หัวข้อข่าวปีที่ 6 ฉบับที่ 5 ประจำวันที่ 2005-02-06

ข่าวการศึกษา

สกศ.วางแผนปั๊มคนลดการสูญเปล่า
"นำยุทธ" ยันไม่รวบอำนาจ-วางทายาท
มสธ.เปิดโทไทยศึกษาเล็งน.ศ.ต่างชาติ จบแล้วเป็น"ทูต"กู้ภาพพจน์เมืองไทย
หนุนจัดอันดับอุดมฯ
แนะเรียนภาษาที่สอง เริ่มฟัง-พูดตั้งแต่เด็ก
100ปีหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลป์จัดงานใหญ่
"สวทช."แนะมหาวิทยาลัย เน้นบทบาทโลกการเรียนรู้
ม.เอกชนจี้ทบทวนชม.ทำงานอาจารย์
ญี่ปุ่นเลือกส่งเยาวชนศึกษาป.ไทย หวังเรียนรู้การพัฒนาสินค้าเกษตร
น.ศ.เทคนิคกรุงเทพรวมตัวประท้วง ไม่พอใจโครงสร้าง"มรม."-จี้ทบทวน
JGSEE สูตรสำเร็จดอกเตอร์ไทย
ตั้งสถาบันขงจื้อพัฒนาสอนภ.จีน
เรียนผลิตสื่อดิจิทัลหลักสูตรนิวมีเดีย
ทปอ.ให้สัญญาได้ข้อสรุป "แอดมิชชั่น" แน่ เร่งวางทิศม.นอกระบบเสนอรัฐบาลใหม่
สกอ.แนะมหา'ลัยควักเองเพิ่มเงินเดือนให้พนักงาน

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

โลกร้อนชนวนสัตว์โบราณสูญพันธุ์
"องค์หริ" เครื่องบินแบรนด์ไทย ลำแรกโดยฝีมือคนไทย
“คุ้มภัย” เก๋ใช้ดาวเทียมรายแรก ทำเคลมที่เกิดเหตุเร็วฉีกคู่แข่ง
ม.รังสิตจับมือ ม.Soogsil ของเกาหลี ทำแอนิเมชั่นรำลึก"คุณพุ่ม เจนเซ่น"
กรมวิทย์ประสานอาเซียน ยกระดับสารตั้งต้นผลิตยา
กระทรวงทรัพย์ไม่ไว้ใจสั่งเฝ้าระวังแผ่นดินไหว เพิ่มระดับความเสี่ยงพื้นที่ภาคใต้ ล่าสุดพบถ้ำใน จ.กระบี่ ยุบตัว
เนคเทคจัดงาน ประกวดไอซีที ปั้นเยาวชนไทย
สุดยอดนักผลิต เครื่องกลั่นน้ำมันตะไคร้หอมฝีมือคนไทย
เวทีเยาวชนประชันหุ่นยนต์ โชว์ฝีมือเขียนซอฟต์แวร์สั่งงาน

ข่าววิจัย/พัฒนา

โทษสารทาท้องเรือป้องกันเพรียง เป็นเหตุปลาวาฬหูดับว่ายเกยตื้น
คนอ้วนผอมเพราะไฟธาตุในตัว เผาผลาญได้มากน้อยต่างกัน
วิจัยปรับปรุง...ฝ้ายสี พัฒนาเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ธุรกิจขานรับมะเขือเทศผง น้ำหนักเบาให้โภชนาการสูง
เด็กยืดตัวโตตอนนอนกลางคืน กระดูกไม่ยอมงอกเวลายืนเดิน
นักวิจัยเร่งถอดรหัสยีนจุลินทรีย์กำจัดก๊าซพิษ ปูทางสู่การผลิตส่งออก มั่นใจโกยรายได้ปีละหลายล้านเหรียญ
เตาอบพลังงานแสงอาทิตย์ ฝีมืออาจารย์ "กิ่วแลหลวง"
ตำรวจและพ่อค้าแม่ค้าตามสี่แยก เสี่ยงกับสารอันตรายในเบนซิน
ประดิษฐ์เครื่องคัดตัวเชื้ออสุจิ เลือกจับตัวพิการทิ้งเกือบหมด
มจธ.สร้างไม้เทียมทนทานสูง จับมือเอกชนผลิตส่ง รง.เฟอร์นิเจอร์
นร.ทุนสกัดสาร ใบข้าวหลามดง ค้นหายามะเร็ง
เอกชนทุ่มทุน ปรับโฉมเครื่องฟอกอากาศ
สอนหุ่นยนต์คิดได้เหมือนคน นักวิจัยยอมรับยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา
มช.คิดวิธีใหม่ตรวจมะเร็ง
กุญแจผีไฮเทคสะเดาะได้ทุกรุ่น
คิดค้นเตาเผาขยะปลอดกลิ่น-ราคาถูก
เนคเทคผนึกเอกชนสร้างฮาร์ดดิสก์ คลัสเตอร์ มุ่งวิจัย-พัฒนา รักษาฐานการผลิตอันดับ 2
ไทยคิดหุ่นยนต์เตือนสึนามิ ของบประมาณรัฐทำเอง คาด 6 เดือนมีต้นแบบโชว์
กินส้มแล้วอย่างทิ้งเปลือก นักวิจัยสะสมทำพลาสติก
ปลูกข้าวแบบบูรณาการ ศาสตร์ที่เกษตรไทยต้องเรียนรู้สู่การเป็นครัวของโลก
หุ่นยนต์กู้ภัย
นักวิทย์สร้างเทคนิคใหม่พ่นเคลือบโลหะ
วว.ชูสารสกัดเมล็ดมันแกว กำจัดศัตรูพืชไร้สารพิษตกค้าง
เกษตรฯลดต้นทุนครีมขัดผิว ผสมเปลือกไข่ผงแทนสครับ
มหิดลเนื้อหอม ภาคธุรกิจรุมจีบงานวิจัย
ทีเม็กซ์พัฒนาหัวสว่านติดชิพ วัดอุณหภูมิขากรรไกร ช่วยงานทันตแพทย์
ยาเม็ดคุมกำเนิดผู้ชายโฉมใหม่
ม.เกษตรฯเปิดคลังพันธุกรรมพืช รับฝากเมล็ดพันธุ์เพื่ออนาคต
พบจุลินทรีย์สายพันธุ์ไทย ประสิทธิภาพสุดยอด!!

ข่าวทั่วไป

องค์การอนามัยโลกชี้แนวโน้มบุหรี่คร่า "ขี้ยา" อื้อ
หมอพรทิพย์คว้ารางวัลมิตรแท้ฯ
2 สามี-ภรรยาใจบุญ มอบวัตถุโบราณพันปี ให้เป็นสมบัติของชาติ
สมอ.ดึงสถาบันศึกษาออกใบรับรองมผช.
วิธีป้องกันตนจากโรคสมองเสื่อม พกสมุดโน้ตแก้ชอบหลงๆลืมๆ
วันนักประดิษฐ์ พบฝีมือคนไทย
ใส่แว่นตาป้องกันโรคต้อเนื้อ เป็นมากไปลอกเอาออกทิ้งได้
ศธ.จับมือยูนิเซฟทำคู่มือภัยพิบัติสึนามิ แจกครู - นักเรียนทั่วปท.เดือนพ.ค.นี้
พระราชินีแนะคนไทยต้องรู้ประวัติศาสตร์ กรมศิลป์เผยครู-นร.แห่เข้าพิพิธภัณฑ์ปีละ 4 หมื่นคน
ประกาศ3สัญลักษณ์ประจำชาติ
เยื่อหุ้มสมองอักเสบระบาดแดนมังกร เที่ยวตรุษจีนระวัง-หมั่นล้างมือบ่อยๆ
สวทช.โต้โผประชุมโรคอุบัติใหม่อาเซียน
พบนก10ชนิดติดเชื้อหวัดนก





ข่าวการศึกษา


สกศ.วางแผนปั๊มคนลดการสูญเปล่า

ร.ต.อ.วรเดช จันทรศร เลขาธิการสภาการศึกษา (กกศ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ได้เร่งดำเนินการเก็บข้อมูลเพื่อจัดเตรียมข้อเสนอ เชิงนโยบายเกี่ยวกับการพัฒนากำลังคนของประเทศ เพื่อเสนอต่อรัฐบาลในปี 2548 นี้ โดยได้ระดมนิสิตนักศึกษาที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยนักวิชาการของ สกศ.กว่า 400 คน เก็บข้อมูลในภาพรวมและสัมภาษณ์ในเชิงลึกกับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ กว่า 400 บริษัท ซึ่งเป็นภาพรวมของอุตสาหกรรมการผลิตกำลังคนของประเทศในทุกด้าน ทั้งอุตสาหกรรมปิโตรเคมี การเกษตร การบริการ ยานยนต์ การท่องเที่ยว เดินเรือ คมนาคม เหมืองแร่ โดยอุตสาหกรรมเหล่านี้จะเชื่อมโยงไปสู่กำลังคนในโรงงานต่างๆอีกกว่า 300,000 โรง และต้นเดือน ก.พ. นี้เป็นต้นไป สกศ. ก็จะเชิญตัวแทนจากบริษัทต่างๆที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมแต่ละประเภท มาหารือร่วมกับตัวแทนหน่วยงานการศึกษา ทั้งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยทุกแห่ง เพื่อรับฟังว่าภาคอุตสาหกรรมขาดแคลน กำลังคนด้านใดบ้าง และหน่วยงานทางการศึกษาซึ่งเป็นผู้ผลิตกำลังคนของประเทศ จะจัดการศึกษาในทิศทางใดให้สอดคล้องกันตั้งแต่ต้นขณะนี้ยังไม่สามารถตอบได้ชัดเจนว่าแนวโน้ม ของอุตสาหกรรมเป็นอย่างไร เพราะมีความเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 31 ม.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





"นำยุทธ" ยันไม่รวบอำนาจ-วางทายาท

ผศ.ดร.นำยุทธ สงค์ธนาพิทักษ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มรม.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 19 ม.ค.แล้วนั้น ทางสภามหาวิทยาลัยได้ประชุมหารือเพื่อพิจารณา เกี่ยวกับการสรรหาอธิการบดีของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่ง โดยในเบื้องต้นได้เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุด ทำหน้าที่ร่างกฎข้อบังคับเพื่อใช้สรรหาอธิการบดี ซึ่งร่างกฎข้อบังคับจะประกอบด้วยสาระสำคัญในเรื่องคุณสมบัติต่างๆ ของผู้ที่จะได้รับการเสนอชื่อให้เป็นอธิการบดีในแต่ละแห่ง รวมถึงขั้นตอนในการดำเนินการสรรหาเพื่อให้ได้มาซึ่งอธิการบดีด้วย อย่างไรก็ตาม การสรรหาอธิการบดีในเบื้องต้นได้มีการศึกษารูปแบบจากมหาวิทยาลัยอื่นๆบ้างแล้ว และคิดว่าการสรรหาน่าจะมาจากการให้แต่ละวิทยาเขตเป็นผู้เสนอรายชื่อผู้เหมาะสม ขึ้นมาให้สภามหาวิทยาลัยเป็นผู้พิจารณาอีกครั้ง ซึ่งอาจจะเป็นคนในหรือคนนอกก็ได้หากเห็นว่ามีความเหมาะสมเพียงพอ การสรรหาอธิการบดี มรม.ทั้ง 9 แห่งจะดำเนินการให้เสร็จใน 180 วัน ตามที่ พ.ร.บ.มรม.กำหนดไว้ และเพื่อให้การบริหารงานเป็นไปอย่างต่อเนื่องผมได้แต่งตั้ง ให้ผู้อำนวยการแต่ละวิทยาลัยเป็นรองอธิการบดี มรม. โดยให้มีอำนาจในการพิจารณาการบริหารงานของสถาบันได้ด้วยตัวเอง เพื่อให้งานทุกอย่างเดินไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว น่าจะเสร็จสิ้นโดยเร็วก่อนเปิดภาคเรียน 2548 ต่อข้อถามถึงกรณีที่มีผู้ออกมาแสดงความเป็นห่วงเรื่องการบริหารงานว่า หากให้มีผู้รักษาการอธิการบดี มรม.ทั้ง 9 แห่งเพียงผู้เดียวอาจจะทำให้การบริหารงานชะงักได้นั้น ผศ.ดร.นำยุทธกล่าวว่า คงไม่ต้องห่วงเพราะตนได้มอบอำนาจในการบริหารงาน ให้กับรองอธิการบดีของแต่ละมหาวิทยาลัยไปเรียบร้อยแล้ว (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 31 ม.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





มสธ.เปิดโทไทยศึกษาเล็งน.ศ.ต่างชาติ จบแล้วเป็น"ทูต"กู้ภาพพจน์เมืองไทย

ศาสตราจารย์(ศ.)ดร.ปรัชญา เวสารัชช์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช(มสธ.) ให้สัมภาษณ์ ว่า มสธ.จะเปิดหลักสูตรอินเตอร์ระดับปริญญาโทด้านไทยศึกษา เป้าหมายคือ ชาวต่างประเทศที่อยากจะรู้เกี่ยวกับเรื่องเมืองไทย โดยจะร่วมมือกับมหาวิทยาลัยทั่วโลกที่เป็นพันธมิตรใช้เป็นศูนย์สอบ แต่ก่อนจะเรียนจบต้องมาเมืองไทย มาอยู่กับคนไทยประมาณ 2-3 เดือน มาเรียนรู้วัฒนธรรมและวิถีชีวิตไทย เพื่อซึมซับสิ่งดีงามต่างๆ ในอนาคตนักศึกษาเหล่านี้จะเป็นทูตของไทยทั่วโลก ใครมาว่าเมืองไทย คนพวกนี้จะบอกว่าไปเห็นของจริงมาแล้วหรือ เวลานี้กำลังพัฒนาหลักสูตรอยู่ มี ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน เป็นประธาน คาดว่าจะเปิดสอนได้อีกไม่เกิน 2 ปี ขณะนี้ มสธ.มีโครงการปรับในส่วนประสบการณ์วิชาชีพ ซึ่งเดิมผู้ที่จะจบปริญญาตรี-โท จะต้องมาอยู่ที่ มสธ. 4 คืน 5 วัน จะเปลี่ยนเป็น 3 คืน 4 วัน และจะเข้าไปฝึกปฏิบัติในพื้นที่จริงๆ เช่น1.ศูนย์อบรมความรู้ด้านเกษตรครบวงจร ใช้เป็นสถานที่อบรมนักศึกษา มสธ.ก่อนจบการศึกษา 2.ทำเป็นศูนย์วิจัย 3.ทำเป็นศูนย์ผลิตการเกษตรที่ได้มาตรฐานและครบวงจร และ มสธ.วางเป้าหมายจะประสานกับทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหมด อบต. เทศบาล และองค์การบรหิารส่วนจังหวัด(อบจ.) พร้อมกันนี้ในอนาคตจะใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น อินเตอร์เน็ตหลากหลายรูปแบบ เพื่อกระจายความรู้และข้อมูลให้คนทุกกลุ่มในสังคม (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 31 ม.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





หนุนจัดอันดับอุดมฯ

ผศ.ดร.จันจิรา วงษ์ขมทอง อธิการบดีมหาวิทยาลัยคริสเตียน ในฐานะนายกสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการจัดอันดับมหาวิทยาลัยของนิตยสารต่างประเทศ ซึ่งไม่มีมหาวิทยาลัยไทยติด 200 อันดับแรกว่า เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่ามหาวิทยาลัยไทยจะละเลยการประเมินต่อไปอีกไม่ได้แล้ว แต่การจัดอันดับมหาวิทยาลัยไทยนั้น ต้องมีการวางหลักเกณฑ์การประเมินต่างๆ และควรจะเริ่มจากการจัดกลุ่มมหาวิทยาลัยไทย โดยแบ่งกลุ่มมหาวิทยาลัยตามความถนัดก่อน เช่น กลุ่มมหาวิทยาลัยเน้นการเรียนการสอน กลุ่มมหาวิทยาลัยเน้นวิจัย และกลุ่มมหาวิทยาลัยที่ยังไม่พร้อม เป็นต้น เพื่อจะส่งเสริมให้ถูกทางตามความถนัด และก้าวไปสู่มาตรฐานในระดับนานาชาติ ส่วนหน่วยงานที่จะมาวางหลักเกณฑ์มาตรฐานในการประเมินเพื่อจัดกลุ่มนั้น ควรจะให้องค์กรกลางที่มีอิสระในการดำเนินงาน (ไทยรัฐ อังคารที่ 1 ก.พ. 48 http://www.thairath.co.th)





แนะเรียนภาษาที่สอง เริ่มฟัง-พูดตั้งแต่เด็ก

นายวุฒิพงษ์ ปิติพรสิน ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท อีเอฟ อินเตอร์เนชันแนล แลงเกวจ เซอร์วิส เปิดเผย ถึงการเรียนการสอนภาษาอังกฤษของไทยในปัจจุบันว่า การสอนภาษาอังกฤษของไทยยังเป็นไปแบบผิดธรรมชาติ เพราะครูยังสอนเด็กโดยเน้นหลักไวยากรณ์ ทักษะการเขียนและอ่านแทนที่จะเน้นทักษะการฟังและพูด โดยเฉพาะเท่าที่ฟังอาจารย์ชาวต่างประเทศจะชมว่าเด็กไทยเก่งไวยากรณ์มาก นายวุฒิพงษ์ กล่าวอีกว่า ที่น่าแปลกใจอย่างมากมีเด็กโรงเรียนนานาชาติระดับมัธยมต้นส่วนหนึ่งมาเรียนภาษาอังกฤษที่อีเอฟด้วยเพราะรู้สึกอึดอัดที่พูดภาษาอังกฤษกับเพื่อนๆ ชาวต่างชาติไม่ได้ เมื่อมาเรียนแล้วกลับไปก็พูดภาษาอังกฤษกับเพื่อนได้ดีขึ้น "ธรรมชาติของการเรียนภาษาทุกภาษาไม่ว่าจะเป็นภาษาไทย จีน อังกฤษต้องเริ่มต้นจากการฟัง ยกตัวอย่างที่เรารู้ภาษาไทยก็เริ่มจากการฟังและพูด ไม่ได้เริ่มจากการเขียนและอ่าน ดังนั้น การเรียนภาษาตามธรรมชาติต้องเริ่มที่การฟัง พูด อ่าน และเขียน ตามลำดับ ที่สำคัญการเรียนภาษาอังกฤษต้องให้เด็กๆ มีโอกาสได้ฟังสำเนียงจากชาวต่างชาติเจ้าของภาษาตั้งแต่ยังเล็กเพราะเด็กเรียนรู้ได้เร็ว ถ้ามาเรียนตอนเป็นผู้ใหญ่โดยเฉพาะกับครูที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา สำเนียงจะเพี้ยน เมื่อไปพูดกับชาวต่างชาติ เขาจะฟังไม่รู้เรื่อง" นายวุฒิพงษ์ กล่าว สำหรับแนวโน้มการเรียนภาษาต่างประเทศในปีนี้ เชื่อว่ายังมีผู้เรียนเพิ่มขึ้นเพราะรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้คนไทยเรียนภาษาต่างประเทศ ส่วนความนิยมเรียนภาษาต่างประเทศยังคงมีผู้เรียนภาษาอังกฤษมากที่สุด รองลงมาเป็นภาษาจีนและญี่ปุ่น ซึ่งความนิยมการเรียนในการเรียนภาษาจีนแซงหน้าญี่ปุ่น เนื่องจากจีนเข้ามามีบทบาทในเศรษฐกิจโลกมากขึ้น (คมชึดลึก อังคารที่ 1 ก.พ. 48 http://www.komchadluek.net)





100ปีหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลป์จัดงานใหญ่

นายอารักษ์ สังหิตกุล อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผย ถึงโครงการพัฒนาหอสมุดแห่งชาติ ที่ไม่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี เนื่องจากถูกติงว่างานซ้ำซ้อนกับสถาบันพัฒนาความรู้แห่งชาติ ว่า หากศึกษาให้ถ่องแท้จะเห็นว่าบทบาททั้งสองหน่วยงานแตกต่างกัน หอสมุดแห่งชาติเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลที่เป็นตัวเขียน ภูมิปัญญา ศิลปวัฒนธรรม ประเพณีของคนทั้งชาติ เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ แต่สถาบันพัฒนาความรู้แห่งชาติเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านเทคโนโลยี ในโอกาสที่หอสมุดแห่งชาติมีอายุครบรอบ 100 ปี ในวันที่ 12 ตุลาคมนี้ สำนักหอสมุดแห่งชาติจะจัดกิจกรรมอย่างยิ่งใหญ่ อาทิ จัดสัมมนาทางวิชาการทั้งระดับชาติและนานาชาติ ร่วมมือกับกองธนารักษ์ จัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ร่วมมือกับการสื่อสารแห่งประเทศไทย จัดพิมพ์ดวงตราไปรษณียากรที่ระลึก ราคาดวงละ 3 บาทจำหน่าย จัดนิทรรศการประวัติความเป็นมาหอสมุดแห่งชาติ ตลอดจนผลงานและความก้าวหน้า รวมทั้งจัดทำของที่ระลึก อาทิ ปากกา เสื้อ บัตรอวยพรอเนกประสงค์ เข็มกลัด จำหน่ายที่หอสมุดแห่งชาติ โดยได้รับงบประมาณจัดกิจกรรม 3 ล้านบาท (คมชัดลึก พุธที่ 2 ก.พ. 48 http://www.komchadluek.net)





"สวทช."แนะมหาวิทยาลัย เน้นบทบาทโลกการเรียนรู้

ศาสตร์ตราจารย์(ศ.) ไพรัช ธัชยพงษ์ ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) กล่าวตอนหนึ่งในการประชุมวิชาการเรื่อง "เศรษฐกิจนวัตกรรมและการส่งเสริมของสถาบันอุดมศึกษาไทย" เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในงานมหกรรมอุดมศึกษาครั้งที่ 1 จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา(สกอ.) ว่า ประเทศไทยด้อยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เห็นได้จากผลการสำรวจความสามารถในการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสถาบัน WEF พบว่าขีดความสามารถด้านนี้ของไทยอยู่อันดับที่ 55 ซึ่งเป็นจุดกึ่งกลางพอดี และเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วอย่าง เกาหลี ญี่ปุ่นถือว่าแย่มาก ตนมองว่าลักษณะสำคัญของระบบเศรษฐกิจฐานความรู้มี 4 องค์ประกอบ คือ 1.นวัตกรรมและความเข้มแข็งของระบบนวัตกรรมแห่งชาติ 2.การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ 3.ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ 4.สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ การจะก้าวไปสู่การเป็นเศรษฐกิจฐานความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ต้องตอบสนองนโยบายของรัฐบาล 3 นโยบาย ดังนี้ 1.สัดส่วนสถานประกอบการที่มีนวัตกรรมเพิ่มขึ้น 35 เปอร์เซ็นต์ และสัดส่วนของมูลค่าเพิ่มจากสินค้าและบริการทที่ใช้ความรู้ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP) ไม่น้อยกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศสมาชิกองค์กรความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือ OECD 2.เพิ่มความสามารถในการจัดการตนเองเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจให้แก่ท้องถิ่น 3.เพิ่มอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสูงกว่าจุดกึ่งกลางของสถาบันนานาชาติที่ทำหน้าที่ในการจัดการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ หรือ IMD ด้านนายยงยุทธ์ ยุทธวงศ์ ที่ปรึกษาอาวุโส สวทช. กล่าวว่า บทบาทของมหาวิทยาลัยอาจารย์ต้องอยู่แนวหน้าด้านความรู้ เป็นผู้กลั่นกรองรับความรู้ ส่วนการเรียนต้องให้นักศึกษาเป็นศูนย์กลางมหาวิทยาลัยต้องเป็น "โลกของการเรียนรู้" อย่างแท้จริงนั่นคือสามารถนำเอาความรู้ทั้งหลายให้ผู้เรียน และต้องให้ผู้เรียนเข้าถึงได้ด้วย ตลอดจนสร้างสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ ถกเถียง ใช้หลักฐานอ้างอิง ไม่ใช่เป็นมหาวิทยาลัยที่สวยงามใหญ่โตเท่านั้น (มติชนรายวัน พุธที่ 2 ก.พ. 48 http://www.matichon.co.th)





ม.เอกชนจี้ทบทวนชม.ทำงานอาจารย์

นายสุชาติ เมืองแก้ว รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะอนุกรรมการด้านกฎหมายเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมได้หารือถึงกฎหมายที่ต้องทบทวน 2-3 ฉบับ เช่น กฎหมายคุ้มครองแรงงานในสถาบันอุดมศึกษาเอกชน เพราะในกฎหมายดังกล่าวกำหนดจำนวนวันสำหรับอาจารย์ผู้สอนไม่เกิน 15 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่การสอน 1 ชั่วโมงนั้น อาจารย์จะต้องเตรียมการสอนถึง 3 ชั่วโมง ไม่สอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองแรงงานทั่วไป เพราะเมื่อรวมกับชั่วโมงที่ต้องเตรียมการสอนกับชั่วโมงที่สอนจริงแล้ว พบว่าเวลาทำงานจริงเกินกว่าที่กฎหมายคุ้มครองแรงงานกำหนด อย่างไรก็ตาม เรื่องการศึกษาเป็นเรื่องสาธารณะ อาจารย์ต้องมีงานสอน และงานวิจัย ซึ่งต่างจากการทำงานในสถานประกอบการต่างๆ ฉะนั้น จะต้องหารือในเรื่องนี้อีกครั้งว่าจะเทียบชั่วโมงการทำงานของอาจารย์กับผู้ที่ทำงานในสถานประกอบการอย่างไร ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับความเห็นในการตั้งนายกสภาประจำสถาบันว่าต้องมีวุฒิการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือไม่ เพราะบางแห่งนายกสภามีวุฒิการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี และความเห็นของผู้รับใบอนุญาตที่เสนอตัวเองเป็นนายกสภาประจำสถาบันนั้นๆ ทำได้หรือไม่ ทั้งสองเรื่องนี้ที่ประชุมหารือแล้วเห็นว่าทำได้ เพราะผู้ขอรับใบอนุญาตจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชนบางแห่งมีวุฒิการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี อีกทั้งใน พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชนกำหนดให้กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งเสนอผู้ที่จะดำรงตำแหน่งนายกสภาสถาบัน ซึ่งผู้รับใบอนุญาตมีสิทธิที่จะเสนอตัวเองได้ ฉะนั้น หากผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งเสนอตัวเองเป็นนายกสภา โดยที่วุฒิการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรีก็ทำได้ แต่ถ้าเสนอบุคคลอื่นเป็นนายกสภา จะต้องเสนอผู้ที่วุฒิการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี (มติชนรายวัน พุธที่ 2 ก.พ. 48 http://www.matichon.co.th)





ญี่ปุ่นเลือกส่งเยาวชนศึกษาป.ไทย หวังเรียนรู้การพัฒนาสินค้าเกษตร

เมื่อเร็วๆ นี้ กรมส่งเสริมการเกษตร ได้มีการลงนามความร่วมมือ ด้านการส่งเสริมการเกษตร ร่วมกับวิทยาลัยเกษตร Koibuchi ประเทศญี่ปุ่น โดยภายหลังการลงนาม ความร่วมมือ นายธงชาติ รักษากุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า วัตถุประสงค์ ของโครงการนี้ เพื่อเป็นการเปิดโอกาส ให้นักศึกษา เยาวชนเกษตร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของแต่ละฝ่าย ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ด้านการเกษตร การทำฟาร์ม วัฒนธรรมและวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ซึ่งกัน และกัน โดยจะมีการแลกเปลี่ยนนักศึกษา และเยาวชนเกษตร รวมทั้งเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงาน ด้านการพัฒนาเยาวชนเกษตร ซึ่งประเทศญี่ปุ่นมีความก้าวหน้าในเรื่องเทคโนโลยีด้านการเกษตรมาก สามารถนำความรู้ที่ได้มาปรับประยุกต์ ใช้กับการเกษตรของประเทศไทยได้ ด้าน Dr.Takahiro Inoue อธิการบดีของวิทยาลัย Koibuchi เปิดเผยว่า ดีใจที่ได้เข้ามาร่วมโครงการ และที่เลือกประเทศไทยนั้นเพราะเห็นว่าปัจจุบันประเทศไทยมีความก้าวหน้า ในการพัฒนาด้านการเกษตรไปมากจากเมื่อยี่สิบปีก่อน ได้เห็นถึงความก้าวหน้าในการพัฒนาด้านการเกษตรของประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่องคุณภาพสินค้าประเภทอาหาร อีกทั้งประเทศไทยเองก็มีการค้าขายส่งสินค้าไปยังญี่ปุ่นอยู่แล้ว จึงเห็นว่าประเทศไทยมีความเหมาะสมที่สุด ในการเข้ามาศึกษาเรียนรู้ (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 3 ก.พ. 48 http://www.thairath.co.th)





น.ศ.เทคนิคกรุงเทพรวมตัวประท้วง ไม่พอใจโครงสร้าง"มรม."-จี้ทบทวน

เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ นักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มรม.) กรุงเทพ ในส่วนวิทยาเขตเทคนิคกรุงเทพเดิม จำนวนกว่าพันคน เดินขบวนประท้วงโดยรอบสถาบัน เนื่องจากไม่พอใจโครงสร้างใหม่ภายหลังการยกฐานะสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตต่างๆ ยุบรวมเป็นมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ ซึ่งรวม 3 วิทยาเขต ประกอบด้วย วิทยาเขตเทคนิคกรุงเทพ วิทยาเขตบพิตรพิมุข มหาเมฆ และวิทยาเขตพระนครใต้ โดยมีการปรับโครงสร้างการบริหารและจัดการ โดยให้คณะบริหารธุรกิจ และคณะศิลปศาสตร์ จากวิทยาเขตเทคนิคกรุงเทพไปรวมกับวิทยาเขตบพิตรพิมุข มหาเมฆ รวมถึงให้คณะคหกรรมและศิลปกรรมจากวิทยาเขตเทคนิคกรุงเทพไปรวมกับวิทยาเขตพระนครใต้ นอกจากนี้ จะทำให้นักศึกษาที่จบจาก 4 คณะดังกล่าว จะจบในนามของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ แต่มีวงเล็บวิทยาเขตบพิตรพิมุข มหาเมฆ และวิทยาเขตพระนครใต้ต่อท้าย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายไพรัช รุ้งรุจิเมฆ รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร ได้ออกมาชี้แจงกับกลุ่มนักศึกษาว่า จะไม่มีการย้ายคณะวิชาใดๆ และนักศึกษาที่จบจากมหาวิทยาลัยจะไม่มีวงเล็บชื่อวิทยาเขตใดๆ ต่อท้าย แต่กลุ่มนักศึกษายังไม่พอใจ เห็นว่ายังไม่มีความชัดเจน นายไพรัชจึงให้นักศึกษาแต่ละคณะวิชาส่งตัวแทนมาเขียนข้อเรียกร้อง เพื่อยื่นต่อที่ประชุมระหว่างคณะผู้บริหารและนักศึกษาต่อไป ทำให้นักศึกษาได้สลายการชุมนุมไปชั่วคราวก่อน วันเดียวกัน กลุ่มตัวแทนนักศึกษาได้เดินทางเข้าพบคุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะนายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล เพื่อยื่นหนังสือขอให้มีการตรวจสอบโครงสร้างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ โดยเรียกร้องขอให้พิจารณารวม 6 ข้อ อาทิ 1.ตรวจสอบโครงสร้างที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้บริหารบางส่วน เนื่องจากมีตำแหน่งงานที่ซ้ำซ้อนกัน 2.โครงการที่จัดตั้งขึ้นไม่มีการทำประชาพิจารณ์ และ 3.กระบวนการจัดทำโครงการมีการปิดบัง ไม่มีการจัดตั้งคณะกรรมการจัดตั้งโครสร้างอย่างเป็นทางการ เป็นต้น โดยคุณหญิงกษมารับจะส่งเรื่องนี้ให้นายนำยุทธ สงค์ธนาพิทักษ์ รักษาการอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่ง ได้นำไปพิจารณา (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 3 ก.พ. 48 http://www.matichon.co.th)





JGSEE สูตรสำเร็จดอกเตอร์ไทย

JGSEE หรือบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง 5 สถาบันการศึกษาไทย คือ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, ม.เชียงใหม่, ม.สงขลานครินทร์, สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และสถาบันเทคโนโลยี นานาชาติสิรินธร (ม.ธรรมศาสตร์) เป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่สามารถสร้างบรรยากาศการทางวิชาการได้เป็นอย่างดี โดย รศ.ดร.สิรินทรเทพ เต้าประยูร ประธานฝ่ายวิชาสิ่งแวดล้อม ของ JGSEEกล่าวว่า การสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ให้เกิดขึ้น จะมีหลายระดับตั้งแต่ตัวหลักสูตรตัวผู้สอน รวมถึงการสนับสนุนตัวนักศึกษาในด้านต่างๆ อย่างเต็มที่ ยิ่งการสอนระดับปริญญาโทและเอก ต้องทำให้ผู้เรียนรู้จักคิด วิเคราะห์ และตั้งคำถาม พร้อมทั้งสามารถกำหนดแนวทางเพื่อหาคำตอบได้อย่างเป็นระบบ นั่นคือพื้นฐานที่สำคัญ “การเปลี่ยนแปลงในตัวนักศึกษา ที่เข้ามาเรียนทั้งในระดับปริญญาโทและเอก ทั้งสายพลังงานและสายสิ่งแวดล้อมในโครงการของเรา พบว่าหลักสูตรที่สอนเป็นภาษาอังกฤษด้วยวิธีการที่เน้นปฏิสัมพันธ์แบบเสมอภาคกันระหว่างผู้เรียนกับอาจารย์ ทั้งในและนอกห้อง คือเคล็ดลับสำคัญที่ช่วยพัฒนาผู้เรียนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะหลักสูตรที่เน้นการค้นคว้าและวิจัย” รศ.ดร.สิรินทรเทพ กล่าวสรุปว่า การสร้างบรรยากาศทางวิชาการตั้งแต่หลักสูตร ตัวอาจารย์ เครื่องไม้เครื่องมือการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลทั้งภายในและกับภายนอก รวมถึงกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น จะเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพ และพร้อมจะเข้าไปทำหน้าที่ของตนในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหากสถาบันการศึกษาของไทยสามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว นอกจากตัวเลขของไทยจากในการจัดอันดับมหาวิทยาลัย หรือจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศจะดีขึ้นแล้ว ค่านิยมในการเรียนต่อในประเทศก็จะเพิ่มมากขึ้น พร้อมกับความเข้มแข็งของการศึกษาระดับสูงในประเทศที่เข้มแข็งขึ้น JGSEE กำลังเปิดรับสมัครนักศึกษาหลักสูตรนานาชาติ ทั้งระดับปริญญาโทและเอก โดยดูรายละเอียดและดาวน์โหลดใบสมัครที่ http://www.jgsee.kmutt.ac.th หรือติดต่อฝ่ายการศึกษา โทร.0-2470-8337-8 (สยามรัฐ พฤหัสบดีที่ 3 ก.พ. 48 http://www.siamrath.co.th)





ตั้งสถาบันขงจื้อพัฒนาสอนภ.จีน

คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวภายหลังการประชุมหารือการจัดตั้งศูนย์ภาษาจีนว่า ที่ประชุมได้หารือถึงการจัดงานเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ 30 ปี ไทย-จีน โดยในปีนี้ทางรัฐบาลจีนจะจัดตั้งสถาบันขงจื๊อขึ้นในไทย 1 แห่งจากที่กำหนดไว้ว่าจะจัดตั้งสถาบันดังกล่าวใน 36 แห่งทั่วโลก ซึ่งสถาบันนี้จะทำหน้าที่ส่งเสริมการเรียนการสอนภาษา สื่อ วัฒนธรรม ในลักษณะเดียวกับ British council ของอังกฤษ ซึ่งที่ประชุมได้หารือถึงการเตรียมการรองรับ พร้อมทั้งหยิบยกปัญหาของสถาบันที่สอนภาษาจีนในไทยว่ามีปัญหาใดบ้าง เพื่อหาทางส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีน เช่น การขาดแคลนครูผู้สอน หลักสูตร และสื่อ ซึ่งปัจจุบันมีผู้เรียนภาษาจีนเป็นจำนวนมาก แต่ครูยังมีจำนวนจำกัด ดังนั้นจึงเห็นควรให้มีการเปิดสอนภาษาจีนให้มากขึ้น รวมทั้งฝึกให้ครูมีความชำนาญ โดยให้ได้รับทุนเรียนจนถึงระดับปริญญาโทหรือเอกก็เป็นเรื่องที่ดี ตลอดจนการปรับปรุงหลักสูตรให้ทันสมัยสามารถนำไปใช้ในตลาดแรงงานได้ ทั้งนี้เชื่อว่าเมื่อมีสถาบันขงจื๊อก็จะช่วยสนับสนุนการสอนภาษาจีนในไทยให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้หารือถึงแนวทางการขยายจำนวนโรงเรียนพี่โรงเรียนน้อง ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 2-3 คู่ เช่น โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ กับโรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัย เป็นต้น รวมทั้งการทำข้อตกลงเกี่ยวกับการทดสอบคุณวุฒิ การรับรองคุณวุฒิของผู้ที่เรียนในประเทศไทย และเรียนในประเทศจีน ซึ่งรัฐมนตรีจีนได้เคยปรารภกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี ว่า ควรมีข้อตกลงในเรื่องดังกล่าว แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน ดังนั้นที่ประชุมจึงได้มอบให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ประสานกับมหาวิทยาลัยที่รับนักศึกษาจีนไปดูรายละเอียดเพื่อทำข้อตกลงต่อไป ทั้งนี้ในการจัดงานเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ 30 ปี ไทย-จีน จะมีการจัดค่ายเยาวชนที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ด้วย โดยสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้รับเป็นเจ้าภาพ (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 3 ก.พ. 48 http://www.dailynews.co.th)





เรียนผลิตสื่อดิจิทัลหลักสูตรนิวมีเดีย

กระทรวงไอซีที ผลักดันคนรุ่นใหม่พัฒนาศักยภาพบุคลากรไทยให้มีความสามารถด้านมัลติมีเดีย ทัดเทียมต่างชาติ เปิดสอนหลักสูตร NEW MEDIA สร้างความรู้ใหม่สำหรับสื่อดิจิทัล นายปรีชญ ตันติคมน์ ผู้จัดการโครงการ กล่าวว่า การเรียนรู้นอกห้องเรียนในรูปแบบของ School of New Media เป็นหลักสูตรภาคปฏิบัติการ NEW MEDIA เพื่อสอนและสร้างคนผลิตสื่อดิจิทัลแบบบูรณาการโดยรวมรูปแบบของสื่อทุกประเภทเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างสรรค์เป็นสื่อรูปแบบใหม่ที่มีความทันสมัยและน่าสนใจ ปรับปรุงมาจากหลักสูตรระดับปริญญาตรี และปริญญาโทจากสหรัฐอเมริกา เน้นภาคปฏิบัติและผลิตผลงานโดยใช้เทคนิคและโปรแกรมการออกแบบที่ทันสมัย โดย อาจารย์และบัณฑิตปริญญาโทจาก Academy of Art University-San Francisco มีเป้าหมายสร้างคนเพื่อผลิตสื่อดิจิทัล 3 กลุ่ม คือ นักศึกษาที่หารายได้พิเศษจากการผลิตสื่อ ผู้ที่ต้องการประกอบอาชีพในองค์กรสื่อ และประชาชนทั่วไปที่สนใจจะมีกิจกรรมด้านสื่อ ทั้งนี้ School of New Media นำเสนอ 6 หลักสูตร ได้แก่ Digital Illustration, Digital AD Presentation, Interactive Presentation, Interactive 3D, Introduction Motion Graphics, Advance Motion Graphic & Special Effect เปิดสอนครั้งแรกในเมืองไทย เดือนมีนาคม ณ ศูนย์กลางการเรียนรู้ ICT แห่งชาติ (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 3 ก.พ. 48 http://www.dailynews.co.th)





ทปอ.ให้สัญญาได้ข้อสรุป "แอดมิชชั่น" แน่ เร่งวางทิศม.นอกระบบเสนอรัฐบาลใหม่

ตามที่ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) กำหนดการประชุมในวันที่ 5 ก.พ.นี้ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นั้น นายประเสริฐ ชิตพงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในฐานะประธาน ทปอ. เปิดเผยว่า ในการประชุมทปอ.ครั้งนี้ จะเป็นนัดแรกของการเข้ามารับตำแหน่งของตน โดยมีวาระสำคัญที่จะพิจารณา คือ เรื่องระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษาหรือระบบแอดมิชชั่น ซึ่งจะต้องได้ข้อยุติเกี่ยวกับสัดส่วนองค์ประกอบกลางที่จะนำมาคัดเลือกแน่นอน ซึ่งข้อสรุปเบื้องต้นคือ จะพิจารณาจากผลการเรียนเฉลี่ยสะสม ม.ปลาย (GPA) จำนวน 10% และผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ (National Educational Test) หรือ (NET) สัดส่วน 90% เป็นหลัก ซึ่งสัดส่วนของ NET นั้น อาจจะปรับลดได้อีกตามความเหมาะสมของกลุ่มสาขาวิชา นอกจากนี้ในการประชุมจะหารือถึงเรื่อง การออกนอกระบบของมหาวิทยาลัย ซึ่งยืนยันว่าออกนอกระบบแน่นอน แต่จะร่วมกันหารือถึงแนวทางในการเดินหน้า ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ซึ่งเมื่อรัฐบาลชุดใหม่เข้ามา ทปอ. จะนำเรื่องนี้เข้าหารือทันที เพื่อขอความชัดเจนและการสนับ-สนุนจากรัฐบาล นอกจากนี้ที่ประชุม ทปอ. ยังได้ขอให้ นายเกื้อ วงศ์บุญสิน รองอธิการบดีจุฬาฯ รายงานความคืบหน้าเรื่องการศึกษาการขอขึ้นเงินเดือนพนักงานในมหาวิทยาลัยต่อ ทปอ.ด้วย (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 4 ก.พ. 48 http://www.thairath.co.th)





สกอ.แนะมหา'ลัยควักเองเพิ่มเงินเดือนให้พนักงาน

ศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขา ธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ตนได้รับข้อมูลการศึกษาเกี่ยวกับการขอขึ้นเงินเดือนพนักงานในมหาวิทยาลัยที่มี ศ.ดร.เกื้อ วงศ์บุญสิน รองอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประธานคณะทำงานเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเท่าที่ดูสาระสำคัญคือพนักงานมหาวิทยาลัยที่เข้าทำงานตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2547 ซึ่งเป็นวันที่ข้าราชการได้รับเงินเดือนขึ้นใหม่นั้นจะขอทางสำนักงบประ มาณจัดงบฯ ให้เพิ่มเติม โดยใช้หลักเกณฑ์เดิมที่เคยตกลงไว้ คือ พนักงานมหาวิทยาลัยสายวิชาการได้ 1.7 เท่าของเงินเดือนข้าราชการ และพนักงานสายสนับสนุน ได้รับ 1.5 เท่า และมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2547 ทั้งนี้เงินเดือนที่ได้รับมากกว่าเป็นการชดเชยค่ารักษาพยาบาลที่ไม่สามารถเบิกได้ และไม่ได้รับบำเหน็จบำนาญ เป็นต้น เลขาธิการ กกอ. กล่าวต่อไปว่า สำหรับ พนักงานที่บรรจุก่อนวันที่ 1 เม.ย. 2547 จะขอให้สำนักงบฯ จัดงบฯ อุดหนุนเพิ่มให้ 11% ตั้งแต่ 1 เม.ย. 2547 เช่นกัน โดยคำนวณจากข้าราชการระดับ 1-7 ซึ่งได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้น 3% และยังได้รับอีก 2 ขั้น เฉลี่ยแล้วได้เงินเดือนเพิ่ม 11-13% ส่วนระดับ 8 ขึ้นไปเพิ่มในสัดส่วนเดียวกัน ส่วนจำนวนเงินที่จะขอเพิ่มขึ้นเป็นเท่าใดนั้นคณะทำงานยังไม่ได้คำนวณ โดยให้เหตุผลว่าขอรอให้ รัฐบาลอนุมัติในหลักการก่อน ทั้งนี้ตนได้ส่งเรื่องทั้งหมดไปให้นายสมนึก พิมลเสถียร รอง ผอ.สำนักงบประมาณ ซึ่งได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ศึกษาเรื่องดังกล่าวควบคู่ไปพร้อมกัน “โดยส่วนตัวผมมองว่าไม่จำเป็นต้อง ขอให้รัฐจัดสรรเงินเพิ่ม ซึ่งบางมหาวิทยาลัยก็เห็น ว่าไม่จำเป็นเช่นกัน พร้อมทั้งยังได้จัดสรรเงินของ มหาวิทยาลัยให้แก่พนักงานของตนเองไปแล้วด้วย เพราะเห็นว่าสภามหาวิทยาลัยมีอำนาจในการตัดสินใจได้เองอยู่แล้ว ผมจึงคิดว่ามหาวิทยาลัยต่าง ๆ ควรบริหารจัดการเรื่องนี้เอง เพราะถ้าไปใช้เงินรัฐบาลจะทำให้ต้องยึดติดกับรัฐบาล ซึ่งเป็นการกลับไปสู่ระบบเดิมที่มหาวิทยาลัยไม่ต้องการ” เลขาธิการ กกอ. กล่าว (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 4 ก.พ. 48 http://www.dailynews.co.th)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


โลกร้อนชนวนสัตว์โบราณสูญพันธุ์

นักวิทยาศาสตร์พบหลักฐานใหม่ที่ชี้ว่า การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตเมื่อ 250 ล้านปีก่อนเป็นเพราะอุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้น นักวิจัยจากหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเคอร์ติน ประเทศออสเตรเลีย และทีมงาน ได้ศึกษาแกนกลางของตะกอนที่ขุดเจาะจากชายฝั่งออสเตรเลียและจีน พบหลักฐานว่าเมื่อ 250 ล้านปีที่แล้ว มหาสมุทรขาดออกซิเจนอย่างหนัก และเต็มไปด้วยแบคทีเรียที่ดำรงชีพด้วยการกินกำมะถัน สภาพการดังกล่าวสันนิษฐานว่าเป็นเพราะชั้นบรรยากาศมีออกซิเจนต่ำ และเต็มไปด้วยมลพิษที่เกิดจากการแพร่กระจายของเถ้าถ่าน ความร้อน และกำมะถันจากภูเขาไฟระเบิด ส่วนทีมที่สองจากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ได้ศึกษาหลักฐานจากฟอสซิลในแอฟริกาใต้ และพบหลักฐานไม่มากนักที่สนับสนุนหายนะที่เกิดขึ้นในลักษณะนั้น แต่กลับพบหลักฐานที่บ่งชี้ว่า สัตว์โลกไม่ได้ตายอย่างฉับพลัน แต่ค่อยๆ เสียชีวิตลง ทางทีมวิจัยได้ตรวจกะโหลกสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ 126 ชิ้นจากการูเบซินในแอฟริกาใต้ ซึ่งมีตะกอนแห้งที่มีอายุอยู่ระหว่างปลายยุคเพอร์เมียน และต้นยุคไทรแอสสิค 250 ล้านปีก่อน พวกเขาพบรูปแบบของการสูญพันธุ์สองรูปแบบ แบบแรกเป็นการค่อยๆ สูญพันธุ์โดยใช้เวลา 10 ล้านปีถึงยุคเริ่มสูญพันธุ์ และใช้เวลานานราว 5 ล้านปี จึงสูญพันธุ์เกือบหมด พืชและสัตว์ทั้งบนบกและในทะเลทยอยตายลงในช่วงเวลาเดียวกัน และเห็นได้ชัดว่ามาจากสาเหตุเดียวกัน คือสภาพที่ร้อนจัด และขาดออกซิเจน เมื่อพฤษภาคมปีที่แล้ว นักวิจัยได้พบหลักฐานเป็นแอ่งขนาดใหญ่ใต้มหาสมุทร ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นผลมาจากอุกกาบาตยักษ์พุ่งชนโลก ที่นอกชายฝั่งส่วนที่ปัจจุบันคือออสเตรเลียเมื่อ 251 ล้านปีก่อน (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 31 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





"องค์หริ" เครื่องบินแบรนด์ไทย ลำแรกโดยฝีมือคนไทย

ศูนย์ปฏิบัติการบินอาสาอนุรักษ์และกู้ภัย สิริภาจุฑาภรณ์ จึงเกิดขึ้นจากความตั้งพระทัยของ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ (องค์ประธาน) และ น.อ.วีระยุทธ ดิษยะศริน (ผู้อำนวยการศูนย์) โดยหวังให้ศูนย์แห่งนี้เป็นหน่วยงานในการช่วยเหลือรัฐบาลในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การตรวจดูสภาพแวดล้อม การระวังไฟและดับไฟป่าในโครงการพระราชดำริ การช่วยเหลือและประสานงานกับกรุงเทพฯ ในยามที่เกิดเหตุการณ์ตึกถล่ม หรืออัคคีภัย รวมทั้งการกำหนดจุดตกของอากาศยานในราชอาณาเขต ซึ่งหลังจาก น.อ.วีระยุทธ นำเสด็จองค์หริภาฯ ทอดพระเนตรส่วนต่างๆ ของศูนย์แล้ว เขายังเผยถึงสิ่งที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้ นอกเหนือจากภารกิจหลักในฐานะผู้อำนวยการของศูนย์ "เนื่องจากตอนนี้เรื่องกิจการการบินในบ้านเรากำลังแพร่หลายและอินเทรนด์อยู่ ทุกวันนี้แค่บินได้หรือมีความรู้เกี่ยวกับการบินก็โก้เก๋แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาเรานำผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศเข้ามามากมาย รัฐบาลจึงมีนโยบายว่า ทำอย่างไรถึงจะสร้างเครื่องบินที่เป็นแบรนด์ของไทยและใช้วัสดุของไทยให้มากที่สุด เพื่อเป็นการลดดุลการค้าและพัฒนากิจการการบินของไทย ซึ่งหากทำได้ก็จะช่วยเรื่องการท่องเที่ยว กีฬา และสาธารณภัยได้เป็นอย่างดี เมื่อรัฐบาลไฟเขียว ก็ได้รับความร่วมมือกับกองทัพอากาศ มูลนิธิอนุรักษ์และพัฒนาอากาศยานไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกันจัดทำเป็นโครงการริเริ่มขึ้น โดยเลือกที่จะผลิตเครื่องบินอากาศยานเบาพิเศษ ที่มีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า "องค์หริ" ซึ่งลำที่เป็นต้นแบบใกล้เสร็จสมบูรณ์และจะทำการบินทดสอบภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ที่โรงเรียนการบิน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม สำหรับเป้าหมายในการผลิตเครื่องบินอากาศยานเบาอย่างน้อยคือ 15 ลำ แต่คาดว่าจะเพิ่มเป็น 20 ลำ ซึ่งหลังจากลำแรกเสร็จแล้วก็จะมีลำที่ 2 และ 3 ตามมา โดยใช้งบประมาณ 1 ล้านบาทต่อลำ ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ค่อนข้างต่ำมาก (เพียง 1 ใน 4 ของราคาเครื่องบินที่ซื้อจากต่างประเทศ) (คมชัดลึก จันทร์ที่ 31 ม.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





“คุ้มภัย” เก๋ใช้ดาวเทียมรายแรก ทำเคลมที่เกิดเหตุเร็วฉีกคู่แข่ง

นายยงยุทธ บวรวณิชยกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ประกันคุ้มภัย จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้ใช้ระบบดาวเทียมค้นหาจุดเกิดเหตุ เพื่อให้พนักงานสำรวจภัยไปถึงที่แจ้งเหตุได้เร็วที่สุด โดยนับแต่ปลายปี 2547 เป็นต้นมาบริษัทประกันคุ้มภัยได้ลงทุนติดตั้งเครื่องรับส่งสัญญานดาวเทียม GPS(Global Position System)ที่รถยนต์และรถจักรยานยนต์สำรวจอุบัติเหตุ โดยสัญญาณจะถูกส่งเข้ามาที่ศูนย์แจ้งเหตุ (Call Center) และแสดงตำแหน่งบนแผนที่ดิจิตอลบนจอ Tri-vision ที่สำนักงานใหญ่ ทำให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยปฏิบัติงานได้ประสานกันตลอดเวลา นอกจากนี้ ระบบยังสามารถติดตามและแจ้งกลับผู้ประสบภัยได้ตลอดเวลาว่าเจ้าหน้าที่สำรวจภัยอยู่ในพื้นที่ใด และจะเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุด้วยเส้นทางที่รวดเร็วที่สุด พร้อมให้คำแนะนำในการปฏิบัติได้ทางวิทยุสื่อสารเคลื่อนที่อย่างทันสมัยและปลอดภัย (สยามรัฐ จันทร์ที่ 31 ม.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ม.รังสิตจับมือ ม.Soogsil ของเกาหลี ทำแอนิเมชั่นรำลึก"คุณพุ่ม เจนเซ่น"

ผู้ช่วยศาสตราจารย์(ผศ.)พิศประไพ สาระศาลิน รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะศิลปกรรม มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า สาขาวิชาคอมพิวเตอร์อาร์ต คณะศิลปกรรม ร่วมกับมหาวิทยาลัย Soogsil ประเทศเกาหลี บริษัท Maxinet กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ICT) ประเทศไทย และกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ แห่งประเทศเกาหลี ทำพิธีลงนามความร่วมมือเริ่มต้นโครงการ World Record และโครงการ L.E.A.P.Project(Learn Earn and Play) ซึ่งเป็นชุดเรียกว่า "The Big Books of Life" ที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับความปลอดภัย และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชนโลก เช่น การต้านภัยยาเสพติด ต่อต้านการตั้งท้องก่อนวัยอันควร ต่อต้านความยากจน การออกกำลังกาย โดยจะเริ่มเล่มแรก คือ "สึนามิ" เน้นความหวังของชีวิตเพื่อเป็นที่ระลึกให้คุณพุ่ม เจนเซ่น โอรสในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี และจัดทำเป็นชุดต่อไป รวมทั้งจะแปลงเป็นแอนิเมชั่น โดยเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยรังสิต กับมหาวิทยาลัย Soogsil โครงการ L.E.A.P.Project มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเยาวชนไทยด้วยเนื้อหาในรูปแบบของดิจิตอล E-learning,Video-games ฯลฯ ซึ่งได้ลงนามความร่วมมือไปเรียบร้อยแล้ว โดยมีหลายองค์กรสนับสนุน เช่น สภากาชาดไทยได้บริจาคพื้นที่ชั้นล่างของศูนย์การค้าโบ๊เบ๊เซ็นเตอร์ เพื่อเป็นศูนย์กลางของ E-learning,Video-games ต่างๆ ที่ได้ผลิตขึ้นสำหรับเยาวชนได้เข้าไปใช้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งเยาวชนจะต้องเรียนรู้ 1 เกมก่อนจึงจะได้แต้มเข้าไปเล่นเกมที่สร้างสรรค์ ซึ่งผลิตโดยมหาวิทยาลัยรังสิตกับมหาวิทยาลัยชื่อดังของเกาหลี สำหรับคอมพิวเตอร์นั้นจะติดตั้งไว้ประมาณ 500 ชุด เพื่อเป็นการอนุสรณ์สถานระลึกถึงคุณพุ่ม เจนเซ่น (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 31 ม.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





กรมวิทย์ประสานอาเซียน ยกระดับสารตั้งต้นผลิตยา

น.พ.ไพจิตร์ วราชิต อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า สารมาตรฐานเป็นสิ่งสำคัญ และจำเป็นที่จะต้องมีไว้ใช้สำหรับงานควบคุมคุณภาพยา ทั้งในห้องปฏิบัติการภาครัฐและเอกชน ปัจจุบันนี้ประเทศไทยโดยสำนักยาและวัตถุเสพติด กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นศูนย์กลางประสานงานโครงการสารมาตรฐานอาเซียน จากการทำงานร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม ลาว พม่า และกัมพูชา โดยได้รับความช่วยเหลือจากองค์การอนามัยโลก องค์การพัฒนาแห่งสหประชาชาติ และสมาคมเภสัชกรรมแห่งประเทศญี่ป่น สามารถผลิตสารมาตรฐานเพื่อใช้ในกลุ่มประเทศสมาชิกได้ระดับหนึ่ง แต่ยังไม่เพียงพอกับความต้องการของภาคเอกชน โครงการอีซี-อาเซียน จึงเน้นวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเครือข่ายของสมาชิกอาเซียนที่มีอยู่แล้ว ให้มีศักยภาพในการผลิตสารมาตรฐานให้ได้มากขึ้น และมีมาตรฐานสูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนางานควบคุมคุณภาพ และงานประกันคุณภาพยาของประเทศ และของภูมิภาคอาเซียนให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น และจากผลสรุปการประชุมเชิงปฏิบัติการที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญจากกลุ่มสมาชิกอาเซียนได้ร่วมกันพิจารณา โดยกำหนดให้แต่ละประเทศหาแนวทางในการพัฒนาเครือข่ายของตนเอง เพื่อสามารถเข้าถึงสารมาตรฐานยิ่งขึ้น โดยให้กำหนดตัวผู้ประสานหลักระดับประเทศ และการจัดทำเวบไซต์ เพื่อประชาสัมพันธ์งานของเครือข่าย รวมทั้งการปรับปรุงวิธีและเครื่องมือที่ใช้ เพื่อการทดสอบการจัดหาวัตถุดิบสำหรับสารมาตรฐานตั้งต้น ที่ใช้อ้างอิงให้ประเทศสมาชิกโดยใช้งบประมาณของตนเอง (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 1 ก.พ. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





กระทรวงทรัพย์ไม่ไว้ใจสั่งเฝ้าระวังแผ่นดินไหว เพิ่มระดับความเสี่ยงพื้นที่ภาคใต้ ล่าสุดพบถ้ำใน จ.กระบี่ ยุบตัว

กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ร่วมกับคณะกรรมการประสานงานการสำรวจทรัพยากรธรณีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ (CCOP) ได้ร่วมจัดประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่อง "ไทยและประเทศเพื่อนบ้านจะรับมือธรณีพิบัติภัยคลื่นยักษ์สึนามิได้อย่างไร" นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า จากการติดตามความเสียหายเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิตลอด 1 เดือนกว่า พบว่า ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกว่าที่ทุกคนคาดคิด โดยเฉพาะด้านภูมิศาสตร์และทางธรณีวิทยาหลายด้าน เช่น ภาพถ่ายจากดาวเทียมอีโคนอส พบว่าบริเวณปลายแหลมปะการังถูกคลื่นซัดหายไป และเกิดร่องน้ำลึกเข้ามาอีก 10 กิโลเมตร ส่วนปลายแหลมบริเวณเกาะคอ บ้านน้ำเค็มก็หายไปด้วย ขณะที่ป่าชายเลนกว่า 1,961 ไร่ ก็หายไปเช่นกัน กลางเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ทางกรมทรัพยากรธรณีได้จัดทำแผนที่เสี่ยงภัยขึ้นมาใหม่ ประกาศโซนเสี่ยงภัยแผ่นดินไหวเพิ่มเติม จากเดิมที่มีเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันตก และ กทม.ร่วม 11 จังหวัด โดยได้เพิ่มฝั่งตะวันออก และชายฝั่งภาคใต้เพิ่มเข้าไปด้วย สำหรับแผนที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหวฉบับใหม่ ทางกรมทรัพยากรธรณีจะนำเสนอให้คณะกรรมการแผ่นดินไหวแห่งชาติพิจารณาให้ออกเป็นกฎกระทรวงต่อไป (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 1 ก.พ. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





เนคเทคจัดงาน ประกวดไอซีที ปั้นเยาวชนไทย

เนคเทค จัดงาน “มหกรรมประกวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 4” ยกระดับเด็กไทยมุ่งสู่เวทีโลก นายทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) กล่าวว่า ปีนี้ เนคเทคจะจัดกิจกรรม “มหกรรมประกวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 4” (Thailand ICT Contest Festival 2005) ระหว่าง 10-12 ก.พ. 2548 ที่ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เปิดโอกาสให้เยาวชนไทยนำความรู้ความสามารถเข้าร่วมแข่งขัน ตลอดจนเป็นการแสดงให้เห็นว่าทั้งภาครัฐและเอกชนให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้ สำหรับการแข่งขันจะประกอบด้วย การพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 7 รวบรวมผลงานยอดเยี่ยมของนักเรียน นิสิต นักศึกษา จากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศกว่า 102 โครงการ ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี การประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ และวิศวกรรมศาสตร์ สรรหาตัวแทนประเทศไทยไปร่วมชิงชัยในงาน Intel International Science and Engineering Fair (Intel ISEF) ณ สหรัฐอเมริกา การแข่งขันติดตั้งระบบปฏิบัติการลินิกซ์ (NLC 2005) คัดเลือกยอดฝีมือจากทั่วประเทศร่วมแข่งขัน 3 ประเภท คือ พีซี ระดับนักเรียน เซิร์ฟเวอร์ ระดับนักเรียน และเซิร์ฟเวอร์ ระดับประชาชนทั่วไป และการแข่งขันประกอบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (YECC-NECTEC e-Camp) ภายในงานได้จัดนิทรรศการ กิจกรรมให้ผู้สนใจเข้าชม และร่วมสนุก เช่น ตอบปัญหาชิงรางวัล และกิจกรรมบันเทิงต่างๆ ติดตามรายละเอียดจากเวบไซต์ www.nectec.or.th/fic (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 2 ก.พ. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





สุดยอดนักผลิต เครื่องกลั่นน้ำมันตะไคร้หอมฝีมือคนไทย

วุฒิชัย ไชยมงคล ถิรวัฒน์ อนุสรณ์มณี อุเทน อลังการนันท์ สาขาวิศวกรรมศาสตร์อุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตภาคพายัพ ได้มาพัฒนาเป็นเครื่องกลั่นนำมันตะไคร้หอม เจ้าของผลงานกล่าวว่า หลักการทำงานของเครื่องดังกล่าวใช้ระบบทำน้ำเย็น โดยใช้เครื่องทำความเย็นมาใช้สำหรับการควบแน่นให้เย็นตลอดเวลา ในระหว่างการควบแน่นเป็นหยดน้ำจากการต้มใบตะไคร้หอม ซึ่งจะได้อุณหภูมิที่ต่ำและคงที่ เพื่อที่จะได้น้ำมันหอมระเหยจากการกลั่นในปริมาณที่มากกว่าแบบเดิม เครื่องกลั่นน้ำมันตะไคร้หอม แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือส่วนแรก ชุดต้ม ประกอบด้วย ถังต้ม ขาถังต้ม ฝาปิดถังต้ม ท่องอ แคฟฝาปิดถังต้ม ถังตะแกรง ตัวล็อกฝาหม้อต้ม ชุดวัดระดับน้ำ ส่วนที่ 2 ชุดควบแน่น ประกอบด้วย ตัวถังชุดควบแน่น ถังน้ำเย็น ฝาปิดถังน้ำเย็น ท่อขดสำหรับการควบแน่น ส่วนที่ 3 ชุดควบคุม ซึ่งจะทำงานด้วยไมโครคอนโทรลเลอร์ความเที่ยงตรงสูง วัดอุณหภูมิแบบดิจิตอล แสดงผลด้วยตัวเลขจำนวน 4 หลัก สามารถตั้งค่าได้ตั้งแต่ลบ55 ถึง 126 องศาเซลเซียส ส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้า ประกอบด้วย เซอร์กิตเบรกเกอร์ สายไฟสายยางทนความร้อนและหลอดไฟ ในการกลั่นใบตะไคร้หอมจากเครื่องนี้ ปริมาณของน้ำมันหอมระเหยที่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนวันหลังการเก็บเกี่ยว โดยการกลั่นตะไคร้หอมหลังการเก็บเกี่ยว 2 วัน จะได้น้ำมันมากที่สุดและจะให้ปริมาณน้ำมันสูงสุดในชั่วโมงที่ 2 ของการกลั่น ในการกลั่น 1 ครั้งระยะในการกลั่น 6 ชั่วโมง สามารถกลั่นได้ปริมาณน้ำมัน 43.8มล.และเครื่องกลั่นน้ำมันหอมระเหยนี้ยังสามารถนำไปกลั่นพืชสมุนไพรชนิดอื่นๆ ที่มีน้ำมันหอมระเหยได้ด้วย ผู้ที่สนใจเครื่องกลั่นน้ำมันหอมระเหยอยู่ ลองติดต่อสอบถามรายละเอียดไปที่ สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตภาคพายัพ โทร.0-5389-2780 ต่อ 2350





เวทีเยาวชนประชันหุ่นยนต์ โชว์ฝีมือเขียนซอฟต์แวร์สั่งงาน

นายพิศาล สร้อยธุหร่ำ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) แจ้งว่า การแข่งขันทั้ง กิจกรรมประลองทักษะความรู้ความสามารถด้านคอมพิวเตอร์สำหรับนักเรียนมัธยม ประกอบด้วยเวทีแข่งขันเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ การประกวดโครงงานคอมพิวเตอร์และการประกวดซอฟต์แวร์ 3 รายการดังกล่าวกำหนดจัดขึ้น ในวันที่ 1-4 สิงหาคม เพื่อส่งเสริมเยาวชนไทยให้มีความรู้และสามารถใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการพัฒนาการเรียนรู้ ใช้เหตุผลและสนุกกับการเรียน โดยการแข่งขันโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ แบ่งเป็น 2 รอบ รอบคัดเลือกระดับภูมิภาคและรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ กำหนดเงื่อนไขให้โรงเรียนแต่ละแห่งส่งตัวแทนเข้าแข่งขันได้แห่งละ 1 ทีม ทีมละ 2 คนได้ทั้งมัธยมต้นและมัธยมปลาย โดยผู้แข่งขันจะต้องนำหุ่นยนต์และอุปกรณ์มาเอง แต่หากทีมใดไม่มีหุ่นยนต์ ทางศูนย์มีให้ยืม 10 ทีม ทีมละ 1 ตัว ส่วนขนาดของหุ่นยนต์ต้องไม่เกิน 30x30 เซนติเมตร มอเตอร์มากสุด 2 ตัวและใช้ซีพียูได้เพียงตัวเดียว สำหรับการประกวดโครงงานคอมพ์ จำกัดเฉพาะมัธยมปลาย กำหนดให้เป็นโปรแกรมคอมพ์ที่ควบคุมการทำงาน หรือสั่งการอุปกรณ์เชื่อมต่อ และเป็นโครงงานใหม่ของตนเอง ไม่ได้ลอกเลียนแบบผู้อื่น ส่วนการประกวดซอฟต์แวร์ รับเฉพาะมัธยมต้น แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ ซอฟต์แวร์ส่งเสริมการเรียนการสอน และซอฟต์แวร์ประเภทเกม โดยทั้งหมดรับสมัครภายในวันที่ 3 มิถุนายน นี้ สนใจสอบถามที่ โทร.0-2392-4021 ต่อ 3406, 3413 หรือ http://oho.ipst.ac.th (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 3 ก.พ. 48 http://www.komchadluek.net)





ข่าววิจัย/พัฒนา


โทษสารทาท้องเรือป้องกันเพรียง เป็นเหตุปลาวาฬหูดับว่ายเกยตื้น

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยเยล แห่งสหรัฐฯกล่าวว่า สารที่ใช้ทาตามท้องเรือ เพื่อป้องกันเพรียงเกาะ ที่เรียกกันว่าสาร "ทีบีที" ได้กลายเป็นสารก่อพิษกับสิ่งแวดล้อมทางทะเลอีกสิ่งหนึ่ง และในหลายชาติมีประกาศห้ามใช้ไปแล้ว แต่ก็ยังคงมีการใช้กันอยู่อย่างกว้างขวาง ศาสตราจารย์โจเซฟ ซานโทส ซัคชิ แพทย์ผู้เชี่ยว ชาญศัลยกรรมและประสาทชีววิทยา กล่าวอธิบายว่า พวกสัตว์ทะเลที่เลี้ยงลูกด้วยนมอาศัยคลื่นโซนาร์ในการนำทาง จึงอาจเป็นได้ว่าสารที่ใช้ทาท้องเรือได้ไปทำให้ปลาวาฬและปลาโลมาเกิดว่ายไปเกยหาด และชนเรือ แต่ก็มีนักวิทยาศาสตร์คนอื่นหลายคนเชื่อว่า สาเหตุที่ปลาวาฬว่ายไปเกยหาด อาจไม่ได้เกิดจากสารเคมี แต่น่าจะเป็นเพราะการส่งคลื่นโซนาร์ของบรรดาเรือรบอเมริกันมากกว่า (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 31 ม.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





คนอ้วนผอมเพราะไฟธาตุในตัว เผาผลาญได้มากน้อยต่างกัน

ไฟธาตุในตัวของแต่ละคน อาจจะมีส่วนทำให้เรากลายเป็นคนอ้วนหรือผอมอย่างที่เป็นอยู่ได้ นักวิจัยได้พบในการศึกษากับคนทั้งอ้วนและผอมพบว่า จะมีนิสัยในการนั่งผิดกันอยู่ ซึ่งช่วยแสดงให้เห็นว่าไฟธาตุในตัวของคนเรามีความสำคัญ เป็นเหตุทำให้คนอ้วนหรือผอมได้ มากกว่าที่คิดกันไว้มาก ดร.เจมส์ เลวี แห่งสถานพยาบาลเมโยอันมีชื่อเสียงของสหรัฐฯ ได้ศึกษากับหญิงชายที่มีน้ำหนักตัวปกติ 10 คน และเป็นคนอ้วนอีก 10 คน โดยให้ทุกคนสวมกางเกงในติดเครื่องตรวจวัด ซึ่งจะคอยจับวัดความเคลื่อนไหวไม่ว่ามากหรือน้อยทุกย่างก้าวติดตัวอยู่ และได้พบว่า ในแต่ละวัน คนอ้วนจะนั่งนานกว่าคนที่มีน้ำหนักตัวปกติ เฉลี่ยนานกว่าวันละ 2 ชม. ซึ่งการนั่งนิ่งเป็นเวลานานเท่านั้น จะทำให้ ร่างกายเผาผลาญพลังงานน้อยลงถึงวันละ 350 แคลอรี เป็นปริมาณมากพอที่จะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้รวมกันถึงปีละ 4.5 กก. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 31 ม.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





วิจัยปรับปรุง...ฝ้ายสี พัฒนาเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

รศ.ดร.งามชื่น รัตนดิลก ภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร หนึ่งในผู้วิจัยฝ้ายสี ได้รับทุนอุดหนุนจากสภาวิจัยแห่งชาติ (วช.) มี 2 ชุดโครงการใหญ่ คือ 1. การวิจัยและพัฒนาระบบการปลูกฝ้าย และ 2. การวิจัยและพัฒนาปรับปรุงฝ้ายสี เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดี ซึ่งในแต่ละโครงการ ก็จะแบ่งย่อยออกไปอีกตัวอย่างเช่น งานวิจัยของ อ.ประพนธ์ บุญรำพรรณ และคณะ ที่ศึกษาเปรียบเทียบเกี่ยวกับผลผลิตฝ้ายสีน้ำตาล 19 สายพันธุ์ ของ อ.กรรณีย์ ถาวรสุข อาจารย์เกษียณจากภาควิชาคหกรรมศาสตร์ คณะเกษตร ที่รับหน้าที่ศึกษาวิจัยและพัฒนารูปแบบเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับฝ้ายทอมือ ที่คงไว้ซึ่งรูปแบบลวดลายดั้งเดิมอันเป็นเอกลักษณ์ของไทย นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาวิจัยถึงการรักษาความคงทนของสีต่อการซักและต่อแสง และการใส่สารละลายธรรมชาติบางชนิดเพื่อทำให้สีผ้าเข้มและสดใสขึ้น ในส่วนที่อาจารย์รับผิดชอบอยู่ก็คือ การวิจัยและพัฒนาฝ้ายสี (สีเขียวและน้ำตาล) มี รศ.ดร.ประภารัจ หอมจันทน์ เป็น ผอ.ชุดโครงการฯ จากการดำเนินการมาตั้งแต่ปี'41 จนถึงขณะนี้สามารถทำให้ฝ้ายสีเขียวต้านทานหนอนเจาะสมอฝ้าย และเพลี้ยจักจั่นได้ในระดับหนึ่ง เวลานี้กำลังผสมกลับรุ่นที่ 3 คาดว่าสิ้นปี'49 น่าจะได้ฝ้ายสีที่มีเส้นใยยาว เหนียว เปอร์เซ็นต์หีบมาก ความยืดหยุ่นดีมาอวดกัน เช่นเดียวกับ ดร.ปริญญา ศรีบุญเรือง จากศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ กรมวิชาการเกษตร ที่คัดเลือกพันธุ์ฝ้ายสี เพื่อยกระดับคุณภาพเส้นใย โดยใช้พันธุ์ตากฟ้า 2 ซึ่งเป็นพันธุ์ฝ้ายที่มีคุณภาพเส้นใยดีที่สุดผสม กับพันธุ์ฝ้ายสีเขียวและฝ้ายสีน้ำตาล (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 31 ม.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ธุรกิจขานรับมะเขือเทศผง น้ำหนักเบาให้โภชนาการสูง

ผลิตภัณฑ์มะเขือเทศผง ผลงานความคิดสร้างสรรค์ของนายเปาว์ คงสุนทรกิจกุล นิสิตคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นการแปรรูปมะเขือเทศในรูปลักษณ์ใหม่ ที่ไม่มีใครทำมาก่อนในไทย แม้ว่ามะเขือเทศผงนี้จะเป็นวัตถุดิบที่ใช้แพร่หลายในอุตสาหกรรมอาหาร แต่ทั้งหมดล้วนต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ขณะที่ข้อดีของผลิตภัณฑ์มะเขือเทศผง จะมีความคงตัวสูงกว่ามะเขือเทศเข้มข้น รวมไปถึงน้ำหนักของผลิตภัณฑ์ที่ลดลงถึง 1 ใน 3 สามารถลดระยะเวลาการขนส่งด้วยรถบรรทุกจาก 3 เที่ยวเหลือเพียง 1 เที่ยว สำหรับคุณค่าทางโภชนาการ พบว่ามีความใกล้เคียงมะเขือเทศเข้มข้น ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์มะเขือเทศผงนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการปริญญานิพนธ์ของนิสิตชั้นปีสุดท้าย และได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประชุมวิชาการประจำปีที่คณะ อีกทั้งรางวัลชมเชยในสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและชีวภาพ โครงการรางวัลนวัตกรรมแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 4 โดย รศ.ดร.สายวรุฬ ชัยวานิชศิริ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา โดยกรรมวิธีการผลิตมะเขือเทศผง เริ่มจากการเลือกมะเขือเทศอุตสาหกรรมมาทำน้ำมะเขือเทศ จากนั้นจึงนำมาแปรรูปโดยใช้แป้งดัดแปลง และใช้เครื่องทำอบแห้งแบบพ่นกระจาย ส่วนปัญหาที่พบคือผงมะเขือเทศที่ได้มีคุณสมบัติดูดความชื้น เมื่ออยู่ในสภาวะปกติทำให้จับตัวเป็นก้อนแข็ง ดังนั้น เปาว์และทีมงานจึงนำแป้งดัดแปลงเข้ามาใช้เป็นตัวป้องกันการดูดความชื้น มะเขือเทศผงจึงเก็บรักษาได้ยาวนานกว่าผลิตภัณฑ์มะเขือเทศเข้มข้นถึง 1 เท่า เมื่อนำมาบรรจุในลักษณะสุญญากาศ จะสามารถเก็บรักษาได้นานนับ 10 ปี อีกทั้งราคาของมะเขือเทศผง และมะเขือเทศเข้มข้น เมื่อเปรียบเทียบต่อหน่วยในลักษณะของแห้งแล้ว ไม่แตกต่างกัน เปาว์ ซึ่งปัจจุบันกำลังศึกษาปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี บอกอีกว่า ในอนาคตมีโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์มะเขือเทศเข้มข้น โดยจะเพิ่มความเข้มข้นของวัตถุดิบ เพื่อย่นระยะเวลาการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งจะช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารในบ้านเราไปสู่ระดับสากล เนื่องจากศักยภาพการผลิตของไทยยังมีเครื่องมือไม่ทัดเทียมต่างประเทศ แต่โชคดีที่ทรัพยากรบ้านเรามีมหาศาล (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 31 ม.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





เด็กยืดตัวโตตอนนอนกลางคืน กระดูกไม่ยอมงอกเวลายืนเดิน

นักวิจัยของคณะสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยวิสคอนซินของสหรัฐฯ ได้พิสูจน์เรื่องเด็กยืดตัวตอนกลางคืน กับลูกแกะ โดยใช้เครื่องวัดกระดูกงอกใส่ติดกับกระดูกขาพบว่า ส่วนใหญ่มากถึง 90% กระดูกของมันจะงอกยืดออกตอนที่มันนอนหรือพักผ่อนอยู่ รายงานผลของการศึกษา ซึ่งเสนออยู่ในวารสารการแพทย์ "ศัลยศาสตร์กระดูกเด็ก" ของสหรัฐฯเปิดเผยว่า "เราสังเกตพบว่ากระดูกไม่ยืดงอกเป็นลักษณะอย่างต่อเนื่อง และที่น่าประหลาดใจก็คือว่า มันจะงอกก็ต่อเมื่อมันนอนราบอยู่เท่านั้น หากว่ามันยืนหรือเดินไปมา กระดูกจะไม่งอกออกมา หัวหน้าคณะนักวิจัยหมอนอร์แมน วิลสแมน ได้ให้ความเห็นว่า สาเหตุคงเพราะแผ่นกระดูกที่งอกอันเป็นกระดูกอ่อนของปลายกระดูก ถูกโดนกดทับขณะที่มันเดินหรือยืนอยู่ ทำให้งอกไม่ออก แต่เมื่อมันนอนอยู่แผ่นกระดูกไม่ถูกกดอยู่จึงยืดออกได้ (ไทยรัฐ อังคารที่ 1 ก.พ. 48 http://www.thairath.co.th)





นักวิจัยเร่งถอดรหัสยีนจุลินทรีย์กำจัดก๊าซพิษ ปูทางสู่การผลิตส่งออก มั่นใจโกยรายได้ปีละหลายล้านเหรียญ

ดร.ศรีสุดา ธรรมวิชุกร อาจารย์จากบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) เปิดเผยว่า จากการวิจัยได้ค้นพบแบคทีเรียสายพันธุ์ไทยที่มีศักยภาพสูงในการกำจัดเมธานอล ซึ่งเป็นสารเคมีอันตรายได้จากอุตสาหกรรมผลิตเยื่อกระดาษ โดยปัจจุบันเตรียมจะศึกษาเชิงลึกถึงกลไกการทำงานของยีนต่างๆ รวมถึงค้นหาวิธีการผลิตจุลินทรีย์หรือผลิตภัณฑ์จากจุลินทรีย์ดังกล่าวในระดับอุตสาหกรรม เพื่อส่งออกให้บริษัทต่างชาติ คาดว่า จะสร้างมูลค่าได้หลายล้านเหรียญต่อปี การค้นพบนี้เกิดขึ้นขณะศึกษาต่อระดับปริญญาเอกที่สหรัฐ โดยอาจารย์ที่ปรึกษาได้รับทุนวิจัยจากองค์กรเยื่อและกระดาษของสหรัฐและแคนาดา เพื่อเสาะหาเชื้อจุลินทรีย์ในดินที่สามารถกำจัดก๊าซเมธานอล ซึ่งเป็นปัญหาของอุตสาหกรรมผลิตเยื่อกระดาษ หรืออุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ป่าไม้ในอเมริกา โดยรับผิดชอบงาน คือ เพาะแยกเชื้อจุลินทรีย์จากตัวอย่างดินและน้ำที่ปนเปื้อนเมธานอล และได้นำตัวอย่างดินจากไทยไปร่วมทดลองด้วย ผลปรากฏว่า จุลินทรีย์จากตัวอย่างดินเมืองไทย มีความสามารถสูงในการกำจัดก๊าซเมธานอล แถมขั้นตอนการผลิตที่ใช้เวลาสั้นกว่าอีกด้วย เมื่อเทียบกับจุลินทรีย์ที่ผ่านการตัดต่อยีนของบริษัทต่างชาติที่ลงทุนไปหลายล้านเหรียญ นอกจากนี้ จุลินทรีย์ชนิดนี้จากไทยยังสามารถย่อยสลายก๊าซพิษอื่นๆ ได้ดีด้วย เช่น เบนซีน เฮกซีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่ปะปนออกมากับอากาศในอุตสาหกรรมหลายชนิด มันสามารถเปลี่ยนก๊าซ หรือของเหลวพิษเหล่านี้ ให้กลายเป็นสารในกลุ่ม "แอนตี้ออกซิแดนท์” หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นส่วนผสมสำคัญในสินค้าเพื่อสุขภาพที่มีความต้องการในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ฉะนั้น การค้นพบน่าจะนำไปสู่ภาคอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง ทั้งอุตสาหกรรมบำบัดก๊าซพิษในโรงงานอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ปัจจุบัน ดร.ศรีสุดา ได้เลือกกลับมาทำวิจัยระดับยีนในเมืองไทย โดยใช้เทคโนโลยีที่ชื่อว่า ไบโอนาโนชิพ หรือ ไมโครอาเรย์ ในการค้นหารหัสพันธุกรรมสำคัญ และการแสดงออกของยีนแบคทีเรียสายพันธุ์ดังกล่าว ขณะเดียวกัน จะทำวิจัยควบคู่กัน คือ การหากระบวนการผลิตจุลินทรีย์ดังกล่าวที่เหมาะสมในระดับอุตสาหกรรม พร้อมทั้งการวิจัยเกี่ยวกับสารต้านอนุมูลอิสระที่มันสร้างขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 1 ก.พ. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





เตาอบพลังงานแสงอาทิตย์ ฝีมืออาจารย์ "กิ่วแลหลวง"

ที่โรงเรียนชุมชนกิ่วแลหลวง อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ อาจารย์ชลิดา บุญสุข อาจารย์ 2 ระดับ 7 ในโครงการเครือข่ายครูวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้คิดค้นและพัฒนา "เตาอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์" ไว้ใช้เพื่อการเรียน และเพื่อประโยชน์ของชาวบ้านในชุมชน ภายใต้งบประมาณสนับสนุนจาก สสวท. อาจารย์ชลิดา ได้พัฒนาเตาอบแห้งพลังแสงอาทิตย์ขึ้นเมื่อปี 2546 โดยแนวคิดเริ่มมาจากการได้ไปดูงานที่สำนักงานพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานพื้นที่ 10 อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ และได้เห็นถึงความสำคัญของการใช้พลังงานทดแทน วิธีสร้างตู้อบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ รวมถึงการนำไปใช้ประโยชน์ เตาอบที่พัฒนาขึ้นมี 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นส่วนตู้อบ ทำด้วยโครงเหล็กขนาด 100x120x55 ซม.หลังคาจั่วเอียง 45 องศา ขาตั้งสูง 45 ซม. ฝาสี่ด้านและด้านล่างของตู้ใช้โฟมและสังกะสีกรุทั้งด้านนอกและด้านใน ข้างในทาสีดำ จั่วด้านบนติดด้วยกระจกหนา ส่วนที่สอง เป็นส่วนที่เพิ่มพลังงานความร้อน มีลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยม ขนาด 120x100x10 ซม. ด้านข้างสี่ด้านและส่วนล่างกรุด้วยสังกะสีและโฟม ด้านบนปิดด้วยกระจกใสชนิดหนา ใช้วางต่อจากส่วนที่ 1 ในช่องอากาศเข้า โดยวางเอียง 15 องศา สำหรับหลักการทำงาน เมื่อแสงอาทิตย์ส่องผ่านแผ่นกระจกใสเข้าไปด้านในของตู้อบซึ่งทาด้วยสีดำ สีดำจะดูดกลืนความร้อนเอาไว้ ทำให้อุณหภูมิในตู้สูงขึ้น อากาศที่อยู่ในตู้ก็จะร้อนขึ้นด้วย ช่วยเพิ่มความร้อนในตู้อบ ขณะที่อากาศร้อนลอยขึ้นนั้นจะผ่านผลิตผลหรือวัสดุที่นำไปอบ และพาไอน้ำออกไปทางช่องระบายอากาศ การไหลเวียนของอากาศในตู้จะเป็นอย่างนี้เรื่อยไป ตามหลักการทางธรรมชาติที่อธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ทั้งนักเรียนและชุมชนต่างก็ได้ใช้ประโยชน์กันทั่วหน้า นักเรียนได้นำความรู้ไปใช้ทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ ส่วนชุมชนจะได้ใช้เตาอบในวันหยุด เช่น เจ้าของฟาร์มเลี้ยงผึ้งขนาดเล็ก จะนำรังผึ้งมาอบเพื่อให้ขี้ผึ้งละลาย บางครอบครัวก็มาใช้อบพืชผักผลไม้ตามฤดูกาลในบางครั้ง ผู้สนใจจะนำนวัตกรรมเตาอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ติดต่อ อาจารย์ชลิดา บุญสุข ได้ที่โรงเรียนชุมชนกิ่วแลหลวง หมู่ 4 ต.ยุหว่า อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ (คมชึดลึก อังคารที่ 1 ก.พ. 48 http://www.komchadluek.net)





ตำรวจและพ่อค้าแม่ค้าตามสี่แยก เสี่ยงกับสารอันตรายในเบนซิน

นางสาวเจริญศรี กี้ประเสริฐทรัพย์ นักศึกษาปริญญาเอกกาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี พระจอมเกล้าธนบุรี ได้กล่าวในวิทยานิพนธ์ในหัวข้อเรื่อง การประเมินความเสี่ยงอันตรายจากสาร mtbe ในน้ำมันเบนซิน ในพื้นที่กรุงเทพมหานครว่า "ทั้งตำรวจจราจรและพ่อค้าแม่ค้า ซึ่งปฏิบัติหน้าที่และทำมาหากินอยู่บริเวณสี่แยก มีโอกาสได้รับผลกระทบแบบเฉียบพลัน รวมถึงความเสี่ยงต่อโรคภัยในระยะยาวจากการได้รับสาร mtbe ในบรรยากาศน้อย ขณะที่เด็กปั๊มซึ่งต้องทำงานใกล้กับหัวจ่ายน้ำมัน มีความเสี่ยงสูงกว่าทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การศึกษาได้ระบุว่า "แม้ว่าโดยภาพรวมแล้ว ความเสี่ยงของเด็กปั๊มที่จะได้รับผลกระทบ จากการรับสาร mtbe เข้าสู่ร่างกาย จะมีไม่เกินเกณฑ์ มาตรฐาน แต่สำหรับปั๊มน้ำมันที่มียอดการจำหน่ายน้ำมันเบนซินเฉลี่ยสูงกว่า 500 ลิตรต่อชั่วโมงโดยประมาณ ก็จะมีความเสี่ยงสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเมื่อรวมกับการได้รับสารเคมีชนิดอื่นๆ ในน้ำมัน เช่น เบนซิน ทอลูอีน เมทิลเบนซิน ฯลฯ เข้าไปด้วยแล้ว ความเสี่ยงที่พนักงานเติมน้ำมัน จะมีอาการผิดปกติทั้งแบบเฉียบพลัน และในระยะยาวจากพิษของ mtbe รวมถึงสารเคมีอื่นๆ ก็ยิ่งมีมากขึ้นกว่าเดิม" วิทยานิพนธ์ได้บอกแนะนำไว้ว่า เมื่อเริ่มปล่อยน้ำมันใส่ช่องเติมในรถแต่ละคันแล้ว ให้รีบออกมาห่างจากจุดนั้น และเข้าไปอีกครั้งเมื่อเติมเสร็จ เพราะระหว่างบริเวณหัวจ่ายที่มีการระเหย กับจุดที่ห่างออกมาไม่กี่เมตรนั้น ความเข้มข้นของ mtbe ในอากาศก็ต่างกันมากพอสมควร แต่จากการคุยกับเด็กปั๊ม รวมถึงเจ้าของปั๊มหลายๆแห่ง พบเขาเหล่านั้นไม่รู้ถึงพิษภัยและการป้องกันตัวจากสารเหล่านี้ (ไทยรัฐ พุธที่ 2 ก.พ. 48 http://www.thairath.co.th)





ประดิษฐ์เครื่องคัดตัวเชื้ออสุจิ เลือกจับตัวพิการทิ้งเกือบหมด

นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ได้ประดิษฐ์อุปกรณ์ ที่ทำหน้าที่เหมือนกับเป็นแม่เหล็ก สามารถคัดเลือกตัวอสุจิที่ไม่สมบูรณ์ เพราะดีเอ็นเอที่เสียหายออกไปได้ ให้เหลือแต่ตัวที่เข้มแข็งสมบูรณ์ เท่านั้น ตัวเชื้อที่ไม่สมประกอบเหล่านี้ นอกจากจะผสมกับไข่ของสตรีได้ยากแล้ว ยังอาจจะมีส่วนก่อให้เกิดมะเร็งกับเด็กอีกด้วย นิตยสารวิทยาศาสตร์ "นิว ไซเอนติสต์" รายงานว่าจากการทดลองใช้เครื่องกับเชื้ออสุจิของนักศึกษาแพทย์ มันสามารถแยกคัดตัวเชื้อที่ไม่สมประกอบออกทิ้งไปได้มากถึง 20% และจะได้มีการทดลองนำเชื้อที่ผ่านการคัดเลือกเหล่านี้ ไปใช้ในการผสมเทียม เพื่อเพาะทารกหลอดแก้วขึ้น ตอนปลายปีนี้ต่อไป (ไทยรัฐ พุธที่ 2 ก.พ. 48 http://www.thairath.co.th)





มจธ.สร้างไม้เทียมทนทานสูง จับมือเอกชนผลิตส่ง รง.เฟอร์นิเจอร์

รศ.ดร.ณรงค์ฤทธิ์ สมบัติสมภพ อาจารย์ภาควิชาเทคโนโลยีวัสดุ คณะพลังงานและวัสดุ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ผู้คิดค้นผลงานไม้เทียม เปิดเผยว่า ไม้เทียมเป็นวัสดุผสมระหว่างพลาสติกพีวีซีกับขี้เลื่อยไม้ ซึ่งมีความทนทานสูง น้ำหนักเบาเคลื่อนย้ายได้สะดวก โดยได้รับทุนวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ทางมหาวิทยาลัยได้จดสิทธิบัตรร่วมกันระหว่าง สกว. และบริษัทวีพี พลาสติก โปรดักส์ (1993) จำกัด เพื่อนำไม้เทียมไปผลิตในระดับอุตสาหกรรม โดย วีพี พลาสติกฯ ได้ลงทุนถึง 65 ล้านสำหรับจัดตั้งบริษัทใหม่ภายใต้ชื่อ บริษัท วีพีวูดส์ จำกัด เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์จากวัสดุผสมพีวีซีกับขี้เลื่อยไม้โดยเฉพาะ ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการผลิต และได้รับใบสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ไม้พีวีซีจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยผลิตชิ้นงาน 10 ประเภท อาทิ กรอบประตู หน้าต่าง คิ้ว บัว และได้ส่งขายผลิตภัณฑ์จากไม้เทียมดังกล่าวไปแล้วกว่า 10 ตัน ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากไม้เทียมนี้ สามารถนำไปดัดแปลงเป็นเฟอร์นิเจอร์ได้หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ชุดม้านั่งตกแต่งสวน โต๊ะรับแขก โต๊ะอาหาร หรือใช้ทดแทนเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้ได้ทุกชนิด โดยไม้เทียมมีความทนทานสูง เหมาะสำหรับงานภายนอกอาคาร เพราะคุณสมบัติพิเศษที่ทนแดดทนฝนได้เป็นอย่างดี จากการทดลอง "ปรับสัดส่วนของสารเคมีต่างๆ ที่ใช้ เช่น สารหล่อลื่น สารเชื่อมโยงพันธะและสารช่วยผสม ก่อนนำมาปั่นด้วยเครื่องปั่นผสมความเร็วสูง ต่อด้วยการขึ้นรูปด้วยเครื่องอัดแบบเกรียวหนอนคู่ที่อุณหภูมิ 185 องศาเซลเซียส ก่อนนำไปหล่อเย็นและศึกษากลไกการยึดเกาะของคู่วัสดุและสมบัติการใช้งานภายหลังการผลิต ทำให้ไม้ที่ได้มีคุณภาพตรงตามความต้องการใช้งาน ผลงานไม้เทียมนี้ ได้รับรางวัลชมเชยสิ่งประดิษฐ์คิดค้น ประจำปี 2548 จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติด้วย (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 2 ก.พ. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





นร.ทุนสกัดสาร ใบข้าวหลามดง ค้นหายามะเร็ง

น.ส.เยาวรินทร์ นครภักดี นักเรียนมัธยม 6 โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย จ.ขอนแก่น นักเรียนทุนโครงการพัฒนาและส่งเสริม ผู้มีความสามารถพิเศษ ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) ได้ศึกษาองค์ประกอบทางเคมี จากส่วนสกัดหยาบเฮกเซนของใบข้าวหลามดง (Goniothalamus laoticus) เพื่อหาสารออกฤทธิ์ต้านทานเชื้อมาลาเรีย วัณโรคและเซลล์มะเร็ง เมื่อได้สารบริสุทธิ์มา แล้วต้องทำการวิเคราะห์โครงสร้างว่าสารที่ได้เป็นสารชนิดใดมีฤทธิ์อย่างไร สามารถผลิตเป็นยารักษาโรคได้หรือไม่ การศึกษาดังกล่าวเป็นหนึ่งในกิจกรรมโครงงานวิทยาศาสตร์ ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับประเทศในการทำโครงงาน ที่เกี่ยวกับภูมิปัญญาไทย โดยนำวิชาความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เข้ามาเชื่อมโยงแบบบูรณาการ ซึ่งเป็นการสกัดและแยกสารบริสุทธิ์จากใบข้าวหลามดง เพื่อหาสารออกฤทธิ์ที่สามารถพัฒนาต่อยอดเป็นยารักษามาลาเรีย วัณโรคหรือมะเร็งอย่างใดอย่างหนึ่ง สำหรับขั้นตอนการทดลอง เริ่มจากตากใบข้าวหลามดงให้แห้งแล้วนำมาบดละเอียด จากนั้นแช่ในตัวทำลายเฮกเซนเอธิลอะซิเตตและเมธานอล ตามลำดับ สกัดด้วยตัวทำละลาย 2 ครั้งๆ ละ 3 วัน กรองเอาสารละลายที่ได้จากการสกัดในตัวทำละลายแล้วระเหย ซึ่งจะได้สารบริสุทธิ์ 3 ชนิด และขั้นตอนต่อมาเป็นการศึกษาโครงสร้างของสารเหล่านี้ ส่วนขั้นตอนสุดท้ายเป็นการทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพ โดยศึกษาองค์ประกอบทางเคมีของสารบริสุทธิ์ ที่มีในส่วนต่างๆ ของพืช นอกจากนี้ ยังเป็นการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า ซึ่งสามารถนำมาพัฒนาเป็นยารักษาโรคได้ในอนาคต (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 2 ก.พ. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





เอกชนทุ่มทุน ปรับโฉมเครื่องฟอกอากาศ

นายพลศักดิ์ ปิยะทัต กรรมการผู้จัดการ บริษัทแอดวานซ์ อีเลคโทรนิค แอร์ ฟิลเตอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องฟอกอากาศ เปิดเผยว่า ทีมงานได้ลงทุนร่วม 8 ล้านบาท และใช้ระยะเวลากว่า 3 ปีสำหรับประดิษฐ์คิดค้นเครื่องฟอกอากาศประสิทธิภาพสูง ซึ่งปัจจุบันได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าต่างประเทศ โดยติดตั้งในห้องผ่าตัดหรือห้องปฏิบัติงานการแพทย์ คลินิกสัตว์ ห้องแล็บวิจัยทางเคมี งานอุตสาหกรรมที่ใช้แสงเลเซอร์ทำงาน ห้องอาหารรวมถึงสถานบันเทิงทั่วไป โดยโครงสร้างเครื่องฟอกอากาศทวิปักษ์ ได้รับการออกแบบให้ดูดอากาศได้ 2 ทิศทางทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อห้องโถงใหญ่ ที่ต้องการกระแสลมหมุนเวียนสูง พร้อมทั้งออกแบบใบปรับทิศทางลม ที่ส่งสัญญาณควบคุมการทำงานตรงข้ามกัน 180 องศา ทิศทางการเคลื่อนไหวด้วยมุมกว้าง 45 องศา จึงกระจายกระแสลมได้ไกล 40 เมตรแนวระนาบ ส่งผลให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 200% อีกทั้งใช้โครงสร้างพลาสติกใหม่ที่บางเพียง 16 ซม. จากสินค้ารุ่นก่อนมีความหนาถึง 36 ซม. นอกจากนี้ ทีมงานได้ออกแบบให้ผลงานสามารถใช้ร่วมกับ "อีเลคโทรนิค แอร์ ฟิลเตอร์" ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ในการสร้างอากาศบริสุทธิ์ สามารถกรองอากาศได้เล็กถึง 0.01 ไมครอน โดยเทคโนโลยีดังกล่าวนิยมติดตั้งในห้องปฏิบัติงานทางการแพทย์ เพื่อควบคุมไวรัสและแบคทีเรีย งานอุตสาหกรรมที่มีกลิ่นรบกวน งานเคมีเกี่ยวกับการเกษตรและอาหารสัตว์ หรืองานทุกชนิดที่ส่งกลิ่นรบกวน อีกทั้งการดูแลรักษาสามารถถอดออกมาทำความสะอาดได้สะดวก โดยไม่ต้องถอดตัวเครื่องออกจากจุดติดตั้ง จึงไม่เป็นอันตราย ตัวเขาและทีมงานได้รับรางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้น ประจำปี 2547 สาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติอีกด้วย ในสิ่งประดิษฐ์ชื่อโครงการแฟนคอยล์แบบจตุปักษ์ ซึ่งทำให้ได้รับการติดต่อว่าจ้างจากเอกชนต่างชาติด้านเครื่องปรับอากาศ ให้ออกแบบปรับปรุงสินค้าจากรูปแบบเดิมมาเป็นรูปแบบใหม่ ซึ่งความคืบหน้าปัจจุบันได้ดำเนินการตกลงสั่งซื้ออย่างเป็นทางการบางส่วนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 2 ก.พ. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





สอนหุ่นยนต์คิดได้เหมือนคน นักวิจัยยอมรับยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา

สำนักงานโครงการวิจัยกลาโหมชั้นสูง สังกัดกระทรวงกลาโหมสหรัฐ หรือดาร์ปา (DARPA) ได้ให้เงินสนับสนุนงานวิจัยเป็นมูลค่าราว 16 ล้านบาท แก่นักวิจัยสองคนจากสถาบันเรนสเซเลอร์ โปลีเทคนิค เพื่อให้สร้างเครื่องจักรที่สามารถเรียนรู้และเข้าใจสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือ โดยพวกเขาหวังว่าเมื่อสอนให้คอมพิวเตอร์สามารถอ่านตำราหรือคู่มือเพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับเนื้อหาในตำราได้ จะสามารถช่วยเหลือราชการทหารได้มาก นักวิจัย กล่าวว่า ปัจจุบันกิจการทหารมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น และใช้เทคโนโลยีชั้นสูง จึงต้องการ "ปัญญาเทียม" ของหุ่นยนต์ที่สามารถอ่านแผนการทหารหรือคู่มือได้ และสามารถประยุกต์ใช้งานได้ทันทีในสนามรบ แต่การสร้างคอมพิวเตอร์ หรือหุ่นยนต์ที่มีความคิดอ่านและใช้เหตุผลเหมือนกับมนุษย์ไม่ใช่เรื่องง่าย นักวิจัยจำเป็นต้องสร้างสูตรคณิตศาสตร์ที่ช่วยให้หุ่นยนต์ที่มีปัญญาสามารถอ่านหนังสือแล้วแปลงเป็นหลักเหตุและผลที่ใช้ในภาษาคอมพิวเตอร์ จากนั้นนักวิจัยต้องพัฒนาสูตรคณิตศาสตร์ที่ช่วยให้หุ่นยนต์นำเอาข้อมูลดังกล่าวมาใช้เพื่อคิดหาผลลัพธ์ ปัจจุบัน มีหุ่นยนต์ หรือ "ปัญญาเทียม" ถูกพัฒนาขึ้นมาใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมที่ธนาคารใช้เพื่อประเมินความสามารถในการชำระเงินของผู้กู้ หรือพวกซอฟต์แวร์ที่ใช้สะกดเสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ตลอดจนโปรแกรมที่ใช้สืบค้นข้อมูลในฐานข้อมูลและหาค่าความสัมพันธ์ที่ไม่ได้แสดงตัวอย่างมาให้เห็นชัดเจน แต่การอ่านหนังสือยังเป็นเรื่องยากสำหรับหุ่นยนต์อยู่ดี เนื่องจากคอมพิวเตอร์ต้องเปลี่ยนภาษาพูดให้เป็นสมการเชิงเหตุผล หรือเป็นรูปแบบที่คอมพิวเตอร์อ่านเข้าใจ และเรื่องที่คลาดเคลื่อนได้มากที่สุดคือ เมื่อซอฟต์แวร์อ่านประโยคที่มีความยาวและซับซ้อนมากๆ แล้ว ไม่สามารถรู้ได้ว่าประโยคดังกล่าวหมายถึงอะไร (คมชัดลึก พุธที่ 2 ก.พ. 48 http://www.komchadluek.net)





มช.คิดวิธีใหม่ตรวจมะเร็ง

รศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ อาจารย์ภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เปิดเผยว่า ทีมวิจัยประสบความสำเร็จในการพัฒนาเทคนิค การตรวจคัดกรองผู้ป่วยโรคมะเร็งและผู้ป่วยโรคตับ สำหรับระบุความรุนแรงของอาการ รวมถึงติดตามผลการรักษาได้เป็นอย่างดี โดยทีมวิจัยได้พัฒนาสารเคมีตรวจวัดกรด ไซลิค แอซิด ซึ่งเป็นกรดน้ำตาลจำนวนมาก ที่เกาะอยู่บนผิวของเซลล์มะเร็ง หากตรวจวัดพบค่าสูงแสดงว่าอาจจะเป็นมะเร็งได้ นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังได้พัฒนาน้ำยา ที่มีชื่อเรียกสั้นๆ ว่า "เอชเอ" สำหรับตรวจวัดสารที่เซลล์มะเร็งผลิตขึ้น และจะถูกส่งไปทำลายที่ตับ ฉะนั้น หากตับมีปัญหาจะไม่สามารถทำลายสารชนิดนี้ได้ ดังนั้น การใช้น้ำยาเอชเอนี้ตรวจวัด จึงสามารถระบุได้ว่าเป็นโรคเกี่ยวกับตับ หรือเป็นมะเร็งตับหรือไม่ เมื่อนำผลที่ได้จากน้ำยาเอชเอไปเทียบกับวิธีตรวจด้วยกรดไซลิค จะสามารถวัดระดับความรุนแรงของโรคได้ โดยไม่ต้องนำเข้าน้ำยาตรวจหาเซลล์มะเร็งจากต่างประเทศ ซึ่งราคาสูงร่วม 1 หมื่นบาท อีกทั้งข้อจำกัดของน้ำยาดังกล่าว คือสามารถตรวจได้เพียง 50 ตัวอย่างเท่านั้น และการตรวจด้วยวิธีดังกล่าว จะต้องตรวจจากตัวอย่างเซลล์ที่สงสัยว่าเป็นเซลล์มะเร็ง ทำให้ยุ่งยากเสียเวลา งานวิจัยจึงเข้ามาช่วยลดการนำเข้าทั้งยังสะดวกอีกด้วย คือใช้ตัวอย่างเลือดมาปั่นแยกเซรั่มมาตรวจ โดยในการตรวจหากรดไซลิคนั้นใช้เลือดเพียง 5 ไมโครลิตร และการตรวจหาเอชเอใช้เลือด 175 ไมโครลิตร หรือประมาณ 3 หยด ซึ่งการตรวจกรดไซลิคใช้เงินเพียง 20-50 บาท ส่วนเอชเอ 100-200 บาท เท่านั้น หากทำการวิเคราะห์ทั้ง 2 วิธี จะสามารถแยกความแตกต่างและความรุนแรงของโรคตับชนิดต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งการตรวจด้วยวิธีนี้ ผู้ป่วยไม่ต้องเจ็บตัว จากการเจาะเอาเซลล์จากเนื้อตับออกมาเพื่อตรวจหาพยาธิสภาพ อีกทั้งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างกว้างขวาง ผลการทดสอบเทคโนโลยีคัดกรองนี้พบว่า ถูกต้องสูงร้อยละ 85-90 เมื่อได้เปรียบเทียบกับผลวินิจฉัยจากโรงพยาบาล (คมชัดลึก พุธที่ 2 ก.พ. 48 http://www.komchadluek.net)





กุญแจผีไฮเทคสะเดาะได้ทุกรุ่น

คณะวิจัยของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ตรวจสอบพบว่าระบบล็อกรถยนต์รุ่นใหม่ที่พัฒนาโดยบริษัท เท็กซัส อินสตรูเมนท์ สามารถใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ราคาถูกมาปลดล็อกรหัสที่ซ่อนอยู่ในไมโครชิพได้ และทีมงานได้ทดลองขโมยรถยนต์ของตัวเอง ก็พบว่าเป็นเรื่องง่ายมาก ระบบล็อกรถยนต์รุ่นใหม่ใช้คลื่นวิทยุเป็นตัวรับส่งสัญญาณ โดยออกแบบให้เป็นชิพ (ทรานสปอนเดอร์) ฝังอยู่ในกุญแจและอุปกรณ์อ่านรหัสที่ติดตั้งไว้ภายในตัวรถยนต์ ซึ่งรถจะไม่สามารถติดเครื่องได้หากตัวอ่านและตัวชิพรับส่งสัญญาณในกุญแจไม่ตรงกัน แม้ว่าเจ้าของรถจะสอดกุญแจไว้ในช่องสตาร์ทแล้วก็ตาม ระบบดังกล่าวถูกนำไปใช้กับรถยนต์รุ่นใหม่ของฟอร์ด โตโยต้า และนิสสันกว่า 150 ล้านคันแล้ว และนักวิจัยก็ยืนยันว่าพวกเขาสามารถถอดรหัสตัวล็อกได้ และได้ทดลองขโมยรถของตัวเองมาแล้ว พร้อมกันนี้ ศ.อาวี รูบิน ผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ และเป็นหัวหน้าทีมวิจัยได้สาธิตวิธีถอดรหัสให้กับบริษัท เท็กซัส อินสตรูเมนท์ ดูเรียบร้อยแล้ว โดยโทนี ซาเบตตี ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจของบริษัท เปิดเผยว่า อุปกรณ์ที่ถูกนำมาใช้ถอดรหัสระบบของบริษัทยังพะรุงพะรังมากเกินไป และมีราคาแพง ซึ่งไม่ใช่เครื่องมือหากินที่หัวขโมยทั่วไปจะนำไปใช้หากิน และเขาเชื่อว่าเทคโนโลยีที่ใช้อยู่ยังคงปลอดภัยอย่างที่สุด จะเห็นได้ว่าตลอดระยะเวลา 7 ปีที่เทคโนโลยีถูกนำไปใช้ในท้องตลาด ยังไม่เคยมีรายงานการโจรกรรมรถยนต์แม้แต่ครั้งเดียว (คมชัดลึก พุธที่ 2 ก.พ. 48 http://www.komchadluek.net)





คิดค้นเตาเผาขยะปลอดกลิ่น-ราคาถูก

.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในงาน งานวันนักประดิษฐ์ปี 2548 ระหว่างวันที่ 2-4 ก.พ.นี้ ของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ว่า การพัฒนาการวิจัยและการประดิษฐ์คิดค้นจากภูมิปัญญาของคนไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศให้สามารถพึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน สำหรับหนึ่งในผลงานที่น่าสนใจ คือ "เตาเผาขยะรักษาสิ่งแวดล้อม" ของนายภาสกร ดำรง และนายอานนท์ อรุณรับ นักศึกษาชั้นปวช. ปีที่ 2 วิทยาลัยการเกษตรและเทคโนโลยี จ.อุทัยธานี โดยนายอานนท์ กล่าวว่า ได้ดัดแปลงแนวคิดในการทำเตาเผาขยะ มาจากท่อไอเสียของรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งมีใยแก้วกรองไอเสียไม่ให้มีเขม่าออกมามาก ประกอบกับที่วิทยาลัยมีถังน้ำมันขนาด 1,000 ลิตรอยู่จำนวนมาก ถูกทิ้งเอาไว้เป็นสนิมไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์ จึงดัดแปลงมาทำเป็นตัวเตาเผา แบ่งช่วงล่างสำหรับใส่เชื้อเพลิง และมีตะแกรงเหล็กไว้รับขยะที่ใส่ลงไป ส่วนฝาปิดได้ต่อเป็นท่อไอเสียความยาวประมาณ 1 เมตรขึ้นมา เพื่อระบายควันไฟ แต่ที่ไม่สร้างมลพิษเนื่องจากได้นำเอาฝอยขัดหม้อ และใยแก้ว มาเป็นตัวจับควันไม่ให้ออกมา และใส่ถ่านที่ด้านบนสุดของปล่องเพื่อดูดกลิ่น ราคาประมาณ 500-600 บาท เท่านั้น นอกจากนี้ ยังเตรียมพัฒนาระบบเพิ่มเติม โดยจะทำเป็นระบบไอน้ำเพื่อกรองควันพิษอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ผลงานดังกล่าวยังได้รับรองจากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอุทัยธานี ว่าสามารถกรองมลพิษได้ถึง 60% เท่ากับมลพิษที่ปล่อยมาจากท่อไอเสียรถมอเตอร์ไซค์อีกด้วย ส่วนผลงานสิ่งประดิษฐ์อีกชิ้นคือ "การใช้ประโยชน์จากแบคทีเรียเพื่องานศิลปะแกะสลักภาพ" ของนางสุวารี พงศ์ธีระวรรณ และนายนรเทพ พิกุลทอง นักเรียนชั้น ม.4 จากโรงเรียนสุราษฎร์ธานี โดยนางสุวารี กล่าวว่า จากประสบการณ์ในห้องเรียนชีววิทยาเรื่องความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตในหัวข้อแบคทีเรีย พบว่าเด็กไม่ค่อยสนใจเนื้อหา และมุ่งการท่องจำมากกว่า จึงเกิดแนวคิดที่จะหาทางกระตุ้นให้นักเรียนสนใจการเรียนโดยประยุกต์ใช้ความรู้ทางชีววิทยาในการทำหนังเทียมจากการเพาะเลี้ยงแบคทีเรียที่ชื่ออะสิโตแบคเตอร์ ซีเรนั่มมาเพาะเลี้ยงทดแทนหนังแท้ โดยเปลี่ยนสูตรอาหารจากผักตบชวามาใช้ ใช้เวลาเพียง 7 วัน ก็จะได้หนังเทียม (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 3 ก.พ. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





เนคเทคผนึกเอกชนสร้างฮาร์ดดิสก์ คลัสเตอร์ มุ่งวิจัย-พัฒนา รักษาฐานการผลิตอันดับ 2

นายทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) กล่าวว่า ปัจจุบันภาครัฐและสถาบันการศึกษา ร่วมกับภาคเอกชนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ รวมกลุ่มความร่วมมือเป็นฮาร์ดดิสก์ คลัสเตอร์ ตั้งเป้าให้ไทยเป็นผู้นำเชี่ยวชาญด้านฮาร์ดดิกส์ระดับโลกภายในปี 2550 อีกทั้งเพื่อรักษาฐานการผลิตฮาร์ดดิสก์ไทยให้เป็นที่ 2 ของโลกรองจากสิงคโปร์ และป้องกันการย้ายฐานการผลิตไปประเทศจีน โดยเฉพาะฐานการผลิตส่วนไฮเทคในสิงคโปร์มีแนวโน้มจะย้ายไปผลิตในจีน ซึ่งหากไทยเพิ่มศักยภาพความพร้อมบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ จะเพิ่มมูลค่าในประเทศให้มากขึ้น ปัจจุบัน มูลค่าการส่งออกฮาร์ดดิสก์ กว่า 200,000 ล้านบาท โดยมีมูลค่าเพิ่มในประเทศจากการจ้างงาน การซื้อชิ้นส่วนจากผู้ผลิตในประเทศกว่า 69,000 ล้านบาท กลยุทธ์สำคัญของการเพิ่มมูลค่าในประเทศ คือ การดึงดูดให้มีการวิจัยและพัฒนาด้านฮาร์ดดิสก์เพิ่มขึ้น โดยต้องเร่งสร้างวิศวกรและช่างเทคนิคในสาขาต่างๆ ให้เพียงพอ ล่าสุด ได้จัดโปรแกรมฝึกอบรวมวิศวกรและช่างเทคนิคด้านเครื่องจักรกลอัตโนมัติ กับหลายสถาบันการศึกษาซึ่งจะอบรมบุคลากรได้ 100 คนต่อปี ทั้งการฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีสตอเรจ โดยตั้งเป้าไว้ 400-500 คนต่อปี พร้อมกันนี้ ฮาร์ดดิสก์ คลัสเตอร์ ร่วมกับเนคเทค ให้เงินสนับสนุนกว่า 1 ล้านบาทแก่ทีมพัฒนาจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที) และสถาบันวิทยากรหุ่นยนต์ภาคสนาม (ฟีโบ้) พัฒนาเครื่องจักรอัตโนมัติในประเทศ (ออโตเมชั่น แมชชีน) เป็นอุปกรณ์ต้นแบบแล้ว สำหรับอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไทยปีนี้ ประมาณการผลิตจากบริษัทผู้ผลิตใหญ่ 4 แห่ง ทั้งบริษัทเอง ซีเกท ฮิตาชิ และฟูจิตสึ รวม 150 ล้านยูนิต คิดเป็น 42% ของตลาดโลก จากปีที่แล้วมีกำลังผลิต 60 ล้านยูนิต มีส่วนแบ่งตลาดโลก 19.90% (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 3 ก.พ. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ไทยคิดหุ่นยนต์เตือนสึนามิ ของบประมาณรัฐทำเอง คาด 6 เดือนมีต้นแบบโชว์

รศ.ดร.มนูกิจ พานิชกุล นักวิชาการภาควิชาเมคาโทรนิกส์ คณะเทคโนโลยีชั้นสูง สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย (เอไอที) และเป็นหัวหน้าทีมวิจัยในโครงการพัฒนาหุ่นยนต์เคลื่อนที่ใต้น้ำอัตโนมัติ หรือ "ชาละวัน" กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการพัฒนาหุ่นชาละวันขึ้นมาว่า เพื่อนำไปใช้สำรวจทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเล รวมทั้งสามารถประยุกต์ใช้ตรวจสอบสภาพแวดล้อม โครงสร้างของท่อส่งน้ำมัน และค้นหาระเบิดใต้น้ำ หุ่นยนต์ที่เอาชื่อมาจากจระเข้ในวรรณคดีเรื่องไกรทองนี้มีขนาดกว้าง 2 เมตร ยาว 2 เมตร และสูง 2 เมตร และหนัก 100 กิโลกรัม ใช้งบประมาณ 1 ล้านบาท โครงสร้างทำจากอะลูมิเนียม และท่อพีวีซีสีเหลือง ท่อส่วนบนจะใช้บรรจุสมองกล หรือไมโครชิพ และเซ็นเซอร์ต่างๆ อาทิ ระบบวัดระยะด้วยคลื่นเสียง หรือโซนาร์ ระบบวัดความเร่ง และระบบโมเด็มเสียงโซนาร์ ส่วนท่อล่างติดตั้งมอเตอร์ขับเคลื่อน 6 ตัว ที่ช่วยให้หุ่นยนต์สามารถเคลื่อนที่ได้ทั้งแนวดิ่ง แนวนอน และเลี้ยวหมุน แบตเตอรี่สามารถปฏิบัติการได้นาน 30 นาที ในส่วนของฮาร์ดแวร์โดยรวมเสร็จสมบูรณ์แล้ว ยังเหลือแต่เรื่องการหาตำแหน่งของหุ่นยนต์ใต้น้ำอยู่ โดยเราต้องการอุปกรณ์ที่จะช่วยระบุได้ว่าหุ่นยนต์อยู่ ณ ตำแหน่งใด ซึ่งระบบหาตำแหน่งด้วยดาวเทียมหรือจีพีเอสไม่สามารถใช้งานใต้น้ำได้ เราก็เลยจำลองจีพีเอสขึ้นมาโดยใช้คลื่นโซนาร์เป็นตัวบอกตำแหน่งให้กับฐานบนบกแทน ปัจจุบันชาละวันสามารถดำดิ่งใต้น้ำได้ลึก 30 เมตร ครอบคลุมพื้นที่ 30x30x30 เมตร คาดว่าไม่เกิน 6 เดือนเมื่อต้นแบบแล้วเสร็จ ทีมพัฒนาจะนำไปทดสอบจริงที่แม่น้ำเจ้าพระยา นอกจากนี้ ระบบต่างๆ ที่ใช้กับหุ่นยนต์ตัวนี้ ยังสามารถนำมาประยุกต์เป็นระบบตรวจจับคลื่นสึนามิได้ด้วย ซึ่งขณะนี้ทางเอไอทีได้ยื่นเรื่องของบประมาณสนับสนุนโครงการพัฒนาระบบเตือนภัยสึนามิแล้ว คาดว่าไม่น่าจะเกิน 12 ล้านบาท ประมาณ 4 เดือนก็น่าจะได้ต้นแบบพร้อมสาธิตออกมา (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 3 ก.พ. 48 http://www.komchadluek.net)





กินส้มแล้วอย่างทิ้งเปลือก นักวิจัยสะสมทำพลาสติก

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์แนลล์ พบว่า เปลือกผลไม้จำพวกส้ม มะนาว และพืชชนิดอื่นๆ สามารถใช้ทำพลาสติกโฉมใหม่ได้ เพราะมีสารประกอบชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "โพลิไลโมนีน คาร์บอเนต" ซึ่งส่วนผสมของคาร์บอนไดออกไซด์ และไลโมนีนออกไซด์ เมื่อนำโมเลกุลของทั้งสองสิ่งนี้มารวมกัน ก็สามารถผลิตพลาสติกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ สำหรับตัวช่วยผสานโมเลกุลทั้งสองให้เป็นเนื้อเดียวกันนั้น ทีมงานเลือกใช้ซิงก์ออกไซด์ (ส่วนประกอบของสังกะสีกับออกซิเจน) ซึ่งเป็นส่วนผสมหลักในครีมกันแดดที่มีวางจำหน่ายอยู่ทั่วไปในท้องตลาด โดยหลังจากนำสารต่างๆ มารวมกันแล้ว ก็จะได้เป็นแป้งสีขาวที่สามารถนำไปขึ้นรูปเป็นพลาสติก พลาสติกใหม่ที่ได้ มีคุณสมบัติคล้ายกับ "โพลิสไตรีน" พลาสติกที่ได้จากน้ำมันปิโตรเลียม ที่นำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ภายในบ้าน ขณะนี้ ทีมวิจัยของคอร์แนลล์ รวมถึงสก็อต อัลเลน และคริส บริน กำลังทดสอบความทนทานของพลาสติกรูปแบบใหม่นี้ว่า สามารถบรรจุของร้อนและเย็นได้ระดับไหน รวมทั้งจะดูในเรื่องการย่อยสลายในธรรมชาติด้วย ด้านนักวิจัยจากฟลอริดา ก็กำลังหาทางใช้ประโยชน์จากเปลือกส้ม ที่เหลือทิ้งจำนวนมากในอุตสาหกรรมน้ำผลไม้เช่นกัน โรบิน ไบรอัน ผู้จัดการแผนกไซทรัสฟลอริดา บอกว่า ขยะเปลือกส้มสามารถนำไปใช้ผสมในอาหารสัตว์ อีกทั้งไลโมนีนก็ถูกนำไปผสมในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหลายรายการ และนักวิทยาศาสตร์เองก็กำลังทำวิจัยสร้างเอทานอลจากเปลือกส้มด้วย จะเห็นได้ว่าโพลิไลโมนีนคาร์บอเนต ถูกนำไปใช้ช่วยในการหล่อเหล็กและอะลูมิเนียม รวมทั้งเป็นส่วนผสมในยาฆ่าแมลง และยาปราบวัชพืชบางชนิด แต่คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะนำงานวิจัยในห้องทดลองออกสู่ตลาดได้ (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 3 ก.พ. 48 http://www.komchadluek.net)





ปลูกข้าวแบบบูรณาการ ศาสตร์ที่เกษตรไทยต้องเรียนรู้สู่การเป็นครัวของโลก

ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการจัดกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศผู้ผลิตข้าวอื่น ๆ โดยการบูรณาการเทคโนโลยีการผลิตที่ดีเหมาะสม (GAP) สำหรับการผลิตข้าวทุกขั้นตอน ดังนั้น สถาบันวิจัยข้าว กรมวิชาการเกษตร จึงได้จัดทำโครงการการใช้เทคโนโลยีแบบบูรณาการการผลิตข้าวและเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณกว่า 11 ล้านบาท จากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO เพื่อจัดทำเทคโนโลยีการปลูกข้าวแบบบูรณาการและการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี ซึ่งมีวิธีการตรวจสอบขั้นตอนการปลูกข้าวแบบบูรณาการ ที่เป็นวิธีการที่สามารถพัฒนาการปรับใช้ในพื้นที่ปลูกข้าวในประเทศไทย โดยการฝึกอบรมเกษตรกรให้มี ความรู้ความเข้าใจ และสามารถใช้วิธีการตรวจ สอบขั้นตอนการปลูกข้าวแบบบูรณาการได้ด้วย ตนเอง โดยสถาบันวิจัยข้าวได้รวบรวมเทคโนโลยีที่ดีและเหมาะสม ตามขั้นตอนหลักของการปลูกข้าวประกอบด้วย 9 ขั้นตอน คือ กิจกรรมที่ 1 การเลือกพันธุ์ข้าวที่เหมาะสม เกษตรกรจะสามารถเลือกได้ว่าจะปลูกข้าวเพื่อใช้บริโภคหรือขาย กิจกรรมที่ 2 ใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี ซึ่ง จะไม่มีเมล็ดพันธุ์อื่นปน มีความงอกไม่ต่ำกว่า 80% กิจกรรมที่ 3 มีการเตรียมดินที่ดี/ปรับพื้นสม่ำเสมอจะไม่มีวัชพืชขึ้นรบกวน ต้นข้าวเจริญเติบโตสม่ำเสมอ กิจกรรมที่ 4 มีการกำจัดวัชพืชที่ดี หรือมีวัชพืชขึ้นคลุมน้อยกว่า 20% กิจกรรม ที่ 5 มีการใส่ปุ๋ยและปรับปรุงดิน กิจกรรมที่ 6 มีการจัดการน้ำอย่างเหมาะสม กิจกรรมที่ 7 มีการป้องกันกำจัดโรคแมลงแบบผสมผสาน กิจกรรมที่ 8 ตัดข้าวปนเพื่อไม่ให้มีต้นข้าวอื่นปะปน และกิจกรรมที่ 9 มีการเก็บเกี่ยวในระยะพลับพลึง ที่ผ่านมาได้ดำเนินงานนำร่องในพื้นที่ 6 จังหวัด คือ ปทุมธานี ปราจีนบุรี สระแก้ว สกล นคร พิษณุโลก พิจิตร มีการจัดทำแปลงทดสอบการปลูกข้าวแบบบูรณาการและผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี รายละ 5 ไร่ รวมพื้นที่ 1,000 ไร่ ซึ่งพบว่าเกษตรกรสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ 16.7% และเพิ่มผลผลิตข้าวได้ 26.3% หากการปฏิบัติดังกล่าวดำเนินไปด้วยดี เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มผลผลิตข้าวให้เกษตรกรและลดต้นทุนการผลิต ลดการใช้สารเคมีในการทำนา และช่วยให้เกษตรกรสามารถมีเมล็ดข้าวพันธุ์ดีไว้ใช้ในฤดูการผลิตต่อไป และความหวังที่ภาครัฐจะผลักดันให้ไทยกลายเป็นครัวของโลกคงไม่ไกลเกินเอื้อม (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 3 ก.พ. 48 http://www.dailynews.co.th)





หุ่นยนต์กู้ภัย

นศ. จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้คิดประดิษฐ์หุ่นยนต์กู้ภัยให้ความช่วยเหลือขึ้น ด้วยหวังว่าจะทำหน้าที่แทนคนในการเข้าไปยังสถานที่เกิดเหตุ ที่เกินความสามารถปกติของมนุษย์จะทำได้ เช่น พื้นที่แคบและมืด เริ่มต้นจากการเข้าสำรวจสถานที่ก่อน โดยให้มนุษย์ทำงานกับจอมอนิเตอร์แทนที่จะเข้าไปในซากปรักหักพัง หุ่นยนต์จะเป็นผู้ที่ทำหน้าที่สำรวจแทนแล้วหาว่ามีผู้ติดอยู่ในซากอาคารส่วนไหน จากนั้นจะส่งพิกัดของเป้าหมายมายังจอมอนิเตอร์ที่ควบคุมอยู่แล้วจึงดำเนินการให้ความช่วยเหลือ เครื่องจักรกลกู้ภัยนี้มีลักษณะแบนดูไม่เหมือนหุ่นยนต์ (แต่เหมือนเครื่องตัดหญ้า เพราะมีขนาด 40x50 ซม. สูงไม่ถึง 20 ซม.และน้ำหนักเพียง 5 กก.) แม้เป็นเพียงหุ่นยนต์ในขั้นทดลองเพิ่งสำเร็จแค่เพียง 70 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็แสดงถึงศักยภาพที่ไม่เล็กเหมือนขนาดของมัน และ โอดิสซี่ (Odessy) คือชื่อของเจ้าหุ่นยนต์กู้ภัยต้นแบบตัวนี้ กิตติศักดิ์ กุลศัตยาภิรมย์ หรือ ไก่ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 สาขาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ 1 ใน 12 เยาวชนคนสร้างสรรค์ที่รวมกลุ่มสร้างเจ้าโอดิสซี่พูดถึงจุดเริ่มต้นของหุ่นยนต์กู้ภัยว่า "ในเมื่อเรียนวิศวะก็ควรทำอะไรสักอย่างให้เป็นประโยชน์ จึงคิดกันว่าในภาวะปัจจุบัน การกู้ภัยกับชีวิตมนุษย์ เป็นของคู่กัน เราจึงรวมกลุ่มเพื่อนๆ ปี 2 ทั้งหมด 12 คน เป็นการเริ่มต้นจากคนที่มีความสนใจจริงจากความถนัดและสาขาวิชาที่ต่างกันทั้งภาคฯ ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และโทรคมนาคม ผ่านอุปสรรคต่างๆ จากที่ไม่รู้จักแก้ปัญหาจนรู้ และไม่ได้แก้แค่ครั้งเดียวกว่าจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เราใช้เวลาว่างหลังเลิกเรียนสร้างหุ่นยนต์จนเป็นรูปเป็นร่างอย่างที่เห็น ส่วนหนึ่งได้รับการชี้แนะจากอาจารย์ที่ปรึกษา 2 ท่านคือ อ.ฐานิสร์ นุชเครือ และอ.ณัฐชัย จุทอง สำหรับเจ้าหุ่นยนต์กู้ภัยโอดิสซี่นี้สามารถค้นหาผู้ประสบภัยด้วยการใช้คลื่นวิทยุ ควบคุมการทำงานผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ใช้ล้อแบบตีนตะขาบในการเคลื่อนไหว ดูภาพจากจอมอนิเตอร์ เนื่องจากมีการฝังกล้องอยู่ในตัวหุ่นยนต์ เพื่อใช้แทนตาของมนุษย์ นอกจากนี้ยังสามารถทำแผนที่ได้ เพื่อให้ทราบถึงตำแหน่งที่ผู้เคราะห็ร้ายได้แม่นยำยิ่งขึ้น ในอนาคตการพัฒนาหุ่นยนต์ยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งทางผู้ใหญ่ของสถาบันได้เตรียมการส่งผลงานไปแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก โดยจะเริ่มส่งประกวดหุ่นยนต์กู้ภัยของสมาคมวิชาการหุ่นยนต์ไทย และเตรียมโกอินเตอร์สู่เวทีโลกในการประกวดหุ่นยนต์ของสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 4 ก.พ. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





นักวิทย์สร้างเทคนิคใหม่พ่นเคลือบโลหะ

ผศ.ดร.สิทธิชัย วิโรจนุปถัมภ์ ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หัวหน้าโครงการวิจัยการพัฒนาเทคโนโลยีการพ่นเคลือบด้วยความร้อนเพื่อประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า โครงการวิจัยจะช่วยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องเรือน เครื่องประดับตกแต่งได้กว่า 1 - 2 เท่าตัวเนื่องจากการพ่นเคลือบจะทำให้ผิวโลหะของเซรามิค เรซิน หิน ทราย ไม้ มีลักษณะมันวาว สวยงามและทนทาน ได้พัฒนามาเป็นปีที่ 3 แล้วสำหรับเทคโนโลยีการพ่นเคลือบที่พัฒนาขึ้นนี้ มีจุดเด่นอยู่ที่ทำให้วัสดุที่ถูกนำมาเคลือบทนแดด ทนฝน น้ำหนักเบา ใช้งานได้นาน สามารถเคลื่อนย้ายสะดวก เช่น การพ่นเคลือบเหล็กทั่วไป เมื่อใช้ไปเป็นเวลานานจะขึ้นสนิม แต่หากเคลือบพ่นด้วยความร้อนจะไม่มีปัญหาสนิมเกิดขึ้น อีกทั้งราคาก็ถูกลงด้วย แต่เดิมนักวิจัยมีเป้าหมายหลักในการวิจัย เกี่ยวกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการพ่นเคลือบ เพื่อแก้ปัญหาการสึกหรอผุกร่อนของอุปกรณ์ชิ้นส่วนต่างๆ ยืดอายุการใช้งาน หรือใช้พ่นเคลือบชิ้นงานเพื่อให้มีคุณสมบัตินำไฟฟ้า หรือเป็นฉนวนไฟฟ้า ฉนวนกันความร้อน และปัจจุบันอยู่ระหว่างพัฒนาเทคโนโลยีพ่นเคลือบ เพื่อประโยชน์ด้านความสวยงาม โดยวัสดุที่ใช้เคลือบมีหลายประเภท ได้แก่ โลหะ อัลลอยด์ เซรามิค เซอร์เมท คอมโพสิต โพลิเมอร์ เป็นต้น ขึ้นอยู่กับผิวเคลือบที่ต้องการ ทั้งนี้ โครงการวิจัยดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างคณะวิทยาศาสตร์และคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เชียงใหม่ โดยการสนับสนุนจาก "โครงการสนับสนุนกลุ่มวิจัยใหม่ในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ" ซึ่งดำเนินการโดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะแห่งชาติ อีกทั้งเป็น 1 ใน 6 โครงการที่ได้รับคัดเลือกจากทั้งหมดกว่า 30 โครงการจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศ และเป็นเพียงมหาวิทยาลัยเดียวที่ตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาค (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 4 ก.พ. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





วว.ชูสารสกัดเมล็ดมันแกว กำจัดศัตรูพืชไร้สารพิษตกค้าง

ดร.สุริยา สาสนรักกิจ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีปุ๋ย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เปิดเผยว่า ทีมวิจัยประสบความสำเร็จจากการศึกษาสารออกฤทธิ์ทางธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพกำจัดศัตรูพืช หลังจากที่ได้ศึกษาสารออกฤทธิ์ของพืชชนิดต่างๆ อาทิ เมล็ดมันแกว หนอนตายหยาก ข่าลิง และหางไหล พบว่า สารสกัดธรรมชาติที่ได้จากเมล็ดมันแกวนั้น มีประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด และส่งผลต่ออัตราการตายของศัตรูพืชตัวฉกาจอย่างหนอนกระทู้ หรือหนอนผีเสื้อกลางคืนได้ถึงร้อยละ 90 โดยสารสกัดที่ได้จากเมล็ดมันแกวนั้น ประกอบด้วย สาร rotenon และ soponins ที่ออกฤทธิ์เป็นยาฆ่าแมลง จากการสกัดตัวทำลายที่เหมาะสม อาทิ เฮกเซน เมทานอล และน้ำ ที่มีประสิทธิภาพและสามารถนำไปใช้ฉีดพ่นทางใบกับพืชตระกูลผักได้ทุกชนิด โดยใช้สารละลายเจือจางในน้ำเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น และเมล็ดมันแกว 1 กิโลกรัม สามารถสกัดสารได้ 4 ลิตร หรือแปลงเกษตร 5 ไร่จะใช้สารสกัดเพียง 20% ของปริมาณสารสกัดที่ได้จากเมล็ดมันแกว 1 ตัน แม้ว่าข้อดีของสารสกัดจากธรรมชาติจะสลายตัวเร็วเมื่อถูกแสงอาทิตย์ จึงไม่ก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในพืช แต่การนำมาใช้นั้นยังมีจุดอ่อนตรงฤทธิ์ยาจะไม่เข้มข้นเมื่อเทียบกับสารเคมี ดังนั้น เกษตรกรจึงต้องฉีดพ่นบ่อยครั้งขึ้นหรือประมาณสัปดาห์ละครั้ง รวมถึงปลูกพืชหมุนเวียนแบบผสมผสานในแปลง เพื่อป้องกันแมลงดื้อยาและแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว สารสกัดจากเมล็ดมันแกวราคาถูกกว่าสารเคมีนำเข้า อีกทั้งผลตกค้างในสิ่งแวดล้อม พืช ผู้ใช้จากการฟุ้งกระจายในบรรยากาศมีน้อยกว่า ใช้เวลาสั้นในการย่อยสลาย สารสกัดดังกล่าวยังเก็บไว้ได้ถึง 2 เดือนในตู้เย็น โดยประสิทธิการออกฤทธิ์ยังคงเดิม สถาบันจะพัฒนาเครื่องจักรและอุปกรณ์สำหรับกระบวนการผลิตในโรงงานต้นแบบ เพื่อคำนวณต้นทุนการผลิตที่แท้จริง พร้อมทั้งสามารถบ่มเพาะและถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เกษตรกร ในลักษณะโรงงานนำร่อง เช่นเดียวกับที่ได้ทดลองสร้างโรงงานแบบครบวงจรกับโครงการผลิตโปรตีนจากหัวกุ้งของสถาบันช่วงก่อนหน้านี้ สารสกัดจากเมล็ดมันแกว คาดว่า จะวางขายภายในงาน 42 ปี สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ณ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี ในเดือนพฤษภาคม 2548 (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 4 ก.พ. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





เกษตรฯลดต้นทุนครีมขัดผิว ผสมเปลือกไข่ผงแทนสครับ

รศ.วิชัย หฤทัยธนาสันติ์ หัวหน้าโครงการวิจัยการใช้ประโยชน์จากเปลือกไข่ไก่ในเครื่องสำอาง จากคณะวิจัยภาควิชาพัฒนาผลิตภัณฑ์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) เปิดเผยว่า โครงการได้ค้นพบวิธีเพิ่มมูลค่าเปลือกไข่ ซึ่งเป็นของเหลือทิ้งที่มีปริมาณมาก โดยทำเป็นสครับผสมในเครื่องสำอางประเภทครีมขัดผิดและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว โดยการวิจัยเป็นหนึ่งในโครงการทุนอุตสาหกรรมสำหรับนักศึกษาปริญญาตรี สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) วัตถุดิบสครับเปลือกไข่นี้ ยังไม่เคยมีผู้ศึกษาการนำเปลือกไข่ไก่ไปใช้ประโยชน์ในเครื่องสำอาง ดังนั้นจึงคิดสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับของเหลือใช้ มาทำเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาด เพื่อลดปัญหาด้านการกำจัดของเหลือทิ้ง โดยในปี 2547 มีผลผลิตไข่ไก่ถึง 9,245 ล้านฟอง แต่เปลือกไข่ไก่เหล่านี้สามารถนำมาใช้ประดิษฐ์เป็นงานศิลปะหรือใช้ประกอบเป็นอาหารสัตว์ได้เพียงบางส่วน ในการวิจัยจึงมองไปที่การนำเปลือกไข่ไก่มาเป็นส่วนประกอบทดแทนการนำเข้า สารขัดผิวราคาแพงจากต่างประเทศ งานวิจัยนี้จะเป็นแนวทางสำหรับการทำผลิตภัณฑ์จากของเหลือทิ้งอย่างเปลือกไข่ไก่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ครีมขัดผิวที่มีต้นทุน การผลิตต่ำ ทดสอบแล้วเป็นที่ยอมรับในผู้บริโภคที่ได้ทดลองใช้ อีกทั้งคุณสมบัติอื่น ด้านสี ความหนืด กลิ่น ความเป็นกรดด่างและคุณภาพทางจุลินทรีย์อยู่ใน เกณฑ์ที่สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรมกำหนด แต่การต่อยอดงานวิจัยนี้เพื่อการทดสอบตลาดนั้นยังต้องใช้เวลาศึกษาเพิ่มเติมต่อไป” รศ.วิชัย กล่าว (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 4 ก.พ. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





มหิดลเนื้อหอม ภาคธุรกิจรุมจีบงานวิจัย

นายเจษฎา ธรรมวณิช รองผู้อำนวยการศูนย์ประยุกต์และบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ปัจจุบันศูนย์ประยุกต์ฯ ได้จดสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตรงานวิจัยของนักวิจัยในสังกัดไปแล้วกว่า 100 เรื่อง และคาดว่าจะจดสิทธิบัตรเพิ่มอีกปีละประมาณ 25 เรื่องเป็นอย่างต่ำ สำหรับชิ้นงานที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในขณะนี้มีหลายรายการ อาทิ ชุดคลุมท้องพลาสติกเพื่อการผ่าตัดคลอดที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งได้เลย จุดเด่นอยู่ที่ความสามารถในเก็บเลือดที่ไหลออกมาระหว่างผ่าตัดได้หมด ซึ่งช่วยป้องกันการติดเชื้อต่อผู้ป่วย แพทย์และพยาบาลขณะทำการผ่าตัดคลอด โดยเฉพาะผู้ป่วยเอดส์และไวรัสตับอักเสบต่างๆ แทนการใช้ชุดที่ทำจากผ้าฝ้ายที่อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อในภายหลังเมื่อนำกลับมาใช้ซ้ำอีก นอกจากนี้ ยังมีเตียงช่วยป้องกันและบำบัดแผลกดทับ ผลงานพัฒนาของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ที่มีราคาถูกกว่าการนำเข้านับแสนบาท อีกทั้งยังสามารถพลิกตะแคงซ้ายขวาได้ ซึ่งรูปแบบเตียงที่มีจำหน่ายทั่วไปไม่สามารถทำได้ ขณะที่งานวิจัยแผ่นยาสมุนไพรสำหรับโรคปริทันต์จากคณะทันตแพทยศาตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลก็อยู่ระหว่างขั้นตอนการเจรจากับบริษัทเอกชนในเยอรมนีรายหนึ่ง ทั้งนี้ แผ่นยาดังกล่าวเป็นส่วนผสมของสารสกัดบัวบกและเปลือกทับทิม ซึ่งขนาดประมาณ 4 x 5 มม. หนา 300 - 400 ไมครอน และออกแบบให้มีรูปร่างคล้ายรูปตัวยู (U) เพื่อให้สะดวกในการใส่ในร่องเหงือก โดยฤทธิ์ใบบัวบกช่วยเสริมสร้างใยคอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในเนื้อเยื่อเหงือก รวมทั้งช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ขณะที่เปลือกทับทิมจะช่วยลดการอักเสบร่องลึกปริทันต์ได้ แผ่นยาตัวนี้สามารถใช้เสริมในการรักษาโรคปริทันต์อักเสบขั้นรุนแรง ที่ทำให้ร่องเหงือกลึกประมาณ 6 มม.ขึ้นไป โดยสามารถใส่ในร่องเหงือกทันทีหลังทันตแพทย์ทำความสะอาดในร่องลึกปริทันต์แล้ว ซึ่งวิธีนี้สามารถลดความจำเป็นในการใช้ยาปฏิชีวนะ ไม่ต้องทำศัลยกรรม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่สามารถทำศัลยกรรมได้ เช่น ผู้ป่วยโรคไต หัวใจและเบาหวาน เป็นต้น สำหรับงานวิจัยแต่ละชิ้นที่พัฒนาขึ้นมานั้น นักวิจัยจะรู้กลุ่มเป้าหมายของตัวเอง ทำให้ชิ้นงานที่ออกมาเป็นที่ต้องการของตลาดและได้รับความสนใจอย่างแพร่หลาย นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยมหิดลยังตั้งเป้าให้ตัวเองเป็นมหาวิทยาลัยแห่งการวิจัย ซึ่งเห็นได้จากงบประมาณสนับสนุนด้านงานวิจัยจะมากถึงระดับร้อยล้านบาท นอกจากมหาวิทยาลัยจะจัดเตรียมงบประมาณสำหรับการวิจัยให้นักวิจัยพร้อมอยู่แล้ว งานวิจัยส่วนใหญ่ยังได้รับแหล่งทุนสนับสนุนจากภายนอกด้วย ซึ่งไม่แปลกเพราะเรามีนโยบายเป็นมหาวิทยาลัยแห่งการวิจัยจึงเน้นเรื่องงานวิจัยเป็นหลัก (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 4 ก.พ. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ทีเม็กซ์พัฒนาหัวสว่านติดชิพ วัดอุณหภูมิขากรรไกร ช่วยงานทันตแพทย์

ดร.อัมพร โพธิ์ใย นักวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ หรือทีเม็กซ์ เปิดเผยว่า ทางศูนย์ได้รับการติดต่อจากกลุ่มทันตแพทย์ที่ประกอบด้วยทันตแพทย์จากมหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาหัวสว่านสำหรับเจาะรักษารากฟันที่สามารถวัดอุณหภูมิของเนื้อเยื่อที่ใช้สำหรับยึดรากฟัน เพื่อระวังไม่ให้ความร้อนส่งผลให้เนื้อเยื่อตายและเป็นเหตุให้การยึดรากฟันล้มเหลว ในการใส่ฟันเทียมให้กับผู้ป่วย ทันตแพทย์ต้องใช้หัวสว่านเจาะเข้าไปในกระดูกกรามสำหรับวางนอตเพื่อใช้ยึดกับรากฟันเทียม เพื่อใช้เป็นฐานสำหรับวางฟันใหม่ แต่บางครั้งความร้อนที่เกิดจากการหมุนของหัวสว่านที่เจาะเข้าไป ถ้าไม่ระวังให้ดีและปล่อยให้อุณหภูมิสูงเกินไปจะส่งผลให้เนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าวตายได้ นอตที่ใช้ยึดรากฟันจึงไม่ยึดติดอยู่กับกระดูก และผู้ป่วยต้องทำการรักษาใหม่ กลุ่มทันตแพทย์ที่มองเห็นปัญหานี้ได้นำโจทย์ดังกล่าวมาปรึกษากับศูนย์ทีเม็กซ์ ซึ่งหลังจากทางศูนย์ได้ศึกษาและพบว่ามีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาหัวสว่านอัจฉริยะขึ้นมา โดยล่าสุดอยู่ในขั้นตอนการพัฒนากระบวนการเพื่อเริ่มทำการผลิต ชุดวัดอุณหภูมิประกอบด้วยสองส่วน โดยส่วนแรกเป็นชุดวัดอุณหภมิและตัวส่งสัญญาณ มีลักษณะเป็นชิพขนาดเล็กประมาณ 2x2 มิลลิเมตรสำหรับฝังไว้ที่ปลายของดอกสว่าน อีกส่วนหนึ่งเป็นตัวรับสัญญาณ ซึ่งจะติดไว้ที่ตัวสว่านเพื่อแสดงค่า โดยจะติดตัวเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิไว้ที่ปลายดอกสว่านพร้อมกับชุดส่งข้อมูลด้วยคลื่นวิทยุ RFID เพื่อส่งข้อมูลระดับความร้อนมายังตัวรับสัญญาณที่ติดอยู่ที่ตัวสว่าน ทันตแพทย์สามารถอ่านค่าได้ทันที ต้นทุนในการพัฒนาชิพไร้สาย อยู่ประมาณ 200 บาทต่อชิ้น และอาจลดลงไม่เกิน 100 บาท เมื่อผลิตในปริมาณมาก ซึ่งเมื่อเทียบกับราคาของหัวสว่านที่มีราคา 3,000 บาทต่อหัวและใช้งานได้ไม่เกิน 10 ครั้งแล้ว ถือว่าเป็นราคาที่ไม่ได้เพิ่มต้นทุนในการรักษามาก (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 4 ก.พ. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ยาเม็ดคุมกำเนิดผู้ชายโฉมใหม่

บริษัทยารายหนึ่งจากนอร์เวย์ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยการแพทย์แมสซาชูเซตส์ ที่จะร่วมกันทำวิจัยยาเม็ดคุมกำเนิดในเพศชาย ที่ออกฤทธิ์ทำให้สเปิร์มไม่สามารถแหวกว่ายไปถึงฝั่งปฏิสนธิกับไข่ได้ นักวิจัยยืนยันว่าแนวคิดดังกล่าวจะเกิดผลข้างเคียงน้อยกว่ายาเม็ดคุมกำเนิดที่ผลิตจากฮอร์โมนของเพศชาย เพราะจะไม่เหลือสารตกค้างไว้ในตัวผู้ใช้เลยแม้แต่น้อย ขณะที่วิธีคุมกำเนิดด้วยการฉีดฮอร์โมนอาจมีฮอร์โมนติดค้างและลอยอยู่ภายในกระแสเลือด ส่งผลให้อาจเกิดผลข้างเคียงในบางจุดของร่างกายได้ งานวิจัยชิ้นนี้จะเป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้ชายที่ต้องการคุมกำเนิดนอกเหนือการใช้ถุงยางอนามัยและการทำหมัน งานวิจัยนี้เปิดเผยรายละเอียดเพียงเล็กน้อย โดยบริษัทอ้างว่ายาเม็ดโฉมใหม่ที่กำลังจะออกมานั้น มีความเสี่ยงน้อยกว่ายาเม็ดฮอร์โมนที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน จากการศึกษาก่อนหน้านี้พบว่าผลข้างเคียงของฮอร์โมนอาจเป็นอันตรายต่อต่อมลูกหมากได้ ปัจจุบัน บริษัทยาหลายแห่งกำลังค้นหาสารประกอบเชิงโมเลกุลที่ใช้ปิดกั้นการทำงานของโปรตีนในสเปิร์ม โดยพัฒนาออกมาในหลายรูปแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของเม็ด ฝัง แปะ หรือเจล แต่กว่าจะผลิตออกมาเป็นสินค้าจำหน่ายได้ ต้องใช้เวลานานนับสิบปี ความยากในการวิจัยเหล่านี้อยู่ที่การหาสารประกอบที่สามารถปิดการทำงานของโปรตีนในสเปิร์มโดยไม่กระทบการทำงานของโปรตีนตัวอื่นๆ ในร่างกาย (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 4 ก.พ. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ม.เกษตรฯเปิดคลังพันธุกรรมพืช รับฝากเมล็ดพันธุ์เพื่ออนาคต

ดร.ภาณี ทองพำนัก ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีพันธุ์พืช ที่ได้สั่งสมประสบการณ์ทั้งงานวิจัยทางด้านเมล็ดพันธุ์พืช จากกรมวิชาการเกษตร และเริ่มทำงานด้านนี้อย่างจริงจังกับฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเป็นนักวิจัยมและ หัวหน้าโครงการดูแลธนาคารพันธุกรรมพืช ม.เกษตรศาสตร์ ที่ผ่านมา การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืชนั้นมีหลายวิธี เช่น วิธีที่เกษตรกรเก็บในสภาพเปิด หรือใส่เมล็ดพันธุ์ลงในไว้กระป๋องถุงพลาสติก ซึ่งก็จะไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์เอาไว้ได้นาน ขยับขึ้นมาที่นักวิชาการวิธีการเก็บเมล็ดพันธุ์จะต้องสร้างห้องควบคุมอุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์โดยอาศัยกระแสไฟฟ้า โดยสามารถคงสภาพเมล็ดพันธุ์ไว้ได้ ประมาณ 5-10 ปี แต่เนื่องจากสถานที่และระบบในการเก็บรักษาพันธุ์ส่วนใหญ่ยังไม่ได้มาตรฐาน ปัญหาไฟดับไฟตกยังเกิดขึ้นได้เสมอ ส่งผลเชื้อพันธุ์ที่เก็บไว้เสื่อมคุณภาพการงอก ทำให้นักวิจัยเริ่มมองหาวิธีการที่จะช่วยให้การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืชทำได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด เพื่อป้องการการสูญเสียระหว่างการเก็บรักษา ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ตั้งโครงการธนาคารพันธุกรรมพืช 50 ปี แห่งการวิจัยของ ม.เกษตรศาสตร์ เพื่อเก็บรวบรวมและอนุรักษ์เชื้อพันธุกรรมพืชที่ได้จากการวิจัยปรับปรุงพันธุ์แล้ว หรือพันธุ์ที่เป็นฐานพันธุกรรมสำหรับใช้ในการปรับปรุงพันธุ์พืชในอนาคต โดยอาศัยหลักการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ในสภาพเย็นยิ่งยวด (cryopreservation) ในอุณหภูมิใต้จุดเยือกแข็งถึง -196 องศาเซลเซียสด้วยไนโตรเจนเหลว เป็นวิธีการเก็บรักษาพันธุ์ที่มีประสิทธิภาพมากเมื่อเทียบเท่ากับวิธีอื่นๆ เนื่องจากวิธีการดังกล่าวเป็นการหยุดปฏิกิริยาย่อยสลายและแบ่งเซลล์โดยสิ้งเชิง ทำให้ไม่มีการเสื่อมชีวิต รวมถึงปัญหาการกลายพันธุ์ การผสมข้ามพันธุ์ โดยเมื่อละลายเกล็ดน้ำแข็งออกเซลล์ก็ยังคงมีชีวิตดังเดิม ธนาคารของเราได้รวบรวมเมล็ดพันธุ์จากการปรับปรุงพันธุ์ของมหาวิทยาลัย ด้วยการเก็บรักษาในไนโตรเจนเหลวไว้แล้วกว่า 20 ชนิด 340 สายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดที่ต้านทานโรคราน้ำค้าง ฝ้ายต้านทานแมลง ข้าวสาลี และข้าวบาร์เลย์ชนิดทนร้อน ถั่วลิสงพันธุ์ดี ไปจนถึงเมล็ดพืชไร่ต่างๆ ขณะนี้โครงการธนาคารพันธุกรรมพืช ยังคงทยอยรับเมล็ดพันธุ์เพื่อเก็บเข้าคลัง พร้อมทำประวัติพันธุ์และนักปรับปรุงพันธุ์ เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับผู้ที่ต้องการเมล็ดพันธุ์ไปใช้ต่อไป (กรุงเทพธุรกิจ 5 ก.พ. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





พบจุลินทรีย์สายพันธุ์ไทย ประสิทธิภาพสุดยอด!!

ดร.ศรีสุดา ธรรมวิชุกร อาจารย์จากบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) นักวิจัยผู้คิดค้นจุลินทรีย์ กล่าวว่า ขณะศึกษาต่อระดับปริญญาเอกที่สหรัฐอเมริกา อาจารย์ที่ปรึกษาได้รับทุนวิจัยจากองค์กรเยื่อและกระดาษ ของสหรัฐฯและแคนาดา เพื่อคัดสรรเชื้อจุลินทรีย์ในดินที่มีความสามารถในการกำจัดก๊าซเมธานอล ซึ่งป็นปัญหาของอุตสาหกรรมผลิตเยื่อกระดาษ หรืออุตสาหกรรมผลิตเยื่อกระดาษหรืออุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ป่าไม้ในอเมริกา ซึ่งงานที่ทำ คือการนำดิน และน้ำเสีย จากบริเวณที่น่าจะมีเมธานอลปะปนในปริมาณสูง ไปเพาะแยกจุลินทรีย์ และขยายปริมาณก่อนนำไปทดสอบการย่อยสลายก๊าซเมธานอลในห้องปฏิบัติการ “จริงๆ แล้วอาจารย์ที่ปรึกษาเขาระบุให้ใช้ดินในทวีปอเมริกาเหนือ แต่คิดว่าเนื่องจากในการใช้งานจริงในโรงงานเยื่อกระดาษนั้น อุณหภูมิของก๊าซที่บำบัดจะค่อนข้างสูง (ประมาณ 55 องศาเซลเซียส) ดังนั้นจุลินทรีย์จากเมืองร้อนอาจจะเหมาะสมกว่าจุลินทรีย์จากเมืองหนาว จึงได้นำตัวอย่างดินจากประเทศไทยไปร่วมทดลองด้วย และผลปรากฏว่าจุลินทรีย์ที่มีความสามารถสูงที่สุด ก็คือตัวที่เราได้จากดินที่นำไปจากประเทศไทยนั่นเอง และเมื่อเปรียบเทียบกับจุลินทรีย์ที่ผ่านการตัดต่อยีน ของบริษัทในต่างประเทศที่เขาลงทุนไปกว่าหลายล้านเหรียญนั้น จุลินทรีย์สายพันธุ์ธรรมชาติของเรากลับมีประสิทธิภาพดีกว่าแถมมีขั้นตอนการผลิตที่ใช้เวลาสั้นกว่าอีกด้วย” นอกจากความโดดเด่นเรื่องการกำจัดก๊าซเมธานอลจากอุตสาหกรรมในอุณหภูมิสูง (ประมาณ 55 องศา เซลเซียส) แล้ว ดร.ศรีสุดา ยังทดสอบการบำบัดก๊าซพิษชนิดอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น เบนซิน เฮกซีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งและปะปนออกมากับอากาศใน อุตสาหกรรมหลายชนิด ก็พบว่าจุลินทรีย์ชนิดนี้มีความสามารถย่อยสลายก๊าซ เหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว และที่สำคัญก็คือ มันสามารถเปลี่ยนก๊าซหรือของเหลวพิษเหล่านี้ให้กลายเป็นสารในกลุ่ม “แอนตี้ออกซิแดนท์” หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นส่วนผสมสำคัญในสินค้าเพื่อสุขภาพที่มีความต้องการในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นทุกปี หลังการค้นพบดังกล่าว ดร.ศรีสุดา เลือกที่จะกลับมาวิจัยระดับยีนในประเทศไทย โดยอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูง “ไบโอนาโนชิพ หรือ ไมโครอาเรย์” (Lab-on-a-chipor Microarrays) ทำให้สามารถค้นพบรหัสพันธุกรรม และการแสดงออกของยีนของจุลินทรีย์ดังกล่าว แม้เทคโนโลยีดังกล่าวจะเป็นเรื่องใหม่ แต่ก็มีความสำคัญในการศึกษาความหลากหลายของจุลินทรีย์ในประเทศไทย เพื่อพลังงานและสิ่งแวดล้อม นำไปใช้ในการศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพของจุลินทรีย์ อื่นที่ประโยชน์ในประเทศไทย หรือสามารถช่วยในการค้นพบจุลินทรีย์อื่น หรือสายพันธุ์ใหม่ที่เป็นประโยชน์ในประเทศไทย ในการกำจัดของเสีย หรือมลพิษจากอุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากขึ้น (สยามรัฐ เสาร์ที่ 5 ก.พ. 48 http://www.siamrath.co.th)





ข่าวทั่วไป


องค์การอนามัยโลกชี้แนวโน้มบุหรี่คร่า "ขี้ยา" อื้อ

ศ.น.พ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เปิดเผยว่า จากข้อมูลองค์การอนามัยโลกพบว่า ปัจจุบันมีจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยโรคจากบุหรี่ประมาณ 4.9 ล้านคนทั่วโลก และภายในปี พ.ศ. 2573 จะเพิ่มเป็น 10 ล้านรายต่อปี นับว่ามากกว่าการสูญเสียชีวิตด้วยสาเหตุอื่นๆ และมากกว่าการเสียชีวิตด้วยโรคนิวมอเนีย ท้องร่วง วัณโรค ตายแต่แรกเกิด ทุกสาเหตุรวมกันต่อปี ซึ่งหากแนวโน้มยังคงเป็นอยู่เช่นนี้ ประมาณ 500 ล้านคนที่ยังมีชีวิตอยู่ในวันนี้ จะเสียชีวิตด้วยสาเหตุจากบุหรี่ในอนาคต โดยในจำนวนนี้มีอยู่ครึ่งหนึ่งจะเสียชีวิตในวัยกลางคน คือจะมีอายุสั้นกว่าที่ควรประมาณ 20-25 ปี องค์การอนามัยโลกยังคาดการณ์ด้วยว่า ในปี ค.ศ. 2025 ผู้สูบบุหรี่จะเพิ่มขึ้นประมาณ 1,640 ล้านคน จากปัจจุบันที่มีผู้สูบบุหรี่ทั้งสิ้น 1,100 ล้านคน และพบด้วยว่า สาเหตุของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร มีอยู่ 2 สาเหตุ คือ โรคเอดส์ และการสูบบุหรี่ สำหรับผู้ติดเชื้อ HIV จะเสียชีวิตสูงถึงจุดสูงสุดในปี ค.ศ. 2006 ที่อัตรา 1.7 ล้านคนต่อปี แต่ผู้เสียชีวิตด้วยบุหรี่จะยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆ จาก 5 ล้านคนต่อปี เป็น 10 ล้านคนต่อปี ในช่วง ค.ศ. 2025 ในจำนวนนี้เป็นประชากรของจีนมากที่สุด และที่น่าเป็นห่วงคือ ในปี ค.ศ. 2025 อัตราการสูบบุหรี่ของผู้หญิงในประเทศกำลังพัฒนาเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8 เป็นร้อยละ 20 ทำให้อัตราการตายในกลุ่มผู้หญิงสูงมากขึ้น และเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ธนาคารโลกได้ประมาณความเสียหายทางเศรษฐกิจซึ่งเกิดจากบุหรี่ไว้ประมาณ 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถือเป็นจำนวนที่มากกว่ารายรับ และ 1 ใน 3ของความเสียหายเกิดขึ้นกับประเทศกำลังพัฒนา (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 31 ม.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





หมอพรทิพย์คว้ารางวัลมิตรแท้ฯ

นายอรัญ ศรีว่องไทย รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทมิตรแท้ประกันภัย จำกัด เปิดเผยว่า เนื่องจากในวันที่ 4 กุมภาพันธ์นี้จะเป็นวันครบรอบ 58 ปีของการก่อตั้งบริษัท บริษัทจึงได้จัดให้มีพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 59 รูป เพื่อความเป็นสิริมงคลในวันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 และในโอกาสเดียวกันนี้บริษัทจะมีการเปิดตัวโครงการต่างๆ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์และเตรียมการเฉลิมฉลองในวาระที่บริษัทฯจะมีอายุครบรอบ 60 ปีในปีพ.ศ.2550 โดยโครงการหลักๆ ที่สำคัญคือ โครงการ “มิตรแท้ สังคมไทย” ซึ่งบริษัทจะมีพิธีมอบรางวัลเกียรติให้แก่บุคคลที่ได้รับการเลือกสรรว่า เป็นผู้ที่อุทิศตนเป็นประโยชน์ต่อสังคม และมีคุณลักษณะเป็นมิตรแท้สังคมไทยอย่างแท้จริง ซึ่งบริษัทจะใช้เวลาใน 2 ปีที่จะครบรอบปีที่ 60 นี้ค้นหาบุคคลดังกล่าวเพื่อรับรางวัลนี้ นอกจากนี้บริษัทยังได้จัดมีกิจกรรมต่างๆ เพื่อสาธารณประโยชน์ในช่วงเวลาของการนับถอยหลังเข้าสู่ปีที่ 60 ซึ่งรายละเอียดจะมีการแถลงข่าวในวันงานดังกล่าว สำหรับการคัดสรรผู้จะได้รับรางวัลมิตรแท้ สังคมไทยดังกล่าวนั้น บริษัทได้ตั้งคณะกรรมการที่มาจากผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามาดูแลคัดสรรในเรื่องนี้ โดยในเบื้องต้นบริษัทได้ประเดิมมอบรางวัลให้แก่แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ รองผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรมในฐานะบุคคลที่ทำประโยชน์ให้สังคม ซึ่งบริษัทจะมีการมอบรางวัลเกียรติคุณให้ในเร็วๆ นี้ (สยามรัฐ จันทร์ที่ 31 ม.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





2 สามี-ภรรยาใจบุญ มอบวัตถุโบราณพันปี ให้เป็นสมบัติของชาติ

กรมศิลปากรเตรียมจัดพิธีรับมอบภาชนะดินเผาและเครื่องประดับสำริด สมัยบ้านเชียงอายุ 1,800-4,500 ปี พร้อมเครื่องถ้วยชาม สังคโลก ซองพลู พระดิ่ง หีบใส่เสื้อผ้าลงรักปิดทอง รวม 138 รายการจาก “นางพิรุณ โก๊ส” ลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศสกับสามีชาวอินเดีย ที่สำนึกรักแผ่นดินมอบให้เป็นสมบัติของชาติ ประกอบด้วย โบราณวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์เช่น ภาชนะดินเผาลายเชือกทาบและลายเขียนสี เครื่องประดับสำริด ซึ่งจัดอยู่ในสมัยวัฒนธรรมบ้านเชียงมีอายุราว 1,800-4,500 ปี เครื่องถ้วยชามสังคโลกจากจีนเช่น จานเชิงและชามลายเขียนสีบนเคลือบ เครื่องลายคราม มีอายุราวพุทธศวรรษที่ 22-25 นอกจากนี้ยังมีเครื่องถ้วยโถเบญจรงค์สมัยอยุธยาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ และวัตถุที่มีความสำคัญด้านมนุษย วิทยาสมัยรัตนโกสินทร์เช่น ตะลุ่มไม้ ซองพลู พระดิ่ง ไม้แกะสลัก ช้อน เครื่องทอผ้า มีดด้ามงา หีบใส่เสื้อผ้าทำด้วยไม้หุ้มหนังลงรักปิดทอง ฯลฯ นางพิรุณเห็นว่าศิลปโบราณวัตถุเหล่านี้ควรมอบไว้เป็นสมบัติของชาติไทยจะมีประโยชน์มากกว่า จึงตัดสินใจนำมามอบให้กรมศิลปากรดูแลและรักษาต่อไป โดยกรมศิลปากรจะจัดพิธีรับมอบอย่างเป็นทางการในวันที่ 18 ก.พ.นี้ โดยมีนายอารักษ์ สังหิตกุล อธิบดีกรมศิลปากรเป็นผู้รับมอบ จากนั้นนำมาขึ้นทะเบียนไว้เป็นหลักฐานและจัดแสดงต่อไป (สยามรัฐ จันทร์ที่ 31 ม.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





สมอ.ดึงสถาบันศึกษาออกใบรับรองมผช.

นายไพโรจน์ สัญญะเดชากุล เลขาธิการ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า ในช่วงปี 2548 สมอ.ร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) และสถาบันศึกษาในส่วนภูมิภาค อาทิ มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลจำนวน 300-400 แห่งให้เข้ามาช่วยทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) โดยอุตสาหกรรมจังหวัดจะทั้ง 11 แห่งทั่วประเทศจะเป็นศูนย์กลางในการให้ใบรับรอง มผช.ในพื้นที่ใกล้เคียง และจะส่งเจ้าหน้าของ สมอ.ไปฝึกอบรมให้กับบุคลากรของสถาบันการศึกษาที่สนใจ ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะทำให้ สมอ.ออกใบรับรอง มผช.ให้ทันความต้องการของผู้ประกอบการ ทั้งนี้ปัจจุบันยังมีคำขอค้างอยู่ประมาณ 10,000 ราย ซึ่งการดึงสถาบันการศึกษาในท้องถิ่นมาช่วย จะทำให้การทำงานเร็วขึ้น โดยคาดว่าไม่เกินปี 2549 จะสามารถให้การรับรอง มผช.ได้ครบทุกรายเสร็จ จากปัจจุบันให้การรับรองไปเพียง 3,500 ราย โดยจนถึงขณะนี้ สมอ.ประกาศมาตรฐานชุมชนแล้ว 700 เรื่อง และในปี 2548 จะมีการประกาศมาตรฐานชุมชนอีก 500 เรื่อง เพื่อให้ครอบคลุมผลิตภัณฑ์โอท็อป และเอสเอ็มอีในไทย (ข่าวสด จันทร์ที่ 31 ม.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





วิธีป้องกันตนจากโรคสมองเสื่อม พกสมุดโน้ตแก้ชอบหลงๆลืมๆ

ผศ.น.พ.รุ่งนิรันดร์ ประดิษฐสุวรรณ สาขาวิชาอายุรศาสตร์ปัจฉิมวัย ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวถึงวิธีชะลอโรคสมองเสื่อมว่า โรคหรือภาวะที่ทำให้เกิดอาการคล้ายสมองเสื่อมมีสาเหตุจากรับประทานยาหลายๆชนิดพร้อมกัน โดยเฉพาะยาที่อาจมีผลข้างเคียงต่อสมอง การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมาก ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ได้รับอุบัติเหตุที่ส่งผลกระทบกระเทือนศีรษะ เครียด เครียดเป็นประจำ และมีอาการซึมเศร้า เป็นโรคของต่อมไทรอยด์ เป็นโรคหลอดเลือดสมอง เป็นโรคทางสมองชนิดอื่นๆ เช่น โรคเนื้องอกสมอง โรคติดเชื้อชนิดเรื้อรังทางสมอง เป็นต้น เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุควรตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี หมั่นไปตรวจความดันโลหิตสม่ำเสมอ ตามที่แพทย์นัด หากพบว่าเป็นความดันโลหิตสูง ก็ต้องปฏิบัติตนตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพราะมีผลกระทบต่อภาวะ สมองเสื่อมได้ หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุจะต้องระมัดระวัง ไม่ให้หักโหมจนเกินไป เพราะแทนที่จะเกิดประโยชน์ อาจทำให้เกิดโทษได้ เมื่อสังเกตว่าตนเองเริ่มมีอาการหลงๆ ลืมๆมากผิดปกติ หรือมีอาการบ่งชี้อื่นๆที่น่าสงสัย ก็ควรรีบไปพบประสาทแพทย์ หรือแพทย์ เวชศาสตร์ผู้สูงอายุทันที ควรมีสมุดบันทึกพกติดตัวตลอดเวลา เพื่อใช้จดข้อมูลต่างๆ กันลืม พยายามลดความตึงเครียด เช่น หางานอดิเรกทำในยามว่าง ออกกำลังกาย นั่งสมาธิ เป็นต้น (ไทยรัฐ อังคารที่ 1 ก.พ. 48 http://www.thairath.co.th)





วันนักประดิษฐ์ พบฝีมือคนไทย

ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติกำหนดให้วันที่ 2 กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็นวันนักประดิษฐ์นั้น และปี 2548 ได้กำหนดจัดงานขึ้นใน 4 ภาค เริ่มจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ จ.อุบลราชธานี เดือนธันวาคม 2547 ต่อด้วยภาคใต้ที่ จ.ภูเก็ต เดือนมกราคม ที่ผ่านมา ภาคกลาง วันที่ 2-4 ก.พ. ที่เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว และภาคเหนือ วันที่ 11-13 กุมภาพันธ์ ที่ ม.เชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ สำหรับวัตถุประสงค์การจัดงานนั้น นอกจากเทิดพระเกียรติพระบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระปรีชาสามารถประดิษฐ์คิดค้นสิ่งที่เป็นประโยชน์มาแก้ไขปัญหาการพัฒนาประเทศ ส่งเสริมเผยแพร่ผลงานของนักประดิษฐ์ไทยให้เป็นที่รู้จักแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนเยาวชน ประชาชน ได้แสดงความรู้ ความสามารถต่อสาธารณชน เพื่อจะได้ประดิษฐ์คิดค้นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศให้มากขึ้น ส่วนกิจกรรมในงาน นอกจากจะได้ชมนิทรรศการและการแสดงผลงานสิ่งประดิษฐ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรูปแบบต่างๆ แล้ว ผู้เข้าร่วมงานจะได้ชมสิ่งประดิษฐ์ฝีมือคนไทย ฝีมือเยาวชนไทย นิทรรศการภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับการประดิษฐ์ทั้ง 4 ภาค ฯลฯ (คมชึดลึก อังคารที่ 1 ก.พ. 48 http://www.komchadluek.net)





ใส่แว่นตาป้องกันโรคต้อเนื้อ เป็นมากไปลอกเอาออกทิ้งได้

น.พ.นิพนธ์ จิรภาไพศาล ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า โรคต้อเนื้อเป็นโรคที่พบบ่อย โดยพบมากในช่วงอายุระหว่าง 30-55 ปี เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ โดยต้อเนื้อเกิดจากการถูกลม แสงแดด ฝุ่น หรือความร้อนเป็นเวลานาน ทำให้เยื่อบุตาเกิดการเสื่อมและหนาตัวขึ้น อาการของต้อเนื้อ คือ จะเห็นแผ่นเนื้อเยื่อสามเหลี่ยมสีเหลือง บริเวณตาขาวชิดตาดำ ส่วนมากจะเกิดที่ด้านหัวตามากกว่าหางตา บางครั้งหลังจากถูกแสงมากๆ หรือสิ่งระคายเคืองอาจเห็นหลอดเลือดขยายมีลักษณะสีแดงเรื่อๆ โดยทั่วไปผู้ป่วยจะไม่รู้สึกผิดปกติแต่อย่างใด อาจมีอาการปวดเล็กน้อย ในรายที่เป็นมานาน ต้อเนื้ออาจยื่นเข้าไปถึงกลางตาดำ ทำให้บังสายตา ตามัวมองไม่ถนัด อาจเป็นข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ สำหรับการรักษาหากไม่มีการอักเสบก็เพียงสวมแว่นกันแดด เวลาออกนอกบ้านเพื่อกันลมและแสงแดด แต่หากมีอาการระคายเคืองหรือเกิดการอักเสบ แพทย์จะให้ยาหยอดตาลดอาการระคายเคือง หรือยาลดอาการอักเสบ จากนั้นรอจนกระทั่งต้อเนื้อยื่นเลยขอบตาดำไปพอสมควร จึงค่อยทำการผ่าตัดเพื่อลอกต้อเนื้อออก ซึ่งแพทย์ จะฉีดยาชาเฉพาะที่ตรงบริเวณที่เป็นต้อเนื้อ ใช้ เวลาลอกประมาณ 1 ชั่วโมง และไม่ต้องนอนพักในโรงพยาบาล โดยจะได้ยาไปหยอดที่บ้าน อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่ลอกต้อเนื้อออกแล้วมีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ได้ โดยเฉพาะในคนอายุน้อย หรือเป็นต้อเนื้อมาหลายครั้ง (ไทยรัฐ พุธที่ 2 ก.พ. 48 http://www.thairath.co.th)





ศธ.จับมือยูนิเซฟทำคู่มือภัยพิบัติสึนามิ แจกครู - นักเรียนทั่วปท.เดือนพ.ค.นี้

ดร.จรวยพร ธรณินทร์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า ผลกระทบจากคลื่นยักษ์สึนามิในชายฝั่งทะเลอันดามัน 6 จังหวัดภาคใต้ กล่าวว่า ศธ.ได้ร่วมกับสำนักงานยูนิเซฟ ประจำประเทศไทย วางมาตรการและระบบการบริหารจัดการกรณีเกิดภัยพิบัติ โดย ดร.กิติยา พรสัจจา ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ สำนักงานประจำประเทศไทย จะจัดเงินสนับสนุน ศธ.ในการจัดทำคู่มือวางระบบจัดการกับภัยพิบัติ 3 เล่ม เล่มแรก เป็นคู่มือผู้บริหารสถานศึกษาในการจัดการกับสถานการณ์ภัยพิบัติ 4 เรื่อง คือ ธรณีพิบัติ (สึนามิ) อุทกภัย อัคคีภัย และวาตภัย มีเนื้อหาอาทิ การสำรวจความเสียหาย การซ่อมแซมความเสียหาย การเปิดสถานศึกษา เป็นศูนย์บริจาค การใช้สถานศึกษาเป็นศูนย์พักพิง การจัดทำแผนซ้อมหนีหรือเมื่อผจญภัย ฯลฯ ส่วนเล่มที่สอง เป็นคู่มือครูสำหรับช่วยเหลือเด็กที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ 4 เรื่อง คือ ธรณีพิบัติ (สึนามิ) อุทกภัย อัคคีภัย และวาตภัย มีเนื้อหาจาก สาเหตุอุบัติภัย และภัยพิบัติ การป้องกันภัย ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ผลกระทบจากภัยพิบัติ การเข้าปฏิบัติการหลังภัยพิบัติ การช่วยเหลือของครูแก่นักเรียนที่ได้รับภัยพิบัติ วิธีที่ครูจะเจรจาสร้างขวัญ และกำลังใจแก่เด็ก ผู้ปกครอง เล่มสุดท้าย เป็นหนังสืออ่านสำหรับเด็ก เรื่องธรณีพิบัติ:สึนามิ มีเนื้อหาเป็นเรื่องเล่าผ่านเด็ก ที่ได้รับผลกระทบจากภัยสึนามิ เล่าถึงสภาพเหตุการณ์การแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า การช่วยเหลือเพื่อนนักเรียนที่ได้รับความสูญเสีย หนังสือทั้ง 3 เล่มจะจัดพิมพ์อย่างละ 40,000 เล่ม มีความยาว 60 หน้า โดยจัดพิมพ์ให้แล้วเสร็จก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2548 หรือภายในเดือน พ.ค.นี้ เพื่อนำไปแจกจ่ายให้แก่สถานศึกษาทั่วประเทศ อีกทั้งจะจัดฝึกอบรมให้แก่ผู้บริหาร 1 รุ่น และครู 3 รุ่น รวมถึงจัดอบรมให้แก่สถานศึกษาทั้ง 4 ภูมิภาคด้วย (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 2 ก.พ. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





พระราชินีแนะคนไทยต้องรู้ประวัติศาสตร์ กรมศิลป์เผยครู-นร.แห่เข้าพิพิธภัณฑ์ปีละ 4 หมื่นคน

นายสมชาย ณ นครพนม ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เปิดเผยกับถึงการบริหารจัดการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ว่าภายหลังสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชดำรัสเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม ปี 2544 มีใจความตอนหนึ่งว่า อยากให้ประชาชนชาวไทยสนใจประวัติศาสตร์มากขึ้นนั้น เป็นที่น่ายินดีมีผู้เข้าชมศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทยในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เพิ่มขึ้นทุกปี สถิติปี 2547 ที่ผ่านมา มีผู้เช้าชมสูงถึง 310,000 คนเฉลี่ยวันละกว่า 1,000 คน แบ่งเป็นชาวต่างชาติ 50% อีก 50% เป็นคนไทย ส่วนใหญ่เป็นนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปตามลำดับ ขณะนี้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ได้รับงบประมาณปรับปรุง 10 ล้านบาท รองรับการจัดแสดงในปี 2548 นี้ ทางพิพิธภัณฑ์จะให้ความสำคัญกับการนำเสนอโบราณสถาน โบราณวัตถุ โดยเฉพาะโบราณวัตถุจะปรับปรุงให้มีความโดดเด่น มีจุดขายที่เป็นของแท้ดั้งเดิม ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เทียบเท่าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสิงคโปร์ พิพิธภัณฑ์ยังจะปรับปรุงนำเสนอสำหรับผู้พิการทุกประเภท นอกจากจะแข่งกับตัวเองแล้ว พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จะต้องพัฒนาตัวเองเพื่อแข่งขันกับแหล่งเรียนรู้ที่เกิดขึ้นใหม่ อย่างพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้หรืออุทานการเรียนรู้ของสถาบันพัฒนาความรู้แห่งชาติด้วย เพื่อสนองนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นในระบบ นอกระบบและตามอัธยาศัย และเห็นแล้วว่าความรู้ไม่อยู่เพียงในโรงเรียนเท่านั้น โดยค่าเข้าชมยังคงอัตราเดิม คือนักเรียนเข้าชมฟรี ผู้ใหญ่ 30 บาท ชาวต่างชาติ 40 บาท (คมชัดลึก พุธที่ 2 ก.พ. 48 http://www.komchadluek.net)





ประกาศ3สัญลักษณ์ประจำชาติ

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ที่ทำเนียบรัฐบาล นางสาวศันสนีย์ นาคพงษ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่า ครม. รับทราบเรื่องการกำหนดสัญลักษณ์ประจำประเทศไทยตามที่สำนักงานคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอมา โดยกำหนดให้สัตว์ประจำชาติคือช้างไทย(Elephant Elephas หรือ Maximus) ดอกไม้ประจำชาติคือดอกราชพฤกษ์ หรือดอกคูน(Cassia fistula Linn) สถาปัตยกรรมประจำชาติคือศาลาไทย(Pavilion) โดยคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติพิจารณาการออกแบบภาพสัญลักษณ์ประจำชาติไทยทั้ง 3 สิ่งมาตั้งแต่ปลายปี 2544 โดยมอบหมายให้กรมศิลปากรออกแบบภาพช้างไทย ส่วนภาพดอกราชพฤกษ์และภาพศาลาไทยได้จากการประกวด จากนั้นมีการทบทวนและปรับปรุงแก้ไขหลายครั้ง กระทั่งวันที่ 27 ธันวาคม 2547 คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติจึงเห็นชอบในสัญลักษณ์ประจำประเทศไทยดังกล่าว (มติชนรายวัน พุธที่ 2 ก.พ. 48 http://www.matichon.co.th)





เยื่อหุ้มสมองอักเสบระบาดแดนมังกร เที่ยวตรุษจีนระวัง-หมั่นล้างมือบ่อยๆ

จากกรณีที่มีโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบระบาดที่ประเทศจีน มีคนติดเชื้อแล้ว 258 ราย และเสียชีวิต 16 รายที่ผ่านมานั้น นพ.วิชัย เทียนถาวร ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อห้ามการเดินทางเข้าออกประเทศจีนและไทย แต่ขอแนะนำประชาชนที่จะเดินทางไปประเทศจีน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลตรุษจีนป้องกันตนเองด้วยวิธีง่ายๆ คือ ให้ล้างมือบ่อยๆ หลังสัมผัสสิ่งสาธารณะ เช่น ราวบันได ม้านั่ง ห้องน้ำสาธารณะ ลิฟต์ เป็นต้น และใช้ช้อนกลางระหว่างรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น หลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่แออัด เช่น โรงภาพยนตร์ โรงมหรสพ สถานบันเทิง เวลาไอหรือจามขอให้ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากและจมูก นพ.วิชัยกล่าวว่า เพื่อป้องกันไม่ให้โรคไข้เยื่อหุ้มสมองอักเสบแพร่ระบาดในประเทศไทย ได้สั่งการให้ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด(สสจ.) เฝ้าระวังโรคอย่างเข้มงวด หากพบผู้ป่วยหรือผู้ที่เดินทางมาจากประเทศจีนที่มีอาการไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง คอแข็ง อาเจียน มีจ้ำเลือดตามผิวหนัง ซึม หมดสติ ขอให้รับตัวไว้สังเกตอาการในโรงพยาบาล เก็บตัวอย่างเลือดและน้ำไขสันหลังส่งตรวจที่ห้องปฏิบัติการทุกราย (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 3 ก.พ. 48 http://www.matichon.co.th)





สวทช.โต้โผประชุมโรคอุบัติใหม่อาเซียน

สวทช. เป็นเจ้าภาพจัดประชุม ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคอุบัติใหม่ ของกลุ่มอาเซียน มุ่งแลกเปลี่ยนความรู้ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รับมือการระบาดของโรคชนิดใหม่ เน้นไข้หวัดนก ไข้หวัดใหญ่ รวมถึงไวรัสเวสต์ไนล์ รศ.นพ.ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์ รองผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยี (ไบโอเทค) กล่าวว่า ปัจจุบันยังไม่มีเวทีด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของกลุ่มประเทศอาเซียนเกี่ยวกับโรคอุบัติใหม่ หรือหากมีก็ยังไม่ได้ถูกนำมาเปิดเผย ดังนั้น การประชุมครั้งนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีที่นักวิทยาศาสตร์จะได้มาพบปะกัน อย่างน้อยจะช่วยให้แต่ละประเทศ มีรายชื่อสำหรับติดต่อเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน "ที่ผ่านมาความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับไข้หวัดนก ยังไม่มีการจัดเป็นระบบในเชิงวิทยาศาสตร์ เช่น เป็ดไล่ทุ่งหนึ่งตัวแพร่เชื้อออกไปได้ปริมาณเท่าไร หรือไข้หวัดนกสามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานเท่าไร ยังเป็นเรื่องที่คาดการณ์กันกว้างๆ แต่อาจมีบางประเทศ ซึ่งทำเสร็จแล้ว แต่ไม่ได้ตีพิมพ์ออกมา" สำหรับการประชุมซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 - 18 ก.พ.นี้ จะเป็นการพบปะกันของนักวิทยาศาสตร์ในกลุ่มประเทศอาเซียน พร้อมทั้งเกาหลีใต้ จีน และญี่ปุ่น เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของแต่ละประเทศ ที่มีประสบการณ์และศึกษาเกี่ยวกับโรคอุบัติใหม่ ตลอดจนติดตามความคืบหน้าด้านความพร้อมรับมือของแต่ละประเทศ การประชุมครั้งนี้ จะนำไปสู่การตั้งศูนย์ข้อมูลเกี่ยวกับโรคอุบัติใหม่ในไม่ช้า (กรุงเทพธุรกิจ 5 ก.พ. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





พบนก10ชนิดติดเชื้อหวัดนก

.สพ.นรินทร์ ร่มลำดวน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สำนักเทคนิคและวิชาการสัตว์เลี้ยง บริษัทซีพีเอฟ กล่าวว่า องค์การอนามัยโลกระบุว่าการระบาดของโรคไข้หวัดนกครั้งนี้มีความรุนแรงมากขึ้น เชื้อสามารถทนความร้อนได้ถึง 37 องศาเซลเซียสและอยู่ได้นานถึง 2 วัน โดยเอฟเอโอระบุว่าไทยและเวียดนามจะไม่สามารถกำจัดไข้หวัดนกให้หมดไปได้ จึงแนะนำว่าควรใช้วัคซีน น.สพ.นิรันดร เอื้องตระกูลสุขะ ผู้อำนวยการสำนักควบคุม ป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ กรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ต้องปรับปรุงโรคฆ่าสัตว์ที่มีอยู่ในประเทศทั้งหมดให้อยู่ภายใต้การควบคุมของกฎหมาย ขณะนี้มีโรงฆ่าสัตว์ที่ไม่ได้มาตรฐานถึง 2 พันแห่ง ส่วนเรื่องวัคซีนเห็นว่าการระบาดโรคไข้หวัดนกรอบที่สองยังไม่จำเป็นต้องใช้ เพราะไม่ใช่ระบาดใหญ่ แต่ต้องเตรียมการไว้เพื่อป้องกันการระบาดใหญ่ ต้องฉีดวัคซีนได้ภายใน 12 ชั่วโมง ไม่ให้ระบาดวงกว้าง นายชวาล ทัฬหิกรณ์ ผอ.สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า เลขานุการศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจในการแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคไข้หวัดนกในสัตว์ป่า เปิดเผยว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 3 ก.พ. ได้รับรายงานจากเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์ ว่า มีนกปากห่างตาย 73 ตัว และถ้านับตั้งแต่วันที่ 18 ม.ค.-3 ก.พ. พบว่ามีนกปากห่างตายสะสมรวมถึง 496 ตัว ซึ่งจากการสุ่มตรวจตัวอย่างนกที่ตายจำนวน 15 ตัว พบว่ามี 3 ตัวพบเชื้อหวัดนก นอกจากนั้นจากการสุ่มเก็บตัวอย่างนกจากแหล่งต่างๆ 81 ชนิด จำนวน 6,887 ตัวมาตรวจ พบนก 10 ชนิด ตรวจพบเชื้อหวัดนก ประกอบด้วย นกกระติ๊ดขี้หมู นกกาน้ำเล็ก นกปากห่าง นกพิราบ นกเขาไฟ นกชายเลนน้ำจืด นกยาง เป็ดแดง นกกิ้งโครงคอดำ นกกระจอกบ้าน จากพื้นที่ต่างๆ คือ บึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์, ม.1 ต.โคกปีบ อ.ศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี, ม.2 ม.3 อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม, ม.8 ต.บางไทรป่า อ.บางเลน จ.นครปฐม, ต.โรงช้าง อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง, วัดพิกุลเงิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี และวัดบ้านหนองขาว อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี (เสาร์ที่ 5 ก.พ. 48 http://www.matichon.co.th)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215