หัวข้อข่าวปีที่ 5 ฉบับที่ 48 ประจำวันที่ 2004-11-28

ข่าวการศึกษา

เผยอัดฉีดดี ม.รัฐไม่อยากออกนอกระบบ จี้ สกอ.เจ้าภาพทบทวนนโยบาย
ฉลอง 100 ปี ไทย-นอร์เวย์จัดแลกเปลี่ยนนักวิชาการ
ญวน...ทุ่มสุดตัว หวังนำการศึกษาเอเชีย
ม.เอกชนเฮเกณฑ์พิจารณา"ศ."ใกล้คลอด
อาชีวะตั้งศูนย์บ่มเพาะช่างปิโตรเลียม
ร่างมหาวิทยาลัยบูรพา ส.ว.ถกข้ามคืนก่อนผ่าน

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

มิติใหม่เอไอเอส 1เบอร์หลายซิม ใช้ได้หลายเครื่อง
แล็บจุฬาฯ บริการตรวจอาหารจีเอ็มโอ ทุ่ม 100 ล้านพัฒนาเทคโนโลยีระดับสูงให้สากลยอมรับ
ปีใหม่ดู2ปรากฏการณ์ธรรมชาติ 5ดาวเคราะห์เรียงตัว-มัคโฮลซ์โผล่
ยานอวกาศแสงอาทิตย์
ประดิษฐ์รองเท้าของคนตาบอดรู้เห็นว่ามีสิ่งกีดขวางด้วยเท้า
เอ็มเทคดันแผนแม่บทผลิตภัณฑ์สีเขียว
รถสินค้าติดดาวเทียม คุมคนขับซิ่ง –ป้องกันทรัพย์สินล่องหน
มะกันตื่นภัยปัญหาแบตเตอรี่มือถือระเบิด หน่วยงานรัฐหนุนวางมาตรฐานการผลิตแบตเตอรี่
ภาค5ใช้เทคโนโลยีช่วยตามรถหาย
ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่ม แนะรัฐวิจัยหาเทคโนมิตรสวล.
เขื่อนใต้ดินในญี่ปุ่น

ข่าววิจัย/พัฒนา

ตาอิเล็กทรอนิกส์ช่วยคนตาบอด เดินข้ามถนนได้ตลอดรอดฝั่ง
แรงบันดาลใจจากเพลิงไหม้ ประดิษฐ์คิดค้นลูกบอลดับเพลิง
สารจากชาเขียวและสาหร่าย ใช้เลี้ยงกุ้งหน้าหนาวให้โตเร็ว
ม.เชียงใหม่วิจัย น้ำเสียปลูกข้าว แล็บชี้ปลอดภัย
นวัตกรรมใหม่ 'เครื่องสีข้าวขนาดเล็ก' ฝีมือคนไทย
พบวิธีให้กลับเป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นมาใหม่ได้มากนานถึง 10 ปี
กระดูกเทียมนุ่มเหมือนฟองน้ำ ใส่แทนที่กระดูกจริงลดผ่าตัดซ้ำ
จับโจรขึ้นบ้านผ่านมือถือ สอดส่องความปลอดภัยได้ทุกที่ทุกเวลา
มหิดล-บูรพาร่วมวิจัย พันธุ์ม้าน้ำเพื่อการค้า
มจธ.ปลื้มโครงการเพาะเลี้ยงเห็ดนกยูงฉลุย
ยิ่งนอนน้อยยิ่งเสี่ยงเป็นโรคอ้วน
ถอดรหัสพันธุกรรมคนเอเชีย ปูทางพัฒนายาเฉพาะชาติ
ควันธูปเทียนมีสารก่อมะเร็งเนื้อร้ายสูดหายใจ อาจเป็นอันตรายกับปอด
มจธ.คิดค้นเครื่องถนอมอาหารหนุนส่งออก
นักวิทย์อังกฤษคิดหลอดทดลองจิ๋วนาโน
ฟีโบ้เดินหน้าผลิตนักวิจัยหุ่นยนต์ พัฒนาแขนกลไทยทดแทนนำเข้า
ไอเรื้อรังแก้ได้ด้วยช็อกโกแลต
ราชมงคลน่าน แปลงโฉมพุทธรักษา
นักวิทย์สร้างดัชนีเชื้อเมลิออยโดสิส ช่วยรัฐเฝ้าระวังการติดเชื้อ-เพิ่มอัตราผู้รอดชีวิต
เภสัชกรรมเปิดเวที "FAPA 2004" ไทยโชว์สารสกัดจากทะแลแก้มะเร็ง
กำไลกันยุงจากน้ำมันตะไคร้หอม ผลงานนิสิตเภสัชฯ จุฬาฯ
สหรัฐวิจัยโปรตีนซ่อมกล้ามเนื้อหัวใจ

ข่าวทั่วไป

พบซากลิงยักษ์ไร้หางในสเปนต้นกำเนิดบรรพบุรุษคนเรา
ปลดล็อกมาตรฐาน มอก. เปิดทางสถาบันอิสระทำคลอด-ปลุก มาตรฐานชุมชน
จีนจะสร้างหอสูงแชมเปี้ยนโลกสูงเสียดฟ้ามากถึง 600 เมตร
แพทย์สหรัฐชี้ต้นตอหวัดนกมาจากวัคซีน
พลังงานจัดเวิร์กชอปเดือนหน้า ระดมสมองวางแนวพัฒนาปิโตรฯ
"อังค์ถัด" ให้เครดิตประเทศไทย อันดับ 4 แห่งการลงทุนของโลก
ไทยได้เป็นกรรมการไอยูซีเอ็น หนุนบทบาทผู้หญิงสิ่งแวดล้อม
ไทยผุดทางหลวง-ทางรถไฟเอเชีย เชื่อมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อนบ้าน
สร้างทางด่วน-รถไฟฟ้าไปฝั่งธนฯเวนคืนบ้าน 2,700 หลังกลางปีหน้า
ปิดฉากสมัชชาสิ่งแวดล้อม 5 ประเทศร่วมมือแม่น้ำโขง
น.ศ.ราชมงคลคว้ารางวัล"D"mond Young Desingner
สมุยเปิดศูนย์เวชศาสตร์ทางทะเล
พืชทะเลทรายลดไขมัน ทำยาสั่งกระเพาะไม่หิว
รู้ไว้ก่อนตัดสินใจซื้ออุปกรณ์ออกกำลัง





ข่าวการศึกษา


เผยอัดฉีดดี ม.รัฐไม่อยากออกนอกระบบ จี้ สกอ.เจ้าภาพทบทวนนโยบาย

ศ.ดร.ปรัชญา เวสารัชช์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ให้สัมภาษณ์ถึงการใช้ พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.2547 ว่า หลังการประกาศใช้ ทางสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ต้องวางหลักเกณฑ์ ต่างๆให้ชัดเจน เช่น การให้รองศาสตราจารย์อยู่ต่อจนถึงอายุ 65 ปี ซึ่งไม่ได้อยู่ต่อกันได้ทุกคน หรือเรื่องการให้เงินประจำตำแหน่งทางวิชาการและทางบริหาร ในกรณีที่ รศ.คนใดได้เป็นรองอธิการบดี ก็จะได้เงินประจำตำแหน่ง 2 ทาง โดยในส่วนของเงินประจำตำแหน่งทางวิชาการนั้น รัฐบาลได้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าตั้งแต่เดือน เม.ย.2547 ที่ผ่านมา ดังนั้นหากยังเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ กระทรวงการคลังก็จะยังจ่ายเงินให้ตามเดิม ดังนั้นมหาวิทยาลัยก็คงต้องคิดอีกรอบว่า จำเป็นต้องออกนอกระบบหรือไม่ ซึ่งขณะนี้เห็นได้ชัดว่า มหาวิทยาลัยหลายแห่งที่ส่งกฎหมายไปแล้ว กำลังคัดค้านการออกนอกระบบและอยากถอนร่างกฎหมาย เช่น ม.บูรพา ม.ทักษิณ เป็นต้น เงื่อนไขในการออกนอกระบบราชการในอดีต เป็นไปเพื่อความคล่องตัว เพราะราชการไม่ได้ให้แรงจูงใจใดๆ และระเบียบต่างๆก็ติดขัด แต่ในขณะนี้รัฐบาลสร้างแรงจูงใจ ให้ค่าตอบแทนเพื่อดึงคนอยู่ในระบบราชการมากขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้มหาวิทยาลัยหลายแห่งก็จะถามตัวเองว่า จะออกนอกระบบดีหรือไม่ ซึ่งรัฐบาลน่าจะทบทวน และหาทางออกในเรื่องนี้ เช่น ให้สิทธิมหาวิทยาลัยเลือกว่าจะออกหรือไม่ หากยังต้องการก็เดินหน้า แต่ถ้าไม่ออกนอกระบบก็ให้มหาวิทยาลัยถอนร่างคืนได้ หรือหากรัฐบาลอ้างว่ามหาวิทยาลัยต้องออกนอกระบบเพราะติดเงื่อนไขของเอดีบี มหาวิทยาลัยก็ต้องออก แต่รัฐจะช่วยมหาวิทยาลัยปลดภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้นอย่างไร ซึ่งต้องมีรายละเอียดที่ชัดเจน โดยการทบทวนนี้ อยากให้เป็นการริเริ่มของ สกอ. และอธิการบดีจะเป็นผู้ให้ข้อมูล แต่คาดว่าคงไม่สามารถทบทวนได้ในเร็ววันนี้ เพราะใกล้เลือกตั้ง (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 22 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)





ฉลอง 100 ปี ไทย-นอร์เวย์จัดแลกเปลี่ยนนักวิชาการ

นางจรวยพร ธรณินทร์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้จัดโครงการแลกเปลี่ยนทางวิชาการระหว่างประเทศไทยกับประเทศนอร์เวย์ ตามที่ทางกระทรวงการต่างประเทศได้ประสานมายัง ศธ. เพื่อขอให้ร่วมกันจัดกิจกรรมในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-นอร์เวย์ ในปี 2548 เพื่อเป็นการฉลองความสัมพันธ์ทางการศึกษาด้วย แบ่งเป็น 2 โครงการ คือ 1.สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) จะเดินทางไปศึกษาดูงานด้านการทำฟาร์มวัวนม การเกษตร และการประมงที่ประเทศนอร์เวย์ เนื่องจากนอร์เวย์เป็นประเทศที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้มาก ส่วนอีกโครงการ มหาวิทยาลัยมหิดลยังจัดการแลกเปลี่ยนทางวิชาการร่วมกับนอร์เวย์ในด้านการบริหารความเครียด การบริหารจิตวิทยา การใช้ดนตรีบำบัดและการฝึกอบรมบิดามารดาให้เลี้ยงดูบุตรให้เป็นคนดีและมีคุณภาพ ซึ่งนอร์เวย์เน้นการอบรมบุตร และมีกฎหมายบังคับให้แม่ที่คลอดบุตรต้องลาคลอดเป็นเวลา 6 เดือน (คมชัดลึก จันทร์ที่ 22 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)





ญวน...ทุ่มสุดตัว หวังนำการศึกษาเอเชีย

ผลการสำรวจ ขององค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ปรากฏว่า ในปี 2547 นี้ เวียดนาม มีคุณภาพด้านการศึกษาภายในประเทศ อยู่ในลำดับที่ 64 ของโลก จากการสำรวจทั้งสิ้น 127 ประเทศด้วยกัน ขณะที่ประเทศไทยเรา คุณภาพการศึกษาในปีนี้ ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 60 ของโลก และถ้าหากเลียงอันดับในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือภูมิภาคอาเซียนด้วยกันแล้ว เวียดนามก็รั้งอันดับที่ 2 เป็นรองก็แต่ไทยเราเท่านั้น ทั้งนี้ ก็ด้วยรัฐบาลของเขา ให้ความดูแลเอาใจใส่การศึกษาของชนในชาติอย่างเป็นรูปธรรมและหลายๆ ด้าน ควบคู่กันไป เรียกว่า ลุยงานด้านการศึกษากันแบบบูรณาการจริงๆ นับตั้งแต่การรณรงค์ให้ประชาชนรู้หนังสือ อย่างน้อยต้องอ่านออก เขียนได้ โดยในปีนี้ ทางการเวียดนามสามารถทำยอดจำนวนผู้รู้หนังสือได้ถึง 90.3 เปอร์เซ็นต์ จากจำนวนประชากรทั้งประเทศ ซึ่งล้ำหน้ามาตรฐานอัตราเฉลี่ยของคนที่รู้หนังสือทั่วโลก ที่มีจำนวน 81.7 เปอร์เซ็นต์ พร้อมกันนั้น รัฐบาลฮานอย ยังเร่งระดมพัฒนาเหตุปัจจัยอื่นๆ ให้เอื้อต่อการฟื้นฟูระบบการศึกษา เช่น การผลิตครู-อาจารย์ ทั้งด้านคุณภาพและปริมาณ การจัดหาวัสดุและอุปกรณ์ทางการศึกษาให้เพียงพอต่อการใช้งาน ซึ่งในปีนี้เวียดนามทุ่มงบไปด้วยจำนวนถึง 1.6 พันล้านดอลลาร์ หรือกว่า 6 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 17.1 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณทั้งประเทศ (สยามรัฐ จันทร์ที่ 22 พ.ย. 47 http://www.siamrath.co.th)





ม.เอกชนเฮเกณฑ์พิจารณา"ศ."ใกล้คลอด

นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการเกี่ยวกับร่างระเบียบ กกอ.ว่าด้วยมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการแต่งตั้งคณาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาเอกชนให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการ ซึ่งยกร่างตาม พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ.2546 โดยระเบียบดังกล่าวได้มอบอำนาจให้สภาสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในการตั้งคณะกรรมการพิจารณาตำแหน่งทางวิชาการทั้งระดับผู้ช่วยศาสตราจารย์(ผศ.) รองศาสตราจารย์(รศ.) และศาสตราจารย์(ศ.) โดยมีประธานคณะกรรมการจากผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก ทำหน้าที่แต่งตั้งผู้อ่านผลงานทางวิชาการจากบัญชีรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) เมื่อพิจารณาเรียบร้อยแล้วให้เสนอคณะกรรมการ กกอ.เห็นชอบ เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ให้ทรงโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง นายภาวิชกล่าวต่อว่า การประชุมคณะกรรมการ กกอ.ในวันที่ 24 พฤศจิกายน หากนายพจน์ สะเพียรชัย ประธาน กกอ.ลงนามในร่างระเบียบดังกล่าวจะทำให้สถาบันอุดมศึกษาเอกชนสามารถพิจารณาตำแหน่งทางวิชาการถึงระดับ ศ.ได้เอง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทย และสามารถพิจารณา ศ.ได้ก่อนมหาวิทยาลัยรัฐอีก เนื่องจาก พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา(ก.พ.อ.) พ.ศ.2547 เพิ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทำให้ร่างระเบียบ ก.พ.อ.ว่าด้วยมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการแต่งตั้งคณาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการยังไม่ได้ยกร่าง คาดว่ามาตรฐานการพิจารณาผู้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการของมหาวิทยาลัยรัฐคงไม่ต่างจากสถาบันอุดมศึกษาเอกชน เพียงแต่เมื่อสภามหาวิทยาลัยพิจารณาผู้เหมาะสมให้ดำรงตำแหน่ง ศ.เสร็จแล้ว ให้เสนอคณะกรรมการ ก.พ.อ.พิจารณาเห็นชอบ เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ให้ทรงโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง สำหรับผลงานที่ต้องเสนอเพื่อขอตำแหน่งทางวิชาการนั้น ในระดับ รศ.และ ศ.แตกต่างจากเดิมมาก คือต้องเสนอผลงานทางวิจัย หรือผลงานทางวิชาการอื่นๆ และตำรา โดยในส่วนของผลงานทางวิชาการอื่นๆ หมายถึงสิ่งประดิษฐ์ หรืออื่นๆ ที่มีคุณภาพดีมากในระดับ รศ.และดีเลิศในระดับ ศ. (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 22 พ.ย. 47 http://www.matichon.co.th)





อาชีวะตั้งศูนย์บ่มเพาะช่างปิโตรเลียม

เมื่อวันที่ 24 พ.ย. นายวีระศักดิ์ วงษ์สมบัติ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เปิดเผยถึงโครงการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมปิโตรเลียม ปตท.สผ. โดยความร่วมมือกับ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ว่า การจัดตั้งศูนย์ฯ ดังกล่าวจะมุ่งฝึกอบรมพนักงานช่างเทคนิคปิโตรเลียม เสริมสร้างความชำนาญทางด้านการผลิตปิโตรเลียมไทยสู่มาตรฐานสากล โดยจะสนับสนุนอาจารย์ และนักศึกษาอาชีวะเกิดความรู้และทักษะทางวิชาชีพการปิโตรเลียมในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นวิธีดำเนินการอย่างหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนให้ผู้สอนและผู้เรียนได้เพิ่มฐานความรู้ ฝึกปฏิบัติจากสถานการณ์จริงเป็นการเพิ่มทักษะและประสบการณ์ตรงในการปฏิบัติการ จะทำให้บุคลากรได้รับการพัฒนาสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างแท้จริง โครงการนี้จะใช้พื้นที่วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ เป็นที่ตั้งของศูนย์ฯ ภายใต้หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สาขาเทคโนโลยีปิโตรเลียม ซึ่งผู้เข้ารับการอบรมต้องมีคุณสมบัติเพศชาย อายุ 20-28 ปี สำเร็จการศึกษาระดับ ปวส. สาขาเครื่องยนต์ อิเลคทรอนิคส์ ไฟฟ้ากำลัง เครื่องกลอุตสาหกรรม และเครื่องมือวัดและควบคุม รับจำนวน 40 คน การอบรมแบ่งเป็น ช่วงแรกการพัฒนาหลักสูตรและเตรียมการฝึกอบรม ส่วนช่วงหลัง การฝึกอบรมหัวข้อต่างๆ เช่น ภาษาอังกฤษสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม เทคโนโลยีด้านน้ำมันและก๊าซ ความรู้ทางช่างด้านต่างๆ ตลอดจนการฝึกปฏิบัติในห้องปฏิบัติการ และการฝึกงานบนแท่นผลิต โดยมีกำหนดระยะเวลา 2 ปี 1 เดือน ตั้งแต่ ม.ค.2548-ธ.ค.2549 (สยามรัฐ พฤหัสบดีที่ 25 พ.ย. 47 http://www.siamrath.co.th)





ร่างมหาวิทยาลัยบูรพา ส.ว.ถกข้ามคืนก่อนผ่าน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วุฒิสภาได้ประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) มหาวิทยาลัยบูรพา พ.ศ.... ของคณะกรรมาธิการวิสามัญวุฒิสภา ที่มีนายแก้วสรร อติโพธิ ส.ว.กทม. เป็นประธาน ตั้งแต่เวลาประมาณ 18.30 น.ของวันที่ 23 พฤศจิกายน และสิ้นสุดการพิจารณาเมื่อเวลาประมาณ 00.30 น. ของวันที่ 24 พฤศจิกายน โดยส่วนใหญ่วุฒิสภามีมติให้แก้ไขร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวตามคณะกรรมาธิการวิสามัญ วุฒิสภา แต่มีบางมาตราวุฒิสภามีมติให้กลับไปยังร่างเดิมของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งหลังจากนี้วุฒิสภาจะต้องส่งร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป หากสภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขของวุฒิสภา ก็จะต้องมีการตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกันจากสองสภาขึ้นมาพิจารณา (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 25 พ.ย. 47 http://www.matichon.co.th)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


มิติใหม่เอไอเอส 1เบอร์หลายซิม ใช้ได้หลายเครื่อง

นายกฤษณัน งามผาติพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานการตลาด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงนวัตกรรมซิมการ์ดหลายใบ สำหรับมือถือเบอร์เดียว หรือมัลติซิม ซึ่งเป็นผลงานการค้นคว้าจากห้องปฏิบัติการแห่งอนาคต โดยพร้อมเปิดให้บริการแก่ลูกค้าในระบบลงทะเบียน ส่วนลูกค้าบัตรเติมเงินต้องอดใจรอในต้นปีหน้า ทั้งนี้ จากการสำรวจความต้องการของผู้ใช้มือถือ พบว่า ลูกค้าถึงร้อยละ 40 ใช้โทรศัพท์หลายเครื่อง แต่ต้องการใช้เบอร์เพียงเบอร์เดียว เนื่องจากมีการใช้มือถือในรูปแบบของการใช้ชีวิตที่ต่างกัน ตัดปัญหาในการจดจำหมายเลขมือถือของแต่ละเครื่อง โดยเอไอเอส เชื่อว่า หลังจากเปิดให้บริการแล้ว จะมีลูกค้าจีเอสเอ็ม แอดวานซ์ 200,000 ราย สมัครใช้บริการนี้ สำหรับประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้จากการใช้บริการมัลติซิม คือ สามารถการเปลี่ยนเครื่องตามกิจกรรมการใช้งาน โดยไม่ต้องถอดซิมการ์ดออก นับได้ว่ามีความสะดวกสบายมากขึ้น อีกทั้งยังมีผู้บริโภคบางกลุ่มที่มักจะใช้อุปกรณ์พีดีเอโฟนในวันทำงาน แต่เปลี่ยนไปใช้มือถือแฟชั่นขนาดบางเล็กสำหรับออกงานกลางคืน หรือการใช้มือถือที่ออกแบบด้วยวัสดุทนทานสำหรับกิจกรรมในวันหยุด ซึ่งเป็นกลุ่มหลักที่จะใช้งานมัลติซิม โดยเอไอเอส กำหนดให้ 1 เลขหมาย ใช้ได้ 5 ซิม และจำหน่ายซิมการ์ดใบละ 350 บาท สามารถรับสายและโทรออกได้ครั้งละ 1 เบอร์ ส่วนเบอร์อื่นๆ สามารถเปิดใช้งานจีพีอาร์เอสได้ สำหรับการเปลี่ยนเครื่องหลักเพื่อใช้โทรเข้า - ออก ผู้ใช้สามารถกดจากหน้าจอมือถือ *100# เพื่อกำหนดให้เครื่องนั้นเป็นเครื่องหลักได้ทันที และเครื่องอื่นๆ จะเปลี่ยนเป็นเครื่องรองทันทีเช่นกัน (คมชัดลึก จันทร์ที่ 22 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)





แล็บจุฬาฯ บริการตรวจอาหารจีเอ็มโอ ทุ่ม 100 ล้านพัฒนาเทคโนโลยีระดับสูงให้สากลยอมรับ

ศ.ดร.เปี่ยมศักดิ์ เมนะเศวต คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ห้องปฏิบัติการวิจัยและทดสอบอาหาร ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดคณะ ได้เปิดบริการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างอาหาร วิจัย ตลอดจนการพัฒนาเทคนิคการวิเคราะห์อาหาร ให้อุตสาหกรรมอาหารส่งออกและนำเข้า รวมถึงห้างสรรพสินค้าที่ต้องการตรวจสอบคุณภาพสินค้าที่วางขายในซูเปอร์มาร์เก็ต พร้อมทั้งบริการด้านวิจัยวิชาการสำหรับเพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการพัฒนาและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมอาหาร โดยปัจจุบันอาหารเป็นสินค้าส่งออกระดับต้นๆ ซึ่งมีมูลค่ากว่า 400,000 ล้านบาทต่อปี และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นในทุกๆ ปี โดยมีตลาดหลักอยู่ในประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป และหลายประเทศในเอเชีย และในการส่งสินค้าออกจำเป็นที่จะต้องให้ได้มาตรฐาน ความปลอดภัยของอาหารจะต้องได้รับรองคุณภาพตาม ISO / IECT17025 ซึ่งเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับชาติและนานาชาติ สำหรับห้องปฏิบัติการมีศักยภาพสามารถตรวจวิเคราะห์หาสารปนเปื้อนในอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการตรวจวิเคราะห์หาสารเคมี ตรวจสอบพืชดัดแปรพันธุกรรม (จีเอ็มโอ) รวมไปถึงการตรวจวิเคราะห์ในด้านไมโครจุลินทรีย์เพื่อหาการปนเปื้อนเชื้อโรค โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งช่วยร่นระยะเวลาการตรวจสอบให้รวดเร็วขึ้น อาทิ การตรวจวิเคราะห์พืชดัดแปรพันธุกรรม (จีเอ็มโอ) ด้วยวิธีพีซีอาร์ ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับการตรวจหาสารพันธุกรรม หรือดีเอ็นเอ นอกจากนี้ ยังใช้เทคโนโลยี LCMHMH เพื่อตรวจสอบปริมาณสารตกค้างในอาหาร โดยเทคโนโลยีดังกล่าวทำให้ระยะเวลาการตรวจสอบคุณภาพอาหารสั้นลง จากเดิม 16 ชั่วโมง เหลือเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น ทั้งนี้ ห้องปฏิบัติการได้ใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาทในการลงทุนด้านเทคโนโลยี จนกระทั่งได้รับรองมาตรฐาน ISO/IECT17025 ในการบริการตรวจวิเคราะห์ทั้งอาหารสด ประเภทที่เป็นวัตถุดิบ รวมถึงการสุ่มตรวจในลักษณะของบรรจุภัณฑ์ส่งออกและนำเข้า "ในปัจจุบันอยู่ระหว่างประสานความร่วมมือกับหน่วยงานรับรองมาตรฐานอาหาร TUV ประเทศเยอรมนี เพื่ออนุมัติเครื่องหมายรับรองสำหรับสินค้าที่ผ่านการตรวจสอบจากห้องปฏิบัติการ โดยเครื่องหมายดังกล่าวเป็นที่ยอมรับในตลาดยุโรป และคาดว่า ไม่เกิน 3 เดือนข้างหน้า เราจะสามารถออกตรารับรองมาตรฐานสินค้าในระดับสากลดังกล่าวได้" คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ กล่าว ทั้งนี้ อัตราค่าบริการขึ้นอยู่กับประเภทของสารที่ใช้ตรวจวิเคราะห์ ซึ่งอัตราต่ำสุด 100-200 บาท สำหรับบริการตรวจทั่วไป ขณะที่การตรวจด้านจีเอ็มโออัตราค่าบริการเริ่มตั้งแต่ 1,500 - 4,000 บาท ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของประเภทสารที่ต้องการตรวจวิเคราะห์ โดยผู้สนใจใช้บริการสามารถติดต่อได้ที่ห้องปฏิบัติการ ชั้น 16 อาคารมหามกุฏ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 23 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ปีใหม่ดู2ปรากฏการณ์ธรรมชาติ 5ดาวเคราะห์เรียงตัว-มัคโฮลซ์โผล่

นายวรเชษฐ์ บุญปลอด กรรมการบริหารสมาคมดาราศาสตร์ไทย(สดท.) เปิดเผยว่า ช่วงใกล้ปีใหม่ และหลังปีใหม่ คนไทยจะได้เห็นปรากฏการณ์ท้องฟ้าที่น่าติดตามถึง 2 ปรากฏการณ์คือ ปรากฏการณ์เรียงตัวของดาวเคราะห์ตามลำดับความใกล้-ไกล จากดวงอาทิตย์หรือที่เรียกว่า Right order คือ มองไปบนท้องฟ้า ทางทิศตะวันออกไปตะวันตก จะเห็น ดาวพุธอยู่ขอบฟ้าด้านล่าง ถัดมาเป็นดาวศุกร์ สูงขึ้นมาจะเป็นดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี และดาวเสาร์ ซึ่งจะอยู่กึ่งกลางระหว่างท้องฟ้ากับเหนือศีรษะ อย่างซึ่งค่อนข้างสังเกตยากหากไม่รู้ทิศทางและตำแหน่งที่ชัดเจนของดาวแต่ละดวง แต่จะสามารถสังเกตได้จากดาวดวงที่สว่างมากๆ และสังเกตได้ง่ายคือ ดาวศุกร์กับดาวพฤหัสบดี โดยจะเริ่มเห็นตั้งแต่ วันที่ 21 ธันวาคมเป็นต้นไปถึง 7 มกราคมปีหน้า และอีกปรากฏการณ์คือ การโคจรเข้าใกล้โลกของดาวหาง มัคโฮลซ์ หรือ C/2004 Q2 Machholz ที่นายโดนัลด์ มัคโฮลซ์ เพิ่งค้นพบเมื่อ วันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา จะเริ่มสังเกตดาวหางมัคโฮลซ์ ซึ่งเป็นดาวในกลุ่มดาววัว ได้ตั้งแต่คืนวันที่ 5 ธันวาคม ขณะนั้นดาวหางมีโชติมาตร 5.5 มีตำแหน่งอยู่ในกลุ่มดาวแม่น้ำใกล้กับกลุ่มดาวกระต่ายป่า ทางใต้ของกลุ่มดาวนายพราน ระยะนี้ดาวหางจะขึ้นสูงสุดบนท้องฟ้าในเวลาประมาณเที่ยงคืน ตลอดครึ่งแรกของเดือนธันวาคม เพื่อหลีกเลี่ยงแสงจันทร์ ช่วงเวลาที่เหมาะในการดูคือก่อนเที่ยงคืนไปจนถึงเวลาหลังเที่ยงคืนเล็กน้อย แต่ละคืน ดาวหางจะเคลื่อนที่เปลี่ยนตำแหน่งไปอย่างช้าๆ มุ่งสู่ทิศเหนือค่อนไปทางตะวันตกพร้อมๆ กับความสว่างที่เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ในวันที่ 15 ธันวาคม และจะเห็นชัดอีกครั้งวันที่ 29 ธันวาคม เป็นเวลาครึ่งชั่วโมงหลังจากท้องฟ้าเริ่มมืดสนิท (มติชนรายวัน อังคารที่ 23 พ.ย. 47 http://www.matichon.co.th)





ยานอวกาศแสงอาทิตย์

สมาคมดาวเคราะห์ ในสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า มีแผนส่งยานอวกาศพลังงานแสงอาทิตย์ "คอสมอส-1" ขึ้นสู่อวกาศต้นปีหน้า "คอสมอส 1" จะถูกส่งขึ้นไปอยู่ในวิถีวงโคจรโลกโดยขีปนาวุธจากเรือดำน้ำของรัสเซียในทะเลแบเรนต์ส ซึ่งตามตารางจะถูกส่งขึ้นไปวันที่ 1 มี.ค. กำหนดการดังกล่าวต้องได้รับการยืนยันเป็นทางการอีกครั้งจากกองทัพเรือรัสเซีย ภารกิจ "คอสมอส-1" ใช้งบประมาณ 160 ล้านบาท นับเป็นความพยายามทดลองส่งยานอวกาศที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานสำหรับขับเคลื่อนยานอวกาศนอกโลกเป็นครั้งแรก โครงการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ขับเคลื่อนยานอากาศจัดว่าเป็นภาพฝันในความหมายของความสำเร็จของการเดินทางระหว่างดวงดาว เพราะแสงอาทิตย์จะทำให้ยานอวกาศเร่งความเร็วสูงและเดินทางได้ระยะทางแสนไกล "ญี่ปุ่นทดสอบการทำงานของแผงพลังงานแสงอาทิตย์ในวงโคจรใกล้โลก ส่วนรัสเซียทดสอบรอบนอกสถานีอวกาศเมียร์" หลุยส์ ไฟรด์แมน ผู้อำนวยการบริหารสมาคมดาวเคราะห์และหัวหน้าโครงการ "คอสมอส 1" กล่าว เมื่อ "คอสมอส 1" เข้าสู่วงโคจรของโลกแล้ว อุปกรณ์รับแสงอาทิตย์ ความยาว 49.5 ฟุต จำนวน 8 อัน จะคลี่และยืดออกจากตัวยานในลักษณะคล้ายใบพัด ใบพัดแต่ละอันสามารถหมุนไปสะท้อนแสงอาทิตย์ในทิศทางที่แตกต่างกัน ดังนั้นยานอวกาศจะสามารถรับพลังงานได้ตลอดเวลาเช่นเดียวกับที่ "เรือใบ" ตรึงใบรับลม "คอสมอส 1" ถูกออกแบบให้เข้าไปใกล้วงโคจรตรงขั้วโลก ในระดับความสูงมากกว่า 500 ไมล์ และปฏิบัติการณ์หนึ่งเดือน ครอบคลุมบริเวณ 600 ตารางเมตร สามารถมองเห็นใบพัดเป็นแท่งสว่างๆ บนท้องฟ้าเวลากลางคืน (เดลินิวส์ อังคารที่ 23 พ.ย. 47 http://www.dailynews.co.th





ประดิษฐ์รองเท้าของคนตาบอดรู้เห็นว่ามีสิ่งกีดขวางด้วยเท้า

นายแอนโทนิน ซาร์ปารา ชาวเช็กได้คิดประดิษฐ์รองเท้าสำหรับคนตาบอด เมื่อสวมแล้วจะทำให้เหมือนกับมองเห็นด้วยเท้าได้ ได้เปิดเผยลักษณะของรองเท้า ว่า จะมีอุปกรณ์เฉพาะติดอยู่ที่พื้นรองเท้า ซึ่งจะส่งลำแสงอินฟราเรดออกมา และจะมีตัวรับสัญญาณคอยรับสัญญาณที่จะไปกระทบสิ่งกีดขวางต่างๆ ข้างหน้าและสะท้อนกลับมา ซึ่งจะไปกระตุ้นอุปกรณ์ที่จะไปทำให้พื้นรองเท้าสั่นสะเทือนขึ้น เพื่อให้ผู้เป็นเจ้าของรู้ "มันเอาอย่างแบบค้างคาวซึ่งปล่อยคลื่นเสียงออกไปด้านหน้า เพียงแต่ใช้ลำแสงแทนคลื่นเสียงเท่านั้น แต่มันก็ใช้ได้ผลดีด้วย รองเท้านี้ใช้ถ่านไฟฉายซึ่งจะต้องเปลี่ยนถ่านใหม่ทุกวัน ตัวเครื่องทำด้วยวัสดุที่หาได้ง่ายๆ และเขา ได้ไปจดสิทธิบัตรเอาไว้แล้ว จะผลิตออกจำหน่ายภายในปีหน้านี้" (ไทยรัฐ พุธที่ 24 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)





เอ็มเทคดันแผนแม่บทผลิตภัณฑ์สีเขียว

ผศ.ดร.ปมทอง มาลากุล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสะอาด (ซีแทป) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) เปิดเผยว่า ร่างแผนแม่บทด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นโครงการร่วมระหว่างเอ็มเทคและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จะแล้วเสร็จในช่วงต้นปีหน้า และจะจัดประชาพิจารณ์ในเดือนมกราคม 2548 ก่อนเสนอให้รัฐบาลประกาศให้เป็นแผนแห่งชาติ ร่างแม่บทดังกล่าวแบ่งยุทธศาสตร์ออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่ การสร้างความตระหนักให้กับผู้บริโภคในการเลือกใช้สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเพิ่มศักยภาพของภาคอุตสาหกรรมให้สามารถผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้านการวิจัยและพัฒนา และบทบาทของรัฐบาลที่จะเข้ามาเปลี่ยนและปรับปรุงกฎระเบียบ หรือมีการออกกฎระเบียบที่เอื้อต่อการพัฒนาสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมาสภาพัฒน์ ได้แสดงท่าทีเห็นความสำคัญในเรื่องผลิตภัณฑ์สีเขียวแล้ว โดยเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ได้ประกาศแผนสนับสนุนการจัดซื้อผลิตภัณฑ์ในอนาคตของหน่วยงานภาครัฐต่างๆ จะต้องเลือกซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Purchasing) รศ.ดร. ปริทรรศน์ พันธุ์บรรยงก์ ผู้อำนวยการเอ็มเทค ให้ความเห็นว่า ปัจจุบัน สิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นที่หลายประเทศให้ความสนใจ และยังได้ออกมาตรการออกมาบังคับให้ประเทศผู้ผลิตสินค้าที่จะส่งออกไปยังประเทศหรือกลุ่มประเทศของตนปฏิบัติตาม อย่างเช่น มาตรการบังคับใช้ระเบียบว่าด้วยการจัดการเศษเหลือทิ้งจากผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (WEEE) ซึ่งจะบังคับใช้ในเดือนสิงหาคม ปีหน้า และระเบียบว่าด้วยการห้ามใช้สารอันตรายบางชนิดในผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (RoHS) ซึ่งบังคับใช้ในปี 2549 มาตรการดังกล่าวออกโดยสหภาพยุโรป (อียู) มีผลบังคับใช้กับสินค้าที่ส่งออกไปยังอียู (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 24 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





รถสินค้าติดดาวเทียม คุมคนขับซิ่ง –ป้องกันทรัพย์สินล่องหน

นายบวร เทพสง่า ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ดี.ที.ซี. เอนเตอร์ไพรส์ จำกัด ได้เสนอระบบติดตามยานพาหนะโดยใช้ดาวเทียมบอกพิกัดของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ เพื่อทราบตำแหน่งของรถและพฤติกรรมผู้ขับ ว่าขับรถเร็วหรือช้าเกินไป หยุดจอดมากน้อยแค่ไหน รวมถึงทราบเส้นทางการเดินรถที่เวลาจริง โดยข้อมูลที่ได้นั้นสามารถใช้บริหารจัดการการใช้งานรถ วิเคราะห์หาต้นทุนที่แท้จริง ประหยัดน้ำมันและลดการสูญเสียจากอุบัติเหตุ ระบบนี้สามารถติดตั้งจุดใดของรถก็ได้ เพื่อรับสัญญาณจากดาวเทียมในการระบุพิกัด วัดความเร็ว ทิศทางของรถ จากนั้นนำข้อมูลไปเก็บไว้ที่กล่องดำ ซึ่งจะมีระบบส่งข้อมูลกลับมาที่บริษัทหรือจอคอมพิวเตอร์หลัก โดยส่งข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่ายของมือถือ จากนั้นข้อมูลจะมาปรากฏอยู่บนหน้าคอมพิวเตอร์ในเวลาจริง ทำให้ทราบตำแหน่งของรถทันที ซึ่งมีประโยชน์ในการควบคุมความเร็วของคนขับรถ เพื่อลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ในการแสดงผลข้อมูลบนหน้าจอคอมพิวเตอร์นั้น จะใช้ซอฟต์แวร์แผนที่ ซอฟต์แวร์รายงาน เพื่อระบุรหัสของรถแต่ละคัน รายงานสถานะรถกำลังวิ่ง หยุด หรือวิ่งด้วยความเร็วสูง จากนั้นนำมาวิเคราะห์ด้วยซอฟต์แวร์ ให้ค่าออกมาเป็นกราฟต่างๆ เช่น ช่วงเวลาของรถว่าหยุดเมื่อไรบ้าง เป็นเวลาเท่าใด ในกรณีที่หยุดรถนั้นได้ติดเครื่องทิ้งไว้หรือไม่ การส่งข้อมูลด้วยโทรศัพท์มือถือนับว่าสะดวกอย่างยิ่ง เพราะสัญญาณมือถือครอบคลุมอยู่ทั่วประเทศ แต่ในกรณีที่รถอยู่ในจุดอับสัญญาณ ข้อมูลต่างๆ จะถูกบันทึกไว้ในกล่องดำ และเมื่ออยู่ในเขตที่มีสัญญาณก็จะส่งข้อมูลกลับมาตามปกติ (คมชัดลึก พุธที่ 24 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)





มะกันตื่นภัยปัญหาแบตเตอรี่มือถือระเบิด หน่วยงานรัฐหนุนวางมาตรฐานการผลิตแบตเตอรี่

สำนักข่าวเอพี รายงานคำแถลงของเจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยของสหรัฐ ซึ่งระบุว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้มีรายงานเหตุการณ์มือถือระเบิดหรือลุกไหม้ ทั้งหมดราว 83 คดีด้วยกัน โดยส่วนใหญ่ มีสาเหตุจากการใช้แบตเตอรี่ หรือเครื่องชาร์จปลอม, แบตเตอรี่ที่มีข้อบกพร่อง หรือไม่ตรงกับรุ่นโทรศัพท์ ขณะที่ผู้ใช้ มักจะได้รับบาดเจ็บ จากการถูกไฟไหม้บริเวณใบหน้า, คอ, ขา และสะโพกมากที่สุด คณะกรรมาธิการความปลอดภัยผลิตภัณฑ์ผู้บริโภคของสหรัฐ หรือ ซีพีเอสซี ยังได้ให้คำแนะนำผู้ใช้มือถือ ในการเก็บรักษาแบตเตอรี่ และเตรียมที่จะเพิ่มมาตรการควบคุมดูแล อุตสาหกรรมไร้สายด้วย ด้านผู้ผลิตมือถือ และผู้ให้บริการเครือข่ายของสหรัฐกล่าวว่า เหตุการณ์มือถือระเบิด หรือลุกไหม้ส่วนใหญ่ มีสาเหตุจากการใช้แบตเตอรี่ปลอม อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ใช้มือถือ 170 ล้านคนทั่วประเทศ อุบัติเหตุเหล่านี้ยังถือเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างต่ำ กลุ่มผู้เคลื่อนไหวเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า อุบัติเหตุเหล่านี้ ไม่ได้เกิดจากปัญหาแบตเตอรี่เสมอไป พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า อาจเกิดจากการที่ผู้ผลิตมือถือ หรือแบตเตอรี่รุ่นใหม่ๆ พยายามเพิ่มฟังก์ชันลงไปในมือถือ หรืออุปกรณ์ซึ่งมีขนาดเล็กมากจนเกินไป ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมไร้สาย ได้เข้าประชุมร่วมกับสถาบันวิศวกรไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (IEEE) ซึ่งเป็นองค์กรกำหนดมาตรฐานทางเทคนิค เพื่อร่วมกันวางมาตรฐานคุณภาพ และการออกแบบแบตเตอรี่ทั่วโลก ให้มีคุณภาพทัดเทียมกัน (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 25 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ภาค5ใช้เทคโนโลยีช่วยตามรถหาย

วันที่ 24 พ.ย. ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ พล.ต.ท.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ผบช.ภ.5 พร้อมด้วย พล.ต.ต.วุฒิ วิทิตานนท์ รองผบช.ภ.5 พล.ต.ต.จิรุจจ์ พรหมโมบล ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ พ.ต.อ.ชำนาญ รวดเร็ว รองผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ แถลงข่าวผลการกวาดล้างการโจรกรรมรถยนต์และรถจักรยานยนต์ พล.ต.ท.ภาณุพงศ์กล่าวว่า ในการกวาดล้างแก๊งโจรกรรมรถยนต์และรถจักรยานยนต์ครั้งนี้ ใช้เทคโนโลยีระบบอีคอป (E-COP) เข้ามาช่วยตรวจสอบ โดยการกวาดล้างใช้เวลา 15 วัน ระหว่างวันที่ 1-15 พ.ย.ที่ผ่านมา ในพื้นที่จ.เชียงใหม่ได้รถยนต์ 3 คัน รถจักรยานยนต์ 23 คัน และรถเถื่อนหาเจ้าของไม่ได้ 11 คัน รวม 47 คัน มูลค่าทรัพย์สินที่สามารถติดตามคืนให้เจ้าของรถประมาณ 2,520,000 บาท ส่วนจ.ลำพูน สามารถยึดรถยนต์ที่ถูกโจรกรรมได้ 1 คัน รถจักรยานยนต์ 4 คัน มูลค่าประมาณ 160,000 บาท พล.ต.ท.ภาณุพงศ์ เปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลลอยกระทงจะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติหลั่งไหลมาเที่ยวจ.เชียงใหม่จำนวนมาก จึงสั่งการให้ตำรวจภูธรเชียงใหม่ดูแลอย่างเข้มงวด เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว สำหรับการติดตามทรัพย์สินผู้เสียหาย เราได้ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามา ทำให้ติดตามได้รวดเร็วขึ้น อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในอนาคตจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เพราะปัจจุบันสถิติรถหายลดลงถึง 50% และต่อไปจะควบคุมให้จำนวนลดน้อยลงกระทั่งไม่มีเหตุเกิดขึ้นอีก (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 25 พ.ย. 47 http://www.matichon.co.th)





ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่ม แนะรัฐวิจัยหาเทคโนมิตรสวล.

เมื่อวันที่ 25 พ.ย. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จัดสัมมนาเรื่อง "โลกร้อน รับมืออย่างไรไม่ให้เสียเปรียบ" โดย รศ.ดร.สิรินทรเทพ เต้าประยูร นักวิชาการสถาบันบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 3.53 ตันต่อคน ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของโลกประมาณ 3.9 โดยส่วนมากมาจากภาคพลังงานและอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมา ส่งผลให้เกิดสภาวะเรือนกระจกและทำให้โลกร้อนขึ้น อาจทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกอย่างฉับพลัน ดังนั้น รัฐบาลควรเร่งหามาตรการเพื่อรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น จากสถานการณ์โลกร้อนขึ้น โดยประเทศไทยต้องเร่งหามาตรการและกระบวนการลดก๊าซเรือนกระจก หลังจากประเทศรัสเซียได้ลงนามในพิธีสารเกียวโต ซึ่งมีผลบังคับใช้ในเดือน ก.พ. 2548 ทำให้ประเทศต่างๆ ที่เป็นภาคีของอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต้องปฏิบัติตาม ด้วยการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในประเทศของตน หากไม่เร่งหามาตรการรองรับอาจทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบในเวทีโลก เพื่อเจรจาลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ "มาตรการนี้อาจส่งผลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศพัฒนาแล้ว ทำให้ประเทศเหล่านี้ต่างหาช่องทางและกลไกต่างๆ เพื่อไม่ให้อุตสาหกรรมของตนต้องสะดุด โดยซื้อขายเครดิตการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตน จากประเทศกำลังพัฒนาแล้ว" รศ.ดร.สิรินทรเทพกล่าว ปัจจุบันประเทศไทยยังขาดข้อมูลและไม่มีข้อมูลย้อนหลัง สำหรับการจัดทำบัญชีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้ไทยไม่มีข้อมูลอ้างอิงได้ว่า จะสามารถลดหรือปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากน้อยแค่ไหน นอกจากนี้ ข้อมูลที่ได้มาก็มีข้อจำกัดระหว่างหน่วยงานและรูปแบบการเก็บข้อมูล ไม่สอดคล้องกับการนำมาคำนวณหาค่าในบัญชีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขณะที่การจัดบัญชีควรคำนวณให้แม่นยำและครบถ้วน พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายข้อมูลและงานวิจัย อีกทั้งศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมภายใต้กรอบต่างๆ ของการลดก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งวิจัยเพื่อการเตรียมความพร้อมด้านการค้าและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ควรวางนโยบายระยะสั้น ระยะกลาง และระยะกลางให้ครบถ้วน และบูรณการร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ ที่ช่วยมาตรการลดก๊าซเรือนกระจก เช่น มาตรการด้านสิ่งแวดล้อม เป็นต้น (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 26 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





เขื่อนใต้ดินในญี่ปุ่น

ประเทศญี่ปุ่นใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างเขื่อนกักน้ำใต้ดิน เพื่อเก็บน้ำไว้ใช้ทั้งทางด้านเกษตรกรรม และบริโภค รวมไปถึงแก้ปัญหาน้ำจืดไหลทิ้งลงทะเล สถาบันวิศวกรรมเมืองแห่งชาติ ประเทศญี่ปุ่น ระบุว่า การสร้างเขื่อนใต้ดินเป็นโครงสร้างลักษณะกั้นกำแพงระหว่างช่องว่างใต้พื้นดินที่เป็นหินทราย เพื่อกักเก็บน้ำเอาไว้และนำมาใช้เพื่อการเกษตร โดยเน้นการสร้างเขื่อนใต้ดินในบริเวณเกาะ ประเทศญี่ปุ่นมีเขื่อนใต้ดินทั้งหมด 4 แห่ง อยู่ระหว่างการสร้าง 3 แห่ง และกำลังวางแผนสร้างอีก 1 แห่ง โดยคาดว่าเขื่อนใต้ดินทั้งหมดสามารถกักน้ำได้ประมาณ 30 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนใต้ดินส่วนใหญ่จะสร้างในหมู่เกาะทางตอนใต้ของประเทศ ได้แก่ หมู่เกาะชินเซย์ ในจังหวัดโอกินาวา และหมู่เกาะคาโกชิมา ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดปะการังและเป็นเกาะที่มีชั้นหินทราย ทำให้ฝนตกลงมาซึมผ่านลงไปโดยไม่เกิดเป็นแม่น้ำ ขณะที่น้ำใต้ดินเองก็ไหลซึมทะเลอย่างรวดเร็ว จึงขาดแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร สำหรับโครงสร้างของเขื่อนประกอบด้วย กำแพงคอนกรีตกั้นน้ำ โดยตอกเสาเข็มลงไปเป็นแนวกำแพงยาวเพื่อเก็บกักน้ำไว้ไม่ให้ไหลซึมอย่างรวดเร็ว ความยาวของเสาเข็มจะขึ้นอยู่กับความหนาและประเภทของชั้นหิน จากนั้นจะปั๊มน้ำขึ้นมาใช้บนดินโดยพักบ่อเก็บน้ำ ก่อนจะส่งผ่านตามท่อส่งไปยังพื้นที่เกษตรกรรม สถาบันวิศวกรรมเมืองแห่งชาติ ประเทศญี่ปุ่น ระบุ สร้างเขื่อนใต้ดินมีค่าใช้จ่ายถือว่าต่ำ สร้างง่าย และยังสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นดินด้านบนโดยไม่ต้องเสียหน้าดิน ซึ่งจะเป็นการทำลายสภาวะแวดล้อมด้วย (เดลินิวส์ อาทิตย์ที่ 28 พ.ย. 47 http://www.dailynews.co.th)





ข่าววิจัย/พัฒนา


ตาอิเล็กทรอนิกส์ช่วยคนตาบอด เดินข้ามถนนได้ตลอดรอดฝั่ง

ทาดาโยชิ ชิโอยะมา หัวหน้านักทีมนักวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีเกียวโตเชื่อว่าอุปกรณ์ที่พวกเขาคิดค้นขึ้นมานั้น หากคนตาบอดนำไปใส่ก็จะช่วยให้ข้ามถนนได้อย่างปลอดภัย โดยอุปกรณ์ดังกล่าวประกอบด้วยกล้องถ่ายภาพคอมพิวเตอร์แบบฉลาด กล้องถ่ายภาพนั้นจะนำมาติดไว้ในระดับสายตาและจะเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ตัวจิ๋ว โดยมันจะส่งข้อมูลด้วยระบบเสียงพูด บังคับการทำงานด้วยเสียงและส่งข้อมูลผ่านทางลำโพงตัวเล็กที่ติดไว้ใกล้หู ที่สามารถจับความเคลื่อนไหวและวัดระยะสิ่งของ เช่น ไฟจราจร และความกว้างของถนนได้ พร้อมกันนี้ยังมีระบบเสียงพูดถ่ายทอดข้อมูลไปให้ผู้สวมใส่อีกด้วย และยังตรวจจับเวลาที่ไฟจราจรเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียวอีกด้วย (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 22 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)





แรงบันดาลใจจากเพลิงไหม้ ประดิษฐ์คิดค้นลูกบอลดับเพลิง

นายกสมาคมการประดิษฐ์ไทย ดร. เย็นใจ เลาหวณิช เปิดเผยถึงผลงานการประดิษฐ์ลูกบอลดับเพลิงของนายวรเดช ไกรมาตย์ ที่เกิดแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ เพลิงไหม้โรงแรมแห่งหนึ่งที่พัทยา มีผู้ เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จึงร่วมมือกับทีมงานคิดค้นอุปกรณ์ดับเพลิงแบบใหม่ มีลักษณะเป็นลูกบอลพลาสติก ซึ่งภายในบรรจุสารเคมีพร้อมชนวนจุดระเบิด สามารถจะระเบิดตัวเองได้เมื่อได้รับความร้อนสูงจากเปลวเพลิง เมื่อสารเคมีกระจายออกมาก็จะผลักดันออกซิเจนที่อยู่รอบๆ ออกไปจากกองเพลิง ทำให้เปลวเพลิงดับลง อุปกรณ์ลูกบอลดับเพลิงนี้อยู่ระหว่าง การรอรับทะเบียนสิทธิบัตร และได้เคยแสดงในงานเอ็กซ์โป 2000 ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ได้รับรางวัลสิ่งประดิษฐ์ ยอดเยี่ยมหลายรางวัล (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 22 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)





สารจากชาเขียวและสาหร่าย ใช้เลี้ยงกุ้งหน้าหนาวให้โตเร็ว

ผศ.ดร. นิวุฒิ หวังชัย ภาควิชาเทคโนโลยีการประมง คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.เชียงใหม่ เผยว่า เนื่องจากภาคเหนือมีอุณหภูมิต่ำ ในช่วงหน้าหนาว ทำให้กุ้งกินอาหารน้อยลง...ปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยงลูกกุ้งโดยการใช้พลาสติกปิดคลุมบ่อสามารถ ทำให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 3-5 องศาเซลเซียสทำให้บ่อเลี้ยงที่มีพลาสติกปกคลุม มีอัตราการเจริญเติบโตมากกว่าบ่อเปิดโล่ง เมื่อต้นปี พ.ศ. 2546 ทีมงานวิจัยได้ทดลองคิดค้นการใช้สารสกัด Polyphenois จากชาเขียวและสาหร่ายสไปรูลินา เข้ามาช่วยเร่งการเจริญเติบโตของกุ้งก้ามกรามทั้งอยู่ในขวดเล็ก (PL10) และกุ้งขนาด 5 กรัม ผลการทดลองพบว่า สาหร่ายสไปรูลินา 3% และสารสกัด Polyphenois จากชาเขียว 1% ที่ผสมในอาหารเม็ดสามารถเร่งการเจริญเติบโตในกุ้งก้ามกรามขนาดเล็ก (PL10) และน้ำหนักเริ่มต้น 5 กรัม นอกจากนั้น ยังพบว่าการเคลือบอาหารที่ผสมสาหร่ายสไปรูลินา และสารสกัดชาเขียวด้วยไคโตซาน (2.5%) ช่วยลดการสูญเสียจากการละลายน้ำได้เป็นผลสำเร็จ ทั้งนี้ เป็นเพราะสาหร่ายสไปรูลินามีปริมาณโปรตีนต่อกรัมน้ำหนักแห้งสูงถึง 64-72% นับได้ว่าเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญ มีกรดอะมิโน, วิตามินและเกลือแร่ในอัตราส่วนที่เหมาะสมต่อความต้องการของสัตว์น้ำ อีกทั้งยังมีผนังเซลล์ที่บาง ย่อยง่าย ทำให้กุ้งสามารถดูดซึมสารอาหาร ไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ยังพบอีกว่าปริมาณเบต้าแคโรทีน ในสาหร่าย 100-200 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักแห้งนั้น ยังช่วยเพิ่มโปรตีนคุณภาพ และเร่งสีให้กุ้งและปลาสวยงาม ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้สัตว์น้ำ แข็งแรง ทนทานต่อโรคมากยิ่งขึ้น เหตุผลที่สำคัญอันหนึ่งก็คือ สาหร่ายสไปรูลินา สามารถเติบโตได้ดีในอาหารราคาถูก และเพาะเลี้ยงง่ายเก็บเกี่ยวง่ายและไม่มีสารพิษตกค้างจากขบวนการผลิต โครงการวิจัยนี้จึงต้องมีการศึกษาเพื่อใช้สาหร่าย สไปรูลินาเป็นอาหารเสริม เพื่อลดต้นทุนการผลิตปลาและกุ้ง ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ภาควิชาเทคโนโลยีการประมง มหาวิทยาลัยแม่โจ้ โทรศัพท์ 0-5387-3470-2 ในวันและเวลาราชการ (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 22 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)





ม.เชียงใหม่วิจัย น้ำเสียปลูกข้าว แล็บชี้ปลอดภัย

รศ.ดร.เสนีย์ กาญจนวงศ์ อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และหัวหน้าโครงการวิจัยการนำน้ำทิ้งจากระบบบำบัดน้ำเสียชุมชนมาใช้เพื่อการเกษตรกรรม กล่าวว่า เนื่องด้วยพื้นที่การเกษตรหลายแห่งประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำโดยเฉพาะในฤดูแล้ง ฉะนั้น การนำน้ำทิ้งมาใช้จึงเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับเกษตรกร สำหรับเมืองเชียงใหม่มีน้ำเสียมากถึง 30,000 ลบ.ม.ต่อวัน ทีมวิจัยจึงจัดตั้งโครงขึ้นเพื่อทำการวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยมีการปลูกพืช อาทิ ข้าว ผักกาดขาว หัวไชเท้า ดอกแอสเตอร์ แล้วนำน้ำทิ้งมารด จากนั้นจึงเก็บตัวอย่างพืชที่ได้มาสำรวจ ซึ่งจากผลการวิจัยแสดงให้เห็นแล้วว่า ผลผลิตที่ได้สามารถจำหน่ายได้ โดยตลอดระยะเวลาเกือบ 5 ปี กว่า 6 ตัน ทั้งนี้ น้ำทิ้งจากบ้านเรือนประชาชนที่ผ่านการบำบัดนั้น ไม่ใช่น้ำเสียอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่สามารถนำมาใช้ในการเกษตรได้ ส่วนการนำน้ำเสียมาใช้โดยตรงยังไม่ส่งเสริมให้ทำ เพราะอาจจะทำให้เกิดสารพิษตกค้างได้ ด้าน ผศ.ทรงเชาว์ อินสมพันธ์ หัวหน้าภาควิชาพืชไร่ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า หลังจากได้ทดลองปลูกข้าวโดยใช้น้ำทิ้งและแปลงข้าวที่ใช้แหล่งน้ำตามธรรมชาติมาเปรียบเทียบกัน พบว่าสามารถเจริญเติบโตได้ดีพอกัน ไม่มีอะไรที่แตกต่างและผลผลิตที่ได้ก็ใกล้เคียงกัน โดยที่ข้าวไม่มีอะไรเสียหาย นอกจากนี้ คุณภาพในดินเชิงเกษตรยังเหมือนเดิม ซึ่งในน้ำทิ้งมีอินทรีย์วัตถุมากกว่าน้ำธรรมชาติเพิ่มขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 22 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





นวัตกรรมใหม่ 'เครื่องสีข้าวขนาดเล็ก' ฝีมือคนไทย

สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรมวิชา การเกษตร ได้ดำเนินการวิจัยและพัฒนาเครื่องสีข้าวขนาดเล็กที่เหมาะสำหรับเกษตรกร โดยออกแบบให้ใช้ต้นกำลังต่ำ สามารถลดการสูญเสียจากการแตกหักระหว่างการสี ทำให้ได้ข้าวสารที่มีคุณภาพ ซึ่งสามารถนำไปส่งเสริมให้โรงงานผลิตเพื่อจำหน่ายให้เกษตรกรใช้ในท้องถิ่นได้ นายนิทัศน์ ตั้งพินิจกุล วิศวกรการเกษตร 7 กลุ่มวิจัยวิศวกรรมหลังการเก็บเกี่ยว สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตร ได้ออกแบบและพัฒนาประสิทธิภาพ เครื่องสีข้าวขนาดเล็กแบบลูกหินขัดสีและแบบแกนโลหะ ขึ้นมาใหม่ โดยแบบลูกหินขัดสีจะเป็นลูกหินเดี่ยว ประกอบด้วยลูกหินแนวนอนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 164 มม. ยาว 470 มม. มีแท่งยางควบคุมการขัดสีจำนวน 3 แท่ง พัดลมดูดรำ พัดลมดูดแกลบ ไซโคลนดักรำ ไซโคลนดักแกลบ ตะแกรงโยกคัดปลายข้าวและทำความสะอาดข้าวเปลือก โดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 3 แรงม้าเป็นต้นกำลัง มีความเร็วของลูกหินขัดสี 9.5 เมตร/วินาที เครื่องสีข้าวขนาดเล็กแบบลูกหินขัดสีนี้ สามารถสีข้าวเปลือกได้ 85 กก./ชั่วโมง โดยการสีเที่ยวเดียว ได้ปริมาณต้นข้าวและปริมาณรำสูง อีกทั้งยังสามารถทำความสะอาดข้าวเปลือกและสีข้าวได้ในเวลาเดียวกัน มีไซโคลนดักแกลบและรำไม่ให้ฟุ้งกระจาย และสามารถสีข้าวกล้องปนข้าวเปลือกในอัตรา 22% ได้ 145 กก./ชั่วโมง ซึ่งเครื่องดังกล่าวจะมีราคาประมาณ 40,000 บาท จุดคุ้มทุนของการใช้เครื่องเท่ากับ 626 ชั่วโมง/ปี จากผลการทดลองสีข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ด้วยเครื่องสีข้าวขนาดเล็กแบบลูกหินขัดสี พบว่า ได้ข้าวสารรวม 65.2 % ได้ต้นข้าว 48.1 % รำ 28.0% โดยมีอัตราการสี 87 กก./ชั่วโมง ส่วนเครื่องสีข้าวขนาดเล็กแบบแกนโลหะจะประกอบด้วยลูกขัดสีแกนโลหะขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 38 มม. ยาว 132 มม. หมุนอยู่ภายในตะแกรงรูยาวรูปทรงหกเหลี่ยม ใช้ ตุ้มน้ำหนักถ่วงในการปรับระดับการขัดสี มีพัดลมดูดรำและไซโคลนดักรำ ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 1.5 แรงม้าเป็นต้นกำลัง มีความเร็วของลูกขัดสี 4.56 เมตร/วินาที สามารถขัดขาวข้าว กล้องได้ 98 กก./ชั่วโมง โดยที่เปอร์เซ็นต์ต้นข้าวต่ำกว่าแบบลูกหินเล็กน้อย และสามารถสีข้าวกล้องปนข้าวเปลือกในอัตรา 22% ได้ โดยให้ผลการสีข้าวใกล้เคียงกับแบบลูกหิน แต่การทำงานลดลงเหลือ 61 กก./ชั่วโมง ไม่สามารถสีข้าวเปลือกได้ สำหรับเกษตรกรหรือผู้ประกอบการที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มวิจัยวิศวกรรมหลังการเก็บเกี่ยว สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตร (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 22 พ.ย. 47 http://www.dailynews.co.th)





พบวิธีให้กลับเป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นมาใหม่ได้มากนานถึง 10 ปี

ศัลยแพทย์ตา หมอจิม แฮสลัม และหมอกอร์ดอน ดูกอล ของอังกฤษ พบวิธีป้องกันรักษาผิวหนังไม่ให้เหี่ยวย่นด้วยรังสีอินฟราเรด โดยรู้จากอาสาสมัครที่ชวนให้มาทดลองใช้เครื่องมือบำบัดรักษา ที่เรียกว่า "เครื่องฟื้นฟูผิวด้วยแสง" นวดผิวหนังบริเวณรอบๆดวงตา ปรากฏว่า 95% บอกชื่นชมมันว่าได้ช่วยรักษารอยเหี่ยวย่นตามผิวหนัง ให้หดหายลงไปได้เกือบหมด ช่วยให้พวกเขาดูเป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นมาได้อีกถึง 10 ปี ทั้งนี้ เพราะเครื่องได้ไปช่วยกระตุ้นอีลาสติน อันเป็นส่วนประกอบของผิวหนังซึ่งทำให้ผิวหนังเต่งตึง หมอดูกอลเล่าว่า ข้อดีของมันเครื่องมือนี้อย่างหนึ่งก็คือใช้ง่าย อย่างเช่น ผู้ที่ดูโทรทัศน์ก็อาจจะใช้มันไปด้วยวันละชั่วเพียง 15-30 นาทีเท่านั้น สุดแต่ว่ารอยเหี่ยวย่นจะมากน้อยเท่าใด " นอกจากจะทดลองกับเหล่าอาสาสมัครแล้ว เขายังได้แจกเครื่องมือนั้นให้กับนักศึกษา ของมหาวิทยาลัยซันเดอร์แลนด์ จำนวน 30,000 ตัว เพื่อเป็นการศึกษาวิจัยด้วย หากจะทำกับผิวหนังส่วนอื่น และก็คงจะได้ผลดีเช่นกัน (ไทยรัฐ อังคารที่ 23 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





กระดูกเทียมนุ่มเหมือนฟองน้ำ ใส่แทนที่กระดูกจริงลดผ่าตัดซ้ำ

นักวิจัยญี่ปุ่นจับมือเอกชน พัฒนากระดูกเทียมลักษณะเหมือนฟองน้ำ สามารถใช้กรรไกรตัดแต่งเพื่อให้ใส่เข้าไปในร่างกายได้อย่างพอดี จากนั้นไม่กี่เดือนกระดูกจริงจะเข้าแทนที่และกินกระดูกเทียมจนสิ้นซาก กระดูกเทียมดังกล่าว ช่วยให้ผู้ป่วยไม่ต้องผ่าตัดเอากระดูกที่มีอยู่ในร่างกาย ไปแทนที่กระดูกส่วนอื่นที่ได้รับความเสียหาย ทำให้คนไข้ไม่ต้องทนเจ็บจากการผ่าตัดอีกต่อไป โฆษกของบริษัท เพนแท็กซ์ กล่าวว่า กระดูกดังกล่าวมีความนุ่ม และสามารถใช้กรรไกรตัดได้เหมือนกับฟองน้ำ คาดว่าผลิตภัณฑ์พร้อมจำหน่ายน่าจะออกมาให้ยลโฉมได้ในช่วงปลายปี 2550 จากการทดลองปลูกถ่ายกระดูกขนาด 2 เซนติเมตร ลงในตัวสุนัข พบว่ากระดูกจริงจะเข้าไปแทนที่กระดูกฟองน้ำภายใน 3 เดือน จะเห็นได้ว่าระบบการเปลี่ยนแปลงเนื้อเยื่อภายในร่างกายสุนัขทำงานอย่างเป็นปกติ โดยที่กระดูกจริงจะงอกขึ้นมาแทนที่กระดูกเทียม และเซลล์กินกระดูก (osteoclasts) จะทำหน้าที่ทำลายกระดูกฟองน้ำในที่สุด กระดูกเทียม ซึ่งมีรูพรุนเหมือนฟองน้ำ ผลิตขึ้นมาจากคริสตัลไฮดร็อกซีแอพพาทิท (hydroxyapatite crystals) และคอลลาเจน ขณะที่กระดูกเทียมที่ผลิตจากเซรามิคแบบเดิมจะเข้าไปเกาะติดกับกระดูกจริง โดยที่ของจริงไม่ได้งอกออกมาแทนที่แต่อย่างใด สำหรับงานวิจัยชิ้นนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างเพนแท็กซ์ และจุนโซ ทานากะ หัวหน้าศูนย์วัสดุชีวภาพของสถาบันวัสดุศาสตร์แห่งชาติ ญี่ปุ่น และมีทีมงาน โดยมั่นใจว่านวัตกรรมนี้จะเป็นประโยชน์ สำหรับการทำงานของศัลยแพทย์กระดูกที่จะง่ายขึ้น และผู้ป่วยปลอดภัยมากขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 23 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





จับโจรขึ้นบ้านผ่านมือถือ สอดส่องความปลอดภัยได้ทุกที่ทุกเวลา

ดร.จันทนา จันทราพรชัย ภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เปิดเผยว่า ระบบตรวจตราความปลอดภัยผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือ เอเอ็มเอส-2 พลัส ซึ่งได้พัฒนาต่อยอดมาจากระบบเอเอ็มเอส-2 ของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ช่วยให้สามารถดูภาพทางไกลผ่านโทรศัพท์มือถือโดยตรง จากเดิมที่ส่งภาพผ่านอินเทอร์เน็ตเพื่อดูจากคอมพิวเตอร์ที่อยู่คนละที่ ระบบดังกล่าวจำเป็นต้องติดตั้งชุดอุปกรณ์ไว้ที่บ้าน หรือสำนักงาน ซึ่งประกอบด้วย คอมพิวเตอร์ที่จะใช้เป็นแม่ข่าย (เซิร์ฟเวอร์) 1 เครื่อง โปรแกรมควบคุมการทำงานของระบบตรวจตราความปลอดภัยที่ทำงานร่วมกับกล้องวิดีโอ หรือกล้องวงจรปิดก็ได้ โดยปัจจุบันรองรับกล้องได้สูงสุด 2 ตัว สำหรับโทรศัพท์มือถือที่ใช้เปิดดูภาพจากกล้องที่ติดตั้งไว้ในที่อยู่อาศัยนั้นต้องเป็นรุ่นที่สนับสนุนโปรแกรมภาษาจาวาหน้าจอสี และติดตั้งซอฟต์แวร์ขนาดราว 10 กิโลไบต์ ในการใช้งานผู้ใช้ต้องเชื่อมต่อไร้สายผ่านจีพีอาร์เอสผ่านผู้ให้บริการมือถือ เพื่อต่อเข้าไปยังระบบคอมพิวเตอร์ที่ติดกล้องไว้สำหรับตรวจความเรียบร้อย โดยสามารถเลือกดูภาพจากกล้องตัวไหนก็ได้ งานวิจัยดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยและพัฒนาระบบโทรคมนาคมสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 3 ซึ่งเนคเทคให้การสนับสนุน โดยมหาวิทยาลัยศิลปากรรับผิดชอบในส่วนพัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งได้แยกการทำงานส่วนนี้ออกมาพัฒนาเป็นระบบตรวจตราความปลอดภัยบนมือถือที่สามารถประยุกต์ใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ทันที (คมชัดลึก อังคารที่ 23 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)





มหิดล-บูรพาร่วมวิจัย พันธุ์ม้าน้ำเพื่อการค้า

ศ.นพ.กนก ภาวสุทธิไพศิฐ ผอ.สถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า เป็นเวลากว่า 5 ปี ที่โครงการวิจัยชีววิทยาระบบสืบพันธุ์ของสัตว์น้ำเศรษฐกิจ สถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์ฯ และสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล ม.บูรพา ได้ร่วมกันศึกษาวิจัยชีววิทยาระบบสืบพันธุ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะเลี้ยงม้าน้ำ และรองรับเทคโนโลยีการเพิ่มผลผลิตในเชิงพาณิชย์ ซึ่งจะครอบคลุมถึงอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงม้าน้ำเพื่อการส่งออก ในฐานะสัตว์น้ำเศรษฐกิจปลาสวยงาม และอุตสาหกรรมการผลิตยา ซึ่งจากการศึกษาวิจัยในขณะนี้มี 3 ประเด็นหลัก คือ การเจริญของระบบสืบพันธุ์ในม้าน้ำตัวเมีย จะจำแนกได้รวดเร็วกว่าม้าน้ำตัวผู้ แม้จะไม่ปรากฏลักษณะที่แตกต่างให้เห็นภายนอก ขณะที่ม้าน้ำตัวผู้อุ้มท้องจะมีเส้นเลือดมาหล่อเลี้ยงบริเวณถุงหน้าท้องเป็นจำนวนมาก คล้ายมดลูกของคน และการเพาะเลี้ยงม้าน้ำยังต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีกันต่อไปอีก ในการประชุมวิชาการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ครั้งที่ 4 ซึ่งสถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์ฯ ม.มหิดล เป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในวันที่ 29-30 พ.ย.นี้ จะมีการอภิปราย เรื่อง “ม้าน้ำ : จากท้องทะเลสู่เส้นทางเศรษฐกิจ” ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.st.mahidol.ac.th. (สยามรัฐ อังคารที่ 23 พ.ย. 47 http://www.siamrath.co.th)





มจธ.ปลื้มโครงการเพาะเลี้ยงเห็ดนกยูงฉลุย

นายทศพร ทองเที่ยง ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี(มจธ.) เปิดเผยว่า โครงการวิจัยเรื่องการเพาะเลี้ยงเห็ดนกยูงแบบขึ้นชั้นด้วยวัสดุธรรมชาติ ภายใต้การสนับสนุนของศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติตั้งแต่ปี 2546 เพื่อพัฒนาให้เป็นอาชีพของชาวบ้านในจังหวัดราชบุรีที่ประสบปัญหาราคาเห็ดฟางและเห็ดนางฟ้าตกต่ำนั้น ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว คาดว่าต้นปีหน้าจะนำมาถ่ายทอดให้อาจารย์ในโรงเรียนและชาวบ้านไปประกอบอาชีพได้ เห็ดนกยูงเป็นเห็ดธรรมชาติที่ขึ้นเฉพาะที่และขึ้นในบางฤดูกาลคล้ายกับเห็ดโคน จึงทำให้มีความต้องการการบริโภคสูงและขายได้ถึงกิโลกรัมละ 500-800 บาท คณะนักวิจัยจึงคิดกันว่าถ้าสามารถเพาะเห็ดนกยูงในเชิงพาณิชย์ได้จะเป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร ขณะนี้กำลังทดลองในเชิงเศรษฐกิจร่วมกับโรงเรียนบ้านห้วยยาง จ.ราชบุรี ทำการทดลองทั้งปีเพื่อดูความเหมาะสมของอุณหภูมิ สภาพแวดล้อม อาหาร การใช้น้ำตาลฟอสเฟต ปุ๋ยไนโตรเจนและส่าโรงเหล้าซึ่งมีผลต่อปริมาณเห็ดที่ได้ โรงเรียนบ้านห้วยยางประสบผลสำเร็จในการเพาะเห็ดนกยูงแบบขึ้นชั้น ทำให้มีเงินรายได้เพื่อจ่ายในโครงการอาหารกลางวันเด็กนักเรียน และถ้ามีการขยายผลสู่เกษตรกรรายย่อยเมื่อไรก็เชื่อว่าชาวบ้านในชุมชนจะมีความมั่นใจและสนใจทำเป็นอาชีพกันมากขึ้นเพราะตอนนี้เฉลี่ยแล้วสามารถเพาะได้ 20 กิโลกรัม และได้กำไร 7,000 บาทต่อ 1 โรงเรือน (มติชนรายวัน อังคารที่ 23 พ.ย. 47 http://www.matichon.co.th)





ยิ่งนอนน้อยยิ่งเสี่ยงเป็นโรคอ้วน

ผลการศึกษาของนักวิจัยมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย, สหรัฐฯ ซึ่งนำเสนอต่อการประชุมประจำปีของสมาคมเพื่อการศึกษาโรคอ้วนแห่งอเมริกาเหนือ ในเมืองลาสเวลกัส ระบุชัดเจนว่า คนที่นอนหลับวันละ 4 ชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้น มีโอกาสมากขึ้นถึง 73% ต้น คนซึ่งนอนเพียง 5 ชั่วโมงก็จะมีโอกาสอ้วนมากกว่าคนนอนหลับเป็นปกติถึง 50% ส่วนผู้นอนหลับวันละ 6 ชั่วโมง มีความเสี่ยงที่จะอ้วนสูงกว่าคนนอนหลับตามปกติในราว 23% คณะนักวิจัยจากคณะสาธารณสุขศาสตร์เมลแมน และศูนย์วิจัยโรคอ้วนของโคลัมเบีย ได้วิเคราะห์ข้อมูลของผู้คน 18,000 คน ซึ่งมีอายุระหว่าง 32 ถึง 59 ปี ที่เข้าร่วมตอบแบบสำรวจเพื่อตรวจสอบสุขภาพและโภชนาการแห่งชาติของสหรัฐฯในช่วงทศวรรษ 1980 พวกเขาพบว่า แม้กระทั่งเมื่อนำเอาปัจจัยอย่างเช่น ภาวะซึมเศร้า, การออกกำลังกาย, การดื่มสุรา, เชื้อชาติ, ระดับการศึกษา, อายุ, และเพศสภาพ มาร่วมพิจารณาด้วยแล้ว ก็ยังคงปรากฏว่า คนยิ่งนอนน้อยลงเท่าใด จะยิ่งมีโอกาสเป็นโรคอ้วนมากขึ้นเท่านั้น ดร.เจมส์ แกงวิช หัวหน้าคณะนักวิจัย ยอมรับว่าผลที่ออกมาดูจะขัดกับความเข้าใจทั่วๆ ไป แต่คณะของเขาคิดว่า คงต้องดูกันที่ว่า ขณะที่เรานอนหลับไม่พอนั้น เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเราบ้าง เปรียบเทียบกับการเผาผลาญแคลอรีซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากเรายังตื่นอยู่ ส่วน ดร.สตีเฟน เฮย์มสฟีลด์ ผู้ร่วมการวิจัยผู้หนึ่ง บอกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่จะอธิบายได้ง่ายๆ เพียงแค่ว่า คนยิ่งตื่นอยู่ไม่หลับไม่นอนนานเท่าใด ก็จะยิ่งหาอะไรใส่ปากใส่ท้องมากขึ้นเท่านั้น เขาอธิบายว่า มีงานวิจัยก่อนหน้านี้ที่ชี้ว่า ภาวะนอนไม่เพียงพออาจทำให้ระดับฮอร์โมน "เลปติน" ลดต่ำลง โดยที่ฮอร์โมนตัวนี้เป็นตัวสั่งการควบคุมความอยากอาหาร และน้ำหนักตัว ตลอดจนบอกกับสมองว่ามีพลังงานเหลืออยู่ในร่างกายเท่าใด คนที่นอนไม่พอก็จะมีระดับฮอร์โมนเกรห์ลิน เพิ่มสูงขึ้นด้วย ฮอร์โมนตัวนี้มีหน้าที่ทำให้คนเราต้องการรับประทาน ( ผู้จัดการออนไลน์ จันทร์ 22 พ.ย. 47 http://www.manager.co.th)





ถอดรหัสพันธุกรรมคนเอเชีย ปูทางพัฒนายาเฉพาะชาติ

โครงการศึกษาพันธุกรรมคนเอเชียครั้งนี้ ดำเนินการโดยองค์การศึกษาพันธุกรรมมนุษย์ หรือที่เรียกว่า "ฮูโก" ซึ่งทีมนักวิทยาศาสตร์จะออกไปเก็บตัวอย่างพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอจากอาสาสมัคร 260,000 คน ข้อมูลที่ได้จะช่วยให้เข้าใจว่าทำไมประชากรบางกลุ่มถึงป่วยเป็นโรคบางโรค หรือตอบสนองต่อยารักษาโรคต่างกัน ยกตัวอย่าง ชาวจีนในมณฑลกวางตุ้งมีแนวโน้มที่จะเป็นมะเร็งโพรงจมูกมากกว่าคนจีนในพื้นที่อื่น ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานว่า คนเอเชียมีลักษณะเฉพาะทางพันธุกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ร่วมกัน สามารถย้อนอดีตไปได้นับพันปี ดังนั้น การศึกษาพันธุกรรมของเอเชีย จะช่วยนักวิทยาศาสตร์สามารถทำแผนที่พันธุกรรมประวัติศาสตร์ของชาวเอเชียได้ นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันชั้นนำทั่วเอเชีย ประกอบด้วย ไทย ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ อินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลี มาเลเซีย เนปาล ฟิลิปปินส์ และไต้หวัน เชื่อว่าการศึกษาครั้งนี้จะเผยให้เห็นรูปแบบการอพยพย้ายถิ่นของคนเอเชีย และให้คำอธิบายจุดต่างที่มีอยู่ในสังคมไปจนถึงอาการเจ็บไข้ อย่างโรคลูคีเมียในเด็ก และโรคเบาหวาน เป็นต้น ไทยได้ดำเนินการศึกษาพันธุกรรมเฉพาะของคนไทยมาเกือบสองปีแล้ว โดยเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นคนไทยโดยสายเลือด เพื่อศึกษาโรคเฉพาะและยารักษาที่สอดคล้องกับพันธุกรรมของคนไทย โครงการจัดทำแผนที่พันธุกรรมดังกล่าว นับเป็นงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ครั้งสำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาแวดวงการแพทย์ตื่นเต้นกันมาก เมื่อพบว่าพันธุกรรมมีส่วนเกี่ยวโยงกับการเกิดโรคที่หลากหลาย และงานวิจัยในลักษณะนี้จะนำไปสู่การผลิตยาที่มีประสิทธิภาพและเหมาะกับแต่ละบุคคล ถือเป็นการรักษาแนวใหม่ในการจับคู่ยากับพันธุกรรมของผู้ป่วย รวมทั้งเป็นการปรับแต่งวิธีรักษาโรคที่หลากหลาย ให้เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละคน (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 24 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ควันธูปเทียนมีสารก่อมะเร็งเนื้อร้ายสูดหายใจ อาจเป็นอันตรายกับปอด

นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยมาสสทริชต์ของเนเธอร์แลนด์ ได้พบในการศึกษาว่า ธูปและเทียนที่จุดเอาไว้ อาจจะปล่อยฝุ่นละอองที่อาจก่อมะเร็งออกมา ในระดับอันตรายได้ รายงานการศึกษาซึ่งเปิดเผยในวารสารการแพทย์ "โรคระบบทางเดินหายใจยุโรป" กล่าวว่า "ในโบสถ์ที่จุดเทียนเอาไว้ทั้งวัน เราได้พบปริมาณฝุ่นละอองเล็กจิ๋วเหล่านั้น ลอยอยู่หนาแน่นยิ่งกว่าตามถนนที่มีรถราคับคั่งมากประมาณถึง 20 เท่า ซึ่งไม่น่าเชื่อว่ามันจะมีปริมาณสูงขนาดนี้ ด้วยเหตุว่าในฝุ่นละอองเหล่านี้ มีอนุภาคพีเอ็ม 10 ซึ่งอาจจะหายใจเข้าไป และอาจเป็นอันตรายได้ปนอยู่ด้วย จึงเห็นว่าควรแจ้งให้ได้ทราบกันไว้ ทั้งยังได้พบสารระเหยไฮโดรคาร์บอนก่อมะเร็ง และสารอนุมูลอิสระที่ไม่รู้จักอีก 2-3 ชนิด ในควันของธูปและเทียนที่จุดอยู่ ซึ่งปรมาณูของสารอนุมูลอิสระ อาจเป็นตัวก่อและเลี้ยงมะเร็งได้ จริงอยู่สำหรับศาสนิกชนทั่วไป ที่ไปโบสถ์เป็นครั้งเป็นคราว อาจจะสร้างความรำคาญให้ได้ แต่สำหรับผู้ที่ต้องอยู่ประจำ ตั้งแต่พระและนักบวชกับผู้ที่มีหน้าที่อื่น อาจจะเสี่ยงอันตรายได้" ทางฝ่ายสมาคมแพทย์โรคทรวงอกของอังกฤษ ได้แสดงความเห็นว่า พวกอนุภาคที่เป็นมลพิษ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ภายในหรือนอกอาคารสถานที่ ก็ล้วนแต่ก่ออันตรายได้ทั้งนั้น โดยมันอาจจะทำให้ปอดผิดปกติ ทำให้เป็นโรคของระบบทางเดินหายใจ อย่างเช่น โรคถุงลมปอดโป่งพอง และโรคของระบบทางเดินหายใจ (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 25 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)





มจธ.คิดค้นเครื่องถนอมอาหารหนุนส่งออก

ผศ.ดร.สักกมน เทพหัสดิน ณ อยุธยา อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมอาหาร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เปิดเผยว่า ทีมวิจัยร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีถนอมอาหารและยืดอายุการเก็บรักษา โดยการอบแห้งอาหารด้วยไอน้ำที่ได้จากอุณหภูมิต่ำ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่นิยมใช้กันในอุตสาหกรรมต่างประเทศ แตกต่างกับบ้านเราที่นิยมอบแห้งในระบบสุญญากาศ ที่มีข้อบกพร่องหลายประการ อาทิ ทำให้ผลิตภัณฑ์หดตัวมากคืนตัวได้น้อย เปลี่ยนสีไปจากเดิมไม่เป็นธรรมชาติและสูญเสียคุณค่าทางอาหารค่อนข้างมาก ส่งผลให้คุณค่าผลผลิตของอาหารลดน้อยไปด้วย สำหรับผลงานประดิษฐ์เครื่องอบแห้งด้วยไอน้ำร้อนยวดยิ่งนี้ ทำให้ ผศ.ดร.สักกมน ได้รับรางวัลนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ ประจำปี 2547 จากมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ เนื่องจากผลงานดังกล่าวเป็นการปรับปรุงเทคโนโลยี ที่ทำให้ไทยได้เปรียบในเวทีอุตสาหกรรมและมีผลกระทบทางบวกต่อเศรษฐกิจไทย ทั้งนี้ ในการคิดค้นเทคโนโลยีอบแห้งอาหารด้วยอุณหภูมิต่ำนี้ ได้รับทุนจากมูลนิธิวิทยาศาสตร์นานาชาติ ประเทศสวีเดน และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ด้วยการนำข้อดีของการอบแห้งด้วยไอน้ำร้อนยวดยิ่ง เข้ากับความสามารถในการอบแห้งที่อุณหภูมิต่ำ ซึ่งใช้วิธีการลดความดันอากาศให้อยู่ในสภาวะต่ำ เพื่อให้น้ำสามารถเดือดได้ในอุณหภูมิ 50 - 60 องศาเซลเซียส ซึ่งอุณหภูมิในระดับนี้ทำให้ผลไม้ที่อบแห้งยังคงคุณค่าทางโภชนาการ วิตามินไม่สลายไปพร้อมกับความร้อน และที่สำคัญไม่หดตัวมากและสีสันยังคงเป็นธรรมชาติ คณะวิจัยยังได้ศึกษาคุณค่าทางอาหารจากผลไม้ ที่ผ่านการอบแห้งด้วยวิธีนี้ พบว่า มะขามป้อมที่ใช้ทดลองสูญเสียวิตามินซีน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณวิตามินซีก่อนการอบแห้ง นอกจากนี้สียังคงเป็นธรรมชาติมากกว่าที่ผ่านการอบแห้งแบบสุญญากาศอีกด้วย โดยการประดิษฐ์เครื่องอบแห้งด้วยไอน้ำร้อนยวดยิ่ง ใช้งบประมาณราว 200,000 บาท ซึ่งเหมาะสำหรับนำไปใช้ในอุตสาหกรรมขนาดกลางและใหญ่ มากกว่าเกษตรกรรายย่อย เนื่องจากไม่คุ้มค่ากับต้นทุนหากจะนำไปอบแห้งผลผลิตเอง นอกจากนี้ ทีมวิจัยวางแผนจะผลิตเครื่องอบแห้งชนิดนี้ให้มีขนาดใหญ่กว่าเครื่องเดิม เพื่อมูลค่าให้แก่ผลผลิตได้มากขึ้น แม้ว่าเครื่องอบแห้งนี้จะมีเพียงเครื่องเดียวในประเทศไทย และยังไม่ถูกนำไปใช้ในสถานประกอบการอุตสาหกรรมแห่งใดเลย สำหรับเครื่องอบแห้งด้วยไอน้ำ ประกอบด้วย ห้องอบแห้ง ปั๊มสุญญากาศและถังพักไอน้ำ โดยมีแหล่งกำเนิดไอน้ำที่ใช้โดยทั่วไปในโรงงานอุตสาหกรรมเป็นตัวป้อนไอน้ำเข้าเครื่องอบแห้ง โดยใช้หลักการให้แหล่งกำเนิดไอน้ำส่งไอน้ำมาและพักไว้ในถังพักไอน้ำ จากนั้นจึงปล่อยไอน้ำเข้าสู่ห้องอบแห้ง ซึ่งอยู่ในสภาวะสุญญากาศอย่างช้าๆ โดยไอน้ำอิ่มตัวจะเปลี่ยนสถานะเป็นไอน้ำร้อนยวดยิ่ง ซึ่งสามารถใช้เป็นตัวกลางในการอบแห้งได้ และมีพัดลมเป็นอุปกรณ์ช่วยในการกระจายไอน้ำให้สม่ำเสมอในห้องอบแห้ง (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 25 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





นักวิทย์อังกฤษคิดหลอดทดลองจิ๋วนาโน

ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและมหาวิทยาลัยนอตติงแฮมของอังกฤษ ประสบความสำเร็จในการประดิษฐ์หลอดทดลองที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกที่ทำจากคาร์บอนนาโนทิวบ์ มั่นใจจะสามารถใช้ผลิตวัสดุที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัว โดยสร้างหลอดทดลองที่มีขนาดจิ๋ว ที่ทำจากนาโนคาร์บอน จากนั้นได้ทดลองเติมโมเลกุลของฟลูเลอรีนออกไซด์ลงไปเพื่อให้บังคับให้เปลี่ยนสภาพเป็นโพลีเมอร์ ด้วยกรรมวิธีที่ให้ผลเหมือนกับที่การทดลองในหลอดแก้วปกติ นักวิจัยเชื่อว่า กระบวนการดังกล่าวนี้สามารถนำมาใช้สร้างวัสดุที่มีลักษณะทางโมเลกุลใหม่ หรืออาจใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับคอมพิวเตอร์ควอนตัมด้วยซ้ำ โดยจุดเด่นของหลอดทดลองจิ๋วจากนาโนคาร์บอนนี้คือ มันไม่เกิดรบกวนกระบวนการที่เปลี่ยนให้เป็นโพลีเมอร์ และเท่าที่พวกเขารู้ในตอนนี้คือ หลอดทดลองจิ๋วนี้มีคุณสมบัติพิเศษไม่ผสมกับสารอื่น เหมือนกับหลอดแก้วทดลอง หลอดทดลองนาโนทิวบ์แต่ละหลอดมีเส้นผ่าศูนย์กลางข้างในเพียง 1.2 นาโนเมตร ทีมวิจัยได้ดัดแปลงเอาฟูลเลอรีน ซึ่งเป็นโครงสร้างนาโนคาร์บอนที่มีลักษณะเหมือนลูกฟุตบอล โดยนำเอาอะตอมออกซิเจนหนึ่งอะตอมใส่ลงไปในลูกบอลฟูลเลอรีนแต่ละลูกเพื่อให้เกิดปฏิกิริยาเคมีเหมือนกับที่ใช้กับหลอดทดลองทั่วไป ออกซิเจนที่ใส่ลงไปส่งผลให้ฟูลเลอรีนมีคุณสมบัติในการยึดเกาะ หรือเกิดสภาพโพลีเมอร์ที่อุณหภูมิระดับสูง คาร์บอนไดออกไซด์ที่ได้รับแรงดันเพิ่มเข้าไปจะเปลี่ยนสภาพและดำรงอยู่ในสถานะระหว่างเป็นก๊าซและของเหลว คาร์บอนไดออกไซด์ในสถานะดังกล่าวจะไปส่งผลให้ฟลูเลอรีนไปเกาะอยู่ข้างในคาร์บอนนาโนทิวบ์ อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นเป็นสาเหตุให้โมเลกุลที่อยู่ภายในหลอดเปลี่ยนสภาพเป็นโพลีเมอร์เส้นยาว และหนาเพียงหนึ่งโมเลกุลเท่านั้น ขณะนี้ยังไม่มีวิธีการที่จะแยกวัสดุที่ถูกทำให้เป็นโพลีเมอร์ออกมาจากหลอดทดลอง ซึ่งเมื่อไรที่ทำได้ นักวิจัยเชื่อว่าพวกเขาจะสามารถสร้างวัสดุที่มีคุณสมบัติในการใช้งานใหม่ๆ อย่างเช่น คุณสมบัติในการกำเนิดกระแสไฟ และสนามแม่เหล็ก ด้าน ซี เดกเกอร์ นักวิจัยด้านนาโนทิวบ์จากสถาบันเทคโนโลยีเดลฟต์ในเนเธอร์แลนด์ให้ความเห็นว่า เขาไม่ค่อยมั่นใจว่าวัสดุที่สร้างขึ้นมาด้วยวิธีนี้จะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ แต่ก็ยอมรับว่าเป็นวิธีการใหม่ที่ใช้ศึกษากระบวนการเคมีระดับพื้นฐาน (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 25 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ฟีโบ้เดินหน้าผลิตนักวิจัยหุ่นยนต์ พัฒนาแขนกลไทยทดแทนนำเข้า

สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนามเดินหน้าสร้างงานวิจัยระดับสากล มุ่งออกแบบหุ่นยนต์ใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรมทดแทนหุ่นยนต์นำเข้า เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต แบบอัตโนมัติให้กับภาคเอกชน ควบคู่ภารกิจผลิตนักวิจัยหุ่นยนต์สาขาวิทยาการหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ดร.ชิต เหล่าวัฒนา ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (ฟีโบ้) มจธ เปิดเผยว่า สถาบันได้เปิดให้บริการด้านวิจัยวิชาการมากว่า 6 ปี ทำหน้าที่ผลิตนักวิจัยรวมถึงพัฒนาการศึกษาระดับสูงทางด้านวิชาการหุ่นยนต์ รวมทั้งดำเนินการวิจัยด้านระบบอัตโนมัติในภาคอุตสาหกรรม และยังให้บริการปรึกษากับบริษัทอุตสาหกรรมภายในประเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตแบบอัตโนมัติให้กับภาคเอกชน ในส่วนของงานวิจัย สถาบันฟีโบ้ได้เน้นการพัฒนาและเพื่อเพิ่มผลผลิต ประสิทธิภาพ รวมไปถึงคุณภาพของอุตสาหกรรมภายในประเทศเป็นจำนวนมาก อาทิ ออกแบบสร้างระบบหุ่นยนต์ที่ใช้กับงานอุตสาหกรรมผลิตเหล็กขึ้นรูป ออกแบบระบบอัตโนมัติใช้ในอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ รวมถึงงานวิจัยในระดับสูงด้านไมโครอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก สถาบันได้เปิดรับนักศึกษาระดับปริญญาโท ในสาขาวิทยาการหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ พร้อมสาขาพัฒนาความสามารถการแข่งขันในเชิงอุตสาหกรรม 2 หลักสูตรแรกในประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถนักวิชาการหุ่นยนต์ไทย "หลักสูตรปริญญาโททั้ง 2 หลักสูตรจะเปิดสอนแบบ 2 ปีต่อเนื่อง โดยจะเป็นส่วนเสริมของหลักสูตรปริญญาตรีของฟีโบ้ ซึ่งหลักสูตรทั้งสองจะเน้นไปที่ความสามารถในการออกแบบพัฒนาและวิจัยในกระบวนการผลิต พร้อมทั้งการแก้ปัญหาเพื่อเพิ่มผลผลิตในระดับอุตสาหกรรม" ดร.ชิต กล่าวและว่า หลักสูตรดังกล่าวจะเน้นให้นักศึกษาได้ก้าวออกไปเป็นผู้ประกอบการเอกชนอย่างเต็มตัว แต่อย่างไรก็ตาม ภาครัฐบาลควรจะเข้ามาให้การสนับสนุนในเรื่องของภาษีกับบริษัทเอกชนไทยให้มากขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีโอกาสที่จะเติบโตได้ในอนาคต (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 25 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ไอเรื้อรังแก้ได้ด้วยช็อกโกแลต

นักวิทยาศาสตร์จากอังกฤษศึกษาจนพบว่า ในโกโก้มีสารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ธีโอโบรไมน์ สามารถหยุดอาการไอเรื้อรังได้มีประสิทธิภาพดีกว่าสารโคเดอีน ซึ่งเป็นตัวยาสำคัญที่ดีที่สุดที่ใช้ในยาแก้ไอปัจจุบัน ในการทดลอง ได้แบ่งอาสาสมัครออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มได้รับสารธีโอโบรไมน์ กลุ่มโคเดอีน และกลุ่มยาหลอกเพื่อดูผลแตกต่างระหว่างกลุ่มที่ได้รับสารธีโอโบรไมน์ กลับกลุ่มที่ไม่ได้รับยา ในการวัดหาค่าความแตกต่างระหว่างกลุ่มทดลองทั้งสามกลุ่ม ทีมวิจัยใช้เทคนิคการวัดหาสารแคปไซซิน ซึ่งมักจะใช้ในงานวิจัยเพื่อหาสาเหตุของอาการไอ และยังใช้เป็นดัชนีวัดประสิทธิภาพของยาแก้ไอด้วย เมื่อตรวจร่างกายของอาสามัครที่ได้สารธีโอโบรไมน์ พบว่ามีความเข้มข้นของสารแคปไซซินสูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ได้รับยาหลอกราวหนึ่งใน 3 ของปริมาณที่อาจทำให้เกิดอาการไอได้ ขณะที่กลุ่มที่ได้รับสารโคเดอีนมีระดับของของสารแคปไซซินสูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ได้รับยาหลอกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แสดงว่าสารธีโอโบรไมน์สามารถควบคุมสารที่ก่อให้เกิดอาการไอได้ดีกว่า (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 25 พ.ย. 47





ราชมงคลน่าน แปลงโฉมพุทธรักษา

นายมงคล พุทธวงศ์ คณะวิชาพืชศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตน่าน เป็นผู้ที่คิดค้นพันธุ์ต้นพุทธรักษาแคระสำเร็จ เปิดเผยว่า ต้นพุทธรักษาที่เราทำได้จะให้ความสูงเพียงแค่ 40-45 ซม.เท่านั้น จากต้นพุทธรักษาปกติที่มีความสูง 1-2 ม.ขนาดดอกที่ได้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม คือขนาดดอกกว้าง 3.2 นิ้ว จำนวน 4-5 ดอก ในแต่ละต้นจะมี 2-3ช่อ สามารถบานทนติดต่อกันนาน 10-12 วัน ต้นที่สมบูรณ์จะมีใบ 7-9 ใบ ขนาดใบกว้าง 7.5-8 นิ้ว และยาว 17-18 นิ้ว ใบเขียวค่อนข้างเข้ม ทำมุมประมาณ 55 องศากับลำต้น อายุการออกดอกตั้งแต่เพาะออกจากเมล็ด 65 วัน ส่วนอายุออกดอกตั้งแต่แยกเหง้าประมาณ 45 วัน และแต่ละเหง้าสามารถแตกกอได้ 4- 5 ต้น “เมื่อก่อนสถาบันเคยคิดค้นพันธุ์พุทธรักษาแคระสีชมพูสำเร็จมาแล้ว แต่ความสมบูรณ์ของลักษณะรวมๆ ก็ยังไม่เป็นที่พอใจมากนัก และดอกที่เราสามารถคิดค้นได้ล่าสุด คือสีแดงสด นั้นมีลักษณะที่เราต้องการอย่างครบถ้วน ทั้งสีสันและความสูงที่พอเหมาะ และความที่บานทนกว่าพุทธรักษาทั่วไปอีก” นายมงคล กล่าว ทางสถาบันยังไม่ได้หยุดที่จะพัฒนาสายพันธุ์พุทธรักษาแคระให้ได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็น สีเหลือง สีขาว สีส้ม แต่สิ่งสำคัญคือเมื่อผสมออกมาได้สีที่ต้องการแล้วเราจะทำอย่างไรให้สามารถรักษาคุณสมบัติเหล่านั้นให้คงที่ได้ นั้นก็คือภารกิจต่อไปที่ทางสถาบันและสำหรับผู้ที่สนใจ อยากจะได้พันธุ์ต้นพุทธรักษาแคระมาปลูกเพื่อเป็นสิริมงคล ทางสถาบันจะเปิดจำหน่ายในเดือนธันวาคม 2547 นี้ ส่วนเกษตรกรท่านใดที่ประสงค์จะเรียนรู้เพื่อไปประกอบอาชีพ สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ ราชมงคล โทร.0-2282-9340-41 หรือ 0-2282-9009-15 ต่อ 141-142 (สยามรัฐ พฤหัสบดีที่ 25 พ.ย. 47 http://www.siamrath.co.th)





นักวิทย์สร้างดัชนีเชื้อเมลิออยโดสิส ช่วยรัฐเฝ้าระวังการติดเชื้อ-เพิ่มอัตราผู้รอดชีวิต

รศ.รสนา วงศ์รัตนชีวิน ภาควิชาเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า ได้วิจัยเพื่อศึกษาความหลากหลายของแบคทีเรียก่อโรคเมลิออยโดสิส ที่พบได้ในดินทั่วประเทศไทย แต่พบมากในดินภาคอีสาน ด้วยวิธีทางชีววิทยาโมเลกุล โดยประโยชน์จากการศึกษาทำให้เข้าใจพื้นฐานของเชื้อที่พบในธรรมชาติ ซึ่งจะนำไปสู่การควบคุมป้องกันการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อแบคทีเรีย Burkholderia pseudomallei ก่อโรคเมลิออยโดสิส เข้าสู่ร่างกายผ่านทางบาดแผล ซึ่งอาการเบื้องต้นคล้ายกับโรคอื่นๆ ได้หลายชนิด เช่น ไข้หวัดใหญ่ โรคฉี่หนู วัณโรค มาลาเรีย โดยการติดเชื้อในเลือดสามารถทำให้ผู้ป่วยราว 40% เสียชีวิตได้อย่างรวดเร็วภายในเวลา 48 ชั่วโมง ฉะนั้น การวินิจฉัยที่ถูกต้องรวดเร็วจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อการจ่ายยาที่ถูกต้องสำหรับรักษาชีวิตผู้ป่วย "จากการสุ่มแยกเชื้อจากดินในอำเภอต่างๆ ของจังหวัดขอนแก่น โดยอาศัยเทคนิคทางชีววิทยาระดับโมเลกุล พบว่าเชื้อดังกล่าวมีความหลากหลายของสายพันธุ์สูงมากโดยในเบื้องต้นสามารถแยกเชื้อออกได้ 77 กลุ่ม ที่แยกกันกระจายตัวในแต่ละพื้นที่ตามชนิดของดิน และในจำนวนนี้มีประมาณ 8-10 กลุ่มที่พบบ่อย ขณะเดียวกันพบเชื้อบางกลุ่มทั้งในดินและแยกได้จากตัวผู้ป่วย ขณะที่บางกลุ่มพบเฉพาะในดินเท่านั้น ทีมวิจัยอยู่ระหว่างการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มเชื้อในดิน กับผู้ป่วยที่แสดงอาการรุนแรง ดูปริมาณเชื้อที่ได้รับรวมถึงข้อมูลการศึกษาระบาดวิทยาในวงกว้าง จากนั้นจะนำข้อมูลดังกล่าวใช้เป็นตัวบ่งชี้ให้เกษตรกรรับรู้ว่า ในทำเลการเกษตรของตนเองจัดเป็นพื้นที่เสี่ยงระดับใด ขณะเดียวกันแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและอาสาสมัคร สามารถใช้ข้อมูลการบ่งชี้ดังกล่าว สำหรับวางมาตรการเฝ้าระวังและการวินิจฉัยผู้ป่วยที่มีอาการเข้าข่ายโรคเมลิออยโดสิส ขณะที่นักวิจัยต่างประเทศหวาดวิตกถึงการนำเชื้อชนิดนี้มาใช้เป็นอาวุธชีวภาพ ซึ่งในประเด็นนี้ไม่น่ากังวลในคนไทย เพราะส่วนใหญ่จะมีภูมิคุ้มกันเชื้อนี้พอสมควร (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 26 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





เภสัชกรรมเปิดเวที "FAPA 2004" ไทยโชว์สารสกัดจากทะแลแก้มะเร็ง

การประชุม "FAPA Congress 2004" ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน-3 ธันวาคม นี้ ที่บางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว โดย ศ.ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จฯเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดการประชุม พร้อมประทานปาฐกถาพิเศษ นอกจากงานด้านวิชาการแล้ว ยังมีนิทรรศการให้ผู้สนใจเข้าชมงานได้ อาทิ นิทรรศการผลิตภัณฑ์ยาประเทศต่างๆ เครื่องมือผลิตยา เครื่องมือแพทย์ เครื่องสำอาง สมุนไพร สินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ สินค้าและบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับเภสัชกรรม ฯลฯ การประชุมวิชาการนานาชาติ The 20th FAPA Congress 2004, Bangkok Thailand ครั้งนี้ มีสมาชิก 13 ประเทศเข้าร่วมประชุม ได้แก่ ออสเตรเลีย ไต้หวัน ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเชีย ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ศรีลังกาและไทย ในหัวข้อเรื่อง "วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าผสานเภสัชศาสตร์ก้าวไกล (Emerging Science and "Profession in Pharmacy)" โดยมีนักวิชาการจากหลากหลายสาขา ได้แก่ เภสัชกร นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย และบุคลากรด้านสาธารณสุข จำนวนกว่า 1,000 คน เข้าร่วมประชุม หัวข้อการประชุมที่น่าสนใจ ได้แก่ วิวัฒนาการของการใช้วิทยาศาสตร์ และเภสัชศาสตร์, แนวทางการพบยาใหม่, การพัฒนา การควบคุมและการขายผลิตภัณฑ์เสริม (ยา อาหาร เครื่องสำอาง) Nutraceutical, ความรู้ใหม่ของ Genetic Polymorphism ในการรักษา, ความก้าวหน้าของระบบการนำส่งยาเข้าสู่ร่างกาย, ยาสมุนไพร, ระบบยาในประเทศทางแถบเอเชีย, บทบาทของเภสัชกรในการติดตามดูแลการใช้ยา, ผลกระทบจากองค์การการค้าโลก(WTO) และเขตเสรีการค้า( FTA) กับยา, การทำงานร่วมกันของแพทย์และเภสัชกรในการดูแลสุขภาพองค์รวม, ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติจากทะเลไทยสู่การนำไปใช้เป็นยา เภสัชกรชาวไทย คือ เภสัชกร ดร.คณิต สุวรรณบริรักษ์ จากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เสนอผลงานวิจัยการศึกษาสารผลิตภัณฑ์ธรรมชาติทางทะเลที่ได้จากฟองน้ำ เพรียง ปะการัง และจุลชีพในประเทศไทย ซึ่งมีรายงานว่า พบสารบางตัวมีฤทธิ์รักษามะเร็ง (Anticancer) รักษาอาการอักเสบ (Anti-inflammatory) และทำลายไวรัส (Antiviral) แต่ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการวิจัย เพื่อพัฒนาเป็นยา โดย เภสัชกร ดร. คณิต และทีมงาน นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอผลงานวิจัยทางด้านพืชสมุนไพร โดย เภสัชกรหญิง รศ.ดร.วีณา จิรัจฉริยากูล จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้ทำการศึกษาวิจัยบวบขม พบว่าน้ำคั้นบวบขมมีสารแสดงฤทธิ์ทางชีวภาพ มีคุณสมบัติในการยับยั้งเซลส์มะเร็งลำไส้ใหญ่ และเซลส์มะเร็งเต้านม รากบวบขมมีสารไทรเทอร์ปินส์ที่แสดงฤทธิ์ยับยั้งไวรัสที่พบบ่อยในผู้ป่วยมะเร็งกล่องเสียง (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 26 พ.ย. 47 http://www.matichon.co.th)





กำไลกันยุงจากน้ำมันตะไคร้หอม ผลงานนิสิตเภสัชฯ จุฬาฯ

ทีมนิสิตเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ จากภาควิชาเภสัชอุตสาหกรรมประกอบด้วย น.ส.ศุภรัสมิ์ สูทกวาทิน น.ส.ภัทธีรา ขจรวุฒิวิวัฒน์ และ น.ส.จิริสุดา สุทธิประภา สร้างสรรค์โครงงานผลิตภัณฑ์กำไลกันยุงจากน้ำมันตะไคร้หอมโดยระบบโพลิเมอร์เมทริกซ์ เข้าประกวดในโครงการรางวัลนวัตกรรมแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 4 (Thailand Innovation Awards 2004) เป็นผลงานที่เปี่ยมด้วยความคิดสร้างสรรค์ครบครันประโยชน์ใช้สอย สามารถกันยุงและใช้เป็นเครื่องประดับได้และเป็นส่วนหนึ่งของโครงงานปริญญานิพนธ์ของนิสิตชั้นปีสุดท้ายที่คณะเภสัชศาสตร์ ซึ่งได้รับรางวัลจากการประกวดภายในคณะและได้รับคำแนะนำจาก อ.ดร.นฤพร สุตัณฑวิบูลย์ อาจารย์ที่ปรึกษาให้ส่งผลงานเข้าร่วมประกวดในระดับชาติ ผลงานนวัตกรรมนี้มีที่มาจากแนวคิดที่จะมีผลิตภัณฑ์กันยุงสำหรับเด็กที่สามารถป้องกันยุงโดยไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวเด็ก รวมทั้งสะดวกในการใช้ ในที่สุดจึงได้พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปลักษณ์ "กำไล" ที่ใช้ง่ายสะดวกไม่เหนียวเหนอะหนะ และมีความทันสมัย หลังจากนั้นได้นำผลิตภัณฑ์มาทดสอบประสิทธิภาพก่อนนำไปใช้จริงโดยแบ่งการทดสอบเป็น 2 วิธี คือการทดสอบประสิทธิภาพในห้องปฏิบัติการโดยนำยุงที่ได้เพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการและให้ผู้ทดสอบทดลองยื่นแขนเปล่าๆ เข้าไปในกรงยุงเปรียบเทียบกับการทดลองซ้ำโดยใส่กำไลกันยุง พบว่าสามารถป้องกันยุงได้ถึง 1 ชั่วโมง 30 นาที ซึ่งถือว่าผ่านมาตรฐานอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์กันยุงของกระทรวงอุตสาหกรรมส่วนวิธีที่ 2 เป็นการทดสอบประสิทธิภาพในภาคสนามในการลดการกัดของยุง โดยใช้มาตรฐานการทดสอบเช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์กันยุงประเภททา ผลปรากฎว่าสามารถลดการกัดของยุงได้ถึง 40% กลิ่นของน้ำมันตะไคร้หอมมีระยะเวลาในการระเหยประมาณ 58 ชั่วโมง เมื่อกลิ่นระเหยออกหมดก็ยังสามารถใช้เป็นเครื่องประดับได้ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะนำออกวางจำหน่ายที่โอสถศาลา จุฬาฯเป็นที่แรกภายใต้ชื่อ " Bye Bye Bug" และในอนาคตมีโครงการที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์กันยุงในรูปแบบใหม่ๆ เช่น ต่างหู จี้ เป็นต้น (ข่าวสด ศุกร์ที่ 26 พ.ย. 47 http://www.matichon.co.th/khaosod)





สหรัฐวิจัยโปรตีนซ่อมกล้ามเนื้อหัวใจ

วารสารเนเจอร์รายงานผลการศึกษาของนักวิจัยสหรัฐว่า "ไทโมซิน เบตา-4" (thymosin beta-4) หรือโปรตีนที่เนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกายผลิตขึ้นมา และมีสรรพคุณในการรักษาแผลผิวหนังนั้น สามารถป้องกันการตายของเซลล์และกล้ามเนื้อหัวใจ รวมทั้งช่วยปรับปรุงระบบการทำงานของหัวใจในหนูทดลองได้ดีขึ้น หลังจากเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลันขึ้นแล้ว ดร.ดีภัก ศรีวัฒนา นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยประจำศูนย์การแพทย์เท็กซัสตะวันตกเฉียงใต้ เชื่อว่า หากโปรตีนดังกล่าวสามารถใช้งานได้ในมนุษย์เหมือนกับหนูทดลอง น่าจะเป็นผลดีอย่างยิ่งต่อวงการแพทย์ เพราะในสหรัฐเพียงประเทศเดียวมีผู้ป่วยโรคหัวใจแต่ละปีมากถึง 1 ล้านคน ที่สำคัญการนำมาใช้งานก็ไม่ยุ่งยาก และไม่มีปัญหาเหมือนกับการใช้สเต็มเซลล์ ทั้งนี้ สเต็มเซลล์เป็นเซลล์ต้นกำเนิดในร่างกาย ที่สามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์ได้หลากชนิด โดยนักวิจัยเชื่อว่าสามารถใช้รักษาโรคหัวใจและโรคร้ายอื่นๆ ได้ แต่ยังคงมีข้อโต้แย้งด้านศีลธรรมอยู่ เนื่องจากสเต็มเซลล์ได้มาจากตัวอ่อนของมนุษย์ ดร.ศรีวัฒนา และทีมงานจึงหันมาใช้โปรตีน "ไทโมซิน เบตา-4" แทนสเต็มเซลล์ และจากการทดลองกับหนูจำนวน 58 ตัว ด้วยการแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกให้โปรตีนและอีกกลุ่มให้ยาหลอก พบว่าในกลุ่มที่ให้โปรตีนนั้น อัตราการตายของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจไม่เร็วเหมือนที่ควรจะเป็น นั่นทำให้เชื่อได้ว่าการรอดชีวิตของผู้ป่วยที่เกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลันภายใน 24 ชั่วโมงแรกจะสูงมากขึ้น หลังจากนั้นราว 2-3 สัปดาห์ หัวใจของหนูในกลุ่มที่ได้รับโปรตีนมีการสูบฉีดโลหิตดีขึ้นมาก และยังไม่เกิดผลข้างเคียงใดๆ แม้แต่น้อย ทีมวิจัยจึงเชื่อว่าการรักษาด้วยการใช้โปรตีนน่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่าวิธีที่ใช้อยู่ทั่วไป และทีมงานยังมีแผนทดลองทางคลินิกในปีหน้า เพื่อดูว่าโปรตีนดังกล่าวจะใช้ได้ดีในมนุษย์ที่มีปัญหาโรคหัวใจหรือไม่ "ผลการทดลองบอกให้เรารู้ว่า มันใช้การได้ดีและมีประสิทธิภาพมากในหนูทดลอง เราก็เลยหวังว่าน่าจะให้ผลอย่างเดียวกันนี้ในมนุษย์ด้วย" ดร.ศรีวัฒนา ย้ำและเชื่อว่า ผลงานการวิจัยนี้จะเป็นอีกทางเลือก ที่จะสร้างโอกาสรอดชีวิตให้กับผู้ป่วยหัวใจวายเฉียบพลัน และยังช่วยให้หัวใจสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ด้วย เพราะโดยปกติแล้ว กล้ามเนื้อหัวใจที่ตายแล้วก็จะตายเลย ไม่สามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้เหมือนเซลล์อื่นๆ ของร่างกาย (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 27 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ข่าวทั่วไป


พบซากลิงยักษ์ไร้หางในสเปนต้นกำเนิดบรรพบุรุษคนเรา

นักวิทยาศาสตร์ขุดค้นพบซากของลิงยักษ์ไร้หาง ที่น่าจะเป็นบรรพบุรุษแต่ดึกดำบรรพ์ไม่เฉพาะของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเป็นของลิงยักษ์ไร้หางทั้งมวล รวมทั้งชิมป์ และกอริลลาด้วย ส่วนหนึ่งของโครงกระดูกของลิงยักษ์โบราณที่มีอายุ 13 ล้านปี นั้นนักดึกดำบรรพ์วิทยาขุดพบที่ใกล้เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน รายละเอียดของการค้นพบนั้นเปิดเผยในนิตยสาร "ไซเอินซ์" สำหรับซากโครงกระดูกที่พบนั้นน่าจะเป็นของลิงเพศผู้ เป็นสัตว์กินผลไม้ และค่อนข้างตัวเล็กกว่าชิมแปนซี ซัลวาดอร์ โมยา-โซลา หัวหน้าคณะขุดค้นพบชิ้นส่วนอันประกอบด้วยกะโหลกศีรษะ ซี่โครง กระดูกสันหลัง กระดูกมือและเท้า กับชิ้นส่วนกระดูกอื่นๆ (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 22 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)





ปลดล็อกมาตรฐาน มอก. เปิดทางสถาบันอิสระทำคลอด-ปลุก มาตรฐานชุมชน

นายวัชระ พรรณเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยว่า ปัจจุบันการออกมาตรฐานผลิตภัณฑ์สินค้าของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ยังมีข้อจำกัดในเรื่องบุคลากรอยู่มาก กระทรวงอุตสาหกรรมจึงเสนอแก้ไขกฎหมาย เพื่อเพิ่มอำนาจให้แก่สถาบันอิสระทั้ง 9 แห่ง ที่มีประสบการณ์ในการทดสอบคุณภาพสินค้า เช่น สถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ, สถาบันยานยนต์ สถาบันอาหาร ฯลฯ สามารถออกใบรับรองมาตรฐานและคุณภาพของสินค้าได้ แต่จะต้องอิงกับมาตรฐานที่ สมอ.กำหนดไว้ โดยร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่ระหว่างการเตรียมเสนอเข้าสู่ ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเร็วๆนี้ นายชาญนาวิน สุกแจ่มใส ผู้อำนวยการสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ เปิดเผยว่า ปัจจุบันสถาบันฯได้ให้การรับรองมาตรฐานไอเอสโอแก่ผู้ประกอบการไทยจำนวน 1,229 ราย และออกใบรับรองมาตรฐานไอเอสโอได้เพียงประมาณ 240 ราย ต่อปีเท่านั้น นายไพโรจน์ สัญญะเดชากุล เลขาธิการ สมอ. กล่าวถึงโครงการจัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) เพื่อยกระดับมาตรฐานสินค้าชุมชนสู่มาตรฐานสากลว่า ปัจจุบันสามารถกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนแล้ว 608 เรื่อง มีผู้ได้รับการรับรองกว่า 2,625 ราย และมีผู้ยื่นขอการรับรองอีกกว่า 5,000 ราย โดยเฉพาะโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (โอทอป) สามารถขอการรับรองมาตรฐานโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ และหากรายใดไม่ผ่านการรับรองคุณภาพ ทาง สมอ.ก็มีโครงการพัฒนาและให้คำปรึกษาจนกว่า จะผ่านการรับรอง ทั้งนี้ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์สินค้าที่ผ่านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ทาง สมอ.จึงกำหนดจัดงานแสดงสินค้ามาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนขึ้นในภูมิภาค โดยกำหนดจัดที่จังหวัดเชียงใหม่ในกลางเดือน ธ.ค.นี้ และภาคใต้ในเดือน ม.ค. 48 (ไทยรัฐ อังคารที่ 23 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





จีนจะสร้างหอสูงแชมเปี้ยนโลกสูงเสียดฟ้ามากถึง 600 เมตร

เจ้าหน้าที่ของจีนรายงานว่า เมืองกวางโจว เมืองใหญ่ทางตอนใต้ของจีน วางแผนสร้างหอสูงสุดในโลก เพื่อบันทึกชื่อลงในหนังสือบันทึกสถิติ โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินงานได้ในเดือนหน้า กวางโจวทีวี ทาวเวอร์ ซึ่งคาดว่าจะมีความสูง ราว 580-600 เมตร จะแซงหน้าเจ้าของสถิติปัจจุบัน ซึ่งก็คือ ซีเอ็น ทาวเวอร์ ในนครโตรอนโต ของแคนาดา ที่สร้างขึ้นเมื่อปี 2519 กวางโจวทีวี ทาวเวอร์ จะตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเพิร์ล บนพื้นที่ 84,880 ตารางเมตร ในย่านธุรกิจเทียนเหอ อย่างไรก็ตาม ได้มีบริษัทต่างๆทั้งในและต่างประเทศ 13 แห่ง ยื่นประมูลขอออกแบบโครงสร้าง แต่ล่าสุดลดลงมาเหลือ 3 รายแล้ว ได้แก่ บริษัทของอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี นายหวง เจียเตี้ยน รองผู้อำนวยการโครงการ กล่าวว่า ยังไม่ได้มีการตัดสินใจเรื่องการออกแบบ ดังนั้น โครงการนี้อาจล่าช้า แต่คาดว่าจะเปิดบริการนักท่องเที่ยวได้ในปี 2551 (ไทยรัฐ อังคารที่ 23 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





แพทย์สหรัฐชี้ต้นตอหวัดนกมาจากวัคซีน

จากการประชุมใหญ่สมัชชาการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโลกครั้งที่ 3 เมื่อ 22 พ.ย. นี้ ได้มีการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง โรคที่ปรากฏในระบบนิเวศ ดร.วิลเลียม บี คาเรช ผู้อำนวยการโครงการสัตวแพทย์ภาคสนาม องค์กรอนุรักษ์สัตว์ป่าสากล เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้เสนอแนวความคิด one world one health หรือการสาธารณสุขเพื่อโลกเดียวกัน โดยมุ่งให้ทุกฝ่ายจะต้องหันหน้ามาร่วมกันแก้ปัญหา เพราะทุกวันนี้การควบคุมโรคระบาดทั้งที่เกิดกับคนและสัตว์ทำไม่ได้ผล เนื่องจากเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ พร้อมยกตัวอย่างกรณี โรคซาร์ส และไข้หวัดนก ที่กลับมาระบาดอีกครั้งหลังเคยระบาดมาแล้ว โดยที่ยังหาสาเหตุไม่ได้ ดร.วิลเลียม กล่าวถึงการระบาดของโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันว่า สาเหตุสำคัญมาจากการค้าสัตว์ป่าระหว่างประเทศ เพราะมีการนำสัตว์จากหลายภูมิภาคมารวมในที่เดียวกัน ทำให้เป็นแหล่งรวมของเชื้อไวรัส และก่อให้เกิดโรคระบาดชนิดใหม่ๆ ขึ้นมา เชื่อว่าภายใน 20 ปีข้างหน้าจะเกิดโรคระบาดใหม่ๆ จากสัตว์สู่คนมากขึ้น สำหรับกรณีการระบาดของโรคไข้หวัดนกในเอเชียนั้น ดร.วิลเลียม กล่าวว่า ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์บ่งชี้ว่าสาเหตุมาจากนกอพยพ ขณะที่วงการสัตวแพทย์มีข้อมูลส่วนหนึ่งระบุว่า การระบาดมีผลมาจากการใช้วัคซีนไข้หวัดนกในสัตว์ปีก เพราะการใช้วัคซีนจะควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้ระดับหนึ่ง แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งเชื้อโรคก็จะกระจายมากขึ้น และแนวโน้มจะมีการระบาดรุนแรงเกิดขึ้นอีกแน่นอน ทั้งยังเป็นไปได้ที่เชื้อไวรัสไข้หวัดนกจะกลายพันธุ์ทำให้มีการแพร่เชื้อไปสู่สัตว์อื่น เพราะที่ผ่านมาก็แพร่จากนกไปสู่หมู่ และก็แพร่ไปถึงเสือแล้ว เนื่องจากไวรัสมีการพัฒนาสายพันธุ์และเปลี่ยนแปลงทุกปี ซึ่งถือเป็นเรื่องท้าทาย เพราะไวรัสไข้หวัดนกมีหลายสายพันธุ์และเราไม่รู้ว่าสายพันธุ์ไหนจะกลายพันธุ์ ส่วนการที่ไทยจะศึกษาการใช้วัคซีนไข้หวัดนกนั้น ดร.วิลเลียม กล่าวว่า ต้องมีการจัดการเป็นพื้นที่ อาจจะไม่จำเป็นต้องประกาศนโยบายใช้วัคซีนทั้งประเทศ แต่น่าจะพิจารณาตามความเหมาะสม กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมการเคลื่อนย้ายสัตว์ปีกระหว่างฟาร์ม และควรมีการตรวจสอบหาเชื้อไข้หวัดนกในแหล่งน้ำด้วย (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 23 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





พลังงานจัดเวิร์กชอปเดือนหน้า ระดมสมองวางแนวพัฒนาปิโตรฯ

น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช รมว.กระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึง แผนการลงทุนอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของประเทศ ว่า ขณะนี้ คุณหญิงทองทิพ รัตนะรัต ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียม ได้รายงานผลการศึกษาภาพรวมของอุตสาหกรรมนี้ในระยะ 15 ปีข้างหน้า ปี 2547-2558 โดยเร็วๆ นี้ จะประชุมเชิงปฏิบัติการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือถึงการพัฒนาปิโตรเคมีร่วมกัน จากนั้นถึงจะทราบรายละเอียดทั้งหมด ว่า จะการลงทุนจะไปในทิศทางใด แต่โดยหลักแล้วภาครัฐจะเป็นแกนนำในการพัฒนา โดยให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นหลักในการลงทุนอุตสาหกรรมปิโตรเคมีระยะที่ 3 ทั้งนี้ เป้าหมายการพัฒนาปิโตรเคมี ระยะที่ 3 จะเน้นไปที่การเพิ่มมูลค่าก๊าซในอ่าวไทย จากปี 2545 ที่มีการนำก๊าซไปใช้ในการทำไฟฟ้ามากที่สุดถึง 85% ส่วนที่เหลือ 7% นำไปทำก๊าซหุงต้ม และ 7.1% นำไปทำปิโตรเคมี แต่สามารถทำกำไรได้เพิ่มขึ้นถึง 9 เท่า ส่วนการนำไปผลิตไฟฟ้า ทำกำไรได้เพียง 0.4 เท่า ก๊าซหุงต้มทำกำไรได้ 2 เท่า แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ก๊าซในอ่าวไทยยังมีเพียงพอสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีระยะที่ 3 มีสำรองอยู่ 14 ล้านล้านลบ.ฟุตต่อปี ใช้อยู่ 1 ล้านล้านลบ.ฟุตต่อปี หรือใช้ได้อีก 14 ปี แต่หวังว่าจะมีแหล่งอื่นเข้ามาเพิ่มเติม ดังนั้น ก๊าซที่มีอยู่ต้องมาทำมูลค่าเพิ่มในการทำปิโตรเคมี เป็นหลัก ส่วนการผลิตไฟฟ้าจะหันไปใช้ก๊าซจากพม่า และมาเลเซีย มากกว่า สำหรับเงินลงทุนสำหรับโรงงานปิโตรเคมี รวมทั้งหมดในระยะที่ 3 นี้ จะอยู่ที่ 3.5 แสนล้านบาท คาดว่าจะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยมากกว่า 2.3 แสนล้านบาทต่อปี โดยรายละเอียดเกี่ยวกับการลงทุนต้องผ่านการประชุมเชิงปฏิบัติการ ประมาณปลายเดือน ธ.ค.นี้ เพื่อให้ทราบความชัดเจนว่ารัฐจะมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนปิโตรเคมีระยะที่ 3 อย่างไร ก่อนชักชวนนักลงทุนเข้าลงทุนในแต่ละส่วน (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 23 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





"อังค์ถัด" ให้เครดิตประเทศไทย อันดับ 4 แห่งการลงทุนของโลก

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานสัมมนาวิชาการ 66 ปี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์เรื่อง "ธุรกิจไทยแข่งขันอย่างไรข้ามโลก" ในหัวข้อการแข่งขันธุรกิจข้ามชาติ ว่า เงินลงทุนข้ามชาติที่ไหลเข้ามาเพื่อลงทุนในไทย ยังมีความจำเป็นเพื่อช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัว ไทยจึงต้องสร้างบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่ดี โดยจากผลการสำรวจของที่ประชุมของ สหประชาชาติ ว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) พบว่าในปี 2548 ไทยยังมีความสามารถใน การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ สูงเป็นอันดับที่ 4 ของโลก รองจาก จีน อินเดีย สหรัฐอเมริกา แต่การเข้ามาของทุนใหม่ๆ จะเข้ามาหลังจากการใช้กำลังการผลิตเดิมของไทยขึ้นไปที่ 75-80% ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ 70% เชื่อว่าปีหน้าก็จะขยับไปถึง 80% (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 25 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)





ไทยได้เป็นกรรมการไอยูซีเอ็น หนุนบทบาทผู้หญิงสิ่งแวดล้อม

ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ จากการประชุมใหญ่สมัชชาด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโลก ครั้งที่ 3 ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการบริหารของไอยูซีเอ็น มีวาระสำคัญในการรับรองและประกาศผลการเลือกตั้งประธานและคณะผู้บริหารชุดใหม่ ซึ่งตำแหน่งประธานไอยูซีเอ็นคนใหม่ได้แก่ นายมูฮัมเหม็ด วาลลิมูซา วัย 56 ปี อดีตรัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยวของประเทศแอฟริกาใต้ และ ดร.มณทิพย์ ศรีรัตนา ทาบูกานอน อดีตอธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตัวแทนประเทศไทยได้รับการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประจำภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออก นายมูฮัมเหม็ด กล่าวว่า ในการประชุมอีก 2 ปีข้างหน้าจะให้ความสำคัญกับการจัดการพื้นที่คุ้มครอง โดยเฉพาะการคุ้มครองมหาสมุทร และให้ประชาชนทั่วไปเข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และดูแลพื้นที่คุ้มครองควบคู่กับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยไม่จำกัดในเรื่องพรมแดนและความแตกต่างทางศาสนา ทั้งนี้เพื่อนำองค์กรไอยูซีเอ็นให้ก้าวหน้าด้านการอนุรักษ์ สังคมและการเมือง ด้าน ดร.มณทิพย์ กล่าวว่า การได้เป็นตัวแทนประเทศไทยถือเป็นโอกาสดีที่จะได้เข้าไปมีบทบาทในการรับรู้ข้อมูลและนำความรู้ต่างๆ มาสนับสนุนการอนุรักษ์ของไทย รวมทั้งเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยหน้าที่หลักของกรรมการบริหารจะทำหน้าที่บริหารองค์กรและอนุมัติในโครงการที่แต่ละประเทศเสนอเพื่อขอรับการสนับสนุน และในฐานะที่เป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผ่านการเลือกตั้งในภูมิภาค จะขอทำหน้าที่ตัวแทนสตรีร่วมกับผู้แทนจากปากีสถานเสนอให้ตั้งคณะกรรมาธิการว่าด้วยกิจการสตรี ที่มุ่งหวังให้สตรีมีบทบาทในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น และหวังจะสานงานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติตามที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้ปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้านสิ่งแวดล้อม (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 25 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ไทยผุดทางหลวง-ทางรถไฟเอเชีย เชื่อมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อนบ้าน

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยหลังเป็นประธานเปิดประชุมคณะอนุกรรมการว่าด้วยการขนส่งโครงสร้างพื้นฐาน การอำนวยความสะดวก และการท่องเที่ยวของเอสแคป ครั้งที่ 1 (24พ.ย.) ว่า การประชุมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนแนวโน้มและพัฒนาการต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อการพัฒนาด้านขนส่ง โครงสร้างพื้นฐานและอำนวยความสะดวก และการท่องเที่ยวระดับประเทศ ภูมิภาค และระดับโลก รัฐบาลไทยได้ผลักดันโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น โครงการทางหลวงสายเอเชีย และทางรถไฟสายทรานส์เอเชีย โดยได้ลงนามความตกลงฉบับดังกล่าวเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันว่าไทยจะร่วมผลักดันให้ทั้ง 2 โครงการเกิดขึ้นโดยเร็ว ส่วนการท่องเที่ยวนั้น ไทยได้พัฒนาสินค้าด้านท่องเที่ยวใหม่ตอบสนองลูกค้าที่มีเพิ่มขึ้น โดยดึงนักท่องเที่ยวจากจุดหมายปลายทางที่แออัด เช่น การจัดทัศนาจร 3 ประเทศ หรือท่องเที่ยวตามรอยอารยธรรมโบราณ ด้วยการพัฒนาระบบขนส่งภายในประเทศ ซึ่งทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเติบโตตามไปด้วย และที่ประชุมได้เน้นเรื่องการขนส่งทางบกเป็นหลัก และพิจารณาแผนการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดิวเดลีด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเอเชียและแปซิปิก (ปี2545-2549) เรื่องต่างๆ ได้แก่ 1.โครงข่ายทางหลวงเอเชีย 2.โครงข่ายทางรถไฟสายเอเชีย 3.การอำนวยความสะดวกในการขนส่งหลายรูปแบบในระดับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก 4.แผนการดำเนินงานเพื่อการพัฒนาด้านท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก สนับสนุนโครงข่ายการศึกษาและสถาบันการฝึกอบรมการท่องเที่ยวในเอเชียและแปซิฟิก 5.แผนงานและโครงการในอนาคต โดยไทยได้เสนอแนวทางการพัฒนาการขนส่งทางบกและกำหนดโครงข่ายการขนส่ง ตลอดจนแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวต่อที่ประชุม ซึ่งเอส แคปจะพิจารณาให้ความร่วมมือกับไทยด้านวิชาการ (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 25 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





สร้างทางด่วน-รถไฟฟ้าไปฝั่งธนฯเวนคืนบ้าน 2,700 หลังกลางปีหน้า

วันที่ 23 พ.ย. 2547 ที่สำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) มีการสัมมนารับฟังความคิดเห็นโครงการระบบทางด่วน ทดแทนโครงการทางด่วนสายพญาไท-พุทธมณฑล บนเขตทางรถไฟ สายบางซื่อ-พระราม 6 โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตทางรถไฟ ที่อาจได้รับผลกระทบมาร่วมประมาณ 370 คน ทั้งนี้ทางบริษัทที่ปรึกษาได้ชี้แจงความคืบหน้าการศึกษาโครงการ โดยเส้นทางเริ่มจากถนนกาญจนาภิเษกบริเวณใกล้ชุมทางต่างระดับฉิมพลี ขนานไปกับทางรถไฟสายตะวันตก (สายใต้เดิม) ผ่านถนนจรัญสนิทวงศ์ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณสะพานพระราม 6 ผ่านถนนประชาราษฎร์ ถนนประชาชื่น และสิ้นสุดที่ทางพิเศษศรีรัช บริเวณบางซื่อ ประกอบด้วย ระบบรถไฟฟ้า 1. ระบบทางรถไฟทางคู่ตลอดเส้นทาง เป็นทางระดับพื้นดินจากสถานีตลิ่งชันถึงสถานีบางบำหรุ จากนั้นยกระดับข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เข้าสู่สถานีบางซ่อน และสิ้นสุดที่สถานีบางซื่อ 2. ทางด่วน เป็นทางด่วนยกระดับ 6 ช่องจราจร ตลอดเส้นทางมีจุดขึ้น-ลง 7 แห่ง และเชื่อมต่อกับทางยกระดับบรมราชชนนีและทางพิเศษศรีรัช 3. ถนน เลียบทางรถไฟ เป็นถนนพื้นผิวแอสฟัลต์คอนกรีต 2 ช่องจราจร และเดินรถ ทางเดียวตลอดเส้นทางขนานไปกับรางรถไฟ ฝั่งซ้ายและขวา โดยฝั่งธนบุรีมีจุดกลับรถ 3 แห่ง และสะพานกลับรถ 4 แห่ง ส่วนฝั่งกรุงเทพฯ มีจุดกลับรถระดับดิน 5 แห่ง ทั้งนี้ผลการศึกษาพบว่า หากโครงการแล้วเสร็จจะสามารถรองรับปริมาณการจราจรข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาในปี พ.ศ. 2564 แบ่งเป็นรถยนต์วันละ 104,500 คัน รถไฟชานเมืองวันละ 156,000 คน โดยใช้งบประมาณสำหรับระบบราง 10,400 ล้านบาท ค่าก่อสร้างระบบทางด่วน 13,700 ล้านบาท ค่าก่อสร้างถนนเลียบทางรถไฟ 470 ล้านบาท ค่าเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ประมาณ 4,900 ล้านบาท ครอบคลุมบ้านเรือนประชาชน 2,700 หลังคาเรือน ในจุดที่เป็นทางขึ้นลงทางด่วนและจุดก่อสร้างด่านเก็บค่าผ่านทาง และเป็นค่าเสียโอกาสในการใช้ดินของ รฟท. ประมาณ 3,400 ล้านบาท ทั้งนี้หน่วยงานปฏิบัติระบบรถไฟมอบให้ รฟท. ระบบทางด่วนให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และถนนเลียบทางรถไฟให้ กทม. เป็นผู้ก่อสร้าง คาดว่าจะเริ่มออกกฤษฎีกาเวนคืนได้ประมาณเดือน ก.ค. 48. (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 25 พ.ย. 47 http://www.dailynews.co.th)





ปิดฉากสมัชชาสิ่งแวดล้อม 5 ประเทศร่วมมือแม่น้ำโขง

ปิดการประชุมใหญ่ สมัชชาการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโลกครั้งที่ 3 ซึ่งมีการประชุมตั้งแต่วันที่ 17-25 พ.ย.ที่ ผ่านมาด้วยความสำเร็จ ของประเทศไทย ซึ่งสามารถสร้างความร่วมมือ จัดการน้ำและสิ่งแวดล้อม กับประเทศในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ได้ นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวว่า ไทยประสบความสำเร็จในการสร้างความร่วมมือประเภทศลุ่มน้ำโขง โดยรัฐมนตรีในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงทั้ง 5 ประเทศ มีข้อตกลงร่วมกันที่จะบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และความหลากหลายทางชีวภาพในลุ่มน้ำโขง นอกจากนี้ประเทศในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงแล้ว ยังมีการหารือถึงความร่วมมือระหว่างประเทศในการดูแลพื้นที่คุ้มครองที่เป็นรอยต่อระหว่างประเทศด้วย นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้หารือร่วมกันในการอนุรักษ์ดูแลสัตว์ป่ากว่า 1 หมื่น 5 พันชนิดที่ใกล้สูญพันธุ์และส่วนใหญ่อยู่ในภูมิภาค ทั้งนี้จากการประชุมระดับนานาชาติด้านสิ่งแวดล้อมรัฐบาลจึงจะนำเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมาเป็นนโยบายหลักของประเทศในตลอด 4 ปีข้างหน้าด้วย และในเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ไทยยังได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพการประชุมอนุสัญญาความหลากหลายทางชีวภาพโลกด้วย นายอาชิม สไตน์เนอร์ ผอ.สหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ (ไอยูซีเอ็น) กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้มีการลงนามข้อตกลงร่วมกันกว่า 100 เรื่องในระหว่าง 180 ประเทศสมาชิก โดยไอยูซีเอ็นจะใช้สูตร 4 คูณ 4 ในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ได้แก่ สะท้อน คิดใหม่ ปรับเปลี่ยน และอนุรักษ์ใน 4 เรื่องคือ1. การบริหารจัดการระบบนิเวศ 2. ชนิดพันธุ์และความหลากหลายทางชีวภาพที่มีการกำหนดไว้ว่าภายในปี ค.ศ.2010 จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี โดยให้รัฐบาลเข้ามามีส่วนร่วมกับประชาชน 3. ความยากจนและชีวิตความเป็นอยู่ของคน ซึ่งที่ผ่านมาเราแยกการอนุรักษ์ออกจากการใช้ประโยชน์ ซึ่งต่อไปจะต้องพยายามหาความสมดุลเพื่อให้อยู่ร่วมกันได้ และ4. ตลาดและธุรกิจองค์กร ซึ่งตนขอขอบคุณรัฐบาลไทยและคนไทยในการสนับสนุนการประชุมครั้งนี้เป็นอย่างดี และยังสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถด้วย (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 26 พ.ย. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





น.ศ.ราชมงคลคว้ารางวัล"D"mond Young Desingner

ข่าวจากสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลแจ้งว่า นางสาวปวีณา เอี่ยมอินทร์ นักศึกษาแผนกโลหะรูปพรรณ และอัญมณี วิทยาเขตเพาะช่าง คว้ารางวัลชนะเลิศ D"mond Young Desingner Award :DYDA 2004ในผลงานชื่อ บ้านเชียง ส่วนนายสุทธิอรรถ ทองนุ่น จากสถาบันเดียวกัน ได้รับรางวัลรองชนะเลิศ ในผลงานชื่อ "ประเพณีลอยกระทง" โดยนางสาวปวีณากล่าวว่า ได้แรงบันดาลใจมาจากลวดลายต่างๆ ที่ปรากฏตามวัตถุโบราณสมัยบ้านเชียง ซึ่งลวดลายและภาพเขียนสีที่อยู่บนหม้อ ไห ภาชนะที่ขุดค้นพบ ที่บ้านเชียงเป็นลวดลายที่แปลกตาและที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองไม่มีที่ใดเหมือน ศิลปะแบบบ้านเชียงยังได้รับการยอมรับไว้เป็นแหล่งหนึ่งในบรรดามรดกโลกด้วยแล้วตน คิดว่าถ้านำเอกลักษณ์ตรงนี้มาประยุกต์ในรูปแบบของเครื่องประดับแล้วไม่เพียงแค่คนไทยเท่านั้นที่จะรู้จัก ชาวต่างชาติเขายังจะได้รู้จักประเทศไทย และศิลปะอันมีค่าของเรามากขึ้น จากการถ่ายทอดออกมาทางด้านเครื่องประดับด้วย อีกอย่างงานที่ตนสื่อออกมาก็ตรงกับหัวข้อที่ทางโครงการประกวดกำหนดมาให้พอดี คือ Siam Extravagaza ซึ่งเน้นแนวออกแบบสีสันแห่งความเป็นไทย เพื่อให้สอดคล้องกับโครงการ กรุงเทพฯเมืองแฟชั่นด้วย ด้านนายสุทธิอรรถกล่าวว่า เลือกประเพณีลอยกระทงมาเป็นแนวคิดหลัก ไม่ว่าใครที่เห็นก็รู้ แล้วว่านี่ประเทศไทย อีกอย่างต้องการที่จะนำเอาทั้งสายน้ำและกระทงให้มาล่องลอย ประดับอยู่บนตัวคน จับเอาประการอันแพรวพราวของเพชรให้ส่องแสงระยิบระยับแทนแสงเทียนที่จุดบนกระทง (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 26 พ.ย. 47 http://www.matichon.co.th)





สมุยเปิดศูนย์เวชศาสตร์ทางทะเล

นายแพทย์พงษ์ศักดิ์ วิทยากร กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดศูนย์เวชศาสตร์ทางทะเล ณ โรงพยาบาลกรุงเทพเกาะสมุย ว่า เนื่องจากสภาพทั่วไปของเกาะสมุยนั้นปีหนึ่ง ๆ จะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวชมธรรมชาติจากหมู่เกาะทั้งหลายที่อยู่รายรอบเกาะสมุยนี้ ไม่ว่าจะเป็นเกาะพะงัน เกาะเต่า หมู่เกาะอ่างทอง และเกาะนางยวน ที่ในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวไปดำน้ำชมปะการังและฝูงปลาทะเลนานาชนิด ต้องได้รับบาดเจ็บจากการดำน้ำเกี่ยวกับการควบคุมออกซิเจนในร่างกายขณะขึ้นสู่ผิวน้ำ โดยจะทำให้เกิดการเจ็บป่วยจากการดำน้ำ ซึ่งทางการแพทย์เรียกโรคนี้ว่า โรคลดความกดและฟองอากาศอุดเส้นเลือดสมอง ที่ผ่านมาจะต้องส่งผู้ป่วยโรคดังกล่าวไปรักษาตัวยังภูเก็ตหรือกรุงเทพมหานคร ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางโรงพยาบาลกรุงเทพเกาะสมุยจึงได้นำเครื่องดังกล่าวมาติดตั้งเพื่อให้บริการผู้ป่วยด้วยโรคดังกล่าว ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการรักษาพยาบาลนักท่องเที่ยวที่มีอาการเจ็บป่วยได้อย่างทันท่วงที สำหรับโรคนี้จะต้องได้รับการรักษาด้วยการนำออกซิเจนความดันสูงมาบำบัดโรคโดยเรียกเครื่องนี้ว่า ไฮเปอร์แบริค ออกซิเจน เทอรีฟี่ (Hyperbaric Oxygen Therapy หรือ HBO) อันเป็นวิธีรักษาผู้ป่วยด้วยการให้ออกซิเจนอีกแบบหนึ่ง แต่มีลักษณะพิเศษตรงที่การให้ผู้ป่วยหายใจด้วยออกซิเจนบริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ขณะอยู่ในห้องปรับอากาศเรียกว่าไฮเปอร์แบริค แชมเบอร์ (Hyperbaric Chamber) ที่มีความดันภายในสูงกว่าภายนอกหนึ่งบรรยากาศ ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนในปริมาณสูงกว่าการให้ออกซิเจนตามปกติ และเครื่องดังกล่าวเป็นเทคโนโลยีสูงที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้รักษาการเจ็บป่วยของนักดำน้ำนักบินและมนุษย์อวกาศที่ต้องทำงานเกี่ยวกับความกดดันอากาศ เครื่องนี้ยังประยุกต์ใช้รักษาโรคทั่วไปหลายชนิดให้ได้ผลดีกว่าเดิมอีกด้วย (เดลินิวส์ 26 พ.ย. 47 http://www.dailynews.co.th)





พืชทะเลทรายลดไขมัน ทำยาสั่งกระเพาะไม่หิว

"ฮูเดีย" (hoodia) พืชที่ขึ้นอยู่ในทะเลทรายคาลาฮารีในทวีปแอฟริกา คือสารสกัดตัวที่ว่า ซึ่งมีฤทธิ์เข้าไปล่อลวงให้สมองสั่งการออกมาบอกร่างกายให้รู้สึกว่าท้องกำลังอิ่ม พืชชนิดนี้เป็นอาหารที่ชาวบุชแมนในแอฟริกาใต้ บริโภคกันมานานนับพันปีแล้ว และปัจจุบันกำลังได้รับความสนใจจาก "ไฟโตฟาร์ม" ผู้ผลิตยาในอังกฤษ ซึ่งต้องการนำไปใช้เป็นยาลดความอ้วนโดยตรง แต่จะได้ผลจริงมากน้อยเพียงใด ผู้ที่จะได้รับประโยชน์ครั้งนี้มากที่สุด น่าจะเป็นชาวบุชแมนหรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ "แซน" ที่จะได้รับเงินหลายล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นค่าตอบแทน หากฮูเดียถูกนำไปผลิตเป็นสินค้าจำหน่ายจริง ทั้งนี้ คาดกันว่าชาวอเมริกันใช้เงินกว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีในการซื้อผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก ดังนั้น เฉพาะสหรัฐเพียงแห่งเดียวน่าจะทำผลประโยชน์ให้ชาวบุชแมนมากถึงร้อยร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ ถ้าผลิตภัณฑ์จากฮูเดียประสบความสำเร็จ (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 26 พ.ย. 47 http://www.komchadluek.net)





รู้ไว้ก่อนตัดสินใจซื้ออุปกรณ์ออกกำลัง

คณะกรรมการ สหพันธ์การค้าสหรัฐฯ บอกว่า มีข้อพึงสังเกต ก่อนการตัดสินใจอย่างไรบ้าง ในการเลือกซื้ออุปกรณ์ออกกำลัง ให้ปลอดภัยมี มองหาเครื่องมือที่จะช่วยให้ออกกำลังได้ทุกส่วนทางที่ดีที่สุด สำหรับการมีร่างกายที่แข็งแรงนั้นขึ้นอยู่กับกิจกรรมการออกกำลังกาย ที่เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตประจำวัน พึงระลึกไว้ว่าโดยตัวอุปกรณ์เองแล้ว ไม่มีอุปกรณ์ใดที่จะสามารถเผาผลาญไขมัน ได้เฉพาะบางส่วนของร่างกาย การที่จะเปลี่ยนให้ "พุงถังเบียร์" ลดลงนั้น ยังต้องประกอบด้วยการผสมผสานระหว่างการออกกำลังกาย ที่เหมาะสมทั้งตัวและการกินอาหารถูกส่วนอีกด้วย ควรจะต้องมีข้อสงสัยเกี่ยวกับข้อความที่โฆษณาไว้ก่อน เมื่อเห็นการโฆษณาที่ให้ผู้ใช้ มาประกาศความดีของสินค้านั้น หรือรูปภาพที่เปรียบเทียบก่อน-หลัง ที่แสดงความพึงพอใจของลูกค้าก่อนหน้านั้น ต้องจำไว้ว่าผลอาจไม่เป็นแบบเดียวกันหมด ราคาที่บอกไว้ ต้องดูด้วยว่า เป็นราคาที่บวกภาษีแล้วหรือยัง รวมค่าส่ง และค่าติดตั้งหรือเปล่า เป็นต้น (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 27 พ.ย. 47 http://www.thairath.co.th)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215