|
หัวข้อข่าวปีที่ 5 ฉบับที่ 52 ประจำวันที่ 2004-12-26
ข่าวการศึกษา
ปรับรูปแบบประเมิน ร.ร.นานาชาติ ราชมงคลเพิ่มบริการสมัครเรียนผ่านเน็ต อุดมศึกษาวันนี้ ต้องเลี้ยงตัวเองให้รอด ผลศึกษาPISAชี้เศรษฐกิจคุมการศึกษา อุดมศึกษาไทยถดถอยเด็กป.ตรีแย่งงานปวส.90% สกอ.โชว์ไฮเทคในงานยูนิเวอร์ซิตี้แฟร์ กฟผ.มอบ ระบบ อี-เลิร์นนิ่ง ให้เนคเทคพัฒนาต่อยอด เปิดรับน.ศ."ไทยมุสลิม"กทม. เรียนเอ็มบีเอที่มหา"ลัยมาเลย์ ศูนย์การเรียนรู้แห่งแรกในไทยเพื่อเด็กเล็กและครอบครัว อธิการบดีนัดถกแอดมิชชั่น ยุติข้อพิพากษ์ม.นอกระบบ ชูธง Benchmarking ปรับคุณภาพอุดมศึกษาเชิงรุก อธิการบดี ม.รัฐ 24 แห่ง พร้อมออกนอกระบบ "สุรพล"ชี้มธ.ศูนย์ลำปางไม่ได้แข่งกับม.ภูมิภาค ยันอีก3-4ปีเป็นแคมปัสสมบูรณ์ใช้งบฯเกือบ500ล. สกอ.เตรียมแนวทางต่ออายุราชการ รศ.-ศ.ได้รับใช้ชาติยาวถึงอายุ65ปี แนะปี 49 ให้ สกอ.ทำข้อสอบคัดแอดมิชชั่น หวั่นแบบทดสอบชาติเสร็จไม่ทันอาจป่วน
ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี
ตั้งโรงไฟฟ้าพลังขี้ไก่ใหญ่ที่สุดโลก ผลิตไฟใช้ทั้งเมืองทั้งได้ปุ๋ยปลูกพืช มช.พัฒนาแปลไทยเป็นเบรล ช่วยลดปัญหาสื่อสารคนตาบอด สสวท.ซื้อลิขสิทธิ์"ซอฟต์แวร์" "ตัวช่วย"ครูสอนคณิตศาสตร์ ลมสุริยะปะทะดางหาง ไฟเขียวแล็บ วว.ประเมินจีเอ็มพี หนุนส่งออกอาหาร นำร่องเลิกใช้สารทำลายโอโซนในโรงไฟฟ้า โนเกียติดสติ๊กเกอร์ 3 มิติ สกัดแบตฯปลอมทำบึ้ม มนุษย์จิ๋ว"ฮอบบิท" ล้วงตับสุริยจักรวาล จุฬาฯใช้กล้อง"ผ่าตัดลำไส้"แห่งแรกในอาเซียน เตรียมตั้งโรงไฟฟ้าพลังว่าวดูดเอาพลังกระแสลมบนมาใช้ ติดตั้งระบบโทรมาตรเคลื่อนที่...เตือนภัยทางน้ำทันเหตุการณ์ รื้อแผนแม่บทพัฒนาไอซีที ใช้ระบบถ่ายภาพดาวเทียมคำนวณผลผลิตภาคเกษตรล่วงหน้า 10 ข่าววิทย์เขย่าขวัญคนไทย มช.แปลไทยเป็นเบรลล์ พัฒนาซอฟต์แวร์ล่ามเพื่อคนตาบอด ส่งต้นไม้ขึ้นไปปลูกบนดาวอังคารขึ้นในที่หนาวเย็นออกซิเจนน้อย
ข่าววิจัย/พัฒนา
สูตรอาหารทิพย์ให้ชายอายุยืนอีก 5 ปี กินปลากับผักผลไม้ตบท้ายด้วยไวน์ ผักใบเขียวเข้มป้องกันลูกนัยน์ตา จากรังสีอัลตราไวโอเลตดีที่สุด ของเหลือทิ้งจากไร่นา ทำแท่งเพาะเมล็ดประหยัดต้นทุน ม.มหิดลพบสารสยบเอดส์-มะเร็ง คนไทยเจ๋งคิดค้นงานประดิษฐ์ ต่อเหล็กงานก่อสร้างขนาดใหญ่ 18 งานวิจัยเด่นส่งท้ายปีวอก สวทช.เพาะต้นไหลสตรอเบอรี่ ได้สายพันธุ์ใหม่ลดใช้สารเคมี วิทยาศาสตร์สร้างชีวิตเทียมขึ้นมีคุณสมบัติทางชีววิทยาครบถ้วน ศึกษาพบกำไลแม่เหล็กบรรเทาอาการปวดของโรคข้ออักเสบลง เด็กไทยกวาดเหรียญหุ่นยนต์นานาชาติ สเต็มเซลล์ไขมันซ่อมกะโหลก เชียงใหม่เล็งไส้เดือนกำจัดขยะ ตรวจน้ำลายหามะเร็ง เทคนิคใหม่วินิจฉัยโรคแทนเจาะเลือด อร่อยในอวกาศ เอกชนไทยรับทุน พัฒนาซอฟต์แวร์ คุมบำบัดน้ำเสีย พบมังคุดสยบมะเร็ง-เอดส์ มหิดลเล็งทำยาจากสมุนไพร วิจัยพบอันตรายคลื่นมือถือ ทำลายดีเอ็นเอ วว.คิดค้น5ผลิตภัณฑ์น้ำมันมะพร้าวบีบเย็นตั้งเป้าพัฒนายา-ส่งสปา น.ศ.สวนดุสิตคิดค้นเครื่องคั้นน้ำมะนาวเร็วจี๋ "ไบโอเทค" ลุ้น 9 สมุนไพรพิชิตหวัดนก อย.ผ่านเครื่องนวดอัลตราซาวนด์ วิจัยต่อยอดทำอุปกรณ์กายบำบัด เครื่องให้อาหารไก่อัตโนมัติ ประหยัดแรง-กันไข้หวัดนก ม.สุรนารีทุ่ม 30 ล้าน ผลิตตัวอ่อนป้อนวิจัย สกัดเปลือกต้นคริสต์มาส เยียวยาโรคข้ออักเสบ แผงโซล่าร์คมบาง เย็บติดกระเป๋าเป้ เป็นที่ชาร์จแบตฯ
ข่าวทั่วไป
วิจัยชี้เครื่องเล่นใน ร.ร.รัฐ 100% ชำรุด "ไม้ลื่น-ชิงช้า" ครองแชมป์อุบัติเหตุสูงสุด ภูฏานประกาศตั้งชาติปลอดบุหรี่ห้ามจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาสูบหมด สธ.ย้ำWHOเตือนระวัง เชื้อหวัดนกกลายพันธุ์ "กรมทรัพย์สินทางปัญญา"ตั้งเป้าปีหน้า เพิ่มยอดจดทะเบียนคุ้มครองสิทธิ 20% เยาวชนไทยถึงจุดวิกฤต!! ทีวีมอมเมา-ฉลาดน้อยลง โรคความดันโลหิตถูกหนาวจัดเสี่ยงกับเส้นเลือดหดหัวใจวาย จีนจดสิทธิบัตรสมุนไพรตอนหนู ก็ปัญหากองทัพหนูบุกนาข้าว มก.เปิดพิพิธภัณฑ์ภูมิปัญญาเกษตร ต้นปีหน้าหวังสอนคนไทย"ไม่ลืมตัว" 'พระราชวังเดิม' โบราณสถานรางวัลยูเนสโก พิชิตเสียงนอนกรนสนั่นได้แล้วใช้ใยพลาสติกดามเพดานปากไว้ อาดิดาสโชว์ชุดกีฬาตัดเย็บ 3 มิติ ครม.กลับมติยอมกฟผ.ให้ขุดสุสานหอย13ล้านปี
ข่าวการศึกษา
ปรับรูปแบบประเมิน ร.ร.นานาชาติ
คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงผลการประชุมการประเมินมาตรฐาน ร.ร.นานาชาติ เมื่อเร็วๆนี้ว่า การประเมินมาตรฐานเป็นเรื่องที่ ร.ร.นานาชาติได้รับความลำบาก เพราะมีการประเมิน 3 ระบบ คือ 1. ประเมินโดยองค์กรรับรองมาตรฐานระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเงื่อนไขของ ร.ร.นานาชาติ 2. ประเมินโดยสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) เพราะก่อนที่ ร.ร.เหล่านี้จะผ่านการรับรองจากองค์กรรับรองมาตรฐานระหว่างประเทศ จะต้องเปิดสอน 3-5 ปีก่อน ซึ่งองค์กรระหว่างประเทศมีหลักการประเมิน คือ พิจารณา ร.ร.นานาชาติว่าก่อตั้งมานานแค่ไหน ปณิธานในการเรียนการสอน แล้วส่งคนที่เคยถูกองค์กรระหว่างประเทศประเมินมาศึกษา และส่งคณะทำงานเบื้องต้นเข้ามาศึกษารายละเอียด จากนั้นถึงจะรับประเมินมาตรฐานการศึกษาให้ ซึ่งใช้เวลานานมาก ทำให้นักเรียนที่จบการศึกษาอาจยังไม่มีองค์กรรองรับ สช.จึงเข้าไปประเมินแล้ว รับรองให้ในเบื้องต้น และ 3. การประเมินและรับรองคุณภาพภายนอก จากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) คุณหญิงกษมากล่าวต่อว่า ตนจึงได้หารือกับนายสมหวัง พิธิยานุวัฒน์ ผอ.สมศ.ได้ข้อสรุปว่า ร.ร.นานาชาติที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจากองค์กรระหว่างประเทศ แล้วให้ยึดการรับรองขององค์กรระหว่างประเทศเป็นหลัก แล้วให้ สมศ. เข้าไปประเมินในแง่ของวัฒนธรรมไทยและภาษาไทยโดยต้องมีการกำหนดขอบเขตที่ชัดเจน โดยเน้นไปที่นักเรียนไทย อย่างไรก็ตาม หากองค์กรระหว่างประเทศเข้ามาประเมิน ทาง ศธ.จะขอให้มีตัวแทนจาก สช. และ สมศ.เข้าร่วมด้วย เพื่อเรียนรู้วิธีการประเมิน แล้วนำมาปรับปรุงต่อไป (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 20 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
ราชมงคลเพิ่มบริการสมัครเรียนผ่านเน็ต
ผศ.ดร.นำยุทธ สงค์ธนาพิทักษ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล (รม.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางสถาบันฯ ได้ลงนามความร่วมมือกับภาคเอกชนในการเปิดให้บริการรับสมัครบุคคลเข้าศึกษาต่อผ่านทางอินเทอร์เน็ต หรือระบบ E-Admission online ดังนั้นการรับสมัครนักศึกษาใหม่ในปี 2548 ไม่ว่าผู้สมัครจะอยู่ที่จังหวัดไหนก็สามารถเข้าไปสมัครได้โดยไม่ต้องเดินทางไปสมัครที่วิทยาเขตนั้น ๆ อีก ซึ่งปัจจุบันสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลมีวิทยาเขตทั้งหมด 35 แห่ง และคณะต่าง ๆ อีก 15 คณะทั่วประเทศ ดังนั้นการเปิดรับสมัครนักศึกษาผ่านทางอินเทอร์เน็ตดังกล่าวจะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้สมัครที่อาจจะอยู่ในจังหวัดที่ไม่มีวิทยาเขตของราชมงคลตั้งอยู่ก็จะสามารถเข้าไปสมัครศึกษาต่อได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง และผู้สมัครสามารถเลือกคณะ สาขาวิชาเรียน และวิทยาเขตที่ต้องการเข้าศึกษาต่อได้เองทั้งหมดด้วย ผู้ที่สนใจสมัครจะต้องเข้าอินเทอร์เน็ตไปที่เว็บไซต์ www.rit.ac.th แล้วเข้าไปที่หมวดหัวเรื่องสมัครผ่านเว็บไซต์ จากนั้นกรอกใบสมัคร และรายละเอียดต่าง ๆ ให้ครบ รวมทั้งเลือกคณะวิชา และเลือกวิทยาเขตที่ต้องการสมัครเข้าศึกษาต่อ ทั้งนี้ในเว็บไซต์ดังกล่าวจะมีขั้นตอนต่าง ๆ ให้ปฏิบัติอย่างชัดเจนไม่ยุ่งยากสับสนแต่อย่างใด
ผู้ที่สนใจสมัคร หรือมีปัญหาในการใช้บริการ สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ สำนักเทคโนโลยีสารสนเทศ โทร.0-2549-3084 หรือ E-mail:admission@rit.ac.th (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 20 ธ.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)
อุดมศึกษาวันนี้ ต้องเลี้ยงตัวเองให้รอด
"ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร" อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ผู้มีประสบการณ์ตรงร่วม 6 ปี หลังนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบราชการ กล่าวว่า "ความไม่รู้ค่อนข้างอันตราย ทำให้เกิดความไม่เข้าใจ ไม่เกิดปัญญา ความไม่รู้อันแรกคือ ม.นอกระบบเป็นอิสระจากการควบคุมของรัฐ อันนี้ไม่ใช่ เพราะตราบใดที่รัฐบาลยังอุดหนุน และใช้เงินภาษีของราษฎรต้องถูกตรวจสอบโดยสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เช่นเดียวกับองค์กรของรัฐทั่วๆ ไป ทุกอย่างต้องโปร่งใส ดร.กฤษณพงศ์ ฉายภาพมหาวิทยาลัยนอกระบบ ความเป็นอิสระทางวิชาการ การเปิดหลักสูตร เปิดคณะ เพิ่มภาควิชา รวมถึงการแต่งตั้งคนเข้าสู่ตำแหน่ง มหาวิทยาลัยนอกระบบมีอำนาจเบ็ดเสร็จ เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยในระบบราชการ ออกนอกระบบแล้ว มจธ.ยังได้รับเงินงบประมาณจากรัฐ แถมเม็ดเงินยังมากขึ้นกว่าเดิม เงินไม่ได้ลด แต่นักศึกษาเราเพิ่มขึ้น 6% มากว่าเม็ดเงินที่รัฐให้มา เพราะ 6-7 ปีเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ แถมรัฐบาลต้องนำเงินไปอุ้มการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี ทำให้อุดหนุนระดับอุดมศึกษาได้น้อย ซึ่งไม่ใช่เหตุผลของการปรับค่าหน่วยกิต เฉพาะมจธ.อายุ 20 ปี เรามีประเพณีปรับค่าหน่วยกิตทุกๆ 5 ปี" อธิการบดี มจธ. ระบุ อธิการบดี มจธ. ยังย้ำว่า หลักสูตรภาคปกติของมจธ.ได้รับผลกระทบน้อย เนื่องจากใช้วิธีเปิดหลักสูตรพิเศษวันเสาร์-อาทิตย์ คิดราคาในอัตราที่สูงกว่าภาคปกติ แล้วเอาเงินส่วนนี้ไปช่วยหลักสูตรปกติ เพราะงบประมาณที่รัฐให้มามันน้อยเมื่อเทียบกับสัดส่วนของนักศึกษาที่เพิ่มขึ้น ฉะนั้น คนเรียนจะต้องจ่ายเองบ้าง ในสัดส่วนระหว่างรัฐบาลกับผู้เรียนอยู่ที่ 60% ต่อ 40% "ข้อเท็จจริงมหาวิทยาลัยยิ่งเก่าแก่ รัฐยิ่งให้เงินมากถึง 80-90% ทั้งที่รัฐลงทุนก่อตั้งบางแห่ง 1,000 ล้านบาท บางแห่ง 10,000 ล้านบาท แถมมีทรัพย์สินอีกมากมายก็อยู่ได้สบาย ส่วนมจธ.ได้ 60% ก็ต้องช่วยตัวเองด้วยการบริหารจัดการเงินที่ได้รับจาก 3 ส่วนคือจากรัฐ, จากนักศึกษาและจากผลงานการวิจัย ผมเอาเงินในส่วนงานวิจัยมาบริหารจัดการทำให้ มจธ.อยู่ได้ดี มีนศเพิ่มเป็น 13,000 คน ยังมีผลงานทางวิชาการจากเดิมปีละ 200 เรื่องเพิ่มเป็น 800 เรื่อง มีการจดสิทธิบัตรเดิมปีละ 1-2 เรื่องปัจจุบันเพิ่มเป็น 15 เรื่อง ดร.กฤษณพงศ์ บอกว่า ต้องสร้างระบบเอื้อให้คนดี คนเก่งอยากทำงาน เมื่อมีระบบดีตนเชื่อว่าคนส่วนใหญ่มีศักยภาพ และต้องการทำความดี คนดีคือสมบัติที่มีค่าที่สุดขององค์กร ทำให้เกิดความร่วมมือร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียว และยังแนะนำว่าเมื่อออกนอกระบบราชการเพียงเลือกคนดี คนเก่งมาบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาล ก็จะนำมหาวิทยาลัยรุ่งโรจน์ได้ และมุ่งสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ จากนั้นก็นำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับบ้านเมือง ไม่ว่ามหาวิทยาลัยของรัฐหรือเอกชนอนาคตต้องสร้างงานวิจัย ทำของดีให้ประเทศ คนจบมหาวิทยาลัยควรเหมือนหัวรถจักร แต่แข่งขันระดับโลกได้ (คมชัดลึก จันทร์ที่ 20 ธ.ค. 47 http://www.komchadluek.net)
ผลศึกษาPISAชี้เศรษฐกิจคุมการศึกษา
นายพิศาล สร้อยธุหร่ำ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.) เปิดเผยว่า จากที่ประเทศไทยได้เข้าร่วมในโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ OECD / PISA (Programme for International Student Assessment) กับกลุ่มประเทศสมาชิก OECD (Organisation for Economic Cooperation and Development) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจมั่นคง เพื่อศึกษาถึงสมรรถนะในด้านต่างๆ ของนักเรียน อันจะชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของอำนาจในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งได้เก็บข้อมูลไปครั้งหนึ่งแล้วเมื่อปี ค.ศ.2000 กระทั่งในปี ค.ศ.2003 ที่ผ่านมาได้มีการเก็บข้อมูลอีกครั้งจากกลุ่มนักเรียนอายุ 15 ปี จำนวน 275,000 คน ใน 41 ประเทศ โดยผลปรากฏว่าประเทศที่นักเรียนแสดงสมรรถนะอยู่ในกลุ่มที่มีคะแนนสูงสุดในเอเชีย ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง ส่วนประเทศที่นักเรียนแสดงสมรรถนะอยู่ในกลุ่มที่มีคะแนนต่ำ ได้แก่ อินโดนีเซีย ตูนิเซีย บราซิล เม็กซิโก รวมถึงประเทศไทยด้วย ภาพรวมจากข้อมูลยังชี้ชัดว่า เศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดคุณภาพของการศึกษา ประเทศที่ร่ำรวยกว่า ครูได้ค่าจ้างสูงกว่า แสดงแนวโน้มว่านักเรียนมีผลการเรียนรู้ที่ดีกว่าประเทศยากจน ในขณะที่ประเทศที่มีค่าใช้จ่ายทางการศึกษาต่ำ ครูมีค่าจ้างต่ำ พบว่าไม่มีประเทศใดแสดงแนวโน้มที่มีคะแนนสูงกว่าค่าเฉลี่ยของ OECD เช่น เม็กซิโก บราซิล อุรุกวัย เซอร์เบีย อินโดนีเซีย ตุรกี และประเทศไทย ปัจจัยด้านทรัพยากรโรงเรียนก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดความแตกต่าง โดยประเทศที่ความแตกต่างระหว่างโรงเรียนมีน้อย ซึ่งเป็นการประกันได้ว่าพ่อแม่สามารถส่งลูกไปเข้าเรียนในโรงเรียนใดก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเลือกมากนัก ได้แก่ แคนาดา เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์ ส่วนประเทศที่ความแตกต่างระหว่างโรงเรียนมีค่าสูง ได้แก่ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ ตุรกี และประเทศไทย ซึ่งหมายถึงความยากลำบากของพ่อแม่ในการหาโรงเรียนให้ลูก อันเกี่ยวเนื่องไปถึงความไม่เท่าเทียมกันในทางเศรษฐกิจและสังคม (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 20 ธ.ค. 47 http://www.matichon.co.th)
อุดมศึกษาไทยถดถอยเด็กป.ตรีแย่งงานปวส.90%
ศ.พิเศษ ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สภาวะการศึกษาของประเทศกำลังขาดกำลังคนที่จบการศึกษาด้านเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์เป็นจำนวนมาก เมื่อเปรียบเทียบดูแล้วจำนวนการผลิตบัณฑิตสาขาเทคโนโลยีที่เหมาะสม ควรอยู่ที่ประมาณร้อยละ 40 ของจำนวนบัณฑิตที่ผลิตออกมาทั้งหมด และด้านวิทยาศาสตร์ประมาณร้อยละ 60 แต่กลับพบว่า ปัจจุบันสามารถผลิตบัณฑิตทั้ง 2 สาขารวมแล้วได้เพียงร้อยละ 30 เท่านั้น โดยสาขาที่มีการผลิตค่อนข้างมาก ก็คือ ประเภทสังคมศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์ ขณะเดียวกันยังพบปัญหาว่า ผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี โดยเฉพาะในต่างจังหวัดลงไปสมัครงานที่กำหนดรับวุฒิการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) พบว่า อัตราของการรับเข้าทำงานที่กำหนดวุฒิ ปวส.แต่รับผู้ที่จบระดับปริญญาตรีเข้าทำงานมีสูงถึงร้อยละ 80-90 โดยเฉพาะสาขาด้านการบริหารธุรกิจ ซึ่งสถานประกอบการรับผู้ที่จบระดับ ปวส.เข้าทำงานจริงเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้น สำหรับสาเหตุที่เป็นเช่นนี้คิดว่า อาจจะเป็นเพราะในช่วงที่ผ่านมา งานหายาก และพอมีการเปิดรับสมัครงานที่กำหนดวุฒิระดับนั้นขึ้นมา จึงทำให้แห่เข้าไปสมัครกันมาก ประกอบกับการผลิตบัณฑิตที่ไม่ตรงกับความต้องการของประเทศ ทำให้เกิดการแย่งกันเข้าทำงาน ดังนั้น ไทยจึงควรวางกรอบการผลิตบัณฑิตที่ชัดเจน (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 21 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
สกอ.โชว์ไฮเทคในงานยูนิเวอร์ซิตี้แฟร์
สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) โชว์นวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์สุดไฮเทค ผลงานวิจัยของอาจารย์ และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ในงานมหกรรมอุดมศึกษา ครั้งที่ 1 หรือยูนิเวอร์ซิตี้ แฟร์ 2005 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12- 15 มกราคม 2548 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เป็นงานนิทรรศการแนะแนวหลักสูตร การศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา และงานสัมมนาวิชาการรวมทั้งจัดแสดงผลงาน นวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์สุดไฮเทค โดยใช้ชื่อว่า "ตลาดนวัตกรรม" (อินโนเวชั่น มาร์เก็ต) เปิดโอกาสให้ทางสถาบันการศึกษา และมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ นำผลงานนวัตกรรมหรือสิ่งประดิษฐ์ ทางด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัยน่าสนใจ ของอาจารย์และนักศึกษามาจัดแสดง และสาธิตการใช้งานให้ผู้เข้าร่วมงานได้ชม ซึ่งการจัดงานครั้งนี้ นักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไปที่สนใจสามารถเข้าชมงานได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น สำหรับผลงานที่นำมาจัดแสดง ในส่วนตลาดนวัตกรรม จะแบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มเทคโนโลยีเกี่ยวกับหุ่นยนต์ และซอฟต์แวร์ 2. กลุ่มเทคโนโลยีเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการเกษตร 3. กลุ่มเทคโนโลยีทางการแพทย์ 4. กลุ่มเทคโนโลยีเกี่ยวกับอุตสาหกรรม 5. กลุ่มเทคโนโลยีเกี่ยวกับวิสาหกิจชุมชน และ 6. กลุ่มรางวัลนวตกรรมแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 4 โดยสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย สำหรับตัวอย่างผลงานที่จะนำไปจัดแสดงในวันงานที่น่าสนใจ ได้แก่ ดาวเทียมไทพัฒ 2 และอากาศยานไร้นักบิน ผลงานการออกแบบและพัฒนาโดยอาจารย์ และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร (ไทยรัฐ 22 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
กฟผ.มอบ ระบบ อี-เลิร์นนิ่ง ให้เนคเทคพัฒนาต่อยอด
นายณรงค์ศักดิ์ วิเชษฐ์พันธุ์ รองผู้ว่าการอาวุโสกลุ่มพัฒนา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. กล่าวว่า จากที่ กฟผ. ได้พัฒนาระบบการเรียนรู้ทางสื่ออิเล็คทรอนิกส์ หรือ อี-เลิร์นนิ่ง การเพิ่มบุคลากรทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคตั้งแต่ปี 2545 และได้ผ่านการอบรมจากสื่อดังกล่าวไปแล้วจำนวน 1,355 คน โดยเนื้อหาที่ กฟผ.นำมาเปิดสอน อาทิ หลักสูตรด้านเทคนิค คอมพิวเตอร์ และภาษาอังกฤษ เป็นต้น นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า หลักสูตรทั้งหมดที่เปิดสอนรวมแล้วกว่า 40 หลักสูตร โดยระบบทั้งหมดนี้ได้พัฒนาขึ้นมาบนระบบปฏิบัติการแบบเปิด หรือ โอเพนซอร์ส ทำให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่าย นอกจากนี้หน่วยงานอื่นๆสามารถนำซอร์สโค้ด ไปพัฒนาต่อยอดได้อย่างเสรี เนื่องจาก กฟผ. มีแนวทางสนับสนุนการประหยัดค่าใช้จ่ายในการอบรมบุคลากร และสนับสนุนการถ่ายทอดการเรียนรู้แบบมีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง กฟผ. จึงมอบระบบนี้ให้เนคเทคนำไปพัฒนาให้เป็นประโยชน์ต่อไป ด้าน ดร. ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็คทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค กล่าวว่า ที่มาของโครงการนี้ มาจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่น ในโครงการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา (ITEd) ประกอบด้วย กระทรวงศึกษาธิการ เนคเทค และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ไอที ในการพัฒนาหลักสูตรการเรียน การสอนให้มีประสิทธิภาพ และเพื่อฝึกอบรมครูและประชาชนในท้องถิ่นได้พร้อม รับอุปกรณ์สื่อสารสอนแบบใหม่ ทำให้ความสำเร็จดังกล่าวเป็นรูปธรรม ระบบการเรียนรู้ทางสื่ออิเล็คทรอนิกส์ (e - Learning System) ที่ กฟผ. พัฒนาขึ้นนี้ มีความสอดคล้องกับมาตรฐาน SCROM (Sharable Content Object Reference Model) เป็นมาตรฐานการแลกเปลี่ยนความรู้ที่ถูกกำหนดโดย Advanced Distributed Learning Initiative ขณะนี้อยู่ที่รุ่น SCROM 2004 เป็นการพัฒนาบนลิขสิทธิ์แบบ GNU (General Public License) สามารถทำงานบนระบบปฏิบัติการเปิด หรือ ลีนุกซ์ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาด้านลิขสิทธิ์ (ไทยรัฐ 22 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
เปิดรับน.ศ."ไทยมุสลิม"กทม. เรียนเอ็มบีเอที่มหา"ลัยมาเลย์
นายสมัย เจริญช่าง กรรมการอิสลามกลางประจำกรุงเทพมหานคร(กทม.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ทางมหาวิทยาลัยอุตาลา มาเลเซีย(ยูยูเอ็ม) รัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย ห่างจากชายแดนไทยประมาณ 20 กิโลเมตร ได้มีหนังสือมาถึงตนเพื่อขอประสานงานประชาสัมพันธ์เชิญชวนนักศึกษาไทยไปเรียนในมหาวิทยาลัยยูยูเอ็มให้มากขึ้น โดยขณะนี้มีนักศึกษาไทยเรียนอยู่ 130 คน ซึ่งไม่มากนัก ทางยูยูเอ็มอยากมีส่วนช่วยพัฒนาทรัพยากรทางการศึกษาของไทย และต้องการสนับสนุนให้นักศึกษาไทย-มุสลิมมีความรอบรู้และลึกซึ้งในงานที่ขาดแคลน เช่น การดำเนินกิจการของธนาคารอิสลาม โดยยูยูเอ็มเน้นการสอนไอที บริหารธุรกิจ และบัญชี เพื่อเตรียมคนเป็นนักธุรกิจ ส่วนวิธีการคัดเลือกนักศึกษาคงต้องพูดคุยในรายละเอียดต่อไป ที่สำคัญต้องเตรียมพร้อมนักศึกษาอย่างเข้มข้น เพราะที่ยูยูเอ็มใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอน กรรมการอิสลามกลางประจำ กทม.ได้ประกาศให้ปี 2548 เป็นปีส่งเสริมพัฒนาคุณภาพและคุณธรรมเยาวชนมุสลิมใน กทม. เพื่อดึงเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้หันมาสนใจการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น และแก้ไขปัญหายาเสพติด อบายมุข ส่งเสริมให้จัดตั้งคณะอนุกรรมการยุวชนประจำมัสยิด รวมทั้งจะรณรงค์จัดตั้งห้องสมุดประจำมัสยิด ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่มี (มติชนรายวัน พุธที่ 22 ธ.ค. 47 http://www.matichon.co.th)
ศูนย์การเรียนรู้แห่งแรกในไทยเพื่อเด็กเล็กและครอบครัว
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็น ผู้แทนพระองค์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ประกอบพิธีเปิด อาคาร ยูนิลีเวอร์ แฟมิลี่ เลิร์นนิ่ง เซ็นเตอร์ ศูนย์การเรียนรู้เพื่อเด็กเล็ก และครอบครัวแห่งแรก ของประเทศไทย ที่เน้นการพัฒนาทักษะ และปลูกฝังให้เด็กเล็ก รักการเรียนรู้ด้วยตนเอง พร้อมส่งเสริมความสัมพันธ์ ระหว่างคนในครอบครัว เพื่อสร้างสังคมที่แข็งแกร่งต่อไปในอนาคต "อาคารยูนิลีเวอร์ แฟมิลี่ เลิร์นนิ่ง เซ็นเตอร์" ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับ พิพิธภัณฑ์เด็ก สวนจตุจักร มีพื้นที่ใช้สอยทั้งหมด 3,444 ตารางเมตร ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 50 ล้านบาท โดยบริษัทยูนิลีเวอร์ (ประเทศไทย) ได้ดำเนินการก่อสร้างขึ้น เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นหนึ่ง ในโครงการ เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมายุครบ 72 พรรษา ในปีนี้ และฉลองครบรอบ 72 ปี การดำเนินงานในประเทศไทยของบริษัทยูนิลีเวอร์อีกด้วย (ไทยรัฐ 22 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
อธิการบดีนัดถกแอดมิชชั่น ยุติข้อพิพากษ์ม.นอกระบบ
ศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 22 ธ.ค.นี้ จะมีการประชุมที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) โดยจะได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบเกี่ยวกับเรื่องความคืบหน้าของระบบกลางการรับนักศึกษา หรือแอดมิชชั่นว่าได้เตรียมการไปถึงขั้นใดแล้วบ้าง และโครงการนำร่องที่ทำในปีนี้ได้ดำเนินการไปอย่างไรบ้าง พร้อมทั้งจะหารือถึงนโยบายของแต่ละมหาวิทยาลัยว่าในปีการศึกษา 2549 นั้น แต่ละมหาวิทยาลัยจะใช้ระบบแอดมิชชั่นในทิศทางใด ซึ่งคิดว่าน่าจะได้ข้อยุติเชิงนโยบาย และหลังจากนั้นจะดำเนินการในเชิงขั้นปฏิบัติการต่อไป อย่างไรก็ ตามขณะนี้มีสถานการณ์เรื่องของการรับตรงด้วยก็คงต้องมีการทบทวนด้วยว่าเรื่องรับตรงที่ทำ อยู่ตรงนี้จะเอาอย่างไร และความจริงแล้วมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่รับตรงก็เกิดกระแสสังคมให้เกิดความวุ่นวายพอสมควร นอกจากนี้ในเรื่องของ พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยกำกับของรัฐก็จะมีการหารือกันด้วย โดยจะเป็นการทบทวนในเรื่องนี้ให้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งอาจจะไม่ได้พูดให้ยกเลิกเหมือนที่ น.พ.พิศิษฐ์ โจทย์กิ่ง ประธานที่ประชุมประธานสภาอาจารย์แห่งประเทศไทย (ปอมท.) พูด ซึ่งในเรื่องนี้ทางอธิการบดี ก็ยังเดินหน้าอยู่ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บางคนก็บอกว่าเรื่องนี้อย่าพูดว่า ในเมื่อไม่ใช่เสียงความคิดเห็นส่วนใหญ่จาก ปอมท.ก็ไม่ควรระบุว่าเป็นความเห็นของ ปอมท.เพราะเกรงว่าจะสร้างความเสียหายให้กับ ปอมท.ได้ (สยามรัฐ พุธที่ 22 ธ.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)
ชูธง Benchmarking ปรับคุณภาพอุดมศึกษาเชิงรุก
ที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินภาพการศึกษา (สมศ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ให้ความสำคัญ มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมกันมานาน แต่เหมือนจะไม่บรรลุเป้าประสงค์เสียที แม้สถานการณ์จะดีขึ้นบ้าง แต่ในหลายส่วนก็ยังไม่บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ล่าสุดจากผลจัดอันดับการศึกษาของยูเนสโกระบุไทยอยู่ในอันดับที่ 60 จาก 130 ประเทศ และปัญหาที่น่าหนักใจคือเรื่องคุณภาพอาจารย์ ทาง สกอ.วางนโยบายการพัฒนาคุณภาพเชิงรุก จัดนำร่องโครงการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพสถาบันอุดมศึกษาไทยด้วยกระบวนการเทียบเคียงสมรรถนะ (Benchmarking) ตั้งแต่ปี 2545 เริ่มต้นใน 3 สาขาวิชา คือแพทยศาสตร์ พยาบาลศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ได้รับความร่วมมือจาก 6 มหาวิทยาลัย คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ม.ขอนแก่น ม.เชียงใหม่ ม.ธรรมศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ ม.มหิดล โดยเกณฑ์ที่นำมาใช้ประเมินคุณภาพนั้น ทาง สกอ.ได้จัดแปลจากเกณฑ์รายละเอียดการให้รางวัลคุณภาพแห่งชาติ มัลคัล์มบัลดริจของสหรัฐอเมริกา ที่กำหนดเกณฑ์และค่าคะแนนการประเมินคุณภาพ 7 ด้าน รวม 1,000 คะแนน ดังนี้ 1.ภาวะผู้นำ 120 คะแนน 2.การวางแผนเชิงกลยุทธ์ 85 คะแนน 3.การมุ่งเน้นผู้เรียน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และตลาด 85 คะแนน แบ่งเป็น ความรู้เกี่ยวกับผู้เรียน ผู้มีส่วนได้ส่วนได้ส่วนเสีย และตลาด 40 คะแนน 4.การวัดผล การวิเคราะห์ และการจัดการความรู้ 90 คะแนน 5.การมุ่งเน้นคณาจารย์และบุคลากร 85 คะแนน 6.การจัดการกระบวนการ 85 คะแนน 7.ผลลัพธ์ด้านผลการดำเนินงานขององค์กร 450 ข้อดีของการทำเบนช์มาร์กกิ้งคือ ทำให้รู้เค้ารู้เรา ผู้บริหารองค์กรยอมรับการเปลี่ยนแปลง บุคลากรมีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง มีการทำงานอย่างเป็นระบบ และยังเป็นการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพการศึกษาทั้งขององค์กร (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 23 ธ.ค. 47 http://www.komchadluek.net)
อธิการบดี ม.รัฐ 24 แห่ง พร้อมออกนอกระบบ
ศ.(พิเศษ) ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า ในการประชุมที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม จะมีการหารือเรื่อง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ และขอยืนยันว่าอธิการบดีมหาวิทยาลัยรัฐทั้ง 24 แห่ง ยังมีความตั้งใจจะเดินหน้าออกนอกระบบราชการ ส่วนที่มีข่าวว่าที่ประชุมสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ปอมท.) คัดค้านการออกนอกระบบนั้น เรื่องนี้ขอย้ำว่าเป็นความเห็นของบางคนเท่านั้น ไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ของปอมท. และ ปอมท.ก็มีความเป็นห่วงว่าเรื่องดังกล่าวจะทำให้ฐานะของ ปอมท.เสียหายได้ ในที่ประชุมจะมีการรายงานให้อธิการบดีมหาวิทยาลัยรัฐทราบถึงเรื่องระบบกลางการรับนิสิต นักศึกษา (แอดมิชชั่นส์) ว่า สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้เตรียมการไปถึงไหนแล้ว และโครงการนำร่องในปีนี้จะมีข้อมูลอย่างไรบ้าง อย่างไรก็ตาม เท่าที่รับฟังความเห็นกึ่งหนึ่งของ ปอทม.ระบุว่า ระบบแอดมิชชั่นส์น่าจะได้ข้อสรุปเชิงนโยบาย แต่ในรายละเอียดจะต้องทำเชิงปฏิบัติการหลายวัน และจะมีการทบทวนบางจุด รวมทั้งระบบการรับตรงด้วย นอกจากนี้ ยังหารือถึงนโยบายระดับสูงสุดสำหรับปีการศึกษา 2549 เพื่อหาข้อยุติในด้านนโยบาย (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 23 ธ.ค. 47 http://www.komchadluek.net)
"สุรพล"ชี้มธ.ศูนย์ลำปางไม่ได้แข่งกับม.ภูมิภาค ยันอีก3-4ปีเป็นแคมปัสสมบูรณ์ใช้งบฯเกือบ500ล.
นายสุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าในการพัฒนา มธ.ศูนย์ลำปาง ว่า การตั้งศูนย์แห่งนี้นับเป็นการตอบสนองปรัชญาการตั้ง มธ.ของอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ที่ต้องการให้โอกาสทางการศึกษาแก่ทุกคนให้มากที่สุด และแม้ว่าปัจจุบัน มธ.จะเป็นมหาวิทยาลัยปิดที่มีข้อจำกัดในการรับนักศึกษา แต่ทางวิทยาลัยยังคงรักษาปรัชญานี้ไว้ด้วยการขยายโอกาสให้คนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลได้มีโอกาสได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพมาตรฐานโดยการเปิดวิทยาเขตที่เน้นคุณภาพไม่ใช่ปริมาณ ภายใน 5 ปี ศูนย์ลำปางจะต้องเป็นมหาวิทยาลัยที่ได้รับการยอมรับจากนักเรียนและครูจารย์ในเขตพื้นที่ภาคเหนือไม่น้อยไปกว่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) และจะพัฒนาเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำในภาคเหนือและภูมิภาคลุ่มน้ำโขงให้ได้ การมาตั้งมหาวิทยาลัยที่ลำปางไม่ได้เป็นการมาแข่งขันกับมหาวิทยาลัยในภูมิภาคที่ตั้งอยู่ก่อนแต่มาเพื่อขยายโอกาสทางการศึกษาในพื้นที่ที่เชื่อกันว่าด้อยโอกาสกว่าเด็กในเมือง เรียกได้ว่ามาช่วยกันสร้างบุคลากรทีมีคุณภาพให้กับประเทศ ภายใน 3-4 ปี ศูนย์ลำปางจะเป็นแคมปัสที่มีอาคารเรียน อาคารฝึกงาน อาคารกิจกรรม หอพักนักศึกษา บ้านพักอาจารย์ และสาธารณูปโภคอย่างสมบูรณ์ ภายใต้งบประมาณที่เสนอไป 480 ล้านบาท คณะผู้บริหาร มธ.มีมติร่วมกันว่าจะเปิดสอนวิทยาเขตเฉพาะในแคมปัสของตัวเองเท่านั้น เพราะการเรียนการสอนระดับปริญญาตรีที่ดีจะเกิดขึ้นได้จำเป็นต้องมีเมื่อสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแสวงหาความรู้ จะมีการเปิดสาขาหัตถอุตสาหกรรมศิลป์ ปี 2549 สถาบันเทคโนโลยีสิรินธรจะเปิดปริญญาโทบริหารอุตสาหกรรม และ 2550 จะมาเปิดนิติศาสตร์ ด้านนายเผ่าทอง ทองเจือ คณะบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ กล่าวว่า ปีการศึกษา 2548 จะเปิดรับนักศึกษาสาขาหัตถอุตสาหกรรมศิลป์ซึ่งจะเน้นไปที่การออกแบบเซรามิก ซึ่งรับรองว่าจะไม่เป็นการแย่งงานชาวบ้านแน่นอนแต่จะเน้นทำตลาดเรื่องการดีไซน์ อย่างเช่น นำเซรามิก นำกระเบื้องมาเป็นเส้นใยในการทอผ้าดังที่นักศึกษาสาขาการออกแบบภัสตราภรณ์ที่ศุนย์รังสิตได้ทำมาแล้ว และมั่นใจว่านักศึกษาที่เรียนที่นี่จะมีงานทำทุกคน อีก 4 ปีรับรองว่าจะต้องศิลปินล้านนาที่มีความสามารถในการออกแบบที่จบคณะศิลปกรรมจากศูนย์ลำปางแน่นอน แล้วคาดว่าถ้าได้รับความสนใจจากนักเรียนก็อาจจะขยายการรับจาก 40 คน เป็น 80 คนในปีการศึกษาต่อๆ ไป (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 23 ธ.ค. 47 http://www.matichon.co.th)
สกอ.เตรียมแนวทางต่ออายุราชการ รศ.-ศ.ได้รับใช้ชาติยาวถึงอายุ65ปี
ศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิชทองโรจน์เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.)เปิดเผยว่าเมื่อพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาพ.ศ.2547ได้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายแล้วมีหลายเรื่องที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.)ต้องเร่งดำเนินการตามพ.ร.บ.ดังกล่าวโดยเฉพาะเรื่องการให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาซึ่งมีตำแหน่งทางวิชาการตั้งแต่ระดับรองศาสตราจารย์(รศ.)ขึ้นไปเมื่ออายุครบ60ปีแล้วสามารถต่ออายุราชการเพื่อทำหน้าที่สอนหรือวิจัยต่อไปได้จนอายุครบ65ปีแต่ทั้งนี้ข้าราชการที่สามารถขอต่อเวลาราชการได้ต้องมีคุณสมบัติเป็นไปตามที่กำหนดอาทิเป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่งรศ.หรือศาสตราจารย์(ศ.)และเป็นผู้เกษียณอายุราชการตั้งแต่วันที่1ตุลาคม2546เป็นต้นไปมีสุขภาพแข็งแรงผ่านการตรวจสุขภาพกายสุขภาพจิตโดยมีใบรับรองแพทย์ และจะต้องมีภาระงานทางวิชาการตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัยอุดมศึกษา(ก.ม.)กำหนดเช่นผู้ที่ดำรงตำแหน่งระดับศาสตราจารย์ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานภาระงานขั้นต่ำในฐานะอาจารย์ผู้สอนในมหาวิทยาลัยมีบทความทางวิชาการที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการปีละ3เรื่องหรือบทความจากผลงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการระดับชาติหรือผลงานในลักษณะอื่นที่เทียบเท่าปีละ2เรื่องส่วนผู้ดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์จะต้องมีผลงานลดหลั่นลงมาคือปฏิบัติตามมาตรฐานภาระงานขั้นต่ำในฐานะอาจารย์ผู้สอนในมหาวิทยาลัยและมีบทความวิชาการที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการปีละ2เรื่องหรือบทความจากผลงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการหรือผลงานในลักษณะอื่นที่เทียบเท่าปีละ1เรื่องเป็นต้น ข้าราชการที่จะขอต่ออายุราชการจะต้องยื่นขอต่ออายุราชการต่อผู้บังคับบัญชาแต่ทั้งนี้หากผู้ที่เกษียณคนใดไม่ได้ยื่นขอต่อเวลาราชการแต่ทางสภามหาวิทยาลัยพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นผู้มีความสามารถและมีสุขภาพแข็งแรงทางสภามหาวิทยาลัยก็อาจจะต่อเวลาให้ได้แต่ผู้ที่เกษียณจะต้องให้ความยินยอมด้วย (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 24 ธ.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)
แนะปี 49 ให้ สกอ.ทำข้อสอบคัดแอดมิชชั่น หวั่นแบบทดสอบชาติเสร็จไม่ทันอาจป่วน
นางอุทุมพร จามรมาน ประธานอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นระบบ กลางการรับนิสิตนักศึกษา หรือระบบแอดมิชชั่น ของที่ประชุมอธิการบดีแห่ง- ประเทศไทย (ทปอ.) เปิดเผยผลการประชุมการเตรียมการใช้ระบบแอดมิชชั่น ว่า เมื่อเร็วๆนี้ที่ประชุมได้ข้อสรุปว่าจะใช้องค์ประกอบ 3 ส่วน สำหรับปี 2549 คือ 1. คะแนนสะสมตลอดหลักสูตรมัธยมปลาย (GPAX) 5 ภาคการศึกษา ซึ่งมหาวิทยาลัยจะกำหนดให้เป็นเงื่อนไขการสมัคร หรือกำหนดเป็นสัดส่วนในการพิจารณา สัดส่วน 10% ตามที่ ทปอ.เคยมีมติมาก่อนหน้านี้ 2. ผลคะแนนเฉลี่ยรายกลุ่มสาระวิชา (GPA) โดยสัดส่วนระหว่าง GPAX และ GPA ไม่เกิน 50% และ 3. ให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จัดสอบวิชา 5 รายวิชา ได้แก่ วิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสังคมศึกษาและมนุษยศาสตร์ โดยให้ผู้สมัครเลือกสอบ 3 วิชา สัดส่วน 50% หลังจากนี้ จะมีการประชุมอีกครั้งในเดือน ม.ค.2548 เพื่อให้มหาวิทยาลัยที่จัดการเรียนการสอนในคณะเดียวกันร่วมกันหารือ เพื่อกำหนดองค์ประกอบที่จะใช้ร่วมกัน และจะทำหนังสือถึงอธิการบดี คณบดี ของทุกมหาวิทยาลัย ให้กำหนดองค์ประกอบแต่ละคณะ และแจ้งกลับอนุกรรมการฯ ภายในวันที่ 30 ม.ค.สำหรับปี 2549 ซึ่งจะมีการใช้ระบบแอดมิชชั่นเป็นปีแรก ที่ประชุมเห็นว่าเนื่องจากยังมีความไม่แน่ใจว่า สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ จะจัดตั้งแล้วเสร็จและดำเนินการจัดสร้างแบบทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ หรือ (NET) เสร็จทันหรือไม่ จึงเห็นว่าในปี 49 จะยังไม่ใช้ผลการสอบแบบทดสอบการศึกษาระดับชาติ ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวตนได้รายงานด้วยวาจากับ นายประเสริฐ ชิตพงษ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ว่าที่ประธาน ทปอ.คนใหม่ ให้รับทราบและได้รับความเห็นชอบแล้ว หลังจากนี้ ตนจะทำรายงานอย่างเป็นทางการต่อ ทปอ. ส่วนปี 2550 หากสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ มีความพร้อมก็จะนำผลสอบดังกล่าวมาใช้ ด้านนายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่า ข้อเสนอของนางอุทุมพร ยังไม่ใช่ข้อสรุป เพราะถือเป็นหน้าที่ของ สกอ.ที่จะต้องจัดตั้งสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติให้ทัน และหากไม่ทันจริงๆ ก็สามารถตั้งคณะทำงานขึ้นมา เพื่อสร้างแบบทดสอบการศึกษาระดับชาติก่อนได้ ไม่อยากให้ นางอุทุมพร กังวลหรือด่วนสรุป เพราะจะทำให้สังคมเกิดความสับสน. (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 25 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี
ตั้งโรงไฟฟ้าพลังขี้ไก่ใหญ่ที่สุดโลก ผลิตไฟใช้ทั้งเมืองทั้งได้ปุ๋ยปลูกพืช
บริษัทในรัฐมินเนโซตาได้ก่อตั้งโรงไฟฟ้าซึ่งจะใช้ขี้ไก่งวงเป็นเชื้อเพลิงเสร็จเรียบร้อยแล้ว สามารถกำเนิดไฟฟ้าได้ปริมาณ 55 เมกะวัตต์ โดยไม่ก่อมลพิษใดๆ จ่ายให้กับบ้านเรือนได้ถึง 55,000 หลังคาเรือน เหตุที่เลือกใช้ขี้ไก่งวง เพราะเหตุว่ามันให้ความร้อนได้ดีกว่าขี้หมูและขี้วัว ขี้เป็ดขี้ไก่จะแห้งร่วนกว่า ดังนั้น จึงเผาไหม้ได้ดีกว่า โรงงานต้องใช้ขี้ไก่ทั้งหมดปีละ 700,000 ตัน และมันจะทิ้งเถ้าถ่านซึ่งจะกลายเป็นปุ๋ยออกมา และการที่มันได้ดูดเอาฟอสฟอรัสและไนเตรตที่มีอยู่ในขี้ไก่ออกไป ไม่ปล่อยให้เล็ดลอดซึมลงไปในแหล่งน้ำประปา ยังเป็นการช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติ การตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานขี้ไก่ก็ต้อง ใช้งบในการก่อสร้างถึงประมาณ 8,080 ล้านบาท เป็นโรงไฟฟ้าพลังขี้เป็ดขี้ไก่ใหญ่ที่สุดในโลก(ไทยรัฐ จันทร์ที่ 20 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
มช.พัฒนาแปลไทยเป็นเบรล ช่วยลดปัญหาสื่อสารคนตาบอด
ดร.รัฐสิท สุขะหุต หัวหน้าโครงการพัฒนาโปรแกรมแปลภาษาไทยเป็นอักษรเบรล โดยแสดงผลทางอุปกรณ์แสดงอักษรเบรล ภาควิชาคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า เพื่อศึกษาแนวทางและการค้นคว้าการแก้ปัญหาการแปลภาษาไทยให้เป็นภาษาเบรล ใช้หลักการประมวลผลตามหลักภาษาตามธรรมชาติ เช่น การตัดคำ วิเคราะห์สระ และบริบทของคำ อาศัยโครงสร้างทางไวยากรณ์ ก่อนจะนำไปสู่ขบวนการแปลภาษา ผลจากการดำเนินการเรื่องนี้นำไปสู่การพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถแสดงผลการแปลอักษรเบรลบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือโดยเครื่องพิมพ์อักษรเบรลได้ กระบวนการตัดคำภาษาไทยเพื่อให้ออกมาเป็นภาษาอักษรเบรล เช่น การเปรียบเทียบอักษรทีละคำในพจนานุกรม โดยจะเลือกเอาคำที่มีขอบเขตยาวที่สุด จากนั้นก็จะวนรับอักขระตัวใหม่จากข้อความ เมื่อได้คำตรงกับพจนานุกรมแล้ว ก็จะใส่ช่องว่างระหว่างคำที่ได้ตัดคำแล้ว เพื่อแยกให้เห็นเป็นคำๆ จากนั้นก็แสดงผลลัพธ์ของการตัดคำผ่านหน้าจอ จากนั้นก็ถอดสระและแปลอักษรไทยเป็นอักษรเบรลต่อไป วิธีการแบบนี้ทำให้การแปลภาษาไทยเป็นอักษรเบรลง่ายและถูกต้องมากยิ่งขึ้น (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 20 ธ.ค. 47 http://www.matichon.co.th)
สสวท.ซื้อลิขสิทธิ์"ซอฟต์แวร์" "ตัวช่วย"ครูสอนคณิตศาสตร์
โรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์ปาร์ค สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้ลงนามในพิธีจัดซื้อลิขสิทธิ์การแปลภาษาไทยและการใช้ซอฟต์แวร์ The Geometer"s Sketchpad Version4.0 (GSP) กับบริษัท คีย์ เคอริเคอลัม เพรส (Key Curriculum Press) ซึ่งทำซอฟต์แวร์เกี่ยวกับการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยทุ่มทุนไปกว่า 25 ล้านบาท ผู้ร่วมลงนามในพิธีดังกล่าว ประกอบด้วย ดร.พิศาล สร้อยธุหร่ำ ผู้อำนวยการสสวท. ดร.พรพรรณ ไวทยางกูร ผู้ช่วยผอ.สสวท. นายสตีฟ รัสมัสเซน ประธานบริษัทคีย์ เคอริเคอลัม เพรส ประเทศอเมริกา และสาธิตการใช้โปรแกรมดังกล่าว การจัดซื้อลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ GSP มีระยะเวลา 5 ปี เป็นซอฟต์แวร์สำเร็จรูปที่ใช้ในการเรียนคณิตศาสตร์ ทำได้ 3 มิติ เป็นแอนิเมชั่น ภาพเคลื่อนไหว ซึ่งครูสามารถใช้สอนโดยถ่ายผ่านโปรเจ็กเตอร์ให้นักเรียนได้ฟังและเห็น ดร.พิศาล บอกด้วยว่า จากการวิจัยพบว่าเด็กไทยอ่อนวิชาคณิตศาสตร์ซึ่งเป็นต้นกำเนิดที่จะต่อยอดไปได้หลายวิชา ซอฟต์แวร์ตัวนี้จะมาช่วยการเรียนการสอนให้กับครูถ่ายทอดไปลูกศิษย์ จะช่วยให้เด็กไม่เกลียดวิชาคณิตศาสตร์ ดังนั้นสสวท.จึงมุ่งมั่นให้เด็กและครูของเรามีสื่อการเรียนรู้และสื่อการสอนที่ทันสมัย นอกจากนี้จะมุ่งกระจายซอฟต์แวร์นี้ไปยังสถาบันการศึกษาทุกแห่งใน 175 เขตพื้นที่การศึกษาโดยการแปลซอฟต์แวร์เป็นภาษาไทยแล้วขยายความรู้ไปสู่โรงเรียนทั่วประเทศ ดร.พรพรรณ กล่าวว่า การนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ถือเป็นภารกิจของการปฏิรูปการศึกษา จากการทำวิจัยพบว่าไทยยังขาดเครื่องมือเหล่านี้มาก เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์ หรือมาเลเซีย และได้ยินว่ามีซอฟต์แวร์การเรียนคณิตศาสตร์ที่ยากให้ง่าย ที่ประเทศอเมริกา จึงส่งนักวิชาการไปอบรม ผลปรากฏว่ามีการแปลไปแล้วถึง 16 ภาษาและใช้อยู่ใน 60 ประเทศ ผลสัมฤทธิ์การเรียนดี จากนั้นเราได้นำไปทดลองกับ 30 โรงเรียนที่เป็นเครือข่ายสสวท.คือระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษาทั้งรัฐและเอกชน จำนวน 30 โรง นับว่าเป็นความก้าวหน้าที่สอดคล้องกับแผนการปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทย (ข่าวสด จันทร์ที่ 20 ธ.ค. 47 http://www.matichon.co.th/khaosod)
ลมสุริยะปะทะดางหาง
นักบินอวกาศ ค้นพบวิธีใหม่ โดยสังเกตเห็นว่า พายุสุริยะ พัดทำความเสียหายประจุไอออนน้ำแข็งที่หางของดาวหางหลายดวงที่เคลื่อนผ่านระบบสุริยะของเราไปในรอบหลายปีที่ผ่านมา ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถตามร่องรอยของพายุสุริยะหรือ การปลดปล่อยก้อนมวลของดวงอาทิตย์ (CMEs) ในอวกาศได้ นายเจอเรนท์ โจนส์ นักวิจัยของนาซ่า กล่าวว่า "สิ่งที่เราค้นพบนี้จะเป็นเครื่องมือทำให้เราติดตามรอยของพายุสุริยะ เพราะมันพัดซะหางของดาวหางฟุ้งกระจายเหมือนน้ำพุ" อนุภาคที่หางของดาวหางถูกอนุภาคของดวงอาทิตย์กระแทกไปด้วยกำลังลม 1,000 กิโลเมตรต่อวินาที การเฝ้าดูปรากฏการณ์นี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของการปล่อยก้อนมวลจากดวงอาทิตย์และความเร็วในการพัดผ่านอวกาศของมันได้ (ข่าวสด จันทร์ที่ 20 ธ.ค. 47 http://www.matichon.co.th/khaosod)
ไฟเขียวแล็บ วว.ประเมินจีเอ็มพี หนุนส่งออกอาหาร
ดร.นงลักษณ์ ปานเกิดดี ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เปิดเผยว่า จากการที่มีประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 193 พ.ศ.2543 เรื่องวิธีการผลิต เครื่องมือ เครื่องใช้ในการผลิตและการเก็บรักษาอาหาร หรือหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร (Good Manufacturing Practice : GMP) บังคับให้สถานที่ผลิตอาหาร 54 ประเภท รวมทั้งประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 220 พ.ศ.2544 เรื่องน้ำบริโภคภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท ต้องผ่านตรวจประเมินจีเอ็มพีนั้น ดังนั้น เพื่อเป็นการรองรับความต้องการ และเป็นทางเลือกแก่ผู้ประกอบการในการตรวจรับรองจีเอ็มพี อย.จึงเปิดโอกาสให้หน่วยงานรัฐและเอกชน ที่มีศักยภาพในการตรวจสถานที่ผลิตอาหาร ทำหน้าที่ตรวจสอบตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร ว่าด้วยสุขลักษณะทั่วไปและหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตน้ำบริโภคในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท ทั้งนี้ สำนักรับรองระบบคุณภาพ เป็นหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติให้จดทะเบียนองค์กรแล้ว และได้นำรายชื่อประกาศไว้ในประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่องรายชื่อองค์กรหรือหน่วยงานเพื่อตรวจประเมินระบบจีเอ็มพี ตามกฎหมายเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยในเบื้องต้นได้กำหนดขอบข่ายการตรวจเฉพาะเพื่อขออนุญาตใหม่ การตรวจเพื่อต่ออายุใบอนุญาต โดยโครงการนี้จะนำร่องให้บริการแก่ผู้ประกอบการในเขต กทม.ก่อน และอาจขยายผลสู่ผู้ประกอบการในต่างจังหวัดต่อไป นอกจากนี้ สรร.ยังมีศักยภาพในการรับรองจีเอ็มจี โคเด็กซ์ และเอชเอซีซีพี ซึ่งเป็นการรับรองแก่ผู้ประกอบการอาหารในระดับนานาชาติ โดยผลงานการรับรองกว่า 1 ปีนั้น สามารถช่วยเสริมศักยภาพอาหารส่งออกของไทย ให้เป็นที่ยอมรับทั้งจากภายในและต่างประเทศ (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 21 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
นำร่องเลิกใช้สารทำลายโอโซนในโรงไฟฟ้า
นายถาวร สุรพล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายปฏิบัติการและบำรุงรักษา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวหลังลงนามรับเงินช่วยเหลือโครงการเลิกใช้สารทำลายโอโซนกับธนาคารออมสิน ว่า การที่ประเทศภาคีสมาชิกพิธีสารมอนทรีออลว่าด้วยสารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในสมาชิก ได้ร่วมดำเนินโครงการลดและเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน (1,1,1 - TCA ) โดยตั้งกองทุนพหุภาคีภายใต้พิธีมอนทรีออล เพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาลดและเลิกการใช้สารทำลายโอโซน ขณะที่ กฟผ.ที่ผ่านมาได้นำเข้าน้ำยาทำความสะอาดชิ้นส่วน อุปกรณ์ไฟฟ้าเพื่อใช้ในงานบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าและสายส่ง ที่มีส่วนผสมของสารเคมี 1,1,1 - TCA และผลิตเคมโซลใช้เองบางส่วน ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารชะล้าง และไม่มีปัญหากับผู้ใช้งาน แต่เป็นสารที่ถูกระบุว่าทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน กฟผ.จึงได้ลดปริมาณการนำเข้า และมีเป้าหมายจะยกเลิกการใช้ภายในปีนี้ นายถาวร กล่าวอีกว่า ฝ่ายเคมีกับฝ่ายบำรุงรักษาของ กฟผ.ได้ร่วมมือทดลองกระบวนการทำความสะอาดแบบใหม่ ที่ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า เพื่อทดแทนการใช้สารเคมี เป็นวิธีฉีดพ่นน้ำแข็งแห้งทำความสะอาดชิ้นงานขนาดใหญ่ หรือที่สกปรกมาก ส่วนชิ้นงานขนาดเล็ก หรือสกปรกน้อยจะใช้วิธีเช็ดล้างด้วยน้ำยาที่มีส่วนผสมของ 1,1,2 Trichloroethylene (1,1,2 TCE ) ที่ไม่ทำลายชั้นบรรยากาศ กฟผ.ตั้งเป้าหมายจะลดการใช้ในปี 2547 เร็วกว่าข้อกำหนดที่จะต้องเลิกใช้ในปี 2552 ดังนั้น กฟผ.จึงเป็นหน่วยงานแรกที่นำสารที่ไม่ทำลายชั้นบรรยากาศมาใช้กับโรงไฟฟ้าทั้งหมด 23 แห่งได้ภายในปีนี้ (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 21 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
โนเกียติดสติ๊กเกอร์ 3 มิติ สกัดแบตฯปลอมทำบึ้ม
โนเกีย คอร์ป. ผู้ผลิตมือถืออันดับหนึ่งของโลก มีแผนที่จะนำสติ๊กเกอร์ภาพ 3 มิติชนิดพิเศษ มาติดลงบนแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ เพื่อให้ผู้บริโภคทราบว่า เป็นแบตเตอรี่ของแท้หรือของปลอม โดยฉลากรูปแบบใหม่จะปรากฏภาพ 3 มิติ และมีรหัสประจำตัวสินค้า จำนวน 20 หลักซ่อนไว้ ซึ่งจะมองเห็นได้เมื่อมีการขูดผิวหน้าสติ๊กเกอร์บางส่วนออก และผู้ใช้สามารถตรวจสอบรหัสเหล่านี้ได้ ทางเวบไซต์และบริการเอสเอ็มเอส ทั้งนี้ โนเกีย ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดมือถือราว 1 ใน 3 ของโลก ได้รับรายงานปัญหามือถือระเบิด เป็นจำนวนมาก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่เกิดจากการใช้แบตเตอรี่คุณภาพต่ำ ที่เลียนแบบให้เหมือนผลิตภัณฑ์ของโนเกีย สำหรับฉลากชนิดนี้ เป็นสติ๊กเกอร์ที่มีโลโก้ 3 มิติของโนเกียอยู่ด้านบน ซึ่งเป็นพิมพ์เป็นภาพ 3 มิติ โดยการใช้เลเซอร์ยิงบนแผ่นเมทาลิก ซึ่งจะปลอมแปลงได้ยาก (คมชัดลึก อังคารที่ 21 ธ.ค. 47 http://www.komchadluek.net)
มนุษย์จิ๋ว"ฮอบบิท"
ข่าวทีมนักโบราณคดีและนักวิทยาศาสตร์ออสเตรเลีย ขุดค้นพบซากกะโหลกมนุษย์ตัวจิ๋วบนเกาะฟลอเรส ประเทศอินโดนีเซีย
ชื่อเป็นทางการของมนุษย์จิ๋วพันธุ์ใหม่ที่ว่านี้คือ "โฮโม ฟลอเรสเซียนซิส" เคยมีชีวิตอยู่ในโลกเราเมื่อ 12,000 กว่าปีก่อน ส่วน "ชื่อเล่น" นั้นทีมผู้ค้นพบตั้งว่า "ฮอบบิท" ตามชื่อตัวละครคนแคระในภาพยนตร์ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ผลวิเคราะห์เบื้องต้นคาดว่ามนุษย์ฮอบบิทเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะสูงแค่ 1 เมตร ขณะที่ขนาดกะโหลกเล็กพอๆ กับผลส้มโอ นักวิทยาศาสตร์สงสัยว่า เหตุที่กะโหลกของฮอบบิทเล็กเช่นนี้เป็นผลมาจาก "สมอง" ทำงานผิดปกติ หรือเป็นเพราะฮอบบิทเป็นเผ่าพันธุ์ต้นตระกูลมนุษย์ "โฮโมซาเปียน" ที่ตัวเล็กแบบนี้จริงๆ แต่มีความฉลาดเกินตัว โดยดูจากอุปกรณ์เครื่องใช้ที่ฮอบบิทสร้างขึ้นจาก "หิน" ซึ่งพบตกอยู่ในหลุมเดียวกับกะโหลกฮอบบิท ความจริงเหล่านี้น่าจะคลี่คลายในปี 2548 ถ้าผลวิเคราะห์ "ดีเอ็นเอ" ฮอบบิทประสบผลสำเร็จ (ข่าวสด อังคารที่ 21 ธ.ค. 47 http://www.matichon.co.th/khaosod)
ล้วงตับสุริยจักรวาล
ภายหลังจากยานอวกาศ "คาสซินี่-ฮอยเกนส์" ขององค์การอวกาศสหรัฐอเมริกา(นาซ่า) เดินทางไปถึงดาวเสาร์ พร้อมกับส่งสัญญาณภาพ "วงแหวน" และ "ดวงจันทร์บริวาร" ของดาวเสาร์ชัดเจนที่สุดในประวัติศาสตร์ "คาสซินี่" ช่วยให้โลกรู้ว่าดาวเสาร์มีจันทร์บริวารมากกว่า 18 ดวง รวมทั้งรู้ข้อมูลเจาะลึกเกี่ยวกับชั้นบรรยากาศ 2 ดวงจันทร์ดาวเสาร์ "ไททัน" กับ "ฟีบี" ยิ่งไปกว่านั้นเดือนม.ค.ปีหน้า "ฮอยเกนส์" จะแยกออกจาก "คาสซินี่" เพื่อเข้าไปสำรวจ "ไททัน" แบบใกล้ชิดกว่าเดิมในฐานะที่มันเป็นจันทร์บริวารดวงใหญ่ที่สุดของดาวเสาร์ ขณะเดียวกัน ยานโรเวอร์สำรวจ "ดาวอังคาร" ของนาซ่าก็ทำผลงานน่าตื่นตะลึงในปีนี้ หลังจากสามารถยืนยันร่องรอยแหล่งน้ำบนดาวอังคารได้สำเร็จ (ข่าวสด อังคารที่ 21 ธ.ค. 47 http://www.matichon.co.th/khaosod)
จุฬาฯใช้กล้อง"ผ่าตัดลำไส้"แห่งแรกในอาเซียน
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำโดย ศ.นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ รศ.นพ.อรุณ โรจนสกุล หัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์ และ ผศ.นพ.ชูชีพ สหกิจรุ่งเรือง หน่วยศัลยศาสตร์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ร่วมแถลงผลสำเร็จในการผ่าตัดลำไส้และทวารหนักแบบ "เก็บหูรูดทวารหนัก" ด้วยกล้องส่องว่า คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ สำเร็จเป็นประเทศแรกในอาเซียน ผศ.นพ.ชูชีพกล่าวว่า การผ่าตัดด้วยกล้องส่อง(Laparoscopic Surgery) ช่วยให้ผู้ป่วยลดความเจ็บปวด สามารถกลับไปทำงานได้เร็วว่าการผ่าตัดแบบเดิม 2 เท่า แต่มีค่าใช้จ่ายเพียง 35,000 บาท และสามารถใช้บริการโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรครักษาได้ ทั้งนี้ หากเป็นผู้ป่วยจากต่างจังหวัดจะต้องมีใบส่งตัวจากโรงพยาบาลต้นสังกัดก่อน และว่า ปัจจัยที่เหมาะสมสำหรับการผ่าตัดด้วยกล้องส่องนั้น ผู้ป่วยต้องพร้อมที่จะผ่าตัดใหญ่ เช่น หัวใจ ปอด แข็งแรง ขนาดก้อนเนื้องอกไม่ใหญ่เกินไป ก้อนเนื้องอกไม่ยึดติดอวัยวะข้างเคียง ไม่เคยรับการผ่าตัดใหญ่ในช่องท้อง และแพทย์ต้องมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง (มติชนรายวัน พุธที่ 22 ธ.ค. 47 http://www.matichon.co.th)
เตรียมตั้งโรงไฟฟ้าพลังว่าวดูดเอาพลังกระแสลมบนมาใช้
ศาสตราจารย์วับโบ ออกเคลส์ หัวหน้านักวิจัย มหาวิทยาลัยเดลฟต์ เทคนิค ในเนเธอร์แลนด์ กล่าวว่า กระแสลมบนในระดับความสูง 30,000 ฟุตนั้น จะมีความแรงยิ่งกว่าที่ระดับน้ำทะเลกว่ากันถึง 20 เท่า ยิ่งบนระดับสูงบางระดับ กระแสลมจะยิ่งมีพลังอย่างมหาศาล "ว่าวที่ติดกระแสลมนั้นจะสามารถกำเนิดพลังไฟฟ้าได้จำนวนมากทีเดียว". ตามแผนการโรงไฟฟ้าจะประกอบด้วยปีกที่บังคับได้เหมือนกับว่าว โยงเรียงรายไว้กับห่วงสายเคเบิลขนาดยักษ์ กางยาวออกไปบนฟ้ายาวไม่ต่ำกว่า 8 กม. เพื่อให้รับกับกระแสลมบนอันแรงจัด ลมบนจะพัดโหมยกดันทางห่วงข้างหนึ่งให้ลอยขึ้น พร้อมกันนั้นก็จะกดข้างตรงกันข้ามให้ต่ำลง เป็นผลให้ห่วงยักษ์หมุนเป็นวงรอบๆ เอาพลังงานมาใช้ปั่นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่สถานีบนพื้นได้ รับรองว่าจะสามารถสร้างโรงต้นแบบขึ้นมาได้ภายในเวลา4 ปีข้างหน้านี้ และกล่าวว่า มันจะให้กำเนิดกระแสไฟฟ้าได้มากถึง 100 เมกะวัตต์ ซึ่งสูงกว่าโรงไฟฟ้าพลังลม ซึ่งปั่นไฟได้เพียงไม่กี่เมกะวัตต์เท่านั้น (ไทยรัฐ 22 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
ติดตั้งระบบโทรมาตรเคลื่อนที่...เตือนภัยทางน้ำทันเหตุการณ์
กรมชลประทานได้นำสื่อมวลชนเดินทางไปดูงาน ระบบโทรมาตรเคลื่อนที่ขนาดเล็ก ที่ติดตั้งอยู่บริเวณเหนือเขื่อนและท้ายเขื่อนปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ และที่ติดตั้งที่โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเพชรบุรี(เขื่อนเพชร) อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี และติดตั้งบริเวณเหนือเขื่อนและท้ายเขื่อนแก่งกระจาน และบริเวณห้วยแม่ประจันต์... ซึ่งกรมชลประทานได้นำไปติดตั้งบริเวณพื้นที่ด้านเหนือ ด้านท้ายของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และจุดวัดระดับน้ำที่สำคัญด้านท้ายเขื่อน ตลอดจนในลำน้ำหรือแม่น้ำสำคัญที่อยู่ในแนวร่องพายุที่มักผ่านเป็นประจำทุกปีในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ ระบบโทรมาตร คือ ระบบการตรวจวัดข้อมูลอุตุและอุทกวิทยาที่สถานีสนาม และส่งข้อมูลที่ตรวจวัดไปเก็บรวบรวมและแสดงผลที่สถานีหลัก การทำงานทั้งหมดเป็นไปโดยอัตโนมัติ ตลอดเวลาทำให้สถานีหลักได้รับข้อมูลที่รวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงเพื่อเป็นการเตือนภัยจากสภาพน้ำหลาก การคาดหมายสภาพน้ำในแม่น้ำ อ่างเก็บน้ำและเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการปฏิบัติการอ่างเก็บน้ำ โดยมีการเชื่อมโยงข้อมูลและแสดงผลบนระบบภูมิสารสนเทศผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ตลอดจนเชื่อมโยงข้อมูลเข้ากับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของกรมชลประทาน และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็นแนวทางการบริหารจัดการน้ำ ลดความเสียหายจากอุทกภัยและภัยแล้ง (เดลินิวส์ พุธที่ 22 ธ.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)
รื้อแผนแม่บทพัฒนาไอซีที
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีทีเปิดเผยถึงแนวทางแผนปฏิบัติการพัฒนาไอซีที ภายหลังรับฟังความคิดเห็นจากภาครัฐและเอกชนว่า หลังจากนี้กระทรวงไอซีที จะตั้งคณะทำงานขึ้นมาจัดทำแผนปฏิบัติการพัฒนาไอซีที ฉบับใหม่โดยทบทวนยุทธศาสตร์เดิมที่ทำไว้ ซึ่งคณะทำงานประกอบด้วยตัวแทนจากภาครัฐเอกชน ผู้เชี่ยวชาญ และมหาวิทยาลัย โดยแผนปฏิบัติการที่ทำขึ้นจะจัดลำดับความสำคัญในการพัฒนาด้านไอซีทีให้เหมาะกับสถานการณ์และมีผู้รับผิดชอบชัดเจน คาดว่าจะใช้เวลา 1 เดือน จากนั้นจะตั้งคณะที่ปรึกษาไอซีทีขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง ไอซีทีที่ประเทศไทยต้องดำเนินการในลำดับต่อไปมี 3 ประการ ได้แก่ 1. การสร้างคอนเทนต์ หรือเนื้อหาที่วิ่งบนโครงข่าย หลังจากที่กระทรวงไอซีทีได้จัดให้มีบรอดแบนด์ครอบคลุมยิ่งขึ้นและเกิดการแข่งขันด้านราคาที่เหมาะสม รวมถึงการลดค่าโทรศัพท์ทางไกลทั้งในและต่างประเทศ และการกระตุ้นราคาคอมพิวเตอร์ให้ถูกลงจากโครงการคอมพิวเตอร์ไอซีทีเพื่อคนไทย 2.การสร้างบุคลากรรองรับอุตสาหกรรมไอซีทีรวมทั้งการนำไอซีทีไปใช้อุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ การสร้างนักพัฒนาด้านซอฟต์แวร์ การกระตุ้นการใช้ซอฟต์แวร์ที่ผลิตภายในประเทศกับกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและเล็ก เป็นต้น 3. การให้ความสำคัญกับข้อมูลข่าวสาร (Information) ซึ่งปัจจุบันไทยดำเนินการได้ค่อนข้างช้า เรื่องที่เกิดความซ้ำซ้อนการทำงานของกระทรวงไอซีที ขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้นาย วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ตรวจสอบความซ้ำซ้อนการทำงานของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกับกระทรวงวิทยาศาสตร์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ต้องแบ่งภาระหน้าที่ความรับผิดชอบอย่างละเอียดไม่มีการซ้ำซ้อนของการทำงาน (สยามรัฐ พุธที่ 22 ธ.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)
ใช้ระบบถ่ายภาพดาวเทียมคำนวณผลผลิตภาคเกษตรล่วงหน้า
นายชุมพล ลิลิตธรรม ผู้อำนวยการสำนักสำรวจดินและวางแผนใช้ที่ดิน กรมพัฒนาที่ดิน เปิดเผยว่า โครงการการใช้เทคโนโลยีรีโมตเซนซิ่ง (Remote Sensing) และระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) เพื่อประเมินผลผลิตพืชเศรษฐกิจ เป็นรายตำบลทั่วทั้งประเทศ การดำเนินงานแบ่งออกเป็น 3 ส่วน เริ่มจากนำข้อมูลจากดาวเทียม Landsat-7 ใช้ระบบ ETM+ บันทึกภาพทุกช่วงเวลาของพื้นดินที่มีการปลูกพืช พร้อมกับนำผลแสดงภาพมาวิเคราะห์สีและตัวเลข จากนั้นก็จะส่งเจ้าหน้าที่ออกไปเป็นทีมสำรวจ จากส่วนวิเคราะห์สภาพการใช้ที่ดินจากกรมพัฒนาที่ดิน เพื่อรวบรวมข้อมูลการปลูกพืชจากเกษตรกรเพื่อหาค่าผลผลิตเฉลี่ยเป็นรายตำบล จากนั้นก็นำมาเข้าระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์คำนวณผลผลิตรวม เพื่อหาค่าของความชัดเจนของผลผลิตพืชเศรษฐกิจ สามารถคาดการณ์ล่วงหน้ามากกว่า 1 เดือน มีความใกล้เคียงความจริงถึง 90% โครงการใช้เทคโนโลยี Remote Sensing และ GIS สามารถแสดงพื้นที่ปลูกพืชและปริมาณผลผลิตรายตำบลทั่วประเทศ เพื่อเป็นฐานข้อมูลด้านการผลิตและแหล่งการแปรรูปของพืชเศรษฐกิจ ทำให้ทราบถึงแหล่งปลูก, ปริมาณผลผลิต, พันธุ์พืช, การจัดการ, ราคาผลผลิตและข้อมูลอื่นๆ เมื่อมีข้อมูลทุกส่วนแล้วก็สามารถนำไปกำหนดยุทธศาสตร์ ในการพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการตลาดในอนาคตได้ หากเกิดกรณีปัญหาราคาพืชผลตกต่ำหรือผลผลิตล้นตลาด ก็ใช้ระบบนี้เข้าไปช่วยก็สามารถคลี่คลายได้ และในปี 2548 จะเพิ่มเติมไม้ผลอีก 2 ชนิด คือ ลิ้นจี่และมังคุด เนื่องจากปีที่ผ่านมาลิ้นจี่มีปัญหาราคาตกต่ำ และมังคุดเป็นไม้ผลที่ส่งออกได้เป็นอันดับที่หนึ่งของประเทศ (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 23 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
10 ข่าววิทย์เขย่าขวัญคนไทย
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) คัดเลือกและจัดทำอันดับ 10 ข่าวเด่นที่ได้รับความสนใจสูงสุด โดยสุ่มสำรวจความคิดเห็นประชาชนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจำนวน 2,000 คน ทั้งนี้วัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นคนไทยให้ตื่นตัวสนใจข่าวสารด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากขึ้น สำหรับข่าวที่ได้รับความสนใจ อันดับหนึ่งคือ ไข้หวัดนก ตามมาด้วย ข่าวมะละกอจีเอ็มโอ ที่อาสาสมัครกรีนพีซบุกเข้าทลายแปลงทดลองของกรมวิชาการเกษตรที่ จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม และระบุว่าขณะนี้มะละกอจีเอ็มโอได้หลุดรอดสู่แปลงทั่วไปของเกษตรกรเรียบร้อยแล้ว อันดับสาม โอลิมปิกวิชาการ 2547 ที่เยาวชนไทยสร้างชื่อจากการแข่งขันคณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ณ กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ใน 5 สาขาวิชา ทำคะแนนรวมได้เป็นอันดับที่ 5 ของโลก อันดับสี่ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผลิตชุดตรวจเชื้อหวัดนกสำเร็จ มีราคาถูก แม่นยำสูง รู้ผลภายใน 10นาที และข่าว ครีมหน้าเด้งสูตรใหม่ ดึงนาโนเทคโนโลยีประยุกต์ใช้ขมิ้นชันโดยองค์การเภสัชกรรม ถือเป็นการคิดค้นครั้งแรกของโลก ที่มีการนำสารสำคัญจากขมิ้นชัน ซึ่งเป็นสารที่สามารถต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดีมารวมกับวิตามินอี และไลโพโซม มาใช้ในครีมบำรุงผิว อันดับหก รักษาตาบอดหาย เมื่อทีมศัลยแพทย์ประจำศูนย์ดวงตาแห่งชาติสิงคโปร์ และศูนย์ทันตแพทย์แห่งชาติสิงคโปร์ประสบความสำเร็จในการผ่าตัดฝังกระบอกแก้วตาเทียมให้แก่หนุ่มไทยวัย 19 ปี ซึ่งตาบอดจากโรคภูมิแพ้ อันดับเจ็ด ศิริราชรักษาพาร์กินสันได้แล้ว ด้วยการฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้ารักษาโรคพาร์กินสันระยะสุดท้าย ส่วนข่าวที่แปด คลื่นการเดินของกิ้งกือ จากโครงงานวิทยาศาสตร์ของนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดม ที่คว้ารางวัลชนะเลิศในต่างแดน โดยอธิบายรูปแบบการเคลื่อนไหวของขากิ้งกือ ด้วยสมการด้านคณิตศาสตร์ ซึ่งความรู้นี้สามารถพัฒนาสู่การสร้างสิ่งประดิษฐ์แปลกใหม่ อาทิ หุ่นยนต์เคลื่อนที่บนทุกสภาพพื้นผิว อันดับเก้า แพทย์ไทยเก่งใช้เลือดจากรกรักษาโรคร้าย ขณะที่รกนั้นได้จากผู้บริจาคที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องกัน โดยรักษาผู้ป่วย 2 รายที่เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด และโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียจนหายขาดจากโรค กลายเป็นประเทศแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอันดับสุดท้าย หุ่นยนต์ดำน้ำสำรวจขั้วโลกใต้สัญชาติไทย สำหรับช่วยงานนักวิจัยไทย ในโครงการส่งนักวิจัยไปขั้วโลกใต้กับประเทศญี่ปุ่น โดยหุ่นยนต์จะทำหน้าที่ดำน้ำและเก็บตัวอย่างดิน สิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลแทนมนุษย์ (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 23 ธ.ค. 47 http://www.komchadluek.net)
มช.แปลไทยเป็นเบรลล์ พัฒนาซอฟต์แวร์ล่ามเพื่อคนตาบอด
ผศ.ดร.รัฐสิทธิ์ สุขะหุต ภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พัฒนาซอฟต์แวร์แปลภาษาไทยเป็นอักษรเบรลล์ขึ้น เพื่อความสะดวกในการใช้งาน และย่นระยะเวลาการทำงาน หวังให้ผู้พิการทางสายตามีหนังสืออ่านมากกว่าเดิม ในการพัฒนานั้นจะต้องศึกษาการประมวลผลตามหลักภาษาธรรมชาติด้วย เช่น การตัดคำ การวิเคราะห์สระ หน้าที่ของคำและบริบทของคำ โดยอาศัยโครงสร้างทางไวยากรณ์ เนื่องจากภาษาไทยมีโครงสร้างที่ซับซ้อนกว่าภาษาอังกฤษ แถมลักษณะของการเขียนในภาษาไทย ยังไม่มีเว้นวรรคระหว่างคำ ไม่มีเครื่องหมายระบุเมื่อจบประโยค ทำให้ การแปลจากภาษาไทยมาเป็นภาษาเบรลล์ จึงต้องมีกระบวนการวิเคราะห์ลักษณะดังกล่าวอยู่ในโปรแกรมด้วย โดยการวิเคราะห์นี้จะอาศัยเทคนิคเปรียบเทียบคำในพจนานุกรม การหาหน้าที่ของคำว่า คำ คำนั้นเป็นอะไร คำนาม คำกริยา เพื่อลดความกำกวม วิเคราะห์หน้าที่ของสระ โครงสร้างของคำ จากนั้นจะแปลงอักษรให้อยู่ในรูปของอักษรเบรลล์ สำหรับการทดสอบโปรแกรมการแปลนั้น นักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ความถูกต้องของการตัดคำอยู่ที่ร้อยละ 85-90 ส่วนความถูกต้องของการหาหน้าที่ของคำนั้นอยู่ที่ร้อยละ 73-80 ซึ่งขึ้นอยู่กับการตัดคำ และต่อไปจะวิจัยด้านการเชื่อมต่อเพื่อส่งข้อมูลไปยังเครื่องพิมพ์ เพื่อให้สามารถพิมพ์ได้เลย โดยไม่ต้องพิมพ์ป้อนภาษาเบรลล์สู่เครื่องพิมพ์ใหม่ เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่สามารถเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์ ไปยังเครื่องพิมพ์ภาษาเบรลล์ได้โดยตรง (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 24 ธ.ค. 47 http://www.komchadluek.net)
ส่งต้นไม้ขึ้นไปปลูกบนดาวอังคารขึ้นในที่หนาวเย็นออกซิเจนน้อย
นักวิทยาศาสตร์องค์การอวกาศสหรัฐฯร่วมกับมหาวิทยาลัยเม็กซิโก คิดจะเอาต้นไม้ ซึ่งขึ้นงามอยู่บนยอดเขาสูงๆ และทนกับอากาศหนาวจัดของเม็กซิโก ขึ้นไปทดลองปลูกบนดาวอังคาร ต้นไม้ที่เลือกจะเอาขึ้นไปปลูกอยู่บนดาวอังคารเป็นต้นไม้ชนิดหนึ่ง ซึ่งขึ้นงอกงามอยู่ในวนอุทยานโอริซาบา บนยอดเขาสูงที่สุดของเม็กซิโก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ขององค์การอวกาศสหรัฐฯ มหาวิทยาลัยเนชั่นแนล ออโตโนมา มหาวิทยาลัยเวราครูซานาและเวราครูซของเม็กซิโกได้ร่วมกันศึกษามานานอยู่หลายปีแล้ว ด้วยเห็นว่ามันเป็นต้นไม้ที่เหมาะกับการจะนำเอาขึ้นไปปลูก เพราะเป็นต้นไม้ที่ขึ้นงอกงามดีบนยอดเขาสูงๆ ซึ่งอากาศมีออกซิเจนน้อยและหนาวเย็นจัด นายหลุย ครุซ คูริ นักวิจัยเม็กซิกันคนหนึ่งกล่าวว่า วนอุทยานโอริซาบาเป็นอุทยานที่มียอดต้นไม้ขึ้นอยู่สูงที่สุดในโลก เหมาะกับที่จะเอาต้นไม้เหล่านี้ขึ้นไปปลูกบนดาวอังคาร (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 25 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
ข่าววิจัย/พัฒนา
สูตรอาหารทิพย์ให้ชายอายุยืนอีก 5 ปี กินปลากับผักผลไม้ตบท้ายด้วยไวน์
ดร.ออสคาร์ ฟรังโก หัวหน้านัก คณะนักวิจัยของศูนย์แพทย์อีรัสมัส ในกรุงรอตเตอร์ดัม ได้พบสูตรอาหารทิพย์ในการศึกษาวิจัย และได้เปิดเผยผลการศึกษาในวารสารแพทย์ การแพทย์อังกฤษ กล่าวว่า ได้ทำการศึกษาโดยจำเอาจากอาหารของชาวแถบริมทะเลเมดิ-เตอร์เรเนียนเป็นแบบอย่าง ศึกษากับโมเดลคอมพิวเตอร์ของประชากรอเมริกัน คำนวณผลออกมาได้ว่า อาหารสูตรนี้จะสามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจให้ห่างไกลออกไปได้ 76% และจะช่วยยืดอายุผู้ชายให้ยืนยาวออกไปโดยเฉลี่ยได้อีก 5 ปี หรือมากกว่านั้นผู้ชายผู้ที่ปฏิบัติตัวตามนี้ได้ จะมีอายุยืนกว่าเพื่อนฝูงผู้ที่ไม่ได้ทำมากกว่ากัน 6.6 ปี รายละเอียดของสูตรอาหาร ให้กินปลา 4 มื้อ ใน 1 อาทิตย์ กินช็อกโกแลตล้วนวันละ 100 กรัม ผักผลไม้วันละ 400 กรัม กระเทียมวันละ 2.7 กรัม และถั่วอัลมอนด์วันละ 68 กรัม และตบท้ายด้วยการดื่มเหล้าไวน์แดงวันละ 150 ซีซี (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 20 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
ผักใบเขียวเข้มป้องกันลูกนัยน์ตา จากรังสีอัลตราไวโอเลตดีที่สุด
มหาวิทยาลัยโอไฮโอ สเตท ของสหรัฐฯ ได้พบหลักฐานจากการศึกษาวิจัยว่า สารลูทีนอันเป็นวัตถุสีในธรรมชาติและซีกซาซันทิน ซึ่งต่างก็เป็นสารที่เป็นตัวล้างพิษ มีอยู่อย่างอุดมตามผักที่มีใบเขียวเข้ม ช่วยถนอมรักษาดวงตาให้รอดพันจากอันตรายของรังสีไวโอเลตได้วิเศษกว่าอย่างอื่นหมด นักวิจัยได้ศึกษาด้วยการทดลองตรวจวัดคุณสมบัติของสารทั้งคู่ ในการป้องกันรักษาเซลล์ลูกตาจากรังสีอัลตราไวโอเลต ที่จะได้รับเมื่อเวลาอาบแดด มันช่วยรักษาเซลล์ให้เสียหายจากรังสีน้อยลงได้ถึง 55-60 เปอร์เซ็นต์ พร้อมกันนั้นยังได้ศึกษาคุณสมบัติของสารอื่นเปรียบเทียบดูอีกด้วย อย่างเช่นได้พบว่า วิตามินอีช่วยป้องกันภัยจากรังสีได้เพียงแค่ 25-32% (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 20 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
ของเหลือทิ้งจากไร่นา ทำแท่งเพาะเมล็ดประหยัดต้นทุน
รศ.มุกดา สุขสวัสดิ์ และ ผศ.นพดล ตรีรัตน์ อาจารย์ประจำสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตพิษณุโลก ได้คิดวิจัยสร้าง "เครื่องอัดแท่งเพาะเมล็ดสำเร็จรูป" เพื่อนำผลผลิตที่เหลือทิ้งจากนาข้าวไร่ ซึ่งเป็นทรัพยากรท้องถิ่นมาอัดเป็น "แท่งเพาะเมล็ดสำเร็จรูป" สำหรับปลูกต้นกล้าพืชได้ การออกแบบเครื่องอัดแท่งเพาะเมล็ดสำเร็จรูป ได้ให้ความสำคัญกับขนาดของแท่งเพาะเมล็ด เพราะจะไปมีผลต่อการเจริญเติบโตของต้นกล้า การทำแท่งเพาะเมล็ดสำเร็จรูป แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน ขั้นตอนแรก เป็นการเตรียมวัสดุเพาะชำ เริ่มจากการตวงส่วนผสม ของอินทรีย-วัตถุ เช่น แกลบเผา ปุ๋ยคอกและขุยมะพร้าว แล้วนำมาคลุกเคล้าผสม ให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน โดยการเติมน้ำให้มีความชื้นพอเหมาะ ขั้นตอนต่อมาเป็นการอัดแท่งเพาะเมล็ด ให้นำส่วนผสมที่เตรียมไว้ ใส่ลงในถาดรองรับวัสดุ แล้วเกลี่ยวัสดุลงกระบอกให้เต็ม ก่อนจะปล่อยเกลียวอัดแท่งเพาะเมล็ดเข้าไปอัดในกระบอกอัด จนได้แท่งเพาะเมล็ดตามขนาดที่ต้องการ เมื่อสังเกตว่าแท่งเพาะเมล็ดอัดแน่นดีแล้ว ให้ดึงแผ่นต้านแรงอัดที่อยู่ด้านล่างของตัวเครื่องออกมาให้สุด ซึ่งจะทำให้รูที่แผ่นอัดตรงกระบอกแล้วดันเกลียวลงจนสุด แท่งเพาะเมล็ดก็จะตกลงมาที่แผ่นรองรับด้านล่าง จากนั้นก็สามารถนำแท่งเพาะเมล็ดออกมาข้างนอก ใช้เหล็กขนาดเล็กเจาะรูตรงกลางแท่งเพาะเมล็ดเพื่อสำหรับใช้หยอดเมล็ด... ก่อนจะนำไปผึ่งลมให้แห้ง เท่านี้ก็จะได้ "แท่งเพาะเมล็ดสำเร็จรูป" หากจะนำไปใช้เพาะเมล็ดพันธุ์พืช เกษตรกรต้องนำไปแช่น้ำให้อิ่มตัวอีกครั้งหนึ่ง และเมื่อนำไปใส่เมล็ดเพาะแล้วให้นำขี้เถ้าแกลบปิดที่รูด้วย ผลของการวิจัยเมื่อนำเมล็ดพันธุ์ไปเพาะด้วยแท่งเพาะเมล็ดสำเร็จรูป พบว่า แท่งเพาะเมล็ดที่ประกอบด้วยดินร่วน 1 ส่วน แกลบดำ 1 ส่วน ขุยมะพร้าว 2 ส่วน และปุ๋ยคอก 1 ส่วน มีความหนาแน่นน้อยที่สุดและสามารถอุ้มน้ำได้มากที่สุด ส่งผลให้ต้นกล้าคะน้าและผักกาดขาวที่ทดลองปลูกมีความเจริญเติบโตดี และเมื่อมีการพัฒนาคุณภาพโดยการใส่ดินเหนียวเข้าไปผสมก็จะมีความคงทนขึ้น ผู้สนใจสอบถามไดที่สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตพิษณุโลก โทรศัพท์ 0-5529-8468 ต่อ 120 หรือ 0-1324-9101 (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 20 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
ม.มหิดลพบสารสยบเอดส์-มะเร็ง
นักวิจัยมหิดลคว้ารางวัลงานวิจัยดีเด่น หลังศึกษาพบสารมีฤทธิ์ทางชีวภาพจากสมุนไพรไทยอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดพบสารสำคัญในพืชตระกูลพุดและมังคุดที่มีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งในสัตว์ทดลอง และฆ่าเชื้อโรคเอดส์ในระดับห้องปฏิบัติการได้สำเร็จ ขณะที่ สกว.ประกาศทิศทางปี 2548 เน้นเชื่อมโยงงานวิจัยหนุนยุทธศาสตร์ประเทศเป็นหลัก ศ.ดร.วิชัย ริ้วตระกูล หัวหน้าโครงการวิจัยการศึกษาพื้นฐานทางเคมีอินทรีย์สังเคราะห์และการศึกษาสารที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพจากธรรมชาติ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็น 1 ใน 10 โครงการที่ได้รับรางวัล "งานวิจัยเด่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ประจำปี 2547" เปิดเผยว่าทีมงานได้ศึกษาพืชสมุนไพรไทยนับร้อยชนิด และได้พบสารสำคัญในพืชตระกูลพุดและมังคุด ได้แก่ รงทอง และคำมอกน้อย ซึ่งในเบื้องต้นพบว่ามีสารบริสุทธิ์บางตัวที่สามารถนำมาพัฒนาต่อเป็นยารักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเยื่อบุปาก และโรคเอดส์ได้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบพิษวิทยาเบื้องต้น คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี หลังจากนั้นจะเป็นการศึกษาทางคลินิก ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 3 ปี จากการทดสอบด้านพิษวิทยาขณะนี้พบว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจมาก โดยเฉพาะพืชตระกูลพุด เท่าที่ทำวิจัยพบว่ามีสารที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อเอดส์และมะเร็งได้เป็นอย่างดี สำหรับงานวิจัยอื่นอีก 9 ชิ้นงาน ได้แก่ โครงการอณูชีววิทยาไข้หวัดนกและการพัฒนาตรวจวินิจฉัย โดย ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โครงการการผลิตและประยุกต์ใช้ถ่านกัมมันต์จากยางล้อใช้แล้ว โดย ดร.พิศิษฐ์ อริยเดชวณิช นักศึกษาปริญญาเอกในโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) โครงการการพัฒนากฎหมายป้องกันและปราบปรามองค์กรอาชญกรรมข้ามชาติ โดยนายวันชัย รุจนวงศ์และคณะ โครงการการพัฒามาตรฐานการปฎิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ดีในการผลิต (GMP) ของศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ โดยผศ.ดร.วินัย พุทธกูล และคณะ โครงการการเรียนรู้เรื่องวิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ โดย น.อ.ฐากูร เกิดแก้วและคณะ โครงการวิทยาศาสตร์ท้องถิ่น โดย ดร.สรยุทธ รัตนพจนารถ โครงการวิจัยและพัฒนาเพื่อปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งโรงเรียน โดย รศ.ดร.ทิศนา แขมมณี โครงการการพัฒนาระบบการสื่อสารเรื่องสีเพื่อประเมินคุณภาพของอัญมณี โดย ศ.ศักดา ศิริพันธุ์ และกลุ่มโครงการวิจัยเทคโนโลยีเคลือบฟิล์มบาง โดย รศ.สุรสิงห์ ไชยคุณ (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 20 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
คนไทยเจ๋งคิดค้นงานประดิษฐ์ ต่อเหล็กงานก่อสร้างขนาดใหญ่
นายคณิสสร นาวานุเคราะห์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า กรมได้ตรวจสอบการรับจดสิทธิบัตรของคนไทยที่มีการยื่นจดพบว่ามีสิทธิบัตรชิ้นหนึ่งน่าสนใจ และมีการนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์คือ สิทธิบัตรการประดิษฐ์วิธีการและอุปกรณ์ที่ใช้ขึ้นรูปงาน หรือการต่อเหล็กในแนวเดียวกัน เพื่อให้เกิดความแข็งแรง ที่ใช้ในงานก่อสร้างคอนกรีตขนาดใหญ่ "ลักษณะของสิทธิบัตรที่คิดค้นขึ้นนี้ มีการทำเกลียวที่ปลายแท่งเหล็ก และมีเหล็กข้อต่อที่ทำเกลียวด้านใน สำหรับเป็นเบ้าให้หมุนแท่งเหล็กเข้าไป ซึ่งเหล็กแต่ละแท่งสามารถต่อกันได้ โดยไม่มีสิ้นสุด และยังคงความแข็งแรง และรับแรงดึงดูดได้สูงทำให้งานก่อสร้างมีความมั่นคง ส่วนการใช้เหล็กเส้นแบบเดิมและใช้การต่อเหล็กด้วยวิธีทาบ หรือใช้ลวดมัดความแข็งแรงจะน้อยกว่า และรับแรงดึงดูดได้น้อยกว่า" นายนพดล อมรทัตกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเบอร์ สไปลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้คิดค้นสิทธิบัตรการประดิษฐ์ วิธีการและอุปกรณ์ที่ใช้ในการขึ้นรูปชิ้นงาน กล่าวว่า การต่อเหล็กเส้นที่บริษัทคิดค้นได้ เป็นการต่อยอดจากสิ่งประดิษฐ์เดิมที่มีอยู่ และพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเก่า โดยวิธีต่อจะมีการทำเกลียวที่ปลายเหล็กเส้นหนึ่ง แล้วนำไปต่อเข้ากับเหล็กข้อต่อที่เชื่อมอยู่กับปลายเหล็กอีกเส้นหนึ่ง มีการใช้งานทีสนามบินสุวรรณภูมิ งานก่อสร้างอาคารออลซีซั่น ที่เป็นอาคารสูง 40-50 ชั้น โรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข และรถไฟฟ้าใต้ดินบางส่วน (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 20 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
18 งานวิจัยเด่นส่งท้ายปีวอก
กว่า 1,000 โครงการวิจัย ตลอดปี 2547 ที่ สกว.ให้การสนับสนุน ถูกคัดสรรและได้รับการยอมรับว่าเป็นที่สุด! เพียง 18 ผลงาน 10 งานวิจัยเด่น สกว. ประจำปี 2547 เป็นงานวิจัยในลักษณะที่เป็นแบบแผน และเป็นที่ยอมรับในสากล ดังนี้ 1.โครงการการศึกษาสารที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพจากสมุนไพรไทย โดย ศ.ดร.วิชัย ริ้วตระกูล 2.โครงการอณูชีววิทยาไข้หวัดนกและการพัฒนาตรวจวินิจฉัย โดย ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ 3.โครงการการผลิตและประยุกต์ใช้ถ่านกัมมันต์จากยางล้อใช้แล้ว โดย ศ.ดร.วิวัฒน์ ตัณฑะพานิชกุล และ ดร.พิศิษฐ์ อริยเดชวณิช 4.โครงการการพัฒนากฎหมายป้องกันและปราบปรามองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดย นายวันชัย รุจนวงศ์ และคณะ 5.โครงการการพัฒนามาตรฐานการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ดีในการผลิต (GMP) ของศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ โดย ผศ.ดร.วินัย พุทธกูล 6.โครงการการเรียนรู้เรื่องวิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ โดย น.อ.ฐากูร เกิดแก้ะ และคณะ 7.โครงการวิทยาศาสตร์ท้องถิ่น โดยดร.สรยุทธ รัตนพจนารถ 8.โครงการวิจัยและพัฒนาเพื่อปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งโรงเรียน โดย รศ.ดร.ทิศนา แขมมณี 9.โครงการการพัฒนาระบบการสื่อสารเรื่องสีเพื่อประเมินคุณภาพของอัญมณี โดย ศ.ศักดาศิริพันธุ์ และ 10.โครงการวิจัยเทคโนโลยีเคลือบฟิล์มบาง โดย รศ.สุรสิงห์ ไชยคุณ และ 8 งานวิจัยเด่น สกว.ภาค ประจำปี 2547 เป็นกลุ่มงานวิจัยที่ สกว.ต้องการให้ชาวบ้านเป็นผู้เลือกโจทย์การวิจัยเอง ซึ่งจะเน้นเรื่องการเรียนรู้ของชุมชนไม่ใช่ผลการวิจัย แต่เป็นการสร้างกลไกไปสู่การจัดการท้องถิ่นให้ดียิ่งขึ้น ดังนี้ 1.โครงการจัดระเบียบสังคมหมู่บ้านดง ต.นายาง อ.สมปราบ จ.ลำปาง โดย นายอิ่นแก้ว เรือนปานันท์ 2.โครงการการใช้จุลินทรีย์ในท้องถิ่น (IMO) กับการยอมรับของเกษตรกร อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน โดยนายวัลลภ สุวรรณอาภา 3.โครงการการใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านในการจัดการหนอนไม้ไผ่(คีเบาะ) และกบ(เดบือ) ให้มีความยั่งยืน บ้านแม่ยางส้าน อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ โดยนายทองคำ โพแก้ว และนายไกรศรี กล้าณรงค์ขวัญ 4.โครงการรูปแบบพิธีกรรมทางพุทธศาสนาที่เอื้อต่อกระบวนการเรียนรู้ธรรมะของชุมชน โดยองค์กรสงฆ์และประชาชน อ.นาหมื่น จ.น่าน โดย พระปลัดอภินันท์อภิปุญโญ
5.โครงการการศึกษารูปแบบการเลี้ยงโค กระบือที่เหมาะสมกับพื้นที่ป่าทาม ต.ดอนแรด อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ โดย นายบุญมี โสภัง 6.โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูภาษาชอง ต.ตะเคียนทอง และ ต.คลองพลู กิ่ง อ.เขาคิชกูฎ จ.จันทบุรี โดย กำนันเฉิน ผันผาย 7.โครงการฟื้นฟูขนมพื้นบ้านมุสลิมบ้านท่ามาลัย ต.ปากน้ำ อ.ละงู จ.สตูล โดยนางบัดสาระองศารา และ 8.โครงการการศึกษากระบวนการรวมกลุ่มผู้ผลิตกะปิยาห์ รายย่อยเพื่อสร้างความเข้มแข็ง ต.กะมิยอ อ.เมือง จ.ปัตตานี โดยนางกรวิภา ขวัญเพ็ชร (สยามรัฐ จันทร์ที่ 20 ธ.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)
สวทช.เพาะต้นไหลสตรอเบอรี่ ได้สายพันธุ์ใหม่ลดใช้สารเคมี
รศ.ดร.ศักรรินทร์ ภูมิรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย(สวทช.) กล่าวว่า สวทช.ร่วมกับมูลนิธิโครงการหลวง ได้เข้าไปส่งเสริม เกตรกร เพื่อพัฒนาการปลูกสตรอเบอรี่ในโครงการ การพัฒนาอุตสาหกรรมสตรอเบอรี่ โปรแกรมเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อการพัฒนาชนบท และเกษตรกรรายย่อย เพราะสตรอเบอรี่เป็นพืชท้องถิ่นที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ และมีศักยภาพในการส่งออกสูง การทำโครงการนี้ได้ผลดีมาก จนขณะนี้สตรอเบอรี่มีคุณภาพสูง และเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและนอกประเทศสูงมาก โดยใช้ต้นไหลแม่พันธุ์ที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ และส่งเสริมให้เกษตรกรทั่วไปใช้ต้นไหลคุณภาพดี โดยแทรกแซงในระบบการผลิตดั้งเดิมมีปริมาณการใช้ปีละ 25-30 ล้านต้น โดยนำเทคโนโลยีการผลิตไหลจากงานวิจัยของ ดร.ณรงค์ชัย พิพัฒน์วงศ์ โดยการผลิตไหลแบบปลูกในภาชนะโดยตรง และการผลิตไหลแบบล้างรากผสมกับองค์ความรู้เดิมที่พัฒนาไว้แล้ว เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ และถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตต้นไหลคุณภาพดี ให้เกษตรกรโครงการตั้งเป้าหมายให้เกษตรกร 3 กลุ่ม ใน ต.บ่อแก้ว อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ จะมีต้นไหลสตรอเบอรี่คุณภาพดีร้อยละ 50 และขยายผลไปยังเกษตรกรพื้นที่อื่นๆ ต่อไป การใช้ต้นไหลจากการเพาะเนื้อเยื่อทำให้ต้นไหลแข็งแรง และมีคุณภาพดี บวกกับความพยายามลดการใช้สารเคมีโดยการใช้ปุ๋ยชีวภาพ ทำให้สตรอเบอรี่ที่ปลูกในโครงการมีคุณภาพดีมาก (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 20 ธ.ค. 47 http://www.matichon.co.th)
วิทยาศาสตร์สร้างชีวิตเทียมขึ้นมีคุณสมบัติทางชีววิทยาครบถ้วน
นักวิจัยของมหาวิทยาลัยร็อคกี้เฟลเลอร์ สหรัฐฯ สร้างชีวิตเทียมรูปหนึ่งขึ้น ด้วยการสร้างถุงน้ำที่ทำตัวเหมือนกับยีน เหมือนกับเซลล์ของชีวิตรูปหยาบๆได้จากเศษซากของชีวิตหลายอย่างด้วยกัน อย่างเช่นผนังเซลล์นิ่มทำขึ้นด้วยโมเลกุลไขมันของไข่ขาว และส่วนที่ประกอบกันเป็นเซลล์สกัดมาจากเชื้ออี.โคลิที่พบอยู่ในลำไส้ มันมีคุณสมบัติทางชีววิทยาที่จำเป็นต่อชีวิตอย่างครบถ้วน และเมื่อนำยีนเข้าผสม ส่วนที่เป็นของเหลวของเซลล์ก็สามารถผลิตโปรตีนขึ้นได้อย่างเซลล์ทั่วไป นายอัลเบิร์ต ลิบชาเบอร์ ผู้เป็นหัวหน้าโครงการ ได้ตั้งชื่อให้มันว่า "เครื่องปฏิกรณ์ทางชีววิทยา" และอธิบายว่า มันไม่ได้มีชีวิต แต่มันก็ทำปฏิกิริยาเคมีง่ายๆได้ เขาบอกต่อไปว่า การวิจัยนับเป็นสาขาใหม่ของชีววิทยาอีกสาขาหนึ่ง เรียกกันว่าชีววิทยาสังเคราะห์ ที่มีจุดหมายเพื่อแปรเปลี่ยนรูปแบบของอินทรีย์ หรือสร้างมันกลับขึ้นมาจากเศษชิ้นส่วนใหม่อีก. (ไทยรัฐ อังคารที่ 21 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
ศึกษาพบกำไลแม่เหล็กบรรเทาอาการปวดของโรคข้ออักเสบลง
นักวิจัยของโรงเรียนแพทย์เพนนินซุลาร์แจ้งว่า จากการศึกษาเปรียบเทียบการใช้กำไลข้อมือแม่เหล็กกับกำไลธรรมดา ได้พบว่ากำไลข้อมือแม่เหล็กช่วยให้อาการปวดในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบ แถวตรงสะโพกและหัวเข่า บรรเทาลงจนสังเกตได้ แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละคนเป็นสำคัญ และได้กล่าวว่า ผู้ป่วยเหล่านั้นก็ได้รักษาตามวิธีอื่นอยู่ด้วย คณะนักวิจัยได้แบ่งผู้ป่วยที่อยู่ในวัยระหว่าง 45-80 ปี ออกเป็น 4 กลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มสวมกำไลแม่เหล็กตามขนาดความแรงของแม่เหล็กต่างกัน 3 ขนาด นาน 12 อาทิตย์ แต่กลุ่มหลังสุดให้สวมกำไลธรรมดา โดยขอให้แต่ละคนให้คะแนนตามความรู้สึกว่าอาการเจ็บปวดบรรเทาลงได้มากน้อยเท่าใด เมื่อครบกำหนด 12 อาทิตย์ กลุ่มที่ใส่กำไลแม่เหล็กต่างรายงานว่าอาการปวดได้ทุเลาลง มากน้อยขึ้นอยู่กับขนาดความแรงของแม่เหล็กกำไล แต่กลุ่มที่ใส่กำไลที่มีกำลังอ่อนที่สุด แค่รู้สึกเท่าๆกับกลุ่มที่ใส่กำไลธรรมดาเท่านั้น (ไทยรัฐ อังคารที่ 21 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
เด็กไทยกวาดเหรียญหุ่นยนต์นานาชาติ
การ แข่ง ขัน หุ่น ยนต์ นานา ชาติ WRO2004 (WORLD ROBOT OLYMPIAD) ณ ประ เทศ สิงค โปร์ โดย ทีม เยาวชน ไทย สามารถ ชนะรางวัลเหรียญ มา ครอง ได้ถึง 5 รางวัล จาก การ แข่ง ขัน หุ่น ยนต์ นานา ชาติ ณ COSTA SANDS (Downtown East) ณ ศูนย์ วิทยา ศาสตร์ แห่ง ชาติสิงค โปร์ เมื่อ เร็ว ๆ นี้ เป็น การ ร่วม แข่ง ขัน ของ ตัว แทน ไทย ที่ ได้ รับ รางวัล จาก โครงการ แข่ง ขัน และ พัฒนา หุ่น ยนต์ ระดับ เยาวชน 2004 ใน ประเทศ ไทย ซึ่ง เกิด จาก ความ ร่วม มือ ของ สถาบัน พัฒนาการ เรียน การ สอน วิทยา ศาสตร์ และ คณิตศาสตร์ ( สพวค ) บริษัท แกมมา โก้ ( ประเทศ ไทย ) จำกัด และ ศูนย์ การ ค้า ฟิว เจอร์พา ร์ค รัง สิต ใน การ เปิด เวที ให้ เยาวชน ที่ ชื่น ชอบ โร บอ ท ได้ แสดง ความ สามารถ และ ต่อยอด สู่ ความ สำเร็จ ใน ระดับนานา ชาติ จากทีม กว่า 100 ทีม จาก 13 ประเทศ แบ่ง แยก ออก เป็น 3 ประเภท คือ รุ่น ระดับ ประถม ศึกษา อายุ ไม่ เกิน 12 ปี ( PRIMARY CATEGORY) รุ่น ระดับ มัธยม ศึกษา อายุ ไม่ เกิน 18 ปี ( SECONDARY CATEGORY) และ รุ่น ประเภท ความ คิด สร้าง สรรค์ ( OPEN CATEGORY) เหรียญ แรก เป็น เหรียญ เงิน สนาม MAZE ROBOT หุ่น ยนต์ เขา วงกต รุ่น PRIMARY จาก ทีม PHRAYAMON1 และ ตาม มา อีก 1 เหรียญ ทอง แดง ใน การ แข่ง ขัน SLALOM ROBOT ( หุ่น ยนต์ เก็บ สิ่ง กีด ขวาง ) จาก ทีม CPC ROBOT ต่อ มา เหรียญ เงิน เหรียญ ที่ สอง จาก ทีม RETURN ใน การ แข่ง ขัน SUMO ROBOT (หุ่น ยนต์ ซูโม่ ) ประเภท ความ คิด สร้าง สรรค์ ถือ ว่า เป็น เหรียญ ที่ ทุก ประ เทศ ตั้ง ความ หวัง เป็น ไฮไลต์ ของ งาน ก็ ว่า ได้ ผล งาน หุ่น ยนต์ ช่วย ใน การ ฝึก ซ้อม นัก กีฬา เทเบิล เทนนิส ( ปิงปอง ) ของ เยาวชน ไทย สามารถ คว้า เหรียญ ทอง มา ครอง จาก ทีม ST GABRIEL TEAM 3 และ หุ่น ยนต์ BOXING จาก ทีม THE ACCOMPANY ได้ รับ รางวัล ชม เชย ใน ประเภท นี้ เช่น กัน ทำ ให้ คะแนน รวม เหรียญ รางวัล ของ ไทย ขึ้น มา อยู่ ใน อันดับ 2 ด้วย ความ สำเร็จ ที่ เกิด ขึ้น จาก การ ส่ง เยาวชน ไทย ร่วม แข่ง ขันหุ่น ยนต์ นานา ชาติ WRO2004 (WORLD ROBOT OLYMPIAD) ทำ ให้ เกิด คณะ กรรมการ WRO เลือก ประเทศ ไทย เป็น เจ้า ภาพ จัดการ แข่ง ขัน ใน ปี 2005 (เดลินิวส อังคารที่ 21 ธ.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)
สเต็มเซลล์ไขมันซ่อมกะโหลก
ดร.ฮันส์-ปีเตอร์ โฮวอลด์ มหาวิทยาลัยจูสตูส-ลีบิก ศัลยแพทย์เยอรมันเผยความสำเร็จในการใช้สเต็มเซลล์จากไขมันของเด็กหญิงวัย 7 ปี มาซ่อมแซมกะโหลกที่เสียหายของเธอเอง นับเป็นตัวอย่างแรกที่นักวิจัยแสดงให้เห็นว่า สเต็มเซลล์จากไขมันสามารถสร้างกระดูกให้มนุษย์ได้ สาเหตุที่เลือกใช้สเต็มเซลล์ตัวเต็มวัย (adult stem cells) มาซ่อมแซมกะโหลกศีรษะ ก็เพื่อหลีกเลี่ยงข้อขัดแย้งทางศีลธรรมเกี่ยวกับการใช้สเต็มเซลล์ตัวอ่อน กะโหลกศีรษะใหม่ที่ได้ก็ไม่มีความแตกต่างจากบริเวณปกติที่มีอยู่ (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 21 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
เชียงใหม่เล็งไส้เดือนกำจัดขยะ
ดร.อาณัฐ ตันโช อาจารย์ประจำภาควิชาทรัพยากรดินและสิ่งแวดล้อม คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เปิดเผยว่า ไส้เดือนเป็นตัวกำจัดขยะที่ดีที่สุด นอกจากสามารถกินขยะอินทรีย์ จำพวกเศษอาหารเศษผักได้อย่างเกลี้ยงเกลา และยังได้ปุ๋ยหมักจากอุจจาระไส้เดือน และได้น้ำปุ๋ยชีวภาพออกมาเป็นผลพลอยได้ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อีก นับเป็นกำไร 2 ต่อ ขณะนี้กำลังวิจัยหาสายพันธุ์ไทยที่เหมาะสม สำหรับความสามารถย่อยขยะของไส้เดือนนั้น เนื่องจากภายในลำไส้ของไส้เดือนจะมีจุลินทรีย์อยู่มากกว่า 50 ชนิด ซึ่งจะช่วยในการย่อยขยะ ทั้งยังควบคุมกลิ่น ทำให้ขยะที่ไส้เดือนกำลังย่อยไม่มีกลิ่นเหม็น และปุ๋ยที่ออกมาก็ไม่มีกลิ่นเหม็นอีกด้วย นอกจากนี้ หากใช้ย่อยอุจจาระของมนุษย์ จุลินทรีย์ในลำไส้ไส้เดือนนั้นจะลดจำนวนเชื้อโรคในอุจจาระลงอีกด้วย งานวิจัยใช้ไส้เดือนกำจัดขยะนี้สืบเนื่องมาจากปัญหาขยะล้นเมืองในเชียงใหม่เมื่อปี 2540 และรูปแบบของการกำจัดขยะของเชียงใหม่ที่ผ่านมามี 2 แบบคือ เผากับฝังกลบ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยแม่โจ้ไม่สนับสนุน ทีมวิจัยจึงนึกถึงการใช้ไส้เดือนในการกำจัดขยะ และได้ทำวิจัยเรื่องนี้โดยใช้ไส้เดือนสายพันธุ์เป็นที่นิยมในสหรัฐมาศึกษา นอกจากนี้ยังวิจัยสำรวจไส้เดือนสายพันธุ์ไทย เพื่อหาสายพันธุ์ที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดขยะมากที่สุด และขณะนี้กำลังปรับปรุงพันธุ์ไส้เดือนให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นโดยใช้วิธีตามธรรมชาติ จากการวิจัยพบว่า สายพันธุ์คิตะแร่มีความสามารถในการกินขยะได้เร็วสุด คือไส้เดือน 1 กิโลกรัมย่อยขยะจำนวน 1 ตันหมดในเวลา 4 วัน ทั้งนี้ ไส้เดือนในโลกมีประมาณ 3,000 สายพันธุ์ ในไทยพบ 100 กว่าสายพันธุ์ ราคาไส้เดือนสายพันธุ์ทางการค้าจะอยู่ที่ 11,500 บาทต่อไส้เดือน 4,500 ตัว (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 21 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
ตรวจน้ำลายหามะเร็ง เทคนิคใหม่วินิจฉัยโรคแทนเจาะเลือด
ดร.เดวิด ว่อง ประธานสถาบันชีววิทยาช่องปากและยา แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย มลรัฐลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา เปิดเผยถึงผลการพิสูจน์ชิ้นแรก ที่ระบุว่า เครื่องหมายอาร์เอ็นเอที่อยู่ในน้ำลายสามารถใช้ตรวจหาโรคมะเร็งได้ และน้ำลายยังถูกนำมาวิเคราะห์หาสาเหตุของโรคอื่น รวมถึงโรคเอดส์ ซึ่งต้องตรวจหาเชื้อไวรัสจากการเจาะเลือด การศึกษาดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ในรายงานวิจัยโรคมะเร็งทางคลินิก ระบุว่า วิธีนี้เป็นวิธีการใหม่ที่นำมาตรวจหาอาการของโรค โดยใช้ของเหลวจากร่างกายโดยไม่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บเหมือนกับการเจาะเลือดตรวจ และสามารถตรวจหาลักษณะของโรคบางอย่างได้ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง และด้วยเทคโนโลยีนี้ยังสามาถใช้วิเคราะห์ยีนได้อย่างรวดเร็ว คณะทำงานได้วิจัยย้อนไปสืบหาเบาะแสของโรค จากตัวอย่างน้ำลายที่ได้จากผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งในช่องปาก เพื่อหารูปแบบการรวมตัวกันของอาร์เอ็นเอ 4 ตัว จาก 3 พันตัว ในน้ำลาย ซึ่งอาร์เอ็นเอพวกนี้เป็นชุดสำเนาของคำสั่ง ในการผลิตโปรตีนของร่างกาย และสามารถนำมาใช้เป็นดัชนีชี้ภาวะของโรคโรคมะเร็งลำคอ และสมองได้ รวมไปถึงมะเร็งช่องปาก ลิ้น กล่องเสียง และคอหอย ทั้งนี้ ในร่างกายของมนุษย์จะมีชุดข้อมูลสำคัญที่สุด เพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ในแต่ละวันที่เรียกว่า ดีเอ็นเอ อย่างไรก็ดี คลังข้อมูลเหล่านี้จะไม่ทำหน้าที่ผลิตโปรตีนให้ร่างกาย แต่จะให้อาร์เอ็นเอ ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทน เป็นผู้ทำหน้าที่แทน เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น และส่งผลเสียต่อร่างกาย จากการตรวจสอบน้ำลายจากผู้ป่วย จำนวน 32 คน ซึ่งมีทั้งผู้ป่วยโรคมะเร็งสมองและโรคมะเร็งลำคอ เทียบเคียงกับกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุ 32 ปีเช่นกัน ซึ่งไม่ได้ป่วยเป็นมะเร็ง แต่เคยมีประวัติสูบบุหรี่ สามารถแยกได้ว่า กลุ่มไหนคือกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นมะเร็ง และกลุ่มไหนไม่ได้เป็น โดยมีความแม่นยำถึงร้อยละ 91 (คมชัดลึก อังคารที่ 21 ธ.ค. 47 http://www.komchadluek.net)
อร่อยในอวกาศ
นักวิจัยขององค์การนาซาได้รับการพัฒนาอาหารบนยานอวกาศให้มีรสชาติและรูปลักษณ์น่ารับประทานและคล้ายกับอาหารบนพื้นโลกมากยิ่งขึ้น แถมยังมีโอกาสได้รับประทานผักและผลไม้สดบ้างตามสมควร แม้ว่าตอนนี้จะมีรายการอาหารในเมนูอยู่ไม่มากนักก็ตาม แต่สำหรับการเดินทางไปดาวอังคารนั้น การจะเอาอาหารสำเร็จรูปหรือของสดไปด้วยเป็นปริมาณมาก ๆ นั้นย่อมลำบากแน่นอน ดังนั้นสิ่งเดียวที่จะทำให้นักบินอวกาศได้รับประทานอาหารที่มีรสชาติและหน้าตาเหมือนบนโลกมากที่สุดก็คือการปลูกเอาเองบนยานอวกาศนั่นแหละแล้วใช้เครื่องจักรแปรรูปวัตถุดิบให้เป็นอาหารเอา ยกตัวอย่างเช่นเจ้าเครื่องมือที่นักวิศวกรอาหาร (Food Engineer) จาก University of California เรียกเล่น ๆ ว่า โรงงานมะเขือเทศ เครื่องมือดังกล่าวสามารถแปรรูปวัตถุดิบจากผลมะเขือเทศสด ๆ ให้อยู่ในรูปแบบที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็น การฝาน หั่น ซอย หรือแม้กระทั่งทำให้เป็นน้ำซุป แต่คงจะไม่ถึงขนาด ต้ม ผัด แกง ทอด เหมือนอาหารบ้านเรา นอกจากนั้นแล้วยังมีแผนการที่จะสร้างเครื่องที่สามารถแปรรูปธัญพืชให้เป็นแป้งแล้วกลายเป็นขนมปังอีกทีด้วย วิศวกรบอกว่าเครื่องจักรเหล่านี้จะต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญ 2 ประการด้วยกันคือ อเนกประสงค์ และ กะทัดรัด จากนี้ไปเราก็จะได้เห็นวิวัฒนาการและการพัฒนาของเทคโนโลยีทางด้านอาหารสำหรับการเดินทางในอวกาศกันมากยิ่งขึ้น เนื่องด้วยมนุษย์เรายังมีภารกิจสำคัญที่รออยู่คือการส่งมนุษย์ไปยังดาวอังคารในอนาคตไม่ไกลนี้ ไม่แน่ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้อาจมีประโยชน์และสามารถนำมาใช้ได้กับอุตสาหกรรมอาหารบนโลกนี้ก็ได้ .(เดลินิวส์ พุธที่ 22 ธ.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)
เอกชนไทยรับทุน พัฒนาซอฟต์แวร์ คุมบำบัดน้ำเสีย
นายประเสริฐ ปองปรีดา กรรมการผู้จัดการบริษัท พลาตินัมเคมีคอล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้ผลิตเครื่องกรอง (Filter Press) ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญตัวหนึ่งของระบบบำบัดน้ำเสีย ทำหน้าที่กรองสิ่งที่มีส่วนผสมระหว่างของแข็งและของเหลวด้วยแรงดัน สำหรับใช้ในอุตสาหกรรมหลักๆ แทบทุกประเภท รวมถึงอุตสาหกรรมอาหาร บริษัทได้ขอเข้ารับการสนับสนุนจากโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP) ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นการนำเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ หรือ PLC มาใช้ควบคุมการทำงานของเครื่องกรอง โดยทาง สวทช.ได้จัดส่งผู้เชี่ยวชาญทางด้าน PLC จากสถาบันไทย-เยอรมัน เข้ามาเป็นที่ปรึกษา ปัจจุบันบริษัทได้พัฒนาซอฟต์แวร์ที่ควบคุมการทำงานของเครื่องกรองผ่าน PLC เสร็จเรียบร้อย ซึ่งอีก 5 ปีจะทำให้บริษัทเป็นผู้ผลิตเครื่องกรอง Filter Press ที่ควบคุมการทำงานด้วยระบบดังกล่าวเพียงรายเดียวของไทย (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 22 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
พบมังคุดสยบมะเร็ง-เอดส์ มหิดลเล็งทำยาจากสมุนไพร
ศ.ดร.วิชัย ริ้วตระกูล หัวหน้าโครงการวิจัยการศึกษาพื้นฐานทางเคมีอินทรีย์สังเคราะห์และการศึกษาสารที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพจากธรรมชาติ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็น 1 ใน 10 โครงการที่ได้รับรางวัล "งานวิจัยเด่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ประจำปี 2547" เปิดเผยว่า ทีมงานได้ศึกษาพืชสมุนไพรไทยนับร้อยชนิด และได้พบสารสำคัญในพืชตระกูลพุดและมังคุด ได้แก่ รงทอง และคำมอกน้อย ซึ่งในเบื้องต้นพบว่ามีสารบริสุทธิ์บางตัวที่สามารถนำมาพัฒนาต่อเป็นยารักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเยื่อบุปาก และโรคเอดส์ได้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบพิษวิทยาเบื้องต้น คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี หลังจากนั้นจะเป็นการศึกษาทางคลินิก ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 3 ปี จากการทดสอบด้านพิษวิทยาขณะนี้พบว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจมาก โดยเฉพาะพืชตระกูลพุด เท่าที่ทำวิจัยพบว่ามีสารที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อเอดส์และมะเร็งได้เป็นอย่างดี สำหรับงานวิจัยอื่นอีก 9 ชิ้นงาน ได้แก่ โครงการอณูชีววิทยาไข้หวัดนกและการพัฒนาตรวจวินิจฉัย โดย ศ.น.พ.ยง ภู่วรวรรณ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โครงการการผลิตและประยุกต์ใช้ถ่านกัมมันต์จากยางล้อใช้แล้ว โดย ดร.พิศิษฐ์ อริยเดชวณิช นักศึกษาปริญญาเอกในโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) โครงการการพัฒนากฎหมายป้องกันและปราบปรามองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยนายวันชัย รุจนวงศ์ และคณะ โครงการการพัฒนามาตรฐานการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ดีในการผลิตของศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ โดย ผศ.ดร.วินัย พุทธกูล และคณะ โครงการการเรียนรู้เรื่องวิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ โดย น.อ.ฐากูร เกิดแก้ว และคณะ โครงการวิทยาศาสตร์ท้องถิ่น โดย ดร.สรยุทธ รัตนพจนารถ โครงการวิจัยและพัฒนาเพื่อปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งโรงเรียน โดย รศ.ดร.ทิศนา แขมมณี โครงการการพัฒนาระบบการสื่อสารเรื่องสีเพื่อประเมินคุณภาพของอัญมณี โดย ศ.ศักดา ศิริพันธุ์ และกลุ่มโครงการวิจัยเทคโนโลยีเคลือบฟิล์มบาง โดย รศ.สุรสิงห์ ไชยคุณ (คมชัดลึก พุธที่ 22 ธ.ค. 47 http://www.komchadluek.net)
วิจัยพบอันตรายคลื่นมือถือ ทำลายดีเอ็นเอ
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม อ้างผลการวิจัยในห้องทดลองเป็นระยะเวลา 4 ปี ที่สำนักค้นคว้าวิจัยร่วมกัน 12 แห่ง จาก 7 ประเทศ ในสหภาพยุโรป(อียู) พบว่า คลื่นวิทยุจากโทรศัพท์มือถือนั้นมีอันตรายต่อเซลล์ในร่างกายมนุษย์และยังมีผลทำลายดีเอ็นเอด้วย
รายงานผลการทดลองระบุว่า จำนวนรอยแตกในสายดีเอ็นเอ ได้มีเพิ่มมากขึ้นเมื่อสัมผัสคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าดังกล่าว และความเสียหายที่เกิดขึ้นกับดีเอ็นเอบางส่วนนั้นไม่แน่ว่าจะซ่อมแซมได้อีก ทั้งนี้ นายฟรานซ์ อดิคอฟเฟอร์ หัวหน้าโครงการวิจัยได้แนะนำว่า ควรจะใช้โทรศัพท์มือถือเฉพาะในเวลาที่หาโทรศัพท์ปกติใช้ไม่ได้ และหากจำเป็นต้องใช้ก็ควรจะใช้ควบคู่กับหูฟังสำหรับโทรศัพท์มือถือ อย่างไรก็ดี โครงการศึกษาวิจัยที่ใช้ชื่อว่า "รีเฟล็กซ์" ซึ่งจัดทำร่วมกับกลุ่มนักวิจัย เวอร์รัม จากเยอรมนี เพื่อศึกษาผลจากคลื่นรังสีที่มีต่อเซลล์ของมนุษย์และสัตว์ในห้องทดลองนั้น ไม่ได้พิสูจน์ว่า โทรศัพท์มือถือมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ แต่ได้สรุปว่า การศึกษาวิจัยที่มากขึ้นหรือใช้เวลามากขึ้นนั้นมีความจำเป็นในการพิสูจน์ว่าคลื่นโทรศัพท์มือถือมีผลต่อสุขภาพได้ นอกเหนือจากการศึกษาทดลองในห้องทดลองเพียงอย่างเดียว (มติชนรายวัน พุธที่ 22 ธ.ค. 47 http://www.matichon.co.th)
วว.คิดค้น5ผลิตภัณฑ์น้ำมันมะพร้าวบีบเย็นตั้งเป้าพัฒนายา-ส่งสปา
ดร.นงลักษณ์ ปานเกิดดี ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย(วว.) เปิดเผยว่า วว.ประสบความสำเร็จในการพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำมันมะพร้าวบีบเย็นคุณภาพสูง และสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์จากน้ำมันมะพร้าวเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและยา เพื่อสุขภาพได้อย่างครบวงจร โดยได้รับการสนับสนุนจากองค์กรอาหารแห่งสหประชาชาติ(FAO) ทำให้ได้น้ำมันมะพร้าวจากกระบวนการแบบใหม่ มีลักษณะใสและคงคุณสมบัติดั้งเดิมของน้ำมันมะพร้าวไว้อย่างครบถ้วน พร้อมต่อยอดพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยเฉพาะยาและเครื่องสำอาง พร้อมถ่ายทอดไปสู่ภาคอุตสาหกรรมเพื่อผลิตเชิงพาณิชย์ครบวงจร ดร.นงลักษณ์กล่าวว่า เดิมน้ำมันมะพร้าวที่ผลิตในระดับอุตสาหกรรม ต้องนำเนื้อมะพร้าวผ่านความร้อนสูง แล้วจึงนำไปบีบอัดจนเกิดความร้อนในเนื้อมะพร้าว ทำให้ได้น้ำมันที่มีสีเหลืองเข้ม ยิ่งกว่านั้นเนื้อมะพร้าวที่ผ่านการทำให้แห้งด้วยการตากแดดเป็นระยะเวลาหลายวัน ก่อนนำมาผ่านความร้อนสูงนั้น ทำให้น้ำมันมีการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ ส่งผลให้คุณค่าของน้ำมันมะพร้าวลดลง ในขณะที่การผลิตน้ำมันมะพร้าวบีบเย็นคุณภาพสูงจะให้น้ำมันมะพร้าวที่มีกลิ่นหอม คงรสธรรมชาติของน้ำมันมะพร้าว และยังคงอุดมสารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารต้านอนุมูลอิสระเหมาะอย่างยิ่งสำหรับใช้ในการผลิตยาและเครื่องสำอางถือเป็นความสำเร็จของการนำวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตรของประเทศอีกด้วย ด้าน ดร.ทวีศักดิ์ สุนทรธนศาสตร์ ผู้อำนวยการฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ กล่าวว่า สำหรับผลิตภัณฑ์น้ำมันมะพร้าวบีบเย็น ได้แก่ 1.น้ำมันนวดไพลโคล มีสรรพคุณบรรเทาอาการเคล็ด ขัดยอก ปวดบวม และฟกช้ำ 2.สบู่สมุนไพรโคโคโซบ ผสมน้ำมันตะไคร้หอม ตะไคร้ไทย แฝก มะนาว ขมิ้น ซึ่งผ่านการทดสอบฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ใช้ทำความสะอาดผิวพรรณ ฆ่าเชื้อและให้ความสดชื่น พร้อมกับบำรุงผิว 3.น้ำมันบำรุงผิวโคบูที อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และไวตามินอี ช่วยบำรุงผิวหน้าและผิวกายให้มีความชุ่มชื้นทั้งยังช่วยลดการเหี่ยวย่น 4.น้ำมันบำรุงเส้นผมโคนูริช ช่วยบำรุงเส้นผม ป้องกันผมเสีย 5.น้ำมันนวดตัวโครีแล็กซ์ เป็นมอยเจอร์ไรเซอร์ จะช่วยบำรุงผิวให้มีความชุ่มชื้น และช่วยสร้างสารปกป้องผิวและเชื้อแบคทีเรียตามธรรมชาติได้ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เหมาะสำหรับใช้ในสปาอย่างมาก (มติชนรายวัน พุธที่ 22 ธ.ค. 47 http://www.matichon.co.th)
น.ศ.สวนดุสิตคิดค้นเครื่องคั้นน้ำมะนาวเร็วจี๋
นายสรรเสริญ เหมพิจิตร นักศึกษาภาคสมทบ ชั้นปีที่ 2 โปรแกรมวิชาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เปิดเผยถึงผลงานประดิษฐ์ของตน เครื่องคั้นน้ำมะนาวกึ่งอัตโนมัติว่า เครื่องคั้นน้ำมะนาวที่คิดค้นขึ้นทำจากสแตนเลส โดยความพิเศษของเครื่องนี้คือสามารถใส่มะนาวไปได้ทั้งลูก โดยเครื่องจะทำการผ่ามะนาว และคั้นได้เลย ไม่ต้องอาศัยแรงงานจากคนในการผ่า ซึ่งถ้าเทียบแล้วถ้าใช้แรงงานคนในการผ่า จนได้น้ำมะนาว 1 ลูก ใช้เวลา 12 วินาที แต่ถ้าใช้เครื่องมือนี้ ใช้เวลาเพียง 1.6 วินาที โดยเครื่องนี้สามารถจุมะนาวต่อครั้งได้ 500 กว่าลูก โดยงบประมาณที่ใช้ในการประกอบเครื่องนี้ประมาณ 25,000 บาท การคิดค้นเครื่องนี้ ได้มีการทำการวิจัยทดลองนำเครื่องนี้ไปใช้ ในกลุ่มแม่บ้าน ต.ท่าขาม อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ปรากฏว่าได้รับความพึงพอใจในการใช้งานอย่างมาก เพราะทุ่นแรงและเวลา นอกจากนี้ทางคณะที่คิดค้นได้มีการทดลองใช้ในโครงการหลวงส่วนพระองค์ฯ สวนจิตรลดา ด้วย โดยท่านที่สนใจอยากได้ข้อมูลของเครื่องคั้นน้ำมะนาวนี้ สามารถติดต่อได้ที่ 09-5147125 (ข่าวสด พุธที่ 22 ธ.ค. 47 http://www.matichon.co.th/khaosod)
"ไบโอเทค" ลุ้น 9 สมุนไพรพิชิตหวัดนก
นายศักดิ์รินทร์ ภูมิรัตน ผอ.สำนักงาน พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แถลงตอนหนึ่งในการแถลงผลงานรอบปี 2547 ของ สวทช. ว่า แม้ที่ผ่านมาจะได้รับการสนับสนุนงบประมาณวิจัยเพิ่มมากขึ้น โดยปี 2548 ได้รับงบรวม 2,700 ล้านบาท แต่ในแง่ของการผลิตบุคลากร การวิจัยพัฒนา และการลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานรองรับกับความต้องการของเอกชน ก็ยังไม่เพียงพอ ซึ่งในปี 48 จะเน้นการสร้างเด็กรุ่นใหม่ๆด้วยการจัดค่ายวิทยาศาสตร์ถาวร และนโยบายที่ยังคั่งค้าง เช่น นโยบายด้านเทคโนโลยีชีวภาพ เป็นต้น ซึ่งในภาพรวมคิดว่าผลงานวิจัยและพัฒนาของสวทช.และศูนย์ทั้ง 4 แห่ง ประสบความสำเร็จและตอบสนองและแก้ปัญหาให้ประเทศชาติได้ นางมรกต ตันติเจริญ ผอ.ไบโอเทค กล่าว ขณะนี้ไบโอเทคยังได้ให้ทุนศึกษาความเป็นได้ในการหาสารต้านไวรัสหวัดนก จากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ โดยตั้งเป้าศึกษาสารที่สามารถยับยั้งเอนไซม์นิวรามิดิเนส ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ช่วยให้ไวรัสไข้หวัดนกแพร่กระจายเข้าในผนังเซลล์ของสิ่งมีชีวิต ทั้งนี้ทีมวิจัยได้ค้นหาข้อมูลออกฤทธิ์ทางชีวภาพในฐานข้อมูลสมุนไพร และฐานข้อมูลโมเลกุล โดยล่าสุดได้โครงสร้างของสารที่มาจากสมุนไพร 9 ชนิด สูตรโครงสร้างที่คาดว่าจะให้ ผลต้านไวรัสไข้หวัดนกเป็นที่น่าพอใจ และจะเริ่มทดสอบเชื้อในหลอดทดลองเร็วๆนี้ อย่างไรก็ตาม นับเป็นการนำข้อมูลเกี่ยวกับสารสมุนไพรไทยมาใช้ในเชิงลึกครั้งแรก. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 23 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
อย.ผ่านเครื่องนวดอัลตราซาวนด์ วิจัยต่อยอดทำอุปกรณ์กายบำบัด
ดร.นงลักษณ์ ปานเกิดดี ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เปิดเผยว่า เครื่องนวดหน้าอัลตราซาวนด์ ซึ่งเป็นผลงานการพัฒนาของฝ่ายเทคโนโลยีวัสดุเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ขณะนี้ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยทางการแพทย์ จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว วว.ได้ส่งต่อเทคโนโลยีให้บริษัท เมดโดซิน จำกัด บริษัทผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์เพื่อทำการผลิตในเชิงพาณิชย์ และได้นำไปใช้จริงแล้วในสถานพยาบาลเสริมความงาม ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีวัสดุ วว. กล่าวว่า ได้ศึกษาการใช้เทคโนโลยีผลิตเพียโซอิเล็กทริกทรานสดิวเซอร์ โดยอาศัยวงจรไฟฟ้าเป็นตัวควบคุมความแรง จังหวะของคลื่นและหัวนวด ซึ่งทำให้เกิดการสั่นสะเทือนด้วยความสูงถึง 1 ล้านครั้งต่อวินาที บนคลื่นความถี่ประมาณ 1 เมกะเฮิร์ตซ์ ขณะที่ส่งคลื่นดังกล่าวผ่านเข้าไปยังบริเวณผิวหนัง คลื่นจะส่งผลให้เกิดการสั่นของโมเลกุลน้ำเหลืองและเลือด ช่วยการหมุนเวียนได้ดีกว่าปกติ ลดการอุดตันของสิ่งสกปรกที่อยู่ใต้รูขุมขุน ทำให้เซลล์ใต้ผิวหนังทำงานได้ดียิ่งขึ้น สำหรับในขั้นตอนต่อไปนักวิจัยจะศึกษาเพิ่มเติมถึงศักยภาพของเครื่อง ในการพัฒนาเครื่องดังกล่าวให้สามารถใช้งาน ในลักษณะเครื่องนวดตัวกายภาพบำบัด คลายกล้ามเนื้อ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นของการทดสอบทางคลินิก เครื่องนวดหน้าอัลตราซาวนด์ จะช่วยเป็นส่วนเสริมการนวดผิวด้วยเจลน้ำ หรือครีมทาผิวให้มีประสิทธิภาพในการซึมซับเข้าสู่ผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น เหมาะกับการนำไปใช้ในสถานเสริมความงามทั่วไป เนื่องจากตัวเครื่องมีราคาต่ำกว่าเครื่องที่นำเข้าจากต่างประเทศถึงร้อยละ 50 ในขณะที่ประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 23 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
เครื่องให้อาหารไก่อัตโนมัติ ประหยัดแรง-กันไข้หวัดนก
การเลี้ยงไก่ จะต้องระมัดระวังไม่ให้ติดเชื้อโรค ไม่อย่างนั้นไก่ที่ติดโรคอาจทำให้คนกินไม่สบาย และคนเลี้ยงอาจถึงขั้นหมดตัว เครื่องให้อาหารไก่ไข่อัตโนมัติ จึงเป็นทางเลือกของความปลอดภัย โดยฝีมือของนายต่อสกุล โกศัยกุล น้องต่อ และนายสันติภาพ ชัยชนะ น้องอาร์ท นักเรียนโรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย จ.นครราชสีมา ซึ่งได้รับรางวัลที่ 2 จากการประกวดโครงงานคอมพิวเตอร์ระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย ประเภทประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ในโอกาสวันสถาปนาสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ครบรอบ 32 ปี ได้ออกแบบระบบให้อาการไก่ในโรงเรือนระบบปิดแบบสมบูรณ์ โดยใช้เครื่องจักรแทนคนที่จะเข้าไปให้อาหารไก่ ภายใต้การดูแลของอาจารย์นิพนธ์ สมัครค้า ผู้คอยให้คำปรึกษาด้านการเขียนโปรแกรม และความเหมาะสมของแบบจำลอง โดยใช้ต้นทุนประมาณ 5,000 บาท ซึ่งหากจะติดตั้งระบบให้อาหารในโรงเรือนเลี้ยงไก่คงต้องใช้ต้นทุนมากกว่านี้ ขึ้นอยู่กับขนาดของโรงเลี้ยง สำหรับระบบซอฟท์แวร์ที่ใช้ คือโปรแกรม I-BOX Cricket LOGO 1.20A ที่เขียนคำสั่งไปควบคุมไมโครคอนโทรลเลอร์ I-BOX มาช่วยในการทำงานและประมวลผล โดยเช็คตามเงื่อนไขที่ผู้ใช้ได้เลือกไว้ เมื่อผู้ใช้เลือกอายุของไก่ที่จะให้อาหาร เครื่องก็จะเคลื่อนที่ไปตามรางให้อาหาร จนพบตำแหน่งที่เหมาะสมในแต่ละจุด ก็จะปล่อยอาหารออกมาตามจำนวนที่กำหนดให้ สอดคล้องตามอายุของไก่ และจะทำเช่นนี้ต่อไปจนถึงปลายทาง เครื่องก็จะวิ่งกลับมาในตำแหน่งเดิมแต่กระนั้นก็อาจจะเกิดความผิดพลาดได้ โดยเฉพาะเรื่องขนาด ชนิดของอาหาร และความชื้นในอากาศ อาจส่งผลให้ปริมาณอาหารที่เครื่องให้อาหารไก่ไข่อัตโนมัติปล่อยออกมามีความคลาดเคลื่อนจากปริมาณที่กำหนดไว้ จึงแก้ไขด้วยการออกแบบใบพัดสำหรับให้อาหารไก่ ให้เหมาะกับขนาดและชนิดของอาหาร และออกแบบโปรแกรมให้มีความยืดหยุ่น สามารถปรับใช้งานได้เหมาะกับสภาวะต่างๆ ได้ (สยามรัฐ พฤหัสบดีที่ 23 ธ.ค. 47 http://www.siamrath.co.th)
ม.สุรนารีทุ่ม 30 ล้าน ผลิตตัวอ่อนป้อนวิจัย
ดร.รังสรรค์ พาลพ่าย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเทคโนโลยีตัวอ่อนและเซลล์ต้นกำเนิด มหาวิทยาลัยสุรนารี และเป็นนักวิจัยที่ประสบความสำเร็จในการทำโคลนนิงวัวตัวแรกของไทย เมื่อปี 2543 เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยแห่งนี้เพิ่งตั้งได้เพียงหนึ่งเดือน โดยได้รับงบสนับสนุนระยะเวลา 5 ปี มูลค่า 30 ล้านบาท จากมหาวิทยาลัยสุรนารี ซึ่งในปีแรกจะเร่งจัดสร้างห้องปฏิบัติการผลิตตัวอ่อน และห้องปฏิบัติการพิเศษที่มีระบบป้องกันการติดเชื้ออย่างดี วัตถุประสงค์ในการตั้งศูนย์วิจัย ขึ้นมาก็เพื่อผลิตสเต็มเซลล์ไลน์สำหรับใช้รักษาคนในอนาคต ซึ่งจะเป็นการผลิตตามสั่ง หรือตามลักษณะพันธุกรรมของแต่ละคน เพื่อลดปัญหาการต่อต้านจากภูมิคุ้มกัน และศูนย์ยังจะผลิตตัวอ่อนในวัวเพื่อสร้างวัวพันธุ์ดีสำหรับเกษตรกร รวมทั้งสร้างธนาคารสเต็มเซลล์สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ เช่น กระทิง และแมวลายหินอ่อนด้วย ปัจจุบันศูนย์ได้ทำโคลนนิงวัวสำเร็จแล้วเป็นจำนวน 10 ตัว และกำลังดำเนินการโคลนนิงตัวอ่อนกระทิง และแมวลายหินอ่อนเพื่อผลิตเซลล์ไลน์จัดเก็บไว้ในธนาคารสเต็มเซลล์ ขณะที่โครงการวิจัยสเต็มเซลล์เพื่อรักษาโรคเบาหวานในหนู ซึ่งเริ่มดำเนินการราวกลางปี 2547 ประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ และพร้อมต่อยอดทดลองในลิงเป็นลำดับต่อไป (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 24 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
สกัดเปลือกต้นคริสต์มาส เยียวยาโรคข้ออักเสบ
ต้นสนสกอต ซึ่งนักวิจัยศึกษาพบว่าเปลือกของสนชนิดนี้มีคุณสมบัติทางเคมีในการแก้อาการอักเสบ ซึ่งรวมถึงโรคข้อด้วย คุณสมบัติที่พิเศษของเปลือกต้นสนชนิดนี้รู้กันมาพักหนึ่งแล้วว่า สามารถใช้รักษาโรคได้ โดยภูมิปัญญาโบราณได้สกัดสารจากเปลือกของต้นสนสกอตมาใช้ทำยา และปัจจุบันยังคงถูกนำมาใช้เป็นอาหารเสริมรับประทานกันในยุโรป งานวิจัยไม่ได้อธิบายชัดเจนว่าทำไมชาวบ้านถึงกินสารสกัดต้นสน แต่พวกเขารู้ว่าเปลือกสนมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ต้นไม้ชนิดนี้เป็นที่หมายปองนำมาใช้ศึกษากัน เช่นเดียวกับนักวิจัยจากคณะเคมีสิ่งแวดล้อมมหาวิทยาลัยเตอร์กู ประเทศฟินแลนด์ ที่ได้นำเอาต้นสนสกอตมาสกัดหาสารเคมีที่ใช้รักษาโรค ทีมวิจัยได้ต้มและสกัดสารจากเปลือกสนในห้องวิจัย และศึกษาอย่างละเอียดเพื่อหาส่วนประกอบสำคัญจนเจอสารประกอบเคมีได้ 28 ชนิด และพบว่ามีอยู่ 8 ชนิด ที่ดูน่าจะมีความเป็นไปได้ในการใช้รักษาทางการแพทย์ แม้ว่าก่อนหน้านี้สารเคมีที่พบจะเป็นที่รู้จักกันมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้มีการศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับสารแต่ละตัว ทีมงานได้ทดลองนำเอาสารสกัดไปใช้ทดสอบกับเซลล์ที่เกิดการอักเสบของหนู โดยนำเอาสารสกัดขนาดต่างๆ มาใช้ทดสอบ และพบว่าสารสกัดที่มีความบริสุทธิ์สูงสุดสามารถกำราบเซลล์ไม่ให้ผลิตสารเคมีที่ก่อให้เกิดการอักเสบได้ อย่างไรก็ดี ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าเปลือกต้นสนสกอตจะสามารถพัฒนามาใช้เป็นยารักษาโรคข้ออักเสบ หรืออาการอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการอักเสบภายในร่างกาย ขณะเดียวกันได้กล่าวเตือนว่า ไม่ควรทดลองต้มสกัดเองในบ้าน (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 24 ธ.ค. 47 http://www.komchadluek.net)
แผงโซล่าร์คมบาง เย็บติดกระเป๋าเป้ เป็นที่ชาร์จแบตฯ
สหภาพยุโรปใช้งบป้อนงานวิจัยแผงโซล่าร์เซลล์ ชูจุดเด่นที่บางกว่าแผงทั่วไป 10 เท่า มีความยืดหยุ่นสูงโค้งงอได้ ระบุประยุกต์ใช้เป็นส่วนประกอบในเสื้อผ้า แผงคุมเต็นท์และกระเป๋า ให้เป็นแหล่งพลังงานสำหรับชาร์จแบตเตอรี่มือถือ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พกพา นวัตกรรมดังกล่าวเป็นความร่วมมือของทีมวิจัยสามชาติ ภายใต้การสนับสนุนด้านงบประมาณจากสหภาพยุโรปหรืออียู โดยมีบริษัทแอคโซ-โนเบล ธุรกิจร่วมระหว่างสวีเดนและฮอลแลนด์ เป็นหุ้นส่วน ซึ่งเน้นไปที่นโยบายพลังงานสะอาดเพื่อสิ่งแวดล้อม คาดว่าภายในสามปีก็จะพร้อมวางจำหน่าย คุณสมบัติเด่นของแผงโซล่าร์เซลล์ดังกล่าว อยู่ที่ความยืดหยุ่นและอ่อนตัว อีกทั้งยังมีราคาไม่สูงนัก เนื่องจากสามารถผลิตได้ในลักษณะของแผงแบบม้วน ช่วยให้ผู้ใช้สามารถนำมาตัดเย็บเป็นชิ้นส่วนหนึ่งของเครื่องแต่งกาย เฟอร์นิเจอร์ หรืออาจเป็นหลังคาเต็นท์ได้ตามต้องการ ซึ่งแผงโซลาร์เซลล์จะทำหน้าที่แปลงแสงอาทิตย์ให้เป็นกระแสไฟฟ้า เทคโนโลยีการผลิตพื้นฐานจะเหมือนกับแผงโซล่าร์เซลล์ทั่วไป แต่จะใช้โพลีมอร์ฟัสซิลิคอน แทนที่จะเป็นคริสตัลไลน์ซิลิคอน โดยความหนาของแผงเซลล์ที่ได้จะหนากว่าฟิล์มถ่ายรูปเล็กน้อย หรือเพียง 1 ไมโครเมตรเท่านั้น แต่จะมีความบางกว่าแผงทั่วไปมากถึง 10 เท่า อย่างไรก็ตามกระแสไฟที่ได้อาจยังไม่ดีนัก เพราะแผงโซล่าร์เซลล์ที่ดีที่สุดในปัจจุบันสามารถให้พลังงานได้มากถึง 20% ขณะที่แผงรูปแบบใหม่ทำได้เพียง 7% เท่านั้น แต่พลังงานในปริมาณดังกล่าวก็เพียงพอแล้วที่จะนำมาประกอบร่วมกับเสื้อแจ๊คเก็ต หรือกระเป๋าเป้ เพื่อชาร์จโทรศัพท์มือถือขณะเดินกลางแจ้ง หรือจะทำเป็นแผงคลุมเต็นท์ เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ทั้งวันก็ไม่เป็นปัญหา (กรุงเทพธุรกิจ อาทิตย์ที่ 26 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
ข่าวทั่วไป
วิจัยชี้เครื่องเล่นใน ร.ร.รัฐ 100% ชำรุด "ไม้ลื่น-ชิงช้า" ครองแชมป์อุบัติเหตุสูงสุด
ที่รพ.รามาธิบดี มีการประชุมเรื่อง "โรงเรียนปลอดภัย ครั้งที่ 2/2547" โดย น.ส. ชฎาพร สุขสิริวรรณ นักวิจัยโครงการโรงเรียนปลอดภัยและการจัดการความรู้ เรื่องความปลอดภัยในเด็กศูนย์วิจัย เพื่อการสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกัน การบาดเจ็บในเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี กล่าวว่า จากสถิติพบว่าในแต่ละปีมีเด็กประสบอุบัติเหตุจากการเล่นเครื่อง เล่นประมาณ 34,075 รายต่อปี เสียชีวิตประมาณ 3 รายต่อปี และมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี โดยเกิดจากเครื่องเล่นภายในโรงเรียนมากที่สุด รองลงมาคือในหมู่บ้าน ชุมชน ตามด้วยสวนสาธารณะ และคาดว่าปริมาณเด็กที่ประสบอุบัติเหตุจะสูงกว่านี้ และจะเกิดขึ้นในเด็กอายุ 5-12 ปี 44% มีสาเหตุมาจากกระดานลื่น 33% เกิดจากชิงช้า นอกจากนั้น คือม้าหมุนและเครื่องเล่นอื่นๆ และจากการประชุมร่วมกับเครือข่ายโรงเรียนปลอดภัย 20 แห่ง ทำให้ทราบว่าเด็กที่ประสบอุบัติเหตุจากเครื่องเล่นภายในโรงเรียนเกิดจาก 1. เครื่องเล่นเหล่านั้นได้รับการบริจาคมา 2. เด็กเล่นเครื่องเล่นโดยขาดความรู้เรื่องอุปกรณ์ 3. ขาดทักษะการเล่น 4. ไม่มีป้ายให้คำแนะนำ 5. ขาดการตรวจสอบจากผู้บริหารและครู. (ไทยรัฐ 22 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
ภูฏานประกาศตั้งชาติปลอดบุหรี่ห้ามจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาสูบหมด
ประเทศภูฏาน ราชอาณาจักรเล็กๆทางเทือกเขาหิมาลัย สั่งเลิกจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาสูบทั้งหมด ทุกประเภททั่วประเทศ เพื่อให้เป็นชาติปลอดบุหรี่ ยกเว้นให้กับนักท่องเที่ยว และนักการทูตต่างชาติเท่านั้น นับเป็นชาติแรกของโลก คำสั่งห้ามได้กำหนดระวางโทษผู้กระทำผิด ด้วยการปรับเป็นเงิน 8,400 บาท พร้อมกับยึดใบอนุญาตเจ้าของร้าน และโรงแรมที่กระทำผิดอีกด้วย หากเป็นชาวต่างชาติฝ่าฝืนจำหน่ายให้กับคนภูฏาน ก็จะถูกลงโทษอย่างหนัก ฐานลักลอบนำสินค้าเข้าประเทศ และถือว่าของเหล่านั้นเป็นของต้องห้ามด้วย. (ไทยรัฐ 22 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
สธ.ย้ำWHOเตือนระวัง เชื้อหวัดนกกลายพันธุ์
รมช.สาธารณสุขย้ำ คำเตือน WHO ระวังช่วงใกล้วงจร 20 ปีการระบาดไวรัสไข้หวัดใหญ่ หวั่นการกลายพันธุ์ลามไปสู่เชื้อไข้หวัดนก ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสระบุ ไทยปล่อยให้เชื้อหวัดนก อยู่ในธรรมชาตินานเกินควร เตือนช่วงอากาศหนาว ให้คนไทยดูแลสุขภาพตัวเองล่วงหน้า น.พ.สุชัย เจริญรัตนกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมช.สธ.) เปิดเผยถึงกรณีที่องค์การอนามัยโลก(WHO) ออกมาระบุเมื่อเร็วๆ นี้ว่าโลกกำลังจะเผชิญกับโรคสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งมีอานุภาพรุนแรงกว่าโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันอย่างโรคซาร์ส และจะทำให้สูญเสียประชากรกว่า 7 ล้านคน ว่า ทางองค์การอนามัยโลกต่างก็มองสถานการณ์ของโรคดังกล่าวเหมือนกับนักวิชาการส่วนใหญ่ โดยพิจารณาจากความเป็นไปได้ ปกติเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่จะมีการปรับเปลี่ยนสายพันธุ์ทุกปี และเมื่อมีการฉีดวัคซีนเข้าไปก็จะมีการกลายพันธุ์ เขาจึงเป็นห่วงว่าอาจมีการปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วและรุนแรง ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ แต่อย่างไรก็ตาม สธ.ได้เตรียมมาตรการรับมือเอาไว้แล้ว นอกจากนี้ทางกระทรวงสาธารณสุข ยังได้เพิ่มการนำเข้าวัคซีนที่ผลิตจากต่างประเทศ และเพิ่มกำลังการผลิตวัคซีนภายในประเทศอีกด้วย (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 22 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
"กรมทรัพย์สินทางปัญญา"ตั้งเป้าปีหน้า เพิ่มยอดจดทะเบียนคุ้มครองสิทธิ 20%
นายคณิสสร นาวานุเคราะห์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยแนวทางการทำงานของกรมในปี 2548 ว่า กรมวางเป้าหมายที่จะเพิ่มยอดจดทะเบียน คุ้มครองสิทธิ และการใช้ประโยชน์ จากทรัพย์สินทางปัญญาเพิ่มขึ้น 20% โดยจะดำเนินงานเชิงรุก เข้าถึงพื้นที่และประชาชนทั่วประเทศ ผ่านรูปแบบจัดกิจกรรมและรถเคลื่อนที่ (โมบาย ยูนิต) รวมทั้งร่วมมือกับองค์กรต่างๆ ในการอบรมให้ความรู้ความเข้าใจ กรมจะพัฒนาระบบงานภายในตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ปีหน้า และจะเปิดให้บริการรับจดทะเบียน เปลี่ยนแปลงรายการ และตรวจสอบรายการ สำหรับเครื่องหมายการค้าและลิขสิทธิ์ และเน้นการปกป้องสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา ได้แก่ ทบทวนและปรับปรุงระบบคุ้มครอง เพื่อรองรับการเข้าเป็นสมาชิกภาคีของสมาพันธ์ทรัพย์สินทางปัญญาโลกต่างๆ และรองรับการเปิดเขตการค้าเสรี ขณะเดียวกัน ได้จัดตั้งสำนักงานป้องกันและระงับข้อพิพาทด้านทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อระงับข้อพิพาทก่อนขึ้นศาล ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านดำเนินคดีตามกฎหมาย ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีข้อพิพาทเข้ามา 106 เรื่อง แบ่งเป็นการหารือข้อพิพาท 50 เรื่อง เข้าสู่ระบบไกล่เกลี่ยข้อพิพาท 55 เรื่อง และอนุญาโตตุลาการ 1 เรื่อง โดยปี 2547 เทียบปี 2546 ใช้บริการเพิ่มขึ้น 178.6% สำหรับสถิติการยื่นคำขอและรับจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา ระหว่างเดือน ม.ค.-พ.ย.2547 มีปริมาณยื่นคำขอ 59,589 ราย เพิ่มขึ้น 6.14% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีจำนวน 56,397 ราย ปริมาณรับจดทะเบียนเพิ่มขึ้น 14.43% จาก 35,448 ราย เป็น 40,562 ราย ซึ่งในการจดทะเบียนมีอัตราเพิ่มขึ้น 15.66% ส่วนแปลงทรัพย์สินทางปัญญาเป็นทุน มียอดผ่านอนุมัติเงินกู้แล้ว 5 ราย ปี 2548 ตั้งเป้า 150 ราย ส่วนการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินลดลง 85% ซึ่งเป็นอัตราที่ทุกฝ่ายพอใจ (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 22 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
เยาวชนไทยถึงจุดวิกฤต!! ทีวีมอมเมา-ฉลาดน้อยลง
จากผลสำรวจระดับสติปัญญา(ไอคิว) ของเด็กไทยในกลุ่มเด็กนักเรียน อายุระหว่าง 6-12 ปี ของกระทรวงสาธารณสุข เมื่อปี 39-40 โดยใช้แบบทดสอบเชาวน์ปัญญาชนิดคัดกรอง(Test of Nonverbal Intelligence Second Edition) พบว่าค่าเฉลี่ยระดับไอคิวโดยรวมเท่ากับ 91 ต่ำกว่าปกติของเกณฑ์อ้างอิงต่างประเทศคือ 110 ในปี 45 คณะผู้วิจัยชุดเดิมได้สำรวจสติปัญญาของเด็กไทยในกลุ่มอายุ 6-12 ปีอีกครั้ง โดยใช้แบบทดสอบเดียวกัน ปรากฏว่าค่าไอคิวเฉลี่ยอยู่ที่ 88.5 ต่ำกว่าการสำรวจครั้งแรก นอกจากนี้ผลการศึกษาตามโครงการวิจัยการพัฒนาแบบองค์รวมของเด็กไทยเมื่อปี 46 จากการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) ยังพบสิ่งที่น่าเป็นห่วง กล่าวคือเด็กไทยมีระดับไอคิวอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างต่ำ
โดยกลุ่มอายุ 13-18 ปี มีถึงร้อยละ 62.9 ขณะที่กลุ่มอายุ 6-12 ปี มีร้อยละ 58.7 ทั้งสองกลุ่ม มีเพียงร้อยละ 0.5 เท่านั้น ที่ไอคิวสูงกว่าปกติคือ 110 ซึ่งสติปัญญาควรมีค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 90-110 ผลการวิจัยดังกล่าวสอดคล้องกับงานวิจัยหลายชิ้น ที่บ่งชี้ว่าเด็กไทยมีความฉลาดน้อยลง งานของพ.ญ.ลัดดา เหมาะสุวรรณ และคณะ ระบุว่า กลุ่มเด็กอายุ 6-12 ปี มีระดับเชาวน์ปัญญาเฉลี่ย 91.2 ขณะที่กลุ่มอายุ 13-18 ปี มีระดับเชาวน์ปัญญาเฉลี่ยต่ำลงเป็น 89.9 และยังพบว่าในกลุ่มวัยเรียนและวัยรุ่นมีคะแนนความคิดสร้างสรรค์ต่ำที่สุด สอดคล้องงานวิจัยของ ร.ศ.พ.ญ.นิชรา เรืองดารกานนท์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ที่ศึกษาระดับเชาวน์ปัญญาของเด็กวัยเรียนช่วงอายุ 6-12 ปี ในปี 45 เปรียบเทียบกับปี 40 พบว่าระดับไอคิวของเด็กไทยทั่วประเทศ เฉลี่ยลดลงจาก 91.9 เหลือเพียง 88 โดยไอคิวเฉลี่ยของเด็กสหรัฐอยู่ที่ 112 นอกจากนี้สถิติของนักเรียนชั้น ม.6 พบว่าร้อยละ 90 ของจำนวนผู้เข้าสอบทั้งหมด ทำคะแนนเอ็นทรานซ์ในปีการศึกษา 2546 ได้ไม่ถึง 50% ของคะแนนเฉลี่ย สาเหตุหลักของปัญหาดังกล่าว จำแนกได้ดังนี้ 1.อิทธิพลของสื่อในการสร้างทัศนคติของเยาวชน 2.ระบบการศึกษาที่ล้มเหลว 3.พ่อแม่ไม่สามารถปรับตัวและวางอุเบกขาในการอบรมเลี้ยงดูบุตรหลานในยุคโลกาภิวัตน์ 4.วิกฤตและความจำเป็นด้านเศรษฐกิจ ที่ก่อให้เกิดความเครียด 5.เยาวชนของชาติยังขาดแหล่งความรู้ด้านทักษะชีวิตที่ดี (ข่าวสด พุธที่ 22 ธ.ค. 47 http://www.matichon.co.th/khaosod)
โรคความดันโลหิตถูกหนาวจัดเสี่ยงกับเส้นเลือดหดหัวใจวาย
นางนิตยา จันทร์เรือง มหาผล โฆษกเปิดเผยว่า ในช่วงนี้อากาศมีความหนาวเย็นมากขึ้น บางคนนิยมไปเที่ยวตามดอย ตามภูเขาจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม โดยเฉพาะเครื่องนุ่งห่มที่ให้ความอบอุ่นอย่างเพียงพอ และมีงานวิจัยที่สำคัญในต่างประเทศเมื่อเร็วๆนี้ พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า ผู้ที่มีปัญหาเป็นโรคความดันโลหิตสูงให้ระมัดระวังในการเที่ยวในที่มีอากาศหนาวเย็น โดยเฉพาะในจุดที่หนาวเย็นอุณหภูมิต่ำกว่า 4 องศาเซลเซียส จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดหัวใจวายได้ เนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นจะทำให้เส้นเลือดในร่างกายมีการหดตัว ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆให้ทั่วถึง นักวิจัยพบว่าคนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง จะมีความไวต่อสภาพอากาศเย็นมากกว่าคนปกติทั่วๆไป ดังนั้น จึงขอแนะนำให้ใส่เครื่องนุ่งห่มให้ความอบอุ่นร่างกายอย่างเพียงพอ (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 23 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
จีนจดสิทธิบัตรสมุนไพรตอนหนู ก็ปัญหากองทัพหนูบุกนาข้าว
สำนักข่าวซินหัวของทางการจีน รายงานว่านักวิทยาศาสตร์จีนค้นพบสมุนไพรท้องถิ่นชนิดหนึ่ง ซึ่งส่วนผสมหลักในตัวยาที่ออกฤทธิ์ทำให้หนูตัวผู้เป็นหมัน ได้แก่ Tripterygium Wilfordii พืชสมุนไพรจีนที่มีคุณสมบัติพิเศษอยู่ที่กลิ่นหอม และดึงดูดให้บรรดาหนูทั้งหลายวิ่งเข้าหา แต่หลังจากกินเข้าไปแล้ว สารพิษที่มีอยู่ในตัวสมุนไพรจะทำให้หนูตัวผู้ผลิตสเปิร์มน้อยลง และจะกลายเป็นหมันในที่สุด จากการเก็บข้อมูลในครอบครัวชาวจีน 47,000 ครัวเรือน และสำนักงานอีก 5,600 แห่ง ในนครเซี่ยงไฮ้ พบว่าความหนาแน่นของประชากรหนูลดลง 30% หลังจากการกินยาสมุนไพรขนานนี้ไปแล้ว 3 เดือน และในอีกครึ่งปีหลังต่อมา จำนวนประชากรหนูก็ลดลงไปอีก 88% นักวิทยาศาสตร์ ซึ่งไม่ระบุสังกัด บอกว่า รัฐบาลท้องถิ่นสนใจที่จะพัฒนาตัวยา โดยใช้สมุนไพรท้องถิ่นดังกล่าวเป็นวัตถุดิบ ทำให้ทางการจีนไม่เสียค่าใช้จ่ายมาก อีกทั้งลดค่านำเข้าวัตถุเคมีจากต่างประเทศ และยังไม่เป็นอันตรายกับมนุษย์อีกด้วย จากรายงานล่าสุดระบุว่าพลพรรคหนูทั้งหลายกัดกินและทำลายยุ้งข้าวของชาวนาจีนต่อปีมากถึง 25 ล้านตัน ซึ่งปริมาณดังกล่าวสามารถเลี้ยงพลเมืองชาวจีนได้มากถึง 100 ล้านคน (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 23 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
มก.เปิดพิพิธภัณฑ์ภูมิปัญญาเกษตร ต้นปีหน้าหวังสอนคนไทย"ไม่ลืมตัว"
นางสาวอรทัย ผลดี อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์(มก.) เปิดเผยว่า วันที่ 13 มกราคม 2548 มก.จะเปิดพิพิธภัณฑ์ภูมิปัญญาวัฒนธรรมการเกษตรไทย บริเวณสำนักพิพิธภัณฑ์และวัฒนธรรมการเกษตร มก. บางเขน จัดแสดงเนื้อหาเกี่ยวกับภูมิปัญญาทางเกษตรสมัยก่อนประวัติศาสตร์แห่งแรกในเมืองไทยที่แสดงเรื่องราวการเกษตรสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ละเอียดที่สุดตั้งแต่เคยจัดแสดงมา เพราะต้องการให้ทุกคนเห็นว่าคนไทยมีภูมิปัญญาในเรื่องการเกษตรไม่ด้อยไปกว่าชาติใดในโลกและหล่อเลี้ยงชีวิตคนมานับพันๆ ปี เปิดบริการวันจันทร์ถึงวันศุกร์ตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น. ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น จะนำเรื่องที่เกี่ยวกับพรรณพืชโบราณมาจัดแสดง เช่น สมุนไพรที่ปรากฏในภาพก่อนประวัติศาสตร์ที่แพะเมืองผี จ.แม่ฮ่องสอน อย่างมะซางซึ่งใช้ทำน้ำปานะถวายพระ มะเยาว์ทำน้ำมันหล่อลื่น (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 23 ธ.ค. 47 http://www.matichon.co.th)
'พระราชวังเดิม' โบราณสถานรางวัลยูเนสโก
หนึ่งเดียวของพระราชวังที่สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช "พระราช วังเดิม" หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "พระราชวังกรุงธนบุรี" ได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกให้ได้รับ "รางวัล อนุรักษ์โบราณสถานดีเด่น (Award of Merit) ประจำปี 2547" เมื่อวันที่ 1 กันยายน ที่ผ่านมา จากโครงการอนุรักษ์โบราณสถานที่ ส่งเข้าประกวดทั้งสิ้น 37 โครงการ จาก 12 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย โดยทางมูลนิธิอนุรักษ์ โบราณสถานในพระราชวังเดิม และยูเนสโกจะ ทูลเกล้าฯ ถวายแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในฐานะองค์ประธานที่ปรึกษามูลนิธิฯ ในวันที่ 6 มกราคมปีหน้า โครงการอนุรักษ์โบราณสถานในพระ ราชวังเดิม ได้ริเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2538 ในสมัย พลเรือเอกประเจตน์ ศิริเดช เป็นผู้บัญชาการทหารเรือ ก่อนการบูรณะได้มีการศึกษาค้นคว้า ทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม สถาปัตยกรรม และโบราณคดี เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องสมบูรณ์ ที่สุด และใกล้เคียงกับยุคสมัยที่ถูกบันทึกมาก ที่สุด จวบจนถึงปัจจุบันได้บูรณะแล้วเสร็จ เปิด โอกาสให้ประชาชนผู้สนใจ นักเรียน นิสิต นักศึกษา เข้าไปเยี่ยมชมค้นคว้าข้อมูลเพื่อเป็น ประโยชน์ทางการศึกษา รวมระยะเวลาบูรณะทั้งสิ้น 8 ปี (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 23 ธ.ค. 47 http://www.dailynews.co.th)
พิชิตเสียงนอนกรนสนั่นได้แล้วใช้ใยพลาสติกดามเพดานปากไว้
หมอของโรงพยาบาลเซนต์ โอลาฟ ที่เมืองทรอนไฮม์เจ้าตำรับพิชิตการนอนกรน ได้ใช้ใยแดครอน อันเป็นโปลีเมอร์อย่างเหนียวชนิดหนึ่ง 3 เส้น ดามติดเพดานที่หย่อนยาน ที่ห้อยย้อยลงมาให้กลับตึงกระชับขึ้นอย่างเดิม โดยใช้ยาชาเฉพาะที่ ใช้เวลาทำแค่สองนาทีก็เสร็จ หมอกล่าวแจ้งว่า ได้ทำให้กับคนนอนกรนไปหลายราย 70-80% ได้รับผลน่าพอใจ เพราะนอกจากทำก็ง่ายกว่าวิธีอื่นแล้ว แถมยังไม่มีรอยแผลเป็นด้วย" หมออธิบายว่า สาเหตุของการนอนกรนมากไม่ต่ำกว่า 70% ล้วนแต่มาจากเนื้อเยื่อของเพดานในปากห้อยย้อยลงมาปิดขวางทางเดินของลมหายใจทั้งสิ้น (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 24 ธ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)
อาดิดาสโชว์ชุดกีฬาตัดเย็บ 3 มิติ
นายโรจนสิทธิ์ มีนิจสิน ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท อาดิดาส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า อาดิดาสได้ทำการวิจัย คิดค้นเทคโนโลยีใหม่เพื่อนำมาใช้พัฒนาประสิทธิภาพในการแข่งขันของนักกีฬาในระดับอาชีพ เรียกว่า เทคโนโลยีฟอร์โมชั่นเพื่อการเคลื่อนไหวที่อิสระและคล่องตัว กับการเล่นกีฬาประเภทที่ต้องเคลื่อนไหวในแนวระนาบ อาทิ กีฬาเทนนิส วิ่ง และฟุตบอล "เทคโนโลยีฟอร์โมชั่น พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิดที่ว่านักกีฬาต้องการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อในทิศทางที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะกีฬาเทนนิสที่จะต้องเคลื่อนไหวร่างกายบริเวณช่วงไหล่ และด้านข้างลำตัวค่อนข้างมาก ซึ่งชุดกีฬาในแบบเดิมที่ตัดเย็บแบบ 2 มิติ คือ การนำผ้าแผ่นหน้าและแผ่นหลังมาประกบกันนั้นไม่ดีเท่าที่ควร นายโรจนสิทธิ์ กล่าวและว่า อาดิดาสจึงได้พัฒนาเสื้อผ้าที่มีความโค้งเข้ากับสรีระ เพื่อเสริมสมรรถภาพการเคลื่อนไหว คล้ายกับชุดแข่งขันของนักกีฬาว่ายน้ำที่มีความยืดหยุ่น และไม่อมน้ำไว้ในเนื้อผ้า ซึ่งจะเพิ่มรูปแบบการตัดเย็บแบบ 3 มิติ เข้าไปในส่วนของการตัดเย็บด้านข้างลำตัว ซึ่งจะช่วยให้เนื้อผ้าโพลีเอสเตอร์ที่ใช้นั้นไม่แนบกับลำตัว ประกอบกับเทคโนโลยีบนเนื้อผ้าที่เรียกว่า ไคลม่าคลู (Climacool) ที่อาดิดาสออกแบบขึ้นเพื่อช่วยควบคุมความชื้น และระบายความร้อนในจุดอับที่มีความร้อนสูง ทั้งนี้ จากผลการวิจัยของอาดิดาสโดยการใช้แสงอินฟราเรดจับความร้อน ที่เปลี่ยนแปลงระหว่างนักกีฬาทำการแข่งขันพบว่า บริเวณแผ่นหน้าอก ใต้วงแขน และแผ่นหลัง เป็นจุดที่มีความร้อนสูงและมีเหงื่อออกมากกว่าจุดอื่นๆ อาดิดาสจึงออกแบบตัดเย็บในส่วนดังกล่าว ด้วยผ้าตาข่ายที่มีความยืดหยุ่นสูงผสานเทคโนโลยีไคลม่าคูล (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 24 ธ.ค. 47 http://www.bangkokbiznews.com)
ครม.กลับมติยอมกฟผ.ให้ขุดสุสานหอย13ล้านปี
จากกรณีมีการขุดพบซากฟอสซิลหอยน้ำจืดโบราณอายุ 13 ล้านปี ที่มีความหนาที่สุดในโลกถึง 12 เมตร ในเหมืองลิกไนต์แม่เมาะ จ.ลำปาง ของกฟฝ.เมื่อต้นปี"47 และครม.มีมติให้กฟผ.กันเนื้อที่ 43 ไร่ ให้กรมทรัพยากรธรณีพัฒนาเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรณีวิทยา แต่กฟผ.ไม่เห็นด้วยเพราะต้องการขุดลิกไนต์ในพื้นที่ดังกล่าว โดยอ้างว่ามีลิกไนต์มูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท ล่าสุดนายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ(ทส.) กล่าวว่า การประชุมครม.ครั้งที่ผ่านมา มีมติเรื่องสุสานหอยโบราณแล้วว่า พื้นที่ 43 ไร่ ที่ครม.เคยมีมติให้อนุรักษ์ไว้เพื่อให้เป็นแหล่งมรดกโลกนั้น ให้ปรับใหม่ โดยกันส่วนหนึ่งให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์เหมือนเดิม ส่วนที่เหลือให้กฟผ.ขุดลิกไนต์นำไปทำประโยชน์ได้ และให้กฟผ.จัดหาพื้นที่ใหม่บริเวณใกล้เคียงขนาด 53 ไร่ ให้สร้างอาคารพิพิธภัณฑ์และจัดนิทรรศการ สำหรับสุสานหอยขมน้ำจืดที่จ.ลำปาง ถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ระดับโลก เพราะเป็นครั้งแรกที่ค้นพบแหล่งหอยขมน้ำจืด Viviparus สกุล Bellamya อายุประมาณ 13 ล้านปี ที่มีความหนาที่สุดในโลกถึง 12 เมตร เทียบความสูงเท่ากับตึก 4 ชั้น ครอบคลุมพื้นที่ถึง 43 ไร่ ยาวประมาณ 300 เมตร กว้าง 230 เมตร ที่ไม่เคยพบที่ไหนมาก่อน (ข่าวสด ศุกร์ที่ 24 ธ.ค. 47http://www.matichon.co.th/khaosod
KMUTT
Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215
|
|
|