หัวข้อข่าวปีที่ 5 ฉบับที่ 50 ประจำวันที่ 2004-12-12

ข่าวการศึกษา

ปลัดศธ.เผยอาเซียนตื่นตัวพัฒนาจัดการศึกษาพิเศษ
ยูคอม จับมือ ม.อีสเทิร์นเอเชีย สอนภาษาอังกฤษผ่านอี-เลิร์นนิ่ง
สกอ.ผุดดรีมทีมผลิตแพทย์ชนบท ยึดแนวออสซี่เปิดสอน6มหา ลัย
สัมมนา ป.เอก งานวิจัยทางสังคม
นร.ประถมซิวเหรียญ"คณิต-วิทย์โอลิมปิก"
ยูเนสโกปิ๊งนักนิติศาสตร์จุฬาฯ คว้ารางวัลสิทธิมนุษยชน2004
นร.ประถมไทยเจ๋ง ซิว5เหรียญโอลิมปิก คณิต-วิทย์นานาชาติ
ศธ.สนองพระราชดำรัสใช้ดาวเทียม-ไอทีช่วยสอน
ปี49มหา’ลัยกทม.เปิดสอน2คณะ รอผู้ว่าฯเห็นชอบ-แก้ไขกฎหมาย
ยูเอ็นเชิญ ม.กรุงเทพ ถกเปิดเสรีการศึกษา
ไฟเขียว 4 ม.ใต้เปิดเทียบวุฒิ กลุ่มครูปอเนาะ/บัณฑิตอิสลาม
คณะศิลปกรรมฯมศวชวนครู-นร. สร้างผลงานวันเด็กจรรโลงสังคม
"ภาวิช" จี้ทปอ.พบนายกฯให้ข้อมูลอีกด้าน
“ไทม์” จัดอันดับม.โลกไทยไม่ติดโผ
ซีมีโอสนใจไทยต้นแบบจัดการ ศึกษาเด็กพิเศษ
ยกเลิกมติ ครม.ออกนอกระบบ"ทักษิณ" ลั่นต้องมีรายชื่อค้านเกินครึ่ง

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

ญี่ปุ่นตั้งวงดนตรีหุ่นยนต์ ต้อนรับงาน "เวิลด์ เอ็กซ์โป"
พบอุกกาบาตแช่แข็งที่ขั้วโลก
มือถือแจ้งเวลารถเมล์เข้าป้าย
หุ่นยนต์เพื่อนคนชราเล่นทายปัญหาฝึกสมองไม่หลงลืม
อัดโครงการ"นาซ่า" ฟุ่มเฟือย-ถ่วงความเจริญ
พลังงานไฟฟ้าไฮเทคหมู่บ้านเกาะจิก แห่งแรกในเมืองไทย...นำแสงสว่างสู่ชุมชน
ไฟฟ้าจากห้วงอวกาศ ญี่ปุ่นเล็งส่งขายทั่วโลก
ไบโอเมตริคส์กับอี-พาสปอร์ต
โนเบลฟิสิกส์ชูวิทยาศาสตร์สร้างสันติภาพ
ฟูจิซีร็อกซ์ทุ่มงบ ผุดศูนย์รีไซเคิล ไทยทำเลทอง
เทคนิคใหม่สร้าง'ครรภ์บริสุทธิ์' ผลิตสเต็มเซลล์-ไม่ผิดศีลธรรม

ข่าววิจัย/พัฒนา

ให้ดื่มน้ำแก้อาการหน้ามืดตอนยืน ช่วยยกความดันโลหิตให้สูงขึ้นได้
เอาเต้าหู้กู้กระดูกคนให้แข็งแกร่ง หน้าที่เหมือนกับนั่งร้านก่อสร้าง
เตือนสาวดูดไขมันรักษารูปได้ไม่กี่วัน เกือบครึ่งต่างพากันพุงยื่นอย่างเก่า
พัฒนาเครื่องย่อยยางเก่า ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ
กินเนื้อสัตว์มากทำพิษร่างกาย เป็นโรคข้ออักเสบกันขึ้นง่ายๆ
ผึ้งอาละวาดปราบโรคมะเร็งร้าย ทั้งสะกดให้สิ้นฤทธิ์สกัดไม่ให้ขยาย
แชมป์หุ่นยนต์กู้ภัย
ญี่ปุ่นส่งยานติดโซล่าร์เซลล์ ผลิตไฟฟ้าจากอวกาศส่งป้อนโลก
นวัตกรรมพัฒนา'อีแต๋น'เอาใจเกษตรกร ปรับโฉมเป็นยานยนต์อเนกประสงค์ ใช้งานหลากหลายขึ้น
ผลงานวิจัยแม่เมาะสารหนูไม่ปนเปื้อนสารเคมี
นศ.ประดิษฐ์เครื่องอัดปลาร้าผง ลดปนเปื้อนหนุนโอท็อปส่งออก
หน้ากากมือถือใส่เมล็ดพืช ทิ้งแล้วงอกเป็นต้นไม้
รม.แปรรูปไข่มดแดงใส่กระป๋อง อบรมชาวบ้านไปทำอาชีพเสริม
นักวิจัยหาความลับธาตุคาร์บอน มุ่งเพิ่มพลังงานความร้อนในถ่าน
ลาดกระบังคว้ารางวัลหุ่นยนต์จิ๋ว
กฟภ.ยกเครื่องหัวอ่านมิเตอร์รับค่าไฟใหม่ นักวิจัย มจธ.ร่วมพัฒนา รองรับโครงสร้างค่าไฟใหม่
แปรสภาพพรินเตอร์อิงค์เจ็ท รักษาผู้ป่วยจากแผลไฟไหม้
เจลแอลกอฮอล์เหลวไร้พิษ
เครื่องขายกระดาษหยอดเหรียญ ดัดแปลงจากเครื่องถ่ายเอกสารเก่า
ไทยสร้าง 'เครื่องปั่นไฟ' จากคลื่นทะเล
แปรรูปใบชา-ตะไคร้หอม เป็นโลชันถนอมผิว-กันยุง
หญิงตั้งครรภ์รับโฟเลตสูงเสี่ยง"มะเร็งเต้านม"
แคนาดาผลิตชิปใหม่ เล็กลงใช้พลังงานน้อยลง

ข่าวทั่วไป

เตรียมออกกฎควบคุม"กวาวเครือ"
ผลวิจัยชี้ชัดดิสโก้เธคดังเกินมาตรฐาน สุขภาพหูพนักงานได้ยินผิดปกติกว่า 88%
สสว.จับมือจุฬาฯประกวดแผนธุรกิจเอสเอ็มอี
ขี้ฟันต้นเหตุปอดอักเสบ ละเลยแปรงฟันก่อนนอนพึงระวัง
จิตแพทย์เยอรมัน-นักระบาดฯสหรัฐรับรว.
ยอดป่วยมะเร็งพุ่งวันละ 274 คน เหตุจากสารเคมีปนเปื้อนอาหาร
หมอพิเชฐผอ.รพ.บ้านตาก คว้า"แพทย์ชนบทดีเด่นปี"47"
โน้ตบุ๊กทำลายความเป็นชายชาตรี อบถุงอัณฑะร้อนเหมือนอย่างไข่ปิ้ง
เภสัชสมาคมชูยาจากสมุนไพร ศักยภาพไทยพร้อมวิจัย-ผลิต
หวั่นฝรั่งงมสมบัติใต้ทะเลไทย วอนรัฐหนุนงบประมาณค้นหา
วิจัยพบเด็กกทม.อ้วนคอเลสเทอรอลสูง





ข่าวการศึกษา


ปลัดศธ.เผยอาเซียนตื่นตัวพัฒนาจัดการศึกษาพิเศษ

คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า จากการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ Seameo ที่ประชุมได้มีการหารือถึงเรื่องการจัดการศึกษาพิเศษ โดยแต่ละประเทศกำลังให้ความสนใจอยากให้มีการเรียนรู้เรื่องการพิเศษมากขึ้น เนื่องจากหลายประเทศยังมีปัญหาข้อจำกัดในการจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษอยู่ ในการประชุมดังกล่าวทางประเทศกัมพูชาได้เสนอให้มีการจัดตั้งศูนย์การศึกษาพิเศษขึ้นในประเทศ กัมพูชา ซึ่งตนได้แจ้งให้ทางกัมพูชาทราบเป็นการภายในว่าประเทศไทยมีประสบการณ์เรื่องนี้มานาน ดังนั้นในการมาเยือนประเทศไทยของรัฐมนตรีการศึกษาของกัมพูชาตามคำเชิญของดร.อดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการก็อาจจะมีการพูดคุยเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง ประเทศมาเลเซียก็แจ้งว่าในเร็ว ๆ นี้จะจัดให้มีการสัมมนาเกี่ยวกับเรื่องของการศึกษาพิเศษด้วยเช่นกัน การจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษนั้นจะให้ความสำคัญกับเด็กพิเศษทุกกลุ่ม เช่น ในประเทศกัมพูชาจะมีเด็กที่มีปัญหาจากการเหยียบกับระเบิดทำให้พิการจำนวนมาก ทางกัมพูชาจึงอยากได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนสมาชิกเป็นอย่างมาก ซึ่งในส่วนของประเทศไทยก็มีประสบการณ์จัดการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษมานานจึงน่าจะนำมาใช้ประโยชน์ในโครงการนี้ได้มาก โดยเฉพาะการสอนแบบที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ หรือ CHILD CENTER ซึ่งหลายประเทศก็อยากรู้ว่าเราจะประเมินผลเด็กได้อย่างไร โดยเฉพาะเรื่องของคุณธรรม จริยธรรม หรือความหลากหลายต่าง ๆ คุณหญิงกษมา กล่าวและว่า การสอนแบบ CHILD CENTER นั้นในส่วนของโรงเรียนนานาชาติก็ทำได้ดี ดังนั้นตนจึงเห็นว่าน่าจะมีการประสานการทำงานร่วมกับโรงเรียนนานาชาติด้วย (เดลินิวส์ อังคารที่ 6 ธ.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





ยูคอม จับมือ ม.อีสเทิร์นเอเชีย สอนภาษาอังกฤษผ่านอี-เลิร์นนิ่ง

นายประกอบ จิรกิติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ยูไนเต็ดคอมมูนิเกชั่น อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือยูคอมกล่าวว่า ยูคอม เป็นบริษัทที่มีประสบการณ์ และมีความเชี่ยวชาญ ทางด้านธุรกิจสื่อสาร จึงได้นำเอาศักยภาพที่มีอยู่มาพัฒนาให้เกิดประโยชน์ต่อการศึกษา โดยพัฒนาระบบการเรียนการสอนไปสู่รูปแบบการเรียนการสอนแบบ e -Learning ที่สอดคล้องกับแนวความคิดของนายบุญชัย เบญจรงคกุล ผู้บริหารของบริษัทฯ ที่ต้องการสนับสนุนทางด้านการศึกษา เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสทางการศึกษาได้ทั่วถึงและเท่าเทียมกัน ขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ที่เป็นสถาบันการศึกษา เอกชนก็มีความมุ่งมั่นในการสนับสนุน และสร้างประโยชน์ทางการศึกษาแก่เยาวชน ในสังคมไทย ได้เล็งเห็นโอกาสในการนำเทคโนโลยีดังกล่าว มาใช้ในการพัฒนาระบบการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ ในการบริหารการเรียนการสอนของทางมหาวิทยาลัย ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ความร่วมมือครั้งนี้ มุ่งเน้นการพัฒนาหลักสูตรภาษาอังกฤษ "Preparatory English" ความยาว 15 ชั่วโมง ใช้ระยะเวลาเรียน 4 เดือน ผ่านทาง www.learn2gether.in.th เป็นหลักสูตรแรก เริ่มใช้ภาคการศึกษาแรกของปี พ.ศ. 2548 รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ยูคอม กล่าวด้วยว่า ในความร่วมมือครั้งนี้ ยูคอมจะเป็นผู้ให้บริการระบบการจัดการการศึกษาออนไลน์ และการเชื่อมต่อกับเครือข่ายสื่อสารความเร็วสูง รวมถึงผลิตสื่อการสอนอิเล็คทรอนิกส์ และการฝึกอบรมกับทั้งหน่วยงานราชการ เอกชน และบุคคลทั่วไป ตลอดจนการดูแล บำรุงรักษาการเรียนการสอนแบบอี-เลิร์นนิ่งให้มีความทันสมัย โดย ม.อีสเทิร์นเอเชีย จะเป็นผู้จัดทำหลักสูตร เนื้อหาวิชา ตลอดจนการประเมินผล นอกจากนี้ ยังจัดตั้งศูนย์บริการลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด (ไทยรัฐ 6 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





สกอ.ผุดดรีมทีมผลิตแพทย์ชนบท ยึดแนวออสซี่เปิดสอน6มหา ลัย

ศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.)เปิดเผยว่า จากปัญหาการขาดแคลนแพทย์โดยเฉพาะแพทย์ในชนบท ตนจึงเชิญมหาวิทยาลัยที่มีแผนที่จะจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ใหม่ ใน 6 มหาวิทยาลัยมาหารือ ได้แก่ ม.เกษตรศาสตร์ ม.เทคโนโลยีสุรนารี ม.อุบลราชธานี ม.วลัยลักษณ์ ม.มหาสารคาม และม.บูรพา ซึ่งทราบว่าแต่ละแห่งได้ดำเนินการคืบหน้าไปพอสมควร เช่น ม.เทคโนโลยีสุรนารี มีสร้างอาคารและสิ่งอำนวยความสะดวก ขณะเดียวกันแพทยสภาก็ให้การรับรองหลักสูตรแล้ว เหลือเพียงแต่การทำความตกลงกับโรงพยาบาลมหาราช ว่าจะดำเนินการร่วมกันอย่างไร เป็นต้น สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) จะเป็นผู้ประสานงานการจัดทำโครงการผลิตแพทย์เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแพทย์และการกระจายตัวของแพทย์ชนบท เสนอต่อคณะรัฐมนตรี(ครม.) ให้ช่วยผลักดัน โดยผู้แทนของมหาวิทยาลัยทั้ง 6 แห่งจะร่วมกันเขียนโครงการให้เสร็จเรียบร้อยภายในสัปดาห์นี้ เพื่อตนจะนำไปหารือกับกระทรวงสาธารณสุข และนำเสนอ ครม.ให้เร็วที่สุด ทั้งนี้คณะแพทยศาสตร์ ที่จัดตั้งใหม่นี้จะเน้นผลิตแพทย์ชนบท และแพทย์ประจำครอบครอบเป็นหลัก ส่วนมหาวิทยาลัยที่มีคณะแพทยศาสตร์อยู่แล้ว จะผลิตแพทย์ระดับสูง (สยามรัฐ อังคารที่ 7 ธ.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)





สัมมนา ป.เอก งานวิจัยทางสังคม

รศ.ดร.โสภนา ศรีจำปา สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ในปัจจุบันประเทศไทยยังขาดแคลนอาจารย์และนักวิจัยที่สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาเอกในสาขาต่างๆ ค่อนข้างมาก อีกทั้งนโยบายของรัฐบาลที่เน้นการศึกษาวิจัยแบบบูรณาการ จึงทำให้นักวิชาการในสายสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ต้องปรับตัว ปรับแนวทางการในการศึกษาให้ผสมผสานกับศาสตร์อื่นๆ มากขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้สามารถนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ของประเทศ ดังนั้นทางสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมฯ กับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ร่วมกันจัดการสัมมนาโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) เรื่อง “บทบาทงานวิจัยทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ในการกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศ” ในวันศุกร์ที่ 7 มกราคม 2548 เวลา 8.00 - 16.30 น. ณ ห้องประชุมอเนกประสงค์ สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมฯ ศาลายา นครปฐม เพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักศึกษาทั้งที่ได้รับทุนและไม่ได้รับทุน คปก.เกิดความสนใจที่จะนำเสนอความก้าวหน้าทางวิทยานิพนธ์หรือผลการศึกษาวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก และได้แลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นทางวิชาการและอาจจะสนใจสมัครขอรับทุนในโอกาสต่อไป จึงขอเชิญผู้สนใจทั่วไป นิสิต นักศึกษาทั้งที่รับทุน คปก. และไม่ได้รับทุน ส่งหัวข้อเรื่องที่ประสงค์จะเสนอผลงานเพื่อร่วมสัมมนาได้ ในบทคัดย่อภายในวันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม 2547 ทาง e-mail attached file มายัง lcssc@hotmail.com หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ ศร. ดร.สุวิไล เปรมศรีรัตน์ โทร. 0-2800-2323 และรศ.ดร.โสภนา ศรีจำปา โทร.0-2800-2308-14 (3308) โทรสาร.0-2800-2332 การสัมมนาดังกล่าวไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น (สยามรัฐ พุธที่ 6 ธ.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)





นร.ประถมซิวเหรียญ"คณิต-วิทย์โอลิมปิก"

ตามที่ประเทศไทยได้จัดส่งตัวแทนนักเรียนไทย 6 คน เข้าร่วมการแข่งขันคณิต ศาสตร์และวิทยาศาสตร์โอลิมปิกนานาชาติระดับประถมศึกษา หรือ International Mathematics and Science Olympiad for Primary School (IMSO 2004) ที่จัดขึ้นที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 28 พ.ย.ถึง 5 ธ.ค.47 นั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในจำนวนผู้เข้าร่วมแข่งขัน 87 คน จาก 11 ประเทศ ซึ่งประกอบด้วย บรูไน กัมพูชา ไต้หวัน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม ตุรกี อินโดนีเซีย และไทย ปรากฏว่า ในการแข่งขันวิชาวิทยาศาสตร์นั้น มีตัวแทนนักเรียนไทยเข้าแข่งขัน 3 คน ซึ่งเด็กไทยก็สามารถคว้ารางวัลเหรียญทองมาครองได้สำเร็จ ได้แก่ ด.ช.ธิปก รักอำนวยกิจ นักเรียนชั้นป.6 ร.ร.มารีย์อุปถัมภ์ จ.บุรีรัมย์ และรางวัลเหรียญเงิน ได้แก่ ด.ช.ภูดิศ จันทยานนท์ ชั้นป.6 ร.ร.เซนต์คาเบรียล กรุงเทพฯ สำหรับวิชาคณิตศาสตร์ ที่นักเรียนไทยเข้าร่วมการแข่งขัน 3 คน สามารถคว้ารางวัลได้ทั้ง 3 คน ประกอบด้วยเหรียญเงิน ได้แก่ ด.ช.พศิน มนูรังษี ชั้นป. 6 ร.ร.กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย กรุงเทพฯ และเหรียญทองแดง 2 คน ได้แก่ ด.ช.เชต เขมะคงคานนท์ ชั้นป.6 ร.ร.สฤษดิเดช จ.จันทบุรี และ ด.ญ.สิภัทร สุกใส ชั้น ป.6 ร.ร. อนุบาลนครราชสีมา นางอัจฉรา เสริมบุตร เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า ตนรู้สึกภาคภูมิใจในความสามารถของนักเรียน ทั้ง 6 คน ซึ่งแม้ว่าจะมีเพียง 1 คนที่ไม่ได้รับรางวัลเนื่องจากมีปัญหาด้านคำถามซึ่งเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด แต่ก็แสดงให้เห็นว่า เด็กไทยมีการพัฒนาศักยภาพสูงขึ้นจนสามารถได้รับรางวัลถึง 5 เหรียญ ซึ่งตนหวังว่าจะเป็นตัวอย่างและแรงบันดาลใจให้นักเรียนไทยคนอื่น ๆ ได้พัฒนาตนเองและสามารถเข้าแข่งขันในระดับเวทีโลกต่อไปในอนาคต. (เดลินิวส์ พุธที่ 8 ธ.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





ยูเนสโกปิ๊งนักนิติศาสตร์จุฬาฯ คว้ารางวัลสิทธิมนุษยชน2004

เนื่องจากวันที่ 10 ธ.ค. ที่จะถึงนี้เป็นวันสิทธิมนุษยชน ซึ่งทุก 2 ปีทางองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือ องค์การยูเนสโก จะมีการประกาศมอบรางวัลสิทธิมนุษยชนศึกษา ให้แก่บุคคลกลุ่มบุคคลหรือองค์ที่มีผลงานดีเด่นในการพัฒนาการศึกษาเพื่อสิทธิมนุษยชน สำหรับปี ค.ศ.2004หรือวันที่ 10 ธ.ค.2547 นี้องค์การยูเนสโก ได้ประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัลสิทธิมนุษยชนศึกษาแล้ว นับเป็นครั้งที่ 14 ที่มีการประกาศมอบรางวัล และยังเป็นการเฉลิมฉลองการครบรอบ 30 ปีของปฏิญญาสากลของสหประชาชาติว่า ด้วยสิทธิมนุษยชน ซึ่งมีประเทศต่างๆ องค์การและสถาบันระดับนานาชาติเสนอชื่อผู้เข้ารับรางวัลทั้งหมด 55 คน เป็นบุคคล 24 คน และสถาบัน 31 แห่ง ซึ่งองค์การยูเนสโก ได้ตั้งคณะกรรมการนานาชาติ ขึ้นมาพิจารณามอบรางวัล ให้แก่ผู้มีผลงานโดดเด่นในด้านนี้ โดยผู้ได้รับรางวัลสิทธิมนุษยชนศึกษาปี ค.ศ.2004 ได้แก่ ศ.วิทิต มันตาภรณ์ จากประเทศไทย ศ.วิทิต มันตาภรณ์ ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีผลงานด้านการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนศึกษา ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ รวมทั้งมีบทบาทในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในองค์การสหประชาชาติ โดยการเป็นอาจารย์ และวิทยากรในการอบรมเพื่อให้ความรู้ด้านสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งใน สถาบันการศึกษาของรัฐและเอกชน อีกทั้งเคยเป็นผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติ เกี่ยวกับเรื่องการค้าเด็กและโสเภณีระหว่าง ปี 2533-2537 และปัจจุบันยังได้รับแต่งตั้ง จากสหประชาชาติให้เป็นผู้รายงานพิเศษเรื่องสถานการณ์สิทธิมนุษยชน ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี เป็นกรรมการในคณะกรรมาธิการด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ ฯลฯ ทั้งนี้ ศ.วิทิต จะเข้ารับรางวัลดังกล่าวในการประชุมคณะกรรมาธิการระดับโลกว่า ด้วยจริยธรรมในการใช้ความรู้และเทคโนโลยีทางด้านวิทยาศาสตร์ครั้งที่ 4 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ระหว่างวันที่ 23-25 มี.ค.2548 (สยามรัฐ 8 ธ.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)





นร.ประถมไทยเจ๋ง ซิว5เหรียญโอลิมปิก คณิต-วิทย์นานาชาติ

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) รายงานข่าวการแข่งขันขันคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์โอลิมปิกนานาชาติ ระดับประถมศึกษาหรือ International Mathematics and Science Olympiad for Primary School (IMSO 2004) ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซียระหว่างวันที่ 28 พ.ย.-5 ธ.ค.47 ว่า การแข่งขันครั้งนี้มีนักเรียนจาก 11 ประเทศเข้าแข่งขัน ได้แก่ บรูไน กัมพูชา จีน(ไทเป) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงค์โปร์ เวียตนาม ตุรกี อินโดนีเซีย และประเทศไทย แยกเป็นสาขาวิชาคณิตศาสตร์ 45 คน และวิทยาศาสตร์42 คน โดยประเทศไทยส่งผู้แทนนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันประเภทละ 3 คน รายงานข่าวจาก สพฐ.แจ้งด้วยว่า การแข่งขันสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ นักเรียนไทย สามารถคว้ารางวัลได้ 1 เหรียญทอง โดย ด.ช.ธิปก รักอำนวยกิจ นักเรียนชั้นป.6 โรงเรียนมารีย์อุปถัมภ์ จ.บุรีรัมย์ และ 1 เหรียญเงิน โดย ด.ช.ภูดิศ จันทยานนท์ นักเรียนชั้นป.6 โรงเรียนเซนต์คาเบรียล กรุงเทพฯ สำหรับวิชาคณิตศาสตร์ ทำได้ 1 เหรียญเงิน โดย ด.ช.พศิน มนูรังษี นักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย กรุงเทพฯ และ 2 เหรียญทองแดง โดย ด.ช.เชต เขมะคงคานนท์ นักเรียนชั้นป.6 โรงเรียนสฤษดิเดช จ.จันทบุรี และ ด.ญ.สิภัทร สุกใส นักเรียนชั้นป.6 โรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา จ.นครราชสีมา (สยามรัฐ 8 ธ.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)





ศธ.สนองพระราชดำรัสใช้ดาวเทียม-ไอทีช่วยสอน

เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม นายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) เปิดเผยว่า ศธ.จะสนองพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในเรื่องของการจัดการศึกษาที่ดีขึ้น โดยเฉพาะการเรียนการสอนผ่านทางไกลที่จะใช้ดาวเทียม และการสอนทางระบบอินเตอร์เน็ตที่จะเน้นให้มีมากขึ้นกว่าเดิม และใช้หลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียนไกลกังวลเป็นต้นแบบ รวมทั้งจะมีการเสริมใช้กระบวนการศึกษาที่เห็นผลทำเป็นรายวิชาให้มีความทันสมัย ซึ่ง ศธ.จะลงไปดำเนินการในโรงเรียนที่ขาดแคลน โดยจะสำรวจข้อมูลว่าโรงเรียน 30,000 กว่าแห่ง มีแห่งใดบ้างที่จะต้องเข้าไปใช้ระบบดาวทียมช่วยสอน นอกจากนี้ ในส่วนของครูอาจารย์เองก็ต้องให้เข้าอบรมเรื่องการเรียนการสอนด้วย ซึ่งอาจจะต้องใช้หลักสูตรเฉพาะที่มีความทันสมัย (มติชนรายวัน พุธที่ 8 ธ.ค. 47 http://www.matichon.co.th)





ปี49มหา’ลัยกทม.เปิดสอน2คณะ รอผู้ว่าฯเห็นชอบ-แก้ไขกฎหมาย

รายงานข่าวจากศาลาว่าการกรุงเทพ มหานคร (กทม.) แจ้งความคืบหน้าการจัดตั้งมหาวิทยาลัยกรุงเทพมหานคร ว่า ในวันที่ 23 ธ.ค. นี้ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม. จะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการ อำนวยการโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัย กทม. ซึ่งคณะทำงานฯ ได้จัดทำรายละเอียดโครงการเสร็จเรียบร้อยแล้วดังนี้ จะเปิดสอนทั้งหมด 4 คณะคือ ยกระดับวิทยาลัยพยาบาลเกื้อการุณย์ เป็นคณะพยาบาล ยกระดับวิทยาลัยแพทยศาสตร์ กทม. และวชิรพยาบาลเป็นคณะแพทยศาสตร์ รวมทั้งเปิดเพิ่มอีก 2 คณะคือคณะศิลปกรรมและวิทยาศาสตร์ และคณะวิศวกรรมศาสตร์ โดยคณะพยาบาลและคณะแพทยศาสตร์ได้เตรียมเปิด ให้บริการในปี 2549-2550 ส่วนคณะศิลปกรรมฯ จะเปิดในปี 2551 และคณะวิศวกรรมศาสตร์จะ เปิดบริการในปี 2552 โดยจะจัดตั้งตึกอำนวยการของมหาวิทยาลัยในที่ของโรงพยาบาลสิรินธร โดยใช้งบก่อสร้างอาคารประมาณ 220 ล้านบาท ปี 2548 ตั้งงบไว้ 20 ล้าน ที่เหลือเป็นงบ ผูกพัน และต้องเพิ่มบุคลากรในช่วงแรก ประมาณ 110 คน (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 9 ธ.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





ยูเอ็นเชิญ ม.กรุงเทพ ถกเปิดเสรีการศึกษา

ดร.ธนู กุลชล อธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เปิดเผย ว่าเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2547 ตนได้รับจดหมายเชิญลงนามโดยอธิการบดีมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งทำในนามขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ให้เข้าร่วมประชุมหารือเกี่ยวกับการจัดการศึกษาแบบเสรีในมหาวิทยาลัยและปัญหาผู้อพยพ ร่วมกับนายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยจากทั่วโลกอีก 15 คน ซึ่งจัดเป็นครั้งแรกในระหว่างวันที่ 18-19 มกราคม 2548 ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา อธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าวด้วยว่า ผลของการประชุมที่จะมีขึ้น องค์การสหประชาชาติ จะนำไปกำหนดเป็นนโยบายเพื่อใช้ในการดำเนินการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ทั้งนี้ในทวีปเอเชียมีอธิการบดีเพียง 4 มหาวิทยาลัยที่ได้รับเชิญ ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ประเทศจีน มหาวิทยาลัยโตเกียว ญี่ปุ่น มหาวิทยาลัยเยาวาฮาราล อินเดีย และมหาวิทยาลัยกรุงเทพ จากไทย สำหรับอธิการบดีที่ได้รับเชิญอีก 11 คน แบ่งเป็นจากทวีปยุโรป 5 คน ทวีปแอฟริกา 3 คน ทวีปอเมริกาใต้ 3 คนและทวีปออสเตรเลีย 1 คน (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 9 ธ.ค. 47 http://www.komchadluek.net)





ไฟเขียว 4 ม.ใต้เปิดเทียบวุฒิ กลุ่มครูปอเนาะ/บัณฑิตอิสลาม

ศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) เปิดเผยภายว่า ในแต่ละปีจะมีผู้สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษา จากกลุ่มประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางเป็นจำนวนมาก ซึ่งได้วุฒิต่างกันไปและมีจำนวนไม่น้อยที่ไปทำหน้าที่เป็นครูสอนหนังสือ ในโรงเรียนเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ในเขตพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมิได้นำวุฒิมาเทียบเพื่อผลประโยชน์อื่นๆ ที่พึงจะได้ในระบบของไทย ขณะเดียวกันในละปีก็มีผู้มาทำการขอเทียบวุฒิ กับสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) เฉลี่ยปีละ 100 รายและยังมีจำนวนไม่น้อยที่ไม่ทราบ หรือไม่ว่างที่จะมาทำการขอเทียบวุฒิ สกอ.จึงมอบอำนาจให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มหาวิทยาลัยทักษิณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา และมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา สามารถพิจารณาเทียบคุณวุฒิ ของผู้สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษา จากกลุ่มประเทศในแถบตะวันออกกลางได้ ที่ผ่านมา สกอ.เคยเปิดเทียบวุฒิการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในกลุ่มประเทศอียิปต์ ซาอุดิอาระเบีย จอร์แดน อิรัก มาแล้วและได้ทำเป็นบัญชีรายชื่อไว้ ซึ่งมีการศึกษาในรายละเอียดว่ามีมาตรฐานของหลักสูตรสอดคล้องกับมาตรฐานปริญญาตรีของประเทศไทย ดังนั้น หากมีผู้ที่จบหลักสูตรในบัญชีที่ขึ้นไว้ มหาวิทยาลัยทั้ง 4 แห่ง ก็สามารถทำการเทียบวุฒิได้เลย ส่วนกรณีที่จบมาไม่ตรงกับหลักสูตรที่ สกอ.เคยเทียบไว้ ก็ให้มหาวิทยาลัยรวบรวมข้อมูลและหลักฐานไว้ แล้วส่งมาที่ สกอ.เพื่อพิจารณาวุฒินั้นอีกครั้ง (สยามรัฐ พฤหัสบดีที่ 9 ธ.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)





คณะศิลปกรรมฯมศวชวนครู-นร. สร้างผลงานวันเด็กจรรโลงสังคม

วันเด็กแห่งชาติประจำปี 2548 ซึ่งตรงกับวันที่ 8 มกราคมนั้น คณะซึ่งทำโครงการศิลปะเพื่อเด็กและเยาวชนผู้ด้อยโอกาสอย่างต่อเนื่องมาแล้ว 6 ครั้ง ในปีนี้จะเน้นศิลปะเพื่อเด็กทุกศาสนา มุ่งไปสู่เป้าหมาย ความดี ความงาม ความรัก และสันติ และอยากให้การจัดงานวันเด็กได้ช่วยสะท้อนบริบทของสังคม หรือเหตุการณ์ สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทย เพื่อให้ทุกคนได้ช่วยกันสร้างสังคมให้ดีขึ้น ช่วยขจัดปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้ลดน้อยลง ไม่อยากให้วันเด็กแห่งชาติจัดในลักษณะสนุกสนานอย่างเดียว แต่การจัดงานควรแฝงแง่คิด มุมมอง หรืออาจจะจุดประกายให้ผู้ใหญ่และเยาวชนได้คิดให้มากขึ้นด้วย "รูปแบบการดำเนินการจะให้ครูและนักเรียนได้ร่วมกันทำกิจกรรมวาดภาพที่มีเป้าหมายสู่สังคมแห่งความดี ความงาม ความรัก และสันติ โดยทางคณะจะลงไปตามโรงเรียน พร้อมนำผืนผ้าที่มีขนาด 2 เมตร พร้อมสีและอุปกรณ์ในการสร้างสรรค์งานมอบกับทางโรงเรียน ซึ่งคาดว่าจะมีโรงเรียนเข้าร่วม 50 โรง การเรียนรู้ร่วมกันก่อนสร้างสรรค์ผลงานระหว่างครูและนักเรียนนับเป็นกระบวนการที่สำคัญ เพื่อทำให้เด็กได้รับรู้ว่าโลก สังคม หรือชุมชนจะเกิดสันติสุขได้นั้น ต้องช่วยกันลดความอาฆาตพยาบาท และต้องลดการใช้ความรุนแรงเข้าห้ำหั่นทำร้ายกันและกัน" คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์กล่าว ผศ.อำนาจกล่าวต่อว่า ผลงานจาก 50 โรงเรียนเมื่อนำมาต่อกันจะได้งานศิลปะที่มีขนาดยาว 100 เมตร โดยใช้สีธงชาติมาร้อยภาพเหล่านั้นให้ติดกัน เป็นการร้อยรักความหมายของความดี ความงาม ความรัก และสันติเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งนี้การทำโครงการต้องใช้งบประมาณสนับสนุน หากหน่วยงาน บริษัท หรือห้างร้าน เห็นเจตนาการจัดงานวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2548 สามารถร่วมทุนสนับสนุนได้ที่ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มศว โทร.0-22600123 หรือ 0-2664-1000 ต่อ 5666 (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 9 ธ.ค. 47 http://www.matichon.co.th)





"ภาวิช" จี้ทปอ.พบนายกฯให้ข้อมูลอีกด้าน

ตามที่ น.พ.พิศิษฐ์ โจทย์กิ่ง ประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในฐานะประธานที่ประชุมประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งประเทศ ไทย (ปอมท.) เผยหลังเข้าพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า นายกฯพร้อมถอนร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับรัฐ หากมีอาจารย์ลงชื่อคัดค้านมากกว่าครึ่งหนึ่งนั้น เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. ที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีการประชุมวิชาการของที่ประชุมอธิการบดี แห่งประเทศไทย(ทปอ.) โดยมีประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยหลายแห่งเข้าร่วมประชุมด้วย และได้หารือกันถึงผลการหารือของ ปอมท. กับนายกฯ และแสดงความไม่เห็นด้วย จำนวน 12 แห่ง อาทิ ม.เชียงใหม่ ม.แม่โจ้ มศว ม.สงขลา ม.เกษตรศาสตร์ จุฬาฯ ม.เทคโนโลยี พระจอมเกล้าธนบุรี เป็นต้น นายชลัช จงสืบพันธ์ ประธานสภาอาจารย์และข้าราชการ มศว กล่าวว่า ประธานสภาอาจารย์ของมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งมีอิสระด้านความคิด เรื่องการออกนอกระบบนั้น แต่ละมหาวิทยาลัยมีการดำเนินงาน ความเห็นที่แตกต่างกัน ซึ่งหลายแห่งก็ทำประชาพิจารณ์ และทำความเข้าใจจนร่าง พ.ร.บ.ผ่านมหาวิทยาลัยเข้าสภา ดังนั้น ความคิดที่คัดค้านการออกนอกระบบของ ปอมท.ยังไม่ใช่มติเอกฉันท์ จึงไม่ควรมีการนำชื่อองค์กรไปพูด ซึ่งประธานสภาอาจารย์หลายแห่งก็มีความไม่สบายใจ กับข้อสรุปของ น.พ.พิศิษฐ์ ซึ่งอาจยึดแนวคิดส่วนตัวที่ไม่เห็นด้วยกับการออกนอกระบบ มาระบุว่าเป็นมติของ ปอมท. ส่วนประธานสภาอาจารย์ต่างๆจะสำรวจและล่ารายชื่อ ผู้คัดค้านการออกนอกระบบหรือไม่นั้น ตนคิดว่ามหาวิทยาลัยแต่ละแห่งก็มีวิธีการทำงานของตนเอง ซึ่งที่ผ่านมาแต่ละมหาวิทยาลัยก็สำรวจความคิดเห็นอยู่เป็นระยะๆ (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 11 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





“ไทม์” จัดอันดับม.โลกไทยไม่ติดโผ

จากการบรรยายพิเศษเรื่อง “บทบาทของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาต่อการผลักดันให้มหาวิทยาลัยก้าวเข้าสู่ World Class University” ในการประชุมวิชาการที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย ประจำปี 2547 เมื่อวันที่ 10 ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่ม.แม่โจ้ นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่า จากข้อมูลการจัดอันดับ 200 มหาวิทยาลัยโลก ของนิตยสารไทม์ ผลปรากฏว่า ใน 50 อันดับแรก มีมหาวิทยาลัยในเอเชีย 8 แห่งติดลำดับอยู่ด้วย โดยเฉพาะการจัดลำดับมหาวิทยาลัยโลกในออสเตรเลีย ปรากฏว่ามหาวิทยาลัยของประเทศมาเลเซียทั้ง 2 แห่ง ก็ติดอันดับมหาวิทยาลัยโลกด้วยเช่นกัน แต่ประเทศไทยกลับไม่ติดแม้แต่อันดับเดียว จึงเป็นสิ่งที่เราจะต้องมาดูกันให้มากขึ้น อย่างไรก็ตามการที่มหาวิทยาลัยไทยจะเป็นมหาวิทยาลัยโลกได้นั้น ก่อนอื่นเราต้องรู้ตัวเองก่อนว่ายืนอยู่ตรงไหน ดังนั้นจึง จำเป็นต้องมีการจัดกลุ่มระดับคุณภาพของมหาวิทยาลัยและไม่อยากให้มองในแง่ร้ายว่าเป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัย แต่อยากให้มองไปในเรื่องของการพิจารณาตัวเองว่า มีคุณภาพอยู่ในระดับใด เพื่อจะได้มาวางแผนพัฒนามหาวิทยาลัยของตนเองให้มีคุณภาพดีขึ้น (สยามรัฐ เสาร์ที่ 11 ธ.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)





ซีมีโอสนใจไทยต้นแบบจัดการ ศึกษาเด็กพิเศษ

คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงผลการประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน หรือซีมีโอ ที่กรุงเทพมหานคร เมื่อเร็วๆ นี้ ว่าที่ประชุมซีมีโอ ได้ให้ความสนใจเป็นกรณีพิเศษในเรื่องการจัดการศึกษาพิเศษ ซึ่งหลายประเทศในกลุ่มอาเซียนยังมีเด็กที่ต้องการการศึกษาพิเศษอยู่ เช่น ประเทศกัมพูชา ที่มีเด็กพิการจากภัยสงคราม จำเป็นต้องจัดการศึกษาพิเศษให้ และประเทศกัมพูชาเสนอให้มีการตั้งศูนย์การศึกษาพิเศษขึ้นที่ประเทศกัมพูชา ที่ประชุมยังได้สนใจประเด็นเรื่องความเสนอภาคในการให้โอกาสทางการศึกษาของหญิงชาย ทุกวันนี้หลายประเทศสามารถทำให้โอกาสในการเข้าเรียนของเด็กหญิงทัดเทียมกับเด็กชาย ยิ่งกว่านั้น พบว่าผลการเรียนของนักศึกษาหญิงในมหาวิทยาลัยยังออกมาดีกว่านักศึกษาชาย แต่ในหลายประเทศยังมีความไม่ทัดเทียมกันอยู่ เพราะฉะนั้นซีมีโออาจจะมีการจัดพูดคุยในเรื่องนี้กัน เพื่อหาทางให้โอกาสในการศึกษาของเด็กหญิงชายเท่าเทียมกันทุกประเทศ ส่วนประเทศที่ตีตื้นขึ้นมาได้แล้ว ก็จะหาทางทำให้ความเสมอภาคทางการศึกษาของทั้งสองเพศทัดเทียมกันยิ่งกว่านี้ (คมชัดลึก 8 ธ.ค. 47 http://www.komchadluek.net)





ยกเลิกมติ ครม.ออกนอกระบบ"ทักษิณ" ลั่นต้องมีรายชื่อค้านเกินครึ่ง

ผศ.น.พ.พิศิษฐ์ โจทย์กิ่ง ประธานที่ประชุมประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ปอมท.) เปิดเผยภายหลังการประชุมและยื่นข้อเสนอเกี่ยวกับการออกนอกระบบของมหาวิทยาลัยของรัฐกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่านายกฯ ได้ชี้แจงว่าไม่ได้เป็นผู้ผลักดันเรื่องการออกนอกระบบ แต่เป็นนโยบายของรัฐบาลชุดก่อนหน้านี้ ดังนั้นการที่จะให้ยกเลิกร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัย (ในกำกับของรัฐ) ทันทีคงเป็นไม่ได้ "หากแต่ละมหาวิทยาลัยมีรายชื่อบุคลากรในสถาบัน ที่ไม่เห็นด้วยกับการนำมหาวิทยาลัยออกจากระบบราชการมีจำนวนเกินกว่าครึ่งของบุคลากรทั้งหมดของสถาบันการศึกษานั้นๆ นายกรัฐมนตรีบอกว่าก็พร้อมจะพิจารณายกเลิกร่างพระราชบัญญัติออกนอกระบบของมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งทันทีเช่นกัน ประธานที่ประชุม ปอมท. กล่าวด้วยว่า สำหรับข้อเสนอของ ปอมท.นั้น ได้ขอให้รัฐบาลยุติร่างพ.ร.บ.มหาวิทยาลัย (ในกำกับของรัฐ) ที่อยู่ในขั้นตอนของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา เพราะไม่สอดคล้องกับ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ 2542 และรัฐบาลควรสร้างรูปแบบใหม่ให้กับมหาวิทยาลัยที่ต้องการเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ โดยปรับการบริหารให้มีความอิสระและคล่องตัวขึ้น แต่ยังคงสถานภาพของคณาจารย์และบุคลากรของมหาวิทยาลัยให้เป็นข้าราชการเช่นเดิม ซึ่งนายกฯ ได้มอบหมายให้ ปอมท.ไปหาแนวทางให้ชัดเจนขึ้น สำหรับมหาวิทยาลัยของรัฐที่ออกนอกระบบไปแล้วมี 4 แห่ง เหลืออีก 20 แห่ง ในจำนวนนี้มี 12 แห่ง ที่ร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัย (ในกำกับของรัฐ) หรือร่าง พ.ร.บ.นอกระบบ อยู่ในขั้นตอนของการออกกฎหมาย เช่น ม.บูรพา ม.เชียงใหม่ ม.ขอนแก่น ม.เกษตรศาสตร์ ม.อุบลราชธานี ม.มหาสารคาม ม.ศิลปากร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (คมชัดลึก เสาร์ที่ 11 ธ.ค. 47 http://www.komchadluek.net)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


ญี่ปุ่นตั้งวงดนตรีหุ่นยนต์ ต้อนรับงาน "เวิลด์ เอ็กซ์โป"

สำนักข่าว เอเอฟพี รายงานว่า ผู้เข้าร่วมงาน เวิลด์ เอ็กซ์โป ในประเทศญี่ปุ่นปีหน้า จะได้รับชมการบรรเลงเพลงแทบทุกรูปแบบ นับตั้งแต่วงดนตรีขนาดใหญ่ จนถึงเพลงแร็พ โดยที่นักดนตรีล้วนแต่เป็นหุ่นยนต์ทั้งหมด ตัวแทนบริษัทโตโยต้า เปิดเผยว่า วงดนตรีของตนจะใช้หุ่นยนต์มนุษย์ตัวหนึ่งในการเล่นทรัมเปต โดยมีหุ่นยนต์ตัวอื่นๆ เล่นทูบา, ทรอมโบน, แตร และกลอง คลอไปพร้อมกัน ขณะที่หุ่นยนต์ดีเจอีกตัวหนึ่ง จะดำเนินรายการร่วมกับโฆษกของงาน รวมทั้งโชว์การเต้นแร็พให้แก่ผู้เข้าชมดู พร้อมเผยว่า ตัวชูโรงของงาน ได้แก่หุ่น "ไอ-ฟุต" ซึ่งมีรูปร่างคล้ายเปลือกไข่ผ่าครึ่ง ที่มี 2 ขา และสามารถสั่งเปิดปิดได้ด้วยการงอขาหุ่น ซึ่งทางโตโยต้าตั้งเป้าว่า จะเข้ามาแทนที่รถเข็นในปัจจุบัน เนื่องจากผู้ใช้สามารถควบคุมหุ่นได้โดยใช้จอยสติก ยังมีแผนเปิดตัว "ไอ-ยูนิต" (i-unit) พาหนะที่ออกแบบให้มีที่นั่งเดียว ขณะที่ฮอนด้า ได้เปิดตัว "อาซิโม" (Asimo) หุ่นยนต์มนุษย์ตัวแรกของโลก ที่สามารถเดินได้ด้วย 2 ขา ไปเมื่อปี 2543 และฮอนด้า ได้เผยโฉมหุ่น "คิวริโอ" (QRIO) หรือหุ่นวิ่งได้ตัวแรกของโลก ไปเมื่อเดือนธันวาคม ปีที่แล้ว ทั้งนี้ งานเวิลด์ เอ็กซ์โป 2005 มีกำหนดจัดขึ้นในเดือนมีนาคม ปีหน้า ที่สำนักงานใหญ่ของโตชิบา ในเมืองไอชิ ทางตอนกลางของญี่ปุ่น (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 7 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





พบอุกกาบาตแช่แข็งที่ขั้วโลก

บาร์บารา โคเฮน และทีมนักธรณีวิทยาอีก 8 คน จากมหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโก ยืนยันว่า ก้อนหินที่เธอพบขณะตกปลาอยู่บนถ้ำน้ำแข็งลาปาซในทวีปแอนตาร์กติกนั้น เป็นหินที่มาจากดวงจันทร์ และเป็นหินดวงจันทร์ 1 ใน 30 ชิ้นที่ถูกพบบนพื้นโลก โคเฮน เป็นผู้ช่วยนักวิจัยที่สถาบันวิจัยอุกกาบาตยูเอ็นเอ็ม ทำหน้าที่เก็บรวบรวมอุกกาบาตหลากชนิดที่ตกลงมายังพื้นโลก และหินขนาดเท่ากำปั้นก้อนนี้ ได้มาขณะทำการสำรวจอยู่ ณ ทวีปแอนตาร์กติก เป็นเวลา 6 สัปดาห์ ในระหว่างเดือนธันวาคม-มกราคม ซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อนของภูมิประเทศแถบนั้น การพบก้อนอุกกาบาตก็เหมือนกับการพบชิ้นส่วนของจักรวาล ที่จะนำมาประกอบเป็นภาพจิ๊กซอว์ใหญ่ ที่จะบอกให้นักวิทยาศาสตร์รู้ถึงพัฒนาเกี่ยวกับดาวเคราะห์ และดาวเคราะห์น้อยดวงอื่นได้มากขึ้น การเดินทางไปยังทวีปแอนตาร์กติกของโคเฮน เป็นส่วนหนึ่งของโครงการมูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ สหรัฐ ที่ต้องการรวบรวมอุกกาบาตจากทุกแห่ง โดยในแต่ละปีนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลกจะถูกคัดเลือกเพื่อไปปฏิบัติภารกิจค้นหาอุกกาบาตก้อนใหม่ในชั้นน้ำแข็งของทวีปแอนตาร์กติก นอกจากอุกกาบาตจากดวงจันทร์แล้ว ในการเดินทางครั้งนี้ ทีมวิจัยยังเก็บอุกกาบาตชนิดอื่นๆ ได้อีกราว 1,000 ก้อน และทุกก้อนถูกจัดส่งไปยังศูนย์อวกาศจอห์นสัน ในฮุสตัน เพื่อคัดแยกเอาก้อนที่น่าสนใจที่สุดส่งต่อไปยังสถาบันสมิธโซเนียน เพื่อตรวจวิเคราะห์ ซึ่งในจำนวนนี้มีเพียง 50 ก้อนเท่านั้นที่เชื่อว่ามีความพิเศษซ่อนอยู่ หลังจากการวิเคราะห์แล้วเสร็จ ตัวอย่างอุกกาบาตดังกล่าวจะถูกส่งกลับไปยังฮุสตันอีกครั้ง และศูนย์อวกาศจะส่งข้อมูลแจ้งไปยังชุมชนนักวิทยาศาตร์ที่สนใจจะศึกษาอุกกาบาตนั้นๆ เมื่อได้ข้อความตอบรับมาแล้ว เจ้าหน้าที่จะแยกชิ้นและส่งต่อไปยังสถาบันวิทยาศาสตร์ที่สนใจต่อไป (คมชัดลึก อังคารที่ 6 ธ.ค. 47 http://www.komchadluek.net)





มือถือแจ้งเวลารถเมล์เข้าป้าย

นายณตพร สุรพันธ์ไพโรจน์ หัวหน้าโครงการระบบประมาณเวลาการมาถึงของรถประจำทางบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ พร้อมด้วย นายธชดล ยิ้มสู้ น.ส.อรภา ติณณภัทรกุล และน.ส.ชฎา บูลศรี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า ระบบประมาณเวลาฯ เป็นนวัตกรรมเพื่อสังคม ที่จะช่วยลดปัญหาจราจรติดขัด และยังช่วยประหยัดเวลาในการรอรถเมล์ของผู้โดยสาร ทีมงานชุดนี้เลือกใช้ระบบระบุตำแหน่งรถเมล์และผู้ใช้บริการ โดยใช้โครงข่ายเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ (เซลล์ไซท์) เป็นผู้ช่วยสำคัญ หลักการทำงานจะเริ่มด้วยการติดตั้งอุปกรณ์ส่งข้อมูลบนรถเมล์ ซึ่งจะทำหน้าที่ส่งสัญญาณบอกตำแหน่งของรถ และรหัสประจำรถไปยังเครื่องแม่ข่ายส่วนกลางเมื่อมีการเปลี่ยนเซลล์ไซท์ โดยแม่ข่ายดังกล่าวจะทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลดังกล่าว และส่งสัญญาณแจ้งไปยังผู้โดยสารที่ต้องการใช้บริการ ขณะที่ฝั่งผู้โดยสารจะต้องติดตั้งโปรแกรมใช้งานลงบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อขอใช้บริการรับทราบเวลารถเมล์ โดยสามารถเลือกดูเที่ยวการเดินรถได้ทั้งขาเข้าและขาออก รวมทั้งสายรถเมล์ที่ต้องการได้ ซึ่งโทรศัพท์ที่รองรับได้นั้นจะเป็นโนเกีย ซีรี่ส์ 60 เช่น 6600, 7610, 6260 สำหรับโครงการนำร่องนี้ จะทดลองใช้กับเส้นทางเดินรถ ระหว่างมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ถึงสี่แยกรัชโยธิน คาดว่าทั้งระบบจะแล้วเสร็จก่อนสิ้นปีนี้ ทั้งนี้ ระบบดังกล่าวเป็นโครงงานหนึ่งที่ผ่านการคัดเลือกจากการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมทางคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 7 โดยผลงานที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว จะจัดแสดงในงานประกวดรอบชิงชนะเลิศช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2548 (คมชัดลึก อังคารที่ 6 ธ.ค. 47 http://www.komchadluek.net)





หุ่นยนต์เพื่อนคนชราเล่นทายปัญหาฝึกสมองไม่หลงลืม

นักประดิษฐ์ญี่ปุ่นสร้างหุ่นยนต์สูง 1 ฟุตครึ่ง สำหรับเป็นเพื่อนแก้เหงาผู้เฒ่าผู้แก่ชาวญี่ปุ่น "สนักกลิ้ง อีฟบอต" เป็นหนึ่งในหุ่นยนต์สวมชุดนักบินอวกาศ ที่ถูกสร้างขึ้นมาให้อยู่เป็นเพื่อนคนชรา ใบหน้าของหุ่นยนต์สามารถเรืองแสงได้ มีแสดงปฏิสัมพันธ์กับคู่สนทนา นักออกแบบโปรแกรมได้ตั้งคำสั่งให้มันสามารถพูดได้เหมือนเด็กอายุ 5 ขวบ ซึ่งเป็นระดับของภาษาที่จำเป็นสำหรับกระตุ้นการทำงานของสมองคนชรา ผู้บริหารของ บริษัท ดรีม ซัพพลาย ซึ่งพัฒนาซอฟต์แวร์ให้กับหุ่นยนต์ตัวนี้บอกว่า อีฟบอต มีหน่วยความจำที่เก็บคำพูดไว้หลายล้านคำ ซึ่งเป็นประโยชน์กับคนชราที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว แต่ถ้าได้พูดคุยกับหุ่นยนต์ก็จะช่วยกระตุ้นกิจกรรมของสมอง ช่วยให้ไม่หลงลืม นอกจากพูดคุยได้แล้ว หุ่นยนต์ยังถูกตั้งโปรแกรมไว้ 15 โปรแกรม เพื่อคอยช่วยให้คนชราฝึกคิด และดูแลสุขภาพของตัวเอง โดยมันสามารถร้องเพลง เล่นทายปริศนา อ่านข่าวเก่า และถามคนชราเกี่ยวกับการทำงานของร่างกายในส่วนต่างๆ ยังจะพัฒนาให้เจ้าอีฟบอต สามารถปุ่มสัญญาณฉุกเฉินที่คนชราสามารถกดเพื่อใช้ติดต่อกับศูนย์แพทย์ในหมู่บ้าน แม้จะยังไม่ได้วางจำหน่าย แต่บริษัทผู้ผลิตหุ่นยนต์ได้รับคำสั่งจองแล้ว 128 ตัว โดยตั้งราคาไว้ตัวละ 2 แสนกว่าบาท (คมชัดลึก อังคารที่ 7 ธ.ค. 47 http://www.komchadluek.net)





อัดโครงการ"นาซ่า" ฟุ่มเฟือย-ถ่วงความเจริญ

คณะกรรมการ 10 คนของเอพีเอส นำโดย "โจเอล พริแมค" ศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์และหัวหน้ากลุ่มฟิสิกส์ดาราศาสตร์มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ออกรายงานในเว็บไซต์ของสมาคมฟิสิกส์อเมริกา ซึ่งเป็นศูนย์รวมของนักฟิสิกส์กว่า 45,000 คน จากแวดวงการศึกษาและอุตสาหกรรมทั้งในอเมริกาและนานาชาติ เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ที่นาซ่าริเริ่มโครงการดวงจันทร์-ดาวอังคาร ขึ้นส่งผลให้โครงการอื่นๆ ต้องถูกพับไป อาทิ โครงการยานอวกาศลิซาส่งดาวเทียมเพื่อตรวจจับคลื่นโน้มถ่วงของหลุมดำด้วยแสงเลเซอร์ "Laser Interferometer Space Antenna" (LISA) ต้องหยุดชะงักไปเป็นปี ขณะที่โครงการศึกษาวัตถุอวกาศด้วยรังสีเอ็กซ์ Constellation X (Con X) ต้องถูกเลื่อนไปอย่างช้าที่สุดปีพ.ศ.2559 แม้ว่าภารกิจดวงจันทร์-ดาวอังคาร จะมีความสำคัญและจำเป็นต้องทำให้สำเร็จ แต่ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ เป็นเพียงความรู้ก้าวเล็กๆ เท่านั้นเมื่อเทียบกับอีกหลายโครงการที่จะนำมาซึ่งโครงสร้างความรู้ใหม่ๆ แก่วงการวิทยาศาสตร์ (ข่าวสด อังคารที่ 7 ธ.ค. 47 http://www.matichon.co.th/khaosod)





พลังงานไฟฟ้าไฮเทคหมู่บ้านเกาะจิก แห่งแรกในเมืองไทย...นำแสงสว่างสู่ชุมชน

โครงการระบบพลังงานผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทนแบบผสมผสานสำหรับ หมู่บ้านชนบท บ้านเกาะจิก ต.บางชัน อ.ขลุง จ.จันทบุรี โดยความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์สนับสนุนโดยกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ที่ผ่านมาการจ่ายไฟฟ้าให้กับหมู่บ้านตามแนวชายแดนและพื้นที่ตามเกาะต่าง ๆ ที่ระบบจำหน่ายของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเข้าไปไม่ถึงนั้น จะใช้วิธีการจ่ายไฟฟ้าโดยติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซล (เดลินิวส์ พุธที่ 8 ธ.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





ไฟฟ้าจากห้วงอวกาศ ญี่ปุ่นเล็งส่งขายทั่วโลก

ฮิโรชิ มัตซูโมโต นักวิจัยสถาบันการพัฒนาสิ่งแวดล้อมมนุษย์ที่ยั่งยืน มหาวิทยาลัยเกียวโต เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยเกียวโตและสำนักงานพัฒนาด้านอวกาศแห่งญี่ปุ่น ร่วมวิจัยสร้างยานอวกาศเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์ในห้วงอวกาศ โดยใช้แผงโซลาร์เซลล์ แล้วแปลงสัญญาณเป็นคลื่นไมโครเวฟ ส่งกลับมายังสถานีรับสัญญาณที่พื้นโลก ในการทำงานของยานลำนี้ ใช้หลักการแปลงกระแสไฟฟ้า ที่ผลิตได้จากดวงอาทิตย์ให้เป็นคลื่นความถี่ จากนั้นส่งกลับมายังสถานีรับสัญญาณที่พื้นโลก เพื่อแพร่กระจายสัญญาณนี้ออกไปในรูปของคลื่นความถี่ไมโครเวฟ ไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดต่างๆ ที่ติดตั้งเครื่องแปรสัญญาณ ให้กลับมาเป็นพลังงานไฟฟ้าโดยเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้าตรง "แสงจากดวงอาทิตย์ในห้วงอวกาศจะกลายเป็นแหล่งพลังงานใหม่ของมนุษยชาติ ซึ่งเป็นพลังงานที่สะอาด และเราสามารถชาร์จแบตเตอรี่มือถือ หรือคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คที่ไหนก็ได้โดยไม่ต้องเสียบปลั๊ก เพียงแค่มีอุปกรณ์ไร้สายก็ชาร์จไฟได้แล้ว" นักวิจัย ม.เกียวโต กล่าว คาดว่าภายในปี 2553 จะสามารถส่งยานขึ้นไปสู่อวกาศ เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 50 กิโลวัตต์ และในปี 2573-2583 สามารถผลิตได้ถึง 1 กิกะวัตต์ โดยโครงการนี้จะให้ความคุ้มทุนภายใน 30-50 ปี หลายฝ่ายกังวลว่าสัญญาณคลื่นไมโครเวฟที่มีความถี่สูง จะเป็นอันตรายต่อมนุษย์หรือไม่ ฮิโรชิ บอกว่า ต้องพัฒนาและออกแบบเครื่องแปรสัญญาณให้มีความปลอดภัยต่อมนุษย์ เพราะเป้าหมายหลักของโครงการนี้คือ การหาแหล่งพลังงานที่สะอาดและปลอดภัย ตอบสนองต่อความต้องการของมนุษย์ในอนาคต (คมชัดลึก 8 ธ.ค. 47 http://www.komchadluek.net)





ไบโอเมตริคส์กับอี-พาสปอร์ต

ไบโอเมตริคส์ Biometrics หมายถึงศาสตร์ที่บ่งบอกถึงรูปร่างลักษณะ และอวัยวะต่าง ๆ ของมนุษย์และแสดงว่าเป็นคนนั้น ๆ ไม่ใช่คนอื่น เช่น ลายนิ้วมือ โครงสร้างใบหน้า ดีเอ็นเอ ลักษณะของม่านตา ปกติคนเราจะรู้ว่าใครเป็นใครก็มาจากการมองคนนั้น ฟังเสียง ถ้าหากใช้เครื่องคอมพิวเตอร์แยกแยะให้เหมือนสมองมนุษย์นั้น ยังไม่ถึงขั้นนั้น ก็เลยต้องใช้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์มาเป็นเครื่องช่วยแยกแยะบุคคล เรื่องนี้ที่สหรัฐอเมริกา ก็มีปัญหาการระวังรักษาความลับส่วนตัวบุคคล และความปลอดภัย เช่นในปัจจุบัน สหรัฐอเมริกามีนโยบายการปราบปรามการก่อการร้ายมาก เพราะฉะนั้นเรื่องการเข้าออกในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นจึงต้องมีการตรวจตราอย่างละเอียดละออ เพราะฉะนั้นพาสปอร์ตรุ่นใหม่ที่นั่นจึงต้องมีรายละเอียดมาก เช่น มีทั้งลายนิ้วมือ การสแกนนัยน์ตาอย่างละเอียด และเทคโนโลยีการบันทึกความถี่ของเสียงที่ใช้ แต่สิ่งเหล่านี้ประชาชนยังไม่ยอมรับมากนัก เพราะทุกคนเกรงว่าความลับเรื่องส่วนบุคคลเหล่านี้ หากเก็บรักษาไม่ดีพอ ก็จะทำให้มีปัญหาด้านการลักลอบนำมาใช้เพื่อเป็นรหัสผ่านของตัวบุคคล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของธนาคาร การเข้าถึงสถานที่ทำงานที่เป็นความลับสุด ยอด ต้องระวังไม่ให้รู้ถึงบุคคลที่สามเป็นอันขาด ดร.อารัน รอสส์ ซึ่งเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยแห่งรัฐเวอร์จิเนียตะวันตก ได้กล่าวว่า หากมีความพลาดพลั้งสักครั้งหนึ่งก็จะเกิดปัญหามาก แม้ว่าปัจจุบันศาสตร์ทางด้านไบโอเมตริคส์จะมีความก้าวหน้ามากก็จริง แต่จะมีวิธีการอย่างไรไม่ให้ความลับของรหัสส่วนตัวบุคคลได้หลุดรอดออกไป แม้จะมี แฮกเกอร์ที่มีการพัฒนามากขึ้นเรื่อย ๆ จะมีวิธีการป้อง กันกันอย่างไร .(เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 9 ธ.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





โนเบลฟิสิกส์ชูวิทยาศาสตร์สร้างสันติภาพ

ศ.โคลด โคเฮน-ทันนุดจิ นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ ประจำปี 2540 จากผลงานการค้นคว้าเรื่องวิธีการดักจับและทำให้อะตอมเย็นตัวลงด้วยแสงเลเซอร์ กล่าวในงานเสวนาเรื่อง "การจัดแจงอะตอมด้วยแสง" ณ อุทยานวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย โดยสรุปว่า ผลงานด้านวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบล ถือเป็นงานวิจัยพื้นฐานที่สามารถต่อยอดออกไปเป็นแอพพลิเคชั่นหลากหลายที่เป็นประโยชน์กับมนุษย์ โดยนักวิทยาศาสตร์สามารถประยุกต์ใช้งานได้หลากหลาย อาทิ การพัฒนานาฬิกาปรมาณู ที่มีความแม่นยำกว่าเดิมถึงพันเท่า การพัฒนาเลเซอร์อะตอมสำหรับใช้เป็นระบบนำทางในอวกาศ รวมทั้งใช้สร้างลายวงจรในไมโครชิพให้มีขนาดจิ๋วเท่าอะตอมเรียงเดี่ยว และยังเป็นการพัฒนาสาขาวิชาทางด้านสารสนเทศควอนตัมอีกด้วย นอกจากนี้ การค้นพบดังกล่าวยังช่วยนักวิทยาศาสตร์สามารถศึกษาอะตอมและโมเลกุล ในสถานะที่เป็นก๊าซในระดับที่ลึกซึ้ง และนำไปสู่ความเข้าใจพฤติกรรมทางควอนตัมฟิสิกส์ของก๊าซได้มากขึ้นด้วย "นักวิทยาศาสตร์พยายามควบคุมอนุภาคนิวตรอนด้วยแสงเลเซอร์และสนามแม่เหล็กมาเป็นเวลากว่าศตวรรษแล้ว ซึ่งในธรรมชาติอะตอมทุกอะตอมไม่เคยหยุดนิ่ง ณ ระดับอุณหภูมิห้อง อะตอมและโมเลกุลจะวิ่งไปในทุกทิศทาง ด้วยความเร็วประมาณ 4,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือประมาณ 1,100 เมตรต่อวินาทีศ.โคเฮน-ทันนุดจิ จึงได้พัฒนาเครื่องดักจับ ด้วยการใช้สนามแม่เหล็กร่วมกับแสงเลเซอร์ ในการดักจับอะตอมให้ตกอยู่กลางคลื่นแสง โดยไม่สามารถจะเคลื่อนที่ออกจากนอกวงล้อมของแสงเลเซอร์ และจากการทดลองพบว่าความเร็วของแสงที่พุ่งชนอะตอม จะก่อให้เกิดโมเมนตัม ซึ่งผลักให้อะตอมลดความเร็วและอุณหภูมิลงได้ โดยอะตอมของฮีเลียมที่ใช้ทดลองมีความเร็วลดลงเหลือประมาณ 1-2 เซนติเมตรต่อวินาที และทำให้อุณหภูมิของอะตอมลดเหลือเพียง 0.00000018 องศาสัมบูรณ์ ทั้งนี้ ศ.โคเฮน-ทันนุดจิ ได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ ร่วมกับเพื่อนร่วมทีมอีก 2 คนคือ ศ.สตีเวน ชู และ ดร.วิลเลียม ดี ฟิลลิปส์ (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 11 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ฟูจิซีร็อกซ์ทุ่มงบ ผุดศูนย์รีไซเคิล ไทยทำเลทอง

นายโทชิโอะ อาริมะ ประธานกรรมการบริษัท ฟูจิ ซีร็อกซ์ จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) กล่าวว่า บริษัทใช้งบประมาณ 400 ล้านเยน จัดตั้งศูนย์รีไซเคิลครบวงจรแห่งภูมิภาคเอเชีย และศูนย์กลางการนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ระดับนานาชาติขึ้น ที่นิคมอุตสาหกรรมบ่อวิน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี โดยเชื่อว่าจะสามารถนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ได้ 99.6% ทั้งนี้ บริษัทจะนำเครื่องถ่ายเอกสาร ปริ๊นเตอร์ เครื่องโทรสาร และตลับหมึกที่ใช้แล้วของฟูจิ ซีร็อกซ์ ซึ่งรวบรวมจาก 9 ประเทศ ได้แก่ ไทย เกาหลี อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ฮ่องกง ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ มารีไซเคิลที่ศูนย์แห่งนี้ ขณะเดียวกันตั้งเป้าหมายว่าจะสามารถรีไซเคิล เครื่องถ่ายเอกสารได้ 3 หมื่นเครื่องต่อปี และตลับหมึกพิมพ์ 5 แสนตลับต่อปี สาเหตุที่เลือกประเทศไทยเป็นสถานที่ตั้งของศูนย์กลางรีไซเคิล เนื่องจากไทยมีบริษัทชั้นนำที่นำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ และมีเทคโนโลยีในระดับเดียวกับประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ดังนั้น จึงสามารถขนส่งสินค้าได้อย่างสะดวก และมีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีโอกาสสร้างระบบการผลิตแบบใหม่ออกมาด้วย ทั้งนี้ ศูนย์รีไซเคิลดังกล่าวมีลักษณะเฉพาะ ได้แก่ แยกชิ้นส่วนด้วยมืออย่างละเอียด ทำให้สามารถแยกวัสดุได้ละเอียดมากถึง 64 ประเภท แยกประเภทของพลาสติกได้ละเอียดมากถึง 14 ประเภท นอกจากนี้ ยังมีวิธีจัดการกับวัสดุที่เป็นอันตรายได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยนำกลับไปทำลายที่ญี่ปุ่น อาทิ แบตเตอรี่ หลอดไฟฟ้า ปัจจุบัน ฟูจิ ซีร็อกซ์ มียอดขายเครื่องถ่ายเอกสารในเอเชีย 130,000 เครื่องต่อปี และแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในภูมิภาคนี้ในปีหน้า (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 10 ธ.ค. 47 http://www.komchadluek.net)





เทคนิคใหม่สร้าง'ครรภ์บริสุทธิ์' ผลิตสเต็มเซลล์-ไม่ผิดศีลธรรม

คาร์ล สวอนน์ นักวิจัยจากวิทยาลัยการแพทย์ มหาวิทยาลัยแห่งเวลส์ในอังกฤษ เปิดเผยว่า "ตัวอ่อน" ที่ได้จากเทคนิคครรภ์บริสุทธิ์ หรือการปฏิสนธิโดยไม่อาศัยอสุจิของตัวพ่อ จะมีเพียงโครโมโซม 2 ชุดจากตัวแม่เท่านั้น จึงไม่สามารถพัฒนาไปเป็นทารกได้แน่นอน ทำให้มั่นใจได้ว่าเทคนิคนี้ไม่ได้ทำลายตัวอ่อนมนุษย์เมื่อต้องดึงสเต็มเซลล์มาใช้งาน การทดลองเริ่มด้วยการกระตุ้นให้ไข่เกิดการแบ่งตัว ด้วยการฉีดพีแอลซี-ซีตา (phospholipase C-zeta) เอนไซม์ที่ผลิตโดยเชื้ออสุจิ ซึ่งเป็นการค้นพบของสวอนน์และโทนี่ ไล เมื่อสองปีที่แล้ว "เทคนิคดังกล่าวก่อให้เกิดจุดเริ่มต้นของชีวิต หรืออาจเรียกได้ว่าเกิดการปฏิสนธิขึ้นแล้ว" สวอนน์ กล่าวและว่า โดยปกติแล้วไข่มนุษย์จะมีโครโมโซมอยู่ด้วยกัน 2 ชุด และ 1 ใน 2 ชุดจะถูกกำจัดออกมาภายใน 2 ชั่วโมงขณะที่ไข่กำลังปฏิสนธิ ดังนั้น ทีมงานจึงใช้กระบวนการทางเคมีป้องกันไม่ให้โครโมโซมชุดดังกล่าวหลุดออกมา และให้ตัวอ่อนที่เกิดจากตัวแม่เท่านั้นคงโครโมโซมทั้ง 2 ชุดไว้ในตัว ตัวอ่อนที่เกิดจากเทคนิคครรภ์บริสุทธิ์ดังกล่าว ไม่ต่างจากไข่ที่ปฏิสนธิกับอสุจิโดยธรรมชาติ และหลังจากนั้น 4-5 วัน ตัวอ่อนก็จะพัฒนาไปอยู่ในระยะบลาสโตซิสต์ หรือแบ่งตัวเป็นเซลล์ประมาณ 50-100 เซลล์ ซึ่งเป็นกลุ่มเซลล์ที่จะพัฒนาต่อไปเป็นร่างกายตัวอ่อน และเป็นแหล่งของสเต็มเซลล์ แต่ด้วยเหตุที่ตัวอ่อนเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากไข่ที่ผสมกับอสุจิ ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะพัฒนาไปเป็นทารก เอนไซม์พีแอลซี-ซีตา ยังสามารถนำไปช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จของเด็กหลอดแก้ว (ไอวีเอฟ) เนื่องจากเทคนิคไอวีเอฟที่นิยมวิธีหนึ่งก็คือ การฉีดอสุจิเข้าไปยังไข่โดยตรงในห้องปฏิบัติการ จากนั้นก็นำไปฝังลงในมดลูกของผู้หญิง ซึ่งในบางครั้งตัวอ่อนเหล่านี้ไม่สามารถแบ่งตัวเป็นเซลล์ อาจเพราะเชื้ออสุจิขาดเอนไซม์พีแอลซี-ซีต้าที่สมบูรณ์ ดังนั้น การเพิ่มเอนไซม์เทียมเข้าไปก็อาจช่วยให้ตัวอ่อนเกิดการแบ่งตัวได้ (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 9 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ข่าววิจัย/พัฒนา


ให้ดื่มน้ำแก้อาการหน้ามืดตอนยืน ช่วยยกความดันโลหิตให้สูงขึ้นได้

คณะนักวิจัยของวิทยาลัยแพทย์อิมพีเรียล ลอนดอน กล่าวเปิดเผยผลการศึกษาวิจัยผู้ที่มีปัญหาในการควบคุมความดันโลหิต และจะเกิดอาการหน้ามืดเมื่อลุกขึ้นยืน เนื่องจากความดันโลหิตตกว่า ระบบประสาทอิสระเป็นผู้ควบคุมการทำกิจการต่างๆ ของร่างกายหลายอย่าง เช่น ความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ และการขับเหงื่อ คณะวิจัยได้พบคนไข้ซึ่งมีอาการของระบบประสาทอิสระล้มเหลว 14 ราย ด้วยสาเหตุต่างๆกัน คนไข้เหล่านี้ต่างมีอาการหน้ามืดเมื่อตอนลุกขึ้นยืนเหมือนกัน ได้ทดลองให้คนไข้เหล่านี้ดื่มน้ำกลั่นไป 2 แก้ว พบว่าหลังจากนั้น 5 นาที ต่างก็มีความดันโลหิตสูงขึ้นอย่างวัดได้ ผลการศึกษาแสดงว่า การดื่มน้ำอาจจะช่วยแก้อาการหน้ามืดเพราะการเปลี่ยนท่า การทรงตัวจากนั่งเป็นยืนได้ ศาสตราจารย์คริสโตเฟอร์ มาเทียนส กล่าวว่า "ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำ เนื่องจากระบบประสาทอิสระไม่ทำงาน มีโอกาสเสี่ยงกับการเกิดหน้ามืดเมื่อตอนลุกขึ้นยืน หรือหลังจากอิ่มข้าว หรือออกแรงทำงานมาก ซึ่งกระทบกระเทือนกับการใช้ชีวิตประจำวัน การค้นพบครั้งนี้นับว่าเป็นประโยชน์กับผู้ที่มีอาการหน้ามืด จะได้เข้าใจสาเหตุที่ทำให้เกิดขึ้นได้" (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 6 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





เอาเต้าหู้กู้กระดูกคนให้แข็งแกร่ง หน้าที่เหมือนกับนั่งร้านก่อสร้าง

นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ ดร.แมททีโอ ซานติน ของมหาวิทยาลัยไบรท์ตัน แห่งอังกฤษ กล่าวเปิดเผยว่า วงการแพทย์เชื่อว่าเต้าหู้ อาจจะมีบทบาทเป็นตัวเสริมความแข็งแรงของกระดูกคนได้ โดยเฉพาะในการบำบัดรักษาคนไข้อุบัติเหตุรถยนต์ ซึ่งจำเป็นจะต้องรับการผ่าตัดเสริมความแข็งแรงของกระดูกส่วนต่างๆ นอกจากนั้น ด้านทันตแพทย์ก็อาจจะใช้มันในการรักษาโรคเหงือกอักเสบอย่างหนัก จนลุกลามไปถึงกระดูกซึ่งเป็นฐานของฟันด้วย ดร.ซานตินกล่าวแจ้งว่า "เรากำลังศึกษาเพื่อจะใช้เต้าหู้ซึ่งอาจจะซื้อหาในตลาด มาทำเป็นพลาสติกซึ่งย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติได้ มาใช้ฉีดอัดเข้าไปในร่องกระดูกของผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ เพื่อให้มันกลับก่อตัวขึ้นใหม่ได้อีก เราได้พบในการวิจัยว่า วัสดุนั้นสามารถช่วยให้กระดูกกลับก่อตัวขึ้นใหม่ได้อีกภายในเวลาอันเร็ววัน" (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 6 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





เตือนสาวดูดไขมันรักษารูปได้ไม่กี่วัน เกือบครึ่งต่างพากันพุงยื่นอย่างเก่า

รายงานในวารสารการแพทย์ของสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งอเมริกาว่า จากการศึกษากับผู้หญิงที่ไปรับการดูดไขมันมา 200 ราย ได้พบว่า ตั้งเกือบครึ่งต่างพากันกลับอ้วนท้วนขึ้นอย่างเก่า หลังจากไปทำเสร็จมาได้ไม่กี่วันนั่นเอง นักวิจัยของมหาวิทยาลัยเท็กซัสผู้ศึกษาได้บอกแนะนำว่า วิธีที่รักษารูปทรงให้คงที่ได้ยืนยง ก็ควรจะรับประทานอาหารที่ถูกส่วน และออกกำลังเป็นประจำจะเหนือกว่า ดร.รอด โรห์ริช หัวหน้านักวิจัย ยังได้ชี้ว่า "หากว่าใครอยากจะให้ผลของการไปดูดไขมัน ให้อยู่ได้นานๆแล้วละก็ ควรจะปฏิบัติตัวให้ถูกให้ควรประกอบกันด้วย จะดีกว่าการเห็นว่าการดูดไขมันเป็นเครื่องมือลดความอ้วน" รายงานการศึกษาเปิดเผยว่า ในการศึกษากับผู้หญิงที่ผ่านการดูดไขมันมา 200 คนนั้น พบว่า พวกเธอถึง 43% กลับอ้วนขึ้นใหม่ภายในเวลาไม่เกิน 6 เดือน 32% ไม่รู้สึกว่าน้ำหนักตัวเปลี่ยนแปลงอย่างใดเลย และมีอยู่ 25% ที่รู้สึกตัวว่าน้ำหนักตัวได้ลดลงไปบ้าง. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 6 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





พัฒนาเครื่องย่อยยางเก่า ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ

ดร.ศุภสิทธิ์ รอดขวัญ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนา สถาบันค้นคว้า และพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตทางอุตสาหกรรม (RDiPT) และอาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มก. กล่าวว่า ยางเก่าที่หมดอายุแล้วเวลานี้ถูกทิ้งขว้างเป็นปัญหายากต่อการกำจัดอย่างมาก จึงคิดนำยางเก่าเหล่านั้นกลับมารีไซเคิล โดยต้องย่อยยางเก่าให้เป็นชิ้นขนาดเล็กๆ ก่อนที่จะนำไปผสมกับยางใหม่หรือสารเคมีต่างๆ เพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น ยางหล่อดอกรถยนต์ อิฐบล็อกยาง แผ่นปูสนามเด็กเล่น แผ่นกันลื่นในห้องน้ำ ฯลฯ ซึ่งต้องใช้เครื่องจักรย่อยยางราคาสูงที่นำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้น เพื่อเป็นการทดแทน การสั่งซื้อเครื่องจักรราคาสูง และลดการนำเข้าเครื่องจักร จึงได้คิด "ออกแบบและประดิษฐ์เครื่องย่อยยาง" ขึ้น โดยได้รับการสนับสนุน จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ในการสร้างเครื่องต้นแบบ การออกแบบเครื่องจักร ตัดย่อยชิ้นยางนั้น สิ่งสำคัญอยู่ที่การเลือกใช้วัสดุ การออกแบบรูปร่างของใบมีด ความเร็วรอบของจานตัด และกำลังมอเตอร์ สำหรับวัสดุที่เลือกใช้ในเครื่องต้นแบบนี้ เป็นใบมีดเหล็ก AISI1020CD มีใบมีดทั้งสิ้นถึง 252 ใบ แต่ละใบมีดมีมุมตัด 60 องศา และตั้งความเร็วรอบที่เพลาขับ และเพลาตามไว้ที่ 50 และ 30 รอบต่อวินาทีตามลำดับ มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ขนาด 7.5 แรงม้า พร้อมชุดทดเกียร์และโซ่ในการส่งกำลัง จากการนำยางอัดดอก ยางรถจักยาน และยางรถจักรยานยนต์เก่ามาผ่านเครื่องย่อยที่ประดิษฐ์ขึ้น พบว่าใน 1 รอบการทำงาน ขนาดของชิ้นงานหลังจากถูกย่อยแล้ว จะมีขนาดพื้นที่หน้าตัดของชิ้นงานยางลดลงประมาณ 93% สำหรับยางอัดดอกและยางรถจักรยาน และ 52% สำหรับยางรถจักรยานยนต์ โดยมีอัตราเร็วเฉลี่ยในการตัดประมาณ 90 กิโลกรัมต่อชั่วโมง นักวิจัย กล่าวว่า การทำงานของเครื่องย่อยยางต้นแบบ มีประสิทธิภาพเป็นที่น่าพอใจ แต่ยังมีข้อบกพร่องบางประการ ในเรื่องของความเที่ยงตรงในการผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ซึ่งจะมีผลกับการประกอบเครื่องจักรและการย่อยชิ้นงาน แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เป็นปัญหา ได้เตรียมปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นแล้ว เพื่อให้ได้เศษยางที่เล็กลงยิ่งขึ้น และใช้งานได้จริงในทุกอุตสาหกรรม ขอข้อมูลเพิ่มเติม โทร.0-2942-8567-71 (ไทยรัฐ อังคารที่ 7 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





กินเนื้อสัตว์มากทำพิษร่างกาย เป็นโรคข้ออักเสบกันขึ้นง่ายๆ

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์แห่งอังกฤษ ได้พบในการศึกษากับกลุ่มตัวอย่างเกือบ 25,000 คน ว่าผู้ที่กินเนื้อวัว หรือเนื้อลูกแกะเป็นประจำวัน เสี่ยงกับการเจ็บป่วยด้วยโรคนั้น มากกว่าผู้ที่กินอาทิตย์ละ 2 ครั้งกว่ากันถึง 2 เท่า คณะนักวิจัยรายงานผลการศึกษาในวารสารการแพทย์ โรคปวดตามข้อและกล้ามเนื้อ" กล่าวว่า โรคข้ออักเสบเกิดจากการอักเสบของเยื่อหุ้มข้อต่อ เป็นเหตุให้ข้อฝืด ติดยึดและอักเสบบวมแดงขึ้น นักวิจัยเชื่อว่า คงเป็นเพราะโปรตีนเส้นใยส่วนประกอบสำคัญของกระดูก ที่อยู่ในเนื้อสัตว์อาจไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มโรคให้ตื่นตัวขึ้น จึงพลอยเกิดผลกระทบถึงข้อต่อไปด้วย ความจริงการกินเนื้อสัตว์ก็ไม่เป็นอันตรายกับสุขภาพเท่าใดนัก แต่หากควรจะกินพอประมาณ เพื่อได้อาหารให้ถูกส่วนเท่านั้น (ไทยรัฐ อังคารที่ 7 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





ผึ้งอาละวาดปราบโรคมะเร็งร้าย ทั้งสะกดให้สิ้นฤทธิ์สกัดไม่ให้ขยาย

คณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยซาเกรบ ของโครเอเชีย ได้รายงานในวารสารวิชาการ "โภชนาการศาสตร์และเกษตรศาสตร์" ว่า ได้ค้นพบว่าผลิตภัณฑ์ของผึ้งสามารถหยุดเนื้อร้ายในหนูทดลอง และยังสกัดไม่ให้ลุกลามออกไปได้ และเชื่อว่ามันจะคงมีคุณกับมนุษย์ด้วยเช่นเดียวกัน เขาได้มุ่งศึกษาถึงคุณค่าของพิษของผึ้ง น้ำผึ้งกับน้ำนมผึ้ง ซึ่งพวกผึ้งงานขับออกมาจากต่อมน้ำลายใช้เลี้ยงตัวอ่อน ทั้งยังได้พบว่ายางเหนียวตามดอกไม้ที่ผึ้งเอามาทำเป็นขี้ผึ้งก็มีประโยชน์ด้วย นักวิจัยได้ศึกษากับหนูทดลอง โดยฉีดเซลล์มะเร็งเข้าไว้ในตัวมัน หนูเหล่านั้นถูกเลี้ยงด้วยผลิตภัณฑ์ของผึ้งชนิดต่างๆมาก่อนแล้ว และได้พบว่าหนูที่ได้รับการฉีดด้วยน้ำพิษของผึ้ง ปรากฏว่าก้อนเนื้อร้ายในตัวได้หดตัวลง โดยที่ยังไม่อาจทราบสาเหตุว่าผลิตภัณฑ์ของผึ้งเหล่านี้ทำปฏิกิริยากับเซลล์มะเร็งขึ้นอย่างไร แต่บอกว่ามันอาจไปทำให้เซลล์ร้ายเหล่านั้นฆ่าตัวเอง หรือเข้าทำอันตรายกับเซลล์พวกนั้นเสียเอง หรือไม่ก็เข้าช่วยหนุนภูมิคุ้มโรค ให้ต่อสู้กับมะเร็งก็เป็นได้. (ไทยรัฐ อังคารที่ 7 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





แชมป์หุ่นยนต์กู้ภัย

ในการแข่งขันหุ่นยนต์กู้ภัย Thailand Rescue Robot Championship 2004 เพื่อหาสุดยอดหุ่นยนต์กู้ภัย และเป็นตัวแทนประเทศเข้าร่วมแข่งขัน ใน World Robocup Rescue 2005 ที่โอซากา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเวทีการประกวดหุ่นกู้ภัยระดับโลก การแข่งขันในครั้งนี้ มีนิสิตนักศึกษาจากสถาบันต่าง ๆ เข้าร่วมกว่า 100 ทีม แบ่งเป็นทีม ๆ ละ 3 คน ซึ่งผ่านการคัดเลือกเข้าแข่งรอบแรกกว่า 50 ทีมจาก 35 สถาบันทั่วประเทศ แต่ละทีมต้องผ่านสนามที่มีความยากระดับกลาง ภายในเวลา 15 นาที ในการค้นหาผู้รอดชีวิตจากสถานการณ์จำลอง โดยหุ่นยนต์ของแต่ละทีมต้องเข้าใกล้ผู้ประสบภัยในระยะห่าง 1 เมตร พร้อมประมวลผลและบอกตำแหน่งผู้บาดเจ็บ เพื่อคัดเลือกให้เหลือ 8 ทีมสุดท้าย ทีม Inse V.1 จากการรวมตัวของนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ปราจีนบุรี สามารถโชว์ฝีมือคว้าแชมป์การประกวดหุ่นยนต์กู้ภัย จากการประกวด Thailand Rescue Robot Championship 2004 ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกได้สำเร็จ (เดลินิวส์ อังคารที่ 7 ธ.ค. 47 47 http://www.dailynews.co.th)





ญี่ปุ่นส่งยานติดโซล่าร์เซลล์ ผลิตไฟฟ้าจากอวกาศส่งป้อนโลก

ฮิโรชิ มัตซูโมโต นักวิจัยสถาบันการพัฒนาสิ่งแวดล้อมมนุษย์ที่ยั่งยืน มหาวิทยาลัยเกียวโต เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยเกียวโตและสำนักงานพัฒนาด้านอวกาศแห่งประเทศญี่ปุ่น ร่วมวิจัยสร้างยานอวกาศเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์ในห้วงอวกาศ โดยใช้แผงโซล่าร์เซลล์แล้วแปลงสัญญาณเป็นคลื่นไมโครเวฟ ส่งกลับมายังสถานีรับสัญญาณที่พื้นโลก โดยนักวิจัยเชื่อว่า แสงจากดวงอาทิตย์ในห้วงอวกาศจะกลายเป็นแหล่งพลังงานใหม่ของมนุษยชาติ ซึ่งเป็นพลังงานที่สะอาดและสามารถผลิตหมุนเวียนได้ตลอดเวลา "พลังงานแสงอาทิตย์ในอวกาศจะกลายเป็นพลังงานที่สำคัญสำหรับโลกในเร็วๆ นี้ เพราะเราสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชม. ไม่ต้องมานั่งรอช่วงเวลากลางวันเท่านั้น ในการทำงานของยานลำนี้ ใช้หลักการแปลงกระแสไฟฟ้า ที่ผลิตได้จากดวงอาทิตย์ให้เปลี่ยนคลื่นความถี่ จากนั้นส่งกลับมายังสถานีรับสัญญาณที่พื้นโลก เพื่อแพร่กระจายสัญญาณนี้ออกไปในรูปของคลื่นความถี่ไมโครเวฟ ไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดต่างๆ ที่ติดตั้งเครื่องแปรสัญญาณ ให้กลับมาเป็นพลังงานไฟฟ้าโดยเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้าตรง คาดว่าภายในปี 2553 จะสามารถส่งยานขึ้นไปสู่อวกาศ และผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 50 กิโลวัตต์ และในปี 2573 - 2583 สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึง 1 กิกะวัตต์ โดยโครงการนี้จะให้ความคุ้มทุนภายใน 30 - 50 ปี หลายฝ่ายกังวลว่าสัญญาณคลื่นไมโครเวฟที่มีความถี่สูง จะเป็นอันตรายต่อมนุษย์หรือไม่ ต่อประเด็นนี้ ฮิโรชิ บอกว่า ต้องพัฒนาและออกแบบเครื่องแปรสัญญาณให้มีความปลอดภัยต่อมนุษย์ เพราะหลักการสำคัญของโครงการนี้คือ การหาแหล่งพลังงานที่สะอาดและปลอดภัยตอบสนองต่อความต้องการของมนุษย์ในอนาคต ทั้งนี้ คลื่นไมโครเวฟจะกลายเป็นเทคโนโลยีสำคัญสำหรับอนาคต โดยเฉพาะการสื่อสารแบบไร้สาย ซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ต่างทุ่มงบลงทุนมหาศาลสำหรับเทคโนโลยีนี้ (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 6 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





นวัตกรรมพัฒนา'อีแต๋น'เอาใจเกษตรกร ปรับโฉมเป็นยานยนต์อเนกประสงค์ ใช้งานหลากหลายขึ้น

นายวีระศักดิ์ วีระกันต์ ผู้ประสานงานโครงการ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ เปิดเผยว่า โครงการผลิตรถ "เกษตรชัย" ซึ่งเป็นผลงานหนึ่งในโครงการนวัตกรรมดี ไม่มีดอกเบี้ย ซึ่งเป็นงานวิจัยพัฒนาและร่วมทุนระหว่างบริษัท อโกร มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างยานยนต์ที่มีประสิทธิภาพ ประหยัดน้ำมัน และมีความปลอดภัยสูงให้เกษตรกรไทย โดยเลือกจะพัฒนายานยนต์เพื่อเกษตรกรขึ้นมา ก็เพราะเห็นว่ารถที่เกษตรกรใช้งานอยู่เดิม 'อีแต๋น'มีประสิทธิภาพไม่ดีนัก และไม่มีมาตรฐาน ขณะที่รถเกษตรชัยจะใช้ชิ้นส่วนใหม่ทั้งหมดเป็นส่วนประกอบ มีอุปกรณ์ประกอบรถครบชุด ทำให้ยานยนต์ที่ออกมามีมาตรฐาน มีความปลอดภัยสูงและทนทานประหยัดเวลาซ่อมแซมด้วย ที่สำคัญสามารถจดทะเบียนเป็นรถใช้งานเพื่อเกษตรกรรมกับกรมการขนส่งทางบกได้ ทีมงานใช้เวลาในการสร้างรถต้นแบบราว 1.5 ปี โดยใช้งบประมาณไปทั้งสิ้น 3 ล้านบาท ทีมผลิตหลักคือวิทยาลัยเทคนิคบ้านค่าย จังหวัดระยอง ด้านเครื่องยนต์ที่ใช้เป็นของบริษัท สยามคูโบต้าอุตสาหกรรม จำกัด ขณะที่ชิ้นส่วนอื่นๆ ของตัวรถสั่งซื้อในประเทศ 70% ส่วนตัวที่ผลิตเองไม่ได้ในประเทศอีก 30% กำลังการผลิตเบื้องต้นจะอยู่ที่ 1,200 คันต่อปี ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 2 แสนบาท "เกษตรชัยรุ่นแรกจะเน้นการใช้งานแบบบรรทุกอย่างเดียวก่อน แต่คาดว่ารุ่นต่อไปจะมีการใช้งานในลักษณะอื่นเข้ามาร่วมด้วย เช่น การใช้เครื่องยนต์ของรถที่มีมาต่อพ่วงกับอุปกรณ์เสริมใช้ปั่นไฟเข้าบ่อกุ้ง หรือสูบน้ำออกจากนาก็ได้ นอกจากนี้ จะพัฒนาปรับปรุงเครื่องยนต์ดีเซลให้รองรับการใช้เชื้อเพลิงพลังงานจากพืชได้ด้วย (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 6 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ผลงานวิจัยแม่เมาะสารหนูไม่ปนเปื้อนสารเคมี

นางสาวกนิศฐา วงศ์ใหญ่ นักวิทยาศาสตร์ประจำโรงไฟฟ้าแม่เมาะ จ.ลำปาง และนักศึกษาปริญญาเอก บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า จากงานวิจัยเกี่ยวกับการแพร่กระจายของสารหนูในบริเวณโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเหมืองถ่านหินลิกไนต์นำมาผลิตกระแสไฟฟ้า พบว่ามีการแพร่กระจายของสารหนูปริมาณสูงถึง 500 มิลลิกรัมต่อดิน 1 กิโลกรัม ในบริเวณดังกล่าว และลึกลงไปในใต้ดินในระดับ 300-400 เมตร ทั้งนี้ สารหนูที่พบนั้นมีอยู่ตามธรรมชาติ มิได้มาจากการปนเปื้อนสารเคมีจากแหล่งใด อีกทั้งรูปแบบของสารหนูที่พบยังอยู่ในลักษณะเป็นผลึก ซึ่งต้องอาศัยกรดที่แรงมากถึงจะสลายออกมาปนเปื้อนกับดินและไหลซึมสู่ลำน้ำ เนื่องจากสภาพทางภูมิศาสตร์ของเหมืองแม่เมาะ ล้อมรอบไปด้วยภูเขาหินปูน ซึ่งมีค่าทางเคมีเป็นด่าง เมื่อฝนตกชะล้างลงมาปนกับกรดที่มีอยู่ในธรรมชาติ หรือฝนกรดที่ปนเปื้อนซัลเฟอร์ไดออกไซด์จากเหมืองถ่านหิน ทำให้สภาพของสารละลายในบริเวณนั้นมีค่าเป็นกลาง หรือมีค่า ph 5.6 ซึ่งไม่สามารถกัดกร่อนผลึกสารหนูให้ละลายออกมาได้ เพียงพบสารหนูบางส่วนที่ไหลละลายปนเปื้อนในอ่างเก็บน้ำในเหมืองแม่เมาะ และดินในบริเวณรอบๆ อยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามาตรฐานมาก ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 6 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





นศ.ประดิษฐ์เครื่องอัดปลาร้าผง ลดปนเปื้อนหนุนโอท็อปส่งออก

นายอิสระ คำไทย นักศึกษาระดับ ปวส.2 วิทยาลัยการอาชีพหนองหาน จ.อุดรธานี เปิดเผยว่า ทีมงานได้ประดิษฐ์เครื่องอัดปลาร้าผงด้วยระบบนิวเมติก ซึ่งเป็นระบบแรงดันลมจากเครื่องปั๊มลม โดยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและปริมาณที่แน่นอนจนสามารถส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศได้ โดยหลักการทำงานของระบบนิวเมติก คือ นำเอาลมจากปั๊มลมธรรมดามาผ่านลูกสูบนิวเมติก แล้วผ่านกระบอกสูบ ซึ่งกระบอกสูบนี้จะทำให้เกิดแรงดัน เรียกว่า “กระบอกนิวเมติก” เมื่อผ่านการอัดเรียบร้อยแล้วจะนำผงปลาร้าผสมกับปลาร้าต้มสุกให้ยึดเกาะติดกันก่อนจะนำไปอบอีกครั้งหนึ่งแล้วห่อด้วยกระดาษฟอยล์ และบรรจุใส่กล่องพลาสติก ด้านนายหรรษา เสริฐพล อาจารย์ประจำวิทยาการอาชีพหนองหาน กล่าวว่า ผลงานประดิษฐ์ดังกล่าวเป็นการสนองนโยบาย สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา ที่สนับสนุนให้สถาบันอาชีวศึกษาได้คิดประดิษฐ์ เครื่องมือต่อยอดสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ของชุมชน โดยเครื่องมืออัดปลาร้าผงระบบนิวเมติกนั้น ใช้งบประมาณ 12,000 บาท ได้ทำการทดลองผิดถูกมาเป็นเวลา 2 เดือน จนได้เครื่องมืออัดปลาร้าเป็นที่น่าพอใจ และได้มอบให้กลุ่มวิสาหกิจชุมชนหมู่บ้านหนองบัวน้อยนำไปใช้ผลิตปลาร้าผงต่อไป (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 7 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





หน้ากากมือถือใส่เมล็ดพืช ทิ้งแล้วงอกเป็นต้นไม้

หน้ากากมือถือ สร้างปัญหาขยะพลาสติกให้กับสิ่งแวดล้อม นักประดิษฐ์อังกฤษผู้มีใจรักธรรมชาติ จึงพัฒนาหน้ากากมือถือจากต้นกุหลาบ ซึ่งย่อยสลายได้แถมยังใส่เมล็ดพืช เคอร์รี เคอร์แวน นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอร์วิค จากตอนกลางของอังกฤษ จึงออกแบบหน้ากากมือถืออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทำจากสารโพลีเมอร์ที่ได้จากพืช ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่สามารถย่อยสลายได้ในดิน ทั้งยังฝังเมล็ดดอกไม้ไว้ข้างใน เพื่อให้ต้นอ่อนเจริญเติบโตออกมาได้เมื่อทิ้งหน้ากากแล้ว ช่วงแรกทีมงานได้ออกแบบโดยใส่เมล็ดดอกทานตะวันลงในหน้ากากโทรศัพท์มือถือ แต่ได้ร่วมกับนักวิจัยพืชสวนเพื่อดูว่าจะใช้ดอกไม้ชนิดอื่นที่น่าจะใช้ได้ เป็นไปได้ว่าอาจจะใช้เมล็ดดอกฝิ่น หรือดอกกุหลาบใส่ลงไปในหน้ากากได้ด้วย นักประดิษฐ์ตั้งความหวังว่า หน้ากากมือถืออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจะติดตลาดในปีหน้า (คมชัดลึก อังคารที่ 7 ธ.ค. 47 http://www.komchadluek.net)





รม.แปรรูปไข่มดแดงใส่กระป๋อง อบรมชาวบ้านไปทำอาชีพเสริม

ผศ.ดร.นำยุทธ สงค์ธนาพิทักษ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ตนได้รับแจ้งจาก ผศ.อร่าม คุ้มกลาง ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตน่านว่า วิทยาเขตน่านประสบความสำเร็จสามารถแปรรูปไข่มดแดง ซึ่งเป็นอาหารพื้นบ้าน ของคนไทย โดยเฉพาะประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือลงในกระป๋องได้แล้ว ทั้งนี้เดิมทีนั้นไข่มดแดงจะมีให้รับประทานกันเฉพาะในช่วงฤดูกาลเท่านั้น แต่ต่อไปจะสามารถหารับประทานได้ตลอดทั้งปี โดยวิธีการนำมาแปรรูปนั้นจะนำมาแช่ลงในน้ำเกลือแล้วบรรจุลงในกระป๋อง ทำให้สามารถเก็บไว้ได้นาน โดยยังคงคุณค่าของสารอาหารคือ โปรตีน และแคลเซียมไว้ได้อย่างครบถ้วน และที่สำคัญ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวก็พร้อมที่จะเผยแพร่ลงสู่ชุมชน และส่งเสริมให้เป็นสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ซึ่งการประสบความสำเร็จในการคิดค้นครั้งนี้ ถือเป็นการปฏิบัติตามภารกิจที่สำคัญที่ รม.ได้กำหนดไว้ คือ การคิดค้นงานวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม และประเทศชาติ ผลงานวิจัยสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้จริง ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามขอสูตรการทำได้ที่โทร. 0-5477-5391 ในวันและเวลาราชการ (สยามรัฐ อังคารที่ 7 ธ.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)





นักวิจัยหาความลับธาตุคาร์บอน มุ่งเพิ่มพลังงานความร้อนในถ่าน

บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม โชว์ผลงานศึกษาองค์ประกอบคาร์บอนในเศษชีวมวลคำนวณหาค่าอุณหภูมิเผาเหมาะสม เพิ่มค่าความร้อนที่ได้จากการเผา เผยช่วยลดการใช้ถ่านและตัดไม้มาทำถ่านให้น้อยลงกว่าเดิม นางสาวปัทมาภรณ์ โพธิ์ศรี นักศึกษาปริญญาโท บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงโครงการศึกษาพฤติกรรมธาตุคาร์บอนในเศษชีวมวล ว่า ปัจจุบันเศษไม้ที่ชาวบ้านนำมาเผาเพื่อทำเป็นถ่านเชื้อเพลิงนั้น ยังให้พลังงานความร้อนที่มีประสิทธิภาพต่ำและทำให้เกิดการสิ้นเปลืองทรัพยากรมากกว่าเดิม ตนและคณะจึงวิจัยหาแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพค่าความร้อนให้แก่ถ่านที่ผลิตจากเศษชีวมวลแต่ละชนิด พบว่า น้ำหนักของถ่านที่หายไปทำให้พลังงานความร้อนที่ได้จากถ่านลดตามไปด้วย เนื่องจากปริมาณคาร์บอนซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ปล่อยความร้อนออกมาจากการเผาถ่านลดลงตามไปด้วยจากขั้นตอนการเผาครั้งแรก เมื่อนำเศษไม้ไปเผาที่อุณหภูมิในระดับ 250 องศาเซลเซียส พบว่า น้ำหนักของถ่านหายไปน้อยมาก ซึ่งทำให้ถ่านมีประสิทธิภาพในการให้พลังงานความร้อนที่ปล่อยมาในระดับสูง เมื่อเปรียบเทียบกับการเผาที่อุณหภูมิสูงหรือระดับที่ชาวบ้านเผากันอยู่โดยทั่วไป ซึ่งใช้ความร้อนสูงถึง 450-500 องศาเซลเซียสนอกจากนี้ คณะวิจัยยังพบว่าเมื่อนำถ่านที่มีความชื้นสูงเข้าไปในถังแรงดันไอน้ำ ปรากฏว่าถ่านที่นำออกมาสามารถให้ค่าความร้อนในระดับสูงและสามารถนำมาเป็นเชื้อเพลิงได้แทนที่จะทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ และ ผลการศึกษาที่ได้ทำให้ทราบถึงลักษณะของธาตุคาร์บอนที่อยู่ในเศษชีวมวลแต่ละชนิด เช่น กะลามะพร้าว ซังข้าวโพด เปลือกข้าวและต้นปาล์ม เป็นต้น และหากสามารถควบคุมระดับความร้อนที่ใช้สำหรับเผาซากชีวมวลเหล่านี้ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและไม่ทำให้ธาตุคาร์บอนต้องสูญสลายไป ก็จะได้ถ่านที่ให้พลังงานความร้อนที่มีประสิทธิภาพจากถ่านชีวมวลได้(กรุงเทพธุรกิจ 8 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ลาดกระบังคว้ารางวัลหุ่นยนต์จิ๋ว

น.ส.จุฑามาศ วงศ์ธัชชัย นักศึกษาชั้นปี 3 และเพื่อนๆ 4 คนจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง คว้า 4 รางวัลจากการแข่งขันหุ่นยนต์เขาวงกตขนาดจิ๋วนานาชาติ 2004 ณ เมืองนาโกยา ประเทศญี่ปุ่น โดยใช้หุ่นยนต์ขนาด 1 ลูกบาศก์เซนติเมตร 2 ตัว และขนาด 1 ลูกบาศก์นิ้ว 2 ตัว โดยหนึ่งในนั้นคือรางวัลความคิดสร้างสรรค์ดีเด่น โดยหุ่นยนต์ 1 ลูกบาศก์เซนติเมตรทั้ง 2 ตัวที่ได้รางวัลนั้น ตัวแรกใช้หลักการเคลื่อนไหวโดยใช้การยืดหดของเพียโซ อิเล็กทริก เมื่อจ่ายไฟฟ้าเข้าไปเพียโซจะยืดหดเป็นระยะทางนิดหนึ่งแต่เร็วมาก ทำให้หุ่นเคลื่อนที่ไปได้ ทำให้คว้ารางวัลความคิดสร้างสรรค์ยอดเยี่ยม และรางวัลมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ส่วนหุ่นยนต์อีกตัวหนึ่ง พิเศษตรงที่ใช้มอเตอร์ 1 ตัวควบคุมล้อ 2 ล้อ เพื่อลดขนาดหุ่นยนต์ให้เล็กตามต้องการ ปกติการใช้มอเตอร์ตัวเดียวจะทำให้วิ่งได้แต่ในทิศทางเดียวกันเท่านั้น บังคับเลี้ยวไม่ได้ แต่ทางหุ่นยนต์ของทีมไทยสามารถบังคับเลี้ยวได้ (คมชัดลึก 8 ธ.ค. 47 http://www.komchadluek.net)





กฟภ.ยกเครื่องหัวอ่านมิเตอร์รับค่าไฟใหม่ นักวิจัย มจธ.ร่วมพัฒนา รองรับโครงสร้างค่าไฟใหม่

นายเกษม สิริรัตน์ชูวงศ์ นักวิจัยสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (ฟีโบ้) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ซึ่งเป็นผู้คิดค้นหัวอ่านมิเตอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะ เปิดเผยว่า สถาบันได้รับมอบหมายจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ให้พัฒนาหัวอ่านและซอฟต์แวร์สำหรับใช้กับมิเตอร์ทีโอยู ซึ่งเป็นมิเตอร์อ่านค่าไฟแบบใหม่ เนื่องจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคประสบปัญหาการจัดเก็บข้อมูลค่าไฟ ซึ่งเป็นผลจากการปรับโครงสร้างค่าไฟใหม่ที่เป็นระบบทีโอยู (Time of Use) จากเดิมเป็นระบบทีโอดี (Time Of Day) ในการจัดเก็บข้อมูลการใช้ไฟจากมิเตอร์ จำเป็นต้องใช้หัวอ่านเพื่ออ่านและบันทึกข้อมูล โดยที่ผ่านมาหัวอ่านได้ออกแบบสำหรับใช้กับมิเตอร์ระบบเก่า แต่เมื่อรัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างการจัดเก็บค่าไฟเป็นแบบทีโอยู จึงจำเป็นต้องยกเครื่องหัวอ่านมิเตอร์ใหม่เพื่อรองรับระบบใหม่ ด้วยการสนับสนุนทุนวิจัย 5 ล้านบาทให้ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี พัฒนาหัวอ่านมิเตอร์ทีโอยูพร้อมซอฟต์แวร์ โดยผู้วิจัยได้ศึกษาและถอดรหัสสื่อสารหรือโปรโตคอลของมิเตอร์แต่ละชนิด เพื่อเขียนโปรแกรมรวมถึงแก้ไขข้อผิดพลาด สำหรับมิเตอร์ที่ใช้อยู่ทั่วไปนั้นประกอบด้วย 5 ตราสินค้า ซึ่งแบ่งเป็นหลากหลายรุ่นรวมถึงการทำงานของซอฟต์แวร์จัดเก็บข้อมูลที่แตกต่างกันไปในแต่ละตราสินค้า ทำให้เกิดปัญหาในส่วนของหัวอ่าน ที่ไม่สามารถอ่านข้อมูลจากมิเตอร์ที่หลากหลายดังกล่าว ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ต้องพกพาหัวอ่านติดตัวมากกว่า 1 ชิ้นขึ้นไป เพื่อให้สามารถอ่านค่าไฟจากมิเตอร์แต่ละยี่ห้อที่แตกต่างกัน นายเกษม กล่าวอีกว่า ฟีโบ้ได้คิดค้นหัวอ่านพร้อมโปรแกรมสำเร็จรูป เพื่อช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว โดยหัวอ่านที่พัฒนาขึ้นนั้นสามารถตรวจสอบข้อมูลจากมิเตอร์ไฟฟ้าผ่านพอร์ตอินฟราเรด ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลปริมาณการไช้ไฟฟ้าในแต่ละช่วงเวลา ค่าเปลี่ยนแปลงในทุกๆ 15 นาที โดยหัวอ่านดังกล่าวสามารถเก็บข้อมูลได้นานถึง 45 วัน หัวอ่านดังกล่าวมีราคาตัวละ 4,000 บาท ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับการไฟฟ้า ที่ต้องนำเข้าหัวอ่านจากต่างประเทศ ทั้งนี้ ปัญหาของการพัฒนาหัวอ่านอัจฉริยะดังกล่าว อยู่ที่การถอดรหัสโปรโตรคอลของมิเตอร์แต่ละชนิด ซึ่งแม้จะอยู่บนมาตรฐานเดียวกัน แต่เมื่อลงลึกไปในรายละเอียดแล้วค่อนข้างแตกต่าง นอกจากนี้การทดสอบในห้องปฏิบัติการกับการใช้งานจริงไม่เหมือนกัน ทำให้ต้องกลับมาแก้ไขในหลายจุดจึงสามารถนำไปใช้งานได้จริง (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 9 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





แปรสภาพพรินเตอร์อิงค์เจ็ท รักษาผู้ป่วยจากแผลไฟไหม้

เครื่องปริ๊นเตอร์อิงค์เจ็ทสำหรับงานพิมพ์เอกสารที่อายุ 10 ปีแล้ว อาจกำลังเป็นที่ต้องการในวงการแพทย์ เพราะมีความเป็นไปได้ที่จะนำมาใช้ในการสร้างผิวหนังมนุษย์ และหากทำสำเร็จจะสามารถนำมาใช้ช่วยเหลือผู้ถูกไฟไหม้ จนผิวหนังเสียหาย หรืออาจจะนำมาใช้ในการซ่อมแซมอวัยวะภายในร่างกายได้ด้วย วลาดิเมีย มิโรนอฟ ผู้อำนวยการของห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับวิศวกรเนื้อเยื่อ ที่มหาวิทยาลัยการแพทย์แห่งเซาท์แคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมนักวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า เครื่องปริ๊นเตอร์แบบอิงค์เจ็ทรุ่นเก่าๆ ของเอชพีและแคนนอน มีลักษณะพิเศษตรงที่ขนาดของรูที่ยิงหมึกออกมานั้น มีขนาดใหญ่จึงไม่ทำลายเซลล์ที่อ่อนแอ โดยรูยิงหมึกนี้จะทำหน้าที่ยิงโปรตีนออกมาแทนหมึก และสามารถยิงวัตถุดิบดังกล่าวลงไปบนเจล แทนกระดาษได้เช่นกัน โครงการดังกล่าวนี้ เรียกว่า พิมพ์ผิวหนัง หรือสกิน ปริ๊นติ้ง (Skin printing) ซึ่งแม้ว่าในปัจจุบันจะอยู่ในช่วงของการเริ่มต้น แต่ก็ทำให้มีความหวังว่าจะทำให้เกิดแนวทางในการรักษาผิวหนังของผู้ป่วยไฟไหม้ ได้ดีกว่าวิธีการปลูกผิวที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 9 ธ.ค. 47 http://www.komchadluek.net)





เจลแอลกอฮอล์เหลวไร้พิษ

อ.วานิช โสภาสพ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ได้คิดค้น "ชุดสาธิตการผลิตเจลแอลกอ ฮอล์เชื้อเพลิงโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์" ขึ้นมา โดยผลิตภัณฑ์เจลแอลกอฮอล์ที่ได้ยังทำมาจากเอทิลแอลกอฮอล์ ซึ่งสกัดได้จาก พืช และสามารถนำมาแต่งกลิ่นเลียนแบบธรรมชาติ ทำให้ปัญหากลิ่นเหม็นหมดไป อ.วานิช อธิบายหลักการทำงานของชุดสาธิตดังกล่าวว่า เป็นการใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ โดยผลิตน้ำอุ่นจากพลังงานแสงอาทิตย์ ด้วยการปล่อยน้ำให้ไหลเวียนเข้าไปในแผงรับความร้อนจากดวงอาทิตย์ เมื่อน้ำร้อนก็จะไหลเข้าสู่ถัง 3 ชั้น ซึ่งชั้นนอกเป็นถังที่หุ้มด้วยฉนวนกันความร้อน ชั้นกลางเป็นส่วนบรรจุน้ำร้อน และชั้นในเป็นส่วนบรรจุแอลกอฮอล์ที่จะนำมาใช้ทำเจลแอลกอฮอล์เหลว ซึ่งเมื่อน้ำร้อนมีอุณหภูมิขึ้นถึงประมาณ 70 องศาเซลเซียส ก็จะอุ่นให้แอลกอฮอล์มีอุณหภูมิประมาณ 60 องศาเซลเซียส แล้วจึงเติมกรดไขมันสเตรียอกลงไปประมาณ 15 กรัมต่อแอลกอฮอล์ 1 ลิตร กวนให้เข้ากัน จากนั้นเติมผลเซลลูโลส ประมาณ 15 กรัมต่อ 1 ลิตร เพื่อให้ส่วนผสมเกิดความหนืด แล้วจึงแต่งกลิ่นเจือสีธรรมชาติ เช่น กลิ่นมะลิ มะนาว หรือกุหลาบ แล้วก็กวนให้เข้ากันอีกครั้ง หลังจากนั้นให้เติมโซดาไฟ ประมาณ 20 กรัมต่อลิตร เพื่อเร่งให้ส่วนผสมแข็งตัวได้เร็วขึ้น แล้วจึงนำส่วนผสมที่ได้มาเทบรรจุลงในภาชนะที่ต้องการ ชุดสาธิตนี้สามารถผลิตเจลแอลกอฮอล์เหลวได้ประมาณ 5,000 ชิ้นต่อวัน ซึ่งทางราชมงคลได้วางจำหน่ายอันละ 4 บาท แม้ว่าจะแพงกว่าเจลที่ทำจากเมทิลแอลกอฮอล์ แต่เจลจากเอทิลแอลกอฮอล์จะสร้างมลพิษน้อยกว่ามาก ผู้สนใจติดต่อขอคำปรึกษาได้ที่ ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ ศูนย์กลางสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี โทร. 0-2549-3511 ต่อ 709 ในวันและเวลาราชการ (เดลินิวส์ เสาร์ที่ 11 ธ.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)





เครื่องขายกระดาษหยอดเหรียญ ดัดแปลงจากเครื่องถ่ายเอกสารเก่า

นายสมโพธิ นามบัณฑิต นักศึกษาภาควิชาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ คณะวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี เจ้าของผลงานเครื่องขายกระดาษหยอดเหรียญ เปิดเผยว่า ผลงานดัดแปลงมาจากเครื่องถ่ายเอกสารที่ชำรุด พร้อมทั้งนำความรู้เรื่องไมโครคอนโทรลเลอร์มาประยุกต์ดัดแปลง ให้กลายเป็นเครื่องจำหน่ายเอกสารอัตโนมัติดังกล่าว สำหรับเครื่องขายกระดาษอัตโนมัติ ประกอบไปด้วย เครื่องหยอดเหรียญ ชุดควบคุมด้วยไมโครคอนโทรลเลอร์ วงจรเชื่อมต่อ และเครื่องจ่ายกระดาษ โดยอุปกรณ์ชิ้นนี้จะทำงานก็ต่อเมื่อหยอดเหรียญเข้าไปในเครื่อง และกดปุ่มเลือกขนาดตามที่ตั้งค่าไว้ หลังจากนั้นโปรแกรมจะสั่งงานและเลือกกระดาษป้อนให้แก่ผู้ซื้อตามต้องการ ส่วนสำคัญของเครื่องขายกระดาษหยอดเหรียญ คือ อุปกรณ์จ่ายกระดาษของเครื่องถ่ายเอกสารที่ชำรุดแล้ว ซึ่งมีวงจรควบคุมด้วยไมโครคอนเทลเลอร์ควบคุมการจ่ายกระดาษของเครื่องจ่ายกระดาษให้ตรงกับจำนวนเหรียญที่หยอดโดยผ่านวงจรเชื่อมต่อ โดยวงจรควบคุมด้วยไมโครคอนเทรลเลอร์นี้ จะคอยตรวจจับสัญญาณหยอดเหรียญจากเครื่องหยอดเหรียญ ทั้งนี้ ประสิทธิภาพของเครื่องสามารถขายกระดาษชนิด เอ4 โดยมีความเร็วในการจ่ายกระดาษ 24 แผ่นต่อวินาที ซึ่งแบ่งเป็นกระดาษ เอ4 สี มีความเร็วการจ่ายกระดาษ 5 แผ่นต่อนาที โดยเครื่องขายกระดาษหยอดเหรียญที่สร้างขึ้น มีจุดคุ้มทุนของเครื่องเมื่อขายกระดาษชนิด เอ4 จำนวน 1 รีมหรือ 500 แผ่นต่อวัน มีจุดคุ้มทุนอยู่ที่ 614 วัน และขายกระดาษชนิดกระดาษ เอ4 สี จำนวน 1 ห่อ หรือ 150 แผ่น ต่อวันและมีจุดคุ้มทุนอยู่ที่ 434 วัน อย่างไรก็ตาม เครื่องมือชิ้นนี้ยังต้องพัฒนาและปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องให้ดีขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของโปรแกรมสั่งงานของเครื่อง ให้สามารถเลือกประเภทสีและขนาดของกระดาษได้มากกว่าเดิม รวมทั้งเพิ่มปริมาณกระดาษที่บรรจุในเครื่องด้วย (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 11 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ไทยสร้าง 'เครื่องปั่นไฟ' จากคลื่นทะเล

ดร.วีรชัย โรยนารินทร์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ผู้วิจัยอุปกรณ์ผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานคลื่นทะเล เปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังวิจัยและสร้างต้นแบบเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจากพลังงานคลื่นตามบริเวณชายฝั่งของประเทศ เพื่อนำมาผลิตกระแสไฟฟ้าตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนและอุตสาหกรรมตามแนวชายฝั่ง หลักการทำงานของเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าจากคลื่นทะเลว่า แผ่นกระดานที่มีรูปร่างคล้ายปีกเครื่องบินซึ่งจะลอยขึ้น - ลง ตามคลื่นทะเล ที่พัดเข้ามากระทบและทำหน้าที่ปั๊มความดันในท่อ ที่เชื่อมต่อระหว่างแผ่นกระดานนี้กับถังเก็บความดัน หลังจากนั้นแรงดันดังกล่าวจะไปผลักให้มอเตอร์ปั่นกระแสไฟฟ้าทำงาน และผลิตกระแสไฟฟ้าป้อนเข้าสู่ระบบได้ ส่วนความคืบหน้าปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการออกแบบโครงสร้าง เพื่อทดลองใช้และคาดว่าจะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึง 1 กิโลวัตต์ ซึ่งเหมาะสมกับพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลในอ่าวไทย ตั้งแต่ จ.ชลบุรี ตลอดจนถึงจ.สุราษฎร์ธานี โดยเฉพาะพื้นที่บนเกาะกลางทะเล เนื่องจากปริมาณและขนาดของคลื่นไม่แปรปรวนมาก ทำให้ค่าจ่ายในการก่อสร้างและติดตั้งมีราคาถูกตามไปด้วย หรือประมาณ 5 แสนบาทต่อเครื่อง แม้มีราคาสูงกว่าการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลม แต่ประสิทธิภาพของกระแสไฟฟ้าที่ได้จากคลื่นทะเลมีมากกว่าพลังงานลม เครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าประเภทนี้ จะช่วยลดการกัดเซาะชายฝั่งจากคลื่นทะเล เนื่องจากแผ่นกระดานที่ลอยอยู่เหนือคลื่นทะเล จะทำหน้าที่ลดแรงของคลื่นทะเลที่พัดมากระทบฝั่งได้ระดับหนึ่ง เปรียบเสมือนปราการด่านแรก ที่ช่วยลดแรงกระแทกชายฝั่งจากคลื่นทะเล โครงการนี้ยังขาดการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้การพัฒนาและการวิจัยเป็นไปด้วยความล่าช้า (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 10 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





แปรรูปใบชา-ตะไคร้หอม เป็นโลชันถนอมผิว-กันยุง

ผศ.นัตจุฑามณ์ เลิศลีลากิจจา อาจารย์ประจำแผนกแปรรูปผลิตภัณฑ์จากพืช คณะวิชาพืชศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีตราชมงคล วิทยาเขตน่านได้คิดทำโลชันกันยุงจากชาเมี่ยงขึ้น โดยได้ดึงเอาข้อดีของใบชามาผสานกับสรรพคุณของตะไคร้หอม คือ สามารถไล่ยุงได้ ใบชานั้นมีวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เช่น กรดอะมีโน วิตามิน ซี วิตามิน บี วิตามิน อี ซึ่งเมื่อมาเป็นส่วนผสมในการทำโลชันแล้วก็มีคุณสมบัติในการถนอมผิวเป็นอย่างดี และเพื่อให้ได้ประโยชน์ในสองทาง จึงได้นำสารสกัดจากตะไคร้หอมซึ่งมีคุณสมบัติในการไล่ยุงเข้ามาร่วมผสมด้วย จึงนับว่าโลชันที่ได้นั้นสามารถใช้ทั้งถนอมผิว และไล่ยุงได้ด้วยในคราวเดียวกัน ใบชานั้น เลือกใช้ใบเมี่ยง หรือใบชาอัสสัม ซึ่งเป็นชาพันธุ์ท้องถิ่นที่ชาวบ้านแถบนี้ปลูกกันมากอยู่แล้ว ประกอบกับสถาบันกำลังวิจัยเกี่ยวกับชาเมี่ยงอยู่ ส่วนกรรมวิธีการสกัดเอาสารจากชาก็ไม่ยุ่งยาก โดยมีกระบวนการง่ายๆ คือ นำใบชาสดมาผึ่งให้แห้ง แล้วบดให้เล็กลง นำมาแช่ด้วยเอทิลแอลกอฮอล์ 95% ในอัตราส่วน 1:1 ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง หรือจะทิ้งไว้ 3 วัน เพราะยิ่งนานก็ยิ่งดี ในขั้นตอนนี้อาจจะใช้วิธีการแกว่งช่วย จะได้สารละลายสีเขียว แล้วทิ้งไว้ให้แอลกอฮอล์ระเหยเหลือแต่สารสกัดจากใบชาเข้มข้น พร้อมที่จะนำมาเป็นส่วนผสมกับสารสกัดจากตะไคร้หอม ซึ่งมีจำหน่ายโดยทั่วไป ขณะนี้แผนกแปรรูปผลิตภัณฑ์จากพืชได้ทำผลิตภัณฑ์จากชาเมี่ยงออกมาหลายชนิด เช่น ครีมนวดผม สบู่ น้ำยาล้างจาน ฯลฯ ผู้สนใจผลิตภัณฑ์สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ผศ.นัตจุฑามณ์ เลิศลีลากิจจา โทร.0-4045-0972 (สยามรัฐ เสาร์ที่ 11 ธ.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)





หญิงตั้งครรภ์รับโฟเลตสูงเสี่ยง"มะเร็งเต้านม"

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์อังกฤษกำลังตั้งข้อสงสัยว่าการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโฟเลตกับหญิงที่กำลังจะตั้งครรภ์ว่าจะปลอดภัยหรือไม่ โดย ดร.แอนดี้ เนสส์ จากมหาวิทยาลัยบริสทอล ในเขตภาคใต้ของอังกฤษ ระบุว่า จากการศึกษาเบื้องต้นในกลุ่มตัวอย่างที่ไม่มากนัก พบว่าผู้หญิงที่ได้รับโฟเลตมากเกินไปในช่วงก่อนการตั้งครรภ์มีความสัมพันธ์กับการเป็นมะเร็งเต้านม ซึ่งการศึกษาในครั้งนี้ถือว่าเป็นการจุดประกายครั้งใหญ่ในการศึกษาวิจัยการใช้โฟเลตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในหญิงช่วงก่อน และช่วงแรกของการตั้งครรภ์ "กรดโฟลิก" เป็นรูปแบบหนึ่งของ "โฟเลต" ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มของวิตามินบี พบมากในผักที่มีสีเขียว ผลไม้ ถั่ว และได้จากการสังเคราะห์ ซึ่งจากการศึกษาก่อนหน้านี้พบว่าการได้รับโฟเลตในช่วงก่อนและช่วงแรกของการตั้งครรภ์ ทำให้ลดความเสี่ยงที่ทารกในครรภ์จะผิดปกติ และเสริมสร้างกระดูกสันหลังที่มีผลต่อสมองและไขสันหลังของทารก ดร.เนสส์และคณะได้ทำการศึกษาระยะยาวกับหญิงที่ตั้งครรภ์ที่ได้รับโฟเลตจำนวน 2,928 คน ในปี พ.ศ.2512 ซึ่งในกลุ่มนี้มีทั้งผู้ที่ได้รับโฟเลตในปริมาณมากและน้อยแตกต่างกันไป และมีกลุ่มที่ได้รับยาหลอกด้วย ซึ่งการทดลองได้สิ้นสุดลงเมื่อเดือนกันยายน ปี 2545 และจากการติดตามพบว่ามีผู้หญิงในกลุ่มนี้ 200 รายเสียชีวิต โดยในจำนวนนี้ 40 ราย เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจ อีก 112 ราย เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง และอีก 31 ราย เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเต้านม ซึ่งผู้ที่เสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมคือกลุ่มที่ได้รับโฟเลตสูงในช่วงก่อนและช่วงแรกของการตั้งครรภ์ การศึกษาในครั้งนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ว่าการได้รับโฟเลตสูงเป็นสาเหตุของมะเร็งเต้านมจริงหรือไม่ ยังต้องมีการศึกษาต่อไปอีกเพื่อให้ได้ผลที่ไม่คลาดเคลื่อน (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 11 ธ.ค. 47 http://www.matichon.co.th)





แคนาดาผลิตชิปใหม่ เล็กลงใช้พลังงานน้อยลง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ วินเซนต์ กอเด็ต แห่งมหาวิทยาลัยอัลเบอร์ทา ในเมืองเอดมันตัน ประเทศแคนาดา เปิดเผยว่า ตนและทีมนักวิจัยกลุ่มหนึ่งประสบความสำเร็จในการผลิตไมโครชิปสำหรับคอมพิวเตอร์ที่สามารถประหยัดพลังงานมากกว่าเดิมถึง 100 เท่า ในขณะที่มีขนาดเล็กลงราว 10 เท่าของชิปที่ใช้กันอยู่ในโทรศัพท์มือถือในปัจจุบันนี้ ชิปคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นมาได้ดังกล่าวจะไม่ใช้พลังงานโดยตรงจากแหล่งพลังงาน อาทิ แบตเตอรี่ แต่จะดึงเอาพลังงานที่หลงเหลืออยู่หลังจากกระบวนการทำงานในการประมวลผลสิ้นสุดลงมาเก็บไว้ในตัวชิป เมื่อเริ่มต้นทำงานใหม่ก็จะดึงพลังงานส่วนที่เหลือจากแบตเตอรี่มาเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งเท่ากับเป็นการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่น้อยลง ช่วยยืดระยะเวลาการใช้แบตเตอรี่ให้ยาวนานขึ้นนั่นเอง แบตเตอรี่มีปริมาณพลังงานอยู่จำกัด ดังนั้น วิธีเดียวที่จะทำให้แบตเตอรี่สามารถใช้งานได้ยาวนานกว่าเดิมมากก็คือ การดึงเอาพลังงานจากแบตเตอรี่ออกมาใช้ครั้งละเล็กน้อยเท่านั้นเอง ทีมวิจัยยังไม่สามารถบอกได้ว่า ชิปคอมพิวเตอร์ใหม่ดังกล่าวนี้จะถูกนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์จริงๆ อย่างไรบ้าง เพราะขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมว่าจะนำเอาผลวิจัยดังกล่าวนี้ไปประยุกต์ใช้อย่างไรในอนาคต (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 11 ธ.ค. 47 http://www.matichon.co.th)





ข่าวทั่วไป


เตรียมออกกฎควบคุม"กวาวเครือ"

นพ.วิชัย โชควิวัฒน อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก แถลงถึงทิศทางการคุ้มครองสมุนไพรกวาวเครือในประเทศ ไทย ว่า คณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ได้ประชุมถึงแนวทางการควบคุมและคุ้มครองพืชสมุนไพรในประเทศไทย โดยเสนอรายชื่อสมุนไพรที่ต้องได้รับการคุ้มครองประมาณ 9 ชนิด ปรากฏว่า กวาวเครือเป็นสมุนไพรตัวแรกที่คณะกรรมการพิจารณาแล้วว่า สมควรประกาศเป็นสมุนไพรควบคุม กรมจึงได้จัดทำร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องสมุนไพรควบคุมกวาวเครือขึ้น เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ ปริมาณที่ครอบครองการใช้ประโยชน์ การดูแลรักษา เงื่อนไขในการครอบครอง การส่งออก จำหน่ายหรือแปรรูป เป็นต้น อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีประกาศของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุให้กวาวเครือเป็นพืชคุ้มครอง แต่มีข้อยกเว้นในส่วนที่ผ่านขบวนการ และไม่ใช่ส่วนที่ขยายพันธุ์ได้ ซึ่งร่างประกาศ สธ.ฉบับใหม่นี้ จะสามารถควบคุมและคุ้มครองพืชสมุนไพรได้มากกว่า ซึ่งนอกจากกวาวเครือแล้ว จะมีการศึกษาแนวทางการคุ้มครองพืชสมุนไพรที่เป็นโปรดักส์ แชมเปี้ยน อีก 12 ชนิด เช่น กระชายดำ ขมิ้นชัน ฯลฯ ด้วย โดยอาจจะต้องมีการออกฎหมายถึง 21 ฉบับในการคุ้มครองสมุนไพรในประเทศไทย และว่าจากการประเมินมูลค่าการตลาดของกวาวเครือพบว่าอยู่ที่ประมาณ 500 ล้านบาท สำหรับสมุนไพรที่เป็น Product Champion นอกจากกวาวเครือแล้ว ยังประกอบด้วย กระเจี๊ยบแดง ฟ้าทะลายโจร ส้มแขก กระชายดำ ขมิ้นชัน หม่อน ไพล ลูกประคบ ชุมเห็ดเทศ และกวาว เครือขาว (ไทยรัฐ พุธที่ 8 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





ผลวิจัยชี้ชัดดิสโก้เธคดังเกินมาตรฐาน สุขภาพหูพนักงานได้ยินผิดปกติกว่า 88%

นายวิโรจน์ เล้งรักษา สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 1 กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ได้ทำการศึกษาความเสี่ยงที่มีผลต่อสุขภาพพนักงานในสถานบันเทิง ดิสโก้เธค โดยใช้แบบสำรวจและตรวจวัดระดับความดังของเสียง ผลการศึกษาพบว่า สถานบันเทิงมีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่มีความเสี่ยง ผลการตรวจวัดเสียงมีระดับความดังของเสียงเกินค่ามาตรฐานของกระทรวงแรงงาน คิดเป็น 100% โดยระดับเสียงมีค่าระหว่าง 90.5-117.0 เดซิเบล การตรวจระดับการได้ยินของพนักงานพบว่า ผิดปกติ 88.89% โดยผิดปกติที่ระดับการได้ยิน 26-35 เดซิเบล 67.86% และพบหูผิดปกติทั้งสองข้าง 63.4% น.พ.กำจัด รามกุล ผอ.สำนักควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค กล่าวว่า การสำรวจสถานประกอบการประเภทสถานบันเทิง ในเขตกรุงเทพมหานครรวม 9 แห่ง โดยการตรวจสิ่งแวดล้อมในการทำงานด้านแสงและเสียง และการตรวจสุขภาพพนักงานเบื้องต้น จำนวน 373 คน เป็นชายจำนวน 271 คน คิดเป็น 72.65% เป็นหญิงจำนวน 102 คน คิดเป็น 27.35% พนักงานมีอายุเฉลี่ย 25.52 ปี ช่วงของอายุการทำงานในสถานบันเทิงนั้น รวมการทำงาน 8-9 ชั่วโมง โดยระยะ เวลาที่พนักงานสัมผัสเสียงดัง จากการเปิดเพลงของสถานบันเทิงจะเป็นช่วงเวลา 20.00-01.00 น. รวม 5 ชั่วโมง ผลการตรวจสมรรถภาพการได้ยินจากพนักงานจำนวน 370 คน พบว่าเมื่อใช้เกณฑ์จำแนกกลุ่มที่มีระดับการได้ยินผิดปกติที่ 25 เดซิเบลขึ้นไป พนักงานมีระดับการได้ยินปกติ 86 คน คิดเป็น 23.24% มีระดับการได้ยินผิดปกติ 284 คน คิดเป็น 76.76% และเมื่อจำแนกเป็นกลุ่มที่มีระดับการได้ยินผิดปกติที่ 26-35 เดซิเบล พบว่ามีจำนวน 158 คน คิดเป็น 42.70% และกลุ่มที่มีระดับการได้ยินผิดปกติที่ระดับ มากกว่า 35 เดซิเบลจำนวน 126 คน คิดเป็น 34.05% นายอภิชัย ชวเจริญพันธ์ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า เพื่อสนองพระราชดำรัสในหลวง คพ. ซึ่งรับผิดชอบการควบคุมปัญหามลพิษทางเสียงได้หารือกับ พ.ต.ต.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และผู้แทนจากสำนักจัดการคุณภาพอากาศและเสียงแล้ว ซึ่งได้ข้อสรุปว่าภายในสัปดาห์หน้า คพ.จะร่วมกับตำรวจออกตรวจวัดคุณภาพเสียงในสถานบันเทิงแหล่งใหญ่ๆทั่ว กทม. เพื่อตรวจสอบว่าจะมีความดังในระดับไหน และเกินมาตรฐานความดังของเสียงที่เป็นปัญหาต่อหูที่ระดับ 80 เดซิเบล (กรุงเทพธุรกิจ 8 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





สสว.จับมือจุฬาฯประกวดแผนธุรกิจเอสเอ็มอี

วันที่ 7ธ.ค. 47 ได้มีการลงนามร่วมกันระหว่างสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดประกวดแผนธุรกิจแห่งชาติครั้งแรก เพื่อสนับสนุนให้นิสิตนักศึกษาระดับปริญญาโทที่ต้องการเป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่มีความพร้อมด้านวิชาชีพก่อนก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงาน นางจิตราภรณ์ เตชาชาญ ผู้อำนวยการ สสว. กล่าวว่าโครงการประกวดแผนธุรกิจแห่งชาติ เป็นหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์ในการสร้างนักเศรษฐกิจรุ่นใหม่ที่เป็นต้นแบบของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ซึ่งสอดรับนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาและสร้างผู้ประกอบการรายใหม่ให้ได้ 5 หมื่นราย ในปี 2551 หรือคิดเป็นสัดส่วนประชากร 28 คน ต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 1 คน จากปัจจุบัน 33 คน ต่อ 1 คน และผลักดันให้มูลค่าธุรกิจเอสเอ็มอีคิดเป็น 50% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งในปี 2546 เอสเอ็มอีที่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ 25.7% และคาดว่าในปีนี้เอสเอ็มอีที่จะออกสู่ตลาดโลกอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน โดยกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์และชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้ามีโอกาสเติบโตสูง สสว.จะสนับสนุนทีมที่ชนะเลิศการประกวดฯ เพื่อให้แผนธุรกิจสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง โดยการร่วมทุนผ่านกองทุนร่วมลงทุนเพื่อพัฒนายกระดับความสามารถการแข่งขันของธุรกิจไทย (Venture Capital Fund) รวมถึงการให้การสนับสนุนในรูปแบบของพี่เลี้ยงและที่ปรึกษาด้านการตลาด การบริหารจัดการ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการบรรจุหีบห่อ ด้าน ศ.ดร.คุณหญิงสุชาดา กีระนันท์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ทีมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศจะได้รับโล่พระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมเงินรางวัล 1 แสนบาท และสถาบันการศึกษาได้รับทุน 1แสนบาท เปิดรับสมัครผู้ร่วมแข่งขันตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 23 ก.พ.2548 โดยผู้สมัครต้องเป็นทีมนิสิตนักศึกษาระดับปริญญาโท และตัดสินรอบชิงชนะเลิศในวันที่ 8-9 เม.ย. 2548 (กรุงเทพธุรกิจ 8 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





ขี้ฟันต้นเหตุปอดอักเสบ ละเลยแปรงฟันก่อนนอนพึงระวัง

ดร.อาลี เอล-โซลห์ มหาวิทยาลัยบัฟฟาโล ในนิวยอร์ก และหัวหน้าทีมวิจัย ได้ค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อโรคในขี้ฟัน กับการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โดยขี้ฟันที่เกาะติดบนผิวฟัน จะสะสมเชื้อจุลินทรีย์ให้หนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนมีลักษณะเหนียว ใช้น้ำบ้วนไม่หมด โดย ดร.เอล-โซลห์ และทีมงานได้ตรวจสอบผู้ป่วยสูงอายุจำนวน 49 คน ที่ถูกส่งเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการของโรคระบบทางเดินหายใจ ที่เสี่ยงจะเป็นปอดอักเสบสูง โดยได้จัดเก็บลายพิมพ์ดีเอ็นเอของแบคทีเรีย ที่พบในปากของผู้ป่วยแต่ละคน ก่อนที่เขาหรือเธอจะพัฒนาไปเป็นโรคปอดอักเสบ แม้การศึกษาครั้งนี้จะเป็นกลุ่มเล็ก แต่นักวิจัยยืนยันว่าหลักฐานที่พบในผู้ป่วย 8 คน ระบุได้ว่าโรคปอดอักเสบที่เกิดขึ้น เป็นผลมาจากขี้ฟันของตัวผู้ป่วยเอง ในจำนวน 49 คน มีผู้ป่วย 28 คน ที่ทีมวิจัยพบว่าเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจ มีอยู่ในตัวอย่างของขี้ฟัน แต่ในอีก 21 คนไม่มีเชื้คโรคดังกล่าว หลังจากผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด จนในที่สุดนักวิจัยก็ยืนยันว่ามีผู้ป่วย 14 คน พัฒนาไปเป็นโรคปอดอักเสบ และ 10 คน เริ่มเกิดอาการของโรคทางเดินหายใจ ที่มีสาเหตุมาจากเชื้อโรคในฟัน จากการทดสอบดีเอ็นเอของเชื้อโรคที่ได้จากปอด แสดงให้เห็นว่าตรงกับดีเอ็นเอของเชื้อโรคในขี้ฟันของผู้ป่วย 8 คน และการค้นพบครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ขี้ฟันเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคทางเดินหายใจ ที่สามารถพัฒนาไปเป็นโรคปอดอักเสบได้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยสูงวัยที่ต้องได้รับการดูแลทำความสะอาดฟันและฟันปลอมให้มาก (คมชัดลึก 8 ธ.ค. 47 http://www.komchadluek.net)





จิตแพทย์เยอรมัน-นักระบาดฯสหรัฐรับรว.

ศ.น.พ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ในฐานะรองประธานมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ในพระบรมราชูปถัมภ์ แถลงว่า คณะกรรมการมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นองค์ประธาน มีมติมอบรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี 2547 เป็นปีที่ 13 สาขาการแพทย์ ได้แก่ ศ.น.พ.นอร์แมน ซาทอเรียส ชาวเยอรมัน ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อดีตผอ.กรมสุขภาพจิต องค์การอนามัยโลก สาขาการสาธารณสุข ได้แก่ ศ.น.พ.โจนาธาน เอ็ม ซาเมท หัวหน้าภาควิชาระบาดวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปกินส์ ได้รับรางวัลประกอบด้วยโล่และใบประกาศนียบัตร เงินสดสาขาละ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานรางวัลในวันที่ 27 ม.ค. 2548 ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง สำหรับมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้ง "รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล" ถวายเป็นพระราชานุสรณ์แด่สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ในโอกาสจัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี แห่งการพระราชสมภพวันที่ 1 ม.ค.2535 โดยปีนี้คณะกรรมการได้พิจารณาบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อทั้งหมด 58 คน จาก 27 ประเทศ (ข่าวสด พุธที่ 8 ธ.ค. 47 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ยอดป่วยมะเร็งพุ่งวันละ 274 คน เหตุจากสารเคมีปนเปื้อนอาหาร

น.พ.สุชัย เจริญรัตนกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โรคมะเร็งเป็นปัญหาทั่วโลก มีการตายของคนปีละกว่า 6 ล้านคน หรือประมาณ 13 % ของการตายทั้งหมด องค์การอนามัยโลกได้คาดการณ์ พ.ศ.2558 จะมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่เพิ่มขึ้นจากปีละ 10 .1 ล้านคนเป็น 15.7 ล้านคน และมีคนตายเพิ่มขึ้นเป็น 10 ล้านคน สำหรับประเทศไทย โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 มีผู้เสียชีวิตปีละประมาณ 45,000 คน คิดเป็น 68.4 ต่อประชากรแสนคน นอกจากนี้แต่ละปีพบผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งรายใหม่ประมาณ 1 แสนคน หรือเฉลี่ยวันละ 274 คนและมีแนวโน้มพบมากขึ้นเรื่อยๆ โรคมะเร็งที่พบบ่อย 6 อันดับ ได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งในช่องปาก โรคมะเร็งใช้เวลานานหลายปีในการก่อให้เกิดโรค โดย 5 % เกิดจากเชื้อไวรัส ได้แก่ มะเร็งปากมดลูก อีก 5 % เกิดจากสารกัมมันตภาพรังสี ได้แก่ มะเร็งผิวหนัง แต่สาเหตุใหญ่ที่สำคัญที่สุดที่ทำให้คนเป็นโรคมะเร็งกันมาก คือสารเคมีต่างๆ ที่เป็นสารก่อมะเร็ง ได้แก่ อาหารที่ปิ้งจนไหม้เกรียม อาหารหมักดอง สารอัลฟาทอกซินในถั่ว ข้าวโพด ข้าว กระเทียม พริกแห้ง มันสำปะหลัง ดินประสิวที่ผสมในอาหาร (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 9 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





หมอพิเชฐผอ.รพ.บ้านตาก คว้า"แพทย์ชนบทดีเด่นปี"47"

ศ.คลินิก นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้เป็นประธานพิธีมอบรางวัลแพทย์ดีเด่นในชนบท ประจำปี 2547 ของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ซึ่งในปีนี้ทางคณะกรรมการคัดเลือกได้พิจารณาให้ นพ.พิเชฐ บัญญัติ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านตาก อ.บ้านตาก จ.ตาก เป็นผู้รับรางวัลในปีนี้ โดยเป็นแพทย์ดีเด่นในชนบทคนที่ 33 ซึ่งได้รับมอบโล่เกียรติยศ และเงินรางวัล 100,000 บาท สำหรับก่อนหน้านี้ นพ.พิเชฐยังได้รับคัดเลือกให้รับรางวัลแพทย์ชนบทดีเด่นของมูลนิธิแพทย์ชนบท และรับรางวัลคนดีศรีสาธารณสุข ครั้งที่ผ่านมา (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 9 ธ.ค. 47 http://www.matichon.co.th)





โน้ตบุ๊กทำลายความเป็นชายชาตรี อบถุงอัณฑะร้อนเหมือนอย่างไข่ปิ้ง

ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบท่อทางเดินปัสสาวะแห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ดร.เยฟิม ชีนคิน เตือนผู้ชายวัยหนุ่มให้เลี่ยงการวางคอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้วบนตักในขณะใช้งาน เนื่องจากความร้อนจะสร้างความเสียหายต่อความสามารถในการสืบพันธุ์ โดยความร้อนของเครื่องคอมพิวเตอร์วางตักจะทำให้ถุงอัณฑะร้อน ดร.เยฟิมกล่าวว่า เมื่ออัณฑะร้อนขึ้นก็จะส่งผลต่อคุณภาพและปริมาณสเปิร์มเพศชาย อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถคาดได้ว่าเราจะสามารถ ใช้คอมพิวเตอร์วางบนตักได้นานเท่าใดถึงจะยังอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย โดย ดร.เยฟิมกล่าวว่า มันอาจไม่มีอันตรายเลยก็ได้ เพราะอุณหภูมิสูงที่เกิดขึ้น ก็เป็นเพียงช่วงสั้นๆเท่านั้น แต่ในกลุ่มหนุ่มวัยฉกรรจ์ที่ใช้คอมพิวเตอร์วางตักครั้งละนานๆในชั่วโมงทำงาน หลายๆปีเข้าก็มีความเสี่ยงต่อปัญหาดังกล่าว ซึ่งเมื่อโหมใช้คอมพิวเตอร์วางตักไปสัก 15-20 ปี แล้วกลับมาคิดมีครอบครัวถึงเวลานั้นอาจสายเกินไป รายงานของ ดร.เยฟิมระบุว่า ในการทดสอบให้กลุ่มผู้ร่วมการทดสอบอายุระหว่าง 21-35 ปี นั่งทำงาน โดยมีคอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้ววางอยู่บนตัก ตามสภาพใช้งานจริง การทดสอบพบว่าภาวะดังกล่าวแม้ไม่เปิดใช้งาน อุณหภูมิก็เพิ่มขึ้น 2.1 องศาเซลเซียส ยิ่งเปิดคอมพิวเตอร์อุณหภูมิก็เพิ่มขึ้นอีก 2.8 องศาเซลเซียส ในด้านขวาและอีก 2.6 องศาทางด้านซ้าย (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 11 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





เภสัชสมาคมชูยาจากสมุนไพร ศักยภาพไทยพร้อมวิจัย-ผลิต

รศ.ดร.สุนิพนธ์ ภุมมางกูร นายกเภสัชสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยถึงแนวโน้มการค้นพบยาใหม่ว่า ประกอบด้วย 4 แนวทางด้วยกันคือ การวิจัยในกลุ่มสมุนไพรที่ประชาชนใช้ได้ผลดี นำมาสกัดสารสำคัญและทดสอบทางชีวภาพ จากนั้นสกัดสารให้บริสุทธิ์หรือนำมาหาโครงสร้างทางเคมีเพื่อพัฒนาต่อเป็นยา แนวทางที่ สองคือ การประยุกต์ใช้ประโยชน์จากยาเก่าในการรักษาโรคอื่น หรือนำมาศึกษาค้นหาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาอื่น เช่น ยาแอสไพรินซึ่งใช้บรรเทาอาการปวดแก้ไข้ ปัจจุบันพบว่า มีฤทธิ์ลดการจับตัวของเกล็ดเลือด ช่วยป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ส่วนแนวทางที่สามคือ การนำยาที่มีอยู่มารวมกันสร้างเป็นยาตำรับใหม่ขึ้นมา ซึ่งศักยภาพด้านนี้ไทยมีอยู่พอสมควร และสุดท้ายคือการนำส่งยาแบบใหม่ให้ไปถึงเป้าหมายได้อย่างจำเพาะเจาะจง ซึ่งทั่วโลกกำลังให้ความสนใจศึกษาอย่างมาก โดยเฉพาะการวิจัยในยาสำหรับรักษาโรคมะเร็ง นายกเภสัชสมาคมฯ กล่าวอีกว่า ประเทศไทยควรจะจัดตั้งสถาบันยาแห่งชาติ เพื่อเป็นศูนย์กลางวิจัยและพัฒนายาอย่างเป็นระบบครบวงจร ตั้งแต่ด้านการค้นคว้าวิจัยไปจนถึงการผลิตเชิงพาณิชย์ เนื่องจากปัจจุบันความรู้และการวิจัยด้านยาของไทยกระจัดกระจายอยู่ในหน่วยวิจัยของหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยต่างๆ สถาบันยาจะต้องมีบุคลากรหลากหลายสาขา ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีแต่เภสัชกร แต่ควรมีทั้งนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย และผู้เชี่ยวชาญด้านอื่นๆ เพื่อกำหนดแนวทางวิจัยพัฒนายา โดยมุ่งไปที่ยากลุ่มสำคัญๆ และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง โดยองค์การอาหารและยา (อย.) ควรจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งด้วย (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 11 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)





หวั่นฝรั่งงมสมบัติใต้ทะเลไทย วอนรัฐหนุนงบประมาณค้นหา

นายเอิบเปรม วัชรางกูร หัวหน้ากลุ่มวิชาการโบราณคดีใต้น้ำ สำนักโบราณคดี กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า จากการสำรวจข้อมูลซากเรือสำเภาใต้น้ำอย่างต่อเนื่อง 30 ปี ทำให้ทราบว่าเบื้องล่างของทะเลไทยหลายแห่ง มีวัตถุโบราณที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ จมอยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะเครื่องถ้วยสังคโลกล้ำค่า ในสมัยอยุธยาตอนต้น โดยกรมศิลปากรสำรวจพบแหล่งโบราณคดีใต้น้ำทั้งสิ้น 46 แห่งแล้ว ขณะนี้มีโครงการจะสำรวจเพิ่มอีก 6 แห่ง โดยเฉพาะที่บริเวณทะเลใกล้เกาะตะรุเตา เพราะเชื่อว่าเคยมีเรือบรรทุกสินค้าผ่านแล้วจมอยู่จำนวนมาก แต่เราไม่มีงบประมาณ กลัวว่าพวกฝรั่งจะใช้เรือไฮเทคมาแอบลักลอบงมหาอยากให้รัฐบาลสนับสนุนมากกว่านี้ เพราะถ้าค้นพบโบราณวัตถุแค่ชิ้นเดียว ก็จะเป็นแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมจำนวนมาก (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 11 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com





วิจัยพบเด็กกทม.อ้วนคอเลสเทอรอลสูง

รศ.พญ.ชุติมา ศิริกุลชยานนท์ หัวหน้าภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ประธานโครงการเด็กไทยดูดีมีพลานามัย แถลงผลการวิจัยเรื่อง "สัญญาณเตือนภัย เด็กไทยไขมันสูง" ว่า ได้สำรวจภาวะโภชนาการและโรคอ้วนในเด็กนักเรียนชั้น ป.1-6 จากโรงเรียนสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ 4 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนอนุบาลสามเสน โรงเรียนอนุบาลวัดนางนอง โรงเรียนอนุบาลพิบูลเวศน์ และโรงเรียนอนุบาลวัดปรินายก จำนวน 5,126 คน โดยชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง ตรวจร่างกายระหว่างวันที่ 1-8 มิถุนายน 2547 พบว่านักเรียนเป็นโรคอ้วนร้อยละ 19 น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานร้อยละ 2 น้ำหนักปกติ ร้อยละ 79 เด็กต่ำกว่า 12 ปี ความดันโลหิตไม่ควรเกิน 110/60 มิลลิเมตรปรอท ซึ่งพบว่าในกลุ่มที่เป็นโรคอ้วนร้อยละ 65 มีความดันโลหิตสูงกว่าเด็กปกติและสูงมากขึ้นตามน้ำหนักตัว ร้อยละ 30 มีความดันโลหิตสูงกว่าผู้ใหญ่ มี 1 ราย ที่ความดันโลหิตสูงถึง 170/100 มิลลิเมตรปรอท ในเกณฑ์อันตราย และต้องให้การรักษา นอกจากนี้ ผู้วิจัยได้สุ่มเลือกนักเรียนที่น้ำหนักปกติ อ้วน และน้ำหนักน้อยรวม 1,028 คน ซึ่งเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี คอเลสเทอรอลไม่ควรเกิน 170 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ พบว่า ร้อยละ 23 ระดับคอเลสเทอรอลปกติ ร้อยละ 77 ระดับคอเลสเทอรอลสูงเกิน 170 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งในกลุ่มนี้พบว่าร้อยละ 38 มีคอเลสเทอรอลระหว่าง 170-200 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ และร้อยละ 39 มีคอเลสเทอรอลมากกว่า 200 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ส่วนเด็กที่มีผิวหนังแตกลายดำเป็นปื้น เป็นสิ่งแสดงว่ามีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นเบาหวาน สำหรับพฤติกรรมบริโภคอาหารของนักเรียนส่วนใหญ่พบว่า ชอบกินไก่ทอด ไข่ทอด หมูทอด ไส้กรอก ลูกชิ้นทอด เกี้ยวทอด แฮมเบอร์เกอร์ มันฝรั่งทอด แต่บริโภคผัก ผลไม้น้อย ออกกำลังกายน้อยกว่าปกติ (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 10 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215