|
หัวข้อข่าวปีที่ 6 ฉบับที่ 12 ประจำวันที่ 2005-04-03
ข่าวการศึกษา
สมเด็จพระเทพรัตน์ ทรงสนับสนุนจัดทำ นามานุกรมวรรณคดีไทย สกอ.จัดนิทรรศการในต่างแดน ยกไทยศูนย์กลางศึกษาเอเชีย โพลล์ชี้วิศวกรรมจุฬาฯ ครองแชมป์คณะยอดฮิต อธิการมหาวิทยาลัยรวมตัวคุย จี้นายกฯขึ้นงด.-ให้โบนัสพนง.ม. ชี้งานหนัก-ทำวิจัยมากกว่าขรก. "ทักษิณ" หนุนออกนอกระบบ เน้นเสรีวิชาการ-ไฟเขียวนศ.เรียนข้ามคณะ มหาวิทยาลัยศรีปทุมสร้างชื่อคว้ารางวัลระดับโลก "อาชีวะ"จับมือเอกชน เรียนผลิตมอเตอร์ไซค์ อบรมครูผ่านดาวเทียมแก้ปัญหาเดินทาง "ไบโอเทค"เติมความรู้ผลิตอาหาร สนองนโยบาย"ครัวไทย:อาหารปลอดภัยเพื่อคนทั้งโลก" "บรอมส์โกรฟ" หนุนไทย เป็นศูนย์กลาง ร.ร.นานาชาติเอเชีย จุดอ่อนงานวิจัยมทร. รอสิทธิบัตรจนของบูด
ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี
ค้นพบเนื้อเยื่อไดโนเสาร์ 70 ล้านปี เส้นเลือดเหมือนของนกกระจอกเทศ ไทยผนึก11ประเทศคลอดปฏิญญากรุงเทพฯ วางกรอบวิจัยวิทย์ มุ่งช่วยมนุษยชาติมากกว่าการค้า พบเนื้อเยื่อไดโนเสาร์ มัมมี่ศตวรรษที่ 21 แนะรัฐใช้ฐานเจาะน้ำมันเตือนสึนามิ นักวิชาการเน้นเครือข่าย แลกเปลี่ยนข้อมูลกับต่างชาติ ไอบีเอ็มโชว์ ซูเปอร์คอมพ์ เร็วสุดในโลก พลิกเบื้องลึก"แผ่นดินไหว" สลายตัวไม่เป็น"สึนามิ" เปรียบเทียบ 2 เหตุการณ์แผ่นดินไหวสุมาตรา เตือนตะกอนไหล่ทวีปอันดามัน เสี่ยงถล่มก่อคลื่นสึนามิรอบใหม่ ศิลปากรติวเข้มนักอนุรักษ์ โบราณคดีเชิงวิทยาศาสตร์ 'ซิป้า' แจกฟรีโปรแกรมธุรกิจช่วยเอสเอ็มอีลดต้นทุนซื้อซอฟต์แวร์ คาร์บอนตลบโลก "สมิทธ"เตือนสึนามิจ่อถล่มใต้ระลอกใหม่ ชี้หนักกว่าเดิมหลายเท่าตัว เร่งแผนอพยพคน ทำคู่มือหนีภัยแจก ยีนของมนุษย์กับสัตว์และพืช
ข่าววิจัย/พัฒนา
แพทย์จีนอ้างซดชาลดความอ้วน สาวๆ ดื่มแล้วพุงจะไม่ป่องออก อังกฤษเตือนให้เด็กเล็กใช้มือถือ ยังมีปัญหาจะเป็นโทษบั้นปลาย เต้าเทียมเพื่อผู้ป่วยไร้เต้านม อังกฤษคิดค้นเสื้อส่งกลิ่นหอม เล็งใช้งานด้านแพทย์-ทหาร ทำกระดาษจากใยกัญชง มทร.คลองหกนำโชว์ "ราชมงคลวิชาการ" พบสารบำรุงเส้นผมดกดำ แก้ศีรษะล้าน เครื่องเหล่าไม้ไผ่จักรสาน นวัตกรรมเพื่อชุมชน ข้าวสีทองจีเอ็มพันธุ์ใหม่ ให้เบต้าแคโรทีนมากกว่า สหรัฐฯวิจัยพบ "ชาขาว" ต้านมะเร็งชะลอความแก่ ใช้สารจากคนปนสารในตัวสัตว์ แปลงหนูหายจากอาการแพ้แมว ไทยสนใจเครื่องบินเท้าปั่น ศึกษาออกแบบอากาศยาน สวทช.ผุดศูนย์เทคโนโลยีทันตกรรม พัฒนารากฟันเทียมราคาถูกเพื่อคนไทย เพนตากอนพัฒนาศัลยแพทย์สมองกล ไอเสียทำร่างกายทรุด สูดดมทั้งวันเสี่ยงมะเร็ง มช.เจ๋งพบสมุนไพรไทย ต้านไขข้อ-กระดูกเสื่อม ลายนิ้วมือเรืองแสง กินน้ำมันปลาต้านโรคสมองเสื่อม เป็นวิธีรักษาแบบหากันได้ง่ายๆ โตชิบาทำแบตฯรุ่นใหม่ หนึ่งนาทีชาร์จไฟเต็ม ชุดตรวจเลือดรู้ผลเร็ว ศิริราชคิดค้นช่วยลดผู้ป่วยธาลัสซีเมีย เปิดโรงพยาบาลรักษาด้วยไม้เรียว ขับโรคพิษสุราเรื้อรังหายได้ชะงัด หาแหล่งเซลล์ต้นกำเนิดหัวแทบผุ กลับพบอยู่บนหัวของตัวเราเอง โนวาร์ตีสวิจัยยาใหม่จากคลังจุลินทรีย์ไทย รถอัจฉริยะปลอดโชเฟอร์ เอไอทีขอเวลา 3 ปีก่อนอวดโฉม เครื่องป้อนอาหารอัตโนมัติ ช่วยผู้ป่วยกินข้าวได้เอง ชุดชาร์จแบตฯพลังแสงอาทิตย์ ไอเดียสุดเจ๋งหนุ่มป.4สร้างจยย.ล้อเดียว
ข่าวทั่วไป
ขรก.ชมพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ฟรี วธ.จับมืออาเซียนคุมเข้มค้าโบราณวัตถุ ล้อมคอกแก้กฎหมายเพิ่มอำนาจท้องถิ่น แนะวิธีรักษาไมเกรนโดยไม่ใช้ยา ใช้น้ำมันสะระแหน่แต่ห้ามกินไวน์ ห้ามนักท่องเที่ยวไปแองโกลา เชื้อไวรัสมรณะอาละวาดหนัก
ข่าวการศึกษา
สมเด็จพระเทพรัตน์ ทรงสนับสนุนจัดทำ นามานุกรมวรรณคดีไทย
หลังจากที่มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ คิดจัดทำโครงการนามานุกรมวรรณคดีไทย เพื่อรวบ รวมคำศัพท์จากหนังสือวรรณคดีไทย รวมถึงวรรณคดีพื้นบ้านที่เกี่ยวเนื่อง ตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงรัชกาลที่ 5 ซึ่งถือเป็นวรรณกรรมที่ทรงคุณค่า แต่เนื่องจากต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการจัดทำ ทำให้ต้องพับโครงการไว้ก่อน จนกระทั่งองค์กรใหญ่ใจดีอย่าง "จีอี มันนี่ ประเทศไทย" เห็นคุณค่าของโครงการดังกล่าว จึงได้ยื่นมือเข้ามาสนับสนุน โดยมอบเงินจำนวน 10 ล้านบาทให้มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เดินหน้าสานต่อโครงการนามานุกรมวรรณคดี ไทยให้ประสบผลสำเร็จ เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมายุ ครบ 50 พรรษา และเพื่อเป็นแหล่งค้นคว้าอ้างอิงเกี่ยวกับวรรณคดีไทยสำหรับเยาวชนและผู้สนใจทั่วไป ศ.เกียรติคุณ คุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ ประธานคณะกรรมการดำเนินการ โครงการนามานุกรมวรรณคดีไทย เผยถึงการจัดทำนามานุกรมวรรณคดีไทยว่า เป็นโครงการที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงให้การสนับสนุน โดยทรงมีรับสั่งว่า เราน่ามีนามานุกรมแบบนี้มานานแล้ว เพราะจะช่วยสนับสนุนให้เยาวชนไทยได้รู้จัก สนใจ และตระหนักถึงคุณค่าของวรรณคดีไทย ขณะเดียวกันก็ช่วยให้การศึกษาค้นคว้า เกี่ยวกับวรรณคดีไทยทำได้ง่ายขึ้น เป็นการรวบรวมคำศัพท์จากหนังสือวรรณคดีไทย ประมาณ 300 เรื่อง อาทิ รามเกียรติ์ อิเหนา สามก๊ก พระอภัยมณี ศรีปราชญ์ ฯลฯ และคำศัพท์ที่อธิบายถึงตัวละคร สถานที่ และปกิณกะต่างๆ โดยมีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญประมาณ 7 ท่าน แบ่งกลุ่มช่วยกันทำตามความถนัด อาทิ ผู้เชี่ยวชาญวรรณคดีพุทธศาสนา ผู้เชี่ยวชาญวรรณคดีสมัยสุโขทัย ผู้เชี่ยวชาญวรรณคดีสมัยอยุธยา และผู้เชี่ยวชาญวรรณคดีพื้นบ้าน ซึ่งจะใช้ระยะเวลาในการจัดทำประมาณ 3 ปี รวมทั้งหมด 10 เล่ม เล่มละประมาณ 500 หน้า เมื่อจัดทำแล้วเสร็จจะแจกจ่ายไปยังสถาบันอุดมศึกษา โรงเรียน และห้องสมุดต่างๆ ทั่วประเทศราว 41,800 แห่ง (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 28 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)
สกอ.จัดนิทรรศการในต่างแดน ยกไทยศูนย์กลางศึกษาเอเชีย
เมื่อวันที่ 19-21 มีนาคม ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เลือกที่โชว์ศักยภาพการศึกษาไทยที่นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นครั้งที่ 2 หลังได้เหยียบถิ่นมังกรเมื่อปี 2544 งานนี้มีคนจำนวนไม่น้อยสนใจและอยากจะไปเรียนต่อที่ประเทศไทย เพื่อเชื่อมโยงทั้งภาษาและวัฒนธรรมของทั้ง 2 ประเทศ ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) บอกว่า ที่ผ่านมามีคนจีนมาเรียนต่อที่เมืองไทย ทั้งระดับปริญญาตรี ปริญญาโทและปริญญาเอก แสดงให้เห็นว่ายังมีความต้องการอีกมากที่จะมาเรียนที่ไทย และเชื่อว่าจะเพิ่มขึ้นทุกปี ปีนี้คาดว่าจะมีนักศึกษาจีนในไทยไม่น้อย 3,000 คน สกอ.จะประสานกับบริษัทนำเที่ยวของต่างประเทศ ให้จัดโปรแกรมการเยี่ยมชมงาน เอดูเคชั่น แฟร์ ที่กระทรวงศึกษาจะจัดขึ้นทุกปีเป็นหนึ่งโปรแกรมนำเที่ยว เพื่อให้ผู้สนใจที่จะส่งลูกมาเรียนในเมืองไทยมาเห็นศักยภาพการศึกษาที่จริงของไทย ซึ่งจะเป็นยุทธศาสตร์ที่ช่วยให้ไทยพัฒนาสู่การเป็นศูนย์กลางการศึกษาของเอเชียได้ แต่ต้องเร่งคุณภาพอุดมศึกษาในภาพรวม เพื่อขยับฐานะจากมหาวิทยาลัยระดับกลางขึ้นสู่แถวหน้าของโลก การตระเวนจัดนิทรรศการอุดมศึกษา ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพียงจะดึงนักศึกษาต่างชาติมาเรียนในไทยมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างเครือข่ายทางวิชาการกับมหาวิทยาลัยในภูมิภาคให้ไทยเป็นศูนย์กลางการศึกษาแห่งเอเชีย การสานสัมพันธ์ สร้างความเข้มแข็งในภูมิภาคร่วมกัน จึงเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ (คมชัดลึก จันทร์ที่ 28 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
โพลล์ชี้วิศวกรรมจุฬาฯ ครองแชมป์คณะยอดฮิต
ผลสำรวจของแบรนด์ซัมเมอร์แคมป์ โพลล์ ซึ่งได้ทำการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับความสนใจศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีของนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการ "แบรนด์ ซัมเมอร์แคมป์ 2005" จำนวน 29,298 คน ประกอบด้วยนักเรียนระดับมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 4-6 จากทั่วประเทศ พบว่า สามอันดับแรกของมหาวิทยาลัยที่มีผู้ต้องการเลือกเรียนมากที่สุดยังคงเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คิดเป็นร้อยละ 37.66 รองลงมาคือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร้อยละ 17.30 และอันดับ 3 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร้อยละ 15.95 สำหรับคณะที่มีผู้สนใจสมัครเรียนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ และเภสัชศาสตร์ โดยผู้ที่มีบทบาทในการให้คำปรึกษาในการตัดสินใจเลือกคณะและมหาวิทยาลัยมากที่สุด คือผู้ปกครองสูงถึงร้อยละ 43.23 รองลงมาคือเพื่อน ร้อยละ 25.26 ส่วนครูแนะแนวอยู่อันดับ 3 ร้อยละ 23.60 อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจของแบรนด์ ซัมเมอร์แคมป์ โพลล์ เมื่อแยกตามรายได้ของครอบครัว พบว่าผู้ที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างดี คือมากกว่า 100,000 บาทต่อเดือน จะเลือกเรียนคณะแพทยศาสตร์เป็นอันดับหนึ่ง คิดเป็นร้อยละ 13.40 ส่วนคณะวิศวกรรมศาสตร์เป็นอันดับ 2 คิดเป็นร้อยละ10.89 และคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีถูกเลือกเป็นอันดับสาม หรือคิดเป็นร้อยละ 9.06 แสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีฐานะดียังคงต้องการให้ลูกของตัวเองเป็นแพทย์ เนื่องจากอาจจะมองว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติ ขณะที่ผู้ที่มีฐานะครอบครัวปานกลาง มีรายได้ครอบครัวต่อเดือนน้อยกว่า 100,000 บาท จะเลือกคณะวิศวกรรมศาสตร์มากเป็นอันดับหนึ่ง (คมชัดลึก อังคารที่ 28 มีนาคม 48 http://www.komchadluek.net)
อธิการมหาวิทยาลัยรวมตัวคุย
เมื่อวันที่ 28 มี.ค.น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ เปิดเผยถึงกรณีอธิการบดีมหาวิทยาลัยต่างๆ กว่า 20 แห่ง เข้าพบพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกฯว่า ทั้งหมดมาขอรับนโยบายด้านการอุดมศึกษา นายกฯบอกว่าเป้าหมายสูงสุด คือ อยากเห็นการศึกษาไม่มีข้อจำกัด อยากเห็นเสรีภาพทางการเรียนรู้ และอยากเห็นการเรียนข้ามคณะกันมากขึ้น ส่วนการเตรียมนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบนั้น นายกฯระบุว่าเกิดขึ้นก่อนรัฐบาลนี้ แต่ไม่ได้คัดค้านเพราะต้องการส่งเสริมศักยภาพทางการศึกษา เช่น เรื่องเงินกู้เพื่อการศึกษาเกิดขึ้นเพื่อให้เด็กยากจนได้เรียนต่อ ดังนั้นมหาวิทยาลัยต้องช่วยคิดว่าจะบริหารอย่างไรเพื่อก้าวไปด้วยกัน นายกฯยังฝากถึงมหาวิทยาลัยที่จะออกนอกระบบว่าขอให้ดูช่วงเปลี่ยนถ่ายซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อให้ดี ส่วนเรื่องกฎหมายนั้นบรรดาอธิการบดีขออย่าให้เปลี่ยนแปลงอะไรอีก ไม่เช่นนั้นจะเกิดโกลาหล รวมทั้งการเสียสิทธิเป็นข้าราชการนั้น รมช.ศึกษาฯจะไปหารือกับก.พ.ร. ส่วนระบบแอดมิสชั่นจะพยายามทำให้ทันปีการศึกษา 2549 ซึ่งต้องใช้เวลาทำความเข้าใจกับผู้ปกครองอย่างมาก ซึ่งรศ.ดร.ประเสริฐ ชิดพงศ์ ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดี เสนอให้ใช้แอดมิสชั่นร้อยละ 50 ส่วนอีกร้อยละ 50 เน้นการสอบให้เด็กคิดหรือวิเคราะห์ และอนาคตข้างหน้า 2-3 ปีจีพีเอน่าจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 80 ขณะเดียวกันนายกฯมอบหมายให้นายจาตุรนต์ ฉายแสง รองนายกฯ ดูแลเรื่องการวิจัยเพื่อให้เกิดประโยชน์มากขึ้น และนายกฯยังฝากที่ประชุมอธิการบดีพิจารณาว่า ทำอย่างไรถึงจะให้นักวิชาการตามมหาวิทยาลัยต่างๆได้เป็นที่ปรึกษาเรื่องต่างๆ ที่สำคัญของประเทศ เพื่อลดรายจ่ายให้ต่างชาติ เพิ่มรายได้ให้นักวิชาการไทย และปลุกเร้าให้นักวิชาการเกิดความตื่นตัวในการเรียนรู้ รวมทั้งอยากให้เกิดการเรียนรู้กันระหว่างภาคมหาวิทยาลัยกับราชการ ขณะเดียวกันในส่วนของอาจารย์มหาวิทยาลัย ถ้าอยากเข้ามาเรียนรู้การทำงานต่างๆของภาครัฐก็พร้อมสนับสนุนเพื่อให้นักวิชาการได้มาสัมผัสของจริง ซึ่งต่างประเทศเคยมีการทำเช่นนี้และพบว่าเกิดความเข้าใจกันมากขึ้น" นางสาวศันสนีย์กล่าว (ข่าวสด อังคารที่ 29 มี.ค. 48 เมื่อวันที่ 28 มี.ค. http://www.matichon.co.th/khaosod)
จี้นายกฯขึ้นงด.-ให้โบนัสพนง.ม. ชี้งานหนัก-ทำวิจัยมากกว่าขรก.
เมื่อวันที่ 29 มีนาคม นายธีรวุฒิ บุณยโสภณ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ(สจพ.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.) เข้าพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อหารือ และขอให้รัฐบาลสนับสนุนการจัดการอุดมศึกษาด้านต่างๆ นั้น ตนได้ทำหนังสือถึงนายกฯ เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับพนักงานมหาวิทยาลัยด้วย เพราะขณะนี้มีจำนวนมาก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จึงขอให้นายกฯปรับปรุงค่าตอบแทนให้เท่าเทียมกับข้าราชการ รวมทั้งจัดสรรเงินรางวัลให้ เพื่อป้องกันปัญหาสมองไหลของอาจารย์มหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอาจารย์ที่เป็นนักเรียนทุนระดับปริญญาโท และเอกด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณได้มอบให้นายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) และนายรุ่ง แก้วแดง รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ.ไปดำเนินการ (มติชนรายวัน พุธที่ 30 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th)
"ทักษิณ" หนุนออกนอกระบบ เน้นเสรีวิชาการ-ไฟเขียวนศ.เรียนข้ามคณะ
เมื่อวันที่ 28 มีนาคม รศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยภายหลังการเข้าพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล ร่วมกับอธิการบดีมหาวิทยาลัยรัฐเดิมทั้ง 24 แห่ง หรือที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) พร้อมด้วยนายจาตุรนต์ ฉายแสง รองนายกรัฐมนตรี นายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) และ ดร.รุ่ง แก้วแดง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายการศึกษา ให้เน้นการเรียนรู้อย่างเสรีภาพไม่จำกัด นักศึกษาสามารถเลือกเรียนข้ามคณะหรือโอนย้ายวิชาการได้ จัดการสอนในลักษณะสหวิทยาการให้มากขึ้น และรับปากว่าจะผลักดันร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับ หรือมหาวิทยาลัยนอกระบบที่ยังค้างอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรต่อไป แต่หากประชาคมมหาวิทยาลัยไม่เห็นด้วยสามารถดึงร่าง พ.ร.บ.กลับได้ แต่ต้องเป็นความต้องการของมหาวิทยาลัยอย่างแท้จริง และสภามหาวิทยาลัยมีมติให้ถอนร่างกลับคืน ไม่ใช่เป็นแค่ความคิดเห็นของอาจารย์บางกลุ่ม การแยกกระทรวงอุดมศึกษายังไม่ได้ข้อยุติ นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้เป็นเรื่องของกระทรวงศึกษาฯ เป็นผู้ตัดสินใจ และให้มีการหารือร่วมกันเช่นนี้ทุก 3-4 เดือน โดยให้รัฐมนตรีในส่วนที่เกี่ยวข้องมีการประชุมร่วมกับ ทปอ. โดยได้รายงานว่าในวันที่ 23 เมษายน 2548 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีดูแลกระทรวงการคลัง จะร่วมหารือกับ ทปอ. เกี่ยวกับการนำวิชาการพัฒนาระบบเศรษฐกิจชาติ ซึ่งนายกฯ พึงพอใจมาก ด้าน รศ.ดร.ประเสริฐ ชิตพงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย กล่าวว่า นายกฯ เห็นว่าถ้ามหาวิทยาลัยเห็นว่าการออกนอกระบบเป็นทางออกที่ดี ก็พร้อมที่จะช่วยผลักดัน พ.ร.บ.ออกนอกระบบให้เดินหน้าต่อไป แต่ถ้ามหาวิทยาลัยใดยังมีปัญหาหรือยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการออกนอกระบบให้ไปทำความเข้าใจกันให้เรียบร้อย เมื่อออกนอกระบบแล้วหากข้าราชการคนใดยังอยากเป็นข้าราชการอยู่ก็ให้อยู่ได้จนกว่าจะเกษียณ (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 31 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
มหาวิทยาลัยศรีปทุมสร้างชื่อคว้ารางวัลระดับโลก
มหาวิทยาลัยศรีปทุมแจ้งว่า จากการประกวดแบบระดับนานาชาติประจำปี 2547 ในหัวข้อ "Integrated Communities : A Society for All Ages" (ชุมชนหนึ่งเดียว : สังคมระดันคนทุกวัย) ซึ่งจัดขึ้นโดย The Integrated Communities : A Society for All Ages ในปีนี้นักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ได้สร้างชื่อชนะการประกวดดังกล่าว ซึ่งเป็นทีมเดียวในประเทศไทยที่คว้ารางวัล จากผู้เข้าประกวดกว่า 28 ประเทศ ผลงานที่สร้างชื่อคือ PAK KRED/THAI-MON COMMUNITY "SHARING PRESERVING AND SUSTAINING SOCAIETY WITHOUT DISCRIMINATION" ได้รับรางวัลที่ 2 รับเงินรางวัลทุนการศึกษา 5,000 เหรียญสหรัฐ พร้อมเกียรติบัตร นักศึกษาที่ได้รับรางวัลนี้คือ นายธิติวัฒน์ จันศร, นางสาวธัญวิมลวิสิฐ เรืองกิตติรุทย์, นางสาววรัตม์ บุนยบุตร และนายอรรณพ ฤทธิ์จิตเพียร กลุ่มนักศึกษาชุดนี้กล่าวว่า ได้ใช้พื้นที่ใน จ.นนทบุรี บริเวณเกาะเกร็ด ที่เลือกเพราะคิดว่าตรงกับหัวข้อมากที่สุด ซึ่งเกาะเกร็ดมีวิถีชีวิตแบบชาวบ้านๆ ยังรักษาความเป็นชุมชนแบบเดิม และมีงานฝีมืที่เป็นเอกลักษณ์ของความเป็นไทย-มอญอยู่มาก แม้จะอยู่ใกล้เขตกรุงเทพฯ แต่ยังไม่ถูกสังคมเมืองกลืนไป สำหรับรางวัลได้มีพิธีมอบรางวัลไปแล้วเมื่อเร็วๆ นี้สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ กรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา และจะเวียนแสดงผลงานของนักศึกษาไปตามประเทศต่างๆ ทั่วภูมิภาค (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 31 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th)
"อาชีวะ"จับมือเอกชน เรียนผลิตมอเตอร์ไซค์
เมื่อวันที่ 30 มีนาคม นายวีระศักดิ์ วงษ์สมบัติ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) กล่าวในการเป็นประธานพิธีลงนามความร่วมมือกับบริษัท แพล็ททินัม มอเตอร์ เซลล์ จำกัด ว่า ความร่วมมือกับบริษัทแพล็ททินัมฯซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายรถจักรยานยนต์รายใหญ่ จะเป็นการเปิดโอกาสให้กับนักศึกษาอาชีวะสาขาช่างยนต์และอิเล็กทรอนิกส์เข้าไปฝึกงานในโรงงานที่มีความทันสมัย และเมื่อเรียนจบแล้วก็จะรับเข้าทำงาน ส่วนแรงงานในโรงงานดังกล่าวที่ยังเรียนไม่จบอาชีวะก็จะเปิดโอกาสให้เรียนในระบบทวิภาคีควบคู่ไปกับการทำงานด้วย ขณะเดียวกันทางบริษัทแพล็ททินัมฯยังจะสนับสนุนการฝึกอบรมอาจารย์อาชีวะ และสนับสนุนเครื่องยนต์รุ่นใหม่ๆ เพื่อให้นักศึกษาได้ใช้ฝึกปฏิบัติ ซึ่งโครงการนี้จะเริ่มตั้งแต่ปีการศึกษา 2548 ในอนาคตเมื่อสถาบันอาชีวศึกษาที่เข้าร่วมโครงการมีความพร้อมก็จะให้จัดตั้งเป็นศูนย์ฝึกและซ่อมบำรุงรถจักรยานยนต์ยี่ห้อแพล็ททินัม รวมทั้งผลิตรถจักรยานยนต์ร่วมกัน โดยให้นักศึกษาอาชีวะได้มีส่วนร่วมในการออกแบบรถจักรยานยนต์ด้วย ซึ่งจะทำให้นักศึกษามีความรู้และทักษะด้านเทคโนโลยียานยนต์ และในอนาคตอาจทำให้คนไทยได้ใช้รถจักรยานยนต์ในราคาถูก ด้านนายสมนึก วิทยารักษ์สรรค์ ประธานกรรมการบริหารบริษัทแพล็ททินัมฯ กล่าวว่า ปัจจุบันในประเทศไทยยังขาดบุคลากรทางด้านเทคโนโลยียานยนต์ จึงต้องการร่วมส่งเสริมและสนับสนุนในการพัฒนาความรู้ความสามารถทางด้านเทคโนโลยียานยนต์ โดยเฉพาะด้านรถจักรยานยนต์ ทั้งนี้บริษัทมีกำลังผลิตรถจักรยานยนต์ 500,000 คันต่อปี เพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออกต่างประเทศ (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 31 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th)
อบรมครูผ่านดาวเทียมแก้ปัญหาเดินทาง
นายพิศาล สร้อยธุหร่ำ ผอ.สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เปิดเผยว่า สสวท.ทดลองนำร่องจัดตั้งศูนย์อบรมทางไกลจำนวน 100 จุดทั่วประเทศ สามารถอบรมครูได้จุดละ 40 คน ทำให้ในครั้งเดียวสามารถอบรมครูได้ถึง 4,000 คน หากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ช่วยขยายศูนย์ให้ครอบคลุมสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 175 เขต จะทำให้การอบรมครูเป็นไปอย่างรวดเร็ว และทั่วถึงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การอบรมในลักษณะนี้ไม่สามารถทดแทนการอบรมแบบตัวต่อตัวได้ทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ แต่เชื่อว่าสามารถทดแทนได้ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลืออีก 30 เปอร์เซ็นต์ จะเป็นการฝึกอบรมอย่างเข้มข้น และจากที่ทดลองนำร่องไปแล้ว 100 จุด ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ดังนั้น หากสพฐ.ขยายไปให้ทั่วถึงประมาณ 1,000 จุด จะทำให้ยิ่งมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยสามารถอบรมผ่านดาวเทียมที่มีอยู่ประจำสำนักเขตพื้นที่ทุกแห่ง และใช้ห้องปฏิบัติการของโรงเรียนเป็นศูนย์อบรมปลายทางได้ ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ สพฐ.มีอยู่แล้ว เพียงแต่อาจต้องเพิ่มเติมสิ่งอำนวยความสะดวกบางสิ่งเท่านั้น และจะสามารถประหยัดงบประมาณในการเดินทางมาอบรมในส่วนกลางได้จำนวนมาก (ข่าวสด พฤหัสบดีที่ 31 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)
"ไบโอเทค"เติมความรู้ผลิตอาหาร สนองนโยบาย"ครัวไทย:อาหารปลอดภัยเพื่อคนทั้งโลก"
ไบโอเทคเชิญอาจารย์ราชภัฏ เกษตร อาชีวะและกลุ่มแม่บ้านเข้าอบรมพัฒนากระบวนการผลิตอาหารเพื่อสนองนโยบาย "ครัวไทย:อาหารปลอดภัยเพื่อคนทั้งโลก" ที่ห้องประชุมศูนย์วิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ โดยมี ผศ.ปรีชา สนธิรักษ์ รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ เป็นประธานเปิดการอบรมหลักสูตรวิทยากรท้องถิ่น โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรของสถาบันการศึกษาในระดับท้องถิ่นสู่การเป็นวิทยากรด้านสุขลักษณะที่ดีในการผลิตอาหาร (Good Hygiene Practice:GHP) มีนายชายกร สินธุสัย หัวหน้าคณะวิทยากร จากหน่วยบริการด้านความปลอดภัยของอาหาร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ(BIOTEC) นำคณะมาให้การอบรม สนับสนุนการจัดอบรมโดย สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาและสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ทำการอบรมรวม 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 23-26 มีนาคม2548 ความเป็นมาของโครงการ สืบเนื่องจากการที่รัฐบาลไทยประกาศให้วันที่ 1 มกราคม 2547 เป็นวันเริ่มต้นนโยบาย "ครัวไทย:อาหารปลอดภัยเพื่อคนทั้งโลก" โดยมีหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบคือ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ข่าวสด พฤหัสบดีที่ 31 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)
"บรอมส์โกรฟ" หนุนไทย เป็นศูนย์กลาง ร.ร.นานาชาติเอเชีย
มร.เอียน เอ็ม เดวิสัน ประธานกรรมการโรงเรียนนานาชาติบรอมส์โกรฟ ประเทศไทย เปิดเผยว่า โรงเรียนนานาชาติบรอมส์โกรฟ อังกฤษ มีนโยบายที่จะส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของโรงเรียนนานาชาติบรอมส์โกรฟ ในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศเพื่อนบ้านในอนาคต เพราะเชื่อมั่นต่อศักยภาพของทีมผู้บริหาร และมีความมั่นใจต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคมไทย รวมถึงภาครัฐบาลที่มีนโยบายให้ความสำคัญต่อการศึกษาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง การที่มีนโยบายให้ไทยเป็นศูนย์กลางการศึกษาในเอเชีย เนื่องด้วยความเอื้ออำนวยทางด้านภูมิศาสตร์ และไทยมีการพัฒนาด้านการศึกษาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรงเรียนนานาชาติที่เปิดกว้างอย่างมาก ซึ่งทางอังกฤษก็ได้แสดงความเชื่อมั่นว่าในอนาคตนั้น ไทยมีความสามารถที่จะสร้างชื่อเสียงให้บรอมส์โกรฟเป็นที่ยอมรับและรู้จักอย่างแพร่หลายในภูมิภาคนี้อย่างแน่นอน บรอมส์โกรฟในไทยได้ลงทุนกว่า 350 ล้านบาท บนเนื้อที่ 24 ไร่ บริเวณสนามกอล์ฟปัญญา สุวินทวงศ์ ในส่วนโครงการใหม่ที่ขยายเพิ่มเติมอีก 9 หลุม ซึ่งจะมี 2 ทะเลสาบ มีบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติที่ดี ทำให้มีความแตกต่างจากโรงเรียนแห่งอื่น อันจะส่งผลให้โรงเรียนนานาชาติบรอมส์โกรฟ มีศักยภาพในด้านทำเลที่ตั้ง และยังถือว่าสอดคล้องกับนโยบายที่ต้องการส่งเสริมทั้งด้านคุณภาพชีวิต และด้านสุขภาพร่างกายของนักเรียน โดยเฉพาะการสนับสนุนด้านกีฬากอล์ฟที่กำลังเป็นที่นิยมในเมืองไทย โรงเรียนนานาชาติบรอมส์โกรฟ อังกฤษ มีประวัติและชื่อเสียงมากว่า 150 ปี เป็น 1 ใน 5 ของโรงเรียนที่ดีที่สุดในอังกฤษ มีชื่อเสียงในระดับโลกจนเป็นที่ยอมรับ เป็นโรงเรียนสหศึกษาที่มีทั้งนักเรียนชาย-หญิง ไป-กลับ และโรงเรียนประจำ โดยมีมาตรฐานการศึกษาระบบอังกฤษ ที่ส่งเสริมด้านการศึกษา ระเบียบวินัยมารยาท เพื่อให้นักเรียนมีศักยภาพที่สมบูรณ์แบบ และส่งเสริมสนับสนุนด้านกีฬา ศิลปะ ดนตรี และการแสดง โดยโรงเรียนนานาชาติบรอมส์โกรฟ ประเทศไทย จะมีรูปแบบและระบบเช่นเดียวกับในอังกฤษ (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 1 เม.ย. 48 http://www.komchadluek.net)
จุดอ่อนงานวิจัยมทร. รอสิทธิบัตรจนของบูด
รศ.ดร.อิสสรีย์ หรรษาจรูญโรจน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา (สวพ.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) เปิดเผยว่า จากการประชุมสัมมนาวิชาการ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ครั้งที่ 21 เมื่อเร็วๆ นี้ นักวิจัยจากวิทยาเขตต่างๆ ของมทร. ได้นำผลงานสิ่งประดิษฐ์ในแขนงวิชาต่างๆ เสนอต่อที่ประชุมรวม 23 สาขา จำนวน 195 เรื่อง โดย มทร.ยืนยันที่จะให้การสนับสนุนเรื่องงบประมาณ และการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการได้มีโอกาสพบปะกับนักวิจัยโดยตรง เพื่อพัฒนางานวิจัยในเชิงพาณิชย์ ทั้งนี้ต้องยอมรับว่านักวิจัยของ มทร.ส่วนใหญ่มักไม่กล้านำผลงานออกมาแสดง หรือเผยแพร่ในทันที เนื่องจากเกรงว่าจะมีมือดีแอบก๊อบปี้ผลงาน จึงมักจะรอให้มีการจดสิทธิบัตร หรืออนุสิทธิบัตรก่อน ซึ่งต้องใช้เวลา 1-2 ปี จึงทำให้เสียเวลาและเสียโอกาสในบางเรื่อง อีกปัญหาคือการขาดความรู้ในการขอจดสิทธิบัตร หรืออนุสิทธิบัตร ซึ่งทาง สพว.ได้ประสานงานกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา ให้จัดส่งเจ้าหน้าที่มาอบรมเรื่องดังกล่าวแก่เจ้าหน้าที่ของวิทยาเขตต่างๆ แต่ก็มีปัญหาบุคลากรที่มีจำกัด และเมื่ออบรมกลับไปแล้วบางแห่งไม่ได้ขยายผลให้นักวิจัยได้ทราบจึงเป็นจุดอ่อน ดังนั้นในอนาคตอาจต้องตั้งหน่วยงาน กลางขึ้นมาดูแลงานวิจัยของ มทร.เป็นการเฉพาะ (สยามรัฐรายวัน ศุกร์ที่ 1 เม.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)
ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี
ค้นพบเนื้อเยื่อไดโนเสาร์ 70 ล้านปี เส้นเลือดเหมือนของนกกระจอกเทศ
นักวิทยาศาสตร์ได้พบว่าซากโบราณของไดโนเสาร์ พันธุ์ ไทรันโนซอรอส เรกซ์ อายุ 70 ล้านปี ที่ขุดพบในรัฐมอนตานาของสหรัฐฯ ดูเหมือนว่ามีเนื้อเยื่ออ่อน เช่น พวกหลอดเลือด พร้อมด้วยเซลล์ของเยื่อบุติดอยู่ด้วย ซึ่งมันยังคง "มีความยืดหยุ่น โค้งงอและยืดหด เหมือนเดิมอยู่" ในตัวด้วย ยิ่งกว่านั้นนักวิจัยของมหาวิทยาลัยรัฐนอร์ท แคโรไลนา แห่งอเมริกา ยังแจ้งว่า จากการตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน พบว่าหลอดเลือดของมันมีลักษณะเหมือนกับหลอดเลือดที่พบในกระดูกของนกกระจอกเทศ "อย่างแทบหาความผิดเพี้ยนไม่ได้" ด้วย นกกระจอกเทศถือกันว่าเป็นนกยักษ์ของยุคปัจจุบัน และนักโบราณคดีหลายคนเชื่อว่ามันอาจจะเป็นลูกหลานของไดโนเสาร์นั่นเอง ดร.แมรี เอช ไชไวต์เซอร์ หัวหน้าคณะนักวิทยาศาสตร์ เล่าไว้ในวารสารวิชาการ "ธรรมชาติ" ว่า การค้นพบนับเป็นการเปิดหนทางใหม่ของการศึกษาสรีระของไดโนเสาร์ และอาจจะรวมทั้งแง่ชีวเคมีของมันอีกด้วย. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 28 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)
ไทยผนึก11ประเทศคลอดปฏิญญากรุงเทพฯ วางกรอบวิจัยวิทย์ มุ่งช่วยมนุษยชาติมากกว่าการค้า
นายกร ทัพพะรังสี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แถลงว่า จากการประชุมร่วมระดับรัฐมนตรี 11 ประเทศ ได้แก่ ภูฏาน กัมพูชา อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย เนปาล ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา เวียดนาม ไทย โดยประเทศบูรไนร่วมเป็นผู้สังเกตการณ์ ได้มีฉันทามติร่วมกันและเสนอเป็นปฏิญญากรุงเทพฯ ว่าด้วยเรื่องจริยธรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งจะเป็นกรอบปฏิบัติสำหรับการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี สำหรับปฏิญญากรุงเทพฯ ประกอบด้วย 4 หัวข้อหลัก ได้แก่ การสร้างเสริมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยให้ความสำคัญเรื่องการค้าที่ยุติธรรม (Fair trade) มากกว่าการค้าเสรี (Free trade), การพัฒนาความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อผลประโยชน์ของมนุษยชาติมากกว่าผลประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด ซึ่งมีความสามารถด้อยกว่าในการเข้าถึงทรัพย์สินทางปัญญา, การส่งเสริมบทบาทของเยาวชนในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนการพัฒนานักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ และการกระตุ้นให้เกิดการเข้าใจร่วมกันถึงความสำคัญของจริยธรรมและการพัฒนา โดยเฉพาะผลลัพธ์ที่เกิดจากเทคโนโลยีใหม่ เช่น นาโนเทคโนโลยี เทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีอวกาศ และเทคโนโลยีด้านรังสี เป็นต้น ปฏิญญาดังกล่าวจะมีผลต่องานวิจัยในประเทศไทย โดยเฉพาะกรณีที่นักวิจัยไทยคิดค้นงานวิจัยขึ้นใหม่ แต่ยังขาดความเท่าเทียมด้านเทคโนโลยี ขณะที่จริยธรรมที่บ่งบอกอยู่ในปฏิญญาจะเป็นส่วนเสริม เพื่อให้เกิดการแบ่งปันข้อมูล และการเข้าถึงองค์ความรู้ร่วมกัน โดยเฉพาะองค์ความรู้ที่เกิดใหม่ (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 28 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
พบเนื้อเยื่อไดโนเสาร์
สัปดาห์ที่ผ่านมา ดร.แมรี่ ชไวเซอร์ และคณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยนอร์ธคาโรไลน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ประกาศข่าวการค้นพบซากฟอสซิลไดโนเสาร์พันธุ์กินเนื้อ "ที-เร็กซ์" ชนิดช็อควงการการศึกษาเรื่องไดโนเสาร์ โดย ดร.แมรี่บอกว่า "เอ็มโออาร์ 1125" ซึ่งเป็นซากฟอสซิลที-เร็กซ์ อายุ 68 ล้านปีที่ขุดค้นพบในรัฐมอนตาน่านั้น เมื่อนำมาวิเคราะห์ สกัดแยกเอาแร่ธาตุต่างๆ ออกจากกระดูกแล้ว ทำให้พบเศษ "เนื้อเยื่อ" ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับ "เซลล์ที่มีหน้าที่สร้างกระดูก" และ "หลอดเลือดแดง" การค้นพบเนื้อเยื่อไดโนเสาร์ครั้งนี้ถ้าเป็น "เรื่องจริง" ก็ถือว่าเป็นการค้นพบครั้งแรกของโลก เพราะในอดีตที่ผ่านมา ซากฟอสซิลไดโนเสาร์ที่ขุดพบทั่วโลกจะมีลักษณะกลายเป็น "หิน" ไปหมดแล้ว จึงไม่เหลือเนื้อเยื่อเอาไว้ให้นักวิทยาศาสตร์นำมาวิเคราะห์เก็บข้อมูล ประโยชน์ของการพบเนื้อเยื่อไดโนเสาร์ที-เร็กซ์ครั้งนี้มีความสำคัญที่จะช่วยให้นักวิจัยนำโครงสร้างโมเลกุลในเนื้อเยื่อที-เร็กซ์มาเปรียบเทียบกับสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่นๆ เช่น "นก" เพื่อดูว่ามีวิวัฒนาการมาจากสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์เดียวกันหรือไม่ (ข่าวสด อังคารที่ 29 มี.ค. 48 เมื่อวันที่ 28 มี.ค. http://www.matichon.co.th/khaosod)
มัมมี่ศตวรรษที่ 21
การใช้เทคนิคในการรักษาสภาพร่างกาย (ศพ) เพื่อรอวันที่จะมีเทคโนโลยีที่ดีกว่าในปัจจุบัน ในการทำให้เจ้าของร่างกายกลับมามีชีวิตได้ใหม่อีกครั้ง โดยใช้เทคนิค Cryogenics และ Vitrification การใช้เทคนิค Cryonics กับสิ่งมีชีวิต นับตั้งแต่ อสุจิ ตัวอ่อน เนื้อเยื่อ อวัยวะต่าง ๆ แม้กระทั่งร่างกายทั้งร่าง ธนาคารชีวิต องค์กรที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้กระบวนการ Cryonics กับสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับมนุษย์อย่าง Alcor ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น เชื่อหรือไม่ว่าในตอนนี้มีผู้เอาศพมาฝากไว้กับองค์กรแห่งนี้แล้ว 67 คน โดยที่เกือบทั้งหมดเป็นการแช่แข็งเฉพาะส่วนศีรษะเป็นหลักในถังไนโตรเจนเหลวที่มีอุณหภูมิประมาณ -196 องศาเซลเซียส แต่อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์รวมทั้งเราๆท่านๆก็รู้กันดีว่าความเย็นขนาดที่ทำให้น้ำหรือของเหลวจับตัวเป็นน้ำแข็งได้นั้นจะทำให้เกิดผลึกน้ำแข็งที่สามารถทำความเสียหายให้กับเนื้อเยื่อหรือเซลล์ได้ เพราะว่าเมื่อถึงจุดเยือกแข็งโมเลกุลของน้ำจะเริ่มจับตัวและเรียงตัวกันใหม่ในรูปแบบผลึก แล้วผลึกก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จากการจับตัวกันของโมเลกุลของน้ำที่อยู่รอบ ๆ ผลึกน้ำแข็งที่ใหญ่ขึ้นนี้เองที่จะเป็นตัวการทำให้เนื้อเยื่อหรือเซลล์แตกหักเสียหายและไม่สามารถใช้การได้อีกต่อไป แต่ในช่วง 2-3 ปีมานี้ นักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาเทคนิคใหม่ที่เรียกว่า Vitrification ที่สามารถแช่แข็งอวัยวะหรือเนื้อเยื่อให้อยู่ในสภาพแข็งเหมือนแก้ว ด้วยความสามารถของสารเคมีที่ทำหน้าที่ยับยั้งการก่อตัวเป็นผลึกน้ำแข็ง ประกอบกับการลดอุณหภูมิลงอย่างรวดเร็ว จึงทำให้อวัยวะหรือเนื้อเยื่อสามารถแข็งตัวได้โดยที่ไม่เกิดความเสียหายต่อเซลล์ แต่อุปสรรคที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของเทคนิคนี้ก็คือวิธีการนี้ยังใช้ไม่ได้ผลกับวัตถุที่มีขนาดใหญ่อย่างเช่นร่างกายทั้งร่าง ทั้งนี้เนื่องจากเรายังไม่มีเทคนิคที่ทำให้อุณหภูมิภายในแกนกลางของวัตถุลดลงได้ในอัตราเดียวกันกับส่วนด้านนอก การหดตัวหรือขยายตัวที่ไม่เท่ากันอาจทำให้เกิดการแตกหักเสียหายขึ้น ดังนั้นในปัจจุบันจึงมีการใช้เทคนิค Vitrifi cation กับร่างกายส่วนหัวหรือสมองเป็นหลัก ทั้ง ๆ ที่ยังมีคำถามอีกมากว่าเมื่อเจ้าของร่างกายฟื้นขึ้นมา ความจำของพวกเขาเหล่านั้นจะยังคงอยู่หรือไม่ และจะกลายเป็นเหมือนกับคนที่ความจำเสื่อมหรือไม่อย่างไร อุปสรรคที่สำคัญอีกอย่างก็คือความเป็นพิษของสารเคมีที่ใช้ในการยับยั้งการก่อตัวของผลึกน้ำแข็ง ที่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ก็ได้แต่หวังว่าในอนาคตจะมีเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดกระบวนการย้อนกลับได้โดยที่ไม่สร้างความเสียหายให้กับอวัยวะและเซลล์ทุก ๆเซลล์ ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่จะได้อานิสงส์ไปเต็ม ๆ ก็คือการใช้เทคนิคนี้กับการรักษาอวัยวะที่สำคัญ ๆ อย่างเช่น หัวใจ ตับ ปอด หรือ ไต หากว่านักวิทยาศาสตร์สามารถพัฒนาวิธีการคืนรูปให้อยู่ในสภาพเดิมได้สำเร็จก็จะมีประโยชน์กับคนอีกมากทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่อยากจะมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่ควรจะมีชีวิตอยู่และไม่ได้ต้องการฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้งหนึ่ง (เดลินิวส์ พุธที่ 30 มี.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)
แนะรัฐใช้ฐานเจาะน้ำมันเตือนสึนามิ นักวิชาการเน้นเครือข่าย แลกเปลี่ยนข้อมูลกับต่างชาติ
ผศ.ดร.สุทัศน์ วีสกุล ภาควิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำและการจัดการ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที) กล่าวระหว่างการอภิปรายเรื่องการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการจัดการภัยพิบัติ ภายในงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทยสู่เศรษฐกิจยุคโมเลกุล จัดโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ว่า ในการทำนายภัยพิบัติโดยเฉพาะคลื่นสึนามิ จะต้องอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลการเกิดแผ่นดินไหว อาทิ แรงสั่นสะเทือน จุดศูนย์การเกิด จากนั้นนำมาเชื่อมโยงกับพารามิเตอร์ที่เกี่ยวข้องประกอบกับฐานข้อมูล แต่สำหรับประเทศไทยยังไม่มีฐานข้อมูลดังกล่าว ฉะนั้น สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือ การแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ทันทีที่เกิดแผ่นดินไหวในพื้นที่เสี่ยง โดยเอไอทีได้คิดค้นและทดสอบการเผยแพร่ข้อความเตือนภัยผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ในรูปแบบเอสเอ็มเอส เพื่อเตือนภัยได้ด้วยความรวดเร็ว ด้าน ดร.รอยล จิตรดอน ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร กล่าวว่า จากเหตุการณ์สึนามิเมื่อปีที่แล้ว ประเทศไทยได้บทเรียนเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลที่มีอย่างกระจัดกระจายให้มารวมกัน รวมถึงการจัดการโครงสร้างระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ พร้อมทั้งปรับระบบการทำงานเพื่อใช้กับปฏิบัติการแก้ปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้น โดยสามารถวางแผนการทำงานสำหรับปฏิบัติการฝนเทียมได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งใช้เวลาเพียง 2 วัน ทั้งในเรื่องการเตรียมข้อมูล เทคนิค ฝ่ายปฏิบัติการและตรวจสอบข้อมูลย้อนกลับ "ปัจจุบันควรจะให้ความสำคัญกับการทำเครือข่ายการวิจัยและติดตามผล ที่ต้องอาศัยนักธรณีวิทยา การสร้างเครือข่ายเตือนภัยร่วมกับต่างประเทศเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล รวมถึงตรวจสอบความเป็นไปได้ ที่จะใช้ประโยชน์จากฐานขุดเจาะน้ำมันใต้ทะเล ซึ่งน่าจะนำมาใช้ในการวางระบบป้องกันสึนามิได้" ดร.รอยล กล่าว ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) กล่าวว่า ที่ผ่านมาทั่วโลกได้ประชุมหารือเรื่องคลื่นยักษ์สึนามิ เป้าหมายเพื่อเผยแพร่ข้อมูลและหามาตรการป้องกันในอนาคต ทั้งนี้ การลงทุนด้านเทคโนโลยีมีความจำเป็นอย่างมากสำหรับดำเนินมาตรการป้องกัน ทั้งในเรื่องสถานีวัด อุปกรณ์ตรวจวัดแบบ real time digital การวิเคราะห์ข้อมูลที่ต้องอาศัยความสดจากเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง รวมถึงการตัดสินใจเตือนภัยในทันที แม้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นยังไม่แน่ชัดก็ตาม (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 30 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
ไอบีเอ็มโชว์ ซูเปอร์คอมพ์ เร็วสุดในโลก
บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล บิสิเนส แมชีนส์ คอร์ป. หรือไอบีเอ็ม เจ้าของ "บลูยีน/แอล" (Blue Gene/L) ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ได้ชื่อว่าเร็วที่สุดในโลก มาพร้อมกับกำลังการประมวลผลล่าสุดที่ระดับ 135.5 เทราฟล็อป (1 เทราฟล็อป เท่ากับ 1 ล้านล้านครั้งต่อวินาที) และกำลังเข้าไปเป็นสมาชิกในห้องปฏิบัติการแห่งชาติลอว์เรนซ์ ลิเวอร์มอร์ ของกระทรวงพลังงานสหรัฐ ในเร็วๆ นี้ โดยทางทฤษฎีแล้ว บลูยีน/แอลจะสามารถประมวลผลได้สูงสุดถึง 270 เทราฟล็อป หากติดตั้งซีพียูครบ 64 ชั้น (แร็ค) แต่ขณะนี้แล้วเสร็จเพียง 32 ชั้นเท่านั้น ซึ่งแต่ละชั้นจะมีชิพประมวผลแบบดูอัลคอร์ (หน่วยประมวลผล 2 ตัว ในซิลิคอนแผ่นเดียว) 1,024 ตัว สำหรับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูงดังกล่าว จะช่วยงานนักวิทยาศาสตร์ให้มีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือมากขึ้น โดยเฉพาะการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ ที่ไม่จำเป็นต้องทดสอบจริงก็สามารถใช้โมเดลคอมพิวเตอร์ทดสอบได้ โดยที่ผ่านมาซูเปอร์คอมพ์ถูกใช้เพื่อช่วยแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อน เช่น การสร้างโมเดลโครงสร้างโปรตีน เพื่อพัฒนาออกมาเป็นตัวยารักษาโรค พยากรณ์สภาพภูมิอากาศ และสร้างโมเดลทำนายภัยพิบัติทางธรรมชาติ อย่างสินามิ รวมทั้งการช่วยบริหารจัดการการจรจรภาคพื้นเดินของสนามบินด้วย (คมชัดลึก พุธที่ 30 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
พลิกเบื้องลึก"แผ่นดินไหว" สลายตัวไม่เป็น"สึนามิ"
เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อเวลาประมาณ 23.00 น. ของวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา เกิดขึ้นจากรอยเลื่อนอินโดออสเตรเลียน และยูเรเซียน มุดตัวเข้าหากัน โดยแนวรอยต่อดังกล่าวเป็นแนวที่ผ่านประเทศพม่า เกาะนิโคบา อันดามัน ลากมาถึงเกาะสุมาตรา และชวาตอนใต้ เป็นระยะทางหลายพันกิโลเมตร โดยแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เกิดขึ้นเป็นแถบยาวประมาณ 400-500 กิโลเมตร น้อยกว่าแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ที่เกิดขึ้นเป็นแนวยาวถึงพันกิโลเมตร ในระดับ 9.3 ริกเตอร์ จนทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ได้มีการวิเคราะห์ในเบื้องต้น พบว่ามีความแรงระดับ 8.2 และเพิ่มขึ้นมาที่ 8.5 จนในที่สุดก็สรุปที่ 8.7 ริกเตอร์ โดยสาเหตุเกิดจากการมุดตัวในแนวเดียวกันกับครั้งที่แล้ว แต่เป็นคนละบริเวณ คือทางตอนใต้ของเกาะสุมาตรา จึงส่งผลให้ประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯ รวมถึงจังหวัดภาคใต้สามารถรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ตามปกติแผ่นดินไหวในระดับที่ 8.5 ริกเตอร์ ก็สามารถเกิดคลื่นยักษ์สึนามิได้แล้ว แต่ครั้งนี้ไม่เกิดจึงสันนิษฐานว่าตำแหน่งที่เกิดนั้น น้ำทะเลเหนือพื้นดินอาจจะตื้น เพราะหากเกิดในน้ำทะเลลึก น้ำทะเลจะมีระดับที่แตกต่างกันมาก และจะกระตุ้นให้เกิดมวลน้ำมหาศาลเป็นคลื่นยักษ์สึนามิได้ ดังนั้นแนวของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้อาจจะเป็นแนวน้ำตื้น ซึ่งเป็นแนวที่อยู่ใกล้บริเวณของเกาะสุมาตรา จึงไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรงของคลื่นยักษ์สึนามิขึ้น ขณะเดียวกันก็อาจจะเป็นเพราะว่าอนุภาคของน้ำบริเวณนั้นเบาบาง หรือมีน้ำน้อยมาก นอกจากนี้ก็อาจมีเหตุผลอื่น เช่น แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเกิดจากการไถลตัวของแผ่นดินช้า หรือเร็ว เพราะหากไถลตัวเร็วมากอาจจะไม่ส่งผลกระทบตามมา แต่หากไถลช้าแบบต่อเนื่องก็จะกระตุ้นให้เกิดคลื่นยักษ์ขึ้นมาได้ โดยคาดว่าข้อมูลที่ชัดเจนจริงๆจะสามารถสรุปได้ประมาณ 2-3 วัน เพราะต้องให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาก่อน อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อมูลอ้างอิงผลการศึกษาจากนักวิทยาศาสตร์แถบยุโรป ได้ทำการศึกษาและจัดทำเป็นเหตุการณ์จำลองที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 โดยได้พิจารณาแรงของแผ่นดินไหวประกอบกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ซึ่งได้มีการระบุไว้ว่าเมื่อเกิดแผ่นดินไหวในแนวยาว ทำให้แนวต่อจุดอื่นที่สามารถเกิดแผ่นดินไหวต่อเนื่องมาอีกได้ ซึ่งก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้วิเคราะห์เหตุการณ์ที่จะเกิดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ว่า การเกิดแผ่นดินไหวในครั้งนั้นเกิดจากการสะสมพลังงานบนรอยต่อที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นมานานประมาณ 150 ปีมาแล้ว โดยปกติพลังงานสะสมดังกล่าวจะต้องระเบิดออกมาหลังจากที่เกิดขึ้นแล้ว 60-70 ปี เหตุการณ์ในครั้งนี้จึงมีความรุนแรงมากกว่าทุกครั้งที่เกิดขึ้น และต่อเนื่องมาถึงครั้งล่าสุด โดยคาดว่าการเกิดในครั้งต่อไปอาจจะต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 100 ปี (มติชนรายวัน พุธที่ 30 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th)
เปรียบเทียบ 2 เหตุการณ์แผ่นดินไหวสุมาตรา
วันที่ 28 มี.ค.2548 ขนาดรุนแรง 8.7 ริกเตอร์ เวลาเกิดเหตุในไทย 23:09:36 น. ที่ตั้ง 2.065 องศาเหนือ 97.010 องศาตะวันออก พื้นที่ศูนย์กลาง 160 กิโลเมตร ความลึก 30 กิโลเมตร สึนามิ คลื่นเล็ก 2 ลูก ทิศทางคลื่นสึนามิ ตะวันตกเฉียงใต้ไปตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้เสียชีวิต คาดว่า 400-1,000 ราย วันที่ 26 ธ.ค.2547 ขนาดรุนแรง 9.0 ริกเตอร์ เวลาเกิดเหตุในไทย 07:58:53 น. ที่ตั้ง 3.307 องศาเหนือ 95.947 องศาตะวันออก พื้นที่ศูนย์กลาง 160 กิโลเมตร ความลึก 30 กิโลเมตร สึนามิ คลื่นยักษ์ 3 ลูกซัดอินโดนีเซีย ไทยและศรีลังกา ทิศทางคลื่นสึนามิ ตะวันออกไปตะวันตก ผู้เสียชีวิต 273,000 ราย (ข่าวสด พุธที่ 30 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)
เตือนตะกอนไหล่ทวีปอันดามัน เสี่ยงถล่มก่อคลื่นสึนามิรอบใหม่
ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการเครือข่ายการวิเคราะห์วิจัยและ ฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงโลกแห่งภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า สิ่งที่น่ากังวลสำหรับการเกิดคลื่นยักษ์สึนามิ นอกจากแผ่นดินไหวใต้ทะเลแล้ว การถล่มตัวของตะกอนขนาดใหญ่ตามไหล่ทวีปในท้องทะเลก็เป็นอีกสาเหตุหลักที่ควรระมัดระวังเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในบริเวณทะเลอันดามัน ซึ่งปัจจุบันยังขาดข้อมูลปริมาณของตะกอนที่อยู่ตามไหล่ทวีป "ที่ผ่านมาเราไม่ได้ตรวจสอบกันว่าปริมาณตะกอนในท้องทะเลอันดามันมีเท่าไหร่ ถ้ามันเกิดถล่มตัวขึ้นมาก็อาจทำให้เกิดคลื่นสินามิได้ ประชุมคราวนี้ก็เพื่อหาโจทย์ว่าเราจะศึกษาอย่างไรเกี่ยวกับตะกอนใต้ท้องทะเล เราไม่มีความรู้ด้านนี้เลย โดยเฉพาะไหล่ทวีปของภูเก็ต ที่ผ่านมาเราไปไกลในน้ำลึกได้แค่ 200 - 300 เมตรเท่านั้น " ดร.อานนท์กล่าวในการสัมมนาร่วมไทย-เยอรมันเพื่อความร่วมมือทางการวิจัย และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านธรณีศาสตร์ นิเวศวิทยา และการจัดการภัยพิบัติธรรมชาติจากทะเล จัดโดย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติและสมาคมวิจัยแห่งเยอรมนี การก่อตัวของตะกอนบริเวณไหล่ทวีปเกิดจากการทับถมของตะกอนที่ไหลมาตามแม่น้ำลงสู่ทะเล โดยทั่วไปมักสะสมตัวในระดับน้ำทะเลที่ลึกลงไป 1,000 กิโลเมตร หากเกิดการเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ที่ดิน แล้วอาจทำให้เกิดการทับถมของตะกอนเร็วขึ้นและทำให้การถล่มเกิดขึ้นในเวลาที่ เร็วขึ้น ดร.อานนท์ยังกล่าวอีกว่า อุณหภูมิของน้ำทะเลก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญต่อการถล่มตัวของตะกอนใต้ท้องทะเลเช่นเดียวกัน เนื่องจากในท้องทะเลลึกส่วนใหญ่ที่มีก๊าซมีเทนกระจายอยู่ทั่วท้องทะเล และเมื่อเจอกับอุณหภูมิที่เย็นจัดก็จะแข็งตัวคล้ายกับน้ำแข็งแห้งหรือเรียกว่า Methane Hydrate ซึ่งช่วยให้ตะกอนใต้ท้องทะเลมีความเสถียรและแข็งตัวมิให้ถล่มลงมาได้ แต่หากอุณหภูมิใต้ท้องทะเลอุ่นขึ้นอันเนื่องมาจากภาวะโลกร้อน แม้ใช้ระยะเวลานาน แต่ก็ทำให้การแข็งตัวของตะกอนสลายได้และทำให้เกิดการถล่มลงมาจากไหล่ทวีปจนเกิดคลื่นยักษ์สึนามิ สำหรับการสำรวจตะกอนที่ทับถล่มใต้ท้องทะเล ด้าน ดร.วิลเฮลม ไวเรบี กล่าวว่าเป็นเรื่องที่ยากมากซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาช่วย อาทิ คลื่นเสียงซาวนด์น่าที่สามารถสะท้อนตะกอนใต้ท้องทะเลระดับ 1,000 กิโลเมตรได้ รวมทั้งการทำแผนที่เสี่ยงภัยในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลกซึ่งอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายที่สูงมาก (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 31 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
ศิลปากรติวเข้มนักอนุรักษ์ โบราณคดีเชิงวิทยาศาสตร์
ดร.ศิริชัย หวังเจริญตระกูล ศูนย์ปฏิบัติการอนุรักษ์โบราณสถาน นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า ผู้ที่ทำงานอนุรักษ์โบราณสถาน โบราณวัตถุ ควรจะมีความรู้ความเข้าใจ ด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเชิงอนุรักษ์ ทั้งการตรวจพิสูจน์ หาข้อมูลและบูรณปฏิสังขรณ์ อาทิ การค้นพบโบราณวัตถุบางครั้ง โลหะบางชิ้นเกิดสนิมและถูกหินปูนหุ้มจนไม่เห็นรูปร่าง จะต้องอาศัยการถ่ายภาพเอกซเรย์เพื่อศึกษา โครงสร้างวัตถุ ก่อนที่จะนำมาทำความสะอาด เพื่อป้องกันความเสียหายเวลาใช้เครื่องมือสกัดดิน หิน เช่นเดียวกับการตรวจอายุขัยของวัตถุโบราณด้วยวิธีคาร์บอน 14 และวิธีอิเล็กตรอนสปินรีแนนซ์ หรือหากต้องการทราบองค์ประกอบทางเคมี จะใช้วิธีทางนิวเคลียร์ การถ่ายภาพด้วยรังสีเอ็กซ์และอินฟาเรด รวมทั้งการวิจัยทดสอบผสมปูนโบราณ เพื่อให้ได้เนื้อปูนที่ใกล้เคียงกับของเดิมมากสุด สำหรับงานบูรณปฏิสังขรณ์ ดังนั้น สำนักงานโบราณคดีจึงจัดสัมมนาเรื่อง "วิทยาศาสตร์กับการอนุรักษ์โบราณสถาน" ระหว่างวันที่ 7 - 8 เมษายนนี้ ณ รร.กรุงศรีริเวอร์ จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อนำเสนอวิทยาการสาขาต่างๆ และผลงานทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับงานโบราณคดีมากมาย อาทิ น้ำใต้ดินกับการอนุรักษ์โบราณสถาน เลเซอร์กับงานศิลปกรรม การเผาเทียนเล่นไฟในเขตโบราณสถาน พร้อมทั้งสาธิตการขุดค้นและอนุรักษ์โบราณวัตถุอย่างถูกต้องตามมาตรฐานสากล สำหรับนักวิชาการ ผู้ทำงานด้านอนุรักษ์ นักวิทยาศาสตร์และผู้สนใจทั่วไป (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 1 เมษายน 2548 http://www.bangkokbiznews.com)
'ซิป้า' แจกฟรีโปรแกรมธุรกิจช่วยเอสเอ็มอีลดต้นทุนซื้อซอฟต์แวร์
นายเจมส์ คลาร์ค ผู้จัดการฝ่ายโอเพ่นซอร์ส สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ องค์กรมหาชน (ซิป้า) กล่าวว่า ขณะนี้ซิป้า ได้เตรียมงบประมาณกว่า 20 ล้านบาท สำหรับกิจกรรมส่งเสริมการใช้งานโปรแกรมระบบเปิดในประเทศไทย ส่วนหนึ่งของกิจกรรมดังกล่าว คือ การแจกแผ่นซีดีที่รวบรวมโปรแกรมที่จำเป็นและนิยมกับการใช้งานชื่อ "จันทรา" ที่จะรวบรวมโปรแกรมชุดสำนักงาน (โอเพ่น ออฟฟิศ) โปรแกรมท่องเน็ตไฟร์ฟ็อกซ์ โปรแกรมธันเดอร์เบิร์กสำหรับอ่านอีเมล โปรแกรมวีแอลซีสำหรับดูหนังฟังเพลง โดยโปรแกรมทั้งหมดจะสามารถทำงานบนระบบปฏิบัติการวินโดวส์ได้ ขณะที่ ในกลุ่มที่เป็นเครื่องแม่ข่าย (เซิร์ฟเวอร์) ก็จะมีโปรแกรม "สุริยัน" ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการลีนุกซ์ของกลุ่มผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ลีนุกซ์ที่ไม่หวังผลกำไร กว่า 1,000 คน ในนาม "ดีเบียน (Debian)" และมีแอพลิเคชั่นโอเพ่นซอร์สที่สนับสนุนกว่า 10,000 โปรแกรม โดยทั้งหมดนี้กำหนดแจกในเดือนกรกฎาคมนี้ สำหรับตลาดเป้าหมายของ "สุริยัน" ได้แก่ กลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและเล็ก โดยจะมีการคัดเลือกบริษัทไทยทำหน้าที่พัฒนาโปรแกรมเป็นภาษาไทย และซีดีดังกล่าว จะรวบรวมโปรแกรมด้านอินเทอร์เน็ต เกทเวย์ การใช้ไฟร์วอลล์ วีพีเอ็น อีเมล โปรแกรมกลั่นกรองไวรัสและสแปม โอเพ่นซอร์ส เป็นโปรแกรมที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยอนุญาตให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถนำไปติดตั้งในคอมพิวเตอร์และใช้งานได้ฟรี ต่างจากโปรแกรมที่จำหน่ายเพื่อการค้าอย่างเช่น ไมโครซอฟท์ออฟฟิศ ซึ่งภายในชุดโปรแกรมประกอบด้วยโปรแกรมเอกสาร โปรแกรมด้านสเปรดชีต (เอ็กเซล) โปรแกรมนำเสนองาน (เพาเวอร์พอยต์) ฯลฯ ของบริษัทไมโครซอฟท์ จำกัด พร้อมกันนี้ ได้เปิดเวบไซต์ www.thaiopensource.org เป็นศูนย์กลางกิจกรรมโอเพ่นซอร์ส และชุมชนออนไลน์ที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ตลอดจนช่วยแก้ไขปัญหาการใช้งานระหว่างกลุ่มโอเพ่นซอร์สเอง และมีระบบการเรียนรู้ออนไลน์ (อี-เลิร์นนิ่ง) ด้วย (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 1 เม.ย. 48 http://www.komchadluek.net)
คาร์บอนตลบโลก
เมื่อ 31 มี.ค. บีบีซีรายงานว่า ศูนย์วิจัยสภาพบรรยากาศโลกของสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับความเชื่อถือมากที่สุดในโลก ตั้งอยู่บนภูเขาไฟมัวนาลัว เกาะฮาวาย เผยแพร่ข้อมูลที่น่าวิตกว่า ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ต้นเหตุสำคัญของโลกร้อนที่สะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศโลกตลอด 1 ปีที่ผ่านมา มีปริมาณสูงสุดในรอบเกือบ 50 ปี ระดับ 378 พีพีเอ็ม หรือ 378 ส่วนต่อล้านส่วน และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สะสมในบรรยากาศในรอบ 10 ปีที่ผ่านมายังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกันเมื่อ 40 ปีก่อน (ข่าวสด ศุกร์ที่ 1 เมษายน 2548 http://www.matichon.co.th/khaosod)
"สมิทธ"เตือนสึนามิจ่อถล่มใต้ระลอกใหม่ ชี้หนักกว่าเดิมหลายเท่าตัว เร่งแผนอพยพคน ทำคู่มือหนีภัยแจก
นายสมิทธ ธรรมสโรช ผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงสถานการณ์การเกิดแผ่นดินไหวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ โดยเฉพาะในบริเวณแถบหมู่เกาะสุมาตรา ซึ่งมีรอยเลื่อนของเปลือกโลก อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมานั้น ห่างจากจุดเดิมค่อนไปทางใต้เกาะสุมาตราเพียง 100 กิโลเมตร ทำให้โอกาสที่จะเกิดคลื่นยักษ์ขึ้นมาถล่มชายฝั่งของไทยลดกำลังลงไป ขณะนี้มีนักวิชาการด้านแผ่นดินไหวของออสเตรเลียรายหนึ่ง คาดการณ์ว่าจะเกิดแผ่นไหวใต้ทะเลในบริเวณดังกล่าวอีก เพียงแต่จุดที่เกิดนั้นจะเลยขึ้นมาจากหัวเกาะสุมาตรา ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะจะเกิดคลื่นสึนามิมากระทบชายฝั่งภาคใต้ของไทยอย่างเต็มที่ และจะทำให้เกิดความเสียหายมากกว่าครั้งที่ผ่านมา ดังนั้น แนวทางในการป้องกันจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในขณะนี้ พร้อมกันนี้ นายสมิทธยังยืนยันถึงแนวทางการเตรียมรับมือว่า นอกเหนือจากการติดตั้งระบบสัญญาณเตือนภัยแล้ว จะต้องมีการวางแผนการหนีภัยอย่างเป็นระบบ และสร้างความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนเผยแพร่ความรู้ดังกล่าวให้กับทั้งประชาชนและนักท่องเที่ยว เพื่อลดความตื่นตระหนก รวมทั้งให้มีสติที่ดี เพราะกว่าที่คลื่นจะถึงฝั่งนั้นต้องใช้เวลา 45-50 นาที ซึ่งถ้าทุกอย่างเข้าระบบตามแผนที่วางไว้ชัดเจน เชื่อว่าสามารถอพยพได้ทัน อยากให้การท่องเที่ยวฯ และภาคเอกชนด้านธุรกิจท่องเที่ยวให้ความสำคัญในการเผยแพร่และให้ความรู้ที่ถูกต้อง โดยจัดทำคู่มือหนีภัยเป็นภาษาต่างๆ แจกจ่ายให้กับนักท่องเที่ยว เพื่อให้เกิดความมั่นใจ ยกตัวอย่างของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเกิดภัยแผ่นดินไหวบ่อยมาก แต่ก็ยังคงมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ซึ่งของเราก็สามารถที่จะทำได้เช่นกัน นายสมิทธกล่าว สำหรับความคืบหน้าของการติดตั้งสัญญาณเตือนภัยที่ จ.ภูเก็ต นั้น นายสมิทธ บอกว่า จะเริ่มติดตั้งตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน เป็นต้นไป ที่บริเวณหาดป่าตอง จำนวน 3 จุด และจะเสร็จสิ้นในวันที่ 15 เมษายน หลังจากนั้นก็จะทยอยติดตั้งในส่วนของจังหวัดอื่นๆ ใน 6 จังหวัดฝั่งอันดามันที่เหลืออีกประมาณ 35 จุด โดยใช้งบประมาณในการดำเนินการประมาณ 6 ล้านบาท ขณะเดียวกันในส่วนของทุ่นสัญญาณเตือนสึนามิในทะเลนั้น เนื่องจากต้องใช้งบประมาณสูง โดย 1 ชุดจะใช้เงินลงทุนถึง 54 ล้านบาท และใช้งานได้เพียง 1 ปี ดังนั้น คงต้องขอความร่วมมือจากประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ด้วย (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 2 เม.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
ยีนของมนุษย์กับสัตว์และพืช
มนุษย์มียีนน้อยกว่าสัตว์และพืช ก่อนความสำเร็จของการถอดรหัสยีนมนุษย์ จำนวนยีนของมนุษย์ที่เข้าใจและยึดถือกันมาในวงการวิทยาศาสตร์ คือ ประมาณ 100,000 ยีน หลังความสำเร็จของการถอดรหัสยีนมนุษย์ใหม่ๆ จำนวนยีนของมนุษย์ที่ถูกประกาศออกมาคือ อยู่ระหว่าง 30,000 ถึง 40,000 ยีน แต่เมื่อถึงต้นปี 2005 จำนวนยีนที่มนุษย์มีจริงๆ ก็ยิ่งน้อยลงเหลือเพียง 20,000 ถึง 25,000 ยีนเท่านั้น และถูกต้องแล้ว มนุษย์มียีนน้อยกว่าของสัตว์หลายชนิด เช่น หนูประเภท rat ข้อมูลล่าสุดคือ หนู (rat) มียีนประมาณ 30,000 ยีน แล้วยีนของพืช เฉพาะพืชที่ใกล้ชิดกับมนุษย์มากที่สุด คือ ข้าว ปรากฏว่า ข้าวมียีนมากกว่ายีนของมนุษย์ถึงกว่าสองเท่า คือระหว่าง 46,000 ถึง 55,000 ยีน ประเด็นปัญหาชวนพิศวง จากจำนวนยีนของสิ่งมีชีวิตเปรียบเทียบ ชัดเจนว่า จำนวนของยีนมิได้เป็นตัวกำหนดความซับซ้อนหรือพัฒนาการของความเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างแน่นอน เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่พัฒนาที่สุดบนโลก แต่มนุษย์ก็มียีนที่น้อยกว่าสิ่งมีชีวิตหลายสิ่งของโลกทั้งสัตว์และพืช (คมชัดลึก อาทิตย์ที่ 3 เม.ย. 48 http://www.komchadluek.net)
ข่าววิจัย/พัฒนา
แพทย์จีนอ้างซดชาลดความอ้วน สาวๆ ดื่มแล้วพุงจะไม่ป่องออก
สำนักข่าวจีนรายงานว่า นักวิจัยของสถาบันกุยหยางแพทย์แผนโบราณจีน ได้แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ดื่มชาเป็นประจำ จะมีไขมันในตัวน้อย ไม่ค่อยอ้วนเหมือนกับคนทีไม่ดื่ม "คนที่ดื่มชามานานถึง 10 ปี จะมีไขมันโดยเฉลี่ย น้อยกว่าคนที่ไม่ ดื่มชาถึง 20% " ดร.เชาซึ่งประจำอยู่ที่โรงพยาบาลในมณฑลทางภาคตะวันตกเฉียงใต้กล่าว เขาบอกต่อไปว่า ยิ่งในสตรีจะยิ่งเห็นได้ชัด เพราะผู้หญิงที่ดื่มชาจะมีไขมันในตัวน้อยกว่าคนไม่ดื่มถึง 30% โดยเฉพาะไขมันแถวหน้าท้อง จะน้อยกว่าเพื่อนคนที่ไม่ดื่ม ไม่ต่ำกว่า 5% เขากับคณะได้เปิดเผยถึงผลการศึกษาสรรพคุณของการดื่มชาว่า ควรดื่มแต่ชาเขียวกับชาอูหลง เพราะมีสรรพคุณในการล้างไขมันเหนือกว่าชาดำ และหากจะดื่มให้ได้คุณ ควรจะดื่มให้มากวันละสัก 450 มิลลิลิตร เว้นแต่ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางเพราะขาดธาตุเหล็ก ควรจะละเว้นการดื่มชาระหว่างอาหาร กับผู้ที่เป็นโรคนอนไม่หลับ ก็ไม่ควรดื่มในเวลาตอนเย็น เพราะอาจจะแสลงได้. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 28 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)
อังกฤษเตือนให้เด็กเล็กใช้มือถือ ยังมีปัญหาจะเป็นโทษบั้นปลาย
นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า พ่อแม่ ผู้ปกครอง ควรพิจารณาให้รอบคอบ ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อโทรศัพท์มือถือให้ลูก ที่กำลังอยู่ในวัยเรียน ใช้ เพราะมีผู้เชี่ยวชาญออกมาเตือนว่า เรายังไม่สามารถทราบได้ว่าการใช้โทรศัพท์มือถือ จะก่อให้เกิดความเสี่ยงและผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวหรือไม่ ทั้งนี้ มีนักวิจัยออกมากล่าวว่า การที่ต้องรับรังสีที่แผ่ออกมาจากโทรศัพท์มือถือ เป็นระยะเวลานานต่อเนื่อง 10 ปีนั้น อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อดีเอ็นเอ และอาจจะทำลายสมอง หรือเกิดเนื้องอกในสมองได้ ซึ่ง เฮนรี ไลย์ ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน กล่าวว่า เรายังไม่ทราบถึงผลกระทบต่อสุขภาพจากการใช้โทรศัพท์มือถือในระยะยาวมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กๆ แต่ขณะนี้ ก็กำลังมีการติดตามผลกันอยู่ สำหรับในประเทศอังกฤษนั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีได้ออกมากล่าวเตือนว่า พ่อแม่ไม่ควรจะซื้อโทรศัพท์มือถือให้ลูกๆใช้ โดยเฉพาะกับเด็กอายุไม่เกิน 8 ปี เพราะเด็กเหล่านี้อาจจะได้รับอันตรายจากรังสีที่แผ่ออกมาจากโทรศัพท์ มือถือได้. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 28 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)
เต้าเทียมเพื่อผู้ป่วยไร้เต้านม
จันตรา ปุยมณี หัวหน้าหน่วยออกแบบสินค้าสั่งตัด บริษัท ไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้พัฒนาใยสังเคราะห์เม็ดพลาสติก สำหรับใช้เป็นวัสดุทำเต้านมเทียม เพื่อบริการเฉพาะกลุ่มลูกค้าของบริษัทเท่านั้นและไม่ได้ผลิตเชิงธุรกิจ แต่ต้องการให้ลูกค้าที่สูญเสียเต้านมไปด้วยสาเหตุใดก็ตาม สามารถกลับมามีชีวิตอยู่อย่างเป็นปกติได้ เต้านมเทียมใยสังเคราะห์เม็ดพลาสติกที่พัฒนาขึ้นมานี้ ถือเป็นสิ่งทดแทนให้ผู้ป่วยหญิงที่ต้องตัดเต้านมทิ้งโดยเฉพาะ ซึ่งผู้ป่วยที่ต้องการใช้บริการจะต้องมาวัดตัวเพื่อหาขนาดที่เหมาะสมกับตัวเองก่อน เนื่องจากแต่ละคนจะมีสภาพแผลผ่าตัดแตกต่างกัน บางคนอาจมีแผลอยู่สูง หรือถูกตัดต่อมน้ำเหลืองไปเยอะกว่าปกติ โดยแต่ละกรณีก็จะต้องมีการออกแบบเฉพาะรายกันไป สำหรับตัวเต้านมเทียมเวอร์ชั่นล่าสุดนี้ จุดเด่นอยู่ตรงตัวเต้าที่ให้ความรู้สึกมีน้ำหนักเหมือนจริง เคล็บลับอยู่ที่เม็ดพลาสติกขนาดเล็ก ซึ่งทีมงานใช้เป็นตัวถ่วงน้ำหนักและนำใยสังเคราะห์มาหุ้มเพื่อให้เกิดความอ่อนนุ่มและสัมผัสใกล้เคียงธรรมชาติ จากนั้นก็จะใช้ฟองน้ำมาหุ้มอีกชั้นและเมื่อนำมาใส่ในตัวเสื้อชั้นใน ก็จะมีถุงผ้าอีกชั้นคอยซับเหงื่อ ทำให้ก้อนเต้านมเทียมไม่มีโอกาสสัมผัสเนื้อคนไข้ได้โดยตรง ส่งผลให้ไม่เกิดปัญหาระคายเคืองแม้แต่น้อย ขณะที่อายุใช้งานของเต้านมเทียมนั้น จันตราบอกว่าใช้ได้นานเป็นปีถึงสองปี โดยหากใช้ไปนานๆ แล้วใยยุบตัว บริษัทก็มีบริการเติมใยให้ได้ ส่วนเรื่องทำความสะอาดนั้น ตัวเต้าไม่ต้องซักบ่อยก็ได้ ถอดออกและซักแต่ตัวเสื้อชั้นในปกติ สำหรับเรื่องราคา บริษัทขายเป็นชุด ซึ่งประกอบด้วยเสื้อชั้นใน 3 ตัว และเต้าเสริม 2 ก้อน หรือหากต้องการเต้าเพิ่มก็จะคิดเพิ่มเต้าละ 350 บาท (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 28 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
อังกฤษคิดค้นเสื้อส่งกลิ่นหอม เล็งใช้งานด้านแพทย์-ทหาร
เจนนี่ ทิลลอตสัน นักออกแบบเสื้อผ้าจากอังกฤษ ได้คิดค้นผ้ารูปแบบใหม่เสริมด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยให้เสื้อผ้าสามารถระเหยกลิ่นต่างๆ ออกมาได้ ด้วยการซ่อนหลอดขนาดจิ๋วบรรจุกลิ่นไว้ในผ้าที่ออกแบบเป็นพิเศษ เพื่อให้แสดงปฏิกิริยาตอบสนองอุณหภูมิร่างกายของผู้สวมใส่ จากนั้นผ้าจะระเหยกลิ่นน้ำหอมออกมาอัตโนมัติ เมื่อผู้สวมชุดมีอาการเครียดจัด หรือตกใจสุดขีด หัวใจจะเต้นตูมตาม ชุดที่สวมจะส่งกลิ่นออกมา ทำให้ผู้สวมชุดรู้สึกสงบลง นอกจากนี้ ยังอาจนำมาใช้ในจุดประสงค์อย่างอื่นได้ เช่น เวลาไปงานเลี้ยง ผู้สวมชุดพิเศษนี้สามารถให้เสื้อระบายกลิ่นหอมชื่นใจให้คนรักลุ่มหลงได้ด้วย เจนนี่ กล่าวอีกว่า เธอได้ทำงานวิจัยชิ้นนี้มาตั้งแต่ปี 2540 หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก ที่สถาบันรอยัลคอลเลจ ออฟ อาร์ตในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาชื่อดังด้านศิลปะและการออกแบบ โดยเรียกผลงานการคิดค้นของเธอว่า "ผิวเทียมยอดฉลาด" สำหรับแนวคิดของนักออกแบบเสื้อผ้ารายนี้ ยังสามารถนำไปใช้เป็นเสื้อผ้าที่ใช้ในทางการแพทย์และการทหารได้ด้วย โดยเสื้อผ้าอาจจะตรวจพบว่า ผู้สวมชุดต้องการยาเวนโทลิน ในกรณีที่พวกเขาเป็นหืดหอบ และเชื่อว่าในอนาคตมันสามารถนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นได้มากมาย นอกจากนี้ เจนนี่ยังได้พัฒนาเข็มกลัดสองตัว ที่สามารถสื่อสารระหว่างกันได้ โดยตัวแรกจะตอบสนองต่อลมหายใจ และส่งข้อความไปยังเข็มกลัดอีกตัวหนึ่งเพื่อให้ส่งกลิ่น ซึ่งนักวิเคราะห์ กล่าวว่า ผลงานชิ้นนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่พิการทางสายตาและหู แต่มีความสามารถพิเศษในการรับรู้กลิ่น (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 28 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
ทำกระดาษจากใยกัญชง มทร.คลองหกนำโชว์ "ราชมงคลวิชาการ"
นางประทุมทอง ไตรรัตน์ อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีการพิมพ์ คณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี หนึ่งในคณะวิจัยเรื่องการผลิตเยื่อและกระดาษจากเนื้อไม้กัญชง เปิดเผยว่า จากการศึกษาการผลิตเยื่อและกระดาษจากเนื้อไม้กัญชง พบว่า หากนำเนื้อไม้มาต้มแบบกรรมวิธีคราฟท์ในสภาวะการต้มที่เหมาะสมมีอุณหภูมิ 165 องศาเซลเซียส เวลา 2 ชั่วโมง จะทำให้ได้เยื่อกระดาษถึงร้อยละ 46.70 หลังจากนั้นเมื่อนำเยื่อมาทำเป็นแผ่นกระดาษด้วยการเคลือบสารละลายไคโตแซนที่ความเข้มข้นร้อยละ 2 และกันซึมด้วยสารละลายเฮอคอนที่ร้อยละ 2 จะทำให้ได้กระดาษที่มีความเรียบ ความขาวสว่างของเยื่อที่ยังไม่ฟอก ความต้านทางแรงฉีกขาด ความต้านแรงดึง และความต้านแรงดันทะลุ ไม่แตกต่างจากกระดาษที่มีการใช้งานอยู่ในปัจจุบันมากนัก ถ้ามีการส่งเสริมการปลูกอย่างถูกกฎหมายและนำเส้นใยจากเนื้อไม้มาผลิตกระดาษเพื่อใช้ในอุตสาหกรรม จะทำให้เกิดการใช้ประโยชน์จากกัญชงได้มากขึ้น และช่วยลดการนำเข้าจากต่างประเทศได้ โดยผลงานการวิจัยนี้จะนำไปแสดงต่อสาธารณชนในงานราชมงคลวิชาการครั้งที่ 21 ในระหว่างวันที่ 28-30 มีนาคมนี้ ที่โรงแรมเชียงใหม่ภูคำ จ.เชียงใหม่ มทร.จะจัดโครงการสัมมนาทางวิชาการ ครั้งที่ 21 หรือ "ราชมงคลวิชาการ ครั้งที่ 21" เพื่อให้นักวิจัย ในสังกัด มทร.จากทั่วประเทศได้มีโอกาสนำเสนอผลงานวิจัยที่ดำเนินการตลอดปีที่ผ่านมา มีผลงานวิจัยกว่า 200 ชิ้น ครอบคลุมทั้งด้านเกษตรศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ ศึกษาศาสตร์และสังคมศาสตร์ แต่ส่วนใหญ่เกี่ยวกับด้านเกษตรศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ เพื่อตอบสนองต่อภารกิจหลักของมหาวิทยาลัยในการสร้างผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมของประเทศ (คมชัดลึก จันทร์ที่ 28 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
พบสารบำรุงเส้นผมดกดำ แก้ศีรษะล้าน
บริษัท ชิเซโด้ ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์บำรุงผมสำหรับสุภาพบุรุษ ซึ่งใช้สารอะดีโนซีนเป็นตัวกระตุ้นเส้นผมให้งอกเงย คาดว่าผลิตภัณฑ์นี้จะสามารถแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดมาจากเจ้าตลาดอย่าง บริษัท ไทโช ฟามาเซอติคัล ที่ออกผลิตภัณฑ์เสริมสร้างเส้นผม ซึ่งกำลังได้รับความนิยมสูงสุดในท้องตลาดขณะนี้ การเปิดตัวอะดีโนเจนในครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดให้ได้เพิ่มขึ้นเป็น 20% จากเดิมที่ครองไว้เพียง 10% นอกจากนี้ อะดีโนเจน ยังจัดอยู่ในประเภทผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม ต่างจากไรอัพ ซึ่งอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ทางยา เนื่องจากมีตัวยาไมน็อคซิดีล หรือยาลดความดันโลหิต ที่ผลิตโดยบริษัท ไฟเซอร์ ในสหรัฐ บริษัทไทโช เริ่มบุกตลาดด้วยการวางจำหน่ายไรอัพ ในปี 2542 และกลายเป็นผู้นำตลาดแซงหน้าชิเซโด้ได้ในที่สุด และขณะนี้บริษัทครองส่วนแบ่งตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมในญี่ปุ่นมากถึง 30% คิดเป็นมูลค่าตลาด 525 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยได้ราว 2.1 หมื่นล้านบาท และยังมีแผนจะวางตลาดผลิตภัณฑ์เสริมสร้างเส้นผมให้สตรีด้วย (คมชัดลึก อังคารที่ 28 มีนาคม 48 http://www.komchadluek.net)
เครื่องเหล่าไม้ไผ่จักรสาน นวัตกรรมเพื่อชุมชน
นายภานุมาศ สุยบางดำ นักศึกษาจากสาขาเกษตรกลวิธาน แผนกวิชาเครื่องจักรกลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตภาคใต้ จังหวัดสงขลา คิดค้น เครื่องผ่าและเหลาไม้ไผ่ ขึ้นเพื่อลดการเสี่ยงจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากความคมของไม้ไผ่และมีดได้ เครื่องผ่าและเหลาไม้ไผ่ ตัวนี้จะอาศัยกำลังมอเตอร์ขนาด 1/2 แรงม้า ส่งกำลังด้วยสายพานร่องวี ทดรอบโดยใช้พูลเล่ย์ ตัวเครื่องประกอบด้วยชุดผ่าและชุดเหลา ชุดผ่าสามารถผ่าไม้ไผ่ครั้งละ 1 ลำออกได้เป็น 8 ซี่ (ความกว้างประมาณ 1.5-2 ซม.) ส่วนชุดเหลาประกอบด้วยชุดเหลาชุดที่ 1 เพื่อลดความหนาของไม้ไผ่ และชุดเหลา ชุดที่ 2เพื่อเหลาไม้ไผ่ให้ขนาดตามที่ต้องการ (ความหนาประมาณ 3.5-4 มม.) กระบวนการทำงานฟังแล้วก็ไม่ยากอย่างคิด... เริ่มต้นจากการนำไม้ไผ่แห้งขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3 นิ้ว ยาว 2.5 เมตร เข้าชุดผ่าโดยใช้ค้อนตีจากด้านท้ายของลำไม้ไผ่จนแตกออกเป็นซี่ๆ และใช้แรงดันเข้าสู่ชุดผ่าแทนการใช้ค้อน จะได้ไม้ไผ่ 8 ซี่ (กว้างประมาณ 2 ซม. และหนาประมาณ 5-6 มม.) แล้วนำซี่ไม้ไผ่ ที่ใช้มีดปลอดข้อออกแล้วเข้าสู่ชุดเหลาที่ 1 เพื่อลดความหนาลงให้ได้ 1-2 มม. แล้วนำซี่ไม้ไผ่ที่เหลาโดยชุดแรก เข้าสู่ชุดเหลาที่ 2 ก็จะได้ความหนาของซี่ไม้ไผ่ตามต้องการ คือประมาณ 3.5-4.0 มม.
ประสิทธิภาพของเครื่องนี้ว่า สามารถผ่าไม้ไผ่ได้ 30-35 ลำ/ชั่วโมง และเหลาไม้ไผ่ได้ประมาณ 35-40 ซี่/ชั่วโมง จากการทดลองใช้กับกลุ่มเกษตรกร ที่ทำผลิตภัณฑ์จักสานไม้ไผ่ในเขตจังหวัดสงขลาและพัทลุงแล้ว พบว่าพึงพอใจในประสิทธิภาพเป็นมาอย่างมาก สำหรับต้นทุนในการผลิตเครื่องนี้อยู่ที่ประมาณ 17,000-18,000 บาทเท่านั้น ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ สาขาเกษตรกลวิธาน แผนกวิชาเครื่องจักรกล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตภาคใต้ จังหวัดสงขลา โทร.0-7431-6263 ต่อ 1951 (สยามรัฐรายวัน อังคารที่ 29 มี.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)
ข้าวสีทองจีเอ็มพันธุ์ใหม่ ให้เบต้าแคโรทีนมากกว่า
นักวิทยาศาสตร์อังกฤษได้ทำการตัดแต่งพันธุกรรมหรือจีเอ็ม ข้าวสายพันธุ์ "ข้าวสีทอง" จนได้พันธุ์ใหม่ที่ให้ "เบต้า แคโรทีน" มากกว่าข้าวพันธุ์เดิม โดยร่างกายมนุษย์จะทำหน้าที่เปลี่ยนเบต้า แคโรทีน ให้เป็นวิตามินเอ ซึ่งข้าวพันธุ์นี้จะให้ได้มากกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้ามากถึง 20 เท่า จึงเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ร่างกายขาดวิตามินเอและช่วยเด็กที่พิการทางสายตาในประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย ขณะที่องค์การอนามัยโลกระบุว่า ในแต่ละปีจะมีเด็กราว 500,000 คน ที่พิการทางสายตาเนื่องจากขาดวิตามินเอ ข้าวสีทองสายพันธุ์ใหม่นี้ได้รับการพัฒนาขึ้นในห้องทดลองทางชีวภาพของบริษัท ซินเจนตา แต่เนื่องจากความกังวลต่อผลิตภัณฑ์เกษตรที่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรม ข้าวพันธุ์ดังกล่าวจึงยังไม่มีการปลูกในไร่ทดลองในเอเชีย ซึ่งซินเจนตาได้มอบพันธุ์ข้าวให้แก่ศูนย์วิจัยทั่วเอเชียฟรีๆ สำหรับรัฐบาลที่ต้องการนำไปปลูกในไร่ทดลองต่อไป ขณะที่ข้าวสีทองพันธุ์ดั้งเดิมถือกำเนิดมาจากห้องทดลองในประเทศสวิตเซอร์แลนด์เมื่อ 5 ปีก่อน (บีบีซี) (มติชนรายวัน อังคารที่ 29 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th)
สหรัฐฯวิจัยพบ "ชาขาว" ต้านมะเร็งชะลอความแก่
นายมานพ เลิศสุทธิรักษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนจีน ในฐานะนายกสมาคมแพทย์แผนจีน แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ชาขาวมี 2 ชนิด ชนิดแรกเป็น "แป๊ะม้อเก๊า" หรือ "ชาขนลิงขาว" ซึ่งมีลักษณะเป็นเกล็ดฝอยๆ ที่ผลิตจากยอดใบไม้ที่มีสีอมขาว ส่วนอีกชนิดมีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่เป็นชาคนละชนิด คือ "เล็งแจ้แต้" ซึ่งคนในวงการชาจะรู้จักกันดีว่าเป็นชาชั้นยอด ชาขาวมีราคาแพงมาก เนื่องจากต้นชาขาวมีน้อยมาก อีกทั้งยังผลิตจากยอดของใบชาที่เกี่ยวได้เพียงฤดูใบไม้ร่วง และใบไม้ผลิเท่านั้น สรรพคุณของชาขาวโดยทั่วไปคือ ช่วยขับของเสีย จำพวกไขมันออกจากร่างกาย ช่วยขับปัสสาวะ กระตุ้นหัวใจ อย่างไร ก็ตาม การดื่มชา ควรจำกัดปริมาณการดื่ม เพราะอาจทำให้นอนไม่หลับได้ เนื่องจากในชามีคาเฟอีนผสมอยู่ด้วย ขณะที่สถาบันค้นคว้าวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยคลีฟแลนด์ ระบุถึงผลการวิจัยชาขาวว่า ชาขาวมีสารแอนติออกซิแดนต์ ในปริมาณสูงกว่าชาเขียวถึง 3 เท่า สารสกัดจากใบชาขาว จะมีปริมาณสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยหยุดยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและไวรัส ป้องกันมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งช่องท้องและมะเร็งลำไส้ใหญ่ รวมทั้งโรคที่เกิดจากแบคทีเรียในกลุ่มสเตร็ป-โตค็อกคัส และโรคปอดบวม ชะลอความแก่ ป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ ที่เป็นสาเหตุทำให้ผิวเกิดริ้วรอย และป้องกันการเกิดมะเร็งในผิวหนัง ด้าน นายภักดี โพธิศิริ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ชาจัดเป็นอาหารที่ต้องขึ้นทะเบียนตาม พ.ร.บ.อาหาร ซึ่งหากเป็นเครื่องดื่มชาล้วนๆ ต้องมีการแสดงฉลากระบุปริมาณคาเฟอีนไว้ที่ข้างขวดด้วย แต่หากเป็นเครื่องดื่มชนิดอื่นผสมชาหรือกลิ่นชา อาจไม่ต้องแสดงปริมาณคาเฟอีน เพราะเป็นแค่การผสม ผู้บริโภคควรสังเกตฉลากข้างขวดก่อนซื้อชามาดื่มทุกครั้ง. (ไทยรัฐ พุธที่ 30 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)
ใช้สารจากคนปนสารในตัวสัตว์ แปลงหนูหายจากอาการแพ้แมว
นักวิจัยของโรงเรียนแพทย์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่สหรัฐฯ ได้รายงานในวารสารวิชาการ "เวชศาสตร์ธรรมชาติ" ว่า ได้พบในการทดลองใช้สาร ประกอบนั้นกับหนูทดลอง ซึ่งโดยปกติจะเกิดอาการแพ้แมว โดยแสดงให้เห็นด้วยอาการไอจาม และน้ำตาไหล ปรากฏว่า มันกลับไม่เกิดอาการเหล่านั้นให้เห็นเลย และเมื่อทดลองกับเซลล์มนุษย์ซึ่งเพาะเลี้ยงในจานทดลอง ก็ปรากฏผลแบบเดียวกัน การพบวิธีการรักษาอาการแพ้แบบใหม่นี้ นับว่าเป็นข่าวดีกับผู้ที่มีอาการแพ้กับสัตว์เลี้ยงอย่างแมว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่คนอเมริกัน ซึ่งมีจำนวนเป็นเรือนล้าน นอกจากนั้น ยังจะอาจใช้วิธีการแบบเดียวกัน ไปแก้การเกิดอาการแพ้กับอาหารบางชนิด เช่น ถั่วลิสง ซึ่งในบางรายอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ด้วย อาการแพ้พวกนี้เกิดขึ้นจากระบบภูมิคุ้มโรคของร่างกายหลงผิดแสดงปฏิกิริยาต่อต้าน สารที่ก่อให้เกิดการแพ้หรือภูมิแพ้ที่มีอยู่ในโปรตีนในอาหาร หรือในสัตว์ หรือในผลิตภัณฑ์จากพืชขึ้น ก่อให้เกิดอาการไอจาม น้ำตาไหล เกิดผื่นคัน และบางครั้งถึงกับหืดจับ.(ไทยรัฐ พุธที่ 30 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)
ไทยสนใจเครื่องบินเท้าปั่น ศึกษาออกแบบอากาศยาน
นายพีรกิตติ์ วิริยะรัตนศักดิ์ ผู้ช่วยนักวิจัยกลุ่มวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและการออกแบบ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) เปิดเผยว่า สถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นได้ส่งมอบเครื่องบินพลังงานคนราคาประมาณ 1 ล้านบาทให้เอ็มเทคใช้ศึกษาวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เกี่ยวกับโครงสร้างของอากาศยานพื้นฐาน เพื่อเป็นองค์ความรู้ในการสร้างอากาศยานที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เครื่องบินพลังงานคนขับเคลื่อนโดยแรงงานคน 1 คน ใช้เท้าเหยียบปั่นเพื่อให้ใบพัดทำงาน ปราศจากการใช้แรงขับดันจากเครื่องยนต์ มีโครงสร้างที่ง่าย ไม่สลับซับซ้อน โดยใช้วัสดุที่แข็งแรงแต่น้ำหนักเบาประเภทคาร์บอนไฟเบอร์ 80% โฟม กระดาษ ไม้และพลาสติก รวมน้ำหนักโครงสร้างประมาณ 40 กิโลกรัม ความยาวปีก 30 เมตร ความยาวหน้า-ท้าย 10 เมตรและรองรับน้ำหนักคนขับประมาณ 60 กิโลกรัม จุดประสงค์การสร้างเครื่องบินพลังงานคนโดยใช้เท้าปั่น ก็เพื่อกิจกรรมการกีฬาโดยเริ่มต้นในสหรัฐเมื่อ 10 กว่าปีก่อน จากนั้นกระจายไปประเทศต่างๆทั้งยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน และนับวันจะทันสมัยมากขึ้น มีการนำเทคโนโลยีต่างๆมาช่วยในการออกแบบโครงสร้าง และใช้ความรู้ด้านวัสดุศาสตร์หรือใช้วัสดุสมัยใหม่ เพื่อลดน้ำหนักเครื่องบิน ทำให้ลอยตัวได้นานขึ้นและระยะไกลขึ้น สำหรับสถิติการแข่งขันที่ได้รับการบันทึก ระบุว่าเครื่องบินพลังงานเท้าปั่นนี้ไปได้ไกลถึง 115 กิโลเมตร ส่วนลำที่ญี่ปุ่นมอบไทยนั้นลอยตัวได้ไกล 32 เมตร และได้รางวัลรองชนะเลิศจากการแข่งขันเทคโนโลยีแห่งชาติประเทศญี่ปุ่น ประจำปี 2546 ส่วนก่อนหน้านั้น 2 ปีได้รางวัลชนะเลิศทั้งสองปีซ้อน โดยทางทีมเจ้าของผลงานคาดหวังว่า ในอนาคตจะมีทีมจากประเทศไทยร่วมการแข่งขันด้วย (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 30 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
สวทช.ผุดศูนย์เทคโนโลยีทันตกรรม พัฒนารากฟันเทียมราคาถูกเพื่อคนไทย
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้จัดสรรงบประมาณ 37 ล้านบาท จัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีทางทันตกรรมชั้นสูง พร้อมทั้งรวบรวมผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ อาทิ ทันตแพทย์ วิศวกรชีวการแพทย์ นักชีววัสดุศาสตร์ รวมถึงนักคอมพิวเตอร์ เพื่อสร้างงานวิจัยและพัฒนาวัสดุอุปกรณ์สำหรับงานทันตกรรมทดแทนการนำเข้า หวังทำรากฟันเทียมราคาถูกเข้า 30 บาทรักษาทุกโรคในอนาคต ผศ.ทพ.วิจิตร ธรานนท์ ผอ.ศูนย์เทคโนโลยีทางทันตกรรมชั้นสูง กล่าว่าหลังจากที่เราเห็นว่า เอ็มเทคมีเทคโนโลยีการสร้างต้นแบบที่รวดเร็ว สามารถผลิตต้นแบบได้เอง หมอจึงได้รวมตัวนักวิจัย ในการนำวิศวกรรมชีวการแพทย์มาประยุกต์ใช้ในงานทันตกรรม พร้อมทั้งดึงเทคโนโลยีทางการแพทย์ชั้นสูงจากต่างประเทศมาใช้เพื่อศึกษาวิจัย จนพร้อมที่จะพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นของเราเอง ซึ่งคาดว่าภายในปี 2549 น่าจะได้เห็นเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้น ภารกิจหลักของศูนย์ฯ จะเน้นบริการทางวิจัยทันตกรรม ซึ่งจะประยุกต์ใช้เทคโนโลยีด้านวิศวกรรมชีวการแพทย์ โดยศูนย์มีความพร้อมทั้งทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และที่สำคัญคือเทคโนโลยีชั้นสูงที่นำเข้า อาทิ เครื่อง CT Scan เครื่องสร้างหุ่นจำลองทางการแพทย์ ตลอดจนซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการวางแผนการรักษา โดยในเบื้องต้นจะเน้นเรื่องการฝังรากเทียม และงานศัลยกรรมแก้ไขความผิดปกติของกระดูกขากรรไกรและใบหน้า การสร้างอวัยวะเทียมในส่วนอื่นๆ เช่น การทำหูเทียม ตาเทียม จมูกเทียม ที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีชั้นสูงเข้ามาช่วยในการวางแผนการรักษา รวมถึงการผ่าตัดเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ถูกต้องแม่นยำ อาทิ เทคโนโลยีการสร้างต้นแบบอย่างรวดเร็ว มาประกอบกับเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ ในส่วนของงานทันตกรรมจัดฟัน ยังได้นำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ช่วยวางแผนการเคลื่อนฟัน โดยเทคโนโลยีทั้งหมดจะมีทีมนักวิจัยที่จะทำการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาเทคนิคดังกล่าวให้สามารถประยุกต์ใช้งานได้เอง โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีนำเข้า (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 30 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
เพนตากอนพัฒนาศัลยแพทย์สมองกล
กระทรวงกลาโหมสหรัฐ หรือเพนตากอนทุ่มงบ 12 ล้านดอลลาร์ หรือราว 480 ล้านบาท พัฒนาหุ่นยนต์ผ่าตัดสำหรับช่วยทหารในสนามรบ ชูจุดเด่นเปลี่ยนเครื่องมือและเย็บแผลได้อัตโนมัติไม่ต้องใช้ผู้ช่วย คาดอีกสิบปีพัฒนาแล้วเสร็จ "ทรอมาพ็อด" หุ่นยนต์ศัลยแพทย์ชนิดที่ไม่ต้องใช้คนควบคุม ได้รับการออกแบบมาให้สามารถเปลี่ยนเครื่องมือผ่าตัดได้เองตามชนิดของบาดแผล แถมยังจัดการเย็บแผลให้ติดกันอย่างเรียบร้อย นอกจากนี้ ยังมองไปไกลถึงการลำเลียงคนเจ็บออกมาจากสนามรบด้วย วิจัยชิ้นนี้อาจต้องใช้เวลาร่วมสิบปีกว่าจะปรากฏโฉมออกมาให้ได้ใช้งานจริง เพราะทีมงานต้องพัฒนาให้หุ่นยนต์สามารถทำตามคำสั่งได้อย่างฉับพลันโดยไม่เกิดการหน่วงเวลาใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งทรอมาพ็อดจะสื่อสารกับศูนย์ควบคุมกลางผ่านระบบไร้สาย มีความว่องไวเป็นเลิศ และแข็งแกร่งพอที่จะปฏิบัติภารกิจขณะที่สมรภูมิรบกำลังระอุอยู่ได้ ปัจจุบันมีเทคโนโลยีใกล้เคียงกันนี้ใช้งานอยู่ในโรงพยาบาลหลายแห่งแล้ว นั่นคือหุ่นยนต์ผ่าตัดทางไกลที่พัฒนาโดยเพนตากอนตั้งแต่ทศวรรษ 1980 ภายใต้ชื่อ ดาวินชี เซอร์จิคัล ซิสเต็ม แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่โต และต้องใช้กำลังพลมากมายช่วยขณะทำการผ่าตัด ทำให้ไม่สะดวกนักเมื่อนำไปใช้ในสนามรบ และในปี 2543 องค์การอาหารและยาสหรัฐ หรือเอฟดีเอ ได้อนุมัติให้ดาวินชีไปช่วยงานผ่าตัดได้ ซึ่งปัจจุบันมีใช้ในโรงพยาบาลราว 300 แห่งทั่วโลก ทำหน้าที่เป็นศัลยแพทย์ผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมาก ซ่อมแซมลิ้นหัวใจ และงานผ่าตัดอื่นๆ ขณะที่การนำหุ่นยนต์ศัลยแพทย์ไปใช้งานจริงในสนามรบแบบไม่ต้องมีมนุษย์เป็นผู้ช่วยนั้น คาดว่าอาจต้องใช้เวลาอีก 2 ปีที่จะปรับแต่งให้ดาวินชีเป็นศัลยแพทย์ได้เพียงลำพัง ซึ่งเป้าหมายเบื้องต้นของโครงการมูลค่า 12 ล้านดอลลาร์ชิ้นนี้ อยู่ที่การพัฒนาให้หุ่นยนต์สามารถทำหน้าที่ของศัลยแพทย์ได้สมบูรณ์แบบ ตั้งแต่ขั้นตอนการผ่าและเย็บแผลจนเสร็จสิ้นกระบวนการ และล่าสุดได้แสดงให้เห็นแล้วว่า สามารถเย็บหลอดเลือดสองเส้นในหมูได้สำเร็จแล้ว สำหรับทีมวิจัยร่วมของโครงการนี้ ได้แก่ เอสอาร์ไอ, เจเนอรัล ไดนามิกส์ โรโบติก ซิสเต็ม, ห้องปฏิบัติการแห่งชาติโอ๊คริดจ์, มหาวิทยาลัยเท็กซัส, มหาวิทยาลัยวอชิงตัน, มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ และบริษัท โรโบติก เซอร์จิคัล เทค อิงค์. ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานโครงการวิจัยล้ำสมัยกลาโหม หรือ ดาร์ปา (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 30 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
ไอเสียทำร่างกายทรุด สูดดมทั้งวันเสี่ยงมะเร็ง
นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์การแพทย์แห่งชาติ ไต้หวัน รายงานผลการศึกษา พบสาร 8-OHdG ในตัวอย่างปัสสาวะของพนักงานเก็บเงินค่าผ่านทางในปริมาณที่สูงมาก ซึ่งร่างกายจะหลั่งสารเคมีดังกล่าวออกมาเมื่อดีเอ็นเอในตัวถูกทำลายจากอนุภาคที่มีอยู่ในมลพิษ หรือที่เรียกกันว่าอนุมูลอิสระ คณะวิจัยได้เก็บข้อมูลจากพนักงานเก็บค่าผ่านทางหญิงจำนวน 47 คน ที่ทำงานในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนในถนนสายใต้ของกรุงไทเป โดยนำไปเปรียบเทียบกับข้อมูลที่ได้จากผู้หญิงที่ทำงานในออฟฟิศ ที่ไม่มีโอกาสพบเจอไอเสียหรือมลพิษทางอากาศได้ ด้วยการวิเคราะห์ตัวอย่างปัสสาวะเพื่อวัดหาระดับสาร 8-OHdG และสาร 1-OHPG ที่มีอยู่ในในไอเสียรถยนต์ รวมถึงตัวอย่างเลือดที่จะนำมาวัดหาสารไนตริกออกไซด์ อีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกให้รู้ว่าเนื้อเยื่อกำลังถูกทำลายอยู่ด้วย งานวิจัยชิ้นนี้บอกให้ทุกคนได้รับรู้ว่า ไอเสียรถยนต์มีปริมาณของอนุมูลอิสระสูงมาก นั่นทำให้ดีเอ็นเอถูกทำลาย และเพื่อป้องกันไม่ให้สุขภาพของพลเมืองต้องย่ำแย่ไปกว่านี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะหาทางลดระดับมลพิษ เพราะอนุภาคจิ๋วในอากาศ สามารถทะลุเข้าไปลึกถึงระดับเนื้อเยื่อปอด และผ่านเข้าไปในกระแสเลือดได้โดยตรง (คมชัดลึก พุธที่ 30 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
มช.เจ๋งพบสมุนไพรไทย ต้านไขข้อ-กระดูกเสื่อม
ผศ.ดร.ศิริวรรณ องค์ไชย อาจารย์ประจำภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ในฐานะรองหัวหน้าโครงการจัดตั้งศูนย์วิจัยที่เป็นเลิศทางด้านวิศวกรรมเนื้อเยื่อ เปิดเผยว่า ทีมงานวิจัยของภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มช.ประสบความสำเร็จในการพัฒนาวิธีการพิสูจน์ฤทธิ์ของยา สารเคมีและสมุนไพร ที่มีฤทธิ์ลดการเสื่อมสลายของกระดูกอ่อน หรือป้องกันการเสื่อมสลายของกระดูกอ่อน นับเป็นครั้งแรกในการทำงานวิจัยภายในห้องปฏิบัติการของประเทศไทย ที่เกี่ยวกับเรื่องชีวเคมีทางการแพทย์ หรือชีวเคมีของโรคข้อเสื่อม เนื่องจากการทำวิจัยต้องอาศัยความชำนาญเป็นพิเศษกว่าการวิจัยด้านอื่นๆ สำหรับขั้นตอนการวิจัย ทีมงานได้นำพืชสมุนไพรที่เป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหารจากครัวมาทดลองภายในห้องปฏิบัติการ หรือ "Thai medicinal plants : From kitchen to bench work" เพื่อสกัดหาสารต่อต้านโรคไขข้อ-กระดูกเสื่อม และได้นำกระดูกฝ่าเท้าของสุกรที่ชำแหละแล้วมาผ่านกระบวนการเพาะเลี้ยงชิ้นเนื้อในห้องปฏิบัติการ จากนั้นใช้วิธีการเลียนแบบสภาวะข้อเสื่อมเพื่อฉีดสารมีฤทธิ์ต้านโรคไขข้อ-กระดูกเสื่อมที่สกัดได้จากพืชสมุนไพร ทั้งนี้งานวิจัยดังกล่าวสร้างผลดีให้เกิดขึ้นกับวงการวิจัยของไทยถึง 2 ด้าน คือ ได้วิธีการทดสอบที่มีประสิทธิภาพ เพื่อใช้หาศักยภาพหรือค้นหาสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์ต้านโรคไขข้อ-กระดูกเสื่อม รวมทั้งการค้นพบสาระสำคัญในพืชสมุนไพรบางชนิดที่มีฤทธิ์ต้านโรคไขข้อ-กระดูกเสื่อมได้จริงและยังพิสูจน์ได้ว่าไม่มีพิษเพื่อนำไปสู่การจดสิทธิบัตรเพื่อปกป้องไว้ให้เป็นสมบัติของคนไทย ผศ.ดร.ศิริวรรณ กล่าวว่า ทีมงานวิจัยสามารถค้นพบพืชสมุนไพรตระกูลหัวจำนวนถึง 2 ชนิด ที่นำมาทดสอบในห้องปฏิบัติการมีฤทธิ์ในการต่อต้านโรคไขข้อ-กระดูกเสื่อม และลดอาการอักเสบได้เป็นอย่างดีโดยไม่มีพิษต่อร่างกายและสามารถพัฒนา "ชุดน้ำยาสำเร็จรูปตรวจข้อเสื่อม" ขึ้นมาได้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบโครงสร้างของสารต่อต้านโรคไขข้อกระดูกเสื่อมในพืชสมุนไพรที่สกัดได้ ก่อนจะดำเนินการจดสิทธิบัตร โดยจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2548 จากนั้นจึงจะเร่งพัฒนาออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปของยาทาภายนอก โดยจะร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์ มช. ในการพัฒนาอีกครั้ง คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 3-5 ปี จึงจะผลิตออกสู่ตลาดได้
นอกจากนี้ งานวิจัยที่ประสบผลสำเร็จดังกล่าวเชื่อว่าจะส่งผลดีต่อวงการแพทย์ของไทย เพราะโรคไขข้อ-กระดูกเสื่อมเป็นภัยมืดอีกชนิดที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนไทย โดยเฉพาะผู้มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป จะพบว่าเป็นโรคไขข้อ-กระดูกเสื่อมถึงร้อยละ 60 ซึ่งอาการของโรคจะไม่รุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตเหมือนโรคติดเชื้อประเภทอื่น เช่น โรคไข้หวัดนก หรือซาร์ส แต่เป็นภัยมืดที่แฝงตัวอยู่ในร่างกาย และเมื่อพบว่าผู้ป่วยมีโอกาสจะได้รับความเจ็บปวดทรมานจนถึงขั้นพิการหรือทำให้กระดูกแขนขา และมือผิดรูปได้ (คมชัดลึก พุธที่ 30 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
ลายนิ้วมือเรืองแสง
วิธีเดิมในการตรวจลายนิ้วมือของหมอหรือตำรวจ จะใช้การโรยฝุ่นแป้ง เติมของเหลวหรือละอองน้ำลงในพื้นที่ซึ่งสงสัยว่าจะมีรอยนิ้วมือเพื่อให้ปรากฏชัดขึ้น นับเป็นวิธีการที่ยุ่งยากมาก ยิ่งหากร่องรอยนั้นอยู่บนพื้นผิวหลายสี หลายลักษณะ บางทีอยู่บนกระดาษ ไม้ หนัง พลาสติก หรือแม้แต่ผิวหนังมนุษย์ ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์จากห้องทดลองแห่งชาติลอสอะลามอส สหรัฐ นำโดย คริสโตเฟอร์ วอร์เลย์ พัฒนาวิธีใหม่ในการสืบหารอยนิ้วมือด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า MXRF (micro-X-ray fluorescence) เป็นการเอกซเรย์แบบเรืองแสงในการตรวจหาสารเคมีในเหงื่อที่ตกค้างจากฝ่ามือ
เช่น สารประกอบจำพวกเกลือ อาทิ โซเดียมคลอไรด์ หรือ โพแทสเซียมคลอไรด์ ซึ่งเป็นของเสียที่ร่างกายขับออกมาพร้อมเหงื่อซึ่งจะเรืองแสงขึ้นเมื่อโดนเอกซเรย์ เพื่อใช้พยากรณ์ลายนิ้วมือ เมื่อมือคนไปสัมผัสโดนวัตถุและทิ้งคราบเหงื่อไว้ เมื่อนำมาตรวจเอกซเรย์เรืองแสงจะพบสารเหล่านี้ตกค้างตามรอยลายนิ้วมือ เมื่อนำเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์เน้นสีเข้าไปจะทำให้เห็นรอยนิ้วมือปรากฏชัดขึ้น เป็นวิธีที่ง่ายกว่าเดิมมาก อีกทั้งยังเอื้อประโยชน์ให้สามารถใช้ร่องรอยนั้นในการตรวจดีเอ็นเอต่อได้ด้วย (ข่าวสด พุธที่ 30 มี.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)
กินน้ำมันปลาต้านโรคสมองเสื่อม เป็นวิธีรักษาแบบหากันได้ง่ายๆ
รายงานข่าวความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์กล่าวว่า แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญได้ค้นพบสรรพคุณของน้ำมันปลาว่า อาจจะบริโภคเพื่อต่อต้านโรคสมองเสื่อมได้ นักวิจัยของฝ่ายกิจการทหารผ่านศึก มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่นครลอสแอนเจลิสของอเมริกา ได้พบในการศึกษากับหนูทดลองว่า หนูที่ได้กินอาหารที่อุดมด้วยกรดดีเอชเอ จะไม่ค่อยป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม กรดดีเอชเอเป็นกรดไขมันโอเกา-3 อย่างหนึ่ง ที่มีอยู่ในปลาอยู่ตามดินแดนที่มีอากาศหนาวเย็น เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอรัล และซาร์ดีน ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ทำเป็นปลากระป๋อง โดยแช่ในน้ำมันมะกอกหรือซอสมะเขือเทศ นอกจากนั้น ยังมีอยู่ในถั่วเหลือง ถั่ววอลนัทหรือมันห้อ ถั่วอัลมอนด์ และไข่ สรรพคุณของกรดดีเอชเอที่สำคัญ คือมันได้ ออกฤทธิ์กำจัดคราบสีเทาอันเป็นอันตรายของสมอง ซึ่งเป็นร่องรอยของโรคสมองเสื่อมให้หมดลง (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 31 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)
โตชิบาทำแบตฯรุ่นใหม่ หนึ่งนาทีชาร์จไฟเต็ม
บริษัท โตชิบา คอร์เปอเรชั่น พัฒนาแบตเตอรี่ต้นแบบที่เบาและบาง สามารถชาร์จไฟเต็ม 80% ภายในหนึ่งนาที เร็วกว่าแบตเตอรี่ลิเทียม-ไอออนทั่วไป 60 เท่า โดยแบตเตอรี่ชนิดใหม่นี้มีขนาดเท่ากับ 62x 35 มิลลิเมตร หนาเพียง 3.8 มิลลิเมตร แบตเตอรี่แบบใหม่นี้ใช้วัสดุระดับนาโน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล่าสุดสำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้า ผสมผสานกับความรู้ในการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียม-ไอออนที่ทางโตชิบาสะสมมาตลอด โดยนำวัสดุใหม่ที่มีขนาดจิ๋วมาใช้กับประจุลบ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำยาเคมีกระตุ้นประจุไฟฟ้าลดลง เมื่อมีการชาร์จไฟใหม่แต่ละครั้ง อนุภาคขนาดนาโนนี้สามารถดูดซับและเก็บประจุไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ทำให้ตัวนำไฟฟ้าเสื่อม นอกจากนี้ แบตเตอรี่แบบใหม่นี้ยังให้อายุการใช้งานที่นานอีกด้วย โดยเแบตเตอรี่แบบใหม่นี้สูญเสียประสิทธิภาพในการเก็บไฟเพียง 1% เท่านั้น หลังจากผ่านการชาร์จไฟใหม่ 1,000 ครั้ง ทั้งนี้ ปัญหาของแบตเตอรี่ปัจจุบันคือ การชาร์จไฟใหม่แต่ละครั้ง ความสามารถในการเก็บประจุไฟฟ้าจะลดลง สำหรับแบตเตอรี่แบบใหม่นี้ ทางโตชิบาระบุว่า จะผลิตแบตเตอรี่จำหน่ายได้ในปี 2549 และอาจนำมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมและยานยนต์ได้ และเทคโนโลยีนี้อาจนำมาใช้เป็นแหล่งพลังงานทางเลือกสำหรับรถยนต์ลูกผสมแก๊สโซลีน-ไฟฟ้า ด้วย (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 31 มี.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
ชุดตรวจเลือดรู้ผลเร็ว ศิริราชคิดค้นช่วยลดผู้ป่วยธาลัสซีเมีย
น.ส.ชมพูนุช กาญจนากร นักวิทยาศาสตร์หน่วยอณูพันธุศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช เปิดเผยว่า โรคโลหิตจางหรือธาลัสซีเมีย เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมซึ่งพบบ่อยที่สุด โดยมีสาเหตุมาจากการได้รับยีนควบคุมการสร้างฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงที่ผิดปกติ ซึ่งรับการถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ ทำให้ฮีโมโกลบินมีโครงสร้างที่ผิดปกติ และผลิตเม็ดเลือดแดงที่ไม่มีประสิทธิภาพ แตกง่าย ทำให้เกิดโรคธาลัสซีเมียหรือโรคเลือดจาง โดยปกติโครโมโซมของมนุษย์จะอยู่เป็นคู่ แต่หากข้างใดข้างหนึ่งมียีนผิดปกติแต่ไม่แสดงออก แสดงว่าคนนั้นเป็นพาหะของโรคโลหิตจาง ซึ่งถ้าพ่อเป็นพาหะมาแต่งงานกับแม่ที่เป็นพาหะเช่นกัน ส่งผลให้บุตรที่ได้รับยีนผิดปกติทั้งจากพ่อและแม่ที่เป็นพาหะ จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคโลหิตจางถึงร้อยละ 25 ฉะนั้น การตรวจคัดกรองพาหะจึงเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด โดยยีนที่ควบคุมการทำงานของฮีโมโกลบิน ได้แก่ ยีนในกลุ่มอัลฟาและเบต้า ซึ่งยีนทั้ง 2 สามารถตรวจกรองหาความผิดปกติได้ โดยใช้การตรวจวิเคราะห์ดีเอ็นเอ หรือตรวจสอบค่าเปลี่ยนแปลงทางเลือดโดยใช้น้ำยาในการทดสอบ ซึ่งจะระบุได้ว่าคนนั้นเป็นพาหะหรือไม่ แต่จะต้องรอระยะเวลา 3-4 วันจึงจะทราบผล ด้วยเหตุดังกล่าว จึงได้คิดค้นชุดตรวจยีนในกลุ่มเบต้า โดยเปรียบเทียบปริมาณดีเอ็นเอกับปริมาณฮีโมโกลบินของผู้ป่วย ด้วยการนำดีเอ็นเอที่ผ่านการวิเคราะห์มาย้อมสารเคมี ภายใต้วิธีการทาเจลเพื่อดูความแตกต่างที่เกิดขึ้น ซึ่งวิธีดังกล่าวจะช่วยให้ทราบผลการตรวจสอบได้ในระยะเวลาสั้นเพียง 2 วัน หากเป็นไปได้คู่รักที่กำลังจะแต่งงาน ควรผ่านการตรวจคัดกรองพาหะโรคเลือดจางก่อน เพราะทารกที่เป็นโรคโลหิตจางต้องเข้ารับการให้เลือดอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ ส่วนกรณีที่อาการรุนแรงมากนั้น อาจทำให้ทารกเสียชีวิตตั้งแต่ในครรภ์ หรือมีชีวิตหลังคลอดได้ไม่นาน เนื่องจากเม็ดเลือดแดงถูกทำลายอย่างรุนแรง เบื้องต้นชุดตรวจดังกล่าว สามารถตรวจสอบความผิดปกติได้ในยีนกลุ่มเบต้าเท่านั้น ซึ่งในอนาคตจะศึกษาเพิ่มเติมสำหรับตรวจยีนกลุ่มอัลฟา ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มทางเลือกในการตรวจคัดกรองพาหะโรคเลือดจาง และพัฒนาด้านเวลาให้เร็วขึ้นอีกในอนาคต (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 31 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
เปิดโรงพยาบาลรักษาด้วยไม้เรียว ขับโรคพิษสุราเรื้อรังหายได้ชะงัด
นักวิจัยของสถาบันการแพทย์โนโวไซเบิร์สก์ แห่งรัสเซียกล่าวว่า ได้พบในการศึกษาว่าการเฆี่ยนตีจะทำให้สมองขับฮอร์โมนเอนดอร์ฟีนส์ ที่ทำให้เกิดความรู้สึกยินดีปรีดาออกมา มันจะทำให้เกิดความรู้สึกเคลิบเคลิ้ม ช่วยให้หายหิว พร้อมทั้งขับฮอร์โมนเพศและบำรุงภูมิคุ้มโรคให้เข้มแข็งขึ้นด้วย นักวิทยาศาสตร์ของสถาบัน ดร.เซอร์ไก สเปรันสกี้ ยังอ้างว่า การเฆี่ยนตีแบบที่ครูบาอาจารย์ตามโรงเรียนลงโทษลูกศิษย์ในสมัยก่อน ยังมีสรรพคุณเป็นยาแก้ปวดเหมือนกับมอร์ฟีนและโคเดอีน โดยไม่ทำให้เสพติดกับยังช่วยเยาวชน ให้พ้นจากการเป็นทาสยาเสพติดและภาวะซึมเศร้าด้วย แพทย์หญิงมารีนา ชูห์โรวา ก็ได้แจ้งว่า ขณะนี้สถาบันก็ได้ใช้วิธีนี้รักษาคนไข้เป็นประจำอยู่ 10 ราย (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 1 เมษายน 2548 http://www.thairath.co.th)
หาแหล่งเซลล์ต้นกำเนิดหัวแทบผุ กลับพบอยู่บนหัวของตัวเราเอง
นักวิจัยของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่นครซานไดโก และสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเสตต์ของสหรัฐฯได้เปิดเผยว่า ได้ค้นพบเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตในถุงรากผมบนศีรษะ ซึ่งสามารถจะเติบโตขึ้นเป็นเซลล์ประสาท ที่อาจนำไปใช้ในการบำบัดรักษาในทางการแพทย์ได้ ทั้งยังเชื่อว่าอาจเพาะเลี้ยงให้เติบโตขึ้นเป็นเนื้อหนัง ของอวัยวะอันใดอันหนึ่งขึ้นมาได้ นักวิจัยได้พบในการศึกษาทดลองว่าเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตที่ได้มาจากถุงรากของหนวดหนู ได้เติบโตเป็นหน่วยประสาทและเซลล์ประสาทต่างๆได้ แม้กระทั่งเซลล์ผิวหนังและเซลล์กล้ามเนื้อ ตลอดจนเซลล์สีของหนังเนื้อได้ด้วย เดิมทีนักวิทยาศาสตร์รู้แต่ว่าแหล่งกำเนิดของเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตดีที่สุด ได้แก่ที่ไขกระดูก แต่นักวิจัยก็ยังอยากหาแหล่งกำเนิดเซลล์ ที่หาได้ง่ายกว่านี้ตามที่แหล่งอื่นอีก ทั้งยังอยากจะรู้ว่าด้วยว่าแหล่งของเซลล์จากแหล่งอื่น จะเป็นเซลล์ที่มีคุณภาพต่างกันออกไปหรือไม่ เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตถือเป็นแม่เซลล์ นอกจากแหล่งใหญ่จากไขกระดูกแล้ว ยังมีแหล่งสำคัญอีกแหล่งหนึ่ง จากตัวอ่อนของทารกในครรภ์ แต่อาจจะเป็นปัญหาทางศีลธรรมขึ้นได้ (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 1 เมษายน 2548 http://www.thairath.co.th)
โนวาร์ตีสวิจัยยาใหม่จากคลังจุลินทรีย์ไทย
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และบริษัทเวชภัณฑ์โนวาร์ตีสแห่งสวิตเซอร์แลนด์ ร่วมลงนามข้อตกลง Drug Discovery Partnership เพื่อร่วมมือกันศึกษาและค้นคว้าสารออกฤทธิ์ธรรมชาติในจุลินทรีย์ เพื่อนำไปทดสอบศักยภาพและพัฒนาเป็นยา โดยกำหนดระยะเวลาความร่วมมือ 3 ปี ศ.ดร.มรกต ตันติเจริญ ผู้อำนวยการไบโอเทค สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เปิดเผยว่า ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการร่วมกันค้นคว้าหาสารใหม่จากจุลินทรีย์ และศึกษาถึงรายละเอียดการออกฤทธิ์ หากสารใหม่มีความสนใจหรือมีคุณสมบัติตรงตามต้องการ จะนำไปสู่การพัฒนาเป็นยาในลำดับต่อไป โดยบริษัทโนวาร์ตีสจะทำสัญญายืมเชื้อจากคลังจุลินทรีย์ไบโอเทคเพื่อทำศึกษาวิจัย หากพบว่าเชื้อที่ยืมนั้นแสดงผลต่อต้านโรคและสามารถพัฒนาเป็นยา จะต้องทำข้อตกลงในเรื่องผลประโยชน์ร่วมกันอีกครั้ง แม้ว่าประเทศไทยจะมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง มีการศึกษาค้นพบสารธรรมชาติในจุลินทรีย์มาพอสมควร มีห้องปฏิบัติการสำหรับตรวจคัดกรองสารว่ามีฤทธิ์ต้านโรคสำคัญๆ อย่าง มาลาเรีย วัณโรค แต่การวิจัยค้นหายายังมีข้อจำกัด และการศึกษาสารออกฤทธิ์ในจุลินทรีย์เป็นเพียงต้นน้ำเท่านั้น ยังมีอีกหลายขั้นตอน อาทิ การทดสอบทางพิษวิทยา การทดสอบทางคลินิกในมนุษย์ ซึ่งต้องใช้เงินทุนร่วม 4 หมื่นล้านบาท ใช้ระยะเวลา 10 - 15 ปีสำหรับการพัฒนายาหนึ่งตัว สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ นักวิจัยไทยจะได้มีโอกาสเรียนรู้เทคโนโลยีของบริษัทยาชั้นนำระดับโลก รวมถึงส่งนักวิทยาศาสตร์ไปร่วมทำวิจัยและรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากห้องปฏิบัติการของโนวาร์ตีสที่สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งยังได้สนับสนุนทุนวิจัยค้นหายาใหม่ให้ไทยอีกด้วย พร้อมกันนี้โนวาร์ตีสจะให้คำแนะนำหากว่านักวิจัยไทยสามารถค้นพบสารสำคัญว่า จะนำไปพัฒนาเป็นยาต่อไปอย่างไร และคุ้มกับการลงทุนหรือไม่ ฉะนั้น ภายใต้ข้อตกลงจะช่วยไทยได้เรียนรู้เทคนิคการค้นหาเชื้อใหม่ๆ การสกัดและตรวจสอบว่าออกฤทธิ์ต่อโรคใดด้วยกระบวนวิธีต่างๆ จากข้อตกลงความร่วมมือ โนวาร์ตีสจะให้ทุนวิจัย ถ่ายทอดเทคโนโลยีรวมถึงคัดเลือกการเก็บเชื้อจุลินทรีย์ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ เพื่อช่วยให้ไทยก้าวสู่ศูนย์ความเป็นเลิศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่าทั่วโลกมีสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ ที่ถูกค้นพบและบันทึกไว้แล้ว 1.75 ล้านชนิด คาดว่ายังมีสิ่งมีชีวิตอีก 12 ล้านชนิดที่รอการค้นพบ ขณะที่จุลินทรีย์ซึ่งถือเป็นสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งคาดว่าทั่วโลกจะมีประมาณ 1.5 ล้านชนิด ในจำนวนนี้น่าจะมีในไทย 1 - 1.5 แสนชนิด โดยได้รับการค้นพบแล้วเพียง 1% เท่านั้น (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 1 เมษายน 2548 http://www.bangkokbiznews.com)
รถอัจฉริยะปลอดโชเฟอร์ เอไอทีขอเวลา 3 ปีก่อนอวดโฉม
สมาคมวิชาการหุ่นยนต์นำทีมนักวิจัย 11 สถาบัน พัฒนารถอัจฉริยะไร้คนควบคุม หวังช่วยคนชราและผู้พิการ สามารถโลดแล่นบนท้องถนน ได้อย่างปลอดภัย คาดภายใน 3 ปี สร้างรถต้นแบบแล้วเสร็จ ส่งทดสอบแบบโชเฟอร์ เส้นทางอนุสาวรีย์ชัยถึงอยุธยา รศ.ดร.มนูกิจ พานิชกุล นายกสมาคมวิชาการหุ่นยนต์ไทย และอาจารย์ภาควิชาเมคาโทรนิคส์ คณะเทคโนโลยีขั้นสูง สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที) เปิดเผยว่า เอไอทีและกลุ่มนักวิจัยด้านหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติจาก 11 สถาบันการศึกษาไทย ร่วมกันออกแบบและพัฒนารถอัจฉริยะ หรือรถที่มีความสามารถในการวางแผนการเคลื่อนที่ และขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเองโดยไร้คนบังคับ โดยรถอัจฉริยะจะมีความสามารถเก็บข้อมูลสภาวะของตัวเองทุกอย่าง อาทิ ตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบันโดยใช้สัญญาณจีพีเอส ร่วมกันแผนที่ข้อมูลลองติจูด - ละติจูด ข้อมูลรถคันอื่นที่ร่วมเส้นทาง ทั้งที่ขับสวนทางและขับทางเดียวกันตลอดจนข้อมูลสัญญาณจราจร ซึ่งทั้งหมดจะถูกจัดเก็บและนำมาประมวลผล เพื่อบังคับให้รถเคลื่อนที่ด้วยตัวเอง สำหรับผู้โดยสารมีหน้าที่เพียงป้อนพิกัดสถานที่ต้องการไปเท่านั้น จากนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรถอัจฉริยะ ที่จะเก็บข้อมูลคำสั่ง และแปลงไปเป็นข้อมูลละติจูด ลองติจูด เพื่อวางแผนว่าจะเคลื่อนที่จากจุดที่อยู่ไปยังจุดหมายได้อย่างไร นอกจากนี้ รถอัจฉริยะยังสามารถติดต่อสื่อสารทางไกลกับระบบศูนย์กลาง ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมทางไกล ทั้งนี้ ในอนาคตหากมีปริมาณรถอัจฉริยะเพิ่มจำนวนขึ้น จะสามารถสร้างเครือข่ายระบบการจราจรอัจฉริยะ (Intelligent transportation system : ITS) เพื่อลดอุบัติเหตุบนท้องถนน อีกทั้งยังจะเป็นประโยชน์ต่อผู้พิการตาบอด ตาบอดสี หรือผู้ไร้ความสามารถในการขับรถยนต์ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้พิการแขน หรือขาได้อีกด้วย โครงการนี้กำหนดระยะเวลา 3 ปี แบ่งเป็น 12 โครงการย่อย 5 งานหลัก ได้แก่ ระบบทางกล ไฟฟ้า ตรวจจับ ควบคุม และการเชื่อมต่อทางไกล ภายใต้งบประมาณเริ่มต้นประมาณ 26 ล้านบาท โดยหลังจากครบ 3 เดือนแล้ว คณะทำงานจะจัดประชุมโต๊ะกลม เพื่อแสวงหาภาคเอกชนร่วมสนับสนุนโครงการ นอกจากนี้ ยังคาดว่าองค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัย สามารถแยกส่วนนำไปพัฒนาต่อเชิงพาณิชย์ได้หลายรายการ อาทิ ระบบไดร์ฟบายไวร์ (drive by wire) ที่ผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกให้ความสนใจ ระบบรองรับการสั่นสะเทือนพิเศษ ระบบเครือข่ายติดต่อฐานข้อมูลอัตโนมัติ ทำให้ศูนย์ติดตามการทำงานของรถแต่ละคันได้ ระบบกำเนิดพลังงานไฟฟ้า ระบบนำทางที่สร้างแผนที่อัตโนมัติจากจีพีเอส และระบบสื่อสารระหว่างรถด้วยกัน เป็นต้น (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 1 เมษายน 2548 http://www.bangkokbiznews.com)
เครื่องป้อนอาหารอัตโนมัติ ช่วยผู้ป่วยกินข้าวได้เอง
นายภิรมย์ ค้าสบาย นักศึกษาวิทยาลัยการอาชีพพิมาย จ.นครราชสีมา เจ้าของผลงานเครื่องป้อนอาหารอัตโนมัติ เปิดเผยว่า กลุ่มเพื่อนและเขาต้องการสร้างเครื่องอำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการทางแขน ผู้ป่วยเป็นโรคอัมพฤกษ์ รวมถึงคนชราที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองในขณะรับประทานอาหาร ซึ่งเป็นภาระของผู้ดูแลที่ต้องคอยตักอาหารป้อนผู้ป่วย สำหรับอุปกรณ์ที่คิดค้นขึ้นนี้ อาศัยหลักการหมุนของเกลียวนอกและเกลียวใน เพื่อบังคับการทำงานของ "แขนตักอาหาร" ให้ขยับขึ้น-ลง สามารถควบคุมการขึ้นลงได้จากระบบควบคุมอัตโนมัติ และระบบควบคุมด้วยมือหรือเท้า ที่ผู้ป่วยสามารถควบคุมได้ด้วยตัวเอง เครื่องนี้จะช่วยให้พวกเขาสามารถช่วยเหลือตัวเองในขณะรับประทานอาหารได้ในระดับหนึ่ง อีกทั้งแขนตักอาหารสามารถเปลี่ยนวัสดุที่ใช้ในการตักให้เหมาะสม เช่น จากช้อนตักข้าวอาจเปลี่ยนเป็นส้อมจิ้มผลไม้ รวมทั้งสามารถคนอาหารในถ้วยได้ โดยความเร็วในการตักอาหารอยู่ที่ 1 คำต่อนาที และสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม โดยเครื่องดังกล่าวผลิตจากวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น อาทิ เหล็กสี่เหลี่ยมชุบโครเมียมกันสนิม ทำให้เครื่องมีราคาย่อมเยา เพียง 4,000 บาท และนำไปทดลองใช้กับ 4 โรงพยาบาลใน จ.นครราชสีมา และโรงพยาบาลใกล้เคียง ซึ่งได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี ทั้งยังไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับผู้ใช้ด้วย ทั้งนี้ ทีมงานได้พัฒนาเครื่องป้อนอาหารอัตโนมัติมาเป็นรุ่นที่สองแล้ว จากรุ่นแรกที่ไม่ค่อยแข็งแรงและแขนตักอาหารสั่น จึงปรับปรุงให้เครื่องนิ่งกว่าเดิม และได้ผ่านการจดอนุสิทธิบัตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 1 เม.ย. 48 http://www.komchadluek.net)
ชุดชาร์จแบตฯพลังแสงอาทิตย์
นายศักดิ์ระวี ระวีกุล อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น เปิดเผยถึงผลงานเครื่องชาร์จแบตเตอรี่จากแผงโซลาร์เซลล์ของนักศึกษาสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าชั้นปีที่ 4 ว่า สามารถใช้งานชาร์จแบตเตอรี่มือถือหรือชาร์จโคมไฟแบตเตอรี่ได้แทนกระแสไฟฟ้า จึงมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับพื้นที่ห่างไกลที่บริการไฟฟ้าเข้าไม่ถึง ผลงานการประดิษฐ์คิดค้นนี้ได้รับงบประมาณจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล 40,000 บาท ใช้ระยะเวลาศึกษาและออกแบบ 6 เดือน โดยอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตประกอบด้วย 3 อย่างคือ แผงโซลาร์เซลล์ ชุดอุปกรณ์ควบคุมการชาร์จประจุ และอุปกรณ์ตรวจสอบระดับแรงดันของแบตเตอรี่ หลักการทำงานของเครื่องชาร์จแบตเตอรี่จากโซลาร์เซลล์คือ เมื่อติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในพื้นที่โล่งหรือกลางแจ้ง ซึ่งจะเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้า ส่งผ่านถึงวงจรควบคุมการอัดประจุ ซึ่งชุดควบคุมจะแบ่งเป็น 2 ชุดคือ ชุดควบคุมการอัดประจุของแบตเตอรี่โทรศัพท์เคลื่อนที่ และชุดที่ 2 เป็นชุดควบคุมการอัดประจุของแบตเตอรี่แบบเติมน้ำกลั่น (โคมไฟแบตเตอรี่) ซึ่งการชาร์จ แบตฯ โทรศัพท์มือถือจะสามารถชาร์จพร้อมกันได้ครั้งละ 4 เครื่องและโคมไฟแบตเตอรี่อีก 1 เครื่อง เครื่องชาร์จพลังงานแสงแดดมีประสิทธิภาพมากกว่าเครื่องชาร์จกระแสไฟฟ้า จากการทดลองพบว่า การชาร์จแบตฯ โทรศัพท์มือถือจากพลังแสงแดดจะใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงครึ่ง เมื่อเทียบกับการชาร์จแบตฯ จากไฟฟ้าจะใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง อีกทั้งประสิทธิภาพในการใช้งานยังนานกว่าการชาร์จแบบธรรมดา 10-20% สำหรับต้นทุนการผลิตทั้งหมดนั้นประมาณ 7,500 บาท ซึ่งยังมีราคาสูงอยู่ อีกทั้งขนาดเครื่องและประสิทธิภาพในการใช้งานนั้นยังไม่สูงสุด ซึ่งในต้นปีการศึกษา 2548 (ภาคการศึกษาใหม่ช่วงกลางเดือนมิถุนายน) จะพัฒนาต่อยอดโดยพัฒนาวงจรให้สามารถชาร์จไฟได้แรงและเร็วขึ้น ซึ่งอาจจะใช้เทคนิคทางวิศวกรรมเข้ามาช่วย โดยตั้งเป้าหมายว่าจะลดต้นทุนการผลิตให้ได้ร้อยละ 50 พร้อมทั้งลดขนาดอุปกรณ์ เพิ่มศักยภาพให้ครอบคลุมเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ และเน้นประโยชน์ใช้งานสำหรับเกษตรกรอย่างแท้จริง จากนั้นจะเสนอจดสิทธิบัตรในอนาคต (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 2 เม.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
ไอเดียสุดเจ๋งหนุ่มป.4สร้างจยย.ล้อเดียว
นายเพิ่งเกียรติ ราญรอน อายุ 41 ปี เจ้าของร้าน เพิ่มเซียงกง ขายรถจักรยานยนต์มือสอง และผลิตรถ จักรยานยนต์คนพิการ อยู่บ้านเลขที่ 174/3 ถนนบ้านบึงแกลง อ.แกลง จ.ระยอง ผู้สร้างรถจักรยานยนต์ล้อเดียว เปิดเผยว่า เรียนจบชั้น ป.4 โรงเรียนวัดเนินยาง เคยประดิษฐ์ สิ่งของจากวัสดุเหลือใช้ หรือวัสดุรีไซเคิล มาแล้ว 5 ชิ้น ชิ้นแรกเป็นรถจักรยานยนต์ยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ชื่อ ประเทศไทย 1 ชิ้นที่ 2 ชื่อประเทศไทย 2 เป็นรถสามล้อประหลาด สร้างจากอุปกรณ์เหลือใช้ในครัวเรือน จนได้ ใบประกาศเกียรติคุณจากพิพิธภัณฑ์ริบลี่ย์ ชิ้นที่ 3 ชื่อประเทศไทย 3 เป็นหุ่นยักษ์เฝ้าบ้าน ชิ้นที่ 4 เป็นโต๊ะบัญชีเคลื่อนที่ บังคับด้วยขา ชื่อประเทศไทย 4 ชิ้นที่ 5 เป็นบูธขายกาแฟ สร้างเป็นรูปรองเท้า ส่วนรถจักรยานยนต์ ล้อเดียวเป็นสิ่งประดิษฐ์ชิ้นที่ 6 ชื่อ "ประเทศไทย 6" นักประดิษฐ์วุฒิ ป.4 จึงคิดสร้างรถจักรยานยนต์ล้อเดียวขึ้น โดยขอสนับสนุนรถจักรยานยนต์จากผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ไทเกอร์แล้ว ใช้รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อไทเกอร์ ขนาด 120 ซีซี เป็นตัวขับเคลื่อน โดยถอดล้อหน้าออกแล้วใส่ล้อประตูบานเลื่อนเข้าไปแทน วางอยู่ บนล้อเหล็กที่สร้างโดยใช้เหล็กแป๊บขนาด 1 นิ้ว ดัดเป็นวงกลมขนาด 2.30 เมตร เชื่อมต่อกับเหล็กแป๊บดัดเป็นวงกลมขนาดเล็กลงมา เชื่อมต่อติดกันเป็นล้อรถ โดยมียางนอกของรถสามล้อยึดกับโครงเหล็กตัวนอก เพื่อช่วยให้เกาะถนนและ ลดเสียงดังเวลาขับเคลื่อน และมีโครงเหล็กดัดเป็นรูปครึ่งวงกลมยึดติดกับตัวรถจักรยานยนต์กับ โครงล้อเหล็กวงในเพื่อล็อกตัวรถติดกับวงล้อเหล็ก ใช้เหล็กแป๊บดัดเป็นวงกลมใช้แทนล้อ โดยอาศัยลูกล้อที่ติดแทนล้อรถตั้งอยู่บนโครงเหล็กวงในขับเคลื่อนรถ ใช้เวลาสร้างนาน 2 เดือนจึงแล้วเสร็จ สามารถขับเคลื่อนด้วยความเร็ว 70-80 กม. ต่อชั่วโมงอย่างสบายๆ ส่วนการเลี้ยวต้องอาศัยการโยกตัว ถ่ายน้ำหนักบังคับเลี้ยว จากนั้นนายเพิ่งเกียรติได้ขี่วนรอบบริเวณงานเพื่อยืนยันว่า รถจักรยานยนต์ล้อเดียวสามารถขี่ได้จริง (ไทยรัฐ วันอาทิตย์ที่ 3 เม.ย. 2548 http://www.thairath.co.th)
ข่าวทั่วไป
ขรก.ชมพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ฟรี
นายสมหมาย โค้วคชาภรณ์ รักษาการผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ เปิดเผยว่าด้วยในวันที่ 1 เมษายนของทุกปีเป็นวันข้าราชการพลเรือน เพื่อเป็นการให้ความสำคัญกับวันดังกล่าว องค์การฯ จึงจะยกเลิกค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาแก่ผู้แสดงบัตรข้าราชการและบัตรพนักงานรัฐวิสาหกิจ ระหว่างวันที่ 30 มีนาคม-3 เมษายนนี้ ข้าราชการ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจที่สนใจเที่ยวชมแหล่งเรียนรู้ทั้งสองได้ที่ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ เทคโนธานี คลองห้า ปทุมธานี หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ 0 2577 9999 ต่อ 1829,1830 (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 28 มี.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
วธ.จับมืออาเซียนคุมเข้มค้าโบราณวัตถุ ล้อมคอกแก้กฎหมายเพิ่มอำนาจท้องถิ่น
คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยหลังการประชุมผู้เชี่ยวชาญด้านอนุรักษ์ศิลปะโบราณวัตถุ และมรดกทางวัฒนธรรมของกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 1 ว่า ที่ประชุมกลุ่มประเทศอาเซียนรวมทั้งญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และสถานการณ์ในการอนุรักษ์มรดก ทางวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ ส่วนใหญ่พบว่าโบราณวัตถุมีการลักลอบซื้อขายทำเป็นขบวนการ เป็นธุรกิจระดับชาติที่เชื่อมโยงไปถึงกลุ่มผู้มีอิทธิพล ดังนั้น จึงตกลงที่จะร่วมมือกันเป็นเครือข่ายเฝ้าระวังดูแลโบราณวัตถุ โดยขั้นแรกจะมีการแลกเปลี่ยนนักวิชาการ เพื่อมาร่วมวางแผนปฏิบัติการในด้านต่างๆ สำหรับประเทศไทยขณะนี้ วธ.ได้ดำเนินการแก้กฎหมายโบราณสถาน โบราณวัตถุและการอนุรักษ์ให้มีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น จากเดิมที่ให้กรมศิลปากร ดูแลเป็นหน่วยงานหลัก ก็จะให้องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นทั้ง อบจ. อบต.เข้ามามีส่วนร่วมในการรักษาสมบัติของชาติ โดยจะมีกฎหมายออกมารองรับการทำงาน ต่อไปใครจะมาลักลอบนำโบราณวัตถุออกจากพื้นที่คงจะยากขึ้น เพราะท้องถิ่นจะต้องมีการตั้งคณะทำงานขึ้นดูแลสมบัติของตนเอง นอกจากนั้น จะมีการเพิ่มเติมกฎระเบียบต่างๆที่เกี่ยวข้องเพื่อให้รองรับกับกฎหมาย โดยเฉพาะบทลงโทษจะต้องรุนแรงมากขึ้น โดยจะร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อดำเนินการกับผู้ไม่หวังดีให้เข้มข้นยิ่งขึ้น รวมทั้งจะมีโครงการรณรงค์เชิญชวนผู้ที่ทราบเบาะแสของโบราณ วัตถุล้ำค่าว่าอยู่แหล่งใด ให้แจ้งมาที่ วธ.โดยจะไม่เปิดเผยชื่อผู้แจ้ง สำหรับผู้ที่มีโบราณวัตถุอยู่ในครอบครอง หากต้องการส่งคืน ก็สามารถแจ้งเข้ามาได้เช่นกัน ตนเชื่อว่าคนใจบุญจะมาคืนเยอะ (ไทยรัฐ พุธที่ 30 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)
แนะวิธีรักษาไมเกรนโดยไม่ใช้ยา ใช้น้ำมันสะระแหน่แต่ห้ามกินไวน์
นายภักดี โพธิศิริ เลขาธิการคณะกรรมการ อาหารและยา (อย.) กล่าวถึงอาการไมเกรนที่พบผู้ป่วยเป็นกันมาก ว่า ไมเกรน คือ โรคปวดศีรษะที่เกิด จากการหดและขยายตัวอย่างผิดปกติของเส้นเลือดแดงบริเวณศีรษะ หรับสาเหตุและกลไกการเกิดอาการของไมเกรนยังไม่เป็นที่เข้าใจกันดีนัก จึงยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ มีเพียงแค่ยาบรรเทา หรือป้องกันอาการปวดได้ โดยอาจรับประทานยากลุ่มบรรเทาปวด เช่น ยาพาราเซตามอล ฯลฯ ยังมีวิธีการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกัน ลด และบรรเทาอาการปวด โดยไม่ต้องพึ่งยาด้วยวิธีง่ายๆ ดังนี้ ประการแรก ต้องพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ ไม่นอนดึกจนเกินไป เพราะหากพักผ่อนน้อย นอกจากจะกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรนแล้ว ยังจะไปกระตุ้นให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้ออีกด้วย ประการที่สอง ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดินเร็ว การเต้นแอโรบิก หรือการว่ายน้ำ เป็นต้น โดยทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 30 นาทีติดต่อกัน ประการที่สาม ต้องมีการควบคุม หรือวิธีการขจัดความเครียด โดยการหาเวลานั่งพัก หลับตา หยุดคิดเรื่องราวต่างๆ และผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หรือการทำสมาธิ ฝึกกำหนดลมหายใจเข้า-ออก อย่างมีสติ ประการที่สี่ ควรระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน ต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ อย่าอดอาหาร และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นไมเกรน จำพวกแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะไวน์แดง รวมทั้งหลีกเลี่ยงผงชูรส เนย นม ช็อกโกแลต กล้วยหอม ผลไม้ประเภทส้ม กาแฟ และชา ประการที่ห้า หลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดไมเกรนได้ เช่น สถานที่ที่มีแดดจัด อากาศร้อน เสียงดัง ไฟกะพริบ หรือหลีกเลี่ยงกลิ่นที่รุนแรง เช่น กลิ่นน้ำหอม และกลิ่นบุหรี่ เป็นต้น ประการที่หก งดการสูบบุหรี่ และประการสุด ท้าย หากเกิดอาการปวด ควรลดหรือบรรเทาอาการปวดไมเกรน โดยรีบใช้ น้ำแข็งประคบ โดยนำผ้าขนหนูห่อก้อนน้ำแข็งไว้ แล้วนำมาลูบช้าๆ บริเวณที่ปวด ก็จะทำให้ รู้สึกดีขึ้นได้ หรือจะใช้ น้ำมันสะระแหน่นวดบริเวณที่ปวด (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 31 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)
ห้ามนักท่องเที่ยวไปแองโกลา เชื้อไวรัสมรณะอาละวาดหนัก
เจ้าหน้าที่แองโกลา กล่าวว่า หญิงสาววัย 19 ปี เสียชีวิตอีกรายจากเชื้อไวรัสมาร์เบิร์ก คล้ายไวรัสอีโบลาที่กำลังระบาดหนักในแองโกลา ขณะยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 121 ราย นับตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ส่วนยอดผู้ป่วยใหม่เพิ่มอีก 5 ราย ซึ่งรวมถึงชาวโปรตุเกสด้วย ทำให้ผู้ป่วยที่นอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลมีจำนวน 132 ราย ด้านสมาคมแพทย์ในแอฟริกาประกาศเตือนนักท่องเที่ยวห้ามไปแองโกลายกเว้นในกรณีจำเป็น และขอให้ทุกคนรวมถึงชาวต่างชาติ อพยพครอบครัวออกจากแองโกลา ซึ่งเชื้อไวรัสมรณะกำลังระบาดหนักในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดย 3 ใน 4 ของผู้เสียชีวิตเป็นเด็กอายุ ต่ำกว่า 5 ขวบ และมีผู้ใหญ่เสียชีวิตมากขึ้นด้วย รวมถึงเจ้าหน้าที่แพทย์อย่างน้อย 6 นาย ที่ตกเป็นเหยื่อของไวรัสดังกล่าว. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 31 มี.ค. 48 http://www.thairath.co.th)
KMUTT
Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215
|
|
|