|
หัวข้อข่าวปีที่ 6 ฉบับที่ 19 ประจำวันที่ 2005-05-24
ข่าวการศึกษา
ลุ้นออก กม.บังคับเอกชนตั้งศูนย์เติมกึ๋นพนักงาน มศว ออกกฎเหล็กรับน้อง ห้ามรับนอกสถานที่เด็ดขาด มศว ผุดสาธิตองครักษ์เน้นวิทย์ ยกระดับมหาวิทยาลัย เป็นองค์กรแห่งความรู้ มร.ชม.เปิดสอนป.ตรีใบที่ 2 ด้านบัญชี ม.เอเชียนจับมือสาธิตเกษตรฯ สอนหลักสูตรนานาชาติม.4-6 "เอแบค"เปิดป.โทผ่านเน็ต สาขาจัดการธุรกิจอินเตอร์ ดันตั้งมหาวิทยาลัยนครพนมใกล้คลอด คาด"กม."บังคับใช้ใน3เดือน ฝรั่งเศสหนุนเปิด"ว.การบิน" มรภ.เพชรบุรีเปิดป.โทบริหารโรงงาน สอศ.ปั้นแบรนด์สินค้า"อาชีวะ" ขยายแฟรนด์ไชส์ปีละ10ตัว 1 เงิน 2 ทองแดง ชิมลางก่อนสู้จีนเวทีฟิสิกส์โลก "สกอ."ลุยเปิดมหา"ลัยไซเบอร์ไทย จัดโรดโชว์ดึงคนเวียดนามเรียนอุดมฯไทย ทักษิณ จี้อาจารย์อุดมฯ รวมพลัง 5มรภ.จับมือผลิตงานวิจัย ลดความซ้ำซ้อน-แก้ปัญหาสังคมเข้าถึงผู้บริโภค มสธ.เปิดห้องสมุดออนไลน์ เครือข่ายไร้สายมหาลัยไฮเทค มหา'ลัยเครียดต้องทำมาตรฐานหลักสูตร ทอ.จับมือจุฬาฯปั๊มนักบินรุ่นใหม่ เดินเครื่องโรงเรียนเกษตรกรทั่วประเทศ "ลอรีอัล แบรนด์สตอร์ม" คัดน.ศ.ไทยแข่ง"เวทีโลก" ตั้งวิทยาลัยราชพฤกษ์สอน ป.ตรี บ้านสมเด็จตั้งเป้าผุด ป.เอกจัดการเทคโนโลยี "อดิศัย"ปิ๊งเลิกแยกสายวิทย์-ศิลป์ เปิดกว้างนักเรียนเลือกเข้าคณะ ข้องใจ"รมต."ดอดตกลงวุฒิสภา ทำ"กม."มหา"ลัยในกำกับสะดุด ม.มหิดลเตรียมรับ / ว่าที่คุณหมอต่อยอด แพทย์แผนจีนขั้นสูง
ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี
ส่งเรือดำน้ำลึกลงบาดาลก้นสมุทร ดูจุดก่อมหันตภัยคลื่นยักษ์สึนามิ ก.วิทย์ดึงผู้พิชิตดวงจันทร์ ร่วมฉลอง100ปีฟิสิกส์โลก พลังงานเดินแผนปิโตรเคมี3 ดึงเอกชนลงทุนสร้างรายได้ น้ำพุร้อนช่วยทำนายสึนามิพบก๊าซพุ่งก่อนแผ่นดินไหว ออสซี่ชุบชีวิตแทสเมเนีย โคลนนิงเสือสูญพันธุ์70ปี ก.ทรัพย์ชี้เหมืองแม่เมาะ ทำสุสานหอยเสียหาย ดึงหนังสือเก่าขึ้นเวบ เปิดขายผ่านเน็ตเร็วสูง พบหนูสายพันธุ์ใหม่วิ่งพล่านใน 'ลาว' นักวิทย์ชื่อดังพิชิตดวงจันทร์ เยือนเมืองไทย อนาคตของเทคโนโลยีบลูทูธ ยูบีซีเซ็นชินแซทใช้"ไทยคม5"รายแรก เสนอรัฐตั้งกก.ผลิตกำลังคน เล็งเพิ่มนักวิจัย10คนต่อประชากร1หมื่น สนช.หนุนทำดีเซลสบู่ดำ ทุ่ม10ล้านนำร่องผลิตเชิงพาณิชย์ ไทยผนึกพม่าผลิตไฟฟ้าสาละวิน "ศิริราช"จับมือ"เมดทรอนิก" ตั้งศูนย์ผ่าพาร์กินสันอาเซียน แผ่นดินไหวต้นตอสึนามิทำสถิติ/นานสุด-ทำให้เกิดรอยแยกยาวสุด
ข่าววิจัย/พัฒนา
เบรียผลิตชุดตรวจไข้เลือดออกส่งทั่วโลก แจกฟรีโรงพยาบาล สามารถแจ้งติดเชื้อครั้งที่ 1 หรือ 2 มช.ชูไอเดียแก๊สโซฮอล์จากลำไยแห้ง ผลิตภัณฑ์จากขมิ้นชันรักษาโรคผิวหนังสุนัข รัฐบาลทุ่ม 1.3 พันล้านพัฒนาไบโอดีเซล หุ่นแสนฉลาดแปลงร่างเองเล็งส่งอวกาศ เตรียมพบ"เครื่องมือถอดรหัส"ภาษางึมงำ ลึกลับของทารก!!! แฉเด็กไทยรุ่นใหม่รูปร่างอ้วนเตี้ยลง เครื่องทำแห้งผักตบชวา ลดปัญหาเชื้อราดีเยี่ยม เอ็มเทคคิด'จมูกสมองกล'คัดเกรดกาแฟ เสริมเซ็นเซอร์แยกกลิ่นประยุกต์ใช้ดมตรวจโรค ชะมวงทำยาต้านแบคทีเรีย ม.สงขลานครินทร์ วิจัยรับมือเชื้อดื้อยา แขกรวยน้ำมัน เลือกโคบอลต์ พลังงานใหม่ ชี้ยาคุมไขมันลดเสี่ยงมะเร็งเต้านม ร่มแสงอาทิตย์ วิจัยชี้สาวดื่มจัดสมองเสื่อม คิดวัคซีนต้านโรคอัลไซเมอร์ได้ ฟื้นความจำของคนไข้บางรายขึ้น ทดลองวัคซีนป้องกันโรคอ้วนแล้ว ฉีดแล้วเหมือนได้อิ่มอาหารทิพย์ เช็คโปรตีนในเลือดหามะเร็งรังไข่ ราชมงคลคิดสูตรฉนวนสายไฟ ลดปนเปื้อนโลหะหนัก 6 เท่า ก.วิทย์ชู'นวัตกรรมข้าว'ดึงเม็ดเงินเข้าไทย สกว.วิจัยปลูกผักด้วยน้ำเสียรง.ยางพารา ม.สงขลานครินทร์ลงมือบำบัด ทดสอบรดต้นข้าวพบปลอดภัย เครื่องผ่าปลากะตัก หนุนเทคโนฯพัฒนา OTOP พัฒนาเครื่องสีข้าวขนาดเล็ก สำหรับหมู่บ้านในชนบท สหรัฐทดลองยารักษาท้องร่วงในไทย สำหรับนักท่องเที่ยวในเมืองร้อน คุณวิเศษน้ำมันรำข้าวลดไขมัน แถมยังต่อต้านโรคมะเร็งแข็งแรง เทคโนฯ ล้านนาคิดค้นเครื่องอบพลาสติก เทคนิคใหม่หามะเร็งรังไข่ ซูเปอร์อั้งโล่ ความเหนือชั้นของเตาไทย ถ่านผลไม้ : ภูมิปัญญาไทยสำหรับดูดซับกลิ่น ยามะเร็งทรวงอกหญิงแผลงฤทธิ์ ช่วยสกัดมะเร็งต่อมลูกหมากบุรุษ นศ.ไทยเจ๋งวิจัยพบ-คนเป็นญาติแกะ เพคตินเปลือกมะนาว รักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ระดับความปลอดภัยในผลไม้แห้ง แพทย์จุฬาฯตรวจฉี่-น้ำลายหาไข้เลือดออก นักวิจัยเจ๋งทำหลังคายางพารา ออกกำลังเบาๆ ลดมะเร็งรังไข่ ออกกำลังหนักกลับไร้ประโยชน์ จุฬาฯผสมเทียมสุนัขด้วยน้ำเชื้อแช่แข็ง สเต็มเซลล์โสมเจ๋ง
ข่าวทั่วไป
ทำยาฉลาดออกขายแบบยาแก้ปวด ทั้งคนทั้งลิงทดลองกินแล้วสมองดี ให้เลี้ยงหนอนไว้เป็นศัลยแพทย์ เหมาะกับแผลของโรคเบาหวาน ปลวกแมลงมีคุณประโยชน์ รู้หน้าที่สำคัญต่อป่าธรรมชาติ ผลักแผน พนมรุ้ง มรดกโลกเข้าครม สธ.ออกประกาศห้ามเก็บกวาวเครือนอกฤดู นักวิชาการโต้ทันที เหตุกระทบการพัฒนางานวิจัย สัปดาห์วันวิสาขบูชาโลก ร่วมลด-ละ-เลิกอบายมุข ไทย-ฮ่องกง ตั้งธนาคารอาวุธสู้เชื้อโรคไข้หวัดนก 'ฮู' ถวายเหรียญพระราชินี'ฟู้ดเซฟตี้ อวอร์ด' สูตรคิดน้ำหนักมาตรฐาน เด็กไทยคว้ารางวัลชนะเลิศที่ญี่ปุ่น งานมหกรรมศิลปะเด็กแห่งเอเชีย คลังหันใช้เหรียญ2บาท แก้ปัญหาขาดแคลน ก.ไอซีที จัดระเบียบซิมการ์ดมือถือเก่า 1 ก.ค.นี้ หลีกเลี่ยงอาการเมาความสูง เตรียมปิดถ้ำกระบอกอพยพชาวม้งถาวร
ข่าวการศึกษา
ลุ้นออก กม.บังคับเอกชนตั้งศูนย์เติมกึ๋นพนักงาน
นายทองอยู่ แก้วไทรฮะ ในฐานะประธานคณะทำงานยกร่าง พ.ร.บ.การศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) เปิดเผยว่า ขณะนี้การยกร่าง พ.ร.บ.มีความคืบหน้าไปกว่า 50% แล้ว โดยได้มีการหารือในเรื่องของกลุ่มความคิด และสาระที่จะนำมาบรรจุไว้ในร่าง พ.ร.บ.กศน. ซึ่งมีอยู่ประมาณ 6-7 กลุ่มสาระ ซึ่งคาดว่าจะสามารถรวบรวมความคิดได้ครบถ้วนในเร็วๆ นี้ และเชื่อว่าร่างพ.ร.บ.กศน.จะสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างภายในเดือน มิ.ย.นี้แน่นอน สำหรับความคิดหนึ่งที่คณะทำงานเห็นว่าควรจะกำหนดเป็นมาตราหนึ่งในร่าง พ.ร.บ. คือ การให้ สถานประกอบการ บริษัท หรือห้างร้านที่มีพนักงานในความดูแลตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป จะต้องจัดตั้งศูนย์การเรียนในหน่วยงาน เพื่อให้คนในหน่วยงานมีโอกาสได้ เรียนรู้ ตลอดเวลาและรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเนื้อหาที่จะจัดการเรียนรู้ในศูนย์การเรียนนั้นๆ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่บริษัท สถานประกอบการหรือชุมชนนั้นๆ ทำอยู่ คณะทำงานมองว่าทุกคนควรได้รับการบริการทางการศึกษาจากหน่วยงานของตนเอง ละควรมีโอกาสในการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะในงานและทักษะชีวิต เพื่อให้มีความสุขเพิ่มขึ้นจากการทำงาน ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ต้องเข้าไปส่งเสริมและสนับ-สนุนทั้งเรื่องการฝึกอบรมคน สื่อ อุปกรณ์ ให้แก่หน่วยงาน ส่วนมาตรการภาษีที่จะสนับ-สนุนให้ภาคเอกชนร่วมจัดการศึกษานั้น มีระเบียบของกระทรวงการคลังอยู่แล้วว่า ผู้ที่ให้บริการการศึกษาหรือสนับสนุนการศึกษาก็จะได้รับการลดหย่อนภาษี (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 16 พ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)
มศว ออกกฎเหล็กรับน้อง ห้ามรับนอกสถานที่เด็ดขาด
รศ.สุมาลี เหลืองสกุล รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนาศักยภาพนิสิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยว่า ในวันที่ 1 มิ.ย.นี้ มศว จะจัดงานปฐมนิเทศนิสิตใหม่ เพื่อแนะนำให้นิสิตรู้จักมหาวิทยาลัย ผู้บริหาร นโยบายการผลิตบัณฑิต และ งานบริการนิสิต รวมถึงเรื่องต่าง ๆ และในช่วงกลางคืนของวันที่ 1-2 มิ.ย. ก็จะมีกิจกรรมการรับน้องรวมทุกคณะเพราะมหาวิทยาลัยมีนโยบายให้นิสิตใหม่ทุกคนได้รู้จักกันก่อน โดยเห็นว่าการที่นิสิตได้รู้จักเพื่อนมาก ๆ จะเป็นผลดีในอนาคต และยังเป็นการเริ่มต้นของการรู้จักปรับตัวในมหาวิทยาลัย เพราะการเรียนในมหาวิทยาลัยจะแตกต่างจากการเรียนในโรงเรียนอย่างมาก ดังนั้นนิสิตต้องปรับตัวในทุก ๆ ด้านรวมถึงเรื่องการเรียนที่จะต้องช่วยตัวเองมากขึ้นด้วย บางคนอาจคิดว่าชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยมีเวลาว่างมาก แต่ความจริงแล้วเมื่อมีเวลาว่างก็ต้องหาความรู้เพิ่มเติมเข้าห้องสมุด ศึกษา ค้นคว้าด้วยตนเองด้วย มหาวิทยาลัยมีนโยบายให้นิสิตปี 1 ทุกคนต้องไปเรียนร่วมกันที่ มศว องครักษ์ จ.นครนายก โดยเข้าไปพักในหอพักที่จัดไว้ เพื่อให้นิสิตได้เรียนรู้ร่วมกันและรู้วิธีอยู่ร่วมกับคนอื่น ซึ่งเป็นพื้นฐานเบื้องต้นในการเรียนรู้สังคม เพราะการอยู่ร่วมกันนี้นิสิตจะได้เรียนรู้เพื่อนต่างคณะ แลกเปลี่ยนความคิด ได้เรียนรู้ทรรศนะที่แตกต่างซึ่งจะเป็นการปลูกฝังให้นิสิตยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น ได้ฝึกวินัย เคารพสิทธิของผู้อื่น ที่สำคัญเป็นการปลูกฝังไม่ให้นิสิตมองเรื่องราว สิ่งต่าง ๆ หรือปัญหาที่เกิดขึ้นเพียงด้านเดียว การรับน้องใหม่นั้นทางกองกิจการนิสิตได้กำหนดว่าให้คณะ ต่าง ๆ ทำได้เพียงแค่ 6 ครั้ง ใน 6 สัปดาห์แรกที่เปิดเรียน และต้องไม่เกิน ครั้งละ 2 ชั่วโมงครึ่งเพื่อไม่ให้น้องเหนื่อยและมีผลกระทบต่อการเรียน อีกทั้งต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจของรุ่นน้อง และต้องทำแบบพี่น้องไม่มีการใช้อำนาจบังคับขู่เข็ญน้อง หรือทำร้ายน้อง ที่สำคัญมหาวิทยาลัยไม่สนับสนุนให้มีการรับน้องนอกสถาบัน และหากนิสิตน้องใหม่ไม่พอใจการรับน้องของรุ่นพี่ก็สามารถมาร้องเรียนมาได้ (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 16 พ.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)
มศว ผุดสาธิตองครักษ์เน้นวิทย์
ศ.ดร.วิรุณ ตั้งเจริญ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) องครักษ์ จ.นครนายก มีโครงการจะจัดตั้งโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) องครักษ์ขึ้น เป็นโรงเรียนวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นโครงการที่ คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ อดีตอธิการบดี มศว อยากจะผลักดันให้เกิดขึ้น และถูกนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อให้มีการเพิ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์ในประเทศขึ้นประมาณ 10 แห่ง ทั้งนี้ เป้าหมายโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ องครักษ์ นั้นจะเป็นโรงเรียนที่อยู่ภายในมหาวิทยาลัย บนพื้นที่ 20 ไร่ และจะต้องเป็นโรงเรียนที่เน้นวิทยาศาสตร์เหมือนโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ แต่โรงเรียนสาธิตก็ยังคงต้องมีอัตลักษณ์เฉพาะตัว ต้องเป็นโรงเรียนประจำ เพื่อจะให้นักเรียนได้เรียนรู้ในสายวิชาการ ชีวิตความเป็นอยู่ของการเรียนให้เต็มรูปแบบ และที่สำคัญนักเรียนต้องมีหลักคิดของความเป็นไทยด้วย ทั้งนี้คงต้องใช้งบประมาณในการดำเนินการก่อสร้างโรงเรียนสาธิต มศว องครักษ์ ซึ่งเป็นโรงเรียนวิทยาศาสตร์ เป็นเงินไม่เกิน 300 ล้านบาท (คมชัดลึก จันทร์ที่ 16 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
ยกระดับมหาวิทยาลัย เป็นองค์กรแห่งความรู้
ศ.(พิเศษ) ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวในการเปิดประชุมสัมมนา เรื่อง การจัดการความรู้เพื่อการพัฒนาคุณภาพองค์กร ว่า องค์กรที่มีการพัฒนาความรู้อย่างสม่ำเสมอจะนำไปสู่การปรับปรุงให้สามารถขยายศักยภาพทั้งในระดับบุคคล กลุ่มบุคคล และองค์กร ได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถสร้างนวัตกรรมต่างๆ เพื่อความอยู่รอดในการดำเนินกิจการขององค์กรในโลกปัจจุบัน ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จึงต้องให้การสนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพการอุดมศึกษา ให้มีความรู้ในเรื่องเกี่ยวกับแนวทางของการจัดการความรู้และประยุกต์ใช้ รวมทั้งการพัฒนาสถาบันให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ให้บุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ ในเรื่องของการจัดการความรู้และเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ "บุคลากรอุดมศึกษาควรเป็นต้นแบบให้กับองค์กรอื่นๆ ในการจัดการความรู้ ทั้งด้านวิชาการ และด้านบริหาร ซึ่งในมหาวิทยาลัยหลายแห่งก็ได้มีการจัดตั้งสำนักงานจัดการความรู้ จัดให้มีบุคลากรที่เกี่ยวข้องดำเนินการภายในมหาวิทยาลัย และเป็นเครือข่ายจัดการความรู้ และขับเคลื่อนให้เป็นรูปธรรม แต่ต้องขยายเครือข่ายให้กว้างขวางมากขึ้น เพื่อให้การอุดมศึกษามีศักยภาพเพิ่มขึ้นในอนาคต" เลขาธิการกกอ.กล่าว (คมชัดลึก จันทร์ที่ 16 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
มร.ชม.เปิดสอนป.ตรีใบที่ 2 ด้านบัญชี
ผศ.ดร.เรืองเดช วงศ์หล้า อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ (มร.ชม.) กล่าวว่า มร.ชม.จัดโครงการปริญญาตรีใบที่ 2 แขนงวิชาการบัญชี ซึ่งเหมาะกับผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีในสาขาอื่น แต่ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับการบัญชี หรือผู้ที่สนใจและต้องการได้รับวุฒิปริญญาตรีใบที่ 2 ทางด้านการบัญชี โดยผู้ที่สำเร็จการศึกษาในโครงการนี้จะได้รับวุฒิบริหารธุรกิจบัณฑิต แขนงวิชาการบัญชี สามารถเป็นผู้ทำบัญชีได้ตามที่กฎหมายกำหนด สำหรับการเรียนการสอนในโครงการนี้จะเรียนในคณะวิทยาการจัดการ ใช้เวลาเรียน 3 วันใน 1 สัปดาห์ รวมทั้งจัดให้เรียนภาคการศึกษาละ 5 รายวิชาเท่านั้น อีกทั้งยังสามารถนำหน่วยกิตของวิชาด้านบริหารธุรกิจ เช่น เศรษฐศาสตร์ การตลาด หรือการจัดการที่เรียนในปริญญาตรีใบที่ 1 และได้เกรดตั้งแต่ระดับซีขึ้นไปมาเทียบหน่วยกิตได้ โดยไม่ต้องลงทะเบียนเรียนใหม่ ช่วยให้ประหยัดทั้งเวลาและเงิน โครงการนี้เปิดรับมาแล้ว 5 รุ่น มีผู้สนใจเข้าเรียนรุ่นละประมาณ 100 คน ส่วนที่จะเปิดเรียนในภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2548 เป็นรุ่นที่ 6 จะไม่จำกัดจำนวนการรับ แต่จะมีการสัมภาษณ์เพื่อคัดเลือก ผู้ที่สนใจสมัครได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 28 พฤษภาคมนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร.0-5341-2544 ต่อ 3310 หรือ 0-5322-6529 (คมชัดลึก จันทร์ที่ 16 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
ม.เอเชียนจับมือสาธิตเกษตรฯ สอนหลักสูตรนานาชาติม.4-6
ดร.วิพรรธ์ เริงพิทยา อธิการบดีมหาวิทยาลัยเอเชียน ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ร่วมมือกับโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ในโครงการการศึกษานานาชาติ เพื่อขยายการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรนานาชาติ สำหรับนักเรียน ม.4-6 โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่นักเรียน ม.ปลายในการเข้าศึกษาต่อในหลักสูตรนานาชาติระดับอุดมศึกษาต่อไป ปัจจุบันพื้นฐานวิชาคณิตศาสตร์ และวิชาฟิสิกส์ของนักเรียนในโรงเรียนทั่วไปยังไม่เพียงพอต่อการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยนานาชาติในประเทศ และมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว วิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และภาษาอังกฤษ เป็นวิชาที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยนานาชาติ เราจึงได้ดำเนินการร่วมกับโครงการการศึกษานานาชาติ โรงเรียนสาธิตแห่ง มก. ที่มีชื่อเสียงทั้งด้านวิชาการและการจัดการศึกษาหลักสูตรนานาชาติ ถือเป็นการผนึกกำลังความสามารถของสองสถาบัน เพื่อเพิ่มพูนความแข็งแกร่งทางด้านวิชาการและการจัดการศึกษา เพราะมหาวิทยาลัยเอเชียนมีความชำนาญสาขาวิชา คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และภาษาอังกฤษ และโรงเรียนสาธิตเกษตรฯ มีความชำนาญในการจัดการศึกษาหลักสูตรนานาชาติ และความเชี่ยวชาญในการถ่ายทอดวิชาการ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเอเชียนกล่าวว่า International Program แตกต่างจากหลักสูตรภาษาอังกฤษ หรือ English Program กล่าวคือ นอกจากเน้นทักษะภาษาอังกฤษแล้ว การเรียนการสอนยังเป็นหลักสูตรนานาชาติ จะมีวิชาภาษาไทยเพียงวิชาเดียวที่สอนเป็นภาษาไทยส่วนวิชาสังคมศึกษา จะสอนเรื่องสังคมของโลกไม่จำกัดเฉพาะทรรศนะและมุมมองภายในประเทศไทยเท่านั้น โครงการนี้ถือว่าเป็นโครงการแรกๆ ที่จัดขึ้นในไทย ซึ่งผู้ปกครองที่จะส่งลูกหลานไปศึกษาต่อต่างประเทศ สามารถเลือกหลักสูตรนี้เป็นทางเลือกได้ด้วยความเข้มข้นด้านเนื้อหาวิชาการและภาษาอังกฤษที่ทัดเทียมกับโรงเรียนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก และในปีการศึกษา 2548 จะมอบทุนการศึกษา 150,000 บาท ครึ่งหนึ่งของค่าเล่าเรียนต่อปี สนใจสอบถามได้ที่ 0-2253-4771หรือ 0-3875-4450 (มติชนรายวัน อังคารที่ 17 พ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)
"เอแบค"เปิดป.โทผ่านเน็ต สาขาจัดการธุรกิจอินเตอร์
นางอุทุมพร จามรมาน ประธานฝ่ายดำเนินการวิทยาลัยการศึกษาทางไกลอินเตอร์เน็ต มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ หรือเอแบค เปิดเผยความคืบหน้าว่า ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เรื่องหลักเกณฑ์และแนวทางการขอเปิดและดำเนินการหลักสูตรระดับปริญญาในระบบการศึกษาทางไกล พ.ศ.2548 จะมีผลบังคับใช้ในเร็วๆ นี้ ซึ่งในส่วนของวิทยาลัยการศึกษาทางไกลอินเตอร์เน็ตได้รองรับโดยจัดทำหลักสูตรปริญญาโทด้านการจัดการทางธุรกิจเป็นภาษาอังกฤษ โดยทำเป็น E-Learning ทุกรายวิชา และระบบจัดการและการลงทะเบียนจะผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว หากประกาศ ศธ.ดังกล่าวประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อใด ทางวิทยาลัยก็สามารถเปิดรับนักศึกษาได้ในเดือนมกราคม 2549 ทันที โดยเปิดรับนักศึกษาไม่จำกัดจำนวน เนื่องจากเรียนผ่านระบบทางไกล การเรียนการสอนจะเป็นไปภายใต้หลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่วิทยาลัยกำหนด เช่น ต้องเรียนผ่านอินเตอร์เน็ต ต้องแชตรูม ส่งการบ้าน และไปสอบยังศูนย์ทดสอบ 6 แห่งตามที่กำหนด โดยจะมีผู้คุมสอบ การให้คะแนนจะให้โดยดูจากคะแนนสอบ การบ้าน นอกจากนี้ จะดูอี-เมลที่เข้ามาพูดคุยกี่ครั้ง เวลาไหน เมื่อใด และต้องเข้าไปอ่านสื่อการเรียนการสอนที่จัดไว้ให้ เป็นระบบคู่ขนานกับห้องเรียน ต้องมาพบติวเตอร์ที่วิทยาลัยจัดให้ และต้องพบอาจารย์ ส่วนการทำวิทยานิพนธ์ คุณภาพต้องเทียบได้กับที่เรียนในห้อง ซึ่งทุกขั้นตอนตรวจสอบได้ว่านักศึกษาคนใดทำตามเงื่อนไขหรือไม่ ทั้งนี้ หลักสูตรดังกล่าวได้ปรับจากหลักสูตรที่ใช้จัดการเรียนการสอนในห้องมา 3 รุ่นแล้ว ส่วนค่าเล่าเรียนจนจบหลักสูตรจะประมาณ 170,000-180,000 บาท ถ้าเรียนจริงจังจะใช้เวลาเรียนประมาณ 1 ปีครึ่ง ซึ่ง 1 ปีการศึกษาจะมี 3 ภาคเรียน เมื่อเรียนจบแล้วสามารถนำวุฒิการศึกษาที่ได้ไปรับราชการได้ เพราะสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) ได้ส่งหลักสูตรให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) รับรองแล้ว คาดว่าจะมีผู้สนใจสมัครเรียนปีแรกประมาณ 500 คน แต่ทางวิทยาลัยต้องการรับประมาณ 100 คนต่อเทอม โดยผู้สมัครต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนด เช่น ต้องมีความรู้ภาษาอังกฤษเทียบเท่าโทเฟลในห้องเรียน เพราะต้องเรียนเป็นภาษาอังกฤษ (มติชนรายวัน อังคารที่ 17 พ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)
ดันตั้งมหาวิทยาลัยนครพนมใกล้คลอด คาด"กม."บังคับใช้ใน3เดือน ฝรั่งเศสหนุนเปิด"ว.การบิน"
นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) เปิดเผยความคืบหน้าการจัดตั้งมหาวิทยาลัยนครพนม ว่า ตนได้เดินทางไปประเทศฝรั่งเศส เมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อหารือกับโรงเรียนการบิน 2 แห่งของฝรั่งเศส ในเรื่องความร่วมมือทางวิชาการ หลักสูตร และอาจารย์ด้านการบินกับวิทยาลัยการบินนานาชาติ ในสังกัดมหาวิทยาลัยนครพนม รวมทั้งการให้ทุนศึกษา ซึ่งทางฝรั่งเศสได้ยืนยันให้ความร่วมมือ และจะจัดทีมเดินทางมายังมหาวิทยาลัยนครพนม ในวันที่ 6-10 มิถุนายนนี้ โดยแผนการจัดทำหลักสูตรจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือหลักสูตรฝึกนักบิน โดยผู้ที่จบหลักสูตรนี้จะได้รับใบอนุญาตขับเครื่องบินนานาชาติ และหลักสูตรเกี่ยวกับการซ่อมบำรุง การจราจรทางอากาศ และธุรกิจการบิน ซึ่งหากว่าร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยนครพนมมีผลบังคับใช้เมื่อใด หลักสูตรฝึกนักบินก็สามารถดำเนินการได้ทันที เพราะเป็นหลักสูตร 1 ปี รับผู้ที่เรียนจบด้านใดก็ได้ และ คาดว่า เมื่อประเทศไทยเปิดสอนด้านการบินแล้ว ทางฝรั่งเศสจะให้ทุนประเทศต่างๆ เพื่อมาเรียนที่วิทยาลัยการบินนานาชาติแห่งนี้ด้วย เช่น เวียดนาม ลาว และกัมพูชา เป็นต้น ส่วนความคืบหน้าเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยนครพนมนั้น ขณะนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการร่วมสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแล้ว คาดว่าจะผ่านขั้นตอนรัฐสภาภายใน 1 เดือน และน่าจะมีผลบังคับใช้ภายใน 2-3 เดือน ส่วนปัญหาที่มีผู้บริหารในมหาวิทยาลัยราชภัฏ(มรภ.) นครพนม เคลื่อนไหวไม่ให้ยุบรวม มรภ.นครพนม เพื่อตั้งมหาวิทยาลัยนครพนมนั้น เวลานี้ไม่มีการเคลื่อนไหวคัดค้านแล้ว เพราะรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนเรื่องนี้ชัดเจน (มติชนรายวัน อังคารที่ 17 พ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)
มรภ.เพชรบุรีเปิดป.โทบริหารโรงงาน
ผศ.เอกศักดิ์ บุตรลับ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) เพชรบุรี เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยเสนอของบประมาณปี 2549 จากรัฐบาล 180 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้พัฒนามหาวิทยาลัยโดยมุ่งในด้านวิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์และเทคโนโลสารสนเทศ (ไอที) จะผลิตบทเรียนอีเลิร์นนิ่ง เพื่อนำมาใช้จัดการเรียนการสอน โดยในปีการศึกษา 2548 มหาวิทยาลัยได้เปิดหลักสูตรใหม่ระดับปริญญาตรี คือ หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาธุรการคอมพิวเตอร์รับนักศึกษาจำนวนทั้งสิ้น 10 คน ขณะนี้มีนักศึกษามาสมัครครบตามจำนวนแล้ว และให้รายงานตัวในวันที่ 19 พฤษภาคมนี้ ส่วนปริญญาโทเปิดหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการบริหารงานอุตสาหกรรมรับนักศึกษา โดยกลุ่มเป้าหมายเน้นผู้บริหารโรงงานอุตสาหกรรมเพราะจังหวัดเพชรบุรีมีโรงงานอุตสาหกรรมกว่า 100 แห่ง เพื่อให้นำความรู้ไปใช้บริหารโรงงานอุตสาหกรรม และยังเปิดหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (เอ็มบีเอ) ด้วย โดยหลักสูตรปริญญาโททั้งสองหลักสูตรรับนักศึกษาสาขาละ 30 คนตั้งแต่บัดนี้จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ และปริญญาเอกเปิดหลักสูตรศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขายุทธศาสตร์การพัฒนา คาดว่าเปิดในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2548 รับนักศึกษา 20 คน (คมชัดลึก พุธที่ 18 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
สอศ.ปั้นแบรนด์สินค้า"อาชีวะ" ขยายแฟรนด์ไชส์ปีละ10ตัว
นายวีระศักดิ์ วงษ์สมบัติ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) มีนโยบายที่จะสร้างผู้ประกอบการรายใหม่ โดยจะนำสินค้าที่นักเรียนอาชีวศึกษาทั่วประเทศทำขึ้นมาทำเป็นแบรนด์เนม ภายใต้ชื่อ "อาชีวะ" และทำให้เป็นเชิงธุรกิจมากขึ้นด้วยการ สร้างแฟรนไชส์ ซึ่งขณะนี้ได้นำร่องที่สินค้ากาแฟสด ที่มีลักษณะเป็นศาลาไทยและโรตีกรอบ โดยขายสูตร ขายเครื่องปรุง แป้ง รวมทั้งการบรรจุ นอกจากนี้ จากการที่ สอศ.จัดการประกวดสิ่งประดิษฐ์ของคนรุ่นใหม่ ซึ่งให้นักเรียนในสถาบันสังกัด สอศ.นำสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ มาประกวดในทุกปี จะทำให้สามารถต่อยอดด้วยการพัฒนาให้เป็นสินค้าที่สามารถใช้งานได้จริง และส่งขายตลาดภายใต้ชื่อแบรนด์อาชีวะเช่นกัน โดยตั้งเป้าไว้ว่า แต่ละปี สอศ.จะต้องสร้างแฟรนไชส์สินค้าให้ได้ประมาณปีละ 10 ตัวสินค้าขึ้นไป ทั้งนี้ วิธีการคัดสรรสินค้าจะให้วิทยาลัยทุกแห่งที่มีการทำสินค้าตัวเดียวกัน นำสินค้านั้นมาประกวด โดยตั้งเป็นศูนย์ให้ประชาชนทั่วไปทดลองชิม หากสินค้าตัวไหนได้คะแนนสูงที่สุด ก็จะนำสินค้าตัวนั้นมาใช้ตราอาชีวะและขยายเป็นแฟรนไชส์ไปทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวยังติดขัดเกี่ยวกับเรื่องของภาษี ซึ่งต้องจ่ายในอัตราเดียวกับเอกชนทั่วไป ในขณะที่ต้นทุนในการซื้อวัตถุดิบมาทำสินค้าของสถาบันสังกัด สอศ.ต้องจ่ายแพงกว่าเอกชน เนื่องจากสินค้าของอาชีวศึกษายังไม่ได้จำหน่ายเป็นวงกว้าง ซึ่งได้ทำหนังสือไปยังกระทรวงการคลังเพื่อขอลดหย่อนภาษีในช่วงเริ่มต้นของกิจการ และจะจ่ายภาษีเท่ากับเอกชนเมื่อธุรกิจอยู่ตัวเรียบร้อยแล้ว ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลังกำลังพิจารณาอยู่ "การสร้างแบรนด์เนมและขยายแฟรนไชส์อาชีวะ จะช่วยให้นักเรียนอาชีวศึกษากลายเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ ซึ่งเมื่อก่อนเด็กที่จบอาชีวศึกษาจะไปทำธุรกิจส่วนตัวคงลำบาก แต่ปัจจุบันรัฐบาลมีเงินทุนสนับสนุนมาก เช่น เอสเอ็มอี กองทุนหมู่บ้าน รวมทั้งธนาคารหลายแห่งก็พร้อมให้กู้เงินเพื่อนำไปลงทุน สอศ.ได้ความร่วมมือกับสถาบันการเงิน และสถาบันคีนันแห่งเอเชีย เพื่อพัฒนาแนวคิด หลักสูตร และกระบวนการจัดการเรียนการสอนให้เด็กอาชีวะก้าวไปสู่ความเป็นผู้ประกอบการรายใหม่เร็วขึ้นและมากขึ้น โดยตั้งเป็นศูนย์บ่มเพาะนักธุรกิจรุ่นใหม่นำร่องประมาณ 12 สถาบัน ซึ่งในอนาคตจะขยายศูนย์ให้ครบทุกจังหวัด" นายวีระศักดิ์ กล่าว (คมชัดลึก พุธที่ 18 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
1 เงิน 2 ทองแดง ชิมลางก่อนสู้จีนเวทีฟิสิกส์โลก
จากการชิงชัยฟิสิกส์โอลิมปิกระดับทวีปเอเชีย ครั้งที่ 6 ณ เมืองเพกานบารู-รีล ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา การแข่งขันครั้งนี้คนเก่งฟิสิกส์ทั้ง 8 คน สามารถคว้ารางวัล ติดมือกลับมาให้ชื่นใจโดยทำได้ 1 เหรียญเงิน 2 เหรียญทองแดง และ 2 เกียรติคุณประกาศ ถือเป็นการชิมลางเรียกน้ำย่อยก่อนไปแข่งขันในระดับโอลิมปิกวิชาการ ที่จะเริ่มต้นในเดือนกรกฎาคม 2548 1 เหรียญเงิน โดย รณชัย เจริญศรี โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย 2 เหรียญทองแดง โดย เพชระ ภัทรกิจวานิช โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ และ ภัคพงศ์ จิระรัตนานนท์ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ส่วนอีก 2 เกียรติคุณประกาศ เป็นของ วุฒิวัฒน์ งามพฤฒิกร และ อภิวัฒน์ เกรียงวัฒนากุล คู่หูคู่เก่งจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา สำหรับคนเก่งฟิสิกส์ที่ร่วมชิงชัยอีก 3 คน ทั้ง ปรีติ โอวาทชัยพงศ์ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา สีหพล อุทิตสาร โรงเรียนเตรียมทหาร และ เอก เลิศไตรรักษ์ โรงเรียนวัดสุทธิวราราม ต่างก็พยายามสุดฝีมือ แม้จะพลาดรางวัลแต่ก็ประสบความสำเร็จขั้นหนึ่งแล้ว (สยามรัฐ พุธที่ 18 พ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)
"สกอ."ลุยเปิดมหา"ลัยไซเบอร์ไทย
เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต(มสด.) ผศ.สุพรรณี สมบุญธรรม ผู้อำนวยการโครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย หรือ Thailand Cyber University : TCU ของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) กล่าวในการสัมมนา E-Learning กับการพัฒนาการศึกษาไทยว่า TCU ทำหน้าที่รวมหลักสูตรการเรียนการสอนผ่านระบบศึกษาทางไกล หรือหลักสูตรออนไลน์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ และแบ่งสรรทรัพยากร ซึ่งในปัจจุบัน สกอ.ได้สนับสนุนงบประมาณให้มหาวิทยาลัยต่างๆ ทำหลักสูตรออนไลน์ โดยในปี 2540-2545 ได้ผลิตชุดวิชา 28 รายวิชา และในปี 2548 ผลิตเสร็จอีก 331 รายวิชา นอกจากนี้ ยังสนับสนุน มสด.จัดทำชุดวิชา 100 ชุด และคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์(มก.) จัดทำหลักสูตรออนไลน์ ทั้งนี้ ตามวัตถุประสงค์โครงการ TCU เพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสให้เข้าถึงอุดมศึกษา พร้อมทั้งขยายโอกาสการเรียนรู้และส่งเสริมการศึกษาตลอดชีวิต นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 24 พฤษภาคมนี้ สกอ.และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะลงนามบันทึกความร่วมมือการจัดการศึกษาระดับปริญญาตรี หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิศวกรรมซอฟต์แวร์ และระดับปริญญาโทนานาชาติ หลักสูตรเภสัชศาสตรมหาบัณฑิต สาขาเภสัชศาสตร์สังคมและบริหาร ในระบบการศึกษาทางไกลผ่านมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย และเครือข่ายสารสนเทศของมหาวิทยาลัย หรือ UniNet ในรูปแบบ E-Learning ซึ่งถือเป็นหลักสูตรแรกๆ ที่จะออกตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการเรื่องหลักเกณฑ์และแนวทางการขอเปิดและดำเนินการหลักสูตรระดับปริญญาในระบบการศึกษาทางไกล พ.ศ.2548 คาดว่าหลักสูตรดังกล่าวจะเปิดรับนักศึกษาได้ในภาคเรียนที่ 1/2549 นี้ โดยผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดได้จากเว็บไซต์มหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย http://tcu.uni.net.th ในวันที่ 6 มิถุนายน สกอ.จะลงนามในบันทึกความร่วมมือการจัดการศึกษาทางไกลผ่านมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย กับมหาวิทยาลัยนเรศวร(มน.) ในการจัดการศึกษาหลักสูตรปริญญาตรีด้านการท่องเที่ยว และยังมีมหาวิทยาลัยอีกหลายแห่งที่จะทยอยลงนามความร่วมมือ เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์(มก.) และมหาวิทยาลัยศิลปากร(มศก.) เป็นต้น (มติชนรายวัน พุธที่ 18 พ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)
จัดโรดโชว์ดึงคนเวียดนามเรียนอุดมฯไทย
นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) เปิดเผยถึงการจัดนิทรรศการหรือโรดโชว์อุดมศึกษาไทยที่กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ระหว่างวันที่ 20-23 พฤษภาคมนี้ ว่าสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) จะจัดโครงการสัมมนาวิชาการและโรดโชว์อุดมศึกษาที่กรุงฮานอยในช่วงระหว่างวันดังกล่าว โดยมีสถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานเกี่ยวข้องไปร่วม 32 แห่ง ซึ่ง สกอ.คาดหวังว่าจะส่งเสริมให้นักศึกษาเวียดนามเดินทางมาศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาของไทย รวมทั้งเพื่อการพัฒนาศักยภาพการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรนานาชาติในสถาบันอุดมศึกษาไทยให้มีความทัดเทียมกับต่างประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้ สกอ.ได้จัดโรดโชว์ที่นครคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีนักศึกษาชาวจีนสนใจเข้าชมงานและสนใจมาเรียนต่อในมหาวิทยาลัยไทย เพราะมีหลักสูตรหลากหลาย มีมาตรฐานสูง และค่าครองชีพไม่แพง การจัดโรดโชว์อุดมศึกษาไทยที่กรุงฮานอยครั้งนี้ จะมีการหารือถึงความร่วมมือด้านอุดมศึกษาระหว่างไทยและเวียดนามด้วย โดยจะดูความเป็นไปได้ในการส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการระหว่างกัน รวมทั้งจะพิจารณาแนวทางการทำกิจกรรมทางวิชาการร่วมกันให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น นอกจากนี้ จะหารือถึงโครงการความร่วมมือการจัดการศึกษาและวิจัยในสาขาวิชาต่างๆ เช่น วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ ภาษา บริหารธุรกิจ และการโรงแรมและการท่องเที่ยว รวมถึงแสวงหาความร่วมมือในการจัดตั้งศูนย์เวียดนามศึกษา และไทยศึกษา ภายในมหาวิทยาลัยของไทยและเวียดนามด้วย ในปัจจุบันมีนักศึกษาเวียดนามเข้ามาเรียนในสถาบันอุดมศึกษาไทยประมาณ 300 คน (มติชนรายวัน พุธที่ 18 พ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)
ทักษิณ จี้อาจารย์อุดมฯ รวมพลัง
จากการประชุมสัมมนาอาจารย์และบุคลากรสายวิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวบรรยายพิเศษเรื่อง การปรับตัวของคณาจารย์เพื่อรับงานการปฏิรูปการศึกษาของประเทศ ตอนหนึ่งว่า ตนรู้สึกดีใจที่อาจารย์มหาวิทยาลัยตระหนักถึงการปรับตัวเอง ให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงของโลก การศึกษา เป็นสิ่งที่มีชีวิตที่ต้องปรับตัว คนที่ไม่ปรับตัวจะอยู่ไม่ได้ แม้แต่คนที่คิดว่าตนเองจบปริญญาเอกแล้วและเลิกอ่านหนังสือ ก็ไม่ได้ฉลาดไปกว่าคนที่จบปริญญาตรีแต่ยังอ่านหนังสืออยู่ตลอดเวลา สังคมจะต้องหาจุดแข็งของตนเอง และรักษาจุดแข็งนั้นให้คงอยู่ให้นานที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างจุดแข็งใหม่ๆให้เกิดขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการจะรักษาจุดแข็งให้ได้นั้น สิ่งสำคัญคือ การสร้างมันสมองของมนุษย์ ซึ่งมีอยู่มากในมหาวิทยาลัย แต่ขณะนี้การเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ ยังยึดครูเป็นศูนย์กลางการสอนอยู่ ข้อสอบก็ยังเน้นแบบท่องจำ ซึ่งหากยังไม่เปลี่ยนแปลง เราก็จะไม่สามารถเปลี่ยนการสอนโดยยึดเด็กเป็นศูนย์กลางได้ นายกฯ กล่าวต่อว่า ตนอยากเห็นความร่วมมือระหว่างคณาจารย์ ทำงานร่วมมือกันข้ามคณะ หรือข้ามมหาวิทยาลัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ หลักสูตรต้องมีความยืดหยุ่นให้นักศึกษา ได้เลือกเรียนหรือเปลี่ยนสาขาได้ตามความถนัด ตนอยากเห็นมหาวิทยาลัยมีห้องสมุดที่มีชีวิต รับนิตยสารจากต่างประเทศเพื่อให้นักศึกษามีแหล่งค้นคว้า ที่กว้างขวางให้เด็กไทยก้าวทันความรู้ทันสมัยตลอดเวลา มีอินเตอร์เน็ตให้เด็กใช้ สิ่งเหล่านี้ขอให้มหาวิทยาลัยพิจารณา หากต้องการงบฯตนก็พร้อมสนับสนุน. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 19 พ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)
5มรภ.จับมือผลิตงานวิจัย ลดความซ้ำซ้อน-แก้ปัญหาสังคมเข้าถึงผู้บริโภค
ผศ.ฉัตรชัย ศุกระกาญจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช (มร.นศ.) กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักวิจัยและพัฒนา มร.นศ.เป็นเจ้าภาพจัดประชุมการประชุมเครือข่ายสถาบันวิจัยและพัฒนาของมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภูมิศาสตร์ภาคใต้ 5 มหาวิทยาลัย คือ มร.นศ., มรภ.ภูเก็ต, มรภ.ยะลา, มรภ.สงขลา และ มรภ.สุราษฎร์ธานี เพื่อเป็นการรายงานความคืบหน้า แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และแนวทางพัฒนาระบบบริหาร โครงการวิจัยและพัฒนาระบบบริหารจัดการคุณภาพงานวิจัยเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นของมหาวิทยาลัยราชภัฏของเครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคใต้ ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบใน 3 เรื่อง ได้แก่ 1.การทำวิจัยของ มรภ.ทั้ง 5 แห่ง ให้ทำเป็นลักษณะของชุดโครงการวิจัย แทนการเสนอโครงการวิจัยเพียงชิ้นเดียว 2.ให้ความรู้ภูมิปัญญาพื้นบ้านแก่นักศึกษา ด้วยการสนับสนุนให้นักศึกษาลงไปทำวิจัยในพื้นที่ ค้นคว้าข้อมูลและเรียนรู้จากปราชญ์ในชุมชน แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ภาคใต้ตอนบน ตอนล่าง และฝั่งตะวันตก จากนั้นจะนำงานวิจัยมาสังเคราะห์อีกครั้งหนึ่ง และ 3.สนับสนุนให้นำปัญหาในพื้นที่ของแต่ละมหาวิทยาลัยมาเป็นฐานในการทำวิจัยเพิ่มมากขึ้น เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของท้องถิ่น ประโยชน์จากการปรับปรุงรูปแบบการวิจัยให้มีลักษณะเช่นนี้ จะทำให้เกิดการแบ่งงานการวิจัยอย่างเป็นระบบ จึงไม่เสียงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์ และไม่เกิดความซ้ำซ้อน ทำให้เห็นภาพโดยรวมของภาคใต้มากขึ้น รวมทั้งมีความสมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะมีการแบ่งการวิจัยครอบคลุมทุกพื้นที่ของภูมิภาค อีกทั้งแก้ปัญหาการทำวิจัยไม่เสร็จ โดยใช้เวลานาน หรืองานวิจัยเสร็จเมื่อปัญหาถูกแก้ไปเรียบร้อยแล้ว ทำให้งานวิจัยต้องถูกวางไว้บนหิ้งไร้คนสนใจ แต่การวิจัยรูปแบบใหม่จะทำให้ผู้ประสบปัญหานั้นนำไปแก้ปัญหาได้รวดเร็วและทันท่วงที (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 19 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
มสธ.เปิดห้องสมุดออนไลน์
ศ.ดร.ปรัชญา เวสารัชช์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยมีแผนที่จะเปิดให้บริการห้องสมุดออนไลน์และสื่ออีเลิร์นนิ่งแก่สถานศึกษา หน่วยงานรัฐและเอกชน โดยในส่วนของโรงเรียนจะเน้น 3 วิชาหลักคือ ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ซึ่งผู้บริหารกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ให้ความเห็นชอบในหลักการให้ มสธ.เข้าไปช่วยพัฒนาการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ โดยสนับสนุนงบประมาณให้ มสธ.จัดทำคู่มือการสอนสำหรับครูผ่านระบบอีเลิร์นนิ่งให้แก่โรงเรียนสังกัด กทม.กว่า 400 แห่ง และหากหน่วยงานอื่นๆ ให้การสนับสนุนงบประมาณก็ยินดีที่จะดำเนินการให้ด้วย โดยเฉพาะโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่หลายแห่งติดตั้งอินเทอร์เน็ตเรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกันยังมีเป้าหมายที่จะให้บริการห้องสมุดออนไลน์ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ด้วย โดยจะรวบรวมข้อมูลระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ อปท. รวมทั้งการบริหารจัดการด้านต่างๆ มาบรรจุไว้ในห้องสมุดออนไลน์ เพื่อให้ อปท.สามารถเข้ามาค้นคว้าหาข้อมูลได้ทุกเมื่อตามต้องการ ส่วนชุมชนและหมู่บ้านซึ่งมีอินเทอร์เน็ตตำบลอยู่แล้ว จะทำห้องสมุดออนไลน์โดยใส่ข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยและการประกอบอาชีพ เช่น การเกษตร การแปรรูปอาหาร เพื่อให้ชาวบ้านเข้าไปค้นคว้าหาความรู้ ซึ่งการให้บริการห้องสมุดออนไลน์และสื่ออีเลิร์นนิ่งเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ หากรัฐบาลสนับสนุนเรื่องนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างมาก (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 19 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
เครือข่ายไร้สายมหาลัยไฮเทค
ม.กรุงเทพเดินหน้าสู่มหาวิทยาลัยไฮเทค ใช้ไอทีนำร่อง 5 ส่วนบริหารจัดการ พร้อมเปิดเว็บที่ใช้สนทนาระหว่างนักศึกษาและอาจารย์ ผศ.สมจิตต์ ลิขิตถาวร ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เปิดเผยว่าม.กรุงเทพมีเป้าหมายที่จะพัฒนาไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยอิเล็กทรอนิกส์หรือ e-University โดยได้พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อรองรับการเรียนการสอน และการบริหารงานแบบครบวงจรด้วยการเชื่อมโยงระบบระหว่างวิทยาเขตกล้วยน้ำไทกับวิทยาเขตรังสิต โดยใช้เทคโนโลยี Gigabit Ethernet และเพิ่มขนาดและความเร็วในการให้บริการอินเทอร์เน็ต เป็น 44 เมกะบิต พร้อมติดตั้งเครือข่ายไร้สายครอบคลุมทั้ง 2 วิทยาเขต ทั้งนี้การนำไอทีมาประยุกต์ใช้เบื้องต้นแบ่งเป็น 5 ส่วน ได้แก่ การจัดการด้านวิชาการพัฒนาโปรแกรมดำเนินการจัดสอบ โปรแกรมจัดทำคะแนนและตัดเกรด โดยแจ้งผลสอบผ่านเว็บและมือถือ การให้บริการนักศึกษาและอาจารย์ในการ ยืม-คืน-จองทรัพยากรสารนิเทศ พร้อมจัดทำเว็บบอร์ดให้อาจารย์และนักศึกษาได้เข้ามาแสดงความคิดเห็น ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ ระบบงานกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา และการทำธุรกรรมผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยร่วมมือกับ ธ.ไทยพาณิชย์ ธ.เอเชีย และธ.กสิกรไทย ในการชำระเงินค่าสมัครเรียน และค่าลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์. (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 19 พ.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)
มหา'ลัยเครียดต้องทำมาตรฐานหลักสูตร
ศ.ดร.เทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานคณะอนุกรรมการด้านมาตรฐานการอุดมศึกษา กล่าวถึงกรณีที่สถาบันอุดมศึกษาหลายแห่งกำลังกังวลเกี่ยวกับเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรอุดม ศึกษาระดับอนุปริญญา ปริญญาตรี และระดับมหาบัณฑิตที่ จะประกาศใช้ในเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากเกรงว่าจะไม่สามารถปรับปรุงหลักสูตรให้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานได้ทันว่า เกณฑ์มาตรฐาน ดังกล่าวเป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่แต่ละมหาวิทยาลัยจะต้องทำอยู่แล้ว เพื่อรับผิดชอบต่อสาธารณะและผู้เรียน และสภามหาวิทยาลัยแต่ละแห่งจะต้องทำหน้าที่ดูแลหลักสูตรต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งที่ผ่านมาสถาบันอุดมศึกษาหลายแห่งยังเข้าใจผิดว่าเมื่อมีการประกาศใช้เกณฑ์มาตรฐานแล้ว จะต้องเร่งพัฒนาหลักสูตรให้ได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดทันที แต่ จริง ๆ แล้วเราจะมีช่วงเวลาให้พัฒนา คือหลังจากที่มีการประกาศใช้เกณฑ์มาตรฐานแล้ว ภายใน 5 ปี จะต้องทำให้ได้ตามเกณฑ์ที่ กำหนด ศ.ดร.เทียนฉาย กล่าวต่อไปว่า กรณีที่พูดกันว่าสถาบันใดไม่สามารถพัฒนาหรือปรับปรุงหลักสูตรให้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานได้ คณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) จะสั่งปิดหลักสูตรนั้นๆก็ไม่เป็นความจริง เพราะ กกอ.ไม่มีอำนาจหรือหน้าที่ที่จะไปสั่งปิดหลักสูตรใดๆ และกกอ.ก็ไม่ได้จ้องจับผิดมหาวิทยาลัยแต่อย่างใด เพียงแต่กกอ.ต้องการให้สถาบันอุดมศึกษามีธรรมา ภิบาลในการบริหารหลักสูตรต่าง ๆ ที่มีสาระ โปร่งใส และรับผิดชอบต่อการดำเนินงาน (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 19 พ.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)
ทอ.จับมือจุฬาฯปั๊มนักบินรุ่นใหม่
น.ท.ลิพงศ์ ทองเพชร ประจำกองประชาสัมพันธ์ กรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้กองทัพอากาศ(ทอ.)ได้ร่วมมือทางวิชาการกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยหลายๆ โครงการ อาทิ โครงการการศึกษาแพทย์แนวใหม่ ที่ทางคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศในการผลิตแพทย์เพิ่ม เพื่อให้สอดคล้องกับคำประกาศขององค์การอนามัยโลกที่ว่า สุขภาพดีทั่วหน้าในปี 2000 ซึ่งขณะนี้มีผู้สำเร็จและออกไปทำงานอยู่ทั่วประเทศแล้ว 221คน และกำลังศึกษาอยู่ 82 คน นอกจากนี้ยังมีโครงการหลักสูตรปริญญา รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต โดยความร่วมมือระหว่างคณะรัฐศาสตร์ กับ ทอ. ที่จะพัฒนาและสร้างเสริมกำลังพลของทอ. เพื่อเตรียมการเป็นผู้บริหารระดับสูง และกำลังจะเปิดรับนิสิต รุ่นที่ 2 ในเดือนมิถุนายนนี้ จากนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับเรื่องการปฎิรูประบบราชการและต้องการให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค ตลอดจนใช้ทรัพยากรในองค์กรของรัฐให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาประเทศ ดังนั้น ทอ.จึงได้ร่วมกับจุฬาฯในการตกลงทำความร่วมมือทางวิชาการเพิ่มอีก 3 โครงการคือโครงการหลักสูตรปริญญา บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาการจัดการการบิน โครงการหลักสูตรปริญญา วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการจัดการด้านโลจิสติกส์ และโครงการหลักสูตรปริญญาวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิศวกรรมการบินและอวกาศ ซึ่งโครงการดังกล่าวจะเป็นการผลิตบุคลากรเพื่อมารองรับความต้องการบริหารและจัดการทางด้านการบิน อุตสาหกรรมการบิน และการขนส่งทางอากาศ โดยจะมีการลงนามบันทึกข้อตกลงทางวิชาการระหว่าง ศ.ดร.คุณหญิงสุชาดา กีระนันทน์ อธิการบดีจุฬาฯ และพล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา ผู้บัญชาการกองทัพพอากาศ ในวันที่ 25 พ.ค.นี้ ที่ห้องประชุมกองทัพอากาศ (สยามรัฐรายวัน ศุกร์ที่ 20 พ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)
เดินเครื่องโรงเรียนเกษตรกรทั่วประเทศ
นายธงชาติ รักษากุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวถึงการดำเนินจัดทำโรงเรียนเกษตรกรว่า ที่ผ่านมากรมส่งเสริมการเกษตรได้จัดทำโรงเรียนเกษตรกรทั่วประเทศไปแล้วประมาณ 1,000 แห่ง และในปี 2548 ได้ตั้งเป้าดำเนินการให้ได้ 3,000แห่ง ทั้งนี้มุ่งเน้นการให้ความรู้ความเข้าใจและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการเกษตร ตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูก จนถึงการเก็บเกี่ยว และให้ความสำคัญนำวิธีเกษตรอินทรีย์เข้ามาใช้ โดยลดละเลิกการใช้สารเคมีในการป้องกันจำกัดศัตรูพืช พร้อมกันนี้จะมีการรับรองผลิตภัณฑ์ให้ ส่วนด้านการตลาด ได้เน้นให้ความสำคัญในการทำตลาดในท้องถิ่นก่อนที่จะขยายไปสู่ส่วนกลาง สำหรับแนวทางในการดำเนินการกลุ่มโรงเรียนเกษตรกร มีกระบวนการประกอบด้วยการรวมกลุ่ม เกษตรกรที่มีกิจกรรมเดียวกัน กลุ่มละ 20-30 คน เกษตรกรที่ร่วมกิจกรรมจะต้องมีความสมัครใจ จัดกิจกรรมเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตามระยะการเจริญเติบโตของพืชตลอดฤดูการผลิต สำหรับประเด็นในการเรียนรู้ ต้องสอดคล้องกับปัญหาและความต้องการของเกษตรกร จัดให้เกษตรกรได้มีการศึกษา ทดลอง พิสูจน์ทราบเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น โรงเรียนเกษตรกรเป็นกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมที่นำมาใช้ในการส่งเสริมให้เกษตรกรได้ร่วมกันคิด แลกเปลี่ยนประสบการณ์ แก้ไขปัญหา และสามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง ในกระบวนการผลิตได้ทุกขั้นตอน ซึ่งวิธีการถ่ายทอดความรู้สู่เกษตรกรตามแนวทางนี้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับกิจกรรมปลูกพืชทุกชนิด รวมทั้งการเลี้ยงสัตว์ด้วย โดยมีหลักการสำคัญ คือ เกษตรกรหรือผู้เรียนจำเป็นต้องร่วมเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดฤดูกาลเพาะปลูก หรือตลอดกระบวนการของกิจกรรมนั้นๆ ซึ่งประโยชน์ของการเรียนรู้ตามกระบวนก่รจะช่วยให้เกษตรกรสามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง (สยามรัฐรายวัน ศุกร์ที่ 20 พ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th
"ลอรีอัล แบรนด์สตอร์ม" คัดน.ศ.ไทยแข่ง"เวทีโลก"
บริษัท ลอรีอัล ประเทศไทย จำกัด ได้เปิดการแข่งขัน "ลอรีอัล แบรนด์สตอร์ม" ขึ้นอีกครั้ง ชิงทุนการศึกษากว่า 500,000 บาท เพื่อเฟ้นหาทีมนักศึกษาไทยเป็นตัวแทนของประเทศไทย เดินทางไปแข่งขันกับนักศึกษาทั่วโลกในรอบตัดเชือกระดับโลกที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในช่วงเดือน มิ.ย.นี้ "ลอรีอัล แบรนด์สตอร์ม" เป็นเวทีเพื่อการแข่งขันทักษะทางการตลาด สำหรับนักศึกษาปริญญาตรี ที่จะต้องรับบทบาทเป็นผู้บริหารแบรนด์หรือแบรนด์แมเนเจอร์ ดูแลการวางกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ใหม่ให้กับแบรนด์ ซึ่งรวมทั้งการทำวิจัยตลาด ศึกษาแนวโน้มของผู้บริโภค วิเคราะห์สภาวะการแข่งขัน หาช่องว่างการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ กำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย วางคอนเซ็ปต์ผลิตภัณฑ์ ออกแบบบรรจุภัณฑ์และงานโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อให้เข้าถึงลูกค้า มีจุดมุ่งหมายเพื่อกวาดส่วนแบ่งการตลาดในระดับประเทศ และความเป็นไปได้ในการขยายตลาดของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวในระดับภูมิภาคและระดับสากล ในปีนี้มีทีมเข้าแข่งขันในระดับประเทศทั้งสิ้น 30 ทีม และคัดเลือกเบื้องต้นจนเหลือ 6 ทีม เข้าแข่งขันรอบสุดท้ายในระดับประเทศ ทั้ง 6 ทีมนี้ เป็นน้องๆ นิสิต นักศึกษา จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ(เอแบค) สำหรับการแข่งขันรอบตัดสินของ "ลอรีอัล แบรนด์สตอร์ม" ในระดับประเทศ จะมีขึ้นในวันศุกร์ที่ 27 พ.ค.นี้ ที่ห้องสตาร์รูม ชั้น 29 โรงแรมพลาซ่า แอทธินี เวลา 14.00 น.เป็นต้นไป นักศึกษาท่านใดสนใจที่จะเข้าร่วมฟังการแข่งขันรอบสุดท้ายนี้ สามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมหรือจองที่นั่งได้ที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร บริษัท ลอรีอัล ประเทศไทย จำกัด หมายเลข 0-2684-3190 ถึง 2 (ข่าวสด ศุกร์ที่ 20 พ.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)
ตั้งวิทยาลัยราชพฤกษ์สอน ป.ตรี
ดร.วิภาพรรณ ชูทรัพย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนในเครือตั้งตรงจิตพณิชยการ เปิดเผยถึงความพร้อมในการเตรียมเปิดวิทยาลัยราชพฤกษ์ว่า จากการที่คณะกรรมการจัดตั้งวิทยาลัยราชพฤกษ์ ได้มองเห็นความสำคัญของการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ดังนั้นจึงจัดให้มีโครงการจัดตั้งวิทยาลัยราชพฤกษ์ขึ้น ซึ่งเป็นวิทยาลัยเอกชนในระดับอุดมศึกษา โดยเปิดสอนระดับปริญญาตรีแห่งแรกของสถานศึกษาในเครือตั้งตรงจิตฯ และเป็นแห่งแรกที่ไปตั้งอยู่ใน จ.นนทบุรี สำหรับวิทยาลัยแห่งนี้จะมีการเปิดสอนวิชาในสาขาของคณะบริหารธุรกิจเป็นหลัก 5 สาขาด้วยกันคือ การบัญชี การตลาด การจัดการ ธุรกิจท่องเที่ยวและคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ตอนนี้อยู่ในระหว่างทำเรื่องขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาเพื่อจัดตั้งวิทยาลัยราชพฤกษ์ และกำลังดำเนินการก่อสร้างอาคาร สถานที่ ซึ่งตั้งอยู่ที่บริเวณถนนนครอินทร์ ต.บางขนุน อ.บางกรวย จ.นนทบุรี บนที่ดินจำนวน 20 ไร่เศษ คาดว่าจะแล้วเสร็จก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1 ในปีการศึกษา 2549 งบประมาณที่ใช้จัดตั้งวิทยาลัยราชพฤกษ์รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 240 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นงบประมาณในการจัดซื้อที่ดินประมาณ 120 ล้านบาท และงบประมาณในการก่อสร้าง ค่าวัสดุต่างๆ อีกประมาณ 120 ล้านบาท ส่วนเรื่องความพร้อมของบุคลากรด้านอาจารย์ ได้มีการทำสัญญาร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครตั้งแต่ปี 2545 โดยส่งให้ครูที่สอนอยู่ในโรงเรียนในเครือตั้งตรงจิตฯ ไปเรียนต่อระดับปริญญาโทจำนวนทั้งสิ้น 50 คน (คมชัดลึก เสาร์ที่ 21 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
บ้านสมเด็จตั้งเป้าผุด ป.เอกจัดการเทคโนโลยี
รศ.ดร.สุพล วุฒิเสน อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) บ้านสมเด็จเจ้าพระยา เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยเสนอของบประมาณปี 2549 จากรัฐบาลประมาณ 600 ล้านบาท เพื่อพัฒนามหาวิทยาลัยให้มีความโดดเด่นในด้านครุศาสตร์ เนื่องจากมหาวิทยาลัยมีรากฐานมาจากการเป็นวิทยาลัยครู ส่วนนักศึกษาจะต้องให้รู้ภาษาต่างประเทศอย่างน้อย 1 ภาษา มีความรู้และทักษะที่ดีในสาขาวิชาที่เรียน รวมถึงผ่านการอบรมจริยธรรมและฝึกงาน ซึ่งแต่ละปีเปิดรับนักศึกษาระดับปริญญาตรีประมาณ 6,000 คน และระดับปริญญาโท 100 คน ในคณะครุศาสตร์ 5 สาขาวิชา เช่น การบริหารการศึกษา การวัดผล เป็นต้น ปีนี้มหาวิทยาลัยจะเริ่มเปิดหลักสูตรระดับปริญญาเอก โดยเปิดสาขาวิทยาการจัดการเทคโนโลยี ซึ่งเป็นหลักสูตรที่จัดการศึกษาผสมผสานระหว่างคณะวิทยาศาสตร์และคณะวิทยาการจัดการ คาดว่าจะเริ่มรับนักศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2548 เป็นจำนวน 20 คน ขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอขออนุมัติเปิดหลักสูตรจากสภามหาวิทยาลัย. (คมชัดลึก เสาร์ที่ 21 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
"อดิศัย"ปิ๊งเลิกแยกสายวิทย์-ศิลป์ เปิดกว้างนักเรียนเลือกเข้าคณะ
นายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) เปิดเผยถึงผลประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.) โดยมีผู้บริหาร 5 หน่วยงานบริหารหลักใน ศธ.เข้าร่วมด้วยเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ที่ประชุมได้มอบนโยบายให้สถาบัน สสวท.จัดทำโรดแมปการส่งเสริมให้นักเรียนทุกระดับสนใจและต้องการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เพราะที่ผ่านมาเด็กกลัวและไม่อยากเรียน 2 วิชานี้ แม้ว่า สสวท.จะทำตำราเรียนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ในลักษณะส่งเสริมการเรียนการสอน แต่ผลลัพธ์ออกมาว่าเด็กยังไม่อยากเรียน ในขณะที่มีงานวิจัยออกมาว่าเด็กทุกคนที่เกิดมาสามารถเป็นนักวิจัยได้ เพียงแต่สิ่งแวดล้อมอาจทำให้เบี่ยงเบนไป ดังนั้นจึงต้องหาทางทำให้เด็กอยากเรียนและไม่กลัวที่จะเรียนทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ นายอดิศัยกล่าวด้วยว่า ตนมีแนวคิดว่าในอนาคตไม่ควรจะให้เด็ก ม.ปลายแยกเรียนสายวิทย์และสายศิลป์อย่างชัดเจน แต่ควรจะให้ทั้งสองสายได้เรียนวิชาของกันและกัน เช่น เด็กสายศิลป์ควรจะเรียนวิทย์ด้วยเพราะจำเป็น และเมื่อเข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยก็ให้ขึ้นอยู่กับความสามารถของเด็กว่าอยากจะเข้าเรียนสายไหน ไม่ควรให้เหมือนปัจจุบันที่มีการกำหนดตายตัวว่าแต่ละคณะจะรับเด็กสายวิทย์หรือสายศิลป์ แต่เรื่องนี้ยังเป็นแค่แนวคิด ไม่ใช่จะทำวันนี้ แต่ต่อไปเมื่อโลกเปลี่ยนไปก็ต้องเปลี่ยนตาม เพราะการกำหนดว่าสาขาวิชาใดจะรับสายศิลป์หรือวิทย์ เป็นเรื่องที่เหมาะสมกับยุคสมัยหนึ่งเท่านั้น (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 21 พ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)
ข้องใจ"รมต."ดอดตกลงวุฒิสภา ทำ"กม."มหา"ลัยในกำกับสะดุด
เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม แหล่งข่าวจากที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.) เปิดเผยเกี่ยวกับกรณีวุฒิสภาแก้ไขสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยบูรพา(มบ.) ซึ่งเป็นร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับรัฐบาล จนนำมาสู่การแต่งตั้งคณะกรรมาธิการ(กมธ.) ร่วมสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาว่า เท่าที่ทราบเป็นการภายใน สาเหตุที่วุฒิสภาแก้ไขสาระสำคัญของร่างกฎหมาย มบ. เพราะมีรัฐมนตรีในกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ไปตกลงกับวุฒิสภาโดยไม่ได้หารือมหาวิทยาลัย ซึ่งขัดกับมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) และส่งผลกระทบต่อร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยทั้งหมด ดังนั้น ทาง ทปอ.จึงได้ทำหนังสือถึงนายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ยืนยันใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.สาระสำคัญที่วุฒิสภาแก้ไข แต่มหาวิทยาลัยยอมรับไม่ได้ 2.สาระที่ไม่ควรแตะ เพราะเป็นประเด็นเฉพาะของแต่ละมหาวิทยาลัย และ 3.สาระที่แก้ไขแล้วมหาวิทยาลัยยอมรับได้ "วุฒิสภามีการแก้ไขมาตรา 52 การใช้อำนาจของคณะรัฐมนตรี(ครม.) ในการกำกับดูแลมหาวิทยาลัย โดยแก้ไขให้เป็นอำนาจของรัฐมนตรี มีอำนาจสั่งมหาวิทยาลัยชี้แจง แสดงความเห็น ทำรายงาน หรือยับยั้งการกระทำของมหาวิทยาลัย ตลอดจนสั่งสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินงานได้ ซึ่งขัดกับหลักมหาวิทยาลัยในกำกับฯที่ต้องการให้อิสระ" แหล่งข่าวคนเดิมกล่าว ด้านนายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) กล่าวว่า ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับ แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.ร่าง พ.ร.บ.ที่ผ่านวุฒิสภา และกลับสู่สภาผู้แทนราษฎร 1 ฉบับ คือร่างกฎหมาย มบ. 2.ร่าง พ.ร.บ.ที่ค้างอยู่ขั้นวุฒิสภา 4 ฉบับ คือมหาวิทยาลัยทักษิณ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยมหาสารคาม และ 3.ร่าง พ.ร.บ.ที่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนฯในวาระ 1 และอยู่ในขั้นของ กมธ.วิสามัญพิจารณา 11 ฉบับ และ 4.ร่าง พ.ร.บ.ที่ยังอยู่ในขั้นตอนของรัฐบาล 4 ฉบับ (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 21 พ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)
ม.มหิดลเตรียมรับ / ว่าที่คุณหมอต่อยอด แพทย์แผนจีนขั้นสูง
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ น.พ.วิศาล คันธารัตนกุล รองผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยมหิดล และกรรมการจัดทำหลักสูตรการแพทย์แผนเอเชีย เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยมหิดลในฐานะมหาวิทยาลัยของรัฐ ที่มีบทบาททางด้านการแพทย์และสาธารณสุขในประเทศไทย ได้จัดทำหลักสูตรเพื่อพัฒนาด้านการเรียนการสอนการแพทย์แผนจีน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพทย์แผนเอเชีย ตามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและประเทศจีน ที่จะมีความร่วมมือกันในด้านการแพทย์ โดยได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการจัดทำหลักสูตรแพทย์แผนเอเชีย เพื่อดำเนินการจัดทำหลักสูตรให้เหมาะสมกับระบบสุขภาพของประเทศไทย โดยเมื่อเร็วๆ นี้ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ร่วมลงนามข้อตกลงความร่วมมือกับ Beijing University of Chinese Medicine ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแห่งชาติของรัฐบาลจีน โดยมีสาระสำคัญคือ การร่วมกันพัฒนาหลักสูตรในทุกระดับตั้งแต่ประกาศนียบัตร ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก สนับสนุนการศึกษาแพทย์แผนจีนในหลักสูตรการแพทย์แผนเอเชีย ทั้งด้านอาจารย์ ด้านการเรียนการสอนและการประเมินผล และรับรองคุณภาพ โดยผู้สำเร็จการศึกษาในหลักสูตรดังกล่าวจะได้รับการรับรองวุฒิจากมหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนปักกิ่งด้วย สำหรับในปีการศึกษาที่จะถึงนี้ มหาวิทยาลัยมหิดล มีแผนเปิดดำเนินการหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงทางการแพทย์ ซึ่งใช้เวลาเรียน 1 ปี 6 เดือน โดยรับสมัครจากแพทย์ที่จบแพทยศาสตรบัณฑิต โดยหวังว่าแพทย์จะได้รับการเรียนรู้ในแนวลึกมากขึ้นถึงปรัชญาวิธีการตรวจ วินิจฉัย และการรักษาในแบบแพทย์แผนจีนที่ครบถ้วน และจะช่วยสร้างฐานการแพทย์แผนจีน ในระบบสาธารณสุขของประเทศไทยในอนาคต และในปีต่อไปก็จะเริ่มเปิดรับหลักสูตรระดับปริญญาสำหรับแพทย์แผนเอเชีย และระดับปริญญาโทและเอกในลำดับต่อไป (สยามรัฐรายวัน เสาร์ที่ 21 พ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)
ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี
ส่งเรือดำน้ำลึกลงบาดาลก้นสมุทร ดูจุดก่อมหันตภัยคลื่นยักษ์สึนามิ
นักวิทยาศาสตร์กำลังจะลงไปศึกษาจุดก่อมหันตภัยคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อปลายปีก่อน ถึงที่ก้นมหาสมุทรใต้บาดาล บรรษัทกระจายเสียงบีบีซีอังกฤษ และโทรทัศน์ช่องดิสคัฟเวอรี่แห่งสหรัฐฯ ได้ร่วมกันแจ้งว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์จะได้เดินทางลงไปใต้มหาสมุทร เพื่อศึกษารวบรวมข้อมูลรายละเอียดของการเกิดมหันตภัยคลื่นสึนามิ จับตั้งแต่เริ่มเกิดแผ่นดินไหวขึ้นที่ใต้ทะเล ไปจนกระทั่งเกิดคลื่นยักษ์โถมเข้าถล่มตามชายฝั่ง ของชาติเอเชียอาคเนย์ต่างๆอย่างเป็นวินาทีต่อวินาที รวมทั้งเพื่อถ่ายทำภาพยนตร์สารคดีในชื่อว่า การเดินทางสู่ใจกลางมหันตภัยคลื่นสึนามิ ซึ่งจะมีความยาวเป็นเวลา 2 ชม.ด้วย ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ 21 นาย จะใช้เรือดำน้ำลึก เปอร์ฟอร์เมอร์ ดำลงไปยังจุดศูนย์กลางของการเกิดแผ่นดินไหว ลึกลงไปถึงก้นทะเล 5 กม. ตรงบริเวณที่แผ่นพื้นโลกใต้ มหาสมุทรอินเดียเลื่อนเคลื่อนดันกันขึ้น เพื่อไปสังเกตการณ์บริเวณที่แผ่นพื้นโลกที่ยุบตัวลง โฆษกของคณะนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า เราหวังว่าจะสามารถเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งจะเป็นประโยชน์ ในการทำความเข้าใจกับปรากฏการณ์ภัยธรรมชาตินี้มาได้อย่างมหาศาล. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 16 พ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)
ก.วิทย์ดึงผู้พิชิตดวงจันทร์ ร่วมฉลอง100ปีฟิสิกส์โลก
นายสมหมาย โค้วคชาภรณ์ รักษาการผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) เปิดเผยว่า องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ฯ สังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมปีแห่งการเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีฟิสิกส์โลก ได้ร่วมมือกับบริติช เคานซิล ประเทศไทย จัดการบรรยายและเสวนาครั้งพิเศษขึ้น โดยการบรรยายได้รับเกียรติจาก ศ.จอห์น ซาร์เนกกี้ นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ จากประเทศอังกฤษ ศ.ซาร์เนกกี้ หนึ่งในทีมวิจัยและพัฒนายานสำรวจอวกาศ ผลงานสำคัญเกี่ยวกับการพัฒนาระบบโครงสร้างของยานฮอยเกนส์ ใช้สำรวจดวงจันทร์ไททันของดาวเสาร์ รวมถึงยานสำรวจดาวอังคาร และยานสำรวจดาวหาง Rosetta เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีนักดาราศาสตร์ชั้นนำของไทย เช่น รศ.บุญรักษา สุนทรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ และ ดร.ศรันย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ มาร่วมเสวนาและถอดความการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยอย่างละเอียดอีกด้วย กิจกรรมการบรรยายและเสวนาดังกล่าวจัดขึ้น เพื่อกระตุ้นประชาชน เยาวชน ครูอาจารย์ เกิดความตื่นตัวกับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ ประกอบกับปีนี้เป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีฟิสิกส์โลกด้วย สำหรับการบรรยายจะมีขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม 2548 เวลา 09.00 - 12.00 น. จะเป็นหัวข้อเรื่อง แรงบันดาลใจเบื้องหลังการเหยียบดวงจันทร์ไททัน ณ ห้องประชุม อาคารสำนักงาน อพวช.เทคโนธานี คลองห้า ปทุมธานี และในเวลา 18.00 - 21.00 น. เรื่อง ชีวิตนอกโลก เรื่องจริงทางวิทยาศาสตร์หรือนิยาย ที่ บริติช เคานซิล ประเทศไทย สยามสแควร์ (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 16 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
พลังงานเดินแผนปิโตรเคมี3 ดึงเอกชนลงทุนสร้างรายได้
นายพรชัย รุจิประภา รองปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานยังคงเดินหน้าผลักดันแผนการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีระยะที่ 3 อย่างเต็มที่ เพื่อเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มของทรัพยากรพลังงานในประเทศ โดยเพิ่มคุณค่าให้ก๊าซธรรมชาติในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงและคาดว่าการพัฒนาปิโตรเคมีระยะ 3 จะสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศถึง 1.28 แสนล้านต่อปี โดยปัจจุบันเอกชนหลายรายได้ให้ความสนใจและพร้อมที่จะร่วมลงทุนในโครงการทันที ด้านความคืบหน้าของแผนฯปิโตรเคมีระยะ 3 ขณะนี้กระทรวงพลังงานได้ดำเนินการประสานงานเตรียมความพร้อมด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้าไปลงทุนได้โดยสะดวก ซึ่งขณะนี้มีภาคเอกชนที่มีศักยภาพเสนอตัวเข้าลงทุนโดยบางรายมีแผนการลงทุนที่ชัดเจนแล้ว และบางรายอยู่ระหว่างขั้นตอนการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอเอและการเสนอแผนการศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอซึ่งคาดว่าขั้นตอนทั้งหมดจะสามารถสรุปผลได้ในเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ จากกรณีที่ปริมาณก๊าซธรรมชาติจะมีไม่เพียงพอเพื่อการผลิตในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกระทรวงพลังงานขอยืนยันว่ามีปริมาณก๊าซธรรมชาติสำรองเพียงพอทั้งสำหรับการผลิตอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและการใช้ผลิตไฟฟ้า (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 16 พ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)
น้ำพุร้อนช่วยทำนายสึนามิพบก๊าซพุ่งก่อนแผ่นดินไหว
ศูนย์วิจัยนิวเคลียร์ในอินเดียตะวันออก ได้รับงบประมาณให้ทำการศึกษา น้ำพุร้อนช่วยทำนายสึนามิพบก๊าซพุ่งก่อนแผ่นดินไหว หลังจากนักวิทยาศาสตร์หลายท่านสังเกตพบก๊าซใต้น้ำพุร้อน เพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่วัน ก่อนที่จะเกิดคลื่นยักษ์ (สึนามิ) เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ที่ผ่านมา บิคาช สินหะ นักวิทยาศาสตร์ด้านอะตอมระดับแนวหน้า และยังดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าศูนย์ด้านพลังงานหมุนเวียนของอินเดีย กล่าวว่า พวกเขาพบว่าระดับของก๊าซใต้ดิน อย่างพวกฮีเลียมเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่แผ่นทวีปขนาดใหญ่ใต้โลกเคลื่อนตัวเข้าหากัน และชี้ว่าการเฝ้าสังเกตการณ์ครั้งนี้เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก แต่ก็อาจทำให้หงุดหงิดได้เช่นกัน เพราะยังไม่สามารถทำนายได้ว่าแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์จะเกิดขึ้นที่ไหนและเมื่อไร บิคาช สินหะ กล่าวด้วยว่า ก๊าซร้อนที่พุ่งขึ้นมานี้อาจแสดงให้เห็นว่า กำลังจะเกิดแผ่นดินไหว หรือคลื่นยักษ์เกิดขึ้นในอาณาบริเวณพื้นที่ 1,200 ตารางกิโลเมตร แต่คงต้องมีการศึกษาวิจัยปรากฏการณ์อีกมาก และจับตาดูว่าความต้านทานไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กของโลกมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร รวมถึงคลื่นอินฟราโซนิค ซึ่งเป็นคลื่นเสียงในช่วงความถี่ต่ำมากๆ ที่มนุษย์ไม่สามารถได้ยิน ก็อาจเป็นสัญญาณน่าเชื่อถือที่บ่งบอกแผ่นดินไหวที่กำลังจะเกิด โดยสังเกตจากการหนีเอาตัวรอดของพวกสัตว์ แมลงและเหล่าฝูงปลาในท้องทะเล ที่เชื่อว่ามีสัญชาตญาณรับรู้การเตือนภัย โดยอาศัยคลื่นเสียงความถี่ต่ำดังกล่าว ทั้งนี้ นักวิจัยเชื่อว่าผลการศึกษาและการเฝ้าระวังทางธรรมชาติ จะนำไปสู่การสร้างเครื่องมือหรืออุปกรณ์เตือนภัยก่อนการคลื่นยักษ์หรือแผ่นดินไหว (คมชัดลึก จันทร์ที่ 16 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net
ออสซี่ชุบชีวิตแทสเมเนีย โคลนนิงเสือสูญพันธุ์70ปี
นักวิจัยออสเตรเลียมุ่งชุบชีวิตเสือแทสเมเนีย ที่สูญพันธุ์ไปร่วม 70 ปี ด้วยเทคโนโลยีโคลนนิง หวังเป็นแนวทางอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตหายากในอนาคต ไมค์ อาร์เชอร์ คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ กล่าวว่า นักวิจัยที่เข้าร่วมโครงการโคลนนิงเสือแทสเมเนีย มาจากหลายสถาบัน รวมถึงนิวเซาท์เวลส์ และวิกตอเรียสเตท ซึ่งทุกคนมีวัตถุประสงค์ร่วมกันที่จะใช้ดีเอ็นเอจากลูกเสือแทสเมเนีย ที่ถูกดองไว้ในขวดโหลมาตั้งแต่ปี 2409 มาเป็นตัวช่วยในการชุบชีวิตเสือสายพันธุ์นี้ขึ้นมา ก่อนหน้านี้ ทางพิพิธภัณฑ์ออสเตรเลียได้ดำเนินการจัดเรียงลำดับส่วนต่างๆ ของโครงสร้างพันธุกรรมดีเอ็นเอของเสือแทสเมเนียแล้ว และก้าวต่อไปคือการโคลนนิงสัตว์สูญพันธุ์สายพันธุ์นี้ให้คืนชีพ แต่แล้วโครงการก็มาสะดุด และต้องยุติแผนงานดังกล่าวในที่สุด ทั้งนี้ เสือแทสเมเนียมีขนสั้น และมีลายพาดผ่านบริเวณส่วนหลัง รูปร่างเล็กเหมือนสุนัข และได้รับการประกาศจากรัฐบาลออสเตรเลียว่า สูญพันธุ์ไปตั้งแต่ปี 2479 โดยเสือแทสเมเนียตัวสุดท้ายได้ตายไปเมื่อปี 2479 ณ สวนสัตว์โฮบาร์ต และยังไม่มีรายงานที่แน่ชัดว่ามีคนพบเห็นเสือสายพันธุ์นี้อีกหรือไม่ การโคลนนิงเสือแทสเมเนียขึ้นมาในครั้งนี้ ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วโลก โดยเฉพาะประเด็นในเรื่องคุณสมบัติของดีเอ็นเอที่ได้จากลูกเสือ ซึ่งคาดว่าอาจมีสภาพที่ไม่สมบูรณ์เพียงพอที่จะนำมาโคลนนิงได้ เนื่องจากศพลูกเสือถูกดองมานานกว่า 100 ปีแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่วิตกว่า เสือแทสเมเนียที่จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาอาจไม่ใช่เสือที่สมบูรณ์ บางคนถึงกับบอกว่าอาจได้เป็นสุนัขที่มีลักษณะเหมือนเสือแทสเมเนียมากกว่าจะได้เสือแทสเมเนียสายพันธุ์แท้ (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 17 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
ก.ทรัพย์ชี้เหมืองแม่เมาะ ทำสุสานหอยเสียหาย
ดร.วิฆเนศ ทรงธรรม นักธรณีวิทยา 7 สำนักธรณีวิทยา กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 11-12 พ.ค.ที่ผ่านมา ตนได้เดินทางร่วมกับคณะอนุกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา เพื่อตรวจสอบแหล่งสุสานหอยน้ำจืด Viviparu สกุล Bellamya อายุ 13 ล้านปีที่มีความหนาที่สุดในโลกถึง 12 เมตร ซึ่งอยู่ในเหมืองลิกไนต์แม่เมาะ จ.ลำปาง ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ทั้งนี้ พบว่าสถานการณ์ค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะหลังจาก กฟผ.ได้เปิดหน้าดินและขุดถ่านลิกไนต์ในพื้นที่ 25 ไร่จาก 43 ไร่ ตั้งแต่ช่วงเดือนมี.ค.เป็นต้นมา ได้ส่งผลกระทบต่อชั้นหอยที่เหลืออยู่อีก 18 ไร่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมทรัพยากรธรณี เนื่องจาก กฟผ.ต้องขุดลิกไนต์ลงไปใต้ชั้นหอยที่มีระดับความลึกกว่า 30 เมตรจากขอบที่ตัดออกจากกัน ทำให้ชั้นหอยของพื้นที่อีก 18 ไร่ที่วางตัวในลักษณะที่ลาดชันไปทางฝั่งตะวันออก มีความเสี่ยงต่อการพังทลายลงมาจนไม่เหลือสุสานหอยเอาไว้อีกเลย นอกจากนี้ จากการนำทีมวิศวกรไปดูการขุดชั้นหอย และการขุดแร่ ต่างลงความเห็นว่าถ้า กฟผ.ยังเดินหน้าขุดลิกไนต์ต่อไป ประกอบกับถ้ามีฝนตกหนักๆเพียง 1-2 ครั้งก็จะทำให้ชั้นหอยพังลงมาอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เท่าที่ทราบทางกฟผ.พยายามต่อรองกับกรมทรัพยากรธรณี ขอขุดล้ำเข้ามาในเขต 18 ไร่อีกประมาณ 30 เมตร เพื่อลดผลกระทบดังกล่าว แต่ทางกรมเห็นว่าเมื่อมีมติครม.แล้วก็ควรจะเป็นไปตามมติ เพราะที่ผ่านมามติให้กันพื้นที่ 18 ไร่จาก 43 ไร่ก็เป็นการทบทวนมติครม.เดิมตั้งแต่มีการค้นพบสุสานหอยในเหมืองแม่เมาะแล้ว ด้านนายอำพัน กิจงาม รองผอ.สำนักโบราณคดี และผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดี กรมศิลปากร กล่าวว่า รู้สึกเสียดายแหล่งสุสานหอยดังกล่าว ซึ่งไม่รู้ว่าที่ กฟผ.ตีมูลค่าแร่ลิกไนต์ในบริเวณที่ขุดออกไปสูงถึง 1.3 แสนล้านเป็นราคาคุยหรือเปล่า ตอนที่ลงพื้นที่ก็ไม่ค่อยเหลืออะไรให้เห็นแล้ว เพราะกฟผ.ตักปาดชั้นหอยตรงจุดที่มีความหนาออกไปหมดแล้ว เอาเศษซากไปกองทิ้งไว้เป็นภูเขาๆ ส่วนการฟ้องร้องเอาผิดกับกฟผ.นั้นทางนิติกรกรมศิลปากร กำลังเร่งสรุปประเด็นข้อกฎหมายที่จะสามารถเอาผิดกับ กฟผ. หรือทางผู้รับเหมา เพื่อเสนอต่ออธิบดีกรมศิลปากร (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 17 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
ดึงหนังสือเก่าขึ้นเวบ เปิดขายผ่านเน็ตเร็วสูง
นายโกศล ช่อผกา เจ้าของร้านหนังสือเก่า "ร้านหนังสือท่าช้าง" ซึ่งตั้งอยู่ใกล้วัดพระแก้ว โดยทำธุรกิจหนังสือมากว่า 5 ปี และมีสินค้าในร้านกว่า 3,000 เล่ม กล่าวว่า มีแผนเปิดเวบไซต์ www.asianrarebook.com และ www.digitalrarebooks.com ภายในเดือนตุลาคมนี้ โดยเวบดังกล่าวจะเปิดให้ดาวน์โหลดหนังสือโบราณ และเอกสารโบราณ จดหมายเหตุที่หายาก ไปใช้ได้ทันที ด้วยราคาขายที่ต่ำกว่าต้นฉบับ 80-95% หรือเหลือราคาขายเพียง 5-20% จากราคาปกติที่ขายในตลาด ซึ่งการชำระเงินจะทำผ่านการโอนเงินระหว่างบัญชีธนาคาร หรือการตัดเงินผ่านบัตรเครดิต ทั้งนี้ หนังสือที่นำมาขายผ่านเวบนี้ ส่วนใหญ่เป็นหนังสือที่พ้นอายุลิขสิทธิ์มาแล้ว กรณีที่ยังไม่หมดลิขสิทธิ์ก็จะขอซื้อลิขสิทธิ์จากผู้เขียน และมอบรายได้ให้ตามสัดส่วนที่ควรจะเป็น ซึ่งเบื้องต้นของการเปิดให้บริการจะเสนอหนังสือมาไม่ต่ำกว่า 100 เรื่อง เขาระบุถึงข้อดีของการแปลงเนื้อหาที่อยู่ในหนังสือเก่ามาเป็นรูปดิจิทัลไฟล์ว่า จะทำให้สามารถศึกษา และใช้ข้อมูลได้อย่างไม่มีข้อจำกัด จากเดิมนั้นหนังสือเก่ามีข้อจำกัดที่บางเล่มสูญหาย และบางเล่มไม่สามารถเปิดอ่านได้เพราะกลัวว่าจะฉีกขาด และส่วนใหญ่จะมีราคาสูง ทำให้ผู้สนใจบางกลุ่มไม่สามารถซื้อหาได้ ขณะเดียวกัน วงการหนังสือเก่าจะจำกัดเฉพาะกลุ่มคนที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป และโดยมากจะเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว ทำให้ขาดการใช้ประโยชน์ได้สูงสุด นอกจากนั้น เขาเคยจัดทำเป็นซีดี จำหน่ายราคา 250-350 บาท โดยใช้อุปกรณ์ไอทีอย่างง่ายมาจัดทำทั้งเครื่องสแกน เครื่องคอมพิวเตอร์ กล้องดิจิทัล เครื่องเขียนแผ่นซีดี ก็สามารถจัดทำเป็นซีดีหนังสือเก่าได้แล้ว โดยหนังสือชุดแรกที่ออกมาเป็นหนังสือ "ผีหลอก" พระนิพนธ์พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ หลายคนอาจมองว่า หากทำหนังสือเก่ามาเป็นดิจิทัล จะทำให้เสน่ห์ของหนังสือลดความน่าสนใจลงไป แต่หลังจากที่ทำซีดีหนังสือเก่ากว่า 60 เรื่อง กลับทำให้หนังสือเก่าบางเล่มที่ไม่มีคนรู้จัก เกิดความต้องการหนังสือเหล่านั้นทำให้ขายดีขึ้น และราคาดีขึ้นหลายเท่า และสิ่งสำคัญ ทำให้มีการเผยแพร่กระจายความรู้จากหนังสือเก่าเหล่านั้นไปในวงกว้างด้วย (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 17 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
พบหนูสายพันธุ์ใหม่วิ่งพล่านใน 'ลาว'
นักวิจัยจากไวลด์ไลฟ์ คอร์เซอร์เวชั่น โซไซตี้ (ดับเบิลยูซีเอส) ซึ่งเป็นองค์กรอนุรักษ์สัตว์ป่า เปิดเผยว่า พวกเขาได้พบหนูสายพันธุ์ใหม่มีหนวดยาว ขาทู่เหมือนหมู และมีหางฟูเหมือนกระรอก ถูกนำมาขายในตลาดค้าของป่าที่จังหวัดหนึ่งในลาว สัตว์ชนิดนี้คนลาวเรียกว่า ข้าหนู เป็นสายพันธุ์ที่ไม่เคยพบที่ไหนมาก่อน และมีลักษณะเฉพาะตัวที่น่าจะจัดให้เป็นสัตว์ป่าตระกูลใหม่ได้ ต่อมา ทีมวิจัยได้ไปพบหนูอีกสายพันธุ์หนึ่งที่นายพรานจับมาขายในตลาดนี้เช่นกัน มีโครงสร้างกะโหลกและกระดูกที่แตกต่างออกไปเหมือนหนูกลายพันธุ์ จากการวิเคราะห์สารพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) ประเมินได้ว่า หนูชนิดนี้กลายพันธุ์มาจากหนูพันธุ์อื่นเมื่อล้านปีมาแล้ว องค์กรอนุรักษ์สัตว์ป่าแห่งนี้ได้เข้าไปรณรงค์ในประเทศลาวเพื่อหยุดการลักลอบค้าสัตว์ป่า ซึ่งอาจจะส่งผลให้ประชากรของสัตว์ป่าถูกทำลายจนหมดสิ้น นอกจากสัตว์ป่าจะถูกล่ามาทำเป็นอาหารแล้ว ยังถูกลักลอบนำไปขายในจีนเพื่อใช้ทำยาแผนโบราณและเพื่อเปิบพิศดาร สำหรับข้อมูลของหนูพันธุ์แปลกที่พบในลาวมีเพียงเล็กน้อย ดูเหมือนเจ้าข้าหนูจะชอบอาศัยอยู่ในป่าที่มีภูมิประเทศเป็นหินปูน กินพืช และออกหากินตอนกลางคืน ออกลูกคราวละหนึ่งตัว ไม่ได้ออกลูกเป็นครอก นักวิจัยจากองค์กรดังกล่าวเตือนให้ช่วยกันปกป้องที่อยู่อาศัยของหนูพันธุ์ใหม่ และออกกฎระเบียบงดการล่าสัตว์ ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญเพื่อปกป้องประชากรข้าหนูที่ยังเหลืออยู่ รวมถึงสัตว์สายพันธุ์อื่น (คมชัดลึก อังคารที่ 17 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
นักวิทย์ชื่อดังพิชิตดวงจันทร์ เยือนเมืองไทย
นายสมหมาย โค้วคชาภรณ์ รักษาการผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) เปิดเผยว่า องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ฯ สังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมปีแห่งการเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีฟิสิกส์โลก ได้จับมือบริติช เคานซิล ประเทศไทย จึงได้จัดการบรรยายและเสวนาครั้งพิเศษขึ้น โดยการบรรยายได้รับเกียรติจาก ศ.จอห์น ซาร์เนกกี้ นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ จากประเทศอังกฤษ ศ.ซาร์เนกกี้ หนึ่งในทีมวิจัยและพัฒนายานสำรวจอวกาศ ผลงานสำคัญเกี่ยวกับการพัฒนาระบบโครงสร้างของยานฮอยเกนส์ ใช้สำรวจดวงจันทร์ไททันของดาวเสาร์ รวมถึงยานสำรวจดาวอังคาร และยานสำรวจดาวหาง Rosetta เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีนักดาราศาสตร์ชั้นนำของไทย เช่น รศ.บุญรักษา สุนทรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ และ ดร.ศรันย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ มาร่วมเสวนาและถอดความการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยอย่างละเอียดอีกด้วย กิจกรรมการบรรยายและเสวนาดังกล่าวจัดขึ้น เพื่อกระตุ้นประชาชน เยาวชน ครูอาจารย์ เกิดความตื่นตัวกับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ ประกอบกับปีนี้เป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีฟิสิกส์โลกด้วย สำหรับการบรรยายจะมีขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม 2548 เวลา 09.00 - 12.00 น. จะเป็นหัวข้อเรื่อง "แรงบันดาลใจเบื้องหลังการเหยียบดวงจันทร์ไททัน" ณ ห้องประชุม อาคารสำนักงาน อพวช.เทคโนธานี คลองห้า ปทุมธานี และในเวลา 18.00 - 21.00 น. เรื่อง "ชีวิตนอกโลก เรื่องจริงทางวิทยาศาสตร์หรือนิยาย" ที่ บริติช เคานซิล ประเทศไทย สยามสแควร์ (คมชัดลึก อังคารที่ 17 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
อนาคตของเทคโนโลยีบลูทูธ
เทคโนโลยีบูลทูธ เป็นการเชื่อมต่อไร้สายของอุปกรณ์เคลื่อนที่ระยะสั้น ด้วยคลื่นวิทยุในย่านความถี่ 2.4 กิกะเฮิรตซ์ ด้วยความเร็วรับ/ส่งสัญญาณที่ 1 เมกะบิตต่อวินาที ระยะในการรับ/ส่งสัญญาณจะประมาณ 10 เมตร เป้าหมายหลักในการออกแบบเทคโนโลยีบูลทูธ คือ ต้องมีขนาดเล็ก ต้องใช้พลังงานต่ำ และต้องราคาถูก เทคโนโลยีบูลทูธ สามารถตอบโจทย์ให้กับการสื่อสารสำหรับโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์สื่อสารขนาดเล็กได้ แต่ด้วยความเร็วรับ/ส่งสัญญาณที่น้อยเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีอื่นๆ แล้ว เทคโนโลยีบูลทูธจึงไม่สามารถที่จะตอบสนองความต้องการแอพพลิเคชั่น และเนื้อหาที่ต้องการความเร็วรับ/ส่งที่สูงได้ อย่างไรก็ตาม ข่าวดีสำหรับเทคโนโลยีบูลทูธ คือ จะมีการรวมตัวเทคโนโลยีบูลทูธเข้ากับเทคโนโลยีอัลตราไวด์แบนด์ ซึ่งจะเป็นการรวมจุดแข็งของทั้งสองเทคโนโลยี เทคโนโลยีอัลตราไวด์แบนด์ คือ เทคโนโลยีการสื่อสารแบบไร้สายที่เป็นการส่งข้อมูลแบบฟัลส์สั้นๆ ผ่านคลื่นวิทยุความถี่กว้าง ทำให้สามารถรับ/ส่งสัญญาณระหว่าง 100 ถึง 200 เมกะบิตต่อวินาที ในระยะทางสั้นๆ ไม่เกิน 6 เมตร และใช้พลังงานที่ต่ำกว่าซึ่งแตกต่างจากเทคโนโลยีอื่นๆ ที่จะส่งผ่านคลื่นวิทยุความถี่แคบ ถ้าเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีที่นิยมในขณะนี้ อย่างเทคโนโลยีไว-ไฟ แล้ว ไว-ไฟ สามารถรับ/ส่งสัญญาณในระยะทางที่ไกลกว่า แต่ความเร็วที่น้อยกว่าและใช้พลังงานมากกว่า จึงเหมาะสำหรับการสื่อสารเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มากกว่าที่จะใช้กับอุปกรณ์ขนาดเล็ก ดังนั้น การรวมตัวของเทคโนโลยีบูลทูธ และอัลตราไวด์แบนด์ จึงสร้างความได้เปรียบเป็นอย่างมาก เบื้องหลังการรวมตัวครั้งนี้ก็มาจากการสนับสนุนของอิลเทลและโมโตโรล่า ที่จะช่วยให้ผู้บริโภคโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ขนาดเล็กที่มีตลาดขนาดใหญ่ สามารถที่จะรับ/ส่งสัญญาณความเร็วสูงได้ ตัวอย่างของการใช้เทคโนโลยีอัลตราไวด์แบนด์ที่ได้รับความนิยมคือ การแพร่ภาพรายการทีวีจากเครื่องรับสัญญาณโทรทัศน์เดียว ไปยังหน้าจอโทรทัศน์อื่นๆ ได้แบบไร้สายภายในบ้าน โดยเครื่องรับสัญญาณโทรทัศน์หรือเครื่องเล่นวีซีดีเครื่องเดียว สามารถที่จะใช้กับจอภาพจำนวนมากได้ในเวลาเดียวกัน ด้วยเทคโนโลยีอัลตราไวด์แบนด์ หากเป็นเช่นนี้แล้ว โทรศัพท์มือถือของเราในอนาคตก็สามารถรับชมภาพโทรทัศน์แบบไม่กระตุกอีกต่อไป ด้วยพื้นฐานของเทคโนโลยีอัลตราไวด์แบนด์นั่นเอง และนี่คงเป็นชีวิตใหม่ของเทคโนโลยีบูลทูธในอนาคต (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 18 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
ยูบีซีเซ็นชินแซทใช้"ไทยคม5"รายแรก
ดร.ดำรง เกษมเศรษฐ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ชิน แซทเทลไลท์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติในหลักการให้บริษัทดำเนินโครงการดาวเทียมไทยคม 5 เพื่อเพิ่มจำนวนช่องสัญญาณ KU-BAND ในการให้บริการ DTH (DIRECTTO HOME) ในประเทศไทย และประเทศใกล้เคียง ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการได้มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารของบริษัทไปเจรจากับผู้สร้างดาวเทียมให้ได้เงื่อนไขที่เป็นประโยชน์สูงสุดกับบริษัทแล้ว ให้นำเสนอให้คณะกรรมการบริษัทพิจารณาต่อไป ดร.ดำรง กล่าวอีกว่า วานนี้ บริษัทได้ลงนามสัญญาการใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมไทยคม ระหว่างแซทเทล กับบริษัท ยูไนเต็ด บรอดคาสติ้ง คอร์ปอเรชั่น หรือ ยูบีซี ซึ่งบริษัทกำลังเตรียมเจรจากับซัพพลายเออร์ผู้ผลิตอุปกรณ์ดาวเทียม โดยคาดว่าจะสามารถส่งดาวเทียมไทยคม 5 ได้กลางปี 2549 ดาวเทียมไทยคม 5 จะมียูบีซีเป็นลูกค้ารายใหญ่รายแรก ในฐานะพันธมิตรด้านกลยุทธ์ที่ย้ายการใช้งานจากดาวเทียมไทยคม 3 ที่ช่องสัญญาณเริ่มเต็มมาก่อน สัญญาครั้งนี้มีระยะเวลา 13 ปี โดยได้รับการจัดสรรช่องสัญญาณดาวเทียมเพิ่มขึ้นอีก 88% เป็น 36 เมกะเฮิรตซ์ จำนวน 5 ทรานสพอนเดอร์ และ 54 เมกะเฮิรตซ์ จำนวน 2 ทรานสพอนเดอร์ จากเดิมไทยคม 3 ได้รับจัดสรรช่องสัญญาณ 36 เมกะเฮิรตซ์ จำนวน 4.25 ทรานสพอนเดอร์ หรือ 50% ของเคยู แบนด์ในไทยคม 5 จะทำให้ยูบีซีขยายศักยภาพการให้บริการกับลูกค้าได้ ทั้งเพิ่มช่องรายการและบริการต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ เพื่อเจาะลูกค้าได้หลากหลายกลุ่มขึ้น ส่วนดาวเทียมไอพี สตาร์ หรือไทยคม 4 ซึ่งเป็นดาวเทียมสื่อสาร 2 ทางเชิงพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขณะนี้อยู่ระหว่างการรับอนุมัติให้ส่งไปยังฐานยิงจรวดที่ เฟรนช์ กิอานา อเมริกาใต้ เพื่อเตรียมยิงขึ้นสู่วงโคจร ภายใน 2-3 สัปดาห์หน้า ดาวเทียมไทยคม 5 มีช่องสัญญาณทั้งระบบความถี่เคยู แบนด์ และซี แบนด์ ซึ่งเฉพาะเคยู แบนด์ มีมูลค่าเช่าปีละกว่า 2,000 ล้านบาท คาดว่า ภายใน 3 ปีจะมีลูกค้าเช่าสัญญาณเคยู แบนด์เต็ม โดยลูกค้าเป้าหมายส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่เช่าดาวเทียมไทยคม 3 ที่ช่องสัญญาณเริ่มเต็ม แต่ต้องการขยายบริการให้กับผู้บริโภคปลายทาง สำหรับธุรกิจการขายอุปกรณ์เกตเวย์ภาคพื้นดินของดาวเทียมไอพีสตาร์ ขณะนี้ขายได้หลัก 10,000 ตัวแล้ว คาดว่า หากยิงไอพี สตาร์ขึ้นสู่วงโคจรเมื่อใดจะขายได้กว่า 100,000 ตัว ซึ่งการขายอุปกรณ์เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ เพื่อเสริมโครงสร้างพื้นฐานให้ลูกค้าในภาคพื้นดินได้ แต่ในที่สุดเพื่อให้ลูกค้ามีช่องสัญญาณให้บริการสื่อมัลติมีเดียในรูปแบบต่างๆ ผ่านเครือข่ายไอพี ได้อย่างสมบูรณ์ (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 18 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
เสนอรัฐตั้งกก.ผลิตกำลังคน เล็งเพิ่มนักวิจัย10คนต่อประชากร1หมื่น
คณะอนุกรรมการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสรุปแผนปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระยะ 9 ปี เสนอรัฐบาลตั้งคณะกรรมการประสานงานดูแลการผลิตกำลังคน ตั้งเป้า 9 ปีผลิตนักวิจัยเพิ่มเป็น 10 คนต่อประชากร 1 หมื่นคน พร้อมเพิ่มงบวิจัยเป็น 1% ของจีดีพี คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ ประธานคณะอนุกรรมการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยผลประชุมคณะอนุกรรมการฯ เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ที่ประชุมสรุปร่างแผนปฏิบัติการตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีระยะ 9 ปี ตั้งแต่ปี 2549-2557 เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยจะนำร่างแผนปฏิบัติการเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานต่อไป สำหรับร่างแผนปฏิบัติการฯ แบ่งการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็น 6 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรก การพัฒนานักวิจัยและผู้มีความสามารถพิเศษ อาทิ นักศึกษาที่มีความสามารถพิเศษระดับปริญญาตรีคณะวิทยาศาสตร์ ให้เรียนหลักสูตรเกียรตินิยม เมื่อเรียนปริญญาตรีชั้นปีที่ 3-4 ก็เริ่มเรียนวิชาของบัณฑิตศึกษา ตอนนี้เริ่มนำร่องที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ส่วนกลุ่มที่ 2 กลุ่มการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ กลุ่มที่ 3 การพัฒนานักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานราชการและโรงงานอุตสาหกรรม กลุ่มที่ 4 การปรับระบบบริหารกำลังคน โดยเสนอให้จัดตั้งคณะกรรมการทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อดูแลการผลิตกำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ กลุ่มที่ 5 การผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์ช่วยเหลือด้านวิทยาศาสตร์ เช่น เกษตร อาหาร เพื่อช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้าน และกลุ่มที่ 6 การประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ เพื่อสร้างงานวิจัยและอาชีพรองรับ โดยจัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นและส่งเสริมการวิจัยในโรงงานและเอกชน ปัจจุบันไทยมีนักวิจัย 3-4 คนต่อประชากร 10,000 คน แต่ญี่ปุ่นมีนักวิจัย 70-100 คนต่อประชากร 10,000 คน ร่างแผนปฏิบัติการฯ ตั้งเป้า 9 ปี จะเพิ่มนักวิจัยไทยให้ได้ 10 คนต่อประชากร 10,000 คน รวมถึงขอให้รัฐบาลเพิ่มงบวิจัยจาก 0.26% ของการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เป็น 1% ของจีดีพี (คมชัดลึก พุธที่ 18 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
สนช.หนุนทำดีเซลสบู่ดำ ทุ่ม10ล้านนำร่องผลิตเชิงพาณิชย์
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) เอาแน่ หนุนผลิตน้ำมันไบโอดีเซลจากต้นสบู่ดำในเชิงพาณิชย์ ยืนยันการนำมาใช้จริงเพื่อเป็นทางเลือกด้านพลังงานในอนาคต และให้ทุนสนับสนุนอีก 6 โครงการ สร้างนวัตกรรมใหม่ในประเทศ นายศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่า สนช.ให้ทุนสนับสนุนโครงการนวัตกรรม 7 โครงการภายใต้การสนับสนุนด้านวิชาการและด้านการเงินให้เกิดโครงการนวัตกรรม โดยร่วมกับบริษัทเอกชน และได้ลงนามอนุมัติโครงการ คิดเป็นวงเงินทั้งสิ้นกว่า 10 ล้านบาท หนึ่งในนั้นคือโครงการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลจากสบู่ดำ ซึ่งเป็นโครงการนำร่องเพื่อผลิตในเชิงพาณิชย์ ดร.วันทนีย์ จองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโครงการ สนช. กล่าวถึงโครงการสบู่ดำว่า เป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เนื่องจากสบู่ดำนี้เป็นพืชยืนต้น มีน้ำมันในเมล็ดอยู่ร้อยละ 25-30 และเมื่อวิเคราะห์คุณสมบัติแล้วมีค่าซีเทน 51 ซึ่งมากกว่าค่ามาตรฐานสำหรับน้ำมันไบโอดีเซล ทั้งยังมีกำมะถันต่ำกว่ามาตรฐานกำหนดไว้อีกด้วย "โครงการนี้จะสนับสนุนให้มีการผลิตไบโอดีเซลจากต้นสบู่ดำ โดยให้ทุนแก่ผู้ประกอบการจำนวน 3.2 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการรวม 16.1 ล้านบาท ให้ผู้ประกอบการปลูกต้นสบู่ดำทั้งสิ้น 2,000 ไร่ ใช้กล้าทั้งหมดประมาณ 6 แสนต้น เป็นการส่งเสริมและนำร่องให้มีการปลูกสบู่ดำ เพื่อให้มีวัตถุดิบมากพอในการผลิตไบโอดีเซล อีกทั้งเป็นการกระตุ้นให้มีการวิจัยและพัฒนาด้านสายพันธุ์และการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลจากสบู่ดำอย่างครบวงจรในอนาคต" ดร.วันทนีย์ กล่าว ทั้งนี้ สบู่ดำให้ผลผลิตเมล็ดสบู่ดำไร่หนึ่งจะประมาณ 1,200 กิโลกรัม คิดเป็นน้ำมัน 8 แสนลิตรต่อปี ส่วนสายพันธุ์ที่ใช้ปลูกนั้น เอกชนที่เข้าร่วมโครงการ คือ บริษัท น้ำมันสบู่ดำไทย จำกัด และนายแสงทอง มาพบสุข จะเป็นฝ่ายคัดเลือกสายพันธุ์ที่มาใช้ปลูกเอง นอกจากนี้ นายศุภชัย ยังกล่าวถึงโครงการที่ได้รับการสนับสนุนอีก 6 โครงการ ได้แก่ โครงการการขอรับรองชุดตรวจเชื้อซัลโมเนลลาในอาหารแบบรวดเร็ว เป็นการสนับสนุนบริษัทเอกชนที่ผลิตชุดตรวจเชื้อดังกล่าวให้ได้รับการรับรองจากองค์กรสากล โครงการนวัตกรรมอาหารเลี้ยงผึ้ง สนับสนุนด้านการพัฒนาสูตรอาหารเลี้ยงผึ้งสำหรับใช้ในฤดูที่ขาดแคลนดอกไม้ เกสรดอกไม้ ตั้งเป้าขยาย อุตสาหกรรมการเลี้ยงผึ้งในไทย โครงการผลิตจุลินทรีย์ที่มีปริมาณดีเอชเอสูง เพื่อทดแทนดีเอชเอจากน้ำมันปลา และทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 19 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
ไทยผนึกพม่าผลิตไฟฟ้าสาละวิน
นายวิเศษ จูภิบาล รมว.พลังงานเปิดเผยว่า รัฐบาลไทยและพัฒนาเตรียมพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำสาละวินร่วมกัน ซึ่งจะเป็นการลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีราคาแพงขึ้นทุกขณะนี้ โดยความร่วมมือครั้งนี้จะได้ประโยชน์ร่วมกันทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งกำลังผลิตไฟฟ้าจะชัดเจนเท่าใดจะต้องมีการศึกษาเรื่องความต้องการไฟฟ้า ขนาดเงินลงทุน ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน โดยการที่ผลิตไฟฟ้าสูงสุด 15,000 เมกะวัตต์นั้นจะเกิดจากการสร้างเขื่อนประมาณ 5-6 เขื่อน และในด้านเม็ดเงินลงทุนจะเกิดจากภาคเอกชน โดยเอ็มโอยูดังกล่าวจะไม่ได้ระบุว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะเข้าไปร่วมลงทุนแต่อย่างใด ซึ่งการใช้พลังน้ำจะทำให้ค่าไฟฟ้าต่ำเมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงอื่นๆ และส่งผลดีต่อต้อนทุนการผลิตสินค้าของไทย สร้างขีดวามสามารถทางการแข่งขันให้สูงขึ้น กระทรวงพลังงานจะต้องเตรียมการศึกษาความเหมาะสมของการใช้ไฟฟ้า เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับความต้องการพลังงานที่เกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งปัจจุบันโรงไฟฟ้าของไทยส่วนใหญ่จะใช้ก๊าซธรรมชาติและน้ำมันเตา ซึ่งการใช้น้ำมันเตาที่เพิ่มขึ้นเป็นสาเหตุของการนำเข้าน้ำมันที่สูงขึ้นมหาศาลในปีนี้ด้วย ซึ่งนอกจากพลังงานน้ำแล้วก็มีความเป็นไปได้ที่ใช้พลังงานถ่านหินสะอาด การนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ด้านนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานมูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ไทยจำเป็นต้องศึกษาทางเลือกการใช้พลังงานให้หลากหลายซึ่งรัฐบาลจะต้องตัดสินใจบนพื้นฐานที่เกิดประโยชน์มากที่สุดในประเทศ เช่น การใช้พลังงานถ่านหินสะอาดหรือพลังงานนิวเคลียร์ว่าจำเป็นหรือไม่สำหรับเมืองไทย หากจำเป็นก็ต้องเตรียมตัวล่วงหน้าอย่างน้อย15 ปี เตรียมทั้งการพัฒนาบุคลากรรองรับ การสร้างความเข้าใจแก่ประชาชน ซึ่งพลังงานนิวเคลียร์มีต้นทุนต่ำและจากช่วงราคาน้ำมันแพงขณะนี้หลายประเทศได้ให้ความสนใจในการพัฒนานิวเคลียร์มากยิ่งขึ้นเช่น ประเทศฟินด์แลนด์ (สยามรัฐรายวัน ศุกร์ที่ 20 พ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)
"ศิริราช"จับมือ"เมดทรอนิก" ตั้งศูนย์ผ่าพาร์กินสันอาเซียน
เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ที่โรงพยาบาลศิริราช ศ.คลินิก นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และนายทอมมี่ จอห์น จูเนียร์ รองประธานด้านประสาทวิทยาภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก บริษัทเมดทรอนิก ลงนามความร่วมมือในการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมผ่าตัดสมองรักษาโรคพาร์กินสันแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(South East Asia DBS Training Center) ศ.คลินิก นพ.ปิยะสกลแถลงว่า คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลผ่าตัดผู้ป่วยโรคพาร์กินสันและดีสโทเนียที่ไม่สามารถควบคุมอาการด้วยยาได้โดยการผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าในสมอง ด้วยวิธีดีบีเอส(Deep Brain Stimulation:DBS) ผลการผ่าตัด 18 ราย ได้ผลเป็นที่น่าพอใจสามารถลดอาการสั่น ร้อยละ 75 การเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ร้อยละ 71 การเคลื่อนไหวช้า ร้อยละ 49 แต่ต้องติดตามผลในระยะ 5 ปี ทั้งนี้ จะให้ทุนประสาทศัลยแพทย์เข้าอบรมระยะสั้นและให้ทุนแพทย์ศิริราชวิจัยโรคพาร์กินสันด้วย ด้าน นพ.ศรัณย์ นันทอารี อาจารย์สาขาวิชาประสาทศัลยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า โรคพาร์กินสัน ในต่างประเทศพบผู้ป่วย 1 ราย ต่อประชากร 1,000 คน โรคนี้เกิดจากการตายของเซลล์สมองส่วนที่สร้างโดปามีน มีผลทำให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวผิดปกติ สำหรับประเทศไทยยังไม่เคยมีการสำรวจ แต่คาดว่าจะมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน เพราะเฉพาะที่โรงพยาบาลศิริราชมีผู้ป่วยถึง 400 ราย การผ่าตัดด้วยวิธีดีบีเอสมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1 ล้านบาทต่อราย เฉพาะค่าอุปกรณ์ 8 แสนบาท ปัจจุบันยังไม่เข้าระบบประกันสังคม หรือหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(โครงการ 30 บาท) โรงพยาบาลศิริราชจะช่วยเหลือเฉพาะผู้ป่วยที่ยากไร้จริงๆ ก่อน ทั้งนี้ การผ่าตัดวิธีดีบีเอส แพทย์จะฉีดยาชาและเจาะรูเล็กที่กะโหลกศีรษะทั้ง 2 ข้าง แล้วสอดขั้วสายไฟฟ้าเข้าไปในสมองส่วนลึกที่เรียกว่าซับทาลามิคนิวเคลียส(Subthalamicnucleus) จากนั้นแพทย์จะดมยาให้ผู้ป่วยสลบก่อนฝังแบตเตอรี่ใต้ผิวหนังบริเวณทรวงอก และนำไปเชื่อมต่อเป็นวงจรเข้ากับขั้วไฟฟ้าที่ฝังในสมอง กระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่จะช่วยแก้ไขการทำงานของสมองที่ผิดปกติ ทำให้ลดอาการสั่น การทรงตัวดี ใช้เวลาผ่าตัด 5 ชั่วโมง (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 20 พ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)
แผ่นดินไหวต้นตอสึนามิทำสถิติ/นานสุด-ทำให้เกิดรอยแยกยาวสุด
นิวยอร์ก-นักวิทยาศาสตร์ชี้ แผ่นดินไหวที่ก่อให้เกิดสึนามิถล่มเอเชียปลายปีที่แล้วเป็นแผ่นดินไหวที่นานที่สุด และทำให้เกิดรอยแยกยาวที่สุด นิตยสารไซแอนซ์รายงานเมื่อวันศุกร์ (20 พ.ค.) ว่าองค์กรด้านแผ่นดินไหวสากล 3 กลุ่มได้ระบุตรงกันว่าแผ่นดินไหวรุนแรงซึ่งเกิดขึ้นนอกชายฝั่งเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ที่ทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคมปีที่แล้ว กินระยะเวลานานถึง 500-600 วินาที หรือราว 10 นาที จนถือว่าเป็นแผ่นดินไหวที่นานที่สุดที่เคยเกิดขึ้น แผ่นดินไหวซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ในมหาสมุทรอินเดียนี้ยังมีความรุนแรงเทียบเท่าระเบิดขนาด 100 กิกะตันจนเป็นผลทำให้เกิดรอยแยกบนพื้นผิวโลกเป็นระยะทางยาวถึง 1,280 กิโลเมตร นับเป็นรอยแยกที่เกิดจากแผ่นดินไหวที่มีความยาวมากที่สุดอีกด้วย นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังคาดการณ์ด้วยว่าระหว่างที่เกิดการไหวตัวของแผ่นดิน รอยแยกของแผ่นดินที่เกิดขึ้นได้ขยับตัวขึ้นลงเฉลี่ยอย่างน้อย 5 เมตร ขณะที่ในบางจุดอาจขยับสูงถึงเกือบ 20 เมตร นอกจากนี้ บรรดานักวิทยาศาสตร์ได้ปรับระดับความรุนแรงของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นครั้งนี้จากเดิม 9.0 ริคเตอร์ ขึ้นมาอยู่ที่ 9.1-9.3 ริคเตอร์แล้ว ซึ่งรุนแรงกว่าเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.9 ริคเตอร์ ที่เกิดขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนียในสหรัฐเมื่อปี 2532 จนสร้างความเสียหายเป็นบริเวณกว้างตั้งแต่เมืองซานตาครูซไปจนถึงนครซานฟรานซิสโกถึง 100 เท่า (คมชัดลึก เสาร์ที่ 21 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
ข่าววิจัย/พัฒนา
เบรียผลิตชุดตรวจไข้เลือดออกส่งทั่วโลก แจกฟรีโรงพยาบาล สามารถแจ้งติดเชื้อครั้งที่ 1 หรือ 2
ดร.จตุรพร พรศิลปทิพย์ รองประธานอำนวยการบริษัทแปซิฟิก ไบโอเทค จำกัด ในเครือ BriA ดำเนินการผลิตและจำหน่ายชุดตรวจวินิจฉัยโรคแบบรู้ผลเร็ว เปิดเผยว่า บริษัทจะบริจาคชุดตรวจวิเคราะห์ไข้เลือดออกแบบเร็ว ให้โรงพยาบาลที่ขาดแคลนและมีความจำเป็นต้องใช้อย่างรีบด่วน เป็นมูลค่า 100,000 บาท จึงแจ้งสถานพยาบาลที่สนใจติดต่อตรงได้ทันที เพื่อสนับสนุนรัฐบาลในการยกระดับคุณภาพการตรวจวิเคราะห์ไข้เลือดออก และลดภาวะเสี่ยงต่อการเสียชีวิต สำหรับชุดตรวจไข้เลือดออกแบบรู้ผลเร็ว ผลิตขึ้นภายใต้เทคโนโลยีของ PanBio ประเทศออสเตรเลียมานานร่วม 7 ปี พร้อมทั้งส่งจำหน่ายในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่ประสบปัญหาโรคไข้เลือดออกเช่นเดียวกับไทย อาทิ จีน เวียดนาม อินโดนีเซียและออสเตรเลีย โดยคุณสมบัติของชุดตรวจไข้เลือดออก มีความแม่นยำมากกว่า 92% ใช้เวลา 15 นาทีรู้ผล ที่สำคัญคือ สามารถตรวจว่าเป็นการรับเชื้อครั้งแรกหรือครั้งที่ 2 เพื่อเตือนแพทย์ถึงระดับความรุนแรงของโรค และต้องคำนึงถึงสายพันธุ์ของไวรัสเด็งกี่ที่ต่างสายพันธุ์กับการรับเชื้อครั้งแรกด้วย เพราะในกรณีพบว่าเป็นการรับเชื้อครั้งที่ 2 ภูมิคุ้มกันในร่างกายไม่สามารถต้านทานเชื้อที่เข้ามาใหม่ ผู้ป่วยหลายรายมีอาการเลือดออกในอวัยวะ และมีโอกาสเสียชีวิตสูงหากไม่ได้อยู่ในความดูแลของแพทย์ตั้งแต่ต้น ส่วนหลักการทำงานของชุดตรวจจะดูจากภูมิต้านทานเชื้อเด็งกี่ในร่างกาย กล่าวคือ เมื่อร่างกายได้รับเชื้อไวรัสไข้เลือดออกครั้งแรก จะสร้างภูมิต้านทานที่เรียกว่า IgM เพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค จากนั้นจะค่อยๆ ลดลง ขณะเดียวกันร่างกายจะหลั่งภูมิต้านทานตัวที่สองมาแทนที่คือ IgG ซึ่งจะอยู่ยาวนานขึ้นกับเชื้อ โดยบางชนิดอยู่ได้นับเดือน ปีหรือตลอดชีวิตก็มี และในการติดเชื้อครั้งที่ 2 ภูมิต้านทาน IgG จะเพิ่มสูงขึ้นชัดเจนเพื่อปกป้องร่างกาย ดังนั้น ชุดตรวจจึงมุ่งวัดระดับ IgG หากพบสูงเกินค่าที่กำหนดไว้ จึงมีความเป็นไปได้สำหรับการรับเชื้อครั้งที่ 2 อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยมีชุดตรวจไข้เลือดออกนำเข้า 2-3 แบรนด์ แต่ส่วนใหญ่ตรวจเพื่อระบุว่า เป็นไข้เลือดออกหรือไม่เท่านั้น แต่ไม่สามารถบอกว่าเป็นการรับเชื้อครั้งที่ 2 หรือไม่ จึงต่างจากชุดตรวจที่ผลิตโดยแปซิฟิกฯ นอกจากนี้ บริษัทยังมีห้องปฏิบัติการชีวโมเลกุล รับบริการตรวจหาสายพันธุ์ไวรัสเด็งกี่ด้วยเทคนิคพีซีอาร์ที่รู้ผลใน 12 ชั่วโมง จากวิธีทั่วไปที่ตรวจจากสารพันธุกรรมไวรัส ซึ่งต้องรอผล 1 - 2 วัน (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 16 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
มช.ชูไอเดียแก๊สโซฮอล์จากลำไยแห้ง
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผุดไอเดียนำลำไยอบแห้งผลิต 'แก๊สโซฮอล์' หนุนนโยบายพลังงานทดแทน ชี้ช่องนำร่องขอเป็นเจ้าภาพทำลายลำไยอบแห้งไร้คุณภาพที่ค้างสต็อกกว่า 30,000 ตัน ปิดช่องการทุจริตลำไยซ้ำซ้อน เผยคุ้มค่ากว่าการนำไปเผา และฝัง ช่วยประหยัดงบประมาณในการขนย้าย ระบุความคืบหน้าอยู่ระหว่างเสนอเรื่องกระทรวงเกษตรฯ พร้อมหน่วยงานเกี่ยวข้องพิจารณา ดร.พรชัย เหลืองอาภาพงษ์ นักวิจัยคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยอยู่ระหว่างการประสานงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานเกี่ยวข้องที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการทำลายผลผลิตลำไยอบแห้งของปี 2545 - 2546 ที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานซึ่งค้างอยู่ในสต็อกจำนวนกว่า 30,000 ตัน หรือ 3 ล้านกล่อง ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาหาวิธีการทำลายทิ้ง การนำลำไยทั้งหมดมาแปรรูปเป็นแก๊สโซฮอล์ได้ จะเกิดประโยชน์ที่คุ้มค่ากับการลงทุน และคุ้มค่ามากกว่าการนำไปทำลายโดยวิธีการเผาหรือฝัง ที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เสี่ยงต่อการถูกวิจารณ์ในการทำลายที่ไม่โปร่งใส และช่วยประหยัดงบประมาณในการขนย้าย หากมีการนำไปทำลายทิ้งที่อื่น โดยแก๊สโซฮอล์เป็นอีกพลังงานทางเลือกหนึ่ง ที่รู้จัก และกล่าวขานกันอย่างแพร่หลายในหลายประเทศ มติคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณจำนวน 15 ล้านบาท ในการทำลายลำไยอบแห้งทิ้ง หรือเฉลี่ยกล่องละ 5 บาท ซึ่งหากนำมาทำแก๊สโซฮอล์จะสามารถได้ประโยชน์จากการจำหน่ายน้ำมันได้อีก และที่สำคัญเป็นการต่อยอดแนวคิดในการพัฒนาหาแหล่งพลังงานทดแทนจากธรรมชาติ เพื่อขยายผลไปยังพืชชนิดอื่นๆ ต่อไป (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 16 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
ผลิตภัณฑ์จากขมิ้นชันรักษาโรคผิวหนังสุนัข
ดร.นงลักษณ์ ปานเกิดดี ผู้ว่าการ วว. กล่าวชี้แจงว่า ฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ วว. ซึ่งได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยประเภทพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโน โลยี ประจำปี 2547 จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ในการดำเนินการศึกษาวิจัยและพัฒนายาทาภายนอกสำหรับสุนัขเพื่อรักษาโรคผิวหนังอักเสบเป็นหนองจากขมิ้นชัน มีระยะเวลาโครงการ 1 ปี ประสบความสำเร็จในการศึกษาฤทธิ์ในการต้านเชื้อ Staphylococcus intermedius สาเหตุของการเกิดโรคผิวหนังอักเสบเป็นหนองของสารสกัดขมิ้นชันและน้ำมันขมิ้นชันในห้องปฏิบัติการ ซึ่งผลจากการศึกษาพบว่า สารสกัดขมิ้นชันมีฤทธิ์ต้านและฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อโรค pyoderma ได้ในขณะที่ส่วนของน้ำมันขมิ้นชันสามารถออกฤทธิ์ต้านและฆ่าเชื้อราชนิดที่พบร่วมในโรค pyoderma ได้ดี
ความสำเร็จจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์เจล ขมิ้น เจล และสเปรย์ ขมิ้น ออยล์ นับเป็นแนวทางหนึ่งในการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดอุตสาหกรรมยาทาแก่สัตว์เลี้ยงที่ผลิตจากสมุนไพรไทย สามารถใช้ทดแทนยาสังเคราะห์ และลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศอีกด้วย ดร.ชุลีรัตน์ บรรจงลิขิตกุล หัวหน้าโครงการ ชี้แจงเพิ่มเติมว่า จากผลการศึกษา วว. จึงได้พัฒนาเป็นยาทาภายนอกสำหรับรักษาโรคผิวหนังอักเสบเป็นหนองในสุนัขในรูปแบบของเจลสำหรับทาลงบนผิวหนังบริเวณที่ติดเชื้อ ซึ่งเจลมีฤทธิ์ในการต้านและฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้เป็นอย่างดี รวมทั้งยังได้พัฒนาสเปรย์สำหรับฉีดพ่นบนผิวหนังสุนัขเพื่อรักษาแผลติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา ทั้งนี้ทั้งสองชนิดได้ผ่านการทดสอบความระคายเคืองต่อผิวหนังและพบว่าไม่ก่อให้เกิดความระคายเคืองแต่อย่างใด รวมทั้งไม่พบการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ในผลิตภัณฑ์ แผนงานที่เร่งด่วนขั้นต่อไปของโครงการจะได้ดำเนินการศึกษาผลทางคลินิกของผลิตภัณฑ์ทั้งสองในสุนัขต่อไป สอบถามรายละเอียดได้ที่ฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ วว. โทร. 0-2577-9106 เวลาราชการ หรือสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ได้ในงาน เปิดโลกทัศน์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 42 ปี วว. ระหว่าง 25-29 พฤษภาคม 2548 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 16 พ.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)
รัฐบาลทุ่ม 1.3 พันล้านพัฒนาไบโอดีเซล
นายพินิจ จารุสมบัติ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพ เปิดเผยว่า ในการประชุม ครม.นอกสถานที่ ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ในวันที่ 17 พ.ค.นี้ ได้เตรียมเสนอ แผนปฏิบัติการพัฒนาและส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซล และแผนการส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอล์รวมทั้งเอทานอล ให้ครม.พิจารณา หลังจากที่คณะกรรมการฯ ได้เห็นชอบในหลักการแล้ว นายพินิจ กล่าวว่า แผนปฏิบัติการการพัฒนาและส่งเสริมไบโอดีเซล จะเป็นไปตามยุทธศาสตร์ของการพัฒนาและส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลจากปาล์มที่ ครม.เห็นชอบไปเมื่อ 18 ม.ค.48 ซึ่งในปี 2555 กำหนดเป้าหมายใช้ไบโอดีเซลประมาณ 8.5 ล้านลิตร/วัน โดยผสมร้อยละ 10 ของน้ำมันดีเซล และสามารถทดแทนน้ำมันดีเซลได้ 3,100 ล้านลิตรต่อปี ทั้งนี้แผนปฏิบัติการฯ ที่จะเสนอ ครม.ให้พิจารณา ได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่งเสริมและจัดโซนนิ่งการปลูกปาล์มใหม่เพื่อไบโอดีเซล 5 ล้านไร่ ภายในเวลา 5 ปี (พ.ศ.2548-2552) เพื่อการปลูกปาล์มในประเทศ 4 ล้านไร่ และทำสัญญาลักษณะ จีทูจี กับประเทศเพื่อนบ้าน 1 ล้านไร่ ในปี 2555 จะได้ไบโอดีเซลรวม 6 ล้านลิตรต่อวัน นอกจากนั้น ยังจะเสนอ ครม.ให้พิจารณาการส่งเสริมและวิจัยการปลูกพืชสบู่ดำ ซึ่งเป็นพืชทนแล้ง ที่สามารถสกัดน้ำมันได้ถึง 35-40% ด้วย ทั้งนี้การจัดโซนนิ่ง จะกำหนดพื้นที่การปลูกให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน ให้ภาคใต้และภาคตะวันออกเป็นพื้นที่ปลูกปาล์ม โดยย้ายยางพาราไปปลูกในภาคอีสาน พัฒนาและทำโครงการนำร่องในภาคอีสานและภาคเหนือ และจัดการเมล็ดพันธุ์ปาล์ม ส่งเสริมการปลูกปาล์มและศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเกษตรกร สำหรับด้านอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ จะเสนอ ครม.เห็นควรให้ควบคุมการอนุญาตตั้งโรงงานไบโอดีเซล ให้สอดคล้องกับการกำหนดพื้นที่เพาะปลูกปาล์ม เพื่อป้องกันผลกระทบที่เกิดขึ้นกับน้ำมันพืชประกอบอาหาร ทั้งนี้การอนุญาตตั้งโรงงานจะอยู่ในพื้นที่บริเวณโซนนิ่งทั้งหมด และเสนอตั้งโรงงานเชิงพาณิชย์ขนาดกำลังผลิต 100,000 ลิตรต่อวัน จำนวน 3 แห่ง โดยจะเริ่มก่อสร้างในปี 2548 และสามารถจำหน่ายไบโอดีเซลได้ในต้นปี 2550 เป็นต้นไป นายพินิจ จะเสนอให้กระทรวงการคลัง จัดตั้งบริษัทเฉพาะกิจ หรือเอสพีวีปาล์ม เพื่อสนับสนุนเกษตกร และผู้ลงทุนในด้านเงินทุน การจัดการ และการตลาด โดยมีกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุน โดยกำหนดงบประมาณลงทุน 1,300 ล้านบาท ในระยะเวลา 8 ปี (พ.ศ.2548-2555) โดยเป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อส่งเสริมการปลูกและจัดหาเมล็ดพันธุ์ 800 ล้านบาท แบ่งเป็นการจัดหาเมล็ดพันธ์ปาล์ม 600 ล้านบาท และเมล็ดพันธุ์สบู่ดำ 200 ล้านบาท และงบประมาณวิจัยและพัฒนาและดำเนินการ 500 ล้านบาท โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) สนับสนุนสินเชื่อให้เอสพีวีปาล์ม เพื่อดำเนินธุรกิจ โดยมีกระทรวงการคลัง ค้ำประกัน (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 16 พ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)
หุ่นแสนฉลาดแปลงร่างเองเล็งส่งอวกาศ
ทีมพัฒนาหุ่นยนต์จากมหาวิทยาลัยคอร์เนล วิทยาเขตอิธาคา นิวยอร์ก ได้สร้างหุ่นยนต์ที่ประกอบขึ้นมาจากหน่วยย่อย ที่มีลักษณะเหมือนกับลูกเต๋าขนาด 10 เซนติเมตร จำนวน 3-4 ชิ้น มาประกอบกัน โดยหน่วยย่อยที่เป็นลูกเต๋านั้นจะมีรหัสโปรแกรมคอมพิวเตอร์ฝังอยู่ สำหรับใช้เป็นแบบพิมพ์เขียวเพื่อประกอบตัวขึ้นเป็นหุ่นยนต์ ขณะที่หน่วยลูกเต๋าแต่ละตัวมีหน้าสัมผัส สำหรับรับกระแสไฟฟ้าเพื่อใช้สื่อสารข้อมูลกันระหว่างหน่วยย่อยแต่ละหน่วย ซึ่งประกบกันด้วยขั้วแม่เหล็กธรรมดา ทีมวิจัยเชื่อว่า หลักการในการออกแบบหุ่นยนต์ชนิดนี้จะเป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนาหุ่นยนต์ในอนาคต โดยหุ่นยนต์ที่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ อาจซ่อมตัวเองเมื่อเกิดปัญหาในการทำงาน และสามารถนำไปใช้งานในที่เสี่ยงอันตรายเกินไปสำหรับมนุษย์ หรือนำไปใช้เป็นนักบินอวกาศแทนคน หุ่นยนต์ลักษณะดังกล่าวยังสามารถนำไปใช้ในเหมืองหรือในโรงปฏิกรณ์นิวเคลียร์ได้เช่นกัน "เป้าหมายแรกคือ เราต้องการสร้างหุ่นยนต์สำหรับส่งไปปฏิบัติการในอวกาศ เช่นที่ดวงจันทร์ของดาวพฤหัส ซึ่งปกติถ้าหุ่นยนต์เกิดพัง เท่ากับว่าปฏิบัติการนั้นต้องยกเลิกไปโดยปริยาย แต่ถ้ามีระบบที่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ หรือปรับรูปร่างได้โดยควบคุมด้วยสัญญาณวิทยุทางไกล ปฏิบัติการจะสามารถดำเนินต่อไปได้" นักวิจัยกล่าว พวกเขาเชื่อว่า หากสามารถผสมผสานหุ่นยนต์ประกอบตัวเอง เข้ากับหลักการซ่อมแซมและการจำลองตัวเอง เหมือนในระบบร่างกายมนุษย์ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในวงการหุ่นยนต์ (คมชัดลึก จันทร์ที่ 16 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
เตรียมพบ"เครื่องมือถอดรหัส"ภาษางึมงำ ลึกลับของทารก!!!
ทีมนักวิจัยค้นคว้าของญี่ปุ่น กำลังเร่งมือผลิต "เครื่องแปล" สีหน้า ท่าทาง เสียงร้องโยเย อู้อี้ของทารก ออกมาวางขาย เพื่อช่วยให้งานเลี้ยงลูกดูเป็นเรื่อง "สนุก" สำหรับพ่อแม่ยุคใหม่ หาใช่ "ภาระ" อันหนักหน่วง น่ากลัวอีกต่อไป นายคาสุยูกิ ชิโนฮาร่า อาจารย์ภาควิชาประสาทวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยนากาซากิ เล่าถึงประดิษฐกรรมชิ้นเยี่ยม ซึ่งหากสามารถแปลได้จริงดังว่า ก็น่าจะเปรียบเสมือน "ของขวัญจากสวรรค์" ว่าทีมนักวิจัยได้ทำงานกันถึงขั้นตอนที่สิ่งประดิษฐ์ที่จะคลี่คลาย "ปริศนา" ของภาษา และสีหน้า ท่าทางของทารกจะแล้วเสร็จราวกลางปีนี้ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการขอจดลิขสิทธิ์ อุปกรณ์นี้สามารถนำไปใช้ได้ทั้งในโรงพยาบาล และที่บ้าน โดยเครื่องฯที่สามารถนำไปใช้ที่บ้าน เขาอยากให้มีราคาจำหน่ายไม่เกิน 10,000 เยน หรือราว 3,718 บาท หัวหน้าทีมวิจัย อาจารย์ได้เล่าถึงการทำงานของอุปกรณ์ที่ยังไม่ได้ตั้งชื่อว่า จะทำหน้าที่ "อ่าน" ความรู้สึกของทารก โดยดูจากเสียงร้องไห้,การแสดงออกทางสีหน้า และการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิในร่างกายทารก ดังนั้นผลงานประดิษฐ์ของเขาและทีมงานจึงน่าเป็นประโยชน์ต่อพ่อแม่ ผู้ปกครองชาวญี่ปุนได้ (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 16 พ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)
แฉเด็กไทยรุ่นใหม่รูปร่างอ้วนเตี้ยลง
เมื่อวันที่ 16 พ.ค.ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีการเสวนา ยังไม่สิ้นกลิ่นนมหวาน โดยมีการเผยแพร่ผลงานวิจัยนมผงในเด็กอายุ 0-3 ปี ของ นางประไพศรี ศิริจักรวาล นักวิจัยสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า จากการเก็บข้อมูลการกินนมที่ให้ความหวานในเด็กอายุ 0-3 ปี 937 คน เด็กอายุ 3-5 ปี 695 คน ใน 5 จังหวัดคือ สระบุรี ราชบุรี หนองบัวลำภู ลำปาง ตรัง พบว่าเด็กอายุ 0-3 ปี กินนมผงรสหวาน นมรสน้ำผึ้งสูงถึง 39.1% นมพร้อมดื่มรสหวาน 35.1% และนมเปรี้ยว 14.6% และพบว่ากินหวานเพิ่มขึ้นตั้งแต่อายุ 12 เดือน และจากการสำรวจเด็กอายุ 3-5 ปี พบว่าเด็กกินนมกล่องบรรจุเสร็จรสหวานมากถึง 38.4% และกินนมเปรี้ยวสูงถึง 62% ซึ่งในนมเปรี้ยวพบว่ามีปริมาณน้ำตาลสูงและมีคุณค่าสารอาหารต่ำ ด้าน น.พ.สุริยเดว ทริปาตี กุมารแพทย์และโฆษกเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวว่า ปัจจุบันเด็กอายุ 10 ปีขึ้นไป 15-20% หรือ 2-3 ล้านคนเป็นเด็กอ้วนและในจำนวนนี้ 7 ใน 10 จะอ้วนแล้วอ้วนเลย ไม่สามารถลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้และ 30% มีโอกาสเป็นโรคไขมันในเส้นเลือดสูงเร็วกว่าปกติซึ่งเด็กอ้วน 1 คน ต้องใช้หมอเฉพาะทางดูแลโรคต่างๆที่เกิดขึ้นถึง 5 คน นอกจากนี้ เด็กอ้วนจะเข้าสู่ภาวะวัยรุ่นเร็วกว่าปกติ กระดูกปิดเร็ว ทำให้สูงได้ไม่เต็มศักยภาพ จึงน่าเป็นห่วงว่าเด็กรุ่นใหม่จะเตี้ยลงเรื่อยๆ ขณะที่ พ.ญ.ชนิกา ตู้จินดา กุมารแพทย์ กล่าวว่า ในอนาคต 10-20 ปีข้างหน้า ผลกระทบจากโรคอ้วนจะสร้างความสูญเสียมากกว่าผู้ป่วยด้วยโรคเอดส์. (ไทยรัฐ อังคารที่ 17 พ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)
เครื่องทำแห้งผักตบชวา ลดปัญหาเชื้อราดีเยี่ยม
ธีรพงศ์ ปลอดแก้ว, ณัฐพร พรหมคง นักศึกษาจากภาควิชาเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวและแปรสภาพ คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้ทำการวิจัยเรื่อง 'การออกแบบและสร้างเครื่องทำแห้งผักตบชวา' ขึ้น โดยมี อาจารย์ปัณณธร ภัทรสถาพรกุล เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ทั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวข้างต้น โดยการวิจัยนี้ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ด้วย โครงงานนี้มีแนวคิดศึกษาหากระบวนการทำแห้งที่เหมาะสมกับผักตบชวา เพื่อนำมาออกแบบและสร้าง เครื่องทำแห้งผักตบชวา เครื่องฯนี้มีหลักการทำงานโดยใช้แหล่งความร้อนจากก๊าซหุงต้ม (LPG) ร่วมกับการรมกำมะถัน ตัวเครื่องประกอบด้วย ห้องทำแห้งภายในสามารถบรรจุชั้นวางพร้อมถาดใส่วัตถุดิบจำนวน 8 ถาด แหล่งความร้อนจากหัวพ่นไฟ พัดลมแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง พร้อมชุดใบปรับลมอัตโนมัติ และห้องเผากำมะถันพร้อมชุดท่อไหลเวียนไอกำมะถันแยกจากระบบจ่ายลมหลัก ผักตบชวาเมื่อผ่านการอบแห้งจากเครื่องทำแห้งผักตบชวาแล้ว จะมีคุณลักษณะที่ใกล้เคียงกับการตากแดดมากที่สุด ทั้งในด้านค่าสี จากสีเขียวเข้มเป็นสีเหลืองอ่อน สว่างจนเกือบขาว ดูสบายตา ทั้งนี้เนื่องจากกระบวนการอบแห้งในอุณหภูมิที่พอเหมาะ ประกอบกับการรมกำมะถัน จนได้ระดับความชื้นสุดท้ายต่ำพอดี และ สำหรับการทดสอบความต้านทานแรงดึง ปรากฏว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมจะนำไปทำผลิตภัณฑ์จักสานได้อย่างดี นอกจากนี้ เครื่องทำแห้งผักตบชวา ยังสามารถนำอบแห้งวัตถุดิบจากการเกษตรชนิดอื่นได้อีกด้วย ผู้ใดสนใจเครื่องทำแห้งผักตบชวา สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ อาจารย์ปัณณธรฯ ภาควิชาเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวและแปรสภาพ คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี หมายเลขโทรศัพท์ 01-874-1612) (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 17 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
เอ็มเทคคิด'จมูกสมองกล'คัดเกรดกาแฟ เสริมเซ็นเซอร์แยกกลิ่นประยุกต์ใช้ดมตรวจโรค
ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ นักวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) หัวหน้าโครงการวิจัยการพัฒนาจมูกอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้กับผลผลิตทางการเกษตร กล่าวว่า ในการพัฒนาจมูกอิเล็กทรอนิกส์ฯ ทีมวิจัยได้เริ่มต้นตั้งแต่พัฒนาฮาร์ดแวร์ คือตัวเซ็นเซอร์ และตัวซอฟต์แวร์ เพื่อให้ทำหน้าที่คล้ายกับจมูกมนุษย์ ซึ่งจะมีเซลล์คอยรับกลิ่นต่างๆ เป็นล้านๆ เซลล์อยู่ในโพรงจมูก ขณะที่เซ็นเซอร์จะทำหน้าที่เสมือนกับเซลล์ในการรับสัมผัสกลิ่น ในชุดจมูกอิเล็กทรอนิกส์มีชุดเซ็นเซอร์ 16 ตัวเพื่อรับรู้กลิ่น 16 ชนิด แม้จะได้ชื่อว่าเป็นจมูกแต่อุปกรณ์ดังกล่าว มีลักษณะเหมือนกับภาชนะทรงกรวย เส้นผ่านศูนย์กลาง 15 เซนติเมตร สูง 3 เซนติเมตร เซ็นเซอร์ที่ใช้ทำจากโพลิเมอร์ผสมกับผงถ่าน ซึ่งมีคุณสมบัติในการนำไฟฟ้าดี นอกจากนี้ เซ็นเซอร์แต่ละตัวจะเลือกใช้โพลิเมอร์ต่างชนิดกัน เพื่อให้มีความไวต่อการดูดซับสารเคมีไม่เท่ากัน ทำให้ค่าการต้านทานไฟฟ้าไม่เท่ากัน โดยให้สัญญาณออกมาทั้งหมด 16 สัญญาณ ต่อสาร 1 ชนิด ทางด้านวัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้ เพื่อใช้สำหรับแยกกลิ่นของกาแฟแต่ละเกรด เนื่องจากในปัจจุบันใช้คนเป็นคนแยก ซึ่งจะต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ และแต่ละคนก็ดมกลิ่นได้อย่างจำกัดในแต่ละวัน นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานในด้านการแพทย์ คือเมื่อคนเราไม่สบายจะสร้างสารเคมีที่ระบุถึงโรคออกมา หรือสามารถนำไปวัดการเตรียมเครื่องดื่มประเภทไวน์ว่าหมักได้ที่แล้วหรือยัง เป็นต้น ในการทดสอบที่ผ่านมา จะสามารถแยกได้ค่อนข้างดี แต่เมื่อลองนำไปทดสอบระหว่างข้าวหอมมะลิกับข้าวธรรมดา สามารถแยกได้ในระดับหนึ่ง เนื่องจากสัญญาณที่ได้มีรูปร่างที่คล้ายๆ กัน หากจะทำจมูกอิเล็กทรอนิกส์สำหรับใช้ดมกลิ่นข้าวโดยเฉพาะจะต้องมีการปรับปรุงซอฟต์แวร์ และทำเซ็นเซอร์ตัวใหม่ๆ ที่ตอบสนองต่อสารเคมีในข้าวที่ดีขึ้น การทดสอบในกาแฟก็เช่นเดียวกัน จะต้องมีการพัฒนาปรับปรุงต่อไป สำหรับเซ็นเซอร์จมูกอิเล็กทรอนิกส์นี้สามารถวัดกลิ่นได้ในหลายวิธีการ ราคาของจมูกอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำนี้อยู่ที่ประมาณ 2 แสนบาท คาดว่าหากสามารถลดขนาดจมูกลงได้ อาจจะช่วยให้ต้นทุนถูกลง ทั้งนี้ โครงการพัฒนาจมูกอิเล็กทรอนิกส์ฯ เริ่มมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2547 กำหนดแล้วเสร็จในเดือนเดียวกันปี 2549 ใช้ทุนวิจัยประมาณ 1.5 ล้านบาท หลักการในการจำแนกกลิ่น เริ่มจากการปล่อยก๊าซไนโตรเจนบริสุทธิ์ไหลเข้าไปในห้องทดสอบ เนื่องจากหากเป็นอากาศธรรมดาจะมีน้ำหรือความชื้นในบรรยากาศ จึงอาจรบกวนการทำงานของเซ็นเซอร์ซึ่งมีความไวต่อน้ำ ในขณะที่ไนโตรเจนไม่ส่งผลกระทบต่อเซ็นเซอร์ (เหมือนเป็นการล้างจมูก) หลังจากส่งผ่านไนโตรเจนและกลิ่นเข้าไป โดยใช้ไนโตรเจนเป็นตัวนำเพื่อให้รู้ปริมาณที่แน่นอนของกลิ่น จากนั้นกลิ่นจะเข้าสู่ห้องทดสอบ เมื่อสัมผัสถูกโพลิเมอร์จะถูกดูดซับเข้าไปและแทรกตัวเข้าไปอยู่ในโพลิเมอร์ โพลิเมอร์จะดูดซับสารเคมีต่างชนิดกัน เมื่อสารเคมีเข้ามาต่างชนิดกันรูปแบบของสัญญาณก็จะแตกต่างกัน แล้วรูปแบบของสัญญาณที่แตกต่างกันนั้นจะทำให้ระบุได้โดยรวมว่าเป็นกลิ่นอะไร เช่น ไข่เจียว มะม่วง ทุเรียน แต่ไม่สามารถระบุว่าภายในกลิ่นนั้นประกอบไปด้วยอะไรบ้าง จากนั้นทีมวิจัยจะสร้างซอฟต์แวร์ที่ใช้ประมวลเพื่อดูถึงองค์ประกอบของกลิ่นต่อไป (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 17 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
ชะมวงทำยาต้านแบคทีเรีย ม.สงขลานครินทร์ วิจัยรับมือเชื้อดื้อยา
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิจัยเปลือกต้นชะมวง มีฤทธิ์ต้านเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคติดเชื้อบนผิวหนัง เตรียมศึกษาเพิ่มด้านพิษวิทยาและความปลอดภัย มั่นใจสามารถใช้จริงกับผู้ป่วยในรูปแบบยาทาภายนอก รศ.ดร.วัชรินทร์ รุกขไชยศิริกุล ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เปิดเผยถึงการวิจัยหาสารออกฤทธิ์จากพืชในสกุลการ์ซีเนีย หรือพืชสกุลมังคุด ซึ่งจะนำไปสู่การคิดค้นยาปฏิชีวนะตัวใหม่ที่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย เนื่องจากการใช้ยาปฏิชีวนะบางตัวเพื่อรักษาอาการติดเชื้อต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดการดื้อยา การวิจัยซึ่งดำเนินการร่วมกับ รศ.ดร.เสาวลักษณ์ พงษ์ไพจิตร จากภาควิชาจุลชีววิทยา มหาวิทยาลัยเดียวกัน มุ่งศึกษาพืชสกุลการ์ซีเนียที่พบในภาคใต้ อาทิ มังคุด ส้มแขก ชะมวง วา พะวา และ Scortechinii ซึ่งจากการแยกโครงสร้างโมเลกุลของพืชดังกล่าว และทดสอบผลออกฤทธิ์ระหว่างสารสกัดจากพืชชะมวง กับแบคทีเรียดื้อยาในหลอดทดลอง พบว่า เปลือกของลำต้นชะมวงมีสารออกฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรีย Staphylococcus aureus ที่ดื้อยาเมธิซิลลินได้ดีสุด สำหรับแบคทีเรีย S.aureus ก่อให้เกิดแผลติดเชื้อและแผลเรื้อรัง ในการรักษาแพทย์ได้ใช้ยาแวนโคมัยซิน เพื่อยับยั้งแบคทีเรียชนิดนี้ แต่ตัวยาราคาแพง และเป็นพิษต่อหู และไตของผู้ป่วยหากใช้อย่างไม่ระมัดระวัง และที่สำคัญหากใช้ติดต่อกันนานอาจก่อให้เกิดอาการดื้อยาได้อีก ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์โครงสร้างโมเลกุลของพืชสกุลการ์ซีเนียนี้ จะนำไปสู่การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างของสารต้านฤทธิ์แบคทีเรียที่ดื้อยาเมธิซิลลินแล้ว ยังสามารถนำไปใช้ในศึกษาการสังเคราะห์ เพื่อให้ได้สารออกฤทธิ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย เนื่องจากชะมวงมีปริมาณที่ไม่เพียงพอ หากจะนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตยา อย่างไรก็ตาม โครงสร้างของโมเลกุลที่ได้ยังอยู่ในระดับพื้นฐาน ส่วนความเป็นไปได้ของการนำยาตัวใหม่ที่สกัดจากชะมวง น่าจะอยู่ในรูปแบบยาทาภายนอก รวมถึงดูผลการทดสอบทางพิษวิทยาเพื่อใช้ทราบถึงระดับความปลอดภัยสูงสุดก่อนที่จะให้ผู้ป่วย ผลงานชิ้นนี้เป็นหนึ่งในงานวิจัยที่มีศักยภาพ ในการพัฒนาสู่นวัตกรรมเชิงพาณิชย์ ในโครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและการวิจัยทางเคมี (เพิร์ช) ซึ่งร่วมกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) เพื่อแสวงหาผลงานวิจัยทางเคมีที่สามารถต่อยอดนำไปใช้ในเชิงอุตสาหกรรม จาก 5 มหาวิทยาลัยหลักที่อยู่ในโครงการเพิร์ช ซึ่งประกอบด้วย มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 17 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
แขกรวยน้ำมัน เลือกโคบอลต์ พลังงานใหม่
รายงานระบุว่า ปัจจุบัน สารโคบอลต์ อาจกลายเป็นทางเลือกใหม่สำหรับการใช้พลังงานทดแทนในบางประเทศ หลังจากที่ผ่านมามีหลายประเทศทดลองกระบวนการผลิตสารโคบอลต์เพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทนแล้วได้ผลเช่นมาเลเซีย แอฟริกาใต้ และสหรัฐ ขณะที่เมืองราส ลาฟฟาน ซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรมของกาตาร์ มีแผนจะใช้พัฒนาโคบอลต์เป็นพลังงานสำหรับรถโดยสารและรถบรรทุก ภายใต้โครงการแปลงสารโคบอลต์เป็นเชื้อเพลิงเผาไหม้ ซึ่งมีคุณสมบัติลดการก่อมลพิษต่อชั้นบรรยากาศ ด้วยงบประมาณผลิตเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ตั้งเป้าหมายผลิตเชื้อเพลิงจากสารโคบอลต์วันละ 3 แสน ต่อวัน นายจิม เจนเซ่น นักเศรษฐศาสตร์พลังงานประจำสถาบันสหรัฐชี้ว่า เชื้อเพลิงจากสารโคบอลต์จะเป็นสินค้าสวยหรู ปราศจากมลพิษและยังมีสารสกัดที่มีกลิ่นเหมือนน้ำหอม (สยามรัฐรายวัน อังคารที่ 17 พ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)
ชี้ยาคุมไขมันลดเสี่ยงมะเร็งเต้านม
กรณีศึกษาของทีมนักวิจัยสหรัฐอเมริกา เผยว่า "สเตติน" ซึ่งเป็นตัวยาที่ใช้ควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย สามารถช่วยลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมได้กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังลดความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งปอดและมะเร็งต่อมลูกหมากได้ถึง 48 เปอร์เซ็นต์ และ 54 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับด้วย ทั้งนี้ กรณีศึกษาระบุว่า ยาสเตตินจะไปทำปฏิกิริยาลบล้างเอ็นไซม์ที่ผลิตสารเคมีซึ่งทำให้เซลล์มะเร็งแพร่กระจาย โดยการได้รับยาสเตตินในระดับพอสมควรจะช่วยฆ่าเซลล์มะเร็งได้ นางวิคัส คูรานา ผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่งศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนา และเป็นผู้เขียนกรณีศึกษานี้กล่าวในการประชุมประจำปีสมาคมอเมริกันมะเร็งวิทยา เมื่อค่ำวันที่ 14 พฤษภาคม ว่า หากผลงานการวิจัยชิ้นนี้ได้รับการยืนยัน ตนคิดว่าตัวยาสเตตินจะเป็นตัวป้องกันทางเคมีที่จะมีบทบาทสำคัญสำหรับผู้หญิงที่มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมสูง อย่างไรก็ดียังเร็วเกินไปที่จะแนะนำให้คนไข้ที่ไม่ได้มีระดับไขมันในร่างกายผิดปกติให้รับประทานยาตัวนี้ เนื่องจากว่ายังไม่ได้มีความปลอดภัยทั้งหมด (มติชนรายวัน อังคารที่ 17 พ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)
ร่มแสงอาทิตย์
ร่มพลังงานแสงอาทิตย์" ออกแบบโดยจัสติน โทมัส บนร่มติดตั้งแผงแปลงพลังงานจากแสงอาทิตย์เป็นไฟฟ้าแล้วดึงไฟมาเก็บไว้ที่แบตเตอรี่ พอตกค่ำหลอดไฟแอลอีดี 48 หลอดที่ติดตั้งไว้ตามก้านร่มจะเปิดโดยอัตโนมัติ ราคา 12,000 บาท (ข่าวสด อังคารที่ 17 พ.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)
วิจัยชี้สาวดื่มจัดสมองเสื่อม
เมื่อวันที่ 16 พ.ค. บีบีซีตีพิมพ์ผลการศึกษาเรื่องผลกระทบของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยนักวิจัยมหาวิทยาลัยไฮเดลบวร์กของเยอรมนี พบว่า ผู้หญิงที่ดื่มสุราหนัก มีโอกาสเสี่ยงสมองเสื่อมมากกว่าผู้ชายที่ดื่มหนักพอๆ กัน หลักฐานฟ้องข้อกล่าวหานี้คือผลการสแกนสมองของอาสาสมัคร 150 ราย ในช่วง 6 สัปดาห์ ที่บ่งบอกว่าผู้หญิงจะได้รับอันตรายมากกว่าและเร็วกว่าจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากผลกระทบต่อสมองแล้ว ยังมีปัญหาด้านหัวใจ อาการซึมเศร้า โรคตับ ซึ่งผู้หญิงที่ดื่มจัดออกอาการก่อนผู้ชาย และอาจอนุมานได้ว่าผู้หญิงเสี่ยงจะเป็นโรคพิษสุราเรื้อรังได้ง่าย (ข่าวสด อังคารที่ 17 พ.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)
คิดวัคซีนต้านโรคอัลไซเมอร์ได้ ฟื้นความจำของคนไข้บางรายขึ้น
นักวิทยาศาสตร์วิทยาลัยการแพทย์ มหาวิทยาลัยมิชิแกน แถลงผลการศึกษาวัคซีนต้านโรคอัลไซเมอร์ เอเอ็น-1792 ที่ถูกยกเลิกการทดลอง เนื่องจากมีผลทำให้สมองอักเสบในคนไข้บางรายว่า วัคซีนดังกล่าวทำให้ความจำในคนไข้บางรายดีขึ้น ดร.ซิด กิลแมน นักวิจัยของวิทยาลัยการแพทย์ มหาวิทยาลัยมิชิแกน แถลงผลการศึกษาวัคซีน เอเอ็น-1792 ว่า การศึกษายาต้านอัลไซเมอร์ที่กำลังอยู่ระหว่างการวิจัยของบริษัทอีแลน คอร์ปอเรชั่น และบริษัทไวเอท ฟาร์มาซูติคอลส์ พบว่า วัคซีนดังกล่าวช่วยขจัดสารทำลายเซลล์สมองที่ทำให้เป็นโรคความจำเสื่อม และคนไข้บางรายมีความจำดีขึ้นจากการใช้วัคซีนนี้ ดร.กิลแมนเปิดเผยว่า การศึกษาขั้นต่อไปต้องดูไปที่การกระตุ้นให้ร่างกายผลิตภูมิคุ้มกันที่ไม่เป็นอันตรายแก่ตัวคนไข้ และสามารถชะลออาการอัลไซเมอร์ได้ รายงานข่าวแจ้งว่า มีคนไข้เป็นโรคอัลไซเมอร์ประมาณ 15 ล้านคนทั่วโลก ในสหรัฐฯมีผู้ป่วยโรคนี้ประมาณ 4.5 ล้านคน อาการของโรคนี้คือ การค่อยๆสูญเสียความจำลงไป. (ไทยรัฐ พุธที่ 18 พ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)
ทดลองวัคซีนป้องกันโรคอ้วนแล้ว ฉีดแล้วเหมือนได้อิ่มอาหารทิพย์
รายงานข่าวจากสวิตเซอร์แลนด์แจ้งว่า นักวิทยาศาสตร์ ได้เตรียมจะทดลองวัคซีนป้องกันความอ้วนขึ้น บริษัทผลิตยามีชื่อของสวิตฯกล่าวเปิดเผยรายละเอียดว่า วัคซีนขนานนี้จะแสดงฤทธิ์ไปกดระดับของสารที่มีชื่อว่าเกรลิน อันเป็นกรดเปปไทด์อย่างหนึ่ง มีหน้าที่ควบคุมความหิวของคน ไม่ให้เพิ่มสูงขึ้นได้ เพื่อจะได้ไม่รู้สึกเกิดหิวกินอาหารมากๆ วัคซีนจะทำงานโดยไปกระตุ้นภูมิคุ้มโรคของร่างกาย ให้สร้างสารภูมิต้านทานไปสกัดกั้นสารเกรลินไม่ให้เดินทางเข้าไปถึงสมอง. (ไทยรัฐ พุธที่ 18 พ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)
เช็คโปรตีนในเลือดหามะเร็งรังไข่
นักวิจัยจากสหรัฐเสนอวิธีตรวจคัดกรองมะเร็งรังไข่แบบใหม่ ระบุพิจารณาจากรูปแบบโปรตีน 4 ตัวในเลือดผู้หญิง พบให้ความแม่นยำร้อยละ 95 เผยอาจใช้ตรวจหามะเร็งชนิดอื่นได้ด้วย การตรวจคัดกรองมะเร็งรังไข่ในปัจจุบัน ยังอิงอยู่กับอาการที่คลุมเครือ อาทิ ตัวบวม เจ็บท้องน้อย ส่วนการตรวจหาจากโปรตีนซีเอ-125 ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับมะเร็งรังไข่นั้น ในกรณีที่เป็นในระยะแรก สามารถทำนายความแม่นยำต่ำเพียงร้อยละ 10% เท่านั้น ขณะที่ผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ยิ่งตรวจพบในระยะแรกได้เร็วเท่าไร โอกาสรอดยิ่งมีมากเท่านั้น เพราะสามารถนำรังไข่ออกก่อนที่มะเร็งจะลาม สำหรับการทดสอบแบบใหม่นี้ มีความแม่นยำสูงถึงร้อยละ 95 เป็นการทดสอบระดับโปรตีน 169 ชนิดที่ต่างกันในเลือดของผู้หญิง 86 คน แบ่งเป็นกลุ่มผู้หญิงที่มีสุขภาพแข็งแรง 28 คน นอกนั้นเป็นผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ ทีมวิจัยพบรูปแบบของโปรตีนสี่ตัว ซึ่งเมื่อนำมารวมกลุ่มกันจะได้รูปแบบที่เหมือนกันในกลุ่มของสตรีที่เป็นมะเร็งรังไข่ โปรตีนดังกล่าว ได้แก่ เลปติน โปรแลกติน ออสทีโอปอนติน และโกรธแฟคเตอร์-ทู ที่คล้ายกับอินซูลิน โดยนักวิจัยกล่าวว่า โปรตีนเพียงตัวเดียวไม่สามารถเอามาใช้ระบุได้ว่าคนไหนมีโอกาสเป็นมะเร็งรังไข่ คนไหนไม่เป็น นักวิจัยได้ขยายทดสอบในกลุ่มที่ใหญ่ขึ้นพบว่า ถ้าระดับของโปรตีนทั้งสี่ตัวตกลงมาที่ระดับใดระดับหนึ่ง มะเร็งจะปรากฏตัวให้เห็น การทดสอบสามารถระบุสตรีที่เป็นมะเร็งได้แม่นยำถึงร้อยละ 95 และยังสามารถทำนายผู้หญิงที่ไม่เป็นมะเร็งได้แม่นยำร้อยละ 95 เช่นกัน ทางคณะวิจัย กล่าวว่า วิธีใหม่นี้ยังไม่ดีพอที่จะใช้เป็นการตรวจคัดกรองทั่วไปในประชากร เนื่องจากอาจวินิจฉัยสตรีที่ไม่เป็นมะเร็งผิดได้เป็นพันๆ คน และอาจวินิจฉัยคลาดเคลื่อนได้ 5% เช่นกันสำหรับคนที่เป็นมะเร็งรังไข่ แต่วิธีนี้ถือว่ามีประโยชน์สำหรับผู้หญิงที่รู้ว่าตัวเองมีความเสี่ยงสูง ยกตัวอย่าง ผู้หญิงที่มีประวัติครอบครัวแท้งบุตรแบบใดแบบหนึ่ง ทีมวิจัยยังกล่าวด้วยว่า โปรตีนทั้งสี่ตัวนี้ อาจใช้เป็นเครื่องหมายทางชีวภาพสำหรับระบุมะเร็งชนิดอื่นได้ด้วย แม้ว่าก่อนหน้านี้ ยังไม่มีใครเคยทดสอบโดยดูจากกลุ่มโปรตีนมาก่อน (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 18 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
ราชมงคลคิดสูตรฉนวนสายไฟ ลดปนเปื้อนโลหะหนัก 6 เท่า
อาจารย์ฉันท์ทิพ คำนวนทิพย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เปิดเผยว่า นักศึกษาในคณะได้คิดค้นสูตรฉนวนหุ้มสายไฟ โดยปรับปรุงสูตรของสารประกอบพอลิไวนิลคลอไรด์ (PVC compound) ซึ่งเป็นพลาสติกชนิดหนึ่งที่เป็นวัตถุดิบสำคัญ เพื่อลดปริมาณปนเปื้อนโลหะหนักที่เป็นพิษ โดยได้รับทุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สำหรับฉนวนหุ้มสายไฟที่รายล้อมเราอยู่ในปัจจุบัน ผลิตมาจากพลาสติกพีวีซีซึ่งมีข้อด้อยอยู่ตรงความต้านทานความร้อนต่ำ เมื่อใช้ในการแปรรูปไปเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกฉนวนหุ้มสายไฟหรือวัสดุที่เกี่ยวข้องกับอุณหภูมิที่ค่อนข้างสูง ทำให้เกิดปัญหาการสลายตัวระหว่างการแปรรูป ดังนั้น ผู้ผลิตจึงแก้ปัญหาด้วยการเติมสารต้านทานความร้อน และสารที่ทนความร้อนประสิทธิภาพสูง ซึ่งมีตะกั่วและแคดเมียมเป็นส่วนประกอบ ซึ่งสาร 2 ชนิดนี้มีองค์ประกอบของโลหะหนักที่เป็นพิษต่อร่างกายมนุษย์ อีกทั้งกลุ่มประเทศยุโรปได้ออกระเบียบว่าด้วยการกำจัดสารที่เป็นอันตรายบางประเภทในผลิตภัณฑ์ทางไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (RoHs) โดยห้ามประเทศสมาชิกใช้สารที่เป็นอันตราย 6 ประเภท รวมถึงตะกั่วและแคดเมียมในอุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยเหตุดังกล่าว กลุ่มนักศึกษา ประกอบด้วย ภัควัฒน์ ฉัตรเงิน, ณัตติกรร์ ธีระวร, สมชาย สมัตถะ ได้วิจัยปรับปรุงสูตรของสารประกอบพอลิไวนิลคลอไรด์ (PVC compound) สำหรับฉนวนหุ้มสายไฟ เพื่อไม่ให้มีโลหะหนักที่เป็นพิษ โดยปรับเปลี่ยนสูตรจากสารแคดเมียม สเตียเรท เป็นสารต้านทานความร้อนที่มีปริมาณของสารประกอบแคลเซียมและสังกะสี ในอัตราส่วนที่แน่นอน (one pack) และชนิด Single pack ประกอบด้วย แคลเซียม สเตียเรท และซิงค์ สเตียเรท มาผสมกันในอัตราต่างๆ จากการทดลองยังพบว่า สูตรใหม่ที่ปรับปรุงขึ้นนั้น ยังให้ค่าความต้านทานไฟฟ้าที่ดีกว่าการใช้แคดเมียม สเตียเรท นอกจากนั้น ยังสามารถลดปริมาณของโลหะหนักที่เป็นพิษได้ถึง 6 เท่า ทนต่อแรงดึงฉีกกด ทนต่อความร้อน มีความเป็นฉนวนไฟฟ้าสูงขึ้นด้วย (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 18 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
ก.วิทย์ชู'นวัตกรรมข้าว'ดึงเม็ดเงินเข้าไทย
ดร.วันทนีย์ จองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโครงการนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวในการสัมมนา "โอกาสการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมจากข้าวไทย" ว่า สนช.ได้ให้การสนับสนุนการประสานความร่วมมือ ระหว่างภาคธุรกิจเอกชนไทยกับนักวิจัยในสถาบันการศึกษา เพื่อสร้างการวิจัยร่วมกันในการนำข้าวไปผลิตเป็นอาหารเสริมสุขภาพ (functional food) ที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และฟื้นฟูเซลล์สมองผู้ป่วยอัลไซเมอร์ โดยความคืบหน้าล่าสุดได้ออกผลิตภัณฑ์และส่งไปจำหน่ายถึงสหรัฐ และ.ยังสนับสนุนให้เอกชนที่สนใจสร้างนวัตกรรมจากข้าว หันมารวมกลุ่มกัน เพื่อรับการสนับสนุนตามโครงการทุนเครือข่ายวิสาหกิจนวัตกรรม โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพ ผลิตภัณฑ์แช่เยือกแข็ง และกลุ่มบรรจุภัณฑ์ ยกตัวอย่างกลุ่มบรรจุภัณฑ์ สนช.กำลังสนับสนุนการทำบรรจุภัณฑ์จากไบโอพลาสติก โดยนำแป้งหรือน้ำตาลมาผ่านกระบวนการด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งจะนำไปสู่การสนับสนุนให้เกิดการลงทุนทดแทนวัสดุ เช่น โฟม จะเห็นได้ว่าขณะนี้ยุโรปและญี่ปุ่นมีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมเข้มแข็งมาก ถ้าเราเป็นผู้นำในการใช้ไบโอพลาสติก หรือวัสดุอื่นที่ย่อยสลายได้ จะทำให้ผลิตภัณฑ์ของไทยมีโอกาสเข้าสู่ตลาดเหล่านี้ ดร.วันทนีย์ กล่าว ด้าน รศ.ดร.อรอนงค์ นัยวิกุล ภาควิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งได้รับการยกย่องเป็นเมธีส่งเสริมนวัตกรรมโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีความพร้อมในเรื่องนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ข้าวเชิงวิชาการ เพียงแต่ยังขาดความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมกับงานด้านการตลาด ผลผลิตเฉลี่ยข้าวนาปี 332 - 361 กิโลกรัมต่อไร่, ข้าวนาปรัง 656-695 กิโลกรัมต่อไร่ ขณะที่ประเทศคู่แข่ง อย่างเวียดนามมีผลผลิตเฉลี่ย 699 กิโลกรัมต่อไร่ อินเดีย 450 กิโลกรัมต่อไร่ จีน 990 กิโลกรัมต่อไร่ และสหรัฐ 1,179 กิโลกรัมต่อไร่ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าคู่แข่ง ด้านการส่งออกข้าวของไทย พบว่าเป็นข้าวสารมากถึง 93% โดยไทยเป็นผู้ผลิตข้าวอันดับ 6 ของโลก ขณะที่ส่งออกผลิตภัณฑ์แปรรูปข้าวเพียงร้อยละ 7 ดังนั้น การหันมาเพิ่มมูลค่าข้าวด้วยการสร้างผลิตภัณฑ์ข้าว จากรำข้าว จมูกข้าว แป้งข้าว หรือข้าวแดง ซึ่งทั้งหมดสามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายอย่าง อาทิ น้ำมันรำข้าว หรือน้ำส้มสายชูจากข้าว ซึ่งจีนและญี่ปุ่นกำลังนิยมอย่างมาก หากเป็นไปได้การส่งออกผลิตภัณฑ์แปรรูปข้าวควรจะเพิ่มเป็นร้อยละ 15 สำหรับตัวอย่างผลิตภัณฑ์ข้าวที่มีในตลาด ได้แก่ ข้าวนึ่ง ข้าวแช่เยือกแข็ง ของขบเคี้ยว เครื่องดื่ม ขนมหวาน น้ำส้มสายชู บะหมี่สำเร็จรูป เส้นก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน และผลิตภัณฑ์หมักดอง เช่น ข้าวหมาก อุ หรือสาโท (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 18 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
สกว.วิจัยปลูกผักด้วยน้ำเสียรง.ยางพารา ม.สงขลานครินทร์ลงมือบำบัด ทดสอบรดต้นข้าวพบปลอดภัย
รศ.ดร.สายัญห์ สดุดี นักวิจัยจากคณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เปิดเผยว่า สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ให้การสนับสนุนโครงการศึกษาประเมินผลกระทบจากการใช้น้ำเสียของโรงอบ/รมยางแผ่นเพื่อการเกษตร สำหรับตรวจสอบความเป็นไปได้ในการนำน้ำเสียมาใช้ในการเพาะปลูกพืช ในการเก็บรวบรวมตัวอย่างและวิเคราะห์คุณภาพน้ำเสียจาก 20 โรงงานในภาคใต้ พบว่า ระบบบ่อบำบัดเกือบทุกโรงงานในภาคใต้ไม่ได้มาตรฐาน โดยระบบบำบัดน้ำเสียของโรงงานส่วนหนึ่งที่ใช้การบำบัดด้วยวิธีการเติมอากาศ มักจะหยุดเดินเครื่องเนื่องจากเครื่องชำรุด ส่วนโรงงานที่เหลือซึ่งใช้การบำบัดด้วยระบบย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำนั้น ระบบที่พบยังไม่สมบูรณ์ มีความเข้มข้นของสารเกินกว่ามาตรฐานที่จะนำไปใช้ในภาคการเกษตร งานวิจัยนี้จึงมุ่งศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อนำน้ำเสียจากโรงงานยางพารามาใช้ประโยชน์ด้านเกษตรกรรม โดยได้ทดลองนำน้ำเสียมาผ่านกรรมวิธีเจือจางด้วยน้ำดี พร้อมทั้งปรับสภาพด้วยขี้เถ้าที่ได้จากการเผาไหม้ฟืน จากนั้นปรับค่าความเป็นกรด-ด่างของน้ำให้เหมาะสมสำหรับปลูกพืช รวมถึงศึกษาการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตของพืชที่รดด้วยน้ำเสีย เปรียบเทียบกับพืชที่รดด้วยน้ำดี ทีมวิจัยได้ทดลองกับพืชทั้งหมด 3 ชนิด ได้แก่ ยางพารา ข้าวและผัก ซึ่งจากการศึกษาพบว่าน้ำเสียส่งผลให้ต้นยางเจริญเติบโต นาข้าวให้ผลผลิตสูง และแปลงผักงอกงามกว่าการรดด้วยน้ำดี ในส่วนของความปลอดภัยนั้น ทีมวิจัยได้ตรวจสอบปริมาณธาตุและโลหะหนัก ทั้งในตัวอย่างดินและพืชพบว่า ธาตุและโลหะมีปริมาณที่ไม่แตกต่างจากพืชที่ได้รับน้ำดี รศ.ดร.สายัญห์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การสะสมของธาตุและโลหะนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของพืช และส่วนของพืชที่เป็นแหล่งสะสม แต่ธาตุต่างๆ ที่พบในพืชไม่มีอันตรายต่อพืชแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม จะต้องวิเคราะห์เพิ่มในเรื่องความปลอดภัย หากสามารถนำข้อมูลทางวิชาการมารองรับ รวมถึงการติดตามผลกระทบในระยะยาวก่อนเตรียมถ่ายทอดเทคโนโลยีในส่วนของความเหมาะสมสำหรับใช้กับพืชแต่ละชนิด อาจจะช่วยลดปริมาณการใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ และต้นทุนเพาะปลูกพืชได้ ด้าน ศ.ดร.ปิยะวัติ บุญ-หลง ผู้อำนวยการ สกว.กล่าวว่า สำนักงานได้จัดตั้งโครงการวิจัยยางพารา โดยเน้นเพิ่มมูลค่ายางดิบจากงานวิจัย ด้วยวิธีการจัดสรรงานวิจัยออกเป็นสาขาหลักๆ เพื่อให้งานวิจัยมีลักษณะเป็นกลุ่มก้อนอย่างจริงจัง ซึ่งที่ผ่านมา สกว.ได้ให้การสนับสนุนโครงการวิจัยไปแล้วทั้งสิ้น 56 โครงการในระดับมหาวิทยาลัย และ 27 กลุ่มโครงการในกลุ่มยุววิจัย (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 18 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
เครื่องผ่าปลากะตัก หนุนเทคโนฯพัฒนา OTOP
นักศึกษาจากคณะวิศวกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรี ได้ร่วมกันประดิษฐ์เครื่องผ่าปลากะตักขึ้นมา ซึ่งสามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีนายจิราวัฒน์ หนูคง และนางสาวยุพดี ภุมมาลาเป็นเจ้าของผลงาน และมีอาจารย์ปัณณธร ภัทรสถาพรกุล เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา
นายจิราวัฒน์ หนูคง เจ้าของผลงานการประดิษฐ์เครื่องผ่าปลากะตัก เล่าให้ฟังว่าปกติแล้วในการแปรรูปปลากะตัก จะแบ่งออกเป็น ปลากะตักแห้ง และปลากะตักปรุงรส ซึ่งในการแปรรูปนั้นก็จะประสบปัญหาในการเตรียมปลากะตักแห้งคือ ในการแปรรูปปลากะตัก จะต้องนำปลากะตักมาต้มสุก แล้วปล่อยให้แห้ง นำมาผ่าฉีกออกเป็น 2 ซีก แล้วแยกเอาเศษ ไส้ ก้าง หัวปลาออกแล้วจึงนำไปผลิตเป็นปลากะตักทอดปรุงรสต่อไป แต่ในปัจจุบันชาวบ้านยังใช้แรงงานคนอยู่ แต่ปลากะตักมีเป็นจำนวนมากจึงต้องประสบปัญหาสิ้นเปลืองทั้งเวลาและค่าแรงงาน ที่สำคัญราคาขายของปลากะตักที่ผ่าซีกแล้ว ขายได้ราคามากกว่าราคาขายแบบเต็มตัวเกือบเท่าตัว ซึ่งถ้าสามารถผลิตปลากะตักแบบผ่าซีกได้รวดเร็วทันเวลาก็สามารถขายได้ในราคาสูง โดยไม่ต้องกังวลว่าถ้าผ่าซีกไม่ทันเวลาแล้วจำเป็นต้องมาขายปลาแบบเต็มตัวซึ่งได้ราคาต่ำ สำหรับองค์ประกอบของเครื่องผ่าปลากะตักนั้น มีอยู่ 3 ส่วน คือ ชุดลูกกลิ้งพลาสติกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 20 เซนติเมตร ยาว 30 เซนติเมตร ชุดตะแกรงคัดแยกทรงกระบอก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 30 เซนติเมตร ยาว 50 เซนติเมตร รูตะแกรงเส้นผ่าศูนย์กลาง 8 มิลลิเมตร ชุดโซ่ส่งกำลังพร้อมเฟืองทด และมอเตอร์ขนาดครึ่งแรงม้า อาศัยหลักการง่ายๆ คือ การป้อนปลากระตักผ่านลูกกลิ่งทรงกระบอกเข้าสู้ใบมีด เพื่อผ่าปลากระตักออกเป็น 2 ซีก โดยมีชุดตะแกรงคอยคัดแยกส่วนต่างๆ หลังจากการผ่าปลา การทำงานของเครื่อง สามารถแยกส่วนของปลาที่ผ่าได้ ปลาที่ผ่าไม่ได้ ปลาที่เสียหาย และส่วนขวนของเศษไส้ ก้างและหัวปลา ซึ่งจากการทดสอบพบว่า ความเร็วรอบของลูกกลิ้งที่เหมาะสมต่อการใช้งานคือ ความเร็วรอบ 30 rpm อัตราการผลิตสามารถผลิตได้ที่ 0.92-5.56 กิโลกรัมต่อชั่วโมง พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ประมาณ 2.09-10.99 w-h ถ้าหากต้องการเพิ่มอัตราการผลิตก็สามารถทำได้โดยการเพิ่มชุดลูกกลิ้งและผ่าปลากะตักได้มากกว่า 1 ชุด ส่วนถ้าต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ทำได้โดยการปรับปรุงระบบแยกให้ละเอียดขึ้น และเพิ่มระบบลำเลียงปลา ที่ไม่ถูกผ่ากลับไปยังช่องป้อนใหม่ ส่วนท่านที่สนใจ ขอทราบรายละเอียดได้ที่ ภาควิชาเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวและแปรสภาพ คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล โทร.0-2549-3300 (สยามรัฐ พุธที่ 18 พ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)
พัฒนาเครื่องสีข้าวขนาดเล็ก สำหรับหมู่บ้านในชนบท
กองเกษตรวิศวกรรม หรือสถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตรในปัจจุบัน ได้วิจัยและพัฒนาเครื่องสีข้าว ขึ้นมาใหม่นี้ ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 3 แรงม้า เป็นต้นกำลัง ใช้ไฟ 220 โวลต์ ความเร็วของลูกหินขัดสี 9.5 เมตร ต่อวินาที สามารถสีข้าวเปลือกได้ 85 กิโลกรัม ต่อชั่วโมง ได้ปริมาณต้นข้าวและรำสูง ข้าวสารสะอาดปราศจากละอองรำและมีความขาวสม่ำเสมอ สามารถลดการสูญเสียจากการแตกหักระหว่างสี ทำให้ได้ข้าวสารที่มีคุณภาพ ไม่มีฝุ่นละอองรำและแกลบฟุ้งกระจายระหว่างสี ไม่เป็นที่รบกวนต่อผู้ปฏิบัติงาน มีชุดทำความสะอาดข้าวเปลือกและสีข้าวในเวลาเดียวกัน เครื่องสีข้าวนี้จะมีราคาประมาณ 5 หมื่นบาท เมื่อวิเคราะห์จุดคุ้มทุ่นของการใช้เครื่องสีข้าว จากการรับจ้างสี ขายรำและปลายข้าวแล้วพบว่า จุดคุ้มทุนอยู่ที่ 350 ชั่วโมง ต่อปี มีต้นทุนการใช้เครื่อง 62 สตางค์ ต่อกิโลกรัม ระยะเวลาการคืนทุนเมื่อสีข้าวแล้ว ประมาณ 720 ชั่วโมง ต่อปี ไม่เกิน 3 ปี เกษตรกรสามารถเรียกทุนได้หมดแล้ว สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ กลุ่มวิจัยวิศวกรรมหลังการเก็บเกี่ยว สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตร โทร. (02) 529-0663 (เทคโนโลยีชาวบ้าน 15 พ.ค. 48 http://www.matichon.co.th/techno)
สหรัฐทดลองยารักษาท้องร่วงในไทย สำหรับนักท่องเที่ยวในเมืองร้อน
ผลการวิจัยในสหรัฐฯ พบว่า ยาไรฟาซีมินที่มักใช้รักษาอาการท้องร่วง ของนักท่องเที่ยวต่างชาติใช้ได้ และไม่ทำให้เกิดการดื้อยาปฏิชีวนะ โดยจะมีการทดลองศึกษาในไทยด้วย ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้ใช้ยาไรฟาซีมินร้อยละ 85 สามารถป้องกันอาการท้องร่วงได้ มีเพียงร้อยละ 15 ที่มีอาการท้องเดิน และเกือบร้อยละ 54 ที่ใช้ยาหลอก มีอาการของโรคท้องเดิน เช่น คลื่นไส้ อาเจียน และปวดท้อง ดร.เฮอร์เบิร์ต ดูปองต์ ผู้เชี่ยวชาญที่มหาวิทยาลัยเท็กซัสและโรงพยาบาลเซนต์ลุค กล่าวว่า ยาแก้อาการท้องเดินจะช่วยให้ผู้คนสนุกสนานกับการเดินทางในเมืองร้อนได้ และถือเป็นยาที่มีประสิทธิภาพดี ซึ่งผลการวิจัยดังกล่าวจะตีพิมพ์ในวารสารแพทย์อายุรศาสตร์ ทั้งนี้ คนทั่วไปมักจะนิยมใช้ยาปฏิชีวนะป้องกันโรคท้องร่วง ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งพบในอาหารและน้ำตามแหล่งท่องเที่ยวในเมืองร้อน สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐฯได้อนุมัติให้ใช้ยาไรฟาซีมินรักษาอาการท้องร่วง ซึ่งเป็นโรคที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวต่างชาติถึงปีละ 20 ล้านคน ดร.ฟีลลิส โคซาร์สกี ศาสตราจารย์ที่วิทยาลัยแพทย์ในนครแอตแลนตา กล่าวว่า การวิจัยขั้นต่อไปจะมุ่งเน้นการศึกษาในประเทศไทย ซึ่งพบเชื้อแบคทีเรียสาเหตุของโรคท้องร่วงมากกว่าที่พบในเม็กซิโก เพื่อยืนยันว่ายาไรฟาซีมินสามารถใช้ได้ผลในประเทศเอเชีย. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 19 พ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)
คุณวิเศษน้ำมันรำข้าวลดไขมัน แถมยังต่อต้านโรคมะเร็งแข็งแรง
นักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยอเมริกัน พบคุณวิเศษของน้ำมันรำข้าว ในการศึกษาทดลองกับหนูว่าช่วยลดคอเลสเทอรอลในเลือดลงได้ถึง 62% ซ้ำยังส่อท่าว่าจะช่วยรับมือกับการอักเสบและมะเร็งได้อีกด้วย นักวิจัยโมฮัมเหม็ด มินฮาฮัดดิน แห่งมหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ ในกรุงนิวยอร์ก ได้รายงานผลการศึกษาในวารสารวิทยาศาสตร์ชื่อ อาหารและพิษวิทยาทางเคมี ว่าหนูทดลองที่ให้กินวิตามินอี สกัดจากน้ำมันรำข้าว จะมีระดับของคอเลสเทอรอลในเลือดรวมทั้งสิ้นถูกกดลดลงถึง 42% โดยเฉพาะคอเลสเทอรอลชนิดร้าย โดนถูกกำจัดลงไปมากถึง 62% เขาเปิดเผยด้วยว่า สารที่อุดมด้วยโตโกไตรอีนอลซึ่งสกัดมาจากน้ำมันรำข้าว ยังออกฤทธิ์เป็นตัวล้างพิษได้รุนแรงยิ่งกว่าสารโตโกไตรอีนอล ที่อยู่ในวิตามินอี ซึ่งนักวิชาการมัวแต่หลงไปศึกษากันอยู่ตั้งมากมายด้วย. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 19 พ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)
เทคโนฯ ล้านนาคิดค้นเครื่องอบพลาสติก
นายธีรนัย เลื่อยสาด ร่วมกับ นายสุรศักดิ์ ฟองคำ นักศึกษาจากแผนกไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา วิทยาเขตเชียงราย ประดิษฐ์เครื่องอบลดความชื้นเม็ดพลาสติก ซึ่งเป็นต้นเหตุแผ่นพลาสติกเป็นรูในขั้นตอนการหลอม โดยผลงานการคิดค้นจะนำไปช่วยแก้ปัญหาเทคนิคการผลิตให้ผู้ประกอบการผลิตกระสอบพลาสติกแห่งหนึ่งใน จ.เชียงราย โรงงานดังกล่าวประสบปัญหาแผ่นพลาสติกที่ได้จากการหลอมเม็ดพลาสติกเป็นรู ไม่สามารถนำไปใช้งาน ขณะเดียวกันเม็ดพลาสติกจะไปอุดตะแกรงรีดพลาสติก ทำให้ต้องหยุดการผลิต และเมื่อวิเคราะห์หาสาเหตุพบว่าส่วนใหญ่เกิดจากเม็ดพลาสติกที่เป็นวัตถุดิบมีความชื้นมากเกินไปหรือมากกว่า 1% จึงติดต่อมหาวิทยาลัยให้ช่วยแก้ปัญหา โดยลดความชื้นของเม็ดพลาสติกให้เหลือต่ำกว่า 1% ในการทำงานของเครื่องนี้อาศัยความร้อนจากขดลวดความร้อน ที่ควบคุมระดับความร้อนได้ตามต้องการด้วยเครื่องตรวจจับอุณหภูมิ สำหรับอบลดความชื้นเม็ดพลาสติก สำหรับผลการทดสอบเครื่องก่อนที่จะนำไปใช้ในโรงงานต่อไปนั้น เครื่องนี้สามารถลดความชื้นของเม็ดพลาสติกให้ลดลงเหลือน้อยกว่า 1% สามารถอบเม็ดพลาสติกได้ 1 กระสอบต่อ 30 นาที อัตราการใช้ไฟฟ้า เมื่อเทียบกับการที่ต้องสูญเสียแผ่นพลาสติกที่เป็นรู โดยนำมาใช้งานไม่ได้และยังจะเสียเวลาถอดตะแกรงออกมาทำความสะอาด จึงนับว่าคุ้มเลยทีเดียวสำหรับภาคอุตสาหกรรม (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 19 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
เทคนิคใหม่หามะเร็งรังไข่
การตรวจคัดกรองมะเร็งรังไข่ในปัจจุบันยังอิงอยู่กับอาการที่คลุมเครือ อาทิ ตัวบวม เจ็บท้องน้อย ขณะที่ผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ยิ่งตรวจพบในระยะแรกได้เร็วเท่าไร โอกาสรอดยิ่งมีมากเท่านั้น เพราะสามารถนำรังไข่ออกก่อนที่มะเร็งจะลาม นักวิจัยจากสหรัฐได้ทดสอบวิธีตรวจแบบใหม่ ที่แม่นยำสูงถึงร้อยละ 95 โดยการทดสอบได้ใช้ตัวอย่างเลือดของผู้หญิง 86 คน ในจำนวนนี้เป็นผู้มีสุขภาพดี 28 คน ที่เหลือเป็นผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ นักวิจัยค้นพบว่าในกลุ่มผู้ป่วยเท่านั้น จะมีโปรตีน 4 ชนิดที่เมื่อนำมารวมกลุ่มกันจะได้รูปแบบที่ออกมาเหมือนกัน โดยรูปแบบการรวมตัวดังกล่าวจะแตกต่างจากหญิงสุขภาพดี ขณะที่โปรตีนเพียงตัวเดียวไม่สามารถใช้ระบุได้ว่า คนไหนมีโอกาสเป็นหรือไม่เป็นมะเร็งรังไข่ จากนั้นนักวิจัยได้ขยายทดสอบในกลุ่มที่ใหญ่ขึ้นพบว่า ถ้าระดับของโปรตีนทั้ง 4 ตัวตกลงมาที่ระดับใดระดับหนึ่ง มะเร็งจะปรากฏตัวให้เห็น การทดสอบสามารถระบุสตรีที่เป็นมะเร็งได้แม่นยำถึงร้อยละ 95 และยังสามารถทำนายผู้หญิงที่ไม่เป็นมะเร็งได้แม่นยำร้อยละ 95 เช่นกัน อย่างไรก็ดี วิธีใหม่นี้ยังไม่ดีพอที่จะใช้เป็นการตรวจคัดกรองทั่วไปในประชากร เนื่องจากอาจวินิจฉัยสตรีแข็งแรงให้กลายเป็นผู้ป่วยมะเร็งได้เป็นพันๆ คน และอาจวินิจฉัยคลาดเคลื่อนได้ 5% เช่นกันสำหรับคนที่เป็นมะเร็งรังไข่ แต่วิธีนี้ถือว่ามีประโยชน์สำหรับผู้หญิงที่รู้ว่าตัวเองมีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้หญิงที่มีประวัติครอบครัวแท้งบุตรแบบใดแบบหนึ่ง ทีมวิจัยยังกล่าวด้วยว่า โปรตีนทั้ง 4 ตัวนี้อาจใช้เป็นเครื่องหมายทางชีวภาพสำหรับระบุมะเร็งชนิดอื่นได้ด้วย แม้ว่าก่อนหน้านี้ยังไม่มีใครเคยทดสอบโดยดูจากกลุ่มโปรตีนมาก่อน (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 19 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
ซูเปอร์อั้งโล่ ความเหนือชั้นของเตาไทย
จากการสำรวจสถิติเมื่อปี 2542 ครัวเรือนชนบทร้อยละ 45 (2.8 ล้านครัวเรือน) ยังคงใช้เตาอั้งโล่ โดยใช้ถ่านเป็นเชื้อเพลิงเฉลี่ยมากถึง 500 กก./ครัวเรือน/ปี
กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พพ.) เร่งสร้างความเหมือนที่แตกต่างแบบประหยัดพลังงานสู่วงการเตา ด้วยการส่ง เตาซูเปอร์อั้งโล่ ด้วยกลยุทธ์การออกแบบที่เหนือชั้นอั้งโล่รูปแบบเก่าอย่างครบถ้วน กล่าวคือ เตาซูเปอร์อั้งโล่มีน้ำหนักเบา ทำจากดินปั้นเตาคุณภาพดีทนทานกว่า อายุการใช้งานเฉลี่ยสูงกว่าอั้งโล่ธรรมดานาน 2 ปี สัดส่วนซูเปอร์อั้งโล่ที่มีผลต่อการใช้งานที่ดีกว่า เกิดจากรูปทรงของเตา ถูกออกแบบให้หมุนเวียนความร้อนภายในดีขึ้น รูปร่างของจึงไม่หนาเทอะทะ มีน้ำหนักเบากว่าเตาอั้งโล่ธรรมดา ปากเตา มีลักษณะลาดเอียงลงด้านใน สามารถวางหม้อหุงต้มได้ 9 ขนาด ตั้งแต่หม้อเบอร์ 16-32 ป้องกันก้นหม้อสัมผัสกับเชื้อเพลิงโดยตรง เส้าเตา สูงกว่าขอบเตาที่เสมอกันโดยรอบเล็กน้อย ทำให้สูญเสียความร้อนขณะหุงต้มน้อยกว่าเตาทั่วไปที่เส้าเตาสูง เกิดช่องว่างระหว่างก้นหม้อและขอบเตามาก เกิดการสูญเสียความร้อนโดยเปล่าประโยชน์ ช่องใส่ถ่าน บรรจุได้ 400-500 กรัม พอเพียงต่อการทำอาหารในแต่ละมื้อ โดยไม่ต้องเพิ่มถ่านอีก ซึ่งสามารถให้ความร้อนสูง อุณหภูมิกลางเตาอยู่ที่ 1000-1200 องศาเซลเซียส รังผึ้ง ตัวแปรสำคัญของการเปลี่ยนเตาใบใหม่ สำหรับซูเปอร์อั้งโล่หมดห่วงไปอีกนาน เพราะรังผึ้งมีความหนา ทนทาน รูรังผึ้งเล็กและเรียว ดูดอากาศได้ดี ที่สำคัญมี ฉนวนกันความร้อน ระหว่างถังเปลือกเตากับตัวเตา นอกจากการใช้งานและค่าความร้อนเพื่อใช้หุงต้มที่เหนือกว่าแล้ว เตาซูเปอร์อั้งโล่ยังช่วยลดมลพิษจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ของเตาธรรมดา ซึ่งเป็นอันตรายต่อแม่บ้านและอากาศในชุมชน โดยหุงต้มแบบไร้ควันเนื่องจากเผาไหม้สมบูรณ์ ไม่ทิ้งสารตกค้างจากการใช้งานและจากการให้ค่าความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูง จึงทำให้ค่าใช้จ่ายของอั้งโล่ธรรมดาและเตาซูเปอร์อั้งโล่ แตกต่างกัน แม้เตาซูเปอร์อั้งโล่จะมีราคาสูงกว่าเตาถ่านทั่วไปประมาณ 2-3 เท่า ก็ตาม แต่เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าทั้งการใช้งานและรูปทรง เพราะประหยัดถ่านได้มากถึง 150 กิโลกรัม/ปี คำนวณง่ายๆ ถ้าถ่านในท้องตลาด ขายราคากิโลกรัมละ 5 บาท จะสามารถประหยัดเงินค่าหุงต้มได้ปีละ 750 บาท/ครัวเรือน (สยามรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 19 พ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)
ถ่านผลไม้ : ภูมิปัญญาไทยสำหรับดูดซับกลิ่น
นายเกียรติพงษ์ บรรลุสันต์ นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัยจังหวัดขอนแก่น นักเรียนทุนโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหรือ พสวท.สนใจภูมิปัญญาดังกล่าวจึงนำมาศึกษาว่าถ่านผลไม้มีคุณสมบัติเกี่ยวกับการดูดซับกลิ่นได้อย่างไร สามารถใช้ประโยชน์ได้จริงหรือไม่ จากการทดสอบประสิทธิภาพในการดูดซับของถ่านผลไม้เปรียบเทียบกับถ่านไม้ที่มีขายอยู่ทั่วไป ด้วยการเผาถ่าน 4 ชนิด ซึ่งใช้เตาเผาเดียวกัน ได้แก่ กล้วย สับปะรด มังคุด และไม้มะม่วง เผาในหลุมที่มีแกลบรองกลบด้วยแกลบจุดไฟทิ้งไว้ประมาณ 1 วัน ต่อมานำถ่านทั้ง 4 ชนิด มาบดให้ละเอียดชั่งเตรียมไว้อย่างละ 5 กรัม นำมาทดสอบประสิทธิภาพในการดูซับโมเลกุลของแก๊ส โดยเตรียมสารคลอรีนแล้วให้ไหลผ่านลงในถ่านทดสอบเพื่อให้ถ่านทดสอบดูดซับ ต่อจากนั้นหาปริมาณของแก๊สคลอรีนที่ดูดซับโดยวัดจากความดัน และปริมาตร ด้วยเครื่องวัดที่ประดิษฐ์ขึ้นจากกล่องใสและสายยางขนาดเล็กซึ่งใส่ของเหลวเป็นตัวบอกสเกล คำนวณหาจำนวนโมเลกุลของแก๊สคลอรีนที่ถูกดูดซับด้วยสมการ PV=nRT ปรากฏว่าถ่านมวล 5 กรัมเท่ากัน มีประสิทธิภาพในการดูดซับโมเลกุลของแก๊สคลอรีนได้ในปริมาณที่แตกต่างกัน โดยจัดลำดับจากมากไปหาน้อยคือ ถ่านสับปะรด ถ่านมังคุด ถ่านไม้มะม่วงและถ่านกล้วย จากการทดลองจะเห็นว่าถ่านผลไม้ทั้ง 4 ชนิด มวลเท่ากันจะมีความอิ่มตัวในการดูดซับโมเลกุลของแก๊สคลอรีนไว้ได้ในปริมาณที่แตกต่างกัน เนื่องจากผลไม้มีโครงสร้างเนื้อที่แตกต่างกัน ซึ่งในเนื้อของผลไม้ประกอบด้วยน้ำในปริมาณที่มาก เมื่อเปรียบกับเนื้อไม้เมื่อเผาเป็นถ่านจึงทำให้ผลไม้โดยส่วนใหญ่มีรูพรุนหรือมีพื้นที่ผิวที่ว่างในการสัมผัสและดูดซับโมเลกุลของแก๊สได้มากกว่า หรือแม้แต่ในผลไม้ที่ต่างกันก็มีความสามารถในการดูดซับต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเนื้อที่ผิวต่อน้ำหนักของถ่าน โครงการนี้สามารถนำถ่านผลไม้ไปใช้ประโยชน์ในการดูดซับกลิ่นและความชื้นได้จริง เช่นใช้ดูดกลิ่นในตู้เย็นหรือมุมอับ ทั้งยังเป็นการเพิ่มมูลค่าสินค้าทางการเกษตรให้กับชาวบ้านได้เป็นอย่างดี (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 19 พ.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)
ยามะเร็งทรวงอกหญิงแผลงฤทธิ์ ช่วยสกัดมะเร็งต่อมลูกหมากบุรุษ
แพทย์ค้นพบด้วยความประหลาดใจว่า ยาที่ใช้รักษาโรคมะเร็งทรวงอกของสตรี ก็มีอิทธิฤทธิ์ช่วยป้องกันไม่ให้บุรุษที่ป่วยเป็นต่อมลูกหมากโต ไม่ให้โรคลุกลามกลายเป็นมะเร็งขึ้นได้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญบอกเปิดเผยในที่ประชุมสมาคมต่อต้านโรคมะเร็งอเมริกันว่า ผู้ชายที่มีต่อมลูกหมากโต และได้รับยารักษาโรคมะเร็งเต้านมในขนาดอ่อน ใช้กินป้องกันไว้มานานก่อนหน้า 1 ปี จะช่วยป้องกันไม่ให้ กลายเป็นมะเร็งได้ถึงครึ่งต่อครึ่ง นับเป็นการพบยาที่ช่วยป้องกันอาการต่อมลูกหมากโต ไม่ให้โรคลุกลามถึงขั้นกลายเป็นมะเร็งขึ้นได้ ขนานแรก ปกติแล้วผู้ชายที่เป็นต่อมลูกหมากโตมีโอกาสที่จะกลายเป็นมะเร็งลงได้ ภายในระยะเวลา 1 ปี ถึง 30% และจะกลายเป็นขึ้นได้ภายในเวลาไม่เกิน 2 ปี เพิ่มมากขึ้นเป็น 65%. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 20 พ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)
นศ.ไทยเจ๋งวิจัยพบ-คนเป็นญาติแกะ
นักศึกษาปริญญาโทสาวไทย สร้างชื่อเสียงในระดับโลก หลังได้รับรางวัลนักศึกษาดีเด่น จากงานวิจัยดีเด่น ที่ประเทศออสเตรเลีย ด้วยการค้นคว้าวิจัยค้นพบ ยีน ของแกะและมนุษย์ มียีนบรรพบุรุษมาจากแหล่งเดียวกัน นับเป็นคนแรกของโลก ชื่อว่า น.ส.ธนารัตน์ สำเร็จปริญญาตรี คณะเทคนิคการแพทย์ จากมหาวิทยาลัยรังสิต จากนั้นเดินทางไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท คณะชีววิทยาศาสตร์ การแพทย์ สาขาพันธุกรรม (Master of Biomedical Sciences) ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเคอร์ติน เมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อปี 2544 จนกระทั่งค้นคว้าวิจัยและได้รับรางวัล โดยเข้ารับรางวัลจากมหาวิทยาลัย เมื่อค่ำวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา น.ส.ธนารัตน์ เปิดเผยที่ประเทศออสเตรเลียถึงงานวิจัยซึ่งค้นคว้าสำเร็จว่า หัวข้อวิจัยเรื่อง การพิสูจน์ Complement Component Factor B ยีนในคอมสมิท โคลนของแกะ เป็นการพิสูจน์ส่วนประกอบที่เป็นส่วนย่อยในระบบภูมิคุ้มกันของแฟคเตอร์ บี ยีน ในคอมสมิทโคลนของแกะ และมีการนำยีนนี้ไปเปรียบเทียบกับแฟคเตอร์ บี ยีน ของมนุษย์ จากงานวิจัยได้ค้นพบว่าส่วนประกอบที่เป็นส่วนย่อยของแฟคเตอร์ บี ยีน จากแกะและลำดับเบสแพร์มีความคล้ายคลึงกันมาก ซึ่งสามารถบ่งบอกอีกนัยหนึ่งว่าแกะและมนุษย์มียีนบรรพบุรุษมาจากแหล่งเดียวกัน จึงอาจจะเป็นผลพลอยได้ในอนาคตสำหรับมนุษย์ไม่มากก็น้อย ผลงานวิจัยครั้งนี้องค์กรและสถาบันทางวิทยาศาสตร์ในประเทศออสเตรเลียมีความสนใจ และเห็นถึงความสำคัญ โดยจะพิมพ์งานวิจัยเผยแพร่ให้วงการวิทยาศาสตร์ได้รับรู้ด้วย ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดการให้สมบูรณ์แบบ การค้นคว้าวิจัยของ น.ส.ธนารัตน์ เป็นการทำวิจัยในปีสุดท้ายก่อนจบปริญญาโท ซึ่งทางมหาวิทยาลัยยกย่องว่าเป็นผลงานวิจัยดีเด่นที่มีคุณค่ามาก และนับเป็นคนแรกของโลกที่ค้นคว้าพบ ทำให้ ทราบว่ายีนของแกะสามารถใช้กับมนุษย์ได้ หากมีการค้นคว้าเพิ่มเติมในอนาคต และ น.ส.ธนารัตน์เข้ารับปริญญาโทเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ส่วนพิธีมอบรางวัลนักศึกษาดีเด่นจากการค้นคว้างานวิจัยดีเด่นนี้ ได้จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเคอร์ติน เมื่อค่ำวันที่ 19 พ.ค. โดยได้รับเกียรติบัตร The Best Post Graguate Student in Biomedical Sciences for 2004 พร้อมด้วยเงินรางวัลจำนวนหนึ่งเป็นกำลังใจ โดยมี ศ.จอห์น เวทเทอร์รัล คณบดี และ ดร.เดวิด กรอธ ซึ่งทั้งสองคนเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ร่วมยินดีด้วย และปัจจุบัน น.ส.ธนารัตน์ได้เข้าฝึกงานอยู่ที่โรงพยาบาลรอยัล เพิร์ธ เป็นเวลา 3 เดือนแล้ว เพื่อรอบรรจุเข้าทำงานและวางอนาคตจะเรียนปริญญาเอกต่อ ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 20 พ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)
เพคตินเปลือกมะนาว รักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
เพคติน (Pectin) อาจเป็นชื่อใหม่ที่คนไทยไม่ค่อยจะคุ้นกันนัก ทั้งๆที่บางท่านอาจจะเคยเปิบมัน เข้าท้องไปแล้วก็ตาม คือมันเป็นสารชนิดหนึ่งที่สกัดได้จากเปลือกผลไม้ ซึ่งจะมีอยู่ในพืชตระกูลส้ม เปลือกแอปเปิ้ล ซังขนุน และมะนาว สารสกัดตัวนี้จะทำหน้าที่ขัดขวาง การดูดซึมของไขมันไม่ให้เข้าสู่กระแสเลือด ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และหลอดเลือดในสมองตีบ นอกจากนี้ ยังทำหน้าที่เป็นใยอาหารทำให้เกิดการขับถ่ายได้ดี ทำให้ไม่ เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ ที่ผ่านมาประเทศไทยต้องสั่งนำเข้า เพคติน จากต่างประเทศ เพื่อมาใช้ในอุตสาหกรรม อาหารและยา คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่าปีละ 200 ล้านบาท ปัจจุบันนี้ไทยเราอาจไม่ต้องไปจ่ายเงินให้ กับต่างประเทศมากมายขนาดนั้น เมื่อนักวิทยาศาสตร์ในบ้านเราสามารถที่จะสกัด เพคติน จากเปลือกผลไม้แล้วคือ นางภัทรา อะหมะดี พีรซะหีด นักวิชาการประจำฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ววโดยขั้นตอนและกรรมวิธีสกัด จะใช้เปลือกมะนาวที่มีสีเขียว ไม่เน้นพันธุ์จำนวน 100 กก.ใช้ระยะเวลาสกัดประมาณ 13-14 ชม.จะได้เพคตินเป็นก้อน และนำมาบดให้เป็นผงประมาณ 3 กก.จากนั้นจึงนำสารสกัดดังกล่าว ไปทดลองกับสัตว์ทดลองเป็นเวลา 3 เดือน เพคติน ที่สกัดได้นี้ มีคุณภาพมาตรฐาน ตามที่องค์การอาหารและยาประกาศไว้ สามารถนำมาใช้เป็นอาหารเพื่อบริโภคได้ เหมาะที่จะนำมาทำใช้กับประเภทฟรุตสลัด จากการวิเคราะห์คุณค่าทางอาหาร ผลที่ได้พบว่าสามารถช่วยลดคอเลสเทอรอลในเลือดได้จริง อีกทั้งยังไม่เกิดผลค้างเคียง โดยผงเพคตินดังกล่าวสามารถเก็บไว้ได้นานประมาณ 2 ปีและในหนึ่งถ้วยจะมีคุณค่าพลังงานไม่เกินที่กำหนด และมีแคลอรีประมาณ 70 กิโลแคลอรี ไม่มีคอเลสเทอรอล ดังนั้น จึงเหมาะที่จะรับประทานเป็นอาหาร ว่าง โดยในอนาคตคาดว่าจะนำมาอัดเป็นเม็ด หรือผงสำหรับละลายน้ำดื่มพร้อมดื่ม...เมื่อทำได้มันก็ไม่จน ดร.นงลักษณ์ ปานเกิดดี ผู้ว่าการ สถาบัน วิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ซึ่งนำ เพคติน วว. โชว์ในงาน วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี 42 ปี ที่เมืองทองธานี ในวันที่ 25-29 พฤษภาคม ที่จะถึงนี้ หรือหากสนใจเป็นพิเศษก็ติดต่อฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ วว. โทร.0-2577-9000. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 20 พ.ค. 48 http://www.thairath.co.th
ระดับความปลอดภัยในผลไม้แห้ง
การอบแห้งกับการตากแห้ง เป็นกรรมวิธีของการถนอมอาหารประเภท ทำแห้ง ซึ่งมีมานานแล้วการอบแห้งใช้ความร้อนจากพลังงานไฟฟ้า ก๊าซ ไอน้ำ ส่วนการตากแห้ง ใช้ความร้อนจากแสงแดด การถนอมอาหารด้วยวิธีนี้ เป็นการลดปริมาณน้ำในอาหาร เพื่อให้เก็บไว้ ได้นานที่อุณหภูมิปกติ อย่างกรณีผลไม้อบแห้ง มีกรรมวิธีตั้งแต่ ปอกเปลือก หั่น ตัดแต่ง ไปจนถึงการใช้สารเคมีเพื่อช่วยรักษาคุณภาพของอาหารแห้ง สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้กำหนดมาตรฐานเชื้อจุลินทรีย์ในผลไม้อบแห้ง เชื้อรากับยีสต์ต้องปนเปื้อนได้ไม่เกิน 100 โคโลนีต่อตัวอย่าง 1 กรัม และให้มีเชื้อจุลินทรีย์ทุกประเภทรวมกันปนเปื้อนได้ไม่เกิน 10,000 โคโลนีต่อตัวอย่าง 1 กรัม เชื้อ อี.โคไล ที่ทำให้เกิดท้องร่วงในเด็กมีได้ไม่เกิน 3 MPN ต่อตัวอย่าง 1 กรัม เชื้อซาลโมเนลลาที่ทำให้เกิดอาการปวดท้องและท้องเสีย ต้องไม่มีเลยในตัวอย่าง 0.1 กรัม และเชื้อคลอสทริเดียม เปอร์ฟริงเจน ที่ทำให้อาเจียน ท้องร่วงแบบกะทันหัน และอาจถึงตายได้นั้น ต้องไม่มีเลยในตัวอย่าง 0.1 กรัม สถาบันอาหารจึงสุ่มตัวอย่างผลไม้อบแห้งย่านต่างๆในกรุงเทพฯ วิเคราะห์หาเชื้อจุลินทรีย์ปนเปื้อน ปรากฏว่า 5 ตัวอย่าง ไม่พบเชื้อ อี.โคไล, ซาลโมเนลลา,สแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส และครอสทริเดียม เปอร์ฟริงเจน แต่อย่างใด ส่วนยีสต์กับเชื้อราพบตามปกติ แต่ยังไม่เกินมาตรฐานที่ สมอ.กำหนด นับเป็นสิ่งที่น่ายินดี ท่ามกลางความหม่นมัวของสิ่งต่างๆ ที่กำลังเกิดในประเทศขณะนี้. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 20 พ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)
แพทย์จุฬาฯตรวจฉี่-น้ำลายหาไข้เลือดออก
ผศ.นพ.วันล่า กุลวิชิต ภาควิชาอายุรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ทีมวิจัยได้ประยุกต์ใช้เทคนิคพีซีอาร์ ซึ่งใช้ตรวจหาเชื้อไวรัสทั่วไปในห้องปฏิบัติการ มาตรวจวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกผ่านทางปัสสาวะหรือน้ำลายแทนการเจาะเลือดจากผู้ป่วย จึงเหมาะใช้กับผู้ป่วยเด็กและทารกที่หลอดเลือดมีขนาดเล็กมากทำให้ไม่สะดวกเจาะเลือดเพื่อส่งตรวจ โดยโครงการวิจัยได้รับทุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) โดยงานวิจัยที่ดำเนินการอยู่ได้ทดลองนำปัสสาวะและน้ำลายของผู้ป่วยเด็กมาศึกษา พบว่าในปัสสาวะสามารถใช้เทคนิคพีซีอาร์ตรวจพบไวรัสได้กว่า 80% ขณะที่หากตรวจหาเชื้อในเลือดก็จะพบได้สูงเกือบ 100% อีกทั้งสามารถตรวจพบได้แม้ว่าผู้ป่วยจะมีอาการไข้มาแล้ว 1 - 3 วัน ส่วนในน้ำลายนั้นพบว่ามีความไวน้อยกว่า โดยพบเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น แต่หากนำมาตรวจหาภูมิคุ้มกันจะสามารถพบได้เกือบ 100% เช่นกัน ทั้งนี้ โรคไข้เลือดออกมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสเด็งกี่ ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะ โดยในประเทศไทยจะพบเชื้อโรคไข้เลือดออก 4 สายพันธุ์ (4 serotype) และการติดเชื้อจะมีระดับอาการตั้งแต่ไข้ติดเชื้อธรรมดาจนถึงผู้ป่วยไข้เลือดออกที่อาการรุนแรง มีไข้สูง เกิดอาการช็อกหรือมีเลือดออกภายใน การตอบสนองของภูมิคุ้มกันที่รุนแรง รวมทั้งมีไวรัสในกระแสเลือดเป็นจำนวนมาก ซึ่งโรคนี้สามารถเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย ส่วนการวินิจฉัยในปัจจุบันจะใช้วิธีการเจาะเลือดเป็นหลัก โดยวิธีการตรวจหาไวรัสจะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ การตรวจหาภูมิคุ้มกัน (แอนติบอดี) ต่อเชื้อไวรัส และการตรวจหาชิ้นส่วนของเชื้อไวรัสโดยตรงด้วยเทคนิคพีซีอาร์ สำหรับการตรวจหาแอนติบอดีในเลือดนั้น เป็นวิธีที่แพร่หลายอย่างมากในโรงพยาบาลหลายแห่ง แต่ปัญหาติดอยู่ตรงที่โอกาสของการตรวจพบภูมิคุ้มกันแล้วบอกว่าเป็นไข้เลือดออกนั้น จะค่อนข้างน้อย เพราะส่วนใหญ่จะตรวจพบแอนติบอดีในช่วงวันแรกๆ (1-3 วัน) ที่ไข้ลดลงไปแล้ว ทำให้เสี่ยงต่อการล่าช้าในการรักษา เนื่องจากอาการช็อกมักจะอยู่ในช่วงไข้วันสุดท้าย ขณะที่การตรวจหาชิ้นส่วนของไวรัสเด็งกี่ด้วยเทคนิคพีซีอาร์ ซึ่งใช้ตรวจหาเชื้อไข้เลือดออกกว่าสิบปีแล้ว แต่ได้รับความแพร่หลายน้อยกว่า เพราะมีราคาแพงและทำได้เพียงในโรงพยาบาลที่มีห้องปฏิบัติการเท่านั้น แต่จุดเด่นของวิธีนี้คือตรวจได้เร็วกว่า โดยสามารถตรวจหาไวรัสในตัวผู้ป่วยที่เป็นไข้ในวันแรกได้ทันที ในการศึกษานำปัสสาวะมาตรวจหาภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดีต่อเชื้อไวรัสเด็งกี่ โดยสามารถตรวจพบได้เกือบ 100% แต่มีข้อจำกัดคือต้องรอให้ไข้ลดลงก่อน 1-2 วัน อย่างไรก็ตาม วิธีการตรวจหาภูมิคุ้มกันผ่านทางปัสสาวะอาจเหมาะกับการสร้างข้อมูลระบาดวิทยาของโรคไข้เลือดออก เพราะในคนปกติทั่วไปมักจะมีเชื้อโรคนี้แฝงตัวอยู่ แต่ในแง่การรักษาควรใช้เทคนิคพีซีอาร์น่าจะดีกว่า เพราะการตรวจภูมิคุ้มกันอาจช้าไม่ทันกาล สำหรับเทคนิคพีซีอาร์ที่นักวิจัยนำมาใช้นั้น เป็นการปรับปรุงให้มีความไวมากกว่าเดิม ด้วยการออกแบบชิ้นส่วนของสารพันธุกรรมที่สังเคราะห์ขึ้นมาให้ไปจับกับไวรัสเด็งกี่ในเลือด ปัสสาวะ หรือน้ำลายของผู้ป่วยให้จำเพาะมากขึ้น นอกจากนี้ ทีมวิจัยกำลังพัฒนาเทคนิคพีซีอาร์ให้เป็นแบบเรียลไทม์ด้วย เพราะปัจจุบันการตรวจต้องใช้เวลา 1-1.5 วัน แต่หากเป็นเรียลไทม์จะช่วยให้สามารถวินิจฉัยโรคได้ในเวลา 2 - 4 ชั่วโมง คาดว่าภายใน 1 ปีนี้น่าจะเห็นความชัดเจนมากขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 20 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
นักวิจัยเจ๋งทำหลังคายางพารา
เมื่อเร็วๆ นี้ ดร.พีรพันธุ์ พาลุสุข ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ มอบรางวัลโครงการวิจัยยางและโครงการยุววิจัยยางพาราดีเด่น ซึ่งทางสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) จัดขึ้น ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ ภายในงานได้มีการนำเสนอผลงานวิจัยที่น่าสนใจ เช่น งานวิจัยเรื่อง "หลังคายางพารา" จากขี้เลื่อยไม้ยาง โดย รศ.ดร.ณรงค์ฤทธิ์ สมบัติสมภพ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวว่า เรานำขี้เลื่อยไม้ยางที่มีราคาเพียงกิโลกรัมละ 50 สตางค์-1 บาท มาสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการผสมกับสารเคมีบางชนิด ทำให้เกิดเป็นหลังคายางธรรมชาติในรูปของยางแข็งที่ได้ผ่านการปรับปรุงผิวทางเคมีแล้ว หลังคานี้มีสมบัติเป็นฉนวนกันความร้อนดีกว่ากระเบื้องทั่วไปถึง 2-3 เท่า และทนทานต่อแรงกระแทก และการขีดข่วนได้เป็นอย่างดี ทั้งยังมีความยืดหยุ่นมากกว่าหลังคากระเบื้อง ไม่แตกง่ายเวลาขนส่งหรือเคลื่อนย้าย ในขณะนี้ก็ถือว่าผลงานวิจัยชิ้นนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีเพราะสามารถดำเนินการในขั้นพาณิชย์ได้แล้ว (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 21 พ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)
ออกกำลังเบาๆ ลดมะเร็งรังไข่ ออกกำลังหนักกลับไร้ประโยชน์
นักวิจัยแคนาดาค้นพบว่า การออกกำลังกายอย่างเบาๆ หรืออ่อนๆ สัมพันธ์กับความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งรังไข่ กล่าวคือผู้หญิงที่ออกกำลังกายเบาๆ อาจลดความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้ ขณะที่ผู้หญิงที่ออกกำลังกายหนักๆ กลับไม่ได้ประโยชน์ในการช่วยลดความเสี่ยงของโรคนี้ ผลงานนี้เป็นของนักวิจัยแห่งองค์การสุขภาพสาธารณะของแคนาดา ซึ่งศึกษาจากผู้หญิงเกือบ 2,600 ราย ซึ่งผลออกมาแสดงให้เห็นแนวโน้มว่าการออกกำลังกายเบาๆ และกิจกรรมในเชิงสันทนาการ ให้ผลดีในการลดความเสี่ยงโรคมะเร็งรังไข่ในผู้หญิงทั้งที่อยู่ในวัยก่อนและหลังหมดประจำเดือน คำถามที่ว่าทำไมการออกกำลังที่ว่านี้จึงช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งรังไข่ ยังเป็นเรื่องยากที่จะให้คำตอบ แต่ก็พออธิบายได้ว่า การออกกำลังกายนั้นมีความเกี่ยวพันกับการช่วยลดระดับการหมุนเวียนของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโพรเจสเทอโรนในผู้หญิง ซึ่งฮอร์โมน 2 ตัวนี้เองที่เมื่อมีระดับสูงในผู้หญิง จะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งรังไข่ อะไรคือการออกกำลังกายเบาๆ ที่จะช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งรังไข่ คำตอบคือ การเดิน การเล่นกอล์ฟ การทำสวน และเต้นรำเพื่อสังสรรค์(social dancing) ส่วนผู้หญิงที่ออกกำลังแบบหนักๆ เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ สเก๊ต ขี่จักรยาน ไม่พบว่าช่วยลดความเสี่ยงโรคนี้ ผู้เชี่ยวชาญได้ระบุด้วยว่า การออกกำลังแบบปกติจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกาย ในขณะที่การออกกำลังกายมากเกินไปกลับจะไปกดภูมิคุ้มกัน และในบางกรณีที่ร้ายแรงกว่านั้น คือมันอาจไปทำลายระบบป้องกันอนุมูลอิสระ อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยได้เตือนไว้ด้วยว่า ความอ้วนก็เป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดมะเร็งรังไข่เช่นกัน ดังนั้น ก็ควรหาทางลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังด้วย (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 21 พ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)
จุฬาฯผสมเทียมสุนัขด้วยน้ำเชื้อแช่แข็ง
ผศ.สพญ.ดร.เกวลี ฉัตรดรงค์ หัวหน้าศูนย์ผลิตน้ำเชื้อแช่แข็งและผสมเทียมสุนัขและแมว คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ พร้อมด้วยรศ.นสพ.ดร.ชัยรณงค์ โหชิต และ รศ.นสพ.ดร.สุดสรร ศิริไวทยพงศ์ คณะวิจัย ร่วมกันเปิดเผยถึงความสำเร็จในการผสมเทียมลูกสุนัขด้วยน้ำเชื้อแช่แข็ง ว่า การผสมเทียมสุนัขแบบเดิมจะใช้วิธีรีดน้ำเชื้อจากสุนัขเพศผู้ ซึ่งเป็นน้ำเชื้อสดไม่สามารถเก็บรักษาไว้ได้ ทางศูนย์ฯ จึงได้ทำการพัฒนาเทคโนโลยีในการเก็บรักษาน้ำเชื้อไว้ให้นานขึ้นด้วยวิธีการแช่แข็ง โดยเก็บรักษาน้ำเชื้อไว้ในไนโตรเจนเหลวที่อุณหภูมิลบ 196 องศาเซลเซียส ซึ่งจะมีอสุจิที่มีชีวิตมากกว่าร้อยละ70-80 ดังนั้น จึงมีโอกาสติดลูกสูง อีกทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่งสุนัข ทำให้สุนัขไม่เครียดจากการเดินทางและค่าใช้จ่ายยังถูกกว่าการผสมพันธุ์โดยตรงจากสุนัขพ่อพันธุ์ รวมทั้งสามารถนำน้ำเชื้อมาใช้ผสมเทียมได้หลายครั้ง วิธีการผสมเทียมโดยใช้น้ำเชื้อแช่แข็งนั้นต้องหาวันที่สุนัขเพศเมียตกไข่หรือใกล้วันตกไข่ให้ได้ เนื่องจากตัวอสุจิแช่แข็งที่ละลายมาแล้วจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 6-8 วัน ซึ่งอัตราการผสมติดมีมากถึงร้อยละ 80 สำหรับการผสมเทียมสุนัข โดยการใช้น้ำเชื้อแช่แข็งในครั้งนี้สุนัขพ่อพันธุ์เป็นสุนัขพันธุ์ ยอร์คเชีย เทอเรีย ชื่อฟรานโก ซึ่งเป็นสุนัขที่ได้รางวัลจากการประกวดมาถึง 3 ประเทศ ล่าสุดได้รางวัลชนะเลิศแชมเปียนแคนาดา และต้องเดินทางไปประกวดที่ต่างประเทศ ดังนั้น จึงได้ทำการแช่แข็งน้ำเชื้อไว้สามเดือนและนำมาผสมพันธุ์ในสุนัขเพศเมียชื่อคิทแคท จนในที่สุดได้ลูกสุนัขพันธุ์ ยอร์คเชีย เทอเรีย เพศผู้และเพศเมียอย่างละหนึ่งตัวชื่อว่า ยิบซี และยิบโซ มีสุขภาพแข็งแรงและมีลักษณะดีเหมือนสุนัขพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ ความสำเร็จในครั้งนี้ถือว่าน่าพอใจเป็นอย่างยิ่งเพราะสุนัขพันธุ์ ยอร์คเชีย เทอเรีย เป็นสุนัขพันธุ์เล็ก ให้ลูกได้คราวละ 3-4 ตัวเท่านั้น ทางศูนย์ฯ ยังมีแผนพัฒนาโครงการทำน้ำเชื้อแช่แข็งของแมวพันธุ์ไทยแท้และสุนัขพันธุ์ไทยแท้เพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยผู้สนใจในเทคโนโลยีนี้ สามารถติดต่อได้ที่หน่วยสูติกรรม โรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทย์ศาสตร์จุฬาฯ โทร.0-2218-9764. (สยามรัฐรายวัน เสาร์ที่ 21 พ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)
สเต็มเซลล์โสมเจ๋ง
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า คณะนักวิทยาศาสตร์เกาหลีใต้ ประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรก ในการสร้างเซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์ให้ตรงกับรหัสพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอได้ ก่อนที่จะตัดต่อให้กับผู้ป่วยโดยไม่เกิดอาการต่อต้านหรือปฏิเสธสิ่งแปลกปลอมภายในร่างกายของผู้ป่วยในเวลาต่อมา โดย ดร.เจอรัลด์ แชตเทน จากคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก ในสหรัฐฯ เปิดเผยว่า คณะนักวิทยาศาสตร์เกาหลีใต้ ได้สร้างสเต็มเซลล์จำนวน 11 ชุดด้วยการนำยีนหรือเชื้อวัสดุทางพันธุกรรมในร่างกายของผู้ป่วยมาผสมกับไข่ที่รับบริจาค เป็นเวลานาน 5 - 10 วัน เพื่อให้เกิดสเต็มเซลล์ที่ตรงกับดีเอ็นเอในร่างกายของผู้ป่วย ก่อนที่จะนำมาตัดต่อให้แก่ผู้ป่วยต่อไป โดยสเต็มเซลล์ดังกล่าว จะไม่ทำให้ร่างกายของผู้ป่วยเกิดปฏิกริยาต่อต้านสิ่งแปลกปลอมแต่ประการใด ซึ่งสเต็มเซลล์ที่ได้รับการพัฒนาครั้งใหม่นี้ สามารถนำไปปลูกถ่ายอวัยวะเพื่อรักษาให้แก่ผู้ป่วยที่ทนทุกข์ทรมานด้วยโรคพาร์กินสัน และโรคเบาหวานได้ต่อไป สำหรับการเปิดเผยผลการวิจัยสเต็มเซลล์ครั้งนี้ มีขึ้นก่อนการอภิปรายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ว่าด้วยการจัดตั้งกองทุนเพื่อการวิจัยด้านสเต็มเซลล์ของทางการสหรัฐฯ เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ขณะเดียวกัน ทางด้านมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ประเทศอังกฤษ เปิดเผยว่า คณะนักวิทยาศาสตร์ของทางมหาวิทยาลัย ประสบผลสำเร็จในการโคลนนิงตัวอ่อนมนุษย์จากไข่ที่ได้รับบริจาค ผสมจากยีนหรือเชื้อวัสดุทางพันธุกรรม ที่ได้จากสเต็มเซลล์ได้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกบนเกาะอังกฤษที่ประสบความสำเร็จในการโคลนนิงตัวอ่อนมนุษย์ (สยามรัฐรายวัน เสาร์ที่ 21 พ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)
ข่าวทั่วไป
ทำยาฉลาดออกขายแบบยาแก้ปวด ทั้งคนทั้งลิงทดลองกินแล้วสมองดี
นิตยสารวิทยาศาสตร์ นิว ไซเอนติสต์ ชื่อดังของอังกฤษรายงานว่า ได้มีการทำยาบำรุงความจำ ด้วยสารประกอบกลุ่มเดียวกันกับสาร อัมปาไคน์ ซึ่งจะไปออกฤทธิ์ช่วยเสริมพลังของสารเคมีกลูตาเมท และเพิ่มพูนสารสื่อประสาทในสมองมากยิ่งขึ้น ทำให้สมองไวเรียนรู้และนึกสิ่งต่างๆออกได้เร็วขึ้น ในการทดลองขั้นต้นของมหาวิทยาลัยเซอเรย์ ในอังกฤษ กับอาสาสมัครกลุ่มหนึ่งที่ถูกจับให้อดนอน ปรากฏผลว่า พวกเขากลับมีสติปัญญาดีขึ้นหลังจากให้กินยาเข้าไป นอกจากนั้น ในการทดลองกับลิงขั้นก่อนหน้า ก็ปรากฏว่าพวกมันได้แสดงให้เห็น เมื่อจับทดสอบทางสติปัญญาว่า พากันฉลาดขึ้นกว่าเดิมมาก คาดกันว่า กว่าจะมีการผลิตออกมาจำหน่ายได้ ยังคงจะต้องทำการทดลองอีกจนกว่าจะแน่ใจ นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียได้กล่าวเปรียบเปรยให้ความเห็นว่า คนเราก็เหมือนกับว่าต่างก็มีคอมพิวเตอร์ด้วยกัน เพียงแต่ว่าใช้เดินด้วยความดันไฟฟ้าต่างกัน แต่ยานี้จะช่วยเพิ่มความดันให้ มันสูงขึ้นได้ ทางด้านบริษัทเภสัชในแคลิฟอร์เนีย เจ้าของยา กล่าวว่า เดิมตั้งใจทำยานี้เป็นยารักษาโรคง่วงหลับ โรคสมาธิสั้น และโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 16 พ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)
ให้เลี้ยงหนอนไว้เป็นศัลยแพทย์ เหมาะกับแผลของโรคเบาหวาน
หมอออสเตรเลีย ให้เลี้ยงหนอนเอาไว้ รักษาแผล เหมือนกับเป็นหมอผ่าตัดทำแผลให้ สะอาด แบบที่หมอกลางบ้านสมัยโบราณทำกันอีก ดร.อัลวิน แชม ผู้เป็นสมาชิกของราชศัลยแพทย์ สมาคมออสเตรเลีย กล่าวว่า ควรใช้หนอนที่เลี้ยงไว้และปราศจากเชื้อโรค ให้มันทำหน้าที่จุลศัลยกรรมกัดกินเนื้อเยื่อที่ตายแล้ว ทำให้แผลหายวันหายคืนขึ้น เขาบอกต่อไปว่า การใช้หนอนอาจจะเหมาะกับแผลของโรคเบาหวานและโรคของหลอดเลือด เพราะแผลพวกนี้มักจะหายยาก และยังจะเสี่ยงกับที่จะโดนถูกผ่าตัดซ้ำ เมื่อมันอาจจะกลายและดื้อกับยาปฏิชีวนะด้วย ดร.แชมได้เปิดเผยผลการทดลองในการใช้หนอนรักษาแผลคนไข้ 9 ราย ที่โรงพยาบาลหลวงโฮบาร์ท ว่า มันช่วยรักษาแผลให้สะอาดได้ดี เพียงแต่มีการผ่าตัดตกแต่งแผลเล็กน้อยช่วยเท่านั้น พวกหนอนช่วยทำความสะอาดแผลได้ดีกว่าหมอเสียอีก เพราะหมอจะตัดเนื้อเยื่อที่ตายแล้วออกก็ต่อเมื่อมองเห็นเท่านั้น แต่พวกมันไม่เพียงแต่ทำความสะอาดเท่านั้น ยังกินเนื้อเยื่อที่ตายแล้วด้วย มันทำหน้าที่ไม่ต่างกับการทำจุลศัลยกรรม ก่อนหน้านี้เมื่อปีกลาย ก็เคยมีการศึกษาในอังกฤษพบว่า การใช้หนอนที่ปราศจากเชื้อโรคในการช่วยรักษาแผล ทำให้แผลหายเร็วกว่าใช้ยาตามปกติเสียอีก. (ไทยรัฐ อังคารที่ 17 พ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)
ปลวกแมลงมีคุณประโยชน์ รู้หน้าที่สำคัญต่อป่าธรรมชาติ
ปลวกแบ่งออกเป็น 3 วรรณะ มีรูปร่างและหน้าที่แตกต่างกันไปอย่างชัดเจน เช่น วรรณะปลวกงาน ทำหน้าที่หาอาหารมาเลี้ยงสมาชิก วรรณะปลวกทหาร ทำหน้าที่ป้องกันศัตรูที่เข้ามารบกวนภายในรัง และ วรรณะสืบพันธุ์หรือแมลงเม่า ทำหน้าที่สืบพันธุ์ และวางไข่ ชนิดของปลวกจำแนกตามแหล่งที่อยู่อาศัยได้ 2 ประเภท คือ ปลวกที่อาศัยอยู่ในไม้และปลวกที่อาศัยอยู่ในดิน หากจำแนกตามแหล่งอาหารจะแบ่งเป็น 4 ชนิด คือ ปลวกกินเนื้อไม้...ได้แก่ Crypto-termes อาจพบเป็นปลวกชนิดที่ทำรังและอาศัยเฉพาะในเนื้อไม้ ปลวกกินดินและอินทรียวัตถุ Dicuspi-ditermes ไม่ทำลายเนื้อ ไม้ กินแต่ดิน, เศษซากพืชและอินทรียวัตถุเป็นอาหาร มักอาศัยและทำรังอยู่ภายในดิน บางชนิดก็สร้างรังขนาดเล็กอยู่บนดิน ปลวกกินทั้งไม้และเพาะเลี้ยงเชื้อรา Furgus growing termite จัดเป็นกลุ่มที่มีความสามารถในการย่อยสลายสูง ทำรังอยู่ใต้ดิน หรือสร้างรังขนาดใหญ่อยู่บนพื้นดิน กินอาหารได้หลายอย่าง เรียกว่า กินทุกอย่างที่ขวางหน้า ปลวกชนิดนี้ความสามารถพิเศษก็คือสามารถเพาะเลี้ยงเชื้อราไว้ภายในรัง เรียกว่าสวนเห็ด Fungus garden ซึ่ง สามารถแตกสปอร์ออกมาเป็นเห็ดโคน ให้เป็นอาหารของคนขึ้นมาได้ ภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวบ้าน ในพื้นที่ภาคเหนือและอีสาน ในการหาเห็ดโคน จะหาตามรังปลวกชนิดนี้ แล้วเรียกเห็ดโคนว่า เห็ดปลวก ตามชื่อของผู้เพาะเลี้ยงจากธรรมชาติคือ ปลวก อีกชนิดคือ ปลวกกินไลเคน Lichen Feeding Termites เป็นปลวกชนิดที่ทำรังดินขนาดเล็กๆ อยู่บริเวณโคนต้นไม้ หรือในโพรงไม้ ในระบบนิเวศป่าธรรมชาติ ปลวกทุกชนิดจัดเป็นทรัพยากรชีวภาพแมลง ที่มีคุณค่าต่อการอนุรักษ์ (ไทยรัฐ อังคารที่ 17 พ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)
ผลักแผน พนมรุ้ง มรดกโลกเข้าครม
นางอุไรวรรณ เทียนทอง รมว.วัฒนธรรม เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรมได้เตรียมเสนอแผนการบูรณะปรับปรุงปราสาทเขาพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจรนอกสถานที่ ระหว่างวันที่ 16-17 พ.ค. ที่จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการที่จะผลักดันให้ปราสาทเข้าพนมรุ้งได้รับการพิจารณาเป็นมรดกโลก ซึ่งหากประเทศไทยสามารถผลักดันปราสาทเขาพนมรุ้งให้ได้รับการยอมรับเป็นมรดกโลกได้สำเร็จ ก็จะเป็นผลดีต่อการท่องเที่ยวของประเทศไทยด้วย เพราะปราสาทเขาพนมรุ้งเป็นโบราณสถานที่มีความงดงามอย่างมาก สำหรับแผนการดำเนินงานแผนในการบูรณะปรับปรุงปราสาทเขาพนมรุ้งนั้นเสนอเป็นแผนระยะ 10 ปี ใช้งบประมาณจำนวน 340 ล้านบาท โดยงบประมาณที่ใช้จะมาจากส่วนต่าง ๆ ได้แก่ จากกรมศิลปากร 102 ล้านบาท องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 188 ล้านบาท กรมทางหลวงและชนบท 45 ล้านบาท กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม 2 ล้านบาท และการท่องเที่ยว 1 ล้านบาท ส่วนรายละเอียดการบูรณะจะประกอบไปด้วย การศึกษาค้นคว้าด้านโบราณคดี โครงการขุดแต่งและอนุรักษ์โบราณสถาน การโยกย้ายชุมชนที่มีผลกระทบ โครงการอนุรักษ์และพัฒนาภูมิทัศน์ด้านสถาปัตย์ เป็นต้น ส่วนเรื่องที่จะก้าวไปสู่การประกาศให้เป็นมรดกโลกได้หรือไม่นั้น คงต้องรอการพิจารณาจากองค์การยูเนสโกที่จะประกาศประมาณปลายปีนี้. (เดลินิวส์ อังคารที่ 17 พ.ค. 48 http://www.dailynews.co.th๗)
สธ.ออกประกาศห้ามเก็บกวาวเครือนอกฤดู นักวิชาการโต้ทันที เหตุกระทบการพัฒนางานวิจัย
นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการพิจารณาร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กวาวเครือ) ว่า ในการสัมมนาเพื่อแสดงความเห็นในรอบสุดท้าย โดยมีตัวแทนจากทุกฝ่ายเข้าร่วม ทั้งด้านกฎหมาย การวิจัย การค้าการผลิต และองค์กรพัฒนาเอกชน รวมถึงประชาชน มีการเสนอประเด็นที่น่าสนใจ ทั้งนี้ ที่ประชุมเสนอว่า ให้มีการควบคุมมิให้มีการเก็บเกี่ยวกวาวเครือในช่วงนอกฤดู เนื่องจากจะมีสารสำคัญต่ำมาก ไม่มีประโยชน์ต่อการนำมาใช้ ซึ่งเรื่องนี้คงต้องมีการพิจารณาศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด โดยจะประสานไปยังกรมวิทยาการแพทย์ และกรมวิชาการการเกษตรในเรื่องข้อมูล เพื่อนำมาประกอบการพิจารณา รวมทั้งยังต้องรับฟังความเห็นจากนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง ช่วงฤดูการเก็บเกี่ยวของกวาวเครือ เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ธันวาคม -มกราคม เท่านั้น นอกจากนี้ที่ประชุมยังเสนอให้การควบคุมปริมาณกวาวเครือเพื่อใช้ประโยชน์ จะต้องไม่รวมถึงกวาวเครือผสมในรูปของตำรับยา ซึ่งได้มีการแปรรูปไปแล้ว เนื่องจากไม่ตรงกับเจตนากฎหมายฉบับนี้ ดังนั้น ร่างประกาศกระทรวงฉบับนี้ จะต้องนำเข้าคณะกรรมการพิจารณาร่างประกาศกระทรวงฯ เพื่อพิจารณาอีกครั้ง คาดว่าภายในปี 2548 จะสามารถประกาศได้ นายแพทย์วิชัย กล่าวต่อว่า กฎหมายฉบับนี้ถือเป็นกฎหมายฉบับแรกเพื่อคุ้มครองพืชสมุนไพรไทย ถือเป็นกฎหมายนำร่อง เพื่อเป็นการควบคุมการใช้กวาวเครือให้มีการใช้อย่างเหมาะสม มิให้สูญพันธุ์ และให้สิทธิประโยชน์ตกอยู่แก่คนไทย รวมทั้งส่งเสริมให้มีการพัฒนา ปลูกและขยายพันธุ์ ด้าน รศ.ดร.สุรพจน์ วงศ์ใหญ่ คณบดี คณะแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า การควบคุมการเก็บกวาวเครือนอกฤดูกาล ถือเป็นการจำกัดมากเกินไป อาจจะมีปัญหาต่อการพัฒนาวิจัย เนื่องจากอาจจะมีการพัฒนากวาวเครือให้เพิ่มสารสำคัญนอกฤดูได้ จึงควรจะมีการคุ้มครองในเรื่องของภูมิปัญญามากกว่าที่จะเข้ามาควบคุมการปลูก (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 18 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
สัปดาห์วันวิสาขบูชาโลก ร่วมลด-ละ-เลิกอบายมุข
จาก วันวิสาขบูชา ในพุทธกาลที่สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ซึ่งเกิดขึ้นในวันและเดือนเดียวกัน คือ ในวันเพ็ญ(ขึ้น 15 ค่ำ) เดือนหก หรือเดือนเวสาขะ พระจันทร์เสวยวิสาขฤกษ์ โดยเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อกว่า สองพันห้าร้อยปีมาแล้ว ในห้วงระยะเวลาที่ต่างกัน ซึ่งในปีนี้ที่องค์การยูเนสโกได้ยกย่องให้เป็นวันวิสาขบูชาโลก โดยเมืองไทยในฐานะที่เป็นประเทศที่มีประชาชนนับถือศาสนาเป็นอันดับต้นๆ ของโลก จึงได้จัดกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในวันวิสาขบูชาขึ้น โดยในกรุงเทพฯ จัดงาน 3 แห่งคือ 1. ที่ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย และ กทม. จะเป็นหน่วยงานหลักในการจัดสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในวันวิสาขบูชา จัดระหว่างวันที่ 16- 22 พ.ค. โดยในช่วงเช้าวันที่ 16 พ.ค. จะมีพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากพระบรมมหาราชวัง มาประดิษฐานให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะ ช่วงเย็นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จฯ ทรงเป็นประธานในพิธีเปิดงาน ส่วนแห่งที่ 2. จัดที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ โดยมีมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย เป็นหน่วยงานหลักในการจัดงานชาวพุทธนานาชาติเนื่องในวันวิสาขบูชา ถือว่า เป็นวันสำคัญสากลของสหประชาชาติ ประจำปี 2548 ระหว่างวันที่ 18-20 พ.ค. จะมีการเชิญ ผู้นำศาสนาจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกกว่า 42 ประเทศมาเข้าร่วมประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการ ร่วมบรรยายธรรม ซึ่งในวันที่ 18 พ.ค. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จะเสด็จฯ ทรงเป็นประธานเปิดการประชุมชาวพุทธนานาชาติเนื่องในวันวิสาขบูชาโลก ณ ห้องประชุม พุทธมณฑล จ.นครปฐม สำหรับแห่งที่ 3 ที่พุทธมณฑล จะเป็นศูนย์กลางการจัดงานส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในวันวิสาขบูชาจะมีการชุมนุมปฏิบัติธรรมบูชา และกิจกรรมส่งเสริมการเผยแผ่และสร้างความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ใน วันที่ 20-24 พ.ค. ซึ่งพุทธศาสนิกทุกคนสามารถเข้าร่วมทำบุญปฏิบัติธรรมตามหลัก ธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ารวมทั้งตั้งสัจจะอธิษฐานทำความดีเพื่อตัวเอง ครอบครัว ทั้งนี้ พระเทพโสภณ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดงานประชุมวิสาขบูชานานาชาติ กล่าวถึงการประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการร่วมบรรยายธรรม ที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ ว่า ได้มีการเชิญผู้นำชาวพุทธจากทั่วโลกมาร่วมประชุมระดมความคิด ซึ่งขณะนี้ได้มี ผู้นำชาวพุทธจาก 42 ประเทศตอบตกลงที่จะเข้าร่วมการประชุมแล้ว เพราะชาวพุทธทั่วโลกต้องการทำงานร่วมกันเพื่อให้เกิดพลัง โดยใช้สหประชาชาติเป็นเวทีกลางในการรวมตัวกัน (สยามรัฐ พุธที่ 18 พ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)
ไทย-ฮ่องกง ตั้งธนาคารอาวุธสู้เชื้อโรคไข้หวัดนก
น.พ.สุชัย เจริญรัตนกุล รมว.สาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังประชุมแบบทวิภาคี กับนายยอร์ก ฉ่าว รมว.สธ. ฮ่องกง ในการประชุมสมัชชาองค์การอนามัยโลก ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ว่า รมว. สาธารณสุขจากประเทศต่างๆ ร่วมกันประชุมหามาตรการรับมือโรคไข้หวัดใหญ่ รวมทั้งการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกสายพันธุ์ เอช 5 เอ็น 1 ซึ่งต้องจัดการควบคู่กันไปเพื่อป้องกันเชื้อกลายพันธุ์ และได้ตกลงความร่วมมือกัน 3 เรื่อง คือ 1.ตั้งธนาคารยาต้านไวรัสทามิฟลูร่วมกัน ซึ่งประเทศไทยได้สำรองยานี้ไว้แล้ว 300,000 เม็ด ส่วนทางฮ่องกงสำรองไว้ 3 ล้านเม็ด โดยจะทำเป็นธนาคารยา-วัคซีนภูมิภาคเอเชีย เมื่อมีการระบาดที่ประเทศใดจะได้นำไปใช้ได้ทัน ซึ่งทางฮ่องกง และสหรัฐอเมริกา เห็นด้วยกับแนวทางนี้ และจะพัฒนาเป็นเครือข่ายระดับโลก 2.การแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญระหว่างไทย-ฮ่องกง เพื่อควบคุมและป้องกันการระบาด และ 3.ความร่วมมือในการศึกษาวิจัยเชื้อไวรัสร่วมกัน ระหว่างฮ่องกงกับไทย (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 19 พ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)
'ฮู' ถวายเหรียญพระราชินี'ฟู้ดเซฟตี้ อวอร์ด'
ศ.น.พ.สุชัย เจริญรัตนกุล รมว.สาธารณสุข เปิดเผยภายหลังเดินทางกลับจากไปร่วมประชุมสมัชชาองค์การ อนามัยโลก (WHO) ครั้งที่ 58 ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 14-19 พ.ค. 48 ว่า ได้รับแจ้งอย่างไม่เป็นทางการและถือเป็นข่าวดีของประเทศไทยว่า องค์การอนามัยโลกจะทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญเกียรติคุณอาหารปลอดภัย หรือ "ฟู้ดเซฟตี้ อวอร์ด" (Food Safety Award) แด่สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ในฐานะที่พระองค์ท่านได้ทรงทุ่มเทพระวรกายที่จะพัฒนาความปลอดภัย และความสะอาดของอาหารไทยหลายโครงการ โดย เฉพาะศูนย์ศิลปาชีพที่ต่างชาติให้การยกย่อง รวมทั้งแนวพระราชดำริอาหารปลอดภัย เพื่อให้คนไทยทุกคนได้บริโภคอย่างมีคุณภาพทั่วถึงกัน คนไทยทั้งประเทศได้ถวายสมญานามพระองค์ท่านว่า "สมเด็จแม่ของแผ่นดิน" และเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ถือว่าเป็นเกียรติภูมิที่พระองค์ท่านได้ทรงสร้างให้กับประเทศ รมว.สาธารณสุขกล่าวต่อว่า เหรียญทองเกียรติคุณที่จะทูลเกล้าฯ ถวายครั้งนี้นับว่าเป็นเหรียญแรกขององค์การอนามัยโลกและเหรียญ เดียวในประวัติศาสตร์โลก โดยจะทูลเกล้าฯถวายในเดือน ส.ค.นี้ ในช่วงที่ประเทศไทยจัดประชุมการส่งเสริมสุขภาพโลก ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 7-11 ส.ค. 48 โดยทางกระทรวงฯกำลังประสานขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต เพื่อให้ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกเข้าทูลเกล้าฯถวาย (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 20 พ.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)
สูตรคิดน้ำหนักมาตรฐาน
การคำนวณกับปริมาณไขมันของตัวเอง จาก สูตรคิดน้ำหนักมาตรฐาน ซึ่งได้รับความน่าเชื่อถือ จากกระทรวงสาธารณสุข สูตรที่ 1 : [ความสูง (cm.) - 150] ได้เท่าไหร่ แล้วคูณด้วย 0.7 หลังจากนั้น นำไปบวก กับค่าดังต่อไปนี้ ผู้ชาย : ? + 50 ผู้หญิง : ? + 45 เท่านี้ ...ก็จะทราบน้ำหนักที่ค่อนข้างจะได้มาตรฐานที่แท้จริงสำหรับคนไทย สูตรที่ 2 : [ความสูง (cm.) -100] แล้วคูณด้วยค่าต่างๆ ดังต่อไปนี้คือ ผู้ชาย : ? X 0.9 ผู้หญิง : ? X 0.8 ก็จะเป็นอีกสูตรที่คำนวณน้ำหนัก ที่ค่อนข้างจะได้มาตรฐาน ที่แท้จริงสำหรับคนไทย หากคำตอบที่ได้ไม่เป็นที่พอใจล่ะก็ อย่าเพิ่งด่วนซื้อยาลดความอ้วนมารับประทาน ลองปรึกษาคุณหมอ และหันมาออกกำลังกายไปพร้อมๆ กับการควบคุมอาหารบางชนิด น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า (สยามรัฐรายวัน ศุกร์ที่ 20 พ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)
เด็กไทยคว้ารางวัลชนะเลิศที่ญี่ปุ่น งานมหกรรมศิลปะเด็กแห่งเอเชีย
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) กระทรวงวัฒนธรรม ว่า ผลการประกวดภาพเขียนเด็กในรูปแบบของสมุดภาพ หัวข้อ ชีวิตของเราบนโลกที่สวยงามใบนี้" (Our live on this Wonderful Earth) ที่ส่งไปร่วมโครงการมหกรรมศิลปะเด็กแห่งเอเชีย ครั้งที่ 7 ที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อส่งเสริมการแสดงออกทางความคิดสร้างสรรค์ และเผยแพร่วิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณีผ่านทางงานศิลปะของเด็กๆ นั้น ปรากฏว่ากิจกรรมดังกล่าวได้รับความสนใจจากเด็กๆ เป็นอย่างมากโดยมีผู้ส่งผลงานเข้าประกวดกว่า 1,500 ชิ้น ซึ่งทางคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิได้ทำการคัดเลือกไว้จำนวน 10 ชิ้น พร้อมส่งไปร่วมงานที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อต้นปี 2548 ในขณะนี้ทางสมาพันธ์แห่งชาติยูเนสโก ในประเทศญี่ปุ่น(National Federation of UNESCO Association in japan) ที่เป็นผู้ดำเนินโครงการฯได้แจ้งผลการตัดสินประกวดภาพเขียนเด็กในหัวข้อดังกล่าวนี้ โดยภาพเขียนของเด็กไทยที่ได้รับการตัดสินรางวัลชนะเลิศในส่วนของประเทศไทย คือ เด็กหญิงพฤกชาติ ประทุมนันท์จากโรงเรียนสุพรรณภูมิ จ.สุพรรณบุรี ซึ่งจะเดินทางไปรับเกียรติบัตร และเหรียญรางวัล ประเทศญี่ปุ่น ในเดือนกรกฎาคม 2548 นี้ ส่วนผลงานของเด็กไทยอีก 9 คนนั้น ต่างได้รับรางวัลดังนี้ โดยเด็กชายอริศ มณีนพผล ได้รับรางวัล AFUCA (Asian Pacific Federation of UNESCO Clus and Associations Award) จากโรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา จ.นครราชสีมา,เด็กหญิงภัษกร ประทุมนันท์ ได้รับรางวัล NFUAJ (National Federation of UNESCO Associations in Japan Award) จากโรงเรียนสุพรรณภูมิ จ.สุพรรณบุรี สำหรับเด็กหญิงมทินา วิทยาศิริกุล จากชมรมเด็กรักศิลป์ จ.ชลบุรี ได้รับรางวัลของ Mitsubishi Pavilion@Earth Award และ เด็กหญิงพรณพร คณาวัฒนกุล จากชมรมบ้านเด็กรักศิลป์ จ.ชลบุรี ได้รับรางวัล Mitsubishi Public Affairs Committee และรางวัลยอดเยี่ยมได้แก่ เด็กหญิงเจนจิรา จิรวิชญ จากโรงเรียนบ้านสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส,เด็กหญิงชลธิชา รุ่งรังษี จากโรงเรียนบ้านควนสูง จ.สุราษฎร์ธานี และเด็กชายศิวกร ชัยพินิจ จากโรงเรียนสารสาสน์วิเทศบางบอน กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ผลงานศิลปะของเด็กไทยทั้ง 10 ชิ้นนี้ทางประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดงานในครั้งนี้จะนำไปจัดแสดงนิทรรการ มหกรรมศิลปะเด็กแห่งเอเชีย ในงาน Expo 2005 ที่เมืองไอชิ ร่วมกับผลงานของเด็กในทวีปเอเชียอีก 22 ประเทศ และในส่วนของประเทศไทยนั้นทางสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติจะนำมาจัดนิทรรศการร่วมกับผลงานของเด็กอื่นๆ ที่ได้รับรางวัลพิเศษอีก 20 ชิ้น ณ ห้องนิทรรศการหมุนเวียน ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ในเดือนสิงหาคม 2548 ต่อไป (สยามรัฐรายวัน ศุกร์ที่ 20 พ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)
คลังหันใช้เหรียญ2บาท แก้ปัญหาขาดแคลน
นายไชยยศ สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กรมธนารักษ์ได้นำรายละเอียดการผลิตและนำเหรียญกษาปณ์ราคา 2 บาท ออกใช้ให้กระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว คาดว่าจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติในการประชุมวันอังคารที่ 24 พฤษภาคมนี้ หรืออย่างช้าอาจจะเป็นอังคารถัดไป หลังจากนั้นกรมธนารักษ์จะเปิดให้ภาคเอกชนเข้าร่วมประมูลผลิตเหรียญ 2 บาท โดยใช้วิธีจัดซื้อจัดจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (อี-ออคชั่น) โดยคาดว่าปลายปีนี้ กรมฯ จะนำเหรียญ 2 บาท ออกใช้ล็อตแรก 400 ล้านบาท นายไชยยศ กล่าวว่า การนำเหรียญ 2 บาท ออกใช้ ไม่ได้มีผลต่อเงินเฟ้อ ไม่ได้ทำให้ราคาสินค้าขึ้น แต่เป็นการทำให้โครงสร้างการใช้เหรียญสมดุลเท่านั้น ทำให้มีสภาพคล่องมากขึ้น และลดกำลังการผลิตเหรียญบางประเภทลง โดยเฉพาะเหรียญ 1 บาท ที่ปัจจุบันมีความต้องการใช้ เหรียญ 1 บาท เป็นจำนวนมาก จนทำให้เคยเกิดภาวะขาดแคลนเหรียญบาท การผลิตเหรียญ 2 บาท เพื่อทำให้ระบบเศรษฐกิจมีความสมดุลมากขึ้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเงินเฟ้อ เนื่องจากขณะนี้เกิดช่องว่างระหว่างเหรียญ 1 บาท และเหรียญ 5 บาท ทำให้ขาดความสมดุล ซึ่งถ้ามีการนำเหรียญ 2 บาท ออกมาใช้ ก็จะทำให้โครงสร้างเหรียญสมดุลมากขึ้น นายไชยยศ กล่าว (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 20 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
ก.ไอซีที จัดระเบียบซิมการ์ดมือถือเก่า 1 ก.ค.นี้
นายคณวัฒน์ วศินสังวร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงไอซีที แถลงหลังหารือผู้ร่วมให้บริการโทรศัพท์มือถือทุกรายว่า ที่ประชุมให้เริ่มจัดระเบียบซิมการ์ดโทรศัพม์มือถือแบบเติมเงินเก่าหรือซิมการ์ดที่จำหน่ายก่อนวันที่ 10 พฤษภาคม 2548 โดยให้ขึ้นทะเบียนซิมการ์ดตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมนี้เป็นต้นไป และจะให้เวลาในการลงทะเบียน 6 เดือน หลังจากนั้นจะระงับการใช้โทรศัพท์ของผู้ไม่มาแสดงตนชั่วคราวจนกว่าจะมาแสดงตน สำหรับข้อมูลที่จะจัดเก็บประกอบด้วย ชื่อผู้ใช้ซิมการ์ดดังกล่าว หมายเลขบัตรประชาชนและหมายเลขโทรศัพท์พร้อมลายเซ็นเจ้าของเบอร์และลายเซ็นเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยเจ้าของเบอร์โทรศัพท์จะต้องกรอกแบบฟอร์มยืนยันการใช้เบอร์ดังกล่าวด้วยตนเอง ส่วนจุดที่ให้ลงทะเบียนของประชาชนทั่วไป ประกอบด้วย สำนักงานองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) 6,000 แห่ง สำนักงานเทศบาล 1,000 แห่ง ที่ว่าการอำเภอ 800 แห่ง สำนักงานเขตในกรุงเทพมหานคร (กทม.) 56 แห่ง สำนักงานบริการทีโอที 380 แห่ง สำนักงานบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) 80 แห่ง สำนักงานบริการการประปา การไฟฟ้า สถานีตำรวจทั่วประเทศ รวมทั้งตัวแทนจำหน่ายของผู้จำหน่ายโทรศัพท์มือถือ ประมาณ 10,000 แห่ง ถ้าเป็นข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจให้ขึ้นทะเบียนที่สำนักงานในสังกัด โดยบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด จะเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดส่งข้อมูล โดยใช้ที่ทำการไปรษณีย์ 1,177 แห่ง เป็นศูนย์กลางรวบรวมข้อมูลจากจุดแสดงตัว เพื่อบันทึกลงในคอมพิวเตอร์ เข้าสู่ระบบออนไลน์ ที่ประชุมยังกำหนดให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) จัดทำแผนประชาสัมพันธ์ โดยร่วมมือกับผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือทุกรายจัดตั้งกองทุนประชาสัมพันธ์ขึ้น ให้ครอบคลุมทุกสื่อ อย่างไรก็ตาม จะมีการซักซ้อมการจัดระเบียบซิมการ์ดเก่าอีกครั้งกลางเดือนมิถุนายนนี้ ส่วนการจัดระเบียบซิมการ์ดใหม่ ที่เริ่มต้นเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้รับรายงานจากผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือว่า เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ประชาชนร่วมมืออย่างดี แต่ก็มีข้อเสนอแนะให้มีการประชาสัมพันธ์ให้มากกว่านี้ (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 20 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
หลีกเลี่ยงอาการเมาความสูง
อาการเมาความสูง หรือเจ็บป่วยเนื่องจากความสูง (altitude sickness) มักเกิดขึ้นเมื่อคน จากพื้นราบเดินทางท่องเที่ยว ไปยังภูเขาสูงๆ อย่างเช่น ภูเขาเอเวอเรสต์ หรือภูเขาอื่นซึ่งอยู่สูง เหนือระดับน้ำทะเลมาก ควรต้องทราบเสียก่อนว่า เมื่อเราขึ้นสู่ระดับความสูงที่มากขึ้น อากาศจะเบาบางลง ซึ่งนั่นหมายถึงว่ามีออกซิเจน อยู่ในบรรยากาศน้อย ดังนั้น เมื่อเราหายใจเพื่อนำออกซิเจนเข้าปอด ปริมาณออกซิเจนก็น้อยลงไปด้วย ใครที่เคยมีประสบการณ์เจ็บป่วย เนื่องจากความสูง ย่อมทราบดีว่ามันทรมานเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีปัญหา เกี่ยวกับเรื่องปอดและระบบหายใจ กลุ่มอาการของมันจะประกอบด้วย อาการปวดหัว หายใจไม่ออก เหนื่อยเพลีย คลื่นเหียนหรืออาเจียน นอนไม่หลับ บางรายถึงกับหมดสติไปก็มี ทางที่ดีก่อนจะขึ้นไปเที่ยวพื้นที่สูง ควรระมัดระวังอาการ ที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยการค่อยๆ ขึ้นไปยังระดับความสูงนั้นช้าๆ นักปีนเขาควรจะใช้เวลาสัก 2 วัน ในการปีนเขาระดับความสูง 2,400 เมตรขึ้นไป (8,000 ฟุต) แล้ววันถัดไปค่อยเพิ่มระดับความสูง อีกวันละประมาณ 300-600 เมตร (1,000-2,000 ฟุต) ในส่วนของการเตรียมพร้อมร่างกายนั้น มีข้อแนะนำว่า ในวันสองวันแรกของกิจกรรมไม่ควรออกแรงหักโหม ควรดื่มน้ำเพิ่มมากๆ ระวังอย่าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้อาการรุนแรงขึ้น อาจขอแพทย์ให้สั่งยาช่วยป้องกัน หรือรักษาอาการเมาความสูง ถ้าหากมีปัญหาเรื่องหัวใจและปอด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนไปออกกำลังปีนภูเขาสูงว่า จะร่วมกิจกรรมอย่างนั้นได้หรือไม่. (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 21 พ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)
เตรียมปิดถ้ำกระบอกอพยพชาวม้งถาวร
เมื่อวันที่ 20 พ.ค. ที่สำนักสงฆ์ถ้ำกระบอก หมู่ 11 ต.ขุนโขลน อ.พระ พุทธบาท จ.สระบุรี หน่วยเฉพาะกิจผสมพลเรือน ตำรวจ ได้จัดให้มีการประชุมร่วมกับ ข้าราชการของ อ.พระพุทธบาท ประกอบด้วย พ.ต.ท.สมศรี พัฒนาคม รอง.ผกก.ป.สภ.อ.พระพุทธบาท นายประวิทย์ ถาวโรฤทธิ์ ปลัดอำเภอพระพุทธบาท ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในที่ประชุมได้แจ้งว่าได้กำหนดปิดถ้ำกระบอกอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 26 พ.ค. นี้ โดยจะเชิญ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว. มหาดไทย เดินทางมาเป็นประธานในพิธีกล่าวปิดถ้ำกระบอกอย่างถาวร ทั้งนี้สืบเนื่องจากสำนักสงฆ์ถ้ำกระบอก ได้มีชาวเขาเผ่าม้งอพยพเข้ามาพำนักอาศัยตั้งแต่ปี 2518 สร้างปัญหามากมาย ทั้งปัญหายาเสพติด และเป็นแหล่งมั่วสุม จนยากที่จะควบคุมดูแล กระทั่งเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2546 ทางการได้ส่งทหารเข้ามาจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจผสมพลเรือน ตำรวจ ทหาร (ฉก.) เข้าควบคุม และประกาศเป็นพื้นที่เฉพาะ กำหนดเขตหวงห้ามเป็นเวลามากกว่า 2 ปี พร้อมกับทยอยจัดส่งกลุ่มชาวเขาเผ่าม้งไปยังประเทศที่สามอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเตรียมประกาศปิดถ้ำกระบอกเป็นการถาวรในที่สุด. (เดลินิวส์ เสาร์ที่ 21 พ.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)
KMUTT
Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215
|
|
|