หัวข้อข่าวปีที่ 6 ฉบับที่ 17 ประจำวันที่ 2005-05-09

ข่าวการศึกษา

การสอบเข้าในอเมริกา
สกอ.มั่นใจข้าราชการได้โบนัสคนละ2เดือน
ศธ.ได้ไอเดียอังกฤษพัฒนาวิธีประเมิน
ใช้ "ปริซึมเรียนรู้" หาอัจฉริยะเคล็ดลับนักวิชาการสหรัฐ
ดึงก.แรงงานตั้งโรงเรียนเตรียมวิศวะ
ศธ.เตรียมทำแผนพื้นที่เสี่ยง
ทปอ.ยันไม่ลดจีพีเอหวั่นเด็กทิ้งห้องเรียน เผยนายกฯหนุนอธิการฯ
มศว จัดแข่งขันเคมีโอลิมปิก
6ใน8คณะยอมย้ายไปมธ.ศูนย์รังสิตปี"49
มศว ใช้ผลวิจัยทำคู่มือครู ประยุกต์แก้ปัญหา-พัฒนาเยาวชนไทย
ศธ.ยื่นมือสอนทางไกลมองโกเลีย
ม.เอกชนปลอบขวัญรับตรงกว่า 6 หมื่นคน
พลังคนรุ่นใหม่ ท้าชนยักษ์มือถือ แห่ทดสอบ “NWO Project 2”

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

ซิปาดึงไอทีหนุนอุตฯ ท่องเที่ยวสร้างศูนย์เชื่อมธุรกิจโรงแรม-ร้านค้า
มนุษย์เดินเรือก่อเสียงรบกวนหนัก ทำลายโลกของสัตว์ในมหาสมุทร
โลกาภิวัตน์ : เครือข่ายฉุกเฉิน
เกาหลีใต้ประเดิมทีวีบนมือถือ
โลกวิทย์ : แกะรอย "ดีเอ็นเอ" ศึกษาต้นตระกูลมนุษย์
วิกฤตท้าทายมนุษย์

ข่าววิจัย/พัฒนา

ธนาคารแอนติบอดีมนุษย์ ผลิตเซรุ่มต้านพิษงู
มก.ปัดฝุ่นวิจัยพืชพลังงาน สุดยอดสบู่ดำทดแทนปิโตรเลียมได้ดี
มูลนิธิ50ปีธปท.แจก3ทุนวิจัย5ล้าน เชิดชูเกียรติ
มูลนิธิ50ปีธปท.แจก3ทุนวิจัย5ล้าน เชิดชูเกียรติ
โฉมใหม่ยาฆ่าเชื้อรา หมากฝรั่งเคี้ยวแทนอมยาน้ำ
สวทช.ร่วมฟื้นฟูอีสานล่าง หนุน5ล้านเทคโนธานีวิจัย
'นวัตกรรม' ลุยยุทธศาสตร์เพิ่มมูลค่ายาง
สหรัฐสร้างกองทัพหนูฝั่งชิพสมองหาระเบิด
ความอ้วนเพาะโรคสมองเสื่อม หญิงเสี่ยงกว่าปกติขึ้น 2 เท่าครึ่ง
ราชมงคลผันลมร้อนจากแอร์ พลังงานอบแห้งสินค้าเกษตร
เอไอทีคิดค้นผนังคอนกรีตทนแรงระเบิด
ระบบตรวจจับขโมยไฮเทค ติดเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิร่างกายแจ้งตรงมือถือ
เครื่องทำน้ำอุ่นด้วยกระป๋องน้ำอัดลม ใช้แทนแผงโซลาร์เซลล์ติดบนหลังคา
เลี้ยงแมวหุ่นยนต์หมดปัญหาภูมิแพ้ ร้องเหมียวๆ ลีลาเดินย่องเหมือนจริง
วว.โชว์การผลิต “เห็ดเมืองหนาว” พื้นที่ภาคกลางแห่งแรกของประเทศ
เครื่องเชื่อมพีวีซี ผิดที่ลอกเชื่อมใหม่ได้
พัฒนาเทคโนโลยีใช้แสงอาทิตย์ ผลิตได้ทั้งน้ำประปาและไฟฟ้า
ตั้งรางวัล 40,000,000 บาท ให้กับนักประดิษฐ์นักวิจัยทั่วโลก
ไฟฟ้าพลังกล้วย พลังงานถูกใกล้ตัว
ผลงานวิจัยเด็กไทยใช้มือถือเป็นยาม
วว.ระดมชิ้นงานโชว์เทคโนฯแก้จน ลดพึ่งพา ตปท.
สวทช.ควงอียูเปิดโครงการยูโรไทยแลนด์ 2005 หนุนวิจัยใช้ไอทีเป็นฐานพัฒนานวัตกรรม
ราชภัฏคิดสูตรกระเบื้องใส ผสมยางสังเคราะห์ทนแรงกระแทก
สนช.เปิดตัว'เมธีส่งเสริมนวัตกรรม' รับภาระทูตองค์กร กระตุ้นเอกชนสร้างตราสินค้าใหม่
ลูกบอลติดกล้อง ช่วยภารกิจหน่วยสวาท
นศ.เอไอทีผุดหุ่นบินพ่นยา กองทัพสนใจใช้สืบราชการลับ
จักรยานล้อปรับได้ไม่กลัวล้ม ฝึกทักษะทรงตัวช่วยเป็นเร็ว
อุปกรณ์ไฮเทคตรวจสมองช้ำใน เช็คประสาทนักกีฬาก่อนสาย
นวัตกรรมใหม่ ชุด “GLIFT KIT” ตรวจไวรัสในกล้วยไม้ 5 นาที สำเร็จ!
กรมวิชาการเกษตรสร้างนวัตกรรมใหม่ ตรวจสารแอฟลาทอกซินปนเปื้อนผลผลิต

ข่าวทั่วไป

เปิดสปาสุขภาพชะลอความแก่เฒ่า ให้ลงดำอาบอบในบ่อช็อกโกแลต
รัฐบาลใจปํ้าปรับเงินเพิ่มหมอ-พยาบาล-เภสัชยิ้ม
เฉลิมพระเกียรติเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ เปิดตัวศูนย์วิจัยและบำบัดมะเร็ง
ไทย-ฝรั่งเศสร่วมขุดค้น แหล่งมนุษย์ดึกดำบรรพ์
ปฏิวัติวิธีฝังศพมนุษย์แต่โบราณ เปลี่ยนจากท่านอนมาเป็นท่ายืน
กรมศิลป์พร้อมร่วมมือการแกะสลักภูเขาหิน
ไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพประชุมสุขภาพโลกส.ค. รัฐเตรียมประกาศคัมภีร์"บางกอก ชาร์เตอร์"
วิธีช่วยครอบครัวที่มีเด็กติดเกม
กทม.เตรียมเก็บค่าขยะสิ้นเดือนนี้หลังละ60บาท





ข่าวการศึกษา


การสอบเข้าในอเมริกา

ข้อสอบมาตรฐาน ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในอเมริกา SAT (Scholastic Aptitude) จะเป็นที่นิยมในแถบตะวันเฉียงเหนือ และทางตะวันตกของประเทศ ในขณะที่ ACT (American College Test) จะนิยมในแถบมิดเวสต์และตะวันออกเฉียงใต้ นักเรียนที่วิชาการเก่งจะชอบทำข้อสอบ ACT เพราะจะน้ำหนักของคะแนนไปที่คณิตศาสตร์ การอ่าน การเขียนมากกว่า SAT ซึ่งเน้นไปที่ความถนัดของเด็กมากกว่า SAT ดำเนินการโดย ETS (Educational Testing Service) ซึ่งเป็นหน่วยงานเดียวกับที่ทำข้อสอบโทเฟิล ส่วน ACT พัฒนาขึ้นโดย ACT Inc.ส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยไอโอวา และศึกษาตัวอย่างโดยใช้ประเทศที่พัฒนาแล้วเป็นกรณีศึกษา ยกตัวอย่าง ประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากเขามีประวัติการพัฒนาเรื่องมาตรฐานข้อสอบมานาน เขาใช้วิธี “รับตรง” คือ แต่ละมหาวิทยาลัยรับเด็กเข้าเรียนเอง นักเรียนคนหนึ่งจะส่งใบสมัครไปที่มหาวิทยาลัยกี่แห่งก็ได้ ในการคัดเลือกนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัยของเขา ก็มีความเป็นจิตพิสัยในระดับหนึ่ง โดยที่แต่ละมหาวิทยาลัยจะแต่งตั้งกรรมการทำหน้าที่คัดเลือกเด็กเข้าเรียนที่เรียกว่า Admission Officers ในการคัดเลือก เขาก็พิจารณาหลักๆ ที่คะแนนจากข้อสอบมาตรฐานที่เด็กมัธยมปลายทุกคนต้องสอบอย่าง SAT หรือ ACT นอกจากนี้ ก็มีองค์ประกอบอื่นๆ ในการพิจารณา เช่น ผลการเรียนระดับมัธยมปลาย เรียงความแสดงจุดหมายของการเรียนและชีวิต ผลงานแสดงความสามารถของนักเรียน เป็นต้น ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาต้องการให้แน่ใจว่าเด็กที่รับเข้ามาจะมีคุณภาพ มีศักยภาพในการสำเร็จการศึกษา และจะเป็นเกียรติเป็นศรีแก่สถาบันต่อไปในอนาคต (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 2 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





สกอ.มั่นใจข้าราชการได้โบนัสคนละ2เดือน

ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยความคืบหน้าในการจัดสรรเงินโบนัสให้แก่ข้าราชการและลูกจ้างในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ที่ได้รับจำนวน 71 ล้านบาท ว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ตนได้ประชุมผู้บริหาร สกอ. เกี่ยวกับการจัดสรรเงินดังกล่าว ซึ่งที่ประชุมเห็นว่าเงินที่ได้มานั้นคำนวณจากฐานของข้าราชการมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีปทุมวัน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และ สกอ. ดังนั้นควรที่จะจัดสรรเงินให้แก่ทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน แต่เนื่องจากในการจัดสรรนั้นมีเงื่อนไขให้ดูจากดัชนีชี้วัดการทำงานที่เกิดขึ้นด้วย ซึ่งดัชนีชี้วัดดังกล่าวส่วนใหญ่อยู่ที่ สกอ.ถึง 90% แต่ สกอ.เห็นว่าอยากให้การจัดสรรเป็นไปอย่างเท่าเทียมกัน จึงจะแบ่งการจัดสรรเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มที่ 1 จะหารเฉลี่ยให้ทุกหน่วยงาน โดยให้ค่าน้ำหนักส่วนนี้ 70% ซึ่งในส่วนนี้ก็จะรวมไปถึงข้าราชการของสำนักงานสภาสถาบันราชภัฏ (สรภ.) เดิมที่มาอยู่ใน สกอ. ด้วย ถึงแม้ว่ากลุ่มนี้จะไม่ได้เข้ากลุ่มท้าทายก็ตาม และที่เหลือ 30% ก็จะดูจากดัชนีชี้วัดในการทำงาน นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) แจ้งว่าในปีนี้ยังทำไม่ได้ แต่ถ้ามหาวิทยาลัยต้องการจะทำก็ต้องนำเงินรายได้ของมหาวิทยาลัยมาให้เอง แต่ ก.พ.ร. เห็นว่าปีหน้าจะจัดสรรเงินโบนัสให้แก่พนักงาน รวมทั้งจะปรับฐานเงินเดือนพนักงานจากเดิมที่ได้รับ 1.7 เท่าของเงินเดือนข้าราชการให้เพิ่มขึ้นด้วย. (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 2 พ.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ศธ.ได้ไอเดียอังกฤษพัฒนาวิธีประเมิน

คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ในการประชุมผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้ตรวจราชการจากประเทศอังกฤษได้มาเล่าถึงประสบการณ์การตรวจราชการที่เกี่ยวกับการประเมินการจัดการศึกษาของประเทศอังกฤษ ซึ่งพบว่ามีส่วนที่น่าสนใจและสามารถนำมาปรับใช้กับการจัดการศึกษาของไทยได้ โดยเฉพาะการนำผลประเมินสถานศึกษามาเชื่อมโยงไปสู่เงินเดือนของครู โดยจะดูครูเป็นรายบุคคลว่าครูมีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์หรือไม่ ซึ่งระบบตรวจราชการของอังกฤษจะใช้การจ้างบริษัทซึ่งถึงแม้จะเป็นบริษัทภายนอก แต่คนที่มาทำหน้าที่เป็นผู้ประเมินส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในด้านบริหารโรง เรียน หรืออดีตครู โดยผู้ประเมินต้องเข้ารับการอบรมประมาณ 3 สัปดาห์ และเวลาที่ไปประเมินก็จะไม่ใช้เอกสารมาก แต่จะใช้การไปนั่งดูการเรียนการสอนตลอดระยะเวลา 1 สัปดาห์ และที่สำคัญภายหลังจากการประเมินแล้วเสร็จก็จะมีข้อเสนอที่ทำร่วมกับครูอย่างชัดเจนว่าห้องเรียน และโรงเรียนควรจะปรับปรุงให้เป็นรูป ธรรมได้อย่างไร และถ้ามีโรงเรียนที่ไม่ผ่านการประเมินก็จะมีระบบการติดตามดูแล ซึ่งหลังจากที่ใช้ระบบดังกล่าวในการตรวจราชการแล้วจากเดิมที่การตรวจ แต่ละครั้งจะมีโรงเรียนที่ไม่ผ่านประมาณ 10% ทำให้ปัจจุบันจะมีโรงเรียนที่ไม่ผ่านการประเมินลดจำนวนลงไปมาก ปลัด ศธ.จะนำประสบการณ์ของประเทศอังกฤษดังกล่าวไปหารือกับ ศ.ดร.สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) และดร.อดิศัย โพธารามิก รมว.ศึกษาธิการ เพื่อนำมาปรับใช้กับระบบการประเมินคุณภาพของไทย โดยเฉพาะเรื่องการประเมินที่มีการเชื่อมโยงระหว่างการประกันคุณภาพ กับการเพิ่มวิทยฐานะหรือเงินเดือนของครู (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 2 พ.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ใช้ "ปริซึมเรียนรู้" หาอัจฉริยะเคล็ดลับนักวิชาการสหรัฐ

ดร.จูน เมคเกอร์ (Dr.June Maker) ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาพิเศษ มหาวิทยาลัยอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา เจ้าของโครงการ "ดิสคัฟเวอรี่" ที่ค้นหาเด็กที่มีความสามารถพิเศษระดับประถมในเด็กชนกลุ่มน้อยของอเมริกา ได้เดินทางมาเป็นวิทยากรบรรยายในการอบรมเชิงปฏิบัติการ "การค้นหาและพัฒนาอัจฉริยภาพเด็กในระดับมัธยมศึกษา" ซึ่งมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) และกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ร่วมกันจัดขึ้นที่โรงแรมบางกอกพาเลซ กรุงเทพฯ ในวันที่ 29 เมษายน-1 พฤษภาคม 2548 เขากล่าว่างานวิจัยอเมริกาเรื่องความสัมพันธ์ของไอคิวกับความสำเร็จในชีวิต พบว่า การมีไอคิวสูงไม่ได้มีส่วนทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิต การใช้แบบทดสอบไอคิวมาวัดความสามารถเด็ก จึงเป็นสิ่งที่แคบมากและไม่แน่นอน เพราะวัดความสามารถทั่วๆ ไป อเมริกาวัดแววเด็กใน 2 ส่วนคือ ความสามารถพิเศษเฉพาะด้าน เช่น เด็กเก่งวิทยาศาสตร์ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และกระบวนการแก้ปัญหา เช่น นักศึกษาอียิปต์ที่มหาวิทยาลัยอริโซนา ทำวิจัยคัดเลือกเด็กที่มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ระดับประถม โดยให้เด็กลงไปศึกษาปัญหาชุมชน รวมทั้งหาทางแก้ไขผ่านการวาดรูปและทำโครงงาน จากนั้นให้คัดเลือกโครงการที่ดีนำเสนอ ทำให้วัดแววเด็กได้ทั้งความรู้วิทยาศาสตร์ ความคิดสร้างสรรค์ และกระบวนการแก้ปัญหา สำหรับการจัดการศึกษาเด็กที่มีความสามารถพิเศษในอเมริกามีหลากหลายรูปแบบ ทั้งการดึงเด็กออกนอกชั้นเรียนให้ไปเรียนเพิ่มเติมในวิชาถนัด เช่น เด็กประถมเก่งคณิตศาสตร์ ไปเรียนคณิตศาสตร์ระดับสูงกว่าเพื่อนๆ อาทิตย์ละ 1 วัน การจัดชั้นเรียนพิเศษให้เด็กที่มีความสามารถพิเศษมาเรียนรวมกัน มีห้องเรียนพิเศษเฉพาะวิชา มีโรงเรียนพิเศษระดับประถมและมัธยม และการเรียนโดยย่นเวลาจาก 3 ปี เหลือ 1-2 ปี รวมถึงมีโปรแกรมเรียนล่วงหน้า เปิดโอกาสให้เด็กที่มีความสามารถพิเศษระดับมัธยมเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ ปัจจุบัน ดร.จูน เมคเกอร์ ได้ร่วมกับ ผศ.ดร.อุษณีย์ อนุรุทธ์วงศ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้มีความสามารถพิเศษแห่งชาติ มศว ประสานมิตร คิดค้น "ปริซึมแห่งการเรียนรู้" ที่เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีความสามารถอยู่ 10 ด้านคือ สังคม อารมณ์ คำนวณ การใช้กล้ามเนื้อในร่างกาย มิติสัมพันธ์ (ศิลปะ) การรับรู้ทางการได้ยิน ภาษา ช่างและอิเล็กทรอนิกส์ วิทยาศาสตร์ จิตและญาณปัญญา คาดว่าจะถูกมาใช้วัดแววเด็กอัจฉริยะในเมืองไทยเร็วๆ นี้ ดร.จูน เมคเกอร์ ฝากข้อคิดว่า "ปัจจัยสำคัญในการพัฒนาเด็กที่มีความสามารถพิเศษคือ การให้โอกาสและทางเลือกมากๆ แก่เด็ก เพื่อไม่ให้ถูกปิดกั้นการพัฒนาตัวเอง คือสิ่งที่สำคัญที่สุด" (คมชัดลึก จันทร์ที่ 2 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ดึงก.แรงงานตั้งโรงเรียนเตรียมวิศวะ

ศ.ดร.ธีรวุฒิ บุณยโสภณ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (สจพ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ได้เสนอโครงการจัดตั้งโรงเรียนเตรียมวิศวกรรมศาสตร์ สร้างเด็กไทยให้เป็นช่างฝีมือที่มีคุณภาพด้วยการปูพื้นฐานตั้งแต่ยังเด็ก โดยใช้หลักสูตรเช่นเดียวกับประเทศเยอรมนี นายสรอรรถ กลิ่นประทุม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ให้ความสนใจต่อโครงการนี้อย่างมาก เพราะเห็นว่าช่วยยกระดับความรู้และพัฒนาช่างฝีมือไทยให้มีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงแรงงานที่ต้องการพัฒนาช่างฝีมือไทย ซึ่งจะได้เสนอรัฐบาลพิจารณาต่อไป โดยเปิดรับเด็กที่จบ ม.3 ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมาเรียนต่อทางด้านช่างใน 3 สาขา คือ เครื่องกล ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และโยธา แบ่งเป็นสาขาละกว่า 300 คน รวมทั้งสิ้นปีละ 1,000 คน มีระยะดำเนินงาน 5 ปี ตั้งแต่ปี 2549-2553 ใช้งบประมาณปีละ 30 ล้านบาท การรับเด็กมีทั้งโควตาเด็กเรียนเก่งได้เกรดเฉลี่ยรวม 2.75 ขึ้นไป และการสอบคัดเลือกโดยเด็กต้องได้เกรดเฉลี่ยรวม 2.00 ขึ้นไป และช่วงเรียน ม.3 ใน 2 เทอมสุดท้าย จะต้องได้เกรดเฉลี่ยวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ 2.00 ขึ้นไป เสียค่าเล่าเรียนเทอมละ 5,000 บาท เป็นเวลา 6 เทอม เมื่อเรียนจบจะได้รับวุฒิเทียบเท่าระดับ ปวช. เรียนต่อปริญญาตรีด้านวิศวะเช่นเดียวกับเด็กจบม.ปลาย ถ้าเรียนได้เกรดดี จะได้รับโควตาเรียนต่อระดับปริญญาตรีที่ สจพ. นอกจากนี้ยังเปิดรับช่างโรงงานอุตสาหกรรมเข้ามาเรียนหลักสูตรระยะสั้นมีตั้งแต่ 3 วันไปจนถึง 2 สัปดาห์ในสาขา เครื่องกล ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และโยธาปีละ 2,500 คน โดยเสียค่าเล่าเรียนตั้งแต่ 280-3,500 บาทต่อหลักสูตร เพื่อพัฒนาทักษะฝีมือ ขอเทียบโอนคุณวุฒิวิชาชีพและประสบการณ์วิชาชีพ หากผ่านจะได้รับวุฒิระดับ ปวช. (คมชัดลึก จันทร์ที่ 2 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ศธ.เตรียมทำแผนพื้นที่เสี่ยง

ดร.จรวยพร ธรณินทร์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยความคืบหน้าโครงการพัฒนาการจัดทำกำหนดพื้นที่เสี่ยงเพื่องานส่งเสริมความประพฤตินักเรียน ตามแนวคิดของนายอัคคี ศรีทราชัยกุล ผู้ช่วยเลขานุการ รมว.ศึกษาธิการ ที่ต้องการให้สำรวจสถานที่เสี่ยงสำหรับเยาวชนในเขต กทม. อาทิ ร้านสนุกเกอร์ ร้านขายเหล้าบุหรี่ และสถานบันเทิงอื่นๆ แล้วนำมาจัดทำแผนที่โรงเรียน หรือ School Mapping เป็นแผนที่ทางภูมิศาสตร์ หรือจีไอเอส แสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่า รอบๆ สถานศึกษาแต่ละแห่งมีสถานที่เสี่ยงอยู่ตรงไหนบ้าง เพื่อให้ผู้บริหารสถานศึกษาได้นำไปใช้ในการติดตามเฝ้าระวังนักเรียนไม่ให้เข้าไปมั่วสุมในสถานที่เสี่ยงเหล่านั้น ทั้งนี้ กองสารวัตรนักเรียนมีข้อมูลพื้นที่เสี่ยงใน กทม.อยู่แล้ว ทั้งหมดมีประมาณ 10 จุด ในพื้นที่ 50 เขตของ กทม. และขณะนี้อยู่ระหว่างลงพื้นที่สำรวจตามพื้นที่เสี่ยงเหล่านี้ เพื่อสำรวจที่ตั้งของสถานที่เสี่ยงที่แน่นอน และนำมาลงจุดในพื้นที่จีไอเอส คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ในการสำรวจ และทำแผนที่จีไอเอส พื้นที่เสี่ยงให้สมบูรณ์ จากนั้นจะได้ขยายไปสำรวจในอีก 20 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อเตรียมทำแผนที่จีไอเอสใน 20 จังหวัดนี้ต่อไป สำหรับการสำรวจพื้นที่เสี่ยงในเบื้องต้นคณะทำงานจะได้ลงพื้นที่ตรวจสอบใน 5 จุดสำคัญในกรุงเทพฯ ได้แก่ สยามสแควร์ รามคำแหง รัชดาภิเษก (ตลาดห้วยขวาง) ลาดพร้าว (ตลาดอมรพันธุ์) และสายใต้ใหม่ (ห้างสรรพสินค้าพาต้า) ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ (คมชัดลึก จันทร์ที่ 2 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ทปอ.ยันไม่ลดจีพีเอหวั่นเด็กทิ้งห้องเรียน เผยนายกฯหนุนอธิการฯ

เมื่อวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา นายประเสริฐ ชิตพงศ์ ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ให้สัมภาษณ์กรณีกลุ่มเครือข่ายพ่อแม่เยาวชนเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ยังเรียกร้องให้ลดการใช้คะแนนเฉลี่ยรายกลุ่มสาระ หรือจีพีเอให้ปรับลดเหลือ 10% ในการคัดเลือกบุคคลด้วยระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษาหรือระบบแอดมิชชั่น ว่า ทปอ.ยืนยันที่จะใช้สัดส่วนจีพีเอรายกลุ่มสาระ 20% และจะไม่มีการปรับลดอีก หากจะให้ปรับลดสัดส่วนลงมากกว่านี้จะผิดหลักการที่ต้องการให้ความสำคัญ กับการเรียนในห้องเรียนเพิ่มขึ้น ส่วนที่มีข่าวว่าจะมีการล่ารายชื่อเด็ก เพื่อร่วมคัดค้านระบบแอดมิชชั่นนั้น ตนไม่ทราบเหตุผลการคัดค้าน และอยากให้มีการสอบถามความคิดเห็นของเด็กนักเรียนต่างจังหวัดทุกจังหวัดด้วย ด้านนายอดิศัย โพธารามิก รมว.ศธ .เห็นด้วยกับแนวทางของ ทปอ.ที่ลดค่าเฉลี่ยจีพีเอในปี 49 เหลือ 20% และเพิ่มขึ้นทุกปี เพราะจะทำให้เด็กเตรียมตัวได้ทัน และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็เห็นด้วย เพราะการเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยเด็กต้องมีความพร้อมและขยันตลอดเวลาที่อยู่ในโรงเรียน ดังนั้น จึงต้องให้ค่าน้ำหนักจีพีเอที่มากพอสมควร ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ต้องทำให้เด็กเข้าใจกับระบบนี้ (ไทยรัฐ อังคารที่ 3 พ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





มศว จัดแข่งขันเคมีโอลิมปิก

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ด้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพการแข่งขันเคมีโอลิมปิก มูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการและพัฒนามาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษา ในพระอุปถัมป์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (สอวน.) ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 9-13 พ.ค.48 ณ มศว องครักษ์ โดยมีนักเรียนร่วมแข่งขัน ทั้งสิ้น 96 คน จากศูนย์สอวน. ทั้ง 13 แห่งทั่วประเทศเข้าร่วม ได้แก่ ศูนย์ ม.เชียงใหม่ ม.ขอนแก่น ม.อุบลราชธานี ม.วลัยลักษณ์ ม.สงขลานครินทร์ ม.ทักษิณ ม.เทคโนโลยีสุรนารี ม.นเรศวร ม.บูรพา ม.ศิลปากร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ รร.มหิดลวิทยานุสรณ์ รร.เตรียมทหาร และ รร.บดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) (สยามรัฐ พุธที่ 4 พ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





6ใน8คณะยอมย้ายไปมธ.ศูนย์รังสิตปี"49

นายสุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) เปิดเผยความคืบหน้าในการย้ายนักศึกษาหลักสูตรปริญญาตรีจาก มธ.ท่าพระจันทร์ ไป มธ.ศูนย์รังสิต ว่า นักศึกษาปริญญาตรีคณะด้านสังคมศาสตร์ทุกคณะ ที่ลงทะเบียนเรียนในปีการศึกษา 2548 จะเรียนในระบบ 2:2 คือ เรียนที่ศูนย์รังสิต 2 ปี และเรียนที่ท่าพระจันทร์ 2 ปี ยกเว้นคณะสังคมวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ และคณะแพทยศาสตร์ จะต้องเรียนที่ศูนย์รังสิตจนจบ ส่วนนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนในปีการศึกษา 2549 มีความชัดเจนระดับหนึ่งแล้ว เพราะจากที่ได้มอบหมายให้คณะต่างๆ ที่จัดการเรียนการสอนที่ท่าพระจันทร์ไปประชุมภายในคณะเพื่อศึกษาข้อดี ข้อเสีย ข้อจำกัด และข้อยุติเสนอต่อมหาวิทยาลัยนั้น ปรากฏว่ามี 6 จาก 8 คณะ ที่คณาจารย์ส่วนใหญ่ยินดีย้ายไปศูนย์รังสิต เหลืออีก 2 คณะ ซึ่ง (มติชนรายวัน อังคารที่ 3 พ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





มศว ใช้ผลวิจัยทำคู่มือครู ประยุกต์แก้ปัญหา-พัฒนาเยาวชนไทย

มศว นำผลวิจัยดีเยี่ยมจาก วช. ปี 47 ประยุกต์เป็นคู่มือครู พัฒนาคุณภาพเยาวชนไทย แก้ปัญหาตามแต่ละสภาพของครอบครัว เตรียมขยายผลให้โรงเรียนทั่วประเทศทดลองใช้ สถาบันวิจัยพฤติกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัยที่ได้รับรางวัล จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ระดับดีเยี่ยม ประจำปี 2547 เรื่อง "การประยุกต์ผลวิจัยด้านครอบครัวสู่นโยบายและปฏิบัติการพัฒนาคุณภาพเยาวชนไทย" ที่อาคารวิจัยและการศึกษาต่อเนื่อง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มศว มีครู อาจารย์ นักพัฒนาเด็กและเยาวชนเข้าร่วมกว่า 200 คน รศ.งามตา วนินทานนท์ อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยพฤติกรรมศาสตร์ มศว ในฐานะหัวหน้านักวิจัย เรื่องการวิเคราะห์ดัชนีเชิงเหตุและผลของคุณภาพชีวิตสมรสในครอบครัวไทย กล่าวว่า งานวิจัยชิ้นนี้ได้รับรางวัลระดับดีเยี่ยม ประจำปี 2547 จาก วช. จึงศึกษาเกี่ยวกับเครื่องมือที่จะใช้ในการวัดสภาพครอบครัวว่าตกอยู่ในภาวะเครียด ปกติ หรือสัมพันธ์ดีมาก โดยวัดจากความสัมพันธ์ระหว่างบิดากับมารดาผ่านทางการสอบถามบุตร พบว่า ถ้าเยาวชนได้คะแนนในระดับ 10-39 คะแนนจัดอยู่ในครอบครัวที่เครียดมาก, 40-56 คะแนน ครอบครัวปกติ และ 57-60 คะแนน ครอบครัวมีสัมพันธ์กันดี ทางสถาบันวิจัยพฤติกรรมศาสตร์ จึงนำเกณฑ์การคำนวณคะแนนจากการตอบของนักเรียน จากงานวิจัยชิ้นนี้มาประยุกต์สร้างเป็นคู่มือครู เรื่องกิจกรรมเรียนรู้และเข้าใจนักเรียนวัยรุ่นด้วยดัชนีชี้วัดคุณภาพของสังคมแวดล้อม เพื่อให้ครูนำไปใช้ในการสำรวจสภาพครอบครัวของนักเรียนในระดับชั้นประถมและมัธยมว่าครอบครัวตกอยู่ในสภาพใด เพื่อหาแนววิธีการช่วยแก้ปัญหาให้เด็กได้ทันท่วงทีก่อนปัญหาลุกลาม สำหรับคู่มือนี้ประกอบด้วย แบบวัด 4 ชุด จำนวน 7 ฉบับ ได้แก่ ชุดที่ 1 เรื่องครอบครัวของท่านเข้มแข็งจริงหรือ ประกอบด้วยฉบับผู้ใหญ่และฉบับเยาวชน ชุดที่ 2 (ก) ท่านเป็นพ่อแม่ (ครู) ที่ดีเพียงใด (ข) นักเรียนมีพ่อแม่ (ครู) ที่ดีเพียงใด ชุดที่ 3 โรงเรียนมีบรรยากาศทางสังคมดีเพียงใด และชุดที่ 4 นักเรียนรู้จักตนเองและเพื่อนเพียงใด ฉบับความรู้สึกเกี่ยวกับตนเอง และฉบับเยาวชนกับเพื่อนๆ ซึ่งในการวัดหากนักเรียนคนไหนได้คะแนนน้อยในชุดใด หมายถึงตกอยู่ในภาวะเครียดในสภาพการณ์ตามชุดที่สำรวจ ท้ายของแบบวัดแต่ละชุดจะมีแนวทางที่ครูจะนำไปใช้เพื่อแก้ปัญหาให้นักเรียนได้ โดยโรงเรียนไหนสนใจคู่มือฉบับนี้สอบถามได้ที่โทร.0-2258-4482, 0-2664-1000 ต่อ 5229 (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 6 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ศธ.ยื่นมือสอนทางไกลมองโกเลีย

นายอดิศัย โพธารามิก รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยถึงการหารือร่วมกับ นายพูนซัก ซากาน รมว.ศึกษาธิการ วัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์ ประเทศมองโกเลีย เนื่องในโอกาสร่วมคณะของนายกรัฐมนตรีมองโกเลีย มาเยือนประเทศไทย โดย นายอดิศัย กล่าวว่า รมว.ศึกษาธิการฯ มองโกเลีย ได้ขอให้ไทยช่วยเหลือในเรื่องของการศึกษา เนื่องจากประเทศมองโกเลีย มีประชาชนประมาณ 2.6 ล้านคน แต่มีพื้นที่ใหญ่กว่าประเทศไทยถึง 3เท่า และประชาชนอยู่อย่างกระจัดกระจายจึงจำเป็นต้องใช้การจัดการศึกษาทางไกลในการยกระดับการศึกษาของประชาชน จึงอยากให้ไทยช่วยในเรื่องนี้ ซึ่งได้รับปากว่าจะช่วยโดยอาจจะให้ทุนแก่ประเทศมองโกเลียเพื่อส่งเจ้าหน้าที่มาศึกษาดูงาน หรืออาจจะส่งเจ้าหน้าที่ของเมืองไทยไปที่มองโกเลีย เพื่อแนะนำและหาแนวทางการดำเนินงานร่วมกันต่อไป นอกจากนี้ รมว.ศึกษาธิการฯ มองโกเลีย ยังต้องการให้ไทยช่วยในเรื่องการศึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และภาษาอังกฤษ เพราะมองโกเลีย มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวอยู่เป็นจำนวนมาก ปีละประมาณ 5 แสนคน แต่ก็ยังมีปัญหาในเรื่องการสื่อสาร ในขณะที่ไทยเองก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเป็นจำนวนมากเช่นกัน ซึ่งได้รับไว้พิจารณาช่วยเหลือ ทั้งนี้หากเป็นเรื่องการศึกษา ศธ.ก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือ อย่างไรก็ตามและหากดูรายได้ของประชาชาติแล้วไทยจะมีรายได้ต่อคนมากกว่า มีความก้าวหน้าและประสบการณ์มากกว่า หากช่วยได้ก็อยากช่วยเต็มที่ แต่ก็ขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรี ของทั้งสองฝ่ายด้วย (สยามรัฐ ศุกร์ที่ 6 พ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ม.เอกชนปลอบขวัญรับตรงกว่า 6 หมื่นคน

ผศ.จันทร์จิรา วงษ์ขมทอง อธิการบดีมหาวิทยาลัยคริสเตียน ในฐานะนายกสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ภายหลังการประกาศผลสอบเอ็นทรานซ์ปี 2548 จะมีนักเรียนส่วนหนึ่งที่พลาดการสอบแข่งขัน ซึ่งยังมีที่นั่งเรียนที่พร้อมรองรับ โดยสถาบันอุดมศึกษาเอกชนจะเปิดรับนักศึกษาระดับปริญญาตรีได้จำนวน 62,279 คน ผู้สนใจสอบถามและสมัครได้ดังนี้ ม.กรุงเทพ รับสมัครถึงวันที่ 9 พ.ค.นี้ สอบถามที่ โทร. 0-2249-5132-6, 0-2350-3500 ต่อ 1582-1585 ม.เกริก รับสมัครถึงวันที่ 27 พ.ค.นี้ สอบถามที่โทร. 0-2973-6731, 0-2970-5820 ต่อ 112-114 ม.เกษมบัณฑิต โทร. 0-2321-6930-9 ม.คริสเตียน รับสมัครถึง 21 พ.ค. โทร. 0-2235-1000 จ.นครปฐม โทร. 0-3422-9480-7 ม.เจ้าพระยา จ.นครสวรรค์ โทร. 0-5633-4236, 0-5633-4714 ม.ชินวัตร จ.ปทุมธานี โทร.0-2599-0000 ศูนย์ ประสานงาน กทม.โทร. 0-2949-2229 ม.เซนต์จอห์น รับถึงวันที่ 31 พ.ค.นี้ โทร. 0-2938-7058-68 ต่อ 301-303 ม.เวสเทิร์น จ.กาญจนบุรี รับ 1,480 คน โทร. 0-3565-1000 ม.เทคโนโลยีมหานคร รับ 500 คน ได้แก่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาการสารสนเทศศาสตร์ สัตวแพทยศาสตร์ บริหารธุรกิจ รับถึงวันที่ 15 พ.ค.นี้ www.mut.ac.th โทร.0-2988-3666 ต่อ 205-7 ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ รับ 5,000 คน คณะบริหารธุรกิจ บัญชี เศรษฐศาสตร์ นิติศาสตร์ นิเทศศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ ศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ ศิลปกรรมศาสตร์ รับถึงวันที่ 20 พ.ค. โทร. 0-2954-7300-29 ม.นอร์ท-เชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ รับ 1,640 คน โทร. 0-5342-7310-1 ศูนย์ประสานงาน กทม. โทร. 0-2732-5420-3, 0-2375-5490-1 ม.พายัพ จ.เชียงใหม่ รับ 2,595 คน โทร. 0-5330-4805 ม.ภาคกลาง จ.นครสวรรค์ รับ 700 คน โทร. 0-5622-3578-9 ม.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.ขอนแก่น รับ 3,440 คน โทร. 0-4322-2960 ม.ราชธานี จ.อุบลราชธานี รับ 870 คน โทร. 0-4531-2176-7 ม.รังสิต รับถึงวันที่ 9 พ.ค.นี้ โทร. 0-2791-5500-10, 0-2997-2394 ม.รัตนบัณฑิตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รับคณะบริหารธุรกิจ, ศิลปศาสตร์, วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, นิติศาสตร์ และนิเทศศาสตร์ โทร. 0-2375-4480-7 ม.วงษ์ชวลิตกุล จ.นครราชสีมา รับ 1,956 คน โทร. 0-4420-3778-84, วิทยาเขตหมื่นไวย โทร. 0-4425-5523-4 ม.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งเอเชีย จ.ชลบุรี โทร 0-3875-4450 ศูนย์ประสานงาน กทม. โทร. 0-2253-4771-2 ม.ศรีปทุม รับคณะนิติศาสตร์ บริหารธุรกิจ บัญชี วิศวกรรมศาสตร์ ศิลปศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สารสนเทศศาสตร์ และสถาปัตยกรรมศาสตร์ สนใจสมัครเรียนสอบถามได้ที่ 0-2579-1111 รับถึง 31 พ.ค.นี้ ม.สยาม รับถึงวันที่ 7 พ.ค.นี้ โทร. 0-2697-0000, 0-2697-6781-3 .หัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ วิทยาเขตบางพลี โทร. 0-2312-6300 วิทยาเขตยศเส โทร. 0-2223-1351-70 ม.หาดใหญ่ จ.สงขลา รับ 2,520 คน โทร. 0-7442-5464-6, 0-7442-5000 ม.อีสเทิร์นเอเชีย จ.ปทุมธานี โทร. 0-2577-1028-31 ม.อัสสัมชัญ รับถึงวันที่ 12 พ.ค.นี้ วิทยาเขตหัวหมาก โทร. 0-2300-4553-62 วิทยาเขตบางนา 0-2723-2222 ม.เอเชียอาคเนย์ โทร. 0-2807-4500-27 ว.กรุงเทพธนบุรี โทร. 0-2800-6800-9 ว.กรุงธนเชียงราย จ.เชียงราย โทร. 0-5371-0081-84 ว.เซนต์หลุยส์ โทร. 0-2675-5304-12 ว.เซาธ์อีสต์บางกอก โทร. 0-2398-1352-4, 0-2744-7356 ว.ดุสิตธานี โทร. 0-2361-7805 ว.ตาปี จ.สุราษฎร์ธานี โทร. 0-7720-4431-2 ว.ทองสุข โทร. 0-2448-0005-6 ว.เทคโนโลยีธนบุรี โทร. 0-2809-0823-7 ว.เทคโนโลยีภาคใต้ จ.นครศรี-ธรรมราช โทร. 0-7536-3434-5 ว.เทคโนโลยีราชธานีอุดร จ.อุดรธานี โทร. 0-4232-3188-9 ว.นครราชสีมา จ.นครราชสีมา โทร. 0-4446-5167-9 ว.นอร์ทกรุงเทพ โทร. 0-2972-7200 ว.บัณฑิตบริหารธุรกิจ จ.ขอนแก่น โทร. 0-4325-5461-2 ว.บัณฑิตเอเชีย จ.ขอนแก่น โทร.0-4324-6536-8 ว.ปทุมธานี จ.ปทุมธานี โทร.0-2979-6999 ว.โปลีเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.อุบลราชธานี โทร.0-4528-3770-2 ว.พิษณุโลก จ.พิษณุโลก โทร.0-5521-1612 ว.ฟาร์อีสเทอร์น จ.เชียงใหม่ โทร. 0-5320-1800-4 ว.มิชชัน วิทยาเขตกรุงเทพ โทร. 0-2281-1422 วิทยาเขตมวกเหล็ก โทร. 0-3634-4758-9 ว.โยนก จ.ลำปาง โทร. 0-5426-5170-6 ว.รัชต์ภาคย์ โทร. 0-2319-8201-3 ว.ลุ่มน้ำปิง จ.ตาก โทร. 0-5551-5141-2 ว.ศรีโสภณ จ.นครศรีธรรมราช โทร. 0-7535-6000 ว.สันตพล จ.อุดรธานี โทร. 0-4232-3464 ว.แสงธรรม จ.นครปฐม คน โทร. 0-2429-0100-3 ว.อินเตอร์เทค ลำปาง จ.ลำปาง โทร. 0-5435-2399-401 ว.อิสลามยะลา จ.ยะลา โทร. 0-7328-8080-1 (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 6 พ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





พลังคนรุ่นใหม่ ท้าชนยักษ์มือถือ แห่ทดสอบ “NWO Project 2”

นิสิต นักศึกษา จากมหาวิทยาลัยรัฐบาลและเอกชนทั่วประเทศ หลั่งไหลสู่ศูนย์ไบเทค เพื่อร่วมทดสอบความรู้ความสามารถในรอบแรกของ “โครงการพลังเล็กที่ยิ่งใหญ่ ครั้งที่ 2” หรือ NWO Project 2 ซึ่งเปิดโอกาสให้นิสิต นักศึกษาชั้นปีที่ 3 และ 4 ได้ร่วมค้นหาประสบการณ์จากการทำงานจริงกับเอไอเอส เป็นเวลา 1 ปีเต็ม เพื่อต่อยอดความคิดและการศึกษาให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นก่อนกลับไปสู่ชั้นเรียนปีที่ 4 ในรั้วมหาวิทยาลัยอีกครั้ง ในปีนี้ NWO Project 2 ขยายโอกาสรับนิสิต นักศึกษาเพิ่มขึ้นเป็น 8 คน จากในรุ่นแรกที่รับเพียง 4 คน บททดสอบในรอบแรกนี้เป็นการทดสอบไอคิว-อีคิว ซึ่งจะมีเพียง 60 คนเท่านั้น ที่ผ่านเข้ารอบคัดเลือก 2 และ 3 จนถึงรอบสุดท้ายจะมีนักศึกษาเพียง 15 คน ขึ้นแข่งแสดงความสามารถบนเวที เพื่อค้นหา 8 คนสุดท้ายที่เข้าสู่ NWO Project 2 สนามทดสอบในรอบแรกนี้ มีนักศึกษาเปิดใจถึงการเข้าร่วมโครงการ NWO Project2 ซึ่งเป็นโครงการหนึ่งท้าทายแนวคิดทางการศึกษา เนื่องจากนักศึกษาที่ได้รับการคัดเลือกเข้าสู่โครงการ จะต้องดร็อพเรียนในมหาวิทยาลัยเป็นเวลา 1 ปีเต็ม เพื่อหาประสบการณ์ทำงานจริงกับ เอไอเอส แทนเป็นระยะเวลา 1 ปี และนอกเหนือไปจากการเรียนรู้งานจาก “ซีอีโอ” ของเอไอเอสอย่างใกล้ชิดแล้ว ทั้ง 8 คน ยังมีโอกาสแสดงความสามารถสร้างสรรค์ชิ้นงานของแต่ละคน รวมทั้งได้เดินทางไปดูงานต่างประเทศเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้นอกห้องเรียน ที่สำคัญยังได้รับทุนการศึกษาในชั้นปีที่ 4 และแน่นอนคุณมีโอกาสที่ได้รับร่วมงาน เอไอเอส หลังสำเร็จการศึกษามากกว่าบัณฑิตทั่วไป (สยามรัฐ เสาร์ที่ 7 พ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


ซิปาดึงไอทีหนุนอุตฯ ท่องเที่ยวสร้างศูนย์เชื่อมธุรกิจโรงแรม-ร้านค้า

สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือซิปา ได้ลงนามร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และภาคเอกชนในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ 17 บริษัท พัฒนาโครงการทัวริซึม ซี-คอมเมิร์ซ เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวขนาดเล็กและขนาดกลาง สามารถพัฒนาธุรกิจของตนเองได้ โดยใช้เทคโนโลยีด้านไอทีเข้าไปช่วย โดยใช้งบประมาณประมาณ 7 ล้านบาท นายมนู อรดีดลเชษฐ์ ผู้อำนวยการของซิปา กล่าวถึง ซี-คอมเมิร์ซ (C-Commerce ย่อมาจากคำว่า Collaborative Commerce) หมายถึงการพาณิชย์เชิงร่วมมือ เป็นโครงการที่ผลักดันให้ผู้ประกอบการธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวมาร่วมมือกันสร้างโอกาสธุรกิจด้วยไอที ผู้ประกอบการอย่างเช่น โรงแรม สปา ร้านอาหาร สินค้าโอท็อป เป็นต้น จะนำเอาทรัพยากรที่มีอยู่ของตนเองมารวมกันไว้ที่ส่วนกลาง เพื่อใช้ติดต่อกันเอง และยังสามารถนำทรัพยากรที่ตนมีอยู่มาจัดเป็นแพ็คเกจท่องเที่ยวใหม่ เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่นำเสนอสู่ลูกค้า รวมถึงการทำประชาสัมพันธ์โดยใช้ไอที ไม่ว่าจะเป็นทางเวบไซต์ ส่งอีเมล เอสเอ็มเอส เอ็มเอ็มเอส ไปยังกลุ่มเป้าหมาย เป็นต้น โดยบทบาทของซิปาในโครงการนี้จะเป็นส่วนกลาง สร้างโครงสร้างของโครงการนี้ให้ คือสร้างเวบเพจ เวบสำหรับสืบค้นข้อมูล ที่เชื่อมต่อกับผู้เข้าร่วมโครงการอื่นๆ เข้าไว้ด้วยกัน และเผยแพร่โครงการให้ผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยวได้ตระหนักถึงโอกาสของโครงการนี้ และเชิญชวนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมในการพัฒนาระบบให้สมบูรณ์ ขณะที่ ททท.นั้น จะสนับสนุนในด้านของข้อมูลการท่องเที่ยว (คมชัดลึก จันทร์ที่ 2 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





มนุษย์เดินเรือก่อเสียงรบกวนหนัก ทำลายโลกของสัตว์ในมหาสมุทร

นักวิจัยหวั่นการสัญจรของมนุษย์ด้วยเรือในทะเลก่อเสียงอึกทึกขึ้นในน้ำจนสัตว์ทะเล ซึ่งต้องอาศัยประสาทรับเสียงในการหาอาหารและสืบพันธุ์ไม่อาจจะอยู่ได้ นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญชีวิตความเป็นอยู่ของสัตว์ทะเล กล่าวว่า พวกสัตว์เหล่านี้ได้อาศัยประสาทการรับเสียงในการว่ายไปไหนมาไหนและสื่อสารระหว่างกัน แต่เสียงอึกทึกและคลื่นเสียงต่างๆ ที่เรือต่างๆสร้างขึ้น อาจจะไปก่อให้เกิดม่านขวางกั้นสัตว์เหล่านั้น ทำให้พวกมันเกิดอุปสรรค ในการหาอาหารและการสืบพันธุ์ นักวิจัยเคยศึกษาพบว่า การปล่อยคลื่นอัลตราซาวด์ของเรือรบและเรือใต้น้ำต่างๆ ทำให้ปลาวาฬต้องพากันหลงทิศ ว่ายเกยฝั่งบ่อยๆ นอกจากนั้น การเดินเรือก็ยังทำให้เกิดเสียงขึ้นเป็นหลังฉาก ในระดับน้ำลึกๆ ยิ่งในน่านน้ำแอตแลนติกเหนือและทางเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก เสียงจะนับว่าอึกทึกที่สุด ตัวอย่างในมหาสมุทรแถบรอบๆอินโดนีเซีย จะมีมลพิษทางเสียงสูง เสียงซึ่งเกิดจากการกระทำของมนุษย์นี้ ได้บ่อนทำลายโลกของสัตว์ใต้น้ำลงทีละน้อย (ไทยรัฐ อังคารที่ 3 พ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





โลกาภิวัตน์ : เครือข่ายฉุกเฉิน

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โมโตโรล่า ได้ เซ็นสัญญาซื้อกิจการของบริษัทเมชเน็ตเวิร์ค (Meshnetworks,lnc.) เพื่อเสริมขีดความสามารถของโมโตโรล่าที่จะมีสินค้าและบริการรองรับลูกค้าที่ต้องการใช้เครือข่ายไร้สายความเร็วสูงทั้ง ดาต้า วิดีโอ และ VoIP เมชเน็ตเวิร์คดีเป็นบริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีไร้สายบนไอพีที่สามารถเชื่อมต่อได้เองโดยอัตโนมัติหากระบบมีปัญหา จึงเหมาะกับหน่วยงานภาคขนส่ง หน่วยบรรเทาสาธารณภัย โซลูชั่นสถาปัตยกรรม MEA (Mesh Enabled Architecture) จะช่วยสร้างเครือข่ายบรอดแบนด์ไร้สายสำหรับหน่วยกู้ภัย เพราะมีคุณสมบัติพิเศษรองรับข้อมูลความเร็วสูง วิดีโอ สตรีมมิ่ง ข้อความเสียง และการค้นหาตำแหน่ง และยังมีแบนด์วิธมากถึง 50 เท่าเมื่อเทียบกับข้อมูลดิจิทัลเซลลูลาร์ (Cellular Digital Packet Data) หรือ CDPD จุดเด่นของ MEA อยู่ที่เทคโนโลยีค้นหาตำแหน่ง สามารถตรวจสอบและติดตามบุคคลและยานพาหนะ รวมทั้งเครื่องมือที่ติดตั้งอุปกรณ์ของ MEA ภายในรัศมี 10 เมตร โดยไม่ต้องพึ่งดาวเทียม GPS จึงทำให้เข้าไปค้นหาในจุดที่ GPS เข้าไม่ถึง เช่น ภายในหุบเขาหรืออาคาร จุดเด่นอีกอย่างก็คือ เครือข่าย MEA ติดตั้งได้เร็วในทุกสถานที่ เพราะมีเทคโนโลยีจัดตั้งเครือข่ายและแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ช่วยให้หน่วยกู้ภัยสามารถจัดตั้งเครือข่ายบรอดแบนด์ไร้สายเพื่อรับมือกับเหตุฉุกเฉินได้ทันที ไม่จำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐาน และยังปรับโซลูชั่นให้ครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างในระดับเมือง เขตหรือรัฐก็ได้ นี่เป็นสถาปัตยกรรมโครงข่ายบรอดแบนด์ไร้สายเวอร์ชั่นล่าสุด และเป็นระบบที่ค่อนข้างอัจฉริยะเพราะสามารถติดตั้งและกู้ตัวเองได้ .(เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 6 พ.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





เกาหลีใต้ประเดิมทีวีบนมือถือ

บริษัททียู มีเดีย คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเอสเค เทเลคอม ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ ประเดิมเปิดให้บริการทีวีดิจิทัลผ่านดาวเทียม โดยในระยะเริ่มต้นเปิดสถานี 7 ช่อง และสถานีวิทยุ 12 ช่องสำหรับลูกค้าโทรศัพท์มือถือโดยเฉพาะ ลูกค้าเป้าหมายกลุ่มแรกเป็นลูกค้าที่ใช้โทรศัพท์มือถือรุ่นที่มีกล้องดิจิทัลในตัว ซึ่งสามารถรับชมภาพวิดีโอได้อยู่แล้ว กับลูกค้าที่ใช้โทรศัพท์รุ่นที่รับฟังเพลงเอ็มพี 3 ลูกค้าสองกลุ่มนี้อาจเปลี่ยนมาใช้มือถือที่มีความสามารถในการชมทีวีผ่านดาวเทียม ซึ่งผลิตโดยบริษัทซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ (รุ่น เอสซีเอช-บี100) และเอสเค เทเลเทค (รุ่นไอเอ็มบี-1000) ปัจจุบันมีลูกค้าที่เข้าร่วมโปรแกรมทดลองใช้บริการทีวีมือถือแล้ว 23,000 ราย ซึ่งผู้ให้บริการเริ่มทดสอบออกอากาศมาตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา บริการดังกล่าว บริษัทหวังว่าจะกระตุ้นความต้องการตลาดมือถือของเกาหลีใต้ ให้คึกคักขึ้นมาอีกครั้งหลังจากมีลูกค้าใช้บริการโทรศัพท์มือถือเต็มที่แล้ว 37 ล้านราย บริษัททียูมีเดียคาดว่าจะสามารถหาสมาชิกได้ 600,000 คนภายในสิ้นปี แต่คงต้องห้ำหั่นกับสถานีโทรทัศน์เดิมที่ให้บริการทีวีปกติ ที่กำลังได้ใบอนุญาตให้บริการทีวีดิจิทัลผ่านดาวเทียมในเดือนมิถุนายนนี้ บริการดูทีวีบนมือถือนี้ ทางบริษัทเอสเค เทเลคอม มองว่าเป็น "บริการไม้ตาย" ที่จะโดนใจคนให้หันมาใช้บริการ ขณะที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์รายเล็กอย่างเคทีเอฟ และแอลจี เทเลคอมกำลังเจรจากับบริษัททียูมีเดียเช่นกันเพื่อลงนามในสัญญาจำหน่ายมือถือรุ่นที่สามารถรับชมทีวีผ่านคลื่นวิทยุในมิถุนายน จากการสำรวจของบริษัทวิจัยในอังกฤษระบว่า ทีวีดิจิทัลผ่านดาวเทียมและทีวีดิจิทัลผ่านคลื่นวิทยุจะเป็นเครือข่ายแพร่ภาพกระจายเสียงที่ก้าวหน้าที่สุดใน 2-3 ปีข้างหน้า (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 6 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





โลกวิทย์ : แกะรอย "ดีเอ็นเอ" ศึกษาต้นตระกูลมนุษย์

นักวิทยาศาสตร์นานาชาติก็เลยเกิดความคิดขึ้นมาว่า ถ้านำดีเอ็นเอของคนรุ่นปัจจุบันมาย้อนศึกษาประวัติศาสตร์เส้นทางอพยพของเผ่าพันธุ์มนุษย์ โดยเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากชนพื้นเมืองทั่วโลกกว่าแสนคนมาวิเคราะห์ เชื่อว่าจะไขปริศนาคาใจเกี่ยวกับมานุษยวิทยาในหลายเรื่อง โครงการดังกล่าวมีชื่อว่า "จีโนกราฟิก" จะทำการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากประชากรกว่า 1 แสนคนทั่วโลก จากนั้นจะนำข้อมูลที่ได้มาหาจุดเชื่อมโยงกันซึ่งจะทำให้ได้ภาพเส้นทางการย้ายถิ่นฐานของมนุษย์ไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก จากการศึกษาหลักฐานทางโบราณคดีและพันธุกรรมศาสตร์ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทราบว่า มนุษย์ยุคใหม่ (โฮโมซาเปียนส์) ตั้งถิ่นฐานอยู่ในทวีปแอฟริกาเป็นแห่งแรกเมื่อราว 2 แสนปีที่แล้ว มนุษย์กลุ่มนี้ได้เดินออกจากทวีปนี้ไปเมื่อราว 6 หมื่นปีที่แล้ว ข้อมูลดังกล่าวได้มาจากการศึกษาโครโมโซมวาย และไมโตคอนเดรีย ซึ่งเป็นข้อมูลที่ถ่ายทอดมาจากฝ่ายมารดาโดยไม่เปลี่ยนแปลง นักวิทยาศาสตร์ได้นำข้อมูลแต่และชิ้นมาร้อยเรียงจนได้เค้ารางเกี่ยวกับการอพยพของประชากรในสถานที่ต่างๆ รวมถึงระยะเวลาที่เริ่มย้ายถิ่นฐาน อย่างไรก็ตาม แผนที่เบื้องต้นที่ได้มายังขาดรายละเอียดหลายจุด และโครงการจีโนกราฟิกนี้จะทำให้ภาพการอพยพชัดเจนขึ้น งานวิจัยชิ้นนี้อาจช่วยตอบคำถามคาใจมากมาย อาทิ ชนกลุ่มไหนเป็นประชากรที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในทวีปแอฟริกา ชนกลุ่มแรกที่ครองอาณาจักรอินเดียคือใคร และอะไรเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้มนุษย์แบ่งแยกออกเป็นเผ่าต่างๆ เป็นต้น โครงการนี้ได้รับงบประมาณสนับสนุน 40 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยได้ราว 1,600 ล้านบาท ภายใต้ความร่วมมือของเนชั่นแนลจีโอกราฟิก ไอบีเอ็ม และมูลนิธิครอบครัวเวตต์ โดยจะดำเนินการเป็นระยะเวลา 5 ปี ทีมงานที่เข้าร่วมโครงการในครั้งนี้ ประกอบด้วยนักพันธุกรรมศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญในสาขาดีเอ็นเอ ภาษาศาสตร์ และโบราณคดีจากทั่วโลก ผลลัพธ์ที่จะได้จากโครงการนี้ ก็คือฐานข้อมูลพันธุกรรมขนาดใหญ่ที่สุด นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์ชีววิทยาคอมพิวเตอร์ของไอบีเอ็ม ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์วิจัยด้านวิทยาศาสตร์ที่มีเครื่องมือทันสมัยที่สุดในโลกจะใช้เทคโนโลยีการวิเคราะห์ และเทคนิคการจัดแยกข้อมูลเพื่อตีความหมายของตัวอย่างที่ศึกษา และค้นหารูปแบบใหม่ๆ ตลอดจนการเชื่อมโยงกันของข้อมูล (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 5 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





วิกฤตท้าทายมนุษย์

มนุษย์จะต้องเผชิญกับมหันตภัยอะไรบ้างในศตวรรษที่ 21 วันนี้บรรดานักวิทยาศาสตร์ได้มาประเมินความเป็นไปได้ของวิกฤตที่อาจทำให้คนเราต้องสู้แบบหลังชนฝาในช่วงเกือบ 100 ปีต่อจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของอากาศ ก่อนสิ้นศตวรรษนี้ คาดว่าก๊าซที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจกจะเพิ่มขึ้นเท่าตัว และอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2 องศาเซลเซียส วิกฤตเมื่อเทโลเมียร์ (Telomere) ค่อยๆ ถูกทำลาย เทโลเมียร์ (Telomere) คือยอดปกป้องโครโมโซมที่อยู่บริเวณปลายสุดของโครโมโซมของสิ่งมีชีวิต หากปราศจากสิ่งนี้ โครโมโซมของมนุษย์ก็จะมีความไม่แน่นอน โรคระบาดจากเชื้อไวรัส โรคสำคัญที่น่าห่วงตอนนี้คือ ไข้หวัดนก ซึ่งหากกลายพันธุ์และสามารถแพร่จากคนสู่คนแล้ว ก็เป็นไปได้ว่าจะแพร่ระบาดไปทั่วโลก ภัยก่อการร้าย คาดว่าอาวุธชีวภาพหรืออาวุธเคมีจะเป็นสาเหตุของภัยก่อการร้ายที่จะส่งผลกระทบวงกว้างและร้ายแรงของยุคนี้ อาจมีการแพร่เชื้อแอนแทร็กซ์ ไข้ทรพิษ หรือกาฬโรค ซึ่งการติดต่อสื่อสารของโลกยุคใหม่จะทำให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นปัญหาระดับนานาชาติอย่างรวดเร็ว สงครามนิวเคลียร์ 3 ทำเลหลักที่มีศักยภาพด้านอาวุธนิวเคลียร์ คือ ตะวันออกกลาง อินเดีย-ปากีสถาน และเกาหลีเหนือ โดยโสมแดงเป็นจุดต้องกังวลและจับตามองมากที่สุด ผลกระทบจากหินหรือวัตถุจากอวกาศ อันตรายที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้รวมถึงปริมาณฝุ่นมหาศาลในชั้นบรรยากาศที่อาจปิดกั้นแสงอาทิตย์นานนับสัปดาห์ ส่งผลกระทบต่อพืชพันธุ์ธัญญาหารที่สำคัญต่อชีวิตคน นอกจากนี้ฝนกรดรุนแรง และความร้อนสูง อาจทำให้เกิดเพลิงไหม้ขนาดใหญ่ทั่วโลก หุ่นยนต์ครองเมือง นักวิทยาศาสตร์เห็นว่าภายในปี 2593 จะมีหุ่นยนต์ที่คิดได้เหมือนมนุษย์ เรียนรู้ทักษะต่างๆ จากคน จักรกลเหล่านี้สามารถดูแลคนได้ รวมทั้งทำงานซับซ้อน อาทิ วินิจฉัย รักษาโรค หรืออาจก้าวล้ำเป็นทายาทของคน โดยมนุษย์อาจอัพโหลดตัวเองไปสู่หุ่นยนต์ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงได้ รังสีคอสมิกจากการระเบิดของดวงดาว ตลอดหลายๆ สิบปี จักรวาลมีซูเปอร์โนว่าเกิดขึ้น เมื่อดาวขนาดใหญ่สูญสิ้นพลังงานและแตกดับ ทำให้เกิดรังสีคอสมิกแผ่ไปทั่วทิศ ซึ่งหากโลกเกิดไปอยู่ในทิศทางดังกล่าว ยุคน้ำแข็งก็อาจมาเยือนอีกครั้ง และสิ่งมีชีวิตบางสายพันธุ์อาจถึงกาลอวสาน ซูเปอร์วอลเคโน่ ซูเปอร์วอลเคโน่ ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นบริเวณ โทบา เกาะสุมาตรา เมื่อ 74,000 ปีก่อน ความรุนแรงของ ซูเปอร์วอลเคโน่แต่ละครั้งสูงกว่าภัยจากหินหรือวัตถุนอกโลกถึง 12 เท่า แต่มีความเป็นไปได้เพียง 0.15% ที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ในชั่วชีวิตมนุษย์ บริเวณที่ควรสนใจมากที่สุด คือ สถานที่เกิดเหตุ ในอดีต อาทิ เยลโล่สโตน ในอเมริกา โทบา โลกถูกกลืนโดยหลุมดำ เมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่ศึกษาจากหลุมดำในอวกาศ พบว่ามีความเป็นไปได้น้อยมากที่หลุมดำจะกลืนโลก แต่หากเกิดขึ้น ย่อมหมายถึงอันตราย (ประชาชาติธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 5 พ.ค. 48 http://www.matichon.co.th/prachachat)





ข่าววิจัย/พัฒนา


ธนาคารแอนติบอดีมนุษย์ ผลิตเซรุ่มต้านพิษงู

เกษม กุลแก้ว นักศึกษาโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เจ้าของงานวิจัยเรื่องการสร้างโมเลกุลแอนติบอดีของมนุษย์ที่สามารถลบล้างพิษงูเห่าไทย ได้คิดค้นวิธีผลิตเซรุ่มแก้พิษงู หรือแอนติบอดีที่ไม่ต้องพึ่งม้า แต่ใช้โมเลกุลแอนติบอดีจากมนุษย์แทน โดยใช้วิธีที่เรียกว่า “ฟาจดิสเพลย์” (Phage Display) หรือการจำลองแบบเซลล์เม็ดเลือดขาวลิมโพซัยท์บี (Blymphocytes หรือ B cells) ซึ่งทำหน้าที่ผลิตโมเลกุลแอนติบอดีที่เป็นภูมิต้านทานต่อสิ่งแปลกปลอมได้มากถึง 1 ล้านล้านชนิด ให้ออกมาอยู่นอกร่างกาย และเตรียมเก็บไว้ในหลอดเล็กๆ แช่แข็งไว้ในห้องปฏิบัติการ ขั้นตอนการสร้างโมเลกุลแอนติบอดีมนุษย์นั้น จะเริ่มด้วยการผลิตฟาจขึ้นมาก่อน โดยฟาจในที่นี้จะหมายถึงไวรัสของแบคทีเรียที่ผ่านการจีเอ็ม หรือการนำยีนในส่วนที่สร้างโมเลกุลแอนติบอดีจากเซลล์ลิมโพซัยท์บีของคน ไปเชื่อมต่อกับโปรตีนบนผิวไวรัสนั่นเอง จากนั้นทีมวิจัยจะสร้างคลังหรือธนาคารฟาจขึ้นมา ด้วยการนำไปเลี้ยงและเพิ่มจำนวนในแบคทีเรียอีโคไล เมื่อต้องการสร้างแอนติบอดีที่มีความจำเพาะต่อพิษใดๆ เพียงแค่นำฟาจที่มีอยู่ในคลัง ไปจับกับพิษงูที่ตรึงไว้บนผิวของพลาสติก หากฟาจตัวไหนไม่จับพิษก็ล้างออก คงไว้แต่ฟาจที่จับกับพิษงู และนำไปผ่านกระบวนการคัดกรองเพื่อให้ได้ฟาจที่บริสุทธิ์ และเฉพาะต่อพิษงูมากขึ้น หลังจากได้ฟาจที่มีโมเลกุลแอนติบอดีเฉพาะต่อพิษนั้นๆ แล้ว เมื่อจะใช้งานก็สามารถนำไปเพิ่มจำนวนด้วยการนำไปเลี้ยงในแบคทีเรีย ใช้เวลาเลี้ยงเพียงข้ามคืน ก็สามารถผลิตแอนติบอดีต้านพิษงูชนิดนั้นๆ ในเวลาที่รวดเร็วตามปริมาณที่ต้องการ ไม่ต้องเสียเวลานับเดือนรอม้าสร้างแอนติบอดีเหมือนก่อน “จากการทดลองพบว่า อัตรารอดชีวิตในหนูที่ได้รับแอนติบอดีจากคน เทียบเท่ากับการได้รับเซรุ่มจากม้า สิ่งนี้บอกถึงความเป็นไปได้สูงที่จะใช้วิธีนี้ทดแทนการผลิตเซรุ่มจากม้า ที่สำคัญแอนติบอดีเหล่านี้เป็นโปรตีนที่สร้างมาจากพันธุกรรมของคนด้วยกันเอง จึงไม่เป็นสิ่งแปลกปลอมเมื่อเข้าสู่ร่างกาย ข้อดีของคลังแอนติบอดีคือ ไม่ต้องเลี้ยง เพราะมันไม่ต้องการอาหาร เก็บไว้ได้ในหลอดเล็กๆ ไม่เปลืองพื้นที่ และเราสามารถสร้างฟาจสำหรับพิษงูต่างๆ ไว้ล่วงหน้า โดยจัดเก็บแยกประเภทไว้ หากจะใช้งานก็นำไปเลี้ยงในแบคทีเรียก็จะได้ปริมาณแอนติบอดีตามต้องการ ไม่ต้องไปลงทุนเลี้ยงม้าฟาร์มใหญ่ งานวิจัยชิ้นนี้นำมาซึ่งคุณประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศ เพราะเหมือนกับขณะนี้ไทยมีคลังหรือธนาคารของภูมิต้านทานในร่างกายมนุษย์ ที่มีจำนวนมากถึง 1 ล้านล้านชนิดอยู่ในมือ นอกจากจะใช้ผลิตเซรุ่มที่ลบล้างพิษงูได้แล้ว ยังอาจใช้ผลิตแอนติบอดีเพื่อการรักษาโรคอื่น ทั้งที่เกิดจากพิษของสัตว์ แบคทีเรีย ไวรัส รวมทั้งโรคไม่ติดเชื้ออื่นๆ อย่างพิษสุนัขบ้า หรือไข้หวัดนกได้ด้วย ขณะนี้มีการศึกษาเพิ่มเติม และที่สำคัญยังต้องได้รับอนุมัติให้ทดลองในมนุษย์ก่อน (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 2 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





มก.ปัดฝุ่นวิจัยพืชพลังงาน สุดยอดสบู่ดำทดแทนปิโตรเลียมได้ดี

คณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศ.ดร.วัฒนา เสถียรสวัสดิ์ ได้เผยถึงความเป็นมาว่า สบู่ดำมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Jatropha curcas Linn อยู่ในตระกูล Euphor biaceae เป็นพืชที่มีตำนานมาตั้งแต่ยุคฟอสซิลประมาณ 70 ล้านปีชาวโปรตุเกสได้นำสบู่ดำเข้ามาสู่ประเทศไทยเมื่อประมาณ 300 ปี ระหว่างปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา ประโยชน์ของสบู่ดำที่ได้ทำการวิจัยพบว่าเป็นพืชทนแล้งได้ดี แม้จะปลูกในพื้นที่ดอน, ดินลูกรัง และถิ่นทุรกันดาร สามารถปลูกเป็นรั้วได้เพราะสัตว์จะไม่กิน เนื่องจากมีสารพิษจำพวก Hydrocanic acid และ curcin แต่สรรพคุณทางสมุนไพรแก้เคล็ดยอกปวดบวม ฟกช้ำ โรคผิวหนังผื่นคัน กระดูกหัก ยางจากใบใช้รักษาโรคปากนกกระจอก ห้ามเลือดแก้ปวดฟัน ด้านอุตสาหกรรมใช้เป็นน้ำมันหล่อลื่น สบู่ เทียนไขและน้ำมันเชื้อเพลิงแทนโซลา ในแอฟริกา ประเทศมาลี เป็นผู้นำการผลิตเมล็ดสบู่ดำ ทั้งยังใช้ผสมรวมกับ Gas-oil กับเครื่องยนต์ดีเซล เครื่อง สูบน้ำ, ประเทศนิการากัว มีโครงการพลังงานแห่งชาติ ที่มีชื่อว่า Patronic ผลิต เป็นไบโอดีเซลได้แล้ว โดยใช้ผสมกับแอลกอฮอล์ เมทานอล ประเทศอินเดีย ก็มีโครงการผลิตไบโอดีเซลแห่งชาติสนับสนุนอยู่ ไทยเราเคยใช้สบู่ดำเป็นน้ำมันหล่อลื่นและเชื้อเพลิงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากนั้นน้ำมันปิโตรเลียมเข้ามาแพร่หลาย สบู่ดำจึงเลิกท่าล่าถอยไป อาจารย์สุขสันต์ สุทธิผลไพบูลย์ เผยด้วยว่า ได้ทำวิจัยสบู่ดำครบวงจรแล้ว ตั้งแต่การปลูกผลิตเป็นน้ำมันและนำทดสอบกับเครื่องยนต์เป็นผลสำเร็จ และก็มีปัญหาบ้างบางอย่างที่รอการแก้ไข เชื่อว่าการนำสบู่ดำมาใช้แทนน้ำมันจะดีกว่าปาล์มน้ำมัน เพราะจุดแข็งตัวของน้ำมันสบู่ดำอยู่ที่ลบ 0.7 องศาเซลเซียส อีกทั้งเมื่อทดสอบด้วยเครื่องยนต์ดีเซลที่ 7,200 รอบต่อนาที โดยการควบคุมของกรมวิทยาศาสตร์บริการ กับสถาบันสิ่งแวดล้อมแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทดสอบร่วมกัน ปรากฏว่าน้ำมันจากสบู่ดำไม่มีซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ที่ทำให้สภาพแวดล้อมเป็นพิษ คณะวิจัยเชื่อว่าจะสามารถทำให้เกษตรกร ปลูกสบู่ดำและผลิตน้ำมันใช้เองได้เลย ถ้าได้รับการสนับสนุนที่ดี (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 2 พ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





มูลนิธิ50ปีธปท.แจก3ทุนวิจัย5ล้าน เชิดชูเกียรติ

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิ 50 ปี ธปท. เปิดเผยว่า มูลนิธิ 50 ปี ธปท.ได้จัดให้มีโครงการสนับสนุนการศึกษา ค้นคว้า วิจัยขึ้น โดยจะให้ทุนเป็นประจำทุกปี เพื่อเชิดชูเกียรติ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการ ธปท. ซึ่งเป็นที่รักและเป็นแบบอย่างที่ดีของพนักงาน ธปท. ดร.ปรีดี พนมยงค์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้วางแผนให้มีการจัดตั้งธนาคารชาติ และพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย อดีตผู้ว่าการ ธปท.พระองค์แรก โครงการดังกล่าวจะแบ่งทุนออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ คือ 1.ทุนป๋วย อึ๊งภากรณ์ ซึ่งเป็นทุนเพื่อสนับสนุนการศึกษาวิจัยด้านเศรษฐกิจ การศึกษาและการพัฒนาชนบท จำนวนปีละ 1 ทุน ทุนละ 2 ล้านบาท 2.ทุนปรีดี พนมยงค์ สำหรับการศึกษาและวิจัยด้านสังคมและการเมือง จำนวนปีละ 1 ทุน ทุนละ 2 ล้านบาท โดยทุนทั้งสองนี้จะสนับสนุนการศึกษา ค้นคว้า วิจัย สำหรับนักวิจัยอาวุโส หรือเป็นนักวิจัยที่ได้รับการยอมรับจากสังคมแล้ว ส่วนทุนที่ 3 คือทุนพระองค์เจ้าวิวัฒนไชยเป็นทุนสนับสนุนการศึกษาค้นคว้า ในสาขาใดสาขาหนึ่งทางด้านสังคม เศรษฐกิจหรือการเมือง สำหรับนักวิจัยรุ่นใหม่ที่มีอายุไม่เกิน 45 ปี จำนวนปีละ 1 ทุน ทุนละ 1 ล้านบาท หากบุคคลใดมีคุณสมบัติและสนใจจะขอรับทุนดังกล่าว ให้จัดทำรายละเอียดโครงการเสนอมายังมูลนิธิ ภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2548 และจะประกาศรายชื่อผู้ได้รับทุนภายในวันที่ 15 สิงหาคมศกนี้ โดยจะมีคณะกรรมการซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิทำหน้าที่พิจารณาตัดสิน โดยสามารถส่งรายละเอียดโครงการไปที่ มูลนิธิ 50 ปี ธปท.ธนาคารแห่งประเทศไทย 273 ถนนสามเสน เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นายวิชัย หิรัญวงศ์ เลขานุการมูลนิธิ โทรศัพท์ 0-2283-5420 (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 2 พ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





มูลนิธิ50ปีธปท.แจก3ทุนวิจัย5ล้าน เชิดชูเกียรติ

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิ 50 ปี ธปท. เปิดเผยว่า มูลนิธิ 50 ปี ธปท.ได้จัดให้มีโครงการสนับสนุนการศึกษา ค้นคว้า วิจัยขึ้น โดยจะให้ทุนเป็นประจำทุกปี เพื่อเชิดชูเกียรติ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการ ธปท. ซึ่งเป็นที่รักและเป็นแบบอย่างที่ดีของพนักงาน ธปท. ดร.ปรีดี พนมยงค์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้วางแผนให้มีการจัดตั้งธนาคารชาติ และพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย อดีตผู้ว่าการ ธปท.พระองค์แรก โครงการดังกล่าวจะแบ่งทุนออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ คือ 1.ทุนป๋วย อึ๊งภากรณ์ ซึ่งเป็นทุนเพื่อสนับสนุนการศึกษาวิจัยด้านเศรษฐกิจ การศึกษาและการพัฒนาชนบท จำนวนปีละ 1 ทุน ทุนละ 2 ล้านบาท 2.ทุนปรีดี พนมยงค์ สำหรับการศึกษาและวิจัยด้านสังคมและการเมือง จำนวนปีละ 1 ทุน ทุนละ 2 ล้านบาท โดยทุนทั้งสองนี้จะสนับสนุนการศึกษา ค้นคว้า วิจัย สำหรับนักวิจัยอาวุโส หรือเป็นนักวิจัยที่ได้รับการยอมรับจากสังคมแล้ว ส่วนทุนที่ 3 คือทุนพระองค์เจ้าวิวัฒนไชยเป็นทุนสนับสนุนการศึกษาค้นคว้า ในสาขาใดสาขาหนึ่งทางด้านสังคม เศรษฐกิจหรือการเมือง สำหรับนักวิจัยรุ่นใหม่ที่มีอายุไม่เกิน 45 ปี จำนวนปีละ 1 ทุน ทุนละ 1 ล้านบาท หากบุคคลใดมีคุณสมบัติและสนใจจะขอรับทุนดังกล่าว ให้จัดทำรายละเอียดโครงการเสนอมายังมูลนิธิ ภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2548 และจะประกาศรายชื่อผู้ได้รับทุนภายในวันที่ 15 สิงหาคมศกนี้ โดยจะมีคณะกรรมการซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิทำหน้าที่พิจารณาตัดสิน โดยสามารถส่งรายละเอียดโครงการไปที่ มูลนิธิ 50 ปี ธปท.ธนาคารแห่งประเทศไทย 273 ถนนสามเสน เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นายวิชัย หิรัญวงศ์ เลขานุการมูลนิธิ โทรศัพท์ 0-2283-5420 (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 2 พ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





โฉมใหม่ยาฆ่าเชื้อรา หมากฝรั่งเคี้ยวแทนอมยาน้ำ

นิสิตชั้นปีสุดท้ายคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประกอบด้วย น.ส.ภาวิณี เสรีสงแสง นายสัมฤทธิ์ อิทธิฤทธิมงคล น.ส.ภัทริดา ทรงงามทรัพย์ ได้รับคำแนะนำจาก ดร.พรรณเพ็ญ วัฒนาอาษากิจ และอาจารย์เพ็ญพรรณ แน่นหนา มีโครงการจะส่งผลงานหมากฝรั่งยาฆ่าเชื้อรา เข้าประกวดในโครงการรางวัลนวัตกรรมแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 5 (Thailand Innovation Awards 2005) จึงได้พัฒนาสูตรตำรับยาเชื้อราในช่องปาก (Nystatin) ในรูปแบบหมากฝรั่ง เพื่อให้ใช้งานสะดวกกว่ายาน้ำในรูปแบบเดิม ซึ่งต้องอมในปากนานประมาณ 15 นาที ทำให้ไม่สะดวกในการใช้ ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการรักษา โดยยาใหม่ในรูปหมากฝรั่งจะทำให้ผู้ป่วยเพลิดเพลินในการเคี้ยว รวมทั้งตัวยาสามารถสัมผัสภายในช่องปากได้อย่างทั่วถึงและนานขึ้น ในกระบวนการผลิตหมากฝรั่งยาฆ่าเชื้อรานี้ อาศัยข้อดีของการเคี้ยวหมากฝรั่ง ที่ช่วยเพิ่มอัตราการหลั่งน้ำลาย ซึ่งสามารถลดเชื้อราในช่องปาก และยังเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถกลืนยา การผลิตสามารถทำได้โดยผสมตัวยาและสารอื่นๆ ที่เหมาะสม ตอกเม็ดยาโดยวิธีการตอกโดยตรง ซึ่งช่วยให้ตัวยาไม่ต้องสัมผัสกับความร้อน และรักษาความคงตัวของตัวยาไว้ได้ นอกจากยังมีการเคลือบน้ำตาลรวมทั้งปรับปรุงรสชาติ โดยใส่สารให้ความเปรี้ยวความหวานลงไป จากนั้นจึงนำผลิตภัณฑ์มาทดสอบคุณสมบัติทางกายภาพ ไม่ว่าจะเป็นความหนา ความแข็ง น้ำหนัก และทดสอบทางเคมีวิเคราะห์หาปริมาณยา ทดสอบการปลดปล่อยของตัวยา ฤทธิ์การยับยั้งของเชื้อรา จนพบว่าสามารถลดปริมาณเชื้อราอย่างได้ผล โดยยาฆ่าเชื้อราในรูปแบบหมากฝรั่งนั้นใน 1 เม็ด จะมีตัวยาสองแสนยูนิต โดยผู้ใช้ยาจะต้องเคี้ยววันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 15 นาที ติดต่อกันเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ด้านอุปสรรคการทำวิจัยครั้งนี้ อยู่ที่ การค้นคว้าหาข้อมูลในการผลิตหมากฝรั่งยา อีกทั้งอุปกรณ์เครื่องมือในการพัฒนายารูปแบบหมากฝรั่งมีราคาแพง จึงต้องนำเครื่องมือที่มีอยู่ในคณะเภสัชศาสตร์ มาดัดแปลงประยุกต์ใช้ในการศึกษาวิจัย สำหรับขั้นตอนต่อไปนอกจากการทดสอบประสิทธิภาพตัวยาในห้องปฏิบัติการแล้ว ยังจะต้องศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพกับยาในรูปแบบอื่นๆ รวมถึงทดสอบในอาสาสมัคร เพื่อให้ทราบถึงคุณสมบัติของตัวยาและการปลดปล่อยตัวยา จากนั้นจึงนำไปทดสอบกับผู้ป่วยจริงก่อนที่จะนำมาผลิต และขึ้นทะเบียนตำรับยาต่อไป (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 3 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





สวทช.ร่วมฟื้นฟูอีสานล่าง หนุน5ล้านเทคโนธานีวิจัย

ผศ.ดร.อนันท์ อุ่นศิวิไลย์ ผู้อำนวยการเทคโนธานี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) กล่าวในงานสัมมนา หารสอง พัฒนาอุตสาหกรรมไทย รัฐจ่าย 50 ท่านจ่าย 50 จ.นครราชสีมาว่า เนื่องจาก "เทคโนธานี" จัดตั้งขึ้นเพื่อรองรับการเป็นอุทยานวิทยาศาสตร์ ในเขตอีสาน ซึ่งสอดคล้องกับโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย โดยที่ผ่านมาดำเนินการภายใต้งบประมาณของ มทส. แต่ปัจจุบัน ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ในวงเงิน 5 ล้านบาท จากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคอีสานตอนล่าง โดยผู้เชี่ยวชาญกว่า 2,000 คนจาก สวทช. มาช่วยผู้ประกอบการในพื้นที่อีสานตอนล่างได้อีกด้วย ไม่เฉพาะผู้เชี่ยวชาญจาก มทส.เท่านั้น ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าวจะเปลี่ยนแปลงบทบาทของสถาบันการศึกษา จากเดิมที่ให้ผู้ประกอบการที่มีปัญหาวิ่งเข้าหา แต่ในยุคนี้จะเปลี่ยนบทบาทไปเป็นเชิงรุก โดยสถาบันจะวิ่งเข้าหาผู้ประกอบการมากขึ้น เพื่อสอบถามถึงปัญหาและสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องการให้ความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาภาคอุตสาหกรรม การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิต รวมถึงสร้างงานนวัตกรรม โดยจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายในลักษณะของเงินให้เปล่า อาทิ ค่าวินิจฉัยปัญหาทางเทคนิคและวางแนวทางพัฒนาธุรกิจทั้งหมด (100% ), สนับสนุนค่าตอบแทนของผู้เชี่ยวชาญ ค่าวิเคราะห์ทดสอบครึ่งหนึ่ง (50%) (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 3 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





'นวัตกรรม' ลุยยุทธศาสตร์เพิ่มมูลค่ายาง

ดร วันทนีย์ จองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโครงการนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) เปิดเผยว่า สำนักงานอยู่ระหว่างดำเนินโครงการนวัตกรรมเชิงยุทธศาสตร์ด้านยางและผลิตภัณฑ์ยาง วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี สำหรับเพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยาง ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลกของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมดังกล่าว จึงได้จัดเวทีสัมมนาระดมความคิดเรื่อง "การพัฒนานวัตกรรมเทอร์โมพลาสติกอีลาสโตเมอร์ จากยางธรรมชาติ : TPE-NR" ด้าน ดร.ภาสรี เล้ากิจเจริญ นักวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) กล่าวถึงความสำเร็จในการนำยางธรรมชาติมาใช้ผลิตเทอร์โมพลาสติก (TPNR,TPE-NR) ทดแทนการใช้ยางสังเคราะห์ ว่าสามารถทำได้แล้วในระดับห้องปฏิบัติการ แต่ในระดับอุตสาหกรรมจำต้องปรับเครื่องจักรผลิตให้สามารถใช้กับยางธรรมชาติได้ ซึ่งต้องมีการวิจัยต่อไป สำหรับยางเทอร์โมพลาสติก (ทีพีอี) จัดอยู่ในกลุ่มวัสดุประเภทโพลิเมอร์ ที่แยกย่อยได้เป็นหลายชนิด เช่น ทีพีวี (Thermoplastic Vulcanizates : ได้จากการผสมเทอร์โมพลาสติกกับยางสุก มีความยืดหยุ่นดี) ทีพีโอ (Thermoplastic Polyolefins : มีลักษณะอ่อนนุ่ม ยืดหยุ่น ไปจนถึงค่อนข้างแข็ง) และทีพีอีนี้เป็นส่วนผสมระหว่างเทอร์โมพลาสติกและยางดิบ โดยคุณสมบัติที่เด่นชัดของเทอร์โมพลาสติกคือ สะดวกต่อการขึ้นรูป ช่วยลดเวลาการขึ้นรูปได้มากเมื่อเทียบกับยาง อีกทั้งสามารถนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่รูปร่างซับซ้อน เติมสีสันต่างๆ ได้ ลดกลิ่นที่เกิดจากการผลิตยาง สามารถนำมารีไซเคิล ซึ่งต่างจากยางธรรมชาติ ทั้งยังมีคุณสมบัติหลากหลายที่สามารถเลือกให้เหมาะกับผลิตภัณฑ์ เช่น ความยืดหยุ่น การทนต่อการขัดสี สึกหรอ โดยขึ้นอยู่กับสารตั้งต้นคือ ชนิดของเทอร์โมพลาสติกกับยางดิบที่นำมาใช้ โดยเทอร์โมพลาสติก จะมีคุณสมบัติของทั้งพลาสติกและยาง ขึ้นอยู่กับอัตราการผสมด้วย ส่วนการนำยางธรรมชาติมาใช้ผลิตเป็นเทอร์โมพลาสติก เนื่องด้วยคุณสมบัติบางประการของยางธรรมชาติ เช่น ไม่ทนต่อความร้อนสูง และมีข้อจำกัดในเรื่องของสี อาจไม่สามารถนำไปใช้ในการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ต้องทนต่อความร้อน หรือไม่สามารถทำเป็นสีใสสวย ได้เหมือนกับยางสังเคราะห์ แต่ยังมีช่องว่างในหลายๆ ด้าน ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 3 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





สหรัฐสร้างกองทัพหนูฝั่งชิพสมองหาระเบิด

ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งนิวยอร์ก กล่าวว่า หนูฝังชิพสามารถดมหาอาวุธที่ซุกซ่อนอยู่ หรือใช้เป็นเซ็นเซอร์ภาพวิดีโอทางไกลเพื่อกิจการทหาร โดยก่อนหน้านี้พวกเขาเคยร่วมกับมหาวิทยาลัยฟลอริดาในสหรัฐ ทดลองติดชิพในสมองหนูเพื่อบังคับให้มันวิ่งไปบนเส้นทางที่มีอุปสรรค และคลำทางหาต้นตอกลิ่นอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่การผสมเทคนิคทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน ถือว่าเป็นความก้าวหน้าไปถึงขั้นที่อาจจะสร้างหนูหุ่นยนต์ได้เลย ทั้งนี้ หากสามารถทำให้หนูสลับสับเปลี่ยนพฤติกรรมของมันได้เอง จะเกิดประโยชน์อย่างมาก ทีมวิจัยจึงฝังขั้วไฟฟ้าลงในสมองสองส่วน ได้แก่ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการให้รางวัลที่เรียกว่า "เอ็มเอฟบี" และส่วนที่รับรู้ความรู้สึกสัมผัสทางกาย ซึ่งอันหลังนี้เกี่ยวข้องกับการบังคับให้หนูไปทางซ้ายขวา ทีมวิจัยได้กระตุ้นสมองเพื่อบังคับให้หนูเดินไปข้างหน้าหรือเลี้ยวซ้ายขวา พร้อมกับฝึกให้หนูดมกลิ่นเพื่อกระตุ้นสมองส่วนรับรางวัล (เอ็มเอฟบี) ซึ่งเป็นเทคนิคเดียวกับการฝึกสุนัขดมกลิ่นเพื่อให้เกิดความคุ้นเคย และเสาะหากลิ่นโดยสัญชาตญาณ จากการทดลองพบว่าสามารถใช้เทคนิคสองอย่างนี้ร่วมกันได้ โดยอันดับแรกพวกเขาสามารถใช้ไฟฟ้าอ่อนกระตุ้นให้หนูเดินไปยังพื้นที่เป้าหมาย จากนั้นหนูที่ถูกฝึกมาให้ดมหากลิ่นจะเริ่มใช้ทักษะดมกลิ่นที่ถูกฝึกไว้ การทดลองแสดงให้เห็นว่า หนูที่ถูกฝึกโดยส่งกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ กระตุ้นสมองสามารถเดินทางไปยังตำแหน่งที่ล่อด้วยกลิ่นได้ดีกว่าหนูที่ฝึกมาให้หาอาหาร ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากฝึกกระตุ้นไฟฟ้าผ่านไป 6 สัปดาห์แล้วหนูยังมีแรงจูงใจสูงที่จะดมหากลิ่นอยู่ ความสามารถพิเศษในการดมกลิ่นของหนูนี่เองที่เป็นไปได้ว่าสามารถนำมาฝึกให้หาตำแหน่งระเบิดหรือยาเสพติดได้ แม้จะมีปริมาณสารเคมีน้อยนิดให้ติดตามกลิ่น (คมชัดลึก อังคารที่ 3 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ความอ้วนเพาะโรคสมองเสื่อม หญิงเสี่ยงกว่าปกติขึ้น 2 เท่าครึ่ง

นักวิจัยในสหรัฐฯได้แสดงให้เห็นในการศึกษาว่า ความอ้วนโดยเฉพาะในหมู่ผู้หญิง จะทำให้เสี่ยงกับการเป็นโรคสมองเสื่อมเมื่อแก่ตัว ดร.ราเชล วิตเมอ แห่งองค์การไคเซอร์ เปอมาเนนท์ ซึ่งเป็นหน่วยงานรักษาสุขภาพแห่งหนึ่งที่ได้ศึกษากับหญิงชายไม่ต่ำกว่า 10,000 คน ที่อยู่ในวัยระหว่าง 40-45 ปี เมื่อระหว่างช่วงเวลา 2507-2517 ทั้งยังศึกษาติดตามต่อมาอีก 27 ปี ได้พบว่าพวกเขาเหล่านี้ได้เป็นโรคสมองเสื่อมกันขึ้น 7% รายงานผลการศึกษาว่า ผู้ที่มีรูปร่างอ้วนเมื่อตอนวัยกลางคน จะเสี่ยงกับเป็นโรคสมองเสื่อมมากถึง 74% ในขณะที่ผู้ที่เพียงแค่น้ำหนักเกิน จะเสี่ยงแค่ 35% เมื่อเทียบกับเพื่อนที่น้ำหนักตัวปกติ และยิ่งหากเป็นผู้หญิงที่ถึงขนาดอ้วนมากจะเสี่ยงมากถึง 2 เท่าครึ่ง ยิ่งกว่าคนที่มีน้ำหนักตัวปกติ ผู้เชี่ยวชาญสุขภาพของประชากรโลก ได้แสดงความวิตกว่า เพราะเหตุที่พลโลกกำลังมีผู้สูงอายุเพิ่มทวีมากขึ้น จะทำให้มีผู้ตกเป็นเหยื่อของโรคสมองเสื่อมมากยิ่งขึ้น จนถึงกับคาดว่า อาจจะเพิ่มขึ้นอีกถึง 4 เท่าตัว ในช่วงเวลา 20 ปีข้างหน้านี้ บางคนถึงกับคำนวณออกมาเป็นตัวเลขได้ว่าในปี พ.ศ. 2593 อาจจะมีชาวโลกที่เป็นโรคสมองเสื่อมกันมากถึง 45 ล้านคน. (ไทยรัฐ พุธที่ 4 พ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ราชมงคลผันลมร้อนจากแอร์ พลังงานอบแห้งสินค้าเกษตร

นายวุฒินันท์ สมบูรณ์ศิลป์ นักศึกษาจากภาควิชาเทคโนโลยีการเก็บเกี่ยวและแปรสภาพ คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง “การอบแห้งโดยใช้ลมร้อนทิ้งจากเครื่องปรับอากาศ” โดยนำพลังงานความร้อนทิ้งจากเครื่องปรับอากาศมาใช้อบผลผลิตทางการเกษตรได้เกือบทุกชนิด ในขั้นแรกได้สร้างชุดทดสอบการอบแห้ง เพื่อนำมาใช้ร่วมกับคอนเดนซิ่งยูนิตของเครื่องปรับอากาศขนาด 24,000 บีทียู/ชั่วโมง โดยในชุดทดสอบการอบแห้งนี้ สามารถบรรจุถาดผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรได้ 4 ถาด ซึ่งจากการทดลองอบแห้งเห็ดหูหนูสด ครั้งละ 2 กิโลกรัมเป็นเวลา 6 ชั่วโมง โดยใช้พลังงานลมร้อนทิ้งจากเครื่องปรับอากาศ ที่อุณหภูมิเฉลี่ย 39 - 47 องศาเซลเซียส พบว่าเห็ดที่ผ่านกระบวนการอบแห้ง มีอัตราการระเหยน้ำและความชื้นที่เหมาะสม ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์เห็ดอบแห้งที่สามารถนำไปบริโภคและจำหน่าย เพื่อสร้างรายได้เสริมให้เกษตรกร โครงงานวิจัยนี้มีอาจารย์ปัณณธร ภัทรสถาพรกุล เป็นที่ปรึกษา ซึ่งผลจากการศึกษาวิจัยนี้ถือเป็นอีกหนทางหนึ่ง ในการนำพลังงานความร้อนซึ่งจะถูกปลดปล่อยไปเป็น ปรากฏการณ์เรือนกระจก ให้กลับมาเป็นประโยชน์สำหรับเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน อีกทั้งเครื่องปรับอากาศเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่พบเกือบทุกบ้านเรือน บริษัท ห้างร้าน ตลอดจนหน่วยงานต่างๆ จึงเป็นแรงบันดาลใจดังกล่าว (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 4 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





เอไอทีคิดค้นผนังคอนกรีตทนแรงระเบิด

ดร.พิชัย นิมิตยงสกุล จากภาควิชาวิศวกรรมโยธา สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที) เปิดเผยว่า สถาบันฯร่วมกับภาควิชาวิศวกรรมโยธา โรงเรียนนายเรืออากาศ ออกแบบและพัฒนาผนังต้านทานแรงระเบิด สำหรับใช้เป็นโครงสร้างอาคารขนาดเล็ก อาทิ ป้อมตำรวจ หรือเสริมกำลังของโครงสร้างที่มีอยู่เดิม เพื่อป้องกันการพังทลายของอาคาร หากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว หรือใช้ซ่อมแซมอาคารที่ได้รับผลกระทบจากคลื่นสึนามิให้แข็งแรงมากขึ้น ที่ผ่านมา โครงสร้างของป้อมยามหรือสถานีตำรวจ ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อต้านทานแรงระเบิด ดังนั้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการลอบวางระเบิด จึงทำให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บจนถึงสูญเสียชีวิต ทั้งนี้ โดยทั่วไปแล้วผนังต้านทานแรงระเบิดสามารถสร้างขึ้น โดยใช้โครงสร้างเหล็กหรือคอนกรีตเสริมเหล็ก แต่สำหรับงานวิจัยชิ้นนี้ ผู้วิจัยเลือกใช้ เฟอร์โรซีเมนต์ (Ferrocement) เป็นวัสดุผลิต เนื่องจากราคาถูกสามารถผลิตได้ในประเทศ ทำให้ราคาค่าก่อสร้างไม่สูง ขณะที่วัสดุมีคุณสมบัติดีเยี่ยมในการทนแรงกระแทก และด้วยความแข็งแรงของวัสดุจึงต้านทานแรงระเบิดได้เป็นอย่างดี ดร.พิชัย อธิบายว่า เฟอร์โรซีเมนต์เป็นวัสดุก่อสร้างแบบคอนกรีตเสริมเหล็ก ซึ่งอาศัยโครงของลวดกรงไก่เป็นวัสดุหลัก ทำให้โครงสร้างมีความแข็งแรงและทนทาน โดยมีความบางเพียง 2-4 เซนติเมตร ขึ้นอยู่กับความหนาของชั้นลวด และสามารถดัดโครงร่างได้ตามต้องการโดยที่ไม่ต้องใช้แบบ เพียงแต่ต้องฉาบปูนให้แน่นเท่านั้น การทดสอบได้กำหนดรูปแบบเบื้องต้นของชิ้นงานเฟอร์โรซีเมนต์ ให้เป็นแผ่นพื้นแซนด์วิช 2-3 ชั้น ขนาด 0.8x1.6 เมตร รองรับการถ่ายแรงแบบทางเดียวจำนวน 30 แผ่น จากนั้นได้ทดสอบโดยวางระเบิดห่างจากแผ่นเฟอร์โรซีเมนต์ เทียบกับแผ่นคอนกรีตทั่วไปในระยะต่างกัน รวมถึงทดสอบกับรูปแบบการวางระเบิดขนาด 1-2 ปอนด์ ทั้งแบบวางบนดิน แบบฝังดินและลอยกลางอากาศ พบว่า เฟอร์โรซีเมนต์สามารถทนแรงระเบิดได้ดีกว่า หรือเกิดความเสียหายเพียงเล็กน้อย ขณะที่แผ่นคอนกรีตทั่วไปถึงกับพังทลาย สำหรับผลงานผนังทนระเบิดนี้เป็นงานวิจัยระดับปริญญาโทของนักศึกษา ที่ต้องการพัฒนาชิ้นส่วนงานก่อสร้างที่ทนต่อแรงระเบิด เพื่อใช้ในการป้องกันอันตรายและเป็นพื้นฐานการออกแบบโครงสร้างรับแรงระเบิด นอกจากนี้ ยังสามารถดัดแปลงวัสดุดังกล่าว ให้เป็นเกราะกำบังหรือกล่องเก็บกู้ระเบิด ซึ่งเป็นสินค้านำเข้าราคาแพง แต่หากเราสามารถพัฒนาคอนกรีตจากเฟอร์โรซีเมนต์ขึ้นใช้เองได้ จะช่วยประหยัดต้นทุนได้อย่างมาก (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 4 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ระบบตรวจจับขโมยไฮเทค ติดเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิร่างกายแจ้งตรงมือถือ

นายอรรถสิทธิ์ ศุภพล นักศึกษาคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และทีมงานพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยผ่านเครือข่ายโทรศัพท์พื้นฐานสำหรับโรงงานเปิดเผยว่า พวกเขาได้รับโจทย์มาจากบริษัทเอกชนรายหนึ่ง ซึ่งมีความสนใจที่จะทำการติดตั้งระบบตรวจสอบความปลอดภัยที่ราคาถูก และมีประสิทธิภาพในการแจ้งเตือนถึงความผิดปกติภายในโรงงาน ที่สำคัญคือสามารถแจ้งผลได้อย่างรวดเร็ว ทีมวิจัยจึงร่วมกันคิดค้นระบบจับขโมยโดยติดตั้งเซ็นเซอร์ไว้ในห้องเพื่อตรวจจับอุณหภูมิร่างกายมนุษย์ ซึ่งหากพบว่ามีคนแอบเข้าหลังจากเลิกเวลาทำการแล้ว ระบบจะส่งข้อความเตือนไปยังโทรศัพท์มือถือทันที เซ็นเซอร์ดังกล่าวสามารถตรวจจับได้เฉพาะอุณหภูมิของร่างกายมนุษย์เท่านั้น แต่ะจะไม่ส่งสัญญาณเตือนภัยหากสิ่งแปลกปลอมนั้นเป็นสัตว์เลี้ยง หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ และราคาถูกกว่าจากต่สงประเทศ ด้าน น.ส.จุฑารัตน์ วรสุวิทย์ อธิบายหลักการทำงานของระบบเตือนภัยว่า หลังจากที่เซ็นเซอร์พบความผิดปกติจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิแล้ว ก็จะส่งสัญญาณเตือนภัยผ่านมือถือ ในลักษณะของการโชว์เบอร์เรียกเข้า โดยจะเป็นเบอร์พิเศษที่ตั้งไว้โดยเฉพาะ พร้อมกับแพร่ภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิดไปยังเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และสามารถเลือกดูภาพภายในอาคารโรงงานผ่านหน้าเวบไซต์ได้ทันที หรือแม้แต่บนมือถือที่รองรับเครือข่ายแวป จีพีอาร์เอส ก็สามารถเชื่อมต่อแล้วดูภาพ ก่อนที่จะโทรแจ้งตำรวจ หรือบันทึกภาพที่ได้ไว้เป็นหลักฐานต่อไป อย่างไรก็ตาม การส่งข้อมูลแจ้งการเตือนภัยอาจจะเกิดการหน่วงเวลาในการส่งข้อมูลไปบ้าง แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่เล็กน้อย เพียง 2-3 นาที ส่วนปัญหาเรื่องการส่งข้อมูลในลักษณะของภาพเคลื่อนไหวผ่านเครื่อข่ายอินเทอร์เน็ตนั้น อาจไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร ภาพที่ออกมาจึงเป็นภาพที่มีขนาดเล็ก (คมชัดลึก พุธที่ 4 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





เครื่องทำน้ำอุ่นด้วยกระป๋องน้ำอัดลม ใช้แทนแผงโซลาร์เซลล์ติดบนหลังคา

น.ส.กัญญวิทย์ กลิ่นบำรุง นักเรียนโรงเรียนปทุมวิลัย จ.ปทุมธานี เจ้าของแนวคิดการอุ่นน้ำด้วยตัวรับรังสีแสงอาทิตย์ที่ทำจากก้นกระป๋อง เปิดเผยว่า "เรามองหาวัสดุราคาถูกที่จะนำมาใช้แทนแผ่นโซลาเซลล์เพื่อลดต้นทุนในการผลิตและสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ และก็พบว่าส่วนฐานของก้นกระป๋องน้ำอัดลมนั้นสามารถนำมาใช้ดูดซับความร้อนได้ ทดแทนแผ่นโซลาเซลล์ซึ่งมีราคาสูง" ก้นกระป๋องที่โค้งเว้าทำหน้าที่รวมแสงเปรียบเสมือนกระจกเว้า และเพื่อให้ดูดซับความร้อนได้ดีขึ้นจึงนำสีดำมาทาที่ก้นกระป๋องน้ำอัดลมจำนวน 30 กระป๋องที่วางเรียงต่อกันบนโครงเหล็ก ด้านล่างรองพื้นด้วยแผ่นซีแพคโมเนียและใช้ฉนวนกันความร้อนหุ้มทับอีกชั้น จากนั้นนำท่ออะลูมิเนียมหรือท่อแอร์ซึ่งจะใช้เป็นทางเดินของน้ำมาดัดและติดลงบนก้นกระป๋อง โดยมีถังน้ำอุ่นและถังน้ำเย็นขนาบอยู่ด้านข้างโครงเหล็ก น.ส.กัญญวิทย์ ได้ศึกษาทดลองอยู่หลายวิธี รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้ที่สามารถรวบรวมแสงได้มากที่สุด และยังต้องหาทางแก้ปัญหาที่เกิดบริเวณรอยต่อระหว่างท่อซึ่งทำให้การรับแสงได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ หลังจากแก้ปัญหาดังกล่าวแล้ว ทดลองปล่อยน้ำเย็นไหลผ่านพบว่าได้น้ำที่มีอุณหภูมิสูงขึ้น แต่ยังไม่สูงถึงระดับที่ต้องการ จึงได้ทำการศึกษาเพิ่มเติม โดยพบว่าหากใช้วัสดุรับแสงที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจะช่วยให้น้ำที่ได้มีอุณหภูมิสูงขึ้นตามไปด้วย โดยอุณหภูมิของน้ำที่ได้สูงขึ้นถึง 10 องศา เธอได้เพิ่มจำนวนชั้นของกระป๋องเป็นสองชั้น และนำเอาแผ่นกระจกมาปิดบริเวณรับแสงพบว่าสามารถช่วยให้อุณหภูมิสูงขึ้น เครื่องทำน้ำอุ่นนี้นำไปติดตั้งบนหลังคา และเชื่อมต่อกับท่อประปาเหมือนกับแผงโซลาเซลล์ทั่วไป แต่อาจจะเพิ่มตัวตัดอุณหภูมิ และต้องศึกษาความเป็นไปได้ในการนำระบบมาใช้งานจริงต่อไป (คมชัดลึก พุธที่ 4 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





เลี้ยงแมวหุ่นยนต์หมดปัญหาภูมิแพ้ ร้องเหมียวๆ ลีลาเดินย่องเหมือนจริง

บริษัท ออมรอน คอร์ป.ก็เปิดตัว "เนโกโร" แมวหุ่นยนต์ที่เสมือนของจริงอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น เสียงร้อง การก้าวย่าง หรือแม้แต่อาการขู่ฟอดเมื่อไม่พอใจ ที่สำคัญทุกคนสามารถซื้อหาไปเลี้ยงได้ เพราะไม่มีปัญหาเรื่องภูมิแพ้ให้รำคาญกายและใจแน่นอน มีขนาดน้ำหนักตัวที่มีประมาณ 1.6 กิโลกรัม เคล็ดลับที่ทำให้เจ้าหมียวหุ่นยนต์สามารถทำได้เช่นนั้น ก็เพราะเซ็นเซอร์เสียงและเซ็นเซอร์เคลื่อนไหวที่ฝังอยู่ภายในตัวนั่นเอง เขาได้ตั้งชื่อใหม่ให้กับสมาชิกตัวน้อยว่า "คลีโอ" บริษัท ออมรอน เชื่อว่าหุ่นยนต์แมวเข้ากับคนได้ง่ายกว่าแมวจริง เหมาะกับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการภูมิแพ้ หรือผู้พิการทั้งรุ่นใหญ่รุ่นเล็ก การเลี้ยงดูก็ง่าย ไม่ต้องให้อาหาร ไม่ต้องทำความสะอาด และหากจะปลอบขวัญให้เจ้าเหมียวอารมณ์สงบก็แค่ลูบหลังมันเบาๆ เท่านั้น บริษัทกำลังเร่งมือพัฒนาหุ่นยนต์สัตว์เลี้ยงอีกหลายสายพันธุ์ อาทิ หมีเท็ดดี้ และลูกแมวน้ำ ทำให้เชื่อได้ว่าในอนาคตอันใกล้ สัตว์เลี้ยงสมองกลเหล่านี้น่าจะแทรกซึมในสังคมในจำนวนที่มากขึ้น (คมชัดลึก พุธที่ 4 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





วว.โชว์การผลิต “เห็ดเมืองหนาว” พื้นที่ภาคกลางแห่งแรกของประเทศ

ดร.นงลักษณ์ ปานเกิดดี ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เปิดเผยว่า ทางสถาบันได้ดำเนินการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเห็ดเออรินจิ หรือเห็ดนางรมหลวงซึ่งเป็นเห็ดเมืองหนาวที่พบมากในอเมริกา ยุโรปและเอเชีย ให้แก่บริษัท ปิยะพร อินเตอร์เอโกรโลยี จำกัด ตั้งแต่ปลายปี 2545 โดยบริษัทดังกล่าวมีความพร้อมในการดำเนินโครงการการเพาะเห็ดเมืองหนาวที่ครบวงจร ซึ่งถือว่าเป็นการเพาะเห็ดเมืองหนาวในพื้นที่ภาคกลางเป็นแห่งแรกในประเทศไทย และสามารถผลิตเห็ดเออรินจิได้วันละ 400 กิโลกรัม อีกทั้งขณะนี้เห็ดเออรินจินั้น กำลังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมาก โดยมีวางจำหน่ายในตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ และคาดว่าจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตให้ได้วันละ 600 กิโลกรัมต่อวัน เพื่อสนองความต้องการของตลาดได้อย่างเพียงพอ อีกทั้งเพื่อทดแทนการนำเข้าและส่งสินค้าออกในอนาคต (สยามรัฐ พุธที่ 4 พ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





เครื่องเชื่อมพีวีซี ผิดที่ลอกเชื่อมใหม่ได้

นักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตเชียงราย โดยถนัดกิจ หทัยวุพุธพงศ์ ประวิทย์ ชูธรรมเจริญ และอธิวัฒน์ ใจแก้ ได้ร่วมกันประดิษฐ์ “เครื่องเชื่อมพีวีซี” ซึ่งสามารถเชื่อมท่อพีวีซีได้ทุกประเภท และสามารถแก้ปัญหาการเชื่อมต่อตรงบริเวณข้อต่อได้สนิทเป็นอย่างดี หรือถ้าหากเกิดการเชื่อมผิดพลาด หรือผิดที่ก็สามารถแก้ไขได้ โดยไม่จำเป็นต้องทิ้งส่วนที่ผิดพลาดไป เครื่องเชื่อมพีวีซีที่ประดิษฐ์ขึ้นนี้ เป็นการประยุกต์เอาชุดควบคุมความร้อน และชุดควบคุมแรงดันมาใช้ร่วมกัน โดยต่อชุดควบคุมความร้อนและชุดควบคุมความดันลม (เครื่องปั๊มลม) เข้าด้วยกัน เมื่อเปิดวาล์วเครื่องปั๊มลมจะถูกเป่าออกมาในอุณหภูมิที่จะหลอมเส้นพีวีซีที่นำมาเชื่อมต่อแทนกาวได้ขณะเดียวกันก็ไม่ทำให้ท่อพีวีซีละลาย ที่สำคัญ หากมีความผิดพลาดเช่นเชื่อมผิดที่ ก็สามารถละลายเส้นพีวีซีแล้วลอกออกแล้วเชื่อมใหม่ได้โดยไม่ต้องตัดทิ้ง วิธีการเชื่อมต่อแบบนี้มีประสิทธิภาพดีกว่า เพราะเชื่อมได้ทุกจุดไม่จำกัดเพียงแค่ข้อต่อเท่านั้น ตรงที่เป็นการต่อตรงทั่วไปก็สามารถทำได้อย่างดี ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย ในช่วงเริ่มต้นอาจจะต้องลงทุนซื้ออุปกรณ์ แต่เมื่อประเมินผลระยะยาวของการใช้งานช่วยประหยัดกว่าการเชื่อมแบบกาว สำหรับผู้สนใจเทคนิคดีๆ อย่างดี สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา วิทยาเขตเชียงราย โทร.0-5372-9600-5 ต่อ 4000 (สยามรัฐ อังคารที่ 3 พ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





พัฒนาเทคโนโลยีใช้แสงอาทิตย์ ผลิตได้ทั้งน้ำประปาและไฟฟ้า

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยอเบอร์ดีน ได้พัฒนาเซลล์ เชื้อเพลิงแบบใหม่ขึ้น เพื่อเอาแสงแดดมาใช้ในการบำบัดน้ำให้ปลอดจากสิ่งสกปรกต่างๆ และพร้อมกันนั้นก็ได้ กระแสไฟฟ้าใช้ด้วย โดยเซลล์เชื้อเพลิงนั้นจะมีสารตัวเร่งปฏิกิริยาที่ไปย่อยสลายสารอินทรีย์ปนเปื้อนที่มีอยู่ในน้ำ และทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าขึ้นได้ในเวลาเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์ในโครงการ เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าวใช้เวลา 3 ปี ได้ใช้เงินลงทุนในการวิจัยก้อนแรกไป 90 ล้านบาท หากสำเร็จขึ้นเมื่อใด จะเป็นประโยชน์ แก่ชาติที่กำลังพัฒนาอย่างมหาศาล รวมทั้งยังจะได้หนทางบำบัดน้ำแบบประหยัดให้กับอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซอีกด้วย หัวหน้าโครงการนายโดนัล แมฟฟี กล่าวว่า พื้นฐานของโครงการได้แก่ การพัฒนาเซลล์เชื้อเพลิงด้วยสารตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีคุณสมบัติสังเคราะห์แสงขึ้นก่อน จากนั้นก็จะมีพัฒนาให้มีการทดลองใช้เทคโนโลยีนั้นในห้องปฏิบัติการ เพื่อให้ใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆได้อย่างกว้างขวางที่สุด. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 5 พ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





ตั้งรางวัล 40,000,000 บาท ให้กับนักประดิษฐ์นักวิจัยทั่วโลก

มหาเศรษฐีใจบุญ นายเฟรด คัฟลี ได้ ประกาศที่กรุงออสโล เมืองหลวงของนอร์เวย์ เมื่อวันจันทร์ที่ 2 เดือนนี้ ว่า จะตั้งรางวัลมูลค่า 40 ล้านบาท ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 เป็นต้นไป ให้กับนักประดิษฐ์นักวิจัย ซึ่งสามารถคิดค้นไม่ว่าในเรื่องใด ไม่ว่าเรื่องกำเนิดของจักรวาล จนถึงมันสมองของมนุษย์ได้รับความสำเร็จ เขาได้กำหนดรางวัลไว้เป็น 3 รางวัล ในด้านฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ประสาทวิทยา และจุลเทคโนโลยี อันเป็นวิทยาศาสตร์ แขนงใหม่ เป็นวิทยาศาสตร์ของการย่อส่วนในระดับอะตอม มหาเศรษฐีผู้นี้มีประวัติว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางด้านฟิสิกส์ เดินทางออกจากบ้านเกิดไปแสวงโชคในแคลิฟอร์เนียด้วยเงินติดกระเป๋าแค่ 12,000 บาท ตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2498 จนบัดนี้ร่ำรวยมีทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดเป็นมูลค่าถึง 13,600 ล้านบาท. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 5 พ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





ไฟฟ้าพลังกล้วย พลังงานถูกใกล้ตัว

สิ่งประดิษฐ์ดีเด่น สาขาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ จากสภาวิจัยแห่งชาติ ปี 2546 ได้แก่กระแสไฟฟ้าจากกล้วย ค้นพบโดย อ.บุญช่วย ชาญประโคน อาจารย์สอนวิชาวิทยาศาสตร์ ระดับมัธยมต้น ร.ร.นวมินทราชินูทิศเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้ากรุงเทพมหานคร พลังไฟฟ้าจากกล้วยไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเป็นไฟฟ้าในลักษณะเดียวกับไฟฟ้าที่ได้จาก แบตเตอรี่รถยนต์ จะมีความแตกต่าง ตรงไฟฟ้าที่ได้จากแบตเตอรี่รถยนต์ ใช้สารละลายอิเล็กโทรไลต์ที่เป็นกรด อย่างกรดกำมะถันหรือกรดซัลฟิวริก ซึ่งเป็นกรดที่อันตรายและก่อมลพิษ ในขณะที่ไฟฟ้าจากกล้วย ใช้สารละลายอิเล็กโทรไลต์ที่เป็นด่าง ซึ่งได้จากต้นกล้วย มีความปลอดภัยและไร้มลพิษ อ.บุญช่วย เอาแผ่นทองแดงและสังกะสี ทดลองเสียบต้นกล้วย...ได้ไฟฟ้ามีแรงดัน 0.8-0.9 โวลต์ นี่คือจุดเริ่มต้น...การค้นพบพลังไฟฟ้าจากต้นกล้วย... เมื่อรู้ว่ากล้วยทำไฟฟ้าได้จึงสนใจที่จะศึกษาต่อ ส่วนไหนของต้นกล้วยที่ให้พลังไฟฟ้ามากที่สุด เพื่อให้ได้ข้อมูลละเอียดเรื่องไฟฟ้ามากขึ้น จึงร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านไฟฟ้า อ.เฉลิมชาติ มานพ จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง และ อ.ชาญวิทย์ ตั้งสิริวรกุล จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ ทำวิจัยเรื่อง “เซลล์ไฟฟ้าที่ใช้สารละลาย อิเล็กโทรไลต์เป็นของเหลวที่ได้จากต้นกล้วยเป็น” วิจัยทั้งต้นตั้งแต่ราก-ต้น-ดอก-ผล แต่ละส่วนคั้นเอาแต่น้ำมาทดลอง พบรากให้แรงดันไฟฟ้า 0.96โวลต์ (V.) ให้กระแสไฟฟ้า 2.7 มิลลิแอมป์ (mA.) ให้พลังงานไฟฟ้า 2.59 วัตต์ (W.) ดอกให้แรงดันฯ 0.91 V. กระแสฯ 2.69mA. พลังงานฯ 2.44W. ผลดิบให้แรงดันฯ 1.02 V. กระแสฯ 2.84mA. พลังงานฯ 2.89W. ผลสุกให้แรงดันฯ 1.10 V. กระแสฯ 2.90mA. พลังงานฯ 3.19W. หยวกดิบให้แรงดันฯ 0.87 V. กระแสฯ 2.67mA. พลังงานฯ 2.32W. หยวกเน่าให้แรงดันฯ 0.96 V. กระแสฯ 3.88mA. พลังงานฯ 3.72W. หากต้องการได้แรงดัน กระแสและพลังงานไฟฟ้าที่สูงกว่านี้ สามารถทำได้โดยการต่อวงจรเซลล์ไฟฟ้าหลายเซลล์พ่วงเข้าหากัน ต่อแบบขนาน แรงดันไฟฟ้าจะเพิ่ม...กระแสและพลังงานไฟฟ้าเท่าเดิม ต่อแบบอนุกรม แรงดันไฟฟ้าเท่าเดิม...กระแสและพลังงานไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น และถ้าต้องการให้ทุกอย่างเพิ่มขึ้น ก็ต้องต่อแบบผสมผสาน ตัวเลขจากการวิจัย น้ำคั้นจากหยวกกล้วยเน่าเหมาะที่จะนำมาผลิตไฟฟ้าที่สุด เพราะให้พลังไฟฟ้าดีที่สุด เป็นวัสดุที่มีมากหาง่ายและไร้ราคา ราคาคิดแบบแพง เซลล์ไฟฟ้าจากหยวกกล้วย 1 เซลล์ ที่ให้พลังไฟฟ้า 3.72 วัตต์ ไม่น่าจะถึง 10 บาท ขณะแผงโซลาร์เซลล์ ให้กำลังไฟฟ้าขนาด 75 วัตต์ ราคาอยู่ที่ 15,000 บาท ทำเซลล์ไฟฟ้าหยวกกล้วย ได้กำลังไฟฟ้าเท่ากัน คิดแบบแพงราคาจะตกอยู่ประมาณ 210 บาท...แถมใช้ได้นาน ให้พลังไฟฟ้าได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่มีหยุดพักนอนกลางคืนเหมือนโซลาร์เซลล์ (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 5 พ.ค. 47 http://www.thairath.co.th)





ผลงานวิจัยเด็กไทยใช้มือถือเป็นยาม

งานวิจัยของเยาวชน แก้ปัญหาให้เจ้าของโรงงาน ใช้เครือข่ายมือถือและระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวรายงานเหตุผิดปกติพร้อมคลิกดูรูปได้ทันที ได้มีการออกแบบระบบรักษาความปลอดภัยผ่านเครือข่ายโทรศัพท์พื้นฐาน เพื่อให้ผู้บริหารสามารถตรวจดูความเรียบร้อยและการทำงานภายในโรงงานผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต โดยฝีมือเยาวชนไทยในโครงงาน “ระบบรักษาความปลอดภัยผ่านเครือข่ายโทรศัพท์พื้นฐานสำหรับโรงงานขนาดเล็กและขนาดย่อม” ภายใต้การสนับสนุนของ สกว. ในโครงการ “โครงงานสำหรับนักศึกษาปริญญาตรี” หรือ IRPUS (Industrial and Research Projects for Undergraduate Students) นางสาวจุฑารัตน์ วรสุวิทย์ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีหนึ่งในทีมวิจัย กล่าวว่า การทำงานของระบบรักษาความปลอดภัยจะติดตั้งในโรงงาน เมื่อเกิดเหตุการณ์ผิดปกติขึ้นภายในโรงงาน ระบบจะเรียกเข้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้บริหาร เพื่อให้ป้องกันและแก้ไขเหตุการณ์ผิดปกติที่เกิดขึ้นได้ทันที ระบบดังกล่าวประกอบด้วยชุดวงจรเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว ไมโครคอนโทรลเลอร์ และการสื่อสารข้อมูลผ่านพอร์ตอนุกรมมาตรฐานและระบบอินเทอร์เน็ต เพื่อใช้ในการรักษาความปลอดภัย โดยจะติดตั้งกล้องวิดีโอ และชุดวงจรเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว ณ สถานที่ที่ต้องการตรวจสอบดูแลความปลอดภัย ผู้ใช้สามารถค้นหาหรือเปิดดูภาพเหตุการณ์ผ่านทางเว็บเบราว์เซอร์ได้อีกด้วย.(เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 6 พ.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





วว.ระดมชิ้นงานโชว์เทคโนฯแก้จน ลดพึ่งพา ตปท.

ดร.นงลักษณ์ ปานเกิดดี ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เปิดเผยว่า สถาบันกำหนดจัดงานแสดงศักยภาพของนักวิจัย และเปิดโลกทัศน์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยการเผยแพร่เทคโนโลยีที่ได้พัฒนามาตลอด 42 ปี พร้อมเผยแพร่ สาธิต รวมถึงฝึกอบรมให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมได้นำเทคโนโลยีต่อยอด เพื่อลดการนำเข้าเทคโนโลยีราคาแพงจากต่างประเทศ งานครั้งนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 - 29 พฤษภาคมนี้ ณ ฮอลล์ 9 อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี ซึ่งภายในงานจะจัดแสดงนิทรรศการแสดงความสำเร็จของการเชื่อมโยงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในชีวิตประจำวันในหมู่บ้าน วว. พัฒนา ที่จะจัดแสดงเทคโนโลยีเพื่อชุมชน อาทิ การสร้างบ้านโดยใช้อิฐบล็อกประสาน การแปรรูปอาหารและผลไม้ การทำยาจากสมุนไพรพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีที่มีเพื่อสร้างอาชีพและรายได้เสริมให้ภาคประชาชน รวมถึงส่วนที่จัดแสดงศักยภาพของอุตสาหกรรมไทยในแง่ของการส่งออก ในลักษณะของการเปิดตัวนวัตกรรมเครื่องต้นแบบของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องหั่นผักในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องเชื่อมอัลตราโซนิกส์ เครื่องผนึกสุญญากาศหลอดแก้ว ซึ่งล้วนเป็นเทคโนโลยี ที่ วว. ผลิตขึ้น นอกจากนี้ ภายในงานยังได้เปิดห้องเรียนวิทยาศาสตร์เพื่อเยาวชน โดยเฉพาะความรู้เรื่องดีเอ็นเอ คลื่นยักษ์สึนามิ ท่องโลกจุลินทรีย์ เป็นต้น นอกจากนวัตกรรมของคนไทยแล้ว ยังจัดแสดงเทคโนโลยีจาก 22 หน่วยงานต่างประเทศ ทั้ง ญี่ปุ่น เยอรมนี รวมถึงรัสเซีย จึงเหมาะอย่างยิ่งที่นักวิจัยไทยจะนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาปรับใช้กับงานวิจัยในประเทศ (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 5 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





สวทช.ควงอียูเปิดโครงการยูโรไทยแลนด์ 2005 หนุนวิจัยใช้ไอทีเป็นฐานพัฒนานวัตกรรม

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ร่วมกับคณะกรรมาธิการยุโรป เปิดตัวโครงการยูโรไทยแลนด์ 2005 ส่งเสริมให้นักวิจัยไทยทั้งภาครัฐและเอกชน เสนอโครงการทำวิจัยร่วมกับหน่วยงานในสหภาพยุโรปเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยีระหว่างกัน โดยงบดำเนินการวิจัยภายใต้โครงการดังกล่าวเป็นทุนสนับสนุนจากสหภาพยุโรปและพันธมิตรกลุ่มแกปฟิล (GAPFILL) รศ.ดร.ชาตรี ศรีไพพรรณ รองผู้อำนวยการ สวทช.กล่าวถึงโครงการยูโรไทยแลนด์ 2005 ว่า เป็นการเปิดเวทีครั้งสำคัญและเป็นก้าวแรกที่นำไปสู่ความร่วมมือในการทำวิจัยร่วมกันระหว่างองค์กรในไทยและในยุโรป ซึ่งกรอบของงานวิจัยจะเน้นไปในด้านไอทีเป็นหลัก ถึงอย่างนั้นก็ยังเปิดกว้างครอบคลุมสาขาวิชาอื่นๆ เพื่อพัฒนาความร่วมมือด้านการวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีชีวภาพ นาโนเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ นวัตกรรมการผลิต การควบคุมการบินและการสำรวจอวกาศ เป็นต้น โครงการยูโรไทยแลนด์ 2005 เกิดจากความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทยกับอียูภายใต้โครงการเทคโนโลยีเพื่อสังคมสารสนเทศ (ไอเอสที) แห่งสหภาพยุโรป ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2545-2549 มีประเทศในเอเชียที่เข้าร่วมทั้งหมด 4 ประเทศ คือ สิงคโปร์ ไต้หวัน มาเลเซีย ส่วนประเทศไทย ซึ่งเพิ่งเข้าร่วมเป็นครั้งแรก ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากทางคณะกรรมาธิการยุโรปประมาณ 181,250 ล้านบาท (รวมงบทั้งหมดใน 4 ประเทศ) โครงการนี้จะเป็นการให้ทุนวิจัยแก่หน่วยงานด้านการศึกษา ภาคธุรกิจไทย องค์กรที่ไม่หวังผลกำไร โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องเป็นการทำวิจัยแบบพหุภาคีกับหน่วยงานในสหภาพยุโรป 3 แห่ง และ 1 ในนั้นต้องเป็นหน่วยงานเอกชน ซึ่งจะต้องร่วมกันเสนอร่างโครงการการวิจัย โดยระบุหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานให้ชัดเจน จากนั้นทางบริษัท ซิกม่า คอนซัลแตนท์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาโครงการแกปฟิลจะคัดเลือกโครงการการวิจัยที่เข้าตา และมอบทุนวิจัยให้ สำหรับประเทศที่เข้าร่วมอย่างสิงคโปร์นั้น มีการส่งร่างโครงการการวิจัยไปแล้วถึง 48 ชิ้น กำลังรอการอนุมัติ ซึ่งทาง รศ.ดร.ชาตรี หวังว่าไทยจะสามารถส่งร่างโครงการการวิจัยได้มากกว่าสิงคโปร์ โครงการนี้เป็นการส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมที่นำมาใช้ในประเทศได้ รวมความเชี่ยวชาญจากทางด้านยุโรปและของไทยเข้าด้วยกัน แล้วนำมาปรับใช้ในแบบไทย เกิดการแลกเปลี่ยนทรัพยากรซึ่งกันและกัน เกิดการวิจัยและพัฒนาจากการร่วมมือกัน ส่งต่อเข้าไปยังภาคอุตสาหกรรมและภาคการผลิต อีกทั้งยังส่งเสริมให้เกิดความสัมพันธ์ระยะยาวระหว่างยุโรปกับไทยด้วย ด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่เกิดจากการวิจัยร่วมนี้ นายชอง-อีฟ โรเชร์ เจ้าหน้าที่บริหารโครงการส่วนความร่วมมือระหว่างประเทศ กล่าวว่า ในการเซ็นสัญญาเข้าร่วมโครงการจะมีเงื่อนไขอยู่ แต่หลักๆ คือในส่วนที่เป็นความรู้เทคโนโลยีขององค์กรใดๆ อยู่ก็จะยังคงเป็นขององค์กรนั้นๆ นอกจากนั้นเป็นทรัพย์สินร่วมกันและแล้วแต่สัญญาที่ทำต่อกัน (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 5 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ราชภัฏคิดสูตรกระเบื้องใส ผสมยางสังเคราะห์ทนแรงกระแทก

ชาคริต ศรีประจวบวงษ์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ได้วิจัยหาสูตรผสมสำหรับทำแผ่นอะคริลิกใสทนแรงกระแทกสูง เพื่อหาทางลดต้นทุนในการผลิตแต่ยังคงคุณภาพในด้านความทนทานได้เทียบเท่าหรือสูงกว่าแผ่นอะคริลิกทั่วไป โดยข้อมูลบริษัท แพนเอเชียอุตสาหกรรม ผู้ผลิตแผ่นอะคริลิกใสเพื่อป้อนให้กับอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ และกระเบื้องมุงแผ่นใส ระบุว่า ต้นทุนการผลิตกระเบื้องมุงหลังคาแผ่นใสราวร้อยละ 70 เสียไปกับวัตถุดิบ โดยเฉพาะสารไซลีน ซึ่งนอกจากราคาแพงแล้ว ความแข็งแรงทนทานยังต่ำด้วย หากมีการพัฒนาวัสดุใหม่เพื่อทำแผ่นอะคริลิกใสจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการผลิตได้มาก จึงกำหนดเป็นโจทย์อุตสาหกรรมขึ้น โดยทดลองใช้สารไซลีนที่มีคุณสมบัติคล้ายอะคริลิก คือมีความใสเข้ามาผสมในเนื้อพลาสติก แต่เนื่องจากสารดังกล่าวมีราคาแพง เราจึงเอาสารไซลีนมาใส่เพียง 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็พบว่าพลาสติกที่ได้จะเปราะแตกง่าย เราจึงคิดต่อว่าจะทำอย่างไรให้พลาสติกมีความทนทานมากขึ้น และก็ได้หยิบเอายางสังเคราะห์เข้ามาผสม จึงพบว่าแผ่นพลาสติกที่ได้สามารถทนแรงกระแทกได้ดีขึ้น โดยที่ยังคงความใสอยู่เช่นเดิม หลังจากที่ทำการทดสอบแรงกระแทกด้วยลูกตุ้มขนาด 700 กิโลกรัม ปล่อยให้หล่นลงมากระแทกแผ่นพลาสติกใสธรรมดาที่ความหนา 2 มิลลิเมตร ในระดับความสูง 65 เซนติเมตร 1 ครั้ง ผลแผ่นพลาสติกธรรมดาแตกละเอียด แต่เมื่อทดสอบด้วยพลาสติกสูตรใหม่พบว่าสามารถทนแรงกระแทกของลูกตุ้มได้มากกว่า 5 ในระดับความสูงของลูกตุ้มที่ 85 เซนติเมตร หรือสามารถทน 3-5 เท่าของพลาสติกทั่วไป ดร.กิตติกร จามรดุสิต อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ กล่าวอธิบายว่า ยางที่ได้มีคุณสมบัติเปลี่ยนไปสามารถทนแรงกระแทกได้สูงขึ้น แผ่นอะคริลิกที่นักศึกษาพัฒนาขึ้นนี้ นอกจากสามารถนำไปใช้ทำแผ่นกระเบื้องใสแล้วยังสามารถใช้ทำอุปกรณ์ชนิดอื่นๆ อาทิ กระจกด้านหน้าของหมวกกันน็อคที่ต้องอาศัยการทนแรงกระแทกสูง และแผ่นพลาสติกปิดหน้าฝากระโปรงรถปิกอัพ รวมถึงงานอื่นที่ต้องทำจากพลาสติกป้องกันแรงกระแทก (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 6 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





สนช.เปิดตัว'เมธีส่งเสริมนวัตกรรม' รับภาระทูตองค์กร กระตุ้นเอกชนสร้างตราสินค้าใหม่

นายศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) เปิดเผยว่า สนช.ได้ประกาศยกย่องนักวิจัยที่มีผลงานประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรมขึ้นเป็น “เมธีส่งเสริมนวัตกรรม” ประจำปี 2548 ซึ่งถือเป็นปีแรกของกิจกรรม ประกอบด้วย 12 คนใน 3 สาขานวัตกรรม ได้แก่ ธุรกิจชีวภาพ พลังงานและสิ่งแวดล้อม การออกแบบและสร้างตราสินค้า โดยสาขาดังกล่าวสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ สำหรับเมธีส่งเสริมนวัตกรรมจะทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงภาคธุรกิจเอกชน ให้เกิดการสร้างนวัตกรรมอย่างแพร่หลาย หรือสร้างตราสินค้าของตัวเองแทนการรับจ้างผลิตหรือซื้อมาขายไป โดยใช้กลไกการเงินของ สนช. เป็นเครื่องมือหลัก เช่น โครงการนวัตกรรมดี...ไม่มีดอกเบี้ย โครงการร่วมลงทุนธุรกิจนวัตกรรม โดยปีแรกนี้กำหนดเป้าหมายที่จะสร้างนวัตกรรมทั้งสิ้น 50 โครงการ ภายใต้งบสนับสนุน 100 ล้านบาท เมธีฯแต่ละท่านจะมีเครือข่ายเอกชน ที่เน้นยกระดับทางด้านเทคโนโลยี เช่น เมื่อก่อนการผลิตใช้ต้นทุน 100 บาท เมธีจะช่วยลดต้นทุนให้เหลือ 80 บาท แต่การทำงานด้านนวัตกรรมจะต่างออกไป อาทิ ต้นทุนเดิม 100 บาทจะเพิ่มเป็น 200 บาทเมื่อเข้าร่วมโครงการนวัตกรรม แต่จะได้ผลผลิตที่ขายในราคาแพงขึ้น อีกทั้งมีลักษณะหรือคุณสมบัติโดดเด่นจากคู่แข่งชัดเจน รวมทั้งมีตราสินค้าของตัวเอง สำหรับเมธีสาขาธุรกิจชีวภาพ ประกอบด้วย 7 คนคือ รศ.ดร.อรอนงค์ นัยวิกุล ม.เกษตรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเคมีธัญชาติ, รศ.ดร.วิชัย เชิดชีวศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรกวาวเครือขาว, ดร.อุษาวดี ถาวระ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ป้องกันกำจัดแมลงทางการแพทย์ นายสมบัติ วนาอุปถัมภ์กุล บริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล แลบบอราทอรีส์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการประยุกต์ใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติในเครื่องสำอาง, รศ.ดร.เพลินพิศ บูชาธรรม ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ผู้เชี่ยวชาญด้านยาง, รศ.ดร.จิตต์ลัดดา ศักดาภิพาณิชย์ ม.มหิดล ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์เคมีและชีวเคมี และดร.สรวิศ เผ่าทองศุข ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ผู้เชี่ยวชาญด้านเพาะเลี้ยงสัตว์ สาขาการออกแบบและการสร้างตราสินค้า 4 คนได้แก่ ดร.พงษ์ศักดิ์ วิวรรธนะเดช จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านพอลิเมอร์คอมโพสิตและวัสดุชีวภาพ, รศ.ดร.สุรเชษฐ์ ชุติมา ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องจักร, รศ.ดร.สุเทพ บุตรดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องกัดและเฉือนโลหะอเนกประสงค์ และนายพรเทพ ฉัตรภิญญาคุปต์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์เชิงวิจัย สาขาพลังงานและสิ่งแวดล้อมมีเพียงคนเดียวคือ ศ.ดร.จงจิตร์ หิรัญลาภ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานทดแทน (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 6 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ลูกบอลติดกล้อง ช่วยภารกิจหน่วยสวาท

บริษัท รีมิงตัน เทคโนโลยีส์ ได้พัฒนา "อายบอล อาร์1" (Eye Ball R1) กล้องทรงกลมขนาดเท่าลูกเบสบอล ชนิดควบคุมระยะไกล สำหรับช่วยงานหน่วยสวาทโดยเฉพาะ เพียงโยนเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงภัย เจ้ากล้องตัวนี้ก็จะส่งภาพและเสียงของสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัว แบบรอบตัวหรือ 360 องศาออกมาให้เห็นโดยทันที อัสเชอร์ เกนเดลแมน โฆษกของบริษัท บอกว่า อายบอลจะช่วยเสริมความปลอดภัยให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารได้ โดยจะเป็นหูเป็นตาให้กับพวกเขาก่อนที่จะรับคำสั่งจู่โจม เนื่องจากถูกออกแบบมาเพื่อปฏิบัติภารกิจสอดแนมโดยเฉพาะ เริ่มตั้งแต่ผิวภายนอกตัวกล้องที่เลือกใช้พรมหนามาเป็นส่วนประกอบ ทำให้ทนทานต่อแรงกระแทก ไม่ว่าจะหล่นจากอาคารสองชั้น หรือปาเข้าไปกระทบกับผนังคอนกรีต นอกจากนี้ อายบอลยังเป็นระบบควบคุมทางไกลแบบไร้สาย ด้วยอุปกรณ์ที่มีขนาดใหญ่เท่าพีดีเอ และอุปกรณ์ดังกล่าวยังใช้รับชมภาพสีได้สดๆ อีกทั้งผู้ใช้ยังสามารถปรับมุมกล้องให้อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ เพื่อสะดวกต่อการตรวจสอบและค้นหาตัวผู้ต้องสงสัย หรือวัตถุระเบิดที่ถูกซุกซ่อนอยู่ได้ พลังงานที่จ่ายให้ตัวกล้องนั้น มาจากแบตเตอรี่ที่สามารถใช้งานได้นาน 3 ชั่วโมง แม้จะเป็นเวลาไม่นานนัก แต่ด้วยความสามารถที่มี อาทิ การหมุนตัวได้รอบด้วยความเร็ว 4 รอบต่อนาที จับภาพแนวนอน 55 องศา และแนวตั้ง 41 องศา ก็เพียงพอแล้วสำหรับเวลาที่ได้มา ขณะที่ฝ่ายผู้ใช้งานก็สามารถดึงภาพวิดีโอออกมาบันทึกลงในเทป หรือดีวีดีเพื่อใช้เป็นหลักฐานในภายหลังได้ นอกจากจะถ่ายและส่งภาพจากพื้นที่เสี่ยงภัยออกมาได้แล้ว อายบอลยังสามารถบอกจำนวนคนเข้า-ออก สิ่งกีดขวาง และแม้แต่อากัปกิริยาของตัวประกันได้ทั้งหมด แม้ว่าสถานที่นั้นๆ จะมืดทึบเพียงใดก็ตาม ดังนั้น อุปกรณ์ตาสับปะรดชิ้นนี้ จึงเหมาะอย่างยิ่งที่หน่วยงานสาธารณประโยชน์อื่นๆ จะนำไปใช้ประโยชน์ได้ อาทิ หน่วยผจญเพลิง หน่วยกู้ชีวิตเพื่อค้นหาผู้บาดเจ็บ หรือผู้รอดชีวิตในเหตุการณ์ตึกถล่ม เป็นต้น อายบอลมีราคาเพียง 60,000 บาท คาดว่าจะพร้อมวางจำหน่ายปลายปีนี้ และลูกค้ารายแรกที่จ่อคิวจองแล้วก็คือ กระทรวงกลาโหมสหรัฐ ทั้งนี้ บริษัทสงวนสิทธิ์ไม่ขายปลีกให้บุคคลทั่วไป (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 6 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





นศ.เอไอทีผุดหุ่นบินพ่นยา กองทัพสนใจใช้สืบราชการลับ

นายสุคนธ์ พันธุเณร นักศึกษาปริญญาเอก คณะเมคาโทรนิกส์ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที) เจ้าของผลงานหุ่นยนต์บินได้ เปิดเผยว่า ได้ทำการวิจัยและออกแบบหุ่นยนต์ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ในอากาศ โดยอาศัยการควบคุมอัตโนมัติผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ตั้งค่าไว้สำหรับกำหนดตำแหน่งและทิศทางในการฉีดพ่นยาฆ่าแมลงในไร่นาของเกษตรกร โครงการดังกล่าวได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยแห่งชาติ (สกว.) โดยการพัฒนาหุ่นยนต์บินได้อาศัยเฮลิคอปเตอร์บังคับวิทยุเป็นต้นแบบ จากนั้นได้ศึกษาขนาดที่พอเหมาะสำหรับการใช้งานก่อนที่จะติดตั้งเซ็นเซอร์ในการวัดค่าที่ต้องการเพื่อส่งต่อไปยังชิพประมวลผล เครื่องต้นแบบนี้ใช้ ซีพียู 2 ตัว ในการประมวลผล โดยตัวหนึ่งจะทำหน้าที่ควบคุมมุมของหุ่นยนต์ ส่วนอีกตัวหนึ่งจะทำหน้าที่อ่านค่า จีพีเอส หรือการระบุพิกัดบนพื้นโลกด้วยดาวเทียมเพื่อบังคับเครื่องไปยังตำแหน่งที่กำหนด เซ็นเซอร์ที่ใช้ติดตั้งเพื่อวัดค่าต่างๆ ทั้งหมด 6 ตัว ประกอบด้วยเซ็นเซอร์ จีพีเอส บอกตำแหน่ง เซ็นเซอร์อัลตราโซนิกวัดความสูง เซ็นเซอร์วัดรอบเครื่องยนต์ เซ็นเซอร์โซน่าควบคุมระยะทางจากสัญญาณเสียงที่สะท้อนกลับ รวมถึงไจโรเซ็นเซอร์สำหรับบอกมุมเลี้ยว มุมเอียงของเฮลิคอปเตอร์ ส่วนไจโรลเซ็นเซอร์อีกตัวที่ใช้เพื่อวัดการแกว่งของหางเฮลิคอปเตอร์ หุ่นยนต์ดังกล่าวได้พัฒนามาเป็นรุ่นที่ 3 แล้ว โดยมีการดัดแปลงทั้งเรื่องของขนาดและชนิดของเชื้อเพลิงที่ใช้ ในรุ่นก่อนได้ทดลองใช้เชื้อเพลิงจากน้ำมันเบนซินในเครื่องที่มีขนาดใหญ่ พบว่าขณะบินขึ้น เครื่องมีอาการแกว่งให้เห็น จึงได้ปรับขนาดให้มีขนาดเล็กลงกว่าเดิมและใช้น้ำมันของเฮลิคอปเตอร์บังคับวิทยุมาเป็นเชื้อเพลิงโดยเฉพาะ ซึ่งอัตราการแกว่งของเครื่องลดลง นักวิจัยยังมีแผนที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพในการบิน รวมถึงการออกแบบเครื่องให้สามารถบรรทุกน้ำหนักได้มากขึ้น ก่อนที่จะนำไปทดลองบินเพื่อเก็บชั่วโมงบินให้ได้ในระดับมาตรฐานในการนำไปใช้งานจริงต่อไป ซึ่งคาดว่าไม่น่าเกิน 2 ปี (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 5 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





จักรยานล้อปรับได้ไม่กลัวล้ม ฝึกทักษะทรงตัวช่วยเป็นเร็ว

3 นักออกแบบอุตสาหกรรม จากมหาวิทยาลัยเพอร์ดิว คิดพัฒนาจักรยานที่ไม่มีวันล้มขึ้นมา โดยให้ชื่อว่า "ชิฟต์" (SHIFT) จุดเด่นอยู่ที่ความสามารถในการเปลี่ยนรูปทรงจาก 3 ล้อ มาเป็น 2 ล้อได้ เมื่อผู้ขับขี่เพิ่มอัตราเร่งในการปั่นขาถีบ และหากชะลอตัวลง เจ้าจักรยาน 2 ล้อ ก็จะกลับมาเป็น 3 ล้อคืน จึงไม่ต้องฝึกทรงตัวเลี้ยงรถจักรยาน สกอต ชิม หัวหน้าทีมออกแบบ หวังว่าจักรยานคันนี้จะช่วยฝึกให้หนูน้อยที่ไร้ทักษะในการขี่จักรยาน สามารถทรงตัว และขับจักรยานเป็นได้เร็วขึ้นแบบไม่ต้องหัวเข่าถลอกอีกต่อไป สำหรับคุณลักษณะของจักรยานขี่ไม่ล้มคันนี้ดูเผินๆ แล้วเหมือนกับจักรยานสามล้อ ซึ่งประกอบด้วย ล้อหน้า 1 ล้อ และล้อหลังอีก 2 ล้อ ที่ถ่างทำมุมแยกออกจากกันเพื่อช่วยให้ผู้ฝึกขี่ทรงตัวเองได้ เมื่อเริ่มปั่นเร่งความเร็ว ล้อหลังทั้งสองก็จะเขยิบมาชิดติดกัน เหมือนกับเหลือเพียงล้อเดียวในที่สุด แต่เมื่อผู้ขี่ชะลอความเร็ว เจ้าล้อหลังก็จะกางค่อยๆ ถ่างออก กลับไปเป็นจักรยานในรูปสามล้อเหมือนเดิม เคล็บลับสำคัญของจักรยานคันนี้อยู่ที่สายรัดที่จะต้องทำงานสอดคล้องกับสปริงในการดึงล้อหลังให้เข้ามาประชิดติดกัน ชิม และเพื่อนร่วมทีมอีก 2 คน ได้แก่ แมทธิว กรอสแมน และ ไรอัน ไลท์บอดี้ ผลงานชิ้นนี้เป็น 1 ใน 24 ชิ้นงาน ที่เข้ารอบสุดท้าย จาก 853 ชิ้นงาน ที่ส่งเข้าประกวดในการแข่งขันการออกแบบจักรยานนานาชาติ โดยแต่ละทีมมีเวลาเพียง 3 เดือน ที่จะต้องสร้างต้นแบบจักยานขนาด 1 ใน 4 จากของจริงขึ้นมาให้ได้ ผลงานนี้ได้รับรางวัลชนะเลิศพร้อมเงินสด 15,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6 แสนบาท ขณะนี้ทีมงานกำลังยื่นจดสิทธิบัตรผลงานการออกแบบชิ้นนี้ และล่าสุดมีกลุ่มธุรกิจสนใจจะขอร่วมทุนผลิตจักรยานคันดังกล่าวออกจำหน่ายแล้ว โดยมีผู้ผลิตจากเกาหลี 2 แห่ง และไต้หวันอีก 1 แห่ง (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 5 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





อุปกรณ์ไฮเทคตรวจสมองช้ำใน เช็คประสาทนักกีฬาก่อนสาย

นักประดิษฐ์อเมริกันได้ช่วยให้การวินิจฉัยอาการบาดเจ็บทางสมองง่ายขึ้น โดยพัฒนาชุดครอบตาที่สามารถตรวจหาอาการบาดเจ็บทางสมองได้ในเวลาไม่กี่นาที เพื่อความปลอดภัยของนักกีฬา เพราะยิ่งตรวจพบเร็วแค่ไหนยิ่งรักษาได้ทันมากขึ้น ชุดครอบตาซึ่งพัฒนาโดยสถาบันเทคโนโลยีจอร์เจีย ร่วมกับมหาวิทยาลัยอีโมรี มีหน้าตาคล้ายกับหน้ากากสวมตาที่ใช้เล่นวิดีโอเกมเสมือนจริง เมื่อสวมแล้วสามารถใช้ทดสอบการตอบสนองของสมองและความจำ ซึ่งสามารถตรวจได้อย่างรวดเร็ว จากเดิมที่ต้องใช้เวลาตรวจหลายชั่วโมงเพื่อวัดผลกระทบในสมองด้วยชุดทดสอบการรับรู้ที่ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี แต่ชุดครอบตาที่พัฒนาขึ้นมานี้สามารถรู้ผลได้ภายใน 7 นาที หากคนที่สมองได้รับการกระทบกระเทือนอยู่แล้วเพียงเล็กน้อย และถูกกระแทกซ้ำอีกอาจถึงขั้นเสียชีวิตหรือพิการไปตลอดชีวิตได้ ดังนั้นการวินิจฉัยระดับอาการบาดเจ็บทางศีรษะควรได้รับการตรวจแต่เนิ่นๆ สำหรับชุดครอบตาชุดนี้จะมีชุดทดสอบระบบประสาทที่ออกแบบมาเพื่อเช็คว่าผู้ทดสอบมีการตอบสนองที่ช้าลงหรือมีความจำผิดปกติหรือไม่ เมื่อสวมอุปกรณ์ดังกล่าวแล้ว ผู้ทดสอบจะเห็นชุดคำปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอพร้อมกับไฟกะพริบสีขาว สำหรับเลื่อนตำแหน่ง และชุดภาพรูปร่างต่างๆ ที่มีสีและรูปแบบต่างกัน ขณะเดียวกันจะมีคำสั่งปรากฏขึ้นบนจอพร้อมกับเสียงที่สั่งให้ผู้ทดสอบตอบสนองโดยกดปุ่มสองปุ่มบนแป้นควบคุม ปัจจุบันอุปกรณ์ดังกล่าวถูกนำมาใช้ทดสอบในหน่วยกู้ภัยของสหรัฐ และมีแผนที่จะนำมาใช้ทดสอบในการแข่งขันกีฬาต่างๆ ด้วย (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 5 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





นวัตกรรมใหม่ ชุด “GLIFT KIT” ตรวจไวรัสในกล้วยไม้ 5 นาที สำเร็จ!

กรมวิชาการเกษตรได้วิจัยและพัฒนาชุดตรวจสอบไวรัสในกล้วยไม้ให้มีความสะดวกในการใช้ และรวดเร็วกว่าเทคนิคเดิมมาใช้ทดแทน ทั้งยังมีต้นทุนต่ำซึ่งขณะนี้การคิดค้นชุดตรวจสอบประสบผลสำเร็จแล้ว ได้ชุด “กลิฟท์ คิด” หรือ “GLIFTKIT” ที่มีประสิทธิภาพ เกษตรกรสามารถตรวจสอบโรคไวรัสกล้วยไม้ได้ด้วยตนเองใช้เวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้น นางสุรภี กีรติยะอังกูร นักวิชาการโรคพืช 8 กลุ่มงานไวรัสวิทยาสำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร ผู้ประดิษฐ์คิดค้นชุด GLIFT KIT ใช้ตรวจสอบไวรัสกล้วยไม้ใน 5 นาที กล่าวว่า เดิมเทคนิคการตรวจสอบโรคไวรัสกล้วยไม้และพืชเศรษฐกิจหลายชนิด ใช้ชุดอีไลซ่าคิด (ELISA KIT) ซึ่งมีข้อจำกัดในการใช้ คือ มีกรรมวิธีตรวจสอบมากถึง 5 ขั้นตอน ใช้เวลาตรวจสอบนานกว่า 3-4 ชั่วโมง และขาดความสะดวกในการใช้ดังนั้น จึงร่วมกับสำนักวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ ดำเนินการพัฒนาและผลิตชุดตรวจสอบไวรัสในกล้วยไม้ขึ้นมาใหม่ ชื่อชุด GLIFT KIT เป็นชุดตรวจสอบที่มีความสะดวก ลดขั้นตอนให้ง่ายกว่าเดิม สามารถตรวจหาไวรัสกล้วยไม้ได้ด้วยความแม่นยำและราคาไม่แพง โดยมีขั้นตอนในการตรวจเพียง 2 ขั้นตอน สามารถอ่านผลการเกิดปฏิกิริยาได้ภายในเวลา 5นาที การวิเคราะห์ผลง่าย ไม่ยุ่งยากและไม่ต้องใช้ทักษะความชำนาญ สามารถใช้ตรวจสอบตัวอย่างได้สะดวก ทั้งจำนวนมากและจำนวนน้อยชุด GLIFT KIT ใช้หลักการทางเซรุ่มวิทยาร่วมกับการต่อเชื่อมแอนติซีรัม(IgG)ของไวรัสกับอนุภาคของสารมีสีในตัว ได้แก่คอลลอยด์ดอล โกลด์ (Colloidal Gold) ซึ่งสามารถแสดงผลของปฏิกิริยาเห็นได้ชัดเจนโดยมีวิธีการตรวจสอบง่ายๆ คล้ายกับการตรวจเบาหวาน หรือการตรวจการตั้งครรภ์และตรวจไข้หวัดนก เพียงเกษตรกรนำซองชุดทดสอบมาฉีก หยิบตลับชุดทดสอบออกมาแล้วบดตัวอย่างใบกล้วยไม้ด้วยสารละลายบัฟเฟอร์ในถุงพลาสติกที่มีเตรียมไว้ให้ในชุดตรวจ จากนั้นหยดน้ำคั้นพืชลงในตลับ GLIFT จำนวน 2 หยด รออ่านผลได้ในเวลา 3-5 นาที รากกล้วยไม้มีโรคไวรัส ผลจะปรากฏเป็นเส้นสีแดงเข้มหรือสีแดงอมส้ม ชุดตรวจสอบนี้เหมาะสำหรับใช้ตรวจหาโรคไวรัสในกล้วยไม้พ่อแม่พันธุ์ก่อนที่จะขยายพันธุ์โดยวิธีเพาะลี้ยงเนื้อเยื่อซึ่งสามารถช่วยเกษตรกรตัดสินใจในการคัดเลือกต้นพันธุ์ปลอดโรคได้ทันทีและเป็นประโยชน์ในการเลือกซื้อต้นพันธุ์กล้วยไม้ปลอดเชื้อไวรัสได้ ทั้งยังสามารถตรวจหาโรคไวรัสในฟาร์มเลี้ยงกล้วยไม้ เป็นการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคไวรัสได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนั้นกรมวิชาการเกษตรยังใช้ชุดตรวจเพื่อการออกใบรับรองปลอดไวรัสให้กับเกษตรกรที่ส่งออกกล้วยไม้ไปต่างประเทศให้รวดเร็วยิ่งขึ้น เป็นการส่งเสริมการส่งออกและยกระดับคุณภาพวงการกล้วยไม้ของไทยให้มีเทคโนโลยีการผลิตและการอารักขากล้วยไม้ที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นช่วยสร้างความเข้มแข็งเพื่อการแข่งขันในเวทีการค้าโลก ซึ่งอนาคตประเทศผู้นำเข้ากล้วยไม้สำคัญ เช่น ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ยุโรปตะวันออกและประเทศกลุ่มตะวันออกกลาง อาจยกประเด็นไวรัสในกล้วยไม้ขึ้นมาเป็นเครื่องมือกีดกันการนำเข้า จากการที่ผู้ประกอบการกล้วยไม้กว่า 10 ราย ได้ทดลองใช้ชุด GLIFT KIT พบว่ามีความพึงพอใจในประสิทธิภาพการตรวจสอบซึ่งได้ผล 100% ขณะนี้กรมวิชาการเกษตรได้ร่วมกับบริษัทแปซิฟิก ไบโอเทค ทดลองผลิตชุด GLIFT KIT ในเชิงพาณิชย์ โดยจัดบรรจุกล่อง 2 ขนาด ได้แก่ กล่องใหญ่บรรจุ 50 ตลับ ราคาประมาณ 2,500 บาท กล่องเล็กบรรจุ 10 ตลับ ราคา 500 บาท เฉลี่ยตลับละ 50 บาท มีอายุการใช้งานไม่ต่ำกว่า 6 เดือนถึง 1 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่ปริมาณการตรวจและการเก็บรักษาคุณภาพชุดตรวจ เกษตรกรผู้เลี้ยงกล้วยไม้หรือผู้ส่งออกที่สนใจชุดตรวจสอบไวรัสกล้วยไม้ใน 5 นาทีสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มงานไวรัสวิทยาสำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร โทร. 0-2579-9588 ทุกวันในเวลาราชการ (สยามรัฐ ศุกร์ที่ 6 พ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





กรมวิชาการเกษตรสร้างนวัตกรรมใหม่ ตรวจสารแอฟลาทอกซินปนเปื้อนผลผลิต

นายวิชา ธิติประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาวิชาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ประสานมายังกรมวิชาการเกษตรเพื่อให้จัดฝึกอบรมเจ้าหน้าที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในการใช้ชุดตรวจสอบสำเร็จรูป “DAO-Aflatoxin ELISA Test Kit” ซึ่งเป็นชุดที่กรมวิชาการเกษตรคิดค้นขึ้นมาใหม่ เพื่อใช้ในการตรวจวิเคราะห์การปนเปื้อนสารแอฟลาทอกซินในผลิตภัณฑ์อาหาร รวมทั้งผลิตภัณฑ์แปรรูปทุกชนิด โดยเฉพาะกลุ่มผลิตผลเกษตร เช่น ถั่วลิสง พริกแห้ง กุ้งแห้ง ข้าวโพด ถั่วชนิดต่างๆ และกาแฟ เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้บริโภค ซึ่งชุดตรวจสอบสำเร็จรูปดังกล่าว สามารถตรวจสอบตัวอย่างได้พร้อมกันถึง 48 ตัวอย่าง ใช้เวลาในการวิเคราะห์ประมาณ 1 ชั่วโมง มีความแม่นยำในการจับตรวจสารแอฟลาทอกซินได้ 82-100% ชุดตรวจวิเคราะห์นี้สามารถตรวจวิเคราะห์สารพิษได้ความเข้มข้นต่ำสุดถึง 0.4 ppb และยังเป็นวิธีที่ง่าย สะดวกและปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติ ต้นทุนการตรวจต่อ 1 อย่าง อย่างต่ำประมาณ 40 บาท มีประสิทธิภาพในการวิเคราะห์เทียบเท่ากับวิธีทางเคมี และมีคุณภาพเทียบเท่าชุดตรวจสอบที่นำเข้าจากต่างประเทศ แต่ราคาถูกกว่าถึง 10 เท่า กรมวิชาการเกษตรได้ยื่นจดอนุสิทธิบัตรชุดตรวจสอบดังกล่าวกับกรมทรัพย์สินทางปัญญาเรียบร้อยแล้ว (สยามรัฐ ศุกร์ที่ 6 พ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ข่าวทั่วไป


เปิดสปาสุขภาพชะลอความแก่เฒ่า ให้ลงดำอาบอบในบ่อช็อกโกแลต

สปาสุขภาพแบบใหม่ที่กรุงปารีส เมืองหลวงของฝรั่งเศส เปิดบริการชุบตัวเพื่อชะลอความแก่ ด้วยการอาบชุบตัวในอ่างช็อกโกแลต หรือก็อบห่อตัวด้วยทอฟฟี้ช็อกโกแลต และการนวดอบตัวด้วยช็อกโกแลต นักกายภาพบำบัดของสปากล่าวว่า โกโก้นั้นมีสรรพคุณช่วยชะลอความแก่หลายประการด้วยกัน ให้ประโยชน์ โดยไม่มีข้อเสียเลย มันจะทำให้รู้สึกดีเกือบทุกด้าน ประสาทสัมผัสทุกด้านจะรู้สึกสดชื่น จะมีข้อเสียอยู่ว่าอัตราค่าบริการจะสูง เพียงชั่วเวลารับบริการ 2 ชม. ครึ่ง กับแถมขนมช็อกโกแลต 1 ถ้วย ที่ราคาประมาณ 15,000 บาท. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 2 พ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





รัฐบาลใจปํ้าปรับเงินเพิ่มหมอ-พยาบาล-เภสัชยิ้ม

วันที่ 3 พ.ค.นี้ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) จะเสนอครม.พิจารณาให้ความเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดค่าตอบแทนสำหรับกำลังคนด้านสาธารณสุข ตามที่ ครม. ได้มีมติไปเมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 47 โดยเห็นชอบในหลักการให้ปรับค่าตอบแทนสำหรับกำลังคนด้านสาธารณสุขในระยะที่ 1 ให้มีผลในการเบิกจ่ายตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 47 เป็นต้นไป ซึ่งต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้น 2,875 ล้านบาท และให้ไปแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณารายละเอียดการกำหนดค่าตอบแทนดังกล่าว เพื่อสรุปให้ ครม. พิจารณาเห็นชอบอีกครั้ง สำหรับค่าตอบแทนที่กำหนดขึ้นใหม่ แบ่งออกเป็น 1. ค่าตอบแทนด้วยเหตุพิเศษตามลักษณะงาน ซึ่งต้องปฏิบัติงานที่มีภาระหน้าที่ความรับผิดชอบสูง มีปัญหาการสูญเสียออกจาก ระบบราชการมาก มีความเสี่ยงในการปฏิบัติงาน ต้องใช้ความรู้ความสามารถ สมรรถนะ และทักษะเฉพาะ ประกอบด้วยแพทย์ได้รับ 5,000-15,000 บาทต่อเดือน ทันตแพทย์ 5,000-10,000 บาท เภสัชกร 1,500-3,000 บาท พยาบาลวิชาชีพ 1,000-2,000 บาท กลุ่มสหวิชาชีพ 1,000 บาท ต่อเดือน 2. ค่าตอบแทนการปฏิบัติงานในพื้นที่พิเศษ แยกเป็นค่าตอบแทนเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายสำหรับผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ปกติเกินกว่า 3 ปีขึ้นไป โดยแพทย์และทันตแพทย์ปรับเพิ่มจาก 2,200 บาท เป็น 5,000 บาทต่อเดือน เภสัชกร จาก 1,900 บาท เป็น 2,500 บาท และค่าตอบแทนเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายสำหรับผู้ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สำหรับแพทย์และทันตแพทย์ 10,000 บาทต่อเดือน เภสัชกร 5,000 บาท พยาบาลวิชาชีพ 1,000 บาท ทั้งนี้เป้าหมายการปรับอัตราค่าตอบแทนดังกล่าว เป็นการอนุมัติหลักการปรับให้กำลังคนด้านสาธารณสุขมีค่าตอบแทนรวมประมาณร้อยละ 60-80 ของคนสายวิชาชีพเดียวกันในภาคเอกชน. (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 2 พ.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





เฉลิมพระเกียรติเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ เปิดตัวศูนย์วิจัยและบำบัดมะเร็ง

ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รองประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ฝ่ายบริหาร ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการได้เตรียมจัดงานเฉลิมพระเกียรติอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อเผยแพร่พระอัจฉริยภาพและพระกรณียกิจของพระองค์ท่าน อีกทั้งเพื่อเปิดตัวศูนย์วิจัยศึกษาและบำบัดโรคมะเร็ง สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ตลอดจนเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้ร่วมถวายความจงรักภักดีและมีส่วนร่วมสมทบทุนในการก่อตั้งศูนย์วิจัยศึกษาและบำบัดโรคมะเร็ง ทั้งนี้งานเฉลิมพระเกียรติประกอบด้วยงานใหญ่ 4 งานหลัก คือ การจัดรายการเฉลิมพระเกียรติทางวิทยุโทรทัศน์ งานเฉลิมขวัญพระชันษาครบ 4 รอบ งานประชุมวิชาการและนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ และการจัดหาทุนก่อตั้งศูนย์วิจัยศึกษาและบำบัดโรคมะเร็ง สำหรับการจัดรายการเฉลิมพระเกียรติทางโทรทัศน์ จะออกอากาศทางโมเดิร์นไนน์ ทีวี ในวันที่ 3-4 กรกฎาคม ระหว่างเวลา 22.00-00.30 น. ซึ่งรายการจะประกอบด้วย วีดิทัศน์เชิงสารคดีนำเสนอพระประวัติ ตั้งแต่ทรงพระเยาว์จนกระทั่งถึงปัจจุบัน รวมทั้งเสนอข้อมูลเกี่ยวกับมูลนิธิจุฬาภรณ์ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์และศูนย์วิจัยศึกษาและบำบัดโรคมะเร็ง เป็นต้น ส่วนงานเฉลิมขวัญพระชันษาครบ 4 รอบ ซึ่งเป็นงานกาล่า ดินเนอร์ นั้น กำหนดจัดงานเดือนกรกฎาคม ที่โรงแรมพลาซ่า แอทธินี โดยมีแนวคิดหลักคือ "เฉลิมขวัญพระชันษาครบ 4 รอบพระเมตตาหยาดจากฟ้ามาสู่ดิน" นอกจากนี้งานประชุมวิชาการและนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ จะประกอบด้วยงานหลัก 3 ส่วนด้วยกันคือ ปาฐกถา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี รวมทั้งการประชุมทางวิชาการระดับชาติ ในหัวข้อเกี่ยวกับมะเร็ง โดยเชิญนักวิชาการที่ได้รับรางวัลโนเบลมาเป็นองค์ปาฐก พร้อมกันนี้ยังมีงานนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งจะเป็นการประมวลพระประวัติ ผลงานทางวิชาการ ตลอดจนผลงานที่แสดงถึงพระอัจฉริยภาพและรางวัลเกียรติคุณที่ทรงได้รับจากองค์กรต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศมาจัดแสดง และจัดทำหนังสือเผยแพร่พระเกียรติคุณ ซึ่งคาดว่ากิจกรรมทั้งหมดจะจัดในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2548 ท้ายสุดคือ โครงการรณรงค์หาทุนก่อตั้งศูนย์วิจัยศึกษาและบำบัดโรคมะเร็ง โดยมี ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา เป็นประธาน จัดโครงการรณรงค์หาทุนก่อตั้งศูนย์วิจัยและบำบัดโรคมะเร็ง เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาบุคลากรและการสงเคราะห์ผู้ป่วย โดยมุ่งเน้นมะเร็งที่พบมากในประเทศไทย (คมชัดลึก จันทร์ที่ 2 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ไทย-ฝรั่งเศสร่วมขุดค้น แหล่งมนุษย์ดึกดำบรรพ์

กรมศิลปากร สำนักโบราณคดี โดยสำนักงานศิลปากรที่ 8 เชียงใหม่ ร่วมกับศูนย์ศึกษาวิจัยวิทยาศาสตร์แห่งชาติฝรั่งเศส/CNRS จัดโครงการร่วมไทย-ฝรั่งเศส สำรวจแหล่งมนุษย์ดึกดำบรรพ์ในเขตภูเขา-ภูเขาสูงที่มีหลักฐานทางโบราณคดี ถ้ำ หรือเพิงผาที่เป็นโบราณสถาน หรือแหล่งที่อยู่อาศัยของมนุษย์ดึกดำบรรพ์ตามริมแม่น้ำ และลำธาร ซึ่งอาจจะอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และป่าสงวนแห่งชาติ ตามรายชื่อที่ปรากฏอยู่ในหัวข้อพื้นที่ดำเนินการวิจัย ในจังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน แพร่ น่าน พะเยา โดยได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2545 ถึง 2549 โครงการดังกล่าวนี้จัดทำขึ้น เพื่อศึกษาวิจัยเกี่ยวกับกิจกรรมของมนุษย์ดึกดำบรรพ์แรกเริ่มในประเทศไทยที่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับสายพันธุ์มนุษย์แรกเริ่มที่พบแล้วในภูมิภาคอื่นๆ ของโลก อีกทั้งยังสามารถศึกษาวิจัยเกี่ยวกับระบบนิเวศวิทยาใน ยุค Plio Pleistocene กำหนดขั้นอายุสมัยของมนุษย์ และการตั้งถิ่นฐาน โดยในการขุดค้นศึกษาจากซากดึกดำบรรพ์ และชิ้นส่วนกระดูกที่อาจฝังอยู่ในชั้นดิน และในชั้นหินนั้น เท่ากับเป็นการสงวนรักษาหลักฐานด้านประวัติศาสตร์-โบราณคดี พร้อมกันนี้ยังอนุรักษ์แหล่งโบราณคดี โบราณสถาน โบราณวัตถุ และศิลปวัตถุ ซึ่งยังไม่เป็นที่เปิดเผยต่อท้องถิ่น ให้เป็นแหล่งสมบัติทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ นอกจากนี้ยังเป็นการอนุรักษ์สถานที่ทางประวัติศาสตร์-โบราณคดี เพื่อเป็นแหล่งความรู้ และการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับมนุษยชาติ และระบบนิเวศโบราณ สามารถพัฒนาให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม จัดเป็นแหล่งศึกษาท่องเที่ยวทางโบราณคดี และธรรมชาติ รวมทั้งการนำเสนอข้อมูลใหม่ๆ รายงานทางวิชาการในลักษณะการจัดแสดง การอธิบายข้อมูลทางวิชาการ แผนผัง แผนภูมิ โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และอื่นๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อท้องถิ่น และองค์กรปกครองท้องถิ่น อีกทั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลพื้นที่ที่จะเข้า ไปดำเนินการวิจัยด้วย ทั้งนี้แหล่งโบราณคดีที่ดำเนินการสำรวจเรียบร้อยแล้ว คือแหล่งโบราณคดีบ้านฟ้าสวย อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และพันธุ์พืชสาละวิน จังหวัดแม่ฮ่องสอน (สยามรัฐ จันทร์ที่ 2 พ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ปฏิวัติวิธีฝังศพมนุษย์แต่โบราณ เปลี่ยนจากท่านอนมาเป็นท่ายืน

ทางการของรัฐวิกตอเรีย ได้อนุมัติ ตามคำขออนุญาตของบริษัทปาลาคอม ซึ่งทำธุรกิจจัดงานศพ เพื่อสร้างสุสาน เพื่อใช้ฝังศพตามแบบใหม่ ขึ้นที่ในเมืองเดอรินัลลัม ที่อยู่ห่างจากนครเมลเบิร์นทางตะวันตก 180 กม. ผู้อำนวยการของบริษัทนายโทนี ดูเปิลอิกซ์ ได้กล่าวว่า สุสานฝังศพในท่ายืนนี้ จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายขึ้น และยังเป็นการอนุรักษ์ธรรมชาติยิ่งขึ้นอีกด้วย ศพจะบรรจุไว้ในถุง แล้วหย่อนลงในหลุมลึก 3 เมตร ซึ่งขุดเตรียมรออยู่ก่อนแล้ว เขาบอกเป็นเชิงเทศน์ว่า “คนเราเมื่อตาย ก็จะกลับคืนสู่ดินอีก การฝังศพแบบนี้จะทำได้ง่าย โดยที่ไม่ ต้องมีอุปกรณ์อย่างใดติดตัวไปให้รุงรังอีก และไม่ต้องเสียค่าดูแลรักษาอย่างใดด้วย เพราะหากใช้เผา ก็ต้องใช้ ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงมากถึง 90 กก.” (ไทยรัฐ พุธที่ 4 พ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





กรมศิลป์พร้อมร่วมมือการแกะสลักภูเขาหิน

นายอารักษ์ สังหิตกุล อธิบดีกรมศิลปากร (ศก.) กล่าวถึงแนวคิดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องการให้ประเทศไทยมีการแกะสลักภูเขาหินเหมือนในประเทศจอร์แดนว่า เท่าที่ทราบนายกรัฐมนตรีจะให้เจ้าหน้าที่ของกระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเดินทางไปดูตัวอย่างการแกะสลักภูเขาหินที่ประเทศจอร์แดน เพื่อดูว่ามีระบบการทำงานและวิธีการทำเป็นอย่างไร เพื่อนำแนวทางดังกล่าวกลับมาทำในประเทศไทย ซึ่งตนเห็นว่าการแกะสลักภูเขาเป็นเรื่องที่ดีเพราะจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ด้วย รวมทั้งเป็นการสร้างประวัติศาสตร์สำคัญอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งในส่วนของกรมศิลปากรก็สามารถช่วยเหลือได้ในแง่ของช่างฝีมือและการออกแบบด้านประติมากรรม แต่ทั้งนี้สำหรับรูปแบบที่สร้างจะเป็นลักษณะใดนั้น ในขณะนี้ตนยังไม่สามารถระบุได้ คงต้องรอหารือกับหลายฝ่ายก่อน เพราะงานดังกล่าวถือเป็นงานระดับชาติ ด้านนายพิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านโบราณคดี กรมศิลปากร กล่าวว่า ประเทศไทยเคยมีการแกะสลักภูเขามาแล้ว ที่เขาชีจรรย์ จังหวัดชลบุรี แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากว่าการแกะสลักต้องใช้เลเซอร์และรูปที่ได้ก็เป็นแค่ลักษณะพื้นตื้น ดังนั้นหากประเทศไทยต้องการให้มีการแกะสลักภูเขาหินให้สวยงามเหมือนประเทศอื่นก็ต้องดูองค์ประกอบหลาย ๆ ด้าน เช่น สภาพภูเขาและความละเอียดของหินว่ามีลักษณะอย่างไร และจะปิดกั้นธรรมชาติอย่างไรหรือไม่ ขณะเดียวกันต้องมีผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านประติมากรรมการแกะสลักโดยตรงมาช่วยดูแลด้วย และงบประมาณที่ใช้ในการแกะสลักก็คงค่อนข้างสูงมาก แต่อย่างไรก็ตามหากรัฐบาลมีความตั้งใจจะทำจริงก็คงทำได้ แต่ที่สำคัญต้องพร้อมรับฟังความคิดเห็นและคำวิจารณ์จากคนรอบข้างด้วย. (เดลินิวส์ พุธที่ 4 พ.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพประชุมสุขภาพโลกส.ค. รัฐเตรียมประกาศคัมภีร์"บางกอก ชาร์เตอร์"

นพ.บวร งามศิริอุดม รองอธิบดีกรมอนามัย ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการจัดงานการประชุมการส่งเสริมสุขภาพโลก(The 6th Global Conference on Health Promotion) ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพร่วมกับองค์การอนามัยโลก และจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-11 สิงหาคม 2548 ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ กล่าวถึงความคืบหน้าในการจัดการประชุมว่า ทางคณะกรรมการได้จัดเตรียมเนื้อหาการประชุมไว้แล้ว โดยในช่วง 2 วันแรกจะเป็นการประชุม 4 ประเด็นหลัก คือ 1.โลกที่เปลี่ยนแปลงไปมีผลอย่างไรต่อสุขภาพ 2.การดำเนินการเพื่อให้การส่งเสริมสุขภาพมีความยั่งยืนทั้งด้านมาตรการทางการเงิน และการสร้างความสามารถให้กับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข 3.การเป็นหุ้นส่วนในการสร้างสุขภาพร่วมกัน และ 4.กระแสโลกาภิวัตน์ ในวันที่ 10 สิงหาคม จะเป็นวันไทยเดย์(Thai day) เนื้อหาการประชุมจะเน้นการที่ไทยจะนำเสนอบทเรียนการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพ ตามนโยบายเมืองไทยแข็งแรง (Healthy Thailand) ได้แก่ การออกกำลังกาย อาหารปลอดภัย อนามัยสิ่งแวดล้อม อารมณ์ อบายมุข และอโรคยา การส่งเสริมสุขภาพของประเทศไทยจากสาธารณสุขมูลฐานถึงการปฏิรูประบบสุขภาพ การปฏิรูประบบบริการสาธารณสุขจนถึงหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การขจัดความยากจน และการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก ในวันที่ 11 สิงหาคม จะมีการประกาศ "Bangkok Charter for Health Promotion" ซึ่งถือเป็นภารกิจหลักของรัฐบาลทั่วโลกที่จะทำให้เกิดการส่งเสริมสุขภาพ สร้างความเข้มแข็งของชุมชนและประชาชน ส่งเสริมพันธมิตรการส่งเสริมสุขภาพ โดยไทยตั้งใจว่าจะให้บางกอก ชาร์เตอร์ เป็นที่รู้จักและนำไปปฏิบัติเทียบเท่าออตตาวา ชาร์เตอร์ ซึ่งเกิดขึ้นในการประชุมครั้งแรกที่แคนาดา และบางกอก ชาร์เตอร์ จะเป็นคัมภีร์ในการสร้างเสริมสุขภาพทั่วโลก (มติชนรายวัน อังคารที่ 3 พ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





วิธีช่วยครอบครัวที่มีเด็กติดเกม

กรมสุขภาพจิต เปิด ศูนย์ป้องกันและแก้ไขปัญหาเด็กติดเกม (Center of Game Addict Prevention : CGAP) ขึ้นที่สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ เพื่อแก้ไขพฤติกรรมติดเกมของเด็ก พร้อมทั้งร่วมกันหาแนวทางพัฒนาศักยภาพของครอบครัว ผ่านการให้ความรู้ในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ โครงการอบรมเทคนิคการดูแลเด็กติดเกมเบื้องต้นสำหรับผู้ปกครอง เพื่อสร้างความเข้าใจในพฤติกรรมการเล่นเกมและผลกระทบ รวมถึงการสร้างวินัยและแนวทางดูแลป้องกันการติดเกม, ค่ายครอบครัวป้องกันปัญหาเด็กติดเกม คลินิกบำบัดปัญหาเด็กติดเกม เป็นกิจกรรมกลุ่มเพื่อก่อให้เกิดการปรับความคิดและพฤติกรรมพร้อมกับฝึกการสื่อสารและการแก้ปัญหา และค่ายพัฒนาศักยภาพและป้องกันปัญหาเด็กติดเกม เป็นกระบวนการทำกิจกรรมกลุ่มเน้นการมีวินัย ความรับผิดชอบ ความภูมิใจในตัวเอง และการสร้างสุขด้วยกิจกรรมสร้างสรรค์ น.พ.บัณฑิต ศรไพศาล ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กล่าวว่า เบื้องต้นศูนย์ป้องกันฯ ทดลองเปิดให้บริการ แล้ว 4 เดือน ผลตอบรับที่ได้ดีมาก ทั้งผู้ปกครองและเด็กสามารถสร้างความเข้าใจกันได้ดีขึ้น น.พ.บัณฑิต บอกว่า การติดเกมแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ เล่นเกมเพื่อฆ่าเวลา ใช้เวลาเล่นครั้งละ 3-4 ชั่วโมง และขั้นรุนแรงเล่นตลอดทั้งวัน ซึ่งเด็กที่เล่นเกมทุกคนจะไม่พัฒนาไปสู่การเล่นเกมแบบมัวเมาจนถึงขั้นไม่กินไม่นอน ถ้ามีกิจกรรมอื่นที่น่าสนใจกว่า เพราะคนทุกคนต้องการความสุขความภาคภูมิใจ ฉะนั้น ทางโรงเรียนต้องหากิจกรรมนอกหลักสูตรให้เด็กเลือกทำมาก ๆ เพื่อให้เด็กได้ค้นหาความสามารถของตนเองเพื่อสร้างความภาคภูมิใจ นอกเหนือจากการเรียน สำหรับผู้ปกครองที่มีปัญหาบุตรหลานติดเกม สามารถโทรฯ ปรึกษาได้ที่ 0-2354-8300 ในวันเวลาราชการจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.30- 16.00 น. หรือค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมผ่านเว็บไซต์ www.icamtalk.com (เดลินิวส์ อังคารที่ 3 พ.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





กทม.เตรียมเก็บค่าขยะสิ้นเดือนนี้หลังละ60บาท

รายงานข่าวแจ้งว่า ตามที่ กทม. มีนโยบายจัดเก็บค่าธรรมเนียมขยะอัตราใหม่ ที่เก็บครัวเรือนทั่วไป ปริมาณขยะไม่เกิน 20 ลิตรต่อวันเดือนละ 20 บาท จากเดิม 40 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. ที่ผ่านมา และให้จัดเก็บค่าขยะทุก 3 เดือน นั้น กทม. จะเริ่มเก็บค่าขยะอัตราใหม่ครั้งแรก สิ้นเดือน พ.ค.นี้ แต่ละหลังต้องจ่าย 60 บาท และล่าสุดสำนักการคลัง กทม. ได้แจ้งทุกหน่วยงานถึงขั้นตอนการเบิกจ่ายค่าธรรมเนียมตอบแทนให้เจ้าหน้าที่เก็บขนมูลฝอย โดยให้ฝ่ายรักษาความสะอาดของทั้ง 50 เขต ตรวจสอบใบรายงานการจัดเก็บค่าขยะ ทุก ๆ 10 วัน และแจ้งยอดเงินค่าธรรมเนียมภายในวันที่ 3 ของเดือน พร้อมตั้งฎีกาเบิกจ่ายเงินภายในวันที่ 4 ของเดือน และสำนักการคลังจะโอนเงินค่าธรรมเนียมให้เขตภายในวันที่ 8 ของเดือน พร้อมให้จ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่เก็บขนขยะภายในวันที่ 10 ของเดือนเพื่อความรวดเร็ว นายสมภพ ระงับทุกข์ ผู้อำนวยการสำนักรักษาความสะอาด กล่าวว่า ได้ประสานกับ 50 เขตในการเตรียมพร้อมจัดเก็บค่าธรรมเนียมใหม่ รวมทั้งห้ามเก็บเป็นรายเดือน หรือรายปี และห้ามเก็บนอกระบบเด็ดขาด ส่วนขยะตามห้างสรรพสินค้าหรือในภาคอุตสาหกรรมจะเก็บในอัตราเดิมและเก็บเป็นรายเดือนเหมือนเดิม ทั้งนี้การเก็บค่าขยะอัตราใหม่จะทำให้ กทม. มีรายได้เพิ่ม 75-85% จากที่เก็บได้ 60% ซึ่งหากเก็บได้ 100% จะมีรายได้ประมาณ 375 ล้านบาท ส่วนพนักงานเก็บขยะที่เป็นลูกจ้างประจำจะได้ค่าครองชีพเพิ่มเป็น 7,000 บาท บวกค่าล่วงเวลา 600 บาท และค่าเก็บขนขยะขึ้นอยู่กับ ปริมาณขยะที่เก็บได้ แต่เฉลี่ยจะได้ประมาณ 1,200 บาท รวมเป็น 8,800 บาทต่อคนต่อเดือน ส่วนลูกจ้างชั่วคราวจะได้เดือนละประมาณ 6,800 บาท.(เดลินิวส์ พุธที่ 4 พ.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215