หัวข้อข่าวปีที่ 6 ฉบับที่ 21 ประจำวันที่ 2005-06-05

ข่าวการศึกษา

เปิดตัวม.ไซเบอร์ จุฬาฯนำสอนวิศวะ คาดรับผู้เรียนปี 49
สุราษฎร์ฯเปิดวิทยาลัยท่องเที่ยวนานาชาติ
คัด 5 วท.เทคนิค อาชีวะแบรนด์เนม ป้อนตลาดแรงงาน
ศิลปกรรมมศว ออกกฎเหล็ก เลิกนุ่งฟิตจี้ติดบัตรเข้าเรียน
ห่วงขยายมหิดลวิทยานุสรณ์ ประสิทธิภาพ “ครู” ไม่พร้อม
"พระจอมเกล้าธนบุรี"ผนึกมรภ.จอมบึง เปิดสอนป.โท ภาคพิเศษ-เรียนเสาร์-อาทิตย์
เปิดรับรอบ 2 บัณฑิตทุนวิทย์-คณิต ส่งเรียนดอกเตอร์บรรจุครูทันที
สกอ.จับมือม.เกษตรฯ รับป.ตรียานยนต์-โทไอที สอนผ่านม.ไซเบอร์ปี49
มหาวิทยาลัยชั้นนำผลักดันตั้งม.อาเซียน
ชู3คติธรรมนำน้องใหม่เรียนดีมีสุข
สวช.จัดหลักสูตรหนังตะลุง
มั่นใจเงินกู้รายหัว กรอ.ทุกมหาวิทยาลัยยอมรับ
ยูเนสโกหนุนทีเคพาร์ค ต้นแบบแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย
เด็กประถมฯสร้างชื่อ คว้า7เหรียญทองแดง แข่งคณิตฯนานาชาติ
ประธานทปอ.เชื่อ"ปี"49"ม.ออกนอกระบบหมด ส่วน"ม.อ."ขอรั้งท้ายระบุกฤษฎีกาแก้จุดสำคัญ
.พ.เกษม แนะ 6 ยุทธศาสตร์ยกเครื่องงานวิจัย มหาวิทยาลัยต้องเป็นเจ้าภาพหลัก
มธ.จบปัญหาย้ายนศ.ทุกคณะพร้อมไปรังสิต

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

ผู้ดีเต้นกัมมันตภาพรังสี รง.นิวเคลียร์รั่วนานเกือบปี
ยาฮู รุกบริการใหม่ ส่ง "อีเมลภาพ" หนุนเก้าอี้เบอร์1
กองทัพเทคโนโลยี จราจร บุกไทย
พบปลาค้างคาวพันธุ์ใหม่8ชนิด
"บินมะกัน"ติดเลเซอร์
มอเตอร์ไซค์ไฮเทค : พีซีซิ่งได้
จีนปั้น "จงกวนชุน" เทียบชั้นซิลิคอน วัลเล่ย์
สตง.แฉศูนย์วิทย์รังสิตผลาญเงินชาติเกือบพันล้าน แนะ ศธ.ปรับวิธีบริหารจัดการพร้อมหารายได้เอง
"แท็กซี่เวหา" พาหนะใหม่"มะกัน-ผู้ดี"
กองทัพเทคโนโลยีโชว์'เครื่องเป่าขวดพลาสติกไทย'
นายกฯนำร่องเปิดโรงงานไบโอดีเซลเชียงใหม่
ป้อนเซลล์เชื้อเพลิงด้วยโลหิต ใช้กับเครื่องฝังติดในร่างกาย
บิลเกตส์เตรียมลงนามร่วมมือไทย ค่านับล้านดอลล์
ไอซีทีเล็งตั้งสนง.ธุรกรรมอิเล็กฯ โอนงานเนคเทค
ส่งยานฟีนิกซ์ลุยดาวแดง

ข่าววิจัย/พัฒนา

ยาฆ่าแมลงทำให้เป็นอัมพาตสั่นเตือนผู้ใช้ต้องป้องกันตัวเองไว้
กากผงหินมีราคา ผสมทำอิฐบล็อก ลดต้นทุนโรงงาน
ม.เกษตรฯ ผุดโรงงานถ้วยชามชีวภาพ
ไทยพัฒนาเซลรักษาโรคหัวใจถูกกว่าเมืองนอก
สกูบ้า หุ่นแจ๋ว ขัดพื้น
ย้อมผมไม่ต้องกลัวมะเร็ง
ใช้น้ำยางพารา ผสมหมึกพิมพ์ แทนเคมีนำเข้า
พัฒนาข้าวโพดเทียน เพิ่มราคาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
คิวบาใกล้พัฒนาวัคซีนอหิวาต์สำเร็จ
เครื่องทำแห้งเยือกแข็งสุญญากาศ เทคโนโลยีถนอมอาหารฝีมือไทย
วว.ปลื้มบล็อกประสานวิจัยสร้างรายได้
ม.ขอนแก่นคิด กะโหลกเทียม ช่วยแพทย์ผ่าตัด
ไม้ไทยมีสารยับยั้งเซลล์มะเร็ง เหมาะทำยา
ให้เหยื่อมะเร็งเต้านมสู้โรคด้วยเท้า เดินยืดอายุให้ยืนยาวออกไปได้
ทองคำกลายเป็นยาขนานวิเศษ รักษาโรคข้ออักเสบหายดีขึ้น
โมเลกุลจิ๋วหนุนอุปกรณ์ไฮเทคเล็กลง
พบพืชไทยต่อต้านมะเร็งได้ ม.มหิดลเล็งทำยาตัวใหม่ไร้ผลข้างเคียง
ผ้าอิเล็กทรอนิกส์ไฮเทค
ส้วมพกพาแก้ปัญหาฉี่อักเสบ
เครื่องทำแห้งผักตบชวา ลดปัญหาเชื้อราดีเยี่ยม
แปรพลังงานลมร้อนจากแอร์ ใช้อบแห้งผลิตผลทางการเกษตรได้
นักวิทย์สกัดฮอร์โมนกระตุ้นกุ้งวางไข่
นวดขาสะเทือนถึงหัวใจ หมอชี้วิธีใหม่รักษาหลอดเลือดตีบ
พวงมาลัยติดเซ็นเซอร์ สกัดขี้เหล้าเมาแล้วซิ่ง
หลังคายางกันแดดกันฝนทำจากขี้เลื่อยไม้พาราคู่แข่งกระเบื้องลอน
นาโนลดขนาดโมเลกุลทำอุปกรณ์ดิจิทัลเล็กสุดๆ
หนุนนักกีฏวิทยาวิจัยต่อยอด หนอนแมลงวันรักษาแผลเน่า
พัชราวลัย วงศ์ศิริ ศึกษาเชื้อแบคทีเรียที่ปนเปื้อนในน้ำดื่ม
น้ำยางพาราผสมหมึกพิมพ์ทดแทนเคมีนำเข้า
วิศวกรรมย้อนรอยเครื่องผนึกพลาสติก
มูลนิธิเอกชนหนุนทุนวิจัยแพทย์ทุกสังกัด
เครื่องอบเม็ดพลาสติก ลดปัญหาแผ่นพลาสติกเป็นรู
จุฬาฯ อวดนวัตกรรมใหม่ อนุภาคเงินนาโนฆ่าเชื้อราบนผ้า

ข่าวทั่วไป

พาณิชย์เซ็นร่วมมือ สำนักสิทธิบัตรยุโรป
กทม.จัดสัปดาห์สิ่งแวดล้อมโลก 3-10 มิ.ย.
เยาวชนไทยเจ๋งคว้าเหรียญแรงงานโลก
กางเกงในสตรีจี-สตริงเป็นภัยทำให้ผิวหนังเป็นพิษแถมติดโรค
ระวังเว็บไซต์โฆษณายารักษามะเร็ง โอ้อวดหลอกลวงเกินจริง
เกาหลีเหนือทำขนมวิเศษจากถั่วงา ทำให้เด็กตัวโตใหญ่และสมองดี
ยืดอายุสมอง ถนอมความจำ
ด้วยสองมือทูตไบเออร์
สารพิษในบ้านพิษภัยที่อาจนึกไม่ถึง
"ในหลวง"ทรงห่วงสายพันธุ์ข้าวไทย
ยูเอ็นเตรียมแจกใบเหลือง เมืองไม่รักษาสิ่งแวดล้อม





ข่าวการศึกษา


เปิดตัวม.ไซเบอร์ จุฬาฯนำสอนวิศวะ คาดรับผู้เรียนปี 49

ศ.(พิเศษ)ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยถึงความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการจัดการศึกษาระดับปริญญาตรีและปริญญาโท ในสาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ และสาขาเภสัชศาสตร์ ผ่านระบบการศึกษาทางไกลผ่านมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย (Thailand Cyber University: TCU) และเครือข่ายสารสนเทศมหาวิทยาลัยไทย (UniNet) ในรูปแบบ e-Learning ว่า ปัจจุบัน e-Learning มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนกระบวนทัศน์และเปลี่ยนรูปแบบในการจัดการศึกษาของโลกเป็นอย่างมาก ซึ่งประเทศไทยนั้นได้เริ่มใช้ e-Learning มาแล้วระยะหนึ่ง แต่ก็ยังถือว่าช้ากว่าบางประเทศ โดยความร่วมมือการสอนทางไกลผ่าน TCU กับทางจุฬาฯ ครั้งนี้ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของ e-Learning ซึ่งจะเปิดสอนใน 2 หลักสูตรคือ ระดับปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต สาขาวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ระดับปริญญาโทนานาชาติ เภสัชศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาเภสัชศาสตร์สังคมและบริหาร โดยคาดว่าทั้งสองหลักสูตร จะสามารถเปิดรับผู้เรียนได้ในภาคการศึกษาต้นปีการศึกษา 2549 อย่างไรก็ตาม ในต้นเดือนมิถุนายนนี้ สกอ. จะลงนามความร่วมมือในการเปิดหลักสูตรอื่นๆ กับ ม.เกษตรศาสตร์ ม.นเรศวร ม.เชียงใหม่ เป็นต้น ทั้งนี้ TCU ที่จัดทำขึ้นนั้นถือเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อชุมชน ซึ่งไม่มีอำนาจตามกฎหมายหรืออนุมัติปริญญา เป็นเหมือนห้างสรรพสินค้าที่มหาวิทยาลัยต่างๆ สามารถเข้ามาใช้ประโยชน์จากตรงนี้ได้ ส่วนใบปริญญานั้นก็ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยนั้นๆ จะกำหนด ด้าน ศ.คุณหญิงสุชาดา กีระนันทน์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า โลกยุคปัจจุบันทุกคนมีความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้และขวนขวายหาความรู้ด้วยตนเองเราจึงต้องช่วยกันสร้างช่องทางหรือวิธีการที่ให้แต่ละคนสามารถที่จะเรียนรู้และสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ตลอดเวลา ขณะเดียวกันการขยายโอกาสทางการศึกษาก็เป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงาน โอกาสที่จะก้าวเข้าสู่ระดับอุดมศึกษาอย่างเป็นทางการนั้นเป็นเรื่องยาก ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้จะมีส่วนสร้างโอกาสการแสวงหาความรู้ให้เก่งขึ้นและทันสมัย (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 30 พ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





สุราษฎร์ฯเปิดวิทยาลัยท่องเที่ยวนานาชาติ

ผศ.มาโนชย์ นวลสระ คณบดีวิทยาลัยนานาชาติการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า เนื่องจากวิทยาลัยนานาชาติการท่องเที่ยวได้ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อสนองความต้องการของท้องถิ่น อีกทั้งเป็นการพัฒนาศักยภาพนักศึกษาและบุคคลที่ประกอบอาชีพทางการท่องเที่ยวในภูมิภาค ซึ่งเราได้เชิญ ดร.ธงชัย สวัสดิสาร ผู้มีประสบการณ์ในการจัดทำร่างและพัฒนาหลักสูตรนานาชาติให้กับมหาวิทยาลัยมหิดล เข้ามาร่วมพัฒนาหลักสูตรในครั้งนี้ และร่วมเป็นที่ปรึกษาในการพัฒนาหลักสูตรนานาชาติ ของวิทยาลัยนานาชาติการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ต่อไป ผศ.มาโนชย์กล่าวว่า ในการจัดการเรียนการสอนของวิทยาลัยมีทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ โดยจัดแบ่งตามกลุ่มเรียนในแต่ละสาขาวิชาเอกโดยมีการบรรยายเป็นภาคภาษาอังกฤษสำหรับหลักสูตรนานาชาติ จะเน้นการเรียนการสอนด้วยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการจัดการ เรียนการสอนแบบชั้นเรียนตามปกติ โดยใช้ทั้งสองรูปแบบผสมผสานกันเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และค้นคว้าด้วยตนเองเพิ่มเติม หลักสูตรนอกจากการศึกษาภาคทฤษฎีในชั้นเรียนและเน้นการฝึกปฏิบัติจริงของผู้เรียนแล้ว วิทยาลัยการโรงแรมและการจัดการท่องเที่ยวนานาชาติยังได้เน้นการฝึกอบรมเพิ่มเติมด้านภาษาต่างประเทศ และการฝึกภาคปฏิบัติในต่างประเทศตามโครงการความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยการโรงแรมและการท่องเที่ยวในต่างประเทศ เช่น มหาวิทยาลัยในประเทศฮังการี สหรัฐอเมริกา และนิวซีแลนด์ เป็นต้น (ข่าวสด จันทร์ที่ 30 พ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





คัด 5 วท.เทคนิค อาชีวะแบรนด์เนม ป้อนตลาดแรงงาน

นายวีระศักดิ์ วงษ์สมบัติ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้คัดเลือกวิทยาลัยอาชีวศึกษา 5 แห่ง จาก 28 แห่งเป็นวิทยาลัยอาชีวศึกษาต้นแบบ หรืออาชีวะแบรนด์เนม ตามแนวคิดของ นายอดิศัย โพธารามิก รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ เป็นวิทยาลัยต้นแบบทางด้านเทคนิค วิทยาลัยเทคนิคศรีสะเกษ เป็นวิทยาลัยต้นแบบทางด้านเกษตร วิทยาลัยการอาชีพแม่ฮ่องสอน เป็นวิทยาลัยต้นแบบทางด้านอาชีพ วิทยาลัยเทคนิคภูเก็ต เป็นต้นแบบทางด้านการท่องเที่ยว และวิทยาลัยสารพัดช่างชุมพร เป็นวิทยาลัยต้นแบบทางด้านการประมง จะเริ่มดำเนินการพัฒนาวิทยาลัยทั้ง 5 แห่ง เป็นวิทยาลัยต้นแบบได้ทันที โดยใช้งบประมาณปกติ แต่การจะดำเนินการได้เร็วหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับสภาอุตสาหกรรมในพื้นที่ ซึ่งจะต้องเข้ามามีส่วนผลักดัน โดยบอกความต้องการให้ชัดเจนว่า ต้องการบุคลากรในสาขาวิชาใดบ้าง เพื่อวิทยาลัยต้นแบบจะได้ผลิตกำลังคนในสาขาวิชานั้น ได้ตรงกับทิศทางความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและตลาดแรงงาน (คมชัดลึก อังคารที่ 31 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ศิลปกรรมมศว ออกกฎเหล็ก เลิกนุ่งฟิตจี้ติดบัตรเข้าเรียน

นายสมชาย อัศวโกวิท รองคณบดีฝ่ายกิจการนิสิต คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ(มศว) เปิดเผยว่า ในปีการศึกษา 2548 คณะศิลปกรรมศาสตร์ มศว ได้เข้มงวดเรื่องการแต่งกายของนิสิต ทั้งชายและหญิง โดยทุกคนจะต้องติดบัตรเข้าเรียน เพื่อจะได้รู้ว่าเป็นนิสิตของคณะศิลปกรรมจริง ทั้งนี้ หากนิสิตคนใดแต่งกายไม่เรียบร้อยเข้ามาในห้องเรียนจะถูกตัดคะแนนจิตพิสัย ซึ่งสาเหตุที่ต้องใช้มาตรการเข้มงวดเช่นนี้ ก็เพื่อต้องการให้นิสิตได้เข้าใจคำว่า “ระเบียบวินัย” เพราะการแต่งกายที่ถูกตามระเบียบของมหาวิทยาลัยเป็นสิ่งที่นิสิต นักศึกษาทุกมหาวิทยาลัยต้องปฏิบัติตามแต่เราจะเห็นว่ากระแสการแต่งกายที่ไม่ถูกต้อง อาทิ สวมเสื้อตัวเล็ก ฟิต หรือสวมเสื้อแล้วไม่ใส่ไว้ในกระโปรงและกางเกง บางคนสวม ใส่ชุดที่ไม่เหมาะสมเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย อาทิ เสื้อกล้าม กางเกง-กระโปรงเอวต่ำ ซึ่งมีเพิ่มขึ้นทุกวัน จนทำให้ประชาชนทั่วไปสงสัยว่านิสิต นักศึกษาสมัยนี้ แต่งกายได้ตามใจชอบ และบางครั้งก็ไม่เหมาะกับการเป็นนิสิต นักศึกษา (สยามรัฐรายวัน อังคารที่ 31 พ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ห่วงขยายมหิดลวิทยานุสรณ์ ประสิทธิภาพ “ครู” ไม่พร้อม

นายอดิศัย โพธารามิก รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการตรวจเยี่ยมโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ว่า โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ เป็นโรงเรียนที่จัดการ ศึกษาสำหรับนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ซึ่งจากการตรวจเยี่ยมครั้งนี้ ต้องการทราบว่านักเรียนที่เรียนเก่งนั้นเรียนกันอย่างไร คิดอย่างไร เพราะรัฐบาลต้องการเห็นเด็กทั้งประเทศมีโอกาสเรียนลักษณะนี้บ้าง ซึ่งที่ผ่านมาโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ก็ดำเนินการด้วยดี ดังนั้นจึงมีความคิดว่าจะขยายโรงเรียนลักษณะนี้ขึ้นมาอีก10 กว่าแห่ง โดยการคัดเลือกโรงเรียนที่มีความพร้อมที่อยู่ต่างจังหวัดขึ้นมาต่อยอดด้วยการจัดอุปกรณ์การเรียนการสอนและสื่อเข้าไป มีอย่างน้อยภูมิภาคละ 1 โรง ซึ่งจะทำให้ได้จำนวนเด็กมากขึ้นได้ และไม่จำเป็นว่าจะต้องรับเฉพาะเด็กที่เก่งที่สุดในประเทศนอกจากนี้ยังได้มอบหมายให้สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.) เข้าไปดูแลเรื่องการจัดการเรียนด้านวิทยาศาสตร์ของทั้งประเทศ เพื่อให้เด็กได้รับการพัฒนาความรู้มากขึ้น เพราะต้องการให้เด็กทั่วไปมีความรู้สึกว่าวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์ไม่ใช่ของยากสามารถเรียนได้ เด็กเก่งและไม่เก่งก็เรียนด้วยกันได้ นายกฤษณพงศ์ กีรติกร ประธานกรรมการบริหารโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ กล่าวว่า การขยายโรงเรียนวิทยาศาสตร์ให้ทั่วทุกภูมิภาคตามนโยบายของ รมว.ศึกษาธิการนั้น ไม่ใช่แค่มีที่ดินเท่านั้น แต่จะต้องมีครูและมีมหาวิทยาลัยที่จะรับเป็นพี่เลี้ยงด้วย เพราะครูจะต้องมีความรับผิดชอบสูงมากเนื่องจากเป็นโรงเรียนประจำครูจะต้องอยู่กับเด็กตลอด 24 ชั่วโมง และยังอาจจะคิดถึงการเปลี่ยนเทียบในเชิงอาชีพด้วยเพราะถ้าไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย หรือเป็นนักวิจัยจะมีความอิสระมากกว่า และมีเงินเดือนสูงกว่า ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องคุยถึงรายละเอียดกันอีกครั้ง (สยามรัฐรายวัน อังคารที่ 31 พ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





"พระจอมเกล้าธนบุรี"ผนึกมรภ.จอมบึง เปิดสอนป.โท ภาคพิเศษ-เรียนเสาร์-อาทิตย์

ศูนย์การศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง จัดโครงการปริญญาโทครุศาสตร์อุตสาหกรรม ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง จัดตั้งขึ้นภายใต้นโยบายการสร้างความเข้มแข็งทางวิชาการแก่ภูมิภาคตะวันตก และเพื่อตอบสนองเครือข่ายอุดมศึกษาภาคตะวันตก นักศึกษาที่เข้าเรียนในโครงการฯ จะได้รับปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ในการศึกษานักศึกษาต้องทำการศึกษาในวันเสาร์-อาทิตย์ ที่ศูนย์การศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง โดยโครงการจะเปิดรับสมัครนักศึกษาในหลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรม สำหรับสาขาวิชาที่เปิดสอน ประกอบด้วย 1. สาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ สื่อสารและโทรคมนาคม 2. สาขาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ 3. วิศวกรรมอุตสาหกรรม ขณะนี้เปิดรับแจ้งความจำนงในการเข้าศึกษาต่อในโครงการ เพื่อพิจารณารายละเอียดและคุณวุฒิเบื้องต้นของผู้ที่ประสงค์เข้าศึกษาต่อ และจะทำการแจ้งผลให้ทราบก่อนทำการสมัครจริง ซึ่งจะทำให้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสมัครหากมีคุณวุฒิไม่ตรงตามหลักสูตรที่กำหนด การแจ้งความประสงค์สามารถแจ้งผ่านระบบออนไลน์นี้หรือที่ www.mcru.ac.th somchai.aru@kmutt.ac.th, fiber@thai.com หรือโทร.0-3226-1790-7 ต่อ 1511 แฟ็กซ์ 0-3226-1078 (ข่าวสด อังคารที่ 31 พ.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





เปิดรับรอบ 2 บัณฑิตทุนวิทย์-คณิต ส่งเรียนดอกเตอร์บรรจุครูทันที

นายพลสัณห์ โพธิ์ศรีทอง รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตครู ที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ระดับอุดมศึกษา ระดับประเทศ เปิดเผยว่า ภายหลังที่ คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติโครงการส่งเสริมการผลิตครูที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ (สควค.) ระยะที่ 2 (พ.ศ.2548-2549) โดยจะจัดให้ทุนกับบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาหลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต (วท.บ.) เข้าศึกษาต่อในหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู 1 ปี จำนวน 580 คนต่อปี ระหว่างปีการศึกษา 2548-2549 โดยเปิดรับบัณฑิตเพื่อรับทุนใน 13 ศูนย์สมัครไปแล้ว ได้แก่ ศูนย์มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยราชภัฎ (มรภ.) พระนครศรีอยุธยา มหาวิทยาลัยศิลปากร มรภ.นครปฐม มหาวิทยาลัยนเรศวร มรภ.เชียงใหม่ มรภ.นครสวรรค์ มรภ.พิบูลย์สงคราม มรภ.เพชรบูรณ์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มรภ. มหาสารคาม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมรภ.ยะลา ซึ่งหลังจากปิดรับสมัครปรากฏว่ามียอดผู้สมัครไม่ถึง 580 คน ตามที่กำหนด ดึงนั้นจึงให้ทั้ง 13 ศูนย์ รับสมัครผู้สำเร็จการศึกษาหลักสูตร วท.บ.เข้าศึกษาหลักสูตร ป.บัณฑิต ในรอบ 2 เพิ่มอีก 162 คน ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 5 มิ.ย.48 (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 1 มิถุนายน 2548 http://www.siamrath.co.th)





สกอ.จับมือม.เกษตรฯ รับป.ตรียานยนต์-โทไอที สอนผ่านม.ไซเบอร์ปี49

เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) จะลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์(มก.) ในการจัดการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาเทคโนโลยียานยนต์ และปริญญาโทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการศึกษา ในระบบทางไกลผ่านมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย(Thailand Cyber University ; TCU) และเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษา หรือ UniNet ในรูปแบบ E-Learning ในวันที่ 1 มิถุนายน ที่ มก. โดยจะแลกเปลี่ยนบุคลากร ทรัพยากรทางการศึกษา การวิจัยและพัฒนาทั้งระบบ และคอร์สแวร์สำหรับการศึกษาทางไกล เพื่อเพิ่มบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้มีปริมาณและคุณภาพต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมของไทย รวมถึงการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศด้วย คาดว่าจะเปิดรับนักศึกษาได้ในปีการศึกษา 2549 "ทั้งปริญญาตรีและโท 2 สาขาดังกล่าว เป็นโครงการนำร่องเช่นเดียวกับที่ สกอ.ลงนามบันทึกข้อตกลงกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการจัดการศึกษาปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมศาสตร์ และปริญญาโทสาขาเภสัชศาสตร์ ทั้งนี้ใน TCU จะประกอบด้วยการเรียนการสอนทุกรายวิชาที่มีอยู่ในประเทศ เอกสารการสอน คลังรวบรวมการบรรยายทุกรายวิชา คอร์สแวร์มัลติมีเดียรูปแบบต่างๆ ซึ่งแก้ปัญหาขาดแคลนอาจารย์ คุณภาพอาจารย์ และใช้ทรัพยากรร่วมกัน โดยมีระบบจัดอันดับหรือเรตติ้งคอร์สแวร์ให้ความรู้กับบุคคลทั่วไปในเรื่องต่างๆ และจัดการเรียนการสอนเต็มรูปแบบไซเบอร์สเปซ โดยให้ผู้เรียนลงทะเบียนเรียน และได้ปริญญาของมหาวิทยาลัยนั้นๆ" นายภาวิชกล่าว (มติชนรายวัน พุธที่ 1 มิถุนายน 2548 http://www.matichon.co.th)





มหาวิทยาลัยชั้นนำผลักดันตั้งม.อาเซียน

ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า จากการที่ตนได้เข้าร่วมประชุมเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน หรือ AUN ที่เมืองเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งมีผู้บริหารมหาวิทยาลัยชั้นนำ 17 สถาบันในกลุ่มอาเซียนเข้าร่วมประชุม เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประชุมได้มีการหารือเกี่ยวกับข้อเสนอของสหภาพรัฐสภาอาเซียน เมื่อปี 2547 ที่เสนอถึงรัฐบาลในกลุ่มอาเซียนเพื่อให้มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยอาเซียน โดย AUN เห็นว่าควรมีการศึกษาหาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งก่อนจึงมีมติให้ตั้งคณะทำงานที่ประกอบด้วยผู้แทนจากประเทศไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ เพื่อร่วมกันทำแผนปฏิบัติการจัดตั้งมหาวิทยาลัยอาเซียน เลขาธิการ กกอ. กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ที่ประชุมได้มีมติให้มีการขยายเครือข่าย AUN โดยให้เปิดรับสมัครสมาชิกเพิ่มอีกไม่เกิน 10 สถาบัน โดยสถาบันที่จะเข้าเป็นสมาชิกจะต้องเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำ หรือมหาวิทยาลัยวิจัยของกลุ่มประเทศในอาเซียนเท่านั้น พร้อมกันนี้ที่ประชุมได้ออกหลักเกณฑ์ประกันคุณภาพมหาวิทยาลัยอาเซียนเพื่อเป็นมาตรฐานการศึกษากลาง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศที่ยังไม่มีระบบการประกันคุณภาพเป็นของตัวเอง เช่น สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สหภาพพม่า และกัมพูชา เป็นต้น ทั้งนี้การออกหลักเกณฑ์ดังกล่าวจะเป็นแนวทางที่ช่วยให้มหาวิทยาลัยของประเทศในกลุ่มอาเซียนกลับไปปรับเกณฑ์ของตนเองให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันได้มากขึ้น และจะทำให้การแลกเปลี่ยนนักศึกษา หรือโอนย้ายที่เรียนของนักศึกษามีความสะดวกยิ่งขึ้น (เดลินิวส์ พุธที่ 1 มิ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





ชู3คติธรรมนำน้องใหม่เรียนดีมีสุข

เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.48 ศ.ดร.วิรุณ ตั้งเจริญ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ(มศว) กล่าวให้โอวาทเนื่องในงานปฐมนิเทศและต้อนรับน้องใหม่ ประจำปี 2548 ซึ่งมีนิสิตใหม่ทั้งสิ้น 3,400 คนว่า ขอให้นิสิตปักธงชัยในตัวเอง ตั้งใจเรียนในสาขาในคณะที่สอบได้ อีกทั้งในศาสตร์อื่นๆ ก็ต้องให้ความสำคัญเช่นกัน เพื่อให้สมองและศักยภาพในตัว เองได้มีความสมบูรณ์ เกิดประโยชน์ต่อตัวเอง ครอบครัวและสังคมต่อไป ทั้งนี้ สถาบันอุดมศึกษาแต่ละแห่งย่อมมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของตัวเอง มศว ก็เช่นกันเราเน้นสร้างจิตสำนึกสาธารณะ มีชีวิตเพื่อตัวเอง แต่ต้องไม่ลืมครอบครอบครัวและสังคม และนิสิตจะต้องมีลักษณะที่โดดเด่นคือ สู้งานตีนติดดิน ซึ่งการจะมีอัตตลักษณ์เช่นนี้ นิสิตต้องไม่เรียนเพียงแค่ในชั้นเรียน แต่ควรจะร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ภายในมหาวิทยาลัยและต่างมหาวิทยาลัยด้วย “อยากฝากถึงการรับน้องใหม่ ซึ่งทุกมหาวิทยาลัยจะถูกตราหน้าจากสื่อมวลชน ว่ารับน้องรุนแรง ซึ่งสะท้อนให้เห็นอำนาจนิยมแฝง มีระบบศักดินา ความไม่เสมอภาค มีการขู่บังคับ ฉะนั้นนิสิต มศว ต้องช่วยกันลบล้างอำนาจแฝงเหล่านั้นให้หมดไป และสร้างกิจกรรมการรับน้องที่มีสาระ มีประโยชน์ต่อสังคมไทย” อธิการบดี มศว กล่าวและว่า ขอให้น้องใหม่ทุกคนพึงมีคติธรรม 3 ข้อ คือ ปัญญาธรรม, สามัคคีธรรม และคารวะธรรม ถ้ามีคติธรรมทั้ง 3 ข้อ ก็จะทำให้นิสิตดำเนินชีวิตภายในมหาวิทยาลัยได้อย่างสันติสุข (สยามรัฐรายวัน พฤหัส บดีที่ 2 มิ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





สวช.จัดหลักสูตรหนังตะลุง

นางปริศนา พงษ์ทัดศิริกุล เลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากการที่สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) กระทรวงวัฒนธรรม ได้จัดทำโครงการเปิดบ้านศิลปินแห่งชาติของนายฉิ้น อรมุต ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (หนังตะลุง) ปี 2532 หรือบ้านอรรถโฆษิต เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้หนังตะลุงศิลปะการแสดงพื้นบ้านของไทยเมื่อต้นปีที่ผ่านมานั้น พบว่าประชาชนในพื้นที่และประชาชนทั่วไปให้ความสนใจมาก เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น สวช.ได้ร่วมกับ จ.สงขลา ศิลปินแห่งชาติ ปราชญ์ท้องถิ่น และนักวิชาการ เตรียมจัดทำหลักสูตรท้องถิ่นระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง "หนังตะลุงศิลปะการแสดงพื้นบ้านภาคใต้" ขึ้น เพื่อเสริมสร้างคุณค่าทางวัฒนธรรมทั้งศาสตร์และศิลป์ นางปริศนา กล่าวต่อว่า เนื้อหาของหลักสูตร มุ่งประชาสัมพันธ์กลอนหนังตะลุง การแกะรูปตัวหนัง การเชิดหนัง ที่สำคัญต้องการเพื่อให้เยาวชนได้พัฒนากลยุทธ์เทคนิคเฉพาะตน จนกระทั่งสามารถสร้างความโดดเด่นในการแสดงหนังตะลุงให้คงอยู่คู่สังคมไทย โดยจะนำร่องหลักสูตรนี้ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จ.สงขลา ระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2548 (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน 2548 http://www.komchadluek.net)





มั่นใจเงินกู้รายหัว กรอ.ทุกมหาวิทยาลัยยอมรับ

ดร.รุ่ง แก้วแดง รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการหารือผู้เกี่ยวข้องกับกองทุนเงินให้กู้ยืมที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) ว่า ที่ประชุมมอบหมายให้ ศ. (พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เป็นประธานอนุกรรมการบริหารโครงการปฏิรูประบบการเงินเพื่อการอุดมศึกษา โดยมีภารกิจในการนำเสนอร่างเอกสารเชิงนโยบาย ต่อคณะกรรมการบริหารโครงการปฏิรูประบบการเงินเพื่อการอุดมศึกษา ซึ่งมีนายจาตุรนต์ ฉายแสง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ในวันที่ 8 มิ.ย.นี้ และจะหาข้อยุติเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายรายหัวในการผลิตบัณฑิตแต่ละสาขาวิชา จากนั้นจะรายงานความคืบหน้าต่อนายกรัฐมนตรี และเสนอ ครม. ภายในเดือน มิ.ย.นี้ พร้อมทั้งทำการประชาสัมพันธ์ กับทุกฝ่าย ส่วนงบประมาณปี 2549 ได้จัดเตรียมไว้ แล้ว จำนวน 30,000 กว่าล้านบาท แบ่งเป็น เงิน กรอ. 4,000 ล้านบาท เงินให้เปล่า 600 ล้านบาท ที่เหลือเป็น เงินสำหรับผู้กู้รายเก่า ประมาณ 20,000 กว่าล้านบาท การกำหนดค่าใช้จ่ายรายหัวในการผลิตบัณฑิตแต่ละสาขาวิชา ตัวเลขยังไม่ได้ข้อยุติ ซึ่งในภาพรวมแล้วเฉลี่ยนักศึกษาทุกสาขาทั้งรัฐและเอกชน ใช้ค่าใช้จ่ายประมาณ 50,000 บาทต่อ 1 ภาคเรียน ทั้งนี้จะคำนวณค่าใช้จ่ายรายหัวดังกล่าวให้เสร็จภายในเดือน มิ.ย.นี้ โดยตัวเลขค่าใช้จ่ายในการผลิตบัณฑิตนั้น จะต้องได้รับการยอมรับจากมหาวิทยาลัย ซึ่งเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหา เนื่องจากฐานในการคำนวณค่าใช้จ่ายนั้น นำมาจากงบประมาณที่แต่ละคณะได้รับ รวมค่าหน่วยกิตที่เก็บเพิ่ม ซึ่งเป็นตัวเลขที่พิสูจน์ได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องรอการตัดสินใจในระดับนโยบายคือ จะให้นักศึกษากู้ กรอ. และเลือกเข้าเรียนมหาวิทยาลัยรัฐ และเอกชนในอัตราที่เท่ากัน หรือผู้เรียนมหาวิทยาลัยเอกชนให้กู้มากกว่ารัฐ. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน 2548 http://www.thairath.co.th)





ยูเนสโกหนุนทีเคพาร์ค ต้นแบบแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย

ดร.กล้า สมตระกูล รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวภายหลังเป็นตัวแทนผู้บริหารงานวัฒนธรรมไปประชุมเรื่องวิธีการจัดความรู้ให้กับสังคมโลก หรือสังคมแห่งการเรียนรู้ ขององค์การยูเนสโก ที่เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สหพันธรัฐรัสเซีย มีประเทศต่างๆ ทั่วโลกเข้าร่วมประมาณ 47 ประเทศ เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ที่ประชุมได้สรุปถึงสถานการณ์การจัดความรู้ ว่าปัจจุบันและอนาคตมีแนวโน้มว่าทุกประเทศจะให้ความสนใจส่งเสริมประชาชนสามารถสืบค้นหาความรู้อย่างหลากหลาย ไม่จำกัดแต่โรงเรียน สถานศึกษาเท่านั้น และเป็นไปในลักษณะของการเรียนรู้ตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ คนสูงอายุ ผ่านระบบไอซีที สื่อวิทยุ โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต เป็นการเปิดประตูการเรียนกว้างขวาง ที่สำคัญผู้เรียนอยากศึกษาเองไม่ใช่ถูกยัดเยียดจากครูผู้สอนอย่างแต่ก่อน กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของความรู้มาจาก วิถีชีวิต ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม องค์การยูเนสโกจึงมีมติให้ผู้ดูแลด้านวัฒนธรรมแต่ละประเทศเร่งสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ และจัดระบบตามมาตรฐานสากล อาทิ ประวัติศาสตร์ โบราณคดี วิถีชีวิต การแต่งกาย ภาษา จารีตประเพณี และเตรียมแหล่งเรียนรู้เข้าถึงประชาชนมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นหอสมุดแห่งชาติ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ องค์กรระดับชุมชน นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้แต่ละประเทศเสนอแนวปฏิบัติที่ทำสำเร็จมาแล้ว อาทิ ประเทศเบลารุส ได้จัดทำศูนย์เด็กเล็กและเด็กด้อยโอกาสเข้าค่าย สืบค้นความรู้ต่างๆ ทั้งในท้องถิ่น สิ่งแวดล้อม โดยนำองค์ความรู้เข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต บริหารจัดการโดยองค์กรเอกชน ส่วนประเทศไทยได้ยกตัวอย่างอุทยานการเรียนรู้ (Thai Knowledge Park) หรือทีเคพาร์ค มีการเรียนรู้หลากหลายได้รับเสียงชื่นชมจากที่ประชุมเป็นอย่างมาก แนวทางของไทยที่ วธ.รับผิดชอบคือ โครงการศูนย์บูรณาการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน ตามแนวคิดของ ม.ร.ว.จักรรถ จิตรพงศ์ อดีตปลัด วธ. ที่ริเริ่มไว้มาทำต่อ โดยให้แต่ละหน่วยงานในสังกัดลงพื้นที่สืบค้นภูมิปัญญา องค์ความรู้สาขาต่างๆ ในแบบการสัมภาษณ์ ถ่ายรูป เล่าเรื่อง นำมารวบรวมเก็บไว้ในเวบไซต์เผยแพร่ อยู่ระหว่างเสนอ ครม.อนุมัติงบกลาง 200 ล้านบาท เพื่อพัฒนาไอซีที วธ.ปี 2548 และ 500 ล้านบาท ในปี 2549 (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 3 มิถุนายน 2548 http://www.komchadluek.net)





เด็กประถมฯสร้างชื่อ คว้า7เหรียญทองแดง แข่งคณิตฯนานาชาติ

เด็กนักเรียนไทยสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศโดยคว้าเหรียญทองแดงการแข่งขันคณิตศาสตร์นานาชาติในระดับประถมศึกษาปีที่ 4-6 ทั้งประเภททีมและบุคคล ที่ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.48 นางพรนิภา ลิมปพยอม เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.)เปิดเผยว่า จากการที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้จัดกิจกรรมเวทีวิชาการแสดงความสามารถนักเรียนระดับช่วงชั้นที่ 2 (ประถมศึกษาปีที่ 4-6) เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันคณิตศาสตร์นานาชาติ (PEMIC) ระดับประถมศึกษา ครั้งที่ 3 ณ ประเทศพิลิปปินส์ (Philippine Elementary Mathematics International Contest 2005) ซึ่งในปีนี้ได้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-29 พ.ค.48 โดยการแข่งขันแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ประเภททีมและประเภทบุคคลโดยมีประเทศเข้าร่วมการแข่งขันจาก 11 ประเทศ จำนวน 43 ทีมๆ ละ 4 คน รวมทั้งสิ้น 172 คน ซึ่งในส่วนของประเทศไทย สพฐ.ได้ส่งนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันทั้งประเภททีมและประเภทบุคคลรวมทั้งหมด 3 ทีม จำนวน 12 คน สำหรับการแข่งขันครั้งนี้ประเทศไทยได้รับรางวัลเหรียญทองแดง ประเภททีม 2 ทีมได้แก่ ทีม A ประกอบด้วย ด.ช.นิติพัฒน์ ศรีปิยะโสทร ด.ช.อัษฎาพงษ์ ศรีนวกุล ด.ช.ตติยะ ศิริลือสาย โรงเรียนอนุบาลนครราช สีมา จ.นครราชสีมา และด.ญ.ชยธิญา หลีเจริญ โรงเรียนอนุบาลสุธีธร จ.นครปฐมทีม C ประกอบด้วย ด.ช. เฉลิมวิชญ์ สร้อยพุดตาน โรงเรียนอนุบาลราชบุรีจ.ราชบุรี ด.ช.ปวัน ลาภบริสุทธิ์ สาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร กรุงเทพฯ ด.ช.วรณ ปัญโญวัฒน์กูล โรงเรียนวัดพลับพลาชัย กรุงเทพฯ และด.ช.ธีรภัทร ศรีมโนรถ โรงเรียนราชวินิต กรุงเทพฯ นอกจากนี้ยัง ได้รับรางวัลประเภทบุคคล เหรียญทองแดง 5 เหรียญ ได้แก่ ด.ช.ตติยะ ศิริลือสาย ด.ช.พัฒรัฐ ช่างประหยัด โรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา จ.นครราชสีมา ด.ญ.ชยธิญา หลีเจริญ โรงเรียนอนุบาลสุธีธร จ.นครปฐม ด.ช.ธีรวัจน์พุทธิศักดิ์แสง โรงเรียนสาธิตบางนา กรุงเทพฯ ด.ช.ธีรภัทร ศรีมโนรถ โรงเรียนราชวินิต กรุงเทพฯ และรับรางวัลชมเชยอีก 6 คน ได้แก่ ด.ช.นิติพัฒน์ ศรีปิยะโสทร ด.ช.อัษฎาพงษ์ศรีนวกุล ด.ช.ธนวัฒน์ ตั้งจารุศรีธนาธร โรงเรียนอนุบาลนครราชสีมาจ.นครราชสีมา ด.ช.เฉลิมวิชญ์ สร้อยพุดตาน โรงเรียนอนุบาลราชบุรี จ.ราชบุรี ด.ช.ปวัน ลาภบริสุทธิ์ สาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร กรุงเทพฯ และ ด.ช.วรณ ปัญโญวัฒน์กูล โรงเรียนวัดพลับพลาชัย กรุงเทพฯ (สยามรัฐ ศุกร์ที่ 3 มิถุนายน 2548 http://www.siamrath.co.th)





ประธานทปอ.เชื่อ"ปี"49"ม.ออกนอกระบบหมด ส่วน"ม.อ."ขอรั้งท้ายระบุกฤษฎีกาแก้จุดสำคัญ

รองศาสตราจารย์(รศ.)ดร.ประเสริฐ ชิตพงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หรือ ม.อ. ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.) ให้สัมภาษณ์ถึงปัญหาการออกนอกระบบว่า มหาวิทยาลัยปิดทั่วประเทศทั้ง 24 แห่ง มี 4 แห่งเป็นมหาวิทยาลัยนอกระบบ ที่เหลืออีก 20 แห่งกำลังทยอยออกนอกระบบ แต่ยังติดขัดปัญหา 3 ประการ คือ ร่าง พ.ร.บ.ไม่ผ่านการพิจารณาจากรัฐบาล บุคลากรของมหาวิทยาลัยบางส่วนไม่เห็นด้วย และความล่าช้าของระบบการบริหารแบบราชการ ประธาน ทปอ.กล่าวว่า ตอนนี้ทั้ง 20 แห่งเสนอ พ.รบ.เข้ารัฐบาลแล้ว แต่ระดับการเดินหน้าไม่เท่ากัน มหาวิทยาลัยบูรพาผ่านวุฒิสมาชิกแล้ว ซึ่งไปไกลกว่าเพื่อน ถูกแก้มากจนแทบไม่เหลือเลย เมื่อเป็นเช่นนั้นสภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นด้วย จึงต้องตั้งกรรมาธิการร่วม ตามมาด้วยร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยทักษิณ กำลังจะผ่านวุฒิสภา ส่วนที่เหลือเริ่มทยอยเข้าวุฒิสภาและส่วนใหญ่อยู่ในระดับ ส.ส. มีอยู่ 4-5 มหาวิทยาลัยอยู่ที่กฤษฎีกา ซึ่งเป็นขั้นต้นเลย มีมหาวิทยาลัยนเรศวร สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช(มสธ.) และ ม.อ. ซึ่งตนอยากดูเพื่อนก่อน อย่างไรก็ตาม ถอนไม่ได้แล้ว บางมหาวิทยาลัยยืนยันมาแล้วกำลังแก้ไขกับกฤษฎีกา เพราะไม่เห็นด้วยกับเนื้อหาในร่าง พ.ร.บ.บางข้อที่กฤษฎีกาให้แก้ไข อย่าง ม.อ.เป็นมหาวิทยาลัยหลายวิทยาเขต พ.ร.บ.ที่เสนอไปหลายมาตรา เขียนเพื่อให้สามารถบริหารจัดการมหาวิทยาลัยหลายวิทยาเขตได้ดีและมีประสิทธิภาพ ปรากฏว่าโดนแก้ไขให้ไม่ต่างจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) และมหาวิทยาลัยขอนแก่น(มข.) ทำให้การบริหารวิทยาเขตทำไม่ได้ ตอนนี้ยังไม่ได้ยืนยันกับกฤษฎีกา ส่วนการที่บุคลากรบางส่วนไม่เห็นด้วยกับการออกนอกระบบ เพราะการเป็นราชการมีสวัสดิการ ความมั่นคง หากต้องถูกประเมินอย่างเข้มงวดเหมือนพนักงานแล้วจะทำงานแบบสบายไม่ได้ อย่างไรก็ตาม คิดว่าทุกมหาวิทยาลัยน่าจะออกนอกระบบภายในปี 2549 ถ้าไม่ติดขัดเรื่องร่าง พ.ร.บ. ม.อ.คงอยู่ในกลุ่มสุดท้าย (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 3 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/matichon) "เอไอที"ทุ่มงบฯ17ล.ให้ทุนเรียนอนุรักษ์พลังงาน ศาสตราจารย์(ศ.)ดร.สุรพงษ์ จิระรัตนานนท์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาพลังงาน สำนักวิชาสิ่งแวดล้อมทรัพยากรและการพัฒนา สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย(เอไอที) ในฐานะหัวหน้าโครงการพัฒนาบุคลากรทางด้านพลังงาน เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ แถลงเมื่อเร็วๆ นี้ที่สถาบันเอไอทีว่า เอไอทีได้จัดตั้งโครงการดังกล่าวเนื่องในวโรกาสที่มีพระชนมพรรษา 70 พรรษา และเพื่อสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรทางด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม โครงการนี้เกิดขึ้นตาม พ.ร.บ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานที่ประกาศใช้ พ.ศ.2535 นอกจากนี้ ยังมอบทุนการศึกษาระดับปริญญาโทปีละ 3 ทุน และระดับปริญญาเอกปีละ 6 ทุน เป็นระยะเวลา 2 ปี "ที่ผ่านมาพบว่านักเรียนที่ส่งไปเรียนต่างประเทศไม่ค่อยตรงกับความต้องการของบ้านเรา อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการเล่าเรียนยังแพงกว่าอย่างไปเรียนปริญญาเอกที่อังกฤษค่าใช้จ่ายต่อคนตกประมาณ 4 ล้านบาท แต่เรียนที่บ้านเราแค่ 1 ล้านบาท จึงน่าคิดถึงหัวข้อวิจัยที่เหมาะกับบ้านเรา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการอนุรักษ์พลังงานและการพัฒนาพลังงานทดแทนในประเทศ" ศ.ดร.สุรพงษ์กล่าว และว่า ทุนดังกล่าวเป็นครั้งแรกของโครงการ โดยใช้งบประมาณกว่า 17 ล้านบาท สำหรับพนักงานกระทรวงพลังงานฯ 40% แต่เท่าที่ผ่านมาที่มีทุนในลักษณะเช่นนี้จะมีผู้มาสมัครน้อย จึงแบ่งให้กับหน่วยราชการต่างๆ และองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรอีก 60% ทั้งนี้ ในการสมัครเข้าศึกษาเดือนสิงหาคม หมดเขตรับสมัคร 30 มิถุนายน และการเข้าศึกษาเดือนมกราคมหมดเขตรับสมัคร 30 พฤศจิกายน โทร.0-2524-5437 (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 3 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/matichon)





.พ.เกษม แนะ 6 ยุทธศาสตร์ยกเครื่องงานวิจัย มหาวิทยาลัยต้องเป็นเจ้าภาพหลัก

น.พ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี กล่าวในการประชุมสัมมนาอาจารย์และบุคลากรสายวิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เรื่องเส้นทางสู่นักวิจัยมืออาชีพ ซึ่งจัดขึ้น ที่ห้องประชุมจงรักษ์ ไกรนาม โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ถ้าประเทศไทยเราต้องการที่จะเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ หรือ Knowledge Society จะต้องศึกษาการเรียนรู้ภายใต้บริบทของสังคมไทยและสังคมโลกอยู่ตลอดเวลา และจะต้องยกเครื่องระบบการศึกษาให้สอดรับการเปลี่ยนแปลงนั้นๆอยู่เสมอ ที่สำคัญคือ สถาบันการศึกษาต้องมุ่งเน้นเรื่องการวิจัยเป็นหลัก น.พ.เกษม แบ่งกลุ่มอาจารย์ในฐานะนักวิจัยออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1. อาจารย์ใหม่ที่ยังไม่เคยทำการวิจัยมาก่อน 2. อาจารย์ที่เคยมีประสบการณ์การวิจัยภายในประเทศ บุคคลทั้งสองกลุ่มนี้มหาวิทยาลัยจะต้องมียุทธศาสตร์การพัฒนานักวิจัยเฉพาะกลุ่มแยกกันไป โดยจัดหาแหล่งทุนทั้งในและนอกประเทศ และ 3. นักวิจัยที่มีผลงานวิจัยระดับนานาชาติ ซึ่งก็จะต้องรวมกลุ่มกันให้เป็นที่ยอมรับของทั่วโลก สำหรับเจ้าหน้าที่ในฐานะนักวิจัยนั้น ควรจะต้องเน้นทักษะพื้นฐานในการทำวิจัย ให้ตระหนักรู้และสร้างองค์ความรู้ใหม่ ลงมือทำวิจัยในงานที่รับผิดชอบ เสนอผลงานวิจัยและขยายความรู้ความคิดและนำผลงานไปพัฒนานโยบาย/พัฒนาเชิงปฏิบัติ ซึ่งยุทธศาสตร์ในการพัฒนางานวิจัยนั้น ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์หลักคือ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การยกระดับและปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อการบริหารจัดการงานวิจัยซึ่งจะต้องมีแผนปฏิบัติคือ การยกระดับและปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานระดับมหาวิทยาลัย ระดับคณะและหน่วยงานเทียบเท่าคณะ ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนาความพร้อมของปัจจัยด้านต่างๆ เพื่อสนับสนุนงานวิจัย ไม่ว่าจะเป็นระบบงบประมาณเพื่อการบริหารจัดการงานวิจัยและเพื่อทำวิจัย โดยพัฒนาความร่วมมือกับหน่วยงาน ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ 3 สนับสนุนให้อาจารย์ทุกคนทำวิจัยโดยมีแผนงานพัฒนาทักษะวิจัยสำหรับอาจารย์ที่ยังไม่เคยทำ การสนับสนุนอาจารย์ที่เคยทำวิจัยแล้ว เพื่อหาแหล่งทุนวิจัย โดยเฉพาะแหล่งทุนภายในประเทศ และสนับสนุนอาจารย์ที่พร้อม โดยขอแหล่งทุนวิจัยจากต่างประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ 4 กำหนดให้นิสิตนักศึกษาทุกหลักสูตรทำการศึกษา/วิจัย โดยให้เป็นเงื่อนไขสำหรับการสำเร็จการศึกษา เพื่อหาข้อมูลและวิธีแก้ปัญหาวิชาที่ศึกษา เพื่อพัฒนาทักษะเพื่อการศึกษาวิจัย สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี และนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ยุทธศาสตร์ที่ 5 ส่งเสริมให้ข้าราชการ/พนักงาน (ที่ไม่ใช่อาจารย์) ทำการศึกษา/วิจัย เพื่อพัฒนางาน โดยกำหนดให้มหาวิทยาลัยและหน่วยงานระดับคณะหรือเทียบเท่า มีการวิจัยเพื่อพัฒนาระบบงานโครงสร้าง และนโยบายอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นการลดขั้นตอนและรายจ่าย โดยเน้นการพัฒนาทักษะเพื่อการวิจัย และยุทธศาสตร์ที่ 6 จะต้องมีกลไกความรับผิดชอบ และผู้รับผิดชอบ โดยให้อธิการบดีรับผิดชอบให้มีระบบบริหารงานวิจัยของมหาวิทยาลัย เพื่อสั่งการ กำกับติดตาม และประเมิน ทั้งในระดับอธิการบดี คณบดี โดยที่จะต้องมีแผนการวิจัย และตั้งเป้าหมายในการเป็นมหาวิทยาลัยแห่งการวิจัย (Research University) ให้ได้โดยเร็ว ทั้งนี้น.พ.เกษม ย้ำว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ มหาวิทยาลัยต้องมีนโยบายชัดเจนที่จะนำไปสู่การปฏิบัติด้วย (ข่าวสด ศุกร์ที่ 3 มิถุนายน 2548 http://www.matichon.co.th/khaosod)





มธ.จบปัญหาย้ายนศ.ทุกคณะพร้อมไปรังสิต

ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยความคืบหน้าการย้ายนักศึกษาระดับปริญญาตรีไปเรียนที่ มธ.ศูนย์รังสิต ว่า จากการประชุมร่วมกับผู้บริหารมหาวิทยาลัยและคณาจารย์จากคณะต่าง ๆ โดยได้ มีการอธิบายถึงสภาพปัญหาและความจำเป็นที่จะต้องย้ายนักศึกษาระดับปริญญาตรีไปทั้งหมด โดยเฉพาะในคณะที่เคยมีความไม่เข้าใจ ได้แก่ คณะศิลปศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ และคณะวารสารศาสตร์ และสื่อสารมวลชน ขณะนี้ทุกฝ่ายยอมรับและได้ข้อยุติเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะมีการประกาศ ให้ทราบโดยทั่วกันว่านักศึกษารุ่นที่เข้าเรียนตั้งแต่ปีการศึกษา 2549 เป็นต้นไป ไปเรียนที่ มธ.ศูนย์ รังสิตทั้ง 4 ชั้นปี เพื่อให้มีพร้อมทั้งการเรียน การสอน บรรยากาศทางวิชาการ และการมีอาจารย์อยู่ประจำ ดังนั้นนักศึกษาที่เข้าใหม่ในปีการศึกษา 2548 จะเป็นรุ่นสุดท้ายที่จะเรียนที่ศูนย์รังสิต 2 ปี แล้วมาเรียนที่ท่าพระจันทร์อีก 2 ปี ทั้งนี้จะมีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าพิจารณาในสภามหา วิทยาลัย สำหรับแผนการรับนักศึกษานั้น มธ.มีนโยบายชัดเจนว่า จะไม่ขยายการรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี เว้นแต่ กรณีที่มีความจำเป็นจริง ๆ เช่น มีการเปิดคณะ ใหม่ เพราะเราจะเน้นที่การขยายการรับนักศึกษาระดับปริญญาโท-เอก หรือสูงกว่า หรือที่เกี่ยวกับการบริการสังคม ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งในการเป็นมหาวิทยาลัยวิจัย อย่างไรก็ตามภายในปีนี้มธ.จะเสนอขอจัดตั้งคณะสาธารณสุขศาสตร์ เป็นคณะที่ 19 โดย จะนำเข้าสภามหาวิทยาลัยในเร็ว ๆ นี้ และคาดว่าจะเปิดรับนักศึกษาได้ในปีการศึกษา 2549. (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 3 มิ.ย. 2548 http://www.dailynews.co.th)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


ผู้ดีเต้นกัมมันตภาพรังสี รง.นิวเคลียร์รั่วนานเกือบปี

หนังสือพิมพ์อินดิเพนเดนต์ของอังกฤษรายงานเกิดเหตุสารละลายกัมมันตภาพรังสีราว 83,000 ลิตร หรือเท่ากับครึ่งหนึ่งของปริมาณน้ำในสระว่ายน้ำที่ใช้ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เกิดรั่วไหลจากท่อในโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ธอร์ป เมืองเซลลาฟิลด์ เขตคัมเบรีย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ รายงานระบุสารละลายดังกล่าวได้รั่วไหลตั้งแต่เดือน ส.ค.ปีที่แล้วโดยไม่มีใครสังเกตเห็น กระทั่งเพิ่งมีการพบการรั่วไหลเมื่อ 19 เม.ย.ที่ผ่านมานี่เอง จากการตรวจสอบพบเป็นความผิดพลาดที่เกิดจากคน และเป็นความผิดพลาดด้านวิศวกรรมด้วย เนื่องจากท่อลำเลียงสารละลายดังกล่าวออกแบบบกพร่องทำให้เกิดรอยแตกรั่ว ขณะเดียวกัน คนงานในโรงงานก็ประมาทและไม่ตระหนักถึงข้อบกพร่องที่อาจก่อให้เกิดอันตรายขึ้น บริติช นิวเคลียร์ กรุ๊ป ซึ่งรับผิดชอบโรงไฟฟ้าดังกล่าวได้ใช้เครื่องปั๊มสูบสารละลาย ที่รั่วไหลกลับสู่ระบบแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และยังสั่งตรวจสอบรอยรั่วๆ อื่นโดยละเอียดอีกด้วย ด้านสำนักงานพลังงานปรมาณูสากล (ไอเออีเอ) จัดระดับความรุนแรงของอุบัติเหตุสารละลายกัมมันตรังสีรั่วครั้งนี้ให้อยู่ในระดับ 3 โดยรุนแรงสุดจะอยู่ที่ระดับ 7 ดังที่เคยเกิดขึ้นกับโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์เชอร์โนบิล ในรัสเซียเมื่อปี 2529 อนึ่ง เมื่อเดือน ก.ย. 2535 โรงไฟฟ้าของอังกฤษแห่งนี้ก็เคยเกิดอุบัติเหตุที่ก่อความรุนแรงระดับ 3 มาแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดซ้ำขึ้นอีกจึงอาจทำลายความหวังของ รัฐบาลและกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องการจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งใหม่เพิ่ม. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 30 พ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ยาฮู รุกบริการใหม่ ส่ง "อีเมลภาพ" หนุนเก้าอี้เบอร์1

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ยาฮู ได้เปิดทดลองให้บริการ "โฟโต้เมล" ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถส่งไฟล์ภาพ แนบกับข้อความในอีเมลได้ถึง 300 ภาพ และสามารถจัดเก็บภาพได้ไม่จำกัดจำนวนบนเครื่องแม่ข่ายของยาฮู นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถใส่คำบรรยายภาพติดไปกับรูปที่แนบไฟล์ไปกับอีเมล รวมถึงปรับแต่งภาพได้ตามต้องการ เช่น หมุนภาพ, ปรับขนาด และสามารถปรับระดับความคมชัดของภาพได้ คาดเปิดให้ใช้บริการอย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้ นายแอนดี้ สพิลเลน รองประธานฝ่ายอีเมลของยาฮู กล่าวว่า "โฟโต้เมล" เป็นบริการครั้งแรกของยาฮูที่ผสมผสานความเรียบง่ายในการให้บริการอีเมล ด้วยการพัฒนาความจุของการจัดเก็บภาพแบบออนไลน์ การปรับแต่งภาพ และฟังก์ชันการค้นหารูปภาพที่มีมากกว่า 1,500 ล้านภาพ ขณะที่ผู้ให้บริการอีเมลรายอื่น จะจำกัดจำนวนภาพ และข้อมูลในการส่งแต่ละครั้ง ทั้งนี้ ภาพที่ปรากฏอยู่ในบริการ "โฟโต้เมล" จะเป็นภาพขนาดเล็ก (thumbnails) โดยผู้ใช้สามารถคลิกที่ภาพเพื่อดูภาพในขนาดใหญ่ขึ้นได้ ซึ่งภาพนั้นจะถูกเก็บไว้บริการภาพออนไลน์ของยาฮู จากสถิติระบุผลสำรวจเมื่อเดือน เม.ย.ว่า ยาฮู เป็นผู้ให้บริการอีเมล อันดับ 1 ด้วยจำนวนผู้ใช้ 64 ล้านรายต่อเดือน ตามมาด้วย เอโอแอล 49 ล้านราย และฮอตเมล ประมาณ 43 ล้านราย ให้บริการอีเมลแล้ว 6 ภาษา และมีเวบไซต์ที่พัฒนาเป็นภาษาท้องถิ่นในยุโรปตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไปถึงโปแลนด์, ตุรกี, ไทย, มาเลเซีย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 30 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





กองทัพเทคโนโลยี จราจร บุกไทย

ตามที่คณะรัฐมนตรีลงมติเห็นชอบให้กระทรวงคมนาคมเป็นแกนหลักในการพัฒนาระบบขนส่งอัจฉริยะ หรือที่รู้จักในชื่อสากลว่า "Intelligent Transport System : ITS" เพราะเชื่อว่าจะช่วยจัดการจราจรได้ดียิ่งขึ้น มีความปลอดภัยสูง อีกทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ เทคโนโลยีที่น่าสนใจสำหรับผู้ขับขี่รถยนต์บนทางด่วนคือ ระบบเก็บค่าผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากสามารถลดการคับคั่งของรถยนต์บริเวณด่านเก็บเงิน โดยระบบจะทำการสื่อสารระยะสั้นในการรับและส่งสัญญาณแบบ 2 ทาง ระหว่างอุปกรณ์ติดตั้งในรถยนต์กับอุปกรณ์ติดตั้งข้างถนน โดยผู้ขับขี่สามารถจ่ายค่าผ่านทางผ่านบัญชีธนาคาร โดยไม่จำเป็นต้องชะลอและหยุดรถเพื่อจ่ายค่าผ่านทางที่ด่านเก็บเงินแต่อย่างใด สำหรับอุปกรณ์เก็บค่าผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่ติดตั้งในรถยนต์นี้ได้รับความนิยมมากในประเทศญี่ปุ่น สนนราคาตั้งแต่ 3-5 หมื่นเยน ซึ่งญี่ปุ่นตั้งเป้าว่าจะติดตั้งอุปกรณ์ชนิดนี้ในยานพาหนะถึง 70% ของยานพาหนะทั้งหมดในประเทศ ภายในปี 2550 เมื่อระบบเก็บค่าผ่านทางได้รับความนิยมมากขึ้น อุปกรณ์ชำระเงินก็สามารถสร้างการสื่อสารระยะสั้นระหว่างถนนกับรถยนต์มากขึ้น เทคโนโลยีขนส่งอัจฉริยะจึงถูกดัดแปลงและสร้างประโยชน์ใช้สอยได้มาก จนกลายเป็นเครื่องมือที่ใช้ในด้านลูกค้าสัมพันธ์ เช่น การชำระค่าจอดรถ อีกทั้งได้รับการดัดแปลงให้ใช้ประโยชน์สารพัด เช่น ระบบนำทางรถยนต์ที่แสดงข้อมูลในรูปแบบภาพและเสียง นอกจากนี้ผู้ขับขี่ยังสามารถต่ออินเทอร์เน็ตสำรวจสิ่งกีดขวางบนถนน ตรวจสภาพถนนของที่หมายปลายทางได้อีกด้วย โดยกระทรวงคมนาคมร่วมกับสมาคมทางหลวงแห่งประเทศไทย จะจัดแสดงเทคโนโลยีระบบจราจรอัจฉริยะ ระหว่างวันที่ 14-17 มิถุนายนนี้ ณ ไบเทค บางนา อาทิ สัญญาณจราจรพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องมือตั๋วแบบอ่านและถอดรหัส ระบบนำทางรถยนต์ เครื่องขุดเจาะพื้นแบบเรดาร์ (คมชัดลึก จันทร์ที่ 30 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





พบปลาค้างคาวพันธุ์ใหม่8ชนิด

ดร.ชวลิต วิทยนนท์ หัวหน้าฝ่ายอนุรักษ์ทะเลและแหล่งน้ำจืด กองทุนสัตว์ป่าโลก(WWF) สำนักงานประเทศไทย และนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องชีวิตปลาน้ำจืด ให้สัมภาษณ์ว่า จากการสำรวจเก็บตัวอย่างพันธุ์ปลาในพื้นที่ต่างๆ พบปลาพันธุ์ใหม่ที่ไม่เคยเจอที่ใดในโลกมาก่อนถึง 8 ชนิด เป็นปลาในกลุ่มปลาค้างคาว พบ บริเวณแม่น้ำปาย จ.น่าน ต้นแม่น้ำปิง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ทั้งหมดล้วนอยู่ในพื้นที่ล่อแหลมต่อการถูกรบกวน และมีปริมาณค่อนข้างน้อย หากไม่ดูแลอนุรักษ์ไว้ โอกาสที่จะทำให้ปลาพวกนี้สูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยมีมาก ขณะนี้จึงยังไม่อยากเปิดเผยรายละเอียดมากนัก อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กำลังทำแผนเพื่อหาทางป้องกัน และอนุรักษ์ ปลาที่เพิ่งค้นพบทั้งหมดโดยจะร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่ ให้ช่วยกันดูแล ไม่ให้ใครเข้าไปรบกวนแหล่งที่อยู่ และแหล่งอาหารปลาพวกนี้อยู่ (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 30 พ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





"บินมะกัน"ติดเลเซอร์

เมื่อ 29 พ.ค.หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์รายงานว่า กระทรวงป้องกันมาตุภูมิ สหรัฐอเมริกา ให้เงินทุนสนับสนุน 4,800 ล้านบาท เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการติดตั้งอุปกรณ์ "เลเซอร์" ไว้ใต้ท้องเครื่องบินโดยสารในสหรัฐจำนวน 6,800 ลำ เพื่อป้องกันการโจมตีจากขีปนาวุธแบบยิงประทับบ่า ซึ่งเป็นอาวุธที่ผู้ก่อการร้ายมักใช้ยิงใส่อากาศยานของชาติตะวันตกและชาติพันธมิตร โดยเลเซอร์จะทำหน้าที่ตรวจจับขีปนาวุธที่พุ่งเข้ามายังเครื่องบินและส่งสัญญาณบังคับไม่ให้ขีปนาวุธระเบิด ปัจจุบัน โครงการติดเลเซอร์เครื่องบินกำลังทดลองกับเครื่องบินโบอิ้ง 767 ของสายการบินอเมริกันแอร์ไลนส์ (ข่าวสด จันทร์ที่ 30 พ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





มอเตอร์ไซค์ไฮเทค : พีซีซิ่งได้

มอเตอร์ไซค์ไฮเทค : พีซีซิ่งได้ ได้จัดแสดงในงานคอมมาร์ต ไทยแลนด์ 2005 ซึ่งจัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นความคิดของ นายชาคริต สัพโพ กองบรรณาธิการนิตยสารคอมมาร์ต กับผลงาน “Motorbike X-1” ที่นำคอมพิวเตอร์พีซีมาปรับใส่รถมอเตอร์ไซค์ ทำให้เจ้าของขี่ไปแชทไปและฟังเพลงได้ไม่จำกัดสถานที่ รถคันนี้สร้างจาก 4 นักคิด ภายในเวลา 2 สัปดาห์ ทดลองขี่จริงโดยคุณชาคริต ซึ่งใช้เป็นพาหนะขี่จากบ้านมาทำงานทุกวัน และยังไม่พบปัญหาอะไร สามารถฟังเพลงเอ็มพี3 ได้ไพเราะไม่ต่างจากเล่นผ่านคอมพิวเตอร์ที่ทำงานหรือที่บ้าน นอกจากข้อจำกัดเล็ก ๆน้อย ๆ ตามแบบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่ไม่ควรโดนน้ำ เพราะอาจทำให้ช็อต สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฮเทค คันนี้ ใช้ซีพียู อินเทล เพนเทียมโฟร์ 1.8 GHz, Memory Kington DDR400 1 GB, Harddisk Seagate Monentus54.2 100 GB, จอแสงผลแอลซีดี ขนาด 5 นิ้ว ติดตั้งแทนที่หน้าปัดวัดความเร็ว ควบคุมการสั่งงานด้วยคีย์บอร์ดไร้สาย ใช้ไฟฟ้าในการทำงาน 360 วัตต์ จากแบตเตอรี่รถยนต์ที่นำมาติดตั้งเสริม เล่นคอมพิวเตอร์ได้ต่อเนื่อง 2 ชั่วโมงครึ่งรองรับการเพิ่มข้อมูลผ่าน MS Card, SD Card และทัมไดร์ฟ ไม่รองรับการใช้งาน CD และ Floppy Disk เพราะต้องการลดขนาดของซีพียู สามารถดูหนัง ฟังเพลง เข้าอีเมล แชท(สนทนาออนไลน์) และโหลดภาพได้ ที่สำคัญมีกล้องติดตั้งไว้ที่ด้านหลังของรถทำให้มองเห็นรถที่อยู่ด้านหลังผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ โดยไม่ต้องมองกระจกข้าง ราคาอยู่ที่ 103,000 บาท แบ่งเป็นค่ามอเตอร์ไซค์ 52,000 บาท ค่าเครื่องคอมพิวเตอร์พีซี 37,000 บาท และค่าปรับแต่ง 14,000 บาท (เดลินิวส์ อังคารที่ 31 พ.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





จีนปั้น "จงกวนชุน" เทียบชั้นซิลิคอน วัลเล่ย์

สำนักข่าวเอ็มเอสเอ็นบีซี รายงานว่า ประเทศจีน กำลังพัฒนาไปสู่การเป็นแหล่งรวบรวมนักลงทุนด้านเทคโนโลยีแห่งใหม่ ในรูปแบบที่ซิลิคอน วัลเล่ย์ ประสบความสำเร็จมาแล้ว โดยสร้าง “จงกวนชุน” (Zhongguancun) ซึ่งเป็นอำเภอในเขตตะวันตกเฉียงเหนือของปักกิ่ง ที่อยู่ไม่ไกลจากพระราชวังฤดูร้อนมากนัก กำลังเป็นพื้นที่ตั้งของบริษัทไฮเทคนับพันแห่ง ครอบคลุมตั้งแต่บริษัทข้ามชาติ ได้แก่ ไมโครซอฟท์, ซัน, ซีเมนส์, เอ็นอีซี ลงไปถึงบริษัทท้องถิ่นขนาดใหญ่และเล็ก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นกิจการที่ได้รับการสนับสนุนด้านเงินลงทุนจากบริษัทลงทุนระดับโลก (incubator) นายเหม็ง ไม กรรมการผู้จัดการอุทยานวิทยาศาสตร์ซินหัว และศาสตราจารย์ แห่งมหาวิทยาลัยซินหัว กล่าวว่า อุทยานวิทยาศาสตร์แห่งนี้ ไม่ได้จัดตั้งเพื่อเป็นเพียงหน่วยงานด้านการวิจัยเท่านั้น แต่จะมุ่งให้การสนับสนุนทางธุรกิจแบบครบวงจร ได้แก่ เข้าไปร่วมลงทุน, ให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย, บริหารทรัพย์สิน รวมไปถึงส่งทีมเข้าสนับสนุนผู้ประกอบการใหม่ วัดความเหมือนและแตกต่าง นอกจากนี้ จงกวนชุน ยังมีปัจจัยสนับสนุนสำหรับพัฒนาสู่การเป็นซิลิคอน วัลเล่ย์ ของประเทศ ก็คือ สถาบันการศึกษาที่แข็งแกร่ง เช่นเดียวกับ ซิลิคอน วัลเล่ย์ ที่ถือกำเนิดขึ้นที่สแตนฟอร์ด และมีบริษัทแห่งแรกได้รับการจัดตั้งเมื่อต้นทศวรรษที่ 1950 (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 31 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





สตง.แฉศูนย์วิทย์รังสิตผลาญเงินชาติเกือบพันล้าน แนะ ศธ.ปรับวิธีบริหารจัดการพร้อมหารายได้เอง

เอกสารรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ 2546 ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ที่เสนอต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อเร็วๆ นี้ ในหน้า 290 ทาง สตง.ระบุว่า จากการตรวจสอบโครงการศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาแห่งชาติ รังสิต สังกัดสำนักบริหารการศึกษานอกโรงเรียน กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นแหล่งบริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม โดยได้รับงบประมาณจำนวน 902.59 ล้านบาท พบว่าการดำเนินงานไม่บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ และการใช้ประโยชน์จากอาคารไม่คุ้มค่า สำหรับการดำเนินงานไม่บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ เนื่องจากเป้าหมายลักษณะโครงสร้างกำหนดให้มีศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาแห่งชาติที่รังสิตและให้จัดตั้งศูนย์ประสานงานเครือข่ายวิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาขึ้น ณ ศูนย์วิทยาศาสตร์ดังกล่าว ทำหน้าที่สนับสนุนการดำเนินงานของเครือข่ายวิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาทุกระดับ และกำหนดให้อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ แต่ยังไม่สามารถเปิดให้บริการได้อย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะลานแสดงกลางแจ้งยังไม่มีการใช้ประโยชน์ นอกจากนี้ฐานการเรียนรู้ทั้ง 9 หลัง มีการใส่กุญแจไว้หากไม่ได้แจ้งล่วงจะไม่สามารถเข้าชมได้ ซึ่งแต่ละปีรัฐบาลยังต้องจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการดำเนินกิจการศูนย์วิทยาศาสตร์ฯ รังสิต และศูนย์วิทยาศาสตร์ฯ หว้ากอ โดยไม่มีการจัดเก็บรายได้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ดังเช่นศูนย์วิทยาศาสตร์ฯ เอกมัย การดำเนินโครงการล่าช้า ทำให้ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากกิจกรรมต่างๆ ของศูนย์ได้เต็มที่และในเวลาอันสมควร โดยเฉพาะผู้ที่มาใช้บริการ เช่น นักเรียน นิสิต นักศึกษา เสียโอกาสในการสร้างคุณค่าเพิ่มให้ตนเอง ที่สำคัญการไม่ได้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่อาคารอย่างเต็มที่ ทำให้เกิดการสูญเปล่าคิดเป็นมูลค่าประมาณ 198.25 ล้านบาท นอกจากนี้ การดำเนินกิจการที่ยังไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ ยังเป็นภาระต่อรัฐบาลในการจัดสรรงบประมาณ สาเหตุสำคัญที่ทำให้การดำเนินงานของศูนย์ ไม่บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของโครงการ เนื่องจาก 1.การจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินไม่สอดคล้องกับแผนการดำเนินงาน 2.การจัดสรรงบประมาณในแต่ละปีไม่เป็นไปตามแผน และไม่เพียงพอต่อการดำเนินกิจกรรม 3.บุคลากรไม่เพียงพอ และขาดทักษะในการให้บริการ หรือให้ความรู้แก่ผู้มาใช้บริการ 4.ขาดการวางแผนในการดำเนินกิจการที่ดี โดยเฉพาะในด้านการบริหารจัดการในระยะยาว ทำให้ประสบปัญหาด้านการจัดเก็บรายได้ หรือการพึ่งพาตนเอง พร้อมกันนี้ สตง.ได้แจ้งให้ปลัด ศธ.ดำเนินการดังนี้ 1.ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัด ติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง จริงจัง 2.ให้มีการปรับปรุง ทบทวนแผนการพัฒนาบุคลากร โดยควรดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอน กำหนดหลักสูตร วิธีการอบรมให้เหมาะสมกับภารกิจ หรือกิจกรรมในการให้บริการของศูนย์วิทยาศาสตร์ฯ และดำเนินการอบรม หรือพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 3.ให้มีการปรับปรุงการบริหารจัดการภายในศูนย์วิทยาศาสตร์ฯ และลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น รวมทั้งประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มเติม หรือแก้ไขระเบียบ ข้อบังคับ ให้ศูนย์วิทยาศาสตร์ฯสามารถจัดเก็บรายได้ไว้ใช้จ่ายในการบริหารงานเองได้ (มติชนรายวัน อังคารที่ 31 พ.ค. 48 http://www.matichon.co.th/matichon)





"แท็กซี่เวหา" พาหนะใหม่"มะกัน-ผู้ดี"

ในส่วนของสหรัฐอเมริกา หน่วยงานที่ทำหน้าที่ดูแลโครงการ "แท็กซี่เวหา-แท็กซี่เหินฟ้า" ได้แก่ สำนักงานการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐ (นาซ่า) ซึ่งริเริ่มโครงการดังกล่าวร่วมกับเอกชนภายใต้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า "ระบบเครื่องบินขนส่งขนาดเล็ก" (Small Aircraft Transportation System) หรือเรียกย่อๆ ว่า "แซทส์" แนวคิดของ "แซทส์" ก็คือเชื่อมต่อลานบินเล็กๆ 5,200 แห่งที่กระจายอยู่ทั่วสหรัฐเข้าด้วยกันเป็นเครือข่าย เพื่อใช้เป็นลานขึ้น-ลงของเครื่องบินขนาดเล็กรุ่นใหม่ ซึ่งจะบินรับส่งผู้โดยสารเหมือนกับรถแท็กซี่บนท้องถนน แตกต่างกันตรงที่ว่า แท็กซี่บนฟ้านั้นจะบินไปถึงจุดหมายห่างออกไปหลายสิบ หลายร้อยกิโลเมตร ในเวลาแค่ไม่กี่นาที ทั้งยังไม่ต้องมาผจญสภาพรถติดเป็นตังเมเหมือนกับรถแท็กซี่ที่วิ่งอยู่ตามเมืองใหญ่และมหานครต่างๆ นาซ่าประเมินว่า ถ้าแท็กซี่เวหาเริ่มเปิดใช้บริการภายในปีพ.ศ.2553 หรืออีก 5 ปีจากนี้ จะช่วยลดสภาพการจราจรแออัดตามสถานีขนส่งใหญ่ๆ ลงได้ร้อยละ 10 – ติดตั้งอุปกรณ์ไฮเทค สำหรับเครื่องบินที่จะใช้ในโครงการแท็กซี่เวหามี 2 รูปแบบ เครื่องบินเครื่องยนต์ใบพัดเดี่ยว และเครื่องบินเครื่องยนต์เจ๊ต ราคาประมาณ 40-80 ล้านบาทต่อลำ แต่อุปกรณ์และระบบไฮเทคที่แท็กซี่เวหาเหล่านี้ต้องติดตั้งเหมือนกันหมดทุกรุ่นก็คือ 1. ระบบนำร่องด้วยดาวเทียม (จีพีเอส) 2. ระบบแสดงภาพ 3 มิติ ช่วยให้คนขับมองเห็นแท็กซี่ลำที่บินอยู่ใกล้เคียง 3. ระบบป้องกันการชนอัตโนมัติ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา 4. หน้าจอแสดงผลการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งจะปรากฏภาพบนกระจกหน้า 5. เรดาห์ซึ่งสามารถตรวจจับและจำลองภาพสภาพภูมิประเทศที่อยู่ด้านหน้าของแท็กซี่เวหาได้ นาซ่าระบุว่าโครงการแท็กซี่เวหาอาจเริ่มต้นในบางพื้นที่ภายในปี 2553 ถ้าจะเปิดให้บริการทั่วสหรัฐอาจต้องรอต่อไปอีก 20 ปี นประเทศอังกฤษ โครงการแท็กซี่เวหาริเริ่มจริงๆ จังๆ โดยบริษัทเอกชน "อัฟเซน" ซึ่งเตรียมทดสอบแท็กซี่เวหารุ่น "เจ๊ตพ็อด" ของตนเองในปีหน้า และคาดว่าจะเปิดให้บริการตามเมืองใหญ่ๆ ภายในปี 2553 เช่นเดียวกับโครงการแท็กซี่เวหาของนาซ่า จากข้อมูลการออกแบบเบื้องต้นเจ๊ตพ็อดเป็นเครื่องบินขนาด 5 ที่นั่ง ติดตั้งเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบเจ๊ต ราคาลำละ 40 ล้านบาท ความโดดเด่นของแท็กซี่เวหารุ่นนี้ก็คือ ใช้ระยะทาง "เทก-ออฟ" นำเครื่องขึ้นจากลานวิ่งแค่ 400 ฟุต หรือสั้นกว่าลานวิ่งปกติถึง 10 เท่า และบินด้วยความเร็วสูงสุดประมาณ 560 กิโลเมตร/ชั่วโมง เนื่องจากเจ๊กพ็อดทำความเร็วได้สูง ทำให้สามารถทำเวลาบินรับส่งผู้โดยสารได้หลายเที่ยว ดังนั้น ราคาค่าบริการจะตกอยู่ที่ 40 ปอนด์ หรือราวๆ 3,000 บาท ซึ่งถือว่าต่ำถ้าเทียบกับค่าครองชีพของคนอังกฤษในกรุงลอนดอนและเมืองใหญ่ๆ (ข่าวสด อังคารที่ 31 พ.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





กองทัพเทคโนโลยีโชว์'เครื่องเป่าขวดพลาสติกไทย'

นายชัยณรงค์ ลิมป์กิตติสิน ผู้อำนวยการสายอุตสาหกรรม บริษัท รี้ด เทรดเด็กซ์ จำกัด เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 2 - 5 มิถุนายนนี้ บริษัทจัดงานแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยี 3 งานประกอบด้วย เอเชียแพ็คเอเชียพริ้นท์, วิสคอมเอเชียและอินเตอร์พลาสไทยแลนด์ เพื่อเสริมความเข้มแข็งอุตสาหกรรมด้านการผลิตบรรจุภัณฑ์ การพิมพ์ การผลิตสื่อโฆษณาและอุตสาหกรรมพลาสติก โดยบริษัทร่วมแสดงผลงานกว่า 370 รายจาก 14 ประเทศทั่วโลก อาทิ จีน ไต้หวัน อังกฤษ ญี่ปุ่น ฮ่องกง เยอรมนี อิตาลี อเมริกา ที่ไบเทคบางนา อาทิ นวัตกรรมผลิตเครื่องเป่าขวดพลาสติกฝีมือคนไทยโดยบริษัท มหาธานีแมคชีนเนอร์รี่ จำกัด และส่งออกตลาดโลก อาทิ อเมริกา ฮาวาย ลิเบีย เวียดนามและปีนี้มีนโยบายขยายตลาดไปยังปากีสถานและมาเลเซีย สำหรับเครื่องเป่าขวดพลาสติกขนาด 20 ลิตร ทดแทนถังอะลูมิเนียมใส่น้ำมันพืช และเครื่องเป่าขวดทนความร้อนใส่น้ำเกลือทางการแพทย์ขนาด 1 ลิตร โดยเครื่องจักรจำหน่ายในประเทศเพียง 1.75 ล้านบาท ซึ่งต่างจากราคาของผู้ผลิตจากเยอรมนีและญี่ปุ่นมาก ที่เครื่องละไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท ขณะที่บริษัท สยามทบพัน แพ็คเกจจิ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายกล่องกระดาษ เตรียมอวดโฉม "แผ่นดิสก์กระดาษ" เป็นครั้งแรกในอาเซียน และคาดว่าจะผลิตออกจำหน่ายภายใน 2 - 3 ปีนี้ ผลิตโดยใช้เทคโนโลยีแสงน้ำเงิน (บลู-เรย์) มีความจุมากกว่าแผ่นดีวีดีถึง 5 เท่า และเนื่องจากวัสดุหลักเป็นกระดาษจึงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งสะดวกในการตกแต่งลวดลาย โดยสามารถพิมพ์ลายบนดิสก์กระดาษได้ทันที เพื่อเพิ่มความสวยงาม แถมยังทำลายเพื่อป้องกันข้อมูลที่เป็นความลับได้ง่ายด้วยกรรไกรหรือเผาไฟ ขณะที่ผู้ผลิตยังคำนึงถึงโครงสร้างพื้นฐานของการรีไซเคิลอีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท 4 สีรุ่น HC5000 เทคโนโลยีเฉพาะของริโซ่ ที่สามารถพิมพ์ได้ความเร็วสูงสุด 105 แผ่นต่อนาที จัดเป็นเครื่องพิมพ์ระบบอิงค์เจ็ทสีที่เร็วสุดในโลก เหมาะสำหรับงานพิมพ์จำนวนไม่มากหรืองานเร่งด่วน สามารถรองรับงานพิมพ์จากโปรแกรมต่างๆบนคอมพิวเตอร์ได้ ด้านฮิวเลตต์ แพคการ์ด (เอชพี) ได้เปิดตัวเครื่องพิมพ์ดิจิทัลออฟเซ็ทรุ่น อินดิโก 5000 ครั้งแรกในไทย และเป็นการเปิดตัวเครื่องที่สองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเครื่องแรกอยู่ที่สิงคโปร์ คุณสมบัติเครื่องพิมพ์ดังกล่าวสามารถรองรับความต้องการการพิมพ์ทุกรูปแบบ ทั้งพิมพ์เพียงแผ่นเดียว จนถึงสั่งพิมพ์มากกว่า 2,000 แผ่นขึ้นไป สามารถพิมพ์งานฉลาก สติกเกอร์และเนื้อวัสดุที่หลากหลาย อาทิ บัตรเครดิต พลาสติกที่เป็นบรรจุภัณฑ์อาหารและยา โดยการสั่งงานจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 1 มิถุนายน 2548 http://www.bangkokbiznews.com)





นายกฯนำร่องเปิดโรงงานไบโอดีเซลเชียงใหม่

นางสิริพร ไศละสูต อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เปิดเผยว่าวันที่ 11 มิ.ย.นี้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดโครงการผลิตไบโอดีเซลชุมชน กำลังผลิตวันละ 2,000 ลิตร เป็นโครงการนำร่องของพพ. โดยใช้น้ำมันพืชที่ใช้แล้ว และปาล์มน้ำมัน เป็นวัตถุดิบหลักผสมสัดส่วน 2% ในน้ำมันดีเซล เรียกว่าไบโอดีเซล สูตร B2 โดยจะส่งผลผลิตให้กับบริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) และบางจาก ที่มีปั๊มน้ำมันทดลองจำหน่ายไบโอดีเซลค่ายละ 2 แห่ง ที่อ.สันกำแพง และอ.เมือง จ.เชียงใหม่ นางสิริพร กล่าวว่า โรงงานนี้จะเป็นจุดทดสอบประสิทธิภาพการผสมไบโอดีเซลสูตร B 20,B30 และB50 เบื้องต้นในส่วนของ B20 จะทดลองประสิทธิภาพระยะ 1 ปี โดยจะประสานงานกับค่ายรถยนต์ และวิศวกรรมยานยนต์ เพื่อให้การส่งเสริมสูตร B20 โดยระยะแรกนี้การส่งเสริมจะมุ่งไปที่การผสมในน้ำมันดีเซล 10% ก่อน หรือทดแทนการใช้น้ำมันดีเซลวันละ 8.5 ล้านลิตรต่อวันภายในปี 2555 เนื่องจากปัจจุบันปาล์มน้ำมันที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอ ขณะที่ผลผลิตต่อไร่ต่ำมากมีเพียง 2.7 ตันต่อไร่ ต้องอาศัยเวลาพัฒนาพันธุ์เพื่อให้ได้ผลผลิตไร่ละ 3.5 ตัน อย่างไรก็ตาม เมื่อกระทรวงเกษตรฯกำหนดโซนนิ่งการปลูกปาล์มที่ชัดเจนแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเข้าไปส่งเสริมการเพาะปลูก หากเกษตรกรที่อยู่ในโซนสนใจปลูกปาล์มจะมีการประกันราคาผลผลิตให้กก.ละ 2.50 บาทต่อกก. แต่หากเกษตรกรปลูกนอกพื้นที่ก็จะไม่ได้สิทธิการประกันราคา ส่วนวิธีการที่จะแยกการผลิตปาล์ม เพื่อผลิตไบโอดีเซล กับปาล์มที่จะผลิตเป็นอาหาร ก็จะส่งเสริมเฉพาะพื้นที่ใหม่เท่านั้น จากการประเมินพบว่าสามารถหาพื้นที่ใหม่ปลูกปาล์มได้ประมาณ 4-5 ล้านไร่ โดยมั่นใจว่าพื้นที่ใหม่แถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เฉพาะบริเวณริมแม่น้ำโขงเท่านั้น ที่มีความเหมะสมที่จะปลูกปาล์มได้เนื่องจากมีความชื้นมาก และอยู่ใกล้แหล่งน้ำ (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน 2548 http://www.bangkokbiznews.com)





ป้อนเซลล์เชื้อเพลิงด้วยโลหิต ใช้กับเครื่องฝังติดในร่างกาย

นักวิทยาศาสตร์ชาวอาทิตย์อุทัย ได้ พัฒนาเซลล์เชื้อเพลิง อันเป็นหม้อกำเนิดไฟฟ้า ที่ใช้ออกซิเจนกับไฮโดรเจนทำปฏิกิริยากัน ที่ใช้โลหิตเป็นวัตถุดิบ เพื่อไม่ให้ มีสารพิษอันใดเลย เหมาะสำหรับจะใช้ในเครื่องหายใจเทียมและอวัยวะอย่างอื่น ศาสตราจารย์มัตสุอิโกะ นิซาวา อาจารย์วิชาชีววิศวกรรม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยโตโฮกุ แจ้งว่า ได้คิดใช้โลหิตเป็นวัตถุดิบเพื่อจะสกัดเอากลูโคส อันเป็นน้ำตาลในโลหิตไปใช้ อีกต่อหนึ่ง เซลล์เชื้อเพลิงชีวะทุกแบบมักจะมีสารประกอบโลหะอยู่ในตัว ซึ่งอาจจะปล่อยพิษ เมื่อใช้เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้สำหรับผ่าตัดเข้าไปใส่ไว้ในร่างกายออกมาได้ เซลล์เชื้อเพลิงแบบใช้เลือดนี้จะมีขนาดเท่ากับเหรียญเงินขนาดจิ๋ว สามารถกำเนิดไฟฟ้าขนาด 0.2 มิลลิวัตต์ ซึ่งพอจะใช้กับเครื่องวัดระดับน้ำตาลและส่งวิทยุรายงานให้ทราบได้. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน 2548 http://www.thairath.co.th)





บิลเกตส์เตรียมลงนามร่วมมือไทย ค่านับล้านดอลล์

บิล เกตส์ เตรียมลงนามความร่วมมือกับรัฐไทยด้วยมูลค่านับล้านดอลลาร์สหรัฐ หวังดันไทยเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีเวบเซอร์วิส รวมทั้งโครงการด้านการศึกษาหลายๆ โครงการ พร้อมมีกำหนดการเข้าพบนายกรัฐมนตรี ในการเยือนไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรก 30 มิ.ย.นี้ นายแอนดรูว์ แม็คบีน กรรมการผู้จัดการ บริษัทไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากแผนการเยือนไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรกของนายบิล เกตส์ ประธานบริษัทและประธานฝ่ายสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์ รวมทั้งผู้ก่อตั้งบริษัท ไมโครซอฟท์ คอร์ป. วันที่ 30 มิถุนายนนี้นั้น เพื่อเป็นการแสดงถึงจุดยืนและความมุ่งมั่นของไมโครซอฟท์ต่อการช่วยพัฒนาภูมิภาค รวมทั้งชี้ให้เห็นถึงแนวทางใหม่ๆ ในการทำงาน และนวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีที่จะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานด้านข้อมูลในอนาคตอันใกล้ โดยเขามีกำหนดการเข้าเยี่ยมคารวะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รวมทั้งเข้าพบเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล ลูกค้า และพันธมิตรรายสำคัญของไมโครซอฟท์ รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญและนักพัฒนาไอที นายแม็คบีน กล่าวด้วยว่า บริษัทได้จัดกิจกรรมให้ผู้ชื่นชอบนายบิล เกตส์ ให้ร่วมตอบคำถามในเวบ www.msn.co.th/billgates เริ่มตั้งแต่วันพุธที่ 8 มิ.ย.นี้เป็นต้นไป โดยผู้ชนะจะมีโอกาสได้เข้าร่วมพบนาย บิล เกตส์ ในวันที่ 30 มิ.ย.นี้ด้วย พร้อมกับระบุว่า การมาเยือนไทยครั้งนี้ เป็นเพราะนายเกตส์ เห็นถึงความสำคัญของประเทศไทย ที่รัฐบาลค่อนข้างให้ความสำคัญกับการใช้ไอทีเพื่อการก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจองค์ความรู้ การจัดทำโครงการสมาร์ทการ์ด รวมถึงโครงการใช้บัญชีการเงินอิเล็กทรอนิกส์ (จีเอฟเอ็มไอเอส) นอกจากนั้น การเดินทางเยือนไทย จะเป็นการยืนยันความมุ่งมั่นของไมโครซอฟท์ในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีเวบเซอร์วิส รวมทั้งโครงการด้านการศึกษาหลายๆ โครงการที่กำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบันเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้อย่างไม่สิ้นสุด (Life-long Learning) (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 3 มิ.ย. 2548 http://www.bangkokbiznews.com)





ไอซีทีเล็งตั้งสนง.ธุรกรรมอิเล็กฯ โอนงานเนคเทค

นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวภายหลังประชุมร่วมคณะกรรมการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ วานนี้ (2) ว่า ไอซีทีจะจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ขึ้น ปฏิบัติภารกิจตาม พ.ร.บ.ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ 2544 และจะโอนงานจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ที่เป็นเลขานุการของคณะทำงาน มาด้วย รวมทั้งเร่งรับบุคลากรเพิ่ม โดยก่อนหน้านี้ ได้ทำเรื่องแก้ไขเพิ่มเติมใน พ.ร.บ.ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ให้คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.ร.) แต่ยังไม่มีความคืบหน้า ส่วนกฎหมายลูกตาม พ.ร.บ.ธุรกรรมฯ ได้แก่ พระราชกฤษฎีการะบุธุรกรรมที่ไม่เข้าข่าย พ.ร.บ.นี้ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานเลขานุการนายกรัฐมนตรี แต่ร่างพระราชกฤษฎีกาอื่นๆ คือ การออกใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ การกำกับดูแลบริการด้านอิเล็กทรอนิกส์ การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ และการกำหนดลักษณะของเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย กำลังรอร่างจากเนคเทค ขณะที่ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งปัจจุบันมี 2 ร่าง คือ ร่างของเนคเทค และร่างที่ออกโดยสำนักงานข้อมูลข่าวสาร ซึ่งได้ข้อสรุปให้รวมเป็นร่างเดียวนั้น สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ดำเนินการ ส่วนร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ ที่เปลี่ยนชื่อมาจากร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งออกจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กลับมาที่กระทรวงไอซีทีแล้ว คาดว่า จะเสนอกลับ ครม.เร็วๆ นี้ (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 3 มิ.ย. 2548 http://www.bangkokbiznews.com)





ส่งยานฟีนิกซ์ลุยดาวแดง

องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ หรือนาซา เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า ทางนาซาจะส่งยานอวกาศฟีนิกซ์จากศูนย์อวกาศเคนเนดี ขึ้นไปสู่ดาวอังคารในเดือนสิงหาคม 2550 หรืออีก 2 ปีข้างหน้า โดยยานฟีนิกซ์ซึ่งมีมูลค่าเพียง 386 ล้านดอลลาร์ มีกำหนดการลงสู่บริเวณมาร์เทียนอาร์คติก อยู่ทางตอนเหนือของดาวอังคาร ในเดือน พฤษภาคม 2551 หรือหลังจากที่ปล่อยขึ้นสู่วงโคจรอวกาศแล้วประมาณ 9 เดือน ทั้งนี้ ฟีนิกซ์จะมีภารกิจหลักก็คือ การสำรวจร่องรอยของแหล่งน้ำ ตลอดจนถึงความเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร ด้วยท่อนแขนกลที่มีขนาดยาว และมีศักยภาพในการขุดเจาะพื้นผิวต่างๆ รวมทั้งพื้นที่ที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งได้เป็นอย่างดี สำหรับยานฟีนิกซ์เป็นผลงานสร้างสรรค์ร่วมกันระหว่างองค์การนาซากับมหาวิทยาลัยอาริโซนาในสหรัฐฯ (สยามรัฐรายวัน เสาร์ที่ 4 มิ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





ข่าววิจัย/พัฒนา


ยาฆ่าแมลงทำให้เป็นอัมพาตสั่นเตือนผู้ใช้ต้องป้องกันตัวเองไว้

นักวิทยาศาสตร์กล่าวเตือนว่า ยาฆ่าแมลงมีส่วนทำให้เป็นโรคอัมพาตแบบสั่นขึ้นได้ ยิ่งได้ถูกต้องใกล้ชิดมากแค่ไหน ก็จะยิ่งล่อแหลมกับโรคมากขึ้น นิตยสารวิทยาศาสตร์ “นิว ไซเอนติสต์” อันมีชื่อเสียงของอังกฤษแจ้งว่า นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยอเบอร์ดีน ได้พบในการศึกษาจากผู้คนในชาติต่างๆ จำนวนเกือบ 3,000 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยด้วยโรคอัมพาตแบบสั่น 767 ราย พบว่า ผู้ที่มีส่วนสัมผัสยาฆ่าแมลงไม่มาก อย่างเช่นผู้ที่ทำสวนตอนปลายสัปดาห์ มีความเสี่ยงต่อโรคนี้เพียง 9% แต่หากเป็นชาวไร่ชาวนา ซึ่งมีส่วนสัมผัสมันอยู่เป็นประจำ จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมากถึง 43% โรคอัมพาตแบบสั่น เป็นโรคของความเสื่อมของระบบประสาทซึ่งยังไม่มีทางรักษาได้ ผู้ป่วยจะเคลื่อนไหวแขนขาได้ลำบาก มีอาการสั่นและรู้สึกกระตุกเขม่นที่ใบหน้า นิตยสารกล่าวไว้ว่า ผลการศึกษาเรื่องนี้ ควรจะเป็นการเตือนให้ ชาวไร่ชาวนา และคนทั่วไป รู้จักป้องกันร่างกายเอาไว้ เมื่อต้องใช้ยาฆ่าแมลงเหล่านี้. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 30 พ.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





กากผงหินมีราคา ผสมทำอิฐบล็อก ลดต้นทุนโรงงาน

นายคัมภีร์ สอนเจริญทรัพย์ นายอลงกรณ์ โพธิ์พนม และนายเอกชัย ผัดแสน นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตตาก และมีอาจารย์สนธยา ทองอรุณศรี เป็นที่ปรึกษาตลอดการทำโครงการ นักศึกษา เปิดเผยถึงการนำกากผงแกรนิตที่เหลือทิ้งจากโรงงาน มาใช้เป็นส่วนผสมของอิฐบล็อกว่า ส่วนผสมของคอนกรีตบล็อกทั่วไปประกอบด้วย ปูนซีเมนต์ ทรายหยาบ หินเกล็ดและหินฝุ่น ขณะที่ผงหินแกรนิตมีลักษณะคล้ายคลึงกับหินฝุ่น และเป็นวัสดุชนิดไม่ทำปฏิกิริยาเหมือนกัน จึงคิดว่าหินฝุ่นแกรนิตน่าจะนำมาทดแทนหินฝุ่นได้ ในจังหวัดตาก มีโรงงานอุตสาหกรรมหินแกรนิตหินอ่อนอยู่เป็นจำนวนมาก จึงมีผงหินหรือที่เรียกว่าผงแกรนิตเป็นกากเหลือทิ้งจำนวนมาก ซึ่งนอกจากการนำกากเหล่านี้ไปถมที่ดินแล้ว ก็ไม่เห็นว่ามีการนำไปทำประโยชน์อย่างอื่น อีกทั้งผงขนาดเล็กเหล่านี้ยังฟุ้งกระจายทำให้เกิดมลภาวะอีกด้วย ดังนั้น หากสามารถนำเอาผงแกรนิตเหล่านี้มาใช้ทำประโยชน์ได้ ก็จะลดต้นทุนการผลิตของโรงงาน เป็นการสร้างมูลค่าให้ของเสีย และยังลดมลภาวะการฟุ้งกระจายของฝุ่นผงได้อีกทางหนึ่งด้วย ส่วนการทดสอบและหาปริมาณผงแกรนิตที่เหมาะสมสำหรับแทนที่หินฝุ่น โดยใช้มาตรฐาน มอก.58-2533 เป็นเกณฑ์ในการตัดสิน โดยแบ่งการทดลองออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีหินเกล็ดและกลุ่มที่ไม่มีหินเกล็ดเป็นส่วนผสม พบว่า ผงแกรนิตสามารถใช้แทนหินฝุ่นได้ 100% ตัวอย่างคอนกรีตบล็อกที่มีหินเกล็ดเป็นส่วนผสม จะมีคุณสมบัติทางวิศวกรรมที่ดีกว่าแบบที่ไม่มีหินเกล็ดเป็นส่วนผสมเลย โดยแบบมีหินเกล็ดเป็นส่วนผสมจะมีแรงอัด และความหนาแน่นสูงกว่า ในขณะที่ดูดกลืนน้ำได้ต่ำกว่าแบบไม่มีหินเกล็ด (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 30 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ม.เกษตรฯ ผุดโรงงานถ้วยชามชีวภาพ

รศ.ดร.งามทิพย์ ภู่วโรดม ผู้จัดการหน่วยธุรกิจทดลองเคยู-กรีน (KU-GREEN) ภาควิชาเทคโนโลยีการบรรจุ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่า หลังจากที่หน่วยวิจัยของมหาวิทยาลัยได้วิจัยและคิดค้นภาชนะบรรจุอาหารจากมันสำปะหลัง และเส้นใยพืช ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษคือ สามารถย่อยสลายตามธรรมชาติ โดยผลจากการเรียนรู้และศึกษาข้อมูลมาพอสมควร มหาวิทยาลัยจึงสร้างโรงงานต้นแบบ เพื่อเตรียมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เอกชนที่สนใจผลิตภาชนะบรรจุเพื่อส่งออก โรงงานต้นแบบดังกล่าวสามารถผลิตภาชนะบรรจุอาหารได้ถึง 30,000 ชิ้นต่อวัน จากการอาศัยแม่พิมพ์ที่ทำขึ้นมาโดยเฉพาะ โดยผลิตภัณฑ์ที่ออกจากโรงงานต้นแบบนี้ทำขึ้นจากมันสำปะหลังทั้งหมด โดยไม่มีส่วนผสมของพลาสติกแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็น ถ้วย ชาม จาน แก้ว กล่อง และถาดใส่อาหารรูปทรงต่างๆ สำหรับภาชนะดังกล่าวเหมาะสำหรับบรรจุอาหารพร้อมบริโภค และอาหารกึ่งสำเร็จรูปในรูปแบบการใช้ครั้งเดียว โดยสามารถบรรจุได้ทั้งอาหารแห้ง อาหารเหลว ร้อน เย็น อุณหภูมิตั้งแต่ -18 จนถึง 80 องศาเซลเซียส พร้อมทั้งสามารถใช้บรรจุอาหารอุ่นในไมโครเวฟได้ 2-3 นาที หากไม่มีการใช้งานภาชนะดังกล่าวสามารถคงอยู่ได้ถึง 2 ปี คุณสมบัติแป้งมันสำปะหลัง ที่สามารถดูดซับน้ำได้เป็นอย่างดี ประกอบกับเนื้อแป้งมีคุณสมบัติยอมให้จุลินทรีย์ย่อยสลายได้ จึงเหมาะสำหรับนำมาใช้เป็นภาชนะบรรจุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่วนสาเหตุที่เลือกใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบในการวิจัย เนื่องจากระหว่างการวิจัยเป็นช่วงที่ประเทศไทย ประสบปัญหามันสำปะหลังราคาตก ผลผลิตล้นตลาด มหาวิทยาลัยจึงเกิดแนวคิดที่จะพัฒนาเทคโนโลยีการแปรรูปมันสำปะหลัง เป็นภาชนะบรรจุที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าให้ผลผลิตมันสำปะหลังภายในประเทศ นอกจากนี้ ยังบรรเทาปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการใช้ภาชนะโฟมหรือพลาสติกได้อีกด้วย เนื่องจากภาชนะบรรจุอาหารจะต้องสัมผัสกับอาหารโดยตรง ดังนั้น ภาชนะบรรจุจึงต้องปลอดภัยมากสุด โดยปราศจากสารเคมีที่จะเข้าไปปนเปื้อนในอาหาร ขณะที่พลาสติกบรรจุอาหารในปัจจุบัน ทั้งฟิล์มห่ออาหาร ถาดและขวดบรรจุบางชนิด มีการตรวจพบสารไดออกซินและสารตะกั่ว ซึ่งเป็นสารเคมีอันตรายต่อผู้บริโภค ตั้งแต่การปนเปื้อนในขั้นตอนการผลิต จนถึงขณะที่พลาสติกสลายตัวขณะใช้ห่ออาหารร้อน ทั้งนี้ ภาชนะบรรจุอาหารของมหาวิทยาลัย ได้จดสิทธิบัตรจากกรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเหมาะนำมาใช้กับธุรกิจอาหารพร้อมบริโภค อาหารกึ่งสำเร็จรูป ใช้ในโรงพยาบาล สถานที่ท่องเที่ยว และใช้ในกิจกรรมต่างๆ ซึ่งจะช่วยลดภาระในเรื่องการจัดเก็บ และทำความสะอาดภาชนะบรรจุ โดยหลังจากการใช้งานภาชนะดังกล่าวแล้ว สามารถนำภาชนะเหลือทิ้งไปใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้อีก อาทิ ใช้เป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์ หรือนำไปใช้ทำปุ๋ยหมัก จึงไม่มีของเหลือทิ้งให้เป็นภาระต่อการกำจัด หรือหากไม่มีการเก็บรวบรวมมาใช้ประโยชน์ ก็สามารถปล่อยทิ้งให้ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ โดยไม่ก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 30 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ไทยพัฒนาเซลรักษาโรคหัวใจถูกกว่าเมืองนอก

ศ.ดร.อานนท์ บุณยะรัตเวช เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สนับสนุนทุนการวิจัยแก่โครงการพัฒนาเซลต้นกำเนิดเพื่อการวิจัยและพัฒนาทางการแพทย์ตั้งแต่ปี 2546–ปัจจุบัน โดยมี น.ส.มลนิภา ศิลาอาสน์ จากมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นหัวหน้าโครงการ ซึ่งโครงการวิจัยดังกล่าวประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงเซลลต้นกำเนิด (Stem cells) ได้เป็นจำนวนมากและมีค่าใช้จ่ายถูกกว่าต่างประเทศมาก จากการศึกษาวิจัยคณะนักวิจัยประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงเซลล์แล้วทั้งเซลล์ต้นกำเนิด Emdothelial Progenitor Cells EPC ที่จะเป็นหลอดเลือดหล่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ รวมทั้งหัวใจ และ Mesenchymal stem cell (MSC) ที่สามารถกระตุ้นพัฒนาเป็นเซลล์กล้ามเนื้อและพัฒนาวิธีการเพาะเลี้ยงนี้ได้เอง โดยเลี้ยงเซลล์จากเลือดที่เจาะโดยวิธีทั่วไปและสร้างเซลล์ต้นกำเนิดทั้งสองชนิดในห้องปฏิบัติการที่ปลอดภัย (biosafety) ได้เป็นจำนวนมากถึง 100 ล้านเซลล์ ภายใน 3 สัปดาห์ จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายถูกกว่าต่างประเทศและในปีที่ผ่านมาสามารถพัฒนาได้สูงสุดทำให้ได้จำนวนเซลล์ที่สูงกว่าด้วย ซึ่งเทคนิคดังกล่าวนี้ได้พัฒนามากว่า 3 ปีแล้ว ให้ผลที่มีความแม่นยำสูง อีกทั้งกระบวนการมีความปลอดภัยเป็นที่ยอมรับในระดับสากล สำหรับประโยชน์ของเซลล์ต้นกำเนิด นอกจากจะนำไปใช้ประกอบการผ่าตัดหัวใจในผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจตายแล้วยังสามารถนำมาใช้สร้างเนื้อเยื้ออวัยวะอื่น ๆ ได้ โดยนำเซลล์ต้นกำเนิดนี้มากระตุ้นให้เป็นเซลล์จำเพาะของอวัยวะต่าง ๆ แล้วนำเซลล์มารวมกลุ่มกันเป็นก้อน และให้เกาะเป็นโครงร่างเพื่อนำไปสู่การสร้างเนื้อเยื่ออวัยวะของคน ดังนั้น โครงการวิจัยนี้จึงนับเป็นโครงการที่มีศักยภาพสูงยิ่งในการรักษาโรคต่าง ๆ ได้มากโดยเฉพาะโรคที่รักษาไม่หาย (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 30 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





สกูบ้า หุ่นแจ๋ว ขัดพื้น

"สกูบา" อุปกรณ์ทำความสะอาดพื้นอัจฉริยะ หรือจะเรียกว่าหุ่นยนต์กลายๆ ก็ไม่ผิดนัก เพราะถูกออกแบบมาเพื่อทำความสะอาดพื้นผิวที่ทำจากวัสดุ อย่าง กระเบื้อง หรือเสื่อน้ำมัน โดยจะดูดเอาเศษผงและสิ่งสกปรกที่ตกค้าง จากนั้นก็ขัดเกลาให้คราบที่ติดอยู่หายไป พร้อมทั้งเป่าพื้นให้แห้งสนิทเป็นลำดับสุดท้าย คอลิน แองเจิล ประธานผู้บริหารของไอโรบอตบอกว่า การทำงานของสกูบาจะใช้หลักการคล้ายๆ กับเครื่องทำความสะอาดพื้นในโรงงานอุตสาหกรรมทั่วไป แต่นำมาประยุกต์ให้เหมาะสมกับการใช้ในครัวเรือนมากกว่า แม้จะไม่ใช่หุ่นยนต์ซะเดียว แต่เชื่อได้ว่าคุณแม่บ้านทั้งหลายต้องทิ้งไม้ถูพื้นไปเลยทีเดียว จะเห็นได้ว่าการใช้ไม้ถูพื้นทำความสะอาดพื้นที่มีคราบสกปรกติดเหนียวแน่นนั้น ต้องใช้เวลานานมาก แต่หากคุณแม่บ้านหันมาใช้สกูบา เพียงกดปุ่ม และปล่อยให้มันทำงานโดยอัตโนมัติ คุณก็จะมีเวลาเพิ่มสำหรับไปทำประโยชน์อย่างอื่นๆ ได้แล้ว และบริษัทคาดว่าจะเริ่มวางตลาดสกูบาในช่วงวันคริสต์มาส โดยเชื่อว่าจะได้รับเสียงตอบที่ดีจากลูกค้าที่มีรูมบาอยู่ในครอบครองไปก่อนหน้าแล้ว ราคาจำหน่ายของสกูบานั้น ยังไม่ได้ระบุ แต่คาดว่าน่าจะแพงกว่ารูมบาแน่นอน เพราะสกูบาออกแบบยากกว่ามาก แต่คงไม่เกินกำลังแม่บ้านยุคใหม่เพราะพิจารณาจากราคาของเครื่องดูดฝุ่นรุ่นประสิทธิภาพสูง "รูมบาดิสคัฟเวอรี" พบว่ามีราคาเพียง 280 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 12,000 บาทเท่านั้น แองเจิลบอกด้วยว่า ที่มาของสกูบานั้น เกิดขึ้นจากเสียงเรียกร้องของลูกค้าที่ซื้อรุมบาไปใช้งานแล้ว ต้องการให้บริษัทช่วยพัฒนาเครื่องขัดพื้นในห้องครัวออกมาให้ด้วย เพราะทำความสะอาดยากเหลือเกิน นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนพัฒนาหุ่นยนต์ช่วยงานบ้านอีกหลายรายการ โดยเขาบอกว่าสิ่งที่อยากได้มากที่สุดในตอนนี้ คืออุปกรณ์ช่วยพับเสื้อผ้าที่แห้งแล้ว และนั่นน่าจะเป็นหุ่นยนต์ตัวต่อไปที่จะออกมาให้เห็น ในเร็ววัน (คมชัดลึก จันทร์ที่ 30 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ย้อมผมไม่ต้องกลัวมะเร็ง

คณะกรรมาธิการยุโรปด้านความปลอดภัย มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อมูลจากผลวิจัยที่มีทั้งสิ้น 79 ชิ้น จาก 11 ประเทศทั่วโลก และได้ข้อสรุปว่ายาย้อมผมไม่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เต้านม ลูคิเมีย และมะเร็งในไขกระดูกแต่อย่างใด ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแซนดิเอโก เดอ คอมพอสเทลลา ในสเปน ยืนยันรายงานดังกล่าว เพราะทำวิจัยมากับมือและพบว่ายาย้อมผมไม่ได้เพิ่มความเสี่ยง หรือส่งผลกระทบต่อการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะหรือเต้านมแม้แต่น้อย รวมทั้งไม่มีผลต่อมะเร็งในเม็ดเลือด อย่าง ลูคิเมีย และมะเร็งในไขกระดูกด้วย นอกจากนี้ยังออกมาระบุด้วยว่า งานวิจัยที่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างยาย้อมผมและโรคมะเร็งนั้น ยังมีข้อมูลสนับสนุนอ่อนเกินไป ควรทำการศึกษาให้ลึกกว่านี้ ก่อนจะออกข่าวสร้างความตื่นตระหนักให้กับสาธารณชน อย่างไรก็ตาม มีรายงานในวารสารอเมริกัน เมดิคัล แอสโซซิเอชั่น ได้แสดงความจำนงที่จะให้ศึกษาเรื่องความเสี่ยงของโรคมะเร็ง ที่มีสาเหตุมาจากยาย้อมผมให้มากขึ้น โดยเฉพาะช่างเสริมสวยที่ต้องสัมผัสกับยาย้อมผมเป็นประจำ เนื่องจากอัตราผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์ยาย้อมผมมีจำนวนมากทั่วโลก เฉพาะผู้หญิงในยุโรปและอเมริกาเหนือก็มีจำนวนมากถึง 1 ใน 3 แล้ว ขณะที่ในกลุ่มลูกค้าชายก็มีจำนวนไม่น้อย โดยสถิติล่าสุดระบุว่า ผู้ชายที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปราว 10% นิยมใช้ผลิตภัณฑ์ย้อมผมเช่นกัน สาเหตุที่ทำให้ผู้บริโภคเป็นกังวลในประเด็นนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยาย้อมผมมีสารประกอบของแอมโมเนียที่มีกลิ่นฉุน ซึ่งเชื่อได้ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการกลายของพันธุกรรม ส่งผลให้สัตว์และมนุษย์มีโอกาสเป็นมะเร็งได้ (คมชัดลึก จันทร์ที่ 30 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ใช้น้ำยางพารา ผสมหมึกพิมพ์ แทนเคมีนำเข้า

นักศึกษาจากภาควิชาการพิมพ์ คณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมลคลธัญบุรี ช่วยกันคิดค้นนำน้ำยางพารามาใช้แทน "ตัวพา" ในหมึกพิมพ์ ซึ่งตัวพานี้จะทำให้น้ำหมึกไหลได้ดี ช่วยให้เม็ดสียึดติดบนวัสดุที่พิมพ์และทำให้หมึกพิมพ์มีความเหนียว มัน เงา และทนต่อการขัดถู โดยหมึกพิมพ์ที่ทดสอบนี้ใช้สำหรับการพิมพ์ระบบ "เฟล็กโซกราฟี" ซึ่งเป็นระบบที่เหมาะสำหรับสิ่งพิมพ์จำพวกบรรจุภัณฑ์ อย่างกระดาษลูกฟูก กล่อง น.ส.ขวัญหทัย ชัยชนะ กล่าวว่า เธอกับเพื่อนร่วมคณะได้คิดนำวัสดุที่มีภายในประเทศ มาใช้ทดแทนส่วนประกอบบางตัวของหมึกพิมพ์ที่ยังต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้ไทยเสียดุลการค้า โดยทั่วไปหมึกพิมพ์จะประกอบด้วย 3 ส่วนประกอบคือ สารให้สี ตัวพา และสารเติมแต่ง ในส่วนของงานที่คิดขึ้นคือ นำน้ำยางพารามาใช้แทนส่วนที่เป็นตัวพา เมื่อทดสอบคุณสมบัติทางด้านกายภาพ โดยทดสอบการหมาดตัว ความละเอียด ความหนืด และความเป็นกรด ด่าง ตลอดจนคุณสมบัติด้านแสง คุณสมบัติการถ่ายทอดลงสู่วัสดุใช้พิมพ์และสภาพการพิมพ์ โดยทดลองพิมพ์บนกระดาษคราฟท์ ปรากฏว่า ผลที่ได้อยู่ในช่วงมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ และมีค่าใกล้เคียงกับหมึกพิมพ์เฟล็กโซกราฟีมาตรฐานที่ใช้วัสดุนำเข้าจากต่างประเทศ และเมื่อเปรียบเทียบในด้านราคาแล้ว หมึกพิมพ์ที่ใช้น้ำยางพาราเป็นตัวพามีราคาถูกกว่ามาก นอกจากจะมีหมึกพิมพ์ต้นทุนถูกแล้ว หากน้ำยางพาราถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมการพิมพ์ในปริมาณมาก จะเป็นการส่งเสริมให้เกิดผลผลิตและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรภายในประเทศอีกด้วย สำหรับทีมค้นคว้าน้ำยางพาราทดแทนสารเคมีนำเข้านี้ ประกอบด้วย ขวัญหทัย ชัยชนะ ดาวเรือง ปัญธิวงค์ และวิภาพรรณ พรศิริทรัพย์ โดยมี อ.อนันต์ ตันวิไลศิริ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา (คมชัดลึก จันทร์ที่ 30 พ.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





พัฒนาข้าวโพดเทียน เพิ่มราคาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น

ภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช คณะเทคโนโลยีการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ วิทยาเขตพระนครศรีอยุธยา หันตรา โดย ผศ.ระวีวรรณ สุวรรณศร และ ผศ.กิตติ บุญเลิศนิรันดร์ จึงได้ริเริ่มทำการวิจัยเรื่อง “การปรับปรุงข้าวโพดเทียนพันธุ์บ้านเกาะและเทคโนโลยีการผลิตเมล็ดพันธุ์” ขึ้น โดยมีจุดประสงค์หลักในการปรับปรุงประชากร และหาเทคโนโลยีการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเทียนที่เหมาะสมสำหรับเกษตรกร เพื่อเสนอแนะแก่เกษตรกร ในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเทียนคุณภาพ และส่งขายให้เป็นรายได้เพิ่มเติมอีกทางหนึ่ง ผศ.กิตติ หนึ่งในผู้วิจัย เปิดเผยว่า การวิจัยในครั้งนี้ ทางมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ได้ร่วมมือกับ สำนักงานเกษตรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเทียนพันธุ์บ้านเกาะ พัฒนาพันธุ์ ข้าวโพดเทียนพันธุ์บ้านเกาะ ซึ่งมีลักษณะเด่น คือ ฝักสวย รสชาติดี เมล็ดนุ่มเหนียว ให้ผลผลิตสูง และมีลักษณะลำต้นที่แข็งแรง ทนทานต่อโรคราน้ำค้าง ให้กลับมาเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคเหมือนเดิม โดยการปรับปรุงพันธุ์นี้ใช้วิธีการคัดรวม ซึ่งเป็นวิธีการที่ง่าย ทำโดยคัดเลือกต้นที่มีลักษณะเด่น เก็บเกี่ยวฝัก แล้วกะเทาะเมล็ดมารวมกัน การคัดเลือกจึงมีโอกาสประสบผลสำเร็จสูง และเป็นวิธีการที่ใช้ได้ดีกับประชากรที่ยังไม่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์ ตลอดจนเหมาะสมกับการรักษาลักษณะพันธุ์ไว้ด้วย เกษตรกรผู้ใดสนใจ ติดต่อขอรับคำปรึกษาเกี่ยวกับ “การปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพดเทียน” ได้ที่ ผศ.กิตติ บุญเลิศนิรันดร์ ภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ วิทยาเขตพระนครศรีอยุธยา หันตรา หมายเลขโทรศัพท์ 0-3524-2554 ในวันและเวลาราชการ (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 30 พ.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





คิวบาใกล้พัฒนาวัคซีนอหิวาต์สำเร็จ

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า นักวิทยาศาสตร์คิวบาได้พัฒนาวัคซีนป้องกันโรคอหิวาต์ตัวใหม่ได้เป็นผลสำเร็จแล้ว และอยู่ระหว่างการทดสอบประสิทธิภาพทางคลีนิคในแอฟริกาก่อนจะออกจำหน่ายเชิงพาณิชย์ ทั้งนี้ วัคซีนดังกล่าวถูกสร้างขึ้นมาจากชิ้นส่วนของเชื้อแบคทีเรียที่ยังมีชีวิต แต่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมให้สามารถป้องกันโรคนี้ได้ และวัคซีนดังกล่าวประสบความสำเร็จในการทดลองกับอาสาสมัครที่ร่างกายแข็งแรง 100 คนมาแล้ว รายงานข่าวแจ้งว่า กระบวนการต่อจากนี้ไปทางคิวบาจะทดสอบการสร้างภูมิคุ้มกันโรคจากวัคซีนชนิดนี้ ว่ามีประสิทธิภาพเพียงพอหรือไม่ หากการทดสอบประสบผลสำเร็จจะเกิดผลดีกับประเทศในแถบแอฟริกาอย่างมาก เพราะโรคอหิวาต์เป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตของผู้คนจำนวนมาก รองมาจากการเสียชีวิตเพราะภาวะทุพโภชนาการ มาลาเรีย และเอดส์ (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 30 พ.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





เครื่องทำแห้งเยือกแข็งสุญญากาศ เทคโนโลยีถนอมอาหารฝีมือไทย

“เครื่องทำแห้งเยือกแข็งสุญญากาศ” ผลงานการออกแบบจากฝ่ายวิศวกรรม สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยหรือ วว. ซึ่งมี นายยุทธนา ตันติวิวัฒน์ เป็นผู้อำนวยการ เครื่องทำแห้งเยือกแข็งสุญญากาศ (Vacuum Freeze Drier) นี้เป็นผลงานที่ช่วยเพิ่มมูลค่าของผลผลิตการเกษตรของไทยโดยเฉพาะผักและผลไม้ ผลิตภัณฑ์อาหารที่ผ่าน กระบวนการทำแห้งแบบเยือกแข็งนี้ปัจจุบันได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะการผลิตเพื่อส่งออก เนื่องจากเป็นการถนอมอาหารที่ลดภาระในการขนส่ง เพราะน้ำหนักเบาแต่ยังรักษาคุณสมบัติตามธรรมชาติได้ดีทั้งรูปร่าง กลิ่น สี และรสชาติ อย่างทุเรียนอบแห้ง ไม่น่าเชื่อว่าเมื่ออมเข้าไปแล้วเหมือนได้ลิ้มรสทุเรียนสด ๆ แถมยังมีกลิ่นติดมาอีกด้วย หรือผลไม้อย่างมังคุด ซึ่งนึกไม่ออกว่าจะมีวิธีเก็บอย่างไร กวนไปรสชาติก็เปลี่ยน แต่นี่เห็นแล้วน่าทึ่ง แกะออกมาทั้งลูกแล้วอบแห้งไม่เกิน 24 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับความหนา แค่นี้ก็ได้มังคุดที่รูปทรงและรสชาติอมเปรี้ยวเหมือนเดิม เก็บไว้กินตอนหายาก สำหรับเรื่องคุณค่าทางอาหารยังครบถ้วน สิ่งที่ดูดออกไปก็คือความชื้นหรือน้ำ ซึ่งผลผลิตที่ออกมาได้มาตรฐานของอบแห้งคือมีความชื้นไม่เกิน 5% นักวิจัยบอกว่าเครื่องอบแห้งที่ใช้เทคโน โลยีแบบนี้เดิมทีต้องนำเข้าจากต่างประเทศ กำลังการผลิตแค่ 9 ลิตร ราคาสูงถึง เครื่องละ 3 ล้านบาท แต่เครื่องต้นแบบฝีมือไทย ตอนนี้กำลังการผลิตได้กว่า 50 ลิตร ต้นทุนการผลิตเครื่องไม่ถึง 2 ล้านบาท และใช้วัสดุในประเทศเกือบ 80% ผู้ สนใจสนับสนุนผลงานของนักวิจัยไทย ติดต่อได้ที่ฝ่ายวิศวกรรม วว. โทร. 0-2577-9257-8. (เดลินิวส์ อังคารที่ 31 พ.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





วว.ปลื้มบล็อกประสานวิจัยสร้างรายได้

นายวิทยา วุฒิจำนงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชนบท สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เปิดเผยว่า วว.ได้คิดค้นเทคโนโลยีการสร้างบล็อกประสาน จากดินลูกรังผสมกับซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ที่มีอยู่ในท้องตลาด พร้อมออกแบบให้มีประสิทธิภาพในการก่อสร้างอาคารที่แข็งแรงแต่ต้นทุนต่ำ โดยนำความรู้จากการใช้ซีเมนต์ หรือวัสดุที่ได้จากส่วนผสมของดินลูกรังที่มีคุณสมบัติเหมาะสม กับซีเมนต์ปอร์ตแลนด์มาผสม และเติมน้ำ เพื่อให้ความชื้นในระดับที่พอเหมาะ จนกระทั่งได้ซีเมนต์ที่มีความหนาแน่นสูงสุด นำมาใช้ทำถนน ไหล่ทาง ในส่วนของ วว. ได้ศึกษาความเหมาะสมในการใช้ความรู้ดังกล่าว มาทำเป็นวัสดุหลักในการผลิตบล็อกประสาน ทดแทนการใช้วัสดุก่อสร้างทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น คอนกรีตบล็อก คอนกรีตมวลเบา และอิฐชนิดต่างๆ ซึ่งใช้ในการก่อผนังทั้งภายนอกและภายใน โดยวิธีการก่อจะต้องใช้ปูนฉาบผิวทั้ง 2 ด้าน ทาสี และกรุกระเบื้องซื้อต้องอาศัยแรงงานคน ที่มีฝีมือเป็นอย่างมาก ด้วยขั้นตอนการผลิตที่ง่ายและไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงในการผลิต ทำให้ช่วยประหยัดพลังงานจากการเผาไหม้ได้เป็นอย่างมาก ส่วนในเรื่องของราคาค่าก่อสร้าง หากใช้บล็อกประสานเป็นวัตถุดิบ จะช่วยลดค่าก่อสร้างได้ถึงร้อยละ 20 และช่วยลดระยะเวลาในการก่อสร้างได้ถึงร้อยละ 35 เมื่อเทียบกับอาคารขนาดเดียวกัน เมื่อเทียบกับการสร้างด้วยโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กและผนังก่ออิฐฉาบปูน โดยวัสดุบล็อกประสานมีความงามจากสีธรรมชาติที่ปรากฏ จึงไม่จะเป็นต้องฉาบปูน หรือทาสีทับแต่อย่างใด นายวิทยา กล่าวต่อว่า รูปแบบของบล็อกประสานออกแบบมา เพื่อให้ใช้งานได้สะดวก และรวดเร็ว โดยความแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือ เดือยล็อกตัวผู้และร่องตัวเมียที่ช่วยให้การประสานบล็อกแต่ละก้อนเข้าด้วยกันในตำแหน่งที่ถูกต้องอย่างมั่นคง นอกจากนี้ ยังออกแบบให้บล็อกมีร่องด้านข้างและรูตรงกลางก้อน ซึ่งเมื่อก่อบล็อกเป็นผนังแล้ว รูตรงกลางจะตรงกันทั้งหมด เพื่อสะดวกต่อการรองรับปูนทรายเหลว ที่จะทำหน้าที่ประสานบล็อกแต่ละก้อน ให้ผนึกเข้าด้วยกันอย่างถาวร ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชนบทในเชิงพาณิชย์ และเกิดโรงงานผลิตบล็อกประสานไปแล้วกว่า 350 โรงงานทั่วประเทศ (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 31 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ม.ขอนแก่นคิด กะโหลกเทียม ช่วยแพทย์ผ่าตัด

ผศ.ดร.สุรสิทธิ์ ปิยะศิลป์ รศ.สำรวจ อินแบน อาจารย์จากภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และ ดร.กฤษณ์ไกรพ์ สิทธิเสรีประทีป นักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีโลหะ เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ พัฒนาเทคโนโลยีการสร้างต้นแบบรวดเร็ว สำหรับเตรียมชิ้นส่วนวัสดุเทียมสนับสนุนศัลยแพทย์ ไม่ต้องเตรียมชิ้นส่วนเอง และช่วยการผ่าตัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ คนไข้ได้รับความปลอดภัยมากขึ้น ในปัจจุบันการผ่าตัดเพื่อปลูกฝังชิ้นส่วน ให้ผู้ป่วยที่มีการยุบลงของกะโหลกศีรษะ หรือกรณีที่กะโหลกศีรษะใบหน้าผิดปกติ ศัลยแพทย์ต้องประสบปัญหาการเตรียมวัสดุเทียม ที่ต้องอาศัยฝีมือในการปั้นและใช้เวลานาน โดยเฉพาะกรณีต้องปิดรูโหว่ใหญ่และซับซ้อนยิ่งมีปัญหามาก บางครั้งอาจต้องใช้ผิวหนังศีรษะปิดชั่วคราวทำให้เกิดรอยบุ๋ม และเกิดปัญหาต่อผู้ป่วยที่ต้องรอจนกว่าการทำวัสดุเทียมปิดรูโหว่เสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยผ่าตัดอีกครั้งได้ สำหรับเทคโนโลยีการสร้างต้นแบบรวดเร็วนี้ เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ ที่ใช้ทีมงานวิศวกรรมสนับสนุนการรักษาพยาบาล ซึ่งขั้นตอนการผลิตวัสดุเทียมด้วยการสร้างภาพ 3 มิติ จากภาพถ่ายเอกซเรย์กะโหลกของผู้ป่วย และออกแบบชิ้นส่วนเป็น 3 มิติโดยใช้คอมพิวเตอร์ ก่อนที่จะนำไปสร้างชิ้นส่วนด้วยวิธีการสร้างจากต้นแบบอย่างรวดเร็ว โดยใช้วัสดุทางการแพทย์ พร้อมให้ศัลยแพทย์ดำเนินการผ่าตัดได้อย่างสะดวกต่อไป อีกทั้งสามารถนำวิธีนี้ใช้วางแผนก่อนการผ่าตัด ในการศึกษาและฝึกอบรม ตลอดจนการผ่าตัดที่ต้องใช้วัสดุเทียมในอวัยวะอื่นๆ ได้ด้วย (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 31 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ไม้ไทยมีสารยับยั้งเซลล์มะเร็ง เหมาะทำยา

รศ.ดร.ปทุมรัตน์ ตู้จินดา จากภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ทีมวิจัยได้ศึกษาต้นคำมอกน้อยและต้นไคร้หางนาค ซึ่งเป็นพืชสกุลเดียวกับต้นพุด พบว่ามีสารหลายชนิดที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะฤทธิ์ยับยั้งการแพร่กระจายตัวของเซลล์มะเร็งและฤทธิ์ต้านเชื้อเอดส์ ในการศึกษาได้เลือกเฉพาะส่วนของใบและกิ่งก้าน โดยนำมาสกัดด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์จนกระทั่งได้สารชีวภาพที่ต้องการ จากนั้นทดสอบการออกฤทธิ์กับเซลล์มะเร็งในหลอดทดลอง พบว่าสารที่ได้สามารถออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้หลายชนิด โดยเฉพาะเซลล์มะเร็งเยื่อบุช่องปาก และเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมาก เมื่อการทดลองในหลอดทดลองประสบความสำเร็จ จึงเดินหน้าการวิจัยโดยทดสอบสารชีวภาพกับสัตว์ทดลองประเภทหนู ด้วยการนำเซลล์มะเร็งใส่ไว้ในท่อไฟเบอร์ แล้วฝังไว้ในช่องท้องและผิวหนังของหนูทดลอง จากนั้นได้ทดสอบประสิทธิภาพ พบว่าสารชีวภาพสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ผลดี โดยไม่ทำให้น้ำหนักตัวหนูลดลงแต่อย่างใด รศ.ดร.ปทุมรัตน์ อธิบายว่า กรณีที่น้ำหนักตัวหนูทดลองไม่ลดลง แสดงว่าสารดังกล่าวออกฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็งเพียงอย่างเดียว โดยไม่ทำลายเซลล์ดีหรือเซลล์ข้างเคียงที่ไม่เป็นมะเร็ง ซึ่งแตกต่างจากยามะเร็งทั่วไปที่ใช้รักษาอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งไม่สามารถแบ่งแยกระหว่างเซลล์มะเร็งกับเซลล์ปกติ จึงทำลายแบบเหมาหมด ทำให้เซลล์ปกติลดจำนวนลงด้วย โครงการวิจัยซึ่งได้รับความร่วมมือจากนายธวัชชัย สันติสุข เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังได้ศึกษาส่วนสกัดย่อยคลอโรฟอร์มของใบและกิ่งของต้นคำมอกน้อย พบสารออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไวรัสเอชไอวีในระดับห้องปฏิบัติการ ส่วนการศึกษาโครงสร้างโมเลกุลของต้นไคร้หางนาค ปรากฏว่าสามารถแสดงฤทธิ์ในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวของหนู และสารออกฤทธิ์ที่ดัดแปลงโครงสร้างสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งต่างๆ อาทิ เซลล์มะเร็งเยื่อบุช่องปาก เซลล์มะเร็งลำไส้ เซลล์มะเร็งเต้านม เซลล์มะเร็งปอด "สารสกัดจากพืชทั้งสองชนิดที่นำมาทำการทดสอบนั้น สามารถออกฤทธิ์ได้ดีตั้งแต่ระดับนาโน หมายความว่าสารสกัดในปริมาณความเข้มข้นต่ำ หรือใช้เพียงหยดเล็กน้อยก็สามารถใช้รักษาผู้ป่วยให้ทุเลาอาการลงหรืออาจรักษาให้หายได้" นักวิจัย กล่าว (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 31 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ให้เหยื่อมะเร็งเต้านมสู้โรคด้วยเท้า เดินยืดอายุให้ยืนยาวออกไปได้

มิเชล โฮล์มส์ จากโรงพยาบาลบริกแฮมและวีแมนในนครบอสตัน ผู้นำการวิจัยกล่าวว่า การออกกำลังกายมีส่วนสำคัญในการช่วยป้องกันโรคต่างๆได้ ซึ่งรวมถึงมะเร็งเต้านมด้วย และพบว่าผู้หญิงที่ยังคงออกกำลังกายอยู่ แม้ว่าป่วยเป็นมะเร็งเต้านม อาจมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตด้วยมะเร็งเต้านม และมะเร็งอื่นๆ นักวิจัยเชื่อกันว่าการออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยให้คนไข้มีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น เนื่องจากการบริหารร่างกายจะไปลดการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นเนื้องอกให้เติบโตเป็นมะเร็งเต้านม จากการรวบรวมข้อมูลผู้ป่วยมะเร็งเต้านม 3,000 คน ในโรงพยาบาลเป็นเวลา 18 ปี พบว่าการเดินสัปดาห์ละ 3-5 ชั่วโมง ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งได้ครึ่งหนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ออกกำลังกายน้อย หรือไม่ยอมบริหารร่างกายเลย จากการศึกษาพบว่าผู้หญิงที่ป่วยเป็นมะเร็งเต้านมมักออกกำลังกายน้อยลง ยิ่งเป็นผู้หญิงอ้วนยิ่งไม่ยอมบริหารร่างกาย นักวิจัยแนะนำว่าการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอให้มากกว่าวันละ 30 นาที มีส่วนช่วยต่อชีวิตให้ยืนยาวขึ้น (ไทยรัฐ พุธที่ 1 มิถุนายน 2548 http://www.thairath.co.th)





ทองคำกลายเป็นยาขนานวิเศษ รักษาโรคข้ออักเสบหายดีขึ้น

รายงานในวารสารการแพทย์ “โรคข้ออักเสบ และโรคปวดตามข้อตามกล้ามเนื้อ” ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ทองคำได้กลายเป็นยาวิเศษ ในการรักษาอาการรุนแรงของโรคข้ออักเสบให้บรรเทาลง หลังจากการรักษาด้วยยาขนานมาตรฐานไม่ได้ผล ดร.จอห์น เอม. เอสเดล แห่งศูนย์วิจัยโรคข้ออักเสบ ของแคนาดา ได้ศึกษากับคนไข้ 65 ราย ด้วยการฉีดทองคำในรูปของเหลว ให้เป็นประจำทุกอาทิตย์ หลังจากทำอยู่นาน 48 อาทิตย์ ได้พบว่าคนไข้รายที่ได้รับการรักษาด้วยทองคำ พากันมีอาการดีขึ้นกว่าพวกที่รักษาด้วยยาหลอก นอกจากนั้น แม้จะพบว่าถึงจะต้องใช้ทองคำเป็นยา แต่มันก็ยังคุ้มค่า การศึกษาได้ผลเป็นการยืนยันการค้นพบในครั้งก่อนว่า การใช้ทองคำร่วมกับยาขนานมาตรฐาน จะได้ผลดีขึ้นหลังจากการรักษาด้วยยาเพียงลำพังอย่างเดียวไม่ค่อยได้ผล (ไทยรัฐ พุธที่ 1 มิถุนายน 2548 http://www.thairath.co.th)





โมเลกุลจิ๋วหนุนอุปกรณ์ไฮเทคเล็กลง

รายงานข่าวจากเทคเวบ กล่าวว่า นักเคมีของมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ กำลังพัฒนาโมเลกุลจิ๋ว ที่จะสามารถจัดเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาลในพื้นที่เล็กมาก ซึ่งจะช่วยลดขนาดการ์ดความจำดิจิทัล และฮาร์ดไดร์ฟลงอย่างมาก ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ดร.ลี โครนิน หัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า ความจุของตัวเก็บข้อมูลได้เดินมาถึงทางตันแล้ว ซึ่งทำให้บริษัทต่างๆ เร่งทุ่มเงินจำนวนมหาศาลเพื่อพัฒนาหน่วยความจำให้มีขนาดพื้นที่เล็กลงไปอีก แต่ทว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันไม่สามารถทำได้ ซึ่งสิ่งที่กำลังพัฒนาอยู่ จะมาพร้อมกับความสามารถในการเก็บข้อมูลได้มากขึ้น 10,000 เท่า นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยในสกอตแลนด์ เปิดเผยว่า ก้าวต่อไปของนาโนเทคโนโลยีก็คือ การพัฒนาโมโลกุลให้มีขนาดเล็กกว่าเส้นผมมนุษย์ถึง 10,000 เท่า และหมายความว่า จะมีความเป็นไปได้ที่เครื่องเล่นเอ็มพี 3 และไอพ็อดในอนาคต จะมีขนาดเล็กลงไปอีก ทั้งนี้ ดร.โครนิน ได้บริจาคเงินจำนวน 912,500 ดอลลาร์สหรัฐ จัดตั้งกองทุนเพื่อสืบสานงานวิจัย และสร้างชื่อเสียงให้กับสกอตแลนด์ในการพัฒนาศาสตร์ในสาขานี้ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ขณะเดียวกันคณะผู้วิจัยจากสกอตแลนด์, ญี่ปุ่น, เยอรมนี และออสเตรเลีย ต่างก็ระบุว่า โมเลกุลที่พัฒนาขึ้นนี้จะทำให้มือถือมีขนาด "เล็กลงอย่างมาก" อีกทั้งยังทำให้การ์ดความจำในกล้องดิจิทัลมีขนาดสามารถจุภาพได้มากถึง 100,000 ภาพ และสามารถสร้างคอมพิวเตอร์ในระดับ "นาโน-สเกล" ซึ่งสามารถสร้างพลังในการประมวลผลมหาศาล ให้กับฮาร์ดไดร์ฟขนาดจิ๋วได้ ทั้งนี้ มีประมาณการว่าการพัฒนา "นาโน คลัสเตอร์" ซึ่งเป็นโลหะที่มีออกไซด์เป็นองค์ประกอบ และมีน้ำหนักเพียง -100,000 ปอนด์นี้ จะใช้เวลาประมาณ 3 ปี โดยโมเลกุลคลัสเตอร์ ที่มีขนาดเล็กกว่าเส้นผมมนุษย์ถึง 10,000 เท่า จะนำร่องไปสู่การพัฒนานาโนเทคโนโลยี ซึ่งศาสตร์ในเรื่องของอะตอม และโมเลกุล จะสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาในด้านยา, เทคโนโลยี และอาหารต่างๆ ในอนาคตอันใกล้ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่า สินค้าที่มีขนาดเล็กมากๆ อาจจำเป็นต้องมีแบตเตอรี่ที่สามารถใช้กับผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้ นายเฟรเซอร์ แมคโดนัลด์ แห่งนิตยสารเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก "สตัฟฟ์" กล่าวว่า แม้ว่าโลกของพรุ่งนี้ จะมีเทคโนโลยีที่ลดขนาดของหน่วยความจำลงได้ แต่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดจิ๋ว ก็จะยังต้องประสบปัญหาแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่กินพื้นที่ 20-40% ของตัวเครื่องมือถือ ปัญหานี้ก็จะถูกแก้ไขได้ในอนาคต (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 1 มิถุนายน 2548 http://www.bangkokbiznews.com)





พบพืชไทยต่อต้านมะเร็งได้ ม.มหิดลเล็งทำยาตัวใหม่ไร้ผลข้างเคียง

รศ.ดร.ปทุมรัตน์ ตู้จินดา จากภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ทีมวิจัยได้ศึกษาต้นคำมอกน้อยและต้นไคร้หางนาค ซึ่งเป็นพืชสกุลเดียวกับต้นพุด พบว่ามีสารหลายชนิดที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะฤทธิ์ยับยั้งการแพร่กระจายตัวของเซลล์มะเร็งและฤทธิ์ต้านเชื้อเอดส์ ในการศึกษาได้เลือกเฉพาะส่วนของใบและกิ่งก้าน โดยนำมาสกัดด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์จนกระทั่งได้สารชีวภาพที่ต้องการ จากนั้นทดสอบการออกฤทธิ์กับเซลล์มะเร็งในหลอดทดลอง พบว่าสารที่ได้สามารถออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้หลายชนิด โดยเฉพาะเซลล์มะเร็งเยื่อบุช่องปาก และเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมาก เมื่อการทดลองในหลอดทดลองประสบความสำเร็จ จึงเดินหน้าการวิจัยโดยทดสอบสารชีวภาพกับสัตว์ทดลองประเภทหนู ด้วยการนำเซลล์มะเร็งใส่ไว้ในท่อไฟเบอร์ แล้วฝังไว้ในช่องท้องและผิวหนังของหนูทดลอง จากนั้นได้ทดสอบประสิทธิภาพ พบว่าสารชีวภาพสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ผลดี โดยไม่ทำให้น้ำหนักตัวหนูลดลงแต่อย่างใด รศ.ดร.ปทุมรัตน์ อธิบายว่า กรณีที่น้ำหนักตัวหนูทดลองไม่ลดลง แสดงว่าสารดังกล่าวออกฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็งเพียงอย่างเดียว โดยไม่ทำลายเซลล์ดีหรือเซลล์ข้างเคียงที่ไม่เป็นมะเร็ง ซึ่งแตกต่างจากยามะเร็งทั่วไปที่ใช้รักษาอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งไม่สามารถแบ่งแยกระหว่างเซลล์มะเร็งกับเซลล์ปกติ จึงทำลายแบบเหมาหมด ทำให้เซลล์ปกติลดจำนวนลงด้วย นอกจากนี้ โครงการวิจัยซึ่งได้รับความร่วมมือจากนายธวัชชัย สันติสุข เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังได้ศึกษาโครงสร้างโมเลกุลของต้นไคร้หางนาค ปรากฏว่าสามารถแสดงฤทธิ์ในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวของหนู และสารออกฤทธิ์ที่ดัดแปลงโครงสร้างสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งต่างๆ อาทิ เซลล์มะเร็งเยื่อบุช่องปาก เซลล์มะเร็งลำไส้ เซลล์มะเร็งเต้านม เซลล์มะเร็งปอด "สารสกัดจากพืชทั้งสองชนิดที่นำมาทำการทดสอบนั้น สามารถออกฤทธิ์ได้ดีตั้งแต่ระดับนาโน หมายความว่าสารสกัดในปริมาณความเข้มข้นต่ำ หรือใช้เพียงหยดเล็ก (คมชัดลึก พุธที่ 1 มิถุนายน 2548 http://www.komchadluek.net)





ผ้าอิเล็กทรอนิกส์ไฮเทค

โรบิน เชฟฟาร์ด ประธานบริหารบริษัท อีเล็กเซน ในอังกฤษ เจ้าของนัวตกรรมผ้าที่ใช้ชื่อว่า "อีเล็กเท็กซ์" บอกว่า บริษัทได้ทำข้อตกลงร่วมกับผู้ผลิตเครื่องแต่งกายยี่ห้อ "โอ'เนลล์" เรียบร้อยแล้ว โดยเนื้อผ้าที่บริษัทพัฒนาขึ้นมานั้นจะถูกนำไปผลิตเป็นกระเป๋าเป้ ที่ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ไว้ในตัว รวมถึงเสื้อที่มีแผงควบคุมโทรศัทพ์เคลื่อนที่ และเครื่องเล่นเอ็มพี 3 ซึ่งภายในตัวเสื้อจะติดตั้งหูฟัง ไมโครโฟน และบลูทูธไว้ด้วย เพื่อให้สะดวกต่อการใช้งานของลูกค้าโดยเฉพาะ นอกจากนี้ บริษัทกำลังเจรจากับผู้ผลิตในไต้หวันหลายราย เพื่อผลิตแป้นพิมพ์ผ้าออกมาจำหน่าย โดยจุดเด่นของแป้นพิมพ์ชุดนี้อยู่ที่ผู้ใช้สามารถม้วนเก็บได้ ทำให้สามารถพกพาใส่กระเป๋าเสื้อหรือกระเป๋าเป้ได้อย่างสะดวก โดยไม่ต้องกังวลว่าชิ้นส่วนจะหักชำรุด เพราะวัสดุหลักทำมาจากผ้า สำหรับแป้นพิมพ์ม้วนได้ คาดว่าจะวางตลาดภายในปลายปีนี้ แต่บริษัทจะนำมาอวดโฉมในงานคอมพิวเท็กซ์ที่ไต้หวันก่อน และหากได้รับเสียงตอบรับจากลูกค้าดี บริษัทก็จะเดินหน้าเข้าสู่ตลาดอุปกรณ์ด้านการแพทย์เป็นลำดับต่อไป (คมชัดลึก พุธที่ 1 มิถุนายน 2548 http://www.komchadluek.net)





ส้วมพกพาแก้ปัญหาฉี่อักเสบ

"อินดีพ็อด" (Indipod) หรือส้วมพกพา พัฒนาโดยบริษัท เดย์คาร์ ในอังกฤษ ออกแบบเพื่อผู้มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะหรือลำไส้โดยเฉพาะ จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้อยู่ที่การพองตัวเมื่อใช้งาน และจะหุบตัวลงเมื่อเลิกใช้งานแล้ว ทำให้ไม่กินพื้นที่ภายในรถ แถมยังพกติดรถไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก ภายในโถส้วมน้อยๆ ที่เป็นตัวรับของเสียจากร่างกายนั้น จะบรรจุสารเคมี ซึ่งทำหน้าที่ทำลายทั้งปัสสาวะและอุจจาระให้เป็นของเหลวที่ชวนดม โดยอาศัยพลังงานจากที่จุดบุหรี่ภายในรถ ขณะที่ของเหลวดังกล่าวสามารถจัดเก็บไว้ในรถก่อนจะนำไปเททิ้งเมื่อถึงปลายทางได้ นอกจากนี้ บริษัทยืนยันว่าขณะใช้งานจะไม่มีกลิ่นเหม็นตกค้าง ให้ต้องทนสูดดมในรถแน่นอน และสารเคมี 1 ถุงสามารถรองรับการใช้งานของผู้ใช้ 1 คนได้ในระยะเวลา 8 วัน ขนาดพองตัวสูงสุดของอินดีพ็อดขณะใช้งานจะอยู่ที่ราว 1.2 เมตร กว้าง 1 เมตร เพียงพอที่จะเข้าไปใช้งานได้สองคนพร้อมกัน โดยเฉพาะในกรณีเด็กเล็กที่ต้องการความช่วยเหลือขณะขับถ่าย และหลังจากไม่ใช้งานแล้ว อินดีพ็อดจะหุบตัวลงเท่ากับกระเป๋าเดินทางขนาดย่อม และหนักเพียง 8 กิโลกรัมเท่านั้น ขณะเดียวกันนักวิจัยกลุ่มหนึ่งจากมหาวิทยาลัยเทคนิคแห่งเวียนนา ประเทศออสเตรีย อยู่ระหว่างผลิตส้วมอัจฉริยะออกมาจำหน่ายให้ผู้พิการเช่นกัน ภายใต้ชื่อว่า "ห้องน้ำมีสมอง" (toilet with brains) ซึ่งนอกจากจะเหมาะกับผู้ป่วยที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้แล้ว ผู้สูงอายุที่ไร้เรี่ยวแรงก็สามารถใช้งานได้ไม่ผิดกติกา ห้องน้ำอัจฉริยะแบ่งออกเป็น 2 รุ่น ได้แก่ รุ่นที่ใช้สมาร์ทการ์ด โดยที่ผู้ใช้จะต้องเสียบการ์ดก่อนเข้าไปใช้บริการ เพราะระบบจะอ่านข้อมูลจากตัวการ์ด จากนั้นจะปรับระดับราวจับข้างโถชักโครกเพื่อให้เหมาะกับผู้ใช้งาน ขณะอีกรุ่นจะเป็นการนำเทคโนโลยีสั่งงานด้วยเสียงมาใช้งาน ทันทีที่เข้าไปใช้บริการ นอกจากราวจับจะถูกปรับระดับให้เหมาะสมแล้ว ยังสามารถปรับระดับความสูงต่ำของที่นั่งชักโครกได้ด้วย และเมื่อทำธุระเสร็จแล้ว ระบบจะฉีดน้ำทำความสะอาดให้เสร็จสรรพ ชนิดที่ว่าไม่ต้องใช้มือให้เหนื่อยแรงแม้แต่น้อย หลังจากได้ทดลองในผู้ป่วย 35 คน และได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี ทีมพัฒนาชุดนี้ก็เตรียมการผลิตเพื่อจำหน่าย และคาดว่าน่าจะเริ่มเดินเครื่องได้ก่อนปลายปีนี้ (คมชัดลึก พุธที่ 1 มิถุนายน 2548 http://www.komchadluek.net)





เครื่องทำแห้งผักตบชวา ลดปัญหาเชื้อราดีเยี่ยม

นายธีรพงศ์ ปลอดแก้ว, นายณัฐพร พรหมคง นักศึกษาจากภาควิชาเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวและแปรสภาพ คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ทำการวิจัยเรื่อง “การออกแบบและสร้างเครื่องทำแห้งผักตบชวา” ขึ้น โดยมีอาจารย์ปัณณธร ภัทรสถาพรกุลเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา โดยการวิจัยนี้ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) นายธีรพงศ์ หนึ่งในนักศึกษาผู้คิดค้น เปิดเผยว่า เครื่องทำแห้งผักตบชวานี้ มีหลักการทำงานโดยใช้แหล่งความร้อนจากก๊าซหุงต้ม (LPG) ร่วมกับการรมกำมะถัน ตัวเครื่องประกอบด้วย ห้องทำแห้งภายในสามารถบรรจุชั้นวางพร้อมถาดใส่วัตถุดิบจำนวน8 ถาด แหล่งความร้อนจากหัวพ่นไฟ พัดลมแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง พร้อมชุดใบปรับลมอัตโนมัติ และห้องเผากำมะถันพร้อมชุดท่อไหลเวียนไอกำมะถันแยกจากระบบจ่ายลมหลัก ผักตบชวาเมื่อผ่านการอบแห้งจาก เครื่องทำแห้งผักตบชวาแล้ว จะมีคุณลักษณะที่ใกล้เคียงกับการตากแดดมากที่สุด ทั้งในด้านค่าสี จากสีเขียวเข้มเป็นสีเหลืองอ่อน สว่างจนเกือบขาว ดูสบายตา ทั้งนี้ เนื่องจากกระบวนการอบแห้งในอุณหภูมิที่พอเหมาะ ประกอบกับการรมกำมะถัน จนได้ระดับความชื้นสุดท้ายต่ำพอดี และสำหรับการทดสอบความต้านทานแรงดึง ปรากฏว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมจะนำไปทำผลิตภัณฑ์จักสานได้อีกด้วย นอกจากนี้ เครื่องทำแห้งผักตบชวา ยังสามารถนำอบแห้งวัตถุดิบจากการเกษตรชนิดอื่นได้อีกด้วย ผู้ใดสนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ อาจารย์ปัณณธร ภาควิชาเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวและแปรสภาพ คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี หมายเลขโทรศัพท์ 0-1874-1612 (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 1 มิถุนายน 2548 http://www.siamrath.co.th)





แปรพลังงานลมร้อนจากแอร์ ใช้อบแห้งผลิตผลทางการเกษตรได้

นายวุฒินันท์ สมบูรณ์ศิลป์ นักศึกษาจากภาควิชาเทคโนโลยีการเก็บเกี่ยวและแปรสภาพ คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง “การอบแห้งโดยใช้ลมร้อนทิ้งจากเครื่องปรับอากาศ” โดยมี อาจารย์ปัณณธร ภัทรสถาพรกุล เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ซึ่งผลจากการศึกษาวิจัยนี้ถือเป็นอีกหนทางหนึ่งที่เป็นการนำพลังงานความร้อนทิ้งจากเครื่องปรับอากาศมาใช้ได้อย่างคุ้มค่า โดยนำมาอบผลผลิตทางการเกษตรได้เกือบทุกชนิด นายวุฒินันท์ เจ้าของไอเดียประหยัดพลังงาน เปิดเผยว่า ในขั้นแรกเราได้สร้างชุด ทดสอบการอบแห้งเพื่อนำมาใช้ร่วมกับคอนเดนซิ่งยูนิตของเครื่องปรับอากาศขนาด 24,000 Btu/ชั่วโมง โดยในชุดทดสอบการอบแห้งนี้ สามารถบรรจุถาดผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรได้ 4 ถาด ซึ่งจากการทดลองอบแห้งเห็ดหูหนูสด ครั้งละ 2 กิโลกรัม เป็นเวลา 6 ชั่วโมง โดยใช้พลังงานลมร้อนทิ้งจากเครื่องปรับอากาศ ที่อุณหภูมิเฉลี่ย 39-47 องศาเซลเซียส พบว่าเห็ดที่ผ่านกระบวนการอบแห้งมีอัตราการระเหยน้ำ และความชื้นที่เหมาะสม ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์เห็ดอบแห้งที่สามารถนำไปบริโภคและจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้เสริมให้เกษตรกรได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ จากการทดลองยังพบว่า การนำลมร้อนทิ้งจากเครื่องปรับอากาศมาใช้ในการอบแห้งนี้ ไม่มีผลต่อค่าประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องปรับอากาศแต่อย่างใด ยังคงมีค่าเท่ากับ 805-809 Btu/W เหมือนเดิม แต่อย่างไรก็ตามในการนำหลักการดังกล่าวไปใช้นี้ ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมของสถานที่ และผลิตผลที่จะนำมาอบแห้งด้วย ผู้ใดสนใจไอเดียประหยัดพลังงาน สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ อาจารย์ปัณณธร ภาควิชาเทคโนโลยีการเก็บเกี่ยวและแปรสภาพ คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี หมายเลขโทรศัพท์ 0-2549-3362, 0-2549-3300 ในวันและเวลาราชการ. (เดลินิวส์ พุธที่ 1 มิ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





นักวิทย์สกัดฮอร์โมนกระตุ้นกุ้งวางไข่

นายพิศิษฐ์ พลธนะ นักศึกษาโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) จากภาควิชากายวิภาคศาสตร์ และหน่วยวิจัยเพื่อความเป็นเลิศเทคโนโลยีชีวภาพกุ้ง คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยถึง การวิจัยฮอร์โมนที่พบในแม่เพรียงหรือไส้เดือนทะเล ว่า มีฤทธิ์กระตุ้นการวางไข่ของแม่พันธุ์กุ้งกุลาดำได้เช่นเดียวกับการตัดก้านตา ซึ่งเป็นวิธีดั้งเดิมที่เกษตรกรใช้กระตุ้นการทำงานของรังไข่ในแม่พันธุ์กุ้ง "สำหรับแม่เพรียงถือเป็นอาหาร ที่เกษตรกรนิยมใช้เลี้ยงแม่พันธุ์กุ้ง เพื่อช่วยกระตุ้นการวางไข่ เพียงแต่ยังทราบแน่ชัดว่าอะไรเป็นตัวการสำคัญ จึงศึกษาวงจรชีวิตแม่เพรียง และพบว่าน่าจะเป็นผลมาจากฮอร์โมนพรอสตาแกลนดิน ที่มีอยู่ในตัวแม่เพรียง ส่วนสาเหตุที่มั่นใจเช่นนั้น เพราะในกุ้งมีตัวรับ (receptor) ที่จำเพาะต่อฮอร์โมนพรอสตาแกลนดิน ซึ่งอยู่ในส่วนของรังไข่บริเวณแนวด้านหลัง และจากการศึกษาในแต่ละระยะของพัฒนาการรังไข่ (4 ระยะ) ก็พบตัวรับในทุกระยะ" นักวิจัยระบุ โดยปกติราคาแม่พันธุ์กุ้งเฉลี่ย 3,000-10,000 บาท/ตัว แม่กุ้ง 1 ตัวออกไข่เฉลี่ย 8 แสนฟอง และได้ลูกกุ้งราว 3-5 แสนตัว ส่วนเทคนิคตัดก้านตาแม่กุ้ง เพื่อช่วยให้พัฒนารังไข่ได้เร็วขึ้น เป็นวิธีที่ใช้กันมานานแล้วในทุกประเทศ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีฮอร์โมนจีไอเอช (Gonad Inhibiting Hormone) ที่มีบทบาทยับยั้งการพัฒนารังไข่ การตัดก้านตาจึงลดอัตราการผลิตฮอร์โมนจีไอเอช ทำให้แม่กุ้งพัฒนารังไข่ได้เร็วกว่าธรรมชาติ แต่ปัญหาที่ตามมาหลังจากตัดก้านตาคือ แม่กุ้งจะเกิดอาการเครียด บอบช้ำและตาย หลังจากใช้งานได้เพียง 1-1.5 เดือน ทำให้เกษตรกรต้องลงทุนซื้อแม่พันธุ์ตัวใหม่ ด้วยเหตุนี้ นักวิจัยจึงหาทางให้เกษตรกรสามารถใช้งานแม่กุ้งได้นานขึ้น โดยมุ่งศึกษาฮอร์โมนจากแม่เพรียง ภายใต้โครงงานวิจัยเรื่อง "การศึกษาบทบาทของฮอร์โมนพรอสตาแกลนดินจากแม่เพรียง ต่อการพัฒนาการของรังไข่ในแม่พันธุ์กุ้งกุลาดำ" ในการทดลองการออกฤทธิ์ของฮอร์โมนแม่เพรียง ได้นำแม่กุ้งขนาด 80-100 กรัม จำนวน 30 ตัว แบ่งเป็น 3 กลุ่มๆ ละ 10 ตัว ได้แก่ กลุ่มไม่ตัดตาและฉีดฮอร์โมนขนาด 10 นาโนกรัมในแต่ละตัว กลุ่มตัดก้านตา และกลุ่มควบคุม โดยบันทึกข้อมูลระยะการเจริญของรังไข่ จำนวนตัวที่วางไข่ และอัตราการรอดชีวิตตลอดระยะเวลา 15 วัน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มที่ 1 และ 2 มีการพัฒนารังไข่ในระยะที่หนึ่งในอัตราใกล้เคียงกัน ขณะที่พบการวางไข่ในกลุ่มตัดก้านตา 4 ตัว และกลุ่มไม่ตัดก้านตาวางไข่ 2 ตัว แต่อัตรารอดชีวิต 100% อีกทั้งสามารถนำไปพักฟื้นแล้วนำกลับมาขุน เพื่อฉีดฮอร์โมนกระตุ้นการพัฒนารังไข่ได้อีกหลายครั้ง ส่วนกลุ่มตัดก้านตามีอัตรารอด 80% สำหรับการวิจัยขั้นต่อไป จะหาปริมาณฮอร์โมนเหมาะสม ที่จะกระตุ้นการพัฒนารังไข่และวางไข่ของแม่กุ้งได้สมบูรณ์ ขณะเดียวกัน ทีมวิจัยยังมีแผนสกัดฮอร์โมนพรอสตาแกลนดินออกมาจำหน่ายให้เกษตรกรในอนาคตด้วย (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน 2548 http://www.bangkokbiznews.com)





นวดขาสะเทือนถึงหัวใจ หมอชี้วิธีใหม่รักษาหลอดเลือดตีบ

อายุรแพทย์เผยเทคโนโลยีรักษาหัวใจในรูปแบบเครื่องนวดขา แต่สามารถกระตุ้นการทำงานของหัวใจ ระบุอาศัยแรงบีบเส้นเลือดใหญ่ที่เข้ากับจังหวะการเต้นของหัวใจ เหมาะกับผู้ที่กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือภาวะหัวใจล้มเหลวหรือหมดหนทางรักษาด้วยวิธีอื่น ศ.น.พ.เกียรติชัย ภูริปัญโญ อายุรแพทย์หัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลปิยะเวท เปิดเผยว่า ผู้ป่วยโรคหัวใจสามารถรักษาได้หลายวิธี รวมถึงการรักษาด้วย เครื่องนวดกระตุ้นการทำงานของหัวใจ ที่พัฒนามาจากเครื่องมือทางการแพทย์ซึ่งใช้มานานกว่า 50 ปี และได้พัฒนาจนกระทั่งสามารถใช้กับผู้ป่วยโรคหัวใจในอเมริกาตั้งแต่ปี 2535 "เครื่องนวดที่ใช้กับร่างกายภายนอก ไม่ได้สอดใส่ส่วนของอุปกรณ์เข้าไปในร่างกาย และทำงานประสานกับการบีบและคลายตัวของหัวใจ ช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจน ทำให้หัวใจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น" ศ.น.พ.เกียรติชัย กล่าวและว่า ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาสามารถใช้บริการเครื่องนวดอย่างต่อเนื่องเพียงวันละ 1 ชั่วโมง ไม่ต้องเข้านอนโรงพยาบาล ด้าน พ.ญ.ปิยะนุช รักพาณิชย์ แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูและส่งเสริมสมรรถภาพหัวใจ กล่าวเพิ่มเติมว่า เครื่องนวดทำงานโดยปั๊มลมจากเครื่องเข้าสู่แถบรัดที่พันอยู่รอบขาของผู้ป่วยที่นอนพักอยู่บนเตียง โดยแถบรัดแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนน่อง ต้นขา และสะโพก การปั๊มลมเข้าและออกจากแถบรัดจะเข้ากับจังหวะการทำงานของหัวใจ โดยอาศัยการทำงานอย่างประสานกันของเครื่องและคลื่นไฟฟ้าหัวใจ "เครื่องจะปั๊มลมเข้าแถบรัด ขณะที่หัวใจอยู่ในช่วงจังหวะคลายตัว จะเริ่มจากส่วนน่อง ต้นขาและสะโพก ตามลำดับ ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจเพิ่มขึ้น และแถบรัดจะคลายตัวโดยอัตโนมัติก่อนที่หัวใจจะเริ่มบีบตัว ซึ่งการทำงานของเครื่องตามจังหวะการเต้นของหัวใจดังกล่าว จะช่วยกระตุ้นการทำงานของหัวใจ คล้ายกับผลดีที่ได้จากการออกกำลังกาย แถมยังกระตุ้นหัวใจสร้างหลอดเลือดใหม่ หรือแตกแขนงของหลอดเลือดเล็กๆ เพิ่มขึ้น เพื่อให้เลือดไหลสู่ตำแหน่งที่หลอดเลือดตีบได้ดีขึ้น สำหรับเครื่องนวดเหมาะกับผู้ที่มีอาการเจ็บหน้าอกจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือมีอาการเจ็บหน้าอกจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ที่รักษาด้วยยา ขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนหรือขดลวด หรือผ่าตัดหัวใจแล้วยังมีอาการอยู่ ผู้ป่วยที่ไม่สามารถรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบด้วยการรักษาอื่นๆ เช่น การผ่าตัดหัวใจ หรือการขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนหรือขดลวด และผู้ป่วยที่ภาวะหัวใจล้มเหลว (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน 2548 http://www.komchadluek.net)





พวงมาลัยติดเซ็นเซอร์ สกัดขี้เหล้าเมาแล้วซิ่ง

เดนนิส เบลฮิวเมอร์ นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ และเจ้าของกิจการร้านอาหารในเมืองวิลตัน แมเนอร์ส สหรัฐ ใช้เวลาถึง 12 ปีในการพัฒนาเซ็นเซอร์เพื่อระบุปริมาณแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่จากการทดสอบผ่านผิวหนัง หลังจากที่ลูกชายวัยรุ่นของเขาประสบอุบัติเหตุขับรถชนเสาไฟฟ้าเนื่องจากเมาสุรา ส่งผลให้เนื้อสมองถูกทำลายลง เซ็นเซอร์ราคาราว 24,255 บาทชุดนี้ สามารถติดตั้งในพวงมาลัยหรือในถุงมือ โดยจะทดสอบผิวหนังของผู้ขับขี่เพื่อหาปริมาณแอลกอฮอล์ที่บริโภคเข้าไป อุปกรณ์เซ็นเซอร์รูปแบบนี้ ต่างจากเครื่องวัดระดับแอลกอฮอล์จากลมหายใจที่มีขายในตลาดมากว่า 30 ปีแล้ว โดยผู้ถูกทดสอบไม่จำเป็นต้องเป่าลมเข้าไปเพื่อวัดระดับแอลกอฮอล์ เพียงแค่สัมผัสพวงมาลัยหรือใส่ถุงมือที่ติดเซ็นเซอร์ ก็สามารถรู้ผลแล้ว ผลงานชิ้นนี้ได้รับสิทธิบัตรเมื่อเดือนที่ผ่านมา และเซ็นเซอร์จะผ่านการทดสอบฉบับสมบูรณ์ภายในปีนี้ และเขายังหวังด้วยว่าเซ็นเซอร์ผิวหนังวัดแอลกอฮอล์น่าจะเป็นอุปกรณ์มาตรฐานหนึ่งในยานพาหนะรุ่นใหม่ๆ แต่คงเหนื่อยสักหน่อย เพราะเจมส์ แฟรงก์ นักวิจัยด้านจิตศาสตร์ จากองค์กรความปลอดภัยจราจรทางหลวงแห่งชาติ บอกว่าคงไม่ง่ายนัก เพราะอุตสาหกรรมยานยนต์พร้อมจะรับมือกับค่าใช้จ่ายตรงนี้หรือไม่ (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน 2548 http://www.komchadluek.net)





หลังคายางกันแดดกันฝนทำจากขี้เลื่อยไม้พาราคู่แข่งกระเบื้องลอน

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จับมือเอกชนผู้ผลิตสิ่งของเครื่องใช้จากยางพารา คิดหลังคายางธรรมชาติผลิตจากขี้เลื่อยผสมยางแผ่นรมควัน เผยคุณสมบัติน้ำหนักเบา ยืดหยุ่นสูงแต่แข็งแรง แถมป้องกันความร้อนได้ดีเยี่ยม ระบุอนาคตคู่แข่งสำคัญของกระเบื้องมุงหลังคาทั่วไป รศ.ดร.ณรงค์ฤทธิ์ สมบัติสมภพ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เปิดเผยว่า หลังคายางธรรมชาติเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการวิจัย โดยทดลองผสมขี้เลื่อยไม้ยางกับยางแผ่นรมควัน และใช้สารเคมีเป็นส่วนประกอบ จึงมีคุณสมบัติเป็นฉนวนกันความร้อนได้ดีกว่ากระเบื้องมุงหลังคาทั่วไป 2-3 เท่า อีกทั้งมีความยืดหยุ่น ความแข็งแรงคงทนสูง น้ำหนักเบา ทำให้ขนส่งเคลื่อนย้ายสะดวกและตกไม่แตกอีกด้วย จึงเหมาะสำหรับส่งเสริมให้ชุมชนและธุรกิจเอสเอ็มอี ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์หลังคายางธรรมชาติ เพื่อทดแทนการใช้กระเบื้องหลังคาทั่วไป โดยขณะนี้ทางบริษัท สยามยูไนเน็ต รับเบอร์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์จากยางพารา สนใจรอรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตหลังคายาง แต่ทางทีมวิจัยขอศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย เพื่อให้เหมาะสมสำหรับการผลิตเชิงพาณิชย์ สำหรับโครงการวิจัยหลังคายางเป้าหมายเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่จากยางธรรมชาติ เนื่องจากที่ผ่านมางานวิจัยด้านการผลิตสิ่งของเครื่องใช้จากยางมีอยู่น้อย และยังไม่มีการผลิตสินค้าในรูปแบบใหม่ๆ ออกสู่ตลาด ทั้งที่ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบทางวัตถุดิบ ดังนั้น ทีมนักวิจัยของมหาวิทยาลัยจึงร่วมกันค้นคว้าข้อมูล เพื่อหาหนทางในการทำวิจัยผลิตภัณฑ์ยางให้แพร่หลายขึ้น ด้วยการนำวัสดุเหลือใช้อย่างขี้เลื่อยไม้ยางพารามาใช้ประโยชน์ ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนสนับสนุนการวิจัย (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 3 มิถุนายน 2548 http://www.komchadluek.net)





นาโนลดขนาดโมเลกุลทำอุปกรณ์ดิจิทัลเล็กสุดๆ

นักวิทยาศาสตร์กำลังพัฒนาโมเลกุลจิ๋ว ที่สามารถจัดเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาลบนพื้นที่เล็กสุดๆ ซึ่งจะช่วยลดขนาดการ์ดความจำดิจิทัลและฮาร์ดไดรฟ์ ส่งผลให้เครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์รุ่นใหม่มีขนาดเล็กลงอย่างมาก ดร.ลี โครนิน หัวหน้าทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ กล่าวว่า ความจุของตัวเก็บข้อมูลในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ได้เดินมาถึงทางตันแล้ว จึงเป็นเหตุให้บริษัทผู้ผลิตต่างๆ เร่งสนับสนุนงบประมาณ เพื่อพัฒนาหน่วยความจำให้มีขนาดพื้นที่เล็กลงไปอีก แต่ความสามารถในการเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้น 1 หมื่นเท่า โดยนาโนเทคโนโลยีจะเป็นเครื่องมือสำคัญ ในการพัฒนาและลดขนาดโมโลกุลให้เล็กกว่าเส้นผมคนเราถึง 1 หมื่นเท่า นั่นหมายความว่ามีความเป็นไปได้ที่กล้องดิจิทัล โทรศัพท์มือถือ เครื่องเล่นเอ็มพี 3 และไอพ็อดรุ่นใหม่จะมีขนาดเล็กลงไปอีก ขณะที่คณะผู้วิจัยจากสกอตแลนด์ ญี่ปุ่น เยอรมนีและออสเตรเลีย ต่างก็ระบุว่าโมเลกุลที่พัฒนาขึ้นนี้จะทำให้มือถือมีขนาด "เล็กลงอย่างมาก" อีกทั้งยังทำให้การ์ดความจำในกล้องดิจิทัล สามารถจัดเก็บภาพได้มากถึง 1 แสนภาพ และสามารถสร้างคอมพิวเตอร์ในระดับ "นาโน-สเกล" ซึ่งสามารถสร้างพลังในการประมวลผลมหาศาล ให้กับฮาร์ดไดรฟ์ขนาดจิ๋วได้ นายเฟรเซอร์ แมคโดนัลด์ แห่งนิตยสารเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดล็ก "สตัฟฟ์" เตือนว่า สินค้าที่มีขนาดเล็กมากๆ อาจจำเป็นต้องมีแบตเตอรี่ขนาดจิ๋วด้วยเช่นกัน สำหรับสามารถใช้ได้กับผลิตภัณฑ์จิ๋วเหล่านี้ แม้ว่าเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันจะยังลดขนาดแบตเตอรี่ไม่ได้ แต่เชื่อว่าด้วยเทคโนโลยีของแบตเตอรี่ที่พัฒนาอยู่อย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้ปัญหานี้สามารถถูกแก้ไขได้ในอนาคต (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 3 มิถุนายน 2548 http://www.komchadluek.net)





หนุนนักกีฏวิทยาวิจัยต่อยอด หนอนแมลงวันรักษาแผลเน่า

นพ.วิชัย โชควิวัฒน อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวถึง การใช้หนอนรักษาแผลกดทับ แผลเน่าเรื้อรัง ว่ามีตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งแรกกว่า 100 ปี แต่หลังจากนั้นเงียบหายไป เมื่อนักวิทยาศาสตร์พัฒนายาปฏิชีวนะรักษาบาดแผลได้ดี แต่หลังจากนั้นแผลกดทับเน่าเรื้อรังพบเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะกลุ่มแมทธิชิลีรีซีสแทน สแตฟฟิโลคอกคัส ออเรียส และเชื้อสูโดมาแนส แอลูคิโนซา จึงมีรายงานว่าคนไข้ที่เป็นแผลติดเชื้อดื้อยาเหล่านี้เสียชีวิตปีละกว่า 5,000 ราย การใช้หนอนรักษาแผลเน่าถือเป็นทางเลือกหนึ่ง แต่ต้องใช้อย่างเหมาะสม นพ.วิชัยกล่าวว่าทั่วโลกมีแมลงวันกว่า 20,000 สายพันธุ์ นักกีฏวิทยาของไทยน่าจะวิจัยเพิ่มเติมว่ามีแมลงวันสายพันธุ์ใดที่กินแต่เนื้อเน่าเหมือนสายพันธุ์ลูซิเลีย เพื่อพัฒนาเป็นทางเลือกในการรักษาแผลกดทับ แผลเน่าเรื้อรัง ที่เกิดกับผู้ป่วยเบาหวาน อัมพาต ผู้ป่วยที่นอนติดเตียง รวมทั้งแผลจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ซึ่งในเมืองไทยมีผู้ป่วยเหล่านี้รอการรักษาที่ได้ผล ลดความเจ็บปวดจากการทำแผลจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม อย่าปล่อยให้แมลงวันตามธรรมชาติไข่ใส่แผล เพราะไม่รู้ว่าแมลงวันนั้นมีเชื้อโรคอะไรบ้าง และกินเนื้อดีหรือไม่ นพ.เรวัตกล่าวด้วยว่า การเอาหนอนมารักษาโรคเป็นเรื่องที่รับยาก ซึ่งการใช้ก็มีข้อจำกัด ต้องใช้หนอนอายุ 1 วัน เพิ่งฟักมาจากไข่ อยู่ในสภาพหิวโหย เก็บรักษาอย่างสะอาดปราศจากเชื้อโรค มิเช่นนั้นจะเป็นการเพิ่มเชื้อโรคให้แผล หนอนแมลงวันจัดเป็นสมุนไพร เพราะได้จากธรรมชาติ มีวันหมดอายุ (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 3 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/matichon)





พัชราวลัย วงศ์ศิริ ศึกษาเชื้อแบคทีเรียที่ปนเปื้อนในน้ำดื่ม

น.ส.พัชราวลัย วงศ์ศิริ อายุ 18 ปี นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนบดินทรเดชา(สิงห์ สิงหเสนี) นักเรียนทุนโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้ศึกษา "การสำรวจแบคทีเรียโคลิฟอร์ม ในน้ำดื่มและเครื่องดื่มภายในโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)" โดยเริ่มจากสาเหตุที่ว่าแบคทีเรียกลุ่มนี้สามารถทนต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมได้ดีกว่าแบคทีเรียชนิดอื่น ดังนั้น การตรวจสอบการปนเปื้อนของแบคทีเรียโคลิฟอร์มจึงสามารถบ่งชี้การปนเปื้อนในอาหารและน้ำดื่มได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบคทีเรีย E.Coli ซึ่งทำให้เกิดอาการท้องเสียอย่างรุนแรงและอาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคได้ การทดลองได้สำรวจหาแบคทีเรียโคลิฟอร์มจากน้ำดื่มของร้านค้าภายในโรงเรียนโดยเก็บตัวอย่างเช่น ชาเย็น น้ำผลไม้ปั่น น้ำดื่มจากแท็งก์ และน้ำบรรจุขวด สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 5 สัปดาห์ การตรวจสอบเชื้อโคลิฟอร์มในรูปของค่า MPN ต่อ 100 ml แล้วนำไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานซึ่งมีค่า MPN ต่อ 100 ml ได้ไม่เกิน 2.2 ผลการทดลองพบว่าน้ำดื่มที่ทางโรงเรียนจัดไว้ให้แก่นักเรียนทั้งน้ำดื่มบรรจุขวดและน้ำดื่มจากแท็งก์นั้นมีคุณภาพผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ส่วนชาเย็นและน้ำผลไม้ปั่นพบการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียโคลิฟอร์มในระดับที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน เป็นข้อสันนิษฐานว่าน่าจะปนเปื้อนมากับภาชนะที่ล้างไม่สะอาด และนอกจากนี้ยังได้มีการตรวจพบแบคทีเรีย E.coli ในน้ำแข็งที่นำมาจำหน่ายอีกด้วย โครงการนี้สามารถนำไปประเมินผลของน้ำดื่มและเครื่องดื่มในโรงเรียนสามารถใช้ผลการทดลองในการปรับปรุงและควบคุมคุณภาพความสะอาดของน้ำดื่มได้เป็นอย่างดีด้วย (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 3 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/matichon)





น้ำยางพาราผสมหมึกพิมพ์ทดแทนเคมีนำเข้า

นางสาวขวัญหทัย ชัยชนะ นางสาวขวัญหทัย, ดาวเรือง ปัญธิวงค์ และนางสาววิภาพรรณ พรศิริทรัพย์ โดยมีอาจารย์อนันต์ ตันวิไลศิริ เป็นที่ปรึกษา จากภาควิชาการพิมพ์ คณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับเพื่อนร่วมสถาบันคิดค้นสูตรหมึกพิมพ์ใหม่ โดยใช้น้ำยางพาราเป็นส่วนผสมทดแทนสารเคมีบางตัว และจากการทดลองพิมพ์บนวัสดุพิมพ์ (กระดาษคราฟท์) แล้วผลที่ได้อยู่ในช่วงมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ และมีค่าใกล้เคียงกับหมึกพิมพ์ที่ใช้วัสดุนำเข้า แต่เมื่อเปรียบเทียบในด้านราคาแล้ว หมึกพิมพ์ที่มีน้ำยางพาราเป็นส่วนผสมกลับมีราคาถูกกว่ามาก สำหรับหมึกพิมพ์ที่ผลิตออกมาจะประกอบด้วยส่วนประกอบ 3 ส่วน คือ สารให้สี (colorants) ตัวพา (Vehicle) และสารเติมแต่ง (Addititive) ในส่วนของงานที่เราคิดขึ้นคือ เราได้นำเอาน้ำยางพารา มาใช้แทน ส่วนที่เป็นตัวพา (Vehicle) ซึ่งตัวพานี้จะไปทำหน้าที่ เป็นตัวพาสี ทำให้หมึกพิมพ์ไหลได้ดีและทำให้สารให้สียึดติดบนวัสดุที่พิมพ์ และทำให้หมึกพิมพ์มีความเหนียว มันเงา และทนต่อการขัดถู ส่วนการคิดค้นนี้ได้ทำกับหมึกพิมพ์ในระบบ "เฟล็กโซกราฟี" ซึ่งเป็นระบบที่เหมาะสำหรับสิ่งพิมพ์จำพวกบรรจุภัณฑ์ อย่างลูกฟูก กล่อง ซึ่งหมึกพิมพ์สำหรับระบบนี้ จะเป็นหมึกเหลวและวัตถุดิบที่เป็นเรซินที่ต้องนำเข้า ทำให้ไทยเสียดุลการค้าหลายล้านบาท จึงคิดว่าหากสามารถนำวัสดุที่มีภายในประเทศ มาใช้ทดแทนส่วนประกอบของหมึกบางตัวในการผลิตหมึกพิมพ์เพื่อลดต้นทุนการผลิต ในการทดสอบซึ่งใช้น้ำยางพาราแทนตัวพาในหมึกพิมพ์ โดยใช้ผงสีที่ผ่านการบด 50% น้ำยางพารา 15% โพลีเมอร์ (1) 110% โพลีเมอร์ (2) 25% ไข 3% สารลดการเกิดฟอง 0.5% น้ำ 16.5% พบว่าน้ำยางพาราความเข้มข้น 60% มีความเหมาะสมนำมาเป็นส่วนผสมในการผลิตหมึกพิมพ์ (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 3 มิ.ย. 2548 http://www.bangkokbiznews.com)





วิศวกรรมย้อนรอยเครื่องผนึกพลาสติก

นายยุทธนา ตันติวิวัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรม สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เปิดเผยว่า นักวิจัยฝ่ายวิศวกรรม วว. ได้พัฒนาเครื่องผนึกและเชื่อมอัลตราโซนิกส์ แบบครบวงจรขึ้นโดยการทำวิศวกรรมย้อนรอยของนักวิจัยเอง หลังจากพบปัญหาต้นทุนของผู้ประกอบการในการนำเข้าเครื่องจักรราคาแพงมาจากต่างประเทศ การผนึกและเชื่อมวัสดุด้วยเทคนิคอัลตราโซนิกส์ เป็นที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมหลายประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมอาหาร สมุนไพรและยา ที่มีการใช้พลาสติกเป็นบรรจุภัณฑ์และต้องการการผนึกหรือเชื่อมปลายวัสดุ 2 ชิ้นให้ติดกัน อาทิ ปลายหลอดยาสีฟัน หลอดบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง ปลายถุงพลาสติก เป็นต้น เครื่องผนึกและเชื่อมด้วยอัลตราโซนิกส์แบบครบวงจร โดยไม่ใช้ความร้อนและไม่ใช้กาวแต่อาศัยหลักการทางไฟฟ้า ในการสร้างความถี่อัลตราโซนิกส์ 20 กิโลเฮิรตซ์ จากนั้นส่งผ่านชุดแปลงพลังงานทำให้เกิดการสั่นสะเทือนแบบอัลตราโซนิกส์ในวัสดุที่ต้องการผนึกหรือเชื่อม สำหรับเครื่องจะทำงานแบบกึ่งอัตโนมัติ ควบคุมด้วยแผงวงจรควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถปรับตั้งและปรับเปลี่ยนกระบวนการควบคุมการทำงานของเครื่องได้หลายรูปแบบตามความเหมาะสม อีกทั้งยังสามารถพัฒนาไปสู่กระบวนการทำงานแบบอัตโนมัติในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ได้อีกด้วย นอกจากนี้ โปรแกรมที่ใช้ในการควบคุมการทำงานของเครื่อง ยังออกแบบมาให้สามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตได้อีกด้วย ในส่วนของกำลังการผลิตของเครื่องนี้นั้น สามารถผนึกและเชื่อมพลาสติกได้อย่างต่อเนื่อง ประมาณ 8-10 ชิ้นต่อนาที เทียบเท่ากับเครื่องจักรที่นำเข้าจากต่างประเทศที่ราคาแพงถึงเท่าตัว อีกทั้งสามารถเชื่อมพลาสติกรูปทรงต่างๆ กันได้ ไม่ว่าจะเป็น วงกลม วงรี สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม ด้วยความหนา 1 มิลลิเมตร สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ฯ ได้ดำเนินการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้ผู้ประกอบการที่สนใจแล้ว และพร้อมที่จะนำเครื่องดังกล่าวไปใช้งานในอุตสาหกรรมได้ทันที โดยราคาขายของเครื่องเชื่อมในระบบอัตโนมัติอยู่ที่ประมาณ 200,000 บาท ขณะที่เครื่องเชื่อมนำเข้าแบบปกติราคาขายจะอยู่ที่ 400,000 บาท อย่างไรก็ตาม ราคาขายจะต้องปรับให้มีความเหมาะสม สำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 3 มิ.ย. 2548 http://www.bangkokbiznews.com)





มูลนิธิเอกชนหนุนทุนวิจัยแพทย์ทุกสังกัด

มูลนิธิโรงพยาบาลกรุงเทพสนับสนุนทุนวิจัยด้านการแพทย์และสาธารณสุขผ่านมูลนิธิเวชดุสิต ตั้งเป้าร่วมพัฒนาความก้าวหน้าของการรักษาพยาบาล คิดค้นเครื่องมือแพทย์แบบใหม่โดยลดพึ่งพาเครื่องมือนำเข้า และเปิดโอกาสแพทย์ไทยสร้างผลงานวิจัยระดับนานาชาติ เผยหนุนแพทย์จุฬาฯ ศึกษาวิธีทำนายความรุนแรงของไข้เลือดออก มุ่งลดความเสี่ยงและอัตราเสียชีวิตของเด็ก รศ.อัจจิมา เศรษฐบุตร เลขานุการมูลนิธิเวชดุสิตในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เปิดเผยว่า มูลนิธิเวชดุสิตได้จัดสรรทุนประมาณ 1 ล้านบาท สนับสนุนโครงการวิจัยทางการแพทย์ พยาบาลและสาธารณสุข สำหรับพัฒนาความก้าวหน้าของการรักษาพยาบาลเพื่อประโยชน์ของประชาชน คิดค้นเครื่องมือแพทย์แบบใหม่โดยลดพึ่งพาเครื่องมือนำเข้า พร้อมทั้งสร้างโอกาสให้วงการแพทย์และสาธารณสุขไทย มีผลงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับระดับนานาชาติ ตลอดจนแบ่งเบาการจัดสรรงบวิจัยให้รัฐบาลอีกทางหนึ่งด้วย สำหรับมูลนิธิเวชดุสิตซึ่งจัดตั้งโดยโรงพยาบาลกรุงเทพเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ได้สนับสนุนโครงการวิจัยไปทั้งหมด 16 โครงการ ซึ่งวิจัยแล้วเสร็จ 4 โครงการ ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการดำเนินการหรือไม่ก็อยู่ระหว่างรอผลวิจัย ส่วนในปีนี้มีโครงการที่ผ่านการพิจารณาอนุมัติ 8 โครงการจากทั้งหมด 63 โครงการ รวมวงเงินสนับสนุนประมาณ 1 ล้านบาท เลขานุการมูลนิธิเวชดุสิต กล่าวอีกว่า การวิจัยที่กำลังเป็นที่สนใจของสาธารณชนในขณะนี้ คือ การวิจัยในเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างความผิดปกติทางโลหิตวิทยากับความรุนแรงของอาการทางคลินิก ในผู้ป่วยเด็กที่ติดเชื้อไข้เลือดออกโดยคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำหรับหลักเกณฑ์การคัดเลือกโครงการวิจัย ซึ่งเปิดกว้างสำหรับการวิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุข จึงไม่กำหนดหัวข้อเรื่อง แต่จะมีคณะกรรมการที่ประกอบด้วยแพทย์เป็นส่วนใหญ่ทำหน้าที่คัดกรองในเบื้องต้น จากนั้นส่งต่อให้คณะกรรมการอีกชุดหนึ่งพิจารณาคัดเลือก โดยคำนึงถึงการให้ประโยชน์แก่ส่วนรวม เช่น ลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ ช่วยประเทศชาติสามารถประหยัดงบประมาณด้านสาธารณสุข ส่วนระยะเวลาในการทำวิจัยนั้น ส่วนใหญ่จะกำหนดให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี ยกเว้นการวิจัยบางเรื่องที่ต้องเก็บตัวอย่างนานก็ได้รับอนุมัติเช่นกัน (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 4 มิใย. 2548 http://www.bangkokbiznews.com)





เครื่องอบเม็ดพลาสติก ลดปัญหาแผ่นพลาสติกเป็นรู

ปัญหาแผ่นพลาสติกเป็นรู ในขั้นตอนการหลอมพลาสติกแผ่น นั้นกลายเป็นปัญหาที่เจ้าของโรงงานผลิตและจำหน่ายพลาสติกหลายแห่ง ต่างแก้ไม่ตก! ธีรนัย เลื่อยสาด และ สุรศักดิ์ ฟองคำนักศึกษาจากแผนกไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา วิทยาเขตเชียงราย ที่ช่วยกันคิดค้นประดิษฐ์ “เครื่องอบเม็ดพลาสติก” เพื่อช่วยลดปัญหาแผ่นพลาสติกเป็นรู ได้สำเร็จ ธีรนัย เล่าว่า โรงงานผลิตและจำหน่ายพลาสติก ในจังหวัดเชียงรายก็ประสบปัญหานี้เช่นกัน เพราะในขั้นตอนการหลอมแผ่นพลาสติกเพื่อทำกระสอบพลาสติกนั้นแผ่นพลาสติกที่รีดได้มักจะเป็นรู ไม่สามารถนำไปใช้งานได้ และเม็ดพลาสติกมักจะไปอุดตะแกรงรีดพลาสติก ต้องถอนตะแกรงและต้องหยุดการผลิตทำให้สิ้นเปลืองเวลายุ่งยากมากขึ้น ซึ่งจากการศึกษาก็พบว่า สาเหตุมาจากเม็ดพลาสติกที่นำมาหลอมมีความชื้นมาก เกินไป โดยปกติเม็ดพลาสติกจะมีความชื้นอยู่ที่ 0.5% ถ้าหากเม็ดพลาสติกที่จะนำไปหลอมมีความชื้นมากกว่า 1% ก็จะทำให้เกิดปัญหาดังกล่าว “ทางโรงงานมาติดผ่านอาจารย์เกษม ตรีภาค ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ให้เราช่วยแก้ปัญหา โดยการลดความชื้นของเม็ดพลาสติกให้เหลือน้อยกว่า 1% เราจึงได้สร้างเครื่องอบเม็ดพลาสติกขึ้น ซึ่งเครื่องนี้จะอาศัยความร้อนจากขดลวดความร้อน และสามารถควบคุมความร้อนได้โดยใช้เครื่องตรวจจับอุณหภูมิ” สำหรับเครื่องอบเม็ดพลาสติกนี้ ประกอบด้วย ชุดควบคุมการทำงานของเครื่องอบเม็ดพลาสติก, มอเตอร์อินดักชัน 3 เฟส 1 แรงม้า, กระแสไฟในการทำงาน 2.0 แอมแปร์, มอเตอร์พัดลมและใบพัดของชุด Fancoil ในเครื่องปรับอากาศ ซึ่งเป็นมอเตอร์แบบคาปาซิเตอร์สตาร์ต 1 เฟส และขดลวดความร้อน 220V. 50Hz 100w. เครื่องอบเม็ดพลาสติกนี้ จะทำงานโดยใช้พัดลมร้อนจากขดลวดความร้อน เป่าเม็ดพลาสติก ซึ่งเม็ดพลาสติกจะอยู่ในกรงเหล็กตะแกรงที่หมุนได้ ในการทำงานทั้งหมดจะใช้วงจรควบคุมไฟฟ้าของแม็กเนติกส์ ส่วนเรื่องประสิทธิภาพนั้นหายห่วง เพราะ จากการทดสอบ”เครื่องอบเม็ดพลาสติก” นี้ สามารถลดความชื้นของเม็ดพลาสติกให้ลดลงเหลือน้อยกว่า 1% และสามารถอบเม็ดพลาสติกได้ 1 กระสอบต่อ 30 นาที ซึ่งเมื่อเทียบกับการที่ต้องสูญเสียแผ่นพลาสติกที่เป็นรู แถมยังนำมาใช้งานไม่ได้และยังจะเสียเวลาในการถอดตะแกรงออกมาทำความสะอาดก็นับว่าคุ้มเลยทีเดียวสำหรับภาคอุตสาหกรรม ผู้สนใจสามารถสอบถามไปได้ที่ แผนกไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา วิทยาเขตเชียงราย โทร.0-5372-9600-5 ต่อ 4000 (สยามรัฐรายวัน เสาร์ที่ 4 มิ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





จุฬาฯ อวดนวัตกรรมใหม่ อนุภาคเงินนาโนฆ่าเชื้อราบนผ้า

นักวิจัยจากสถาบันวิจัยโลหะและวัสดุ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย น.ส.ปราณีรัตนวลีดิโรจน์ และ น.ส.กนกวรรณ แสงเกียรติยุทธิ จึงคิดค้นนวัตกรรมการปรับปรุงสมบัติผลิตภัณฑ์สิ่งทอด้วยอนุภาคเงิน จนประสบความสำเร็จ โดยเผยว่า งานวิจัยนี้ต่อยอดมาจากงานวิจัยผงเงินเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องประดับ ซึ่งพบว่าจากการใช้งานด้านเครื่องประดับ เครื่องใช้ในครัวเรือน อุตสาหกรรมภาพถ่าย และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โลหะเงินและสารประกอบเงิน มีคุณสมบัติในการทำลายและหยุดยั้งการเติบโตของแบคทีเรีย และเชื้อราได้หลายชนิด จึงเกิดแนวคิดที่จะนำมาใช้กับอุตสาหกรรมสิ่งทอเพื่อปรับปรุงผ้าให้มีคุณสมบัติยับยั้งเชื้อจุลินทร์ เนื่องจากโลหะเงินมีความปลอดภัยต่อการใช้งานมากกว่าสารประกอบเงิน โดยงานวิจัย มุ่งศึกษาและพัฒนาเทคนิคในการเตรียมอนุภาคเงินที่มีขนาดเล็กในระดับนาโนให้แทรกซึมเข้าไปในเส้นใยสิ่งทอ และติดอยู่อยู่คงทน น.ส.ปราณี และ น.ส.กนกวรรณ ยังเผยถึงกระบวนการวิจัยว่า เป็นกรรมวิธีที่ทำได้ง่ายและรวดเร็ว ซึ่งใช้ได้กับผ้าหลายชนิด ทั้งผ้าฝ้าย ผ้าไหม ไนลอน อะคริลิก ฯลฯ นอกจากนี้เทคนิคดังกล่าวยังใช้กับสิ่งทอได้ทั้งก่อนและหลังการตัดเย็บ และจากผลทดสอบพบว่า ผ้าคงยังมีคุณสมบัติในการยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ได้ดี แม้จะผ่านการซักมากกว่า 20 ครั้งก็ตาม และขณะนี้ได้ยื่นจดสิทธิบัตรนวัตกรรมชิ้นนี้ไว้แล้วและได้มีการเตรียมแผนงานในอนาคตที่จะนำไปใช้ในด้านอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับสิ่งทอ เช่น ถุงเท้า ชุดชั้นใน หรืออุตสาหกรรมเสื้อผ้าสำเร็จรูป อีกด้วย ความสำเร็จครั้งนี้ จึงเป็นทางเลือกใหม่ที่จะเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์สิ่งทอของไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ (สยามรัฐรายวัน เสาร์ที่ 4 มิ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





ข่าวทั่วไป


พาณิชย์เซ็นร่วมมือ สำนักสิทธิบัตรยุโรป

นายคณิสสร นาวานุเคราะห์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า วันที่ 6-9 มิ.ย.นี้ นายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมกับเจ้าหน้าที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา จะเดินทางไปประเทศเยอรมนี เพื่อลงนามกรอบแผนปฏิบัติการความร่วมมือ กับสำนักสิทธิบัตรยุโรป(EPO) เพื่อร่วมมือในการพัฒนาบุคลากร พัฒนาระบบจดทะเบียนสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตร และพัฒนาระบบข้อมูลสิทธิบัตร และอนุสิทธิบัตร พร้อมกันนี้หารือถึงความคืบหน้าที่ EPO เสนอขอตั้งสำนักงานภาคพื้นเอเชียที่ประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นสำนักงานสาขาแรกนอกยุโรป ไทยจะได้ประโยชน์ 2 อย่างจากความร่วมมือครั้งนี้ คือ การตรวจสอบสิทธิบัตรได้เร็วขึ้น และผลักดันให้เกิดการใช้ฐานข้อมูลของไทยให้แพร่หลายมากขึ้น เพื่อให้เกิดประโยชน์ทางการค้า และผลิตเป็นตัวสินค้าได้มากขึ้น ขณะนี้ EPOได้ทำความร่วมมือกับสหรัฐ จีน และญี่ปุ่นแล้ว จึงถือเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของโลก ซึ่งจะทำให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกัน จะทำให้ฐานข้อมูลที่ไทยมีอยู่เป็นสากลมากขึ้น และสะดวกต่อการตรวจสอบข้อมูล เพื่อไม่ให้เกิดการจดทะเบียนซ้ำซ้อนในประเทศต่างๆ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนแปลคำขอเป็นภาษาอังกฤษ โดยคาดว่าภายใน 2 ปีข้างหน้า จะสามารถเชื่อมกับระบบข้อมูลกับ EPOได้ ส่งผลให้ระบบการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของไทยเข้มแข็งมากขึ้น ทั้งนี้ ปัจจุบัน EPO ได้รับจ้างเป็นที่ปรึกษาและดูแลระบบทรัพย์สินทางปัญญา ตามกรอบข้อตกลงความร่วมมือ ด้านทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างประชาคมยุโรป(ECAP II) กับอาเซียน และมีสำนักงานที่ตั้งอยู่ที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจัดตั้งมาตั้งแต่ปี 2542 โดยเป็นจุดศูนย์กลาง ทำหน้าที่ช่วยเหลือภูมิภาคเอเชีย ในการพัฒนาระบบสิทธิบัตร ขณะนี้ EPO มีสมาชิก 35 ประเทศ และมีฐานข้อมูลรวม 50 ล้านคำขอ เป็นองค์กรอิสระจากระบบการเมือง และมีงบประมาณจากรายได้ของการให้บริการ สามารถเลี้ยงองค์กรได้ โดยไม่ต้องขอรับความช่วยเหลือจากภาคการเมือง แหล่งข่าวจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวว่า ในเดือน ก.ค.นี้ จะครบกำหนดเวลา 5 ปีในระยะที่ 2 ของโครงการจัดตั้งศูนย์ความร่วมมือ ด้านทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างประชาคมยุโรปและอาเซียน ซึ่งกรมได้ทำหนังสือแจ้งให้นายการุณ กิตติสถาพร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ได้รับทราบและประสานงาน ว่าจะยังใช้ไทยเป็นฐานตั้งศูนย์ระยะที่ 3 ต่อไปอีก 5 ปีหรือไม่ และในวันที่ 31 พ.ค.นี้ กระทรวงพาณิชย์จะนำเรื่องการลงนามความร่วมมือกับ EPO เสนอให้ที่ประชุม ครม.รับทราบต่อไป (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 30 พ.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





กทม.จัดสัปดาห์สิ่งแวดล้อมโลก 3-10 มิ.ย.

วันที่ 30 พฤษภาคม นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม. เปิดเผยว่า กทม. เนื่องในวันที่ 5 มิถุนายนของทุกปีเป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก กทม. จึงกำหนดจัดงานสัปดาห์วันสิ่งแวดล้อมโลก ระหว่างวันที่ 3-10 มิถุนายนนี้ ที่ท้องสนามหลวงตามแนวคิด "BANGKOK GREEN CITY" กรุงเทพฯ เมืองสีเขียว เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อม มีกิจกรรมรณรงค์ต่างๆ ทั้งข้อมูลความรู้ด้านวิชาการ และความบันเทิงต่างๆ โดยมีพิธีเปิดงานในวันที่ 3 มิถุนายนนี้ ที่หน้าลานคนเมืองและจะมีงานตลอดทั้งสัปดาห์ นายอภิรักษ์กล่าวว่า ส่วนการบริหารงานด้านสิ่งแวดล้อม ตนได้สั่งการให้สำนักงานสวนสาธารณะเร่งสำรวจพื้นที่ว่างในสวนสาธารณะของ กทม.ทุกแห่ง เพื่อจัดทำเป็นสวนพฤกษชาติ รวบรวมพันธุ์ไม้หายากต่างๆ เพื่ออนุรักษ์พันธุ์ไม้หายาก พร้อมประสานโรงเรียนในสังกัด กทม. และสังกัดอื่นๆ รวมทั้งวัดต่างๆ เพื่อขอสำรวจหาพันธุ์ไม้เพื่อจัดทำเป็นฐานข้อมูลความรู้ (มติชนรายวัน อังคารที่ 31 พ.ค. 48 http://www.matichon.co.th/matichon)





เยาวชนไทยเจ๋งคว้าเหรียญแรงงานโลก

เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ได้ส่งตัวแทนเยาวชนช่างฝีมือไทย อายุ 18-23 ปี เข้าร่วมการแข่งขันฝีมือแรงงานนานาชาติครั้งที่ 38 ที่ศูนย์การประชุมเฮลซิงกิ แฟร์ เซ็นเตอร์ ประเทศสาธารณรัฐฟินแลนด์ ระหว่างวันที่ 25-28 พ.ค. ปรากฏว่า นายอักษร โปร่งอากาศ ตัวแทนเยาวชนไทยสาขาช่างเชื่อม สามารถคว้ารางวัลเหรียญทองมาครอง น.ส.อัจฉรา จิตต์บรรยงค์ คว้าเหรียญเงิน สาขาช่างตัดเย็บผ้าสตรี นอกจากนี้ยังมีรางวัลชมเชยอีก 4 รางวัล ได้แก่ นายสุบิน รักซื่อ นายปรีชา เพชรไชย รางวัลชมเชยสาขาช่างเมคคาทรอนิกส์ นายอาทิตย์ จันทร์ลา ชมเชยสาขาช่างแต่งผม นายไพศักดิ์ พูลผกา ชมเชยสาขาช่างไฟฟ้าในอาคาร และนายพรเทพ โลหะกุญชร ชมเชยสาขาพนักงานเทคโนโลยีสาร คาดว่าอาจจะได้รางวัลในสาขาอื่นเพิ่มเติมอีก เพราะการรวมคะแนนยังไม่เสร็จสิ้น (มติชนรายวัน พุธที่ 1 มิถุนายน 2548 http://www.matichon.co.th)





กางเกงในสตรีจี-สตริงเป็นภัยทำให้ผิวหนังเป็นพิษแถมติดโรค

แพทย์ผู้ชำนาญโรคสตรีพากันเรียกร้องให้ห้ามผู้หญิงนุ่งกางเกงในแบบจี-สตริงเสีย ไม่ใช่ด้วยเหตุมันล่อแหลมยั่วยุ หากแต่มันอาจทำลายสุขภาพ นอกจากทำให้ผิวหนังเป็นพิษแล้ว ยังอาจทำให้ติดโรคได้อีกด้วย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เมืองฮัมบูร์ก ได้เกิดความคิดขึ้นหลังจากที่ได้พบคนไข้หญิง ที่เกิดการอักเสบขึ้นที่อวัยวะเพศเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก หมอโทมาส เกนต์ แห่งนรีเวชแพทยสมาคม ในเมืองฮัมบูร์ก กล่าวว่า กางเกงในแบบนี้อาจจะขูดผิวหนังอันบอบบางแถวอวัยวะเพศบาดเจ็บได้ โดยเฉพาะหากยิ่งสวมใส่แบบคับ หรือตัดเย็บด้วยผ้าเนื้อหยาบๆ เกินไป จะทำให้เกิดการเสียดสี จนผิวหนังอักเสบเป็นแผลได้ เมื่อยิ่งอักเสบก็ยิ่งทำให้เชื้อราและแบคทีเรียกำเริบ นับว่ากางเกงในแบบนี้เป็นต้นเหตุของปัญหาในเรื่องนี้ จากการสำรวจในเยอรมนีเมื่อไม่นานมานี้ พบว่าหญิงเมืองเบียร์ที่วัยไม่เกิน 50 ปี เกือบหนึ่งในสองคนนิยมนุ่งกางเกงในแบบจี-สตริงกันทั่วไป และพวกผู้ชายก็พากันชอบใจ เพราะเห็นว่าทำให้ดูเซ็กซี่ดี. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน 2548 http://www.thairath.co.th)





ระวังเว็บไซต์โฆษณายารักษามะเร็ง โอ้อวดหลอกลวงเกินจริง

ศ.ภักดี โพธิศิริ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้รับการร้องเรียนจากผู้บริโภคว่า มีการลงโฆษณาขายยาไวแลค พลัส (Vilac Plus) ผ่านทางเว็บไซต์ อ้างว่าผ่านการขึ้นทะเบียนกับกระทรวงสาธารณสุข โดยใช้ข้อความโฆษณาว่า สมุนไพรรักษาและต้านมะเร็ง ผลิตโดยคนไทย แพทย์ไทย วิจัยสำเร็จ มีทะเบียนยากับ อย.รับรอง ทะเบียนเลขที่ G 716/45 จากการตรวจสอบพบว่าเป็นยาบำรุงร่างกาย ของบริษัทลานนาไพร ไบโอติก จำกัด ซึ่งไม่ตรงกับข้อมูลที่ระบุว่าเป็นยาไวแลค พลัส รวมทั้งหมายเลขโทรศัพท์ 0-5166-6189 และ 0-1985-5574 ที่ปรากฏบนเว็บไซต์ ตรวจสอบกับการสื่อสารแห่งประเทศไทยพบว่า หมายเลขดังกล่าวไม่ สามารถตรวจสอบสถานที่หรือผู้ครอบครองได้ เนื่องจากไม่มี การแจ้งชื่อผู้ซื้อซิมการ์ด จึงถือว่ายาไวแลค พลัสเป็นยาปลอม ซึ่งทาง อย.กำลังรวบรวมหลักฐาน และติดตามผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ขอเตือนผู้บริโภคระมัดระวัง ไม่ควรสั่งซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่มีข้อความโฆษณาสรรพคุณโอ้อวดเกินจริงทางเว็บไซต์ เพราะอาจจะถูกหลอกได้ สอบถามข้อสงสัยได้ที่ สายด่วน 1556. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 3 มิ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





เกาหลีเหนือทำขนมวิเศษจากถั่วงา ทำให้เด็กตัวโตใหญ่และสมองดี

หนังสือพิมพ์นิยมเกาหลีเหนือออกในญี่ปุ่น เสนอข่าวว่า เด็กๆในคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือ ที่อยากโต แข็งแรงและฉลาด กำลังชอบกินขนมที่ทำจากถั่วงาและสาหร่าย เพื่อช่วยให้เด็กสูง มีน้ำหนัก และระดับสติปัญญามากขึ้น กล่าวว่าขนมนี้เหนือกว่ายา ซึ่งต้องใช้วิธีการของแพทย์ หรือไม่ก็อาศัยฮอร์โมน จึงจะทำให้เติบโตได้ แต่ขนมที่เต็มไปด้วยอาหารบำรุงนี้ ไม่มีอันตรายใด หัวหน้าศูนย์วิจัยโภชนาการของเกาหลีเหนือ อ้างว่าขนมที่ประดิษฐ์ขึ้นนี้ เหนือกว่าพวกขนมที่เต็มไปด้วยน้ำตาลและเคลือบช็อกโกแลต เป็นขนมที่ทำด้วยถั่วงา สาหร่ายและหัวผักกาดแดง อุดมไปด้วยสารอาหารนานาชนิด อย่างไรก็ดี หนังสือพิมพ์ปากเสียงของเกาหลีเหนือ ลงข่าวเรื่องนี้ พร้อมกับที่มีข่าวว่า ผู้บริหารชั้นผู้ใหญ่ขององค์การแห่งสหประชาชาติ กล่าวว่า เกาหลีเหนือกำลังขาดแคลนอาหารอย่างหนัก และนับวันจะยิ่งเลวร้ายลงยิ่งขึ้น ทางการคอมมิวนิสต์ถึงกับต้องแจกบัตรปันส่วนอาหารให้กับพลเมืองของตนแล้ว. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 3 มิ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





ยืดอายุสมอง ถนอมความจำ

พัฒนาการทางสมองของมนุษย์ ทำให้มนุษย์ก้าวข้ามเผ่าพันธุ์สัตว์ชนิดอื่น แต่สมองมนุษย์ ก็มีขีดจำกัด ด้วยเงื่อนไขของเวลา ที่มาพร้อมกับความเสื่อม เมื่ออายุมากขึ้น เซลล์สมองจะค่อยๆ ลดลง และไม่มีการสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนส่วนที่ตาย ความสามารถในการจดจำเรื่องราวต่างๆ จึงถดถอยตามวัยที่มากขึ้น มีอาการหลงลืม คิดอ่านช้าลง เข้าสู่ภาวะสมองเสื่อมในวัยสูงอายุ ซึ่งคงไม่มีใครอยากตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้ การยืดอายุภาวะความเสื่อมของสมอง มีส่วนช่วยถนอมความจำ จากการศึกษาพบว่า สารอาหารบางชนิด มีบทบาทต่อการทำงานของสมอง เช่น เลซิติน ที่พบในถั่วเหลือง เนื้อวัว ข้าวสาลี มีส่วนช่วยให้ระบบประสาททำงานเป็นปกติ สังกะสีในเนื้อสัตว์ นม ผักใบเขียว ช่วยชะลอความแก่ของเซลล์ เป็นต้น ซึ่งการรับประทานอาหารตามหลักโภชนาการในชีวิตประจำวัน จะทำให้เราได้รับสารอาหารเหล่านี้ นอกจากสมองแล้ว การออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยให้เลือดไหลไปเลี้ยงสมองได้สะดวก อีกทั้งช่วยกระตุ้นให้เซลล์สมองทำงานดีขึ้น มีการวิจัยในต่างประเทศว่า คนที่ออกกำลังกายตามปกติตลอดชีวิต มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคความจำเลอะเลือนน้อยกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ไม่ออกกำลังกาย ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเสื่ยงที่ทำให้เซลล์สมองเสื่อมเร็ว โดยการไม่สูบบุหรี่ และดื่มสุราเป็นประจำ และควรฝึกสมองให้ทำงานอย่างสม่ำเสมอ เช่นการอ่านหนังสือในยามว่าง สลับกับการพักผ่อนในรูปแบบอื่นๆ จะช่วยพัฒนาให้เซลล์สมองแข็งแรง สำหรับผู้สูงวัยที่เริ่มปรากฏอาการความจำเสื่อม ควรพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยโรค ก่อนที่สมองจะถูกทำลายลง เพราะอาการหลงลืมที่เกิดขึ้น อาจกลายเป็นโรคความจำเสื่อมจากโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด และยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ นอกจากจะให้ยาช่วยรักษาความจำเสื่อม เป็นการยืดอายุความจำ ของผู้ป่วยอัลไซเมอร์ ให้เซลล์สมองทำงานได้ดีที่สุด เพื่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัยในบั้นปลาย “โรคอัลไซเมอร์” ทำอย่างไรถึงไม่ต้องพบกัน ชีวิตมนุษย์ทุกคนหมุนเวียนเป็นวัฏจักร ทารก เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ วัยชรา และตายไปในที่สุด ถ้าถูกเลี้ยงดูนับตั้งแต่เป็นทารกอย่างถูกสุขลักษณะ ก็จะเติบใหญ่เป็นหนุ่มเป็นสาว ที่มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง มีประสิทธิภาพ และเป็นคนมีคุณภาพของสังคม ดังนั้นในช่วงวัยหนุ่มสาวก็ควรที่จะดูแลสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรงด้วยเช่นกัน เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่วัยทอง และเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี (สยามรัฐ ศุกร์ที่ 3 มิถุนายน 2548 http://www.siamrath.co.th)





ด้วยสองมือทูตไบเออร์

มือหลายๆ มือที่ปรากฏอยู่บนภาพวาด รายล้อมโลกซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่ของสรรพชีวิตไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์ ต้นไม้ ทรัพยากรธรรมชาติ ฯลฯ เป็นเสมือนสื่อสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดของผู้วาดเหล่าเยาวชน "ทูตไบเออร์เพื่อสิ่งแวดล้อม" ภายใต้โครงการทูตไบเออร์เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ต้องการจะชี้ให้เห็นว่าการดูแลและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ไม่ใช่หน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง หากแต่จะต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจ ช่วยกันดูแลรักษาจึงจะสามารถคุ้มครองโลกและทำให้โลกใบนี้น่าอยู่สำหรับสรรพชีวิต ผลงานภาพวาดนี้เป็นฝีมือของตัวแทนทูตไบเออร์ฯ จากกรุงเทพมหานคร และส่วนกลาง ที่ขึ้นไปรวมกับเครือข่ายทูตไบเออร์ฯในภาคเหนือ รวม 16 คน ได้แสดงบทบาทในการร่วมรณรงค์เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตามคำเชิญชวนของสถานกงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกา เชียงใหม่ในกิจกรรม "สถานกงสุลใหญ่อเมริกัน เชียงใหม่ ฉลองวันคุ้มครองโลก 2548" ในช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา การวาดภาพรณรงค์นี้ ไม่เพียงแต่ทูตไบเออร์ฯ เท่านั้น ยังมีเยาวชนเครือข่ายด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นภาคเหนืออีก 12 กลุ่ม จำนวนกว่า 120 คน ได้ร่วมกันวาดภาพสะท้อนแนวคิดในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบนผ้าใบ เพื่อร่วมรณรงค์ในวันคุ้มครองโลก โดยนำไปจัดแสดงให้ประชาชนที่ด้านหน้าสถานกงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกา เชียงใหม่ ด้านริมฝั่งแม่น้ำ จ.เชียงใหม่ แม้จะเป็นกำลังเพียงน้อยนิด แต่เหล่าเยาวชนทูตไบเออร์ฯ ก็ตระหนักดีว่า การทำงานด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากจะอาศัยความร่วมแรงร่วมใจแล้ว ยังจำเป็นต้องอาศัยเวลาและทำงานอย่างต่อเนื่องจึงจะบังเกิดผล แม้พวกเขาจะทำมาหลายปีแล้วก็ตามแต่ก็ยังไม่หยุดอยู่เพียงแต่นี้ เพื่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 3 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/matichon)





สารพิษในบ้านพิษภัยที่อาจนึกไม่ถึง

จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมสารพิษ ในสหรัฐอเมริกา เผยตัวเลขว่า แต่ละปีมีคนได้รับโทษจากสารพิษถึงปีละกว่า 2 ล้านราย และมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้าน หรือเกิดจากผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในครัวเรือน เช่น ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ผงซักฟอก ยา วิตามิน เครื่องสำอางและต้นไม้ เพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมอันตรายที่อาจจะเกิดจากสารเคมีที่ใช้ในบ้าน จึงควรมีข้อที่ต้องระมัดระวังดังต่อไปนี้ ควรเก็บยาและสิ่งของที่ใช้ส่วนตัวไว้ในตู้ล็อกเป็นสัดส่วน ให้ห่างไกลพ้นจากมือเด็ก บ้านใดปลูกต้นไม้ ต้องรู้ไว้ว่าต้นไหนชื่ออะไร ปลูกอยู่ตรงส่วนไหนของสวน ต้นใดมีฤทธิ์เป็นพิษ ควรนำไปตั้งวางให้ห่างจากมือเด็ก และสัตว์เลี้ยง ผลิตภัณฑ์ สารเคมีที่ใช้ในบ้านควรเก็บไว้ในกล่อง กระป๋อง ภาชนะดั้งเดิม ไม่ควรเปลี่ยนถ่ายไปเก็บในขวด หรือกล่องอย่างอื่น ไม่ควรใช้ถ้วย หรือขวดอาหารเก็บผลิตภัณฑ์ สารเคมี เช่น น้ำยาทำความสะอาด หรือเครื่องสำอาง ไม่ควรวางผลิตภัณฑ์สารเคมีไว้นอกตู้เก็บ ใช้เสร็จแล้วต้องเก็บในที่ของมันทันที ควรหลีกเลี่ยงการกินยาต่อหน้าเด็กๆ เพราะว่าเจ้าตัวเล็ก มักจะมีแนวโน้มพฤติกรรมชอบเลียนแบบผู้ใหญ่ ต้องอ่านและปฏิบัติตามฉลากยาที่บ่งบอกอย่างเคร่งครัด และพึงระลึกไว้เสมอว่ายาของแต่ละคนเป็นของส่วนตัวที่ไม่ควรใช้ร่วมกัน. (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 4 มิ.ย. 2548 http://www.thairath.co.th)





"ในหลวง"ทรงห่วงสายพันธุ์ข้าวไทย

นายสุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการ มูลนิธิข้าวไทย เปิดเผยระหว่างเป็นประธานในการสัมมนาระดมความคิดเห็นจากชาวนาและกลุ่มบุคคลหลากหลายอาชีพเกี่ยวกับข้าว ประกอบด้วยนักวิชาการ ผู้ส่งออกข้าว ผู้ประกอบการโรงสี และผู้แทนจากภาครัฐและเอกชนกว่า 200 คน เพื่อหาแนวทางการจัดตั้งองค์กรข้าวแห่งใหม่ ว่าเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก ที่เพียงระยะเวลาไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา วิถีชีวิตของชาวนาไทยต้องเปลี่ยนแปลงไป จากที่เคยได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ที่มีรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนสูงเป็นอันดับหนึ่งในเอเชีย แต่ปัจจุบันกลับมีชีวิตยากจนลง ทั้งๆที่ข้าวเป็นสินค้าส่งออกที่ทำรายได้มหาศาลให้กับประเทศ ในขณะที่มีคนหลายกลุ่มร่ำรวยขึ้น "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยต่อปัญหาเรื่องข้าวเป็นอย่างมาก ทรงมีรับสั่งถามถึงทุกวัน เพราะพระองค์ทรงมีความวิตก ทรงเป็นห่วงเรื่องข้าวมากในทุกมิติ ชาวนา เรื่องข้าวการรักษาสิทธิบัตรเรื่องข้าว ทรงรับสั่งเป็นระยะๆ ซึ่งผมเองก็เคยพยายามนำระดับรัฐมนตรีหลายคนไปเข้าเฝ้าฯ ท่านก็ทรงย้ำว่าข้าวเป็นสมบัติของชาติที่ต้องรักษาเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโลกยุคปัจจุบันความสำคัญเรื่องการสิทธิบัตรคุมครองพันธุ์พืชมาก ไทยต้องตามโลกให้ทัน เพราะไม่อย่างนั้นอาจทำให้สายพันธุ์ข้าวไทยตกอยู่ในมือต่างชาติจนหมด" นายสุเมธกล่าว สำหรับบรรยากาศในการสัมมนาครั้งนี้ มีผู้แทนเกษตรกรชาวนาจากหลายภาคทั่วประเทศ ต่างอธิปรายแสดงความเห็นเรื่องแนวทางการจัดตั้งองค์กรข้าวแห่งขาติเป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่ได้เรียกร้องให้รัฐบาลจัดตั้งองค์กรข้าวขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือนร้อนในการประกอบอาชีพโดยเร็วที่สุด โดยข้อเสนอทั้งหมด จะรวบรวมเพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ ในวันที่ 5 มิ.ย.นี้ (ข่าวสด เสาร์ที่ 4 มิถุนายน 2548 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ยูเอ็นเตรียมแจกใบเหลือง เมืองไม่รักษาสิ่งแวดล้อม

เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 5 มิถุนายนของปีนี้ โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ(ยูเอ็นอีพี) เตรียมออกคำเตือนเมืองใหญ่ๆ ที่ยังคงมีสภาพเป็นมลพิษและใช้ทรัพยากรน้ำอย่างไม่เห็นค่า จนส่งผลอันตรายต่อประชาชนที่ยากจนและส่งผลกระทบถึงโลก นายคลอส ธีปเฟอร์ ผู้อำนวยการใหญ่ของยูเอ็นอีพี เปิดเผยว่า บรรดาเมืองใหญ่ทั้งหลายได้ดึงทรัพยากรธรรมชาติไปใช้จำนวนมหาศาล ทั้งน้ำ อาหาร ไม้ โลหะ และผู้คน แต่สิ่งที่ได้กลับมา กลับเป็นขยะจำนวนมาก รวมทั้งบ้านเรือน และขยะจากอุตสาหกรรม น้ำเสีย และก๊าซที่ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น นายมิเชล เฮเมอแลง จากสำนักงานควบคุมสิ่งแวดล้อมและพลังงานของฝรั่งเศส กล่าวว่าสิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลายไปนั้นเป็นผลมาจากนโยบายที่ไม่ใส่ใจต่อเรื่องการแบ่งโซนพื้นที่ โครงสร้างพื้นฐาน และการขนส่งมวลชน หรือแม้แต่เรื่องของการเตรียมความพร้อมในเรื่องของอาหาร น้ำ และการรับมือกับขยะที่เกิดขึ้นจากในเมือง ซึ่งผลที่เกิดขึ้นนั้น ไม่เพียงแต่จะเป็นเรื่องของปัญหาการจราจร อากาศเป็นพิษและมลพิษอื่นๆ แต่ยังจะกลายเป็นการสร้างปัญหาเรื่องความยากจนและการละเลยต่อกฎหมาย (มติชนรายวัน อาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน 2548 http://www.matichon.co.th)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215