หัวข้อข่าวปีที่ 6 ฉบับที่ 2 ประจำวันที่ 2005-01-16

ข่าวการศึกษา

มฟล.ตั้งพิพิธภัณฑ์ลุ่มน้ำโขง ตั้งเป้าเปิดให้บริการปี 2549
ม.กรุงเทพจี้สกอ. ออกเกณฑ์เดียว ใช้กันทั้งประเทศ
ไทยร่วมอียิปต์ทำหลักสูตรอิสลามศึกษา
ชะลอแจกทุน 1 อำเภอ 1 ทุน"48
รับตรงแพทย์จุฬาฯปี 48 ปรับใช้หลักสูตรใหม่สอน
เดินหน้าให้เด็กภูธรเรียนกรุง เพิ่มจำนวนรับ-ขยาย ร.ร.รองรับ 30 แห่ง
ม.เอกชน "คุณภาพ" "บัณฑิต" ต้องชั้นหนึ่ง
ปี 48 เด็กแห่เรียนวิทย์สุขภาพ
สกอ.เปิดตัวไซเบอร์ยูนิเวอร์ซิตี้
“เตรียมอุดม” กวาดรับตรงแพทย์จุฬาฯ
เผยภารกิจประธาน ปอมท.คนใหม่
แพทย์มศวชูคุณภาพเด็กชนบท เชื่อใจมีสำนึกรับใช้บ้านเกิด
จี้ทบทวนโครงสร้างก.ค.ศ.อีกรอบ
คุรุสภาจัดงาน"วันครู"ยิ่งใหญ่ทั่วปท.
ครู กทม. ขอขึ้นตรงสำนักการศึกษา
พัฒนาครูไอทีแนวใหม่ด้วยหลักสูตรศึกษาด้วยตนเอง
โนเบลโลกแนะเคล็ดพัฒนานักวิทย์รุ่นใหม่
ศธ.ตั้งคณะทำงานติดตามการผลิตบัณฑิต
สกอ.ทุ่มทุนด็อกเตอร์ใหม่
แอดมิชชันปี 49 ยังไม่พร้อมใช้ NET
ม.ราชมงคลใกล้คลอด-รอลงราชกิจจาฯ
อธิการบดีมช.ยันออกนอกระบบแน่ ให้สิทธิ์เลือกจะเป็นขรก.-พนักงาน
สกอ.ให้ทุนอาจารย์ เรียนต่อปริญญาเอก
เด็กไทยเรียนนอกลด เด็กเทศแห่เรียนไทย ยกนิ้วสูตรนานาชาติ
ผุดหลักสูตรกันอุบัติภัยในโรงงาน
มศก.รับตรงเภสัชฯ

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

ชี้โลกยังสั่นแบบระฆัง
ยูเอ็นแนะใช้วิทยาศาสตร์แก้จน วอนทั่วโลกติดตั้งระบบเตือนภัย
ฝังไมโครชิพติดตาม ศึกษาชีวิตเต่ามะเฟือง เพื่ออนุรักษ์
คลื่นมหาภัยจะไม่หยุดแค่ Asian Tsunami ใครจะเป็นรายต่อไป
โนเบลไขความลับ'โครงสร้างโมเลกุล'
เรื่องอุ่นใจหลังมหันตภัยสึนามิ ก้อนหินยักษ์จะหลีกหนีพ้นโลก
โจวิท เสนอรัฐใช้ระบบไอทีแก้ปัญหาจราจร
พึ่งดาวเทียมสำรวจสึนามินำข้อมูลวางแผนฟื้นฟูธรรมชาติ
พบดาวยักษ์ ใหญ่กว่าดวงอาทิตย์
ทีเอ็นทีบริการกล่องเย็นส่งแล็บวิเคราะห์ เก็บความเย็นรักษาเลือด-เนื้อเยื่อถึงห้องแล็บทันใจ
LCFA” จัดโปรโมชันพิเศษค่าตรวจมาตราฐานสินค้า
หลุมดำเกลื่อนกาแล็กซีทางช้างเผือก
กรมวิชาการเกษตรจับมือ FAO จัดทำเทคโนโลยีแบบบูรณาการ พัฒนาการปลูกข้าวทั้งระบบแก่เกษตรกรไทย

ข่าววิจัย/พัฒนา

ขมิ้นต้านโรคสมองเสื่อม
วว.รวบรวมจุลินทรีย์หมื่นสายพันธุ์ป้อนวิจัย
ระเบิดนาโนทำลายเซลล์มะเร็ง เนื้อเยื่อรอบข้างไม่บอบช้ำ
วว.ร่วมผลิตนักวิทย์รุ่นใหม่ เปิดห้องแล็บทำวิทยานิพนธ์
ไบโอเทคเล็งสร้างพันธุ์กุ้ง-ข้าวชั้นเลิศ พร้อมสร้างภาพใหม่จีเอ็มโอในแผนงานปี 48
เนคเทคชงไอเดียพัฒนาชิพติดตามนักท่องเที่ยว
พลาสเตอร์ยาใหม่ช่วยคนกลัวเข็ม แปะปุ๊บปล่อยยาปั๊บไม่ต้องฉีด
ค้นพบ "หนู" แยกแยะภาษามนุษย์ได้แถมมีทักษะนี้ก่อนภาษามีวิวัฒนาการ
ไขสันหลังพังซ่อมได้ไม่อัมพาตแพทย์รัสเซียทำสำเร็จรายแรก
ซินแสจีนอ้างชาช่วยลดไขมันมีแอลคาลอยด์วิตามินอุดม
อีรี่หนุนพัฒนาอุปกรณ์สุ่มเตือนต้นข้าวหิว ชาวนารู้เวลาแม่นยำเติมปุ๋ย – ประหยัดค่าสารอาหาร
ผลวิจัยชี้ป่าชายหาด-สันทรายป้องกัน"สึนามิ"
เอไอทีอาสาทำระบบเตือนสึนามิ ลดพึ่งพาเทคโนฯต่างชาติ
รัสเซียทดสอบ ปลูกถ่ายโพลีเมอร์ แก้ไขหน้าผิดปกติ
ยาเม็ดยูวีป้องกันผิวแทนทาครีม
ญี่ปุ่นแนะไทยทดลอง ทำเอทานอลจากเศษไม้
เตือนหญิงท้องเลี่ยงกลิ่นยาฆ่าแมลง ลูกในครรภ์เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว
ลาดกระบังโชว์เครื่องตรวจฝุ่นแบบพกพา
ม.รามวิจัยเพิ่มฤทธิ์สารชีวภาพ เล็งทำยาใหม่ไร้สารเคมีสังเคราะห์
ปากกาไฮเทคช่วยเด็กทำการบ้าน
โชว์หุ่นยนต์กู้ภัย ใช้คลื่นวิทยุค้นหา ผู้บาดเจ็บใต้ตึก
ไม่อยากตุ้ยนุ้ยอย่านอนน้อย
โชว์อากาศยานไร้คนขับ ผลงาน ม.มหานครช่วยภารกิจบินสำรวจ
อาจารย์นักประดิษฐ์ เทคโนโลยี "รุ่นใหม่"
สารสกัดจากเกสรบัวศักดิ์สิทธิ์ ช่วยหน้าเด้งใสด้วยนาโนเทคโนโลยี
ม.เทคโนโลยีสุรนารีวิจัยข่าต้านเชื้อหนองใช้แทนยาปฏิชีวนะ
สกว.โชว์"พอลิเมอร์เรืองแสง"
เปิดตัวสับปะรดจีเอ็มโอหวานกรอบ

ข่าวทั่วไป

ตั้งศูนย์พุทธศาสนาโลก
เตือนภัยฉีดยาต่อต้านริ้วรอยเสี่ยงอัมพาต
สธ.ทวงสิทธิบัตรกวาวเครือญี่ปุ่น หาช่องกม.-อ้างงานวิชาการสู้คดี
ซิป้างดภาษีดูดนักทำแอนิเมชั่นไทย-เทศ
อุตฯยานยนต์อนาคตแจ่มใส สิงคโปร์ย้ายฐานผลิตเข้าไทย





ข่าวการศึกษา


มฟล.ตั้งพิพิธภัณฑ์ลุ่มน้ำโขง ตั้งเป้าเปิดให้บริการปี 2549

รศ.ดร.วันชัย ศิริชนะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยจะจัดตั้งพิพิธภัณฑ์อารยธรรมลุ่มแม่น้ำโขงขึ้น เพื่อเป็นสถานที่สำหรับเก็บรวบรวมศิลปวัตถุและผลงานวิจัยเกี่ยวกับอารยธรรมลุ่มแม่น้ำโขงทั้งหมด เพื่อใช้ในการศึกษาและเชื่อมโยงศิลปะ อารยธรรม และวัฒนธรรมของลุ่มน้ำโขงทั้งหมดเข้าด้วย โดยจะปรับปรุงอาคารในมหาวิทยาลัยเพื่อจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์อารยธรรมลุ่มน้ำโขงชั่วคราว ใช้งบประมาณ 2 ล้านบาท และเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2548-2549 คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในต้นปี 2549 ส่วนอาคารพิพิธภัณฑ์ถาวรภายในมหาวิทยาลัยจะทำเป็นโครงการระยะยาว ซึ่งก่อสร้างตั้งแต่ปี 2548 คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2552 โดยใช้งบของมหาวิทยาลัยและขอบริจาคจากหน่วยงานรัฐและเอกชนปีละ 10 ล้านบาท รวมใช้งบทั้งสิ้น 60 ล้านบาท ภายในพิพิธภัณฑ์ จะเน้นให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาและอารยธรรมของลุ่มน้ำโขง วิถีดำรงชีวิต วัฒนธรรมและสถาปัตยกรรม การเมืองการปกครอง จะเปิดให้บริการโดยเก็บเงินไม่เกินคนละ 5-10 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับบำรุงรักษาพิพิธภัณฑ์ เนื่องจากเป้าหมายในการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ไม่ได้มุ่งแสวงหาผลกำไร แต่ทำเพื่อให้นักศึกษาและประชาชนเข้ามาแสวงหาความรู้เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมของคนในลุ่มแม่น้ำโขง (คมชัดลึก จันทร์ที่ 10 ม.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ม.กรุงเทพจี้สกอ. ออกเกณฑ์เดียว ใช้กันทั้งประเทศ

ดร.ธนู กุลชล อธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เปิดเผยว่า ขณะนี้อุดมศึกษาของไทยมีสถาบันอุดมศึกษาเกิดขึ้นมากมายหลายประเภท ทั้งมหาวิทยาลัยราชภัฏ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล มหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชน แต่ปรากฏว่า เกณฑ์มาตรฐานการดูแลยังไม่ได้เป็นไปในมาตรฐานเดียวกัน อะไรที่กำหนดให้มหาวิทยาลัยเอกชนทำ ก็ต้องให้สถาบันอุดมศึกษาอื่นทำด้วย ไม่ใช่เลือกที่รักมักที่ชัง ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จะต้องดูแลเรื่องนี้ให้ดี เช่น เกณฑ์การจัดการเรียนการสอนนอกสถานที่ตั้ง ขณะนี้บางมหาวิทยาลัยเอกชนเปิดกันเหมือนให้เป็นวิทยาเขตใหม่อีกแห่ง แม้แต่มหาวิทยาลัยรัฐแค่หิ้วกระเป๋าไปใบเดียวก็เปิดสอนกันแล้ว เนื่องจากเป็นมหาวิทยาลัยรัฐจึงเอาชื่อเสียงมหาวิทยาลัยไปขายได้ ส่วนผลประโยชน์ก็ตกที่หัวหน้าโครงการและผู้สอน โดยไม่เข้าถึงมหาวิทยาลัย ในเรื่องนี้ สกอ.จะต้องกำหนดเกณฑ์การดำเนินงานให้รัดกุม และให้สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) เป็นผู้ประเมินและดูแลใกล้ชิด สำหรับหน่วยงานต้นสังกัดเอง ก็ต้องตรวจสอบคุณภาพมาตรฐาน และความจำเป็นในการจัดเปิดสอนนอกที่ตั้งด้วย ส่วนเรื่องการประเมินสถานศึกษาของ สมศ.นั้น ม.กรุงเทพ ก็เข้ารับการประเมินตั้งแต่ต้น จึงอยากให้มหาวิทยาลัยที่ยังไม่เข้ารับการประเมินเร่งดำเนินการ ก็เข้าใจดีว่าการประเมินเป็นเรื่องใหม่ ย่อมเกิดความกลัวว่าจะถูกจับผิด ดังนั้นนโยบายของ สมศ.ในการประเมินรอบแรกจะไม่สร้างภาพความน่ากลัว เน้นประเมินแบบกัลยาณมิตร ที่ช่วยดูแลสภาพและชี้แนะสิ่งที่ต้องปรับปรุง แต่การประเมินรอบ 2 คงต้องเข้มงวดกันมากขึ้นเพื่อให้ได้คุณภาพ (คมชัดลึก จันทร์ที่ 10 ม.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ไทยร่วมอียิปต์ทำหลักสูตรอิสลามศึกษา

วันที่ 9 มกราคม นายอารีย์ วงศ์อารยะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) เปิดเผยภายหลังเข้าพบนายอะหมัด ญามาลุดดิน มูซา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายอมร อิซซัต สลามา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา ประเทศสาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ ในโอกาสเดินทางไปดูงานมหาวิทยาลัยอิสลาม ระหว่างวันที่ 4-7 มกราคมที่ผ่านมาว่า ตนพร้อมคณะผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) และผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาที่จัดการเรียนการสอนด้านอิสลามศึกษาในภาคใต้ ได้เดินทางไปอียิปต์ครั้งนี้เพื่อเจรจาความร่วมมือในการจัดทำหลักสูตรอิสลามศึกษา กฎหมายอิสลาม และภาษาอาหรับในคณะอิสลามศึกษานานาชาติ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่ง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2547 ซึ่งจากการหารือร่วมกับผู้นำสูงสุด มูฮัมมัด สะอีด ฏอนฏอวี แห่งมหาวิทยาลัยอัล-อัชฮาร์ (AL-AZHAR UNIVERSITY) บอกว่าการสอนอิสลามศึกษาได้เดินสายกลาง สั่งสอนให้อ่อนน้อม และยึดหลักสันติ และพร้อมร่วมมือ รวมทั้งให้ทุนการศึกษาด้วย (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 10 ม.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ชะลอแจกทุน 1 อำเภอ 1 ทุน"48

นายอดิศัย โพธารามิก รมว.ศึกษาธิการ มีคำสั่งให้ชะลอการให้ทุนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ฐานะยากจนแต่มีผลการเรียนดีในโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน ในปีการศึกษา 2548 เนื่องจากนักเรียนทุนในรุ่นแรกเพิ่งจะเดินทางไปศึกษาครบทุกคนเมื่อเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา ดังนั้น หากรีบร้อนให้ทุนในรุ่นต่อไป อาจจะส่งผลกระทบหรือเกิดปัญหาซ้ำร้อยนักเรียนทุนในรุ่นแรก และต้องการศึกษาผลการประเมินนักเรียนทุนในรุ่นแรกให้รอบคอบก่อนที่จะให้ทุนนักเรียนรุ่นต่อไป เพื่อเตรียมความพร้อมไม่ให้เกิดปัญหาเช่นเดียวกับนักเรียนในรุ่นแรก โดยขณะนี้ได้ให้สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ดำเนินการวิจัยเชิงลึกนักเรียนทุนดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะเสร็จภายในเดือนมิ.ย.ทำให้ไม่สามารถให้ทุนนักเรียนในปีการศึกษา 2548 ได้ เนื่องจากหากจะให้ต้องรับสมัครตั้งแต่เดือนม.ค. เพื่อให้ทันกับการศึกษาในปีการศึกษาแรกซึ่งจะเปิดเรียนในเดือนเม.ย. เมื่อผลการประเมินแล้วเสร็จจะนำเสนอ ต่อคณะกรรมการพัฒนายุทธศาสตร์เพื่อแก้ไขปัญหาเด็กยากจนและเด็กด้อยโอกาส จากนั้นคณะกรรมการฯ จะกำหนดการให้ทุนในรุ่นต่อไป (ข่าวสด จันทร์ที่ 10 ม.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





รับตรงแพทย์จุฬาฯปี 48 ปรับใช้หลักสูตรใหม่สอน

วันที่ 10 ม.ค. คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงถึงผลการรับตรงนิสิตคณะแพทยศาสตร์จุฬาฯ ประจำปีการศึกษา 2548 โดย รศ.น.พ.อดิศร ภัทราดูลย์ รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์ ฝ่ายวางแผนและพัฒนา กล่าวว่า โครงการรับตรงครั้งนี้จะใช้หลักสูตรใหม่สอน ซึ่งสำนักรับรองมาตรฐาน และประเมินคุณภาพทางการศึกษา (สมศ.) ประเมินให้แล้วว่าเป็นหลักสูตรที่มีคุณภาพ ซึ่งจะลดหน่วยกิตจากรายวิชาเดิมลง 26 หน่วยกิต เพื่อให้นิสิตได้มีเวลาทำกิจกรรม ช่วยเหลือสังคมมากขึ้น นอกจากนี้คณะแพทยศาสตร์ยังมีโครงการรับตรงอีก 3 โครงการ คือ โครงการร่วมผลิต แพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท 40 คน โครงการจุฬาฯ-ภูมิพล 30 คน และโครงการโอลิมปิกวิชาการ 6 คน ผศ.พ.ญ.นันทนา ศิริทรัพย์ รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะแพทยศาสตร์ กล่าวว่า มีนักเรียนให้ความสนใจมาสมัคร 2,181 คน แบ่งการคัดเลือก 2 รอบ รอบแรกใช้รายวิชาพื้นฐานรหัส 01-07 ของ สกอ. 700 คะแนน ซึ่งมีเกณฑ์คัดเลือกว่าต้องมีคะแนนผ่าน 40% ของวิชาภาษาไทย สังคม ภาษาอังกฤษ และคะแนนผ่าน 45% ของวิชาในหมวดวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ รวมกับวิชาเฉพาะที่จุฬาฯจัดสอบอีก 300 คะแนน และเมื่อรวมกับวิชาเฉพาะต้องได้ 700 คะแนนขึ้นไป ซึ่งมีผู้ผ่านการคัดเลือก 113 คน มารายงานตัว 109 คน รอบสองรับอีก 81 คน เพื่อให้ได้ครบตามจำนวนที่รับ คือ 190 คน โดยนักเรียนที่สนใจต้องยื่นคะแนนสอบวิชาเฉพาะคณะแพทย์ เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2547 พร้อมกับคะแนนวิชาพื้นฐาน 7 วิชาที่ดีที่สุดนับย้อนถึงการสอบครั้งที่ 2/2546 ที่ฝ่ายวิชาการ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯจนถึงวันที่ 2 เม.ย.นี้ หรือสอบถามที่ 0-2256-4338, 0-2256-4478 การคัดเลือกรอบสองจะพิจารณาจากลำดับคะแนนมากไปน้อย สำหรับนักเรียนที่ทำคะแนนสูงสุด 5 อันดับแรก เป็นนักเรียนจาก ร.ร.เตรียมอุดมศึกษาทั้งหมด (ไทยรัฐ อังคารที่ 11 ม.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





เดินหน้าให้เด็กภูธรเรียนกรุง เพิ่มจำนวนรับ-ขยาย ร.ร.รองรับ 30 แห่ง

นายชินภัทร ภูมิรัตน รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยความคืบหน้าโครงการให้ทุนการศึกษาเด็กที่ยากจนในชนบทได้มีโอกาสเข้ามาเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในกรุงเทพฯ ในระดับชั้น ม.1-ม.3 ว่าขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้เตรียมคัดเลือกนักเรียนระดับ ม.ต้น เข้าร่วมโครงการดังกล่าวในรุ่นที่ 2 ภายหลังจากได้ดำเนินการในรุ่นแรกไปเมื่อภาคการศึกษาที่ 2/2547 จำนวน 516 คน โดยรุ่นที่สอง จะเริ่มในภาคการศึกษาที่ 1/2548 โดยจะดำเนินการคัดเลือกนักเรียนให้แล้วเสร็จภายในภาคการศึกษาที่ 2/2547 หรือประมาณเดือนกุมภาพันธ์ โดยให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (ผอ.สพท.) 172 เขต ยกเว้น 3 เขตใน กทม. คัดเลือกนักเรียนที่มีผลการเรียนดี เกรดเฉลี่ยสะสม 3.00 ขึ้นไป และครอบครัวมีรายได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี จำนวนเขตละ 6 คน รวม 1,032 คน รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าวด้วยว่า สพท.จะคัดเลือกโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อให้สามารถรองรับจำนวนนักเรียนได้เพิ่มขึ้น ซึ่งตั้งเป้าไว้ประมาณ 20-30 โรงเรียน หลังจากได้รายชื่อแล้วจะประชุมร่วมกับโรงเรียนดังกล่าว เพื่อขอความร่วมมือในการเข้าร่วมโครงการต่อไป เนื่องจากการติดตามผลการดำเนินงานในรุ่นแรก พบว่าจำนวนนักเรียน 40 คน ต่อ 1 โรงเรียน เป็นภาระของโรงเรียนในการดูแลเด็กมากเกินไป จึงเสนอให้ลดจำนวนนักเรียนลงเหลือ 30 คน ต่อ 1 โรงเรียน "ยังเสนอด้วยว่าไม่ควรให้นักเรียนในเขตปริมณฑล เช่น นนทบุรี สมุทรปราการ เข้าร่วมโครงการนี้ เนื่องจากถือว่าเป็นเด็กในเมือง รวมทั้งไม่ควรให้เด็กระดับชั้น ม.1 เข้าร่วมโครงการนี้ เนื่องจากพบว่าเด็กวัยนี้วุฒิภาวะยังไม่เพียงพอ อีกทั้งผู้ปกครองไม่สนับสนุน ดังนั้น สพฐ.จะนำข้อเสนอมาพิจารณาทบทวนต่อไป" รองเลขาธิการ กพฐ.กล่าว (คมชัดลึก อังคารที่ 11 ม.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ม.เอกชน "คุณภาพ" "บัณฑิต" ต้องชั้นหนึ่ง

ในจำนวนมหาวิทยาลัยเอกชนทั้ง 28 แห่งของไทย ชื่อของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ จัดอยู่ในระดับแถวหน้าด้วย เนื่องจากมีอธิการบดี ดร.ธนู กุลชล เล็งเห็นว่า การบริหารงานให้ประสบความสำเร็จนั้นต้องใช้ทั้งศาสตร์ เช่นการให้เงินเดือนที่สูง และศิลป์ ในการทำให้คนรัก เพื่อผลิตบัณฑิตเกรดเอ อธิการบดีเป็นคนที่คอยให้สัญญาณในการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยให้พัฒนา ซึ่งหากให้สัญญาณไม่ชัดเจน การดำเนินงานก็จะไม่ประสบความสำเร็จ ฉะนั้นหน้าที่ของอธิการฯ อาจไม่ต้องลงมือทำอะไรเลยก็ได้ เพียงแต่คอยประสานพลังของทุกคนในองค์กรให้รวมเป็นหนึ่ง เพื่อเดินไปในทิศทางที่ตั้งเป้าหมายไว้ การบริหารก็จะประสบความสำเร็จ อธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ยังย้ำว่า การบริหารมหาวิทยาลัยต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ไม่ใช่ตั้งมหาวิทยาลัยเอกชนขึ้นมาเพื่อการค้าที่คอยจ้องแต่จะแสวงหากำไร แต่ตั้งขึ้นเพื่อรับใช้ประชาชน จัดการศึกษาที่ดีให้กับเยาวชน ผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพทั้งทางวิชาการและศีลธรรมสู่สังคมไทย การตระหนักในคุณภาพเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการสร้างความเชื่อถือให้กับสาธารณชน "มหาวิทยาลัยเอกชนจะพึ่งชื่อเสียงเหมือนมหาวิทยาลัยของรัฐไม่ได้ สิ่งเดียวที่ต้องทำให้ได้คือคุณภาพ และต้องเป็นคุณภาพระยะยาว บัณฑิตที่จบออกไปต้องยืนอยู่ในสังคมได้อย่างสง่าผ่าเผย ไม่ใช่เรียนจบเพื่อหวังเอาปริญญาเพียงอย่างเดียว ไม่เช่นนั้นอีกหน่อยสังคมจะตราหน้าว่าเป็นบัณฑิตชั้นหนึ่งหรือชั้นสอง ซึ่งเรายอมเป็นชั้นสองไม่ได้" ดร.ธนู กล่าวด้วยความมุ่งมั่น ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลจะต้องสนับสนุนได้ดีที่สุด คือให้อิสระในการบริหารงาน ภายใต้กรอบที่กว้างๆ โดยรัฐบาลมีหน้าที่ส่งเสริมและกำกับดูแลเรื่องคุณภาพ ส่วนระเบียบปลีกย่อยรัฐไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว อีกทั้ง ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) ที่มอบอำนาจให้สภาสถาบันบริหารจัดการอย่างเต็มที่ เป็นการช่วยให้การทำงานคล่องตัวขึ้น แต่จนบัดนี้ยังไม่มีการปฏิบัติอย่างจริงจัง (คมชัดลึก อังคารที่ 11 ม.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ปี 48 เด็กแห่เรียนวิทย์สุขภาพ

ศ.(พิเศษ) ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า โครงการนำร่องแอดมิชชั่นส์ ปี 2548 ว่ามีผู้สมัครทั้งสิ้น 20,058 คน แบ่งสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ 18,877 คน มีจำนวนรับ 4,764 คน คิดเป็นสัดส่วนแข่งขัน 1:4 ส่วนผู้สมัครในสถาบันอุดมศึกษาเอกชนมีเพียง 1,181 คน ขณะที่มีที่นั่งรองรับ 12,070 คน โดยผู้สมัครอันดับ 1 คือ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) มากที่สุด 5,291 คน เปิดรับ 875 คน สัดส่วนแข่งขัน 1:16 อันดับ 2 มหาวิทยาลัยบูรพา (มบ.) 3,667 คน เปิดรับ 730 คน สัดส่วน 1:16 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส.) 2,299 คน เปิดรับ 658 คน สัดส่วน 1:11 ทั้งนี้สาขาบริหารทั่วไป มบ.มีผู้สมัครมากที่สุด สัดส่วน 1:179 สาขาเภสัชศาสตร์ มอ.สัดส่วน 1:142 และสาขาเภสัชศาสตร์ มมส.สัดส่วน1:137 ซึ่งผู้สมัครส่วนใหญ่ยังติดค่านิยมเลือกเรียนสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ตามด้วยสาขาบริหารธุรกิจ ภาษาศาสตร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ เพราะสังคมยังมองว่าวิชาชีพแพทย์เป็นอาชีพที่มีเกียรติ จบแล้วมีงานทำแน่นอน (คมชัดลึก อังคารที่ 11 ม.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





สกอ.เปิดตัวไซเบอร์ยูนิเวอร์ซิตี้

ศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลมีนโยบายจะนำศักยภาพทางกำลังปัญญา องค์ความรู้ของสถาบันอุดมศึกษาไทย มาบูรณาการให้เกิดประโยชน์ต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ นั้นสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จึงเปิดศักราชใหม่รับปี 2548 ด้วยการจัดงาน “มหกรรมอุดมศึกษา ครั้งที่ 1” University Fair 2005 เพื่อแสดงศักยภาพของการอุดมศึกษาไทยในทุกมิติ ระหว่างวันที่ 12-15 ม.ค.นี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อผลิตบัณฑิตไทยทั้งในปัจจุบันและอนาคตของสถาบันอุดมศึกษาทุกแห่ง นำเสนอผลงานวิจัย องค์ความรู้ และเทคโนโลยีใหม่ในรูปแบบของตลาดนวัตกรรม และบทบาทสำคัญของการอุดมศึกษาไทยที่มีต่อการพัฒนาประเทศด้วยระบบ E-Learning สำหรับจุดเด่นของมหกรรมอุดมศึกษา คือการเปิดตัวโครงการไทยแลนด์ ไซเบอร์ ยูนิเวอร์ซิตี้ เพื่อแสดงศักยภาพของระบบเครือข่ายยูนิเน็ต (UNINET) การเรียนการสอน ทางไกล ซึ่งถือเป็นการศึกษารูปแบบใหม่ของอุดมศึกษาไทย “การเปิดตัว ไทยแลนด์ ไซเบอร์ ยูนิเวอร์ซิตี้ จะแบ่งออกเป็น 8 โซนเพื่อแสดงความเป็นมาและเป้าหมายของโครงการ โดยผู้เข้าชมจะได้สัมผัสจริง อาทิ E-Classroom ห้องเรียนเสมือน ที่สาธิตว่าการเรียนรู้ที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะแต่ในห้องเรียน , E-Library ห้องสมุดไซเบอร์แห่งแรกของไทย ภายใต้การพัฒนาเครือข่ายห้องสมุดในประเทศไทย และ E-Learning Showcase การนำเสนอบทเรียนออนไลน์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นต้น” ศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิช กล่าว และว่า นอกจากนี้ยังมีการสัมมนาวิชาการ และทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในไทยและต่างประเทศ จึงขอเชิญชวนนักเรียน นิสิต นักศึกษา บุคคลในวงการศึกษา และประชาชนที่สนใจเข้าร่วมงานโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (สยามรัฐ อังคารที่ 11 ม.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





“เตรียมอุดม” กวาดรับตรงแพทย์จุฬาฯ

รศ.นพ.อดิศร ภัทรดูลย์ รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา ผศ.พญ.นันทนา ศิริทรัพย์รองคณบดีฝ่ายวิชาการ และ รศ.นพ.อัมพล สูอำพัน ประธานคณะกรรมการคัดเลือก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เปิดแถลงผลการรับตรงนิสิตคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ปีการศึกษา 2548ซึ่งเป็นปีแรกที่รับตรง จำนวน 190 คน โดยไม่ผ่านกระบวนการของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) มีการดำเนินการรับสมัครมาตั้งแต่เดือน ก.ย. และมีการประกาศรายชื่อผู้สอบได้รอบแรกวันที่ 28 ธ.ค.2547 และรายงานตัวเมื่อวันที่ 4-7 ม.ค.2548 มีผู้ที่สอบผ่านเกณฑ์ 114 คน จากผู้สมัครและสอบครบทุกวิชา 2,100 คน จากผู้สมัครรวม 2,181 คน และไม่มารายงานตัว 1 คน สละสิทธิ์ไปอีก 4 คน เหลือ 109 คน โดยผู้ที่ทำคะแนนสูงสุด 5 อันดับแรก เป็นนักเรียนจาก รร.เตรียมอุดมศึกษา ทั้งหมด ดังนี้ 1.นายวีรวัช เอนกจำนงค์พร ได้ 785.50 คะแนน 2.นายยลรวี ปิยะคมน์ 7 82.25 คะแนน 3.นายธนธรรศ บำเพ็ญบุญ 772 คะแนน 4.นายจิรภาส ปอแก้ว 762.25คะแนน 5.นายธนณัฐ จิตะพันธ์กุล 762 คะแนน ส่วนผู้ทำคะแนนสูงสุดของแต่ละภาค ดังนี้ ภาคกลาง-กทม. คือนายวีรวัช ภาคเหนือ น.ส.ณัฎฐา ล้ำเลิศกุล รร.มงฟอร์ตวิทยาลัย จ.เชียงใหม่ ได้ 750.50 คะแนน, ภาคใต้ น.ส.วชิราภรณ์ คูณรังษีสมบูรณ์ รร.หาดใหญ่วิทยาลัย จ.สงขลา ได้ 742.25 คะแนน ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ นายบัญชา ศักดิ์สิทธิโชค รร.สกลราชวิทยานุกูล จ.สกลนคร ได้ 727 คะแนน ขณะที่ผู้ทำคะแนนสูงสุดวิชาเฉพาะจาก 300 คะแนน คือ น.ส.ดวงพร นรมัตถ์ รร.มหิดลวิทยานุสรณ์ จ.นครปฐม ได้ 213.25 คะแนน ผศ.พญ.นันทนา กล่าวด้วยว่า กระบวนการคัดเลือกจะใช้วิชาที่ผู้สมัครเข้าสอบจากสกอ.จำนวน 7 รายวิชา ได้แก่ ภาษาไทย สังคมศึกษา ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ เคมี ฟิสิกส์และชีวิวิทยา ซึ่งคะแนนรวม 700 คะแนน ผู้สมัครต้องสอบวิชาเฉพาะ จัดสอบโดยคณะแพทย์ฯ เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2547 คะแนนเต็ม 300 คะแนน ทั้งนี้ เกณฑ์ที่จะผ่านจะต้องได้คะแนนรวมทั้ง 7 รายวิชา และวิชาเฉพาะตั้งแต่ 700 คะแนนขึ้นไป นอกจากนี้ ยังมีวิชาเฉพาะเพื่อวัดคุณลักษณะที่ใช้ทดสอบความคิดและพฤติกรรมของผู้สมัครว่า เหมาะสมกับการศึกษาวิชาแพทยศาสตร์ และการประกอบวิชาชีพเวชกรรมในอนาคตหรือไม่ด้วย อย่างไรก็ตาม คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ จะรับสมัครในรอบที่ 2 วันที่ 17 ม.ค.นี้ ตามจำนวนที่นั่งที่ยังว่างอยู่จากยอดเต็ม 190 คน โดยจะดำเนินการประกาศผลรอบสองให้เร็วที่สุดและก่อนที่ สกอ.จะรับสมัครเอนทรานซ์เพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อน (สยามรัฐ อังคารที่ 11 ม.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





เผยภารกิจประธาน ปอมท.คนใหม่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากที่ที่ประชุมประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ปอมท.) เสนอให้ ผศ.น.พ.พิศิษฐ์ โจทย์กิ่ง ประธานปอมท. ลาออกจากตำแหน่ง โดยให้เหตุผลว่า ผศ.ดร.พิศิษฐ์ขาดประสิทธิภาพในการทำงาน และที่สำคัญไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับของปอมท. และไม่ขอมติต่างๆ จากที่ประชุมโดยเฉพาะเรื่องมหาวิทยาลัยนอกระบบ จนทำให้ชาวมหาวิทยาลัยสับสนนั้น เมื่อเร็วๆ นี้ประธานสภาอาจารย์ มหาวิทยาลัย 15 คน ได้ประชุมเพื่อเลือกตั้งว่าที่ประธาน ปอมท.คนใหม่ และมีมติให้ ผศ.น.พ.ธวัชชัย พีรพัฒน์ดิษฐ์ ประธานสภาคณาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดล เป็น ประธาน ปอมท.คนใหม่แทน โดย ผศ.น.พ.ธวัชชัยกล่าวว่า เหตุผลที่ต้องเลือกตั้งประธาน ปอมท.คนใหม่ เพราะเห็นว่า ผศ.น.พ.พิศิษฐ์ ขาดประสิทธิภาพในการบริหารงานประชุม ปอมท. ไม่สามารถประสานงานให้ได้รับการสนับสนุนและไว้วางใจจากประธานสภาฯเสียงส่วนใหญ่ได้ นอกจากนี้ยังสำคัญผิดในอำนาจหน้าที่ ปฏิบัติงานตามอำเภอใจ ไม่รับฟังความคิดเห็นคนส่วนใหญ่ และปฏิเสธมติที่ประชุม ปอมท. สำหรับงานเร่งด่วนที่ ปอมท.จะดำเนินงานต่อคือ ปรับโครงสร้างบริหารงานของมหาวิทยาลัยที่จะเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ โดยจะให้อิสระกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ในการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว และหากมหาวิทยาลัยใดที่จะออกนอกระบบ. ปอมท.ยืนยันว่าพร้อมที่จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ส่วนมหาวิทยาลัยใดยังที่ยังไม่พร้อมจะออกนอกระบบ ปอมท. ก็จะช่วยคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของอาจารย์และข้าราชการให้เกิดความเป็นธรรม (ไทยรัฐ พุธที่ 12 ม.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





แพทย์มศวชูคุณภาพเด็กชนบท เชื่อใจมีสำนึกรับใช้บ้านเกิด

นพ.อรุณวงศ์ เทพชาตรี คณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยผลการรับสมัครสอบคัดเลือกเข้าเป็นนิสิตระดับปริญญาตรีด้วยระบบสอบตรง ประจำปี 2548 ว่า มศว ได้จัดประกาศผลตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค.ที่ผ่านมา แต่เนื่องจากเป็นวันหยุด นักเรียนจึงมาดูผลการสอบในวันที่ 10 ม.ค.เป็นจำนวนมาก ซึ่งมีผู้ผ่านการคัดเลือกทั้งสิ้น 100 คน ส่วนใหญ่เป็นเด็กต่างจังหวัด ส่วนที่เหลืออีก 30 คนจะรับจากการสอบเอ็นทรานซ์ ทั้งนี้ยุทธศาสตร์การรับนิสิตคณะแพทย์ศาสตร์ ของ มศว. นั้น จะเน้นการรับตรงจากโควตาเด็กต่างจังหวัด เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่า เด็กต่างจังหวัดที่สอบเข้าเรียนในคณะแพทย์ศาสตร์นั้น จะไม่สละสิทธิ์ ไม่คิดลาออก และเมื่อจบก็จะกลับไปรับใช้ที่บ้านเกิดของตนเอง มศว เปิดคณะแพทย์มา 20 ปี ผลิตแพทย์ออกไปทั้งสิ้น 14 รุ่น นิสิตแพทย์ไม่เคยมีปัญหา การรับนักเรียนเข้าเรียนคณะแพทย์ ของ มศว คงจะยึดหลักการเช่นนี้ต่อไป และที่สำคัญเป็นการเปิดโอกาสให้กับเด็กในชนบทด้วย สิ่งสำคัญของการคัดนิสิตเข้าเรียนคณะแพทย์ จะต้องดูสภาพจิตใจของเป็นสำคัญว่ามีความพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่อาชีพนี้หรือไม่ (สยามรัฐ พุธที่ 12 ม.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





จี้ทบทวนโครงสร้างก.ค.ศ.อีกรอบ

วันที่ 11 ม.ค.48 นายไพบูลย์ เสียงก้อง รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบบริหารของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ว่า หลังจากที่ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา มีผลบังคับใช้ ส่งผลให้ต้องมีการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เพื่อรองรับคณะกรรมการ ก.ค.ศ. โดยที่ประชุมได้พิจารณาโครงสร้างตามภารกิจของสำนักงาน ก.ค.ศ.ตามที่เสนอมา 8 ส่วน ดังนี้ 1.ภารกิจติดตามและประเมินผลการบริหารงานบุคคล 2.ภารกิจตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครู 3.ภารกิจตำแหน่งและวิทยฐานะบุคลากรทางการศึกษา 4.ภารกิจนวัตกรรมการบริหารงานบุคคล 5.ภารกิจวิจัยและพัฒนาระบบบริหารงานบุคคล6.ภารกิจเสริมสร้างประสิทธิภาพข้าราชการ ครูและบุคลากรทางการศึกษา 7.สำนักงานเลขาธิการ และ 8.สำนักวินัยและนิติการ ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการ แต่ได้ตั้งข้อสังเกตว่าโครงสร้างของหน่วยงานควรจะเป็นส่วนราชการ เช่น สำนักไม่ควรเป็นกลุ่มภารกิจ เนื่องจากเป็นหน่วยงานถาวรนอกจากนี้เห็นว่าควรจะรวมภารกิจตำแหน่ง และวิทยฐานะข้าราชการครู กับภารกิจตำแหน่งและวิทยาฐานะบุคลากรทางการศึกษาเข้าด้วยกัน เพื่อให้หน่วยงานมีขนาดเล็กลงเพราะเป็นเนื้องานเดียวกัน และควรจะรวมภารกิจนวัตกรรมการบริหารงานบุคคล กับภารกิจเสริมสร้างประสิทธิภาพข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเข้าด้วยกัน แต่ถ้ารวมไม่ได้ก็ต้องเขียนเนื้องานให้ชัดเจน ซึ่งที่ประชุมได้มอบหมายให้ ก.ค.ศ.กลับไปพิจารณาอีกครั้ง (สยามรัฐ พุธที่ 12 ม.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





คุรุสภาจัดงาน"วันครู"ยิ่งใหญ่ทั่วปท.

นายเสริมศักดิ์ วิศาลาภรณ์ ประธานคณะกรรมการคุรุสภา ร่วมกับนายจักรพรรดิ วะทา เลขาธิการคุรุสภา แถลงการจัดงานวันครู ประจำปี 2548 ว่า วันครูตรงกับวันที่ 16 มกราคมของทุกปี ซึ่งปีนี้จะจัดงานวันที่ 15-16 มกราคม โดยวันที่ 15 มกราคม เป็นกิจกรรมทางวิชาการ และวันที่ 16 มกราคม เป็นกิจกรรมระลึกพระคุณครู โดยจัดทั้งที่ส่วนกลางและภูมิภาค ที่ส่วนกลางจัดที่หอประชุมคุรุสภา โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะมาเป็นประธานในพิธี ในเวลา 09.30 น. พร้อมทั้งมอบรางวัลแก่ผู้ได้รับรางวัลคุรุสภา ประจำปี 2547 มีผู้ได้รับรางวัลคุรุสภาทั้งสิ้น 9 คน แยกเป็นสายครูผู้ปฏิบัติการสอน 5 คน ได้แก่ นางณัชตา ธรรมธนาคม โรงเรียนศูนย์รวมน้ำใจ กทม. นางพูนสิน บุตรภักดี โรงเรียนมูลนิธิวัดศรีอุบลรัตนาราม จ.อุบลราชธานี นายไพฑูรย์ สายเสน โรงเรียนบรรหารแจ่มใสวิทยา 6 จ.สุพรรณบุรี นายสมเดช เคหะลูน โรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคม จ.กำแพงเพชร และ น.ส.สุภาพร คูหาทอง โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล จ.อุดรธานี สายผู้บริหารสถานศึกษา 2 คน ได้แก่ นายทอง วิริยะจารุ โรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา จ.นครราชสีมา และ น.ส.นันทิยา ชุนณวงษ์ โรงเรียนอุดมดรุณี จ.สุโขทัย สายผู้บริหารการศึกษา 1 คน ได้แก่ นายประพฤทธิ์ สุขใย รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.) เพชรบูรณ์ เขต 1 และสายบุคลากรทางการศึกษาอื่น 1 คน ได้แก่ นางพรพิมล ปัญญามาลัย ศึกษานิเทศก์ 9 สพท.น่านเขต 1 โดยทั้ง 9 คน จะได้รับมอบโล่ เข็มทองคำคุรุสภา 1 สลึง เงินสด 20,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร นอกจากนี้ ยังมีผู้ที่ได้รับรางวัลครูภาษาไทยดีเด่น ประจำปี 2547 อีกจำนวน 72 คน ซึ่งจะได้รับเข็มพระนามาภิไธย สธ ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมโล่ (สยามรัฐ พุธที่ 12 ม.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ครู กทม. ขอขึ้นตรงสำนักการศึกษา

นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ผู้ช่วยเลขานุการ รมว. ศึกษาธิการ และรองโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีข้าราชการครูในสังกัดของกรุงเทพ-มหานคร (กทม.) จำนวนมาก ได้ร้องเรียนผ่านมายัง กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เรียกร้องอยากให้สถานศึกษาในสังกัด กทม. ขึ้นตรงกับสำนักการศึกษาโดยไม่ต้องผ่าน ผอ.เขตปกครอง และขอให้แบ่งเขตพื้นที่การศึกษา ของกรุงเทพมหานครออกเป็นโซนๆ และให้ศึกษาธิการเขตทำหน้าที่ ผอ. เขตพื้นที่การศึกษา มีหน้าที่ดูแลสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาเหมือน กับของ ศธ. นอกจากนี้ครู กทม.ยังต้องการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการบริหารการจัดการทางด้านการศึกษา เพราะที่ผ่านมาสถานศึกษาในสังกัด กทม. ขึ้นตรงต่อผู้อำนวยการเขตปกครอง ทำให้ต้องรับภาระในการดำเนินการจัดกิจกรรมและในการพัฒนาในด้านต่างๆ ตามนโยบายของ กทม. เช่น ลงพื้นที่หน่วยเลือกตั้ง คอยต้อนรับการประชุมของผู้บริหาร ระดับสูงในเขตต่างๆ ทำให้ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมการเรียนการสอน ทำให้ครูมีเวลาให้เด็กน้อยลง ในเรื่องนี้ ตนจึงเตรียมที่จะเป็นตัวกลางเพื่อประสานกับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ตลอดจนผู้บริหารระดับสูงของกรุงเทพมหานคร ได้ช่วยพิจารณาปรับโครงสร้างงานทางด้านการศึกษาตามข้อเรียกร้องดังกล่าว เพื่อให้เกิดประโยชน์และตรงใจ ครู กทม.อันจะส่งผลให้เกิดประโยชน์โดยตรง และผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาต่อไป. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 13 ม.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





พัฒนาครูไอทีแนวใหม่ด้วยหลักสูตรศึกษาด้วยตนเอง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้พัฒนารูปแบบวิธีการใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาครูดัง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบในการอบรมโดยตรงในห้องเรียน (face to face) การอบรมโดยส่งสื่อเอกสาร การอบรมครูทางไกลผ่านดาวเทียม หรือการอบรมผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต แต่เนื่องจาก “เทคโนโลยีสารสนเทศ” ยังเป็นเนื้อหาใหม่ที่ครูประถมในหลายโรงเรียนยังขาดทักษะและความชำนาญทางด้านเนื้อหา และการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน อันก่อให้เกิดปัญหาในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนนั้น ๆ ล่าสุด สสวท. จึงได้จัดทำ “หลักสูตรและชุดเอกสารสำหรับครูผู้สอนวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศโดยการศึกษาด้วยตนเอง” อาจารย์นารี วงศ์สิโรจน์กุล ผู้ช่วยผู้อำนวนการ สสวท. บอกถึงจุดเด่นของการอบรมครั้งนี้ว่า เหมาะสำหรับให้ครูได้เพิ่มความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ แนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้ครูสามารถพัฒนาตนเอง มีความมั่นใจ และมีความพร้อมในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามหลักสูตรใหม่ อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มพูนความรู้ทางเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบัติงานของสถานศึกษา ทั้งนี้ชุดเอกสารศึกษาด้วยตนเอง ประกอบด้วยเนื้อหาหลัก 6 เรื่อง คือความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ คอมพิวเตอร์ช่วยสร้างงาน เครื่องมือช่วยประเมินผลการเรียน อินเทอร์เน็ตและการสร้างเว็บเพจ ซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และหลักการแก้ปัญหาและเครื่องมือในการแก้ปัญหา สนใจลงทะเบียนเข้ารับการฝึกอบรมร่วมกับ สสวท. ได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ก.ค. 48 ดูรายละเอียดได้ที่ http://oho.ipst.ac.th (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 13 ม.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





โนเบลโลกแนะเคล็ดพัฒนานักวิทย์รุ่นใหม่

ศ.โรเบิร์ต ซี ริชาร์ดสัน นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ ปาฐกถาเรื่อง "การฝึกอบรมนักวิทยาศาสตร์สำหรับอนาคต : ทำอย่างไรจึงจะดลใจและฝึกคน เพื่อปัญหาของโลกในศตวรรษที่ 21" ณ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย โดยสรุปว่า สิ่งสำคัญ สำหรับการพัฒนานักวิทยาศาสตร์ในศตวรรษหน้าคือ ความร่วมมือระหว่างสถาบัน ในหลากหลายสาขา ที่เอื้ออำนวยต่อการวิจัยค้นคว้า เพื่อให้นักวิทย์รุ่นใหม่ ได้มีโอกาสเรียนรู้ และหาประสบการณ์ใหม่ "ความรู้ในสาขาวิชาที่หลากหลาย เป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ในการพัฒนาองค์ความรู้และงานวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อการคิดค้นสิ่งใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ และที่สำคัญ คือความร่วมมือระหว่างสถาบันต่างๆ ที่จะสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาร่วมกัน" ศ.โรเบิร์ตกล่าว โดยยกตัวอย่างการจัดวางโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เพื่อฝึกคนรุ่นใหม่ในมหาวิทยาลัยคอร์แนล สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ว่า ม.คอร์แนลได้สร้างห้องทดลองด้านนาโนเทคโนโลยีและเทคโนโลยีชีวภาพมาตั้งแต่ปี 2491 เพื่อให้นักศึกษาได้ทดลองและเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้ ซึ่งคาดว่าจะเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคต โดยเฉพาะด้านวัสดุศาสตร์ หลังจากนั้น ก็เริ่มจัดตั้งสถาบันวิจัยด้านวัสดุศาสตร์ในปี 2503 โดยเน้นทางด้านฟิสิกส์ เคมี อิเล็กทรอนิกส์ และวิศวกรรมวัสดุ และเรื่อยมาจนถึงปี 2541 จัดตั้งศูนย์ระบบนาโนสเกล ศ.โรเบิร์ต กล่าวว่า การถ่ายโอนเทคโนโลยีก็เป็นกุญแจสำคัญ สำหรับการพัฒนานักวิทยาศาสตร์เช่นเดียวกัน เนื่องจากนักศึกษาวิทยาศาสตร์ หรือนักวิทยาศาสตร์รุ่นหลัง จะได้เรียนรู้ในสิ่งค้นพบในสิ่งใหม่ และนำไปสร้างสรรค์ต่อไป ซึ่งเป็นความรับผิดชอบและเป็นหน้าที่หลักของสถาบันการศึกษา ที่ต้องดำเนินการในเรื่องนี้ และขยายผลต่อไปยังสาธารณชน "อย่างแรกเราต้องเริ่มจากความร่วมมือเล็กๆ ก่อน หลังจากนั้น ก็ค่อยๆ พัฒนาความเป็นเลิศในสาขาย่อย แล้วสร้างผู้เชี่ยวชาญขึ้นมาและขยายไปยังสาขาต่างๆ โดยอาศัยความร่วมมือ สิ่งสุดท้ายที่สำคัญมาก คือการนำเอาสิ่งที่ค้นพบไปให้ความรู้แก่สาธารณะได้รู้และเข้าใจจึงเกิดประโยชน์" นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลกล่าว การสนับสนุนจากรัฐบาลเป็นเรื่องที่สำคัญเช่นเดียวกัน สำหรับพัฒนานักวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะการสนับสนุนทางด้านเงินทุนให้แก่โครงการวิจัยต่างๆ แต่ที่ผ่านมา รัฐบาลส่วนมากไม่ค่อยให้ความสำคัญกับด้านนี้ ทำให้งานวิจัยและการค้นคว้าขาดประสิทธิภาพ (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 13 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ศธ.ตั้งคณะทำงานติดตามการผลิตบัณฑิต

นายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวตอนหนึ่งในการเปิดงานมหกรรมอุดมศึกษา University Fair 2005 วันที่12 ม.ค.) ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้เสนอแผนพัฒนาเศรษฐกิจ โดยในส่วนของการศึกษามีการเสนอให้ผลิตบัณฑิตที่เหมาะสมตรงกับความต้องการของประเทศ เช่น ทางสภาอุตสาหกรรมมีความต้องการคนที่มีความชำนาญด้านเทคนิค มากกว่าด้านการบริหารที่มีการผลิตกันจนล้นตลาด และสาขาการท่องเที่ยวที่แม้จะผลิตได้ปีละ 4,000 คน แต่คุณสมบัติของบัณฑิตยังไม่ใช่สิ่งที่ภาคตลาดต้องการ สาเหตุหลักเกิดจากแต่ละหน่วยงานดำเนินการในลักษณะต่างคนต่างทำ ไม่มีการประสานกัน ดังนั้น ตนจึงขอให้มีคณะทำงานขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่ประสานการปฏิบัติงานกับตลาดแรงงาน และมหาวิทยาลัย โดย ศธ.จะเป็นเจ้าภาพใหญ่ในการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และตนจะเข้าไปติดตามเฝ้าดูตลอดเพื่อให้เกิดการทำงานจริง ตนเห็นว่ามหาวิทยาลัยทั้งหมดควรสร้างโครงข่ายร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้ทราบว่าจะผลิตหรือสร้างนักศึกษาทางด้านใด นักศึกษาต้องเรียนอะไร จบแล้วจะไปทำงานที่ไหน ถือว่าเป็นประโยชน์กับประเทศมาก และรัฐบาลมีนโยบายจะเห็นภาพชัดเจนว่าประเทศจะเดินไปในทิศทางใด สำหรับงานมหกรรมอุดมศึกษาครั้งนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-15 มกราคม โดยมุ่งให้นักเรียน นักศึกษา และผู้ต้องการศึกษาต่อระดับปริญญาตรีถึงเอก ได้มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลหลักสูตรการเรียนการสอนจากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั้งภาครัฐและเอกชน กว่า 138 แห่ง จัดแสดงผลงานสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ การวิจัย และนวัตกรรมใหม่ๆ พร้อมจัดประชุมทางวิชาการ ตลอดจนมีการแสดงผลิตภัณฑ์ด้านการศึกษา (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 13 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





สกอ.ทุ่มทุนด็อกเตอร์ใหม่

ศ.พิเศษ ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยถึงนโยบายการการจัดตั้งมหาวิทยาลัยใหม่ 2 แห่ง ได้แก่ ม.นราธิวาสราชนครินทร์ จ.นราธิวาส และม.นครพนม จ.นครพนม ว่า สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้ดำเนินการไปแล้ว และเห็นควรให้มีการจัดทุนการศึกษาในระดับปริญญาเอก ณ ต่างประเทศ สำหรับพัฒนาอาจารย์ ในปี 2548 จะให้ทุนแห่งละ 10 ทุน ใน 10 สาขา โดยแบ่งเป็นโครงการจัดตั้ง ม.นครพนม ได้แก่ สาขาคอมพิวเตอร์, เทคโนโลยีสารสนเทศ, พยาบาลศาสตร์, วิศวกรรมศาสตร์, บัญชี, เกษตรศาสตร์, ภาษาอังกฤษ, ฟิสิกส์ , เคมี, ชีววิทยา, คณิตศาสตร์ และวิทยาการการบิน ในส่วนของโครงการจัดตั้ง ม.นราธิวาสราชนครินทร์ ได้แก่ สาขาวิศวกรรมศาสตร์, เกษตรศาสตร์, อุตสาหกรรมเกษตร, พยาบาลศาสตร์, ภาษาอังกฤษ, ฟิสิกส์, เคมี, ชีววิทยา และคณิตศาสตร์ สำหรับคุณสมบัติของผู้สมัครรับทุนต้องมีอายุไม่เกิน 35 ปีบริบูรณ์ มีผลการศึกษาเฉลี่ยสะสมระดับปริญญาตรีไม่ต่ำกว่า 2.75 และปริญญาโทไม่ต่ำกว่า 3.25 ผู้ได้รับทุนจะต้องทำสัญญาเพื่อกลับมาเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ดังกล่าว โดยเปิดรับทุนระหว่างวันที่ 24 ม.ค.-11 ก.พ.2548 หรือดูรายละเอียดได้จากเว็บไซต์ www.mua.go.th/based (สยามรัฐ พฤหัสบดีที่ 13 ม.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





แอดมิชชันปี 49 ยังไม่พร้อมใช้ NET

ศ.ดร.อุทุมพร จามรมาน ประธานคณะทำงานระบบกลางการรับเข้าเรียน (Admission and Assessment Forum) หรือแอดมิชชัน กล่าวตอนหนึ่งในการสรุปเรื่องแอดมิชชั่น ในงานมหกรรมอุดมศึกษาครั้งที่ 1 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งมีนักเรียนฟังเข้ากว่าร้อยคน ว่า ในปี 2549 สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) จะใช้ระบบแอดมิชชั่นอย่างเต็มรูปแบบ โดยมหาวิทยาลัยจะเป็นผู้กำหนดคุณสมบัติและคุณลักษณะของผู้สมัครและคัดเลือกเอง ซึ่งควรแจ้งเกณฑ์องค์ประกอบของระบบกลาง ให้ผู้สมัครทราบโดยด่วน ซึ่งโดยสรุปแล้วองค์ประกอบของผู้สมัครที่ต้องใช้ในระบบแอดมิชชั่น คือ 1.ค่า GPAX คะแนนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตรอย่างน้อย 10% 2.ค่า GPA 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ที่มหาวิทยาลัยจะต้องเป็นผู้กำหนด ทั้งนี้แต่ละมหาวิทยาลัยจะต้องแจ้ง กลับมาให้ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.) ทราบว่าจะกำหนดจำนวนเปอร์เซ็นต์ ของค่าคะแนนรายละเอียดต่างๆ ภายใน 20 ม.ค.นี้ สำหรับร่างกำหนดการของระบบกลางการรับเข้าเรียนมีดังนี้ เริ่มแจกใบสมัครและสมัครช่วงต้นเดือน ต.ค.48 , สกอ. จัดสอบตามสนามสอบของมหาวิทยาลัย เช่นที่เคยทำในระบบเอนทรานซ์ เดือน ต.ค.48, ประกาศผลสอบ เดือน พ.ย.48, สมัครเข้าเรียนโดยเลือกได้ 4 ลำดับ และเสียค่าสมัครเดือน ธ.ค., สกอ.ส่งรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกรอบแรก ส่งชื่อ 4 ลำดับๆ ละ 1 คนให้มหาวิทยาลัยพิจารณา เดือน ม.ค.49, มหาวิทยาลัยส่งชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกและยืนยันสิทธิ์ให้ สกอ.เดือน ก.พ.49 และ สกอ.จะส่งชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกรอบสองให้มหาวิทยาลัย เพื่อเติมเต็มจำนวนที่ต้องการและให้ยืนยันสิทธิ์ เดือนมี.ค.49 อย่างไรก็ตามในปีการศึกษา 2549 จะยังไม่นำค่า NET ซึ่งเป็นทดสอบ โดยสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติมาใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการเตรียมการจัดตั้งสถาบันฯ แต่สำหรับปี 2550 เชื่อว่าสถาบันทดสอบฯ จะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งหลังจากนั้นก็จะมีการจัดสอบและสามารถนำคะแนนจากสถาบันดังกล่าวมาใช้ได้ (สยามรัฐ พฤหัสบดีที่ 13 ม.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ม.ราชมงคลใกล้คลอด-รอลงราชกิจจาฯ

วันที่ 12 มกราคม นายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยในร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ก่อนที่จะมีผลบังคับใช้ นายนำยุทธ สงค์ธนาพิทักษ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล(รม.) กล่าวว่า ตนได้รับแจ้งเรื่องดังกล่าวแล้ว ซึ่งเวลานี้ทางสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลมีความพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนสถานภาพขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยแล้ว โดยสาระสำคัญของ พ.ร.บ.ฉบับนี้กำหนดให้มีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล 9 แห่ง ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลภาคตะวันออก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน โดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลแต่ละแห่งจะมีจุดเน้นการเป็นมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เข้าไปรองรับการพัฒนาท้องถิ่น ส่งเสริมและเข้าไปผลิตการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับสูง และส่งเสริมการวิจัยที่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริงและเผยแพร่สู่ชุมชน ในการบริหารงานของมหาวิทยาลัยจะมีโครงสร้างเฉพาะ เน้นการใช้ทรัพยากรร่วมกัน โดยการพัฒนามหาวิทยาลัยนั้นต่อไปจะเน้นความร่วมมือกับภาคเอกชนและมหาวิทยาลัยในต่างประเทศมากขึ้น เพื่อยกระดับและพัฒนาคุณภาพทางการศึกษา (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 13 ม.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





อธิการบดีมช.ยันออกนอกระบบแน่ ให้สิทธิ์เลือกจะเป็นขรก.-พนักงาน

ศาสตราจารย์(ศ.) ดร.พงษ์ศักดิ์ อังกสิทธิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) ให้สัมภาษณ์ในข่าวของ มช.เมื่อเร็วๆ นี้ ว่าการเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐบาล ย่อมจะดีกว่าการเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐบาลอย่างแน่นอน เนื่องจากการพร้อมที่จะแข่งขันกับมหาวิทยาลัยจากที่อื่นๆ ทั้งในประเทศและนอกประเทศนั้น จำเป็นต้องอาศัยระบบบริหารจัดการที่มีความคล่องตัวสูง หาก มช.เป็นอิสระจากระบบราชการ จะเกิดความได้เปรียบในการตัดสินใจในหลายๆ กรณี ขั้นตอนกระบวนการตัดสินใจจะสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องยึดติดกับระเบียบราชการที่ต้องใช้เวลายาวนาน "โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ในขณะนี้ มช.กำลังพยายามขับเคลื่อนให้มหาวิทยาลัยติดอันดับของเอเชีย การออกเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับจะช่วยเสริมศักยภาพด้านความคล่องตัวในการขับเคลื่อนได้เป็นอย่างดี โดยมีขั้นตอนกระบวนการต่างๆ ในลักษณะของธรรมาภิบาล เข้ามาบริหารจัดการกลั่นกรอง เพื่อความโปร่งใส ไม่ว่าจะเป็นการนำดุลดัชนีมาใช้จัดการด้านการเงิน หรือการนำเอา e-Auction มาใช้ในการประกวดราคาจัดซื้อจัดจ้างเป็นต้น" อธิการบดี มช.กล่าว และว่า ร่าง พ.ร.บ.มช.อยู่ในขั้นตอนที่จะส่งไปยังวุฒิสภา คาดว่าประมาณกลางปี มช.คงใช้ พ.ร.บ.ของตนเองได้ ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างมากมายว่าเป็น พ.ร.บ.ที่มีความเอื้ออาทรต่อประชากรของมหาวิทยาลัยค่อนข้างสูงมาก โดยเฉพาะการให้การเลือกแก่ประชากร ในการเลือกเข้าสู่ระบบใหม่หรืออยู่ในระบบเดิม ร่าง พ.ร.บ.มช.ให้โอกาสเลือกสถานะของตนเองได้ ว่าจะคงความเป็นข้าราชการ หรือจะเปลี่ยนเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย โดยกำหนดเวลาว่าผู้บริหารมีเวลาตัดสินใจถึง 15 วัน คณาจารย์และข้าราชการก็ตัดสินใจถึง 120 วัน หรือหากไม่เป็นพนักงานก็สามารถเป็นข้าราชการต่อไปได้ เพราะ มช.มีนโยบายที่จะเป็นมหาวิทยาลัยคู่ขนาน ส่วนในเรื่องผลประโยชน์ เรื่อง กบข. ก็สามารถต่ออายุต่อไปได้ทันที เครื่องราชอิสริยาภรณ์ก็ยังคงได้ และในช่วงของการบริหารงาน 4 ปี ของคณะผู้บริหารชุดนี้จะไม่มีการขึ้นค่าเล่าเรียนหรือค่าหน่วยกิตอย่างแน่นอน เพราะจะเป็นการสร้างภาระให้กับผู้ปกครองมากเกินไป ทั้งนี้ พนักงานมหาวิทยาลัยจะมีค่าตอบแทนสูงขึ้นกว่าเมื่อครั้งเป็นข้าราชการ ซึ่งจะต้องปฏิบัติภารกิจเพิ่มมากขึ้น เมื่อเหนื่อยมากขึ้น ทำงานมากขึ้น ประสิทธิภาพงานมากขึ้น ก็ต้องมีค่าตอบแทนสูงขึ้น (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 13 ม.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





สกอ.ให้ทุนอาจารย์ เรียนต่อปริญญาเอก

ศ.(พิเศษ) ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า ตามที่นโยบายรัฐบาลที่ให้จัดตั้งมหาวิทยาลัยใหม่ 2 แห่ง ได้แก่ ม.นราธิวาสราชนครินทร์ ที่ จ.นราธิวาส และ ม.นครพนม ที่ จ.นครพนม ทางสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้ให้ทุนการศึกษาระดับปริญญาเอก เรียนต่อต่างประเทศ สำหรับพัฒนาอาจารย์ โดยในปี 2548 สกอ.จะให้ทุนแห่งละ 10 ทุน แบ่งเป็นโครงการจัดตั้ง ม.นครพนม ได้แก่ สาขาคอมพิวเตอร์ สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ สาขาพยาบาลศาสตร์ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ สาขาบัญชี สาขาเกษตรศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ สาขาฟิสิกส์ สาขาเคมี สาขาชีววิทยา สาขาคณิตศาสตร์ และสาขาวิทยาการการบิน "ส่วนโครงการจัดตั้ง ม.นราธิวาสราชนครินทร์ มีสาขาวิศวกรรมศาสตร์ สาขาเกษตรศาสตร์ สาขาอุตสาหกรรมเกษตร สาขาพยาบาลศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ สาขาฟิสิกส์ สาขาเคมี สาขาชีววิทยา และสาขาคณิตศาสตร์ ทั้งนี้ผู้ขอรับทุนมีอายุไม่เกิน 35 ปี มีผลการเรียนระดับปริญญาตรีไม่ต่ำกว่า 2.75 และปริญญาโทไม่ต่ำกว่า 3.25 รับสมัครระหว่างวันที่ 24 มกราคม-11 กุมภาพันธ์ 2548 ดูข้อมูลได้ที่ www.mua.go.th หรือสอบถามโทร. 0-2644-7029-30 ต่อ 514, 515 (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 14 ม.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





เด็กไทยเรียนนอกลด เด็กเทศแห่เรียนไทย ยกนิ้วสูตรนานาชาติ

ศ.(พิเศษ) ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.)กล่าวถึงแนวโน้มการไปศึกษาต่อในต่างประเทศของนักเรียน นักศึกษาไทย ว่ามีแนวโน้มลดน้อยลงอย่างชัดเจน เนื่องจากหลักสูตรนานาชาติของสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย ได้รับความนิยมมากขึ้น และมีนักศึกษาจากประเทศในภูมิภาคเดียวกันเข้ามาเรียนในเมืองไทยด้วย ทั้งนี้ นักศึกษาไทยที่ไปเรียนในต่างประเทศ ส่วนใหญ่จะเริ่มส่งไปเรียนตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษา และมักจะไปในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ เช่น ประเทศออสเตรเลีย ที่ได้รับความนิยมเนื่องจากอยู่ใกล้กับประเทศไทย และค่าใช้จ่ายในการศึกษาไม่สูงมากนัก รองลงมาประเทศอังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศจีน ในช่วงหลังก็ได้รับความนิยมจากนักเรียนไทยมากขึ้น สำหรับหลักสูตรที่นักเรียนไทยนิยมไปเรียน ได้แก่หลักสูตรการบริหารธุรกิจ และเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) เป็นต้น เช่นเดียวกับนักศึกษาต่างชาติที่นิยมมาเรียนหลักสูตรบริหารธุรกิจของไทย และทราบว่าในระยะหลังสถาบันอุดมศึกษาของไทยหันมาเน้นหลักสูตรเกี่ยวกับด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากขึ้น เช่นสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร ของ ม.ธรรมศาสตร์ และ ม.อัสสัมชัญ (สยามรัฐ ศุกร์ที่ 14 ม.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ผุดหลักสูตรกันอุบัติภัยในโรงงาน

วันที่ 13 ม.ค. นายวีระศักดิ์ วงษ์สมบัติ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับนายสุรินทร์ จิรวิศิษฐ์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน และผู้แทนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าไทย ว่า จากการหารือเพื่อหาแนวทางสร้างความคุมกันด้านอุบัติภัย ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้จากการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงงานอุตสาหกรรม เนื่องจากความปลอดภัยในการทำงานมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะตัวเลขที่ทำให้เกิดความเสียหายจากอุบัติภัยในการทำงานมีมาก ที่ผ่านมาทั้งโรงงานอุตสาหกรรมและคนทำงานมักจะละเลยเรื่องของความปลอดภัย ทั้งที่มีกฎหมายบังคับอยู่หลายฉบับ ซึ่งต้องยอมรับว่า การปลูกฝังค่านิยมในการนำความปลอดภัยในการทำงานยังมีไม่มากนัก จึงจำเป็นต้องมีการสร้างมาตรฐานการป้องกันในเชิงรุก โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) และกรมสวัสดิการคุ้มครองแรงงาน จึงได้ร่วมกันจัดทำหลักสูตรเกี่ยวกับการป้องกันอุบัติภัยจากการทำงาน เพื่อให้ความรู้แก่นักเรียน นักศึกษาในระดับ ปวช. และ ปวส. ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงาน (สยามรัฐ ศุกร์ที่ 14 ม.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





มศก.รับตรงเภสัชฯ

เภสัชกร ผศ.ดร.เกษร จันทร์ศิริ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร (มศก.) เปิดเผยว่า คณะเภสัชฯ เปิดรับสมัครผู้ที่จบ ม.ปลายหรือเทียบเท่าเข้าศึกษาต่อตามโครงการรับนักศึกษาเภสัชศาสตร์เพิ่มพิเศษประจำปีการศึกษา 2548 จำนวน 90 คน โดยจำหน่ายใบสมัครและเปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 15 มีนาคม 2548 ที่อาคารเรียนคณะเภสัชศาสตร์ ม.ศิลปากร จ.นครปฐม โดยสอบข้อเขียน 6 รายวิชา ได้แก่ ภาษาไทย สังคม คณิตศาสตร์ อังกฤษ เคมี ชีววิทยาและฟิสิกส์ในวันที่ 28-30 มีนาคม 2548 ที่คณะเภสัชศาสตร์ ม.ศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ จ.นครปฐม คณะเภสัชฯจะประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสอบและสถานที่ในวันที่ 21 มีนาคม 2548 และประกาศรายชื่อผู้สอบผ่านข้อเขียนในวันที่ 23 เมษายนนี้ สอบสัมภาษณ์และตรวจร่างกายในวันที่ 13 พฤษภาคมและผลสอบคัดเลือกทั้งตัวจริงและสำรองในวันที่ 16 พฤษภาคม โดยประกาศรายชื่อตัวจริงในวันที่ 18 พฤษภาคม และตัวสำรองในวันที่ 19-20 พฤษภาคมนี้ ที่คณะเภสัชศาสตร์ ม.ศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ จ.นครปฐม และทาง http://www.pharm.su.ac.th หรือติดต่อสอบถามได้ที่โทร.0-3425-3910-19 ต่อ 2313, 0-3421-8770, 0-3425-5803 (คมชัดลึก





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


ชี้โลกยังสั่นแบบระฆัง

นายเฮิร์บ แมคควีน นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย เผยว่า สองสัปดาห์หลังแผ่นดินไหว 9.0 ริกเตอร์นอกชายฝั่งเกาะสุมาตราของอินโดนีเซียนั้น ปรากฏว่า โลกยังคงสั่นไหวแต่เป็นการสั่นไหวในรูปแบบของการแกว่งตัวของระฆัง แม้จะไม่มีเสียง ซึ่งอุปกรณ์ตรวจวัดสามารถจับคลื่นการสั่นไหวได้ อย่างไรก็ตาม การสั่นไหวของโลกไม่ได้รุนแรงถึงขนาดทำให้คนเราตกกระเด็นลงมาจากเกาอี้ได้ ก่อนหน้านี้ นายริชาร์ด กรอสส์ นักวิทยาศาสตร์ขององค์การบริการการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐ (นาซ่า) ได้กล่าวว่า การสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.ปีแล้วนั้น ทำให้แกนของโลกเอียงไป 2.5 ซม. และ โลกหมุนรอบตัวเองเร็วขึ้น 3 ในล้านของวินาที (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 10 ม.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ยูเอ็นแนะใช้วิทยาศาสตร์แก้จน วอนทั่วโลกติดตั้งระบบเตือนภัย

ศาสตราจารย์คาเลสตุส จูมา จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐ และเป็นหัวหน้าคณะจัดทำรายงานแก้ปัญหาความยากจนและความหิวโหยของประชากรโลกภายในสิบปี เพื่อเสนอต่อนายโคฟี อันนัน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติหรือยูเอ็น ระบุว่าปัจจุบันรัฐบาลในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาไม่ได้นำวิทยาศาสตร์มาช่วยพัฒนาประเทศทั้งในเชิงนโยบายและปฏิบัติ รายงานฉบับดังกล่าวมีชื่อว่า "นวัตกรรม : การประยุกต์องค์ความรู้สู่การพัฒนา" จัดเตรียมโดยผู้เชี่ยวชาญนานาชาติภายใต้โครงการยูเอ็น มิลเลนเนียม โปรเจค ที่มุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาความยากจน หิวโหย โรคร้าย การไม่รู้หนังสือ สภาพแวดล้อมและการเลือกปฏิบัติต่อสตรี ศาสตราจารย์จูมา เชื่อว่าการเพิ่มขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะช่วยให้ประเทศต่างๆ จัดหาน้ำสะอาดสาธารณสุขที่ดี โครงสร้างพื้นฐานที่พอเพียง และอาหารปลอดภัยให้กับพลเมืองของประเทศ รวมถึงการรับมือกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน อย่างเหตุการณ์โศกสลดของคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทุกประเทศต้องการติดตั้งระบบเตือนภัยเพื่อป้องกันผละกระทบร้ายแรงที่อาจจะกลับมาเกิดขึ้นได้อีกทุกเมื่อ ดูเหมือนบรรดารัฐบาลของประเทศต่างๆ และคณะทำงานนานาชาติ มักจะให้ความสำคัญกับการมีที่ปรึกษาด้านวิทยาศาตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมน้อยกว่าทางด้านเศรษฐกิจ ดังนั้น ศาสตราจารย์จูมาจึงเสนอว่ายูเอ็นควรจะเป็นผู้นำในการให้ความสำคัญกับนโยบายดังกล่าว ด้วยการแต่งตั้งที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ให้กับเลขาธิการโดยตรง นอกจากนี้ ในรายงานยังระบุว่า เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นาโนเทคโนโลยี เทคโนโลยีชีวภาพ และวัสดุใหม่ๆ มีความจำเป็นต่อการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจในระยะยาวของประเทศกำลังพัฒนา เขายังกล่าวด้วยว่า มหาวิทยาลัยจะมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการพัฒนาเศรษฐกิจ นั่นหมายความว่าทุกคนจะต้องช่วยกันหยุดปัญหาสมองไหลออกจากประเทศกำลังพัฒนา (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 10 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ฝังไมโครชิพติดตาม ศึกษาชีวิตเต่ามะเฟือง เพื่ออนุรักษ์

ดร.ก้องเกียรติ กิตติวัฒนาวงศ์ นักวิจัยเต่าทะเล สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเล และป่าชายเลน จ.ภูเก็ต กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า ที่ผ่านมาไม่มีเต่าทะเลมาวางไข่ในพื้นที่ภูเก็ตไม่ต่ำกว่า 3 ปี ดังนั้นตนเชื่อว่าหลังจากพบแม่เต่าทะเลตัวแรกมาวางไข่ในวันที่ 7 มกราคม แม่เต่าตัวเดิมจะกลับมาวางไข่อีกเป็นรอบที่ 2 ภายในเวลาไม่เกิน 10 วันตามธรรมชาติ หากเป็นไปได้จะขอประสานงานกับชาวบ้าน เพื่อนำทีมวิจัยไปเฝ้าสังเกตเต่าทะเลที่จะกลับมาฝักไข่เป็นรอบที่สอง พร้อมเตรียม ติดเครื่องส่งสัญญาณดาวเทียมพร้อมไมโครชิพ ติดตามดูพฤติกรรมเพื่อการอนุรักษ์ จัดเวรยามเฝ้าไข่เต่า นักวิชาการด้านเต่าทะเล ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาศูนย์วิจัยได้รับเงินทุนจากญี่ปุ่นเพื่อนำเครื่องส่งสัญญาณดาวเทียมราคา 1 แสนบาทจำนวนกว่า 30 เครื่อง ไปติดที่กระดองเต่า ก่อนปล่อยลงทะเล โดยติดที่เต่าหญ้าจำนวน 1 ตัว เต่าตนุและเต่ากระ รวมแล้ว 30 ตัว และเต่าหัวฆ้อนอีก 1 ตัว ซึ่งเต่าหัวฆ้อนเป็นเต่าทะเลที่สูญพันธุ์ไปจากไทยหลายสิบปี แต่เมื่อไม่กี่ปีที่แล้วมีเรือประมงจับได้แล้วเอามาให้ศูนย์วิจัยดูแล ตนจึงนำเครื่องส่งสัญญาณดาวเทียมไปติดที่กระดอง เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 3 อาทิตย์ก็พบว่าเต่าฆ้อนตัวดังกล่าวเดินทางไปอยู่ในน่านน้ำออสเตรเลีย นักอนุรักษ์เต่าได้เสนอวิธีอนุรักษ์เต่าทะเล 3 ประการคือ 1.ประกาศให้เขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถเป็นสถานที่ปลอดการทำประมงอย่างเด็ดขาด 2.ห้ามมีการสร้างโรงแรมขนาดใหญ่บริเวณหาดไม้ขาว 3.ต้องมีการควบคุมไม่ให้ร้านค้านำซากเต่าทะเลไปขาย เช่น กำไรหรือเครื่องประดับกระ ที่ทำจากกระดองเต่ากระ หรือปราบปรามร้านค้าที่มีเมนูเปิบพิสดารไข่เต่าทะเลหรือเนื้อเต่าทะเล ด้านนายมานพ ทิดสร้าง ประธานชมรมอนุรักษ์เต่าทะเลบ้านไม้ขาว ซึ่งช่วยดูแลการฟักไข่เต่ามะเฟืองจำนวนเกือบ 80 ฟอง กล่าวว่า เนื่องจากคลื่นยักษ์สึนามิทำให้เขตฟักไข่เต่าริมทะลของชมรมเสียหาย และไม่มีงบประมาณซ่อมแซมจึงจำเป็นต้องนำมาฟักเลี้ยงในกล่องโฟมแทน (คมชัดลึก จันทร์ที่ 10 ม.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





คลื่นมหาภัยจะไม่หยุดแค่ Asian Tsunami ใครจะเป็นรายต่อไป

หนังสือพิมพ์นิวซีแลนด์ เฮอรัลด์ ทริบูน ได้ตีพิมพ์บทความของรองศาสตราจารย์คริส เดอ เฟรตาส์ ด้านภูมิศาสตร์กายภาพ จากมหาวิทยาลัยออกแลนด์ เรื่อง "ไม่มีชายฝั่งใดรอดพ้นจากคลื่นแห่งการทำลายล้าง" ซึ่งระบุว่า คลื่นยักษ์สึนามิสามารถเกิดได้ทุกแห่งทุกหน ร.ศ.เดอ เฟรตาส์ ยังอ้างคำกล่าวของ ดร.เท็ด ไบรอันต์ นักภูมิศาสตร์ชาวออสเตรเลีย ที่เชื่อมั่นว่าชายฝั่งทะเลเกือบทุกแห่งบนโลกใบนี้เสี่ยงที่จะเผชิญกับภัยคลื่นยักษ์ด้วยกันทั้งนั้น เมื่อปี 1941 อินเดียก็เคยเผชิญกับสึนามิมาแล้ว ก่อนหน้านั้นเมื่อปี 1755 แผ่นดินไหวในโปรตุเกส ก็เคยก่อคลื่นยักษ์สูง 15 เมตร จนทำลายพื้นที่บางส่วนของกรุงลิสบอน และชายฝั่งใกล้เคียงในสเปนและโมร็อกโก แม้แต่ญี่ปุ่นสึนามิก็ถือเป็นภัยธรรมชาติปกติที่ถาโถมใส่เกาะต่างๆ ของประเทศอยู่บ่อยครั้งมาตลอด 200 ปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับอะแลสกา ที่เคยเผชิญกับมหันตภัยชนิดนี้มาถึง 4 ครั้ง ได้แก่ ปี 1946 ปี 1957 ปี 1958 และปี 1964 นอกจากแผ่นดินไหวแล้ว คลื่นยักษ์สึนามิสามารถก่อกำเนิดได้จากภูเขาไฟระเบิด ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นจากการปะทุของภูเขาไฟบนเกาะการากาตัว เมื่อปี 1883 แม้แต่การยุบตัว หรือถล่มของผิวดินใต้ทะเลในวงกว้างเป็นหลายพันตารางกิโลเมตร ก็ทำให้เกิดคลื่นสึนามิได้ แม้แต่ห้วงอวกาศก็อาจจะเป็นตัวการก่อสึนามิขึ้นบนโลก หากอุกกาบาตพุ่งเข้าใส่มหาสมุทร ดังที่เกิดขึ้นมาแล้วเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ปี 1491 ซึ่งเป็นช่วงที่อุกกาบาตลูกหนึ่งตกลงในทะเลแล้วก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สูง 130 เมตร โถมเข้าใส่แนวชายฝั่งของออสเตรเลีย นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เชื่อสนิทใจว่า โลกมีโอกาสเผชิญกับหายนะสึนามิได้ตลอดเวลา ดังนั้น สิ่งที่ต้องเร่งกระทำ โดยเฉพาะหลังเกิดเหตุการณ์สึนามิเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ก็คือ การพัฒนาระบบตรวจจับคลื่นสึนามิที่ทรงประสิทธิภาพกว่าระบบที่มีอยู่ และวิธีการคำนวณช่วงเวลาของการเกิดสึนามิที่ใกล้เคียง หรือแม่นยำมากขึ้น ดังเช่นที่นักวิจัยกลุ่มหนึ่งกำลังทดสอบระบบตรวจวัดเสียง หรือแรงสั่นสะเทือนใต้น้ำที่มีความถี่ เพื่อเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของผิวดินใต้ทะเล และเจาะลงไปใต้พื้นทะเลที่ตรวจเช็คการแยกตัวของชั้นดินต่างๆ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในชั้นดินจะสามารถบอกขนาดและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของการเกิดแผ่นดินไหวในบริเวณนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี เมื่อเร็วๆ นี้ มหาวิทยาลัย 6 แห่งในสหรัฐ ได้จับมือกันพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถจำลองการเกิดคลื่นสึนามิเพื่อให้ทางการสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดโซนนิ่ง และออกกฎหมายควบคุมสิ่งปลูกสร้าง ตลอดจนการพัฒนาเทคโน โลยีในการก่อสร้าง ที่จะช่วยให้อาคารชายทะเลสามารถทนทานต่อกระแสคลื่นของสึนามิได้ดียิ่งขึ้น สิ่งที่ควรทำในช่วงที่ต้องรอคอยเครื่องมือทันสมัยเหล่านั้น ก็คือ การให้ความรู้แก่ประชาชนในทุกพื้นที่ที่มีความเสี่ยง (ประชาชาติธุรกิจ จันทร์ที่ 10 ม.ค. 48 http://www.matichon.co.th/prachachat)





โนเบลไขความลับ'โครงสร้างโมเลกุล'

ศ.ดร.ฌอง มารี เลห์น ศาสตราจารย์ประจำสถาบัน College de France ประเทศฝรั่งเศส และเป็นผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการมหาวิทยาลัยหลุยส์ ปาสเตอร์ เมืองสตราสบูร์ก นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล สาขาเคมี ปี 2530 กล่าวบรรยายเรื่อง สุดยอดโครงสร้างเคมี : เพื่อเทคโนโลยีชีวภาพและนาโนเทคโนโลยี ให้นักวิทยาศาสตร์ไทย ภายในห้องประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จากการศึกษาของเขาเกี่ยวกับกระบวนการของร่างกายที่จะจดจำโมเลกุล ซึ่งมีความสำคัญต่อกระบวนการทางเคมีของโมเลกุลของสิ่งมีชีวิต โดยได้ทำการวิจัยโครงสร้างทางเคมี และกระบวนการพื้นฐานที่จะนำไปสู่การพัฒนาที่ซับซ้อนขึ้น ซึ่งผลงานการวิจัยมีความสำคัญต่อการพัฒนาด้านการศึกษาเคมี การสังเคราะห์ทางชีวภาพ เคมีวิเคราะห์ รวมทั้งอินทรีย์เคมีชีวภาพ อีกทั้งนำไปสู่การออกแบบโครงสร้างการจับตัวของสารเคมีในระดับนาโน ให้จับตัวในลักษณะที่ต้องการ อาทิ จับตัวในลักษณะตาราง (Grid) หรือ เลียนแบบการจับตัวของโครงสร้างดีเอ็นเอ เพื่อทำการศึกษาคุณสมบัติที่จะเพิ่มขึ้น จากการจับตัวของโครงสร้างที่ต่างกันออกไป ด้าน รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ สามารถนำไปต่อยอดให้เกิดเทคโนโลยีเฉพาะทาง อาทิ การคิดค้นยารักษาโรคที่มีประสิทธิภาพ การสร้างชุดตรวจวิเคราะห์หาสารเคมี รวมถึงการออกแบบโครงสร้างทางนาโน เพื่อนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาเทคโนโลยีในอนาคต ทั้งนี้ จากการเข้าฟังบรรยายของนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลในครั้งนี้ จะช่วยไขข้อข้องใจ รวมถึงสร้างจินตนาการให้กับนักวิทยาศาสตร์ที่เข้าร่วมฟังการบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญด้านเคมีระดับรางวัลโนเบล จะได้นำความรู้และประสบการณ์ที่ได้ไปต่อยอดและปรับใช้กับงานวิจัยของพวกเขาในอนาคต โครงสร้างทางเคมีของโมเลกุลในระดับ Supramolecular ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าโมเลกุลในระดับปกติ โดยนักวิทย์โนเบลได้ศึกษาการทำปฏิกิริยาระหว่างโมเลกุล 2 ตัว รวมถึงการทำปฏิกิริยาของโมเลกุลกับโปรตีน ซึ่งผลจากการวิจัยพบว่า โครงสร้างดังกล่าวสามารถเชื่อมโยงและต่อยอดไปสู่งานวิจัยในสาขาอื่น สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับไบโอเทคโนโลยี นาโนเทคโนโลยี รวมถึงวิทยาศาสตร์ในแขนงอื่นๆ อาทิ ชีวเคมี ฟิสิกส์ (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 11 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





เรื่องอุ่นใจหลังมหันตภัยสึนามิ ก้อนหินยักษ์จะหลีกหนีพ้นโลก

นักดาราศาสตร์ได้เคยคำนวณเอาไว้ว่า ดาวเคราะห์น้อย ซึ่งเป็นก้อนหินขนาดยักษ์ มีชื่อรหัสว่า "2004 เอ็มเอ็น 4" มีขนาดโต 400 เมตร ขนาดใหญ่พอจะสร้างความเสียหายขนาดหนักให้กับทั้งท้องถิ่น หรือในอาณาบริเวณหนึ่งอาณาบริเวณใดขึ้นได้ หากมันพุ่งมาชนโลก ในวันที่ 13 เมษายน อีก 24 ปีข้างหน้า โดยถือว่ามีโอกาสอยู่ 2.7% หรือ 37 เอา 1 นักวิจัยเคยบอกเตือนเอาไว้ว่า จะต้องคอยติดตามดูความเคลื่อนไหวของวัตถุในอวกาศนี้อย่างใกล้ชิด และได้ตั้งอันดับโอกาสที่มันอาจจะก่ออันตรายกับโลกของเราไว้ ให้อยู่ถึงระดับ 4 ของมาตราโทริโน อันเป็นมาตราคล้ายกับมาตราริกเตอร์ ที่ใช้วัดขนาดความรุนแรงของแผ่นดินไหว ครั้นมาเมื่อเร็วๆนี้ คณะผู้เชี่ยวชาญดาวเคราะห์น้อยขององค์การได้ ประกาศแจ้งว่า "เรื่องความวิตกว่าดาวเคราะห์น้อยดวงนี้จะมาชนโลก ในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2572 นั้น บัดนี้เป็นอันเลิกห่วงได้" ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งอธิบายว่า ปัญหาในการคำนวณวงโคจรของดาวเคราะห์น้อยนั้น อยู่ที่การได้รู้เส้นทางวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ของมัน ในตอนแรกค่อนข้างน้อยมาก จนกว่าจะได้รู้เส้นทางวงโคจรของมันมากขึ้น จึงจะสามารถทำนายวงโคจรทั้งหมดได้แม่นยำขึ้น ยิ่งกว่านั้น ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ยังมีวงโคจรของมัน ยังแตกต่างกับดวงอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่จะมีวงโคจรอยู่ในวงล้อมระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี แต่วงโคจรของมันส่วนใหญ่กลับอยู่ภายในวงโคจรของโลก. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 13 ม.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





โจวิท เสนอรัฐใช้ระบบไอทีแก้ปัญหาจราจร

นายวิวัฒน์ วงศ์วราวิภัทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โจวิท จำกัด กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทเข้าไปนำเสนอแนวคิดการทำระบบแจ้งข้อมูลเส้นทางการเดินรถ เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาจราจร ให้กับกระทรวงไอซีที โดยมองว่าจะเป็นหน่วยงานที่สามารถประสานข้อมูลร่วม จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ทั้งนี้ ระบบดังกล่าวสามารถแจ้งเส้นทางที่รถกำลังวิ่งอยู่ เส้นทางใกล้สุดที่จะไปถึงจุดหมาย โดยสามารถระบุลงลึกระดับที่ตั้งของบ้านได้ "ระบบนี้จะสามารถค้นหาสถานที่ตั้งได้ จากเลขหมายโทรศัพท์บ้าน หรือการใส่ละติจูด-ลองจิจูด หรือหาจากสถานที่สำคัญบริเวณใกล้เคียง และแม้กระทั่งการสั่งค้นหาด้วยเสียง ซึ่งทั้งหมดจะต้องอาศัยฐานข้อมูลที่ทันสมัยและเชื่อมโยงข้อมูลเป็นหนึ่งเดียว ทั้งเลขหมายทศท แผนที่กรมทางหลวง แผนที่กรุงเทพมหานคร ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานด้านจราจรที่เกี่ยวข้อง" นายวิวัฒน์กล่าว โดยการนำระบบนี้มาใช้ มีข้อดีที่แตกต่างจากการแจ้งข้อมูลจราจรในปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการโทรมารายงานสภาพการจราจร และออกอากาศทางวิทยุ โดยในระหว่างขับรถ หากไม่ได้อยู่ในเส้นทางจราจรที่กำลังรายงาน ก็จะไม่ได้รับประโยชน์ และเมื่อรายงานไปก็จะไม่เห็นภาพเส้นทางที่รายงาน นอกจากนี้ ยังใช้อุปกรณ์แสดงผลภาพเส้นทางแผนที่เส้นทาง ซึ่งติดตั้งระบบบ่งบอกพิกัดภูมิศาสตร์ (จีพีเอส) ทำให้การรายงานเส้นทาง และตำแหน่งแม่นยำมากขึ้น ปัจจุบันในบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ใช้ระบบนี้แพร่หลายแล้ว โดยค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ ได้แก่ โตโยต้าร่วมกับบริษัทฟูจิตสึ พัฒนาอุปกรณ์ให้ข้อมูล และความบันเทิงในรถยนต์ เรียกกว่า "จี-บุ๊ค" เป็นแพลทฟอร์มสำหรับคอมพิวเตอร์ในรถยนต์ด้วย "ระบบนี้เป็นส่วนหนึ่งในระบบอินเทลลิเจนท์ ทราฟฟิก ซิสเต็ม (ไอทีเอส) ซึ่งญี่ปุ่น กำลังทำงานร่วมกับรัฐบาลจีน ในการพัฒนาระบบดังกล่าวให้ และการใช้ระบบนี้เข้ามาช่วยในการเดินทาง จะช่วยลดปัญหาจราจรติดขัด ช่วยลดการเผาผลาญน้ำมันเชื้อเพลิงได้ มาก (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 13 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





พึ่งดาวเทียมสำรวจสึนามินำข้อมูลวางแผนฟื้นฟูธรรมชาติ

นักวิทยาศาสตร์จากญี่ปุ่นและสหรัฐนำอุปกรณ์ไฮเทคเชื่อมสัญญาณดาวเทียม สำรวจพื้นที่ความเสียหายในไทยจากคลื่นสึนามิ ระบุข้อมูลที่ได้นำไปวางแผนสร้างแผนที่เสี่ยงภัย รวมทั้งวางแผนฟื้นฟูทรัพยากรและชุมชนในอนาคต รศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที) กล่าวว่า การสำรวจครั้งนี้ต้องการนำข้อมูลที่ได้ไปสร้างแผนที่เสี่ยงภัย เพื่อวางแผนสำหรับการก่อสร้างอาคารสถานที่ รวมทั้งการประกอบอาชีพของประชาชนในพื้นที่ 6 จังหวัดที่ถูกคลื่นสึนามิซัดถล่ม โดยนำเทคโนโลยีจีพีเอสหรือระบบค้นหาตำแหน่งของโลก ซึ่งเชื่อมสัญญาณกับดาวเทียมเพื่อระบุตำแหน่งที่ชัดเจนของจุดเกิดเหตุ หลังจากเสร็จสิ้นการสำรวจเชื่อว่าจะได้ข้อมูลตำแหน่งของความเสียหายที่ชัดเจน สำหรับนำมาเปรียบเทียบภาพถ่ายทางอากาศหรือดาวเทียม ทำให้สะดวกต่อการนำไปสร้างแผนที่เพื่อการป้องกันภัยในอนาคต ด้าน ศ.ดร.ฟูมิโอะ ยามาซากิ นักวิจัยคลื่นสึนามิ ภาควิชาระบบสิ่งแวดล้อมเมือง คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยชีป้า ประเทศญี่ปุ่น บอกว่า ข้อมูลนี้ที่ได้จากการสำรวจครั้งนี้ ทำให้ทราบตำแหน่งที่ชัดเจนว่าสึนามิเคลื่อนที่ไปทิศทางไหนบ้างและทำลายพื้นที่บริเวณไหน โดยข้อมูลนี้จะเก็บในรูปแบบของภาพถ่ายวิดีโอและภาพนิ่ง โดยนำไปเชื่อมเข้ากับภาพถ่ายดาวเทียม โดยเก็บข้อมูลความเสียหายที่เกิดขึ้นบริเวณโรงแรมสิมิลาน่า จ.พังงา ทั้งนี้ คณะสำรวจใช้ระยะเวลา 4 วัน ในการเก็บข้อมูลความเสียหายและกำหนดตำแหน่งที่ถูกต้อง หลังจากนั้นจะประมวลผลข้อมูลดังกล่าวในระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ได้ตำแหน่งและข้อมูลที่ถูกต้อง โดยคาดว่าข้อมูลชุดนี้จะเป็นประโยชน์นักวิจัยจากนานาประเทศเพื่อนำไปวิเคราะห์ลักษณะธรรมชาติของคลื่นสึนามิและนำไปวางแผนการจัดการทรัพยากรเพื่อป้องกันภัยที่เกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและชุมชน (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 13 ม.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





พบดาวยักษ์ ใหญ่กว่าดวงอาทิตย์

ทีมนักดาราศาสตร์นานาชาติ พบ ดาวขนาดยักษ์ 3 ดวง ที่อาจใหญ่ที่สุดตั้งแต่เคยค้นพบมา มีเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 1 พันล้านกิโลเมตร หรือใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ 1,500 เท่า สามารถกลืนโลกเข้าไปหมดทั้งดวง และชั้นนอกของดาวจะกว้างถึงวงโคจรของดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ ดาวยักษ์ทั้ง 3 ดวงนี้คือ เคดับเบิลยู ซากิทาริอิ อยู่ห่างจากโลก 9,800 ปีแสง วี 354 อยู่ห่าง 9,000 ปีแสง และเควาย ไซงิ 5,200 ปีแสง 1 ปีแสงเท่ากับ 10 ล้านล้านกิโลเมตร หรือระยะทางที่แสงเดินทางใน 1 ปี โดยดาวยักษ์ 3 ดวงนี้ ทำให้แม้แต่บีเทลจุส ที่รู้จักกันดีว่าเป็นดาวที่ใหญ่และสว่างที่สุดในกลุ่มดาวไถ ดูแคระไปเลย ทีมนักวิทยาศาสตร์กล่าวในการนำเสนองานวิจัยในการประชุมประจำปีของสมาคมดูดาวอเมริกัน ในซานดิเอโก พร้อมกับระบุว่าดาว 3 ดวงนี้ใหญ่กว่าดาวยักษ์ที่จัดอันดับให้เป็นดาวดวงใหญ่ที่สุดก่อนหน้านี้เล็กน้อย นักวิทยาศาสตร์ทราบแล้วว่าดาวยักษ์ดังกล่าวอยู่ห่างจากโลกเท่าไร และรู้ระดับความสว่างของดาวแล้ว แต่ยังไม่ทราบว่าดาวเหล่านี้เย็นตัวลงอย่างไร ดาวยักษ์เหล่านี้มีอุณหภูมิอยู่ที่ราวๆ 3,100 องศาเซลเซียส ขณะที่ดวงอาทิตย์อุณหภูมิเกือบ 5,500 องศาเซลเซียส และดาวที่ขึ้นอยู่ว่าร้อนที่สุดอุณหภูมิ 50,00 องศาเซลเซียส (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 13 ม.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ทีเอ็นทีบริการกล่องเย็นส่งแล็บวิเคราะห์ เก็บความเย็นรักษาเลือด-เนื้อเยื่อถึงห้องแล็บทันใจ

นายกฤตนัน วิโรจน์สายลี ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ทีเอ็นที ประเทศไทย กล่าวว่าอุปกรณ์เมดแพ็ค (medpak) และระบบการขนส่งของทีเอ็นทีจะช่วยให้โรงพยาบาลและคลินิกต่างๆ ทั่วประเทศได้รับผลตรวจจากห้องวิเคราะห์เร็วขึ้น สำหรับตัวอย่างเลือดจำเป็นต้องเก็บภายใต้อุณหภูมิที่เย็นจัด ดังนั้น อุปกรณ์เมดแพ็คจึงพัฒนาให้สามารถรักษาอุณหภูมิระดับต่ำได้ดี ทำให้ตัวอย่างที่เก็บมาคงสภาพเดิมและเหมาะสมสำหรับการตรวจสอบ บริการใหม่ด้านโลจิสติกส์ของบริษัททีเอ็นที อาจดูแตกต่างจากบริการขนส่งสินค้าหลักที่ใช้ตู้คอนเทนเนอร์ขนาดหลายฟุตวิ่งส่งสินค้า แต่บริการรับส่งด้านการแพทย์นี้ บรรจุภัณฑ์ที่ใช้เป็นกล่องขนาดกะทัดรัดแต่มิดชิดและปลอดภัย บรรจุภัณฑ์ถูกออกแบบมาให้สามารถเก็บอุณหภูมิได้ตั้งแต่ -20 องศาเซลเซียส ไปจนถึง 8 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเก็บตัวอย่างเลือดและชิ้นเนื้อสำหรับ การวิเคราะห์ในห้องแล็บ โดยใช้ระยะเวลาขนส่งที่รวดเร็วเพื่อป้องกันการสูญสลายของตัวอย่าง ภายในกล่องเก็บตัวอย่างประกอบด้วย กระบอกเก็บตัวอย่างเลือด แผ่นกันกระแทก แผ่นซับตัวอย่างในกรณีที่มีการไหลซึมออกมา และแท่งบรรจุของเหลวที่ช่วยรักษาอุณหภูมิ สำหรับการจัดส่งตัวอย่างเลือดและเนื้อเยื่อจากโรงพยาบาล และคลินิกไปยังห้องปฏิบัติการทดลอง ดำเนินการขนส่งโดยพนักงานของบริษัทที่ผ่านการอบรมในเรื่องการเก็บตัวอย่างคอยปฏิบัติหน้าที่ช่วยแพทย์เก็บตัวอย่างเลือดและชิ้นเนื้อ นอกจากนี้ สถานพยาบาลและให้แล็บยังสามารถตรวจสอบรายละเอียดในการจัดส่งผ่านทางระบบ AIMEX ได้ด้วย โดยพนักงานจะสแกนบาร์โค้ดของตัวอย่างเลือดเข้าสู่ระบบออนไลน์ของบริษัทเพื่อรายงานไปยังศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ที่บริษัทจัดตั้งขึ้นมาใหม่สำหรับบริการนี้โดยเฉพาะ ในระยะเริ่มแรกบริษัททีเอ็นทีได้ร่วมมือกับบริษัท แล็บพลัสวัน ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการเอกชนทางการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยสำหรับการวิเคราะห์ตัวอย่าง เลือดและชื้นเนื้อ โดยคาดว่าจะสามารถถขนส่งและตรวจตัวอย่างทางการแพทย์มากกว่า 50,000 ตัวอย่างภายในปีแรก และกระจายให้พนักงานผู้เชี่ยวชาญทางด้านการขนส่งอย่างน้อย 40 คนสำหรับดูแลโครงการนี้ ซึ่งช่วยให้แพทย์ไม่ต้องวิตกกังวลเกี่ยวกับการขนส่ง ตัวอย่างเลือดไปยังห้องปฏิบัติการและรู้ผลการตรวจวิเคราะห์ที่ล่าช้าอีกต่อไป (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 14 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





LCFA” จัดโปรโมชันพิเศษค่าตรวจมาตราฐานสินค้า

นายมาริศ ชาญอุไร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ห้องปฏิบัติการกลางตรวจสอบผลิตภัณฑ์เกษตร และอาหาร จำกัด หรือ Laboratory Center for Food and Agricultural Products Company เปิดเผยว่า “LCFA” ศูนย์แล็บไทยเพื่อการส่งออกครบวงจรได้รับรองผลจากแล็บกรมประมง กรมปศุสัตว์ และกรมวิชาการเกษตรในการรับรองมาตรฐานสินค้าอาหารเกษตรเพื่อการส่งออก ซึ่งผู้ส่งออกสามารถนำผลวิเคราะห์มาใช้ประกอบกับเอกสารรองรับได้ พร้อมรับศูนย์ในต่างจังหวัดเพิ่มอีก 5 สาขา คือ จังหวัดฉะเชิงเทรา สมุทรสาครขอนแก่น สงขลา และเชียงใหม่ เพื่อให้บริการตรวจสอบวิเคราะห์ รับรองสินค้าเกษตร และอาหารที่ทันสมัยด้วยอุปกรณ์และวิธีการที่ครบวงจรที่สุด ศูนย์แล็บไทยครบวงจร”LCFA” ได้เน้นกลุ่มลูกค้าหลักไปยังกลุ่มสมาคมผู้ส่งออกสินค้าเกษตร ทั้งในกลุ่มของอาหารและสินค้าเกษตรโดยตรง นอกจากนี้ทางแล็บฯ ยังได้ขยายฐานลูกค้าไปยังผู้ส่งออกภายในประเทศเพิ่มขึ้นด้วย โดยมีการประสานงานกับโรงงานต่างๆ พร้อมทั้งยังมีการขยายฐานไปยังกลุ่มลูกค้าที่เป็นสินค้าพื้นเมือง(OTOP) เพื่อให้มีสินค้ามีมาตรฐานพร้อมส่งออก นอกจากนี้ “LCFA “ ยังได้รับนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดโปรโมชันราคาพิเศษค่าตรวจสอบผลิตภัณฑ์รายการที่ได้รับรองจากกรมทั้ง 3 ที่กล่าวข้างต้นเพื่อช่วยสนับสนุน และลดต้นทุนของผู้ส่งออก ในช่วงที่ภาวะราคาน้ำมันแพงอย่างนี้จนถึงสิ้นเดือนมกราคม 2548 นี้ ส่วนในเรื่องของนโยบาย “LCFA” จะรับงานเชิงพาณิชย์ให้มากที่สุด เพื่อจะได้ลดภาระของรัฐบาล ซึ่งทาง “LCFA” มีความคล่องตัวในการบริการ และตรวจสอบได้อย่างรวดเร็ว สามารถที่จะรับงานเร่งด่วนจากภาครัฐและเอกชนได้ “ นายมาริศกล่าว ผู้ใดที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท ห้องปฏิบัติการกลางตรวจสอบผลิตภัณฑ์เกษตรและอาหาร จำกัด เลขที่ 50 ถ.พหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพ โทร.0-2940-5993 (สยามรัฐ ศุกร์ที่ 14 ม.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





หลุมดำเกลื่อนกาแล็กซีทางช้างเผือก

เมื่อวันที่ 12 ม.ค.สเปซด็อตคอมรายงานว่า คณะนักดาราศาสตร์นำโดยนายไมเคิล มูโน่ จากมหาวิทยาลัยยูซีแอลเอ สหรัฐอเมริกา เปิดผลการศึกษาใหม่เกี่ยวกับอวกาศ ซึ่งใช้ข้อมูลจากกล้องสำรวจอวกาศแชนดรา เอกซเรย์ สำรวจกาแล็กซีทางช้างเผือกพบว่า ทางช้างเผือกมีหลุมดำจำนวนมากมายกว่าที่คาดคิดไว้ ผลการศึกษาระบุว่า ภายในศูนย์กลางกาแล็กซี 75 ปีแสง ซึ่งมีหลุมดำแห่งหนึ่ง มีมวลมหาศาลเท่ากับดวงอาทิตย์ 3 ล้านดวง ยังมีหลุมดำมวลเข้มข้น หรืออาจเป็นดาวนิวตรอนอีกจำนวนมาก หลุมดำแต่ละแห่งมีมวลพลังงานมากกว่าดวงอาทิตย์หลายเท่าตัว เท่าที่พบหลักฐานแน่ชัดมีอย่างน้อย 7 แห่ง ในจำนวนนี้ 4 แห่งมีมวลหนาแน่นภายใน 3 ปีแสงรอบหลุมดำใหญ่สรุปได้ว่า ภายในศูนย์กลางกาแล็กซีอุดมไปด้วยหลุมดำและดาวนิวตรอนจำนวนมาก อาจถึง 10,000 ดวงก็ได้ (ข่าวสด ศุกร์ที่ 14 ม.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





กรมวิชาการเกษตรจับมือ FAO จัดทำเทคโนโลยีแบบบูรณาการ พัฒนาการปลูกข้าวทั้งระบบแก่เกษตรกรไทย

ดร.ลัดดาวัลย์ กรรณนุช นักวิชาการสถาบันวิจัยข้าว กรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่าในขณะนี้ กรมวิชาการเกษตรได้ทำโครงการการใช้เทคโนโลยีแบบบูรณาการการผลิตข้าวและเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณกว่า 11 ล้านบาท จากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO เพื่อจัดทำเทคโนโลยีการปลูกข้าวแบบบูรณาการและการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี ซึ่งมีวิธีการตรวจสอบขั้นตอนการปลูกข้าวแบบบูรณาการที่เป็นวิธีการที่สามารถพัฒนาการปรับใช้ในพื้นที่ปลูกข้าวในประเทศไทย โดยการฝึกอบรมเกษตรกรให้มีความรู้ความเข้าใจ และสามารถใช้วิธีการตรวจสอบขั้นตอนการปลูกข้าวแบบบูรณาการได้ด้วยตนเอง ที่ผ่านมาได้ดำเนินงานนำร่องในพื้นที่ 6 จังหวัด คือ ปทุมธานี ปราจีนบุรี สระแก้ว สกลนคร พิษณุโลก และ พิจิตร โดยมีการฝึกอบรมนักวิชาการเกษตร เจ้าหน้าที่ที่ส่งเสริม และเกษตรกร และจัดทำแปลงทดสอบการปลูกข้าวแบบบูรณาการและผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี รายละ 5 ไร่ รวมพื้นที่ 1,000 ไร่ ซึ่งพบว่าเกษตรกรสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ 16.7% และเพิ่มผลผลิตข้าวได้ 26.3% การใช้เทคโนโลยีแบบบูรณาการการผลิตข้าว และเมล็ดข้าวพันธุ์คุณภาพดี นอกจากจะช่วยเพิ่มผลผลิตข้าวให้เกษตรกรแล้ว ยังเป็นการลดต้นทุนการผลิต ลดการใช้สารเคมีในการทำนา และช่วยให้เกษตรกรสามารถมีเมล็ดข้าวพันธุ์ดีไว้ใช้ในฤดูการผลิตต่อไป ซึ่งกรมวิชาการเกษตรจะเร่งเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์เพื่อให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้มีความรู้ความเข้าใจในการผลิตข้าวที่ดีต่อไป (เดลินิวส์ เสาร์ที่ 15 ม.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ข่าววิจัย/พัฒนา


ขมิ้นต้านโรคสมองเสื่อม

ดร.เกรกอรี เอ็ม โคล นักวิจัยร่วมจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส เปิดเผยว่า สาร "เคอร์คูมิน" ในขมิ้น ซึ่งมีสีเหลือง สามารถทำลายตะกอนโปรตีนเบตา-แอมมิลอยด์ (beta-amyloid) ในสมองของหนูแก่ในห้องปฏิบัติการได้ หลังจากที่นักวิจัยให้เคอร์คูมินเป็นส่วนหนึ่งในมื้ออาหารปกติ สารสีเหลืองยังสามารถป้องกันโปรตีนดังกล่าวไม่ให้ไหลไปกองรวมกัน และป้องกันการก่อตัวของเส้นใยแอมมิลอยด์จนก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ งานวิจัยชิ้นนี้ แสดงให้เห็นว่าสารสีเหลืองในขมิ้นสามารถรักษาโรคสมองเสื่อม และลดความเสี่ยงที่ผู้ป่วยจะพัฒนาไปเป็นโรคนี้ได้ด้วย ซึ่งปัจจุบันทีมงานได้รับทุนสนับสนุนให้เริ่มทดลองในผู้ป่วยมนุษย์แล้ว แต่ยังเป็นกลุ่มเล็กๆ อยู่ โดยเร่งค้นหาปริมาณที่สามารถใช้รักษาสมองเสื่อมและศึกษาผลข้างเคียงต่อผู้ป่วยสูงอายุ ก่อนหน้านี้เคอร์คูมินถูกนำมาใช้เป็นตัวยาขนานหนึ่งในการแพทย์ดั้งเดิมของอินเดีย และปัจจุบันทีมแพทย์แดนภารตก็กำลังศึกษาว่าสามารถใช้รักษามะเร็งได้หรือไม่ ขณะที่การทดลองในสัตว์พบว่าสารประกอบดังกล่าวสามารถใช้รักษาอาการเส้นเลือดตีบได้ดี สำหรับการนำเคอร์คูมินมาใช้รักษาโรคสมองเสื่อม เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น หลังจากที่มีรายงานการศึกษาหลายชิ้นระบุว่ากลุ่มผู้สูงวัยในอินเดียมีอัตราป่วยเป็นโรคนี้ต่ำมาก สาเหตุก็เพราะพวกเขานิยมกินเครื่องเทศจำพวกขมิ้นเป็นประจำ (คมชัดลึก จันทร์ที่ 10 ม.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





วว.รวบรวมจุลินทรีย์หมื่นสายพันธุ์ป้อนวิจัย

ดร.นงลักษณ์ ปานเกิดดี ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เปิดเผยว่า สถาบันได้รับการสนับสนุนจากยูเนสโกให้ตั้งศูนย์จุลินทรีย์ขึ้นในประเทศ ตั้งแต่ปี 2519 เพื่อเป็นแหล่งรวบรวมและให้บริการด้านจุลินทรีย์แห่งเดียวในประเทศไทย โดยขณะนี้ได้รวบรวมจุลินทรีย์ไว้กว่า 1 หมื่นสายพันธุ์จากระบบนิเวศน์ของไทย มีทั้งแบคทีเรีย ยีสต์ รา จุลสาหร่ายและเห็ด นอกจากนี้ ศูนย์จุลินทรีย์ยังทำหน้าที่เป็นศูนย์ในระดับภูมิภาคเอเชีย ภายใต้ชื่อ Bangkok MIRCEN ซึ่งเป็นสมาชิกของ UNESCO World Network of Microbiological Resources Centres (MIRCENs) ดำเนินการศึกษาวิจัย เพื่อการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรจุลินทรีย์อย่างยั่งยืน อีกทั้งอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งนี้ ศูนย์จุลินทรีย์ของสถาบันได้เข้าร่วมในโครงการพัฒนาระบบการจัดการเข้าถึงการเคลื่อนย้ายจุลินทรีย์ และการใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์อย่างยั่งยืน หรือ MOSAICS ร่วมกับอีก 12 ประเทศ ได้แก่ เบลเยียม อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ โมร็อกโก เปรู สโลวาเนีย สหพันธรัฐเยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ ไต้หวัน เกาหลี และญี่ปุ่น ในการสร้างหลักเกณฑ์ปกป้องทรัพยากรจุลินทรีย์ภายในประเทศ และใช้สิทธิประโยชน์ร่วมกัน ด้าน ดร.วัลลภา อรุณไพโรจน์ ผู้อำนวยการศูนย์จุลินทรีย์ กล่าวว่า ศูนย์จุลินทรีย์แห่งนี้ได้รับการสนับสนุนด้านเครื่องมืออุปกรณ์เฉพาะด้าน รวมถึงการอบรมบุคลากรจากยูเนสโก ในการรวบรวมสายพันธุ์จุลินทรีย์เพื่อให้บริการแก่ประชาชน รวมถึงนักวิจัยในรูปของจุลินทรีย์ผงในหลอดเชื้อ ซึ่งสามารถนำไปเพาะขยายพันธุ์ได้ทันที ศูนย์ดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจาก Commission of the European Communities ในระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี กับภารกิจที่ครอบคลุมถึงการประเมินคุณค่าทรัพยากรจุลินทรีย์ในทางเศรษฐกิจ รวมถึงระบบการจ่ายแจก โดยสร้างคู่มือที่เป็นมาตรฐานสำหรับการจ่ายแจกทั้งจุลินทรีย์ในแหล่งกำเนิดและนอกแหล่งกำเนิด นอกจากนี้ยังรวมถึงระบบการขนส่งจุลินทรีย์ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ รวมถึงหาวิธีการประเมินคุณค่าทรัพยากรจุลินทรีย์ที่ถูกนำไปใช้" ดร.วัลลภา กล่าว (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 11 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ระเบิดนาโนทำลายเซลล์มะเร็ง เนื้อเยื่อรอบข้างไม่บอบช้ำ

แฟรงก์ คารูโซ และทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ออสเตรเลีย เปิดเผยว่า แคปซูลโพลิเมอร์ขนาดนาโน (1/1,000 ล้านส่วน) จะเป็นอาวุธร้ายในการทำลายเซลล์มะเร็ง ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่อที่อยู่ใกล้เคียงแต่อย่างใด เพราะตัวแคปซูลถูกออกแบบมาให้วิ่งไปยังเซลล์เป้าหมาย และจะระเบิดปลดปล่อยตัวยาออกมา หลังจากโดนความร้อนของแสงเลเซอร์พลังงานต่ำแล้ว วิธีการดังกล่าวช่วยให้ตัวยาสามารถทำลายมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่มีผลข้างเคียงต่อเนื้อเยื่อในส่วนอื่นๆ น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด คณะทำงานอธิบายว่า ตัวยาจะบรรจุอยู่ในแคปซูลโพลิเมอร์ ที่เป็นการผสานเข้ากับอนุภาคทองคำระดับนาโน และนำไปติดกับแอนตี้บอดี้ค้นหาเซลล์มะเร็ง ซึ่งทำหน้าที่เสมือนขีปนาวุธนำวิถี "เมื่อฉีดแคปซูลเข้าไปยังกระแสเลือด แคปซูลจิ๋วจะวิ่งไปที่เป้าหมายคือ เนื้องอก พอไปจับกลุ่มออกันพอสมควรแล้ว นักเทคนิครังสีจะใช้แสงเลเซอร์อินฟราเรดยิงเข้าไปเพื่อหลอมละลายทองคำ พอทองคำดูดซับความร้อนจากคลื่นอินฟราเรดไว้สักพักแคปซูลพลาสติกแตกออกและปล่อยตัวยาออกมา" สำหรับขั้นตอนการผลิตแคปซูล จะเริ่มต้นด้วยการนำโพลิเมอร์ไปเคลือบอนุภาคยา ซึ่งมีขนาดราว 1 ไมโครเมตร หลังจากที่โพลิเมอร์ก่อรูปเป็นทรงกลมซ้อนกันหลายชั้นแล้ว ทีมงานจะใส่ผงทองคำที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว 6 นาโนเมตร ผสมลงไปให้ฝังตัวอยู่ในโพลิเมอร์ และขั้นสุดท้ายจะเป็นการใช้ไขมัน (ไลปิด) เคลือบผิวชั้นนอก รวมทั้งใส่แอนตี้บอดี้ ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันร่างกายที่คอยมองหาสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกายและทำลาย จากการทดสอบในห้องปฏิบัติการพบว่า แคปซูลจะระเบิดออกหลังจากได้รับแสงเลเซอร์อินฟราเรด ระดับ 10 นาโนวินาที โดยหากเป็นอนุภาคทองคำขนาดใหญ่จะหลอมละลายที่ระดับ 1,064 องศาเซลเซียส แต่อนุภาคทองคำระดับนาโน จะหลอมละลายที่อุณหภูมิต่ำกว่ามาก ระหว่าง 600-800 องศาเซลเซียส แสงเลเซอร์ดังกล่าวสามารถส่องทะลุผ่านผิวหนังหรือใช้ยิงเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเครื่องตรวจอวัยวะภายในได้ โดยพลังงานที่ใช้มีขนาดเพียง 100 มิลลิจูลต่อตารางเซนติเมตร ซึ่งเป็นระดับที่ปลอดภัย และต่ำกว่าปริมาณที่ใช้ในการกำจัดรอยสักออก ขณะนี้ทีมวิจัยมีแผนย่อขนาดแคปซูลให้เล็กลงไปอีก จากเส้นผ่านศูนย์กลางราว 1 ไมโครเมตรไปเป็นระดับนาโนเมตร โดยจะเริ่มดำเนินการกับอนุภาคตัวยาให้เล็กลงก่อน (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 11 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





วว.ร่วมผลิตนักวิทย์รุ่นใหม่ เปิดห้องแล็บทำวิทยานิพนธ์

ดร.นงลักษณ์ ปานเกิดดี ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) แถลงว่า ปัจจุบันประเทศไทยขาดแคลนบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ จึงได้ร่วมกับสถาบันการศึกษา 26 แห่งทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ริเริ่มโครงการภาคีบัณฑิตระดับปริญญาโทและปริญญาเอก เพื่อสร้างนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ที่มีคุณภาพและตรงกับความต้องการของภาคการผลิตทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยมีระยะเวลาโครงการ 3 ปี ทั้งนี้ในปีแรกตั้งเป้าหมายผลิตบัณฑิตในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกให้ได้จำนวน 20 คน ด้าน น.ส.สุมาลัย ศรีกำไลทอง รองผู้ว่าการวิจัยและพัฒนา กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกรอบแนวทางของความร่วมมือในโครงการภาคีบัณฑิตฯ วว.จะร่วมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาร่วม กำกับดูแลให้คำปรึกษาในการทำวิทยานิพนธ์ แนะนำการทำงานวิจัยอย่างเป็นระบบตามมาตรฐานสากล รวมทั้งการใช้ห้องปฏิบัติการเพื่อเรียนรู้และทำงานวิจัย เพื่อผลิตและพัฒนาบัณฑิตในระดับปริญญาโทและเอก ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีการแลกเปลี่ยนนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญระหว่างกัน ตลอดจนร่วมกันจัดสัมมนาและเผยแพร่ผลงานโครงการภายใต้เครือข่ายการสร้างภาคีบัณฑิต ทั้งนี้ นิสิต/นักศึกษาที่สนใจเข้าร่วมโครงการ สอบถามข้อมูลได้ที่ ศูนย์ประสานงานโครงการฯ วว. (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 11 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ไบโอเทคเล็งสร้างพันธุ์กุ้ง-ข้าวชั้นเลิศ พร้อมสร้างภาพใหม่จีเอ็มโอในแผนงานปี 48

ศ.ดร.มรกต ตันติเจริญ ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีแห่งชาติ (ไบโอเทค) กล่าวถึงแผนงานพัฒนางานทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพของไบโอเทคในปี 2548 ว่า ไบโอเทคจะเน้นการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กุ้งกุลาดำ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของเกษตรกรมากขึ้น และเร่งให้มีผลการวิจัยออกมาโดยเร็วเพื่อเกษตรกรจะได้นำไปใช้ในอุตสาหกรรมเลี้ยงกุ้งกุลาดำต่อไป เนื่องจากที่ผ่านมามีการอนุญาตให้ใช้กุ้งขาวมาเลี้ยงซึ่งเป็นสายพันธุ์จากนอกและเลี้ยงง่าย หากไม่มีผลวิจัยออกมาโดยเร็วอาจส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งกุลาดำได้ นอกจากนี้ ไบโอเทคยังมุ่งวิจัยปรับปรุงสายพันธุ์ข้าวหอมมะลิให้ทนทานต่อสภาพน้ำท่วมและแมลงศัตรูพืชได้ รวมทั้งการปรับปรุงพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมต่อการแปรรูปอาหาร ให้ตรงตามความต้องการของเกษตรกรและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหาร โดยเน้นการขยายตลาดเพิ่มเติมจากเดิม 5 พันล้านบาทในปีที่ผ่านมา การวิจัยในเรื่องสเต็มเซลล์ ศ.ดร.มรกต กล่าวว่า ขณะนี้มีบริษัทเอกชนเข้ามาตั้งสำนักงานในอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อวิจัยด้านการรักษาโรค โดยระยะแรกนำเอาเซลล์ของตับมาเลี้ยง และนำไปทดสอบสำหรับตัวยาหรือสารพิษ เพื่อดูว่าเป็นผลต่อตับอย่างไรบ้าง โดยไม่ต้องทดสอบในคนหรือสัตว์ทดลอง ขณะที่งานวิจัยด้านพันธุวิศวกรรมหรือจีเอ็มโอยังคงเดินหน้าต่อไป ซึ่งทางไบโอเทคพยายามรวบรวมงานวิจัย และเน้นการสร้างความเข้าใจในเรื่องจีเอ็มโอ ในปีที่ผ่านมาไบโอเทคได้งบประมาณจำนวน 680 ล้านบาท สำหรับการบริหารและดำเนินการซึ่งไม่เพียงพอต่อการวิจัย เนื่องจากต้องใช้ดำเนินการในส่วนต่างๆ รวมทั้งการเตรียมพร้อมสำหรับโรคอุบัติการณ์ใหม่ๆ เช่น โรคไข้หวัดนก เป็นต้น ทั้งนี้ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีแห่งชาติตั้งเป้าหมาย โดยจะพยายามให้เกิดบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพในประเทศไทยจำนวน 100 บริษัทภายใน 6 ปี ซึ่งในปีที่ผ่านมีบริษัทเกิดขึ้นแล้ว 11 บริษัท และคาดว่าในปี 2548 จะเกิดขึ้นใหม่อีก 5-6 บริษัท โดยเน้นการแข่งขันทางเทคโนโลยีชีวภาพ โดยคาดว่าในปีนี้ชุดตรวจไข้หวัดนกของไทย จะสามารถเข้าสู่ตลาดประเทศเพื่อนบ้านได้สำเร็จ (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 11 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





เนคเทคชงไอเดียพัฒนาชิพติดตามนักท่องเที่ยว

นายอิทธิ ฤทธาภรณ์ รองผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) กล่าวว่า ขณะนี้ในกลุ่มอาร์เอฟไอดี คลัสเตอร์ ซึ่งมีเนคเทคเป็นเลขานุการ ได้เสนอแนวคิดการจัดทำอาร์เอฟไอดีชิพ (Radio Frequency Indentification) ที่ใช้ติดตามตัวนักท่องเที่ยวได้ ทั้งนี้ ในชิพดังกล่าวจะบรรจุข้อมูลเกี่ยวกับโรงแรมที่พัก ชื่อนักท่องเที่ยว และหมายเลขหนังสือเดินทาง "จากเหตุการณ์สึนามิ ทำให้เราจุดประกายการใช้อาร์เอฟไอดี เพราะหากเกิดภัยพิบัติ เราก็จะสามารถติดตามย้อนหลังว่านักท่องเที่ยวคนนั้นเป็นใครสัญชาติอะไร ไม่ต้องพิสูจน์ดีเอ็นเอ ข้อมูลทันตกรรม " นายอิทธิกล่าว นอกจากนี้ การใช้งานอาร์เอฟไอดีชิพ ไม่ได้จำกัดเฉพาะเพื่อติดตามนักท่องเที่ยวที่เสียชีวิต แต่ยังสามารถใช้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวทั่วไปด้วย ทั้งการเป็นกุญแจเข้าออกห้องพัก, การเป็นกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ชำระค่าสินค้าภายในที่พักได้ โดยไม่ต้องพกกระเป๋าสตางค์ นอกจากนี้ ยังอาจสามารถพัฒนาอาร์เอฟไอดีให้เป็นสายนาฬิกากันน้ำได้ หรือออกแบบเป็นกำไลข้อมือ ที่นักท่องเที่ยวพกพาได้ และนำกลับบ้านเป็นที่ระลึกได้เหมือนการพกคีย์การ์ดในปัจจุบัน โดยสามารถพัฒนาด้วยต้นทุนเฉลี่ยราคา 80 -100 บาท ซึ่งนับว่าไม่สูงหากเทียบกับราคาค่าห้องพัก นอกจากนี้ ล่าสุดมหาวิทยาลัยโตเกียว ก็ยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยีดังกล่าวแล้ว โดยในญี่ปุ่นสามารถพัฒนาอาร์เอฟไอดีชิพที่มีเสาอากาศฝังอยู่ในชิพได้ ทำให้ชิพมีขนาดเล็กมากกว่าของไทยทำได้ในปัจจุบัน (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 11 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





พลาสเตอร์ยาใหม่ช่วยคนกลัวเข็ม แปะปุ๊บปล่อยยาปั๊บไม่ต้องฉีด

ทีมนักเคมีจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต ประเทศแคนาดา สองแรงแข็งขันช่วยกันพัฒนาวัสดุพิเศษ ที่เรียกชื่อโก้ว่า เดนดริเมอร์ เป็นโมเลกุลที่มนุษย์สร้างขึ้นมากับมือ และเชื่อว่าจะใช้เก็บตัวยาได้ดี เมื่อนำไปแปะไว้ที่ผิวหนัง ยาจะแผ่กระจายไปทั่วผิว จากนั้นจึงซึมซับผ่านเข้าไปยังกระแสเลือด ทว่าวัสดุที่ว่านี้ยังไม่ถึงขั้นที่ผลิตเพื่อจำหน่ายในตอนนี้ และยังต้องผ่านการทดลองเพิ่มเติม เพื่อดูว่าปลอดภัยกับการใช้กับมนุษย์แค่ไหน สิ่งที่ทำให้วัสดุดังกล่าวต่างจากพลาสเตอร์ยาทั่วไปก็คือ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เจ้าวัสดุนี้สามารถปล่อยอนุภาคยาที่มีขนาดเล็กกว่า และออกฤทธิ์ยาวนานกว่าแผ่นยาอื่นที่วางจำหน่ายในตลาด ปัญหาหนักใจของแพทย์ในปัจจุบัน คือ การฉีดยาให้กับผู้ป่วยแพทย์ มักจะให้ยาที่มีความเข้มข้นสูง เพื่อให้แน่ใจว่ายาจะออกฤทธิ์ได้นาน ซึ่งอาจเป็นพิษกับร่างกายได้ แต่ถ้าฉีดให้น้อยไปก็ไม่ได้ผลอีก นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานที่ต้องคอยฉีดอินซูลินให้กับร่างกายเกือบทุกวัน ต้องทรมานกับวิธีการฉีดยา ซึ่งถ้าสามารถพัฒนาพลาสเตอร์ที่ปล่อยยาได้ โดยแค่ปิดลงที่ผิวหนังแล้วจะช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้ปกติมากขึ้น วัสดุชนิดใหม่ที่คิดค้นนี้ จะปล่อยปริมาณยาให้ซึมเข้าสู่ผิวหนังในปริมาณที่แม่นยำและคงที่ ทีมวิจัยคิดว่าจะเปลี่ยนรูปแบบของแผ่นยาให้เหมาะกับยาแต่ละชนิด หรือให้เหมาะกับคนที่ใช้ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยมีโจทย์อยู่สองข้อที่ต้องขบคิด ข้อแรกคือ ต้องผลิตวัสดุชนิดนี้ให้ได้ปริมาณมากพอที่จะใช้สำหรับทดลอง ข้อที่สองคือ ต้นทุนในการผลิตยังสูงอยู่มากถึงกิโลกรัมละ 5 ล้านกว่าบาท แต่ทีมวิจัยก็มั่นใจว่าปัญหาดังกล่าวแก้ไขได้ (คมชัดลึก อังคารที่ 11 ม.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ค้นพบ "หนู" แยกแยะภาษามนุษย์ได้แถมมีทักษะนี้ก่อนภาษามีวิวัฒนาการ

นักวิจัยสเปนค้นพบ "หนู" สามารถใช้จังหวะจะโคนของภาษามนุษย์บอกความแตกต่าง ระหว่างภาษาญี่ปุ่นและภาษาดัตช์ได้ รายงานการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์สเปน ซึ่งสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน นำลงตีพิมพ์ใน "วารสารจิตวิทยาการทดลอง : กระบวนการทางพฤติกรรมของสัตว์" ระบุว่า สัตว์โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ได้พัฒนาทักษะบางอย่างที่เน้นการใช้ และพัฒนาการด้านภาษามายาวนานก่อนที่ภาษาเองจะมีวิวัฒนาการ นับเป็นครั้งแรกที่เราได้รู้ว่าสัตว์นอกเหนือจากมนุษย์หรือลิงมีทักษะเช่นนี้ "การค้นพบดังกล่าวสอดคล้องอย่างยิ่งกับข้อมูลจากมนุษย์วัยเจริญพันธุ์, มนุษย์วัยทารกและลิงอเมริกาใต้พันธุ์คอตตอนท็อป การวิจัยเรื่องนี้ ฮวน โตโร และเพื่อนนักประสาทวิทยาแห่งสวนวิทยาศาสตร์ในเมืองบาร์เซโลนา ได้ทดลองกับหนูเพศผู้วัยเจริญพันธุ์ 64 ตัว ซึ่งถูกฝึกให้ตอบสนองต่อภาษาญี่ปุ่นหรือดัตช์ โดยใช้อาหารเป็นรางวัลล่อใจ จากนั้นแบ่งหนูออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ให้ฟังแต่ละภาษาที่เจ้าของภาษาคนเดียวเป็นผู้พูด กลุ่มที่ 2 ฟังเสียงพูดแบบผสมภาษา กลุ่มที่ 3 ฟังประโยคที่อ่านเป็นทั้งภาษาญี่ปุ่นและดัตช์โดยผู้พูดคนละคน กลุ่มที่ 4 ฟังเสียงพูดแบบกรอกลับ ปรากฏว่าหนูที่เคยได้รับรางวัล เมื่อตอบสนองต่อภาษาญี่ปุ่นไม่ตอบสนองต่อภาษาดัตช์ และหนูที่ถูกฝึกให้จดจำภาษาดัตช์ก็ไม่ตอบสนองต่อภาษาญี่ปุ่น แต่หนูทั้งหมดไม่สามารถแยกแยะทั้ง 2 ภาษาที่กรอกลับได้ ส่วนสาเหตุที่ใช้ภาษาญี่ปุ่นและดัตช์ในการทดลอง เป็นเพราะมันมีความแตกต่างกันมากทั้งในด้านการใช้คำ จังหวะและโครงสร้าง. (ไทยรัฐ พุธที่ 12 ม.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ไขสันหลังพังซ่อมได้ไม่อัมพาตแพทย์รัสเซียทำสำเร็จรายแรก

ศาสตราจารย์นายแพทย์แอนดรีย์ เบรจูโชเวซกี้ หัวหน้าทีมวิจัยแห่งศูนย์เนื้องอกวิทยานิโคลาจ โบลชิน ในกรุงมอสโก ประสบความสำเร็จในการรักษา "ลำไขสันหลัง" ที่เป็นเนื้อเยื่อประสาทในลำกระดูกสันหลัง ซึ่งขาดชำรุดเสียหาย ผู้ป่วยเป็นอัมพาตครึ่งตัวให้กลับคืนสู่สภาพปกติอย่างน่าอัศจรรย์ โดยเอากลุ่มเซลล์จาก "จมูก" ของคนไข้นั่นเองมาใช้ซ่อมแซม กรรมวิธีคือผ่าตัดแยกเยื่อหุ้มเซลล์ผลิตสารน้ำเมือกในจมูก ซึ่งเหมาะเจาะพอดี เพราะเป็นจุดปลายสุดของเส้นประสาทจำนวนมาก จากนั้นก็ปลูกถ่ายเยื่อหุ้มเซลล์ดังกล่าวเข้าสู่เนื้อเยื่อกลุ่มเซลล์ลำไขสันหลัง ต่อมามันจะอัดฉีด "วุ้นชีวภาพ (bio-gel)" เข้าไปซ่อมแซมข้อกระดูกสันหลังบริเวณที่เสียหาย ให้แต่ละข้อค่อยๆ ทุเลา จนท้ายสุดลำไขสันหลังจะใช้งานได้ดังเดิม (ไทยรัฐ พุธที่ 12 ม.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ซินแสจีนอ้างชาช่วยลดไขมันมีแอลคาลอยด์วิตามินอุดม

แพทย์แผนโบราณผู้เชี่ยวชาญของจีนอ้างว่าสามารถจะแสดงให้เห็นประจักษ์ได้ว่า ใบชา ซึ่งอุดมด้วยแอลคาลอยด์และวิตามิน สามารถจะเผาผลาญแคลอรีให้หมดลงไปได้ จึงช่วยล้างไขมันในร่างกายให้ลดน้อยลงได้ พวกเขากล่าวแจ้งว่า สถาบันแพทย์แผนโบราณจีนที่เมืองกิวหยาง ได้ทำวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้ที่ดื่มชาเป็นประจำร่างกายจะไม่ค่อยมีไขมัน และจะไม่ค่อยอ้วนเท่ากับคนที่ไม่ชอบดื่ม "คอชาที่ดื่มมา 10 ปี จะมีไขมันน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่มถึง 20%" ยิ่งเป็นผู้หญิงจะยิ่งเห็นได้ชัดแจ้ง ผู้หญิงผู้ที่ดื่มชาร่างกายจะมีไขมันน้อยกว่าเพื่อนคนที่ไม่ดื่มถึง 30% และที่พุงก็จะมีไขมันจับน้อยกว่ากัน 5% ดร.เจากับคณะยังกล่าวว่า ถ้าจะดื่มชาเพื่อลดไขมัน จะต้องดื่มชาเขียวหรือชาอู่หลง จะดีกว่าชาฝรั่ง วันหนึ่งดื่มแค่สัก 450 มิลลิลิตรก็พอ แต่ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางเนื่องจากขาดธาตุ เหล็ก ไม่ควรจะดื่มชาตอนกินอาหาร และผู้ที่ เป็นโรคนอนไม่หลับก็ไม่ควรจะดื่มตอนเย็น. (ไทยรัฐ พุธที่ 12 ม.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





อีรี่หนุนพัฒนาอุปกรณ์สุ่มเตือนต้นข้าวหิว ชาวนารู้เวลาแม่นยำเติมปุ๋ย – ประหยัดค่าสารอาหาร

ดร.ลัดดาวัลย์ กรรณนุช นักวิชาการสถาบันวิจัยข้าว กรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า กรมวิชาการเกษตรร่วมกับสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ (อีรี่) พัฒนา "แผ่นเทียบสี" สำหรับใช้เป็นอุปกรณ์ตรวจวัดความต้องการธาตุอาหารของต้นข้าว ซึ่งช่วยการตัดสินใจของเกษตรกรในการให้ปุ๋ยตรงตามระยะเวลาที่ต้นข้าวต้องการอย่างแท้จริง ส่งผลช่วยลดค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลืองจากการให้ปุ๋ยโดยไม่จำเป็น ขณะที่ปริมาณผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นอีกด้วย ปัญหาของเกษตรกรไทยส่วนใหญ่จะมาจากต้นข้าวขาดธาตุไนโตรเจน จึงได้ทำการพัฒนาแผ่นเทียบสีอาหารข้าว (Life Colour Chart : LCC ) เพื่อวัดปริมาณไนโตรเจนเป็นอันดับแรก โดยแผ่นเทียบสีดังกล่าวจะช่วยให้เกษตรกรทราบระดับความต้องการอาหารของต้นข้าว โดยแบ่งตามระดับสีที่เปลี่ยนแปลงบนช่องของแผ่นเทียบสี สำหรับแผ่นเทียบสีดังกล่าวพัฒนาขึ้นเป็นรุ่นที่ 3 แล้ว โดยใช้วัสดุเลียนแบบใบข้าว คือมีร่องยาวบริเวณกลางแผ่น ซึ่งในรุ่นแรกจะมีช่องเทียบสีประมาณ 10 ช่อง ความยาวประมาณ 1 ฟุต และรุ่นถัดมาได้ลดปริมาณช่องแทบสีให้ลดลงเหลือ 6 ช่อง และ 4 ช่องตามความเหมาะสม โดยแผ่นเทียบสีที่ใช้ในปัจจุบันมีจำนวน 4 ช่อง จากการศึกษาปริมาณธาตุอาหาร ที่ส่งผลต่อการแสดงออกของสีบริเวณใบข้าว พบว่า ต้นข้าวที่ขาดธาตุไนโตรเจน สีของใบที่แสดงออกจะมีสีเหลือง แต่หากต้นข้าวขาดธาตุฟอสฟอรัสใบข้าวจะมีสีเขียวเข้ม ในขณะที่ต้นข้าวที่ขาดธาตุโพรแทสเซียมสีของใบจะเป็นสีเขียวอมม่วง จึงนำหลักการดังกล่าวมาพัฒนาแผ่นเทียบสีอาหารข้าว โดยเน้นเพื่อทดสอบใบข้าวที่ขาดธาตุไนโตรเจนเป็นหลัก หลังจากได้นำร่องใช้แผ่นเทียบสีข้าวกับเกษตรกรในจังหวัดฉะเชิงเทรา พบว่าการให้ปุ๋ยตามเวลาที่พืชต้องการ จะช่วยลดต้นทุนในการปลูกข้าวได้ถึง 17% ในขณะที่ผลผลิตที่ได้ก็เพิ่มขึ้นเป็น 20% ต่อไร่ ทั้งยังช่วยปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตการทำนาของเกษตรกรให้เป็นระบบ โดยกำหนดวันเวลาที่ชัดเจนในการให้ปุ๋ยกับต้นข้าวให้ตรงตามช่วงเวลาที่ข้าวต้องการ นักวิจัยมีแนวคิดที่จะเพิ่มประโยชน์แผ่นเทียบสีดังกล่าว สำหรับวัดปริมาณธาตุโพรแทสเซียมในต้นข้าว แต่จะต้องศึกษาเพิ่มเติมถึงความสมดุลของธาตุไนโตรเจนในต้นข้าว รวมทั้งศึกษาเพิ่มเติมในส่วนของสีของใบที่แสดงออกถึงโรคพืช สีที่แสดงออกถึงคุณภาพพันธุ์ข้าวแต่ละชนิด (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 12 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ผลวิจัยชี้ป่าชายหาด-สันทรายป้องกัน"สึนามิ"

นายศักดิ์อนันต์ ปลาทอง อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) เปิดเผยว่า จากการที่ตนและทีมงานนักวิจัยจากภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้ลงพื้นที่ไปสำรวจสภาพชายหาดบริเวณต่างๆ ทางทิศตะวันตกของเกาะภูเก็ตหลังจากเกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์ถล่ม ซึ่งผลจากการศึกษาเบื้องต้นพบว่า ชายหาดที่มีป่าชายหาดหรือมีสันทรายขนาดใหญ่ที่ไม่ถูกรบกวนโดยกิจกรรมของมนุษย์ จะได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์คลื่นยักษ์น้อยมาก โดยพบว่า ผักบุ้งทะเลซึ่งเป็นพืชคลุมดินที่เจริญเติบโตบริเวณสันทรายยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ได้แก่ บริเวณท่าฉัตรไชย จ.ภูเก็ต มีสภาพสันทรายและป่าชายหาดที่สมบูรณ์ นอกจากนี้บางบริเวณของหาดในยางซึ่งมีผักบุ้งทะเลปกคลุมอยู่ ยังได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย เพราะผักบุ้งทะเลมีระบบรากที่ช่วยยึดหน้าดิน ในขณะที่ป่าชายหาดที่มีพันธุ์ไม้หลากหลายชนิดจะช่วยดูดซับความแรงของคลื่น อีกทั้งความร่วนซุยของดินบนสันทรายยังช่วยซับแรงคลื่นด้วย แต่พื้นที่ที่เกิดความเสียหายส่วนใหญ่จะเป็นบริเวณที่เป็นสิ่งก่อสร้างประเภทกำแพง ถนน ตึกที่อยู่ริมชายฝั่ง จนทำให้เกิดความปั่นป่วนของคลื่น เนื่องจากเกิดแรงปะทะและแรงสะท้อนของคลื่นเสริมกัน แต่ในทางปฏิบัติป่าชายหาดจัดเป็นระบบนิเวศน์แบบหนึ่ง ซึ่งประเทศไทยไม่เคยให้ความสำคัญและละเลยในการอนุรักษ์ ดังนั้นจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว ภาครัฐจำเป็นต้องกำหนดมาตรการแบ่งเขตการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ชายทะเล โดยจะต้องบูรณะสภาพป่าชายหาดให้กลับมาเหมือนเดิม ประกอบกับผักบุ้งทะเลจะต้องไม่ถูกมองว่าเป็นวัชพืชรกชายหาดอีกต่อไป และในส่วนของสิ่งก่อสร้างต่างๆ ควรจะอยู่หลังสันทราย เพื่อลดผลกระทบจากแรงคลื่นขนาดใหญ่ (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 12 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





เอไอทีอาสาทำระบบเตือนสึนามิ ลดพึ่งพาเทคโนฯต่างชาติ

ผู้เชี่ยวชาญด้านหุ่นยนต์จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย (AIT) เสนอให้นักวิจัยไทยร่วมกันพัฒนาระบบเตือนภัยสึนามิใช้เอง ชี้อุปกรณ์หลายส่วนคล้ายกับอุปกรณ์ที่ใช้กับหุ่นยนต์ใต้น้ำที่สถาบันฯ กำลังพัฒนาอยู่ ถ้าทำได้สำเร็จช่วยลดงบประมาณประเทศได้มาก รศ.ดร.มนูกิจ พานิชกุล สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย เปิดเผยว่า ระบบเตือนภัยคลื่นสึนามิที่เรียกว่า DART (Deep Ocean Assessment and Reporting of Tsunamis) เป็นระบบเตือนภัยที่ติดตั้งอยู่ในน่านน้ำมหาสมุทรแปซิฟิกเพื่อแจ้งเตือนแก่ประเทศเป็นสมาชิกเครือข่ายเฝ้าระวังคลื่นยักษ์ที่อาจเกิดขึ้นจากแผ่นดินไหวใต้มหาสมุทร "อุปกรณ์บางอย่างที่ใช้ในระบบเตือนภัยคลื่นสึนามิมีลักษณะคล้ายกับอุปกรณ์ที่ติดตั้งกับหุ่นยนต์เคลื่อนที่ใต้น้ำที่นักวิจัยสถาบันของเอไอทีกำลังพัฒนาอยู่ อาทิ ระบบโซนาร์วัดระยะ ระบบวัดความเร่ง และระบบโมเด็มเสียงโซนาร์" โครงการพัฒนาหุ่นยนต์เคลื่อนที่ใต้น้ำ "ชาละวัน" เป็นโครงการที่นักศึกษาปริญญาเอกภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการได้พัฒนาขึ้นมา โดยมี รศ.ดร.มนูกิจ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา หุ่นยนต์ดังกล่าวได้รับการออกแบบมาให้เป็นหุ่นยนต์ที่สามารถสั่งงานได้ด้วยตัวเอง มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการสำรวจทรัพยากรแร่ธาตุและชีวภาพใต้ทะเลลึก รวมทั้งยังสามารถนำมาใช้ตรวจสภาพแวดล้อมใต้ท้องทะเลด้วย รศ.ดร.มนูกิจ กล่าวว่า ระบบต่างๆ ที่ใช้กับหุ่นยนต์นี้สามารถนำมาประยุกต์เป็นระบบตรวจจับคลื่นสึนามิได้ด้วย ทั้งนี้ ระบบ DART ประกอบไปด้วยระบบย่อย เช่น ระบบการตรวจจับแผ่นดินไหวและระดับน้ำ ระบบเชื่อมต่อข้อมูลของหลายๆ ฐานปฏิบัติการตรวจจับ ระบบแผนที่ดาวเทียม ระบบการจำลองและทำนายสึนามิ รวมถึงระบบการส่งต่อการเตือนภัยจากสึนามิ เนื่องจากสึนามิจะเกิดหลังจากเกิดแผ่นดินไหวอันเนื่องมาจากการดันตัวของเปลือกโลก การเลื่อนไถลของแผ่นดิน หรือการระเบิดของภูเขาไฟใต้ทะเลเท่านั้น ดังนั้น ระบบการตรวจจับสึนามิจึงจำเป็นต้องมีระบบการตรวจจับแผ่นดินไหวควบคู่ไปด้วย อุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจจับแผ่นดินไหวอาจใช้ ซิสโมกราฟ (Seismograph) หรือเครื่องวัดความเข้มซิสมิก (Seismic Intensity Meter) ซึ่งจริงๆ แล้วก็คือ เครื่องวัดความเร่งที่เพิ่มความสามารถในการคำนวณหาขนาด และระยะทางจากตำแหน่งของการเกิดแผ่นดินไหว "เครื่องวัดความเร่งอย่างง่ายก็คือ ก้อนน้ำหนักที่ถูกยึดโดยสปริงและแดมเปอร์ ซึ่งก้อนน้ำหนักจะสั่นแรงมากตามขนาดการสั่นของแผ่นดินไหว" รศ.ดร.มนูกิจ กล่าวพร้อมกับเสนอให้นักวิจัยไทยช่วยกันพัฒนาระบบเตือนภัยสึนามิขึ้นมาใช้เอง เพื่อสร้างองค์ความรู้ของเราเอง ซึ่งมั่นใจว่าราคาจะถูกกว่าระบบ DART ที่มีมูลค่าสูงถึง 800 ล้านบาท (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 13 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





รัสเซียทดสอบ ปลูกถ่ายโพลีเมอร์ แก้ไขหน้าผิดปกติ

เวลล์คัมทรัสต์ มูลนิธิการกุศลในอังกฤษแถลงว่า คณะผู้เชี่ยวชาญอยู่ระหว่างทดสอบผลการปลูกถ่ายโพลีเมอร์เพื่อแก้ไขปัญหารูปหน้าผิดปกติแต่กำเนิดทางคลินิกที่กรุงมอสโก นครหลวงของรัสเซีย กับเด็ก 50 คน อายุ 18 เดือน ถึง 18 ปี ที่มีปัญหารูปหน้าและกรามผิดปกติแต่กำเนิด โดยการทดสอบที่จัดขึ้นดังกล่าว เป็นการนำโพลีเมอร์ทรงรวงผึ้ง มาแก้ไขปัญหารูปหน้าผิดปกติแทนไททาเนียม เนื่องจากโพลีเมอร์มีคุณสมบัติพิเศษตรงที่ไร้สารเคมีและไม่มีผลข้างเคียงที่ก่ออันตรายแก่อาสาสมัคร คณะผู้เชี่ยวชาญได้เผยแพร่ผลงานวิจัยนี้ในวารสารแอดวานซ์แมทีเรียลส์ (Advanced Materials โดยอธิบายกรรมวิธีการผ่าตัดแก้ไขปัญหารูปหน้าผิดปกติว่า เริ่มด้วยการใช้แสงเลเซอร์และเครื่องสแกนเนอร์สามมิติ สร้างภาพโพลีเมอร์ให้ได้ชิ้นส่วนที่ตรงกับบริเวณที่ผิดรูปร่างอย่างแม่นยำ เพื่อประเมินว่าต้องตัดกระดูกออกและเสริมโพลีเมอร์ทดแทนเท่าไร จากนั้นจึงใช้ลำแสงเลเซอร์ตัดแต่งโพลีเมอร์ให้ได้รูปร่างตามที่ต้องการปลูกถ่าย มูลนิธิเวลล์คัมทรัสต์ระบุว่า โพลีเมอร์ที่ปลูกถ่ายลงไปมีการเติมไฮดรอกซีอะพาไทท์ เป็นสารคล้ายโลหะที่ทำให้โพลีเมอร์มีความเหนียวและไม่เป็นพิษต่อกระดูก อีกทั้งยังต้องเพิ่มความพรุนให้แก่โพลีเมอร์ เนื่องจากเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเติบโตของกระดูก จากนั้นจึงล้างพิษของสารเคมีออกและใช้คาร์บอนไดออกไซด์ความดันสูงล้างโพลีเมอร์อีกครั้ง เพื่อลดความเสี่ยงที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะสร้างขึ้นมาต่อต้านวัสดุแปลกปลอมในร่างกาย ปัจจุบันวงการแพทย์ใช้ไททาเนียมเป็นวัสดุแก้ไขปัญหารูปหน้าผิดปกติ แต่วัสดุดังกล่าวมีราคาแพง และตกแต่งแก้ไขรูปร่างยาก ขณะนี้คณะผู้เชี่ยวชาญชุดนี้ ได้เริ่มการทดลองวัสดุปลูกถ่ายที่สามารถย่อยสลายได้ โดยหวังว่าจะวัสดุจะย่อยสลายเอง ในขณะที่กระดูกเริ่มงอกขึ้นมาทดแทนส่วนที่ถูกตัดออกไป (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 13 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ยาเม็ดยูวีป้องกันผิวแทนทาครีม

ดร.ซาลวาดอร์ กอนซาเลส จากโรงพยาบาลแมสซาชูเซตส์ เปิดเผยว่าสารป้องกันแสงแดดในรูปเม็ด อาจมีประสิทธิภาพดีกว่าโลชั่น เนื่องจากการกินสารสกัดเข้าสู่ร่างกายโดยตรง จะช่วยให้สารออกฤทธิ์สามารถทำงานได้ทั่วทั้งร่างกาย ป้องกันผิวหนังจากการทำลายของแสงอัลตราไวโอเลต ที่จะนำไปสู่มะเร็งผิวหนังได้ สารสกัดที่จะพัฒนาให้อยู่ในรูปเม็ดยา ได้มาจาก "โพลิโพเดียม ลูโคโตมอส" (Polypodium leucotomos) พืชตระกูลเฟิร์นที่พบในทวีปอเมริกากลาง มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ หรือแอนติออกซิแดนท์ ซึ่งรวมถึงความสามารถในการต้านมะเร็งด้วย คณะวิจัยได้ทดลองกับอาสาสมัครสุขภาพแข็งแรงจำนวน 9 คน ด้วยการให้เข้ามารับแสงยูวีในหลายระดับที่บริเวณส่วนหลัง จากนั้นก็ตัดผิวหนังเล็กน้อยออกมาวินิจฉัย หลังจากผึ่งแสงครั้งแรกโดยที่ไม่ได้รับสารสกัดพีลูโคโตมอส และอีกครั้งหลังจากได้รับแคปซูลของยาสมุนไพรแล้ว จากการทดลองพบว่า เมื่ออาสาสมัครรับประทานแคปซูลสารสกัดเข้าไปแล้ว แผ่นหลังบริเวณที่โดนแสงลดอาการแดงลง และเซลล์ถูกแสงเผาไหม้เพียงเล็กน้อย นอกจากนี้ ยังพบสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังในปริมาณน้อยอย่างมาก งานวิจัยชิ้นนี้ถือเป็นรายงานชิ้นแรกที่แสดงให้เห็นถึงวิธีป้องกันการทำลายดีเอ็นเอ ด้วยการรับประทานสารแอนติออกซิแดนท์โดยตรง และยังแสดงให้เห็นด้วยว่าสารสกัดจากพืชสมุนไพร สามารถป้องกันการทำลายผิวหนังระยะยาว อย่างเช่นมะเร็งผิวหนังได้ (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 13 ม.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ญี่ปุ่นแนะไทยทดลอง ทำเอทานอลจากเศษไม้

นักวิจัยญี่ปุ่น เสนอเทคโนโลยีใหม่ในการผลิต “เอทานอล” ที่สามารถนำไปผสมในน้ำมันเบนซิน จาก “เศษไม้” และ “เศษใบไม้” ด้วยเทคนิค “ซูเปอร์คริติคัลวอเตอร์” มาสร้างเป็นพลังงาน ศ.ดร.ซากะ กล่าวว่า ประเทศญี่ปุ่นจะต้องหาหนทางลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกลง ซึ่งปัจจุบัน ประเทศญี่ปุ่นมีการผสมเอทานอล 3% ลงไปในน้ำมันเบนซิน ซึ่งเป้าหมายก็คือภายในปี 2563 น้ำมันเบนซินในประเทศญี่ปุ่นจะต้องผสมสารเอทานอลให้ได้ 10%(E10) ซึ่งนอกจากงานวิจัยด้านการพัฒนาเครื่องยนต์ ให้สามารถใช้กับน้ำมันเบนซิน E10 แล้วยังต้องวิจัยเพื่อหาเทคโนโลยีการผลิตเอทานอลจากวัตถุดิบที่หาได้ในประเทศ “ปกติการผลิตเอทานอลจากชีวมวล จะใช้ได้กับวัตถุดิบทางการเกษตรที่มีน้ำตาลอยู่ในปริมาณสูง เช่น อ้อย มันสำปะหลัง เท่านั้น แต่ในขณะนี้ทีมงานของมหาวิทยาลัยเกียวโตสามารถพัฒนากระบวนการผลิตเอทานอลจากชีวมวลที่มีลิกโนเซลลูโลส ซึ่งพบอยู่ทั่วไปตามลำต้นและใบของพืชทั้งสดและแห้ง ซึ่งรวมถึงเศษไม้และเศษใบไม้ด้วย โดยใช้เทคโนโลยี “ซูเปอร์คริติคัลวอเตอร์” (น้ำยวดยิ่งภายใต้ความดันและความร้อนสูงมาก) หากเทคโนโลยีการผลิตเชื้อเพลิงเหลวทดแทนจาก “เศษไม้” ด้วยซูเปอร์คริติคัลวอเตอร์ถูกนำไปใช้จริง ประเทศญี่ปุ่นจะสามารถผลิตเอทานอลจากเศษไม้ได้ถึงปีละ 8,400 ล้านลิตรเลยทีเดียว ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการใช้พลังงานทดแทนของประเทศญี่ปุ่นและของโลก และมีส่วนช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปในอนาคต ไทยน่าจะได้ทดลอง และหากทำได้จริง นอกจากจะทำให้เรามีพลังงานเพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรอีกด้วย” ศ.ดร.ซากะ กล่าว (สยามรัฐ พฤหัสบดีที่ 13 ม.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





เตือนหญิงท้องเลี่ยงกลิ่นยาฆ่าแมลง ลูกในครรภ์เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว

นางนิตยา จันทร์เรือง มหาผล โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเป็นโรคที่พบได้บ่อยประมาณ 1 ใน 3 ของมะเร็งในเด็กทั่วโลกเกิดขึ้น เนื่องจากเม็ดเลือดขาวตัวอ่อนมีการแบ่งตัวอย่างไม่หยุดยั้ง ที่โรงพยาบาลศิริราชพบผู้ป่วยใหม่ได้ปีละประมาณ 200 ราย จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 882 ราย ในปี 2540 เพิ่มเป็น 1,532 ราย ในปี 2543 นางนิตยากล่าวว่า สาเหตุที่แท้จริงของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ขณะนี้ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีปัจจัยเสริมบางอย่าง เช่น โรคทางพันธุกรรมบางโรค เช่น ดาวน์ซินโดรม จะมีความเสี่ยงโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวสูงกว่าคนปกติประมาณ 20 เท่าตัว รวมทั้งผลจากรังสี สารเคมีในสิ่งแวดล้อม และจากไวรัส เป็นต้น โดยเฉพาะพิษภัยจากสารเคมี เนื่องจากสารเคมีเหล่านี้สามารถซึมผ่านทางรกไปสู่เด็กได้ตั้งแต่เด็กอยู่ในครรภ์ จากผลการวิจัยครั้งนี้ มีความน่าเป็นห่วง กรณีของหญิงตั้งครรภ์ในประเทศไทย ซึ่งมีปีละประมาณ 8 แสนคน หากมีการสูดดีดีที ยาฆ่าแมลง อาจมีความเสี่ยง เนื่องจากอุตสาหกรรมการผลิตดีดีที หรือยาพ่นฆ่าแมลงที่ใช้ในบ้านเรือน ขณะนี้มักมีการปรับกลิ่นให้หอมขึ้นแต่อันตรายยังมีคงเดิม ทำให้ผู้ใช้ขาดความตระหนักถึงภยันตรายสูดเข้าไปโดยไม่รู้ตัว โดยพิษจะสะสมในร่างกายมากขึ้น และมีผลต่อเม็ดเลือดขาวตัวอ่อน (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 14 ม.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ลาดกระบังโชว์เครื่องตรวจฝุ่นแบบพกพา

นายณรงค์ชัย ทองน้อย นักศึกษาภาควิชาฟิสิกส์ประยุกต์ คณะวิทยาศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เจ้าของผลงานเครื่องตรวจวัดปริมาณฝุ่นละอองแบบพกพา เปิดเผยว่า เนื่องจากตระหนักถึงปัญหาฝุ่นละอองในอากาศ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักการเกิดโรคภูมิแพ้ หอบหืดและโรคแทรกซ้อนทางลมหายใจในคนไทย จึงประดิษฐ์คิดค้นอุปกรณ์ตรวจวัดดังกล่าว เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยหรือผู้สัญจรในพื้นที่ ได้ทราบข้อมูลปริมาณฝุ่นละอองในบริเวณนั้น และหาวิธีป้องกันตนเองได้อย่างเหมาะสม โดยประสิทธิภาพสามารถตรวจวัดฝุ่นขนาดเล็กกว่า 5 ไมครอน เผยข้อมูลเป็นประโยชน์ใช้วางแผนลดปริมาณฝุ่นในอากาศ สาเหตุหลักก่อโรคทางเดินหายใจในคนไทย สำหรับหลักการทำงานของเครื่อง เป็นการตรวจนับความหนาแน่นอนุภาคฝุ่นบนผลึกควอร์ทซ (Quartz crystal) เริ่มจากการดูดอากาศด้วยปั๊มชนิดไดอะแฟรม โดยให้ฝุ่นละอองเข้ามาผ่าน impactor พร้อมกับใช้แรงดันสูงในการจับอนุภาคฝุ่นให้ตกไปบนผลึก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวงจรผลิตสัญญาณความถี่สูง เมื่อมีมวลฝุ่นมาเกาะจะทำให้ความถี่ของการสั่นเปลี่ยนแปลงไป จากนั้นนำค่าที่ได้มาคำนวณและแสดงผลผ่านทางจอภาพว่า บริเวณนั้นมีปริมาณฝุ่นละอองอยู่เท่าใด (ไมโครกรัม / ลูกบาศก์เมตร) โดยสามารถตรวจวัดปริมาณฝุ่นละอองขนาดต่ำกว่า 5 ไมครอนได้ ส่วนข้อมูลที่ตรวจวัดได้จะต้องนำมาตรวจสอบกับค่ามาตรฐานสากล จึงจะได้คำตอบว่าปริมาณฝุ่นละอองในบริเวณนั้นอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยหรืออันตรายระดับใด จากการทดสอบใช้งานพบว่า ค่าความแม่นยำอยู่ในระดับ 80% โดยต้นทุนผลิตประมาณ 5,000 บาทต่อเครื่อง แต่ถ้ามีการต่อยอดนำออกสู่ตลาดหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย กรมอนามัย ให้การสนับสนุนด้านบุคลากรและเงินทุน เชื่อว่าต้นทุนการผลิตจะลดลงเหลือเพียง 3,000 บาทต่อเครื่อง (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 14 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ม.รามวิจัยเพิ่มฤทธิ์สารชีวภาพ เล็งทำยาใหม่ไร้สารเคมีสังเคราะห์

ศ.อภิชาติ สุขสำราญ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยรามคำแหง และหัวหน้าคณะวิจัยโครงการใช้สารเคมีและเทคโนโลยีชีวภาพ ในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างและเพิ่มฤทธิ์ทางชีวภาพสารผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ เปิดเผยว่า โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง ม.รามคำแหง ศรีนครินทรวิโรฒและมหิดล เพื่อศึกษาการใช้เคมีและเทคโนโลยีชีวภาพ ในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างและเพิ่มฤทธิ์ทางชีวภาพสารผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ มาใช้ทดแทนยาจากเคมีสังเคราะห์ ซึ่งส่งผลข้างเคียงต่อร่างกาย โครงการต้องการค้นหาสารผลิตภัณฑ์ธรรมชาติจากสมุนไพร พืช สัตว์หรือจุลินทรีย์ ที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพที่น่าสนใจและใช้วิธีทางเคมีและเทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อปรับเปลี่ยนสารผลิตภัณฑ์ธรรมชาติให้มีฤทธิ์สูงขึ้น สำหรับนำไปพัฒนายาใหม่ต่อไป ขณะนี้คณะวิจัยสนใจศึกษาสารตั้งต้นจากพืชและสาหร่ายทะเล เพื่อนำมาปรับเปลี่ยนโครงสร้างของโมเลกุลให้มีฤทธิ์ต้านเชื้อวัณโรคที่ดีขึ้น และสามารถนำสารจากสมุนไพรขมิ้นชัน มาปรับปรุงโครงสร้าง เพื่อให้เป็นสารออกฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งและฤทธิ์ต้านการอักเสบที่สูงขึ้น กลุ่มวิจัยยังสนใจนำสมุนไพรว่านชักมดลูก มาแยกหาสารออกทดแทนฮอร์โมนกลุ่มเอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนประเภทสเตียรอยด์ที่สตรีวัยทองหมดประจำเดือนบางคนใช้ตามคำแนะนำของแพทย์ แต่อาจก่อโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งมดลูกได้ หากแยกได้สารออกฤทธิ์ฮอร์โมนเพศหญิงที่ไม่ใช่สเตียรอยด์จากสมุนไพรนี้ ก็อาจช่วยแก้ปัญหาด้านผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ โครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ ในโครงการทุนส่งเสริมกลุ่มนักวิจัยอาชีพ ประจำปี 2547 เป็นจำนวน 19.88 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเสร็จสิ้นการวิจัยภายในระยะเวลา 5 ปี (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 14 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ปากกาไฮเทคช่วยเด็กทำการบ้าน

ลีปฟร็อก (www.leapfrog.com) ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อการศึกษา เปิดตัวปากกาไฮเทค ซึ่งมีระบบคอมพิวเตอร์อยู่ในตัว และเมื่อนำไปเขียนบนกระดาษอิเล็กทรอนิสก์ "ฟลายเปเปอร์" มันสามารถพูดออกมาตามคำหรือประโยคที่เขียนได้ทันที นอกจากช่วยฝึกทักษะในการอ่านออกเสียงแล้วยังสามารถใช้แปลคำเป็นภาษาได้ด้วย ผู้ใช้สามารถใช้ปากกาวาดเครื่องคิดเลขลงบนกระดาษอิเล็กทรอนิกส์แล้วใช้ปากกาจิ้มลงบนตัวเลขและคำสั่งคูณ หาร ลบ หรือบวก ที่เขียนด้วยลายมือ จากนั้นผู้ใช้จะได้ยินเสียงผลลัพธ์ดังออกมาจากปากกา นอกจากนี้ ยังเตรียมพัฒนาคุณสมบัติของปากกาให้ใช้งานเพื่อการเรียนรู้ การสื่อสาร และเล่นเกมด้วย โดยเด็กสามารถแสวงหาความบันเทิงได้จากเกมเบสบอล หรือใช้ผสมผสานเสียงเพลง จดบันทึก และแปลภาษา ปากกาไฮเทคราคาประมาณ 3,860 บาท พร้อมกับอุปกรณ์เสริมราคาอยู่ระหว่าง 300-1,170 บาทนี้ จะมีวางจำหน่ายในช่วงฤดูใบไม้ร่วง (เดือนกันยายน-พฤศจิกายน) และถึงจะพุ่งเป้าไปที่เด็กวัย 8-14 ปี (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 14 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





โชว์หุ่นยนต์กู้ภัย ใช้คลื่นวิทยุค้นหา ผู้บาดเจ็บใต้ตึก

อาจารย์ฐานิสร์ นุชเครือ อาจารย์ประจำภาควิชาไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ได้ติดตั้งศูนย์ Mechatronics และเริ่มผลิตหุ่นยนต์มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2547 และปัจจุบันได้จัดสร้างหุ่นยนต์ 3 ตัว โดยมีเป้าหมายเพื่อใช้เสี่ยงภัยแทนมนุษย์ในการกู้ภัย ค้นหาผู้บาดเจ็บจากซากปรักหักพังด้วยการใช้คลื่นวิทยุในการควบคุมผ่านทางคอมพิวเตอร์ และใช้ล้อในการเคลื่อนไหว ขณะที่ผู้ควบคุมสามารถดูภาพได้จากหน้าจอคอมพิวเตอร์ เนื่องจากจะมีกล้องฝังอยู่ในตัวหุ่นยนต์ เพื่อใช้แทนตาของมนุษย์ นอกจากนี้ หุ่นยนต์เหล่านี้ยังสามารถทำแผนที่ได้ เพื่อให้เราทราบถึงตำแหน่งที่ผู้เคราะห์ร้ายอยู่ โดยโครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างนักศึกษาทุนและนักศึกษาภาคปกติ โดยมีอาจารย์คอยเป็นผู้ดูแลให้คำแนะนำ สำหรับโครงการในอนาคต ได้เตรียมพัฒนาหุ่นยนต์เพื่อส่งหุ่นยนต์ไปแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก โดยจะเริ่มส่งประกวดหุ่นยนต์กู้ภัยของสมาคมวิชาการหุ่นยนต์ไทยในเดือนพฤศจิกายน 2548 และจะส่งประกวดหุ่นยนต์ของสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น พร้อมทั้งมุ่งเพิ่มความฉลาดให้หุ่นยนต์ อาทิ พัฒนาหุ่นยนต์ให้สามารถเคลื่อนไหวได้เอง และพัฒนาแขนกลเพื่อไว้ใช้ในการเชื่อม พ่นสี สำหรับงานอุตสาหกรรมแทนแรงงานมนุษย์ ทั้งนี้ หุ่นยนต์ทั้ง 3 ตัวจะนำมาแสดงในงาน โอเพ่น เฮาส์ 2005 วันอังคารที่ 25 มกราคมนี้ ณ มหาวิทยาลัยรังสิต (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 14 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ไม่อยากตุ้ยนุ้ยอย่านอนน้อย

เฟรด ทูเร็ก แพทย์จากมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสต์เทิร์น กล่าวว่า ส่วนใหญ่นักวิจัยมักจะให้ความสำคัญไปกับเรื่องอาหารและการออกกำลังกาย จนลืมนึกไปว่าการนอนหลับที่พอเพียงก็เป็นอีกประเด็นที่น่าสนใจ ทีมงานได้ศึกษาอาสาสมัครจากโรงเรียนการแพทย์เวอร์จีเนียตะวันออกจำนวน 1,000 คน และพบว่าดัชนีมวลรวมของร่างกายจะเพิ่มขึ้นเมื่อระยะเวลารวมของการนอนลดน้อยลง โดยผู้ชายมีแนวโน้มจะนอนน้อยกว่าผู้หญิงโดยเฉลี่ย 27 นาที ขณะที่ผู้ป่วยโรคอ้วนและผู้มีน้ำหนักตัวเกินจะนอนน้อยกว่าคนน้ำหนักตัวปกติราวสัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง 20 นาที อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่าไม่จำเป็นต้องนอนมากเกินพอดี แค่เพิ่มเวลานอนคืนละ 20 นาที ก็สามารถลดระดับดัชนีมวลรวมของร่างกายให้ต่ำลงได้ และยังบอกด้วยว่าก่อนหน้านี้ ทีมวิจัยไม่ได้ตั้งใจจะหาความสัมพันธ์ระหว่างการนอนกับโรคอ้วน แต่หลังจากศึกษาแล้ว ก็พบว่าน้ำหนักลดลงหลังจากขยายเวลานอนให้เพิ่มขึ้น จึงกลายเป็นว่างานวิจัยชิ้นนี้แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ดังกล่าวไปด้วย ดร.ทูเร็ก บอกว่า คนนอนน้อยจะทำให้ระดับฮอร์โมน "เลปติน" หรือโปรตีนระงับความหิวมีระดับลดลง และจะไปเพิ่มระดับฮอร์โมนอีกตัวที่เป็นสาเหตุให้อยากอาหารมากขึ้น นอกจากนี้จากการศึกษาสมองพบว่า ประสาทในส่วนที่ควบคุมการนอน และโรคอ้วนซ้อนทับกันอยู่ด้วย (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 14 ม.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





โชว์อากาศยานไร้คนขับ ผลงาน ม.มหานครช่วยภารกิจบินสำรวจ

รศ.ดร.สุเจตน์ จันทรังษ์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหานคร เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยได้สนับสนุนการวิจัยและสร้างอากาศยานไร้นักบิน สำหรับใช้ประโยชน์ด้านการสำรวจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น พื้นที่ป่า สัตว์ป่า เส้นทางน้ำ การจราจรหรือใช้บินติดตามคนร้าย โดยอากาศยานหรือเครื่องบินจะติดตั้งทั้งกล้องวิดีโอและกล้องถ่ายภาพดิจิทัลเพื่อบันทึกภาพที่ต้องการได้ทันที อากาศยานลำนี้สามารถบินอัตโนมัติ ด้วยการตั้งโปรแกรมบังคับไว้ล่วงหน้า ดูจากพิกัดตำแหน่งในปัจจุบันผ่านดาวเทียมจีพีเอส แล้วนำไปคำนวณด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อกำหนดเส้นทางบินให้ไปทางซ้ายหรือทางขวาตามต้องการ ในการระบุตำแหน่งปัจจุบันนั้น ต้องอาศัยข้อมูลจากดาวเทียมจีพีเอสของสหรัฐ โดยจะรับข้อมูลทุกๆ 1 นาที จากนั้นส่งข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์เพื่อการบังคับเลี้ยวซ้ายขวา หรือบังคับการขึ้นลง โดยอาศัยอุปกรณ์เซอร์โวมอเตอร์ที่ติดไว้บริเวณปีกของเครื่อง สำหรับรายละเอียดของกล้องที่ติดตั้งไว้บริเวณตัวเครื่องการถ่ายภาพสำรวจนั้น กล้องถ่ายวิดีโอความละเอียด 380 เส้น และกล้องดิจิทัลความละเอียด 3 ล้านพิกเซล (สามารถเปลี่ยนได้) โดยกล้องวิดีโอจะส่งสัญญาณภาพมา ณ เวลาจริง ผ่านสัญญาณวิทยุโดยใช้เสาอากาศ มีรัศมีการส่ง 10 กิโลเมตร ทำให้ผู้ใช้สามารถรับทราบข้อมูลโดยทันที รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหานคร กล่าวอีกว่า เครื่องบินไร้คนขับนี้ติดตั้งทั้งระบบที่ใช้ไฟฟ้าและใช้น้ำมัน โดยลำที่ใช้เชื้อเพลิงไฟฟ้าสามารถบินได้นาน 20-30 นาที ส่วนเชื้อเพลิงน้ำมันจะบินได้นานถึง 2 ชั่วโมง ขณะนี้ได้พัฒนาเครื่องบินทั้งหมด 3 ลำ แบ่งเป็นแบบใช้ไฟฟ้า 2 ลำ และเติมเชื้อเพลิงน้ำมัน 1 ลำ ขนาดจากปลายปีกด้านหนึ่งถึงอีกด้าน 90 นิ้ว และจากด้านหน้าถึงด้านหลัง 65 นิ้ว บินได้สูง 1-2 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระดับความสูงที่เพียงพอสำหรับการบินสำรวจ อีกทั้งสามารถปรับมาใช้การบังคับแบบรีโมทหรือควบคุมระยะไกลได้ด้วย (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 14 ม.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





อาจารย์นักประดิษฐ์ เทคโนโลยี "รุ่นใหม่"

ผศ.ดร.สักกมน เทพหัสดิน ณ อยุธยา แห่งภาควิชาวิศวกรรมอาหาร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เจ้าของผลงาน “เครื่องอบแห้งด้วยไอน้ำร้อนยวดยิ่งสภาวะความดันต่ำ” ได้รับรางวัลจากมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่มีผลงานและประสบการณ์วิจัยทั้งในและต่างประเทศ มีผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์และเผยแพร่อีกมาก และเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการวารสารวิชาการระดับนานาชาติ ผศ.ดร.สักกมน กล่าวว่าด้วยข้อจำกัดของการอบแห้งด้วยอุณหภูมิสูง (มากกว่า 100 ํองศาเซลเซียส ในกรณีที่ใช้ความดันบรรยากาศ) ไม่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายเมื่อได้รับความร้อน เช่น ผักและผลไม้ จึงพัฒนาวิธีการอบแห้งอาหาร รวมทั้งศึกษาผลกระทบของตัวแปรต่างๆ ที่มีต่อกระบวนการอบแห้งและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ซึ่งได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ประเทศไทยมีการพัฒนาทางเทคโนโลยียังไม่เพียงพอ อยากให้ทางรัฐบาลสนับสนุน โดยเฉพาะเทคโนโลยีพื้นฐานให้มากกว่านี้ และอยากให้นักเรียนนักศึกษาหันมาสนใจศึกษาและทำการวิจัยทั้งเชิงพื้นฐานและเชิงประยุกต์มากขึ้น ให้มองและคิดว่าการทำวิจัยเป็นเรื่องสนุก สามารถฝึกทักษะ กระบวนการคิดต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้แหละที่จะทำให้ประเทศไทยของเราสามารถพัฒนาและลดการพึ่งพาเทคโนโลยีได้จากต่างประเทศ และผมขอบคุณ มจธ.ที่สนับสนุนการวิจัยเป็นอย่างดี ขณะนี้ผลงานอยู่ระหว่างการดำเนินการจดสิทธิบัตร ผู้สนใจสอบถามได้ที่ ผศ.ดร.สักกมน เทพหัสดิน ณ อยุธยา ภาควิชาวิศวกรรมอาหาร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มจธ. โทร.0-2470-9246 (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 14 ม.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





สารสกัดจากเกสรบัวศักดิ์สิทธิ์ ช่วยหน้าเด้งใสด้วยนาโนเทคโนโลยี

นับเป็นความก้าวหน้าของวงการสมุนไพรไทยอีกระดับหนึ่ง เมื่อนักวิจัยไทยสามารถคิดค้นสารสกัดจากเกสรบัวหลวง ที่ช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นต้นเหตุการเหี่ยวย่นหรือแก่ก่อนวัยได้ง่าย อีกทั้งยังใช้เทคโนโลยีระดับจิ๋ว อย่างนาโนเทคโนโลยีช่วยนำพาสารสกัดซึมสู่ผิวในระดับลึกยิ่งขึ้น ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งยาวนานกว่าเดิม ในการกำจัดอนุมูลอิสระของพืชสมุนไพร ที่ผ่านการคัดเลือกมามากกว่า 40 ชนิด พบว่ามีสารสกัดเกสรบัวหลวง เป็นตัวอย่างที่มีความสามารถ ในการกำจัดอนุมูลอิสระมากที่สุด และมีความสามารถดีกว่าสารสกัดชาเขียวถึง 2 เท่า" เขาร่วมกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ โครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและวิจัยทางเคมี (PERCH) และบริษัทไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) สำหรับการวิจัยนำเกสรดอกบัวหลวงมาสกัดช่วยบำรุงผิวและชะลอริ้วรอย รวมทั้งการผลิตในรูปแบบเครื่องสำอางโดยใช้ระยะเวลาวิจัยทั้งสิ้น 2 ปี สำหรับเกสรบัวหลวงได้มาจากดอกบัวหลวง ซึ่งเป็นพืชท้องถิ่นของไทย มีรสชาติฝาด หอม สามารถใช้แก้พิษไข้ บำรุงครรภ์ บำรุงหัวใจ ทำให้ชื่นใจ เข้าตำรับยาและยาหอมหลายขนาน ผลการแยกหาสารออกฤทธิ์กำจัดอนุมูลอิสระ ด้วยกระบวนการทางเคมีได้สารสำคัญ 3 ชนิด ได้แก่ kaempferol , kaempferol 3-o-?-D-glucopyranoside, sitosterol-3-o-?-D- glucopyranoside ส่วนใหญ่เป็นสารที่ให้ค่าความเข้มข้นของสาร ที่สามารถยับยั้งปฏิกิริยาเริ่มต้นได้ดี เท่ากับวิตามินอี โดยมีคุณสมบัติในการกำจัดอนุมูลอิสระ ช่วยทำให้ผิวขาวหรือยับยั้งเอมไซน์ไทโรซิเนสที่เป็นสาเหตุของผิวคล้ำ ฝ้า จุดด่างดำ (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 15 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ม.เทคโนโลยีสุรนารีวิจัยข่าต้านเชื้อหนองใช้แทนยาปฏิชีวนะ

ดร. เกรียงศักดิ์ เอื้อมเก็บ จากสาขาชีววิทยา สำนักวิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี กล่าวว่า จากผลการสำรวจสถานการณ์ดื้อยาในโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาขณะนี้พบเชื้อที่ทำให้เกิดอาการติดเชื้อเป็นหนองหลายชนิดดื้อต่อยาในกลุ่ม lactam antibiotics เช่น ยากลุ่มเพนนิซิลินซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะที่มีการใช้เป็นมูลค่าหลายพันล้านบาทต่อปีในไทย ส่งผลให้ต้องสูญเสียเงินค่ารักษาพยาบาลไปกับการใช้ยาที่มีราคาแพงแต่ใช้ไม่ได้ผลแล้ว คนไข้ยังต้องสูญเสียเงินเป็นจำนวนมาก และมีโอกาสเป็นอันตรายถึงชีวิตจากการดื้อยาที่มากขึ้นของเชื้อเหล่านี้ได้อีกด้วย จากปัญหาดังกล่าวจึงได้ทำวิจัยทดสอบฤทธิ์ของสารสกัดจากสมุนไพรไทย : Flavonoids บางชนิดต่อแบคทีเรียที่ดื้อยาในกลุ่ม beta-lactam antibiotics ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ขึ้น โดยงานวิจัยชิ้นนี้ได้ทำการทดสอบการออกฤทธิ์ของสารกลุ่ม Flavonoids ซึ่งสกัดจากพืชสมุนไพรไทยตระกูลข่าและพืชสมุนไพรไทยอื่น ๆ อีกหลายชนิด กับเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยา เพื่อจะได้ทราบว่าสารกลุ่ม Flavonoids เหล่านี้มีฤทธิ์ต่อต้านหรือเสริมฤทธิ์ยาปฏิชีวนะให้สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้หรือไม่ ผลวิจัยขณะนี้พบว่าเชื้อกลุ่มที่ทำให้เกิดฝีหนองที่เคยดื้อต่อยาปฏิชีวนะกลุ่มดังกล่าวจะถูกยับยั้งได้เมื่อให้ยาปฏิชีวนะร่วมกับสารในกลุ่ม Flavonoids บางตัวเช่น Baicalein หรือ Galangin ที่ได้จากข่า และเชื้อที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด ที่เคยดื้อต่อยาในกลุ่มนี้ก็จะไม่ดื้อต่อยากลุ่มนี้เมื่อให้ร่วมกับสารในกลุ่ม Flavonoids บางตัวเช่น Apigenin ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่าหากนำสารกลุ่ม Flavonoid จากพืชตระกูลข่ามาผสมกับยาปฏิชีวนะแล้ว จะสามารถปราบเชื้อที่เคยดื้อยาเหล่านี้ได้ผลดีอีกครั้ง ยังอยู่ในช่วงการศึกษาระดับคลินิกเพื่อทดสอบความเป็นพิษและผลข้างเคียง แต่ก็เชื่อว่าไม่น่าจะเป็นพิษต่อร่างกาย เนื่องจากข่าเป็นพืชที่มนุษย์ใช้บริโภคเป็นอาหารในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว จึงเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้จะสามารถพัฒนายาปฏิชีวนะสูตรผสมใหม่ให้ผลิตได้ในเมืองไทยได้สำเร็จ (คมชัดลึก เสาร์ที่ 15 ม.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





สกว.โชว์"พอลิเมอร์เรืองแสง"

ผศ.ธีรเกียรติ์ เกิดเจริญ นักวิชาการภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยมหิดล หนึ่งในทีมวิจัยโครงการอินทรีย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) กล่าวว่า ได้ร่วมกับ ผศ.ดร.ธนากร โอสถจันทร์ และ ผศ.ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ นักวิจัยจากภาควิชาฟิสิกส์ วิจัยการนำไฟฟ้าของพอลิเมอร์สารอินทรีย์ จนสามารถสังเคราะห์และประกอบอุปกรณ์พอลิเมอร์เรืองแสงขึ้นมา หวังนำไปทดแทนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นำไฟฟ้าที่มีปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมเนื่องจากกำจัดยาก แต่ด้วยความก้าวหน้าทางด้านนาโนเทคโนโลยี ทำให้นักวิจัยค้นพบว่าการเรียงตัวต่อเนื่องกันเป็นห่วงโซ่ของสารอินทรีย์(สารที่มีพื้นฐานเป็นเช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิต โดยมีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบ) ก็สามารถสร้างให้เกิดการนำไฟฟ้าได้ พอลิเมอร์ที่นำไฟฟ้าได้จะมีลักษณะเป็นสายโซ่ที่อิเล็กตรอนซึ่งอยู่ ณ จุดหนึ่งสามารถวิ่งไปสู่อีกจุดหนึ่งได้ โดยปกติแล้วโมเลกุลสารอินทรีย์จะไม่มีสมบัติแบบนี้ แต่เมื่อทำให้มันอยู่ในรูปแบบที่บางมากๆ นั่นคือนำมาฉาบเป็นฟิล์มบางที่หนาน้อยกว่า 100 นาโนเมตร มันจะเริ่มแสดงปรากฏการณ์พิเศษภายใต้สนามไฟฟ้า เกิดการวิ่งของอิเล็กตรอนขึ้น จากนั้นทีมวิจัยจึงพัฒนาออกมาเป็นสารพอลีพาราฟีนิลีนไวนิลีน หรือพีพีวี ซึ่งเมื่อนำไฟฟ้าแล้วจะเกิดการเรืองแสงสีเหลือง มาเข้าสู่กระบวนการสังเคราะห์และดัดแปลงทางวิศวกรรมต่อโครงสร้างของสารดังกล่าว เพื่อให้ได้เป็นพอลิเมอร์นำไฟฟ้าอีกตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า Poly หรือ MEH-PPV ซึ่งเมื่อเกิดการนำไฟฟ้าแล้วจะเรืองแสงสีเป็นสีแดง และอีกชนิดชื่อ BEH-PF หรือ Poly (9,9-bis(2-ethylhexyl)) fluorene ซึ่งให้สีฟ้า โดยที่ในกระบวนการสังเคราะห์พอลิเมอร์ตัวนี้ นักวิจัยได้เปลี่ยนจากการบิดโครงสร้างมาสู่การเพิ่มโครงสร้างของสารเคมีบางตัวเข้าไป เช่น แอนทราซีน เพื่อขัดขวางเส้นทางเดินของอิเล็กตรอนและ พอลิเมอร์นำไฟฟ้านี้ เมื่อสังเคราะห์ได้แล้วจะเก็บอยู่ในรูปเกล็ดแข็ง เมื่อต้องการใช้จะต้องนำมาละลายให้เป็นของเหลว แล้วพ่นฉาบลงบนวัสดุรองรับอย่างรวดเร็ว (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 15 ม.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





เปิดตัวสับปะรดจีเอ็มโอหวานกรอบ

เมื่อวันที่ 15 มกราคม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) ประชุมวิชาการนักวิจัยรุ่นใหม่พบเมธีวิจัยอาวุโส มีการนำเสนอผลงานวิจัยใหม่ๆ หลายเรื่อง แต่ที่เรียกความสนใจอย่างมากคือผลงานของ รศ.ดร.สุนีย์รัตน์ ศรีเปารยะ คณะเกษตรศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลนครศรีธรรมราช ผู้วิจัยเรื่อง "การทดสอบความต้านทานสารกำจัดวัชพืชกลูโฟซิเนต ในสภาพไร่ : ลักษณะทางเขตกรรมและคุณภาพผลของสับปะรดแปลงพันธุ์" หรือสับปะรดดัดแปลงพันธุกรรม(จีเอ็มโอ) โดย รศ.ดร.สุนีย์รัตน์ ระบุว่าสับปะรดจีเอ็มโอนี้มีต้านทานต่อสารกำจัดวัชพืชในกลุ่มกลูโฟซิเนต แอมโมเนียม เพราะเป็นสารกำจัดวัชพืชราคาถูกและมีความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรประหยัดต้นทุนในการผลิตได้กว่า 50% เพื่อทดแทนพันธุ์ทั่วไปที่ไม่สามารถต้านทานสารในกลุ่มนี้ได้ ส่วนลักษณะอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นผลผลิต ความกรอบ หรือเปอร์เซ็นต์ความหวาน ยังมีคุณภาพเทียบเท่ากับสับปะรดพันธุ์ภูเก็ตเดิมทุกประการ (มติชนรายวัน อาทิตย์ที่ 16 ม.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ข่าวทั่วไป


ตั้งศูนย์พุทธศาสนาโลก

นายปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยถึงโครงการสำคัญที่กรมการศาสนาตั้งเป้าดำเนินการในปี 2548 ว่ามี 3 โครงการ ได้แก่ โครงการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธของโลก เป็นต้นแบบวิถีชีวิต ประเพณีชาวพุทธที่ดี โดยจัดงานวันสำคัญทางศาสนา เช่น วิสาขบูชา มาฆบูชา อย่างยิ่งใหญ่ให้ประชาชนทั่วประเทศร่วมกิจกรรม โครงการนำพุทธศาสนิกชนไปนมัสการสังเวชนียสถานที่ประเทศอินเดีย และโครงผลิตครูพระสอนศีลธรรมให้ครบ 1 ตำบล 1 รูป สอนเด็กหลุดจากปัญหายาเสพติด ติดเกม โดยจะของบกลางปี 2549 มาดำเนินการรวมทั้งสิ้นกว่า 400 ล้านบาท ส่วนผลงานในรอบปี 2547 ที่ผ่านมา ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี ประชาชนมีส่วนร่วมทำกิจกรรมศาสนาจำนวนมาก โดยเฉพาะโครงการส่งเสริมให้ประชาชนสวดมนต์ไหว้พระในชีวิตประจำวัน ให้ผู้นำท้องถิ่น ข้าราชการ เด็กและเยาวชนสวดมนต์ทุกวัน โครงการอุปสมบทหมู่เพื่อร่วมเฉลิมฉลองในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มีพระชนมายุครบ 72 พรรษา จังหวัดละ 72 รูป และโครงการเสริมสร้างพลังศาสนิกสัมพันธ์ 5 ศาสนา ให้มีความสามัคคี ใช้มิติทางศาสนาแก้ปัญหาชาติร่วมกัน “อยากให้รัฐให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนไทยด้วยมิติทางศาสนาจะยั่งยืนกว่า" นายปรีชา กล่าว (คมชัดลึก จันทร์ที่ 10 ม.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





เตือนภัยฉีดยาต่อต้านริ้วรอยเสี่ยงอัมพาต

ดร.จีน มาเลคกิ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขเขตปาล์มบีชในรัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐ ประกาศเตือนประชาชนเมื่อวันอาทิตย์ (9 ม.ค.) ว่าอย่าใช้ฉีดสารต่อต้านริ้วรอยเพื่อให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้นเนื่องจากพบว่ามีหมอเถื่อน และลูกค้าอีก 3 คนต้องกลายเป็นอัมพาต เพราะลักลอบใช้สารที่มีราคาถูกกว่าฉีดแทนโบท็อกซ์จนทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงถึงขั้นไม่สามารถหายใจด้วยตัวเองได้ ขณะนี้เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางกำลังเดินการสอบสวนกรณีบริษัทท็อกซิน รีเสิร์ช อินเตอร์เนชั่นแนล (ทีอาร์ไอ) ในเมืองทุคซอน รัฐอริโซนา ได้ส่งสารพิษโบทูลินัมซึ่งประกอบด้วยแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอาการเป็นพิษอย่างรุนแรงมูลค่า 53,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2 ล้านบาท) ไปให้ลูกค้า 13 คนในเซาท์ฟลอริดาเมื่อปีที่แล้ว ด้านผลการสอบสวนขององค์การอาหารและยาของสหรัฐ (เอฟดีเอ) เผยว่าสารพิษจากบริษัททีอาร์ไอถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุให้แพทย์ไม่มีใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ และประชาชนอีก 3 คนต้องเป็นอัมพาตเนื่องจากแพทย์เถื่อนในศูนย์การแพทย์เมืองโอ๊คแลนด์พาร์คคนนี้ได้ใช้สารจากบริษัททีอาร์ไอฉีดให้ตัวเอง และลูกค้าอีก 3 คน เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา จนทำให้ทั้งหมดเป็นอัมพาตที่ระบบการหายใจจนไม่สามารถหายใจด้วยตัวเอง (คมชัดลึก อังคารที่ 11 ม.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





สธ.ทวงสิทธิบัตรกวาวเครือญี่ปุ่น หาช่องกม.-อ้างงานวิชาการสู้คดี

จากกรณีที่ บริษัทโคเซ่ ผู้ผลิตเครื่องสำอางยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น และบริษัทชิราโต ผู้ผลิตยา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้จดสิทธิบัตรในสหรัฐ หมายเลข 6,352,685 ได้รับอนุมัติ เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2545 โดยอ้างคุณสมบัติของสารสกัดจากกวาวเครือที่สามารถรักษาผิวพรรณไม่ให้แก่เร็ว รวมทั้งคุณสมบัติอื่นๆ เช่น ป้องกันการก่อตัวของเมลานีน เป็นต้น สิทธิบัตรในกวาวเครือที่ทั้งสองบริษัทได้จดสิทธิบัตรผูกขาดไว้นั้นครอบคลุมกว้างขวางถึง 20 รายการ ซึ่งทางการไทยอยู่ระหว่างการหาแนวทางเพื่อเพิกถอนสิทธิบัตรดังกล่าวอยู่ นพ.วิชัย โชควิวัฒน อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการเพิกถอนสิทธิบัตรกวาวเครือ ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง สภาทนายความ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานอัยการสูงสุด สภาอุตสาหกรรม และสำนักงานกฤษฎีกา ได้หารือกันในเบื้องต้นแล้วพบว่ามีลู่ทางที่สามารถเพิกถอนสิทธิบัตรดังกล่าวได้ และอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลทางวิชาการที่มีการศึกษาไว้ของประเทศไทยทั้งหมดเพื่อจะได้ใช้เป็นข้อมูล หลักฐานในการต่อสู้ นพ.วิชัยกล่าวว่า การพิจารณาให้สิทธิบัตรนั้น จะดูจาก 3 ส่วน คือมีการผลิตที่สูงขึ้นจากเดิม ความเป็นนวัตกรรมใหม่ และเป็นความจริงที่สามารถพิสูจน์ทางวิชาการได้ ว่าใช้แล้วได้ผลจริง ซึ่งขณะนี้ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนของความเป็นนวัตกรรมใหม่ ว่าที่บริษัททั้งสองนำไปจดสิทธิบัตรมีความใหม่จริงหรือไม่ และของเดิมของไทยมีมากน้อยแค่ไหน ได้ให้สภาทนายความ กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานอัยการสูงสุด ไปช่วยดูลู่ทางในการฟ้องร้อง เพราะในการฟ้องร้องนั้นจะต้องฟ้องตามกฎหมายสิทธิบัตรของสหรัฐ จึงจำเป็นต้องใช้ทนายความที่เชี่ยวชาญกฎหมายดังกล่าว โดยในเบื้องต้นค่าใช้จ่ายในการฟ้องร้องเดือนแรกประมาณ 4 ล้านบาท หากใช้เวลาฟ้องร้องประมาณ 3 เดือน จะเสียค่าใช้จ่ายเบื้องต้นประมาณ 13 ล้านบาท (สยามรัฐ พุธที่ 12 ม.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ซิป้างดภาษีดูดนักทำแอนิเมชั่นไทย-เทศ

นายมนูอรดีดลเชษฐ์ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ(องค์กรมหาชน)หรือซิป้าเปิดเผยว่ามั่นใจกับมาตรการให้สิทธิพิเศษในการยกเว้นภาษีแก่ผู้ประกอบการชาวไทยและต่างชาติที่ลงทุนผลิตผลงานแอนิเมชั่นโดยไม่เกี่ยวข้องกับต้นทุนหรือกำไรที่ได้เป็นเวลา8ปีซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่างกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที)ซิป้าและสำนักงานส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)รวมทั้งการช่วยอำนวยความสะดวกในการเข้ามาทำงานในประเทศไทยแก่ผู้เชี่ยวชาญแอนิเมชั่นชาวต่างชาติจะกระตุ้นให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีและการผลิตผลงานแอนิเมชั่นและมัลติมีเดียแห่งอาเซียน(ฮับ)ได้ภายใน5ปี ผู้อำนวยการซิป้ากล่าวต่อว่าเบื้องต้นมีบริษัทผลิตแอนิเมชั่นไทยยื่นเรื่องขอยกเว้นภาษีเป็นจำนวนมากส่วนต่างชาติทำเรื่องยื่นมาแล้วกว่า40บริษัทขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการพิจารณา (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 14 http://www.dailynews.co.th)





อุตฯยานยนต์อนาคตแจ่มใส สิงคโปร์ย้ายฐานผลิตเข้าไทย

นายนินนาท ไชยธีระภิญโญ ประธานคลัสเตอร์ยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้เดินทางร่วมคณะกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เพื่อเชิญชวนนักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ได้มีโอกาสหารือกับผู้ประกอบการชิ้นส่วนยานยนต์ซึ่งแสดงความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทย ได้แก่ อุตสาหกรรมแม่พิมพ์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ด้านยานยนต์ โดยต้องการย้ายฐานเข้ามาผลิตเพื่อการส่งออก สิงคโปร์ สนใจเข้ามาร่วมลงทุนในไทย เนื่องจากยอดขายรถยนต์ของไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจากการที่ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ในภูมิภาคนี้ มีค่ายรถยนต์จากทั่วภูมิภาคเข้ามาลงทุนในไทย ทั้งค่ายยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐ มีการลงทุนที่เป็นตราการค้า ที่เป็นลักษณะสากล(GLOBAL BRAND) มีการจัดการเรื่องรถขนส่งหรือลอจิสติกส์ ขณะเดียวกันมีต้นทุนต่ำที่สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ เช่น อัตราค่าไฟฟ้า ค่าแรงอยู่ในเกณฑ์ต่ำ นอกจากนี้ จากการที่ประเทศไทยได้ทำข้อตกลงการค้าเสรี(เอฟทีเอ) กับประเทศต่างๆ โดยมีข้อตกลงกับ 8 ประเทศล่าสุดมีข้อตกลงเปิดเสรีด้านยานยนต์กับออสเตรเลียมีผลตั้งแต่ 1 มกราคม 2548 ซึ่งหากทำข้อตกลงสำเร็จกับทุกประเทศก็จะเป็นตลาดที่ใหญ่มีประชากรประมาณครึ่งโลก ยิ่งทำให้ไทยเป็นที่น่าสนใจในด้านการลงทุนเพิ่มมากขึ้น ยอดผลิตรถยนต์ของไทยเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ โดยคาดว่าปีนี้จะมีกำลังผลิต 1.2 ล้านคัน ส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 500,000 คัน และจำหน่ายในประเทศประมาณ 680,000 คัน (มติชนรายวัน อาทิตย์ที่ 16 ม.ค. 48 http://www.matichon.co.th)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215