศ เพื่อการรักษาความปลอดภัย โดยกระเป๋านักเรียนจะติดตั้งอุปกรณ์ช่วยค้นหา (จีพีเอส) หรือโกบอล โพสิชั่นนิ่ง ซิสเต็ม ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเพื่อการค้นหาและระบุตำแหน่งผ่านดาวเทียม ที่กองทัพใช้เฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวของทหาร ซึ่งเมื่อนำมาปรับใช้เพื่อความปลอดภัยของเด็กนั้น จะทำให้พ่อแม่สามารถโทรเข้าไปที่ศูนย์ หรือล็อกออนเข้าไปในหน้าเอกสารบนอินเทอร์เน็ต เพื่อที่จะเช็คตำแหน่งที่อยู่ของลูกได้ ขณะนี้อุปกรณ์เพื่อการติดตามตัวเด็กนั้น ได้วางจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าแล้ว ราคาอยู่ที่ 33,000 เยน หรือ 310 ดอลลาร์สหรัฐ (12,400 บาท) ซึ่งไม่เพียงแต่จะติดกับกระเป๋านักเรียนเท่านั้น และมีขนาดเล็กเพียงพอที่จะใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อหรือกระเป๋ากางเกงของเด็ก ในกรณีที่เด็กวางกระเป๋านักเรียนไว้ไกลตัว (คมชัดลึก พุธที่ 3 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)
ทัพเรือประยุกต์จากอุปกรณ์รักษาโรคดำน้ำลึก
กรมแพทย์ทหารเรือใช้ "แคปซูลปรับบรรยากาศ" สำหรับรักษาอาการผิดปกติจากการดำน้ำลึก มาประยุกต์ใช้รักษาเสริมโรคมาลาเรีย แผลเรื้อรังจากเบาหวาน ระบุออกซิเจนบริสุทธิ์จากแคปซูลช่วยกระตุ้นระบบซ่อมแซมของร่างกาย ทำให้ร่นเวลารักษาให้สั้นลง ลดภาวะติดเชื้อแทรกซ้อน ร.ท.รุ่งหิรัญ สะอาดโอด เจ้าหน้าเวชศาสตร์การบิน กองเวชศาสตร์ใต้น้ำและการบิน กรมแพทย์ทหารเรือ เปิดเผยว่า กรมแพทย์ทหารเรือประยุกต์ใช้ประโยชน์ "ห้อง/แคปซูลปรับบรรยากาศความดันสูง" สำหรับรักษาเสริมผู้ป่วยมาลาเรีย ลดการติดเชื้อทางสมองในกรณีที่เชื้อมาลาเรียขึ้นสู่สมอง ผู้ป่วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน อาการกล้ามเนื้อฉีกขาดในระยะเริ่มต้น รวมถึงผู้ป่วยแผลเรื้อรังจากภาวะเบาหวานและโรคอื่นๆ สำหรับหน้าตาของห้อง/แคปซูลปรับบรรยากาศดังกล่าว ซึ่งสั่งซื้อจากต่างประเทศในราคาประมาณ 3 ล้านบาท จะเป็นทรงกลมรีคล้ายแคปซูล ภายในประกอบด้วยออกซิเจนความกดบรรยากาศสูงหรือออกซิเจนบริสุทธิ์ ที่ช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในกระแสเลือดได้มากกว่าวิธีหายใจแบบปกติหลายเท่า โดยแพทย์ด้านอายุรกรรมและศัลยกรรมใช้ออกซิเจนบริสุทธิ์นี้เป็นการรักษาเสริมจากการรักษาทั่วไป ส่วนการนำมาประยุกต์ใช้รักษาผู้ป่วยมาลาเรีย เนื่องจากได้รับเชื้อพลาสโมเดียม ซึ่งเป็นแบคทีเรียก่อโรคชนิดหนึ่ง ออกซิเจนบริสุทธิ์จะทำปฏิกิริยากับเชื้อดังกล่าว ทำให้เชื้อโรคนั้นเสื่อมสภาพและตายเร็วขึ้น ดังนั้น การรักษาผู้ป่วยมาลาเรียในห้องปรับความดันบรรยากาศ จึงเป็นส่วนเสริมจากการรักษาด้วยยาตามปกติ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดภาวะติดเชื้อทางสมอง ยังร่นระยะเวลารักษาให้สั้นลง แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับปริมาณเชื้อที่เข้าสู่ร่างกายด้วย (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 4 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net
ชวนชมปรากฏการณ์ดาวคู่ก่อนฟ้าสางพฤหัสโคจรคู่ดาวศุกร์
นักดาราศาสตร์ชวนคนไทยดูปรากฏการณ์ดาวศุกร์และดาวพฤหัสโคจรเข้าใกล้กัน เผยความพิเศษอยู่ตรงดาวสองดวงมีความสว่างที่สุดบนท้องฟ้า สามารถมองเห็นความงามได้ด้วยตาเปล่า เพียงแต่ต้องตื่นให้ทันก่อนฟ้าสาง นายกระจ่าง ธรรมวีระพงษ์ หัวหน้าฝ่ายท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ เปิดเผยว่า ปรากฏการณ์ดาวศุกร์และดาวพฤหัสโคจรมาอยู่ในตำแหน่งใกล้กันนั้น สามารถมองเห็นได้ทั่วโลก และถือเป็นปรากฏการณ์ปกติที่เกิดขึ้นประจำทุกปี ขณะที่ช่วงเวลาอื่นดาวทั้งสองดวง ซึ่งมองเห็นได้ตลอดทั้งปี เพียงแต่ไม่ได้มาอยู่ในตำแหน่งใกล้กันเหมือนในช่วงนี้ สำหรับปรากฏการณ์ดาวคู่จะมองเห็นได้ทางทิศตะวันออก เวลาประมาณ 04.30-05.00 น. หรือก่อนฟ้าสาง ระยะที่ดาวสองดวงจะอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้กันที่สุดนั้น จะอยู่ในช่วงวันที่ 1-10 พ.ย.นี้ โดยวันที่ 5 พ.ย.จะมองเห็นดาวทั้งสองขึ้นพร้อมกัน และหลังวันที่ 5 ไปแล้ว ดาวพฤหัสจะขึ้นก่อนดาวศุกร์ แต่พอถึงช่วงปลายเดือนระยะห่างของดาวสองดวงจะห่างกันมากอย่างเห็นได้ชัด หากต้องการดูปรากฏการณ์นี้ให้สวยงามควรดูด้วยตาเปล่า เพราะกล้องดูดาวจะมองไม่เห็นดาวสองดวงอยู่ในกล้องตัวเดียวกัน และถ้าต้องการบันทึกภาพควรใช้ขาตั้งกล้อง เลือกฟิล์มที่มีความไวแสงสูงและเปิดหน้ากล้องนาน หรือหากจะใช้กล้องดิจิทัลถ่ายก็สามารถทำได้ (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 4 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)
นาโนเทคโนโยลีในการแพทย์
ดร.ปีเตอร์ เควานอ (Dr.Peter Caranagh) หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ แห่งมูลนิธิคลินิกแห่งแคลพแลนด์รัฐโอไฮโอ ให้ความเห็นว่าแทนที่จะไปทุ่มเททางวัสดุศาสตร์ นี้ก็ทุ่มความสนใจไปที่ระบบการเตือนภัยด้านสุขภาพสำหรับผู้ป่วย ที่อาจจะเป็นโรคมะเร็งหรือประเภทเนื้อร้ายต่าง ๆ ในร่างกาย ดร.เดวิด ฮิวม์ส์ (Dr.H. David Humes) แห่งมหาวิทยาลัยแห่งรัฐมิชิแกน และ ดร.ทีจาล เดไซ (Tejal Desai) แห่งมหาวิทยาลัยบอสตัน ก็ร่วมกันสร้างเครื่องมือซึ่งดัดแปลงมาจากอุตสาหกรรมสารกึ่งตัวนำมาใช้ในการสร้างอวัยวะเทียมขึ้นด้วย ต่อมเนื้อเยื่อขนาดเล็กกว่า 20 นาโนเมตร นอกจากนี้ยังมีบริษัททางเครื่องมือแพทย์ก็มีการศึกษาโดยการจัดเรียงโครงสร้างโมเลกุลของเนื้อ เยื่อในร่างกายเพื่อให้มีการเชื่อมต่อกระดูกที่ตะโพกและหัวเข่า เพื่อรักษาโรคกระดูกผุ ในระยะหลังมี การใช้กล้องจุลทรรศน์แบบอิเล็กตรอนทั้งแบบการสแกนและการใช้แรงทางอะตอมเพื่อให้นักวิศวกรรมทางชีวะได้มีโอกาสสร้างและจัดเรียงโมเลกุลได้ดีขึ้น โดยใช้ระบบการควบ คุมด้วยคอมพิวเตอร์ให้มีความแม่นยำมากขึ้น แมกฟอร์ชเทคโนโลยี ซึ่งอยู่ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี สามารถสร้างเครื่องมือเพื่อทำการเคลือบเหล็กออกไซด์ด้วยอนุภาคนาโนเป็นสาร ประกอบที่สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งและถ่ายของเสียจากเนื้อมะเร็งร้ายออกจากร่างกายได้ด้วยซึ่งก็จะสามารถใช้การได้ในปี 2006 (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 4 พ.ย. 47 http://www.dailynews.co.th)
เอกชนรับถ่ายทอดเทคโนผลิตกรดมะนาว สวทช.จัดหามือโปรต่างชาติช่วยแก้ปัญหาตรงจุด
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประสานงานกับสถาบันคีนัน จัดหาผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ คือเดวิด โซโลว์ ที่ปรึกษาด้านส่วนประกอบอาหารจากบริษัท แฮร์มานน์ แอนด์ ไรเมอร์ โรงงานผลิตกรดมะนาวใหญ่ที่สุดในโลก โดยสถาบันคีนัน ซึ่งมีเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญระดับโลก มาช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้กับโรงงานผลิตกรดมะนาวเอกชน เรียนรู้เคล็ดลับผลิตกรดมะนาวจากมันสำปะหลังจากของจริง จนได้สูตรผลิตสินค้าได้ทั้งคุณภาพและปริมาณ นอกจากลดต้นทุนและขั้นตอนการผลิตแล้วยังหาลูกค้าได้เพิ่มขึ้น ดร.เกชา ลาวัลยะวัฒน์ ผู้บริหารบริษัท ไทยซิตริก แอซิด จำกัด ผู้ผลิตกรดซิตริกรายใหญ่ของประเทศ เปิดเผยเบื้องหลังความสำเร็จของธุรกิจว่า ความรู้ทางทฤษฎีเพียงอย่างเดียวไม่สามารถให้คำตอบแก่อุตสาหกรรมการผลิตของไทยได้ หากต้องการผลผลิตที่มีคุณภาพได้มาตรฐานและปริมาณคงที่ตอบสนองความต้องการของตลาดได้ ทั้งนี้ กรดซิตริก หรือกรดมะนาวนั้น เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง ยา และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด โดยโดยใช้เป็นส่วนผสมเพื่อยืดอายุผลิตภัณฑ์ เช่น ถนอมอาหารแปรรูป ผลไม้กระป๋อง น้ำยาล้างจาน เป็นต้น "ผู้เชี่ยวชาญได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต เริ่มจากสอนให้รู้ว่าปฏิกิริยาที่เกิดในถังหมักเป็นอย่างไร จากเมื่อก่อนเราทำตามคู่มือ ทำตามตำรา ที่ให้กวนถังหมักหลังใส่เชื้อเพื่อให้ส่วนผสมเข้ากัน แต่เขายังให้ความรู้ว่าในบางช่วงของปฏิกิริยาไม่ต้องมีการกวนก็ได้เพราะเชื้ออยู่ในระยะพักตัว ซึ่งการหยุดเครื่องกวนได้ในบางช่วงของการหมักนั้น ทำให้ประหยัดค่าไฟฟ้าเฉพาะจากการกวนถังหมักเกือบ 5 แสนบาทต่อปี นอกจากนี้การเข้ามาปรับรุงกระบวนการหมัก ยังทำให้เราได้สามารถควบคุมผลผลิตให้มีคุณภาพและปริมาณที่สม่ำเสมอมากขึ้นอีกด้วย อีกทั้งย่นเวลาในการหมักลง ทั้งหมดนี้หมายถึงการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของบริษัทให้สูงขึ้นด้วย" (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 6 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
"KMITNB AIS ROBOT CAMP 2004" สานฝันเด็กไทยสร้างหุ่นยนต์อัตโนมัติ
ผลการแข่งขันสร้างหุ่นยนต์อัตโนมัติ ในโครงการ "KMITNB AIS ROBOT CAMP 2004" ที่จัดขึ้น ณ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ ทีมผู้ชนะกับเจ้าหุ่นยนต์ตัวเก่ง ที่สามารถได้รับรางวัลชนะเลิศมาครอง นั่นคือ รางวัลชนะเลิศระดับ ม.ต้น ได้แก่ ทีมจากโรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย ชลบุรี ที่ใช้ชื่อทีมเก๋ไก๋ว่า PCC CHON ซึ่งประกอบด้วย 3 สมาชิกหนุ่มคือ ด.ช.สิรวิชญ์ ภู่ตระกูล อายุ 14 ปี ชั้น ม.2, ด.ช.ณัชชา อรุณฉาย อายุ 14 ปี ชั้น ม.2 และ ด.ช.เดชพล ทองคำ อายุ 13 ปี ชั้น ม.2 ส่วนในระดับชั้น ม.ปลาย ทีมที่ชนะเลิศได้แก่ ทีม A1(เอวัน) จากโรงเรียนสันติราษฎร์วิทยาลัย ซึ่งมีสมาชิกร่วมทีม 3 คนคือ นายพงศธร แก่นทอง อายุ14 ปี ชั้น ม.3, นายวรนิต คงลิขิต อายุ 15 ปี ชั้น ม.3 และนายชวัลวิชญ์ หวังโสภารักษ์ อายุ 15 ปี ชั้น ม.3 ในส่วนของรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการ นายวรา วราวิทย์ อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ กล่าวว่า โครงการ "KMITNB AIS ROBOT CAMP 2004" เป็นการร่วมมือกันระหว่างสถาบัน กับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) เพื่อจัดกิจกรรมกระตุ้นให้เยาวชนสนใจในเรื่องของเทคโนโลยี และแสดงความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ผ่านการประดิษฐ์หุ่นยนต์ เชื่อว่าหลายๆ ผลงานในเวทีนี้ จะสามารถต่อยอดทางความคิด ที่อาจนำมาซึ่งการร่วมแข่งขันในระดับสากลได้อย่างแน่นอน (คมชัดลึก เสาร์ที่ 6 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)
ข่าววิจัย/พัฒนา
พบเพรียงหัวหอมรักษามะเร็งเต้านม ไทยถนัดคิดค้นยาจากสมุนไพร
ดร.สุนิพนธ์ ภุมมางกูร นายกเภสัชกรรมสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า ศักยภาพของไทยในการผลิตยาจากสารสังเคราะห์นั้นยังมีน้อย แต่ที่คนไทยมีความเชี่ยวชาญมากที่สุด คือการคิดค้นยาจากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ สมุนไพร ซึ่งมีอยู่มากในประเทศ โดยอาจจะไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อจะนำมาทำเป็นยาอย่างเดียว แต่จะนำมาทำเป็นเครื่องสำอาง ยาสำหรับสัตว์ ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติได้มากขึ้น ไทยมีความสามารถในการพัฒนายาจากสมุนไพร และผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ โดยขณะนี้มีนักวิจัยของไทยอยู่ระหว่างการวิจัยเพื่อหาตัวยาที่สำคัญจากสัตว์ทะเล ซึ่งมีอยู่มากในท้องทะเลไทย และคนไทยยังไม่ค่อยมีผู้วิจัยในเรื่องนี้เท่าใดนัก ทั้งที่สัตว์ทะเลจะมีไฮโดรเจนอะตอม ที่มีความเป็นพิษสูงและมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคได้มากขึ้น โดยขณะนี้นักวิจัยได้พบว่า เพรียงหัวหอมมีสารที่แสดงประสิทธิภาพในการรักษามะเร็งเต้านม และอยู่ระหว่างการทดลอง ดัดแปลงสูตรโครงสร้างของสารที่อยู่ในเพรียงหัวหอม ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาอีกพอสมควร (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 1 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)
พัฒนาสูตรผลิตยางโมเลกุลต่ำ คุณสมบัติเทียบยางสังเคราะห์นำเข้า
ดร.อรสา ภัทรไพบูลย์ชัย จากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า ปัญหาที่ทำให้ยางสังเคราะห์ถูกเลือกใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตที่มีมูลค่าสูงๆ มากกว่ายางธรรมชาติของไทยเกิดจากคุณสมบัติของยางธรรมชาติ ที่เปลี่ยนไป เมื่อถูกเก็บรักษาในรูปแบบของยางแห้ง ดร.อรสา จึงได้ทำการวิจัยเรื่อง "การปรับสภาพยางธรรมชาติเพื่อลดพลังงาน ที่ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง" โดยการสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ที่สามารถหาเทคนิคและวิธีการในการลดน้ำหนักโมเลกุล ของยางธรรมชาติลงและมีความหนืดที่คงที่ ด้วยสารชนิดใหม่ที่มีชื่อว่า Hydroperse P50 ซึ่งนอกจากจะลดน้ำหนักโมเลกุล ของยางธรรมชาติให้ลดลงได้ตามที่ต้องการแล้ว ยังช่วย ทำให้ความหนืดของยางแผ่นที่เก็บไว้ไม่เพิ่มขึ้นด้วย การนำยางแผ่นที่ใช้ Hydroperse P50 ไปทำวัตถุดิบ ไม่ต้องใช้เครื่องบด ช่วยให้ประหยัดเวลาและลดต้นทุนการแปรรูปยางลงไปได้กว่า 50% จากเดิมที่ต้องใช้เวลาเตรียมวัตถุดิบครั้งละ 20-25 นาที แต่เมื่อไม่ต้องบดก็จะลดเวลาการเตรียมเหลือเพียง 10-15 นาทีเท่านั้น ส่งผลให้ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนการผลิตลดลง และยังทำให้ยางแผ่นมีราคาเพิ่มขึ้นถึง 70-90 สตางค์/กก. จะช่วยประหยัดเงินตราของประเทศ ได้ปีละหลายร้อยล้านบาทอย่างไรก็ดี ยางชนิดใหม่นี้สามารถนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ยางได้ทุกประเภท ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการจดสิทธิบัตรงานวิจัยเรียบร้อยแล้ว และได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เกษตรกรและกลุ่มอุตสาหกรรมยางดิบแล้วเช่นกัน ผู้สนใจขอข้อมูลเพิ่มเติมโทร.0-2298-0455-72 ต่อ 159-160 (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 1 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)
ผ้าพันแผลติดชิพเบาแรงแพทย์ แจ้งผลรักษาไม่ต้องตรวจซ้ำ
นักวิจัยจากคลินิกรักษาเท้าสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานในเดนมาร์ก เชื่อว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยรักษาเท้าของผู้ป่วยให้อยู่กับตัวไปตลอดชีวิต โดยไม่จำเป็นต้องถูกตัดทิ้งหากเกิดกรณีแผลติดเชื้อขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งอาการแผลติดเชื้อที่เท้า ซึ่งพบบ่อยในผู้ป่วยโรคเบาหวาน และต้องใช้เวลานานกว่าแผลจะหายขาด ด้วยเหตุนี้แพทย์จึงแนะนำให้ผู้ป่วยหมั่นตรวจเท้าของตัวเองเป็นประจำ และหากพบอาการบ่งชี้ที่เป็นอันตรายก็ให้รีบมาพบแพทย์โดยด่วน เพื่อดูระดับความรุนแรงของแผลดังกล่าว แต่ด้วยผ้าพันแผลอัจฉริยะที่ทีมวิจัยชุดนี้กำลังพัฒนาขึ้น สามารถแก้ปัญหาให้กับผู้ป่วยและแพทย์ได้ เพราะต่อไปนี้ผู้ป่วยไม่ต้องมาโรงพยาบาลบ่อย เทคโนโลยีนี้ช่วยให้สามารถตรวจคนไข้ได้ในระยะไกล โดยจะรู้ระดับความรุนแรงของแผลที่เกิดขึ้นผ่านทางเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งไว้ในผ้าพันแผล ซึ่งสามารถวัดระดับอุณหภูมิ ความชื้น และแม้แต่ชนิดของแบคทีเรียที่กำลังติดเชื้ออยู่ได้ หนึ่งในทีมวิจัยให้สัมภาษณ์ พร้อมทั้งเชื่อว่านวัตกรรมนี้จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับผู้ป่วยอย่างมาก เพราะไม่จำเป็นต้องมาพบแพทย์ด้วยตัวเองอีกต่อไป สำหรับการส่งผ่านข้อมูลจากผ้าพันแผลนั้น จะใช้เทคโนโลยีไร้สายของโทรศัพท์มือถือที่เชื่อมต่อผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต นั่นหมายความว่าแพทย์สามารถตรวจสภาพของบาดแผลได้จากทุกที่ทั่วโลก ผู้ป่วยสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวในอีกทวีปได้โดยที่แพทย์ยังคงดูแลอยู่อย่างใกล้ชิด แนวคิดดังกล่าวยังอยู่ในขั้นของการพัฒนา แนวคิดนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยไม่ต้องเดินทางมาโรงพยาบาลบ่อยครั้ง โดยที่สามารถรับการตรวจสุขภาพทางไกลผ่านทางกล้องดิจิทัลที่จะจับภาพเท้า และส่งข้อมูลมายังคลินิกต้นสังกัด ขณะที่เจ้าหน้าที่พยาบาลใกล้บ้านจะเป็นผู้มาเยี่ยมและเปลี่ยนผ้าพันแผลให้หากมีปัญหาเกิดขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 1 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
สหรัฐสร้างชิพทำงานแทนสมอง เล็ง 15 ปีติดตั้งทดสอบจริงในคน
ธีโอดอร์ เบอร์เกอร์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเซาเทิร์น แคลิฟอร์เนีย รัฐลอสแองเจลิส สหรัฐ เปิดเผยว่า คณะทำงานได้ออกแบบไมโครชิพสำหรับใช้งานแทนสมองที่เสียหายในส่วนที่เรียกว่า "ฮิปโปแคมปัส" โดยจะทำหน้าที่เป็นวงจรประสาท "อ่าน" สัญญาณที่ได้รับจากเนื้อเยื่อสมองปกติ และประมวลผลแทนสมองในส่วนที่เสียไป จากนั้นจะส่งสัญญาณต่อไปยังสมองส่วนอื่น หลังจากทดลองนำไมโครชิพใส่ในเนื้อเยื่อสมองหนูในจานทดลองพบว่า ทำงานได้อย่างดีเยี่ยม จึงเตรียมทดลองกับสัตว์โดยคาดว่าภายใน 3 ปีจะสามารถทดลองกับหนู จากนั้นจะพัฒนาโมเดลทางคณิตศาสตร์จำลองการทำงานของฮิปโปแคมปัสในสัตว์ไพรเมท เพื่อจะได้นำอุปกรณ์นี้ไปทดสอบกับลิงด้วย และคาดว่าอีก 15 ปีน่าจะทดลองในมนุษย์ได้เช่นกัน ทีมงานเชื่อว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้จะสามารถเข้าไปทำงานแทนที่เนื้อเยื่อสมอง ในส่วนที่ถูกทำลายจากโรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคเซลล์ประสาทเสื่อมอย่างอัลไซเมอร์ได้ สำหรับ "ฮิปโปแคมปัส" เป็นส่วนสมองที่จำเป็นต่อการสร้างความจดจำ นับเป็นความสำเร็จครั้งแรกที่นักวิจัยสามารถใช้อวัยวะเทียมแทนพื้นที่สมองส่วนกลาง ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการเรียนรู้ หรือการพูด เกนเทอร์ กรอส จากมหาวิทยาลัยนอร์ธเท็กซัส ชื่นชมกับงานวิจัยชิ้นนี้ แต่เชื่อว่าน่าจะมีปัญหาในส่วนของการเชื่อมต่อสมองหลายส่วน ที่ทำงานแตกต่างกัน เนื่องจากการเชื่อมต่อของวงจรประสาทนั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและเข้าใจยาก นอกจากนี้ ยังมีปัญหาอื่นที่ต้องคำนึงถึงด้วย เพราะเมื่อสมองบางส่วนถูกทำลาย เซลล์ภูมิคุ้มกันและเซลล์สมองที่เรียกว่า เกลีย จะเข้ายึดพื้นที่ในส่วนที่ถูกทำลาย และจะส่งผลกระทบต่ออวัยวะเทียมที่จะติดตั้งลงไปแทนเนื้อเยื่อที่เสียหาย เบอร์เกอร์ บอกว่าทีมงานกำลังพัฒนาอิเล็กโทรดชนิดพิเศษที่เคลือบด้วยโปรตีน ซึ่งจะจำลองการทำงานของเนื้อเยื่อปกติและขับไล่เซลล์ที่ไม่ต้องการให้ออกไปนอกพื้นที่ (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 1 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
เกษตรผลิตเชื้อเพลิงดีเซลจากเมล็ดสบู่ดำ ทดสอบรถไถเดินตามผ่านฉลุย ยกระดับเป็นพืชน้ำมันใหม่
นายจงรัก งามดี นักวิจัยด้านวิศวกรรม กรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า ทีมงานได้สกัดน้ำมันจากเมล็ดสบู่ดำเพื่อใช้ทดแทนเชื้อเพลิงดีเซล โดยเริ่มทดลองใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลสูบเดียว อย่างรถไถเดินตามของเกษตรกร และหลังจากทดสอบพบว่าจะต้องพัฒนาคุณภาพน้ำมันให้มีความบริสุทธิ์สูงสุด ด้วยการศึกษาเพิ่มในการดึงองค์ประกอบในน้ำมันออก ไม่ว่าจะเป็น ยาง กรดไขมัน คาร์บอน แป้ง น้ำตาล รวมทั้งวิจัยถึงผลกระทบต่อเครื่องยนต์ เพื่อให้เหมาะสมสำหรับการใช้งานกับเครื่องยนต์ดีเซลหมุนเร็วในอนาคต ผลจากการศึกษาคุณสมบัติของน้ำมันสบู่ดำ พบว่าคุณภาพของน้ำมันที่สกัดได้ดีกว่าน้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าว เนื่องจากมีไขมันน้อยกว่า จึงสามารถเก็บได้ในอุณหภูมิต่ำโดยไม่เป็นไข และสามารถนำมาใช้หล่อลื่น รวมถึงใช้ทดแทนน้ำมันดีเซลได้ในระดับหนึ่ง โดยสามารถใช้ได้กับเครื่องยนต์สูบเดียวเท่านั้น ปรากฏว่าปริมาณควันดำและคาร์บอนมอนนอกไซด์จากท่อไอเสียมีปริมาณต่ำกว่าน้ำมันดีเซล อย่างไรก็ตาม นอกจากจะปรับปรุงในเรื่องคุณภาพน้ำมันแล้ว ยังต้องศึกษาปรับปรุงพันธุ์สบู่ดำ เพื่อเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้นจากเดิมที่ได้ผลผลิต 800 กิโลกรัม ขณะนี้กรมส่งเสริมการเกษตรได้จัดตั้งศูนย์ส่งเสริมในทุกภูมิภาค เพื่อสนับสนุนเกษตรกรที่มีที่ดินว่างจากการเพาะปลูกพืชในไร่นาหันมาเพาะพันธุ์สบู่ดำ เพื่อให้ได้ปริมาณน้ำมันสบู่ดำมากเพียงพอ ที่จะใช้ทดแทนน้ำมันดีเซลในอนาคต กากเมล็ดสบู่ดำยังสามารถใช้เป็นปุ๋ยอินทรีย์สำหรับพืชได้อีกด้วย โดยเมล็ดสบู่ดำ 4 กิโลกรัม เมื่อนำมาสกัดจะได้น้ำมันประมาณ 1 ลิตร และเหลือเป็นกากเพื่อทำปุ๋ย 3 กิโลกรัม อย่างไรก็ตามทางคณะวิจัยต้องวิจัยเพิ่มเติมในส่วนของการนำน้ำมันดังกล่าว มาใช้ประโยชน์ในวงกว้างมากขึ้น สำหรับการพัฒนาน้ำมันสบู่ดำออกมาในเชิงธุรกิจในอนาคต (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 1 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
แผ่นผ้าฉลาดเตือนคนขี้ลืม ติดเซ็นเซอร์เช็คชื่อสิ่งของก่อนออกบ้าน
นักพัฒนาจากห้องปฏิบัติการสื่อ สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (เอ็มไอที) พัฒนาอุปกรณ์ทันสมัยช่วยเตือนคนขี้ลืม โดยติดตั้งแผ่นผ้าฉลาดกับกระเป๋าคอยเตือนว่าสิ่งของสำคัญอยู่ครบถ้วนหรือไม่ แถมอนาคตยังสามารถเชื่อมเน็ตเพื่อเช็คข้อมูลพยากรณ์อากาศ ก่อนส่งเสียงเตือนให้หยิบร่มกันเปียกฝนได้ด้วย ภายนอกแล้วก็เหมือนกับแผ่นผ้าธรรมดา แต่ภายในบรรจุไมโครโปรเซสเซอร์และหน่วยความจำ รวมถึงเครื่องรับส่งวิทยุ เซ็นเซอร์ ไมโครโฟน แบตเตอรี่ หรือแม้แต่จอภาพไว้ข้างใน เมื่อประกอบแผ่นนี้เข้าด้วยกันหลายๆ ชิ้นในวิธีที่ต่างกันไป ก็จะสามารถทำเป็นอุปกรณ์เพื่อใช้งานอย่างใดอย่างหนึ่งได้ วิศวกรจากเอ็มไอทีได้ฉาบแผงวงจรภายในแผ่น ด้วยเรซิ่นโปร่งแสงเพื่อป้องกันน้ำเข้าวงจร จากนั้นรองด้วยชั้นโฟมบางๆ แล้วเย็บติดไว้ในผ้าที่เตรียมไว้ ผ้าอัจฉริยะผืนนี้ยังสามารถใส่อุปกรณ์อื่นๆ เพิ่มลงไปได้อีก ตั้งแต่ชุดรับส่งสัญญาณบลูทูธ และแผงวงจรพีซี เพื่อเพิ่มรูปแบบการทำงาน ผู้พัฒนา เผยว่า ผ้าอัจฉริยะที่มีเสาอากาศและตัวรับสัญญาณ สามารถนำมาติดกับกระเป๋าเพื่อคอยเตือนไม่ให้เจ้าของลืมสิ่งของได้ โดยผ้าอัจฉริยะนี้จะถูกตั้งโปรแกรมให้คอยรับสัญญาณจากแผ่นป้ายอาร์เอฟไอดี ที่ติดอยู่กับอุปกรณ์ต่างๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ พวงกุญแจ และกระเป๋าสตางค์ ทั้งนี้ แผ่นป้ายอาร์เอฟไอดี เป็นแผ่นป้ายเก็บรหัสอุปกรณ์ด้วยคลื่นความถี่วิทยุต่างๆ ในส่วนของการทำงาน เซ็นเซอร์ที่ติดตั้งที่สายสะพายกระเป๋าจะรู้ว่ากระเป๋าถูกยกขึ้นแล้ว ซึ่งแปลว่าเจ้าของกระเป๋ากำลังจะออกเดินทาง เซ็นเซอร์ดังกล่าวจะส่งสัญญาณไปที่ตัวอ่านเพื่อตรวจสอบหาอุปกรณ์ต่างๆ ที่ได้รับการตั้งโปรแกรมไว้กับคอมพิวเตอร์แล้วว่ายังอยู่ครบหรือไม่ ถ้าระบบหาไม่เจอ จะมีเสียงดังเตือนดังออกมาจากชุดโมดุลอีกชุดหนึ่งว่า "โทรศัพท์มือถือ มาครับ กระเป๋าสตางค์ มาครับ กุญแจรถ ไม่มาครับ" (คมชัดลึก จันทร์ที่ 1 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)
คอนแทคเลนส์ใหม่รักษาต้อหิน สิงคโปร์อวดเจ๋งกว่ายาหยอด
สำนักงานพันธุวิศวกรรมและนาโนเทคโนโลยีแห่งชาติของสิงคโปร์ พัฒนาเทคนิคใหม่ในการรักษาโรคตา โดยอาศัยคอนแทคเลนส์ที่คนมีปัญหาสายตาสั้นใส่แทนแว่นอยู่แล้ว มาทำเป็นคอนแทคเลนส์เคลือบสารรักษาโรคตา เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการไหลซึมของตัวยา ซึ่งอาจไปโดนอวัยวะอื่นของร่างกายจนเกิดผลข้างเคียงร้ายแรงได้ ศูนย์ไอบีเอ็น ออกแถลงการณ์และว่า ผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้อาจประยุกต์ใช้กับผู้ที่มีปัญหาตาแห้งจากการใส่คอนแทคเลนส์ได้ ด้วยการดัดแปลงมาผลิตคอนแทคเลนส์ที่มีน้ำมันหล่อลื่นในตัวเอง ศูนย์ไอบีเอ็นพัฒนาวิธีนำส่งยาแบบใหม่โดยใช้วัสดุโพลิเมอร์พิเศษมาสร้างเป็นคอนแทคเลนส์ที่สามารถจะบรรจุตัวยาเข้าไปได้ เอ็ดวิน โชว หนึ่งในทีมวิจัยบอกว่าตัวยาจะถูกใส่ลงไปในโครงสร้างวัสดุที่ใช้ทำเลนส์ และจะค่อยๆ ปล่อยตัวยาออกมาทางช่องเล็กๆ เพื่อให้ยาสัมผัสกับบริเวณที่มีปัญหาโดยตรง นอกจากนี้ระบบนำส่งยารูปแบบดังกล่าว ยังสามารถประยุกต์ใช้กับตัวยาได้หลากหลาย และยังสามารถกำหนดขนาด รวมถึงโครงสร้างอนุภาคนาโนของโพลิเมอร์ได้อีกด้วย นั่นทำให้การจ่ายยาเป็นไปอย่างแม่นยำและกำหนดปริมาณได้ตามต้องการ (คมชัดลึก จันทร์ที่ 1 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)
ดื่มนมเปรี้ยวไม่ทำให้เป็นนางแบบ แพทย์ย้ำกินแล้วอ้วนเพราะน้ำตาล
พ.ญ.ลัดดา เหมาะสุวรรณ ผู้จัดการชุดโครงการวิจัยโรคอ้วนในเด็ก เครือข่ายวิจัยสุขภาพ เปิดเผยว่า นมเปรี้ยวเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำ นมวัว มาหมักด้วยจุลินทรีย์ที่ไม่ทำให้เกิดโรค จุลินทรีย์จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น และทำปฏิกิริยากับน้ำตาลแลคโตส ซึ่งเป็นน้ำตาลธรรมชาติในน้ำนม เกิดกรดแลคติคที่มีรสเปรี้ยว ได้นมที่มีลักษณะเป็นครีมข้นๆ เรียกว่า โยเกิร์ตชนิดรสธรรมชาติ แต่ในบ้านเรานิยมเติมน้ำตาล น้ำเชื่อม ผลไม้เชื่อมลงไป และแต่งรสผลไม้เป็นนมเปรี้ยวชนิดดื่ม ซึ่งเป็นชนิดที่นิยมกันมาก การที่นมเปรี้ยวทำมาจากน้ำนม คุณค่าทางโภชนาการ จึงใกล้เคียงกับนมสด เป็นแหล่งอาหารที่ดีของโปรตีนและแคลเซียม เหมาะสำหรับผู้ที่ดื่มนมสดแล้วมีอาการไม่สบายท้องจากน้ำตาลแลคโตส ก็สามารถได้ประโยชน์จากน้ำนมโดยกินโยเกิร์ตแทน นอกจากนี้ จุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ในโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวชนิดพาสเจอไรส์ โดยสังเกตได้คือเป็นชนิดที่ต้องเก็บไว้ในตู้แช่เย็นตลอดเวลา เพื่อไม่ให้จุลินทรีย์ตาย ยังอาจมีผลดีต่อสุขภาพ แต่นมเปรี้ยวชนิดดื่มที่นิยมกันอย่างมากในปัจจุบันนั้น ส่วนใหญ่มีนมเป็นส่วนประกอบเพียงร้อยละ 35-50 และที่สำคัญนมเปรี้ยวชนิดดื่มเหล่านี้ รวมทั้งชนิดไลต์ที่ทำมาจากนมพร่องมันเนย มีน้ำตาลผสมสูงถึงร้อยละ 8-20 สูงกว่านมหวานอย่างมาก และสูงใกล้เคียงกับน้ำอัดลมทีเดียว "ดื่มนมเปรี้ยว 1 กล่อง (180 มล.) จึงได้น้ำตาล 3 ช้อนชา บางยี่ห้อมีน้ำตาลสูงถึง7 ช้อนชา ในขณะที่แนะนำให้กินน้ำตาลไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา ดื่มนมเปรี้ยววันละ 2 กล่อง จึงหมดโควตาแล้ว จึงไม่ต้องสงสัยว่ายิ่งดื่มนมเปรี้ยวมาก วันละหลายกล่อง แทนที่จะผอมลง กลับน้ำหนักเพิ่มขึ้น เพราะนมเปรี้ยวที่มีน้ำตาลสูงเหล่านี้ให้พลังงานพอๆกับนมสดรสจืด และสูงกว่านมจืดพร่องมันเนย แต่มีโปรตีน แคลเซียม วิตามิน และแร่ธาตุอื่นเพียงครึ่งเดียว และไม่ต้องหวังว่าจะได้ประโยชน์จากจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิต เนื่องจากกระบวนการผลิตนมเปรี้ยวชนิดดื่มแบบยูเอชที จุลินทรีย์ตายหมดแล้ว จึงควรเข้าใจเสียใหม่ว่านมเปรี้ยวไม่ได้ช่วยให้ผอม คนอ้วนจึงควรดื่มนมจืดพร่องมันเนย ถ้าดื่มนมสดแล้วไม่สบายท้องหรืออยากเปลี่ยนรสชาติบ้าง ก็ให้เลือกโยเกิร์ตรสธรรมชาติ หรือเพลนโยเกิร์ตจะดีกว่า คนที่ไม่อ้วนถ้าอยากดื่มนมเปรี้ยวให้เลือกชนิด ที่มีส่วนผสมเป็นนมวัวสูง และมีน้ำตาลต่ำ (ไทยรัฐ อังคารที่ 2 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)
นักวิจัยดัตช์ทำลำคอเทียมแทนนักชิม
อเล็กซานดรา โบเอลริค จากศูนย์วิจัยอาหารไนโซ ทีมงานบริษัท เควสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล และมหาวิทยาลัยวาเกนนิงเกน ในเนเธอร์แลนด์ ร่วมกันพัฒนาลำคอเทียมสำหรับทดสอบรสชาติเครื่องดื่มคาร์โบไฮเดรตต่ำ หรือเครื่องดื่มบำรุงกำลังชนิดใหม่โดยเฉพาะ เนื่องจากเป็นงานที่ต้องใช้เวลาในการทดสอบยาวนาน และมีรสชาติหลากรูปแบบผสมอยู่ โดยลำคอเทียมจะทำให้ประหยัดค่าว่าจ้างนักชิม อีกทั้งยังลดขั้นตอนในการทดสอบชิมด้วย นอกจากนี้ ในการทดสอบเครื่องดื่มสูตรใหม่ ผู้ผลิตจะมีเครื่องดื่มนับร้อยรายการ ที่ต้องผ่านการชิมให้แล้วเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว โดยนักชิมจะต้องแยกสารประกอบแต่ละชนิด ที่มีอิทธิพลต่อรสชาติต่างๆ ออกมา ซึ่งใช้การวิเคราะห์ลมหายใจ ด้วยเครื่องมือตรวจวิเคราะห์สาร (mass spectrometer) สำหรับอ่านรายละเอียดของสารระเหยเหล่านั้น แต่กรณีนักชิมจะได้ผลลัพธ์ที่หลากหลาย เพราะแต่ละคนมีสรีระปากแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นขนาด รูปแบบ ของลมหายใจ และปัจจุบันการทดสอบรสชาติมีเพียงวิธีเดียวที่จะบอกรสได้ นั่นคือ ต้องกลืนเครื่องดื่มผ่านลำคอเข้าไปเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ทีมงานจึงพัฒนาลำคอเทียมขึ้นมา ด้วยการใช้หลอดแก้ว 2 หลอด ต่อเชื่อมเข้ากับหลอดยางอีก 1 หลอด ติดตั้งลดหลั่นกันลงมา โดยมีลิ้นปิดกั้นระหว่างหลอด ซึ่งหลอดบนสุดจะแทน "ปาก" ที่ต่ำกว่าจะเป็น "หลอดอาหาร" โดยด้านล่างจะติดตั้งเครื่องพ่นอากาศ ที่จะขับก๊าซเข้าไปในอัตราเดียวกับที่การหายใจของมนุษย์โดยเฉลี่ย การทำงานเริ่มต้นขึ้นด้วยการปิดลิ้นกั้น และใส่ของเหลวกลิ่นมะนาวลงไป เมื่อใส่จนเต็ม "ปาก" แล้ว ทีมงานจะเปิดลิ้นกั้นให้ของเหลวไหลลงไป เหลือทิ้งไว้เพียงชั้นของกลิ่นบางเบาที่ติดอยู่ด้านหลังของผนัง "หลอดอาหาร" และปล่อยอากาศเข้าไปรับกลิ่น และเชื่อมต่อกับเครื่องมือตรวจวัด เพื่อวิเคราะห์รสชาติทั้งหมดที่ได้ ผลการทดสอบพบว่าอุปกรณ์ชุดนี้ ให้ความแม่นยำได้เหมือนกับลมหายใจของนักชิมที่เป็นคนจริง (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 2 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
หมอ-วิศวกรคิดค้นนวัตกรรมการแพทย์ ช่วยศัลยแพทย์ระบุจุดลงมีดลึกในสมองได้แม่นยำ
รศ.นพ.สิทธิพร บุณยนิตย์ อาจารย์ประจำภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และประสาทศัลยแพทย์ประจำโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ม.เชียงใหม่ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล (วิทยาเขตภาคพายัพ) คิดค้นและผลิตอุปกรณ์การแพทย์สำหรับช่วยผ่าตัดสมองทำได้ง่ายขึ้น ประกอบด้วย เครื่องสัมผัสสามมิติซึ่งช่วยกำหนดตำแหน่งเป้าหมายในสมองที่ต้องการผ่าตัดให้แม่นยำ และเครื่องดึงรั้งสมองด้วยตนเองสำหรับใช้ในการผ่าตัดทางจุลประสาท เครื่องสัมผัสสามมิติ ประกอบด้วยตัวจับยึดศีรษะและชุดวัดตำแหน่งภายในสมอง ซึ่งทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์และเครื่องทีซีสแกน จะช่วยให้การแทงเข็มเข้าไปได้ถูกตำแหน่ง เช่นเดียวกับในกรณีการเจาะดูดถุงน้ำ การเจาะฝีในสมองหรือการตัดชิ้นเนื้อขนาด 1x3 มม.ออกมาตรวจ นอกจากนี้กรณีที่เป็นการผ่าตัดเนื้องอกในสมอง เครื่องมือนี้จะช่วยให้เข้าถึงก้อนเนื้อได้อย่างแม่นยำ ตรงเป้าหมายและระยะเวลาสั้น ซึ่งจะทำอันตรายต่อเนื้อเยื่อสมองได้น้อยที่สุด สำหรับต้นแบบเครื่องสัมผัสสามมิติจากต่างประเทศราคาถึง 7 ล้านบาท แต่เครื่องที่ผลิตขึ้นเองนี้ราคาเพียง 1 ล้านบาทโดยอาจารย์วัชรินทร์ สิทธิเจริญ ภาควิชาช่างกลโรงงาน สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตภาคพายัพ ดูแลในส่วนที่เป็นฮาร์ดแวร์ ขณะที่ ดร.ตรัสพงษ์ ไทยอุปถัมภ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ม.เชียงใหม่ รับผิดชอบในส่วนของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ส่วนเครื่องดึงรั้งสมองด้วยตนเอง เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่อำนวยความสะดวกให้ประสาทศัลยแพทย์ในการผ่าตัดทางจุลประสาท หรือการผ่าตัดที่ใช้ร่วมกับกล้องจุลทรรศน์ โดยทำหน้าที่กั้นเนื้อสมองไม่ให้เคลื่อนตัวเข้ามารบกวนบริเวณที่ถูกผ่าตัด ทั้งนี้ส่วนประกอบต่างๆ สามารถใช้งานซ้ำได้ ด้วยการล้างทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโดยวิธีการมาตรฐาน เช่น อบไอน้ำ แช่น้ำยาฆ่าเชื้อ และจากการทดลองใช้ของโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ และโรงพยาบาลเลิดสิน โรงพยาบาลบีแคร์เม็ดดิคอลเซ็นเตอร์ กรุงเทพฯ ปรากฏว่าใช้งานได้อย่างมีคุณภาพ ด้าน ผศ.วัชรินทร์ ซึ่งรับผิดชอบผลิตวัสดุและกลไกภายในตัวเครื่อง กล่าวว่า ในการผลิตเครื่องดึงรั้งสมองได้จำลองกลไกการใช้งานมาจากเครื่องต้นแบบของต่างประเทศ โดยประดิษฐ์ด้วยวัสดุที่เป็นเหล็กกล้าไร้สนิมทางการแพทย์ ทำให้เครื่องมือมีขนาดเล็กและเบา สามารถถอดประกอบได้ด้วยมือ ใช้งานซ้ำได้โดยไม่ต้องใช้น้ำมันหล่อลื่น ซึ่งราคาของเครื่องต้นแบบที่นำเข้าสูงถึง 5 แสนบาท แต่สำหรับเครื่องที่ผลิตในไทยนี้ราคาเพียง 5 หมื่นบาท (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 2 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
ม.สยามพัฒนาเครื่องซักผ้าใหม่ ส่งคลื่นขจัดคราบสกปรก ไม่ใช้ผงซักฟอก
นายณัฐพงศ์ ช้อยเพง นักศึกษาชั้นปี 4 คณะวิศวกรรม มหาวิทยาลัยสยาม เจ้าของผลงานประดิษฐ์เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญระบบอัลตราโซนิกหรือระบบสั่นความถี่สูง เปิดเผยว่า ผลงานนี้เหมาะกับการซักผ้าที่ต้องการถนอมเนื้อผ้า เช่น ผ้าไหม ที่สามารถใช้กับเครื่องซักผ้าทั่วไป อีกทั้งซักได้สะอาดโดยไม่ใช้ผงซักฟอกก็ได้ หรือกรณีที่ผ้าสกปรกจากคราบน้ำมัน ก็เติมผงซักฟอกเพียงเล็กน้อยเพื่อเร่งปฏิกิริยาให้คราบน้ำมันหลุดเร็วขึ้น สำหรับการทำงานของเครื่องจะอาศัยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ผลิตคลื่นความถี่ ส่งไปยังหัวทรานซิบิวเซอร์ ทั้ง 6 หัวภายในเครื่อง ซึ่งจะเป็นตัวส่งคลื่นอัลตราโซนิกออกไปยังถังซัก ช่วยขจัดคราบสกปรกให้หลุดออกโดยไม่ต้องอาศัยใบพัด จึงลดปัญหาผ้ายืดคอย้วย แถมยังช่วยประหยัดไฟได้มากกว่าเครื่องซักผ้าทั่วไป อายุการใช้งานนานกว่าเนื่องจากไม่ใช้มอเตอร์ ความเสี่ยงจากการเสียหายของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จึงลดน้อยลง โดยขั้นต้นของเครื่องหยอดเหรียญนี้ ณัฐพงศ์ออกแบบให้รับเหรียญ 10 บาท 1 เหรียญ จะปั่นผ้าได้นาน 25 นาที และต้องปรับปรุงด้านประสิทธิภาพโดยสามารถปั้นแห้งผ้าได้ในถังเดียว รวมทั้งปรับเปลี่ยนตัวถังอะลูมิเนียมที่หนาถึง 3 มิลลิเมตร ลดเหลือเพียง 0.5 มิลลิเมตร เพื่อลดน้ำหนักของเครื่องให้เบาลงและสะดวกต่อการเคลื่อนย้ายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีวัสดุ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ความเป็นไปได้ของการนำหลักการสั่นแบบอัลตราโซนิกมาใช้กับเครื่องซักผ้านั้นค่อนข้างยาก เพราะเมื่อคลื่นเดินทางไปกระทบกับผ้า ซึ่งเป็นวัสดุที่มีความหนาแน่นน้อยกว่า คลื่นจะไม่ส่งผ่านต่อทำให้ประสิทธิภาพในการซักยังไม่ดีเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม หากนำระบบแรงเหวี่ยงต่อเนื่องที่มีในเครื่องซักผ้าแบบเดิมมาใช้ร่วมกับระบบอัลตราโซนิก ประสิทธิภาพในการซักน่าจะสูงกว่า เนื่องจากคราบสกปรกที่ติดอยู่ตามเนื้อผ้าไม่ใช่ฝุ่นผงเพียงอย่างเดียว อาจมีคราบน้ำมัน หรือคราบสกปรกฝั่งแน่นปะปนอยู่ด้วย (คมชัดลึก อังคารที่ 2 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)
"เครื่องย่อยยาง"ฝีมือนักวิจัย ม.เกษตร หนุนพาณิชย์รักษาสิ่งแวดล้อม
ดร.ศุภสิทธิ์ รอดขวัญ อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์เครื่องกลและรองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนา สถาบันค้นคว้าและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตทางอุตสาหกรรม(RDIPT) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หัวหน้าโครงการ การออกแบบและประดิษฐ์เครื่องย่อยยาง ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มียอดการผลิตยางมากที่สุดในโลก แต่กลับมีรายได้ที่เกิดจากผลผลิตยางเข้าประเทศต่ำ เนื่องจากการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ปลายน้ำยังมีน้อย การผลิตผลิตภัณฑ์ยางในรูปแบบต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าจึงเป็นสิ่งจำเป็น จึงนำเสนอแนวทางการนำผลิตภัณฑ์ยางกลับมาใช้ใหม่โดยออกแบบและประดิษฐ์เครื่องย่อยยางต้นแบบนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางพารา งานวิจัยนี้เป็นการนำเสนอ กระบวนการนำยางมาผ่านเครื่องย่อยให้ได้เป็นเศษเล็กๆ ซึ่งชิ้นงานที่ถูกบดออกมาจะมีขนาดขึ้นกับประสิทธิภาพเครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการผลิต หลังจากนั้นชิ้นยางที่ถูกย่อยแล้วจะถูกนำไปผสมกับยางใหม่หรือสารเคมีต่างๆ เพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น ยางหล่อดอกรถยนต์ อิฐบล็อกยาง แผ่นปูสนามเด็กเล่น แผ่นกันลื่นในห้องน้ำ ฯลฯ เครื่องย่อยยาง ที่ประดิษฐ์ขึ้นนี้ยังได้ออกแบบโดยคำนึงถึงปัจจัยที่มีผลต่อการตัดเฉือนยาง ได้แก่ ชนิดของวัสดุ มุมการตัดของใบมีด ความเร็วรอบจานตัด ขนาดและคุณสมบัติของชิ้นงานที่นำมาย่อย รวมถึงกำลังของมอเตอร์ในการขับ จากการทดสอบตัดชิ้นยาง ทั้งนี้คณะวิจัยได้เสนอแนวทางปรับปรุงและพัฒนาเพื่อจะทำการปรับปรุงเครื่องย่อยยางให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น โดยให้มีขนาดของเศษยางที่ได้จากการย่อยที่เล็กลงเพื่อประโยชน์ใช้งานได้จริงในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น หากนำไปใช้งานในระดับรากหญ้าต้องคำนึงถึงราคา ความง่ายและสะดวกในการใช้งาน อายุการใช้งานของเครื่อง การดูแลรักษาและการซ่อมแซม เป็นต้น หรือหากเป็นระดับอุตสาหกรรมต้องปรับปรุงในด้านประสิทธิภาพให้เพียงพอแก่ความต้องการของผู้ประกอบการ มีความสามารถในการเดินเครื่องต่อเนื่องได้ยาวและอายุการใช้งานของใบมีดตัดยาวนานขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์กับการใช้งานของเครื่องได้สูงสุดทั้งในเชิงพาณิชย์และสิ่งแวดล้อมต่อไป (มติชนร่ายวัน อังคารที่ 2 พ.ย. 47 http://www.matichon.co.th)
ช็อตด้วยไฟฟ้าพาลิ้นว่องไวขึ้นพูดจาได้คล่องแคล่วกว่าเดิม
ทีมนักวิจัยได้แจ้งในที่ประชุมสมาคมแพทย์ประสาทวิทยาแห่งสหรัฐฯว่า จากการใช้กระแสไฟอ่อนๆที่มีความแรงขนาดเศษสองส่วนพันของ 1 แอมแปร์ ให้เดินจากแบตเตอรี่ที่คาดติดหน้าผากคนไข้ อยู่นานประมาณ 20 นาที ช่วยทำให้คนพูดจาได้คล่องแคล่วว่องไวขึ้นกว่าเดิม นายแพทย์มีนาคชี ไลเออร์ แพทย์ประสาทวิทยา ซึ่งเคยทดลองกับผู้อาสาสมัครจำนวน 103 ราย เล่าว่า ได้ทดลองให้ผู้อาสาสมัครนึกพูดถ้อยคำออกมาให้มากที่สุดในเวลา 90 วินาที เกือบทุกคนจะพูดได้ประมาณ 20 คำเท่านั้น แต่เมื่อให้กระแสไฟฟ้าไปแล้ว ปรากฏว่าพวกเขาสามารถพูดถ้อยคำออกมาได้มากขึ้นอีก 20%หมอไลเออร์ได้กล่าวเสริมว่า เขาเกิดความคิดที่จะไปทดลองรักษาคนไข้ที่มีความจำเสื่อม รายที่เป็นโรคของสมองที่มีอาการพูดจาได้ลำบาก ด้วยกระแสไฟฟ้าอ่อนๆต่อไป "แต่ไม่ได้คิดว่ามันจะรักษาให้หายได้ เพียงแต่เป็นวิธีเสริมกับการใช้ยาเท่านั้น" (ไทยรัฐ พุธที่ 3 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)
สหรัฐรอขายวัคซีนมะเร็งปากมดลูก
เอกชนสหรัฐเตรียมยื่นขออนุมัติเอฟดีเอ จำหน่ายวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก ชนิดแรกของโลก หลังงานวิจัยล่าสุดชี้ชัดว่าอาสาสมัครหญิงราว 94% ที่ได้รับวัคซีนเมื่อสี่ปีที่แล้ว ไม่เกิดการติดเชื้อหรือเกิดภาวะการเป็นมะเร็ง ระบุประสิทธิภาพในการป้องกันยาวนานมาก
ดร.อีลีฟ บารร์ หัวหน้าทีมพัฒนาวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกให้กับบริษัท เมิร์ค แอนด์ โค. ซึ่งมีแผนจะยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (เอฟดีเอ) ให้อนุมัติใช้วัคซีนได้ในปีหน้า เพื่อป้องกันหูดกามโรคที่จะเกิดกับอวัยวะเพศทั้งในชายและหญิง กล่าวว่า ทีมงานตื่นเต้นกับผลการศึกษาที่ได้อย่างมาก เพราะดูเหมือนว่าภูมิคุ้มกันโรคจะอยู่ติดทนนานในร่างกายอย่างไม่น่าเชื่อ
จากการศึกษาพบว่าสี่ปีหลังจากได้รับวัคซีน อาสาสมัครหญิงจำนวน 94% ไม่เกิดการติดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปากมดลูก และไม่มีใครพัฒนาไปเป็นมะเร็งเลย ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากบริษัท เมิร์ค และดำเนินงานโดยนักวิจัยมหาวิทยาลัยวอชิงตัน
ด้านดร.สก็อต แฮมเมอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับงานวิจัย บอกว่า ผลการศึกษาที่ได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของวัคซีนอย่างแจ่มชัด และนี่จะเป็นประโยชน์กับสุภาพสตรีทั่วโลก หากวัคซีนชนิดนี้ผลิตและวางจำหน่ายได้จริง ก็จะเป็นวัคซีนป้องกันมะเร็งตัวที่สองที่มีอยู่ในท้องตลาด นอกเหนือจากวัคซีนไวรัสตับบี ที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อที่จะนำไปสู่การเป็นมะเร็งตับได้ (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 3 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
เซเลนเนี่ยมไทยเปิดตัว 'เซลล์เชื้อเพลิงพืช'
นายกฤษฎา กัมปนาทแสนยากร ประธานและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท เซเลนเนี่ยม (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้พัฒนาด้านธุรกิจพลังงานและเจ้าของโครงการผลิตภัณฑ์กักเก็บและสร้างพลังงานไฟฟ้า เปิดเผยว่า บริษัทได้วิจัยและพัฒนาพลังงานไฟฟ้าจากพืชประเภทคาร์โบไฮเดรต แป้งและน้ำตาล ด้วยกรรมวิธีทางไฟฟ้าเคมี ถือเป็นความสำเร็จด้านพลังงานทดแทนใหม่ ในฐานะนวัตกรรมเซลล์เชื้อเพลิงจากพืช โดยใช้เวลากว่า 10ปีในคิดค้นพัฒนาปรับปรุงเทคโนโลยีด้านพลังงาน รวมทั้งเซลล์เชื้อเพลิงที่ได้จากน้ำตาลและมันสำปะหลัง เทคโนโลยีดังกล่าวนี้ กำลังอยู่ในขั้นตอนการทำต้นแบบเชิงพาณิชย์ คาดว่าสามารถใช้งานเชิงพาณิชย์ภายใน 5-10 ปีข้างหน้า โดยใช้พืชผลที่มีอยู่ในท้องถิ่นเป็นเชื้อเพลิงหลัก เช่น อ้อยและมันสำปะหลัง สามารถใช้ทดแทนเชื้อเพลิงนำเข้าที่ราคาแพง นอกจากนี้ บริษัทเซเลนเนี่ยม ได้วิจัยพัฒนาเทคโนโลยีใหม่คือ แบตเตอรี่กักเก็บและสร้างพลังงานไฟฟ้า ที่มีความคงทนการทำงานแตกต่างจากแบตเตอรี่ทั่วไป โดยอายุงาน 20 ปี ไม่เป็นภัยกับสิ่งแวดล้อม เป็นแบตเตอรี่ชนิดไหลเวียนด้วยปฏิกิริยารีดอกซ์ของแวนเนเดี่ยม โดยบริษัท สควเวอเร็ล โฮลดิ้ง จำกัด ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทเซเลนเนี่ยม เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และได้จดสิทธิบัตรกว่า 11 รายการ ใน 49 ประเทศทั่วโลก ทั้งนี้ บริษัท สควเวอเร็ล โฮลดิ้ง จำกัด เป็นบริษัทที่บริหารงานโดยคนไทย จดทะเบียนไว้ที่หมู่เกาะเคย์แมน โดยเทคโนโลยีด้านพลังงานที่คิดค้นใหม่นี้ มีศักยภาพที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับการใช้พลังงานอย่างมากในอนาคต อาทิ ช่วยสำรองพลังงานน้ำมันจากฟอสซิล พลังงานทดแทน ในขณะเดียวกัน สามารถกักเก็บและสร้างพลังงานไฟฟ้า โดยแบตเตอรี่จะดึงไฟฟ้าช่วงราคาแพง มาเก็บไว้ใช้ในช่วงราคาถูกได้ ซึ่งเหมาะนำมาใช้กับโรงไฟฟ้าขนาดกลางและขนาดเล็ก โรงงานอุตสาหกรรม โรงแรม หน่วยงานที่ใช้ไฟฟ้าปริมาณมาก ขณะนี้กำลัง การออกแบบและเตรียมสาธิตระบบแบตเตอรี่แวนเนเดียมขนาด 30 กิโลวัตต์ เพื่อทดลองใช้กับรถโดยสารไฟฟ้ารุ่นใหม่ของบริษัท ขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) หลังจากนั้น จะพัฒนาเพื่อใช้กับเรือโดยสาร ที่สามารถใช้มอเตอร์ไฟฟ้าแทนเครื่องยนต์ดีเซลชนิดอัดประจุไฟฟ้าใหม่ได้ (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 3 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
รัสเซียคิดวัคซีนชุบให้กลับหนุ่มสาวอาจทำขึ้นสำเร็จได้ในอีก 2-3 ปี
สำนักข่าวของรัสเซียแจ้งว่า นักชีวเคมีแห่งสถาบันวิทยาศาสตร์ รัสเซีย วิทยาเขตไซบีเรีย ได้คิดค้นวัคซีนขึ้นจากเซลล์แมโครฟาจ อันเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่ทำลายจุลินทรีย์และสิ่งแปลกปลอม โดยกระบวนการกลืนกิน โดยเชื่อว่ามันจะมีสรรพคุณทำให้ผู้คนกลับเป็นหนุ่มสาวขึ้นได้ ขึ้นมาได้มากระหว่าง 15-20 ปี นายเลฟ ปานิน นักชีวเคมีผู้เป็นต้นตำรับอ้างว่า ได้พบจากการวิจัยว่า โดยธรรมชาติแล้วคนเราเมื่อล่วงเข้าวัยกลางคน ปริมาณของเซลล์แมโครฟาจจะลดต่ำลงอย่างหนัก จนถึงกับไม่มีไหลเวียนไป ถึงอวัยวะและเนื้อหนังตามส่วนต่างๆของร่างกายอีกเลย เป็นเหตุให้อวัยวะต่างๆ เริ่มเหี่ยวเฉาลง เขาคิดว่าหากหาทางฉีดเซลล์แมโครฟาจ เข้าไปในไขกระดูก ได้ จะต้องจุดชนวนขบวนการฟื้นความเป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นใหม่ได้อีก ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้เซลล์แมโครฟาจ จากการสกัดจากหมู แต่ในอนาคตเชื่อว่าจะสามารถได้จากเซลล์ต้นกำเนิดเมล็ดโลหิต ที่เอามาจากรกของทารกแรกเกิดอีกที นำมาเก็บสำรองไว้ในไนโตรเจนเหลวในคลัง เมื่อใครอยากจะชุบตัวให้กลับหนุ่มสาวขึ้นใหม่ ก็จะเอามาใช้ได้ ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังอยู่ในขั้นทดลองกับหนูทดลองอยู่ แต่พวกเขาเชื่อว่าวัคซีนต่อต้านความแก่ชรา จะสามารถผลิตขึ้นได้แน่ ภายใน 2-3 ปีข้างหน้านี้ (ไทยรัฐ 4 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)
โพลิเมอร์ชนิดใหม่เคลือบผิวกันรอยข่วน
บริษัท ทีดีเค พัฒนาสารเคลือบหน้าจอสำหรับอุปกรณ์พกพา แผ่นซีดี และดีวีดี ซึ่งสามารถป้องกันการขูดขีดได้ โดยทดลองใช้ปากกาขูดก็ไม่เป็นรอย อีกทั้งยังสามารถลบรอยหมึกที่เปื้อนออกไปได้อีกด้วย แต่ศัตรูสำคัญของสารเคลือบนี้มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ มีดพับสวิส ในการเคลือบผิวเพื่อป้องกันการขูดขีด ทีดีเคได้ทำการเคลือบผิวสองชั้นที่ด้วยสารเคลือบผสมผงซิลิกาขนาด 50 ไมครอน และในแต่ละชั้นยังอาบด้วยเรซินที่ผสมสารฟลูโอไรน์เพื่อไล่น้ำป้องกันคราบหมึก โดยเคลือบลงบนพื้นผิวด้วยความเร็ว 8,000 รอบต่อนาที หลังจากแห้งแล้วจึงลงมือเคลือบชั้นที่สองที่ทำจากเรซินผสมฟลูโอไรน์เช่นกัน จากนั้นพ่นทับด้วยสารแอชโทฟีโนน พร้อมกับฉายแสงอัลตราไวโอเลตทับ เทคนิคทั้งหมดนี้ทีดีเคได้จดสิทธิบัตรไว้แล้ว อนุภาคซิลิกาที่มีความคงทนนี้สามารถป้องกันการขูดขีดได้ดี ขณะที่เรซินผสมฟลูออรีนช่วยให้ไม่ซับน้ำ ดังนั้น เมื่อเปื้อนหมึกจึงสามารถเช็ดออกได้ ทั้งนี้ คราบหมึกเมื่อหยดลงบนแผ่นซีดี หรือดีวีดี จะทิ้งคราบที่มีขนาดเล็กยากแก่การเช็ดออก และเกิดเป็นจุดทำให้เลเซอร์ไม่สามารถอ่านข้อมูลตำแหน่งดังกล่าวได้ สารเคลือบแบบใหม่นี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบการบันทึกด้วยแสงเลเซอร์สีฟ้า หรือที่เรียกว่า "บลูเรย์" ซึ่งทั้งโซนี่ พานาโซนิค และฟิลิปส์เตรียมวางตลาดปีนี้ ระบบดังกล่าวสามารถเก็บข้อมูลบนแผ่นได้มากขึ้นกว่าเดิม และยังให้ความคมชัดสูงขึ้นด้วย (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 4 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
ชี้นาโนเทคโนโลยีเพิ่มมูลค่าสมุนไพรไทย รักษาความคงตัวของสารเคมี ซึมเข้าสู่เป้าหมายรวดเร็วแม่นยำ
ภก.ปรีชา แสงธีระปิติกุล ที่ปรึกษาศูนย์พัฒนายาไทยและสมุนไพร กล่าวเสนอแนะให้ผู้ผลิตยาและผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยควรนำนาโนเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่าและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของยา โดยกล่าวว่า คุณสมบัติของสารสกัดสมุนไพรระดับนาโนจะช่วยให้สารมีความคงตัวมากขึ้น และสามารถเก็บไว้ใช้ได้นาน นาโนเทคโนโลยีที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ ปัจจุบัน ยังเป็นแค่กระบวนการขั้นพื้นฐาน โดยการใช้ประโยชน์จากโมเลกุลที่มีขนาดเล็กลง โดยนำมาใช้เป็นสารประกอบหรือสารเคลือบผิว เพื่อเพิ่มคุณสมบัติให้กับผลิตภัณฑ์ อย่างเช่น การนำเอาซิลิคอนไดออกไซด์ใส่ไว้ในยาสีฟันเพื่อขัดฟันให้ขาว ซึ่งมีใช้มานานแล้วในยาสีฟันเพื่อลดคราบบุหรี่ ชา และกาแฟ นอกจากนี้ ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางยังได้พัฒนาโมเลกุลของตัวยาให้มีขนาดเล็กลงระดับไมครอนเพื่อให้ตัวยาซึมสู่ผิวหนังชั้นในเพื่อประสิทธิภาพในการบำรุงผิวมากยิ่งขึ้น ภก.ปรีชามองว่า หากนำเอาประโยชน์และประสิทธิภาพของโมเลกุลระดับนาโนมาใช้กับสมุนไพรจะช่วยเพิ่มคุณภาพให้กับสมุนไพรไทย ซึ่งถือว่ามีความหลากหลายทางชีวภาพสูงประเทศหนึ่ง "สารสำคัญในสมุนไพรเสื่อมสลายได้ในหลายวิธี แรกเลยคือจากเชื้อรา แบคทีเรียต่างๆ ประการต่อมาคือน้ำ เนื่องจากสารที่สามารถละลายน้ำได้อนุภาคจะเคลื่อนไหวตลอดเวลา ทำให้มีการชนกันเองหรือชนกับสารอื่น อีกประการหนึ่งคือ การสลายตัวจากแสงแดด เนื่องจากรับพลังงานจากแสงอาทิตย์ ทำให้อิเล็กตรอนเกิดการเคลื่อนไหว สลายตัวจากเอนไซม์" ภก.ปรีชา ยกตัวอย่าง ดังนั้น ในกระบวนการผลิตยาหรือผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรอื่นๆ หลังจากที่สกัดสารบริสุทธิ์มาได้แล้ว จึงต้องมีการทำให้อยู่ตัวโดยใช้นาโนเทคโนโลยีเข้าช่วย และช่วยให้ซึมผ่านไปยังเป้าหมายที่ต้องการได้ดี โดยมีผลข้างเคียงน้อยและมีประสิทธิภาพสูง การสร้าง "แคร์ริเออร์" หรือที่อยู่ให้กับสารสำคัญในสมุนไพร ซึ่งจะมีหลายรูปแบบทั้งแบบที่เป็นรูพรุน โครงสร้างแบบไลโปโซม โครงสร้างแบบคอลลาเจน เป็นต้น จากนั้นนำมาเคลือบด้วยสารในอนุภาคขนาดนาโน เพื่อให้สามารถผ่านไปยังเป้าหมายได้ เนื่องจากเวลาเคลือบจะช่วยป้องกันโมเลกุลของสารสำคัญได้ดี เพราะจะหุ้มโมเลกุลมาอยู่รวมกันและมุ่งไปสู่เป้าหมายได้เร็วขึ้น การใช้ต้องเลือกแคร์ริเออร์ให้เหมาะ ในส่วนของงานวิจัยนั้น ภก.ปรีชา ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์นำเอาเส้นใยชานอ้อยมาแยกให้เล็กในสารละลาย จากนั้นนำมาขึ้นรูปใหม่เป็นรูปทรงกลมคล้ายกับสาคู ทว่ามีรูพรุนอยู่โดยรอบ สำหรับบรรจุสารสำคัญที่สกัดจากสมุนไพร (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 4 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
ประดิษฐ์เครื่องแปลภาษาพูดออกสดๆ พูดภาษาต่างประเทศได้ไม่ต้องเรียน
วิศวกรของบริษัทเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่เอ็นอีซี ได้ประดิษฐ์เครื่องอุปกรณ์ ซึ่งจะช่วยแปลเสียงพูด ที่เป็นภาษาญี่ปุ่นให้เป็นภาษาอังกฤษหรือกลับกันก็ได้ วารสารวิทยาศาสตร์ "นิว ไซเอนติสต์" รายงานว่า อุปกรณ์ดังกล่าวประกอบด้วยเครื่องรู้จำเสียงพูด โปรแกรมแปลภาษาและเครื่องกำเนิดเสียง โดยเครื่องรู้จำคำพูดจะแปลงภาษาพูด ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษหรือญี่ปุ่น ให้เป็นข้อความก่อน จากนั้นจะถูกแปลเป็นอีกภาษาหนึ่ง แล้วเครื่องสังเคราะห์เสียงจึงจะแปลงเป็นเสียงพูด การทำงานทั้งหมดจะกินเวลาเพียง 1 วินาทีเท่านั้น บริษัทเตรียมจะนำออกจำหน่ายในญี่ปุ่นขึ้นก่อนภายในสองสามเดือนนี้ นักวิจัยของบริษัทเอ็นอีซีเปิดเผยว่า สามารถจะแปลงเครื่องให้ใช้แปลภาษาอื่นอีกก็ได้ และกำลังทำใช้สำหรับระหว่างภาษาญี่ปุ่นกับภาษาจีนอยู่แล้ว นอกจากนั้นยังอาจจะสร้างเครื่องนี้ เพื่อให้ใช้กับโทรศัพท์มือถือได้อีกด้วย (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 5 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)
เอไอทีวิจัย'คอนกรีตพลังช้าง'แห้งเร็วทันใจ
นายสุรัก ปิยะรักสกุล และนายกิตติพุฒิ เปล่งขำ นักศึกษาปริญญาเอก นักวิจัยสาขาวิชาวิศวกรรมโครงสร้าง สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที) โดยมีโดย รศ.ดร.พิชัย นิมิตยงสกุล เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ เปิดเผยว่า ทีมวิจัยของเอไอทีประสบความสำเร็จในการคิดค้นสูตร "คอนกรีตพลังช้าง" มีค่ากำลังเฉลี่ย 1,100 กก./ตร.ซม.และหลังการเทเสร็จสิ้นจะแห้งตัวเร็วใน 24 ชั่วโมง โดยคอนกรีตเนื้อที่ 1 ตร.ซม. สามารถรับแรงได้ 1,100 กก. ซึ่งมีค่าแรงอัดสูงเป็น 10 เท่าของคอนกรีตธรรมดาที่อายุเท่ากัน คอนกรีตชนิดนี้เหมาะสำหรับใช้ในงานก่อสร้างและซ่อมแซมผิวการจราจร สะพานคอนกรีตในกรุงเทพฯ ได้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากจะรองรับน้ำหนักกดทับได้มากแล้ว การก่อสร้างยังแล้วเสร็จภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากเทคอนกรีตเสร็จสิ้น ทำให้แก้ปัญหาการจราจรติดขัดได้ เนื่องจากสามารถเปิดช่องทางให้รถวิ่งได้ก่อนกำหนด สำหรับส่วนผสมที่ใช้ในการทำคอนกรีต ประกอบด้วย ปูนซีเมนต์ตราช้าง ทรายควอทซ์ ซึ่งหาได้ทั่วไป นอกจากนี้ยังมีหินบะซอลท์ซึ่งพบมากในภาคตะวันออกของไทย และที่ขาดไม่ได้คือสารผสมเพิ่ม ซึ่งใช้ซิลิกาฟูมและน้ำยาลดน้ำอย่างมาก สารผสมเพิ่มนี้มีคุณสมบัติในการเพิ่มความแข็งแรง ความทนทาน และความสามารถทำงานได้ของคอนกรีต และส่วนสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือ น้ำ โดยหัวใจของสูตรคอนกรีตพลังช้างนี้ อยู่ที่ปริมาณสารซิลิกาฟูมที่ใช้ผสมมากถึง 35% จากเดิมเคยใช้เพียง 17.5% ซึ่งปริมาณดังกล่าวได้ผ่านการวิจัยแล้วว่าจะทำให้คอนกรีตมีกำลังที่สูงมาก ขณะเดียวกันในขั้นตอนการผลิตต้องคลุกเคล้าส่วนผสมต่างๆ ด้วยมือ เพื่อให้ส่วนผสมแต่ละส่วนเข้ากันและมีความสม่ำเสมอ เป็นเวลา 10 นาที ก่อนที่จะฉีดพ่นสารลดน้ำและน้ำเป็นจำนวน 20% ของปูนซีเมนต์ โดยน้ำหนักเข้าไปในส่วนผสมก่อนที่จะเทลงไปในตัวแบบและบ่มในเวลาต่อมาจนกระทั่งกลายเป็นลูกปูน ทั้งนี้ ผลงานคอนกรีตกำลังสูงของเอไอที ได้รับรางวัลชนะเลิศจากการแข่งขัน "คอนกรีตพลังช้าง ครั้งที่ 5" ในประเภทคอนกรีตกำลังสูง จัดโดยบริษัท ปูนซิเมนต์ไทยอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ร่วมกับภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ซึ่งมีสถาบันการศึกษาและบริษัทห้างร้านเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 97 ทีม (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 5 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
ฝรั่งเศสโชว์นวัตกรรมบำบัดก๊าซ ป้อนผู้ผลิตเคมีไทย-ปลอดมลพิษ
เอกชนผู้เชี่ยวชาญด้านการบำบัดของเสียอันตรายจากฝรั่งเศส เปิดตัวเทคโนโลยีบำบัดของเสีย ที่เป็นก๊าซ และของเหลวความหนืดสูง เผยคุณสมบัติปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม ล่าสุดเข้ามาติดตั้งระบบให้อุตสาหกรรมเคมีในไทย ผู้แทนจากบริษัท วิกเฮ็ม จำกัด ผู้เชี่ยวชาญในการบำบัดขยะอันตราย ของเสียอันตรายสูง จากประเทศฝรั่งเศส เปิดเผยว่า บริษัทได้พัฒนาระบบบำบัดของเสีย ซึ่งเป็นการออกซิไดซ์ ด้วยความร้อน หรือที่เรียกว่า "Pulvaporisation" ในการบำบัดของเสียที่เป็นก๊าซและของเหลวที่มีความหนืดสูง โดยของเสียที่ผ่านการบำบัดแล้ว จะมีสารประกอบไดออกซิน และไนโตรเจนออกไซด์ ที่ปริมาณที่ต่ำมาก เทคโนโลยีใหม่นี้ได้นำไปใช้อย่างกว้างขวาง เช่น ในบริษัทในเครือ Atofina, Rhone-Poulenc, Solvay, Rhodia รวมถึงบริษัท Thai Organic Chemicals ในประเทศไทยที่บำบัดก๊าซและของเหลว ที่มีคลอรีนเป็นองค์ประกอบจากกระบวนการผลิต อีกทั้งสามารถนำกรดไฮโดรคลอริกกลับมาใช้ได้ 20% และยังได้พลังงานไอน้ำกลับมาใช้อีกด้วย สำหรับนวัตกรรมใหม่ของตัวออกซิไดซ์ ในระบบ Pulvaporisation ที่ออกแบบ และพัฒนาโดยวิกเฮ็มนี้ ใช้หลักการทำให้อนุภาคที่เป็นองค์ประกอบในของเสีย ที่เป็นของเหลวระเหย และกลายเป็นอะตอมในขั้นตอนเดียว จากผลการทดสอบพบว่าประสิทธิภาพการบำบัดสูงถึง 99% และก๊าซที่ปล่อยออกจากปล่องควันมีปริมาณสารมลพิษต่ำกว่าค่าที่กำหนดมาก ส่วนการทำงานของระบบนี้นานถึง 8,500 ชั่วโมงต่อปี บริษัทยังมีระบบการบำบัดของเสียอุตสาหกรรม โดยใช้การออกซิไดซ์แบบอื่นๆ ด้วย เช่น การกรองก๊าซพิษ การนำพลังงานกลับมาใช้ การกำจัดก๊าซพิษด้วยน้ำ การใช้กระบวนการดูดซับ และซึมซับ กระบวนการแยกของเหลวระเหยง่ายจากของเสียของเหลวด้วยความร้อน (Stripping) การแยกสารมลพิษ และการผลิตกรดที่บริสุทธิ์ เป็นต้น (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 5 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
พพ.เสนอวิจัยเซลล์แสงอาทิตย์ครบวงจร ของบพันล้านทำอาร์แอนด์ดีตั้งแต่ต้นนำถึงปลายน้ำ
นางสาวปราณี รินทรวิฑูรย์ รองอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานกำลังอยู่ระหว่างจัดทำร่างของแผนแม่บทเพื่อส่งเสริมและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ในไทย คาดว่าราวหนึ่งเดือนครึ่งร่างดังกล่าวคงแล้วเสร็จ เพื่อพิจารณาก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อกำหนดให้เป็นแผนแม่บทแห่งชาติเป็นอันดับต่อไป ซึ่งตัวแผนจะเน้นการส่งเสริมทั้งด้านการตลาดและการลงทุนในอุตสาหกรรมผลิตโดยตรง แผนดังกล่าวประกอบด้วยแผนการส่งเสริมการใช้งานเซลล์แสงอาทิตย์ 250 เมกะวัตต์ ภายในปี 2554 ซึ่งล่าสุด น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานได้แถลงว่า มีนโยบายปรับเพิ่มการใช้เซลล์แสงอาทิตย์ให้เพิ่มขึ้นเป็น 500-700 เมกะวัตต์ ภายในปี 2554 ส่งผลให้ในอีก 10 ปีข้างหน้าตลาดแห่งนี้จะมีมูลค่าสูงถึงระดับแสนล้านบาท นอกจากนี้ แผนแม่บทยังรวมถึงแผนการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ และแผนการส่งเสริมวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ด้วย ศ.ดร.ดุสิต เครืองาม หัวหน้าคณะวิจัยโครงการศึกษาแนวทางการลงทุนจัดตั้งอุตสาหกรรมผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ในประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนจาก พพ.กล่าวว่า ในส่วนของการลงทุนผลิตเซลล์แสงอาทิตย์นั้น ล่าสุดบีโอไอได้มีมติออกมาแล้วว่า จะส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำและปลายน้ำ และจะยกเลิกการส่งเสริมการประกอบแผงเซลล์ รูปแบบการส่งเสริมดังกล่าวบีโอไอเคยนำมาใช้กับการผลิตแผงวงจรรวมขนาดใหญ่ (วีแอลเอสไอ) สำหรับแผนการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานั้น หัวหน้าคณะวิจัยคาดว่าน่าจะต้องใช้งบประมาณราว 1-2 พันล้านบาท ในระยะเวลา 5 ปี เพื่อจัดทำแผนการวิจัยระยะยาวของประเทศ ซึ่งจะครอบคลุมตั้งแต่การวิจัยวัตถุดิบ ปลูกผลึกเวเฟอร์ และการผลิตเซลล์ทุกรูปแบบ ศ.ดร.ดุสิต เชื่อว่า อุตสาหกรรมที่สามารถลงทุนในไทยได้ทันทีคือ การตั้งโรงงานผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดผลึกมัลติคริสตัลไลน์ซิลิคอน ซึ่งจำเป็นต้องนำเข้าแผ่นเวเฟอร์จากต่างประเทศ และชนิดอะมอร์ฟัสซิลิคอน ปัจจุบันประเทศไทยมีโรงงานประกอบแผงเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดผลึกมัลติคริสตัลไลน์ซิลิคอน 3 ราย และมีแผนสร้างโรงงานโดปสำหรับผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดผลึกมัลติคริสตัลไลน์ซิลิคอนอีกประมาณ 3 ราย ซึ่งจะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างราว 12 เดือน นอกจากนี้ยังมีโรงงานผลิตเซลล์แสงอาทิตย์อะมอร์ฟัสซิลิคอนออกจำหน่ายแล้ว 1 ราย มีความสามารถในการผลิตขั้นต้น 5 เมกะวัตต์ต่อปี ส่งผลให้ตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นไป ไทยจะมีกำลังการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ตั้งแต่ต้นน้ำรวมถึงปีละประมาณ 50 เมกะวัตต์ (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 5 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
ข่าวทั่วไป
กทม.คิดสร้างสวนสัตว์น้ำใหญ่ที่สุดในประเทศ
นายสมศักดิ์ จันทวัฒนา รองผู้อำนวยการสำนักสวัสดิการสังคม (สนส.) เปิดเผยถึงโครงการก่อสร้างสวนสัตว์น้ำ (อะควาเรียม) กรุงเทพฯ งบประมาณ 600 ล้านบาท ที่บริเวณสวนวชิรเบญจทัศน์ (สวนรถไฟ) ว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการเสนอรายชื่อคณะกรรมการกำหนดทีโออาร์ชุดใหม่ ให้นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพ มหานคร (กทม.) พิจารณาอนุมัติ เนื่องจากคณะกรรมการชุดเดิมมีเพียงข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ กทม. เท่านั้น ได้เชิญคณะกรรมการอื่นประกอบด้วย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรมประมง และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำบางแสน ทั้งนี้คาดว่าร่างทีโออาร์จะสามารถกำหนดให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ ส่วนการ ก่อสร้างคงจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ใน ปี 2549 นอกจากนี้ สนส. มีแนวคิดจะตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาโครงการขึ้นมาอีก 1 ชุด เพื่อศึกษาความเหมาะสมของโครงการ มีหน้าที่ตรวจสอบโครงการตั้งแต่กระบวนการร่างทีโออาร์ การคัดเลือกบริษัทเอกชนรับเหมาโครงการ การก่อสร้าง ตลอดจนการตรวจสอบการบริหารจัดการสวนสัตว์น้ำ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณารายชื่อคณะกรรมการ โครงการสวนสัตว์น้ำกรุงเทพฯนี้ จะมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ เทียบเท่ากับพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย โดยจะ จัดแสดงพันธุ์ปลาน้ำจืดและปลาทะเลกว่า 1,500 ชนิด มีห้องนิทรรศการเพื่อศึกษาชีวิตโลกใต้น้ำ มีการสอนดำน้ำ โดยตั้งเป้าถึงจุดคุ้มทุนประมาณ 10 ปี ซึ่งหลังจากครบระยะสัญญา สวนสัตว์น้ำจะเป็นของ กทม. ทันที ส่วนราคาจำหน่ายบัตรเข้าชม แบ่งเป็น 2 อัตรา คือ ชาวไทย ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาท และชาวต่างประเทศ ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 1 พ.ย. 47 http://www.dailynews.co.th)
"ศิริราช" เจ๋งผ่ามะเร็งไม่ต้องตัดเต้า ทีมแพทย์เผยเป็นแห่งที่ 2 ในเอเชีย
รศ.น.พ.กริช โพธิสุวรรณ หัวหน้าภาควิชาศัลย-ศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และ รศ. น.พ. อดุลย์ รัตนวิจิตราศิลปะ ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศีรษะ คอ เต้านม แถลงถึงความสำเร็จในการพิสูจน์การกระจายของมะเร็งเต้านมโดยไม่เลาะต่อมน้ำเหลือง สำเร็จเป็นแห่งแรกของประเทศไทย และแห่งที่ 2 ของเอเชียรองจากญี่ปุ่น ทั้งนี้ รศ.น.พ.กริชกล่าวว่า ส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ เนื่องจากคลำพบก้อนเนื้อบริเวณเต้านม ซึ่งกว่าจะถึงเวลานั้นก้อนเนื้อที่พบก็จะมีขนาดใหญ่มากแล้ว ซึ่งวิธีการรักษามะเร็งเต้านมที่ดีที่สุดคือแพทย์ผ่าตัดเต้านมพร้อมกับ เลาะต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ออกด้วยทุกครั้ง ทั้งนี้ เพื่อพิสูจน์ การกระจายของเซลล์มะเร็งที่ไปยังต่อมน้ำเหลือง แต่วิธีการดังกล่าวอาจก่อให้เกิดผลแทรกซ้อนจากการเลาะต่อมน้ำเหลืองตามมา โดยเฉพาะ อาการที่พบมากคือแขนบวม ซึ่งพบประมาณ 10-15% และเมื่อแขนบวมแล้ว ไม่สามารถรักษาให้หายบวมได้ อีกทั้งแพทย์ไม่สามารถทราบได้ว่ารายใดจะมีอาการแขนบวม หัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์กล่าวต่อว่า ปัจจุบันมีวิธีการวินิจฉัยมะเร็งเต้านมด้วย เครื่องแมมโมแกรม แม้ว่าจะคลำไม่พบก้อนเนื้อเลย เพื่อดูการกระจายของโรค หากกระจายไปแล้วก็จำเป็นต้องตัดต่อมน้ำเหลืองและเต้านมด้วย หากพบว่าเชื้อโรคไม่กระจาย วิธีการรักษาต่อไปคือการตรวจส่วนที่เป็นมะเร็งพร้อมกับเนื้อเต้านมที่ดีออกมา และตามด้วยการฉายแสง ซึ่งผลการรักษาได้ผลดีกว่าผ่าตัดเต้านมออกทั้งเต้า และผลที่ดีที่สุดคือผู้ป่วยจะมีเต้านมที่สวยได้เหมือนเดิม โดยคณะแพทย์ของศิริราช ได้เริ่มใช้วิธีการดังกล่าวรักษาผู้ป่วยตั้งแต่ พ.ศ. 2541 จนถึงเดือน ก.ค. 2545 มีผู้ป่วย 215 ราย ที่รักษาด้วยการเลาะต่อมน้ำเหลืองควบคู่ไปด้วย พบว่าการตรวจสารไอโซซัลแฟน บลู กับเลาะต่อมน้ำเหลืองได้ผลตรงกันว่ามีเซลล์มะเร็งหรือไม่ถึง 96% ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ทำให้ทีมศัลยแพทย์ศิริราชใช้วิธีการผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองเซนติเนลกับผู้ป่วย ของโรงพยาบาลมาจนถึงปัจจุบัน รักษาผู้ป่วยไปแล้ว 207 คน ในจำนวนนี้ 80% มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นด้วยการผ่าตัดโดยที่ไม่ต้องเลาะ ต่อมน้ำเหลือง (ไทยรัฐ พุธที่ 3 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)
เร่งเปิดหลักสูตรเกาหลี กันแรงงานไทยถูกหลอก
นายอนุสรณ์ ไทยเดชา รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงแรงงาน ประเทศเกาหลีใต้ ได้กำหนดว่าผู้ที่จะไปทำงานยังประเทศเกาหลีใต้ต้องผ่านการอบรมหลักสูตรวิชาภาษาเกาหลีเบื้องต้น โดยแบ่งเนื้อหาเป็น 2 ส่วน คือ 1.การศึกษาทั่วไป จำนวน 100 ชั่วโมง ได้แก่ ภาษาเกาหลี 80 ชั่วโมง วัฒนธรรมเกาหลี 7 ชั่วโมง และระบบอนุญาตจ้างงาน 13 ชั่วโมง และ 2.เทคนิคศึกษาเพื่อพัฒนาสมรรถนะ จำนวน 50 ชั่วโมง ได้แก่ วิชาทั่วไป (ความปลอดภัยในการทำงาน) 15 ชั่วโมง วิชาเฉพาะตามลักษณะธุรกิจ (การก่อสร้าง การผลิต เกษตร กรรมและปศุสัตว์) 35 ชั่วโมง ดังนั้น สช.และกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน จึงได้หารือเพื่อร่วมกันจัดทำหลักสูตรการอบรมวิชาภาษาเกาหลีขึ้น ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ คาดว่าจะแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้ จากนั้นจะเปิดให้โรงเรียนที่สอนหลักสูตรระยะสั้น ตามมาตรา 15 (2) ที่สนใจขออนุญาตเปิดสอนได้ ส่วนผู้ที่ต้องการจะไปทำงานยังประเทศเกาหลี ก็จะต้องผ่านการอบรมในหลักสูตรดังกล่าว โดยกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานจะผู้เป็นดำเนินการรับสมัคร ทั้งนี้จะช่วยป้องกันปัญหาการถูกหลอกลวงจากบริษัทนายหน้า ปัญหาแรงงานเถื่อน การลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และยังช่วยให้แรงงานไทยสามารถหางานได้ตรงกับความต้องการอีกด้วย (คมชัดลึก พุธที่ 3 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)
ถอนฟันในปากกระทบขึ้นถึงสมองถอน1ซี่ดูดความจำหายไปด้วย
ศาสตราจารย์วิชาทันตวิทยา นายเอียน เบกดาห์ ของมหาวิทยาลัยอูเมียแห่งสวีเดน ผู้ร่วมในการศึกษากล่าวว่า "นักวิทยาศาสตร์หลายคนเห็นว่า ฟันไม่ได้มีความสำคัญแต่เพียงเพื่อขบเคี้ยวอาหารอย่างเดียว หากยังดูเหมือนว่า มันยังมีส่วนช่วยให้สมองคงทำงาน ได้ด้วย อย่างเช่นถ้าคนเราต้องสูญเสียฟัน หากเป็นเพราะโรคภัยไข้เจ็บอาจจะไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ที่จะมีผลกระทบมากที่สุด ก็ได้แก่การถอนฟัน ในกรณีเช่นนี้มันอาจจะกระทบกระเทือนกับความจำของเจ้าตัวได้ อย่างเช่นเมื่อไม่นานมานี้เอง นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นก็ได้ศึกษายืนยันความเกี่ยวพันโดยตรง ของความสามารถในการจำกับความสมบูรณ์ของฟันในปาก ในการศึกษาทดลองกับลิงและหนู" ในการทดลองกับสัตว์ครั้งนั้น นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นได้พิสูจน์ ให้เห็นว่า การที่หมอฟันถอนฟันคนไข้ออกไปหนึ่งซี่ ก็เท่ากับได้ถอนเส้นประสาทซึ่งเชื่อมโยง ไปถึงสมองออกไปด้วย ทำให้เราต้องสูญเสียความจำทีละเล็กน้อยไปทุกที ครั้นต่อมานักวิทยาศาสตร์สวีเดนได้มาศึกษากับคนไข้ดูบ้าง กับผู้ที่มีอายุในวัยระหว่าง 35-90 ปี จำนวน 1,962 คน และได้ลงความเห็นผลการทดลองว่า ได้ผลคล้ายกับในการศึกษากับสัตว์ อาจเป็นได้ว่าเมื่อฟันกรามโดนถอนออกไปแต่ละซี่เมื่อใด จะทำให้ต้องสูญความจำลงไปด้วยก็ได้ (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 5 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)
ออกกำลังแบบเรียนลัดเหนือกว่าเอาแต่นั่งๆ นอนๆ ไม่ทำอะไร
ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสุขภาพของสหรัฐฯได้แนะนำให้ประชาชนออกกำลัง ในระดับหนักปานกลาง ไม่ควรต่ำกว่า 30 นาที ให้ได้เกือบทุกวัน เพื่อจะได้เผาผลาญพลังงานภายในเวลาหนึ่งอาทิตย์ ลงได้ไม่น้อยกว่า 1,000 แคลอรี หรือมากกว่านั้น แต่คนส่วนใหญ่มักจะไม่มีเวลาพอจะทำเช่นนั้นได้ แต่บัดนี้นักวิจัยได้พบหนทางในการศึกษาครั้งใหม่ว่า ผู้ที่มีสุขภาพร่างกายปกติ และออกกำลังได้เพียงแค่อาทิตย์ละหนสองหนแค่นั้น แต่ออกกำลังขนาดหนัก จนเผาผลาญพลังงานลงได้ไม่น้อยกว่า 1,000 แคลอรี จะเสี่ยงกับการที่จะเสียชีวิตลงภายในระยะเวลาช่วง 10 ปีข้างหน้า เมื่อเทียบกับผู้ที่เพียงแต่นั่งๆ นอนๆไม่ค่อยได้ออกกำลัง อาทิตย์หนึ่งเผาผลาญพลังงานลงได้แค่ไม่ถึง 500 หน่วย น้อยกว่ากันถึง 60% หัวหน้านักวิจัย ดร.ไอ มิน ลี ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่นครบอสตันกล่าวสรุปว่า "การออกกำลังจำเป็นต่อสุขภาพ ถึงทำได้เท่าใด ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำเลย" (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 5 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)
หุ่นยนต์เพื่อนใหม่ของมนุษย์?
ในการประชุมประจำปีของยูเอ็น ที่นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ เกี่ยวกับการสำรวจหุ่นยนต์ในโลก ปรากฏว่า จากข้อมูลการสำรวจของยูเอ็นพบว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มนุษย์นำหุ่นยนต์มาใช้ในบ้านมากขึ้น ทั้งทำความสะอาด บ้าน รักษาความปลอดภัย และเกี่ยวกับความบันเทิงภายในบ้าน แต่หุ่นยนต์ประเภทเลียนแบบมนุษย์ก็ยังได้รับความนิยมน้อยกว่าหุ่นยนต์รุ่นดั้งเดิมที่เข้าไปคลุกคลีกับมนุษย์ เป็นผู้ช่วยแม่บ้านที่เรารู้จักกันมานาน ซึ่งก็คือ เครื่องดูดฝุ่น ยูเอ็นระบุว่า ในปี ค.ศ. 2003 มีหุ่นยนต์ถูกนำมาใช้งานภายในบ้านมากถึง 607,000 ตัว และคาดว่าในปี ค.ศ. 2007 ปริมาณการใช้หุ่นยนต์จะสูงขึ้น 4.1 ล้านตัว หรือประมาณ 7 เท่า ของที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน งานที่หุ่นยนต์ต้องรับผิดชอบภายในบ้านก็คือ งานทำความสะอาดบ้าน ทำความสะอาดสระว่ายน้ำ ทำความสะอาดกระจกหน้าต่าง ฯลฯ บริษัทผู้ผลิตหุ่นยนต์ออกจำหน่ายอย่างโซนี่ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งผลิตหมาน้อยไอโบะออกมาหลายเวอร์ชั่น ก็กำลังพัฒนาให้ไอโบะมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันเจ้าไอโบะเต้นรำ บันทึกเสียง เตะฟุตบอล และแสดงท่าทางต่าง ๆ ได้เหมือนสุนัขตัวจริง ส่วนอังกฤษ ในปี ค.ศ. 2003 ที่ผ่านมา มีการลงทุนเพื่อสร้างและพัฒนาหุ่นยนต์สูงขึ้นถึง ร้อยละ 48 จากการสำรวจความเห็นของผู้คนจากหลายประเทศทั้งในยุโรป และเอเชีย ต่างมีความเห็นตรงกันว่า อยากได้หุ่นยนต์มา ช่วยทำงานบ้าน โดยเฉพาะ งานหนัก ๆ ทั้งหลาย รวมทั้งทำหน้าที่ดูแลเด็ก ๆ คอยเข็นรถเข็นตามไปช้อปปิ้ง ทำอาหาร ล้างรถ ฯลฯ (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 5 พ.ย. 47 http://www.dailynews.co.th)
ฉีดพ่นไร่นาสวนด้วยน้ำอัดลมเชื่อว่าควบคุมแมลงศัตรูพืชได้
หนังสือพิมพ์ "การ์เดียน" ของอินเดีย รายงานว่า ชาวไร่ชาวนาในแคว้นอันตรประเทศและฉัตรติสการ์ห ใช้เครื่องดื่มพวกโคลาพ่นฉีดฆ่าแมลงที่มากัดกินฝ้ายในไร่ รวมทั้งชาวนาข้าวสาลี ในเมืองเดิร์ก ราชนันด์โกน และธรรมาตาริก็มาบอกด้วยว่า ได้ใช้น้ำอัดลม เพื่อป้องกันพืชผลของตนจากแมลงด้วยเช่นกัน ยกย่องว่าการใช้เครื่องดื่มน้ำอัดลมมาพ่นฉีด ยังมีประโยชน์อย่างอื่นอีก เพราะใช้ได้โดยปลอดภัย ไม่ต้องไปผสมน้ำ นอกจากนั้น ยังราคาถูกกว่ากันด้วย นักวิชาการเกษตรในแคว้นนั้น ก็ได้ให้ความเห็นเป็นเชิงสนับสนุนด้วย โดยกล่าวว่า น้ำตาลในน้ำอัดลมจะช่วยให้มันมีฤทธิ์ปราบปรามแมลงอย่างได้ผล นักวิชาการเกษตรอีกคนหนึ่งนายมเหนทรา ชาร์มา ก็ได้ให้เหตุผลว่า ชาวไร่ชาวนาอาจจะเข้าใจไปเอง แต่ตามปกติเครื่องดื่มก็มีน้ำเชื่อมผสมอยู่แล้ว เมื่อเอาไปรดพืชผล มันก็จะล่อมดให้มากินไข่และตัวอ่อนของแมลงศัตรูพืชไป เขาอ้างว่าการใช้น้ำเชื่อมกำจัดแมลงไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร "เคยใช้น้ำตาลโตนด เพื่อควบคุมแมลงกันมาหลายหนหลายคราวแล้ว การใช้เป๊ปซี่และโคคา-โคลา ก็ย่อมเกิดผลแบบเดียวกัน" และยังมีนักวิชาการเกษตรคนอื่น นายสังเกตุ ทากุระมาร่วมให้ความเห็นด้วย ว่า "วิธีการแบบนี้ ยังจะช่วยให้พืชพลอยได้รับคาร์โบไฮเดรทและน้ำตาล เป็นการบำรุงภูมิคุ้มโรคของพืชให้แข็งแรงและส่งผลให้ออกดอกออกผลดกขึ้น" (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 6 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)
กินยาแผนโบราณเข้าสเตียรอยด์อาจทำให้หัวใจเกิดหยุดเต้นได้
นายภักดี โพธิศิริ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เตือนผู้บริโภคระวังอันตรายจากยาแผนโบราณ ที่แสดงสรรพคุณโอ้อวดว่ารักษาได้สารพัดโรค เผยผลตรวจยา "ร่วมหว่านหัวใหญ่สมุนไพรประดง 108 ยาแผนโบราณ" หลังมีการร้องเรียน พบมีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ ที่จะทำให้มีผลต่อระบบต่างๆในร่างกายแทบทุกระบบ อาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ ขอให้ผู้บริโภคอย่าหลงเชื่อซื้อมากินเด็ดขาด จาการที่ (อย.) ได้รับแจ้งจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงคราม เกี่ยวกับการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภค ถึงยาเม็ดแผนโบราณชื่อยาร่วมหว่านหัวใหญ่สมุนไพรประดง 108 ยาแผนโบราณ ปรุงโดยพระภิกษุจากจังหวัดพะเยา โดยฉลากยามีการแสดงสรรพคุณทางยา ในลักษณะโอ้อวดสรรพคุณเกินจริงว่า สามารถรักษาได้สารพัดโรค ซึ่งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงคราม ได้เก็บตัวอย่างยาแผนโบราณดังกล่าว ตรวจหาสารสเตียรอยด์ ผลปรากฏพบสารสเตียรอยด์ ชนิดเพร็ดนิโซโลน (Prednisolone) ซึ่งเป็นยาควบคุมพิเศษ และพบการแสดงทะเบียนตำรับยาไม่ถูกต้อง การได้รับยาที่มีส่วนผสมของยาในกลุ่มสเตียรอยด์ ขอให้ผู้บริโภคใช้วิจารณญาณให้ดี อย่าหลงเชื่อคำโฆษณา หากจำเป็นต้องใช้ยาควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน แต่ถ้าผู้บริโภคพบเห็นหรือสงสัยว่า มีการโฆษณาสรรพคุณยาโอ้อวดหรือไม่ตรงกับที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนตำรับยา สามารถร้องเรียนมายังสายด่วน อย. โทร. 1556 เพื่อ อย.จะได้เร่งตรวจสอบดำเนินการตามกฎหมายแก่ผู้กระทำผิดทันที (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 6 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)
บุหรี่ส่งสารก่อมะเร็งถึงทารก แพทย์เตือนหญิงตั้งครรภ์งดสูบ
ผลวิจัยจากแผนกระบาดวิทยา คณะแพทยศาสตร์ฮาร์วาร์ด เมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา และหน่วยระบาดวิทยาคลินิก โรงพยาบาลคาโรลินสกา สวีเดน ระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่มารดาสูบบุหรี่ระหว่างตั้งครรภ์ จะทำให้เด็กที่เกิดมาเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน โดยติดตามข้อมูลของเด็กเกิดระหว่างที่มีมารดาสูบบุหรี่จำนวน 1.44 ล้านคน ที่เกิดระหว่าง พ.ศ.2526 และ พ.ศ.2540 พบว่า เด็ก 750 คน เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวตั้งแต่แรกเกิด การสูบบุหรี่ของมารดาจึงสัมพันธ์กับความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน โดยเฉพาะมารดาที่สูบบุหรี่มากกว่า 10 มวนต่อวัน รศ.พ.ญ.จิรายุ เอื้อวรากุล ภาควิชาอายุรศาสตร์ สาขาวิชาโลหิตวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า จากสถิติของสถาบันวิทยามะเร็ง คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ระหว่างปี พ.ศ.2533-2546 พบว่า มะเร็งที่พบบ่อยที่สุดในเด็กไทย คือ มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน โดยพบถึง 883 คน จากเด็กที่เป็นมะเร็งทั้งหมด 2,023 คน จึงอยากเตือนมารดาที่สูบบุหรี่ว่าการสูบบุหรี่เป็นการส่งสารก่อมะเร็งถึงทารก เพราะทำให้เด็กที่แม่สูบบุหรี่เสี่ยงต่อโรคมะเร็งชนิดต่างๆ และยังเสี่ยงต่อความพิการชนิดอื่นด้วย (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 6 พ.ย. 47http://www.bangkokbiznews.com)
KMUTT
Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215
|
|
|