หัวข้อข่าวปีที่ 6 ฉบับที่ 15 ประจำวันที่ 2005-04-24

ข่าวการศึกษา

เพิ่มค่าเฉลี่ยการศึกษาคนไทย 9.5 ปี
มศว.ตะลุยสอนครูดูแววอัจริยะ
วิศวฯจุฬาฯปลื้มเด็กสนใจ สอนนานาชาติวิศวฯนาโน
สสวท.เปิดติวพิเศษให้ครูไอที
นักศึกษาไทยยุคฟาสต์ฟู้ด
สทศ.ยืนกรานสอบ "แอดมิชชั่น" หนเดียว ชี้รวบยอดวัดความรู้หลังจบหลักสูตร
ดัน CUAS แทน สทก.
กศน.ตั้งเป้าสอนคนไทยจบมัธยมต้น
มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงร่วมพัฒนาหลักสูตรเยาวชนผู้มัความสามารถพิเศษ
ส่งยุวชนเกษตรกรไทยฝึกงานญี่ปุ่น เรียนรู้เทคโนฯใหม่
"นครสวรรค์"ดัน เปิดปริญญาเอก
"อดิศัย" เตรียมทบทวนเงินอุดหนุนรายหัว ขานรับนายกฯ เลิกอุ้มคนรวย
ยาหอมชาวอุดมฯ ยันรัฐหนุน 100%
‘อดิศัย’ติงมหา’ลัยของบฯเว่อร์เกินรับได้
กองทัพอากาศสอนทำจรวด กระตุ้นเด็กใฝ่รู้เทคโนฯอวกาศ
จีนส่งครู 104 คนมาไทย พ.ค.นี้
ครม.อนุมัติงบ 877 ล. ครูเอกชนรับ 12 เดือน
ธกส.ทุ่มไม่อั้นเงินกู้เพื่อการศึกษา คิดดอกเบี้ยต่ำ “อนุบาล-ด็อกเตอร์”
ม.ศรีปทุมร่วมสภาอุตฯ เปิดป.โทปั้นซีอีโอยุคใหม่
เด็กไทยชิงฟิสิกส์ระดับเอเชีย ที่อินโดนีเซียปลายเดือนเม.ย.
ก.วัฒนธรรมจับมือ 2 สถาบัน เปิดพื้นที่การเรียนรู้ชานเมือง

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

สู่สถานีอวกาศนานาชาติ
นักวิทย์ญี่ปุ่นเล็งโลกอนาคต หุ่นยนต์รับใช้-เอดส์รักษาได้
เพนตากอนคิดค้นระบบสื่อสารไร้เสียง
กรณีศึกษา "ภาพถ่ายดาวเทียม" เครื่องมือจัดการปัญหารัฐบาล
ไอที : เครื่องมือบริหาร ร.พ.ยุคใหม่
รัฐงัดแผนประหยัดพลังงาน

ข่าววิจัย/พัฒนา

ยารักษาโรคมะเร็งทำจากผลไม้ มีสารเป็นตัวล้างพิษแก้อักเสบ
รถผลิตไบโอดีเซลแบบต่อเนื่อง จากห้องวิจัยสู่การปฏิบัติจริงคันแรกของไทย
‘นูโว’ หุ่นยนต์จิ๋วใช้เฝ้าบ้าน-เพื่อนคลายเหงา
กินขิงบรรเทาแพ้ท้องคลื่นไส้พบไม่มีผลต่อเด็กในครรภ์
เผยโฉมใบขับขี่อิเล็กทรอนิกส์ขับรถผิดกฎตัดเงินผ่านบัตรทันที ไม่ต้องไปโรงพัก
คิดยาเม็ดลดความอ้วนขึ้นสำเร็จ กินแล้วพุงยุบลงไขมันลดต่ำด้วย
ใช้แป้งกำจัดโครเมียมให้ตกตะกอน
ม.เกษตรคิดค้น เครื่องตรวจชื้น กันเมล็ดพืชขึ้นรา
ไทยผนึกสหรัฐเฟ้นสายพันธุ์กบสกัดทำยา ตีพิมพ์งานวิจัยในวารสารต่างชาติหลังพบ 21 สกุลเข้าข่าย
ม.ขอนแก่นโชว์ คีย์บอร์ดฝึกนิ้ว ช่วยคนพิการ
สมองไทยไม่ง้อฝรั่ง!! “เครื่องอุ่นเลือด” ม.อ.ถูกกว่าเป็นแสน
ก.วิทย์ถ่ายทอดวิธีทำเครื่องกรองน้ำ
กล้องจุลทรรศน์จิ๋วตรวจโรคด่วน
ฟีโบ้สร้างหุ่นยนต์สำรวจใต้น้ำ
ม.เชียงใหม่ทำผ้าไหมนาโนปลอดเคมี ใช้พลาสมาอาบเส้นใยเพิ่มคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่นเกาะ
นักวิทย์ไทยแนะใช้พริกชี้ฟ้า ทำสีย้อมกุ้งแห้งปลอดสาร
วิจัยทางพันธุกรรมรุดก้าวหน้าไกล อีก 10 ปีกำจัดมะเร็งหมดจากโลก
เทคโนโลยีสกัดน้ำมันจากยางเก่าคว้าแชมป์
นาฬิกาปลุกไฮเทคทำสดชื่น
วช.หนุนจุฬาฯ วิจัยวัสดุทันตกรรมราคาถูก
วิจัยพบกินไข่ไม่เพิ่มคอเลสเตอรอล แนะควรเลี่ยงของมัน
มช.โชว์ไหมไทยกันน้ำ เทคนิคเดียวกับการทำจอโทรทัศน์
กล้องจิ๋วตรวจโรคด่วน
ภูมิปัญญาไทยทำ ผ้าย้อมครามประยุกต์ เพิ่มเสน่ห์ให้สปา
วงการวิทยาศาสตร์การแพทย์ฮือ นาโนเทค"น้ำเอ็มเร็ต"บำบัดโรค
สร้างเครื่องอ่านความคิดทารก พ่อแม่มีความเข้าใจในตัวลูกน้อย
ประดิษฐ์ "หุ่นยนต์เมีย" ราคาแสน อ้างมีสมรรถภาพเหนือคนจริง
กรมวิทย์คิดค้นสารกรองสนิมในน้ำบาดาล
วิจัยพบกลุ่มยีนดัชนีแจ้งมะเร็งรู้ทันก่อนลุกลาม
วิจัยแบคทีเรียโปรไบโอติกเลี้ยงปลา เอกชนรับลูกแก้ปัญหาสารตกค้าง
รถเมล์ไฮเทคหมดยุคตีตั๋ว ใช้บัตรเติมเงินเหมือนรถไฟฟ้า
ยูเอ็นหนุนพัฒนาเจลกันเอดส์ ไม่ต้องใช้ถุงยางรอ 4 ปี พร้อมใช้
จิตรกรรมฝาผนัง หลักฐานสำคัญทางโบราณคดี
วช.คิดค้นชุดตรวจการันตีเนื้อสัตว์ปลอดสาร
ยกย่องบรอคโคลีกับพริกแดง มีฤทธิ์ชะลอมะเร็งได้อยู่หมัด
จุฬาฯวิจัยผสมเทียม สุนัข-แมวสำเร็จ
“เครื่องซอยหนังหมู” กุดไอเดียราชมงคล

ข่าวทั่วไป

ชี้เด็กทั่วโลกตายก่อน 5 ขวบปีละ 11 ล้านคน
ให้เลิกโทษประหารด้วยการฉีดยา หลายรายถูกฆ่าทั้งยังคงรู้สึกตัวดี
ต.สยามจับมือญี่ปุ่นตั้งรง.ผลิตยางรถ
ศธ.จัดพิมพ์ตำรา "สึนามิ"แจกนร.-ครู-ผู้บริหารทั่วประเทศ
5วิชาชีพขาดแคลนเฮรอบ2 เค้กใหม่"5พันล."
จีนรุก 'สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ' ดับฝันไทยเป็นศูนย์กลางลุ่มน้ำโขง
สศค.เสนอ ก.คลังเห็นชอบตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญ
เผยมอบ"ช่อการะเกดเกียรติยศ" "ขรรค์ชัย-สุจิตต์"ยึดแนวศรีบูรพา
"ดีเอชแอล"เปิดศูนย์ใหม่
ซีดีกล่อมเด็กพัฒนาสมองฉลาด "ห้ามฟังร็อค-ลูกทุ่ง"เรียนรู้ช้า
"ติ่มซัม" เป็นระเบิดเวลาลูกย่อย มีไขมันอิ่มตัวและโซเดียมสูง
'ชาวคาทอลิก'ปลื้มคาร์ดินัลเยอรมนีเป็นโป๊ปองค์ใหม่
จันทรเกษมปลื้มอาจารย์สร้างชื่อ รับรางวัลนักกวีนิพนธ์ดีเด่น
'สมิทธ' ลุยป่าตองตรวจหอสัญญาณเตือนภัยสินามิ
เครื่องหมายฮาลาล
กรมศิลป์แก้กฎหมายหวังล้างภาพไทยแหล่งค้าของเก่า
แก้ปัญหาบึ้มภาคใต้ – เสนอให้ขึ้นทะเบียนซิมการ์ดมือถือทั้งเก่าและใหม่ทั้งหมด
ญี่ปุ่นตั้งเงื่อนไขผุดรง.ไบโอดีเซล ขอเว้นสรรพสามิตก่อนลงทุนพันล.
ฮ่องกงเตือนครีมทาหน้าจีนมีสารปรอทปนเปื้อน
กีฬา ม.โลกปี 50 มีชิงชัย 15 ชนิด
ปฏิรูปราชการตัดโควต้าปลัด"ศธ." ก.วิทย์-ไอซีทีแจ๊กพ็อตถูกยุบรวม!
ผู้นำเอเชีย-แอฟริกาตั้งระบบเตือนภัยสึนามิ





ข่าวการศึกษา


เพิ่มค่าเฉลี่ยการศึกษาคนไทย 9.5 ปี

ดร.รุ่ง แก้วแดง รมช.ศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับผู้บริหารสำนักงานสภาการศึกษา (สกศ.) เพื่อจัดทำแผนการจัดการศึกษาชาติในอีก 4 ปีข้างหน้า เมื่อวันที่ 17 เม.ย. ว่า ที่ประชุมเห็นร่วมกันว่า ต้องเร่งพัฒนาการจัดการศึกษาให้กับกลุ่มผู้ใช้แรงงานเพิ่มขึ้น เพราะจากข้อมูลพบว่าปัจจุบันกลุ่มแรงงานจบชั้นมัธยมเพียงร้อยละ 34 เท่านั้น โดยตั้งเป้าไว้ว่าในอีก 4 ปีข้างหน้า จะเร่งจัดการศึกษาให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 50 ของกลุ่มผู้ใช้แรงงานทั้งหมดจบการศึกษาในระดับมัธยม ซึ่งถือเป็นการเพิ่มจำนวนผู้จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาแบบก้าวกระโดดค่อนข้างมาก ดังนั้น จึงต้องมีกลุ่มผู้รับผิดชอบการจัดการศึกษาคนในกลุ่มนี้อย่างชัดเจน ขณะเดียวกันแม้จะเพิ่มปริมาณผู้เรียน แต่ต้องคำนึงถึงคุณภาพ ที่สำคัญผู้เรียนจะต้องสามารถนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้ด้วย ที่ประชุมยังเสนอให้เพิ่มจำนวนปีการศึกษาเฉลี่ยของประชาชน จากปกติคนไทยมีค่าเฉลี่ยการได้รับการศึกษาอยู่ที่ 8.1 ปี ซึ่งถือว่าไม่จบการศึกษาขั้นพื้นฐาน 9 ปี จึงตั้งเป้าว่าในอีก 4 ปีข้างหน้า จะเพิ่มค่าเฉลี่ยการได้รับการศึกษาของคนไทยให้อยู่ที่ระดับ 9.5 โดยในช่วง 1-3 ปีแรกจะเพิ่มปีการศึกษาปีละ 0.2 กว่า และปีที่ 4 จะเพิ่มค่าเฉลี่ยปีการศึกษาให้ได้ 0.5 ซึ่งเมื่อครบ 4 ปี เชื่อว่าน่าจะเพิ่มค่าเฉลี่ยปีการศึกษาได้ตามเป้า (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 18 เม.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





มศว.ตะลุยสอนครูดูแววอัจริยะ

ผศ.ดร.อุษณีย์ อนุรุทธ์วงศ์ รองประธานสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้ที่มีความสามารถพิเศษ แห่งชาติ ม.ศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาเด็กที่มีความสามารถพิเศษในด้านต่าง ๆ ตนเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อรัฐบาลสนใจในเรื่องนี้และมีคนเข้ามา ทำเรื่องนี้กันมากก็มีสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือการนำความรู้หรือทฤษฏีของต่างประเทศมาใช้ในการพัฒนาเด็กแบบยกทั้งดุ้นมาใช้ ซึ่งตนเห็นว่าเราไม่ควรให้ต่างชาติมาชี้นิ้วบอกให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะการพัฒนาเด็กที่มีความสามารถพิเศษในด้านต่าง ๆ นั้น เราต้องดูถึงสติปัญญา จิตใจ อารมณ์ สังคม วัฒน ธรรม วิธีคิด และปัจจัยที่เอื้อต่อการทำงานของแต่ละพื้นที่ที่แตกต่างกัน ซึ่งต่างชาติคงไม่มีวันเข้าใจบริบทต่าง ๆ ของเมืองไทยได้ทั้งหมด ตนเห็นว่าแต่ละคนที่ทำงานด้านเด็กควรนำองค์ความรู้ที่ เรียนจากต่างประเทศมาปรับใช้และเรียนรู้ประสบ การณ์ควบคู่ไปด้วย ซึ่งขณะนี้ถ้าจะประมาณจำนวนเด็กที่มีความสามารถพิเศษในประเทศไทยคาดว่า มีอยู่ประมาณ 10% ซึ่งหากพ่อแม่และครูไม่เข้า ใจ ก็จะทำให้จำนวนของเด็กกลุ่มนี้หดหายลงไป เรื่อย ๆ ดังนั้น มศว และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จึงจะจัดโครงการอบรมครูทั่วประเทศ ในวันที่ 29-30 เม.ย. และ 1 พ.ค. เพื่อช่วยให้ครูได้รู้จักวิธีคัดแยกเด็กที่มีความสามารถพิเศษ และรู้ว่าควรจะจัดการศึกษา ให้แก่เด็กเหล่านั้นอย่างไร โดยในเบื้องต้นจะจัดอบรมให้แก่ครูมัธยมในภาคอีสานและภาคเหนือ ประมาณ 500 คน จาก 30 โรงเรียน จากนั้นจะทยอยจัดอบรมให้ครบทุกภาครวมทั้งครูระดับประถมศึกษาด้วย เพราะเราต้องไม่ลืมว่าในทุกโรงเรียนจะมีเด็กที่มีความสามารถพิเศษแทรกตัว อยู่ได้ทั้งนั้น. (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 18 เม.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





วิศวฯจุฬาฯปลื้มเด็กสนใจ สอนนานาชาติวิศวฯนาโน

ศ.ดร.ดิเรก ลาวัณย์ศิริ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า หลังจากที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ได้เปิดตัวหลักสูตรนานาชาติ สาขาวิศวกรรมนาโน และ วิศวกรรมการออกแบบและผลิตยานยนต์ ปรากฏว่า มีผู้ที่สนใจหลักสูตรเหล่านี้ค่อนข้างมากโดยสังเกตได้จากนักเรียนที่เข้ามาดูเว็บไซต์ ที่มีจำนวนถึงกว่าสี่หมื่นคนแล้ว รวมทั้งนักเรียนที่มาขอใบสมัครอีกกว่าพันคน นอกจากนี้ยังมีนักเรียนโทรศัพท์มาสอบถามอีกไม่ต่ำกว่าหลักสูตรละ 200 คนแล้ว ซึ่งทางคณะรู้สึกพอใจกับผลการตอบรับในปีแรกที่มีผู้สนใจมากขนาดนี้ จึงถือว่าคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ สามารถทำได้ตามเป้าหมายแล้ว เนื่องจากเราต้องการผลิตวิศวกรเพื่อรองรับการเปิดเขตการค้าเสรีจึงต้องการให้นักเรียนต่างชาติเข้ามาเรียน ขณะเดียวกันก็อยากให้นักเรียนไทยที่ต้องการ ไปเรียนต่างประเทศหันกลับมาเข้าเรียนในประเทศไทยแทน เพราะหลักสูตรดังกล่าวจะจัดการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งขณะนี้ก็มีนักเรียนจากต่างชาติเข้ามาสมัครเรียนถึงประมาณร้อยละ 30 แล้ว สำหรับหลักเกณฑ์การคัดเลือกนิสิตจะพิจารณาจากคุณสมบัติ 3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1.คะแนนเฉลี่ยสะสมในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่จะต้องไม่ต่ำกว่า 2.75, 2.คะแนนสอบวัดความรู้ที่จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ซึ่งทางหลักสูตรวิศวกรรมนาโน จะพิจาณาคะแนนจาก 5 วิชา ส่วนวิศวกรรมการออกแบบและผลิตยานยนต์ จะพิจารณาจาก 4 วิชา โดยวิชาที่แตกต่างกัน คือ วิชาชีว วิทยา และ 3.การพิจารณาจากคะแนนทางด้านภาษาอังกฤษ ส่วนที่เป็นการแสดงความคิดเห็น ให้เขียนเรียงความ จะมีการสัมภาษณ์ เพื่อพิจารณาคัดเลือก ผู้ที่ได้คะแนนที่ดีที่สุดต่อไป อย่างไรก็ตามในอนาคตทางคณะจะมีการเปิดหลักสูตรนานาชาติเพิ่มอีก 3 หลักสูตร คือ วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ วิศวกรรมอุตสาหการ และอีกหลักสูตร คือ หลักสูตรวิศวกรรมอากาศยาน ซึ่งจะเป็นความร่วมมือกับกองทัพอากาศไทย โดยหลักสูตรใหม่นี้จะเปิดในปี 2549 ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่วิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (หลักสูตรนานาชาติ) หรือดูรายละเอียดได้ที่ http://ise.eng.chula.ac.th” ศ.ดร.ดิเรก กล่าว. (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 18 เม.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





สสวท.เปิดติวพิเศษให้ครูไอที

นายพิศาล สร้อยธุหร่ำ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เปิดเผยว่า สสวท. ได้จัดทำหลักสูตร และชุดเอกสารสำหรับครูผู้สอนวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศโดยวิธีศึกษาด้วยตนเอง เพื่อให้ครูเพิ่มพูนทักษะ และมีความมั่นใจในการสอน ชุดเอกสารดังกล่าวเน้นเนื้อหาหลัก 6 ด้านคือ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ คอมพิวเตอร์ ช่วยสร้างงาน เครื่องมือช่วยประเมินผลการเรียนอินเทอร์เน็ตและการสร้างเว็บเพจ ซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และหลักการแก้ปัญหา เครื่องมือในการแก้ปัญหา ครูผู้สอนวิชาไอทีลงทะเบียนเข้ารับการฝึกอบรมได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 ก.ค. 2548 ผ่านเว็บไซต์ http://oho.ipst.ac.th หรือที่สาขาคอมพิวเตอร์ สสวท. (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 18 เม.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





นักศึกษาไทยยุคฟาสต์ฟู้ด

.สิทธิชัย ฝรั่งทองจาก วิทยาลัยเซาธ์อีสท์บางกอก กล่าวว่ากระแสวัฒนธรรมต่างชาติ ที่หลั่งไหลเข้ามาในสังคมไทย ทำให้เด็กรุ่นใหม่ยุคนี้ โตขึ้นมาล้อมรอบด้วยสิ่งที่เป็นวัตถุนิยม และการซึมซับ จากสื่อทั้งในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นทางโทรทัศน์ หนังสือ นิตยสาร หรืออินเทอร์เน็ต จนกระแสวัฒนธรรมต่างชาติ ที่มีความแข็งแกร่งกว่า ปิดบังวัฒนธรรมอันดีของไทย รวมทั้งขาดการกลั่นกรองรับทำตามในสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมด และคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีงามทันสมัย จนพฤติกรรมของเด็กรุ่นใหม่ โดยเฉพาะนิสิตนักศึกษา ในระดับอุดมศึกษา มีการเปลี่ยนแปลงเบี่ยงเบน ไปจากคุณลักษณะ ที่พึงประสงค์ของสถาบันอุดมศึกษา อาจกล่าวได้ว่า ประเทศไทยกำลังขาดแคลนตัวแบบที่เป็นแบบอย่างที่ดี (Role Model) ที่จะหล่อหลอมให้นักศึกษาเกิดการเลียนแบบไปในทางที่ดี เพื่อการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เป็นบุคลากรของหน่วยงาน และประเทศชาติ (Good Citizen) ที่เต็มไปด้วยความรู้ความสามารถ มีศีลธรรมและจริยธรรม สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือว่า เราเน้นแต่จะปฏิรูปการศึกษา สร้างการเรียนรู้ และให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ภาพแห่งโอกาสของความสำเร็จดูจะเลือนรางมาก ถ้าตราบใดที่สถาบันการศึกษายังมีแนวคิดที่ว่า ลูกศิษย์ ก็คือ ลูกค้า ตราบนั้นก็จะได้นักศึกษาแบบฟาสต์ฟู้ดที่เพิ่มมากขึ้นทุก ๆ ปี และก็ไม่สามารถผลักดันผลผลิตของสถาบันให้เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีได้ เมื่อเข้าสู่ระบบตลาดแรงงานก็จะถูกคัดทิ้ง บางส่วนกลายเป็นผู้ว่างงานหรือต้องลดวุฒิการศึกษาในการสมัครเข้าทำงาน ประเด็นสุดท้ายก็คือ ยุทธศาสตร์ของชาติด้านการศึกษาจะเดินไปทางไหน? ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านมีการเคลื่อนไหวปรับตัวเปลี่ยนแปลงก้าวหน้าไปมาก ไม่ว่าจะเป็นประเทศจีนที่มีแนวคิดที่จะสร้างมหาวิทยาลัยที่เป็นเลิศให้ได้ 100 แห่ง เพื่อเตรียมบุคลากรให้มีความสามารถทางการแข่งขันและเป็นมหาอำนาจในอนาคต ส่วนสิงคโปร์ เวียดนาม ก็มุ่งเน้นสร้างสมองมนุษย์ที่มีคุณภาพไว้สร้างชาติ ถือเป็นวาระแห่งชาติเพื่อความอยู่รอดของประเทศ และเตรียมคนไว้ข้างหน้าในการแข่งขันกับอารยะประเทศได้ในอนาคต ซึ่งในศตวรรษที่ 21 จะเป็นคลื่นลูกที่ 4 ที่ทุกประเทศจะแข่งขันกันด้วยความรู้ที่มาจาก "คน" ในการสร้างขีดความสามารถแข่งขันภายใต้ภาวะการเปิดเสรีทางการค้า และรู้เท่าทันกลยุทธ์ของอารยประเทศที่จะเอาเปรียบ ชาติเรามีเด็กรุ่นใหม่ที่เป็นทรัพยากรบุคคลลักษณะดังกล่าว ไม่รู้ภาพการแข่งขันของประเทศจะเป็นอย่างไร? (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 16 เม.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





สทศ.ยืนกรานสอบ "แอดมิชชั่น" หนเดียว ชี้รวบยอดวัดความรู้หลังจบหลักสูตร

รศ.ประทีป จันทร์คง เลขานุการคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งสถาบันทดสอบ ทางการศึกษาแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการฯหารือแล้ว มีมติยืนยันที่จะให้มีการจัดสอบเพียงปีละ 1 ครั้ง ประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี เนื่องจากการสอบดังกล่าวเป็นการสอบรวบยอดความรู้ จึงควรสอบหลังจากที่เด็กเรียนจนครบทั้งหลักสูตร ซึ่งก็คือประมาณเดือน ก.พ.ของทุกปี ส่วนที่มีการข่าวว่าจะจัดสอบ 2 ครั้งต่อปีนั้น คงเป็นเพียงข่าวลือ สำหรับความคืบหน้าในการจัดตั้งสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาตินั้น ขณะนี้ร่างพระราชกฤษฎีกาผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว และอยู่ในระหว่างรอการประกาศในราชกิจจานุเบกษา คาดว่าจะประกาศใช้ได้ประมาณต้นเดือน พ.ค.นี้ ส่วนการเตรียมการจัดสร้างแบบทดสอบนั้น คณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งฯได้แต่งตั้งคณะกรรมการ จัดทำเครื่องมือและออกข้อสอบแล้วหลายคณะ ทั้งจัดทำแผนการดำเนินงานที่ชัดเจน ซึ่งยืนยันว่าจะสามารถออกข้อสอบได้ทันปีการศึกษา 2549 ทั้งนี้ หากคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งฯ มีรายละเอียดและความชัดเจนในการดำเนินการ ก็จะทำการประชาสัมพันธ์ให้นักเรียน ผู้ปกครอง และประชาชนได้รับทราบต่อไป (ไทยรัฐ อังคารที่ 19 เม.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





ดัน CUAS แทน สทก.

ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา มีแนวคิดจัดตั้ง Center University Amissions system หรือคิวแอส (CUAS) เพื่อทำหน้าที่ประสานข้อมูลการรับสมัครคัดเลือกให้กับมหาวิทยาลัยต่างๆ แทนสำนักทดสอบกลาง (สทก.) เพราะคิดว่างานดังกล่าวไม่น่าจะเป็นงานประจำของระบบราชการ และในแต่ละปีมีคนเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษามากเกือบ 6 แสนคน แต่เป็นการเปิดรับในหลายรูปแบบและมหาวิทยาลัยจะทำงานแบบต่างคนต่างทำ ดังนั้นหากทำร่วมกันในส่วนกลางน่าจะมีประสิทธิภาพและประหยัดทรัพยากรกว่า รูปแบบคิวแอสที่คิดไว้คือ 1.เป็นหน่วยงานในกำกับของ สกอ.ที่ไม่อยู่ในรูปของราชการ 2.เป็นหน่วยงานที่สร้างขึ้นใหม่ มีลักษณะเป็นองค์กรอิสระหรืออยู่ในรูปบริษัท และเมื่อมหาวิทยาลัยปรับเปลี่ยนสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับก็สามารถเป็นเจ้าของบริษัทดังกล่าวร่วมกัน และ 3.เป็นหน่วยงานที่แฝงอยู่ในสำนักทดสอบทางการศึกษา (สทศ.) คิวแอสทำหน้าที่แค่เป็นไปรษณีย์รับส่งข้อมูลเท่านั้น ส่วนการตัดสินใจคัดเลือกเด็กก็ยังเป็นหน้าที่ของสถาบันอุดมศึกษาแต่ละแห่ง นอกจากนี้ยังจะทำการพัฒนาระบบการคัดเลือกอย่างต่อเนื่อง เช่น ปรับการเปิดรับนักศึกษาเป็นปีละ 2 ครั้ง หรือเปิดรับล่วงหน้าให้มหาวิทยาลัยทยอยคัดเลือกเป็นรอบๆ ไม่จำเป็นต้องรอทำเป็นมหกรรมใหญ่ครั้งเดียว (คมชัดลึก อังคารที่ 19 เม.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





กศน.ตั้งเป้าสอนคนไทยจบมัธยมต้น

นายอุฤทธิ์ บุญมาก ผอ.สำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) เปิดเผยว่า ปีงบประมาณ 2549 กศน.เตรียมแผนงบประมาณให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล ในเรื่องของการพัฒนาคนและสังคมที่มีคุณภาพ โดยตั้งเป้าที่จะพัฒนาคนให้จบชั้น ม. ต้นให้ได้ 368,400 คน ทั้งเร่งพัฒนากลุ่มผู้ใช้แรงงานให้จบชั้น ม. ต้นให้ได้ 1,350,000 คน ตั้งเป้าหมายดำเนินการให้ได้ภายใน 4 ปี โดยกำหนดรูปแบบการจัดการศึกษาไว้ 4 รูปแบบ ได้แก่ 1. การจัดการศึกษารูปแบบสถาบันการศึกษาผู้ใหญ่ โดยจะต้องประสานความร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เพื่อขอจัดตั้งสถาบันการศึกษาผู้ใหญ่ในสถานศึกษาของ สพฐ. หรือ สอศ.ที่กระจายอยู่ในชุมชน หรือหมู่บ้านต่างๆ 2. การจัดการศึกษารูปแบบทางไกล 3. การจัดการศึกษาในรูปแบบโฮมสคูล และ 4. การจัดการศึกษารูปแบบจัดเหมาสอนเป็นรายบุคคล ซึ่งจะของบประมาณกลางจากรัฐบาลประมาณ 4,000 ล้านบาท (ไทยรัฐ พุธที่ 20 เม.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงร่วมพัฒนาหลักสูตรเยาวชนผู้มัความสามารถพิเศษ

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ร่วมกับ สถาบันพัฒนาเด็กและเยาวชนผู้มีความสามารถพิเศษ (Academy for Talented Youth-Thailand : ATY-T) จัดค่ายฤดูร้อนและวันหยุดปี 2548 เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ท้าทายและเหมาะสม ภายใต้การดูแลของศูนย์ส่งเสริมผู้มีความรู้ความสามารถพิเศษแห่งชาติ ในการจัดทำกิจกรรมเพื่อส่งเสริมและพัฒนาผู้มีความสามารถพิเศษในภาคฤดูร้อนและช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เป็นการนำเด็กและเยาวชนที่ค้นพบว่ามีความสามารถพิเศษในแต่ละด้านให้ได้เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อพัฒนาตนเอง ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนา โดย ผู้เชี่ยวชาญ ครูแนะแนว พี่เลี้ยงและผู้เกี่ยวข้อง รวมไปจนถึงอุปกรณ์การเรียนรู้และเทคโนโลยีที่ทันสมัยท้าทายความสามารถ ซึ่งมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงมีความพร้อมในทุกด้านสำหรับการพัฒนาความสามารถของเด็กและเยาวชน ในการดำเนินด้านต่าง ๆ ได้รับความร่วมมือจาก Center for Talented youth, Johns Hopkins University (CTY-JHU) ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นสถาบันที่มีความเชี่ยวชาญและมากประสบการณ์ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และพัฒนาเด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษมานานกว่า 25 ปี และในการจัดค่ายฤดูร้อนปี 2548 นี้ จะเป็นโครงการนำร่องที่มีนำหลักสูตรวิธีการการจัดกิจกรรม การประเมิน รวมทั้งระบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของ CTY-JHU มาใช้เพื่อศึกษาและพัฒนาโปรแกรมต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสมและเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการพัฒนาศักยภาพ ผู้มีความสามารถพิเศษของประเทศไทย ทั้งนี้การพัฒนาหลักสูตรดังกล่าวได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย เช่น ศูนย์ส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษแห่งชาติ ศูนย์บริการวิชาการมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง สำนักวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย สำหรับประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่ได้รับความร่วมมือจาก Johns Hopkins University ในกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก ค่ายฤดูร้อน จัดขึ้นเป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ ระหว่างวันที่ 18 เมษายน-6 พฤษภาคม 2548 ณ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย. (เดลินิวส์ พุธที่ 20 เม.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





ส่งยุวชนเกษตรกรไทยฝึกงานญี่ปุ่น เรียนรู้เทคโนฯใหม่

นายบรรพต หงส์ทอง ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวให้โอวาทแก่คณะเยาวชนเกษตรไทยที่เข้าร่วมโครงการฝึกงานผู้นำเยาวชนไทยในครอบครัวเกษตรกรญี่ปุ่น (JAEC)ว่าเยาวชนเกษตรกรไทยที่ผ่านการคัดเลือกเพื่อเข้าร่วมโครงการฯในครั้งนี้ จำนวน 19 คน ถือเป็นตัวแทนของประเทศไทย เพื่อเดินทางไปฝึกปฏิบัติงานเกษตรในฟาร์มเกษตรกรญี่ปุ่น รวมทั้งศึกษาการใช้เทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ การบริหารจัดการและระบบการรวมตัวเป็นองค์กรของเกษตรกรญี่ปุ่น เพื่อนำประสบการณ์และความชำนาญที่ได้มาปรับใช้และปรับปรุงพัฒนาการประกอบอาชีพการเกษตรของตนเองให้ดีขึ้น ซึ่งโครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลญี่ปุ่นและไทย ในการส่งเสริมและพัฒนาให้เยาวชนได้เกิดการเรียนรู้และฝึกปฏิบัติงานจริง สำหรับโครงการฯนี้ ประเทศไทยได้ดำเนินการจัดส่งยุวชนเกษตรกรไทยไปฝึกงานกับครอบครัวเกษตรกรญี่ปุ่นเป็นประจำ ตั้งแต่ปี 2526 จนถึงปัจจุบัน รวม 23 ปี มีผู้นำเยาวชนผ่านการฝึกงานแล้ว จำนวน 22 รุ่น รวม 370 คน การดำเนินงานในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กองการเกษตรต่างประเทศ สำนักปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมปศุสัตว์ ทำหน้าที่คัดเลือกยุวเกษตรกรที่มีคุณสมบัติเหมาะสม โดยมีศูนย์ส่งเสริมเยาวชนเกษตร จ.กาญจนบุรี ของกรมส่งเสริมการเกษตร เป็นหน่วยงานจัดการฝึกอบรมเตรียมความพร้อมให้แก่ยุวชนเกษตรกร ระยะเวลา 70 วัน ในด้านการเกษตรการใช้ภาษาญี่ปุ่น ลักษณะสังคมและวัฒนธรรมประเพณีของญี่ปุ่น และฝึกความอดทนแข็งแกร่งของร่างกาย และมีชมรมผู้ผ่านการฝึกงานเกษตรในญี่ปุ่นเป็นวิทยากรช่วยการสอนสำหรับการดำเนินงานโครงการในปี 2548 กำหนดส่งผู้นำเยาวชนเกษตรไปฝึกงานในครอบครัวเกษตรกรญี่ปุ่น แบ่งเป็นชาย 13 คน และหญิง 6 คน รวมระยะเวลาการฝึกงานในประเทศญี่ปุ่น 11 เดือน (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 20 เม.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





"นครสวรรค์"ดัน เปิดปริญญาเอก

ดร.จุฑาภรณ์ เจิมขุนทด ผอ.โครงการบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยฯ จัดตั้งโครงการบัณฑิตศึกษาและดำเนินการมากว่า 6 ปีแล้ว เปิดสอนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพครู(หลักสูตร1ปี) และประกาศนียบัตรบัณฑิตสาขาการบริหารการศึกษา, ปริญญาโทสาขาการบริหารการศึกษา หลักสูตรและการสอน ยุทธศาสตร์การพัฒนา และส่งเสริมสุขภาพ ในระดับปริญญาโท นักศึกษาต้องทำวิทยานิพนธ์ทุกคน ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อผู้เรียนที่มีความต้องการจะศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกหรือทำงานวิจัยในเรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ ในปีการศึกษาต่อไปจะขยายการเปิดสอนระดับปริญญาโทให้มีสาขาเพิ่มขึ้นอีก 4 สาขา คือ สาขาการจัดการเทคโนโลยี(วท.ม.) สาขาเทคโนโลยี(ค.ม.) สาขาบริหารธุรกิจ(บธ.ม.) และภาษาอังกฤษ(ศศ.ม.) ส่วนระดับปริญญาเอกนั้นจะเปิดสอนภายใต้โครงการผนึกกำลังโดยร่วมมือกันทางด้านบุคลากรและเอกสารตำรากับมหาวิทยาลัยราชภัฏและมหาวิทยาลัยอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ หลักสูตรที่มีนโยบายจะเปิดคือสาขาการบริหารการศึกษา สาขายุทธศาสตร์การพัฒนา และสาขาหลักสูตรและการสอน (ข่าวสด พุธที่ 20 เม.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





"อดิศัย" เตรียมทบทวนเงินอุดหนุนรายหัว ขานรับนายกฯ เลิกอุ้มคนรวย

นางพรนิภา ลิมปพยอม เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2549 ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า ที่ประชุมได้พิจารณากรอบการเสนอของบฯ โดยจะ แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ งบปกติ เช่น เงินเดือน เงินพัฒนา จะขอเพิ่มจากวงเงินงบประมาณเดิมได้ไม่เกินร้อยละ 25 ตามนโยบายที่นายอดิศัย โพธารามิก รมว. ศึกษาธิการให้ไว้ ซึ่งในปีงบฯ 48 สพฐ.ได้รับงบประมาณ 132,000 ล้านบาท และงบที่เป็นโครงการพิเศษตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งมี 4 โครงการคือ การสร้างและซ่อมแซมอาคารเรียนที่ทรุดโทรม จัดซื้อคอมพิวเตอร์ 25,000 เครื่อง และการติดตั้งเครือข่ายอินเตอร์เน็ต การสร้างโรงเรียนมัธยมศึกษาในกรุงเทพฯ อีก 30 แห่ง และการบรรจุข้าราชการครูเพิ่มเติมในส่วนที่ยังขาดแคลนอยู่กว่า 69,000 อัตรา ซึ่งจะใช้งบในวงเงินพิเศษที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายก-รัฐมนตรี บอกว่าจะจัดให้เพื่อการศึกษา 100,000 ล้านบาท โดยในปี 49 จะมีเงินส่วนนี้ 25,000 ล้านบาท ซึ่ง รมว.ศึกษาธิการมีเงื่อนไขว่าขอได้ไม่เกินร้อยละ 20 โดยจะทยอยของบฯ และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 4 ปี ส่วนเงินวิทยฐานะ ที่ข้าราชการครูจะได้รับตามบัญชีเงินเดือนฉบับใหม่ นั้น รมว.ศึกษาธิการ ได้ให้ตั้งงบในส่วนนี้ไว้ที่สำนักงาน คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ส.ค.ศ.) ซึ่งอาจจะทยอยเข้าสู่วิทยฐานะ โดย ก.ค.ศ.กำลังจัดทำเกณฑ์อยู่ สำหรับค่าใช้จ่ายรายหัวในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปีนั้น รมว.ศึกษาธิการให้ยึดตัวเลขค่าใช้จ่ายรายหัวในปี 2548 ไปก่อน แต่จะมีการหารือเรื่องนี้อีกครั้ง เพราะเห็นว่า การอุดหนุนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ทั้งคนรวยคนจนไม่ได้อะไรเท่าที่ควร รมว. ศึกษาธิการจึงมีแนวคิดที่จะให้โรงเรียนขึ้นทะเบียนเด็กยากจนและด้อยโอกาส เพื่อจะได้ให้ความช่วยเหลือเต็มที่ทั้งเสื้อผ้า อาหารกลางวัน และอุปกรณ์ การเรียน โดยจะมีการหารือในเร็วๆ (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 21 เม.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





ยาหอมชาวอุดมฯ ยันรัฐหนุน 100%

จากการประชุมเพื่อชี้แจงและหารือเชิงนโยบาย โดย นายอดิศัย โพธารามิก รมว.ศึกษาธิการ นายรุ่ง แก้วแดง รมช.ศธ. ร่วมกับอธิการบดีมหาวิทยาลัย ทุกประเภท เมื่อวันที่ 20 เม.ย. ที่ผ่านมา นายอดิศัยกล่าวว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุนการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยทุกเรื่อง แต่มหาวิทยาลัยต้องมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน การตั้งงบประมาณต้องเป็นไปตามสภาพความจริง ต้องอธิบายได้ ตนถึงจะสามารถเข้าไปชี้แจงสำนักงบประมาณได้อย่างมีเหตุผล และตนอยากให้มหาวิทยาลัยที่มีสถานภาพใกล้เคียงกันรวมกลุ่มกัน เพื่อจะได้ผลักดันได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวและจะให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เป็นเลขานุการ อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามหาวิทยาลัยจะมีมาก มีการแข่งขันกันถือเป็นเรื่องดี แต่ก็ต้องตอบคำถามของสังคมได้ว่า สาขาวิชาที่เปิดสอนมีคุณภาพเพียงใด มหาวิทยาลัยต้องปรับตัวเพื่อรองรับระบบการเงิน ที่ผูกติดกับรายได้ในอนาคตหรือ กรอ. นอกจากนี้ตนอยากให้มหาวิทยาลัย เปิดสอนหลักสูตรภาษาอังกฤษเต็มรูปแบบ เพื่อรองรับโลกที่เปลี่ยนแปลงซึ่งใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก และควรมีแนวทางให้ทุนกับนักศึกษาต่างชาติเข้ามาเรียนด้วย อยากให้มหาวิทยาลัยเข้าใจว่า รัฐบาลสนับสนุน 100% เพราะต้องการเห็นการศึกษาระดับบนเติบโต และควรเร่งสร้างระบบโอนหน่วยกิตในแต่ละมหาวิทยาลัย (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 21 เม.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





‘อดิศัย’ติงมหา’ลัยของบฯเว่อร์เกินรับได้

ดร.อดิศัย โพธารามิก รมว.ศึกษาธิการ กล่าวในการ ประชุมนโยบายให้แก่อธิการบดีมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 20 เม.ย. ว่า ขณะนี้สถานภาพของมหาวิทยาลัยไทยมีอยู่หลายระดับทั้งที่ดี และแย่ก็มี ดังนั้นเราต้องมาดูว่าในส่วนที่ดีจะทำอย่างไรให้ดียิ่งขึ้น และส่วนที่แย่จะต้องมาดูว่าต้องปรับปรุงอย่างไร ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้เราจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งในแต่ละเรื่องก็อาจจะมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ถ้าเรื่องไหนจะต้องเดินหน้าแน่ ๆ แล้วคนที่ไม่เห็นด้วยก็สามารถเสนอข้อคิดเห็นมาได้ ซึ่งตนก็พร้อมที่จะฟัง เช่น การออกนอกระบบ หรือเรื่องกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกติดกับรายได้ในอนาคต เป็นต้น สำหรับการของบประมาณปี 2549 ในส่วนของสถาบันอุดมศึกษานั้นเท่าที่ดูพบว่าขอมากันมากจนเว่อร์ที่จะรับได้ ตนจึงอยากให้แต่ละมหาวิทยาลัยไม่เสนอขอเกินความจำเป็นและไม่ต้องขอเผื่อไว้ให้ตัด หรือขอเอาไว้ตายดาบหน้า เพราะไม่มีที่ให้ตายดาบหน้าแน่นอน เพราะการพิจารณางบฯจะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุมีผล ต้องมีแผนการทำงานที่ชัดเจน และดูความต้องการของประเทศเป็นหลัก ส่วนเรื่องการขยายมหาวิทยาลัย ตนถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็มีคำถามว่าคุณภาพมีหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้จะต้องหาคำตอบให้ได้ ซึ่งที่ผ่านมาตนทราบว่ามีมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งเปิดหลักสูตรรัฐศาสตร์ทั้งที่ไม่มีความถนัด แต่ที่เปิดก็เพราะเห็นที่อื่นเปิด ซึ่งเป็นการคิดที่ไม่ถูกต้อง เพราะจริง ๆ แล้วแต่ละแห่งควรหาความเป็นเลิศของตัวเอง 2-3 ด้านก็พอแล้ว แต่ถ้าเปิดหลายอย่างทั้งที่ไม่ถนัดก็จะเป็นแค่รู้ทุกเรื่องแต่รู้ไม่จริง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมได้มีการหารือถึงเรื่องระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษาหรือแอดมิชชั่น ซึ่งมีหลายฝ่ายยังไม่เห็นด้วยที่จะนำระบบดังกล่าวมาใช้ โดยให้เหตุผลว่าระบบแอดมิช ชั่นยังไม่มีความชัดเจน และถ้าปล่อยไปก็จะเป็นอันตรายที่เด็กต้องวิ่งรอกสอบเหมือนที่ผ่านมา อีกทั้งยังไม่เคยมีอะไรมาพิสูจน์ว่าเอนทรานซ์ที่ทำอยู่ในปัจจุบันไม่ดีตรงไหน ระบบเอนทรานซ์เสียหายอย่างไร และระบบแอดมิชชั่นจะมีใครมารับผิดชอบ จึงสร้างความสับสนให้แก่เด็กและผู้ปกครองเป็นอย่างมาก. (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 21 เม.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





กองทัพอากาศสอนทำจรวด กระตุ้นเด็กใฝ่รู้เทคโนฯอวกาศ

พลอากาศตรีวิโรจน์ ระภาพันธ์ รองผู้บัญชาการศูนย์วิทยาศาสตร์และพัฒนาระบบอาวุธ กองทัพอากาศ เปิดเผยว่า ศูนย์วิทยาศาสตร์ฯ ซึ่งประกอบด้วยหน่วยงานวิจัยย่อยต่างๆ ที่ได้ดำเนินการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีจรวดและอวกาศตลอดเวลา จึงมีความพร้อมที่จะสนับสนุนกิจกรรมโครงการค่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอวกาศ ด้านการถ่ายทอดความรู้พื้นฐานของเทคโนโลยีจรวดให้เยาวชนนักวิทยาศาสตร์ อาทิ สำนักงานวิจัยพัฒนาอากาศยานสามารถให้ความรู้ด้านพลศาสตร์ การออกแบบ และกำหนดการใช้งานอากาศยาน สำนักงานวิจัยพัฒนานิวเคลียร์ สามารถดูแลเรื่องชีวเคมีและกิจกรรมด้านวิทยาศาสตร์ รวมถึงกองวิจัยและพัฒนาระบบไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ จะให้ความรู้พื้นฐานด้านการออกแบบ ชุดควบคุมจรวดและโปรแกรมคอมพิวเตอร์ควบคุมการทำงานของจรวด โดยการถ่ายทอดความรู้วิธีสร้างจรวดที่เกิดขึ้นภายในค่าย จะมุ่งสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับจุดศูนย์ถ่วง จุดที่อากาศผ่านของจรวด แรงโน้มถ่วง ความดันอากาศ ซึ่งความเข้าใจในหลักการทำงานดังกล่าว จะนำไปสู่พื้นฐานการสร้างจรวดที่อาศัยหลักการทำงานแบบเดียว นอกจากนี้ เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการจะได้เรียนรู้เรื่องราวเทคโนโลยีอวกาศผ่านกิจกรรมต่างๆ อาทิ การบรรยายพิเศษและพูดคุยกับนักวิทยาศาสตร์จากองค์การนาซา กิจกรรมการออกแบบ ลงมือสร้างจรวด และทดลองยิงจรวดขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยตัวเอง โดยเปิดรับสมัครนักเรียนระดับมัธยมทั่วประเทศ แต่จะต้องออกแบบจรวดส่งเข้าประกวดในหัวข้อ "จินตนาการของเด็กไทย" เพื่อคัดเลือกให้เหลือเพียง 45 คนเท่านั้น "ผู้สนใจส่งผลงานเข้าประกวดได้ตั้งแต่บัดนี้ - 31 พฤษภาคม โดยค่ายวิทยาศาสตร์ฯ กำหนดใช้สถานที่ภายในกองบิน 53 กองพลบินที่ 4 กองบัญชาการยุทธการทางอากาศ กองทัพอากาศ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน - 3 กรกฎาคม นี้ (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 21 เม.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





จีนส่งครู 104 คนมาไทย พ.ค.นี้

กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ตามที่ศธ.ได้มีโครงการแลกเปลี่ยนบุคลากรกับประเทศจีน โดยในปีนี้ประเทศจีนจะส่งครูชาวจีนจากมหาวิทยาลัยหนานไค เมืองเทียนสิน จำนวน 104 คน และวางแผนจะส่งครูมาไทยในเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อมาช่วยสอนภาษาจีนในโรงเรียนไทยเป็นเวลา 1 ปี โดยมีเงื่อนไขโรงเรียนไทยที่ศธ.ส่งครูชาวจีนไปช่วยสอนภาษาจีน จะต้องจ่ายเงินเดือน 8,000-12,000 ต่อเดือน พร้อมกับจัดที่พัก อาหารให้แก่ครูชาวจีนด้วย ขณะนี้ประเทศจีนอยู่ระหว่างคัดเลือกครูชาวจีนเพื่อส่งมาเมืองไทย เมื่อครูชาวจีนมาถึงไทยแล้ว ศธ.จะจัดสรรไปยังโรงเรียนเอกชนและโรงเรียนอาชีวศึกษาที่เปิดสอนภาษาจีน เพื่อให้ไปช่วยสอนภาษาจีน และการจัดตั้งสถาบันขงจื๊อ โดยความร่วมมือระหว่างไทยกับสำนักงานแห่งชาติเพื่อการสอนภาษาจีน ประเทศจีน เพื่อทำหน้าที่พัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอนและเปิดอบรมภาษาจีนให้แก่นักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไป แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปเรื่องที่ตั้ง เพราะไม่สามารถจัดตั้งขึ้นในศธ. เนื่องจากสถานที่คับแคบ ไม่สามารถรองรับคนจำนวนมาก โดยล่าสุดผู้บริหารสำนักงานแห่งชาติเพื่อการสอนภาษาจีนได้ไปหารือกับผู้บริหารมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อขอจัดตั้งสถาบันขงจื้อที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขนแล้ว เพราะมีพื้นที่กว้างขวาง ทำให้เปิดรับประชาชนเข้าไปเรียนภาษาจีนได้เป็นจำนวนมาก คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้ (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 21 เม.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ครม.อนุมัติงบ 877 ล. ครูเอกชนรับ 12 เดือน

นายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 19 เมษายน ได้อนุมัติงบประมาณ 877.2 ล้านบาท เพื่อจ่ายเป็นเงินเดือนตกเบิกให้กับครูโรงเรียนเอกชน ตั้งแต่เดือนเมษายน 2547-เมษายน 2548 รวม 12 เดือน ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อปีงบประมาณ 2547 ข้าราชการปรับเงินเดือนถึง 2 ครั้ง รวมแล้ว 13% ของยอดเงินเดือนเดิม แต่ครูโรงเรียนเอกชนไม่ได้ปรับเงินเดือน (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 21 เม.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ธกส.ทุ่มไม่อั้นเงินกู้เพื่อการศึกษา คิดดอกเบี้ยต่ำ “อนุบาล-ด็อกเตอร์”

นายธีรพงษ์ ตั้งธีระสุนันท์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส.เปิดให้บริการสินเชื่อเปิดเทอมและสินเชื่อพัฒนาความรู้ให้แก่ลูกค้าเกษตรกรหรือประชาชนทั่วไป รองรับการเปิดเทอมการศึกษาปี 2548 โดยตั้งวงเงินไว้ไม่จำกัด ขณะที่ปีก่อนให้สินเชื่อรับเปิดเทอมไปกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งปีนี้คาดว่าจะมียอดขอสินเชื่อเพิ่มขึ้น สินเชื่อเปิดเทอมจะเปิดให้กู้ยืมในทุกระดับ ตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก ตามค่าใช้จ่ายจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งจะคลอบคลุมทั้งในเรื่องของค่าบำรุงการศึกษา ค่าเล่าเรียน ค่าหน่วยกิต ค่าธรรมเนียม และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียน สำหรับสินเชื่อพัฒนาความรู้ของ ธ.ก.ส. นั้น นอกจากจะนำไปใช้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการศึกษาในระบบแล้ว ยังนำไปใช้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการอบรมหลักสูตรวิชาชีพต่างๆ ได้อีกด้วย เช่น ตัดเย็บเสื้อผ้า ช่างเสริมสวย หรือช่างซ่อมคอมพิวเตอร์ วงเงินกู้ไม่เกินอัตราที่สถานศึกษากำหนด และไม่เกินค่าใช้จ่ายจริง ทั้งนี้ สินเชื่อทั้งสองประเภท ทั้งลูกค้าเกษตรกรและประชาชนทั่วไป ในกรณีไม่มีเงินฝากเป็นหลักประกัน แต่มีผู้ค้ำประกันจะคิดอัตราดอกเบี้ย 5-7% แต่หากมีเงินฝากเป็นหลักประกัน ธ.ก.ส. จะคิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก บวก 2% เช่น ใช้เงินฝากประเภทออมทรัพย์เป็นหลักประกัน อัตราดอกเบี้ยจะเท่ากับ 0.75% บวก 2% หรือเท่ากับ 2.75% ต่อปีเท่านั้น ส่วนรูปแบบการกู้นั้น สามารถกู้แบบปีเดียว หรือกู้แบบหลายปี จนจบการศึกษาก็ได้ หากรายได้สุทธิต่ำมาก อาจจะขยายให้คืนเงินได้นานถึง 15 ปี (สยามรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 21 เม.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





ม.ศรีปทุมร่วมสภาอุตฯ เปิดป.โทปั้นซีอีโอยุคใหม่

ผศ.ดร.นิ่มนวล ศรีจาด รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยศรีปทุม เปิดเผยว่า ปีการศึกษา 2548 นี้ สภา ม.ศรีปทุมได้อนุมัติให้เปิดหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการจัดการทรัพยากรมนุษย์ เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรมนุษย์อย่างแท้จริง และผลิตนักบริหารยุคใหม่ สไตล์ซีอีโอตรงตามความต้องการของตลาดแรงงานไทย หลักสูตรนี้ร่วมกันสร้างกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จะทำให้ผลิตบัณฑิตได้ตรงตามความต้องการของตลาดอย่างแท้จริง จุดเด่นอีกอย่างคือหลักสูตรนี้ให้วุฒิการศึกษาเป็นวิทยาศาสตร์บัณฑิต เพราะต้องการให้ผู้สำเร็จการศึกษา มีระบบและระเบียบวิธีคิดในการจัดการการบริหารงาน อยู่บนพื้นฐานแบบวิทยาศาสตร์ ให้ความสำคัญกับภาคปฏิบัติ มีกิจกรรมเสริมหลักสูตร ทั้งอบรม สัมมนา ดูงานทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจภาพรวมของการทำธุรกิจได้ครบวงจร (คมชัดลึก เสาร์ที่ 23 เม.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





เด็กไทยชิงฟิสิกส์ระดับเอเชีย ที่อินโดนีเซียปลายเดือนเม.ย.

นายพิศาล สร้อยธุหร่ำ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เปิดเผยว่า สสวท.และคณะอำนวยการจัดส่งผู้แทนประเทศไทยไปแข่งคณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศประจำปี 2548 ได้จัดส่งผู้แทนประเทศไทยจำนวน 8 คน ไปแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกระดับทวีปเอเชีย ครั้งที่ 6 ที่เมืองเพกานบารู-รีล ประเทศอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 24 เมษายน-2 พฤษภาคม 2548 ผู้แทนไทยประกอบด้วย นายปรีติ โอวาทชัยพงศ์ จาก ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา นายเพชระ ภัทรกิจวานิช ร.ร.มหิดลวิทยานุสรณ์ นายภัคพงศ์ จิระรัตนานท์ ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา นายรณชัย เจริญศรี ร.ร.สวนกุหลาบฯ นายวุฒิวัฒน์ งามพฤฒิกร ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา นายสีหพล อุทิตสาร ร.ร.เตรียมทหาร นายอภิวัฒน์ เกรียงวัฒนากุล ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา และนายเอก เลิศไตรรักษ์ ร.ร.วัดสุทธิวราราม ทั้งนี้การสอบจะแบ่งเป็นภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ ที่สำคัญเยาวชนจะได้แลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อนต่างชาติด้วย (คมชัดลึก เสาร์ที่ 23 เม.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ก.วัฒนธรรมจับมือ 2 สถาบัน เปิดพื้นที่การเรียนรู้ชานเมือง

คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงวัฒนธรรมได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เปิดพื้นที่ทางวัฒนธรรมให้เด็กและเยาวชนมีโอกาสเข้าถึงการเรียนรู้ทางศิลปะและวัฒนธรรมที่หลากหลาย อันจะทำให้การดำเนินงานทางวัฒนธรรมสามารถขับเคลื่อนและขยายความร่วมมือไปอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น โดยทางกระทรวงจะสนับสนุนการแสดง อาทิ โขน หุ่น ละครหลวง การแสดงนิทานพื้นบ้าน นาฏศิลป์ การแสดงดนตรี การจัดกิจกรรมทางศิลปะ หรือนำการแสดงด้านวัฒนธรรมจากต่างประเทศไปจัดแสดง รวมถึงนิทรรศการเคลื่อนที่ ใช้พื้นที่ว่าง เพื่อเปิดลานศิลปะและลานธรรมะให้เด็กและเยาวชน รวมถึงชุมชนใกล้เคียงได้มาใช้ประโยชน์ร่วมกัน ส่วนอีกความร่วมมือหนึ่งที่คาดว่าจะเป็นไปได้ คือ การพัฒนาสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ประเภทเกมทางวัฒนธรรม อาทิ เกมรามเกียรติ์ เกมบางระจัน หรืออาจจะคิดค้นเกมที่ผูกเรื่องราวประวัติศาสตร์สมัยกรุงอยุธยา อย่างเช่น กรุสมบัติวัดราชบูรณะ ซึ่งสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว โดยจะมีการเจาะกลุ่มเด็กและเยาวชนที่นิยมเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ให้เกิดความอยากรู้นำไปสู่การเข้าไปชมสถานที่ประวัติศาสตร์จริง ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเป็นการช่วยกล่อมเกลาจิตใจเด็กให้มีความอ่อนโยน และสนใจด้านวัฒนธรรมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ กิจกรรมต่างๆ ทางกระทรวงวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าพระนครเหนือ จะเร่งดำเนินการเพื่อให้เกิดผลทางปฏิบัติโดยเร็วที่สุด (สยามรัฐ เสาร์ที่ 23 เม.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


สู่สถานีอวกาศนานาชาติ

โฆษกสำนักงานอวกาศยุโรปแถลงว่า ยานอวกาศโซยูซของรัสเซียได้ทะยานออกจากฐานปล่อยในคาซัคสถานสู่สถานีอวกาศนานาชาติ (ไอเอสเอส) โดยโซยูซ ทีเอ็มเอ-6 ได้ทะยานสู่ท้องฟ้าพร้อมมนุษย์อวกาศรัสเซีย, สหรัฐ และอิตาลี อย่างไรก็ตาม ยานอวกาศประสบความสำเร็จในการเข้าสู่วงโคจรในอีก 9 นาทีต่อมา และมีกำหนดเชื่อมต่อกับสถานีอวกาศนานาชาติในช่วงเช้าของวันอาทิตย์ และจะเชื่อมไอเอสเอสเป็นเวลานานถึง 6 เดือนในฐานเรือช่วยชีวิตฉุกเฉิน. (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 18 เม.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





นักวิทย์ญี่ปุ่นเล็งโลกอนาคต หุ่นยนต์รับใช้-เอดส์รักษาได้

กระทรวงวิทยาศาสตร์และการศึกษาของญี่ปุ่น สำรวจความเห็นของนักวิจัยและนักวิชาการ 2,700 คน โดยให้นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้คาดการณ์ความสำเร็จทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในอนาคต ผลจากการสำรวจดังกล่าวจะนำไปใช้เป็นแนวทาง ในการวางแผนด้านทุนวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของประเทศ นักวิชาการเชื่อว่าใน 15 ปีข้างหน้านี้ แพทย์จะมีวิธีรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ได้ ทั้งนี้ เชื้อเอดส์เป็นไวรัสชนิดหนึ่งที่มุ่งโจมตีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และปัจจุบันนักวิจัยยังไม่สามารถพัฒนาวัคซีนมาสยบเอดส์ได้ พวกเขาเชื่อด้วยว่า หุ่นยนต์จะมาช่วยทำงานบ้าน อย่างเช่น ล้างจาน ซักผ้ารีดผ้า และจะมีรถไฟแม่เหล็กไฟฟ้าที่วิ่งด้วยความเร็ว 500 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อใช้เดินทางระหว่างเมือง จีนจะมีรถไฟฟ้าระบบสนามแม่เหล็กความเร็วสูงวิ่งระหว่างท่าอากาศยานเซี่ยงไฮ้ และย่านการเงิน ขณะที่ญี่ปุ่นก็มีเหมือนกัน แต่จะไม่ผ่านการรับรองให้ใช้เพื่อการพาณิชย์ เนื่องจากต้นทุนก่อสร้างสูง ส่วนการรักษาโรคอัลไซเมอร์อาจสามารถทำได้หลังจากนี้ไปอีกประมาณ 20 ปี และอาจมีเทคโนโลยีป้องกันมะเร็งจากการลามไปยังส่วนอื่นของร่างกาย ใน 30 ปีหรือนานกว่านั้น มนุษย์อาจสามารถไปอาศัยอยู่บนดวงจันทร์ เพื่อสร้างฐานที่นักบินอวกาศจะสามารถทำการทดลอง และใช้ประโยชน์จากแหล่งทรัพยากรของดวงจันทร์ เพื่อทดลองเรื่องเที่ยวบินอวกาศไปดาวอังคารได้ (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 18 เม.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





เพนตากอนคิดค้นระบบสื่อสารไร้เสียง

สำนักงานโครงการวิจัยก้าวหน้ากลาโหม สหรัฐ หรือดาร์ปา กำลังเดินหน้าวิจัยโครงการแอดวานซ์ สปีช เอ็นโค้ดดิ้ง ที่คาดว่าจะเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่จะออกมาแทนที่ไมโครโฟน ด้วยการใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับการทำงานของกล้ามเนื้อ และเซลล์ประสาทของผู้พูด โดยที่ไม่ต้องเปล่งเสียงออกมาให้ได้ยิน จากนั้นจะส่งสัญญาณทำให้ผู้ฟังสามารถได้ยินเสียงผู้พูดได้ทุกสถานการณ์ แม้จะมีเสียงรบกวนดังจนเกินจะได้ยินก็ตาม เทคโนโลยีดังกล่าวใช้เซ็นเซอร์ที่ต้องนำมาสวมคอไว้ หรือที่เรียกว่า ทีอีอาร์ซี (Tuned Electromagnetic Resonator Collar : TERC) ซึ่งเป็นเทคนิคเดียวกับที่ใช้ในเทคโนโลยีเอ็มอาร์ไอ หรือการสร้างภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ขณะเดียวกันห้องปฏิบัติการแอเมสของนาซา อยู่ระหว่างพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวให้กับดาร์ปาเช่นกัน แต่เลือกใช้เซ็นเซอร์อิเล็กโตรมายโอกราฟฟิก (Electromyographic) ซึ่งเป็นการนำขั้วไฟฟ้าไปติดไว้บริเวณลำคอ เพื่อตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของค่าความต้านทานขณะพูด โดยอาศัยการทำงานของระบบประสาทภายในตัวที่จะประมวลผลข้อมูล และกำหนดรูปแบบของคำต่างๆ ออกมาโดยที่ไม่จำเป็นต้องส่งเสียงพูด เมื่อเซ็นเซอร์ตรวจจับได้ ข้อมูลดังกล่าวจะถูกส่งไปยังตัวกำเนิดเสียงระบบคอมพิวเตอร์ ที่จะทำหน้าที่สร้างคำพูดนั้นออกมาอีกครั้ง เทคโนโลยีไร้เสียงนี้ น่าจะเหมาะกับกองทัพในการปฏิบัติภารกิจสอดแนม และพลขับทั้งหลายที่ต้องอยู่ในรถถัง และทำงานอยู่ใต้น้ำ หรือในสภาพแวดล้อมอื่นใดที่ไม่สามารถได้ยินเสียงฝ่ายตรงข้ามได้ชัดเจน สำหรับต้นแบบทีอีอาร์ซี และอิเล็กโตรมายโอกราฟฟิกคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2551 แต่ต้นทุนของทั้งสองระบบยังสูงมาก เนื่องจากคำแต่ละคำที่กลั่นออกมานั้น ใช้ระบบคอมพิวเตอร์เป็นตัวประมวลผล ขณะที่เสียงพูดที่ออกมาจะเป็นในลักษณะเสียงพูดที่เหมือนหุ่นยนต์ ไม่เป็นธรรมชาติ (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 19 เม.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





กรณีศึกษา "ภาพถ่ายดาวเทียม" เครื่องมือจัดการปัญหารัฐบาล

สำนักงานพัฒนาเทคโน โลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์กรมหาชน) หรือ สทอภ. เป็นหน่วยงานของรัฐบาลที่ให้บริการภาพถ่ายจากดาวเทียม เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ดาราศรี ดาวเรือง รักษาการผู้อำนวยการ สทอภ. กล่าวว่า ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมเป็นข้อมูลเชิงพื้นที่ที่มีความถูกต้องเชิงทิศทางและตำแหน่ง ให้ข้อมูลความเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว เพราะดาวเทียมมีการถ่ายภาพซ้ำที่เดิมเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง สะดวกต่อการติดตาม, สำรวจ และตรวจสอบพื้นที่ที่ต้องการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวางแผน, จัดการ, พัฒนา, ป้องกัน และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำให้ประหยัดงบประมาณของรัฐบาล และส่งผลให้การพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สทอภ.จึงได้ทำหน้าที่จัดหาภาพถ่ายจากดาว เทียม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยจัดการปัญหาเร่งด่วนของรัฐบาลได้แก่ การสำรวจสวนลำไย, การติดตามสภาวะภัยแห้งแล้ง และการติดตั้งหอกระจายข่าวในการเฝ้าระวังภัยทางธรรมชาติบริเวณชายฝั่งทะเลอันดามัน เป็นต้น (ประชาชาติธุรกิจ อังคารที่ 19 เม.ย. 48 http://www.matichon.co.th/prachachat)





ไอที : เครื่องมือบริหาร ร.พ.ยุคใหม่

เทคโนโลยีสารสน เทศ เป็นเครื่องมือที่ใช้อยู่ตามโรงพยาบาล (รพ.) ที่ทำแบบ บูรณาการ ทั้งระบบบริหารและการรักษาคนไข้ให้เกิดประสิทธิภาพก็ที่ รพ. กรุงเทพระยอง ซึ่งเป็นแห่งที่ 12 ในเครือของ รพ. กรุงเทพ น.พ.สุนทร ศรีทา กก.ผจก. และ ผอ.รพ. ระบุ ว่า ประสบความสำเร็จด้วยดี กล่าวคือ จากจำนวน ผู้ใช้บริการในระยะเริ่มต้น มีคนไข้นอก 200 คนต่อวัน คนไข้ใน 40 คน ปัจจุบันคนไข้นอกเพิ่มเป็น 500 คน/วัน ส่วนคนไข้ใน 80 คน/วัน เกินกว่าที่คาดการณ์ไว้อย่างมาก หลักสำคัญของเราก็คือ เมื่อมีผู้มาใช้บริการจะต้องเกิดความรู้สึกไว้วางใจ “เหมือนเข้าไปหาคนคุ้นเคย” พบแพทย์ ก็ได้คำปรึกษาอย่างเต็มที่ มั่นใจในความปลอดภัย ความรวดเร็วในการดูแลเป็น หัวใจของทาง รพ. ห้องฉุกเฉิน ต้องพร้อม 24 ชั่วโมง คนไข้ที่มาถึงส่วนนี้ต้องได้รับการดูแลภายใน 1 นาที แต่ถ้าจะผ่าตัดใหญ่ เช่น ผ่าตัดหัวใจหลอดเลือดหัวใจ ก็ส่งต่อที่ รพ.กรุงเทพ ซอยศูนย์วิจัย การ ที่งานบริการจะสำเร็จได้ เราใช้หลักการบริหารองค์กร สมัยใหม่ “Modern Management” มาขับเคลื่อนองค์กร โดยทำให้ทุกคนมีส่วนร่วม สามารถตัดสินใจ และสื่อสารให้ทุกคนทราบไปในทิศทางเดียวกัน ตอบสนองผู้ใช้บริการอย่างรวดเร็ว และที่สำคัญพนักงานรับรู้ว่าผลประกอบการเป็นอย่างไร รายรับมาจากไหน ทำให้ตระหนัก ว่าเป็นองค์กรที่ทุกคนช่วยกันสร้าง เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นคำตอบของการบริการและการบริหาร โดยเป้าหมายที่ตั้งไว้ สำหรับคนไข้ทั่วไปที่เดินเข้ามาภายใน 10 นาที ต้องได้รับบริการทาง การแพทย์อย่างใกล้ชิด ด้วยซอฟต์แวร์ Medtrak ซึ่งจะบันทึกข้อมูล เข้าสู่ระบบระเบียน ที่หน่วยบริการคนไข้ ต่าง ๆ ดึงไปใช้ทันทีในรูปของ อีไฟล์ ไม่ใช่การถือแฟ้มเดินตาม การประสานงานและสั่งใช้เครื่องมือการตรวจรักษา ก็สื่อสารจากคอมพิวเตอร์ของแพทย์ผู้รักษา เช่น หากจะเอกซเรย์ ก็สั่งผ่านทางระบบ ที่แผนกรังสีจะรับรู้ว่าแพทย์ต้องการให้ฉายแสงจุดใด ได้ผลอย่างไรก็แจ้งผ่านระบบกลับมา เมื่อตรวจรักษาแล้ว ขั้นการสั่งยา ก็คลิกสั่งไปยังห้องยา ไม่ต้องให้คุณหมอคัดลายมือเหมือนยุคก่อน ระบบยังคำนวณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ส่งไป ยังแผนกการเงินในเวลาเดียวกัน แต่คนที่จะตรวจสอบข้อมูลได้ ต้องมีรหัสผ่านและมีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้น รพ.ยังมีระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและไวร์เลส แลน ในห้องพักเพื่อสื่อ สารทางธุรกิจได้ โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูงของอุตสาหกรรมใน จ.ระยองที่ไปและป่วยจะติดตามงานได้อย่างใกล้ชิดแม้ไม่ได้เข้าโรงงาน (เดลินิวส์ พุธที่ 20 เม.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





รัฐงัดแผนประหยัดพลังงาน

นายวิเศษ จูภิบาล รมว.กระทรวงพลังงานเปิดเผยว่ากระทรวงพลังงาน ได้เสนอมาตรการเร่งรัดประหยัดพลังงานเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยมีการเสนอมาตรการต่างๆ อาทิ เร่งรัดการใช้เชื้อเพลิงชนิดอื่นแทนน้ำมัน เน้นการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์หรือเอ็นจีวีโดยกระทรวงพลังงาน และบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) ได้มีมาตรการสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ติดตั้งและจัดซื้อรถเอ็นจีวีและพร้อมแล้วที่จะดำเนินการ โดยจะทดแทนน้ำมันเบนซินร้อยละ 10หรือประมาณ 2 ล้านลิตรต่อวัน กำหนดเป้าหมายในรถเบนซินทั้งสิ้น 1.2 แสนคัน ภายในปี 51 และทดแทนน้ำมันดีเซล ร้อยละ 10 หรือประมาณ 5 ล้านลิตรต่อวัน โดยกำหนดเป้าหมายรถดีเซลทั้งสิ้น 66,000 คัน ภายในปี 53 นอกจากนี้ยังจะมีการขยายสถานีบริการเอ็นจีวีให้ได้ 188 แห่งทั่วประเทศ ภายในปี 53 ทั้งนี้กระทรวงพลังงานจะได้ร่วมประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ เช่นกระทรวงการคลัง ในด้านมาตรการภาษีศุลกากรและสรรพสามิต สำหรับอุปกรณ์และรถที่ใช้เอ็นจีวี นอกจากนี้ยังมีมาตรการเร่งรัดการประหยัดพลังงานโดยกระทรวงพลังงานได้กำหนดให้เป้าหมายในภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจ ต้องลดใช้พลังงานลงร้อยละ 10 โดยกำหนดมาตรการจูงใจสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำผ่านธนาคารพาณิชย์วงเงิน 2,000 ล้านบาท จัดสรรแล้ว 1,200 ล้านบาท และเอกชนร่วมสมทบอีก 600 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงเครื่องจักรอุปกรณ์ประหยัดพลังงานและอื่นๆ ซึ่งวัดผลประหยัดได้ร้อยละ 10-30 ต่อรายต่อปี สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)ได้มีประกาศส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมที่ใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงานและผู้ประกอบการจัดการพลังงาน(ESCO)ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และภาษีศุลกากร และได้ให้ภาคราชการครม.เป็นแบบอย่างประหยัดพลังงานโดยรถเบนซินราชการและรัฐวิสาหกิจทั้งหมดต้องใช้ก๊าซโซฮอล์และเอ็นจีวีในพื้นที่ที่มีสถานีบริการจำหน่าย (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 20 เม.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





ข่าววิจัย/พัฒนา


ยารักษาโรคมะเร็งทำจากผลไม้ มีสารเป็นตัวล้างพิษแก้อักเสบ

นักวิทยาศาสตร์ของรัฐโอไฮโอ สหรัฐฯได้เตรียมจะทดลอง โดยใช้วุ้นเหลวที่ทำจากผลราสเบอรี่ดำ รักษาคนไข้โรคมะเร็งในปาก การศึกษาผลราสเบอรี่พบว่า มันมีสารแอนโทไซยานิน อันเป็นวัตถุสีแดงของหัวบีท กับกรด เอลลาจิก ซึ่งเชื่อกันว่ามีสรรพคุณเป็นตัวล้างพิษ และแก้อักเสบ ทั้งยังมีฤทธิ์ต่อต้านมะเร็งอีกด้วย นักวิจัยผู้ซึ่งได้ศึกษาคุณสมบัติในการต่อต้านมะเร็งของมันมาแรมปีกล่าวว่า การแช่ให้มันแห้งแล้วป่นเป็นผง จะทำให้มันมีฤทธิ์ในการป้องกันมะเร็งเพิ่มขึ้น เคยทดลองป้อนให้สัตว์กิน พบว่า มันดูเหมือนมีฤทธิ์ยับยั้งมะเร็งของหลอดอาหาร และลำไส้ใหญ่ไม่ให้เติบโตได้ด้วย. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 18 เม.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





รถผลิตไบโอดีเซลแบบต่อเนื่อง จากห้องวิจัยสู่การปฏิบัติจริงคันแรกของไทย

รศ.ดร.กำพล ประทีปชัยกูร บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (The Joint Graduate School of Energy and Environment) จาก มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กับคณะ ได้ทำการวิจัยและพัฒนาเครื่องผลิตน้ำมันไบโอดีเซลแบบต่อเนื่อง โดยตัวอยู่บนท้ายรถลากจูงที่สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างง่ายและรวดเร็ว ถือว่าเป็นคันแรกของเมืองไทย หัวหน้าคณะทำงานวิจัย บอกว่ารถผลิตน้ำมันไบโอดีเซลคันนี้ ผลิตขึ้นมา หลังจากที่ทีมงาน ได้พัฒนา เครื่องผลิตไบโอดีเซล แบบต่อเนื่อง ในระดับห้องปฏิบัติการ ได้เป็นผลสำเร็จเป็นที่พอใจ เมื่อปีที่แล้ว ข้อดีของการผลิตแบบต่อเนื่อง (Continuous) ที่เหนือกว่าการผลิตแบบกะ (Batch) มีหลายประการ ตั้งแต่ต้นทุน ค่าไฟฟ้าที่ถูกกว่า เพราะไม่ต้องสูญเสียความร้อน จากการหยุดเครื่องบ่อยๆ รวมถึงความสม่ำเสมอ ของคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่า และ ให้ปริมาณการผลิตที่สม่ำเสมอ ในชั่วโมงละ 120 ลิตร ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเกือบ 2 ตันครึ่งต่อวัน โดยใช้แรงงานเพียงคนเดียว ก็สามารถควบคุมเครื่องนี้ได้ แล้วก็เลยมีโจทย์ต่อไปอีกว่า จากห้องปฏิบัติการนี้จะสามารถ พัฒนาไปสู่การผลิตอย่างจริงจังได้หรือไม่ จากคำถามนั้นจึงได้นำมาพัฒนาต่อโ ดยการนำการผลิต ทั้งระบบมาตั้งบนพื้นที่จำกัด บนท้ายรถลากจูง (Trailer) ได้อย่างลงตัว และ จะนำเข้ามาผลิตไบโอดีเซล เพื่อนำไปทดลองใช้ กับรถประจำทางของ ขสมก.ในกลางปีนี้ หากยังมีคำถามต่ออีกว่า Mobile Biodiesel Plant คันนี้คุ้มค่าหรือไม่ ก็ให้เปรียบเทียบกับที่ราคาเครื่องผลิตไบโอดีเซล แบบกะให้กำลังการผลิตวันละ 150 ลิตร จากอังกฤษที่มาเปิดตัวในเมืองไทยที่ราคาเครื่องละ 890,000 บาท กับเครื่องนี้ (อุปกรณ์ส่วนใหญ่จะใช้ของภายในประเทศทั้งชุดให้การผลิตวันละ 2,880 ลิตร ในราคาไม่ถึง 2 ล้านบาท (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 18 เม.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





‘นูโว’ หุ่นยนต์จิ๋วใช้เฝ้าบ้าน-เพื่อนคลายเหงา

สำนักข่าวเอพี รายงานว่า นายฮิซาชิ ทานิกูชิ ผู้บริหารระดับสูงบริษัท ZMP ญี่ปุ่น ผู้ผลิตหุ่นยนต์เลียนแบบมนุษย์ขนาดจิ๋วสูง 39 เซนติเมตร หนัก 2.5 กิโลกรัม หรือ “นูโว”ประกาศวางขายหุ่นยนต์ดังกล่าวอย่างเป็นทางการแล้ว ที่โตเกียว ราคา 588,000 เยน หรือประมาณ 212,500 บาท และหากต้องการเพิ่มลวดลายพิเศษที่หุ่นยนต์ต้องเพิ่มเงินอีกประมาณเกือบ 100,000 บาท สำหรับหุ่นยนต์ นูโว มีความสามารถพิเศษทำหน้าที่เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยประจำบ้าน โดยมีโปรแกรมเดินสำรวจรอบบ้าน โดยเจ้าของสามารถตรวจสอบความเรียบร้อยภายในบ้าน ผ่านการต่อเชื่อมโทรศัพท์มือถือเข้ากับบริการเพื่อดูภาพถ่ายจาก กล้องดิจิทัลที่ติดตั้งไว้ในตัวหุ่นยนต์ นอกจากนี้นูโวยังสามารถทำงานตามคำสั่งด้วยระบบจดจำเสียงพูด เช่น ลุกขึ้น หรือเลี้ยวขวา และยังเป็นเพื่อนคลายเหงาให้กับเจ้าของได้ด้วย. (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 18 เม.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





กินขิงบรรเทาแพ้ท้องคลื่นไส้พบไม่มีผลต่อเด็กในครรภ์

จากการตรวจสอบงานวิจัยทางการแพทย์ พบว่ามีงานวิจัยทดสอบขิงแก้แพ้ท้องอยู่ 6 ชิ้น โดยทำการศึกษากับสตรีทั้งหมด 675 ราย ในจำนวนนี้มีงานวิจัย 4 ชิ้น ที่มีสตรีตั้งครรภ์ร่วมทดสอบรวม 246 ราย พบว่า ขิงช่วยลดอาการแพ้ท้องได้เป็นอย่างดี เมื่อไม่นานมานี้ก็มีงานวิจัยที่ทดสอบเปรียบเทียบให้หญิงตั้งท้องกินขิง 350 มิลลิกรัม เทียบกับกลุ่มที่รับประทานวิตามินบี 6 วันละสามครั้งนานสามอาทิตย์ พบว่าขิงบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนได้เหมือนกับวิตามิน บี 6 ส่วนอาการแพ้ท้องดีขึ้นมากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้หญิงในแต่ละกลุ่ม (กลุ่มที่รับประทานขิงปลอม และกลุ่มรับประทานวิตามินบี 6) ในบางงานวิจัยมีรายงานผลข้างเคียง อย่างเช่น ปวดหัว ท้องร่วง และง่วงซึม แต่ไม่มีความแตกต่างในผลจากการตั้งครรภ์ระหว่างหญิงที่รับประทานยาหลอก หญิงตั้งครรภ์จำนวนมากถึงร้อยละ 80 มักมีอาการแพ้ท้องในระหว่างช่วงแรกของการตั้งครรภ์ แต่ก็มียามากมายที่ออกแบบมาเพื่อช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้อง นักวิจัยกล่าวว่าหญิงตั้งครรภ์จำนวนมากไม่กล้าใช้ยาแก้แพ้ท้อง เนื่องจากกลัวมีผลข้างเคียงกับทารกในครรภ์ ผู้หญิงหลายคนจึงหันมาหาการรักษาแบบทางเลือก รวมถึงการรับประทานวิตามิน ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ฝังเข็ม ในบรรดาสมุนไพร ขิงเป็นพืชที่นิยมใช้ในการบรรเทาอาการคลื่นไส้มานาน และมีหลักฐานในทางพฤกษศาสตร์ว่าช่วยบรรเทาอาการเวียนหัว และเมารถ (คมชัดลึก จันทร์ที่ 18 เม.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





เผยโฉมใบขับขี่อิเล็กทรอนิกส์ขับรถผิดกฎตัดเงินผ่านบัตรทันที ไม่ต้องไปโรงพัก

นักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) โชว์ใบขับขี่อิเล็กทรอนิกส์ต้นแบบเก็บข้อมูลประวัติผู้ขับขี่พาหนะรวมถึงสถิติทำผิดกฎจราจร สามารถตัดแต้มและเงินค่าปรับได้จากบัตรทันที ไม่ต้องโร่ไปถึงโรงพักให้เสียเวลา แถมเงินหมดเติมเงินใหม่ได้เหมือนบัตรโทรศัพท์ แนวคิดดังกล่าวเป็นของ นายเฉลิมวัฒน์ ธนวิจิตรพันธ์ น.ส.อรศิริ เสรีสันติวงศ์ น.ส.พัสตราภรณ์ วิทักษบุตร นักศึกษาภาควิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เพื่อใช้เป็นทางออกในการแก้ปัญหาการเสียค่าปรับเมื่อผู้ขับขี่ทำผิดกฎจราจร ปัจจุบันผู้ขับขี่ต้องเดินทางไปเสียค่าปรับที่สถานีตำรวจท้องที่ที่กระทำผิด ซึ่งหลายกรณีไม่สะดวกและเสียเวลา ผศ.ดร.พินิจ คำหอม อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ กล่าวว่า ใบขับขี่สมาร์ทการ์ดที่นักศึกษาพัฒนาขึ้นมานี้ จะเก็บบันทึกข้อมูลของผู้ขับขี่ และยังเป็นบัตรที่มีมูลค่าเงินสำหรับหักชำระค่าปรับได้ทันที และบัตรดังกล่าวสามารถเติมเงินลงในบัตรได้เหมือนกับบัตรโทรศัพท์ ทางฝั่งของตำรวจ กลุ่มนักศึกษาได้พัฒนาเครื่องอ่านใบขับขี่สมาร์ทการ์ด ที่สามารถอ่านประวัติผู้ขับขี่ย้อนหลังได้ รวมถึงจำนวนคะแนน จำนวนเงินคงเหลือที่มีอยู่ในบัตร เมื่อแจ้งข้อหาว่าทำผิดอะไร จะโดนปรับเท่าไร เมื่อเสียบบัตรเข้าเครื่องอ่าน/เขียนข้อมูลสมาร์ทการ์ด เครื่องจะทำการปรับปรุงข้อมูลล่าสุดลงในบัตร พร้อมตัดคะแนน และหักจำนวนเงินออกเท่ากับที่โดนปรับ ตัวเครื่องอ่านบัตรสมาร์ทการ์ดที่พัฒนาขึ้นนั้น ประกอบไปด้วยไมโครโปรเซสเซอร์ ซึ่งเป็นตัวประมวลผล แป้นพิมพ์ หน้าจอแสดงผลแบบแอลซีดีขนาด 2 บรรทัด (เล็กกว่าหน้าจอโทรศัพท์มือถือ) มีการทดสอบเครื่องกับใบขับขี่สมาร์ทการ์ด 3-4 ใบ พบว่าใช้ได้ แต่บางครั้งเครื่องอ่านก็รวนบ้างเหมือนกัน ถ้าจะนำมาใช้จริงต้องมีการปรับเรื่องความน่าเชื่อถือของเครื่อง และเพิ่มเติมในส่วนของระบบความปลอดภัยของข้อมูล โดยใช้วิธีเข้ารหัสข้อมูล การออกแบบตัวเครื่อง และที่สำคัญต้องสามารถเชื่อมโยงกับระบบของข้อมูลส่วนกลางได้ทุกที่ทุกเวลา เพื่อให้ได้ข้อมูลล่าสุดตลอดเวลา (คมชัดลึก จันทร์ที่ 18 เม.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





คิดยาเม็ดลดความอ้วนขึ้นสำเร็จ กินแล้วพุงยุบลงไขมันลดต่ำด้วย

วารสารการแพทย์ "แลนเซต" อันมีชื่อเสียงของอังกฤษ แจ้งว่า ได้มีการคิดประดิษฐ์ยาเม็ดลดความอ้วน เพียงแค่กินวันละเม็ด ซึ่งจะช่วยให้ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจลดน้อยลงอีกด้วย จะออกสู่ตลาดในราวปีหน้า มันยังมีฤทธิ์ช่วยให้คอยาเลิกสูบบุหรี่ได้อีกด้วย ในการทดลองยากับเหล่าอาสาสมัคร ปรากฏผลว่าพวกเขาสามารถลดน้ำหนักลงได้ 5% และอีก 39% ลดได้มากถึง 10% นอกจากน้ำหนักจะลดแล้ว ยังทำให้เอวเล็กเอวบางลงด้วย เพราะไขมัน ที่เกาะอยู่ตามอวัยวะภายในพุง ร่อยหรอลง ไขมันที่สะสมอยู่ตามพุงถือว่ าเป็นตัวก่อ อันตรายต่อสุขภาพมากที่สุด และที่สำคัญก็คือผลดีของยานี้ ที่ทำให้ปริมาณ คอเลสเทอรอลลดต่ำ อาการดื้อต่ออินซูลินน้อยลง ตลอดจนอาการของโรคหัวใจก็แทบ จะไม่ค่อยปรากฏมีด้วย ทั้งจะยังคง อยู่ได้อีกนาน ไทยรัฐ อังคารที่ 19 เม.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





ใช้แป้งกำจัดโครเมียมให้ตกตะกอน

น.ส.ธนกร ความหมั่น นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย นักเรียนทุนโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ทำโครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง “การศึกษาค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) และปริมาณปูนขาว แป้งข้าวเจ้า แป้งมัน แป้งสาคู ที่เหมาะสมในการตกตะกอนของโครเมียม” โดยศึกษาค่า pH ที่เหมาะสมของการตกตะกอน ด้วยการนำปูนขาว แป้งมัน แป้งข้าวเจ้า และแป้งสาคู มาละลายรวมกับสารประกอบโครเมียม ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน และนำสารที่ได้ไปกวนและให้ความร้อนนาน 20 นาที ปิดปากบีกเกอร์ตั้งทิ้งไว้ 2 วัน หลังจากนั้นนำสารที่ได้ไปแกว่งโดยเครื่องแกว่งสารนาน 20 นาที และดูดของเหลวที่ได้จากการทดลองไปตรวจปริมาณโครเมียม ผลการทดลองสรุปว่า ประสิทธิภาพในการช่วยตกตะกอนโครเมียมของแป้งมัน หรือแป้งข้าวเจ้า หรือแป้งสาคู ปริมาณ 0.5, 1, 1.5, 2, 3, 3.5 กรัม กับปูนขาวปริมาณ 0.5, 1, 2, 4, 5, 7 ที่ค่า pH 9 และแป้งมัน หรือแป้งข้าวเจ้า หรือแป้งสาคู ปริมาณ 1.5 กรัม ปูนขาวปริมาณ 4 กรัม ที่ค่า pH 7-10 มีค่าใกล้เคียงกันมาก สามารถกำจัดโครเมียมได้ถึง 99.99% ยกเว้นแป้งข้าวเจ้า 1.5 กรัม ที่ค่า pH 7 กำจัดโครเมียมได้เพียง 93.7% และหากพิจารณาปริมาณของแป้งมัน แป้งข้าวเจ้า แป้งสาคู และปูนขาว ที่ปริมาณ 0.5 กรัม พบว่าสามารถทำให้โครเมียมตกตะกอนได้ โครงงานนี้สามารถนำไปศึกษาวิจัยต่อ เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการกำจัดโครเมียมออกจากสิ่งแวดล้อม และยังสนับสนุนสินค้าของคนไทย โดยนำแป้งชนิดต่าง ๆ มาใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ด้วย (เดลินิวส์ อังคารที่ 19 เม.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





ม.เกษตรคิดค้น เครื่องตรวจชื้น กันเมล็ดพืชขึ้นรา

รศ.ชัยวัฒน์ ชัยกุล ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เจ้าของผลงานเครื่องวัดความชื้นเมล็ดพืช เปิดเผยว่า ในเบื้องต้นเครื่องวัดความชื้นในเมล็ดพืช สร้างขึ้นเพื่อช่วยนักวิจัยของมหาวิทยาลัย ที่ต้องการคัดแยกเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดความชื้นสูงออกจากเมล็ดพันธุ์ปกติในระดับห้องปฏิบัติการ เพราะหากมีการปะปนกันระหว่างเมล็ดพันธุ์ความชื้นสูงกับเมล็ดพันธุ์ทั่วไป อาจทำให้เมล็ดพันธุ์ที่เหลือขึ้นรา และเสียหายในที่สุด เครื่องวัดที่นำเข้า ราคาสูงตั้งแต่ 30,000 - 100,000 บาท จึงได้นำเครื่องดังกล่าวมาศึกษาถึงหลักการทำงาน และสร้างเครื่องต้นแบบขึ้นทดลองใช้ โดยอาศัยหลักการของตัวเก็บประจุ ที่ประกอบด้วยแผ่นเพลด 2 แผ่นประกบกัน เมื่อนำเมล็ดพันธุ์ที่ต้องการทดสอบลงบนเครื่องชั่ง เครื่องก็จะคำนวณค่าความเปลี่ยนแปลงของประจุไฟฟ้า หากเมล็ดพันธุ์มีความชื้นมากค่าของประจุก็จะเพิ่มขึ้น ตัวเครื่องสามารถพกพาไปยังที่ต่างๆ ได้ อีกทั้งแสดงค่าความชื้นเป็นตัวเลขทศนิยมแบบดิจิทัล เพียงนำเมล็ดพันธุ์ขึ้นชั่งครั้งละ 100 - 150 กรัม และกดปุ่มอ่านค่า ซึ่งอาศัยหลักการทำงานของไมโครโปรเซสเซอร์ สั่งงานผ่านปุ่มสัมผัส มีระบบชดเชยอุณหภูมิอัตโนมัติ และสามารถชาร์จไฟบ้านได้ นักวิจัย กล่าวต่อว่า ขณะที่เครื่องนำเข้าไม่สามารถตรวจสอบความชื้นให้กับเมล็ดพันธุ์หลากชนิด ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดพันธุ์ข้าวที่มีหลากหลายสายพันธุ์ เมล็ดผักต่างๆ จึงได้ปรับปรุงขีดความสามารถให้เครื่องดังกล่าว สามารถตรวจสอบเมล็ดพันธุ์ได้ทุกชนิดในเครื่องเดียว ทั้งเมล็ดพริก มะเขือเทศ รวมถึงเมล็ดข้าวพันธุ์ต่างๆ ทั้งข้าวเหนียวและข้าวเจ้า ทั้งนี้ เครื่องดังกล่าวได้พัฒนามาแล้ว 3 รุ่น เพื่อปรับลักษณะของเครื่องและประสิทธิภาพให้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ โดยรุ่นแรกราคา 6,500 บาท เหมาะกับการใช้งานของเกษตรกร รุ่นที่ 2 ราคา 9,500 เหมาะกับกลุ่มพ่อค้าคนกลาง และรุ่นที่ 3 ราคาประมาณ 30,000 บาท ใช้กับโรงสีหรือไซโลขนาดใหญ่ ซึ่งมีความแม่นยำในการวัดมากขึ้น นอกจากนี้ยังได้พัฒนาเครื่องวัดความชื้นเมล็ดพืช รุ่นที่ 4 ให้ใช้งานง่ายขึ้น และสามารถรองรับคำสั่งภาษาไทยอีกด้วย (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 19 เม.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ไทยผนึกสหรัฐเฟ้นสายพันธุ์กบสกัดทำยา ตีพิมพ์งานวิจัยในวารสารต่างชาติหลังพบ 21 สกุลเข้าข่าย

นายธัญญา จั่นอาจ นักวิชาการระดับ 6 องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพช.) เปิดเผยว่า องค์การพิพิธภัณฑ์ร่วมกับภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสำนักงานสุขภาพแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา ศึกษาสารพิษที่ได้จากสัตว์ตระกูลกบ เพื่อนำมาสกัดหาสารบริสุทธิ์ โดยคาดว่าสารที่ได้จะสามารถนำไปรักษาโรคหัวใจ โรคระบบทางเดินทางอาหาร และโรคเกี่ยวกับผู้หญิงตั้งครรภ์ โดยงานวิจัยดังกล่าวเป็นความร่วมมือระยะเวลา 15 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา ล่าสุด ได้เผยแพร่ผลงานวิจัยเบื้องต้นในวารสาร Toxiccon ในปี 2547 ซึ่งระบุว่า สารเคมีที่อยู่ในผิวหนังกบจำนวน 21 สกุลของประเทศไทย พบว่ามีคางคก 4 สกุลที่มีพิษ และมีสารจำพวก bufadienolides หรือ bufadienolide - like component และมีกบอีก 2 ชนิดซึ่งพบความเป็นพิษ โดยเฉพาะกบเขาหลังตอง และกบหลังจุด ทั้งนี้ คาดว่าเป็นสารจำพวกโปรตีนชนิดมีพิษ ส่วนตัวปาดบ้านยังไม่พบความมีพิษ แต่มีข้อสังเกตในพวกกบภูเขาว่ามีสารประเภทอัลคาลอยด์แต่พบในปริมาณที่น้อย พบว่าในกบห้วยขาปุ่ม เป็นกลุ่มที่มีความเป็นไปได้ในการนำมาสกัดหาสารเพื่อรักษาโรค แต่เท่าที่พบมีปริมาณสารที่น้อยมาก ซึ่งไม่เพียงพอต่อการศึกษา จึงอาจต้องใช้สารจากกบชนิดนี้จำนวนมาก นอกจากนี้ยังพบว่า สารที่ได้จากคางคกห้วยซึ่งพบที่ดอยอินทนนท์มีสารที่มีประโยชน์ชนิดใหม่ แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นสารชนิดใด ซึ่งต้องศึกษาเพิ่มเติม และเมื่อได้สารบริสุทธิ์แล้ว จะต้องศึกษาหาสูตรโครงสร้าง และสูตรทางเคมีของสารดังกล่าว โดยจะต้องส่งไปสกัดหาสารประเภทอัลคาลอยด์บริสุทธิ์ ที่ห้องทดลองในสหรัฐอเมริกา โดยนายนราธิป น้อยไม้ นักศึกษาระดับปริญญาเอก ภาควิชาเคมี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมเดินทางไปศึกษาถึงขั้นตอนการสกัดด้วย เพื่อนำไปผลิตเป็นยารักษาโรค ซึ่งตั้งเป้าไว้ที่โรคหัวใจ โรคระบบทางเดินอาหาร และโรคของผู้หญิงตั้งครรภ์ (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 19 เม.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ม.ขอนแก่นโชว์ คีย์บอร์ดฝึกนิ้ว ช่วยคนพิการ

นักศึกษาวิศวฯ ม.ขอนแก่น พัฒนาถุงมือคีย์บอร์ดต่อพวงคอมพิวเตอร์ ช่วยผู้ป่วยที่สูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวร่างกาย ได้ฝึกการตอบสนองระบบประสาท เผยเครื่องจะส่งแรงสั่นสะเทือน กระตุ้นให้ผู้ป่วยทราบว่า ต้องงอนิ้วมือใด โดยผลงานส่งเข้าชิงชนะเลิศการประกวดการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 6 นายคะนอง ศรีเทพบุตร และนายชัยวัฒน์ ทะวะรุ่งเรือง 2 นักศึกษาภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้จัดทำโครงการพัฒนาอุปกรณ์ต่อพ่วงกับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ผู้ป่วยที่สูญเสียความสามารถในการบังคับนิ้วมือในบางส่วน ได้ใช้ในการฝึกบังคับนิ้วมือ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นฟูการบังคับนิ้วของตนเองได้ สำหรับอุปกรณ์ชุดนี้มีลักษณะเป็นคีย์บอร์ดหรือแป้นพิมพ์พิเศษ ในรูปแบบของถุงมือที่ออกแบบให้เข้ากับมือมนุษย์ มีไมโครสวิตช์และมอเตอร์แบบสั่นติดอยู่ที่ปลายนิ้วทั้ง 10 นิ้ว ซึ่งจะส่งแรงสั่นสะเทือนมากระตุ้นความรู้สึกที่ปลายนิ้วมือของผู้ป่วย โดยการใช้อุปกรณ์นี้จะมีโปรแกรมควบคุมและส่งสัญญาณผ่านทางพอร์ตยูเอสบีไปขับมอเตอร์ เพื่อให้ผู้ป่วยสร้างแรงสั่นสะเทือนไปกระตุ้นให้ผู้ป่วยทราบว่าต้องงอนิ้วใด เมื่อผู้ป่วยตอบสนองโดยการงอนิ้วนั้น สวิตช์ที่ติดอยู่ที่นิ้วมือจะเปลี่ยนสถานะ ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์จะอ่านข้อมูลสถานะของถุงมือเข้ามาแสดงผลบนจอภาพและส่งเสียงดนตรีออกทางลำโพง (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 19 เม.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





สมองไทยไม่ง้อฝรั่ง!! “เครื่องอุ่นเลือด” ม.อ.ถูกกว่าเป็นแสน

ผศ.ทันตแพทย์ สุรพงษ์ วงศ์วัชรานนท์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทันตกรรม คณะทันตแพทย์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์(ม.อ.) และทีมงานประดิษฐ์ เครื่องอุ่นเลือด ขึ้นใช้เองในห้องผ่าตัด ของโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ผศ.ทันตแพทย์สุรพงษ์ อธิบายว่า “อุณหภูมิในห้องผ่าตัดจะเย็นกว่าห้องทำงานทั่วไป ในช่วงพักฟื้นคนไข้ในห้องผ่าตัดหรือห้องไอซียู อาจมีอาการหนาวสั่น เป็นภาวะที่เรียกว่า “อุณหภูมิกายต่ำ” ช่วงแรกจะใช้อุปกรณ์หัวแร้งไฟฟ้า แต่เนื่องจากระบบที่ใช้เป็นหัวแรงไฟฟ้า การควบคุมต้องใช้กระแสไฟสลับ วิธีการสั่งการเป็นระบบปิดเปิด ทำให้จะมีการแกว่งของค่าอุณหภูมิ ก็มามองว่าจะทำให้อุณหภูมิค่อนข้างคงที่ต้องมีกระแสไฟตรง จึงได้ปรับมาเป็นกระแสไฟตรง ปรับเปลี่ยนเครื่องควบคุมอุณหภูมิ และสามารถบอกผลเป็นจุดทศนิยมได้ รุ่นล่าสุดที่พัฒนาต่อยอด จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 2 กิโลกรัม เพราะมีตัวแปลงไฟฟ้าพ่วงด้วย มีความพิเศษตรงที่สามารถปรับระดับความร้อนได้ตามต้องการ โดยอาศัยแผงควบคุมความร้อน ซึ่งประกอบด้วย เครื่องควบคุมอุณหภูมิ ที่ใช้อยู่ในงานอุตสาหกรรมทั่วไป แกนให้ความร้อน จะถ่ายเทความร้อนไปยังสายน้ำเกลือ ที่ถูกนำสายาพันกับแกนภายในตัวเครื่อง และหม้อแปลงไฟจากกระแสสลับเข้าสู่ตัวแกนให้ความร้อนที่กระแสไฟตรง ถ้าเปรียบเทียบของต่างประเทศ จะแตกต่างกันตรงที่ เครื่องอุ่นเลือดจากต่างประเทศจะมีน้ำร้อนหล่อสายน้ำเกลือ แต่ที่ ม.อ.ผลิตขึ้นใช้การถ่ายเทความร้อนผ่านสายน้ำเกลือ มีการควบคุมอุณหภูมิของตัวแกนให้ความร้อนให้คงที่ตามที่เราต้องการ แถมเรื่องประสิทธิภาพยังมีความคงที่จะแม่นยำกว่า เครื่องอุ่นเลือดและน้ำเกลือ ที่ถูกพัฒนารุ่นล่าสุดนี้ ยังสามารถจัดเก็บค่าตัวเลขของอุณหภูมิของเลือดและน้ำเกลือที่แปรผันไปตามอุณหภูมิห้อง และจากการปรับระดับความร้อนในภาวะอุณหภูมิต่างๆ เพื่อหาค่าอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับผู้ใช้เลือกได้วิธีการใช้งานไม่ยุ่งยาก เพียงนำสายน้ำเกลือไปพันแกนและเสียบปลั๊กไฟปกติ หากต้องการให้น้ำเกลือหรือเลือดไหลเร็ว สำหรับเครื่องอุ่นเลือดและน้ำเกลือ นี้ใช้ต้นทุนประดิษฐ์ประมาณ 13,000 บาท ถูกกว่านำเข้าเป็นแสนๆ บาท เรื่องประสิทธิภาพก็เหนือชั้นกว่าเพราะสามารถปรับค่าอุณหภูมิจากหน้าจอได้ด้วยตัวเองและมีความปลอดภัยมากขึ้น ผู้สนใจ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ งานประชาสัมพันธ์ ม.อ.หาดใหญ่ โทร.0-7421-8400 (สยามรัฐ อังคารที่ 19 เม.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





ก.วิทย์ถ่ายทอดวิธีทำเครื่องกรองน้ำ

นายกร ทัพพะรังสี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า กรมวิทยาศาสตร์บริการได้วิจัยและประสบความสำเร็จ สามารถผลิตสารกรองสนิมเหล็ก พร้อมทั้งพัฒนาเครื่องกรองสนิมเหล็ก และเครื่องกรองน้ำดื่มอย่างง่าย ทดแทนการนำเข้าสารกรองจากต่างประเทศ โดยสารกรองสนิมเหล็กที่ผลิตได้มีราคาต้นทุนลิตรละ 15 บาท (ท้องตลาด ลิตรละ 65-95 บาท) หรือสามารถผลิตเครื่องกรองสนิมเหล็กระดับครัวเรือนในราคาทุน 2,300 บาท (ท้องตลาด เครื่องละ 6,000-12,000 บาท) และเครื่องกรองน้ำดื่มสำหรับครัวเรือนพร้อมสารกรองในราคา 1,000 บาท (ท้องตลาด เครื่องละ 3,500-30,000 บาท) กรมวิทยาศาสตร์บริการจึงได้จัดทำแผนการฝึกอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีเชิงปฏิบัติการ "การผลิตสารกรองสนิมเหล็กในน้ำ และผลิตเครื่องกรองน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค โดยมีเป้าหมายให้ทุกพื้นที่ของประเทศไทยมีน้ำใช้ที่ปราศจากสนิมเหล็ก โดยโครงการนี้ได้ดำเนินงานร่วมกับเครือข่ายคลินิกเทคโนโลยีทั่วประเทศ เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2548 ถึงปัจจุบัน ได้จัดอบรมไปแล้ว 32 รุ่น มีผู้เข้ารับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจำนวน 1,200 คน (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 20 เม.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





กล้องจุลทรรศน์จิ๋วตรวจโรคด่วน

นักวิทยาศาสตร์ พัฒนากล้องจุลทรรศน์จิ๋วเท่าเส้นผม ปฏิวัติการทดสอบตัวอย่างทางชีววิทยา ความหวังใหม่ช่วยแพทย์ตรวจโรคและพัฒนายาใหม่ กล้องจุลทรรศน์จิ๋วนี้ คือ ชิพชีวภาพ หรือที่เรียกว่าไบโอชิพ ซึ่งเป็นการผสมผสานกันระหว่างชิพที่บรรจุข้อมูลเกี่ยวกับสารก่อโรค ซึ่งเมื่อหยดตัวอย่าง เช่น เลือด หรือน้ำลายลงไปบนชิพขนาดจิ๋วนี้แล้วสามารถวินิจฉัยโรคได้ในเวลาไม่กี่นาที สำหรับไบโอชิพที่นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์พัฒนาขึ้นมานี้ เป็นไบโอชิพเชิงแสง กล่าวคือ ทำงานโดยกระจายแสงเลเซอร์ขนาดบางเฉียบไปที่เซลล์เพื่อวินิจฉัยโรค และด้วยเทคโนโลยีที่คิดค้นใหม่นี้ทีมพัฒนามั่นใจว่า แพทย์สามารถใช้ทดสอบโรคและพัฒนายาใหม่ๆ ได้ โดยขณะนี้ทางทีมวิจัยกำลังหาวิธีรวมไบโอชิพเข้ากับเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น ทำเป็นอุปกรณ์วินิจฉัยโรค ในทางทฤษฎี ไบโอชิพจะสามารถตรวจโรค เช่น เอดส์ มาลาเรีย และมะเร็งบางชนิด หรือช่วยพัฒนายาโดยวิเคราะห์ว่าเซลล์ตอบสนองต่อสารอย่างไร ปัจจุบัน การวินิจฉัยเซลล์สามารถทำโดยใช้กล้องจุลทรรศน์ทั่วไป หรือใช้อุปกรณ์ตรวจวินิจฉัยโรคที่ใช้ในโรงพยาบาล แต่ไบโอชิพจะช่วยให้แพทย์สามารถทำการวินิจฉัยโรคได้นอกสถานที่ด้วยเวลาอันรวดเร็ว ศ.พอล สมิธ หัวหน้าทีมวิจัย กล่าวถึงงานวิจัยนี้ว่า จะช่วยปฏิวัติวิธีตรวจสอบตัวอย่างทางชีววิทยา และจะพัฒนาอุปกรณ์วินิจฉัยโรคขนาดจิ๋วใช้งานง่ายขึ้นมา โดยอุปกรณ์รุ่นใหม่ๆ นี้จะใช้เทคโนโลยีที่พวกเขาพัฒนาขึ้นมา เป็นพื้นฐานสำหรับระบบตรวจโรคขนาดพกพา เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในท้องที่ต่างๆ ที่ต้องการการตรวจสอบโรคจากห้องแล็บ "ในอนาคตเราอาจเอาชิพฝังเข้าไปในร่างกายของคนได้เลย ความท้าทายในปัจจุบันคือ ต้องพัฒนาตัวต้นแบบที่สามารถใช้งานได้จริงขึ้นมาก่อน ซึ่งต้องใช้เงินทุนเพิ่มขึ้น ศ.จูเลีย กูดเฟลโลว์ ประธานสภาวิจัยชีววิทยาและเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งสนับสนุนทุนวิจัยโครงการนี้ กล่าวว่า ไบโอชิพมีศักยภาพสูงที่จะปฏิวัติวงการแพทย์ ขณะที่ ทรูดี ล็อบบาน จากกลุ่มเทคโนโลยีการแพทย์ ซึ่งเป็นกลุ่มรณรงค์เพื่อผู้ป่วย ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและอุตสาหกรรม มองว่าโอกาสความสำเร็จของโครงการนี้อาจไม่เป็นไปอย่างที่คิด เนื่องจากที่ผ่านมาสภาวิจัยชีววิทยาฯ ไม่สามารถนำเอาเทคโนโลยีใหม่มาใช้ได้จริงเลย (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 20 เม.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ฟีโบ้สร้างหุ่นยนต์สำรวจใต้น้ำ

นายอุทัย นวลทิม นักศึกษาปริญญาโทสาขาวิทยาการหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (ฟีโบ้) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กล่าวว่า เขาได้ออกแบบและพัฒนาหุ่นยนต์ที่ใช้ระบบกระพือปีกเหมือนนก ทำให้มีอิสระในการเคลื่อนที่ หุ่นยนต์ตัวนี้ได้แนวคิดมาจากอากาศยานไร้นักบินขนาดเล็ก (Micro Air Vehicle) ซึ่งจริงๆ แล้วต้องการทำเป็นหุ่นยนต์ที่บินในอากาศด้วยการกระพือปีก แทนการใช้ปีกยึดเหมือนเครื่องบิน หรือใบพัดเหมือนเฮลิคอปเตอร์ แต่เนื่องจากอุปกรณ์ค่อนข้างแพง จึงสร้างหุ่นต้นแบบมาเป็นหุ่นยนต์กระพือปีกในน้ำ ซึ่งได้ประโยชน์ทางอ้อมที่สามารถประยุกต์หุ่นต้นแบบนี้ไปเป็นหุ่นยนต์สำรวจทางน้ำได้ หุ่นยนต์ต้นแบบที่กระพือปีกในน้ำตัวนี้ เป็นการศึกษาวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท ตัวหุ่นมีขนาดกว้าง 10 เซนติเมตร ยาว 15 เซนติเมตร สูง 12 เซนติเมตร ประกอบด้วย ปีก 4 ปีก ใช้มอเตอร์ในการขยับปีกให้กระพือได้เหมือนนก คือได้ออกแบบให้สามารถกระพือปีกขึ้นลง หมุนบิดปีก และโบกปีกไปด้านหน้าหลัง ทำให้หุ่นยนต์แมลงดำน้ำตัวนี้สามารถเคลื่อนที่ได้ทุกทิศทาง ใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ขนาดจิ๋วติดตั้งอยู่ ซึ่งจะรับคำสั่งจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่อยู่บนบกโดยตรงผ่านสัญญาณวิทยุที่ส่งคลื่นทะลุผิวน้ำลงไปยังตัวเครื่องรับสัญญาณในหุ่นยนต์ ในการทดสอบหุ่นยนต์ นายอุทัยได้ทดสอบในอ่างน้ำลึก 1 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 เมตร ส่วนการรับส่งสัญญาณวิทยุของตัวหุ่นยนต์นั้น นายอุทัยกล่าวว่า อุปกรณ์ที่ใช้อยู่ขณะนี้สามารถส่งได้ที่ระยะไกลสุด 30 เมตร โดยทำการทดสอบในห้องติดกระจก อย่างไรก็ดี หากทดสอบในที่โล่งกว้างน่าจะสามารถส่งสัญญาณได้ในระยะไกลสุด 50 เมตร ส่วนลักษณะการกระพือปีกนั้น ออกแบบเป็น 2 แบบ คือ กระพือพร้อมกันทั้ง 4 ปีก โดยที่บิดให้ปีกอยู่ในแนวตั้งขณะที่กระพือขึ้น และบิดให้ปีกอยู่ในแนวนอนขณะที่กระพือลง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้การออกแบบลักษณะการกระพือปีกยังไม่แล้วเสร็จ โดยมีแนวคิดที่จะออกแบบการกระพือให้คล้ายเต่า รวมถึงกระพือปีกสลับแบบตัวเอ็กซ์ คือผลัดกันสลับขึ้นสลับลง หุ่นยนต์ยังต้องได้รับการติดตั้งเซ็นเซอร์สำหรับวัดความเร็ว และวัดความเอียงของมุม เพื่อช่วยควบคุมด้านการทรงตัวขณะลอยตัวในน้ำ หากมีการนำไปใช้จริงในอนาคต แม้ว่าในเบื้องต้น หุ่นยนต์ดำน้ำตัวนี้ยังเคลื่อนไหวได้แค่ในระดับแนวดิ่งเท่านั้น และเดินหน้าได้เพียงอย่างเดียว แต่ในอนาคตเขามั่นใจว่า หุ่นยนต์กระพือปีกในน้ำของเขาสามารถประยุกต์ใช้เป็นหุ่นยนต์สำรวจทรัพยากรในน้ำ หรือทำเป็นหุ่นยนต์สอดแนมทางทหาร (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 20 เม.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ม.เชียงใหม่ทำผ้าไหมนาโนปลอดเคมี ใช้พลาสมาอาบเส้นใยเพิ่มคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่นเกาะ

ดร.ประดุง สวนพุฒ หัวหน้าโครงการวิจัยเทคโนโลยีพลาสมาสำหรับการปรับปรุงคุณภาพไหมไทย ศูนย์วิจัยนิวตรอนพลังงานสูง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า โครงการมุ่งศึกษาวิธีการพัฒนาคุณภาพไหมไทย ที่ยากต่อการดูดซับน้ำ การปนเปื้อน และการติดไฟยาก พร้อมทั้งศึกษาออกแบบ และสร้างแหล่งกำเนิดพลาสมาต้นแบบตัวใหม่เพื่อศึกษาเกี่ยวกับไหมไทยและอุตสาหกรรมสิ่งทอโดยเฉพาะ โดยใช้กระบวนการทางฟิสิกส์เชิงนาโน ในการอาบไหมไทยและสิ่งทอด้วยพลาสมา ซึ่งเกิดจากก๊าซที่แตกตัวทำให้เกิดประจุอิเล็กตรอน หรืออาจกล่าวได้ว่าพลาสมาเป็นสถานะที่ 4 ของสสารถัดจากสถานะของก๊าซ ดังนั้น เมื่อนำผ้าไหมไปอาบในพลาสมาจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผิวของเส้นใยไหม ที่มีความหนาในระดับลึกขนาดนาโนบนผิวผ้า โดยเทคโนโลยีพลาสมานี้ไม่อาศัยสารเคมี จึงจัดอยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีสะอาด และในอุตสาหกรรมสิ่งทอต่างประเทศได้ใช้กระบวนการพลาสมาทำความสะอาดเส้นใย แทนการล้างหรือซักฟอกด้วยน้ำและสารเคมี ฉะนั้น การนำพลาสมามาใช้ในกระบวนการปรับปรุงคุณภาพสิ่งทอ นอกจากจะลดมลพิษและไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคแล้ว ยังเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยสร้างความแตกต่างให้สินค้าส่งออกได้ด้วย นอกจากนี้ จะศึกษาค้นหาพลาสมาชนิดต่างๆ เพื่อให้เหมาะสมกับชิ้นงานแต่ละชนิดที่ใช้งานต่างกันไป อาทิ สิ่งทอติดไฟยากสำหรับใช้ในเครื่องบิน ทั้งเบาะนั่ง เครื่องแบบพนักงานที่เน้นคุณสมบัติติดไฟยาก ทั้งนี้ ผลงานไหมไทยกันน้ำด้วยเทคโนโลยีพลาสมา จะแสดงในงานเสนอผลงานวิจัยบูรณาการ ร่วมกับชิ้นงานอื่นๆ ระหว่างวันที่ 20-21 เมษายนนี้ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 20 เม.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





นักวิทย์ไทยแนะใช้พริกชี้ฟ้า ทำสีย้อมกุ้งแห้งปลอดสาร

รศ.ดร.ประเวทย์ ดุ้ยเต็มวงศ์ ร่วมกับ อาจารย์จิรวัฒน์ กันต์เกรียงวงศ์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) วิจัยพบว่า สารสกัดจากพริก ซึ่งเป็นสารสกัดธรรมชาติ ไม่มีพิษภัยใดๆ และมีองค์ประกอบที่เป็นสารสีสำคัญ สามารถใช้ย้อมสีกุ้งแห้งให้สวยงาม แทนการใช้สีสังเคราะห์ที่ก่ออันตรายต่อสุขภาพ สารสีธรรมชาติที่สกัดได้จากพริกนี้เรียกว่า โอริโอเรซิน มีวิธีการสกัดก็ทำได้ง่ายๆ ด้วยการนำพริกแดงหรือพริกชีฟ้าไปอบแห้ง โดยใช้ไมโครเวฟถังหมุนสุญญากาศที่พัฒนาโดยทีมวิจัยจากคณะวิศวกรรมเครื่องกลของ มจธ. เพื่อรักษาสีเมล็ดธรรมชาติไว้ให้มากที่สุด จากนั้นนำมาบดให้ละเอียด แล้วสกัดสีโอริโอเรซิน เช่นเดียวกับที่สกัดน้ำมันพืช ต่อมาทำให้เข้มข้นด้วยความร้อนต่ำ ก็จะได้สีธรรมชาติจากพริก สำหรับสารสกัดที่ได้จากพริกมีทั้งสารให้รสเผ็ด เบต้าแคโรทีนหรือสารตั้งต้นของวิตามินเอที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และสารให้สีเหลืองและส้มที่สามารถใช้แทนสีสังเคราะห์ และยังเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ทางทีมวิจัยได้เสนอแนะให้เอกชนลงทุนตั้งโรงงานสกัดสารโอรีโอเรซินจากพริก โดยพร้อมจะถ่ายทอดเทคโนโลยีการสกัดสารสีดังกล่าวให้ผู้ประกอบการ พร้อมด้วยเกษตรกรที่ต้องการสร้างมูลค่าเพิ่มให้พริกแดงและพริกชี้ฟ้า ทั้งนี้ หากมีการใช้สารสีธรรมชาติในอาหารแทนสีสังเคราะห์ จะเป็นการสร้างความปลอดภัยให้อาหารไทยหลายชนิด ไม่เพียงแต่ส้มตำ น้ำพริกกุ้งเสียบ น้ำปลาหวานและผัดไทยเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของอาหารทุกชนิดที่ใช้กุ้งแห้งเป็นส่วนประกอบ แถมยังช่วยเพิ่มมูลค่าให้ผลผลิตพริกของคนไทยอีกด้วย (คมชัดลึก พุธที่ 20 เม.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





วิจัยทางพันธุกรรมรุดก้าวหน้าไกล อีก 10 ปีกำจัดมะเร็งหมดจากโลก

ผู้อำนวยการของสถาบันโรคมะเร็งแห่งชาติสหรัฐฯ ประกาศว่า "เราอาจจะสามารถกำจัดความทุกขเวทนาและความตายจากโรคมะเร็งให้หมดสิ้นลงได้ ในปี พ.ศ. 2558 นี้" ดร.แอนดรูว์ ฟอน เอสเชนบัค แพทย์ ระบบทางเดินปัสสาวะอาวุโส บอกเปิดเผยว่า "มนุษย์เราจะสามารถวิจัยก้าวหน้าไป ได้มาก จนมะเร็งไม่อาจจะกินคนได้อีกต่อไป" เขาประกาศต่อหน้าที่ประชุมสมาคมวิจัยโรคมะเร็งแห่งอเมริกา ที่เมืองอนาไฮม์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ว่า บัดนี้นักวิทยาศาสตร์มีความรู้ความเข้าใจในกลไกของพันธุกรรม ที่ทำให้ เกิดมะเร็งขึ้นแล้ว และได้พัฒนาวิธีการรักษา เพื่อสกัดกั้นขบวนการนั้นลงเสียก่อนที่มันจะฆ่าเราได้ โดยอาศัยความก้าวหน้าในการถ่ายภาพทางการแพทย์ จะช่วยให้หมอติดตามความคืบหน้าของโรคได้อย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นกว่าที่แล้วมา. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 21 เม.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





เทคโนโลยีสกัดน้ำมันจากยางเก่าคว้าแชมป์

เทคโนโลยีสกัดน้ำมันดีเซลจากยางรถยนต์เก่าของทีมเอ็นเทคจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ คว้ารางวัลชนะเลิศประกวดแผนธุรกิจใหม่แห่งชาติ ครั้งที่ 1 แผนงาน “เชื้อเพลิงทดแทนน้ำมันดีเซลสกัดจากยางรถยนต์เก่า” จาก ทีมเอ็นเทค มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้รับรางวัลชนะเลิศ โครงการประกวดแผนธุรกิจใหม่แห่งชาติ ภาคภาษาไทย (Moot Biz) ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกโดยคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหา วิทยาลัย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และดีแทคเป็นผู้ให้การสนับสนุน เพื่อกระตุ้นและจูงใจให้เกิดการลงทุนและสร้าง ธุรกิจใหม่ “เชื้อเพลิงทดแทนน้ำมันดีเซลสกัดจากยางรถยนต์เก่า” เป็นการนำเสนอเทคโนโลยีในการสกัดน้ำมันเชื้อเพลิงทดแทนน้ำมันดีเซลจากยางรถยนต์เก่า โดยใช้กระบวนการผลิตและอุปกรณ์ทันสมัยที่คิดค้นขึ้น โดยสามารถผลิตเชื้อเพลิงทดแทนน้ำมันดีเซลเพื่องานอุตสาหกรรม นำยางรถยนต์ที่ใช้แล้วซึ่งมีปัญหาในการกำจัดมาเป็นวัตถุดิบ ทำให้ได้ต้นทุนผลิตที่ต่ำและได้น้ำมันคุณภาพสูงในราคาถูก และยังช่วยลดปัญหาที่เกิดขยะจากยางรถยนต์ใช้แล้ว ที่ประมาณการว่าในปี หนึ่ง ๆ จะมียางรถยนต์ใช้แล้วเหลือทิ้งถึง 100,000 ตันต่อปี หรือประมาณ 100,000,000 เส้น ซึ่งถ้าสามารถนำมาผลิตน้ำมันทั้งหมดจะได้ถึง 300 ล้านลิตร รวมทั้งถ้าสามารถบริหารจัดการได้ดีจะทำให้เกิดการสร้างงานที่เกี่ยวเนื่องในการจัดเก็บยางรถยนต์ใช้แล้วกระจายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ สำหรับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 คือ ทีมมาสเตอร์มายด์ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เสนอแผนธุรกิจยาฆ่าเชื้อและรักษาแผลสดจากเปลือกมังคุด รองชนะเลิศอันดับ 2 คือทีมน้ำดื่มเพื่อสุขภาพ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสนอแผนธุรกิจน้ำดื่มเพื่อสุขภาพผสมวิตามิน และรองชนะเลิศอันดับ 3 ทีมยัง 101 จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสนอแผนธุรกิจเครื่องสำอางและสปาสำหรับผู้ชาย (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 21 เม.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





นาฬิกาปลุกไฮเทคทำสดชื่น

นาฬิกาอัจฉริยะ"สลีฟสมาร์ท" นาฬิกาปลุกสายพันธุ์ใหม่ เป็นผลงานของกลุ่มนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยบราวน์ ในสหรัฐ ที่กำลังเร่งพัฒนาต้นแบบให้เสร็จสมบูรณ์ในเร็ววัน โดยหลักการทำงานของนาฬิกาเรือนนี้ จะใช้วิธีวัดวงจรการนอนหลับ และรอจนถึงขั้นที่ผู้ใช้พร้อมจะตื่นอย่างสดชื่น จากนั้นก็จะส่งเสียงปลุกให้ตื่น ซึ่งทำให้ผู้ใช้ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นในทุกๆ เช้า ปกติแล้วสภาวะการนอนหลับของคนเรา จะเป็นวงจรตามลำดับ ได้แก่ หลับตื้นแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น หลับลึกและหลับนิ่ง โดยวงจรดังกล่าวจะเกิดซ้ำทุกๆ 90 นาที และจุดนี้เองที่ทำให้นักวิจัยรู้ว่าช่วงเวลาไหนที่ควรปลุกให้ตื่น และช่วงเวลาไหนควรปล่อยให้หลับต่อไป สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่สามารถตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ได้แก่ ช่วงที่อยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น ทั้งนี้ สลีฟสมาร์ทจะบันทึกรูปแบบที่แตกต่างของคลื่นสมอง ที่แต่ละช่วงการนอนผลิตขึ้นมา ผ่านทางสายรัดศีรษะ ที่มีขั้วไฟฟ้า และไมโครชิพติดอยู่ อุปกรณ์ชิ้นนี้เองที่จะทำหน้าที่วัดคลื่นไฟฟ้าสมองของผู้สวมใส่ ซึ่งทำงานเหมือนกับเครื่องอีอีจีที่ใช้วัดคลื่นสมองเพื่อการวิจัยและการแพทย์ จากนั้นตัวเครื่องก็จะสื่อสารไร้สายกับนาฬิกาที่วางอยู่ใกล้เตียง วิธีใช้งานไม่ยุ่งยาก เพียงแต่ตั้งเวลาที่คุณต้องการจะตื่น จากนั้นระบบจะกำหนดเวลาปลุกให้อัตโนมัติ โดยจะปลุกให้ตื่นมาในช่วงหลับตื้นสุดท้ายก่อนจะถึงเวลาที่คุณตั้งไว้ (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 21 เม.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





วช.หนุนจุฬาฯ วิจัยวัสดุทันตกรรมราคาถูก

สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ แถลงถึงความสำเร็จโครงการพัฒนาวัสดุทันตกรรม โดยแผนงานบูรณาการด้านยา เคมีภัณฑ์ และวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ภายในกิจกรรมงาน "จากหิ้งสู่ห้าง ครั้งที่ 2" เพื่อนำเสนอผลการดำเนินงานโครงการวิจัยบูรณาการ และโชว์ผลงานของนักวิจัยที่พร้อมจะนำไปสู่เชิงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ 20-21 เมษายน นี้ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว รศ.ทพ.สุรสิทธิ์ เกียรติพงษ์สาร หัวหน้ากลุ่มวัสดุทางการแพทย์ อดีตคณบดีคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า คณะทันตแพทย์ ร่วมกับมูลนิธิอานันทมหิดล ประสบความสำเร็จในการคิดค้นวัสดุทันตกรรมที่มีคุณภาพเทียบเท่าต่างประเทศหลายอย่าง เช่น วัสดุเคลือบหลุมร่องฟัน รากฟันเทียม วัสดุพิมพ์ปาก และกาวยึดฟันปลอม โดยอุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยลดต้นทุนการให้บริการด้านทันตกรรมของชาติอย่างมาก โดยเฉพาะวัสดุเคลือบหลุมร่องฟัน ซึ่งก่อนหน้านี้ต้องนำเข้าในราคากล่องละ 2,000-3,600 บาท แต่เมื่อผลิตเองได้ในคุณภาพเทียบเท่ากันด้วยราคาเพียง 900 บาท โดยทีมวิจัยจะนำเสนอให้กระทรวงสาธารณสุขนำวัสดุเคลือบหลุมร่องฟันนี้ใช้กับโรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศ (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 21 เม.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





วิจัยพบกินไข่ไม่เพิ่มคอเลสเตอรอล แนะควรเลี่ยงของมัน

คุณหมอกรภัทร มยุระสาคร แพทย์โรงพยาบาลสมุทรสาคร วิจัยพบว่ากินไข่ จะไม่มีคลอเรสเตอรอล หลังได้ทุนวิจัยโครงการบูรณาการนำร่องของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ศึกษาระดับไขมันในเลือดและวัดการเปลี่ยนแปลงของระดับไขมันในเลือด โดยให้คนวันทำงานสุขภาพดี 60 คน ทานไข่ทุกวัน วันละฟอง เป็นเวลา 1 เดือน ผลทดลองออกมาว่า ไม่ได้ทำให้ระดับโคเลสเตอรอลตัวร้ายที่เข้าไปอุดตันผนังเส้นเลือดสูงขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นถ้าทานระยะยาว 3 เดือน กลับทำให้โคเรสเตอรอลที่มีประโยชน์ เข้าไปละลายโคเลสเตอรอลตัวร้ายให้ออกมาจากผนังเส้นเลือดได้ดี ส่วนกรณีที่เป็นผู้ป่วยโรคหัวใจ หรือโรคไขมันในเส้นเลือดสูงอยู่แล้ว ทานไข่ต่อเนื่องกันจะมีผลหรือไม่ ยังไม่มีงานวิจัยรองรับ แต่ในเมืองนอกมีการเก็บข้อมูลพบว่าไข่ไม่ได้เป็นตัวเสี่ยงโรคหลอดเลือดและโรคหัวใจ นักวิจัย บอกอีกว่า เหตุที่ทานอาหารประเภทไขมันมากแล้วไม่ดี เพราะอาหารบางอย่างมีไขมันชนิดอิ่มตัว ซึ่งสัมพันธ์กับการเพิ่มโคเลสเตอรอล ควรเลี่ยงกิน เนย ครีม น้ำมันหมู น้ำมันมะพร้าว มันจากสัตว์ ที่สำคัญของหวาน เพราะทานมากๆ ร่างกายใช้ไม่หมด จะแปลงเป็นไขมันแทน เป็นสาเหตุของไขมันในเลือดสูงที่แท้จริง (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 21 เม.ย. 48 http://www.komchadluek.net/breaking)





มช.โชว์ไหมไทยกันน้ำ เทคนิคเดียวกับการทำจอโทรทัศน์

ดร.ประดุง สวนพุฒ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เปิดเผยว่า ม.เชียงใหม่โดยศูนย์วิจัยนิวตรอนพลังงานสูง ประสบความสำเร็จในการปรับปรุงคุณภาพไหมไทย ให้กันน้ำ กันเปื้อน และยับยาก โดยใช้เทคโนโลยีพลาสมาซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับที่ใช้จำกัดเชื้อโรคในเครื่องปรับอากาศและทำหน้าจอโทรทัศน์ ในการปรับปรุงคุณภาพไหมไทยดังกล่าว ได้ใช้กระบวนการอาบเส้นใยด้วยพลาสมา ซึ่งเกิดจากก๊าซที่ถูกทำให้แตกตัวโดยภายในมีประจุและอิเล็กตรอน เมื่อนำผ้าไหมไปอาบในพลาสมาจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผิวของเส้นใยไหม ขณะที่อุตสาหกรรมสิ่งทอต่างประเทศได้ใช้กระบวนการพลาสมา ทำความสะอาดเส้นใยแทนการล้างหรือซักฟอกด้วยน้ำและสารเคมี สำหรับพลาสมาจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับผิวเส้นใยเท่านั้น ขณะที่โครงสร้างเหมือนเดิมและการสัมผัสของคนจะไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ หมายความว่าผิวสัมผัสของผ้าไหมที่ดูดซึมน้ำยากนี้จะเหมือนผ้าไหมทั่วไป ขณะที่ประเทศอิตาลีซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกผ้าไหมระดับโลก ได้ปรับปรุงคุณภาพผ้าไหมให้กันน้ำได้เช่นกันด้วยการเคลือบสารเคมี ซึ่งผู้ใช้สามารถรับรู้ถึงความแตกต่างได้ด้วยการสัมผัส จึงต่างจากผ้าไหมไทยที่อาบด้วยพลาสมา โครงงานวิจัยปรับปรุงคุณภาพไหมไทยนี้ เป็นโครงการย่อยภายใต้โครงการบูรณาการนำร่อง เรื่องลำอนุภาคและพลาสมาสำหรับงานนาโนวิทยาและเฟมโตวิทยา กำหนดระยะเวลา 3 ปี (2547-2549) โดยในปีแรกได้ศึกษาชนิดของพลาสมาจากก๊าซต่างๆ ที่จะทำให้ไหมไทยเปียกน้ำยาก ส่วนโครงงานปีที่ 2 จะมุ่งพัฒนาสิ่งทอติดไฟยาก สำหรับใช้เป็นอุปกรณ์ตกแต่งในเครื่องบินทั้งเบาะนั่ง เครื่องแต่งกายพนักงาน ทั้งนี้ ผลงานไหมไทยกันน้ำพร้อมด้วยเทคโนโลยีพลาสมา ร่วมในงานแสดงผลงานวิจัยบูรณาการที่ได้รับทุนจากสภาวิจัยแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 20-21 เม.ย.นี้ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว กรุงเทพฯ (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 21 เม.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





กล้องจิ๋วตรวจโรคด่วน

นักวิทยาศาสตร์พัฒนากล้องจุลทรรศน์จิ๋ว เล็กเท่าเส้นผมมนุษย์ ปฏิวัติการทดสอบตัวอย่างทางชีววิทยา ความหวังใหม่ช่วยแพทย์ตรวจโรคและพัฒนายาใหม่ กล้องจุลทรรศน์จิ๋วนี้ โดยเนื้อแท้แล้วคือ ชิพชีวภาพ หรือที่เรียกว่าไบโอชิพ ซึ่งเป็นการผสมผสานกันของชิพที่บรรจุข้อมูลเกี่ยวกับสารก่อโรค ซึ่งเมื่อหยดตัวอย่าง เช่น เลือด น้ำลาย ลงบนชิพขนาดจิ๋วนี้แล้ว สามารถวินิจฉัยโรคได้ในเวลาไม่กี่นาที สำหรับไบโอชิพที่นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์พัฒนาขึ้นมานี้เป็น ไบโอชิพเชิงแสง กล่าวคือ ทำงานโดยกระจายแสงเลเซอร์ขนาดบางเฉียบไปที่เซลล์เพื่อวินิจฉัยโรค และด้วยเทคโนโลยีที่คิดค้นใหม่นี้ทีมพัฒนามั่นใจว่า แพทย์สามารถใช้ทดสอบโรคและพัฒนายาใหม่ๆ ได้ โดยขณะนี้ทางทีมวิจัยกำลังหาวิธีรวมไบโอชิพเข้ากับเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น ทำเป็นอุปกรณ์วินิจฉัยโรค ในทางทฤษฎี ไบโอชิพจะสามารถตรวจโรค อย่างเช่น โรคเอดส์ มาลาเรีย และมะเร็งบางชนิด หรือช่วยพัฒนายาโดยวิเคราะห์ว่าเซลล์ตอบสนองต่อสารอย่างไร ปัจจุบัน การวินิจฉัยเซลล์สามารถทำโดยใช้กล้องจุลทรรศน์ทั่วไป หรือใช้อุปกรณ์ตรวจวินิจฉัยโรคที่ใช้ในโรงพยาบาล แต่ไบโอชิพจะช่วยให้แพทย์สามารถทำการวินิจฉัยโรคได้นอกสถานที่ด้วยเวลาอันรวดเร็ว และใช้ตัวอย่างในการทดสอบเพียงเล็กน้อย ศ.พอล สมิธ หัวหน้าทีมวิจัย กล่าวถึงงานวิจัยนี้ว่า ลำดับต่อไปจะพัฒนาอุปกรณ์วินิจฉัยโรคขนาดจิ๋ว ที่พกพาสะดวก ใช้งานง่าย เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในท้องที่ต่างๆ ที่ต้องการการตรวจสอบโรคจากห้องแล็บ และในอนาคตเราอาจเอาชิพฝังเข้าไปในร่างกายของคน (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 21 เม.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ภูมิปัญญาไทยทำ ผ้าย้อมครามประยุกต์ เพิ่มเสน่ห์ให้สปา

แนวความคิดของ อาจารย์ธวัชชัย แสงน้ำเพชร อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาออกแบบสิ่งทอ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร วิทยาเขตชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เล่าว่า การประยุกต์ใช้ผ้าย้อมคราม ซึ่งเป็นสีธรรมชาติเป็นเถาวัลย์ชนิดหนึ่งหรือบางครั้งเรียกว่า ฮ่อม จะให้สีน้ำเงิน ผ้ามีลักษณะพิเศษ มีสีสันสวยงามเหมาะกับการตกแต่ง โดยเฉพาะปัจจุบันจะมีทอมากในภาคเหนือที่อำเภอจอมทอง บริเวณหมู่บ้านหนองหลักช้าง และที่จังหวัดสกลนคร ซึ่งได้ทำการวิจัยทั้ง2แห่ง แล้วนำลวดลายเทคนิคการทอไปให้ชาวบ้าน จากนั้นก็ทำวิจัยผู้บริโภค จากที่ได้มา คนต้องการรูปแบบตุง เราก็พัฒนาการทำตุงโดยการนำเส้นใยไหมพรมบวกกับเส้นฝ้ายย้อมคราม นำมาทอปนกันเสร็จแล้วนำผ้าย้อมครามที่ทอเต็มผืนมาประดิษฐ์เป็นลายกนกหัวท้าย เพ้นต์ลวดลายเส้นทองด้วยสีทองทำให้เกิดงานชิ้นใหม่ขึ้นมาเป็นการเพิ่มมูลค่าอีกทางหนึ่ง นอกจากยังได้ประดิษฐ์สร้างแพ็กเกจใส่เพิ่มเติมเข้าไปด้วยการนำผ้าฝ้ายครามและผ้าฝ้ายพื้นขาวมาบุเป็นกล่องให้ดูน่าใช้ยิ่งขึ้น ขณะนี้ อาจารย์ ธวัชชัย ค้นคิดรูปแบบผสมผสานในสไตล์บาหลี ทั้งหมอน มุ้ง ตุง เบาะนั่ง เครื่องตกแต่งมุมสบายหลากหลายรูปแบบ เพื่อใช้กับสปา อาจารย์ธวัชชัย กล่าวว่า เสน่ห์ของผ้าคราม คือความคลาสสิก ยิ่งซักยิ่งสวย เหมาะแก่การนำมาตกแต่ง หากสามารถนำความเป็นพื้นบ้านมาผสมผสานเข้าไปให้เป็นความทันสมัย ผ้าครามจะยิ่งน่าใช้สร้างรายได้เข้าประเทศไทยได้มาก ผู้อ่านสนใจ สามารถติดต่อได้ที่ โทร.0-2629-9152-7 (สยามรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 21 เม.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





วงการวิทยาศาสตร์การแพทย์ฮือ นาโนเทค"น้ำเอ็มเร็ต"บำบัดโรค

ดร.อิเกอร์ สเมียร์นอฟ นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำชาวรัสเซีย ได้รับเชิญจากสมาคมเคมีให้มาพบปะนักวิทยาศาสตร์เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และร่วมบรรยายพิเศษเรื่อง "นาโนเทคโนโลยีกับน้ำบำบัดโรค" ในวันที่ 22 เมษายน เวลา 13.00-16.00 น. ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า หลังจากวิจัยพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษจากโรงไฟฟ้าปรมาณูเชอร์โนบิลดื่มน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติในบริเวณเทือกเขาแห่งหนึ่งของรัสเซีย และสุขภาพร่างกายดีขึ้นตามลำดับ จึงได้นำน้ำดังกล่าวไปทดลองทางวิทยาศาสตร์ และพบว่าโครงสร้างโมเลกุลของน้ำแตกต่างจากน้ำในแหล่งน้ำอื่นๆ เนื่องจากน้ำบริเวณดังกล่าวไหลผ่านสนามแม่เหล็กที่มีคลื่นความถี่ต่ำช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายที่อ่อนแอ จึงได้จดสิทธิบัตรและใช้หลักการนี้ไปพัฒนาเป็นเครื่องผลิตน้ำเอ็มเร็ต(MRET:Molecular Resonance Effect Technology) เพื่อทดลองบำบัดโรค อาทิ มะเร็ง โรคสะเก็ดเงิน โรคภูมิแพ้ ฯลฯ พบว่าน้ำเอ็มเร็ตสามารถต่อต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการกลายพันธุ์ของเซลล์ ศูนย์การแพทย์แห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ทดลองให้ผู้ป่วยมะเร็งดื่มน้ำเอ็มเร็ต พบว่าภายใน 1-2 สัปดาห์ ร่างกายผู้ป่วยสามารถผลิตเม็ดเลือดขาวเพิ่ม ล่าสุดอยู่ระหว่างทดลองรักษาโรคมะเร็งในหนูจำนวน 400 ตัว เบื้องต้นพบว่าหนูที่ดื่มน้ำเอ็มเร็ตอายุยืนกว่าหนูที่ไม่ดื่มน้ำเอ็มเร็ต 60% ขนาดเซลล์มะเร็งในหนูลดลง 75% จะเสร็จสมบูรณ์ในเดือนพฤษภาคมนี้ ส่วนการทดลองในคนและสุนัขนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างทดลองในหลอดแก้ว ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 21 เม.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





สร้างเครื่องอ่านความคิดทารก พ่อแม่มีความเข้าใจในตัวลูกน้อย

นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นระกำลังคิดประดิษฐ์เครื่องอ่านความคิดของทารก เพื่อช่วยให้พ่อแม่มือ ใหม่ เลี้ยงลูกของตนเองได้ง่ายขึ้น สำนักข่าวเอบีซี นิวส์ ออนไลน์ รายงานว่า นักวิจัยของโรงเรียนแพทย์ ของมหาวิทยาลัยนางาซากิ กำลังคิดค้นประดิษฐ์เครื่องนั้นอย่างขะมักเขม้น โดยให้เครื่องไม่แต่เพียงคอยจะฟังเสียงพูดอ้อแอ้ของทารกแต่ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากจะยังสังเกตดูสีหน้า และตรวจจับอุณหภูมิของร่างกายประกอบด้วย เพื่อจะให้ เข้าใจความคิดนึกของเด็กตัวน้อยได้โดยถูกต้อง จุดประสงค์ของการประดิษฐ์ เพื่อจะให้เป็นเครื่องมือ ช่วยเหลือพ่อแม่มือใหม่ทั้งหลาย จะได้เกิดความรู้ความเข้าใจในการเลี้ยงลูกคนแรกของตนมากขึ้น. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 22 เม.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





ประดิษฐ์ "หุ่นยนต์เมีย" ราคาแสน อ้างมีสมรรถภาพเหนือคนจริง

นายไมเคิล แฮร์ริแมน ช่างซ่อมเครื่องบินเมืองนูเรมเบิร์ก กล่าวอ้างว่า "หุ่นยนต์เมีย" ของเขา ใช้เป็นคู่ผัวตัวเมียได้ไม่ต่างกับผู้หญิงจริง แถมยังแสดงความรู้สึกออกมาได้ เช่น หัวใจจะเต้นแรงขึ้น เพราะมีหัวใจอิเล็กทรอนิกส์ หายใจแรงขึ้น และเพราะเครื่องทำความร้อนที่มีอยู่ในตัว จะทำให้ตัวอุ่นขึ้น นอกจากเท้าเท่านั้นที่จะยังคงเย็นอยู่ "แบบกับที่เป็นอยู่ในชีวิตจริงนั่นแหละ" เขาบอกว่าหุ่นยนต์เมียที่มีเนื้อหนังเป็นซิลิกอน เดิมคิดประดิษฐ์ขึ้นเพื่อใช้ในการฝึกศัลยแพทย์ จะผลิตออกจำหน่ายทั่วไป โดยแบบธรรมดา ได้ตั้งราคาขายไว้ตัวละประมาณ 160,000 บาท แต่หากต้องการแบบพิเศษ เช่น ทรงอกโต ก็จะต้องเสียแพงขึ้นอีก ยังอาจควบคุมได้ด้วยรีโมต ให้แสดงท่าทางยั่วยวนต่างๆได้ โดยชั่วเพียงกดปุ่มเท่านั้นเอง. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 22 เม.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





กรมวิทย์คิดค้นสารกรองสนิมในน้ำบาดาล

นายชัยวัฒน์ ธานีรัตน์ นักวิทยาศาสตร์จากกรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า กรมวิทยาศาสตร์ได้คิดค้นเทคโนโลยีการผลิตสารกรองสนิมเหล็ก สำหรับใช้ในเครื่องกรองน้ำดื่มและเครื่องกรองสนิมเหล็ก ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลที่ใช้น้ำบาดาลได้ใช้น้ำสะอาดในราคาถูกเพื่อการอุปโภคบริโภค ปัจจุบันมีการใช้สารเคมีประเภทสารกรองเคลือบผิวแมงกานีสไดออกไซด์ ในการแยกสนิมเหล็กออกจากน้ำบาดาล แต่เนื่องจากตัวสารและเครื่องกรองน้ำยังมีราคาสูง เพราะต้องนำเข้าสารกรองจากต่างประเทศ ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงเครื่องกรองดังกล่าว จากสภาพปัญหาดังกล่าว กรมวิทยาศาสตร์บริการจึงสนใจวิจัยพัฒนาสารกรองสนิมเหล็กเพื่อใช้ในประเทศ “สารกรองสนิมเหล็กที่คิดค้นขึ้นนี้ ใช้เม็ดทรายหรือเมล็ดดินเผาเป็นตัวพยุงหรือตัวแกน และใช้ด่างทับทิมเคลือบให้ติดเม็ดทรายหรือเม็ดดินเผา จากนั้นจึงเผาด่างทับทิมให้สลายตัวเป็นแมงกานีสไดออกไซด์เคลือบติดเม็ดทราย และสามารถใช้ทำสารกรองสนิมเหล็ก โดยสารดังกล่าวมีอายุการใช้งานประมาณ 2 ปี สามารถนำไปใช้ต่อยอดเป็นอุตสาหกรรมขนาดย่อมในชุมชนได้ โดยปกติแล้วออกซิเจนในอากาศสามารถกรองสนิมเหล็กได้บางส่วน โดยสนิมเหล็กจะตกตะกอนและกระจายอยู่ในน้ำ แต่เมื่อวางทิ้งไว้สนิมเหล็กก็จะเกิดการตกตะกอนขึ้นอีกครั้งจนมีสีแดงปรากฏให้เห็นขึ้น ในขณะที่สารกรองสนิมเหล็กนี้ สามารถเปลี่ยนเหล็กที่อยู่ในน้ำให้ตกตะกอนได้ทั้งหมด ส่วนเม็ดทรายที่นำมาใช้จะต้องผ่านการคัดขนาดให้เหลือประมาณ 0.5 - 2 มิลลิเมตร เพื่อนำมาเคลือบกับด่างทับทิม ก่อนที่จะนำไปเผาด้วยอุณหภูมิ 300 - 400 องศาเซลเซียส รอจนด่างทับทิมที่มีสีม่วงสลายตัวเป็นสีขี้เถ้า จากนั้นก็สามารถนำไปใช้เป็นสารกรองสนิมเหล็กได้ทันที (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 22 เม.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





วิจัยพบกลุ่มยีนดัชนีแจ้งมะเร็งรู้ทันก่อนลุกลาม

ศูนย์มะเร็งซิดนีย์ คิมเมล ในซันติอาโก สหรัฐอเมริกา เปิดเผยผลการศึกษาในที่ประชุมสมาคมวิจัยมะเร็งสหรัฐ รัฐแคลิฟอร์เนีย ว่า นักวิจัยได้ค้นพบกลุ่มยีนที่มีจำนวน 11 ยีน ซึ่งมีรูปแบบกิจกรรมเฉพาะที่ก่อให้เกิดเซลล์ผิดปกติที่นำไปสู่เนื้องอก และโรคมะเร็งได้ ฉะนั้น กลุ่มยีนดังกล่าวเป็นตัวกำหนดให้แพทย์รู้ว่า ผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นมะเร็งตายหรือไม่ ดร.เกนนาดิ กลินซี หนึ่งในทีมวิจัย กล่าวว่า ยีนทั้ง 11 ยีน จะช่วยเตือนให้แพทย์ได้รู้ว่า ผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะเซลล์ย้ายตัวไปยังอวัยวะหนึ่ง และมีสิทธิจะเป็นมะเร็งขั้นร้ายแรงมากกว่าคนอื่นหรือไม่ เนื่องจากกิจกรรมของยีนทั้ง 11 ยีน มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มจำนวนของเซลล์ รวมถึงการนำไปสู่มะเร็งได้มากถึง 10 ชนิด ไม่ว่าจะเป็น มะเร็งปากมดลูกที่พบมากสุดในหญิง มะเร็งต่อมลูกหมากที่พบมากสุดในชาย มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น นอกจากนี้ กลุ่มของยีนดังกล่าวยังช่วยให้แพทย์รู้ด้วยว่า ผู้ป่วยจะตอบสนองกับวิธีรักษาโรคมะเร็งแบบทั่วไปได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งหมายความว่าแพทย์จะสามารถรักษาผู้ป่วยได้ตรงจุดมากขึ้น อีกทั้งยังจะสามารถเลือกวิธีรักษาได้ตามลักษณะอาการของโรคที่เกิดขึ้นอีกด้วย ทั้งวิธีการผ่าตัด คีโมหรือการบำบัดด้วยเคมีและฉายรังสี (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 22 เม.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





วิจัยแบคทีเรียโปรไบโอติกเลี้ยงปลา เอกชนรับลูกแก้ปัญหาสารตกค้าง

นายอติภัทร ยาศิริ นักศึกษาภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ทำการวิจัยต่อยอดอาหารเสริมสำหรับเลี้ยงปลาจนพบว่า เชื้อแบคทีเรียโปรไบโอติกจากการนำข้าวสุกไปหมักเมื่อนำไปเลี้ยงปลาสามารถช่วยให้ปลาเจริญเติบโตได้รวดเร็ว ขณะเดียวกันยังสามารถช่วยลดจำนวนแบคทีเรียที่ก่อโรคในปลาด้วย จึงศึกษาเพิ่มเติมเพื่อหาวิธีการผลิตที่สามารถเพิ่มแบคทีเรียให้ได้จำนวนมาก ปัจจุบันอุตสาหกรรมเลี้ยงปลาส่งออก มีการใช้สารปฏิชีวนะอย่างแพร่หลายเพื่อเร่งการเจริญเติบโตของปลาเพื่อการส่งออก แต่สารดังกล่าวหากใช้ในปริมาณมากจะตกค้างอยู่ในตัวปลา จึงเป็นปัญหาในการส่งออกไปต่างประเทศ ดังนั้น การคิดค้นเชื้อแบคทีเรียโปรไบโอติก ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้จากธรรมชาติมาใช้เป็นอาหารเสริมแทนสารปฏิชีวนะจึงเป็นทางออกหนึ่ง นักวิจัยได้ทำการทดสอบหมักในถังหมักขนาด 5 ลิตร ด้วยอุณหภูมิต่างๆ และพบว่าแบคทีเรียสามารถเจริญเติบโตได้ดีที่อุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส ซึ่งทำให้ได้ปริมาณที่สามารถผลิตเพื่อป้อนให้กับฟาร์มปลาได้ นอกจากนี้ แบคทีเรียช่วยให้ปลามีการเจริญเติบโตที่รวดเร็วแล้ว ยังช่วยลดจำนวนแบคทีเรียบางชนิดที่ก่อโรคในปลาให้ลดจำนวนลง การทดลองดังกล่าวยังอยู่ในระดับห้องทดลอง และกำลังต่อยอดไปสู่การเพาะเลี้ยงเชื้อเพื่อนำไปใช้จริงในระดับอุตสาหกรรรมการผลิต โดยได้ร่วมกับบริษัท พรีเมอร์ จำกัด ผู้เพาะเลี้ยงปลานิลส่งออก ในจังหวัดนครปฐม เข้ามาต่อยอดงานวิจัยเรียบร้อยแล้ว สำหรับงานวิจัยชิ้นดังกล่าวเป็นงานวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนทุนการวิจัยระดับปริญญาตรีจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยแห่งชาติ (สกว.) ปี 2548 ในด้านเทคโนโลยีชีวภาพด้านอาหารและยา (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 22 เม.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





รถเมล์ไฮเทคหมดยุคตีตั๋ว ใช้บัตรเติมเงินเหมือนรถไฟฟ้า

นักศึกษาวิศวะ มจธ.ทดลองทำระบบคิดค่าโดยสารรถประจำทางด้วยบัตรฝังชิพข้อมูลไร้สาย พกใส่กระเป๋าขึ้นรถเมล์สะดวก แค่เดินเฉียดเครื่องระบบหักเงินเสร็จสรรพอัตโนมัติ ลดการใช้กระดาษทำเป็นตั๋ว ไม่ต้องเสียเวลาเก็บสตางค์ หาเหรียญเศษทอนเงิน เงินหมดเติมเงินได้ ระบบคิดค่าโดยสารรถประจำทางแบบเก่าทั้งสิ้นเปลืองกระดาษที่ใช้ทำตั๋วโดยสารและมีปัญหาไม่สามารถเก็บค่าโดยสารได้ทันในกรณีที่มีคนขึ้นจำนวนมาก กลุ่มนักศึกษาชั้นปีที่ 4 ประกอบด้วย นายสมศักดิ์ ทับทองดี นายโสภณ ผู้มีจรรยา และนายอดิเรก ก๋งอ่อน จากภาควิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) จึงคิดพัฒนาระบบคิดค่าโดยสารแบบบัตรฝังชิพข้อมูลไร้สายขึ้นมา บัตรดังกล่าวใช้ชิพเป็นตัวเก็บข้อมูลผู้ใช้และจำนวนเงิน โดยชิพดังกล่าวยังสามารถรับส่งข้อมูลระยะใกล้ได้โดยไม่จำเป็นต้องนำบัตรเสียบเข้าไปอ่านในเครื่อง ระบบดังกล่าวถูกนำมาใช้แล้วกับบัตรโดยสารรถไฟฟ้าใต้ดินในกรุงเทพฯ ซึ่งหากประยุกต์มาใช้กับรถประจำทางจะช่วยอำนวยความสะดวกทั้งผู้ใช้และพนักงานเก็บค่าโดยสาร ผศ.ดร.พินิจ คำหอม อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการของนักศึกษา กล่าวถึงระบบว่า ผู้โดยสารจะสามารถซื้อบัตรโดยสารและสามารถเติมเงินลงในบัตรได้ โดยบนรถประจำทางจะมีเครื่องอ่านบัตรอยู่ 2 ด้าน คือ ด้านขึ้นกับด้านลง เมื่อขึ้นรถผู้โดยสารจะต้องนำบัตรเข้าไปใกล้กับเครื่องอ่าน คือในระยะไม่เกิน 3-4 เซนติเมตร เนื่องจากเป็นเครื่องที่กำลังส่งต่ำ เครื่องอ่านจะบันทึกไว้ว่าขึ้น ณ กิโลเมตรที่เท่าไร (ตามไมล์ของรถ) เช่น ขึ้นที่ระยะ 1,000 กิโลเมตร เมื่อจะลงจากรถก็นำบัตรไปอ่านที่เครื่อง เครื่องก็จะบันทึกกิโลเมตรใหม่ เช่น เป็น 1,010 กิโลเมตร แล้วคิดค่าโดยสารโดยหักเงินออกจากบัตร กรณีที่จำนวนเงินไม่พอนั้น อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ กล่าว ตัวเครื่องอ่านที่ประตูทางขึ้นจะอ่านยอดเงินจากผู้โดยสาร และหากยอดเงินไม่ถึงค่าโดยสารสูงสุดก็จะมีสัญญาณเตือนว่าไม่สามารถขึ้นได้ ซึ่งผู้โดยสารต้องทำการเติมเงินเสียก่อน (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 22 เม.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ยูเอ็นหนุนพัฒนาเจลกันเอดส์ ไม่ต้องใช้ถุงยางรอ 4 ปี พร้อมใช้

ปีเตอร์ พิออท ผู้อำนวยการโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอดส์) กล่าวถึงความเป็นไปได้ของการพัฒนาเจลในการฆ่าเชื้อโรคในช่องคลอดสำหรับผู้หญิง เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ว่ามีความหวังมากกว่าการพัฒนาวัคซีนเอดส์ โดยได้ให้ความคิดเห็นว่า การพัฒนาวัคซีนนั้นยังคงไปไม่ถึงไหน ซึ่งขณะนี้มีงานวิจัยทดสอบวัคซีนในมนุษย์อยู่ 2 งาน โดยทดสอบในอาสาสมัครในไทยและในสหรัฐ อีกทั้งยังมีงานวิจัยที่กำลังดำเนินการอีกมาก หากโครงการดำเนินไปได้ด้วยดีก็น่าจะอีก 3-4 ปี โดยที่ไม่กล่าวเจาะจงถึงผลิตภัณฑ์ที่กำลังอยู่ในการพัฒนาหรืออยู่ระหว่างการทดสอบเลย (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 22 เม.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





จิตรกรรมฝาผนัง หลักฐานสำคัญทางโบราณคดี

ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ปรากฏอยู่บนผนังภายใน หรือภายนอกของอุโบสถวิหาร ศาลา หรือปรางค์ของไทยในอดีตนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นผลงานทางศิลปะที่งดงาม มีจิตรกรรมอีกหลายๆ แห่งที่สะท้อนภาพสังคม คติความเชื่อ และวัฒนธรรมของคนในท้องถิ่นในสมัยนั้นๆ และสมควรที่จะอนุรักษ์ไว้เป็นมรดกของชาติต่อไป แต่ทว่าในคุณค่าของภาพนั้นๆ กลับมีความเปราะบาง เสื่อมสภาพง่าย จึงทำให้จิตรกรรมฝาผนังหลายๆ แห่งหมดสภาพสูญสลายไปแล้วมากมาย โดยไม่มีหลักฐานข้อมูลเกี่ยวกับวัสดุ และเทคนิคของการทำจิตรกรรมเก็บไว้เลย จากงานสัมมนาเรื่อง “วิทยาศาสตร์กับการอนุรักษ์โบราณสถาน” เนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย โดยทางอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา สำนักศิลปากรที่ 3 พระนครศรีอยุธยา สำนักโบราณคดี กรมศิลปากร จัดขึ้นเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมานั้น ทางผู้ช่วยศาสตราจารย์ชมพูนุท ประศาสน์เศรษฐ อาจารย์ประจำคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้นำการวิเคราะห์ผงสีอนินทรีย์ด้วยวิธีวิเคราะห์ทางเคมี และการตรวจศึกษาด้วยกล้องจุลทรรศน์ พร้อมกันนี้ยังได้ใช้วิธีการเลี้ยวเบนรังสีเอ็กซ์ ในการพิสูจน์เอกลักษณ์ของผงอนินทรีย์ และใช้วิธีโครมาโกราฟฟี และวิธีแมสสเปกโตรสโคปี ในการพิสูจน์เอกลักษณ์ของผงสีอนินทรีย์ และจากการสอบถามข้อมูลจากอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ ซึ่งได้บอกเล่าถึงเทคนิค วิธีการเตรียมผนังปูนก่อนที่จะลงมือวาดภาพจิตรกรรม คือภายหลังจากการฉาบผนังปูน จนผนังแห้งแล้วก็จะมีการล้างด้วยน้ำต้มขี้เหล็ก จนกระทั่งเมื่อทดสอบผนังด้วยขมิ้น แล้วขมิ้นไม่เปลี่ยนเป็นสีแดง จึงจะสามารถเตรียมชั้นรองพื้น ซึ่งใช้ดินสอพองผสมกาวเม็ดมะขามเมื่อชั้นรองพื้นแห้งแล้ว จึงใช้ผงสีผสมกับกาววาดเป็นชั้นสี โดยกาวที่ใช้อาจจะเป็นกาวจากยางไม้ หรือกาวหนังสัตว์ก็ได้ จากการค้นข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับใบขี้เหล็ก และขมิ้น ใบขี้เหล็กมีความเป็นกรดเล็กน้อย ขณะที่ขมิ้นให้ค่าดัชนีเป็นกรดด่าง เพราะฉะนั้นเมื่ออยู่ในสภาวะด่าง ขมิ้นจะเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีแดง ดังนั้นผนังปูนเมื่อทำเสร็จใหม่ๆ จะยังคงมีความเป็นด่างสูง ซึ่งน้ำใบขี้เหล็กนี้เองที่จะช่วยลดความเป็นด่างของผนังลง ด้วยวิธีการพิสูจน์ดังกล่าวนี้เองอาจารย์ชมพูนุท ได้นำไปศึกษาด้านตัดขวางของตัวอย่างจิตรกรรม พบว่าก่อนการวาดชั้นสีจะมีการทาชั้นรองพื้นบนผนังก่อน ยกเว้นกรณีชั้นสีดำของจิตรกรรมที่ปรางค์วัดมหาธาตุ จังหวัดราชบุรี ซึ่งชั้นสีดำถูกวาดลงบนผนังโดยไม่มีชั้นรองพื้น ส่วนชั้นรองพื้นของสีอื่นในจิตรกรรมแห่งนี้ พบว่าผงสีของชั้นรองพื้น คือยิปซัม แต่ชั้นรองพื้นที่พบในจิตรกรรมในที่อื่นๆ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยแคลไซต์ และ clayและตัวอย่างอีกหลายอย่างที่บ่งบอกให้เห็นถึงวิวัฒนาการของศิลปะของไทยได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้เป็นเพราะการศึกษาวัสดุและผงสี ซึ่งใช้ในจิตรกรรมฝาผนังของไทยในสมัยต่างๆ นั้นพบว่า ตั้งแต่จิตรกรรมสมัยต้นๆ นั้นแม้ว่าจะมีการใช้ผงสี ที่เป็นวัสดุซึ่งอยู่ตามธรรมชาติในเมืองไทย แต่ก็ยังมีผงสีบางตัว เช่นสีแดงสดซินนาบาร์ และแดงส้มมีเนียม ที่เป็นผงสีซึ่งไม่มีในเมืองไทย แต่จะนิยมใช้กันมากทางแถบตะวันตก ดังนั้น จึงเชื่อได้ว่าในยุคแรกๆ ศิลปะด้านจิตรกรรมฝาผนังของไทยนั้นมีเพียง 2 มิติ แต่เมื่อถึงยุคสมัยรัชกาลที่ 4-5 ซึ่งมีการรับอารยธรรมตะวันตก เทคนิค และวัสดุต่างๆ เริ่มหลั่งไหลเข้ามาในเมืองไทยจึงเริ่มมีการวาดเป็น 3 มิติขึ้น ซึ่งหลักฐานสำคัญ คือผงสีที่ปรากฏอยู่บนภาพจิตรกรรมฝาผนังตามประวัติศาสตร์จะเริ่มปรากฏช่วงศตวรรษที่ 24 จนมาถึงศตวรรษที่ 25 ผงสีดังกล่าวก็ได้ถูกนำมาจากประเทศแถบตะวันตกมาใช้ค่อนข้างชัดเจน จึงนับว่าการพิสูจน์ภาพจิตรกรรมด้วยขบวนการทางวิทยาศาสตร์นั้นนอกจากจะได้รับรู้ถึงคุณค่าสำคัญของภาพนั้นๆ แล้ว ยังสามารถรู้ถึงวิวัฒนาการของศิลปะทางด้านนี้อีกด้วย (สยามรัฐรายวัน ศุกร์ที่ 22 เม.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





วช.คิดค้นชุดตรวจการันตีเนื้อสัตว์ปลอดสาร

เมื่อวันที่ 21 เมษายน ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว กรมปศุสัตว์และคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ(วช.) จัดแถลงผลการวิจัยในการคิดค้นชุดตรวจสารปนเปื้อนในอาหารสัตว์ : Nitro Test Kit, Tetra Test Kit ซึ่งเป็นชุดตรวจสารปนเปื้อนที่มากับอาหารที่ใช้เลี้ยงสัตว์ก่อนนำมาสู่ผู้บริโภค นายยุคล ลิ้มแหลมทอง อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาการส่งออกสินค้าอย่างจำพวกไก่เนื้อ กุ้ง ประสบปัญหาเมื่อมีการตรวจสอบพบสารปนเปื้อนในสินค้า โดยทางการทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงสาธารณสุขได้ตอบสนองนโยบายของภาครัฐในนโยบายอาหารปลอดภัย ซึ่งทางกรมปศุสัตว์เร่งรณรงค์ให้เกษตรผู้เลี้ยงสัตว์ต้องทำการตรวจสอบสารอาหารที่นำมาเลี้ยงสัตว์ว่าสารปนเปื้อนที่เป็นอันตรายแก่ผู้บริโภคหรือไม่ โดยทางกรมทำการตรวจสอบตรวจสอบตั้งแต่ต้นตอของแหล่งผลิต เช่น โรงฆ่าสัตว์ หรือฟาร์มเลี้ยงสัตว์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นก่อนนำไปสู่ผู้บริโภคและเป็นผลดีต่อการส่งออกของประเทศ ( มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 22 เม.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





ยกย่องบรอคโคลีกับพริกแดง มีฤทธิ์ชะลอมะเร็งได้อยู่หมัด

ทีมนักวิจัยของมหาวิทยาลัยพิตส์เบิร์ก ได้ศึกษาดูว่าอาหารและโภชนาการจะมีส่วนช่วย ในการควบคุมมะเร็งเหล่านี้ได้อย่างไร นายสันชัย ศรีวาสเทวะ หัวหน้าคณะวิจัยบอกว่า จากการศึกษาได้พบว่าพริกแดงและพืชในกลุ่มบรอคโคลี มีส่วนช่วยยับยั้งกระบวนการเจริญเติบโตของเซลล์ มะเร็งลงได้ โดยนักวิจัยทดลองนำสารแคปเซซินที่มีอยู่ในพริกไปทดลองกับเซลล์มะเร็งตับอ่อน ที่อยู่ในจานทดลองด้วย ปรากฏว่าสารประกอบนั้นทำให้เซลล์มะเร็งทำลายตัวเองในกระบวนการที่เรียกว่าอะปอปโตสิส ในขณะที่ไม่ทำอันตรายกับเซลล์ตับอ่อนธรรมดา ผลจากการศึกษาจึงแสดงให้เห็นว่าสารแคปเซซินในพริกมีคุณสมบัติต่อต้านมะเร็งได้ คณะวิจัยกลุ่มนี้ยังตรวจสอบดูสารประกอบที่อยู่ในกลุ่มผักพวกกะหล่ำปลี เช่น บรอคโคลี โดยนำไปทดสอบกับเซลล์มะเร็งรังไข่ ปรากฏว่า ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็งชนิดนี้ได้ งานศึกษาครั้งนี้จึงช่วยอธิบายว่า ทำไมคนที่กินผักและผลไม้เป็นจำนวนมากจึงช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเป็นมะเร็งได้ (เสาร์ที่ 23 เม.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





จุฬาฯวิจัยผสมเทียม สุนัข-แมวสำเร็จ

การผสมเทียมสด ได้เกิดขึ้นในบ้านเรามานานแล้ว เป็นการผสมสด โดยเอาน้ำเชื้อตัวผู้สด ๆ ฉีดใส่เข้ามดลูกของเพศเมียซึ่งก็ได้ผลดี แต่ก็ยังแก้ปัญหาของผู้เลี้ยงได้ไม่หมด เช่น ตัวผู้พันธุ์ดีเกิดตายขึ้นมา หรือยังหาตัวเมียไม่ได้ หรือตัวเมียยังไม่พร้อม การเคลื่อนย้ายลำบากเนื่องจากระยะทางไกล และอื่น ๆ การผสมเทียมแบบแช่แข็ง ด้วยการเก็บน้ำเชื้อตัวผู้มาตรวจดูสมรรถภาพของเชื้อให้เรียบร้อยแล้วนำไปแช่ แข็งในอุณหภูมิ -196 ํซ. เก็บไว้ได้นานปี เวลาต้องการใช้ก็อุ่นอุณหภูมิที่ 37 องศาเซลเซียส ดูสมรรถภาพของเชื้อเป็นอย่างไร หากยังแข็งแรงดีจึงฉีดเข้ามดลูกของเพศเมียที่ต้องการทันที ในวัว หมู ปลาดุกได้ทำกันไปแล้ว ผศ.สพ.ญ. ดร.เกวลี ฉัตรดรงค์ แห่งภาควิชาสูติศาสตร์ เธนุเวชวิทยา คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่ง รศ.น.สพ.ดร.ชัยณรงค์ โลหชิต เป็นหัวหน้า ได้บอกว่า การผสมเทียมแบบแช่แข็งน้ำเชื้อไว้ ต่างประเทศได้ทำมา 10 ปีแล้ว ที่นี่ได้ทำสำเร็จในปีนี้ ทำไป 8 ราย ได้ผลดีทั้งแมวและสุนัข ประโยชน์ที่ได้รับคือ สามารถเก็บสายพันธุ์เพศผู้ให้คงอยู่ได้ตลอดไป การผสมพันธุ์ไม่ต้องเคลื่อนย้ายสัตว์และสามารถแบ่งเชื้อผสมให้กับสัตว์ได้หลาย ๆ ตัวด้วย ให้ผู้เลี้ยงสุนัขทั้งที่ต้องการขยายแพร่พันธุ์ให้มาลงทะเบียนจะเก็บเชื้อแช่แข็งไว้ให้ ตัวเมียต้องการผสมพันธุ์ดี ๆ แบบใดให้มาบอก จะบอกรายชื่อเจ้าของตัวผู้ให้ คุยตกลงกันเองทางนี้จะเป็นศูนย์กลางช่วยผสมเทียมให้ การผสมเทียมของสุนัขและแมวโดยแช่แข็งน้ำเชื้อไว้ เป็นผลงานเด่นสำเร็จเป็นแห่งแรกในบ้านเราที่น่าชื่นชม ทำให้ผู้เลี้ยงสุนัขและแมวสะดวกขึ้นมากในการขยายแพร่พันธุ์ ข้อมูลเพิ่มเติม คุณหมอเกวลี ฉัตรดรงค์ รพ.สัตว์เล็ก จุฬาฯ 0-1822-6221, 0-2218-9644-45. (เดลินิวส์ เสาร์ที่ 23 เม.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





“เครื่องซอยหนังหมู” กุดไอเดียราชมงคล

นักศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา วิทยาเขตเชียงราย โดยขวัญชัย สุวรรณ์โน, วัชรพงศ์ ทิพย์เทพ และ ปฐมพงศ์ บุญผดุง จึงได้ช่วยกันคิดประดิษฐ์ “เครื่องซอยหนังหมู” ขึ้น จุดประสงค์หลักก็เพื่อช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ที่พบเห็นในการทำแคบหมู โดยเฉพาะเรื่องความไม่สม่ำเสมอ ใช้เวลาในการหั่นซอยนาน และต้องเสียค่าจ้างแรงงาน ซึ่งเครื่องซอยหนังหมูนี้ประกอบด้วย ชุดตัดหนังหมูที่ประกอบไปด้วยใบมีด 64 ใบวางสลับกัน ลักษณะการตัดเป็นกรรไกร ใบมีดมีรูปร่างเป็นวงกลมและมีคม ใช้มอเตอร์สปลิดเฟสเป็นมอเตอร์ต้นกำลังในการขับเคลื่อนชุดตัด ที่ใช้สายพานเป็นตัวถ่ายทอดกำลัง จากการทดสอบซอยหนังหมู เครื่องสามารถซอยหนังหมูได้ลักษณะเป็นเส้นๆ ทุกเส้นมีขนาดเท่ากันทุกเส้นคือขนาด 0.8 มิลลิเมตร ซอยหนังหมูได้ 2 กิโลกรัม ภายในเวลา 1 นาที ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและแรงงานคนได้อย่างมาก ราคาประมาณ 1 หมื่นบาท ผู้ที่สนใจ เครื่องซอยหนังหมู ติดต่อโดยตรงที่โทร.0-6657-1005 หรือ 0-7183-399 (สยามรัฐ เสาร์ที่ 23 เม.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





ข่าวทั่วไป


ชี้เด็กทั่วโลกตายก่อน 5 ขวบปีละ 11 ล้านคน

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า จากรายงานการชี้วัดการพัฒนาของธนาคารโลกล่าสุดระบุว่า ทุกๆ ปี เด็กๆ เกือบ 11 ล้านคน ในประเทศกำลังพัฒนาต้องเสียชีวิตก่อนที่จะอายุครบ 5 ขวบ เนื่องจากเกือบครึ่งหนึ่ง ป่วยเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ในประเทศที่ร่ำรวย อาทิ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ โรคท้องร่วง และมาเลเรีย ฯลฯ และการพัฒนาด้านวัตถุที่รวดเร็วก่อนปี ค.ศ.1990 ให้ความหวังว่าอัตราการตายของทารกและเด็กในประเทศกำลังพัฒนาจะลดลงประมาณ 2 ใน 3 ในอีก 25 ปีข้างหน้า แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ความก้าวหน้าในด้านนี้ ค่อนข้างช้าในเกือบทุกภูมิภาคของโลก ทั้งนี้ มีเพียง 33 ประเทศเท่านั้น ที่สามารถทำได้ตามเป้าหมายข้างต้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มีประเทศใน 2 ภูมิภาคคือ ลาตินอเมริการวมทั้งประเทศแถบทะเลแคริบเบียนและยุโรปตะวันออกเท่านั้น ที่ทำงานได้ตามเป้า รายงานของธนาคารโลกชี้อีกว่า เมื่อ 5 ปีก่อน ผู้นำของประเทศต่างๆทั่วโลก ได้กล่าวถึงเป้าหมายในการพัฒนา หรือที่เรียกกันว่า "เป้าหมายแห่งสหัสวรรษ" โดยกำหนดว่าจะต้องสำเร็จภายในปี ค.ศ 2015 ซึ่งเป้าหมายนี้ รวมถึงการเพิ่มจำนวนเด็กที่ได้เข้าเรียนในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน การขจัดอุปสรรคที่ทำให้เด็กหญิงไม่สามารถเข้าเรียนได้ และการปรับปรุงระบบสาธารณสุข อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหลายประเทศจะมีความก้าวหน้าตามแผนดังกล่าว แต่ก็ยังมีอีกหลายประเทศที่ยังไม่คืบหน้า ซึ่งจะต้องมีการผลักดันกันขนานใหญ่ โดยเฉพาะประเทศในแถบทะเลทรายซาฮาร่าของทวีปแอฟริกา (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 18 เม.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





ให้เลิกโทษประหารด้วยการฉีดยา หลายรายถูกฆ่าทั้งยังคงรู้สึกตัวดี

นักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯเรียกร้องให้เลิกการประหารนักโทษด้วยการฉีดยา อัน เป็นวิธีการประหารนักโทษที่ได้รับความนิยมกันอยู่ เพราะกล่าวกันว่าเป็นวิธีการ ที่มีความปรานียิ่งกว่าวิธีอื่น โดยแย้งว่าไม่ใช่เป็นวิธีที่มีมนุษยธรรม และปราศจากความเจ็บปวดเสมอไป นักวิจัยของโรงเรียนแพทย์มิลเลอร์ มหาวิทยาลัยเลียวนิดาส โคเนียอริส ที่ไมอามี สหรัฐฯ ซึ่งทำการศึกษาวิจัยกล่าวในรายงานที่เสนอไว้ในวารสารการแพทย์ "แลนเซต" ว่า นักโทษที่ถูกประหารด้วยวิธีนี้บางคนอาจจะต้องถูกทรมานให้เจ็บปวดอย่างไม่จำเป็น เนื่องจากไม่ได้รับการ เตรียมระงับความรู้สึกอย่างเพียงพอ นักโทษควรจะถูกวางยาสลบก่อนที่ จะฉีดยาประหาร เพราะถ้าหากไม่ได้ทำ นักโทษจะต้องประสบกับอาการหายใจไม่ออก และเผชิญกับความเจ็บปวดอย่างน่าสยดสยอง รายงานการวิจัยเปิดเผยว่า "จากการศึกษาการประหารชีวิตด้วยวิธีนี้ ในสหรัฐฯพบว่าไม่มีการติดตามผลของการวางยาสลบเลยถึง 45% ของการประหารทั้งหมด และจากการผ่าศพนักโทษที่ถูกประหารไป 49 ราย ตรวจพบปริมาณยาสลบที่พบอยู่ในเลือดมีอยู่ต่ำกว่าที่จะต้องใช้ในการผ่าตัดถึง 43 ราย และในจำนวนนี้ที่ปริมาณยาส่อว่านักโทษยังคงมีความรู้สึกสมบูรณ์ดีอยู่ขณะถูกประหารมีอยู่ 21 ราย. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 18 เม.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





ต.สยามจับมือญี่ปุ่นตั้งรง.ผลิตยางรถ

นายอภิชัย ตั้งวงศ์ศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ต.สยามคอมเมอร์เชียล ผู้นำเข้าและจำหน่ายยางรถยนต์ โยโกฮาม่า เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมกับบริษัท โยโกฮาม่า จากประเทศญี่ปุ่น ลงทุนสร้างโรงงานผลิตยางรถยนต์ มูลค่า 2,000 ล้านบาท ที่ จ.ระยอง เพื่อใช้ผลิตยางเรเดียลสำหรับรถขนาดใหญ่ อาทิ รถบัส รถบรรทุกขนาดใหญ่ โดยโรงงานแห่งนี้มีกำลังการผลิตสูงสุด 300,000 เส้นต่อปี ทั้งนี้จะก่อสร้างเสร็จในเดือน เม.ย. นี้ และเริ่มเดินเครื่องผลิตได้ในเดือน ก.ค. เป็นต้นไป โดยสินค้าที่ผลิตได้เกือบทั้งหมดจะเน้นเพื่อการส่งออกเป็นหลักตามตลาดภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรป ส่วนการจำหน่ายในประเทศจะมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากตลาดในประเทศยังมีขนาดที่แคบอยู่ สำหรับการเลือกทำเลโรงงานในไทยนั้นถือว่ามีความเหมาะสมดี เพราะมีความพร้อมด้านคมนาคม รวมถึงในเรื่องวัตถุดิบที่หาได้ในประเทศ สำหรับภาพการเติบโตของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะมียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นระดับ 2 หลัก สูงขึ้นกว่าภาพรวมของตลาดที่เติบโต 2-3% เท่ากับปีที่แล้ว ซึ่งธุรกิจยางรถยนต์ในปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ยากลำบากอีกครั้ง เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงเยอะที่ทำให้ตลาดยางในช่วงต้นปีแรกซบเซา ส่วนราคายางรถยนต์ในปีนี้ คาดว่าจะยังไม่ปรับราคาขึ้น. (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 18 เม.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





ศธ.จัดพิมพ์ตำรา "สึนามิ"แจกนร.-ครู-ผู้บริหารทั่วประเทศ

ดร.จรวยพร ธรณินทร์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้จัดทำหนังสือคู่มือจัดการภัยพิบัติแจกนักเรียน ครู และผู้บริหารสถานศึกษาสังกัด ศธ. เพื่อให้สามารถช่วยเหลือตัวเองและผู้อื่นเมื่อต้องเผชิญกับภัยพิบัติโดยเฉพาะสึนามิ โดยคู่มือจะจัดพิมพ์ 3 รูปแบบ คือ 1.สำหรับแจกนักเรียน ชื่อหนังสือ "สึนามิประสบการณ์ผ่านนักเรียน" เล่าเรื่องชีวิตเด็กที่ผ่านประสบคลื่นยักษ์สึนามิโดยตรง พร้อมให้ความรู้ผ่านการ์ตูนสลับเนื้อหาพร้อมภาพประกอบ รูปแบบที่ 2 สำหรับครู ชื่อหนังสือ "การจัดการธรณีพิบัติ : คู่มือครู" โดยยูนิเซฟได้ระดมนักเรียนทั่วโลกมาจัดทำหนังสือเล่มนี้ แล้วแปลจากต้นฉบับเป็นภาษาต่างๆ รวมทั้งภาษาไทย ไม่เพียงแต่ให้ความรู้เกี่ยวกับสึนามิ แต่ยังแนะวิธีควบคุมสถานการณ์ช่วยเหลือตัวเองและนักเรียนในยามเผชิญภัยพิบัติ สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ และประสบการณ์จริงของครูไทยที่ไปปฏิบัติงานในพื้นที่ 6 จังหวัดที่ถูกสึนามิถล่มด้วย รูปแบบที่ 3 สำหรับผู้บริหาร ชื่อหนังสือ "การจัดการภัยพิบัติ : คู่มือผู้บริหาร" ในเล่มนี้จะให้ความรู้ผู้บริหารเกี่ยวกับการรับมือภัยพิบัติ 5 ประเภท คือ สึนามิ, อัคคีภัย, วาตภัย, อุทกภัย และภัยแล้ง พร้อมระบุชื่อหน่วยงานทั้งรัฐและเอกชนที่ให้ความช่วยเหลือ มีตัวอย่างแบบฟอร์มรายงานสถานการณ์ วิธีการจัดการสถานศึกษาที่ประสบภัย สิ่งควรทำและไม่ควรทำ จะพิมพ์เวอรชั่นละ 40,000 เล่ม รวม 120,000 เล่ม โดยยูนิเซฟเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการจัดทำทั้งหมด และจะนำหนังสือสึนามิทั้ง 3 รูปแบบบรรจุไว้ในเวบของศธ. (www.moe.go.th) เวบยูนิเซฟ (www.unicef.org) ด้วย และจะฝึกอบรมครูและผู้บริหารสถานศึกษาถึงวิธีการใช้หนังสือดังกล่าวด้วย โดยแยกอบรมเป็น 4 รุ่น จาก 4 ภาค และอบรมรุ่นละ 100 คน โดยรุ่นแรกเริ่มที่ภาคใต้ จ.ภูเก็ต ในเดือนมิถุนายนนี้ (คมชัดลึก จันทร์ที่ 18 เม.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





5วิชาชีพขาดแคลนเฮรอบ2 เค้กใหม่"5พันล."

กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เสนอของบประมาณ 3.5-5 พันล้านบาท เพื่อนำปรับค่าตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์ 5 สาขาขาดแคลนระยะที่ 2 หลังจากที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลมีมติจัดสรรงบประมาณ 8,000 ล้านบาท เป็นงบฯผูกพัน 3 ระยะ ให้เป็นค่าตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์ 5 สาขาที่ขาดแคลน ได้แก่ แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล และสหวิชาชีพ ที่ทำงานในสถานพยาบาลภาครัฐทั้งหมด เพื่อแก้ปัญหาแพทย์ลาออก ซึ่งล่าสุดคณะกรรมการได้พิจารณาหลักเกณฑ์การจ่ายเงินดังกล่าวระยะที่ 1 จำนวน 2,875 ล้านบาทเสร็จแล้ว โดยเตรียมจ่ายย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2547 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2548 (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 18 เม.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





จีนรุก 'สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ' ดับฝันไทยเป็นศูนย์กลางลุ่มน้ำโขง

10 ปี นับตั้งแต่มีการริเริ่มดำเนินโครงการ สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน จนถึงปัจจุบัน หลายฝ่ายยังคงหลงภาคภูมิใจว่า ไทยจะเป็นชาติ ที่มีความได้เปรียบ ในเชิงภูมิศาสตร์ เหนือกว่าจีน.ลาว และพม่า ด้วยเหตุที่ไทย โดยเฉพาะพื้นที่ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลาง ที่สามารถเชื่อมโยง เส้นทางคมนาคม สู่ประเทศต่างๆ เอื้อให้ไทยสามารถก้าวสู่ บทบาทความเป็นผู้นำทางการค้า ในภูมิภาคแถบนี้ แต่ความจริง กลับพบว่า ปัจจุบัน 60 เปอร์เซ็นต์ของเศรษฐกิจที่เชียงแสน เป็นการลักลอบทำการค้าอย่างลับๆ ระหว่างเอกชนไทย-จีน ผ่านพม่าและลาว โดยพ่อค้าจีนมีบทบาทสูง ถึงขั้นมีการก่อตัวเป็นกลุ่มการค้าแขนงต่างๆ และฝังรากลึกความชำนาญในเขตสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ดังนั้น เมื่อจีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก และเริ่มแผ่อิทธิพลทางเศรษฐกิจสู่ภาคพื้นทะเลผ่านทางมณฑลทางใต้ และตะวันตก จีนมีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการควบคุมเศรษฐกิจ ไทยตกเป็นฝ่ายตั้งรับ โดยบ่อยครั้งการขนส่งสินค้าติดขัดไม่คล่องตัว ขณะที่กลุ่มทุนจีนกลับมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับทั้งพม่าและลาว รวมทั้งมีอิทธิพลในแม่น้ำโขง กระทั่งมีการสร้างเขื่อนควบคุมแม่น้ำที่ใช้ขนส่งสินค้าระหว่างกัน ที่สำคัญ เรือสินค้ากว่า 100 ลำในแม่น้ำโขงล้วนเป็นของกลุ่มทุนจีนแทบทั้งสิ้น ถึงเวลาแล้ว ที่ทุกฝ่ายจะหันหน้าเข้าหารือกัน เพื่อหาทางนำศักยภาพแห่งความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผล อย่างเอาจริงเอาจังและเป็นระบบ (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 18 เม.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





สศค.เสนอ ก.คลังเห็นชอบตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญ

กรรณิการ์ เอกเผ่าพันธุ์ ผอ.สำนักการออมและการลงทุน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า สศค. ได้เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเห็นชอบในหลักการของการจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ เพื่อดำเนินการกำหนดนโยบายและรายละเอียดของกองทุนดังกล่าว โดยรูปแบบของกองทุน จะเป็นลักษณะกองทุนเงินออมแบบภาคบังคับ ซึ่งคาดว่าการจัดตั้งจะแล้วเสร็จภายในปี 2549 และมีผลบังคับใช้ได้ในปี 2550 สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่จะนำเข้ามาอยู่ในกองทุนนั้นคาดว่าจะมีจำนวน 12.46 ล้านคน โดยผู้ที่จะเข้ามาอยู่ในระบบกองทุนเงินออมภาคบังคับระยะแรกจะมีจำนวน 9 ล้านคน ซึ่งการตั้งกองทุนนี้ จะทำให้เงินออมในประเทศเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 8 แสนล้านบาท (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 19 เม.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





เผยมอบ"ช่อการะเกดเกียรติยศ" "ขรรค์ชัย-สุจิตต์"ยึดแนวศรีบูรพา

คณะอนุกรรมการดำเนินงาน 100 ปีศรีบูรพา ฝ่ายศิลปวัฒนธรรม(วรรณกรรม) โดยนายสุชาติ สวัสดิ์ศรี เป็นประธานคณะอนุกรรมการดำเนินงาน 100 ปี ศรีบูรพา ได้ดำเนินการคัดเลือกผู้ได้รับรางวัลช่อการะเกดเกียรติยศในปีนี้และได้ประกาศเกียรติยศให้ นายขรรค์ชัย บุนปาน และ นายสุจิตต์ วงษ์เทศ เป็นนักเขียนช่อการะเกดเกียรติยศประจำปี 2548 ทั้งนี้ จะมีการมอบรางวัลในงานชุมนุมช่างวรรณกรรมประจำปี 2548 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 30 เมษายน ณ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ซึ่งบุคคลทั้งสองที่ได้รับรางวัลในปีนี้มีแนวทางเดียวกับมหาบุรุษผู้เต็มเปี่ยมด้วยอุดมการณ์อย่างศรีบูรพา (กุหลาบ สายประดิษฐ์) สำหรับนักคิดนักเขียน นักหนังสือพิมพ์ที่เคยได้รับรางวัลช่อการะเกดเกียรติยศมาแล้วนั้นมีทั้งหมด 16 คนคือ ลาว คำหอม เมื่อปี 2532, อ.ไชยวรศิลป์ และ สุวัฒน์ วรดิลก ปี 2533, อาจินต์ ปัญจพรรค์ ปี 2534, เสนีย์ เสาวพงศ์ ปี 2535, "รงค์ วงษ์สวรรค์ ปี 2536, ปกรณ์ ปิ่นเฉลียว ปี 2537, วิลาศ มณีวัต และ ประเสริฐ พิจารณ์โสภณ ปี 2538, สมบูรณ์ วรพงษ์ ปี 2539, ภิญโญ ศรีจำลอง ปี 2540, คำพูน บุญทวี ปี 2541, สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ปี 2543, เสาว์ บุญเสนอ และ ชนิด สายประดิษฐ์ ปี 2544, แข ณ วังน้อย ปี 2547 (มติชนรายวัน อังคารที่ 19 เม.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





"ดีเอชแอล"เปิดศูนย์ใหม่

นายเฮอร์เบิต วงศ์ภูษณชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีเอชแอล เอ็กซ์เพรส(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทใช้เงินลงทุนส่วนหนึ่งภายใต้งบประมาณรวม 44,000 ล้านบาท ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เพื่อเปิดสาขาใหม่ 2 สาขา ได้แก่ สาขาธนบุรี และสาขาแหลมฉบัง ภายใต้แนวคิด "ไดรฟ์อิน" คือ ระบบสายพานลำเลียงเอกสารและพัสดุ พร้อมกับติดตั้งระบบอุปกรณ์และเครื่องมือที่ทันสมัย และคาดว่าภายใน 5 ปี การขนส่งเอกสารจะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขสองหลัก (มติชนรายวัน อังคารที่ 19 เม.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





ซีดีกล่อมเด็กพัฒนาสมองฉลาด "ห้ามฟังร็อค-ลูกทุ่ง"เรียนรู้ช้า

พญ.จันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาการการเรียนรู้ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รัฐบาลมอบหมายให้พัฒนาชุดของขวัญสำหรับเด็กแรกเกิด กล่าวว่า ชุดของขวัญนั้นจะมีอุปกรณ์หลายอย่าง เพื่อช่วยในการเรียนรู้ของเด็ก และยังมีซีดี หรือเทปเพลงกล่อมเด็ก ซึ่งจะช่วยพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็กให้ดีขึ้น เพราะเพลงกล่อมเด็กที่มีท่วงทำนองจังหวะที่เหมาะสมจะช่วยกระตุ้นและปรับคลื่นสมองของเด็ก ทำให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้เร็ว และมีพัฒนาการที่ดีขึ้นกว่าเดิม และแม่ยังสามารถเปิดให้ลูกฟังได้ตลอดเวลา ซึ่งจากการสำรวจพบว่าทั่วประเทศมีการใช้เครื่องเล่นซีดี และเทป ในสัดส่วนประมาณ 50:50 ถ้าจะให้ดีแล้วแม่ควรจะเป็นผู้ร้องเพลงกล่อมให้เด็กฟังเอง หรืออาจจะเปิดเพลงกล่อมเด็กให้ฟังก็ได้ แต่ไม่ควรจะเปิดเพลงร็อค หรือเพลงลูกทุ่งที่มีจังหวะกระแทกกระทั้น เพราะเสียงเพลงจะเข้าไปรบกวนคลื่นสมองของเด็ก ทำให้เรียนรู้ได้ช้า" พญ.จันทร์เพ็ญกล่าว และว่า ในต่างประเทศมีการแจกชุดของขวัญนี้เช่นกัน แต่ทำในสัดส่วนที่น้อยกว่าประเทศไทย (มติชนรายวัน อังคารที่ 19 เม.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





"ติ่มซัม" เป็นระเบิดเวลาลูกย่อย มีไขมันอิ่มตัวและโซเดียมสูง

กรมอนามัยอาหารและสิ่งแวดล้อมฮ่องกงกล่าวว่า ติ่มซัม อาหารที่ถูกทำเป็นคำๆ ของโปรดของคนจำนวนมากนั้น มีไขมันและโซเดียมอยู่สูง การกินมากๆอาจทำให้อ้วนและเป็นโรคหัวใจ และหลอดเลือดหัวใจอย่างแรงได้ ที่ปรึกษาของกรมนายโอ ยุค หยิ่น กล่าวว่า "ปกติอาหารที่นึ่งให้สุกจะไม่ค่อยมีไขมัน แต่อาหารพวกทอด และโดยเฉพาะการทอดที่ใส่น้ำมันจนท่วมของที่ทอดจะมีไขมันจัด อาหารติ่มซัมบางอย่างแม้จะนึ่งสุก ก็ยังพบมีไขมันมากอยู่" เขาบอกต่อไปว่า "จากการทดสอบกับอาหารติ่มซัม 75 อย่างด้วยกันพบว่ามันอาจกลายเป็นระเบิดเวลาลูกย่อยๆได้ เพราะอาหารที่มีไขมันสูงก็จะให้พลังงานสูง การบริโภคมากๆอาจทำให้อ้วนได้ การกินไขมันชนิดอิ่มตัวมากไปนานๆจะทำให้ล่อแหลมกับการเจ็บไข้ได้ป่วยเรื้อรังด้วยโรคหัวใจ และหลอดเลือดหัวใจ และมะเร็งบางชนิดด้วย การกินโซเดียมเข้าไปมากก็เช่นกันอาจทำให้เป็นโรคความดันโลหิตสูง อันเป็นชนวนทำให้เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นขั้นต่อไป". (ไทยรัฐ พุธที่ 20 เม.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





'ชาวคาทอลิก'ปลื้มคาร์ดินัลเยอรมนีเป็นโป๊ปองค์ใหม่

ในที่สุดการประชุมลับของคณะพระคาร์ดินัล จาก 52 ประเทศทั่วโลก จำนวน 115 รูป เพื่อลงคะแนนเลือกสมเด็จพระสันตะปาปา ประมุขคริสต์จักรนิกายโรมันคาทอลิกองค์ที่ 265 สืบแทนโป๊ป จอห์น ปอล ที่ 2 ก็ประสบความสำเร็จในการลงคะแนนเลือกรอบที่ 3 เมื่อวันอังคาร 19 เม.ย. ตามเวลาประเทศไทย โดยสำนักวาติกันได้ปล่อยควันสีขาว ซึ่งหมายถึงการเลือกสันตะปาปาองค์ใหม่ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ขึ้นมาจากปล่องควันเหนือวิหารซิซทีน สถานที่ประชุมลับของคณะพระคาร์ดินัล เมื่อเวลา 17.49 น. ของวันอังคาร 19 เม.ย. ตามเวลาท้องถิ่น หรือเวลา 22.49 น. คืนวันเดียวกันตามเวลาประเทศไทย จากนั้น สำนักวาติกันได้ตีระฆังเสียงดังสนั่นทั่วบริเวณจัตุรัสเซนต์ ปีเตอร์ เพื่อส่งสัญญาณซ้ำถึงการได้สันตะปาปาองค์ใหม่ ผสานกับเสียงไชโยโห่ร้องแสดงความยินดีของผู้คนหลายหมื่นคนบริเวณจัตุรัสเซนต์ ปีเตอร์ หลังจากนั้น ราว 45 นาที สำนักวาติกันก็ได้ ประกาศชื่อสันตะปาปาองค์ใหม่ คือพระคาร์ดินัลโจเซฟ รัตซิงเจอร์ ชาวเยอรมัน ตามความคาดหมายของหลายฝ่าย โดยพระคาร์ดินัลจะได้รับพระนามใหม่ คือ "เบเนดิคต์ ที่ 16" (ไทยรัฐ พุธที่ 20 เม.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





จันทรเกษมปลื้มอาจารย์สร้างชื่อ รับรางวัลนักกวีนิพนธ์ดีเด่น

อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม โปรแกรมวิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการชนะเลิศการประกวดกวีนิพนธ์ดีเด่น เข้ารับพระราชทานรางวัลจากพระหัตถ์สมเด็จพระเทพฯ ในวันงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ณ การศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายวรวุฒิ กักษดีบุรุษ เปิดเผยว่า หนังสือที่จัดทำขึ้นเล่มนี้เป็นหนังสือสำหรับเด็กวัยรุ่น อายุ 12-18 ปี เรื่อง "เรืองแสงอรุณ" เป็นคำประพันธ์ร้อยกรองที่นำเสนอสาระและแนวคิดที่มีคุณค่าต่อชีวิตมนุษย์ชี้ให้เห็นถึงความดี ความงามและความเป็นจริงเกี่ยวกับชีวิต ซึ่งจะช่วยจรรโลงใจผู้อ่านให้บริสุทธิ์งดงาม และโน้มนำให้ดำเนินชีวิตไปบนวิถีแห่งความดีงาม โดยผูกโยงหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาสอดประสานสร้างสรรค์เป็นบทกวีนิพนธ์ไทย หนังสือเล่มนี้จัดพิมพ์ขึ้นเองเมื่อปี2546 แต่ปัจจุบันพิมพ์เป็นครั้งที่ 2 แล้วโดยสำนักพิมพ์บรรณกิจและได้รับการคัดเลือกมาจากคณะกรรมการโดยคุณหญิงกุลทรัพย์ เกษแม่นกิจ เป็นประธานคณะกรรมการ (ข่าวสด พุธที่ 20 เม.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





'สมิทธ' ลุยป่าตองตรวจหอสัญญาณเตือนภัยสินามิ

เมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา นายสมิทธ ธรรมสโรช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มาติดตามความคืบหน้า การติดตั้งหอกระจายข่าวเสียงสัญญาณเตือนภัย บริเวณหาดป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต โดยได้ทดลองเปิดสัญญาณเสียงจำนวน 6 เสียงๆละ 10 วินาที ก่อนจะกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า พอใจกับระบบเสียง แต่จะต้องมีการแยกเสียง และสิ้นสุดการเตือนภัย โดยจะมีคำพูดเป็นภาษาไทย อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี จีน ญี่ปุ่น ควบคู่ไปด้วย ทั้งนี้จะต้องมีการซักซ้อมและติดตั้งระบบเชื่อมโยงกับศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ที่กรุงเทพฯ ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนเม.ย.นี้ แต่หากศูนย์ดังกล่าวไม่แล้วเสร็จ ก็จะแจ้งให้ทางเทศบาลเมืองป่าตอง ดำเนินการปล่อยสัญญาณเสียงเตือนให้ประชาชนได้รับทราบอันจะทำให้เกิดความมั่นใจในระบบเตือนภัยมากยิ่งขึ้น ขณะนี้ในส่วนของศูนย์เตือนภัยแห่งชาติดำเนินไปแล้ว 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือ กำลังเร่งดำเนินการติดตั้ง พร้อมกันนี้ได้มีการอบรมเจ้าหน้าที่ที่จะเข้าไปดำเนินการในศูนย์ ซึ่งจะใช้เจ้าหน้าที่ 3 ผลัด ผลัดละ 10 นาย ตลอด 24 ชม. มีเจ้าหน้าที่คอยตอบคำถามของประชาชนทางโทรศัพท์อีก 5 คน ตลอด 24 ชม.อีกด้วย คาดว่าจะเพียงพอกับการบริหารงาน หลังจากการติดตั้งระบบหอกระจายข่าวสัญญาณเสียงในส่วนของพื้นที่ป่าตองเสร็จแล้ว ก็จะได้ดำเนินการในส่วนของหาดอื่น ๆ ในจังหวัดภูเก็ต และอีก 5 จังหวัด รวมแล้วประมาณ 40-50 ชุด คาดว่าจะดำเนินการติดตั้งหอกระจายสัญญาณระบบเตือนภัยแล้วเสร็จภายใน 6 เดือน. (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 21 เม.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





เครื่องหมายฮาลาล

เครื่องหมายฮาลาล คือเครื่องหมายที่คณะกรรมการฝ่ายกิจการฮาลาลของคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย อนุญาตให้ผู้ประกอบการประทับหรือแสดงลงบนฉลากหรือผลิตภัณฑ์หรือกิจการใดโดยใช้สัญลักษณ์ที่เรียกว่า “ฮาลาล” ซึ่งเขียนเป็นภาษาอาหรับภายในกรอบสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน หลังกรอบเป็นลายเส้นแนวตั้ง ใต้กรอบภายในเส้นขนานมีคำว่า “สนง.คณะกรรมการกลาง อิสลามแห่งประเทศไทย” โดยเครื่องหมายนี้จะออกให้กับผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ฮาลาลและหรือเนื้อสัตว์ฮาลาลที่นำเข้าจากต่างประเทศ เป็นต้น (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 21 เม.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





กรมศิลป์แก้กฎหมายหวังล้างภาพไทยแหล่งค้าของเก่า

นายอารักษ์ สังหิตกุล อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวถึงแผนพัฒนากฎหมายของกระทรวงวัฒนธรรมว่า ในส่วนของกรมศิลปากรจะมีการปรับปรุง แก้ไข และยกร่างใหม่ รวม 3 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 และฉบับที่ 2 พ.ศ. 2535 และจะมีการยกร่าง พ.ร.บ. จดหมายเหตุแห่งชาติ ซึ่งทั้ง 3 ฉบับ มีเนื้อหาสำคัญ อาทิ ป้องกันการลักลอบนำเข้าโบราณวัตถุที่มีแหล่งกำเนิดในต่างประเทศ หลังมีการวิพากษ์วิจารณ์จากนานาประเทศว่าไทยเป็นแหล่งค้าโบราณวัตถุจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยผู้ฝ่าฝืนจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับ ไม่เกิน 3 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ, ห้ามมีการโอนโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุที่เป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน เว้นแต่โบราณวัตถุและศิลปวัตถุนั้นมีจำนวนมากเกินความต้องการก็สามารถอนุญาตให้โอนโดยวิธีแลกเปลี่ยนเพื่อประโยชน์ของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติได้, กำหนดให้โบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุที่ถูกฝัง หรือถูกทอดทิ้งไว้ในราชอาณาจักร ในเขตต่อเนื่อง เขตเศรษฐกิจจำเพาะ หรือเขตไหล่ทวีปต้องตกเป็นของแผ่นดิน และหากผู้ค้นพบส่งมอบแก่เจ้าพนักงาน หรือกรมศิลปากร ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่เก็บได้จะได้รับรางวัลไม่เกิน 1 ใน 3 ของมูลค่าทรัพย์สินนั้น, ห้ามมิให้มีการขุดค้นและงมหาโบราณวัตถุ หรือศิลปวัตถุภายในบริเวณที่ได้ประกาศให้เป็นพื้นที่ห้ามขุด ค้นหา โดยจะมอบอำนาจให้อธิบดีกรมศิลปากรสามารถประกาศให้แหล่งที่พบซึ่งมิใช่เขตโบราณสถานเป็นพื้นที่ห้ามขุดค้นหาได้ อีกทั้งสามารถประกาศให้โบราณวัตถุ โบราณสถาน ซากเรืออับปางที่จมอยู่ใต้แม่น้ำ หรือทะเลเป็นเขตคุ้มครองห้ามงมค้นหา ขุดค้น ทำลาย หรือเคลื่อนย้ายได้ นอกจากนี้ยังจะมีการเพิ่มอำนาจให้แก่เจ้าหน้าที่ของกรมศิลปากรในการเข้าตรวจค้น ตรวจสอบสถานที่ต่าง ๆ หากพบว่ามีการซุกซ่อน ขุดค้น หรือทำลายโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ รวมทั้งมีอำนาจจับกุม ยึด หรืออายัดของกลางได้ในกรณีฉุกเฉินหากเห็นว่าอาจมีการโยกย้ายโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุดังกล่าว นอกจากนี้จะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่ให้คำแนะนำแก่รัฐมนตรีในการดำเนินงานด้านโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หรือการออกกฎหมาย รวมถึงการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการโบราณสถานประจำจังหวัดด้วย เพื่อให้ทุกฝ่ายในสังคมได้มีส่วนร่วมในการดูแลรักษาโบราณสถาน โบราณวัตถุซึ่งเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน จะมีการทบทวนการเก็บค่า เข้าชมแหล่งโบราณสถาน และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ซึ่งในปัจจุบันจัดเก็บคนไทย 10-20 บาท ต่างชาติ 40 บาท และยังให้มีการร่างกฎหมายเพื่อกำหนดแนวเขตโบราณสถาน ซึ่งหากผู้ใดถอน ย้าย หรือทำให้เสียหายจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมทั้ง จะกำหนดให้ผู้ที่บริจาคเงินให้แก่กองทุนโบราณคดี มีสิทธินำไปลดหย่อนภาษีได้ด้วย (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 21 เม.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





แก้ปัญหาบึ้มภาคใต้ – เสนอให้ขึ้นทะเบียนซิมการ์ดมือถือทั้งเก่าและใหม่ทั้งหมด

หลังจากที่ผู้ก่อการร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้นำโทรศัพท์มือถือมาใช้จุดชนวนระเบิดหลายครั้ง ทำให้รัฐต้องคลอดมาตรการจัดระเบียบโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบเติมเงิน(พรีเพด) โดยซิมการ์ดใหม่จะให้ผู้ที่ซื้อต้องแสดงตนด้วยการใช้สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก โดยในการแสดงตัวนั้นผู้จำหน่ายจะต้องตรวจสอบบุคคลที่ถือบัตรกับรูปถ่ายในบัตรต้องเหมือนกัน หรือให้กดเลขที่บัตรประจำตัว 13 หลักเพื่อเปิดการใช้งาน โดยส่งเข้าสู่ระบบของผู้ให้บริการ หลังจากเปิดบริการพนักงานบริการลูกค้าจะโทร.กลับเพื่อเช็คข้อมูลของผู้ใช้อีกครั้งว่าตรงกับที่ให้ไว้ตอนเปิดบริการหรือไม่ กรณีที่เป็นชาวต่างประเทศหากจะซื้อซิมให้มีการแสดงตนด้วยการแสดงหนังสื่อเดินทาง(พาสปอร์ต) ก่อนซื้อเพื่อเป็นการยืนยันบุคคล และเมื่อเปิดใช้งานแล้วทางผู้ให้บริการจะตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง ส่วนกรณีของเด็กที่ยังไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนจะต้องให้ผู้ปกครองรับผิดชอบในการแสดงตัวแทน ส่วนซิมการ์ดเก่าที่มีผู้ใช้บริการอยู่มากถึง 21.5 ล้านใบนั้น จะกำหนดให้ผู้ใช้บริการแสดงตนในเวลาที่เติมเงิน โดยการแสดงตนของผู้ที่ใช้ซิมการ์ดแบบเติมเงินเก่าจะต้องทำให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน หากไม่แสดงตนก็จะยกเลิกบริการทันที (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 21 เม.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





ญี่ปุ่นตั้งเงื่อนไขผุดรง.ไบโอดีเซล ขอเว้นสรรพสามิตก่อนลงทุนพันล.

เมื่อวันที่ 20 เมษายน นายเททซึย่า โคชิกาว่า ประธานกรรมการบริษัท เรโว อินเตอร์เนชั่นแนลอิงค์ เจ้าของเทคโนโลยีด้านการผลิตไบโอดีเซลจากญี่ปุ่น เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะลงทุนตั้งโรงงานผลิตไบโอดีเซลจากน้ำมันพืชที่ใช้แล้วในไทย ซึ่งเป็นการลงทุนในต่างประเทศเป็นที่แรก โดยร่วมทุนกับบริษัท Arab Afro Asia (AAA) กำลังการผลิต 300,000 ลิตรต่อวัน หรือ 110 ล้านลิตรต่อปี ใช้เงินลงทุน 25 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยเริ่มลงทุนในปลายปีนี้ ที่ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี เนื้อที่ 27 ไร่ เฟสแรกจะเริ่มผลิตเดือนกรกฎาคม 2549 กำลังผลิต 30,000 ลิตรต่อวัน ที่เลือกมาลงทุนในไทย เนื่องจากมีน้ำมันพืชที่ใช้แล้วจำนวนมาก ประมาณ 1 ล้านลิตรต่อวัน และรัฐบาลไทยมีนโยบายชัดเจนสนับสนุนการใช้ไบโอดีเซลทดแทนน้ำมันดีเซล จึงมีตลาดรองรับที่แน่นอน เพราะปัจจุบันไทยใช้น้ำมันดีเซลสูงถึง 50 ล้านลิตรต่อวัน นายเฉก อะห์มัด ประธานบริษัท AAA กล่าวว่า โครงการนี้จะยื่นขอสิทธิประโยชน์จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ภายในเดือนมิถุนายนนี้ และอยู่ระหว่างการขอรับการสนับสนุนด้านต่างๆ จากระทรวงพลังงาน เช่น การขอยกเว้นภาษีสรรพสามิต เป็นต้น ตั้งเป้าว่าจะขายไบโอดีเซลให้ถูกกว่าราคาดีเซล 20% หรือราคา 16 บาทต่อลิตร (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 21 เม.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





ฮ่องกงเตือนครีมทาหน้าจีนมีสารปรอทปนเปื้อน

เมื่อวันที่ 21 เมษายน ทางการฮ่องกงออกมาเตือนสตรีชาวฮ่องกงที่นำครีมทาหน้ายี่ห้อไวเทนนิ่ง ซันบล็อค ครีม จากประเทศจีนมาใช้ เนื่องจากครีมดังกล่าวมีปริมาณสารปรอทมากถึง 30,000 เท่าจากที่กำหนดไว้ ทั้งนี้จากการที่เจ้าหน้าที่จากกระทรวงสาธารณสุขของฮ่องกงนำครีมดังกล่าวไปตรวจหลังจากได้รับแจ้งจากหญิงวัย 39 ปีคนหนึ่งว่าแพ้ครีมยี่ห้อดังกล่าว พบปริมาณของสารปรอทที่สูง เจ้าหน้าที่สาธารณสุขฮ่องกงเตือนว่าหญิงฮ่องกงคนนั้นเพียงแต่ออกอาการแพ้ผิว แต่ความจริงสารปรอทอาจส่งผลมากกว่านั้น เช่น ทำให้มือสั่น ทำลายโสตประสาท เสื่อมความจำ ทำให้หงุดหงิด และนอนไม่หลับ ( มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 22 เม.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





กีฬา ม.โลกปี 50 มีชิงชัย 15 ชนิด

ดร.ศักดิ์ชาย ทัพสุวรรณ เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการฝ่ายเทคนิคกีฬามหาวิทยาลัยโลกฤดูร้อน ครั้งที่ 24 ปี 2550 โดยเชิญผู้แทนจาก 15 ชนิดกีฬาที่ไทยจัดการแข่งขันครั้งนี้เข้าร่วมหารือ สรุปสาระสำคัญได้ว่า สหพันธ์กีฬามหาวิทยาลัยนานาชาติ (ฟิซู) เห็นชอบอย่างเป็นทางการแล้วให้ไทยจัดการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยโลกฤดูร้อนครั้งที่ 24 ระหว่างวันที่ 8-18 ส.ค.ปี 2550 โดยมีการแข่งขันกีฬา 15 ชนิด ชิงรวมทั้งหมด 324 เหรียญทอง ส่วนกำหนดแข่งขันและสนามที่ใช้จัดแข่งขันของแต่ละชนิดกีฬามีดังนี้ พิธีเปิด-ปิดการแข่งขัน และกรีฑา (42 ทอง) จัดที่เมนสเตเดี้ยม มธ.รังสิต (วิ่งมาราธอน-เดิน20กม.ใช้เส้นทางอยุธยามาหมู่บ้านนักกีฬามธ.รังสิต) 2.กีฬาทางน้ำ (ว่ายน้ำ 32 ทอง, กระโดดน้ำ 12 ทอง, โปโลน้ำ 1 ทอง) ที่สระศูนย์มธ.รังสิต 3.บาสเกตบอล (2 ทอง) ที่ยิมฯ1-2 มธ.รังสิต, 4.ฟันดาบ (12 ทอง) ที่โรงยิมฯ 7 มธ.รังสิต, 5.ฟุตบอล (2 ทอง) ที่สนามมธ.รังสิต, สนามศุภชลาศัย, สนามไทย-ญี่ปุ่นดินแดง, สนามม.รามคำแหง, สนามมศว.องครักษ์, สนามม.เกษตรศาสตร์, สนามม.รังสิต 6.ยิมนาสติก (ยิมฯสากล 14 ทอง, ยิมฯลีลา 8 ทอง) ที่อินดอร์สเตเดี้ยมหัวหมาก กกท., 7.ยูโด (18 ทอง) ที่อาคารจักพันธ์เพ็ญสิริ ม.เกษตรศาสตร์, 8.เทเบิลเทนนิส (7 ทอง) ที่ยิมฯ4-5 มธ.รังสิต, 9.เทนนิส (5 ทอง) ที่มธ.รังสิต, 10.วอลเลย์บอลในร่ม (2 ทอง) ที่ยิมฯ1-3 มธ.รังสิต,ยิมฯ2มศว.องครักษ์,ยิมฯนิมิบุตร,ยิมฯ2ม.รามคำแหง,ยิมฯม.มหิดล ศาลายา, ยิมฯเอแบค สมุทรปราการ,เดอะมอลล์ บางกะปิ, 11.แบดมินตัน (6ทอง) ที่ยิมฯ2มธ.รังสิต, 12.กอล์ฟ ( 4 ทอง) ที่สนามอัลไพน์, 13.เทควันโด (16 ทอง) ที่ยิมฯ5มธ.รังสิต, 14.ยิงปืน (ยิงปืน26 ทอง, เป้าบิน 12 ทอง) ที่สนามกกท., 15.ซอฟท์บอล (1 ทอง) ที่สนามมธ.รังสิต (เดลินิวส์ อาทิตย์ที่ 24 เม.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





ปฏิรูปราชการตัดโควต้าปลัด"ศธ." ก.วิทย์-ไอซีทีแจ๊กพ็อตถูกยุบรวม!

นายวิษณุแถลงภายหลังการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง "ทิศทางและแนวทางการพัฒนาระบบราชการ" ขึ้นที่โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัล หัวหิน รีสอร์ท จ. ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 23 เมษายน โดยมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ก.พ.ร. เป็นประธาน ว่า อนาคตการจัดโครงสร้างส่วนราชการจะไม่ยึดติดอยู่กับรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเหมือนในปัจจุบัน ซึ่งในกระทรวงจะมีโครงสร้างถึง 5 รูปแบบ ได้แก่ 1.กระทรวงที่มีปลัดกระทรวงเป็นหัวหน้าส่วนราชการ แต่ไม่มีกรม 2.กระทรวงที่มีปลัดกระทรวงเป็นหัวหน้าส่วนราชการ มีกรม แต่ไม่มีกลุ่มภารกิจ 3.กระทรวงที่มีการรวมกรมที่มีลักษณะงานใกล้เคียงกันเข้าไว้ด้วยกันแล้วจัดตั้งเป็นกลุ่มภารกิจ มีปลัดบริหารกลุ่มภารกิจซึ่งมีสถานะเทียบเท่าปลัดกระทรวง(ซี 11) เป็นหัวหน้าส่วนราชการ ทั้งนี้ จะกำหนดคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งปลัดบริหารกลุ่มภารกิจว่าต้องเป็นผู้อาวุโส เคยผ่านการเป็นอธิบดีมาก่อน 4.กระทรวงที่มีทบวงอยู่ภายใน ไม่มีกรม จะมีปลัดทบวงเป็นหัวหน้าส่วนราชการ เช่น กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อาจมีการควบรวมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) แล้วใช้ชื่อใหม่ว่า "กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร" โดยมี 2 ทบวงย่อยอยู่ในกระทรวง คือ ทบวงวิทยาศาสตร์และเทคโลยี และทบวงสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งอันนี้ถือเป็นรูปแบบใหม่ มีข้อดีคือ ทำให้จำนวนกระทรวงในประเทศไทยลดลง มีรัฐมนตรีน้อยลง และข้าราชการที่ทำงานในกระทรวงดังกล่าวมีโอกาสเติบโตในสายงานมากขึ้น เพราะสามารถโยกย้ายข้ามทบวงแต่อยู่ภายในกระทรวงเดียวกันได้ และ 5. กระทรวงที่มีทบวงอยู่ภายใน และมีกรม มีปลัดทบวงเป็นหัวหน้าส่วนราชการเช่นกัน ในส่วนการปรับโครงสร้างกระทรวงต่างๆ ประธาน ก.พ.ร.ระบุว่า จะมีทั้งการยุบ ควบรวม โดยได้แต่งตั้งเจ้าภาพไปศึกษาและหาข้อสรุปในส่วนของกระทรวงที่มีปัญหาเรื่องโครงสร้างและภารกิจรวม 11 กลุ่ม เพื่อหารือร่วมกับรัฐมนตรีและปลัดกระทรวง ดังนี้ 1.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการจัดตั้งทบวงดินและทบวงน้ำ โดยมอบหมายให้นายปลอดประสพเป็นเจ้าภาพ 2.กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงอุตสาหกรรม จะแบ่งการค้าออกเป็น 2 ส่วนคือ การค้าภายในประเทศให้กระทรวงพาณิชย์ดูแล ส่วนการเจรจาการค้าระหว่างประเทศให้กระทรวงการต่างประเทศดูแล ในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรม อาจเปลี่ยนชื่อเป็น "กระทรวงอุตสาหกรรมและการพัฒนาผู้ประกอบการ" โดยมอบหมายให้นายสมพล เกียรติไพบูลย์ กรรมการ ก.พ.ร. เป็นเจ้าภาพ โดยมีนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรี ร่วมด้วย 3.กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงไอซีทีจะควบรวมกันแล้วเปลี่ยนชื่อใหม่ มอบหมายให้นายสมภพ อมาตยกุล กรรมการ ก.พ.ร. เป็นเจ้าภาพ 4.กระทรวงคมนาคม มีแนวโน้มจะเปลี่ยนชื่อเป็น "กระทรวงการขนส่งและก่อสร้าง" แล้วดึงกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทยเข้ามารวมด้วย มอบหมายให้นายอำพล กิตติอำพน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นจ้าภาพ 5.กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข มอบหมายนายธรรมรักษ์ การพิศิษฐ์ กรรมการ ก.พ.ร. เป็นเจ้าภาพ โดยเน้นการพิจารณเรื่องการจัดตั้งสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน และการจัดตั้งกรมอาชีวะอนามัย 6.กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มอบหมายให้นายชัยอนันต์ สมุทวณิช กรรมการ ก.พ.ร. เป็นเจ้าภาพดูแลเรื่องการยุบรวม 7.กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงไอซีที มอบหมายให้นายมนุชญ์ วัฒนโกเมร กรรมการ ก.พ.ร. เป็นเจ้าภาพ หลังพบว่าการทำงานซ้ำซ้อนกันในหลายเรื่อง อาทิ การจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนอเนกประสงค์(สมาร์ทการ์ด) งานทะเบียนราษฎร โดยเฉพาะกรมอุตุนิยมวิทยา ต้องทบทวนว่าควรจะอยู่ในกำกับของหน่วยงานใด หลังเกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ 8.กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ซึ่งวันนี้มีเพียง สตช.เท่านั้น ที่ยังไม่เข้ามาอยู่ในกำกับของกระทรวงยุติธรรม มอบหมายให้นายมีชัย ฤชุพันธุ์ กรรมการ ก.พ.ร. เป็นเจ้าภาพ 9.กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจัดทำและเบิกจ่ายงบประมาณ มอบหมายให้นายสมใจนึกเป็นเจ้าภาพ 10.สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีการเสนอให้เปลี่ยนตำแหน่งปลัดสำนักนายกฯ เป็นปลัดบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งถือเป็นซุปเปอร์ปลัดฯ เพราะต่อไปสำนักงานปลัดสำนักนายกฯ จะมีหน้าที่ติดตามนโยบายของรัฐ ติดตามการตรวจราชการ ติดตามการปฏิบัติตามมติ ครม. มอบหมายให้นายสุรนันทน์ เป็นเจ้าภาพ และ 11.กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่แปรสภาพ 5 หน่วยงานใน ศธ. เป็นทบวง ดังนั้น ต่อไปอาจจะไม่มีตำแหน่งปลัด ศธ. แต่จะเป็นปลัดทบวงทั้ง 5 แท่งแทน มอบหมายให้นายชัยอนันต์ สมุทวณิช กรรมการ ก.พ.ร. เป็นเจ้าภาพ เมื่อพิจารณาปรับโครงสร้างกระทรวงแล้วเสร็จให้นำกลับมาเสนอที่ประชุม ก.พ.ร.ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ นอกจากนี้ จะมีการสลายความเป็นนิติบุคคลของกรม 149 กรม โดยให้กระทรวงเท่านั้นที่เป็นนิติบุคคล เพื่อความคล่องตัวในการบริหารงาน งบประมาณ และบุคลากร (มติชนรายวัน อาทิตย์ที่ 24 เม.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





ผู้นำเอเชีย-แอฟริกาตั้งระบบเตือนภัยสึนามิ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ได้มีการออกแถลงการณ์ภายหลังการประชุมสุดยอดเอเชีย-แอฟริกาที่กรุงจาการ์ต้า ประเทศอินโดนีเซีย เสร็จสิ้นลงความว่า ผู้นำของ 89 ประเทศจาก 2 ทวีปได้ตกลงกันที่จะจัดตั้งระบบเตือนภัยคลื่นยักษ์สึนามิ เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากธรณีพิบัติ แถลงการณ์ระบุว่า ระบบเตือนภัยดังกล่าว จะเป็นไปในรูปแบบการบูรณาการเพื่อพัฒนาระบบการเตือนภัยที่มีความหลากหลายเพื่อให้เกิดกลไกของการเตรียมพร้อม การป้องกัน และการสนองตอบอย่างรวดเร็วต่อสถานการณ์ โดยมุ่งหวังที่จะลดขนาดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติดังกล่าว นอกจากนี้ ยังจะมีการจัดตั้งหน่วยเตรียมพร้อมเพื่อช่วยเหลือกันในกรณีเกิดภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว สึนามิ หรือภัยธรรมชาติอื่นๆ และทำหน้าที่แลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน (ไทยรัฐ อาทิตย์ที่ 24 เม.ย. http://www.thairath.co.th)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215