หัวข้อข่าวปีที่ 6 ฉบับที่ 10 ประจำวันที่ 2005-03-20

ข่าวการศึกษา

ทปอ.ยืนมติแอดมิชชั่นใช้ผลการเรียน 50% แฉโรงเรียนปล่อยเกรด 10%
กกอ.ไฟเขียวมหา’ลัยสอนป.โทควบ2ใบ
รัฐดึง5กลุ่มอุตฯอุ้มการศึกษา หวังผลิตบุคลากรเฉพาะด้าน
"มติชนยู-มาร์ท"มอบ"100ทุน"น.ร. ผนึก53มหา"ลัยเปิดโลกอุดมศึกษา
กกอ.-สสอท.เดินหน้า จัดอันดับม.รัฐ-เอกชน
มข.ปรับโฉมเน้นวิจัย
"ทักษิณ" เยือนอาชีวะ เลขา กอศ.ขอมติครม. แก้ ก.ม.รับงาน-ลดภาษี
มรภ.ลำปางลุยจีนจัดนิทรรศการ ลงนามดึงน.ศ.มหาวิทยาลัยยูนนานเรียนไทย
อุเทนถวายรับ200ล้านย้ายไปสมุทรปราการ
มหาวิทยาลัยลงมติแยกกระทรวง
สอศ.เล็งแก้กฎศธ. เรียนปวช.ไม่ถึง3ปี
"สสวท."เน้น3เป้า เรียนวิทย์ยุคใหม่
สอศ.เผยเด็กแห่เรียนอาชีวะเพียบ
สปท.จับมือมสธ.จัดหลักสูตรแปลงสินทรัพย์
“อดิศัย” รื้อระบบศธ.ใหม่ ตั้งสปายล้วงลูกทุกสำนัก

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

เวทีวิชาการพันธุศาสตร์เสนอรัฐ เร่งคลอดแผนไบโอเทค แห่งชาติ
คณิตศาสตร์สนุกด้วยโปรแกรม GSP
มือถือระบบใหม่ไวกว่าเก่า 7 เท่า ดูโทรทัศน์ได้บนรถไฟรถเมล์
'กร'เดินหน้าภารกิจสร้างพาร์ทเนอร์ชิพ
ซัมซุงซุ่มพัฒนา มือถือ 7 ล้านสี ติดเลนส์ซูมไกล
"ฟ้าผ่า"ช่วยเปิดทาง พา"ยานอวกาศ"ออกนอกโลก
สวทช.ชู'บางมด'พัฒนาอุตฯภาคตะวันตก
เทคโนโลยีสะอาด
สิงคโปร์ที่หนึ่งโลกเทคโนโลยี
เนคเทคดันศูนย์เทคโนโลยีคนพิการ ขึ้นชั้น'สถาบัน'สังกัดกระทรวงวิทย์
โลกร้อนทำหิมะหิมาลัยหด ทำแม่น้ำโขง-คงคา แห้งขอดอีก 20 ปี
ลุ้นใช้ GMO ผลิตวัคซีนอาหาร
สวทช.ขับเคลื่อนไทยสู่เศรษฐกิจโมเลกุล
กทช. เห็นชอบใช้คลื่นความถี่ดาวเทียม สำรวจทรัพยากร
นักวิทย์ถอดรหัส โครโมโซมเอ็กซ์ ไขปริศนาหญิง

ข่าววิจัย/พัฒนา

แมลงสาบตัวสร้างปัญหา ทำให้เด็กเมืองเป็นโรคหอบหืด
กรวยพลังแดดฝีมือวัยจิ๋วใช้สะดวก ต้นทุนต่ำกว่าเซลล์สุริยะ
กรดน้ำมันปลาโอเมกา-3 ช่วยลดปัญหาการอักเสบ
ที่นอนตะไคร้หอม
สารเคลือบเรือกันตะไคร้น้ำ เลียนแบบผิวหยาบแข็งของฉลาม
แพทย์ชี้จีเอ็มโอยกระดับคุณภาพยาใหม่ หวังเห็นพืชวัคซีนฝีมือไทยหากสังคมเปิดใจยอมรับ
วัคซีนกันมะเร็งเต้านมขนานแรก ก้าวหน้าทดลองใช้กับสตรีได้
สบู่เป็นยาฆ่าเชื้อโรคขนานเอก กวาดเกลี้ยงได้เหนืออย่างอื่น
ผู้ดียกเครื่องงบวิทยาศาสตร์ อัดฉีดเฉียดแสนล้านแข่งสหรัฐ
จักรยานแคระปั่นคล่อง ไอเดียเอกชนไทยทำส่งออก
นาฬิกาสเปิร์ม
อาชีวะสร้างเครื่องคำนวณค่าไฟบ้าน
สร้างมูลค่าถุงปุ๋ยเป็นสายรัดกล่อง คุณภาพแจ๋วไม่แพ้ต่างประเทศ
เครื่องรีดยางพาราด้วยก๊าซหุงต้ม โปรเจ็กต์เด็ดๆ เด็กราชมงคล
วิจัยสารสกัด"กิมจิ" ต้านหวัดนกในไก่
อยากอายุยืนต้องขึ้นไปอยู่บนเขา เดินขึ้นลงทำให้ออกกำลังประจำ
วิจัยบังคับแบคทีเรียชักใย ผลิตเส้นใยพิเศษสุดทนทาน
รพ.ปิยะเวทบริการสเต็มเซลล์รักษาโรค
เอชพีปิ๊งไอเดียดึงนาโนเทคฯสร้างผลิตภัณฑ์จิ๋ว
สารสกัดเปลือกมังคุด ช่วยยืดอายุเนื้อหมู
สีธรรมชาติจากป่าพรุ
พัฒนายาปราบมะเร็ง 3 ด้านรวด ล้อมไว้ไม่ให้ลามแล้วลงมือสังหาร
บราซิลหนุนใช้เครื่องบินเอทานอล
สหวิริยา-เอ็มเทคตั้งศูนย์วิจัยเหล็ก
กล้วยไม้จิ๋วหนึ่งเดียวในโลก
บ้านไร้สายอัจฉริยะจาก "ฟิวเจอร์ แล็บ" สัมผัสชีวิตแห่งโลกอนาคต
หุ่นยนต์เคลื่อนเร็วสุด

ข่าวทั่วไป

เนสโกถวายเกียรติยศ"พระเทพฯ" อจ.จุฬาฯคว้ารางวัลสิทธิมนุษยชน
แฉคนไทยติดวัณโรคพุ่งปีละ 8.6 หมื่นคน ติดอันดับ 19 ของโลก
"ชัยอนันต์"เผยพิพิธภัณฑ์เรียนรู้ได้งบฯ3,700ล. เปิดบริการปลายปี49ยันมีชีวิตชีวาใช้สื่อไฮเทค
ฮอร์โมนแอสโตรเจนไก่-ผลไม้ เด็กโตก่อนวัยสารพัดโรคภัยรอ
ค้านขึ้นทะเบียนยูคาลิปตัสเป็นพืชคุ้มครอง
สนข.เล็งใช้เสาโฮปเวลล์ผุดรถไฟฟ้าสายสีแดง
ชี้จะเกิดแผ่นดินไหว-สึนามิอีก
เอสโซ่เฟ้นหาน.ศ.ดาวเด่นรับ1แสน
มธ.เจ๋งได้แชมป์ "มูทคอร์ป"
เสี่ยงมะเร็ง!ใช้พลาสติกหุงอาหารในไมโครเวฟ
แฉใช้โทรศัพท์มือถือมากเด็กไม่โต





ข่าวการศึกษา


ทปอ.ยืนมติแอดมิชชั่นใช้ผลการเรียน 50% แฉโรงเรียนปล่อยเกรด 10%

นายประเสริฐ ชิตพงษ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เผยภายหลังการประชุม ทปอ. ซึ่งพิจารณาเรื่ององค์ประกอบการรับบุคคลเข้าศึกษาต่อ ในสถาบันอุดมศึกษาด้วยระบบกลางการรับนิสิต นักศึกษา หรือระบบแอดมิชชั่น ว่า ทปอ.มีมติยืนยันองค์ประกอบแอดมิชชั่นตามเดิมคือ ผลการเรียนสะสมตลอดหลักสูตร ม.ปลาย (GPAX) 10% ผลการเรียนเฉลี่ยรายกลุ่มสาระ 40% รวมผลการเรียนของเด็ก 50% ส่วนที่เหลืออีก 50% จะเป็นการสอบแบบทดสอบระดับชาติทั่วไป หรือ Orinary National Educational Test หรือ O-NET น้ำหนัก 25-50% และแบบทดสอบระดับชาติขั้นสูง หรือ Advance National Educational Test หรือ A-NET น้ำหนักไม่เกิน 25% ทั้งนี้ แม้จะมีเสียงคัดค้านจากกลุ่มเครือข่ายพ่อแม่ผู้ปกครอง เพื่อการปฏิรูปการศึกษา ตนก็จะทำหนังสือชี้แจงกับทางเครือข่ายฯต่อไป อย่างไรก็ตาม สัดส่วน องค์ประกอบดังกล่าว บางคณะวิชาก็ยังกังวลในเรื่องผู้ออกข้อสอบ ซึ่งจะเป็นหน้าที่ของสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) โดยแบบทดสอบระดับชาติทั่วไป หรือ O-NET เป็นการทดสอบความรู้ทั่วไป อาจให้อาจารย์ระดับมัธยมร่วมออกข้อสอบด้วย ส่วนแบบทดสอบระดับชาติขั้นสูง หรือ A-NET เป็นการทดสอบที่ต้องการทราบความสามารถในระดับสูง จะให้อาจารย์มหาวิทยาลัยเป็นผู้ออกข้อสอบ ทั้งนี้สัดส่วนองค์ประกอบแอดมิชชั่นดังกล่าว เป็นที่พอใจของนักเรียนต่างจังหวัดมาก ส่วนนักเรียน กทม.และร.ร.ดัง อาจได้รับผลกระทบบ้าง แต่ ทปอ.เห็นว่า เด็ก กทม.ได้รับโอกาสจากการรับตรงจากมหาวิทยาลัยในพื้นที่ มากกว่าเด็กต่างจังหวัดที่อยู่ห่างไกล (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 14 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





กกอ.ไฟเขียวมหา’ลัยสอนป.โทควบ2ใบ

ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประชุม กกอ.ได้ให้ความเห็นชอบแนวปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และแนวทางการขอเปิดดำเนินการพัฒนาหลักสูตรระดับปริญญาในระบบการศึกษาทางไกล พ.ศ.2548 ซึ่งมีสาระสำคัญว่า สถาบันอุดมศึกษาอาจจะจัดระบบการศึกษาทางไกลในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งหรือผสมผสานกันก็ได้ โดยยึดสื่อหลัก ได้แก่ สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อแพร่ภาพและเสียง หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ทั้งนี้สถาบันอุดมศึกษาควรผลิตหรือจัดหาสื่อหลักและสื่อเสริมที่เอื้อต่อการศึกษาด้วยตนเองของนักศึกษาด้วย โดยสื่อหลักต้องเป็นสื่อที่นักศึกษาเข้าถึงได้ สามารถถ่ายทอดเนื้อหาสาระได้ทุกเรื่อง และบรรจุเนื้อหาครบถ้วนตามที่กำหนดในหลักสูตร ส่วนสื่อเสริมควรจะเป็นสื่อที่เสริมสาระชัดเจนหรือเป็นสื่อที่เสริมปฏิสัมพันธ์ในระบบการศึกษา และ ที่ประชุมยังเห็นชอบแนวทางการจัดการศึกษาหลักสูตรควบระดับปริญญาโท 2 ปริญญา ในสถาบันอุดมศึกษาไทยที่เปิดให้ผู้เรียนสามารถศึกษาหลักสูตรสองหลักสูตรไปพร้อมกัน และเมื่อสำเร็จการศึกษาก็จะได้รับปริญญาสองหลักสูตร โดยสถาบันที่จัดหลักสูตรควบระดับปริญญาโท 2 ปริญญานี้ จะต้องกำหนดวิชาเฉพาะและวิชาหลักที่จะใช้ร่วมกันสองหลักสูตรให้ชัดเจน ทั้งจำนวนวิชาและจำนวนหน่วยกิต สำหรับเหตุผลที่ กกอ.ให้มีการจัดหลักสูตรควบได้ก็เพื่อให้สถาบันอุดมศึกษาสามารถจัดการศึกษาได้อย่างหลากหลาย ทันสมัย มีมาตรฐาน มีคุณภาพ และทำให้การจัดการศึกษาสอดคล้องกับความก้าวหน้าทางวิชาการและวิชาชีพ ในขณะเดียวกันผู้เรียนก็ใช้เวลาศึกษาที่สั้นลงและประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย นอกจากนี้ที่ประชุมยังเห็นชอบให้สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน จัดตั้งคณะหรือหน่วยงานภายใน 5 ส่วน คือ สำนักงานอธิการบดี, คณะวิศวกรรมศาสตร์, คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, คณะศิลปกรรมศาสตร์ และสำนักวิจัยและบริการวิชาการ. (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 15 มี.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





รัฐดึง5กลุ่มอุตฯอุ้มการศึกษา หวังผลิตบุคลากรเฉพาะด้าน

นายคณิต แสงสุพรรณ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง(สวค.) เปิดเผยว่า แผนการพัฒนาระบบการศึกษาในช่วง 4 ปีข้างหน้า นอกจากจะนำระบบกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (Income Contingent Loan :ICL) มาใช้แล้ว ในขั้นต่อไปจะมีการประสานงานกับภาคเอกชน เพื่อดึงเข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนด้านการเงินให้กับสถานศึกษาให้มากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเริ่มต้นที่ 5 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ก่อน คือ ปิโตรเคมี ,ออกแบบ, อาหาร, ชิ้นส่วนยานยนต์และซอฟท์แวร์ เป็นต้น ปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในแต่ละด้านอุตสาหกรรมนั้นหาค่อนข้างยาก การจะไปรอให้สถานศึกษาผลิตบุคลากรออกมา บางครั้งก็ไม่ตรงกับความต้องการของภาคเอกชนเอง ดังนั้นทางราชการก็จะเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามาบทบาทในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลร่วมกับทางมหาวิทยาลัยเลย ซึ่งอาจจะเข้ามาร่วมดีไชน์หลักสูตรร่วมกับสถานศึกษา โดยภาคเอกชนเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ และเมื่อนักศึกษาจบออกมา ก็มาทำงานในบริษัทนั้นๆ เพื่อชดเชยทุนที่ใช้ไป หรืออีกทางหนึ่งอาจจะสนับสนุนทางอ้อม โดยให้เอกชน มาซื้อพันธบัตร ที่ออกโดยสถานศึกษาแห่งนั้นๆ (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 15 มี.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





"มติชนยู-มาร์ท"มอบ"100ทุน"น.ร. ผนึก53มหา"ลัยเปิดโลกอุดมศึกษา

เครือมติชนจัดกิจกรรม "มติชน ยู-มาร์ท" เปิดโลกกว้างให้ความรู้สำหรับนักเรียนที่เตรียมพร้อมเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย และให้ความรู้สำหรับผู้ปกครองตลอดจนนักการศึกษาทั่วไป ที่จะได้ทราบข่าวสารจากหัวข้อสัมมนาต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการออกบู๊ธแนะแนวการศึกษาให้ความรู้จากสถาบันการศึกษาชั้นนำกว่า 50 แห่ง และบู๊ธอื่นๆ อีกมายมาย พร้อมทั้งกิจกรรมบนเวทีที่มีสาระและบันเทิง งานครั้งนี้ นอกจากไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ แล้ว นักเรียนที่มาลงทะเบียนเข้าชม จะได้ลุ้นจับรายชื่อเป็นผู้โชคดีได้รับทุนการศึกษากว่า 100 ทุน มูลค่า 200,000 บาทด้วย ตลอด 2 วัน คือวันที่ 16-17 มีนาคม เวลา 10.00-21.00 น. ณ ห้องบางกอกคอนเวนชั่น ชั้น 4-5 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 15 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





กกอ.-สสอท.เดินหน้า จัดอันดับม.รัฐ-เอกชน

ศ.(พิเศษ) ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยภายหลังการประชุม กกอ. ว่าที่ประชุมเห็นชอบให้ตั้งคณะทำงานจัดทำแนวทางการจัดอันดับมหาวิทยาลัย และแต่งตั้งให้ รศ.ชูเวช ชาญสง่าเวช รองคณบดีคณะการจัดการ มหาวิทยาลัยชินวัตร เป็นประธานคณะทำงาน เพื่อวางรูปแบบการแบ่งกลุ่มการจัดอันดับมหาวิทยาลัย ให้เหมาะสมกับบริบทของอุดมศึกษาไทย และสอดคล้องกับการนำมหาวิทยาลัยสู่สากล ซึ่งอาจจะแบ่งกลุ่มในหลากหลายมิติ เช่น แบ่งตามสาขาวิชา ตามภารกิจหลักของมหาวิทยาลัยที่เน้นการสอน หรือการวิจัย เป็นต้น ด้าน ผศ.ดร.จันทร์จิรา วงษ์ขมทอง อธิการบดีมหาวิทยาลัยคริสเตียน ในฐานะนายกสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) กล่าวว่า ขณะนี้สถาบันอุดมศึกษาเอกชนมีข้อมูลเกี่ยวกับการจัดอันดับของสถาบันต่างๆ พอสมควร และได้ตั้ง ผศ.ดร.สุรพงษ์ พินิจกลาง รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนามหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เป็นประธานศึกษาวิจัยรูปแบบและวิธีการในการจัดอันดับขององค์กรต่างๆ ในต่างประเทศ เช่น ประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย อเมริกา และจีน ว่าเป็นอย่างไร นอกจากนี้ยังให้มีการศึกษาวิธีการสร้างเครื่องมือการประเมิน และผลดีผลเสียของการจัดอันดับว่ามีกระทบกับใครในแง่ใดบ้าง และเมื่อจัดไปแล้วมีการนำผลไปใช้ประโยชน์อะไรบ้าง เท่าที่ทราบทางสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ก็กำลังทำในเรื่องการจัดอับดับมหาวิทยาลัยไทยอยู่ ดังนั้น ตนจะประสานไปยังเลขาธิการ กกอ.เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อจะได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน และไม่เกิดความซ้ำซ้อนในการเก็บข้อมูลด้วย (คมชัดลึก อังคารที่ 15 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





มข.ปรับโฉมเน้นวิจัย

รศ.ดร.สุมนต์ สกลไชย อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยได้ปฏิรูปโครงสร้างองค์กรภายในมหาวิทยาลัยเพื่อก้าวสู่การเป็นมหาวิทยาลัยแห่งการวิจัย ซึ่งช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยปรับโครงสร้างองค์กรในหลายส่วน ทั้งการรวมภาควิชาเพื่อลดขนาด ใช้ทรัพยากรร่วมกัน และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการในคณะพยาบาลศาสตร์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เป็น 1 สายวิชาเช่นกัน การสลายสังกัดระดับหน่วยงานย่อยของบุคลากรในมหาวิทยาลัย มารวมในหน่วยงานระดับคณะ หรือสำนักงานอธิการบดี มีปรับการแบ่งส่วนราชการใน 5 หน่วยงาน คือ สำนักวิทยบริการ สำนักทะเบียนและประมวลผล ศูนย์บริการวิชาการ ศูนย์คอมพิวเตอร์ และศูนย์หัวใจสิริกิติ์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยทั้ง 5 หน่วยงานมีการเชื่อมโยงงานกัน บุคลากรสามารถสับเปลี่ยนหน้าที่ได้ ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มภารกิจ จะเลือกจากข้าราชการที่ดำรงตำแหน่งผู้ชำนาญ หรือจากผู้ที่ไม่ได้เป็นข้าราชการ และมีวาระคราวละ 4 ปี มหาวิทยาลัยอยู่ระหว่างการเข้าสู่โครงสร้างใหม่ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กรเพิ่มขึ้นในคณะต่างๆ เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประสิทธิภาพงานดีขึ้น (คมชัดลึก อังคารที่ 15 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





"ทักษิณ" เยือนอาชีวะ เลขา กอศ.ขอมติครม. แก้ ก.ม.รับงาน-ลดภาษี

นายวีระศักดิ์ วงษ์สมบัติ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวว่า ในวันที่ 24 มีนาคมนี้ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับปลัดกระทรวง ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการ ประชุม จะขอการสนับสนุนจากรัฐบาล คือการตั้งโรงงานขึ้นในสถานศึกษาของ สอศ. เพื่อเป็นสถานที่ฝึกปฏิบัติให้แก่นักศึกษา และของบประมาณสร้างห้องแล็บในสถานศึกษา รวมถึงขอมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขอความร่วมมือจากกระทรวง และหน่วยงานรัฐให้จัดจ้างนักศึกษาอาชีวะไปทำงาน หากโครงการที่กระทรวงและหน่วยงานจะจัดจ้างตรงกับสิ่งที่นักศึกษาเรียนมา เพื่อเพิ่มโอกาสฝึกภาคปฏิบัติ เช่น หากต้องการสร้างเรือ ขอให้จ้างนักศึกษาที่เรียนด้านต่อเรือไปทำงาน และถ้าต้องการจัดซื้อสิ่งของที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่อาชีวะผลิต ก็ให้จัดซื้อจากสถาบันอาชีวศึกษา ขณะเดียวกันจะขอให้ ครม.แก้ไขระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการที่สถาบันอาชีวศึกษาจะรับงานการค้าต่างๆ รวมถึงขอให้ช่วยลดภาษีด้วย เช่น สถาบันอาชีวศึกษาสามารถที่จะผลิตแอร์ขาย เพื่อให้เป็นการฝึกภาคปฏิบัติของนักศึกษา แต่ต้องเสียภาษีสรรพสามิต ซึ่งเมื่อคำนวณออกมาแล้ว ราคาแอร์ที่ผลิตออกมาจะสูงกว่าโรงงานที่ผลิตคราวละมากๆ ทำให้ไม่สามารถแข่งขันในตลาดได้ (คมชัดลึก อังคารที่ 15 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





มรภ.ลำปางลุยจีนจัดนิทรรศการ ลงนามดึงน.ศ.มหาวิทยาลัยยูนนานเรียนไทย

ผศ.จำเนียร นันทดิลก รองอธิการบดีฝ่ายกิจการพิเศษ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง เปิดเผยว่า ผู้บริหารองมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง จำนวน 8 คน จะเดินทางไปประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 17-24 มี.ค.นี้ เพื่อจัดนิทรรศการการศึกษาของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย โดยจะจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยยูนนาน นอร์มอล นครคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน การเดินทางไปจัดนิทรรศการการศึกษาในครั้งนี้ ผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางเตรียมจะเข้าร่วมการเจรจาลงนามความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยยูนนาน นอร์มอล เกี่ยวกับโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษา โดยทางมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางจะรับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยยูนนานมาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง และจะส่งนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางไปศึกษาที่มหาวิทยาลัย ยูนนานของโครงการต่างๆ ที่ได้หารือกันก่อนหน้านี้ ในปีการศึกษาต่อไป นอกจากนี้คณะผู้บริหารของมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางจะเดินทางไปเยี่ยมชม Kunming Tourism Vocation School and Tv University และ Kunming Foreign Language School เพื่อหาแนวทางในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือทางการศึกษาในอนาคต (ข่าวสด อังคารที่ 15 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





อุเทนถวายรับ200ล้านย้ายไปสมุทรปราการ

วันที่ 14 มี.ค. ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) พร้อมด้วย ดร.สิริกร มณีรินทร์ ประธานจัดตั้งอุทยานการเรียนรู้ ผศ.ดร.นำยุทธ สงค์ธนา พิทักษ์ รักษาการอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (รม.) และ ดร.สุชาดา กีระนันทน์ อธิการบดีจุฬาฯ ได้ร่วมลงนามในข้อตกลงการจัดตั้งสำนักงานอุทยานการเรียนรู้ในพื้นที่ของจุฬาฯ ซึ่ง เป็นที่ตั้งของรม.วิทยาเขต อุเทนถวายเดิม ซึ่งในพิธีลงนามดังกล่าวได้มีนักศึกษาอุเทนถวายประมาณ 50 คน มายื่นหนังสือคัดค้านการย้ายวิทยาเขต ซึ่ง ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช กล่าวว่า ข้อตกลงในครั้งนี้ คือการย้ายนักศึกษาออกไปที่จังหวัดสมุทรปราการ โดยสำนักงานอุทยานฯ ได้โอนเงิน 200 ล้านบาทให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ดำเนินการ แต่ยังไม่ระบุระยะเวลาการย้ายที่แน่ชัด โดยให้ขึ้นกับวิทยาเขตใหม่จะสร้างเสร็จเมื่อใดจึงค่อยย้ายออกไป ด้าน ศ.ดร.เกื้อ วงศ์บุญสิน รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร จุฬาฯ กล่าวว่า วิทยาเขตอุเทนถวาย จะก่อสร้างอาคารเรียน 4 หลังให้แล้วเสร็จภายใน 31 ต.ค. 2548 ก่อนที่นักศึกษาจะย้ายเข้าเรียนในวันที่ 1 พ.ย. 2548 โดยจะเริ่มการประมูลก่อสร้างเดือนเมษายนนี้ (เดลินิวส์ อังคารที่ 15 มี.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





มหาวิทยาลัยลงมติแยกกระทรวง

ตามที่ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) มอบหมายให้ นายมณฑล สงวนเสริมศรี อธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร (มน.) เป็นประธานคณะทำงานศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ ในการจัดตั้งกระทรวงอุดมศึกษา หรือแยกสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ออกจากกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นั้น นายมณฑลกล่าวว่า ขณะนี้คณะทำงานได้ศึกษาเสร็จเรียบร้อยแล้ว และจะสรุปอีกครั้งในวันที่ 16 มี.ค. นี้ ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ ทั้ง ม.รัฐและเอกชน มหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ก็เห็นด้วยกับการแยกกระทรวงอุดมศึกษาเพื่อความคล่องตัว ด้านนางรวมพร อินทรประสงค์ ประธานที่ประชุมประธานสภาข้าราชการ มหาวิทยาลัยและลูกจ้างแห่งประเทศไทย (ปขมท.) กล่าวว่า เมื่อเร็วๆนี้ ปขมท. ได้มีการหารือกันถึงเรื่องการแยกกระทรวงอุดมศึกษา เพราะเห็นว่าการรวมกระทรวงทำให้การ บริหารจัดการไม่คล่องตัว อุ้ยอ้าย เสียเวลานาน เช่น การขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เดิมขอผ่านทางสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) เพียงหน่วยงานเดียวก็เรียบร้อย แต่เมื่อรวมกระทรวงแล้ว จะต้องทำเรื่องผ่านหลายขั้นตอน ทั้งนี้ ปขมท.ได้ทำแบบสอบถามความคิดเห็นของสมาชิก ปขมท.ทั้งหมด โดยให้สมาชิกตอบแบบฟันธงว่า เห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้แยกกระทรวง คาดว่าประมาณกลางเดือน เม.ย.น่าจะสรุปแบบสอบถามได้ และเสนอต่อ รมว.ศึกษาธิการ ต่อไป ในเบื้องต้น สมาชิก ปขมท. ส่วนใหญ่เห็นด้วยที่จะให้แยกกระทรวงอุดมศึกษา เนื่องจากพวกเราเป็นกลุ่มที่ทำงานในสายปฏิบัติ จึงรู้ดีว่าการทำงานภายใต้กรอบของกระทรวงเดียวกัน ไม่มีความ คล่องตัว ทุกอย่างติดกับโครงสร้างกระทรวง ส่วนใหญ่จึงเห็นด้วยกับการแยกกระทรวงอุดมศึกษาออกมา การทำงานก็จะคล่องตัวมากขึ้น นอกจากนี้ที่ประชุมสภาอาจารย์แห่งประเทศไทย (ปอมท.) ก็เห็นด้วยที่จะให้แยกกระทรวงอุดมศึกษาเช่นกัน และที่ผ่านมานายวิษณุ เครืองาม ซึ่งดูแลเรื่องการปฏิรูปราชการทั้งระบบก็ระบุว่า หากแยกเป็นกระทรวงอุดมศึกษาไม่ได้ ก็จะให้เป็นทบวง. (ไทยรัฐ พุธที่ 16 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





สอศ.เล็งแก้กฎศธ. เรียนปวช.ไม่ถึง3ปี

นายวีระศักดิ์ วงษ์สมบัติ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เปิดเผยว่า ในช่วง 4 ปี ของรัฐบาลชุดใหม่นี้ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จะมุ่งงานพัฒนาคุณภาพของการจัดการเรียนการสอน ซึ่งเป็นการดำเนินการขั้นตอนต่อไปหลังจากประสบความสำเร็จในการขยายโอกาสในการเรียนต่อด้านอาชีวศึกษา เปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าเรียนในสถานศึกษาของ สอศ.ได้ โดยไม่ต้องสอบคัดเลือกเข้า และเน้นพัฒนาด้านคุณภาพ หลังประสบความสำเร็จในการขยายโอกาสเรียนต่อด้านอาชีวะ เล็งแก้ไขระเบียบกระทรวงศึกษาธิการใหม่ เพื่อเอื้อให้ผู้เรียนสามารถสำเร็จการศึกษาระดับ ปวช.ได้ โดยไม่ต้องเรียนครบ 3 ปี การพัฒนาคุณภาพในการจัดการเรียนการสอนนั้น จะเน้นให้สอนเป็นเรื่องๆ ผ่านทางชิ้นงาน หรือโครงการต่าง ๆ ที่สำคัญคือ สอศ.จะนำการเรียนแบบฟาสต์แทรค หรือหลักสูตรเร่งรัดมาใช้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องปรับแก้ไขระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เกี่ยวกับการสำเร็จการศึกษาของผู้เรียนใหม่ โดยการปรับการเรียนการสอนให้เป็นแบบฟาสต์แทรค คือพยายามเพิ่มช่องทางให้นักศึกษาสามารถสำเร็จการศึกษาได้โดยเร็ว และถ้านักศึกษาเก็บหน่วยกิตได้ครบเมื่อใดก็สามารถสำเร็จการศึกษาได้ทันที ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนที่ขยันเรียนได้มาก รวมทั้งคนที่ทำงานแล้วแต่มาเรียนเสริมความรู้นั้น ให้สามารถนำความรู้ ประสบการณ์ในวิชาชีพของตัวเอง มาเทียบโอนเป็นหน่วยกิตได้ แล้วเก็บเฉพาะหน่วยกิตที่เหลือ ซึ่งจะทำให้สามารถจบการศึกษาได้เร็วขึ้น (คมชัดลึก พุธที่ 16 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





"สสวท."เน้น3เป้า เรียนวิทย์ยุคใหม่

ศ.ดร.พรชัย มาตังคสมบัติ ประธานกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.) เปิดเผยว่า เป้าหมายการพัฒนาการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ยุคนี้ ในงานประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นำวิถีไทย ก้าวไกลสู่สากล มีหลักอยู่ 3 ประการคือ 1. สร้างต้นแบบให้เด็กไทยทุกระดับการศึกษาสามารถคิดอย่างนักวิทยาศาสตร์ได้ นั่นคือคิดอย่างมีเหตุและผล ใช้เหตุผลก่อนจะเชื่อสิ่งใดๆ รู้จักหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ และเชื่อมโยงความรู้เข้าสู่การหาคำตอบได้ด้วยตัวเอง มีทักษะในการแยกแยะคำตอบ และเห็นความสำคัญของงานวิจัยทดลอง 2. นักวิชาชีพนักวิทยาศาสตร์ เข้ามาทำงานในภาคบริการ และภาคต่างๆ ของสังคมไทย และ 3. การสร้างนักวิทยาศาสตร์ประดิษฐ์ เพื่อทำงานวิจัยองค์ความรู้ใหม่ๆ และถ่ายทอดสู่นักวิทยาศาสตร์รุ่นต่อไป เป็นเรื่องจำเป็นมาก เพราะหากไม่สามารถสร้างนักวิทยาศาสตร์ประดิษฐ์ของเราเองได้แล้ว ก็จะกลายเป็นเบี้ยล่างนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างชาติ ที่ยังมีราคาแพงมาก เท่ากับพึ่งพาผลงานประดิษฐ์คิดค้นของต่างประเทศ (ข่าวสด พุธที่ 16 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





สอศ.เผยเด็กแห่เรียนอาชีวะเพียบ

สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) มอบหมายให้สถานศึกษาในสังกัด 410 แห่ง เปิดรับสมัครนักศึกษาเข้าเรียนโดยไม่ต้องสอบคัดเลือก ประจำปีการศึกษา 2548 เพื่อให้นักศึกษาได้เลือกเข้าเรียนในสาขาวิชาชีพที่ตนมีความถนัด สนใจอย่างแท้จริง โดยให้ กำหนดวัน เวลาในการเปิดรับสมัคร ได้ตามความเหมาะสมของสถานศึกษาแต่ละแห่ง จนถึงขณะนี้มีนักเรียนสนใจแสดงความจำนงยื่นสมัครเรียนกับสถานศึกษาอาชีวศึกษาแล้วดังนี้ ระดับ ปวช. 191,085 คน ปวส. 70,079 คน และระดับ ปทส. 54 คน โดยประเภท วิชาที่นักศึกษาระดับ ปวช. สนใจเรียนมาก ได้แก่ วิชาช่างอุตสาหกรรม สาขาวิชายอดนิยม ได้แก่ สาขาไฟฟ้า สาขาอิเล็กทรอนิกส์ สาขาช่างยนต์ ระดับ ปวส. สาขายอดนิยม คือ สาขาเครื่องกล สาขาไฟฟ้ากำลัง สาขาอิเล็กทรอนิกส์ สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ สาขาการบัญชี สถานศึกษาอาชีวศึกษาหลายแห่ง ยังคงเปิดรับสมัครนักศึกษาต่อไปอีกจนถึงวันที่ 31 มี.ค.นี้ นักเรียนที่มีความประสงค์ จะสมัครเข้าเรียนให้รีบติดต่อซื้อและยื่นใบสมัครโดยตรง กับสถานศึกษาที่ประสงค์จะเข้าเรียนได้ทันที สำหรับในกรณีที่อาจมีนักเรียนไปสมัครเรียนเกินจำนวนที่สถานศึกษาจะรับได้ คณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัด หรือสถาบันการอาชีวศึกษา จะพิจารณาจัดให้นักศึกษาได้เข้าเรียนในสถานศึกษาที่อยู่ภายในพื้นที่เครือข่ายสถาบัน ทั้งสถานศึกษาอาชีวศึกษาของรัฐและของเอกชน (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 17 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





สปท.จับมือมสธ.จัดหลักสูตรแปลงสินทรัพย์

นายนที ขลิบทอง ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน (สปท.) เปิดเผยถึงแผนงานของสปท.ปีนี้ว่า น่าจะเน้นการสานต่อความรู้เกี่ยวกับการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน และต้องการให้อยู่ในระบบการศึกษา ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานกับมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) และกรมการศึกษานอกโรงเรียนว่า จะจัดหลักสูตรการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนเป็นหลักสูตร ประกาศนียบัตรเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจเรื่องนี้ และสามารถใช้ประโยชน์ในการศึกษาและประกอบอาชีพ ขณะเดียวกัน มสธ.จะทำโครงการพัฒนาผู้นำชุมชนในพื้นที่ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร จะเลือกสรรผู้นำชุมชนประมาณ 2,000 คน มาเรียนหลักสูตรการบริหารโครงการ สำหรับแนวทางประเภทสินทรัพย์ อาทิ เรื่องที่ดิน เครื่องจักร ทรัพย์สินทางปัญญา หนังสืออนุญาตหรือสิทธิการเช่า ยังมีแนวทางการขยายสินทรัพย์ที่ติดกับที่ดิน ใต้ดิน สัญญาจ้าง รวมทั้งแนวทางที่จะใช้ระบบประกันภัย อาทิ สมาคมเรือประมง เป็นโครงการแรกที่นำระบบประกันภัย มาเสริมกระบวนการการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน และการสร้างนโยบายเครือข่าย โดยจะลงนามเอ็มโอยูกับกรมการพัฒนาชุมชน เพื่อกระจายพัฒนากรไปทุกพื้นที่ และเป็นตัวแทนการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน โดยจะมีมหาวิทยาลัยราชภัฏเป็นคลินิกที่ปรึกษา เป็นพี่เลี้ยงติดตามการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 18 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





“อดิศัย” รื้อระบบศธ.ใหม่ ตั้งสปายล้วงลูกทุกสำนัก

นายอดิศัย โพธารามิก รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า จากนี้ไปการทำงานในกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ต้องมีความรวดเร็วและแม่นยำ ดังนั้น ตนจึงปรับวิธีการคิดและกระบวนการทำงานใหม่ โดยเริ่มจากการปรับระบบการทำงานในสำนักงานเลขานุการรัฐมนตรี ตั้งแต่เรื่องที่ส่งเข้ามาถึงรัฐมนตรีและงานที่ส่งออกไปตามหน่วยงานต่างๆ ว่ามีเรื่องอะไรบ้างและมีความสำคัญอย่างไร รวมทั้งติดตามงานว่าไปค้างอยู่ที่ใดเพราะที่ผ่านมางานยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ทั้งนี้ ตนได้ตั้งคณะทำงานเข้ามาช่วยทำงานโดยยืมตัวข้าราชการระดับ 7-9 จากหน่วยงานในสังกัดศธ.จำนวน 20 คนมาทำหน้าที่ดูงานและติดตามงานให้ลึกและละเอียดขึ้น โดยแบ่งเป็นกลุ่มรับผิดชอบงานทั้งงานนโยบายและงานประจำ คณะทำงานชุดนี้ก็จะคอยติดตามงานในแนวลึกและกว้างขึ้น สามารถให้คำแนะนำได้แต่ไม่มีหน้าที่สั่งการ ทั้งนี้ การตั้งคณะทำงานไม่ใช่เป็นการจับผิดแต่เป็นการเข้ามาช่วยเสริมการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไม่ได้เป็นการล้วงลูกแต่จะเป็นการทำให้หน่วยงานกระตุ้นตัวเองและงานที่ทำจะโปร่งใส ไม่มีอะไรต้องปิดบัง (สยามรัฐ เสาร์ที่ 19 มี.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


เวทีวิชาการพันธุศาสตร์เสนอรัฐ เร่งคลอดแผนไบโอเทค แห่งชาติ

ในการประชุมวิชาการพันธุศาสตร์แห่งชาติ ครั้งที่ 14 เรื่อง พันธุศาสตร์ : จากพื้นฐานสู่เทคโนโลยีระดับโมเลกุล นักวิชาการด้านเทคโนโลยีชีวภาพกล่าวว่า ประเทศไทยยังต้องทำวิจัยพื้นฐานอีกมาก โดยเน้นว่าควรมีแผนเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานวิจัยในอนาคต นักเทคโนโลยีชีวภาพเรียกร้องรัฐบาลชุดใหม่จัดทำแผนไบโอเทคแห่งชาติ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการวิจัยแข่งขันกับต่างประเทศ ขณะที่โลกก้าวเข้าสู่ยุค ปฏิวัติยีน และมีการครอบครองสิทธิบัตรจากผลงานคิดค้นกันอย่างกว้างขวาง แจงข้อดีของเทคโนโลยีระดับโมเลกุลสามารถใช้พัฒนาตั้งแต่ภาคเกษตร พลังงาน จนถึงอุตสาหกรรมยา ดร.สุทัศน์ ศรีวัฒนพงศ์ นายกสมาคมเทคโนโลยีชีวภาพสัมพันธ์ มองว่าไทยยังมีโอกาสที่จะแข่งกับต่างประเทศได้เนื่องจากความรู้พื้นฐานอยู่แล้ว แต่จะต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพขึ้นมาเองเพื่อให้เกิดการยอมรับในประเทศมากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีมีเรื่องสิทธิบัตร ทรัพย์สินทางปัญญาเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงต้องเร่งพัฒนาขึ้นมาเอง เช่น โครงการจีโนมข้าวที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นผู้ทำก็มีการพัฒนาโมเลกุลเครื่องหมายขึ้นมาเอง อีกด้านหนึ่งที่สำคัญคือการสร้างคน ต้องให้มีคุณภาพ รู้เท่าทันในการสร้างเทคโนโลยี ด้าน ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา ประธานเครือข่ายพืชพื้นเมืองไทย เน้นว่าไทยควรอนุรักษ์พืชพื้นเมือง เพราะเป็นพืชพันธุ์ที่ผ่านการวิวัฒนาการนับพันๆ ปีมาให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของท้องถิ่น แม้จะให้ผลผลิตต่ำ แต่ก็ควรอนุรักษ์ไว้และนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 15 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





คณิตศาสตร์สนุกด้วยโปรแกรม GSP

โรงเรียนปราโมชวิทยารามอินทรา เป็นโรงเรียนต้นแบบด้านการใช้ไอซีที เพื่อการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) โดยล่าสุดได้นำโปรแกรม Geometer’s Sketchpad (GSP) มาใช้ในการเรียนคณิตศาสตร์ โดยอาจารย์พรรณี อุ่นละม้าย ครูคณิตศาสตร์ โปรแกรม GSP เป็นโปรแกรมที่อธิบายเนื้อหายากๆ เช่น เรขาคณิต พีชคณิต ตรีโกณมิติ แคลคูลัส ฟิสิกส์ กลศาสตร์ และอื่นๆ ผ่านภาพเคลื่อนไหว(animation) เป็นการผสมผสานวิทยาศาสตร์ และศิลปะ เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้และเข้าใจง่าย และโปรแกรมยังเน้นให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง อาจารย์พรรณี เล่าว่า เริ่มนำ GSP มาทดลองสอนคณิตศาสตร์ตั้งแต่ปี 2546 หลังจากเข้ารับการอบรมจาก สสวท. ซึ่งทดลองใช้กับนักเรียน ม.2 เรื่องทฤษฎีปีทากอรัส แล้วขยายไปสอนนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลายดูบ้าง ในเนื้อหาเรื่องเส้นขนานและเรื่องมุม ซึ่งนักเรียนก็กระตือรือร้นในการเรียนขึ้นมาก เพราะไม่ซ้ำซากกับการเรียนแบบเดิม นักเรียนมีความสุขกับการได้ปฏิบัติเองได้ค้นหาความรู้ด้วยตนเอง โดยที่ไม่ต้องยุ่งยากกับการหาอุปกรณ์มากมายมาช่วย ทั้งนี้ สสวท.จะจัดอบรมครูระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา ในการใช้ซอฟท์แวร์ The Geometer’s Sketchpad Version 4.0 (GSP) สนใจคลิกเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ http://thaiGSP.ipst.ac.th หรือโทร.0-2392-4021 ต่อ 1245,1249 (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 15 มี.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





มือถือระบบใหม่ไวกว่าเก่า 7 เท่า ดูโทรทัศน์ได้บนรถไฟรถเมล์

บริษัทแอลจี อิเล็กทรอนิกส์ แห่งเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ทางบริษัทประสบความสำเร็จจากการทดลองระบบโทรศัพท์มือถือระบบใหม่ ซึ่งเป็นบริการความเร็วสูง ที่เปิดให้บริการร่วมกับบริษัทนอร์เทล แห่งแคนาดา บริการระบบใหม่นี้เป็นบริการสำหรับยุคใหม่ เรียกว่า เอชเอสดีพีเอ (HSDPA หรือ high speed downlink packet access) ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ สามารถสื่อสารกันได้อย่างสะดวกรวดเร็ว อีกทั้งยังเล่นเกมทูเวย์ และดูรายการโทรทัศน์ได้ในระหว่างเดินทางทั้งทางรถยนต์และรถไฟ ล่าสุดได้มีการทดลองระบบที่ห้องปฏิบัติการของนอร์เทล ที่ฝรั่งเศส โดยใช้โทรศัพท์ของแอลจี ซึ่งก็ประสบความสำเร็จในการดาวน์โหลดเสียงและภาพได้เป็นอย่างดี ในความเร็วสูง 1.4 เมกะบิตต่อวินาที ซึ่งเร็วกว่าบริการในปัจจุบันถึง 7 เท่า. (ไทยรัฐ อังคารที่ 15 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





'กร'เดินหน้าภารกิจสร้างพาร์ทเนอร์ชิพ

นายกร ทัพพะรังสี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สมัยที่ 2 ในรัฐบาลชุดใหม่ เปิดเผยว่า ทิศทางการทำงานจะมุ่งสานต่อภารกิจเดิมคือ สร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ตามเจตนารมณ์ของนายกรัฐมนตรี โดยในส่วนของกระทรวงวิทย์จะส่งเสริมการเรียนรู้ในระดับสากล พร้อมทั้งเชื่อมโยงองค์ความรู้กับการพัฒนาประเทศ และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในเวทีการค้าโลก สำหรับยุทธวิธีการทำงานจะต้องเป็นไปในลักษณะการก้าวกระโดด เพื่อให้เท่าทันประเทศชั้นนำ ด้วยการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ (พาร์ทเนอร์ชิพ) กับประเทศผู้นำด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และชักชวนนักวิจัยและนักวิทย์คนไทยระดับหัวกะทิ ที่มีความรู้ความสามารถกลับมาทำงานสร้างประโยชน์ให้ประเทศ โดยเชื่อว่าปัจจุบันประเทศไทยมีความพร้อมด้านการวิจัยและเทคโนโลยีระดับหนึ่ง ที่สามารถรองรับนักวิจัยไทยเหล่านั้นได้ ทิศทางกระทรวงวิทย์ ในการพัฒนาขีดความสามารถของประเทศ จะนำงานวิจัยวิทย์เข้าไปมีบทบาทอยู่เบื้องหลังสนับสนุนกิจกรรมของทุกกระทรวง อาทิ ช่วยกระทรวงพาณิชย์ในเรื่องคุณภาพกุ้ง กระทรวงพลังงานในเรื่องไบโอดีเซล กระทรวงอุตสาหกรรมก็จะนำเทคโนโลยีไปช่วยลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการ และบทบาทช่วยกระทรวงสาธารณสุขด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ในลักษณะการนำนาโนเทคโนโลยีไปใส่ในเครื่องสำอาง ยา การค้นคว้าตัวยาจากสมุนไพร เป็นต้น ด้าน ศ.ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ภารกิจที่ต้องการให้ รมว.วิทย์ สนับสนุนคือ การดำเนินกิจกรรมตามแผนปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม ที่สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมได้กล่าวถึงบริบทด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีใหม่ที่ทันสมัยทั้ง เทคโนโลยีสารสนเทศ วัสดุศาสตร์ นาโนเทค เทคโนโลยีชีวภาพ พร้อมทั้งการสร้างความเข้มแข็งให้การวิจัยไทยในเชิงปริมาณ มีการ สร้างคลัสเตอร์งานวิจัยระหว่างเอกชนกับนักวิจัยมหาวิทยาลัย, เพิ่มกำลังคนด้านวิทย์ โดยทำโครงการนำร่องกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ผลักดันโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ อุทยานวิทยาศาสตร์ในภูมิภาคต่างๆ และ สร้างความรู้ความเข้าใจแก่สาธารณชนเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ อาทิ จีเอ็มโอ นาโนเทค (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 15 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ซัมซุงซุ่มพัฒนา มือถือ 7 ล้านสี ติดเลนส์ซูมไกล

ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ เปิดตัวโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ "เอส ซี เอช-วี 770" มีความละเอียดในการถ่ายภาพถึง 7 ล้านพิกเซล สามารถถ่ายภาพระยะไกลได้ด้วยเลนส์ซูมพิเศษ ต่างจากมือถือติดกล้องดิจิทัลทั่วไปที่ใช้ระบบซูมดิจิทัลที่เป็นการขยายภาพจากขนาดเดิมทำให้ความละเอียดลดลง นอกจากนี้ มือถือรุ่นใหม่ยังมาพร้อมกับจอภาพที่ให้ความละเอียดของสีถึง 16 ล้านสี ผู้ใช้สามารถชมคลิปวิดีโอและไฟล์เพลงบนโทรทัศน์มือถือได้ด้วย พร้อมกันนี้ ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ ยังได้เตรียมเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุด "เอส จี เอช-ไอ 300" ความจุ 3 กิกะไบต์ เอชดีดี เครื่องแรกของโลกด้วย ซึ่งเป็นการพัฒนาต่อยอดมาจากฮาร์ดดิสก์ ไดรฟ์ โฟนรุ่นแรก 1.5 กิกะไบต์ ที่มีคุณสมบัติเทียบเท่ากับฮาร์ดดิสก์ปกติ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถโอนถ่ายไฟล์ได้ง่ายขึ้น คาดการณ์ว่าในปีนี้ตลาดมือถือติดกล้องจะมีการแข่งขันกันร้อนแรงมากขึ้น โดยคู่แข่งอย่าง แอลจี อีเลคทรอนิคส์ อิงค์ แพนเทค และคูริเทล ก็เตรียมส่งกล้องความละเอียด 7 ล้านพิกเซลลงประชันตลาดด้วยเช่นกัน โดยแอลจี อีเลคทรอนิคส์ มีแผนที่จะวางตลาดมือถือติดกล้อง 5 ล้านพิกเซลต้นเดือนหน้าเป็นการปรับแผนก่อนหน้านี้ที่จะไม่ผลิตมือถือติดกล้องความละเอียด 5 เมกะพิกเซล แต่จะข้ามไปผลิตที่รุ่นความละเอียด 6 หรือ 7 เมกะพิกเซลในครึ่งปีหลังแทน ด้านแพนเทค แอนด์ คูริเทล มีแผนปล่อยมือถือติดกล้องความละเอียด 4 หรือ 5 เมกะพิกเซลเช่นกันในช่วงครึ่งปีแรกและจะเริ่มพัฒนารุ่นความละเอียด 7 เมกะพิกเซลในครึ่งปีหลัง (คมชัดลึก อังคารที่ 15 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





"ฟ้าผ่า"ช่วยเปิดทาง พา"ยานอวกาศ"ออกนอกโลก

สำนักงานอวกาศสหรัฐ หรือ "นาซ่า" เปิดเผยการค้นพบครั้งล่าสุดเกี่ยวกับปรากฏการณ์ฟ้าผ่าในธรรมชาติที่สามารถขจัดแถบรังสีในชั้นบรรยากาศโลกให้เกิดเป็นช่องโหว่ขึ้น ซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในงานด้านอวกาศ "จิม กรีน" นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์การบินอวกาศก็อดดาร์ดของนาซ่า กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2501 สหรัฐได้ส่งดาวเทียมดวงแรกชื่อ "เอ็กซ์พลอเรอร์-1" ขึ้นสู่วงโคจรรอบโลกและโคจรอยู่นาน 4 ปี และสามารถค้นพบ "แถบรังสีแวนแอลเลน" ที่ห่อหุ้มผิวโลก แถบรังสีดังกล่าวประกอบด้วยธาตุกัมมันตรังสีที่มีอานุภาพสูงมาก เทียบเท่ากับระเบิดปรมานูที่สหรัฐเคยทิ้งถล่มฮิโรชิมาและนางาซากิของญี่ปุ่นจนราบคาบในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และสามารถป้องกันโลกจากภัยพายุสุริยะ รวมถึงคลื่นรังสีต่างๆ ในกาแล็กซี่ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นอุปสรรคต่อการส่งยานอวกาศและดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจร ครั้งนี้นักวิจัยค้นพบว่า ปรากฏการณ์ฟ้าผ่าที่เกิดในชั้นบรรยากาศของโลกช่วยทำให้เกิดพื้นที่ปลอดรังสีแวนแอลเลนได้นานหลายสัปดาห์ ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์ในการส่งยานอวกาศขึ้นสู่วงโคจรโดยไม่ได้รับผลกระทบจากกัมมันตรังสี กรีนบอกว่าการจะทำให้เกิดช่องโหว่ในแถบรังสีได้นั้นขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งที่ฟ้าผ่าและช่วงเวลาของปี ที่ทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือพื้นดินกว้างใหญ่จะเกิดฟ้าผ่าถี่มากในฤดูร้อน ส่วนทวีปอเมริกาใต้และออสเตรเลียเล็กกว่า ฟ้าผ่าก็จะเกิดน้อยกว่า แต่ช่วงฤดูร้อนที่ชั้นบรรยากาศขอบฟ้าด้านใต้ของโลกมีรังสีเข้มข้นมาก ถ้าจะทำให้เกิดช่องโหว่ได้อาจต้องอาศัยฟ้าผ่าหลายครั้งซึ่งเรื่องนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาต่อไป (ข่าวสด อังคารที่ 15 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





สวทช.ชู'บางมด'พัฒนาอุตฯภาคตะวันตก

สำนักพัฒนาวิทยาศาสตร์ เลือกพระจอมเกล้าธนบุรีเป็นเครือข่าย ITAP แห่งที่ 4 มุ่งให้บริการเพิ่มขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีการผลิตให้เอสเอ็มอีใน 7 จังหวัดภาคตะวันตก เผยแผนงานจะขยายเครือข่ายเพิ่มอีก 3 แห่ง ประกอบด้วย ภาคใต้ตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคอีสานตอนบน หวังกระจายการให้บริการครอบคลุมทั่วไทย รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ได้จัดตั้งหน่วยงานเครือข่ายโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP : Industrial Technology Assistance Program) สำหรับให้บริการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและการจัดการเชิงลึกแบบครบวงจร แก่อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมในพื้นที่ภาคตะวันตก ส่วนสาเหตุที่เลือก มจธ.เป็นเครือข่าย ITAP ภาคตะวันตก เนื่องจากเป็นสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูง ทั้งในเชิงวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ ที่สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมโดยตรง รวมทั้งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับภาคอุตสาหกรรม จนได้รับความไว้วางใจมาเป็นเวลานาน จึงมีความมุ่งหวังว่า เครือข่าย มจธ.จะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญให้ ITAP ต่อไป โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อปรับปรุง ส่งเสริมประสิทธิภาพและขีดความสามารถทางเทคโนโลยีการผลิตของเอสเอ็มอี ซึ่งจะนำไปสู่การพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยี ตลอดจนมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ภายใต้เศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge Based Economy) ด้าน รศ.ดร.สมชาย จันทร์ชาวนา รองอธิการบดีอาวุโส ฝ่ายวิชาการ มจธ. กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา มจธ.ได้ดำเนินกิจกรรมร่วมกับโครงการ ITAP ในฐานะผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษากลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเน้นทางการประยุกต์เครื่องจักรอุตสาหกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของภาคเอกชน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน อาทิ โครงการพัฒนาเตาอบปลาอินฟราเรดต้นแบบสำหรับการอบปลาแบบต่อเนื่อง โครงการออกแบบและพัฒนาเครื่องต้นแบบระบบควบคุมสำหรับการผลิตน้ำส้มสายชูหมักแบบสายการผลิตต่อเนื่อง เพื่อชดเชยการนำเข้าเครื่องจักรจากต่างประเทศ และโครงการปรับปรุงเตาหุงต้มแอลพีจี ที่ใช้ในอุตสาหกรรมทอดกระเทียม เพื่อลดการใช้พลังงาน และเพิ่มประสิทธิภาพทางความร้อนให้สูงขึ้น เป็นต้น ปัจจุบัน สวทช.ได้ให้บริการแก่ภาคเอกชนไปแล้วกว่า 1,500 โครงการ โดยเป็นการดำเนินงานของโครงการ ITAP กว่า 1,300 โครงการ และยังจะขยายเครือข่ายโครงการ ITAP เพิ่มขึ้นอีก 3 แห่ง ประกอบด้วย ภาคใต้ตอนล่าง ,ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนต่อไป เพื่อกระจายการให้บริการแก่ภาคอุตสาหกรรมให้ครอบคลุมทั่วถึงทุกภูมิภาคของไทย (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 16 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





เทคโนโลยีสะอาด

เทคโนโลยีสะอาดหรือ Clean Technology (CT) หมายถึงการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาปรับใช้เพื่อให้การใช้วัตถุดิบ พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเปลี่ยนให้เป็นของเสียน้อยที่สุดหรือไม่มีเลย จึงเป็นการลดของเสียที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมที่แหล่งกำเนิดหรือต้นเหตุ ซึ่งดีกว่าไปแก้ไขที่ปลายเหตุ (ข้อ มูลจาก ม.แม่โจ้ โดย อุมาพร ศิริพินทุ์). (เดลินิวส์ พุธที่ มี.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





สิงคโปร์ที่หนึ่งโลกเทคโนโลยี

ในปีนี้ทั่วโลกได้มีการจัดอันดับประเทศที่สามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ICT–InformationandCommunicationTechnology)ได้ดีที่สุดเรียงลำดับกันไว้และก็มักจะเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจดีตามไปด้วยเพราะผลสรุปจากการสำรวจในรายงานระบุได้ชัดเจนโดยที่คุณออกัสโตโลเปซ–คลารอสซึ่งเป็นผู้สรุปรายงานของเวทีเศรษฐกิจโลกหรือเรียกสั้นๆว่าดับเบิ้ลยูอีเอฟหรือWEFWorldEconomicForumซึ่งเป็นรายงานของโลกที่เชื่อถือได้คุณคลารอสได้สรุปว่า“เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือไอซีทีจะยังคงมีความสำคัญมากต่อการเพิ่มประสิทธิภาพของการบูรณาการแห่งเศรษฐกิจโลก” สถิติตัวเลขที่เรียงลำดับประเทศที่สามารถใช้เทคโนโลยีไอซีทีได้ดีที่สุดเรียงลำดับดังนี้1.สิงคโปร์(2)2.ไอซ์แลนด์(10)3.ฟินแลนด์(3)4.เดนมาร์ค(5)5.สหรัฐอเมริกา(1)6.สวีเดน(4)7.ฮ่องกง(18)8.ญี่ปุ่น(12)9.สวิตเซอร์แลนด์(7)10.แคนาดา(6)11.ออสเตรเลีย(9)12.สหราชอาณาจักรอังกฤษ(15)13.นอร์เวย์(8)14.เยอรมนี(11)15.ไต้หวัน(17)ที่อยู่ในวงเล็บเป็นของปีที่แล้วคือสิงคโปร์แซงสหรัฐอเมริกาซึ่งเดิมอยู่อันดับที่1ปีนี้ก็มาเป็นสิงคโปร์ส่วนสหรัฐอเมริกาปีนี้ก็อยู่อันดับ5ไปเลยโดยถูกกลุ่มประเทศยุโรปตอนเหนือหรือกลุ่มนอร์ดิคแซงเช่นประเทศไอซ์แลนด์ฟินแลนด์และเดนมาร์กซึ่งว่ากันแล้วประเทศที่มาอันดับต้นๆเป็นประเทศเล็กๆพลเมืองน้อยแต่เศรษฐกิจเข้มแข็งมากส่วนของเอเชียที่ติดอยู่ใน15อันดับแรกก็มีฮ่องกงญี่ปุ่นและไต้หวัน ประเทศจีนนั้นพุ่งขึ้นมาแซงอีก10ประเทศมาเป็นที่41ส่วนอินเดียพุ่งแซงขึ้นมา6ประเทศจนมาเป็นที่39แม้จะเป็นประเทศที่จะต้องดูแลพลเมืองกว่าพันล้านคนก็ยังฟันฝ่ามาได้ (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 17 มี.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





เนคเทคดันศูนย์เทคโนโลยีคนพิการ ขึ้นชั้น'สถาบัน'สังกัดกระทรวงวิทย์

ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) กล่าวแถลงผลงานโครงการศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ ซึ่งได้ร่วมกับสถาบันการศึกษาหลายแห่งค้นคว้า พัฒนาสิ่งประดิษฐ์ ซอฟต์แวร์และเครื่องมือต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการ ซึ่งดำเนินการเป็นโครงการนำร่องมาครบ 5 ปี หลังจากนี้จะนำเข้าเสนอคณะรัฐมนตรี ให้จัดตั้งเป็นสถาบันภายใต้การดูแลของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้าน น.ส.วันทนีย์ พันธชาติ ผู้อำนวยการโครงการศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ กล่าวว่า โครงการนำร่อง 5 ปีที่ผ่านมา มีปัญหาด้านการทำงานที่ขาดความคล่องตัว แต่หากได้รับการจัดตั้งเป็น "สถาบัน" จะสามารถดำเนินการได้อิสระขึ้น สำหรับผลงานการวิจัยและพัฒนา 5 ปีที่ผ่านมา อาทิ คอมพิวเตอร์เบรลล์แบบพกพา โดยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, โปรแกรมแปลงเอกสารเบรลล์สู่เอกสารปกติ โดยมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เป็นต้น ขณะที่ผลงานบางส่วนได้ส่งมอบต้นแบบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำมาผลิตใช้เองในประเทศ เช่น โต๊ะปรับระดับได้สำหรับผู้พิการ สวิตช์พูดได้ ที่ได้ส่งมอบกระทรวงศึกษาธิการเรียบร้อยแล้ว แพทย์หญิงดารณี สุวพันธ์ จากศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ ที่ดูแลอุปกรณ์ เครื่องช่วยต่างๆ สำหรับคนพิการ กล่าวว่า ภายในประเทศควรทำวิจัยพัฒนาอุปกรณ์อำนวยความสะดวกให้มากขึ้น โดยปัจจุบัน ศูนย์ฯได้พัฒนาอุปกรณ์ด้วยตนเอง โดยศึกษาต้นแบบของต่างประเทศและคำนึงถึงความต้องการใช้งาน แต่ยังไม่เพียงพอกับความต้องการ จึงต้องนำเข้าถึง 62 รายการจากอุปกรณ์ทั้งหมด 77 รายการ คิดเป็นเงินไหลออกนอกประเทศถึงร้อยละ 68.9 และอุปกรณ์ที่ได้มาก็ยังไม่เพียงพอใช้ทั่วประเทศ (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 17 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





โลกร้อนทำหิมะหิมาลัยหด ทำแม่น้ำโขง-คงคา แห้งขอดอีก 20 ปี

รายงานจากกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโลก กองทุนสัตว์ป่าโลก ระบุว่า อีก 20 ปีข้างหน้า ทวีปเอเชียจะเผชิญภาวะแห้งแล้งระดับรุนแรง เหตุจากภาวะโลกร้อนส่งผลให้หิมะบนเทือกเขาหิมาลัยลดลง ทำให้อีก 20-50 ปีต่อมาปริมาณน้ำ 7 สายสำคัญเหือดแห้ง รวมทั้งแม่น้ำโขงของไทยด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อระบบนิเวศและประชากรในเอเชีย เนื่องจากเทือกเขาดังกล่าว เป็นต้นกำเนิดของ 7 แม่น้ำสายสำคัญในทวีปเอเชีย ประกอบด้วย คงคา สินธุ พรหมบุตร สาละวิน โขง แยงซีเกียงและแม่น้ำเหลือง (ฮวงโห) ซึ่งหล่อเลี้ยงประชากรกว่า 100 ล้านคนในชมพูทวีป และประเทศจีนตลอดทั้งปี ทั้งนี้ กลุ่มอนุรักษ์ได้จัดเก็บข้อมูล โดยสำรวจวัดธารน้ำแข็งบนเทือกเขาดังกล่าว ซึ่งใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจากธารน้ำแข็งบนขั้วโลกเหนือ และพบว่ามีอัตราลดลงโดยเฉลี่ย 10-15 เมตรต่อปี เมื่อการไหลของน้ำจากธารน้ำแข็งลดลง พลังงานไฟฟ้าที่ได้จากน้ำก็จะลดลงตามไปด้วย และอาจเป็นปัญหาสำหรับอุตสาหกรรม เช่นเดียวกับปัญหาด้านเกษตรกรรม รวมทั้งปริมาณน้ำในชลประทานที่ลดลง ก็ทำให้ผลผลิตลดลงตามไปด้วยเช่นกัน ในอนาคตอีก 20-55 ปี หากอุณหภูมิของโลกยังเพิ่มขึ้น และไม่มีใครทำอะไร หรือประเทศอุตสาหกรรมยังเพิกเฉยที่จะปฏิบัติตามพันธกรณีของพิธีสารเกียวโต อาจเป็นไปได้ที่สภาวะอากาศจะเปลี่ยนแปลงถึงระดับอันตราย โดยโลกอาจจะร้อนขึ้นอีก 2 องศาเซลเซียส ถึงแม้จะดูเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นไม่มาก แต่ผลกระทบร้ายแรงอย่างมาก (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 17 http://www.komchadluek.net)





ลุ้นใช้ GMO ผลิตวัคซีนอาหาร

นายนำชัย ชีววิวรรธน์ นักวิชาการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ (สวทช.) กล่าวว่า คนไทยยังสับสนเรื่องจีเอ็มโอกันมาก โดยเฉพาะการที่องค์กรอิสระออกมาเคลื่อนไหว ว่านักวิชาการ ส่งผลให้สังคมไทยขาดความเชื่อมั่นด้วยการให้ข้อมูลผิดๆ ถือเป็นสิ่งเสียหายร้ายแรงที่สุด ที่สำคัญเอ็นจีโอที่ออกมาไม่มีหลักฐานข้อมูลที่แน่ชัด แต่สร้างความรู้สึกให้ประชาชนเข้าใจว่า จีเอ็มโอ คือสิ่งปนเปื้อน คือผีดิบ ทั้งที่มีผลงานวิจัยขององค์กรต่างประเทศ ระบุว่า จีเอ็มโอได้ผ่านการประเมินความเสี่ยงในระดับนานาชาติ โดยพบแนวโน้มว่าไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ และจากสถิติยังไม่พบผลกระทบต่อสุขภาพ ด้าน น.พ.อิสรางค์ นุชประยูร กุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหา-วิทยาลัย กล่าวว่า ยาที่ใช้อยู่ในปัจจุบันล้วนมาจากเทคนิคจีเอ็มโอเช่นกัน แต่ในวงการแพทย์ใช้คำว่า ยาที่พัฒนาและปรับปรุงสูตรใหม่ ทั่วโลกมีการใช้จีเอ็มโอในการผลิตวัคซีนนานกว่า 10 ปีแล้ว ยังไม่พบว่ามีอันตราย เช่น ฮอร์โมนกระตุ้นความสูง ยารักษาโรคเลือด ไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งบางอย่างสามารถใช้รักษาโรคมะเร็งได้ โดยมีแนวคิดว่าในอนาคต อาจมีการผลิตอาหารในรูปแบบวัคซีนซึ่งเป็นเทคนิคของจีเอ็มโอเช่นเดียวกัน (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 18 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





สวทช.ขับเคลื่อนไทยสู่เศรษฐกิจโมเลกุล

รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวถึง ทิศทางการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาว่ากำลังก้าวเข้าสู่ระบบยุคเศรษฐกิจโมเลกุล ซึ่งอาศัยการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ ปัจจุบันเป็นยุคของเศรษฐกิจฐานความรู้ อีกทั้งไทยมีความรู้และความเข้าใจมากขึ้นในระดับโมเลกุลว่า เซลล์มีการทำงานอย่างไร สื่อสารอย่างไร ตลอดจนความเข้าใจการจัดเรียงอะตอม ช่วยให้สามารถพัฒนาวัสดุใหม่ที่มีคุณสมบัติพิเศษมากขึ้น เพื่อนำมาใช้แก้ปัญหาที่มีอยู่ อาทิ พัฒนายารักษาโรค แนวทางการทำลายเซลล์มะเร็งแบบเฉพาะเจาะจง พัฒนาเส้นใยที่มีคุณสมบัติพิเศษ สีเคลือบรถยนต์ และอื่นๆ จากการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ผ่านๆ มา รศ.ดร.ศักรินทร์ มั่นใจว่าไทยเองมีศักยภาพที่จะมุ่งสู่เศรษฐกิจยุคโมเลกุล และมีนักวิจัยที่สามารถแก้ปัญหาให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มผู้ใช้ในประเทศ ถึงกระนั้น ผอ.สวทช.มองว่า นักวิจัยไทยยังมีศักยภาพที่จะผลิตผลงานออกมาได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หากมีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนามากกว่านี้ เศรษฐกิจโมเลกุลที่ไทยมีศักยภาพมาก คือด้านเทคโนโลยีชีวภาพ เนื่องจากไทยมีความพร้อมในด้านการเกษตร และการแพทย์มาก ในด้านวัสดุศาสตร์ก็มีความพร้อมสูงเช่นกัน รวมถึงทุกๆ ด้านจะมีความพร้อมในระดับหนึ่ง และขณะนี้ กำลังผลักดันให้มีสถาบันเทคโนโลยีเซรามิค สถาบันจีโนมิกส์ รวมถึงศูนย์วิจัยระดับชาติในเรื่องพลังงานและพลังงานทดแทน เนื่องจากเห็นความจำเป็น และมีความพร้อมในระดับหนึ่งแล้ว สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นหน่วยงานด้านการวิจัยและพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์ โดยแบ่งออกเป็น 4 ศูนย์ ได้แก่ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ และศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ นอกจากนี้ ในระหว่างวันที่ 28 -30 มีนาคมนี้ สวทช. ได้เป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมวิชาการประจำปี 2548 ภายใต้หัวเรื่อง "วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทยสู่เศรษฐกิจยุคโมเลกุล" ซึ่งจะมีทั้งส่วนงานประชุมวิชาการและนิทรรศการแสดงผลงานวิจัยกว่า 400 ชิ้น รวมถึงเปิดห้องปฏิบัติการให้เอกชนและผู้ที่สนใจได้เข้าชมและแลกเปลี่ยนกับนักวิจัย (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 18 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





กทช. เห็นชอบใช้คลื่นความถี่ดาวเทียม สำรวจทรัพยากร

นายเศรษฐพร คูศรีพิทักษ์ กรรมการในคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. กล่าวว่า กทช. มีมติเห็นชอบให้โครงการพัฒนาดาวเทียม "ธิออส" ที่เป็นดาวเทียมสำรวจทรัพยากรต่างๆ สามารถใช้คลื่นความถี่ในประเทศไทย สำหรับการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติได้ อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าว เป็นความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศส ตามมติคณะรัฐมนตรีปี 2546 โดยประเทศไทยจะรับผิดชอบค่าใช้จ่าย ส่วนประเทศฝรั่งเศสรับผิดชอบด้านเทคนิคและทุนการศึกษาอบรม มีสถานีควบคุมภาคพื้นดินตั้งอยู่ที่เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ มีกำหนดเริ่มออกสู่วงโคจรรอบโลกในปี พ.ศ. 2550 ขณะนี้ ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ได้ส่งนายสจ๊วต แมคเคนชั่น ที่เคยเข้ามาช่วยงานช่วงการแปลงสภาพกรมไปรษณีย์โทรเลขเป็นสำนักงาน กทช. มาปฏิบัติหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้ กทช. แล้ว โดยนายสจ๊วตจะมาให้คำปรึกษาด้านเทคนิคโทรคมนาคม ด้านการออกกฎระเบียบและข้อบังคับกิจการโทรคมนาคมต่างๆ รวมทั้งให้คำปรึกษาเกี่ยวกับกระบวนการรับฟังประชามติ การแข่งขันโดยเสรีและการยุติข้อขัดแย้งต่างๆ ในอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังจะทำหน้าที่ประสานงานกับองค์กรด้านโทรคมนาคมในประเทศต่างๆ เช่น แอฟริกาใต้และฟิลิปปินส์ด้วย (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 18 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





นักวิทย์ถอดรหัส โครโมโซมเอ็กซ์ ไขปริศนาหญิง

นักวิทยาศาสตร์ถอดรหัสโครโมโซมเอ็กซ์ในเพศหญิง ระบุสัมพันธ์กับหลากโรคร้ายกว่า 300 โรค แถมยังช่วยอธิบายถึงความต่างระหว่างชาย-หญิงได้ด้วย นายแพทย์มาร์ก รอส สถาบันเวลคัม ทรัสต์ แซงเกอร์ ในอังกฤษ ในฐานะหัวหน้ากลุ่มนักวิทยาศาสตร์พันธมิตรนานาชาติ เปิดเผยว่า ความสำเร็จของการถอดรหัสพันธุกรรมของโครโมโซมเอ็กซ์ในเพศหญิง ช่วยยืนยันถึงกลไกการทำงานภายในร่างกายผู้หญิง มีความซับซ้อนกว่าเพศชาย และมีความหลากหลายในตัวมากกว่าที่เคยคิดไว้ก่อนหน้านี้ ภายในโครโมโซมเอ็กซ์มียีนมากถึง 1,100 ยีน หรือคิดเป็น 5% ของแผนที่พันธุกรรมมนุษย์ทั้งหมด โดยข้อมูลที่ได้สามารถช่วยในการวินิจฉัยโรค ตั้งแต่โรคฮีโมฟีเลีย ตาบอดสี ออทิสติก โรคอ้วน และลูคิเมีย ทั้งนี้ผู้หญิงจะมีโครโมโซมเอ็กซ์ 2 ตัว ขณะที่ชายจะมีโครโมโซมเอ็กซ์ และวาย อย่างละตัว วารสารเนเจอร์ได้ตีพิมพ์งานวิจัยชิ้นนี้ ระบุว่า ด้วยเหตุที่เพศหญิงมีโครโมโซมเอ็กซ์ถึงสองตัว จึงทำให้โครโมโซมเอ็กซ์อีกตัวถูกปิดการทำงานลง แต่ยีนหลายตัวในโครโมโซมเอ็กซ์ที่ปิดตัวยังทำงานปกติ ซึ่งช่วยอธิบายความแตกต่างบางอย่างระหว่างชายกับหญิง ที่ไม่ได้เป็นผลมาจากฮอร์โมนเพศ อาทิ โรคพันธุกรรม เช่น ตาบอดสี ออทิสติกและฮีโมฟีเลีย พบว่ามีส่วนสัมพันธ์กับโครโมโซมเอ็กซ์ และมีแนวโน้มจะพบในเพศชายมากกว่า เนื่องจากพวกเขาไม่มีโครโมโซมเอ็กซ์อีกตัวมาชดเชยให้กับยีนที่ทำงานผิดพลาด นอกจากนี้ โครโมโซมเอ็กซ์ยังเป็นแหล่งของยีนอีกหลายตัวที่เกี่ยวข้องกับจิตใจ รวมทั้งเกี่ยวพันกับยีนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกายมนุษย์ ได้แก่ ดีเอ็มดี ซึ่งการกลายของดีเอ็มดี เป็นสาเหตุของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Duchenne Muscular Dystrophy) ในเพศชายที่ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตหรือพิการได้ (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 19 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ข่าววิจัย/พัฒนา


แมลงสาบตัวสร้างปัญหา ทำให้เด็กเมืองเป็นโรคหอบหืด

นักวิจัยจากศูนย์การแพทย์เท็กซัส เซาท์เวสเทิร์น ในดัลลัส สหรัฐอเมริกา ศึกษาพบว่า แมลงสาบเป็นแชมป์ทำให้ เด็กๆที่อาศัยในเมืองชั้นในมีปัญหาหอบหืดมากขึ้นยิ่งกว่าพวกไรฝุ่นหรือสัตว์เลี้ยง ถึงแม้ว่าคนทั่วไปจะคิดว่าอาการแพ้จะต้องเกี่ยวข้องกับสัตว์หรือดอกไม้ แต่จากการศึกษาพบว่า เด็กๆที่อาศัยอยู่ในเขตชั้นในเมืองจะมีปฏิกิริยากับแมลงสาบอยู่ในอันดับต้น โดยสารที่ทำให้แพ้นั้นอยู่ในน้ำลาย ในขี้แมลงสาบ สารคัดหลั่ง และตัวแมลงสาบที่ตายแล้ว วิธีป้องกันมิให้เกิดปัญหาจากแมลงสาบนั้น เคนเนธ โอลเดน ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาศาสตร์สุขภาพสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นองค์กรร่วมให้ทุนในการศึกษาบอกว่า ควรจะต้องกำจัดแมลงสาบให้สิ้นซาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเทขยะทิ้งทุกวัน และทำความสะอาดบ้านเรือนโดยรวมอย่างสม่ำเสมอ (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 14 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





กรวยพลังแดดฝีมือวัยจิ๋วใช้สะดวก ต้นทุนต่ำกว่าเซลล์สุริยะ

นายพิสิษฐ์ เกียรติกิตติกุล นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จ.เชียงใหม่ เจ้าของโครงงานการประยุกต์ใช้กรวยรวมแสงอาทิตย์ เปิดเผยว่า โครงงานนี้มุ่งค้นหาวัสดุที่สามารถนำความร้อน และแสงสว่างจากพลังงานแสงอาทิตย์ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีขั้นตอนที่ง่ายและราคาถูกกว่าการใช้เซลล์สุริยะ โดยใช้ใช้กระจกราบซึ่งเป็นวัสดุสะท้อนแสงที่สามารถดัดงอได้และราคาถูก โดยนำมาดัดให้เป็นรูปกรวยแล้วศึกษาถึงผลกระทบของตัวแปรต่างๆ ที่ศึกษาต่อค่าพลังงานที่จะสามารถส่งไปถึงปลายสุดของกรวย โครงงานมุ่งศึกษากรวยรูปแบบต่างๆ ที่เหมาะสมที่ให้ค่าพลังงานแสงจากดวงอาทิตย์สูงสุด ซึ่งคำนวณจากความสูง ฐาน มุมตกกระทบ และรัศมีของกรวย โดยศึกษาหาความสัมพันธ์ของวัสดุที่ใช้ในการสะท้อนแสงกับความสามารถในการรวมแสง ศึกษาถึงขอบเขตความสามารถในการรวมแสงของกรวย และศึกษาขีดจำกัดของจำนวนครั้งที่สะท้อนซึ่งจะสามารถส่งผ่านพลังงานไปยังปลายสุดของกรวย นอกจากนี้ ยังคิดหาสมการทางคณิตศาสตร์ เพื่อนำมาคำนวณหาลักษณะของกรวย ที่สามารถให้ค่าพลังงานที่มากที่สุด ก่อนที่นำไปสู่การสร้างรูปแบบกรวย จากนั้นพิสูจน์ค่าที่ได้จากการคำนวณทางสมการ ผลการศึกษาเบื้องต้นพบว่า รูปกรวยที่มีความสูง 3.5 ซม. ความกว้างของฐาน 1 ซม. มีมุม 70 องศา และรัศมี 0.5 ซม. จะให้ค่าพลังงานแสงมากที่สุด โดยแสงสามารถสะท้อนกลับได้มากถึง 2 ครั้ง แม้มีข้อคลาดเคลื่อนบางส่วน แต่สามารถนำไปประยุกต์ในการสร้างกรวย ที่มีความรวมแสงอาทิตย์ได้ดีจากวัสดุสะท้อนแสงราบ ซึ่งจะสามารถประหยัดงบประมาณและเป็นทางเลือกหนึ่ง สำหรับการนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ได้เป็นอย่างดี (คมชัดลึก จันทร์ที่ 15 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





กรดน้ำมันปลาโอเมกา-3 ช่วยลดปัญหาการอักเสบ

นักวิทยาศาสตร์พบว่าอาหารที่อุดมด้วยน้ำมันปลา จำพวกปลาแซลมอน และแม็คเคอเรล ช่วยลดอาการอักเสบ อย่างพวกข้ออักเสบลงได้ นักวิจัยของโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ดและโรงพยาบาลหญิงบริกแฮม พบว่าความสำคัญของไขมันต้านอาการอักเสบในคนนั้น ได้มาจากกรดไขมันที่พบในน้ำมันปลา และมันจะทำงานได้ดีที่สุดเมื่ออาหารกลุ่มนี้ได้ทำงานร่วมกับแอสไพรินในปริมาณต่ำ ทีมวิจัยจากฮาร์วาร์ดระบุว่า มีไขมันชนิดใหม่ในร่างกายคนเรามีชื่อว่า "เรโซลวินส์" ซึ่งสามารถควบคุมการอักเสบได้ โดยไขมันชนิดนี้นี่เองที่ผลิตจากกรดไขมันโอเมกา-3 ซึ่งมักพบได้มากในน้ำมันปลา แต่จะต้องมีการกระตุ้นด้วยยาแอสไพรินด้วย. (ไทยรัฐ อังคารที่ 15 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ที่นอนตะไคร้หอม

บริษัท STO Agro-Industry จังหวัดสุราษฎร์ธานี บริษัทผลิตน้ำมันปาล์มขนาดใหญ่ ด้วยแนวคิดที่สังเกตเห็นว่า เส้นใยหรือกากที่เหลือจากการผลิตน้ำมันปาล์มนี้มี สี และลักษณะของเส้นใยคล้ายกับกากมะพร้าว ที่นิยมนำมาบรรจุในที่นอน แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนำเส้นใยปาล์มไปบรรจุในที่นอนแล้ว พบปัญหากลิ่นเหม็นหืน เนื่องจากในเส้นใยนั้น ยังคงมีกรดไขมันหลงเหลืออยู่ ดังนั้น บริษัท STO Agro-Industry จึงได้ส่งปัญหาดังกล่าวมาให้ ทาง ดร.เสาวภาค สุขตระกูลเวศ หัวหน้าภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ช่วยหาทางแก้ไข ดร.เสาวภาค จึงได้นำปัญหาดังกล่าวมาเป็นปัญหาในการทำวิจัยของนักศึกษา จนได้ทีมนักศึกษาขึ้นมาเพื่อทำวิจัยเรื่อง 'การปรับปรุงคุณภาพเส้นใยปาล์ม' ขึ้น ประกอบด้วย จันทนา บรรจงเกตุ, ญาณิศา ตันติปาลกุล, พรศิริ เลื่อมใส และพงษ์สรรค์ จันทร์จรัสสุข จากการศึกษาและทดลอง พงษ์สรรค์ หนึ่งในทีมนักวิจัยพบว่า “สารที่นำมาใช้ได้ในกระบวนการปรับปรุงเส้นใยปาล์ม คือ โซเดียมไฮดรอกไซด์ และไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ โดยกำหนดให้สารโซเดียมไฮดรอกไซด์เป็นตัวช่วยในการกระตุ้นให้ สารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ เกิดการออกซิไดซ์ขึ้น ซึ่งมีผลให้สารดังกล่าวไปดึงกรดไขมันที่เป็นสาเหตุของกลิ่นออกมา นอกจากนี้ยังช่วยฟอกเส้นใยนั้นให้มีความสะอาดขึ้นอีกด้วย ต่อมา ทีมวิจัยก็ได้นำถึงตะไคร้ หอมซึ่ง สามารถสกัดเอาน้ำมันออกมาได้ และน้ำมันที่ได้นั้นก็ไม่มีสี เวลานำไปเป็นส่วนผสมในเส้นใยที่นำมาทำที่นอนก็จะไม่มีสีซึมเปื้อนออกมาเปรอะผ้าปูที่นอน ทั้งยังเป็นพืชที่หาได้ง่าย โดยน้ำมันจากตะไคร้จะถูกดูดซึมเข้าไปเคลือบตรงผิวเส้นใย แทนที่กรดไขมันปาล์มเดิมที่สกัดออก ผู้ใดสนใจอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมในเรื่องดังกล่าว สามารถสอบถามโดยตรงได้ที่ ดร.เสาวภาค สุขตระกูลเวศ หัวหน้าภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี หมายเลขโทรศัพท์ 0-2549-3510 ต่อ 601 ในวันและเวลาราชการ) (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 15 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





สารเคลือบเรือกันตะไคร้น้ำ เลียนแบบผิวหยาบแข็งของฉลาม

กองทัพเรือสหรัฐวิจัยหาสารเคลือบผิวเรือป้องกันสิ่งมีชีวิตใต้น้ำยึดเกาะ ซึ่งเป็นสาเหตุให้ความเร็วเรือลดลง ตัวเรือผุกร่อน สิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เผยสารเคลือบสร้างเลียนแบบผิวหนังปลาฉลาม แถมยังป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดย ศ.แอนโทนี เบรนแนน ภาควิชาวัสดุศาสตร์และวิศวกรรม มหาวิทยาลัยฟลอริดา หัวหน้าทีมพัฒนาสารเคลือบผิวเรือป้องกันสิ่งมีชีวิตใต้น้ำมายึดเกาะ กล่าวว่า งานวิจัยชิ้นนี้ได้รับแรงดลใจมาจากปลาเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหาครั้งนี้ ทั้งนี้ หากนำผิวหนังของปลาฉลามมาวิเคราะห์ จะพบการเรียงต่อกันของพื้นผิวที่มีลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดจิ๋ว ซึ่งแต่ละชิ้นจะมีขนแข็งเล็กๆ ขึ้นอยู่ ทำให้ผิวของฉลามมีลักษณหยาบเมื่อสัมผัส และด้วยเหตุของความไม่ธรรมดาของผิวดังกล่าว ทำให้พืชใต้น้ำไม่สามารถมายึดเกาะหรืออาศัยเป็นแหล่งพักพิงได้ หลังจากรู้หลักการดังกล่าวแล้ว ทีมงานจึงได้พัฒนาสารเคลือบที่เป็นส่วนผสมระหว่างยางและพลาสติกขึ้นมา โดยจำลองผิวหนังของปลาฉลาม ให้มีลักษณะเหมือนเหลี่ยมเพชรขนาดจิ๋วนับพันล้านชิ้น แต่ละชิ้นมีขนาดเพียง 15 ไมครอน และมีหนามแข็งๆ ขนาดยาวไม่เท่ากันอีก 7 อัน เป็นส่วนประกอบของชิ้นผิวหนังดังกล่าวด้วย จากการทดลอง พบว่าสารเคลือบที่ใช้ชื่อว่า เกเตอร์ ชาร์คโค้ท (Gator Sharkote) สามารถลดการยึดเกาะของสปอร์สิ่งมีชีวิตได้มากถึง 85% แต่งานวิจัยไม่หยุดเพียงเท่านี้ เพราะพืชใต้น้ำดังกล่าว มีความสามารถในการปรับตัวได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยสามารถเปลี่ยนแปลงรูปทรงของตัวเองเพื่อให้สามารถเกาะติดพื้นผิวได้ในที่สุด (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 15 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





แพทย์ชี้จีเอ็มโอยกระดับคุณภาพยาใหม่ หวังเห็นพืชวัคซีนฝีมือไทยหากสังคมเปิดใจยอมรับ

รศ.นพ.อิศรางค์ นุชประยูร หน่วยโลหิตวิทยา ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ทางการแพทย์ โดยเฉพาะในการพัฒนายารุ่นใหม่ ได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีจีเอ็มโอมานานแล้ว อาทิ ยากลุ่ม Recombinant drugs ได้จากแบคทีเรียและยีสต์เป็นสำคัญ โดยบังคับให้แบคทีเรียผลิตสารที่มีคุณลักษณะตามต้องการ เพื่อให้ยามีความปลอดภัยสูง และเป็นทางเลือกการรักษาที่ดีกว่าเดิม สำหรับตัวอย่างตัวยาที่ผลิตด้วยเทคนิคจีเอ็ม และได้รับการใช้จนเป็นมาตรฐานทั่วโลกไปแล้ว ได้แก่ โกรธฮอร์โมนหรือฮอร์โมนการเจริญเติบโตสำหรับแก้ไขภาวะเตี้ยผิดปกติ ซึ่งจากเดิมผลิตโดยสกัดสารสำคัญจากต่อมใต้สมองของคนที่เสียชีวิตแล้ว แต่มีปัญหาวัคซีนปนเปื้อนไวรัสซีเจดี (โรควัวบ้า) ส่งผลให้ต้องยุติการผลิตไป จนกระทั่งมีการผลิตโกรธฮอร์โมนวิธีใหม่ โดยใช้วิธีตัดต่อพันธุกรรมบังคับแบคทีเรียให้ผลิตโกรธฮอร์โมนของมนุษย์ขึ้นมาแทน และสามารถผลิตใช้ได้จริงตั้งแต่ปี 2528 เป็นต้นมา นอกจากนี้ ฮอร์โมนอิริโทรพอยอิทิน (erythropoietin : Epo) ที่สร้างมาจากไต ทำหน้าที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดง ในปัจจุบันได้นำยีนดังกล่าวมาผลิตเป็น “Recombinant human erythropoietin” (r-hu-Epo) หรือตัวยาทดแทน เพื่อกระตุ้นร่างกายสร้างเม็ดเลือดได้เอง โดยไม่ต้องให้เลือด ซึ่งถือเป็นทางเลือกการรักษาที่ดีกว่าเดิม ขณะที่วัคซีนไวรัสตับอักเสบบีที่ใช้กันแพร่หลายทั่วโลก ก็ใช้เทคนิคการผลิตด้วยการนำยีนไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) ใส่เข้าไปในยีสต์ด้วยเทคนิคพันธุวิศวกรรม และบังคับให้ยีสต์ผลิตโปรตีนเพื่อให้ร่างกายมนุษย์รู้จักและสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายขึ้นมา ปัจจุบันมีการใช้วัคซีนดังกล่าวกว่า 10 ล้านโดสต่อปีทั่วโลก ปัจจุบันมียาจีเอ็ม หรือ รีคอมบิแนนท์ กว่า 47 ชนิด และมีรีคอมบิแนนท์ แอนตีบอดีอีก 11 ชนิด ส่วนวัคซีนรีคอมบิแนนท์มีจำนวนทั้งสิ้น 6 ชนิด และกำลังมียาจำนวนมากที่บริษัทยาทั่วโลกกำลังใช้เทคนิคจีเอ็มผลิตอยู่ นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดเรื่องการทำให้อาหารเป็นวัคซีน โดยไม่ต้องฉีดยา อาทิ ใส่ยีนของไวรัสหรือแบคทีเรียบางชนิด เข้าไปในมันฝรั่งเพื่อให้มนุษย์กินเข้าไปแล้วจะมีบางส่วนออกฤทธิ์กระตุ้นร่างกายให้สร้างภูมิต้านทานได้อัตโนมัติ (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 15 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





วัคซีนกันมะเร็งเต้านมขนานแรก ก้าวหน้าทดลองใช้กับสตรีได้

ทีมนักวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนแพทย์ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน และศูนย์ต่อต้านมะเร็งไซต์แมนของสหรัฐฯ รายงานในวารสารของสมาคม ต่อต้านมะเร็งแห่งชาติว่า ได้ผลิตวัคซีนป้องกันมะเร็งเต้านม โดยลอกเลียนแบบการเรียงลำดับของดีเอ็นเอซึ่งสร้างแมมมาโกลบิน-เอในมนุษย์ขึ้น เขาเชื่อว่าวัคซีนจะทำงาน โดยไปเร่งเครื่องเซลล์ภูมิคุ้มกันพิเศษที่เรียกว่าที-เซลล์ ให้รู้ว่าแมมมาโกลบิน-เอ ว่าเป็นโมเลกุลแปลกปลอม เมื่อมันปรากฏบนพื้นผิวของเซลล์ทำเป็นสารก่อภูมิต้านทาน เพื่อให้ที-เซลล์แพร่กระจายและกำจัดเซลล์มะเร็ง ผลการทดลองกับหนูว่า สามารถทำลายเนื้อร้ายในหนูลงได้ นักวิจัยตั้งใจจะเอาวัคซีนทดลองกับผู้หญิงที่ล่อแหลมจะเป็นมะเร็งทรวงอกสูง และกับคนไข้ที่น่าห่วงว่าโรคจะกลับเป็นขึ้นมาใหม่ต่อไป. (ไทยรัฐ พุธที่ 16 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





สบู่เป็นยาฆ่าเชื้อโรคขนานเอก กวาดเกลี้ยงได้เหนืออย่างอื่น

การสำรวจซึ่งได้รายงานผลอยู่ในวารสารวิชาการเรื่อง "การควบคุมการติดโรค" ของสหรัฐฯ กล่าวว่า การล้างมือด้วยสบู่สามารถล้างเชื้อแบคทีเรียออกจากมืออาสาสมัคร อย่างหยาบๆออกได้ถึงครึ่งต่อครึ่ง นักสาธารณสุขศาสตร์ของมหาวิทยาลัยนอร์ท แคโรไลนา ของสหรัฐฯ ผู้ศึกษา กล่าวว่า ได้ศึกษาประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ รักษาสุขภาพมือ ที่ช่วยกำจัดแบคทีเรียและเชื้อไวรัสจากมือของอาสาสมัครต่างๆ 14 อย่างด้วยกัน ปรากฏว่าไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการล้างมือด้วยสบู่ (ไทยรัฐ พุธที่ 16 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ผู้ดียกเครื่องงบวิทยาศาสตร์ อัดฉีดเฉียดแสนล้านแข่งสหรัฐ

รัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักร ประกาศแผนงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์เป็นจำนวน 730,000 ล้านบาท สำหรับใน 3 ปีข้างหน้า โดยเน้นจัดสรรงบให้งานวิจัยด้านเทคโนโลยีชีวภาพเป็นพิเศษ ครอบคลุมการวิจัยด้านเซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งมุ่งพัฒนาการรักษาโรคแบบใหม่ด้วย งบประมาณดังกล่าวได้ถูกจัดสรรให้สภาวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพและชีววิทยาศาสตร์ (บีบีเอสอาร์ซี) จำนวน 1 ใน 10 หรือ 73,000 ล้านบาท และงบประมาณของสภาวิจัยการแพทย์ (เอ็มอาร์ซี) จะเพิ่มขึ้นเป็น 110,200 พันล้านบาท โดยงบราว 32,327 ล้านบาทของงบประมาณของเอ็มอาร์ซี จะนำมาลงในงานวิจัยทางคลินิกของโรคต่างๆ เช่น สุขภาพจิต โรคหลอดเลือดในสมอง มะเร็ง และเบาหวาน รัฐบาลยังได้ให้งบประมาณ 1,102 ล้านบาทสำหรับการวิจัยด้านพลังงานด้วย เพื่อช่วยให้อังกฤษเป็นผู้นำในวิทยาศาสตร์ที่เน้นศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ศ.โรบิน โลเวลล์-แบดจ์ หัวหน้าฝ่ายด้านพันธุศาสตร์ สถาบันวิจัยทางการแพทย์แห่งชาติ ในกรุงลอนดอน กล่าวว่า แม้ว่างบประมาณที่ตั้งไว้จะดูสูง แต่ถือว่าเพิ่มขึ้นน้อยมากสำหรับงานวิจัยใหม่ เนื่องจากอังกฤษจำเป็นต้องส่งเสริมงานวิจัยขั้นพื้นฐาน เพื่อก้าวไปสู่ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ และอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพให้ได้ แต่ถ้าเงินทุนเพื่องานวิจัยวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานไม่เพียงพอ งานวิจัยก็จะจำกัดอยู่อย่างนั้น ขณะที่ทุนวิจัยด้านนาโนเทคโนโลยี จะเพิ่มเป็น 22,041 ล้านบาทจาก 14,694 ล้านบาท เพื่อช่วยมหาวิทยาลัยและสถาบันต่างๆ เชื่อมโยงกับด้านธุรกิจได้และแยกตัวออกมาตั้งเป็นบริษัท (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 16 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





จักรยานแคระปั่นคล่อง ไอเดียเอกชนไทยทำส่งออก

นายอมรชัย ชัยรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ช.ฐิติชัย จำกัด เจ้าของไอเดีย 'จักรยานแคระ' เล่าที่มาให้ฟังว่ารถจักรยานที่ใช้ทั่วไปมีขนาดใหญ่ ไม่สะดวกที่จะขนย้ายไปใช้ตามสถานที่ต่างๆ หรือถ้ามีก็จะเป็นรถจักรยานล้อเดียว แต่ก็มีปัญหาด้านการขับขี่ เพราะต้องฝึกการทรงตัวให้ดี ซึ่งเป็นเรื่องยาก จึงนำไปสู่แนวคิดการพัฒนาจักรยานแคระขึ้นมาเพื่ออุดช่องว่างดังกล่าว จักรยานแคระติดตั้งชุดบันไดถีบไว้เหนือล้อหน้า ทำให้ล้อหน้าไม่สามารถหมุนเลี้ยวได้อีก จำเป็นต้องเปลี่ยนมาเป็นล้อขับเคลื่อนแทน ขณะที่ล้อหลังก็เปลี่ยนให้เป็นล้อบังคับเลี้ยวด้วยการเพิ่มคันชักเชื่อมต่อระหว่างคันบังคับเลี้ยว (แฮนด์) กับล้อหลัง เพื่อให้คันชักทำหน้าที่ส่งกำลังไปบังคับเลี้ยวล้อหลังแทน นอกจากนี้จักรยานแคระยังออกแบบโดยคำนึงถึงสรีระของร่างกายเช่นเดียวกับจักรยานทั่วไป โดยสามารถปรับระดับให้เหมาะกับขนาดความสูงของผู้ขับขี่ ปรับได้ตั้งแต่ 68-80 เซนติเมตร ที่สำคัญสามารถปรับได้ด้วยมือเปล่า ไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไรมาช่วย จักรยานแคระน้ำหนัก 9.3 กิโลกรัมคันนี้ สามารถรับน้ำหนักได้ 80 กิโลกรัม และมีขนาดกะทัดรัดชนิดที่ว่าใส่ท้ายรถได้มากถึง 3 คัน โดยไม่ต้องรื้อชิ้นส่วนออก แต่หากคิดจะถอดชิ้นส่วนออกเพื่อให้ง่ายต่อการเคลื่อนย้ายเข้าไปอีก ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะประกอบยาก เพราะแต่ละชิ้นส่วนจะมีร่องล็อกที่ตายตัว ทำให้ไม่ต้องเล็งดูว่าตรงแล้วหรือยัง จุดเด่นของจักรยานแคระอีกอย่าง ใช้เป็นจักรยานออกกำลังกายกับที่ ซึ่งจะต้องใช้งานคู่กับแท่นออกกำลังกายขนาด 46 x 70 x 21 เซนติเมตร น้ำหนัก 2.9 กิโลกรัม เพียงแต่นำมาประกอบเข้ากับตัวจักรยานก็สามารถใช้งานเป็นจักรยานออกกำลังกายได้ทันที ขณะที่อะไหล่ทุกชิ้นของจักรยานแคระสามารถใช้ร่วมกับจักรยานทั่วไปได้ ขณะนี้ส่งออกไปที่สวิตเซอร์แลนด์ และกำลังจะส่งไปยังประเทศอังกฤษด้วย (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 16 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





นาฬิกาสเปิร์ม

นักวิจัยจาก National University ในเมือง La Jolla มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ไอเดียที่จะพัฒนาวิธีการใน การมัดตัวคนร้ายจากน้ำอสุจิที่พบในถุงยางอนามัยที่คนร้ายใช้ในการข่มขืน ในกรณีที่คนร้ายทิ้งหลักฐานเอาไว้ในที่เกิดเหตุหรือในกรณีที่ไปพบหลักฐานจากที่อื่น เริ่มแรกนักวิจัยพุ่งความสนใจไปที่ประเด็นว่ายาฆ่าเชื้ออสุจิที่ใส่อยู่ในถุงยางอนามัยบางรุ่นนั้นจะส่งผลอย่างไรต่อความสมบูรณ์ของ DNA มากกว่า แต่กลับกลายเป็นว่ามีข้อมูลอื่นที่ได้จากการสังเกตที่น่าสนใจเช่นกันก็คือจำนวนของเชื้ออสุจิที่มีชีวิตอยู่นั้นลดลงในอัตราที่เป็นสัดส่วนกับเวลาที่ผ่านไปและคงที่แม้ว่าอสุจินั้นจะมาจากต่างบุคคลกันก็ตาม ก็เลยกลายเป็นที่มาของวิธีการที่เรียกกันว่า “นาฬิกาสเปิร์ม” ซึ่งวิธีการนี้ทำให้เราสามารถไล่เวลาย้อนหลังไปได้ว่าเหตุการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นที่ช่วงเวลาใดในอดีต นักวิจัยทำการทดลองโดยนำเอาน้ำอสุจิจากอาสาสมัครจำนวนหนึ่งมาแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละเท่า ๆ กัน โดยที่กลุ่มแรกซึ่งเป็นกลุ่มควบคุมนั้น นักวิจัยนำน้ำอสุจิไปใส่ในถุงยางอนามัยธรรมดาที่ไม่มียาฆ่าเชื้ออสุจิ ส่วนอีกกลุ่มซึ่งเป็นกลุ่มทดลองนั้น น้ำอสุจิถูกนำไปใส่ในถุงยางอนามัยที่มียาฆ่าเชื้ออสุจิผสมอยู่ หลังจากนั้นก็ตรวจหาอัตราส่วนระหว่างเชื้ออสุจิที่ยังมีชีวิตอยู่กับเซลล์อสุจิที่ตายแล้วเมื่อเวลาผ่านไป 30 นาที และทุก ๆ 1 ชั่วโมง จนกระทั่งครบ 72 ชั่วโมง ผลการทดลองที่ได้ทำให้นักวิจัยทราบว่าเชื้ออสุจิที่อยู่ในถุงยางอนามัยที่มียาฆ่าเชื้ออสุจินั้น เมื่อผ่านไปครึ่งชั่วโมงจะมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 40 เปอร์เซ็นต์ และจะลดลงในอัตราส่วนที่คงที่จนกระทั่งเหลือที่ประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเวลาผ่านไป 72 ชั่วโมง หรือ 3 วัน ข้อมูลอันสำคัญนี้ นักนิติเวชวิทยาหลายคนบอกว่าหากว่ามีการพัฒนาวิธีตรวจหาอัตราส่วนระหว่างเซลล์อสุจิที่มีชีวิตกับเซลล์ที่ตายแล้วได้แม่นยำมากขึ้น เราก็จะแทบระบุไปได้เลยว่าน้ำอสุจินั้นออกมาอยู่นอกร่างกายตั้งแต่เมื่อไหร่ ซึ่งก็คือช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นนั่นเอง วิธีนี้นอกจากจะช่วยผู้เสียหายในการมัดตัวคนร้ายที่ใช้วิธีที่กล่าวมาแล้วยังสามารถช่วยผู้ต้องสงสัยได้อีกด้วย ทั้งนี้มันเคยมีกรณีที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วที่คนร้ายเตรียมน้ำอสุจิของคนอื่นไปทิ้งในที่เกิดเหตุเพื่ออำพรางหรือแม้กระทั่งผู้เสียหายเองที่อ้างว่าถูกข่มขืนทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นก็มีการสมยอมกันโดยตลอด (เดลินิวส์ พุธที่ มี.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





อาชีวะสร้างเครื่องคำนวณค่าไฟบ้าน

นายบงกรพงษ์ เกณทวี นักศึกษาแผนกวิชาอิเล็กทรอนิกส์ วิทยาลัยการอาชีพวารินชำราบ ผู้คิดค้นเครื่องคำนวณค่าไฟฟ้าภายในบ้าน เผยว่า อุปกรณ์คำนวณค่าใช้ไฟฟ้าอัตโนมัตินี้ จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถรู้ได้ทันทีว่าต้องเสียค่าไฟฟ้าเท่าไร ซึ่งอาจมีผลทางจิตวิทยาให้ผู้ใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงานมากขึ้น อุปกรณ์คำนวณค่าไฟฟ้าภายในบ้าน จะบอกหน่วยไฟฟ้าที่ใช้งาน และคำนวณเป็นค่าไฟออกมา โดยค่าไฟฟ้าที่ได้จะคลาดเคลื่อนไม่เกิน 5% โดยอุปกรณ์ดังกล่าวแสดงปริมาณไฟที่ใช้ ผ่านการแสดงผลเป็นตัวเลขที่อ่านง่าย และสามารถบอกสภาวะการใช้ไฟฟ้าในแต่ละวินาที เพื่อวางแผนการใช้ไฟอย่างคุ้มค่าที่สุด ในการติดตั้งเครื่องคำนวณค่าไฟที่คิดค้นขึ้นนี้ จะเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าภายในบ้าน และทำงานคล้ายกับมิเตอร์ไฟฟ้าทั่วไป เพียงแต่สามารถคำนวณปริมาณหน่วยไฟฟ้าที่ใช้ไปได้ละเอียดขึ้น รวมถึงคำนวณเงินค่าไฟที่ต้องจ่ายอย่างคร่าวๆ ได้ทันที โดยไม่ต้องรอถึงสิ้นเดือนหรือวันครบกำหนด ด้วยการแสดงผลเป็นตัวเลขผ่านหน้าจอแอลซีดีที่ชัดเจน ช่วยให้อ่านค่าและเข้าใจได้ง่าย อีกทั้งยังติดตั้งแบตเตอรี่สำรองไฟ เพื่อให้เครื่องสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องแม้ไฟฟ้าตกหรือดับ โดยใช้งบประมาณเพียง 5,000 บาทเท่านั้น อุปกรณ์ดังกล่าวสามารถนำไปใช้ได้ทั้งบ้านเรือน บริษัทห้างร้าน รวมถึงโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องการควบคุมปริมาณการใช้ไฟฟ้าในแต่ละเดือนให้ลดลง ซึ่งหากจะผลิตเครื่องดังกล่าวในปริมาณมากๆ ราคาต้นทุนในการผลิตอาจจะต่ำลง แต่ก็ต้องศึกษาความเป็นไปได้ในการนำไปใช้จริงด้วย (คมชัดลึก พุธที่ 16 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





สร้างมูลค่าถุงปุ๋ยเป็นสายรัดกล่อง คุณภาพแจ๋วไม่แพ้ต่างประเทศ

ผศ.ชวลิต แสงสวัสดิ์ และอ.วีรศักดิ์ หมู่เจริญ อาจารย์ประจำภาควิชาวัสดุและโลหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาสูตรคอมเปานด์สำหรับงานอัดรีดจากเศษพลาสติกพอลิพรอพิลีน โดยนำเศษวัสดุที่เหลือจากการผลิตถุงปุ๋ยในอุตสาหกรรมสิ่งทอมาหลอมตัดเม็ดใหม่ เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสายรัดกล่องสินค้าซึ่งพบว่าคุณสมบัติของเม็ดพลาสติกที่หลอมละลายใหม่นั้น มีความใกล้เคียงกับวัสดุที่นำมาทำสายรัดกล่องสินค้าพอลิพรอพิลีนมาตรฐาน ที่ใช้กันอยู่ทั่วไปทั้งในและต่างประเทศ งานวิจัยนี้เป็นการบูรณาการองค์ความรู้ในด้านวิศวกรรมวัสดุและโลหการ คือ ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเม็ดพลาสติกพอลิพรอพิลีนที่ใช้ในอุตสาหกรรมพลาสติกเข้ากับเม็ดพลาสติกที่นำมาทอทำถุงปุ๋ยของวิศวกรรมสิ่งทอ ซึ่งมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับเม็ดพลาสติกพอลิพรอพิลีนที่นำมาทำสายรัดกล่องสินค้า ซึ่งในการทำการวิจัยนั้นเริ่มต้นจาก ทำการทดสอบชนิดและคุณสมบัติของวัสดุที่ใช้ผลิตสายรัดกล่องสินค้าก่อน แล้วจึงมาศึกษาเรื่องการนำเศษพลาสติกมาใช้ใหม่ โดยเลือกชนิดของพอลิพรอพิลีนเกรดที่นำมาใช้ผลิตถุงปุ๋ยแล้วจึงนำมาเข้ากระบวนการหลอมตัดเม็ดซ้ำเพื่อนำมาผลิตสายรัดกล่องสินค้า จากการทดสอบสายรัดกล่องสินค้าที่ผลิตได้โดยทดสอบด้านการทนต่อแรงดึง การยืดตัว ความแข็ง และการต้านทานต่อการขีดข่วน ปรากฏว่ามีคุณสมบัติเป็นที่น่าพอใจ ใกล้เคียงกับสายรัดกล่องสินค้าจากต่างประเทศ และในขณะนี้ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยดังกล่าวได้นำไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมผลิตสายรัดกล่องสินค้า ซึ่งช่วยเพิ่มคุณภาพและลดต้นทุนการผลิตสายรัดกล่องสินค้าได้มาก นอกจากนั้นผลการวิจัยนี้ยังช่วยลดปริมาณเศษวัสดุจากอุตสาหกรรมการทอถุงปุ๋ยได้อีกทางหนึ่งด้วย ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ภาควิชาวัสดุและโลหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 16 มี.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





เครื่องรีดยางพาราด้วยก๊าซหุงต้ม โปรเจ็กต์เด็ดๆ เด็กราชมงคล

เครื่องรีดยางพาราชนิดให้ความร้อนโดยใช้ก๊าซหุงต้ม ของงานสิรวิชญ์ อินวงศ์ และ สุทธิศักดิ์ วิจิตรสมบัติ นักศึกษาภาควิชาเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวและแปรสภาพคณะวิศวกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร มทร.ธัญบุรี โดยมีอาจารย์มโน สุวรรณคำ เป็นที่ปรึกษา สิรวิชญ์ เผยว่ากระบวนการผลิตยางแผ่นในปัจจุบัน จะมี 2 ขั้นตอน คือการรีดยาง และการตากแห้งหรือรมควัน ซึ่งในขั้นตอนการรีดยางนั้น ชาวสวนยางพาราส่วนใหญ่จะใช้เครื่องรีด ที่ใช้ความร้อนจากหลอดรังสีอินฟาเรดที่บรรจุอยู่ในลูกรีด เพื่อช่วยลดความชื้นในแผ่นยางพาราไปพร้อมๆ กัน ซึ่งยังเป็นปัญหาเพราะความร้อนจากระบบไฟฟ้าจะถ่ายเทไปที่ลูกรีดยางไม่สม่ำเสมอ ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานและเสียค่าใช้จ่ายสูงจึงได้พัฒนาเครื่องรีดยางพารา โดยใช้ความร้อนจากก๊าซหุงต้ม (L P G) แทนพลังงานจากไฟฟ้า สำหรับตัวเครื่องรีดยางพารานี้ จะประกอบด้วยชุดลูกรีด 3 ชุด คือ ลูกรีดลดขนาด ลูกรีดกลมเกลี้ยง และลูกรีดขึ้นลาย ซึ่งมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 8.8 เซนติเมตรหน้ากว้าง 40 เซนติเมตร ขับเคลื่อนด้วยโซ่ พร้อมชุดเฟืองทด และมอเตอร์ขนาด 1 แรงม้า ภายในลูกรีดแต่ละชุดจะบรรจุท่อก๊าซหุงต้ม เพื่อให้ความร้อนกับผิวลูกรีด ผลการทดสอบเป็นน่าพอใจผิวลูกรีดมีความร้อนสูงและสม่ำเสมอ ทำงานได้อย่างต่อเนื่อง สามารถรีดยางสูงสุด 77.60 กิโลกรัมต่อชั่วโมง และอัตราส่วนการน้ำระเหยสูงสุด 0.40 กิโลกรัมต่อกิโลกรัม สามารถลดความชื้นในยางได้ 18.58 กิโลกรัมต่อชั่วโมง และยังมีช่วยลดต้นทุนเหลือประมาณ 0.13 บาทต่อกิโลกรัม ยังต้องปรับปรุงอีกหลายเรื่อง เช่น หน้ากว้างของลูกรีดยังสิ้นเกินไป ทำให้แผ่นยางมีขนาดไม่ได้มาตรฐาน และการเพิ่มขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของลูกรีดเพื่อให้การเผาไหม้สมบูรณ์ และมีพื้นที่สัมผัสความร้อนเพิ่มขึ้น และการใช้ระบบเฟืองแทนโซ่ จะช่วยส่งกำลังเพื่อให้ปรับระยะห่างลูกรีดให้เที่ยงตรงและสะดวกมากขึ้น สำหรับผู้สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คณะวิศวกรรมฯ มทร.ธัญบุรี โทร.0-2549-3300 (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 16 มี.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





วิจัยสารสกัด"กิมจิ" ต้านหวัดนกในไก่

สำนักข่าวยอนฮับรายงานว่า รัฐบาลเกาหลีใต้กำลังตรวจสอบรายงานว่า เมื่อเดือนที่แล้วมีเป็ดไก่ในปศุสัตว์ที่กรุงเปียงยาง ประเทศเกาหลีเหนือล้มตายนับพันตัว ทำให้เกรงว่า อาจเกิดโรคไข้หวัดนกระบาด ด้านรัฐบาลเกาหลีใต้ขอให้กรุงเปียงยางหยุดส่งเนื้อไก่มาให้แล้ว เพราะเกรงว่าอาจเป็นเนื้อไก่ติดเชื้อ วันเดียวกัน คณะวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ว่า ทดลองนำสารสกัดจากกิมจิไปเลี้ยงไก่ที่ติดเชื้อไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N1 พบว่า กิมจิสามารถรักษาโรคไข้หวัดนกและโรคต่างๆ ที่เกิดกับไก่ได้ โดยไก่ 26 ตัวที่ทำการทดลองตายเพียง 4 ตัว ส่วนที่เหลือมีอาการดีขึ้นภายในเวลา 1 อาทิตย์หลังจากได้รับสารสกัดจากกิมจิ อย่างไรก็ตาม การทดลองดังกล่าวยังไม่ผ่านการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ (ข่าวสด พุธที่ 16 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





อยากอายุยืนต้องขึ้นไปอยู่บนเขา เดินขึ้นลงทำให้ออกกำลังประจำ

นักวิจัยของกรีซเป็นผู้พบความลับว่าถ้าหากอยากจะมีอายุให้ยืน เราควรจะอพยพไปอยู่ตามภูเขากัน นอกจากจะมีหวังได้อยู่กันจนแก่จนเฒ่าแล้ว ยังจะปลอดจากโรคหัวใจอีกด้วย จากการศึกษาวิจัยได้พบว่า ผู้ที่อยู่ตามที่อยู่ในระดับสูงๆจะไม่ค่อยตายด้วยโรคหัวใจ ผิดกับคนที่อยู่ในที่ซึ่งมีระดับต่ำกว่า ดร.นิคอส ไบบาส แห่งมหาวิทยาลัยเอเธนส์ ผู้เป็นหัวหน้าคณะนักวิจัย กล่าวบอกว่า คนที่อยู่ตามเขา ดูจะปลอดจากการเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจ อาจจะเนื่องจากว่าเพราะการต้องเดินขึ้นเขาทำให้ได้ออกกำลัง ช่วยให้หัวใจแข็งแรงไปด้วย จนคุ้นกับการมีชีวิตอยู่บนที่สูง แม้อากาศจะมีระดับออกซิเจนต่ำกว่าตามสถานที่ล่างๆ จากการศึกษาที่ได้ทำมานานถึง 15 ปี ทำให้รู้ว่าพวกที่อยู่ตามที่สูงๆ ถึงแม้จะมีปัจจัยเสี่ยงบางอย่างสูงกว่าคนที่อยู่ตามที่ต่ำอย่างเช่น มีความดันโลหิตสูงกว่า แต่ก็ยังมีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ และสาเหตุอื่นๆต่ำกว่ากัน และจะยิ่งเห็นชัดขึ้นในหมู่ผู้ชายมากกว่าผู้หญิง (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 17 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





วิจัยบังคับแบคทีเรียชักใย ผลิตเส้นใยพิเศษสุดทนทาน

โทมัส เชเบล นักชีวเคมี จากมหาวิทยาลัยเทคนิคมิวนิก ได้ตัดแต่งพันธุกรรมแบคทีเรียให้สามารถผลิตใยแมงมุมที่ดีที่สุด โดยมีความแข็งแรงเท่ากับใยแมงมุมธรรมชาติถึง 20% ซึ่งวัสดุใหม่อาจนำมาใช้แทนที่พลาสติก เนื่องจากแข็งแรงกว่า เบากว่า ยืดหยุ่นกว่า รวมทั้งอาจนำมาทำพลาสเตอร์หรือเอ็นเทียมสำหรับร้อยเย็บแผลผ่าตัดตาหรือเส้นประสาทที่บางอย่างมาก นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังเชื่อว่าเส้นใยแมงมุมที่พัฒนาขึ้นนี้ จะสามารถนำไปใช้ทำธนบัตรที่ไม่มีวันฉีกขาด หรือทำวัสดุสำหรับรถยนต์ที่มีความยืดหยุ่นสูง นั่นหมายความว่า หากมีการเฉี่ยวชนเกิดขึ้น บริเวณที่บุบยุบลงไปก็จะคืนรูปกลับมาได้เอง จึงไม่แปลกที่บ่อยครั้งจะได้รับรู้ว่าใยแมงมุมมีความแข็งแรงและยืดหยุ่นผิดปกติ แถมยังแข็งแรงกว่าเหล็กกล้าที่มีความหนาเท่ากันหลายเท่าตัว คณะทำงานของเชเบลเริ่มต้นด้วยการดัดแปรพันธุกรรมไวรัสให้เข้าไปกระตุ้นแบคทีเรียให้สร้างโปรตีนที่จำเป็นต่อการผลิตเส้นใย แต่ก็พบว่าวิธีนี้ไม่เหมาะหากคิดจะนำไปผลิตในระดับอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันก็ได้พยายามดัดแปรพันธุกรรมแพะ ต้นยาสูบ และมันฝรั่งด้วย แต่พบว่าให้ผลผลิตน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เชเบล กำลังเจรจากับภาคอุตสาหกรรมเพื่อทดสอบเส้นใยรุ่นล่าสุดที่พัฒนาขึ้นมาได้ รวมทั้งกำลังเร่งมือพัฒนาเทคนิคการผลิตในระดับอุตสาหกรรมด้วย แมงมุม 34,000 สายพันธุ์ พบว่าในแต่ละสายพันธุ์นั้น จะมี "เครื่องมือ" สำหรับสร้างเส้นใยเฉพาะตัวออกมามากกว่า 1 ชนิด ที่มีคุณสมบัติต่างกัน เพื่อรองรับการใช้งานที่ต่างกันออกไป ส่งผลให้ปริศนาการสร้างใยของเจ้าแมงมุมได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากนักวิทยาศาสตร์ (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 17 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





รพ.ปิยะเวทบริการสเต็มเซลล์รักษาโรค

รศ.ดร.นพ.กำพล ศรีวัฒนกุล แพทย์ประจำศูนย์การแพทย์แบบบูรณาการ โรงพยาบาลปิยะเวท เปิดเผยว่า โรงพยาบาลปิยะเวทเตรียมเปิดศูนย์การแพทย์แบบบูรณาการ โดยใช้การรักษาแบบผสมผสานระหว่างการแพทย์ปัจจุบันและการแพทย์ทางเลือกเพื่อช่วยบำบัดผู้ป่วยให้หายจากโรคได้ดีขึ้น ทางโรงพยาบาลจะนำเทคโนโลยีการรักษาโรคด้วยเซลล์ต้นกำเนิด หรือสเต็มเซลล์มาช่วยผนวกเข้ากับการรักษาโรคแบบบูรณาการอีกด้วย โดยเน้นโรคสำคัญๆ อาทิ โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ซึ่งปัจจุบันต้องใช้วิธีการเปลี่ยนหัวใจเท่านั้น และต้องรอให้มีคนบริจาคหัวใจถึงจะเปลี่ยนได้ หากใช้สเต็มเซลล์ฉีดเข้าไปในร่างกายก็จะช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อหัวใจให้ทำงานได้เหมือนเดิมโดยไม่ต้องผ่าตัด รวมทั้งโรคสมองเสื่อม โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์คินสัน โรคไตวาย โรคเลือด โรคเบาหวาน โรคดาวน์ ซินโดรม และโรคออทิสติก เป็นต้น ทั้งนี้ทางโรงพยาบาลกำลังหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ในโรงพยาบาลเอกชน โดยคาดว่าจะนำเทคโนโลยีจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีความก้าวหน้าในงานวิจัยด้านนี้มาใช้ในการรักษาคนไทย สำหรับการรักษาสเต็มเซลล์ในปัจจุบันนั้น จะอาศัยเลือดของผู้ป่วยในปริมาณ 40 - 50 ซีซี แล้วส่งไปคัดแยกและเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ในต่างประเทศ หลังจากนั้นจึงนำกลับเข้ามาฉีดในร่างกาย และปล่อยให้สเต็มเซลล์เข้าไปบำบัดหรือซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 2 - 9 เดือนจึงจะเห็นผล โดยทั่วไปการฉีดสเต็มเซลล์จะฉีดเพียง 1 ครั้ง แต่สำหรับผู้ป่วยด้วยโรคทางพันธุกรรมหรือสมองจะฉีด 2-3 ครั้งเท่านั้น หากเกินกว่านี้ถือว่าไม่ได้ผล อาจต้องรักษาด้วยวิธีอื่น กระนั้นก็ดี รศ.ดร.นพ.กำพล กล่าวว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ความสะอาดของเชื้อสเต็มเซลล์ที่ฉีดเข้าไปในร่างกาย หากไม่สะอาดปลอดจากเชื้อโรค 100 เปอร์เซ็นต์ อาจทำให้ร่างกายติดเชื้อโรคและเสียชีวิตได้ หรือบางแห่งอาจมีการผสมฮอร์โมนและสเตียรอยด์บางชนิดเข้าไปด้วยซึ่งอันตรายมาก ทั้งนี้ ในส่วนค่ารักษาพยาบาลด้วยวิธีนี้โดยเฉลี่ย 300,000 - 400,000 บาท ส่วนความก้าวหน้าของการรักษาด้วยเทคโนโลยีสเต็มเซลล์ ด้าน ดร.เบน ไฟเฟอร์ ผู้อำนวยการการวิจัยทางคลินิกแห่งโรงพยาบาล Aeskulap Kinik ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กล่าวบรรยายภายใต้หัวข้อ " Cell Therapy : New approach of treatment " ณ โรงพยาบาลปิยะเวท ว่า ปัจจุบันการรักษาด้วยสเต็มเซลล์ สามารถนำเซลล์ต้นกำเนิดของสัตว์บางส่วนมาใช้รักษาโรคในคนได้ หรือเรียกว่า Xenotransplant stem cell therapy เช่น โรคผิวหนังใช้สเต็มเซลล์จากกระต่าย และโรคดาวน์ซินโดรมใช้สเต็มเซลล์จากแกะ เป็นต้น ซึ่งเป็นโอกาสใหม่สำหรับการรักษาโรคของมนุษย์ (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 17 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





เอชพีปิ๊งไอเดียดึงนาโนเทคฯสร้างผลิตภัณฑ์จิ๋ว

นาย สแตน วิลเลี่ยม ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ควอนตัม ของเอชพี เปิดเผยว่า การพัฒนาแอพพลิเคชั่นในเชิงพาณิชย์ จากเทคโนโลยีดังกล่าว ยังคงต้องเผชิญอุปสรรคอีกหลายประการ อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยของตน ก็ได้จัดทำแผนพัฒนาที่อาจนำมาใช้กับคอมพิวเตอร์ของบริษัทในอนาคตได้ นักวิทยาศาสตร์เผยว่า ทฤษฎีมัวร์ ซึ่งทำนายว่า จำนวนทรานซิสเตอร์บนชิพจะเพิ่มขึ้นราว 2 เท่า ทุก 2-3 ปี ใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว เนื่องจากชิพที่มีขนาดเล็กลงและอัดแน่นขึ้น จะมีปัญหาด้านการระบายความร้อน ซึ่งวิธีเดียวที่จะช่วยให้ทรานซิสเตอร์ สามารถทำงานภายใต้สภาวะเช่นนั้นได้ ก็คือการจัดกระบวนการทำความเย็นให้ดีขึ้น หรือลดความเร็วประมวลผลรอบเข็มนาฬิกาลง ขณะที่ทีมวิจัยของบริษัท มีเป้าหมายที่จะยกเลิกการใช้ซิลิคอน และหันมาพัฒนาอุปกรณ์ในระดับโมเลกุลแทน ซึ่งแนวคิดดังกล่าว อยู่ระหว่างการค้นคว้าวิจัยอยู่ อย่างไรก็ตามเอชพีก็เชื่อมั่นว่า วิสัยทัศน์ในการนำนาโนเทคโนโลยีเข้ามาช่วยแก้ปัญหาพื้นฐานของการลดขนาดชิพ จะนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์จริง โครงการนี้จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ การวิจัยว่าลักษณะของควอนตัมในอะตอมมีผลต่อวงจรไฟฟ้าในระดับนาโนเมตรอย่างไร, การพัฒนาโครงสร้างของวงจรไฟฟ้าใหม่ และการศึกษาความคุ้มค่าในการลงทุนเพื่อสร้างอุปกรณ์จิ๋วเหล่านี้ (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 17 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





สารสกัดเปลือกมังคุด ช่วยยืดอายุเนื้อหมู

นายวรพจน์ จันทร์แสนตอ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จ.เชียงใหม่ ผู้วิจัยโครงงานผลของสารสกัดจากพืช ที่มีแทนนินสูง ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุให้เนื้อหมูเน่าเสีย เปิดเผยว่า หลังจากได้สกัดสารแทนนินจากเปลือกมังคุด แล้วนำไปแช่เนื้อหมูจากนั้นปล่อยทิ้งไว้ 3 ชั่วโมง พบว่าสารสกัดจากเปลือกมังคุดสามารถยับยั้งการเน่าเสียได้ดีมาก โดยความรู้จากโครงงาน สามารถนำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ป้องกันการเน่าเสียของเนื้อหมู ให้แม่ค้าพ่อค้าเนื้อหมูในตลาดสดได้ เพื่อให้เนื้อหมูยังคงความสดและยืดอายุได้นาน ทั้งนี้ในเนื้อหมูมักจะพบเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เนื้อหมูเน่าเสียและก่อโรคท้องร่วง ขณะที่สารแทนนินมีคุณสมบัติ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย โดยไปตกตะกอนโปรตีนในเยื้อหุ้มเซลล์ของเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เซลล์ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ซึ่งสารนี้พบได้ทั่วไปในธรรมชาติ จากการศึกษาค้นคว้าองสมุดและเอกสารงานวิจัยต่างๆ ได้ข้อสรุปว่า พืชท้องถิ่น 7 ชนิดมีสารแทนนินสูงกว่าพืชสมุนไพรชนิดอื่น ได้แก่ ใบฝรั่ง เปลือกมังคุด ชาเขียว ใบพลู กระถิน เปลือกกล้วยน้ำว้า และเนื้อกล้วยน้ำว้า เมื่อได้พืชกลุ่มตัวอย่างแล้ว คณะวิจัยจึงเริ่มทดลองสกัดสารแทนนิน จากพืชแต่ละชนิด พบว่า เปลือกมังคุดและใบฝรั่งให้สารแทนนินสูงกว่าพืชชนิดอื่นที่นำมาทดลอง (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 17 http://www.komchadluek.net)





สีธรรมชาติจากป่าพรุ

นายจำนูญ พลายด้วง อายุ 45 ปี เกษตรกรบ้านเนินธัมมัง ต.แม่เจ้าอยู่หัว อ.เชียงใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช มีความสนใจลองทำสีจากพืชที่อยู่ในป่าพรุ ลองทำแทบทุกชนิด เช่น สีดำได้จากใบคุระ ต้นคร้าให้สีเขียว ต้นตะบูนให้สีน้ำตาล ตอนนี้ค้นพบพืชอีกชนิดหนึ่งที่ให้สีดำคือจิกนาให้สีดำ ใบเสม็ดที่มีเยอะในพื้นที่ป่าพรุจะให้สีส้ม ย่านมันแดงให้สีเหลือง วิธีการเลือกสี เมื่อต้มใบไม้จนออกสีแล้วก็เอาด้ายมาหน่อยหนึ่ง จุ่มลงไป ดูว่าได้สีอะไรก็จำไว้ แล้วเอามาลงในน้ำกระตุ้น น้ำกระตุ้นก็จะมี น้ำสนิม น้ำด่าง น้ำสารส้ม ซึ่งจะกระตุ้นต่างกัน ถ้าอยากได้สีอ่อนก็กระตุ้นในน้ำสารส้ม ถ้าอยากได้สีที่เข้มขึ้น ก็กระตุ้นในน้ำสนิม น้ำด่าง ซึ่งเราสามารถเลือกสีเองได้ตามใจชอบ นายจำนูญ ได้ถ่ายทอดความรู้ให้นักเรียนมาเรียนรู้เรื่องการเก็บใบไม้ และทำยังไงถึงจะได้สี ตอนนี้เริ่มคิดทำเยื่อกระดาษที่ให้สีธรรมชาติ โดยใช้พืชที่อยู่ในพรุครวนเคร็ง มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์เป็นที่ปรึกษา (สยามรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 17 มี.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





พัฒนายาปราบมะเร็ง 3 ด้านรวด ล้อมไว้ไม่ให้ลามแล้วลงมือสังหาร

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยเทมเปิลแห่งสหรัฐฯได้พัฒนายารักษามะเร็งขนานทดลอง มีฤทธิ์สกัดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง และสกัดเนื้อร้ายให้ดับดิ้นลงได้ ยานั้นมีชื่อตามรหัสว่า "โอเอ็นโอ 1910" ออกฤทธิ์ต่อหน่วยพันธุกรรมที่มีชื่อว่า "พีเค 1" อันมีบทบาทสำคัญในการแพร่ขยายของมะเร็ง นักวิจัยได้รู้จากการวิจัยที่แล้วๆมาว่า ในเนื้อร้ายและในคนไข้โรคมะเร็งจะมีพีเค 1 อยู่เป็นปริมาณมาก ศาสตราจารย์เปรม เรดดี้ นักชีวเคมีผู้อำนวยการของสถาบันวิจัยโรคมะเร็งเฟลส์ หัวหน้านักวิจัย กล่าวเปิดเผยว่า "เราได้พบว่ามันสามารถยับยั้งการเติบโตของเนื้อร้ายได้อย่างชะงัด และยังร่วมแรงกับยามะเร็งที่มีอยู่หลายขนาน ช่วยให้เนื้อร้ายฝ่อลงได้โดยสิ้นเชิงลงได้บ่อยๆ สักวันหนึ่งเราคงใช้มันได้โดดๆ หรือร่วมกับยาขนานอื่นได้ รายงานกล่าวว่า ขณะนี้ยายังอยู่ในขั้นตอนการทดลองขั้นที่ 1 กับคนไข้โรคมะเร็งที่โรคแพร่ กระจายออกไปแล้ว 56 ราย (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 18 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





บราซิลหนุนใช้เครื่องบินเอทานอล

บริษัท เนวา แอโรนอติก อินดัสทรี ผู้ผลิตเครื่องบินพลังเอทานอลที่ได้มาจากอ้อยนามว่า "อีเอ็มบี 202 ไอพาเนมา" เปิดเผยว่าในปีนี้มียอดสั่งซื้อไปแล้วทั้งสิ้น 70 ลำ ซึ่งส่วนใหญ่เน้นการใช้งานด้านเกษตรกรรม อาทิ โรยเมล็ดพันธุ์ หรือฉีดพ่นยาฆ่าแมลง และดูเหมือนว่าตลาดแห่งนี้กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ไอพาเนมาได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลบราซิลอย่างมาก เนื่องจากเป็นหนึ่งในมาตรการสนับสนุนโครงการเชื้อเพลิงเอทานอลแห่งชาติของบราซิล ที่เปิดตัวมาตั้งแต่วิกฤตการณ์น้ำมันเมื่อทศวรรษ 1970 ทั้งนี้ บราซิลได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ผลิตอ้อยรายใหญ่ของโลก และวัตถุดิบดังกล่าวถูกนำมาผลิตเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกแทนการใช้น้ำมัน จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา เอทานอลได้กลายเป็นเชื้อเพลิงหลักที่รถยนต์ในบราซิลหันมาใช้กันอย่างแพร่หลาย ปัจจุบันปริมาณรถยนต์ราว 1 ใน 3 ของบราซิลที่วิ่งอยู่บนถนนสามารถใช้ได้ทั้งน้ำมันปกติและเอทานอล แต่ดูเหมือนข้อดีของเอทานอลจะสูงกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสร้างมลพิษที่น้อยกว่า และมีราคาถูกกว่าน้ำมันราว 5 เท่า จากสถิติล่าสุดพบว่าเครื่องบินเล็กในประเทศ 300-400 ลำหันมาใช้เอทานอลแล้ว บริษัทเนวา ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงหนือของเซาเปาโล เปิดเผยด้วยว่า บริษัทสร้างไอพาเนมาขึ้นมาเพื่อฉลองครบ 1,000 ลำให้กับการผลิตเครื่องบินเล็กสำหรับใช้ในฟาร์ม ซึ่งเกษตรกรบราซิลใช้กันมากว่า 30 ปีแล้ว ทั้งนี้ เนวาเป็นธุรกิจในเครือของบริษัท เอ็มบราเออร์ ผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่อันดับสี่ของโลก ซึ่งเน้นผลิตเครื่องบินไอพ่นทางการทหาร และเชิงพาณิชย์อื่นๆ สำหรับจุดเด่นของไอพาเนมาที่เห็นได้ชัด ก็คือมีความทนทาน มีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นที่ใช้น้ำมันปกติ 7% และยังช่วยลดต้นทุนการผลิตโดยรวมให้ด้วย นอกจากนี้ รัฐบาลบราซิลได้เล็งเห็นว่า เอทานอลน่าจะเจาะตลาดเครื่องบินในประเทศได้ ดังนั้น รัฐบาลจึงหันมาให้การสนับสนุนการพัฒนาเครื่องบินที่ใช้เชื้อเพลิงจากเอทานอล ขณะที่เนวาเองก็กำลังเปิดให้บริการดัดแปลงเครื่องยนต์ของเครื่องบินให้สามารถใช้งานเอทานอลได้ด้วย โดยขณะนี้มียอดขอใช้บริการแล้วกว่า 100 ลำ (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 18 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





สหวิริยา-เอ็มเทคตั้งศูนย์วิจัยเหล็ก

นายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ(เอ็มเทค) และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์ร่วมวิจัยประยุกต์เหล็กและเหล็กกล้า ขึ้นที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเหล็กกล้า เพื่อดำเนินงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเหล็กและเหล็กกล้า ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้และก่อให้เกิดการประโยชน์แก่อุตสาหกรรมเหล็กโดยรวมของประเทศ (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 18 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





กล้วยไม้จิ๋วหนึ่งเดียวในโลก

นักวิจัยมูลนิธิโครงการหลวงเพาะพันธุ์กล้วยไม้จิ๋วสำเร็จเป็นประเทศแรกของโลก ตั้งชื่อ "มรกต" มีขนาดสูงเพียง 1 นิ้ว ออกดอกสีขาวแต้มสีม่วงแดง เผยใช้เทคโนโลยีชีวภาพควบคุมการเจริญเติบโต เลี้ยงง่าย ปลูกในวุ้น นำไปใส่ในเครื่องแก้วเพื่อประดับบ้าน หรือเป็นสินค้าที่ระลึก มั่นใจก้าวสู่พืชเศรษฐกิจตัวใหม่ของประเทศ นายประสาทพร สมิปะมาน นักวิจัยศูนย์วิจัยเทคโนโลยีชีวภาพด้านพืช มูลนิธิโครงการหลวง เปิดเผยว่า กล้วยไม้จิ๋วมีขนาดประมาณครึ่งนิ้ว-2 นิ้ว สามารถนำไปใส่ในเครื่องแก้วสวยๆ นำไปเป็นของที่ฝากหรือของที่ระลึก เครื่องประดับบ้านได้ เชื่อว่าต่างประเทศจะนิยมกันมาก ขณะนี้ ได้ไปจดทะเบียนลิขสิทธิ์ทั้งพันธุ์กล้วยไม้ วิธีการทำ อาหารที่ใช้เลี้ยงไว้แล้ว เพราะประเทศไทยเป็นประเทศแรกของโลกที่สามารถเพาะพันธุ์กล้วยไม้จิ๋วได้เป็นผลสำเร็จ ด้าน ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ผลงานกล้วยไม้จิ๋วนี้จะร่วมจัดแสดง ภายในงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช.ระหว่างวันที่ 27-30 มีนาคม 2548 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ ภายใต้หัวเรื่อง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทยสู่เศรษฐกิจยุคโมเลกุล นอกจากนี้ ยังมีผลงานวิจัยที่จะนำมาจัดแสดง 300-400 ชิ้น จากนักวิจัยทั้งในและต่างประเทศ (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 19 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





บ้านไร้สายอัจฉริยะจาก "ฟิวเจอร์ แล็บ" สัมผัสชีวิตแห่งโลกอนาคต

ฟิวเจอร์ แล็บ เป็นส่วนหนึ่งของ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ที่มีหน้าที่คิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถตอบสนองการใช้ชีวิตของคนในอนาคตมาผนวกรวมกับเทคโนโลยีการสื่อสาร เมื่อนำทั้งความต้องการและเทคโนโลยีมาผนวกรวมกันจึงเกิดสิ่งใหม่ขึ้นมา และสิ่งที่ได้ทำให้ได้เห็นกันแล้ว คือ บ้านในแนวคิด “ไวร์เลส อินเทลลิเจ้นซ์ โฮม (Wireless intelligence home) ไวร์เลส อินเทลลิเจ้นซ์ โฮม ไม่ได้เป็นแค่ห้องตัวอย่างที่สร้างไว้เพื่อแสดงหรือโชว์เทคโนโลยีเท่านั้น แต่มีการนำไปใช้จริงในคอนโดมิเนียมใจกลางถนนสาทร และขายกันเป็นเรื่องเป็นราว ภายใต้ชื่อ "อินฟินิตี้" หนึ่งในโครงการอสังหาริมทรัพย์ของโกลเด้นแลนด์ ซึ่งแต่ละยูนิตนั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้ที่เป็นเจ้าของได้ใช้ชีวิตหรูหราและทันสมัยอย่างแท้จริง เริ่มตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้าประตูห้อง จะมีเซ็นเซอร์และกล้องที่จับความเคลื่อนไหว เมื่อพบว่ามีคนเดินเข้ามา ไฟในห้องจะเปิดโดยอัตโนมัติ ขณะเดียวกันยังสามารถสั่งเปิดไฟจากโทรศัพท์มือถือหรือเครื่องพีดีเอได้ถ้าต้องการ ซึ่งการที่บ้านทำงานแบบอัตโนมัตินั้น จะแยกส่วนกับการรักษาความปลอดภัย เมื่อไม่มีคนอยู่ที่บ้าน การทำงานของกล้องในบ้านจะเปลี่ยนไป เมื่อมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้น ระบบจะส่งสัญญาณเตือนมาที่โทรศัพท์มือถือของเจ้าของบ้านทันที บ้านนี้ไม่มีการเดินสายไฟ เพราะเป็นไปตามแนวคิดที่บอกว่าเป็น "ไวร์เลส" หรือไร้สาย ซึ่งถ้าต้องการทำงานภายในบ้านโดยใช้โน้ตบุ๊ค เจ้าของบ้านสามารถนั่งทำงานที่ไหนก็ได้ในทุกส่วนของบ้านที่ต้องการ ยิ่งไปกว่านั้นสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสายไฟ เพราะมีการสร้างไวร์เลส อินเทอร์เน็ตไว้ทั่วบ้าน การทำระบบนี้ขึ้นมา เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของคนที่ไม่จำกัดการทำงานไว้เพียงที่ทำงานเท่านั้น แต่สามารถนั่งทำงาน ประชุม หรือแม้แต่กระทั่งดูแลความเรียบร้อยของบริษัทได้ทั้งหมดจากที่บ้าน ยังมีการพัฒนาระบบการสื่อสารโทรคมนาคมที่เปลี่ยนให้โทรศัพท์บ้านกลายเป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยมีระบบโอนสายมายังเครื่องโทรศัพท์มือถือของเจ้าของบ้าน เมื่อไม่มีผู้รับสาย ที่สำคัญคนในบ้านสามารถติดต่อหากันได้ผ่านทางโทรศัพท์มือถือเพียงแค่ใช้เลข 4 หลักเท่านั้น ผู้ที่อยากมีบ้านอัจฉริยะแบบนี้ โครงการนี้ตั้งอยู่บนถนนสาทร ติดกับแยกนราธิวาสราชนครินทร์ หรือลงจากรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีช่องนนทรี ก็จะเห็นห้องตัวอย่างที่ทางอินฟินิตี้ได้จัดขึ้นเพื่อขาย ภายในสำนักงานขายก็จะมีการโชว์เทคโนโลยีจริงที่ใช้ในบ้าน ตั้งแต่ประตูบ้านจนถึงห้องน้ำเลย ยูนิตละไม่ต่ำกว่า 25 ล้านบาทค่ะ (คมชัดลึก เสาร์ที่ 19 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





หุ่นยนต์เคลื่อนเร็วสุด

ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าของญี่ปุ่นแข่งกันพัฒนาหุ่นยนต์เหมือนคน เมื่อฮอนด้ามีอาซิโม ขณะที่โซนี่มีคิวริโอ ด้านฮิตาชิก็ไม่ยอมน้อยหน้า พัฒนาเอมิว หุ่นยนต์เหมือนคนออกมาสำเร็จ ด้วยความสูง 130 เซนติเมตร เคลื่อนที่ด้วยล้อเลื่อนแทนที่จะเป็นขาแบบคน จึงครองแชมป์หุ่นยนต์ที่เคลื่อนที่เร็วที่สุดในโลกด้วยความเร็ว 6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งวิศวกรฝ่ายวิจัยของฮิตาชิบอกว่าต้องการสร้างหุ่นยนต์ที่เป็นประโยชน์กับคน ดังนั้นถ้ามันเคลื่อนที่ช้ากว่าคนจะใช้ประโยชน์ไม่คล่องตัว เอมิวติดระบบเซ็นเซอร์ที่ส่วนหัว เอว และที่ล้อ สองตัวที่เห็นอยู่คือ พอล (ซ้าย) และชุม (ขวา) ออกมาแนะนำตัวในงานแถลงข่าวที่ญี่ปุ่นและพร้อมจะไปประชันกับหุ่นยนต์ของโซนี่และฮอนด้าที่จะมาโชว์ความสามารถต่างๆ ในงานเวิลด์เอ็กซ์โป (ข่าวสด อาทิพย์ที่ 20 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ข่าวทั่วไป


เนสโกถวายเกียรติยศ"พระเทพฯ" อจ.จุฬาฯคว้ารางวัลสิทธิมนุษยชน

องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(ยูเนสโก) จะทูลเกล้าฯถวายตำแหน่งเกียรติยศ "ทูตสันถวไมตรี" แด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทางด้านการส่งเสริมกิจกรรมเพื่อเด็กด้อยโอกาสและการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม โดยนายโคชิโร่ มัตสึอูระ ผู้อำนวยการยูเนสโก กำหนดเข้าเฝ้าฯสมเด็จพระเทพฯเพื่อการนี้ ในวันที่ 24 มีนาคมนี้ และทำพิธีมอบรางวัลยูเนสโกเพื่อการศึกษาด้านสิทธิมนุษยชนประจำปี 2547 ให้กับนายวิทิต มัณตราภรณ์ ในวันที่ 23 มีนาคมนี้ ที่โรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์ปาร์ค ในฐานะผู้ส่งเสริมการให้การศึกษาด้านสิทธิมนุยชนคนสำคัญของไทยอีกด้วย นายวิทิตเป็นศาสตราจารย์สอนด้านกฎหมายอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยเมื่อวันที่ 6 สิงหาคมปีที่ผ่านมา นายวิทิตได้รับการแต่งตั้งจากสหประชาชาติ(ยูเอ็น) ให้เป็นผู้แทนพิเศษเพื่อรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเกาหลีเหนือ ทั้งนี้ นายวิทิตเคยทำงานร่วมกับยูเอ็นในช่วงปี ค.ศ. 1990-1994(2533-2537) ในฐานะผู้เรียกร้องความสนใจให้สังคมสนใจปัญหาละเมิดและทารุณกรรมรวมทั้งการค้าเด็ก, การค้าประเวณีเด็ก และปัจจุบันยังดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกของคณะกรรมการกองทุนของยูเอ็น ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนส่งเสริมสิทธิมนุษยชน (มติชน พุธที่ 16 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





แฉคนไทยติดวัณโรคพุ่งปีละ 8.6 หมื่นคน ติดอันดับ 19 ของโลก

น.พ.สุชัย เจริญรัตนกุล รมว. สาธารณสุข แถลงข่าวการรณรงค์เนื่องในวันวัณโรคโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 24 มี.ค. ของทุกปี โดยในปีนี้กำหนดคำขวัญการรณรงค์ว่า "วัณโรครักษาได้ต้องร่วมมือ ร่วมใจกัน" เนื่องจากปัจจุบันวัณโรคกลับมาเป็นปัญหาสาธารณสุข และเป็นสาเหตุของการป่วยและตายในหลายประเทศทั่วโลก องค์การอนามัยโลกระบุว่า 1 ใน 3 ของประชากรทั่วโลกหรือประมาณ 2,000 ล้านคน ติดเชื้อวัณโรคแล้ว มีผู้ป่วยโรควัณโรคประมาณ 16-20 ล้านคน ในจำนวนนี้ 8-10 ล้านคน สามารถแพร่เชื้อไปติดคนอื่นได้ โดยต่อปีมีผู้ป่วยวัณโรครายใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 8.4 ล้านคน และเสียชีวิตปีละประมาณ 1.9 ล้านคน ที่สำคัญโรควัณโรคซึ่ง 80% พบในประเทศที่กำลังพัฒนา 22 ประเทศ มีรายงานมากที่สุดในโลกได้แก่ อินเดีย จีน อินโดนีเซียและบังกลาเทศ เป็นโรคแทรกซ้อนที่พบมากเป็นอันดับ 1 ในผู้ ติดเชื้อเอดส์ สำหรับสถานการณ์ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 19ของโลก พบมีการติดเชื้อวัณโรคแล้ว 30-40% คาดการณ์ว่ามีผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ปีละ 86,000 ราย ในปี พ.ศ. 2546 พบผู้ป่วยทั้งหมด 52,146 ราย เป็นเพศชายมากกว่าหญิง 2 : 1 ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอายุ 25-34 ปี เสียชีวิตปีละ 6,000 ราย และแม้ว่าประเทศไทยจะควบคุมวัณโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำนวนผู้ป่วยรายใหม่แต่ละปีมีแนวโน้มลดลงก็ตาม แต่หลังจากมีการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ กลับพบผู้ป่วยวัณโรคเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา โดย เฉพาะในเขตเมือง กลุ่มผู้ติดยาเสพติดและแรงงานต่างด้าว (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 17 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





"ชัยอนันต์"เผยพิพิธภัณฑ์เรียนรู้ได้งบฯ3,700ล. เปิดบริการปลายปี49ยันมีชีวิตชีวาใช้สื่อไฮเทค

ศาสตราจารย์(ศ.) ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ผู้บังคับการโรงเรียนวชิราวุธฯ ในฐานะประธานกรรมการสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ(สพร.) มีความต้องการให้พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ ซึ่งเป็นองค์กรมหาชน ภายใต้การดูแลของกระทรวงพาณิชย์ ตั้งใจให้เป็นพิพิธภัณฑ์แบบใหม่ที่มีชีวิตชีวาเหมือนภาพยนตร์ มีการดำเนินเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ เรียกว่า "พิพิธเพลิน"เพราะเป็นสถานที่เข้าไปชมแล้วได้รับความเพลิดพลิน ไม่เหมือนพิพิธภัณฑ์เก่าเปรียบเสมือนรูปถ่าย ทั้งนี้ จะใช้งบประมาณก่อสร้างดำเนินงานทั้งหมด 3,700 บาท ภายในเวลา 5 ปี โดยปีนี้ได้งบฯ 400 ล้านบาท พิพิธภัณฑ์แห่งนี้แตกต่างจากพิพิธภัณฑ์ทั่วไปคือ เริ่มจากศึกษาความต้องการของกลุ่มเป้าหมายก่อน เช่น นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปแล้วนำเสนอเรื่องราวเหล่านั้น ชั้นแรกของพิพิธภัณฑ์จะเป็นเรื่องราวของคนในดินแดนสุวรรณภูมิ ตั้งแต่เริ่มตั้งรกรากของคนไทยจนถึงสมัยสยาม ชั้นที่ 2 เป็นห้องสมุดเล็กๆ สำหรับค้นคว้าข้อมูล เรื่องราวเบื้องลึก เพราะเนื้อที่ที่ใช้จัดแสดงมีจำกัด เรื่องราวที่นำมาจัดแสดงมีเพียง 5-10 เปอร์เซ็นต์ "จะให้ผู้ชมมีส่วนร่วมมากขึ้น จากเดิมที่ไม่สามารถแตะต้องสิ่งของในพิพิธภัณฑ์ได้เลย ดังจะเห็นจากข้อความห้ามจับ ช่วงหลังๆ เปิดโอกาสให้ผู้ชมสามารถแตะต้องของที่จัดแสดงมากขึ้น เช่น เครื่องถ้วยก็มีลิ้นชักที่บรรจุเศษที่แตกเป็นชิ้นๆ ให้ผู้ชมได้สัมผัส มีการนำสื่อคอมพิวเตอร์มาใช้ โดยใช้วิธีการกดปุ่มแล้วมีเสียงตอบโต้ตอบ เกิดการเปลี่ยนแปลทางความคิดให้พิพิธภัณฑ์มีบทบาทในการให้การศึกษาคือเป็นแหล่งการเรียนรู้อย่างไม่เป็นทางการ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพิพิธภัณฑ์หลายแห่งโดย เริ่มมีความคิดที่ว่าจะดึงดูดผู้ที่เข้าชมได้อย่างไร อย่างเช่นจัดสัมมนา ผลิตนิตยสารให้ข้อมูลปีละ 3-4 ฉบับ ซึ่งสามารถเรียกความสนใจของประชาชนได้มากขึ้น ประธานกรรมการสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติกล่าวอีกว่า ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ตั้งอยู่ที่กระทรวงพาณิชย์ ปากคลองตลาด แต่ในอนาคตจะใช้พื้นที่อาคารของกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และกรมรักษาดินแดนตั้งพิพิธภัณฑ์รอบๆ เกาะรัตนโกสินทร์ เรียกว่าเป็น "สมิธโซเนียนไทย" คาดว่าพิพิธภัณฑ์จะเปิดบริการปลายปี 2549 ซึ่งจะเป็นพิพิธภัณฑ์ตัวอย่างขนาดเล็ก เพราะมีเพียงอาคารเดียวเท่านั้น (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 17 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ฮอร์โมนแอสโตรเจนไก่-ผลไม้ เด็กโตก่อนวัยสารพัดโรคภัยรอ

ศ.นพ.กิตติ อังศุสิงห์ จากโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ ได้นำเสนอผลงานทางวิชาการเรื่อง "ภาวะการเข้าสู่วัยหนุ่มสาวก่อนวัยอันควร" ในการประชุมวิชาการครั้งที่ 5 ของโรงพยาบาลกรุงเทพว่า ปัจจุบันเด็กที่อยู่ในภาวะการเข้าสู่วัยหนุ่มสาวก่อนวัยเริ่มสูงขึ้น ที่สำคัญทั้งเด็กชายและเด็กหญิงมีอสุจิและรังไข่ จึงมีโอกาสให้กำเนิดบุตรได้ เด็กหญิงเหล่านี้อาจมีอัตราเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากมะเร็งของเต้านมและมดลูก กลุ่มปัญหาพบมากในเพศหญิงมากกว่าชายประมาณ 8 เท่า และมักพบมีความผิดปกของคลื่นสมองร่วมด้วย เท่าที่ตรวจพบเด็กหญิงอายุ 9 ปี 6 เดือน เริ่มมีหน้าอกตั้งแต่อายุ 7 ปี 6 เดือน และมีประจำเดือนเมื่ออายุ 8 ปี ในขณะที่กระดูกมีอายุ 15 ปี แพทย์ให้การรักษาอย่างต่อเนื่องสภาพร่างกายเกือบจะเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ศ.นพ.กิตติเปิดเผยด้วยว่า ได้ตรวจพบเด็กชายอายุ 5 ปี ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยปัญหาเต้านมโตทั้งสองข้าง เพราะชอบไปเล่นในห้องที่พ่อใช้ฝังเอสโตรเจนในไก่เพื่อทำไก่ตอน และมีโอกาสได้รับสารดังกล่าวทางปาก นางนิตยา จันทร์เรือง มหาผล โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เด็กที่โตผิดปกติเกิดจากการรับประทานผัก ผลไม้ บางชนิดเช่น น้ำมะพร้าว เต้าหู้ กวาวเครือ ฯลฯ ที่มีฮอร์โมนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ นอกจากนั้นที่ประเทศอังกฤษเคยมีรายงานข่าวว่า ปลาในแม่น้ำเทมส์ได้รับฮอร์โมนเพศหญิงเข้าไปจากการถ่ายปัสสาวะของผู้หญิงของทั้งประเทศ เมื่อระบบบำบัดน้ำเสียไม่สามารถแยกฮอร์โมนได้ จึงทำให้ฮอร์โมนไหลลงสู่แม่น้ำเทมส์ ปลาตัวผู้เมื่อดื่มกินน้ำเข้าไป ก็จะเป็นปลากะเทยไปโดยปริยายไม่สมารถสืบพันธุ์ได้ (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 17 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ค้านขึ้นทะเบียนยูคาลิปตัสเป็นพืชคุ้มครอง

นายเดชา ศิริภัทร คณะกรรมการพันธุ์พืช กล่าวว่า ในวันที่ 18 มี.ค.นี้ จะมีการเสนอคณะกรรมการพันธุ์พืชให้พิจารณาขึ้นทะเบียนยูคาลิปตัส เป็นพันธุ์พืชคุ้มครองภายใต้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ.2542 ซึ่งจะเป็นการเอื้อให้บริษัทปลูกสวนป่าขนาดใหญ่ สามารถมีสิทธิผูกขาดในพันธุ์ยูคาลิปตัสที่ปรับปรุงพันธุ์ขึ้นใหม่ จะทำให้เกษตรกรรายย่อยต้องเสียเงินซื้อพันธุ์ยูคาลิปตัสไปปลูก ถ้าไม่จ่ายจะถูกฟ้องร้องได้ นายเจริญ คัมภีรภาพ รองอธิการบดีฝ่ายทรัพย์สินทางปัญญาและภูมิปัญญาท้องถิ่น มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวว่า ที่ผ่านมาคณะกรรมการพันธุ์พืชมีแนวโน้มขึ้นทะเบียนพืชเพื่อเอื้อต่ออุตสาหกรรมเกษตรขนาดใหญ่ แทนที่จะคุ้มครองพันธุ์พืชพื้นเมือง เสนอโดยท้องถิ่น จึงขอเรียกร้องให้คณะกรรมการพันธุ์พืชชะลอการตัดสินใจเรื่องยูคาลิปตัสไปก่อน เพราะกระบวนการที่ผ่านมาไม่มีการรับรู้ในวงกว้าง (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 18 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





สนข.เล็งใช้เสาโฮปเวลล์ผุดรถไฟฟ้าสายสีแดง

นายคำรบลักขิ์ สุรัสวดี ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยว่า จากผลการศึกษาความแข็งแรงของโครงสร้างเสาโฮปเวลล์ ที่เคยมีกระแสข่าวว่าต่ำกว่ามาตรฐานและจำเป็นต้องทุบทิ้ง เพื่อก่อสร้างโครงสร้างใหม่ ใช้ในโครงการทางรถไฟมักกะสัน-สุวรรณภูมินั้น ล่าสุดหลังจากมีการมอบให้สถาบันวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและสถาบันเทคโนโยลีแห่งเอเชีย (เอไอที) ทำการศึกษาร่วมกัน ขณะนี้ผลศึกษามีความคืบหน้าไปกว่า 80% โดยสามารถระบุได้แล้วว่า มีเสาโครงสร้างสามารถใช้งานได้เกือบทั้งหมด จากเสาที่มีทั้งหมดจำนวน 981 ต้น และมีเสาที่คุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานต้องทุบทิ้งเพียง 2 ต้นเท่านั้น ดังนั้น สนข.ในฐานะหน่วยงานที่เป็นผู้ออกแบบและวางโครงสร้างระบบขนส่งมวลชน จะเดินหน้าใช้ประโยชน์จากโครงสร้างดังกล่าวทันที โดยเฉพาะโครงการเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีแดง (มักกะสัน -สุวรรณภูมิ) และารผสมผสานโครงการในส่วนของการขนส่งประเภทอื่นที่จะทำให้การลงทุนในโครงการที่คาดว่าจะใช้งบประมาณไม่น้อยกว่า 5 หมื่นล้านบาท ภายใน 5 ปีข้างหน้าเกิดประโยชน์คุ้มค่ามากที่สุด โดยเริ่มจากการยกระบบทางรถไฟธรรมดาที่วิ่งตามแนวเลียบถนนวิภาวดีรังสิต-มักกะสัน นำรางขึ้นไปวางอยู่บนฐานของเสาโฮปเวลล์ ทำให้ในอนาคตจะมีระบบรถไฟรางคู่ คือ รางรถไฟธรรมดาและระบบรางสำหรับรถไฟฟ้าอยู่รวมกัน ซึ่งโครงการทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การดูแลของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ซึ่งการยกระบบรางขึ้นลอยฟ้านี้ จะช่วยลดจุดตัดรางรถไฟบนถนนช่วยผ่อนคลายปัญหาการจราจรติดขัดได้มาก โดยเส้นทางรถไฟดังกล่าวยังสามารถใช้ประโยชน์ทั้งในเรื่องของรถไฟเพื่อการโดยสารและรถไฟเพื่อการขนส่งสินค้า ภายใต้แนวเสาของโครงการโฮปเวลล์ จะใช้ประโยชน์ในการวางแนวท่อก๊าซ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในโครงการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเชื่อมต่อกับโรงจ่ายก๊าซที่อยู่บริเวณชานเมือง ทั้งหมดจะเป็นการลงทุนของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) แผนงานทั้งหมด สนข.จะเป็นผู้ประสานงาน ขณะนี้แผนดำเนินการทั้งการออกแบบ กำหนดระยะเวลาก่อสร้าง ได้ดำเนินการเสร็จหมดแล้ว ส่วนเงินทุนที่จะใช้ดำเนินการก็จะมาจากงบประมาณแผ่นดิน เงินกู้ และเงินของหน่วยงานที่ลงทุนประมาณ 5 หมื่นล้านบาท (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 18 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ชี้จะเกิดแผ่นดินไหว-สึนามิอีก

เมื่อวันที่ 16 มีนาคม สำนีกข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส อ้างความเห็นของนักวิทยาศาสตร์ด้านธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยอุลสเตอร์-โคเลเรน ประเทศไอร์แลนด์เหนือ ที่ตีพิมพ์ในวารสาร "เนเจอร์" ว่า ผู้เชี่ยวชาญแผ่นดินไหวเตือนว่าจะเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง และก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิเช่นเดียวกันที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 มีผู้เสียชีวิตมากถึงเกือบ 300,000 คน โดยการเกิดใหม่ครั้งนี้จะเกิดที่มหาสมุทรอินเดียใกล้เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย พื้นที่เดียวกับที่เกิดขึ้น โดยแรงสั่นสะเทือนจะอยู่ระหว่าง 7.5 ริกเตอร์ถึง 8.5 ริกเตอร์ นายจอห์น แมกคลอสกีย์ ผู้เชี่ยวชาญแผ่นดินไหวจากมหาวิทยาลัยอุลสเตอร์ กล่าวว่า จากการศึกษาพบว่าผู้เชี่ยวชาญยังบอกไม่ได้ว่าจะก่อให้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ขึ้นเมื่อไร แต่ที่แน่ๆ คือแรงกดดันที่ตรวจพบในครั้งนี้เป็นแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นในปริมาณมากที่สุด และในวงกว้างที่สุดนับตั้งแต่ทางมหาวิทยาลัยวัดได้ตั้งแต่มีการเริ่มทำวิจัยมา (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 18 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





เอสโซ่เฟ้นหาน.ศ.ดาวเด่นรับ1แสน

นายพิภพ พฤกษมาศน์ กรรมการและผู้จัดการประชาสัมพันธ์ บริษัทเอสโซ่(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้จัดโครงการ "ESSO challenge 2005" ในช่วงปิดภาคเรียน เพื่อเสริมศักยภาพของนิสิต-นักศึกษาให้พร้อมสู่การทำงานจริงอย่างมืออาชีพ โดยจะรับนิสิต-นักศึกษาที่ศึกษาอยู่ในชั้นปีที่ 3 ในสถาบันอุดมศึกษาทุกแห่ง ซึ่งจะจัดวันคัดเลือกหรือ Audition Day ในวันที่ 1 เมษายน ที่ศูนย์การค้าสยาม ดิสคัฟเวอรี่ ในรูปแบบเวทีเปิดให้ผู้ชม กองเชียร์ และผู้สนใจทั่วไปสามารถชมการสัมภาษณ์ผู้สมัครได้ อีกทั้งยังจัดให้มีกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะการบริหารความรู้และความบันเทิงไปภายในตัวบริเวณงานตลอดทั้งวัน นิสิต-นักศึกษาที่สนใจกรอกใบสมัครได้ที่ www.essochallenge.com หรือโทร.0-2317-2134 สำหรับผู้ผ่านเข้ารอบ 24 คน จะได้รับการฝึกอบรมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติอย่างเข้มข้นจากผู้บริหารของเอสโซ่ และอาจารย์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของเมืองไทย เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านต่างๆ ตลอด 4 สัปดาห์ คือ 1.ทักษะการเป็นผู้นำและการทำงานเป็นทีม 2.ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 3.การวิจัยและพัฒนาและทักษะด้านเทคนิคและวิทยาศาสตร์ 4.การบริหารชีวิตและการตอบสนองต่อสังคมระหว่างวันที่ 18 เมษายน-13 พฤษภาคมนี้ ทั้งนี้ หลังจากจบการอบรมหลักสูตรแล้ว ผู้ผ่านการอบรมจะต้องทำโครงการของตนเองขึ้นให้คณะกรรมการพิจารณาตัดสิน เพื่อเฟ้นหาผู้ชนะเลิศต่อไป โดยผู้ชนะเลิศรางวัลที่ 1 จะได้รับทุนการศึกษา 100,000 บาท รองชนะเลิศอันดับหนึ่ง 60,000 บาทและรองชนะเลิศอันดับสอง 40,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตรแก่ทุกคนที่ผ่านการอบรมและผู้ได้รับรางวัล (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 18 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





มธ.เจ๋งได้แชมป์ "มูทคอร์ป"

รศ.เกศินี วิฑูรชาติ คณะบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อวันที่ 15-17 มีนาคม ที่ผ่านมา คณะพาณิชย์ฯ ได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน "เอเชีย มูท คอร์ป 2005" ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย มีทีมเข้าแข่งขันจำนวน 20 ทีม จาก 10 ประเทศทั่วทวีปเอเชีย ผลปรากฏว่า ทีมเพียวลิต (Purelite) จาก มธ. สามารถคว้าแชมป์ไปครอง ด้วยแผนธุรกิจสตีเวีย (Stevia) หรือหญ้าหวาน เและได้เป็นตัวแทนทวีปเอเชียไปแข่งขันการผลิตแผนธุรกิจระดับโลก หรือ "โกเบิล แชมเปี้ยน" ที่สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 4-7 พฤษภาคม 2548 การแข่งขันในเวทีโลกไม่ได้หวังว่าทีมเพียวลิต ของ มธ. จะได้รับรางวัลชนะเลิศ แต่เชื่อว่าแผนธุรกิจหญ้าหวาน จะทำให้นักธุรกิจระดับโลกสนใจนำเงินมาร่วมลงทุนทำธุรกิจการค้า ผลิตภัณฑ์จากหญ้าหวาน ให้เติบโตไปทั่วโลกแน่ๆ เป็นการนำเงินทุนเข้าประเทศได้อีกทาง (คมชัดลึก เสาร์ที่ 19 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





เสี่ยงมะเร็ง!ใช้พลาสติกหุงอาหารในไมโครเวฟ

รายงานว่า มหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ในสหรัฐอเมริกาได้ออกจดหมายเวียนภายใน เตือนเรื่องการใช้ภาชนะพลาสติคในการหุงอาหารในเตาไมโครเวฟ หรือใช้เก็บน้ำในช่องแช่แข็ง เนื่องจากการกระทำดังกล่าวมีโอกาสทำให้เกิดสารไดออกซิน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง โดยนายแพทย์เอ็ดเวิร์ด ฟูจิโมโต ผู้จัดการโครงการอยู่ดีมีสุขที่โรงพยาบาลคาสเซิล ได้ออกรายการโทรทัศน์อธิบายการเกิดสารก่อมะเร็งดังกล่าว และข้อมูลนี้ได้รับการแจ้งเตือนภายในศูนย์การแพทย์กองทัพบกวอลเตอร์รีดแล้ว นายแพทย์ฟูจิโมโตกล่าวว่า เมื่อไขมันและพลาสติคได้รับความร้อนจนถึงระดับหนึ่งจะทำให้เกิดสารไดออกซินปนเปื้อนอยู่ในเนื้ออาหาร เมื่อทานเข้าไปก็จะสะสมอยู่ในร่างกายผู้บริโภค ดังนั้นหากต้องการหุงอาหารในเตาไมโครเวฟก็ควรใช้ภาชนะที่ทำจากวัสดุอื่นๆ เช่น แก้ว เครื่องดินเผา หรือเครื่องเซรามิก รวมทั้งการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่มีภาชนะพลาสติคทนความร้อนมาให้ (มติชนรายวัน อาทิพย์ที่ 20 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





แฉใช้โทรศัพท์มือถือมากเด็กไม่โต

แฉใช้โทรศัพท์มือถือมากเด็กไม่โต เมื่อวันที่ 18 มี.ค. สภาสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย(สสวทท.) จัดการสัมมนา "กรณีศึกษาผลกระทบจากโทรศัพท์มือถือ" โดยดร.พิเชษฐ์ ลิ้มสุวรรณ ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวว่า โทรศัพท์ที่ใช้ในปัจจุบันจะขดเสาอากาศไว้ภายใน ต่างจากสมัยก่อนที่มีเสายื่นออกมาซึ่งจะอันตรายน้อยกว่า และยิ่งการคุยโทรศัพท์แนบไว้กับหูความเข้มข้นของคลื่นที่ออกมาจะมากกว่าการใช้แฮนด์ฟรี บริษัทผู้ผลิตมือถือต่างพยายามจะเซฟจุดนี้โดยการใช้แผ่นโลหะกรองคลื่น แต่ก็ยังไม่มีการวิจัยว่ากรองได้ทั้งหมด และพบว่าช่วงที่คลื่นมีความเข้มข้นมากสุดก็คือช่วงการรับ-ส่งโทรศัพท์ และยิ่งโทรศัพท์ที่มีแรงวัตต์มากก็ยิ่งมีคลื่นแรงมากขึ้น ศ.น.พ.อมร ลีลารัศมี นักระบาดวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า มีการทดลองในต่างประเทศหลายชิ้นที่พยายามศึกษาการใช้โทรศัพท์ ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพเกี่ยวกับการเสื่อมสภาพของเซลล์จนถึงขั้นการเกิดเป็นมะเร็ง แต่ก็ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ แต่ตนก็ขอเสนออย่างเป็นกลางว่า เราต้องคุยโทรศัพท์อยู่แล้วแต่ก็เลี่ยงได้โดยการไม่คุยนานและแนบชิดศีรษะมากเกินไป และหลีกเลี่ยงการคุยในที่สัญญาณอ่อน เพราะโทรศัพท์ต้องส่งคลื่นในตัวออกมามากขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือผลในระยะสั้นในเรื่องของอุบัติเหตุขณะขับรถ ศ.พ.ญ.ชนิกา ตู้จินดา ที่ปรึกษาคณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวว่าที่น่าเป็นห่วงคือขณะนี้เด็กวัยรุ่นมีพฤติกรรมที่ชอบคุยโทรศัพท์เป็นเวลานานมากขึ้น โดยเฉพาะเด็กวัย 12-21 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่สมองกำลังเจริญเติบโตเต็มที่ จึงแนะว่าไม่ควรใช้บ่อยและนานเกินไป โดยเฉพาะเด็กเล็กที่สมองยังบอบบาง พ.ญ.อัญชุลี หยองอนุกูล กรรมการผู้จัดการร.พ.กรุงสยามเซนต์คาร์ลอส ก็เตือนประชาชนให้ระวังในเรื่องการห้อยโทรศัพท์ไว้ที่คอเพราะตำแหน่งโทรศัพท์จะอยู่บริเวณใกล้หัวใจพอดี ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบด้านสุขภาพได้โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว (ข่าวสด อาทิพย์ที่ 20 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215