|
หัวข้อข่าวปีที่ 6 ฉบับที่ 24 ประจำวันที่ 2005-06-26
ข่าวการศึกษา
ได้ข้อสรุปที่ประชุมอธิการบดีมีมติไม่เลิกรับน้อง สวช.สนับสนุนการเรียนรู้ศิลปะ สร้างยามว่างให้เกิดประโยชน์ อดิศัย-สุธรรม"ถกด่วนอธิการบดีม.รัฐ แนะมีหน่วยงานประสาน 5 องค์กรหลักศธ.ลดซ้ำซ้อน ม.นเรศวร หนุนท่องเที่ยว เปิดสอนผ่าน'เน็ต มร.สมัครเน็ต-สอนผ่านมือถือ ตั้งเป้าปี48รับนศ.ให้ครบ1แสนคน "จอมบึง"เปิดปริญญาโทมวยไทย สอนเน้นธุรกิจ-สร้างครูมวยมืออาชีพ "สุรพล"คาด"มธ."ออกนอกระบบหลังสุด มีมติย้าย"ป.ตรี"สังคมศาสตร์ไปรังสิต "สกอ."ระดมสมอง การศึกษานอกที่ตั้ง โปรดเกล้าฯจัดทําสารานุกรมไทยสําหรับเยาวชนฉบับพกพา สพฐ.ยกเลิกสำรับสายวิทย์-ศิลป์ ทปอ.ถกแอดมิสชั่น-พ.ร.บ.นอกระบบ ทรงเปิดศูนย์การศึกษาออสเตรเลีย สกศ.คัดท้องถิ่นจัดการศึกษาดีเด่น รองอธิการฯมน.ระบุสกอ.ยุคศธ.งานล่าช้า ชี้ขาดแคลนอาจารย์ทั้งคุณภาพและปริมาณ ชง7ยุทธศาสตร์อุ้มเด็กอัจฉริยะ "ทปอ."ถกหลายประเด็นร้อน รับน้อง-ม.ในกำกับ-ก.อุดมฯ สนอง"ทักษิณ"ตั้งมหา"ลัยชุมพร ส.ส.ท.ลุ้นทีมอุดมศึกษา แข่ง ABU Robot Contest
ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี
โทรศัพท์มือถือพันธุ์ข้าวโพด ล้าสมัยโยนทิ้งไม่ก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เอกรัฐจับมือบาห์เรนตั้งรง.ผลิตหม้อแปลง ลงทุน200ล.เปิดประตูสู่ตะวันออกกลาง จีเอ็มคว้ารางวัล "อุตสาหกรรมดีเด่น" ใส่ใจคุณภาพสิ่งแวดล้อม ปรุงยาด้วยน้ำตาลธรรมชาติ เป็นอาวุธมหาประลัยฆ่าแมลง เนคเทคแนะใช้สวทช.ต้นแบบ หน่วยงานกระทรวงใหม่ ผลสอบเนคเทคสมาร์ทการ์ดไม่ปลอดภัย รถเข็นไฮเทค "สวนดุสิต"ผนึกกำลัง"จุฬาฯ-เกษตรฯ-มธ." ผุดโครงการ"นักรบสิ่งแวดล้อม" ตั้งกล้องชมยิงดาวหาง"เทมเปล1" เตือนแผ่นดินไหว 8 จว.ภาคเหนือเขตรอยเลื่อน สรุปความรุนแรงคลื่นยักษ์สึนามิ โลกสั่นสะท้านอยู่นานแรมเดือน ชีวศัลยกรรม
ข่าววิจัย/พัฒนา
กระดูกงอกตอนกลางคืน นักวิจัยจีนสนใจทดลองปลูกสบู่ดำในไทย เพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทนในอนาคต เครื่องจัดบัตรคิวราชมงคลใต้คุณภาพดีไม่แพง นักวิทย์ชู'เชื้อราเขียว'ทำลายศัตรูอ้อย สูตรใหม่บำบัดมะเร็งเต้านมอาศัยอิทธิฤทธิ์ของน้ำมันปลา ร่างกายหลับแต่สมองไม่ยอมนอน กลับเตรียมงานเอาไว้ให้ตอนตื่น จุฬาฯศึกษาสารเคมีในประสาท หาวิธีควบคุมเปิดทางรักษามะเร็ง มช.ผุดห้องแอร์พลังความร้อนใต้พิภพ แปลงน้ำพุร้อนแม่จัน เป็นพลังงานทดแทนในชุมชน ฟีโบสร้างหุ่นยนต์สำรวจท่อ ลดเสี่ยงอุบัติเหตุแรงงานคน คิดค้นเครื่องฟักไข่นกกระจอกเทศ ลดต้นทุนการผลิต ผลิตเลือดจากสเต็มเซลล์หมดปัญหาเลือดขาดแคลน แถมปลอดเชื้อร้าย มก.วิจัยสมุนไพรกำจัดปลวก ผู้ดีดึงเซลล์ต้นแบบ พัฒนาไข่-สเปิร์ม ยานดำน้ำส่วนบุคคล : "ดีพไฟลต์ 1" หุ่นยนต์กุ้งมังกร : "โรโบล็อบสเตอร์" รถเหินเวหา : "เอ็ม400 สกายคาร์" ตรวจสมองจับเท็จ เครื่องปอกเปลือกมะละกอ หวานมันเค็มปลอดภัย เครื่องปรุงรสสุขภาพ...ไทยวิจัย เสียฟันตั้งแต่หนุ่มสาวเป็นลาง เป็นโรคสมองเสื่อมยามแก่เฒ่า "แฮ้ม"ลดคอเลสเตอรอล จีน-มะกันจดลิขสิทธิ์ตัดหน้า ระวังขึ้นเครื่องบินขาดออกซิเจน ดื่มน้ำผักผลไม้คั้นต้านสมองฝ่อ ยังไม่มีทางรักษาได้แต่ป้องกันไว้ วัคซีน"เดงกี่สายพันธุ์ 3" "สำเร็จ มหิดลทดลองในคนกรฎาคมนี้ เปิดตัว "Independent" หุ่นกู้ภัยตัวแรกของไทย
ข่าวทั่วไป
1ก.ค.สินค้า21รายการพร้อมใจขึ้นราคา ดันกม.คุมทดลองในมนุษย์ ดร.จิรันดร-ศ.ทญ.อรสา คว้ารางวัลมหาวิทยาลัยมหิดลปี"47 ผู้หญิงผู้ที่อยากได้บุตรไว้เชยชม ให้ห่างจากอาหารถั่วเหลืองเอาไว้ แพทย์ดีเด่นของแพทยสภา ร่างเกณฑ์มาตรฐาน... TQA รางวัลคุณภาพ สำหรับ SMEs สสว.จับ SME ปรับโครงสร้าง รองรับยุทธศาสตร์ศก.ใหม่ แคลเซียม-วิตามินดี บรรเทาปัญหา"รอบเดือน" มธ.ผนึกส.ประเมินยกระดับวิชาชีพ วัดความรู้ชูมาตรฐานเดียวทั้งระบบ
ข่าวการศึกษา
ได้ข้อสรุปที่ประชุมอธิการบดีมีมติไม่เลิกรับน้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (25 มิ.ย.) ได้มีการจัดประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทยขึ้น ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ โดยมีนายประเสริฐ ชิตพงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลาฯ เป็นประธานการประชุม โดยมีอธิการบดีจากมหาวิทยาลัยของรัฐทั้งหมด เข้าร่วมการประชุม นายประเสริฐ กล่าวภายหลังการประชุมในประเด็นกิจกรรมรับน้องปีนี้ ว่า จะไม่มีการยกเลิกกิจกรรมรับน้อง แต่จะต้องอยู่ภายใต้กรอบเชิงสร้างสรรค์ รวมทั้งส่งเสริมให้นักศึกษาแสดงออกอย่างเหมาะสมและไม่ลามกอนาจาร อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ การรับน้องของทุกมหาวิทยาลัยเริ่มลงลงเพราะอยู่ในช่วงปลายของการรับน้อง ถ้าหากในปีนี้ยังพบว่ามีฝ่ายใดจัดรับน้อง โดยเฉพาะการรับน้องนอกสถานที่ ทางมหาวิทยาลัยต่างๆ จะมีบทลงโทษทางวินัยกับผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้อง โดยกำหนดโทษอาจจะพักการเรียนหรือคัดชื่อออก นายประเสริฐ กล่าวถึงมาตรการควบคุมการรับน้องในปีหน้า ว่า จะมีการจัดทีมเข้ามาดูแลการรับน้องโดยเฉพาะ เพื่อให้นักศึกษามีพัฒนาการที่ดีขึ้นทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับการรับน้องและกิจกรรมทุกอย่างของนักศึกษา (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 25 มิ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)
สวช.สนับสนุนการเรียนรู้ศิลปะ สร้างยามว่างให้เกิดประโยชน์
นางปริศนา พงษ์ทัดศิริกุล เลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กล่าวถึงการมอบเกียรติบัตรแก่ผู้ผ่านการอบรมโครงการเรียนรู้ และแสดงออกทางศิลปะจำนวน 139 คนจาก 4 สาขา คือ สาขาขับร้อง สาขาศิลปะเด็ก สาขาระบายสีน้ำ และสาขาระบายสีน้ำมัน ณ ห้องนิทรรศการหมุนเวียน ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยในวันที่ 26 มิถุนายน 2548 เวลา 10.00 น. ว่า เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเรียนรู้ทางวัฒนธรรมที่สวช.มีจุดมุ่งหมายให้เยาวชน และประชาชนผู้สนใจงานด้านศิลปวัฒนธรรมได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ทั้งกับตัวเอง และสังคมโดยส่วนรวม โดยเฉพาะการขับร้องซึ่งนับเป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่ให้ประโยชน์แก่ผู้ฝึกฝนเป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าจะเป็นความสุขใจ การผ่อนคลายความเครียด การพัฒนาบุคลิกภาพที่เสริมสร้างสมาธิ และความมั่นใจ ส่วนศิลปะเด็กนั้นจะเป็นศิลปะบริสุทธิ์ที่จะช่วยเสริมสร้างให้เด็กได้แสดงออกถึงจินตนาการอย่างใจปราถนา โดยไม่มีขีดจำกัด ทำให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์ และมีการพัฒนาการที่ดี ขณะที่การระบายสีน้ำ และสีน้ำมันนั้นจะเป็นการสอนด้านเทคนิค วิธีการสร้างงานด้านศิลปะอีกประเภทหนึ่งแก่ผู้สนใจที่มีใจรักทางด้านศิละดังกล่าว หลังจากการมอบเกียรติบัตรแล้ว จะมีการแสดงผลงานการขับร้องกลุ่มบนเวที และการสาธิตการวาดภาพของสาขาศิลปะเด็ก ตลอดจนการแสดงนิทรรศการผลงานภาพวาดสีน้ำ และสีน้ำมันของผู้ผ่านการอบรมจำนวน 200 ภาพด้วย โดยนิทรรศการภาพวาดดังกล่าวจะจัดแสดงให้ชมตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน ถึงวันที่ 2 กรกฎาคม 2548 ในเวลา09.00-17.00 น. ณ ห้องนิทรรศการหมุนเวียน ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย (สยามรัฐ จันทร์ที่ 20 มิ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)
อดิศัย-สุธรรม"ถกด่วนอธิการบดีม.รัฐ
เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) เปิดเผยว่า นายสุธรรม แสงประทุม ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานร่วมรัฐบาล หรือวิปรัฐบาล ได้ประสานมายังตนว่าได้หารือกับนายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) เกี่ยวกับปัญหาของร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยบูรพา(มบ.) พ.ศ. ... ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐบาล ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างคณะกรรมาธิการร่วมระหว่างสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาพิจารณา และร่าง พ.ร.บ.อีก 4 ฉบับ ที่ผ่านวาระ 3 ในการพิจารณาของวุฒิสภา และกลับสู่สภาแล้ว ได้แก่ ร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยขอนแก่น(มข.) พ.ศ. ... ร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยทักษิณ พ.ศ. ... ร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) พ.ศ. ... และร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยมหาสารคาม(มมส.) พ.ศ. ... ว่ามีปัญหาตรงไหนบ้าง และมีประเด็นใดรับได้ หรือรับไม่ได้ รวมถึงร่าง พ.ร.บ.ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา โดยจะเชิญอธิการบดีมหาวิทยาลัยต่างๆ ไปหารือร่วมกับนายอดิศัยประมาณกลางสัปดาห์นี้ เพื่อเป็นกระบวนการที่จะประสานกับสภาภายหลังร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับรัฐบาลได้ผ่านวุฒิสภา และกลับเข้าสู่สภาอีกครั้ง นายภาวิชกล่าวต่อว่า ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.มข.น่าจะมีปัญหาน้อยที่สุด ส่วนอีก 3 ฉบับมีปัญหาในทางปฏิบัติเช่นเดียวกับร่าง พ.ร.บ.มบ.คือประเด็นที่วุฒิสภาได้เพิ่มข้อความห้ามไล่นิสิตนักศึกษาให้พ้นสภาพถ้าไม่จ่ายค่าเล่าเรียน ซึ่งจะเปิดช่องให้กับคนหัวหมอ หรือเพิ่มข้อความว่าหากมหาวิทยาลัยจะขึ้นค่าเล่าเรียนต้องสอบถามความเห็นของนักศึกษาก่อน จะทำให้มหาวิทยาลัยทำอะไรไม่ได้เลย และเพิ่มข้อความว่ามหาวิทยาลัยจะเก็บค่าเล่าเรียนเกินกว่างบประมาณที่รัฐอุดหนุนไม่ได้ จะทำให้มหาวิทยาลัยที่ได้รับเงินอุดหนุนมากเก็บได้มาก และได้รับเงินอุดหนุนน้อยเก็บได้น้อย ซึ่งมหาวิทยาลัยรับไม่ได้ นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ให้สภาบุคลากรกำกับดูแลอธิการบดี ผมอยากถามว่ามีระบบไหนที่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชากำกับผู้บริหารบ้าง ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.มบ.ที่อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมาธิการร่วมสองสภา และได้ประชุมร่วมกันแล้ว 1 ครั้ง แต่ยังไม่ได้ข้อยุติ ส่วนจะออกมาอย่างไรนั้นยังไม่รู้ แต่หากออกมาแบบสมยอมก็จะเกิดปัญหา ซึ่งนายสุธรรมห่วงเรื่องนี้มาก ฉะนั้น การหารือระหว่างนายอดิศัย นายสุธรรม และอธิการบดีมหาวิทยาลัยต่างๆ ในครั้งนี้ เพื่อประสานไปยังสภา เพื่อจะได้มีท่าทีชัดเจนว่าอะไรควรรับ หรือไม่ควรรับ (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 20 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)
แนะมีหน่วยงานประสาน 5 องค์กรหลักศธ.ลดซ้ำซ้อน
รศ.ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ อดีตคณบดีคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ในฐานะที่ปรึกษาโครงการวิจัยการประเมินผลสัมฤทธิ์การดำเนินงานของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)ตามความต้องการของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เปิดเผยว่า โครงการวิจัยดังกล่าวมีจุดเน้นอยู่ที่การประเมินภาพรวมของกระทรวงในด้านบทบาท ภารกิจ โครงสร้าง และการบริหารจัดการ ซึ่งจากการวิจัยในเบื้องต้นพบว่าศธ.ดำเนินการประสบความสำเร็จพอสมควร โดยในส่วนภารกิจของศธ.ที่กำหนดไว้ 3 ประการ คือเสริมสร้างโอกาสการศึกษาให้ประชาชนทุกคน สร้างระบบการศึกษาที่มีคุณภาพประสิทธิภาพ และพัฒนาคุณภาพเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศนั้นถือว่าครอบคลุมและชัดเจนดี ส่วนการปรับโครงสร้างและการดำเนินงานตามแนวปฏิรูปของหน่วยงานหลักก็เป็นไปได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ปัญหาคือหน่วยงานหลักต่างมีอิสระและเป็นเอกเทศซึ่งกันและกัน ในขณะที่หลายหน่วยงานมีงานซ้ำซ้อนคาบเกี่ยวกัน บทบาท โอกาส และความคิดริเริ่มในระดับเขตและโรงเรียนยังมีไม่มากเท่าที่ควร หลายเรื่องต้องรอถามจากส่วนกลาง รวมถึงการประสานงานในระดับเขตและจังหวัดก็ยังไม่ชัดเจนนัก คณะผู้วิจัยได้เสนอว่าแต่เดิมการเชื่อมโยงด้านนโยบายและการปฏิบัติระหว่างหน่วยงานหลักจะเป็นไปในลักษณะตัวบุคคล แต่ต่อไปควรจะให้มีหน่วยงานเข้ามาทำหน้าที่เชื่อมโยงองค์กรหลัก โดยอาจทำได้ใน 2 ลักษณะคือ ใช้สำนักงานปลัดกระทรวงหรือสำนักงานรัฐมนตรี หรือตั้งเป็นสำนักงานกระทรวงขึ้น โดยรวมหน่วยงานเดิมบางส่วนเข้าด้วยกัน แต่จะต้องเป็นหน่วยประสานงานมากกว่าการบังคับบัญชา นอกจากนี้ควรทบทวนภารกิจและโครงสร้างของหน่วยงานหลักที่คาบเกี่ยวกันเช่น สำนักงานปลัดกระทรวง กับสำนักงานสภาการศึกษา โดยอาจร่วมมือกันหรือยุบรวมกัน ส่วนสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ควรมีระบบความร่วมมือกันในเรื่องของหลักสูตร การรับส่งต่อนักเรียน และการใช้บุคลากรและเครื่องมือร่วมกัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอว่าศธ.ควรมีนโยบายกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่น เขตพื้นที่ และโรงเรียนในรูปแบบของการโอนอำนาจที่ชัดเจน ไม่ใช่เพียงแค่มอบอำนาจแล้วทำหน้าที่ติดตาม ตรวจสอบเขตพื้นที่และโรงเรียน เพื่อให้เกิดการดำเนินงานอย่างสร้างสรรค์และท้าทายในเขตพื้นที่ รวมถึงหาแนวทางในการประสานงานระดับจังหวัดอย่างดี ทั้งนี้คณะวิจัยจะรวบรวมประเด็นเสนอ ก.พ.ร. ต่อไป (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 20 มิ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)
ม.นเรศวร หนุนท่องเที่ยว เปิดสอนผ่าน'เน็ต
รศ.ดร.มณฑล สงวนเสริมศรี อธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา โดยสำนักงานบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาการศึกษา และโครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย ( Thailand Cyber University ) ได้พิจารณาคัดเลือกให้มหาวิทยาลัยนเรศวร ผลิตหลักสูตรด้านการท่องเที่ยวในระดับปริญญาตรีด้วยระบบ E-learning โดยจะเป็นหลักสูตร 4 ปี ที่ใช้คณะผู้สอนจากคณะวิทยาการจัดการและสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และจะเปิดการสอนได้ในปีการศึกษา 2549 สำหรับการผลิตหลักสูตรด้านการท่องเที่ยวโดยใช้ระบบ E-learning นับเป็นการกระจายโอกาสทางการศึกษาให้กับประชาชน โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว ที่มหาวิทยาลัยนเรศวรได้ผลิตบัณฑิตสาขาวิชาการท่องเที่ยว ทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโท ตลอดจนหลักสูตรนานาชาติมาแล้ว การท่องเที่ยว เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศและเป็นทุนทางสังคม ก่อให้เกิดรายได้เข้าประเทศหลายแสนล้านบาทต่อปี หลักสูตรดังกล่าว มีคุณค่าต่อการสร้างทรัพยากรบุคคลด้านการท่องเที่ยวและส่งเสริมการเรียนรู้ ตลอดชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึง โดยใช้เทคโนโลยีสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนและใช้แหล่งท่องเที่ยวการเรียนรู้จากทั่วโลกเป็นสื่อการเรียนการสอนให้กับอาจารย์และนิสิต ศาสตราจารย์พิเศษภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้ดำเนินนโยบายขยายโอกาสทางการศึกษา ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และรัฐบาลได้กำหนดให้เป็นนโยบายสำคัญ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้สนับสนุนการสร้างโอกาสทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง นับแต่การพัฒนาเครือข่ายสารสนเทศ เพื่อพัฒนาการศึกษา เพื่อสร้างโครงสร้างฐานเทคโนโลยีสารสนเทศเชื่อมโยงสถาบันการศึกษาทุกแห่งเข้าด้วยกัน ขณะนี้ได้ลงนามความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยนเรศวรเป็นอันดับที่ 4 ใน การผลิตหลักสูตรด้านการท่องเที่ยวและอีก 3 มหาวิทยาลัยที่ร่วมมือไปแล้ว ได้แก่ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ผลิตหลักสูตรสาขาเภสัชศาสตร์สังคมและบริหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผลิตหลักสูตรสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการศึกษา สาขาวิชาเทคโนโลยียานยนต์ และมหาวิทยาลัยศิลปากรผลิตหลักสูตรรอบรู้เท่าทันเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ต การเรียนการสอนผ่านระบบ E-learning เป็นอนาคตสำคัญของการศึกษาไทย เพราะสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต และทั้งผู้สอนและผู้เรียน จะต้องปรับตัวให้เท่ากันกับเทคโนโลยี ต่อไปนี้ อาจารย์ผู้สอน นอกเหนือจากต้องสอนในระบบการเรียนการสอนปกติแล้ว จะต้องพัฒนามาสู่การสอนผ่านระบบอินเทอร์เน็ตด้วย (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 21 มิ.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
มร.สมัครเน็ต-สอนผ่านมือถือ ตั้งเป้าปี48รับนศ.ให้ครบ1แสนคน
ศ.ประจำรังสรรค์ แสงสุข อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวในการปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ ปีการศึกษา 2548 ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง 2 บางนาเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ปีนี้มหาวิทยาลัยรับนักศึกษาปริญญาตรี โท และเอกไปแล้ว 7.3 หมื่นคน และยังเปิดรับสมัครผ่านอินเทอร์เน็ตตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายนนี้ และจะรับเพิ่มในเทอม 2 และตลอดปีการศึกษาอีกด้วย คาดว่าจะมีนักศึกษาเพิ่มเป็น 1 แสนคนจากที่มีอยู่เดิม 6.2 แสนคน ส่วนโครงการในปีนี้ จะพัฒนาอินเทอร์เน็ตของมหาวิทยาลัยให้มีความเร็วสูงเช่นเดียวกับอเมริกา และบรรจุตารางการเรียนการสอนและตารางสอบลงไป เพื่อให้นักศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลและความรู้ได้รวดเร็วขึ้น และจัดให้มีระบบการเรียนการสอนผ่านโทรศัพท์มือถือ เช่น ฟังบรรยายอาจารย์ หาความรู้ผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยคิดค่าบริการแบบเหมาจ่าย ซึ่งเบื้องต้นกำหนดไว้เดือนละ 590 บาท นอกจากนั้น ยังมีโครงการอี-เทส ซึ่งเปิดให้นักศึกษาที่ต้องการสอบปลายภาคมาสอบล่วงหน้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องรอปลายภาค แต่สอบได้แค่เทอมละ 1 ครั้งเท่านั้น ซึ่งการสอบผ่านระบบคอมพิวเตอร์และจัดสอบที่มหาวิทยาลัย โดยปีนี้จะเริ่มปริญญาตรีก่อน ต่อไปจะขยายไปปริญญาโท ขณะเดียวกันจะเปิดสอนรายวิชา RU 300 ฝึกอาชีพ 15 หน่วยกิตด้วยการเปิดให้นักศึกษาปริญญาตรีเลือกเรียนวิชานี้ได้ตามความสมัครใจ ถ้าไม่เลือกก็ไปเรียนวิชาเลือกอื่น ซึ่งเร็วๆ นี้ จะทำรายการวิชาชีพที่ให้นักศึกษาเลือกฝึกเป็นเวลา 120 วัน เพื่อให้นักศึกษาเรียนและทำงานไปพร้อมๆ กัน โดยตั้งเป้า 3 ปีข้างหน้า มหาวิทยาลัยจะยึดตลาดแรงงานของประเทศ ส่วนการพัฒนาอาคารสถานที่ จะปรับปรุงตึกอำนวยการ และสร้างอาคารเพิ่ม 2 อาคารที่ม.รามคำแหง 2 บางนา และในอนาคตจะพัฒนาพื้นที่ม.รามคำแหง บางกะปิด้วยการขุดอุโมงค์ใต้ลานพ่อขุน โดยทำเป็น 5 ชั้น เพื่อไปเชื่อมกับทางเข้ารถไฟฟ้าใต้ดินอีกด้วย (คมชัดลึก อังคารที่ 21 มิ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)
"จอมบึง"เปิดปริญญาโทมวยไทย สอนเน้นธุรกิจ-สร้างครูมวยมืออาชีพ
มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง เล็งเห็นถึงความสำคัญ และรักษาไว้ซึ่งศิลปะแม่ไม้มวยไทยที่ขึ้นชื่อ จึงผลักดันหลักสูตรมวยไทยสู่ศาสตร์ชั้นสูง ด้วยการจับมือสถาบันการพลศึกษา มหาสารคาม เปิดหลักสูตรปริญญาโท สาขามวยไทยปีนี้ ปรับเปลี่ยนจากการเรียนการสอนในโรงเรียนเป็นธุรกิจมวย และวิจัยจัดการสร้างองค์ความรู้และถ่ายทอดกันในระดับบัณฑิตศึกษา หลังจากมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงเปิดหลักสูตรนำร่องปริญญาบัณฑิตมวยไทย เมื่อปีการศึกษาที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีผู้สนใจมาสอบถามกันจำนวนมาก และมีผู้มาสมัครเรียนพอสมควร ส่วนหนึ่งนั้นรอดูความสำเร็จของรุ่นแรก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเข้าค่ายเก็บตัวเพื่อสอบให้ผ่านมงคลที่ 7 ซึ่งจะถือว่าสำเร็จการศึกษาสมบูรณ์แบบในปลายเดือนมิ.ย.นี้ (ข่าวสด อังคารที่ 21 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)
"สุรพล"คาด"มธ."ออกนอกระบบหลังสุด มีมติย้าย"ป.ตรี"สังคมศาสตร์ไปรังสิต
เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน นายสุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) เปิดเผยความคืบหน้าร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับรัฐบาลว่า ทาง มธ.ได้ปรับร่าง พ.ร.บ.ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.)ไปแล้วครั้งหนึ่ง และได้ส่งกลับไปยังสำนัก งานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.)แล้ว ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2547 เพื่อนำกลับเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.อีกครั้ง ซึ่งขั้นตอนยังอีกยาวไกล ดังนั้น คาดว่าร่าง พ.ร.บ.ของ มธ.จะเป็นฉบับสุดท้ายที่จะมีผลบังคับใช้ โดยตนได้ประมาณการว่า มธ.น่าจะออกนอกระบบราชการได้ตามกฎหมายใหม่ในช่วงปลายปี 2549-ต้นปี 2550 อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้ได้เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องกฎหมาย ข้อบังคับ จัดโครงสร้างหน่วยราชการ จัดระบบบุคลากร ตลอดจนจัดทำหลักเกณฑ์กลางในการเลื่อนตำแหน่งทางวิชาการ และเรื่องสวัสดิการและค่าตอบให้กับพนักงานมหา วิทยาลัย และลูกจ้าง "ดังนั้นในอีก 2 ปีข้างหน้า เชื่อว่า มธ.จะมีความพร้อมในการเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐบาล อย่างไรก็ตาม มีเรื่องเดียวที่ห่วงใยอยู่ คือรัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณอุดหนุนให้เพียงพอหรือไม่ เพราะที่ผ่านมามีพฤติการณ์บางอย่างที่น่าเป็นห่วง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่พนักงานมหาวิทยาลัยไม่ได้เงินโบนัสจากการพิจารณาของคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ(ก.พ.ร.) รวมถึงไม่ได้รับการขึ้นเงินเดือน 3% เหมือนกับคณาจารย์ที่เป็นข้าราชการ ซึ่งหากยังเป็นเช่นนี้จะเกิดปัญหาแน่นอน" นายสุรพลกล่าว
ส่วนความคืบหน้าการย้ายนักศึกษาปริญญาตรีจากท่าพระจันทร์ไปยังศูนย์รังสิตว่า สภา มธ.เมื่อวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายการเรียนการสอนระดับปริญญาตรีของคณะทางสังคมศาสตร์ที่ท่าพระจันทร์ทุกชั้นปีไปดำเนินการที่ศูนย์รังสิต ตั้งแต่ปีการศึกษา 2549 เป็นต้นไป ซึ่งมติดังกล่าวมีขึ้นภายหลังการหารือร่วมกันระหว่างตนและคณบดีกลุ่มสังคมศาสตร์ที่ท่าพระจันทร์ทั้ง 8 คณะ ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา กระทั่งมีมติเห็นพ้องให้ทุกคณะในกลุ่มสังคมศาสตร์ไปจัดการเรียนการสอนระดับปริญญาตรีที่ศูนย์รังสิต ตลอดทั้ง 4 ชั้นปี โดยจะเริ่มกับนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนในปีการศึกษา 2549 เป็นรุ่นแรก ส่วนนักศึกษาที่ลงทะเบียนในปี 2545-2548 จะยังคงเรียนชั้นปีที่ 3 และ 4 ที่ท่าพระจันทร์ ยกเว้นคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาจะย้ายไปที่ศูนย์รังสิต ภายใต้เงื่อนไขของสภามหาวิทยาลัยดังกล่าว ส่วนพื้นที่ มธ.ท่าพระจันทร์ สภา มธ.มีมติให้ฝ่ายบริหารจัดทำแผนการใช้พื้นที่เสนอภายใน 3 เดือน แต่มีแนวทางชัดเจนว่าจะเป็นศูนย์การศึกษาสังคมศาสตร์ระดับบัณฑิตศึกษา ศูนย์วิจัยและให้บริการทางวิชาการ ซึ่งได้ตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาจาก 8,000 คน ให้เป็นกว่า 35,000 คนให้ได้โดยเร็ว (มติชนรายวัน พุธที่ 22 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)
"สกอ."ระดมสมอง การศึกษานอกที่ตั้ง
นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวในการเป็นประธานเปิดการสัมมนาผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษา ที่ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการศึกษาวิธีปฏิบัติที่ดี (Good Practice) ของการจัดการศึกษานอกที่ตั้ง ที่โรงแรมเอเชีย ว่า การจัดการศึกษานอกที่ตั้งนั้นเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจมาก ซึ่งมีประเด็นทั้งด้านบวกและด้านลบ คือ มหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ ได้ใช้ช่องทางนี้เป็นการขยายขอบเขตไปให้บริการทางการศึกษาในระดับอุดมศึกษานอกพื้นที่ตั้ง โดยให้บริการในชุมชนที่มีความต้องการ ใช้หลักการตลาดในยุคปัจจุบัน เปรียบได้กับ Home Delivery เช่นเดียวกับการศึกษาทาง Cyber Space หรือทางอินเตอร์เน็ต การจัดการศึกษานอกที่ตั้งถือเป็นการกระจายโอกาสทางการศึกษาทางหนึ่ง แต่สถาบันอุดมศึกษาต้องทำอย่างมีคุณภาพ ทางสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้ปรับปรุงเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับอุดมศึกษา พ.ศ.2548 ซึ่งถ้าสถาบันอุดมศึกษา ทั้งสภามหาวิทยาลัย อธิการบดี คณะวิชา ใส่ใจในทุกรายละเอียดและทำตามเกณฑ์อย่างจริงจังในการดำเนินการ พร้อมทั้งวางแผนการรับนักศึกษาให้สอดคล้องกับศักยภาพ การจัดการศึกษาจะมีคุณภาพเกิดขึ้นในเบื้องต้น (ข่าวสด พุธที่ 22 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)
โปรดเกล้าฯจัดทําสารานุกรมไทยสําหรับเยาวชนฉบับพกพา
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี องค์ที่ปรึกษา โครงการสารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนฯ ทรงมีพระราชดำริ ให้โครงการฯ จัดทำสารานุกรมไทย สำหรับเยาวชน ฉบับเสริมการเรียนรู้ ซึ่งมีขนาดเล็ก สามารถพกพาได้สะดวก และราคาไม่แพงมากนัก โดยเปิดตัวเล่มแรก อย่างเป็นทางการ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (21 มิ.ย.) ณ หอประชุมโครงการสารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนฯ สนามเสือป่า พล.อ.ต.กำธน สินธวานนท์ ประธานโครงการสารานุกรมไทย สำหรับเยาวชน ฉบับเสริมการเรียนรู้ เผยถึงการจัดทำหนังสือดังกล่าวว่า ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์ให้จัด ทำหนังสือสารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนขึ้น เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนไทย มีนิสัยรักการอ่าน และใฝ่หาความรู้ด้วยตนเอง โดยทางโครงการฯ ได้จัดทำหนังสือสารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนขึ้นในรอบ 30 ปี รวมทั้งหมด 29 เล่ม แต่เนื่องจากที่เคยจัดทำมาก่อนๆนั้น มีขนาดรูปเล่มที่ใหญ่และราคาแพง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จึงมีพระราชดำริให้จัดทำฉบับพกพาได้สะดวก และราคาไม่แพงนัก เพื่อให้ ผู้ปกครองและเยาวชนช่วงวัย 10-15 ปี สามารถซื้อหาไว้อ่านเพิ่มเติมความรู้ และเสริมสร้างการอ่านสารานุกรมไทยฯให้แพร่หลายมากขึ้น ทางโครงการฯจึงได้นำเนื้อหาสาระบางส่วนจากสารานุกรมเล่มใหญ่ มาปรับปรุงเป็นฉบับเสริมการเรียนรู้ และใส่รูปภาพประกอบให้ดูน่าอ่านมากขึ้นในขั้นต้น ได้จัดทำฉบับเสริมการเรียนรู้ขึ้นรวม 3 เล่ม เล่มแรกประกอบด้วยเรื่อง ไม้ดอกหอมของไทย, ไม้ในวรรณคดีไทย และสมุนไพร เล่มที่ 2 มีเรื่องอาหารไทย โภชนาการ การปลูกพืชไร้ดิน และเล่มที่ 3 เรื่อง ลำดับพระมหากษัตริย์ไทย, สังคมและวัฒนธรรมไทย และภูมิปัญญาชาวบ้าน แต่ละเล่มมีเนื้อหาประมาณ 200 หน้า จำหน่ายในราคา 80 บาท กำหนดจัดพิมพ์ปีละ 3 เล่ม เพื่อให้เยาวชนที่สนใจซื้อเก็บสะสมไว้เป็นชุด โดยสามารถสั่ง ซื้อได้ที่โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ โทร.0-2280-6538. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 23 มิ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)
สพฐ.ยกเลิกสำรับสายวิทย์-ศิลป์
ตามที่นายอดิศัย โพธารามิก รมว.ศึกษาธิการ มีนโยบายในการจัดการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายว่า ไม่ควรจำกัดการเรียนของเด็กด้วยการแบ่งนักเรียนออกเป็นสายวิทย์ และสายศิลป์นั้น นางพรนิภา ลิมปพยอม เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กำลังยกร่างประกาศแนวปฏิบัติการจัดการเรียนการสอนในเรื่องดังกล่าว ซึ่งเปิดให้เด็กสามารถเลือกเรียนได้ตามความถนัดไม่ใช่เป็นการบังคับ หรือจัดสำรับให้เด็กเรียน ซึ่งหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2544 กำหนดให้เด็กทุกคนเรียนทุกวิชาใน 8 กลุ่มสาระ โดยให้ค่าน้ำหนัก 40% ส่วนที่เหลืออีก 60% ให้เด็กเลือกเรียนในวิชาที่สนใจ ทางโรงเรียนจะเป็นผู้จัดทำหลักสูตรขึ้นเอง หรืออาจจะใช้หลักสูตรตามแนวทางที่ สพฐ. กำหนดให้ก็ได้ แต่ไม่ใช่ให้โรงเรียนแบ่งเด็กชัดเจนออกเป็น 2 สาย เพราะบางคนถูกจำกัดให้เรียนสายศิลป์ก็แทบร้องไห้เนื่องจากไม่ก้าวหน้าพอ
และเมื่อไปเรียนต่อในระดับ มหาวิทยาลัยก็ไม่มีโอกาสเลือกเรียนสายอื่น ทั้งนี้ เข้าใจว่าสาเหตุที่โรงเรียนแบ่งเด็กนักเรียนเป็นสายวิทย์ สายศิลป์ อาจเป็นเพราะมีครูไม่พอ แต่ต่อไปก็ต้องจัดให้ได้ให้โอกาสเด็กได้เลือกเรียน ทั้งเคมี ชีววิทยา และฟิสิกส์ โดยเปิดเส้นทางให้กว้าง เมื่อมีการยกร่างประกาศดังกล่าวแล้ว ก็จะเชิญสถานศึกษาต่างๆ มาหารือเพื่อสร้างความเข้าใจ เพราะการที่ไม่แบ่งเด็กออกเป็นสายวิทย์สายศิลป์อาจจะทำให้โรงเรียนมีความลำบากในการจัดการเรียนการสอน แต่โรงเรียนก็จะต้องจัดห้องเรียนให้เด็กได้เรียนตามถนัด ส่วนที่ว่าต้องจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับการสอบเอนทรานซ์ หรือแอดมิชชันที่ระบุว่าเลือกเรียนในสาขาใดต้องเรียนวิชาใดมากี่หน่วยกิตนั้น รมว.ศึกษาธิการ ก็เคยบอกแล้วว่ามหาวิทยาลัยต้องจัดให้เข้ากับการศึกษาขั้นพื้นฐานเองไม่ใช่มากีดกัน อย่างไรก็ตามหลังจากหารือกับสถานศึกษาและทำความเข้าใจกันแล้วก็จะประกาศแนวปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวทันที (สยามรัฐรายวัน 23 มิ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)
ทปอ.ถกแอดมิสชั่น-พ.ร.บ.นอกระบบ
นายประเสริฐ ชิตพงษ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) กล่าวว่า ในการประชุม ทปอ. วันที่ 25 มิ.ย. ที่ประชุมจะพิจารณาสรุปเกณฑ์ประกอบการรับนิสิตนักศึกษาใหม่ หรือแอดมิสชั่น ที่จะเริ่มใช้ในปีการศึกษา 2549 ขณะนี้เหลือเพียงข้อสรุปในเรื่องการกำหนดกลุ่มสาระวิชาที่จะใช้ประกอบการสอบแบบโอเน็ต และแบบเอเน็ตของบางสาขาวิชา อาทิ สังคมศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ที่อยู่ระหว่างพิจารณา คาดว่าในการประชุมครั้งนี้จะได้ข้อสรุปทั้งหมด เพื่อส่งข้อมูลต่อให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) สรุปผล และจัดทำคู่มือการรับนิสิตนักศึกษาใหม่ของสถาบันอุดมศึกษา หาก สกอ.สามารถประกาศเกณฑ์ได้เร็ว ก็จะทำให้นักเรียนมีเวลาในการเตรียมตัวสอบได้มากขึ้น นอกจากนี้ที่ประชุมจะหารือถึงร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยนอกระบบของมหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง เพื่อหาแนวทางที่ชัดเจน เพราะร่างพ.ร.บ.ของมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เมื่อเข้าไปสู่การพิจารณาในขั้นวุฒิสภาแล้ว อาจมีการเปลี่ยนแปลงสาระของ พ.ร.บ.บางประเด็น ดังนั้นที่ประชุมจะหารือเพื่อกำหนดแนวทางอย่างไรให้หลักการสำคัญของร่างพ.ร.บ.ไม่ถูกปรับจนแตกต่างมากจากร่างเดิม (ข่าวสด พฤหัสบดีที่ 23 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)
ทรงเปิดศูนย์การศึกษาออสเตรเลีย
ประเทศออสเตรเลียจัดได้ว่าเป็นแหล่งการศึกษาชั้นนำระดับโลกแห่งหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากนักเรียนนักศึกษาชาวไทยที่จะไปศึกษาต่อในระดับนานาชาติ โดยปีการศึกษา 2547 ที่ผ่านมา มีนักเรียนนักศึกษาชาวไทยกว่า 16,000 คน ในจำนวนนักศึกษานานาชาติกว่า 270,000 คน เข้าศึกษากับชาวออสเตรเลียนับล้านคนทั้งในระดับไฮสคูล วิทยาลัย และมหาวิทยาลัย ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริมการหาความรู้และข้อมูลการศึกษาคุณภาพสูงที่ถูกต้องสำหรับผู้สนใจศึกษาต่อในประเทศออสเตรเลีย จึงเปิดศูนย์การศึกษาออสเตรเลียประจำประเทศไทยขึ้น ภายในสถานทูตออสเตรเลีย ถนนสาทรใต้ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างศูนย์การศึกษาออสเตรเลีย รัฐบาลออสเตรเลียและสถาบันการศึกษาต่างๆของออสเตรเลีย โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯเป็นองค์ประธานเปิดศูนย์การศึกษาฯเมื่อเร็วๆนี้ โดย วิลเลี่ยม แพทเทอร์สัน เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย เฝ้าฯรับเสด็จฯ ภายหลังสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ทรงเปิดศูนย์การศึกษาฯแล้ว ได้ทอดพระเนตรกิจกรรมต่างๆภายในศูนย์การศึกษาฯและทอดพระเนตรเว็บไซต์www.studyinaustralia.gov.au ซึ่งเป็นเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของรัฐบาลออสเตรเลียที่ทำขึ้นเพื่อให้นักเรียนนักศึกษาได้รับทราบข้อมูลเพิ่มเติม (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 23 มิ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)
สกศ.คัดท้องถิ่นจัดการศึกษาดีเด่น
นายอำรุง จันทวานิช เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลมีนโยบายกระจายอำนาจการจัดการศึกษาสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา(สกศ.) จึงร่วมกับกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำโครงการคัดเลือกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดีเด่นด้านการศึกษา เพื่อยกย่องให้เป็นต้นแบบขยายผลไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นๆ โดยพิจารณาจาก 1) จัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพตามความพร้อม สอดคล้องกับความต้องการในท้องถิ่น 2) การมีส่วนร่วมส่งเสริมสนับสนุนการจัดการศึกษาในด้านงบประมาณ วิชาการ ร่วมเป็นกรรมการ ให้คำปรึกษา กำหนดทิศทางการพัฒนาการศึกษา และ 3) การบริหารจัดการศึกษาโดยมีโครงสร้างองค์กรภายในรองรับ มีแผนการเตรียมความพร้อม/แผนการพัฒนาการศึกษาและมีการจัดสรรรายได้เพื่อการศึกษา สำหรับผลการคัดเลือกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดีเด่นด้านการศึกษาทั่วประเทศ มีดังนี้ 1.เทศบาลที่มีโรงเรียนในสังกัด รางวัลดีเด่น คือ เทศบาลนครภูเก็ต เทศบาลเมืองเพชรบุรี และเทศบาลนครอุบลราชธานีรางวัลชมเชย คือ เทศบาลนครยะลา เทศบาลนครศรีธรรมราช เทศบาลเมืองกระบี่ เทศบาลเมืองพัทลุง เทศบาลตำบลกบินทร์ จ.ปราจีนบุรี และเทศบาลตำบลนางรอง จ.บุรีรัมย์ 2.อบจ. รางวัลดีเด่นคือ อบจ.สมุทรปราการ อบจ.ตรัง บจ.แม่ฮ่องสอนรางวัลชมเชย คือ อบจ.กำแพงเพชรอบจ.เพชรบูรณ์ อบจ.ลพบุรี 3.เทศบาล ที่ไม่มีโรงเรียนในสังกัด รางวัลดีเด่น คือ เทศบาลนครปากเกร็ดนนทบุรี เทศบาลตำบลบ้านดุงจ.อุดรธานี เทศบาลเมืองสระแก้ว จ.สระแก้ว และเทศบาลตำบลร้องกวาง จ. แพร่ รางวัลชมเชย คือ เทศบาลตำบลกงไกรลาศ สุโขทัย เทศบาลตำบลไร่เก่า ประจวบฯ เทศบาลตำบลแม่ปุ ลำปาง เทศบาลตำบลเมืองแกลง ระยอง และเทศบาลตำบลสามเงาตาก และ 4.อบต.รางวัลดีเด่น คืออบต.ท่าก๊อ เชียงราย อบต.เวียง เชียงใหม่ และ อบต.ท่าข้าม สงขลา รางวัลชมเชย คือ อบต.บ้านกลาง ลำพูน อบต.เขาสามยอดลพบุรี อบต.บึงยี่โถ ปทุมธานี อบต.วัดพริก พิษณุโลก อบต.สาวะถี ขอนแก่น อบต.โนนข่า ขอนแก่น อบต.นาขาม กาฬสินธุ์ (สยามรัฐรายวัน ศุกร์ที่ 24 มิ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)
รองอธิการฯมน.ระบุสกอ.ยุคศธ.งานล่าช้า ชี้ขาดแคลนอาจารย์ทั้งคุณภาพและปริมาณ
ดร.สำราญ ทองแพง รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร(มน.) ให้สัมภาษณ์ว่า ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย ได้ตั้งกรรมการ 1 ชุด เพื่อติดตามปัญหาหลังจากทบวงมหาวิทยาลัยมาอยู่รวมกับกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) เกือบ 2 ปี ซึ่งที่ผ่านมาส่วนมากเจอปัญหาความล่าช้ามาก ขั้นตอนราชการยาวขึ้น บางเรื่อง ศธ.ส่งไปสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) จากนั้น สกอ.ส่งมหาวิทยาลัยอีกทั้งวัฒนธรรมการทำงานก็ต่างกันระหว่างมหาวิทยาลัยกับโรงเรียน เพราะระดับอุดมศึกษาเป็นเรื่องวิชาชีพ ระดับโรงเรียนเป็นเรื่องพื้นฐานสอนเหมือนกันหมด รองอธิการบดี มน.กล่าวว่า กรรมการชุดนี้ทำ 3 ส่วน คือ 1.วิเคราะห์โครงสร้าง สกอ.เองมี 15 สำนัก มีขนาดใหญ่ มีมหาวิทยาลัยของรัฐ 78 แห่ง มหาวิทยาลัยเอกชน 58 แห่ง มีวิทยาลัยชุมชน 17 แห่ง ที่อยู่ใต้สังกัด ตรงนี้เป็นโครงสร้างที่ใหญ่พอสมควร 2.ดูเรื่องปัญหาความล่าช้า การบริหารจัดการ ซึ่งอยู่ที่โครงสร้างไม่ใช่ตัวคน 3.ถามความเห็นจากผู้บริหาร ผู้ทรงคุณวุฒิและบุคคลที่เกี่ยวข้อง น่าจะสรุปได้เดือนมิถุนายนนี้ จากนั้นเสนอ ทปอ.ส่วนจะทำอย่างไรต่อไปค่อยว่ากันที ดร.สำราญกล่าวว่า ในความเห็นของตนการเป็นทบวงแบบเดิมดีกว่า เพราะมีความคล่องตัว เวลาจะทำกิจกรรมอะไรจะทำเหมือนกันหมดจะเข้าใจง่าย ทำให้รวดเร็วมีประสิทธิภาพมากกว่า อย่างมาเลเซียมาดูงานเห็นประเทศไทยมีทบวงที่แยกออกจาก ศธ.แล้วทำงานมีประสิทธิภาพก็ไปแยกตาม ตอนนี้มหาวิทยาลัยของมาเลเซียติดอันดับแล้ว ตนมองว่าเอกภาพทำได้หลายรูปแบบ ไม่จำเป็นต้องมาอยู่ร่วมกัน เรื่องนโยบายสามารถบริหารจัดการได้ ที่ผ่านมาก็ไม่มีปัญหาอะไร เช่น ยุทธศาสตร์ของชาติออกมาอย่างนี้ก็ลงไปสู่กิจกรรมแต่ละส่วนที่รับผิดชอบ ซึ่งเชื่อมโยงกันได้อยู่แล้ว "การศึกษาปัจจุบันที่ต้องรีบแก้ไขเป็นเรื่องอาจารย์ผู้สอน ภาพรวมเราขาดแคลนอาจารย์ผู้สอนทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เชิงปริมาณคือจำนวนไม่พอ ขณะนี้มหาวิทยาลยต่างต้องขยายจำนวนการรับเด็กมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการ แต่อาจารย์ที่มีอยู่ไม่พอ ของบประมาณบรรจุอาจารย์ก็ไม่ค่อยได้ คุณภาพก็เหมือนกันอาจารย์มหาวิทยาลัยต้องจบปริญญาเอก 100 เปอร์เซ็นต์ หรือ 70-80 เปอร์เซ็นต์ ก็ยังดี แต่ของเรามีน้อยมากเมื่อเทียบกับต่างประเทศ การได้อาจารย์ที่ดีมีคุณภาพมาทำงานวิชาการ มาทำงานวิจัยก็จะทำให้ประเทศชาติพัฒนาไปด้วย เพราะหลายส่วนใช้อาจารย์มหาวิทยาลัยทั้งนั้น ตรงนี้ผมเห็นว่าน่าจะรีบช่วยกันพัฒนา ที่ผ่านมามหาวิทยาลัยไทยไม่ติดอันดับ เพราะไม่ค่อยมีงานวิจัย ทั้งประเทศมีประมาณ 2,000 ฉบับ แต่เป็นของมหาวิทยาลัยมหิดลเสียครึ่งหนึ่ง ที่หลือเป็นมหาวิทยาลัยอื่น การมองคุณภาพต้องมองเรื่องงานวิจัยเป็นหลัก และมีครูอาจารย์ที่มีผลงานการสอนหรือไม่" ดร.สำราญกล่าว (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 24 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)
ชง7ยุทธศาสตร์อุ้มเด็กอัจฉริยะ
นายอำรุง จันทวานิช เลขาธิการสภาการศึกษา(สกศ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมกรรมการสภาการศึกษา มีนายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) เป็นประธาน เมื่อเร็วๆ นี้ ได้เห็นชอบร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาเด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษ(พ.ศ.2549-2559) และให้ สกศ.นำเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) เพื่อพิจารณาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้เป็นกรอบแนวทางดำเนินงานต่อไป ทั้งให้ สกศ.ติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ เพื่อนำเสนอ ครม.เป็นระยะๆ ทั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 7 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1.ให้มีคณะกรรมการที่ดูแลเรื่องนโยบาย และคณะกรรมการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาในระดับกระทรวงและสถาบันอุดมศึกษา 2.สร้างความตระหนักและการมีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้อง 3.พัฒนาระบบการศึกษาให้มีการสอนรูปแบบหลากหลายและยืดหยุ่น และควรจัดตั้งศูนย์สำรวจแววความสามารถพิเศษในแต่ละจังหวัด และเปิดโปรแกรมการเรียนการสอนอย่างน้อยจังหวัดละ 2 โรงเรียน 4.ให้สถาบันอุดมศึกษาเปิดสอนสาขาการจัดการศึกษาสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษในระดับปริญญาโทและเอก 5.จัดให้มีหน่วยงานที่เก็บสะสมคลังเครื่องมือที่มีมาตรฐาน สนับสนุนให้มีการรวบรวมองค์ความรู้ ดำเนินการวิจัยและพัฒนา พร้อมทั้งผลิตและเผยแพร่ความรู้ในรูปแบบที่หลากหลาย 6.พัฒนาเด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษระดับสูง และ 7.การสร้างความเป็นเลิศด้านต่างๆ ให้กับประเทศ (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 25 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)
"ทปอ."ถกหลายประเด็นร้อน รับน้อง-ม.ในกำกับ-ก.อุดมฯ
นายประเสริฐ ชิตพงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.) เปิดเผยว่า ในการประชุม ทปอ.วันที่ 25 มิถุนายนนี้ จะหารือในหลายประเด็น เช่น แนวทางการจัดกิจกรรมรับน้องใหม่ในปีการศึกษา 2549 และการจัดสัมมนาเพื่อจัดกิจกรรมต่างๆ ของนิสิตนักศึกษา การเสนอผลการศึกษาเกี่ยวกับการแยกสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) ออกจากโครงสร้างกระทรวงศึกษา(ศธ.) เพื่อตั้งกระทรวงอุดมศึกษา ซึ่งคาดว่าจะได้ความชัดเจนมากขึ้น รวมทั้งพิจารณาลงมติรับรองรายละเอียดขององค์ประกอบต่างๆ ใน 9 กลุ่มสาขาวิชา ของระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษา หรือระบบแอดมิสชั่นส์ ประจำปีการ 2549 และจะหารือเรื่องร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับรัฐบาล โดยจะหยิบยกกรณีร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยบูรพา(มบ.) ที่อยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมาธิการร่วมสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา เพราะห่วงว่าร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยอื่นๆ จะถูกเพิ่มข้อความที่ไม่เหมาะสม และสร้างปัญหา โดยเฉพาะการเพิ่มข้อความห้ามไล่นิสิตนักศึกษาพ้นสภาพ หากไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียน "เรื่องนี้ ส.ว.บางคนไม่เข้าใจ และผู้ที่เสนอให้เพิ่มข้อความดังกล่าวก็ไม่มีประสบการณ์ ซึ่งการใส่แนวคิดสวยหรูเช่นนั้น จะทำให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ เพราะเปิดช่องให้คนหัวหมอจริง และจะไม่เฉพาะระดับปริญญาตรี แต่จะครอบคลุมถึงปริญญาโทและเอกด้วย ซึ่งจะเป็นปัญหาแน่" นายประเสริฐกล่าว (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 25 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)
สนอง"ทักษิณ"ตั้งมหา"ลัยชุมพร
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน นายรุ่ง แก้วแดง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยใหม่เพิ่มขึ้นจำนวนมากถึง 51 แห่ง ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล และมหาวิทยาลัยที่เพิ่งจัดตั้งใหม่อีก 2 แห่ง คือมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ และมหาวิทยาลัยนครพนม ดังนั้น ศธ.จึงได้เตรียมจัดทำแผนที่ตั้งสถาบันอุดมศึกษาไทยใหม่ เพื่อให้ตรงกับสภาพความเป็นจริงในปัจจุบัน เพื่อนำมาใช้ในการวางแผนต่างๆ โดยเฉพาะการวางแผนการตั้งมหาวิทยาลัยใหม่ จะทำให้รู้ได้ว่าการเสนอตั้งมหาวิทยาลัยใหม่ที่ใดมีเหตุผลสมควรหรือไม่ เพราะการตั้งมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งต้องใช้งบประมาณมหาศาล จึงต้องวางแผนให้รอบคอบ และที่สำคัญจะได้วางแผนเกี่ยวกับอาจารย์ได้ ซึ่งในปัจจุบันนี้ประเทศไทยขาดแคลนอาจารย์ระดับมหาวิทยาลัยอยู่จำนวนมาก หากเตรียมการเรื่องอาจารย์ไม่ดีแล้วบัณฑิตรุ่นแรกๆ ที่มหาวิทยาลัยตั้งใหม่ผลิตออกมาก็จะมีปัญหาในเรื่องคุณภาพ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เห็นชอบในหลักการไปแล้วเมื่อครั้งไปราชการที่ จ.ชุมพร โดยแนวทางจะเป็นการหลอมรวมสถาบันการศึกษาที่มีอยู่เดิมเป็นมหาวิทยาลัยชุมพร คาดว่าจะใช้เวลาศึกษาประมาณ 2 ปี ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีได้ รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ.กล่าว และว่า ต้องมีการศึกษาว่าน่าจะมีการสอนคณะวิชาใดที่จะเป็นประโยชน์ต่อชุมชนใน จ.ชุมพร เพราะโดยสภาพเศรษฐกิจใน จ.ชุมพรมีการปลูกกาแฟและปาล์มจำนวนมาก (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 25 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)
ส.ส.ท.ลุ้นทีมอุดมศึกษา แข่ง ABU Robot Contest
จากการเข้าแข่งขันหุ่นยนต์ สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี(ไทย-ญี่ปุ่น) หรือ ส.ส.ท. ชิงแชมป์ประเทศไทย ระดับอุดมศึกษาจาก 76 ทีม ภายใต้ชื่อเกมส์ว่า "จุดไฟศักดิ์สิทธิ์พิชิตกำแพงเมืองจีน" ปรากฏว่า หุ่นยนต์ทีม IRAP: Araritz สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ คว้าทีมชนะเลิศระดับอุดมศึกษา หุ่นยนต์ทีม Easy โรงเรียนอัสสัมชัญบางรัก ชนะเลิศหุ่นยนต์ระดับยุวชน และโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย ชนะเลิศโครงงานวิทยาศาสตร์ "โครงงานกุญแจพลังลมเป่า เทคโนโลยีช่วยคนพิการ" ซึ่ง ดร.บัณฑิต โรจน์อารยานนท์ ผู้อำนวยการ ส.ส.ท. เปิดเผยว่า ทีมที่ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายจะได้เข้าแข่ง ABU Robot Contest Thailand 2005 ซึ่งแข่งกับทีมอาชีวะที่ผ่านเข้ารอบมาเช่นกัน ในระหว่างวันที่ 29-30 มิถุนายน 2548 ที่อิมแพค เมืองทองธานี เพื่อได้ทีมชนะเลิศเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าแข่ง ABU Robot Contest (Asia-Pacific Broadcasting Union) ที่ประเทศจีน ซึ่งใช้ชื่อเกมการแข่งขันว่า "จุดไฟศักดิ์สิทธิ์พิชิตกำแพงเมืองจีน(Climb on the Great Wall Light the holy fire)" รศ.กฤษดากล่าวเสริมว่า รองชนะเลิศอันดับหนึ่งระดับอุดมศึกษาเป็นหุ่นยนต์ทีม "ลูกเจ้าแม่คลองประปา" มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ หุ่นยนต์ทีม Goal Gear สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน ได้รางวัล TPA Robot Contest of the Year และทีมรองชนะเลิศอันดับสอง และทีม Bangkok 2005 มหาวิทยาลัยกรุงเทพ วิทยาเขตรังสิต ได้รางวัลทีมรองชนะเลิศอันดับสองเช่นกัน รางวัลเทคนิคยอดเยี่ยมระดับอุดมศึกษาในปีนี้ได้แก่ หุ่นยนต์ทีม Cigol Trop มหาวิทยาลัยมหิดล การแข่งขันหุ่นยนต์ ส.ส.ท. ยุวชน ประเภทแข่งหุ่นยนต์จากการเข้าแข่งทั้งหมด 16 ทีม ทีมที่ได้รางวัลชนะเลิศ คือ ทีม Easy อัสสัมชัญบางรัก ทีมรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง "ทีมสูงสุมาร" โรงเรียนบางปลาม้าสูงสุมารผดุงวิทย์ และ "ทีมมือใหม่" โรงเรียนชัยภูมิภักดีชุมพล ได้รองชนะเลิศอันดับสอง ซึ่งเป็นการแข่งขันภายใต้ชื่อเกมส์ "ตะลุยเขาวงกตพิชิตกล่องทองคำ" ทีมบุญวาทย์ โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย ชนะรางวัลเทคนิคยอดเยี่ยม และทีมลูกนวมินทร์ โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา ชนะรางวัลความคิดสร้างสรรค์ยอดเยี่ยม (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 25 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)
ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี
โทรศัพท์มือถือพันธุ์ข้าวโพด ล้าสมัยโยนทิ้งไม่ก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
บริษัทเอ็นอีซี ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลากชนิด ได้ประกาศความร่วมมือกับบริษัทยูนิทิกะ ผู้ผลิตสิ่งทอรายใหญ่ในญี่ปุ่น ร่วมกันพัฒนาพลาสติกชนิดใหม่ที่ได้มาจากธรรมชาติถึง 90% โดยเไบโอพลาสติก หรือที่เรียกว่า "โพลิแอคไทด์ เรซิน" (polyactide resin) เป็นส่วนผสมของข้าวโพด และเส้นใยปอเป็นหลัก ทั้งนี้ โพลิแอคไทด์ เรซิน ได้ชื่อว่าเป็นวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะเมื่อนำไปฝังดินแล้ว สามารถย่อยสลายเป็นปุ๋ยได้เหมือนกับซากพืชซากสัตว์ทั่วไป ทั้งสองบริษัทมีแผนนำวัสดุใหม่ไปผลิตเป็นตัวเครื่องโทรศัพท์ เพราะมีคุณสมบัติแข็งแรงและทนทาน และทนความร้อนพอที่จะนำไปใช้งานได้ กระบวนการผลิตวัสดุชนิดใหม่ เพื่อใช้เป็นหน้ากากสำหรับโทรศัพท์มือถือเอ็นอีซีนั้นจะเริ่มภายในปีนี้ และจะส่งต่อไปให้เอ็นอีซีผลิตเป็นตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือต่อ โดยคาดว่าจะพร้อมวางจำหน่ายมือถือรักษ์สิ่งแวดล้อมในเดือนมิถุนายน 2549 (คมชัดลึก จันทร์ที่ 20 มิ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)
เอกรัฐจับมือบาห์เรนตั้งรง.ผลิตหม้อแปลง ลงทุน200ล.เปิดประตูสู่ตะวันออกกลาง
นายเกียรติพงศ์ น้อยใจบุญ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเอกรัฐวิศวกรรม จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและส่งออกหม้อแปลงไฟฟ้า เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้บริษัทมีแผนจะเข้าไปร่วมลงทุนกับนักธุรกิจในประเทศบาห์เรน ในการตั้งโรงงานผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าแห่งแรกในบาห์เรนมูลค่า 200 ล้านบาท ขนาดกำลังการผลิตปีละ 1,000 เครื่อง (ขนาดเฉลี่ย 500 kva) เป้าหมายรายได้ปีละ 400-500 ล้านบาท ถือเป็นการลงทุนในเฟสแรก และถ้าหากความต้องการหม้อแปลงของตลาดมีมากขึ้น และบริษัทสามารถจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้าได้มากกว่าร้อยละ 80 ของเป้าหมาย บริษัทก็จะดำเนินการขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นในเฟสต่อไป ทั้งนี้ นักธุรกิจบาห์เรนที่บริษัทจะเข้าไปร่วมลงทุนด้วยนั้น ปัจจุบันเป็นเจ้าของ บริษัทโปรโมเซเว่นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่ทำธุรกิจเกี่ยวกับโฆษณาประชาสัมพันธ์ในประเทศบาห์เรน แต่มีความสนใจที่ขยายธุรกิจในประเภทอื่นที่มีแนวโน้มดี โดยการร่วมทุนจะตั้งบริษัทขึ้นใหม่ในสัดส่วนระหว่างไทยกับบาห์เรนคือ 25 : 75 เงื่อนไขสัญญาจะเป็นลักษณะจ้างเหมาทำระบบโรงงานแบบเบ็ดเสร็จ (turnkey) กล่าวคือ บริษัทเอกรัฐจะเป็นผู้ออกแบบวางระบบการผลิตให้ทั้งหมด เมื่อบริษัทมีรายได้แล้ว นอกจากจะมีการปันผลจากสัดส่วนที่ถือหุ้น บริษัทเอกรัฐจะได้รับค่าตอบแทนจากการวางระบบ (royalty) อีกร้อยละ 3 ของยอดขายหม้อแปลงทั้งหมด ซึ่งเงื่อนไขสัญญาการลงทุนนี้เป็นลักษณะเดียวกับที่บริษัทเอกรัฐได้เข้าไปร่วมทุนผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าในประเทศเนปาลและพม่า นายเกียรติพงศ์ได้กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของตลาดรองรับสินค้าหม้อแปลงนั้น นอกจากจะจำหน่ายในประเทศบาห์เรนแล้ว ยังใช้บาห์เรนเป็นประตูการค้าสู่ประเทศที่เป็นสมาชิกแห่งสภาความร่วมมือแห่งอ่าวอาหรับ (Gulf Corporation Council : GCC) ในอีก 5 ประเทศได้โดยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าด้วยคือ ประเทศกาตาร์-คูเวต-ซาอุดีอาระเบีย-สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์-โอมาน ซึ่งเดิมการส่งสินค้ามาจากประเทศไทยไปประเทศเหล่านี้จะต้องเสียภาษีเฉลี่ยในอัตราร้อยละ 5-20 อนึ่ง บริษัทเอกรัฐวิศวกรรม จำกัด (มหาชน) เริ่มต้นจากการเป็นผู้ผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่าย (Distribution Transformer) รายใหญ่ที่สุดในกลุ่มเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ผ่านมาบริษัทมีการลงทุนผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าในต่างประเทศที่กาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล ในนาม บริษัท Nepal-Ekarat Engineering CO.PVT.LTD กับ รัฐยะโฮร์ บารู ประเทศมาเลเซีย ในนาม บริษัท Ekarat Transformer(M) SDN.BHD (ประชาชาติธุรกิจ จันทร์ที่ 20 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/prachachart)
จีเอ็มคว้ารางวัล "อุตสาหกรรมดีเด่น" ใส่ใจคุณภาพสิ่งแวดล้อม
นับเป็นปีที่ 3 แล้วที่บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับรางวัลนายกรัฐมนตรี อุตสาหกรรมดีเด่น โดยในปี 2547 จีเอ็มได้รับรางวัลเดียวกันนี้ในประเภทการบริหารงานคุณภาพ และประเภทการบริหารความปลอดภัยในปี 2544 ซึ่งรางวัลนายกรัฐมนตรี อุตสาหกรรมดีเด่นนี้ จะมอบให้กับบริษัทต่างๆ ที่มีความดีเด่นในการจัดการด้านต่างๆ 6 ประเภทด้วยกันเป็นประจำทุกปี เพื่อให้กำลังใจและประกาศเกียรติคุณแก่บริษัทในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในด้านการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ และยังช่วยส่งเสริมมาตรฐานของคุณภาพสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยอีกด้วย เกณฑ์การพิจารณาบริษัทที่เหมาะสมจากคณะกรรมการที่มีความรู้และเชี่ยวชาญในแต่ละประเภท เช่น เกณฑ์การพิจารณารางวัลในประเภทการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่จีเอ็มได้รับในปีนี้ ประกอบไปด้วยนโยบายและเป้าหมายด้านการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมในองค์กร การวางแผนและการจัดการผลิตที่สะอาด การดำเนินการจัดการกากของเสีย การใช้วัสดุหรือวัตถุดิบในการผลิตที่สะอาดปลอดภัย การมีส่วนร่วมในการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมของบุคลากรทุกระดับในองค์กร รวมทั้งการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมในชุมชนและสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนโดยรอบ นับตั้งแต่บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ก่อตั้งขึ้นในประเทศไทยเมื่อกลางปี 2539 ณ นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง จีเอ็มได้ยึดมั่นในหลักการและริเริ่มนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม อันประกอบด้วยนโยบายหลักมากกว่า 10 หัวข้อด้วยกัน ตั้งแต่การเลือกใช้เทคโนโลยีการวางแผนและการจัดการผลิตที่สะอาด ขั้นตอนการกำจัดกากของเสีย และการให้ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมเป็นประจำทุกเดือนในวารสารสีเขียว (Green Newsletter) และการจัดการอบรมให้แก่พนักงานเพื่อสร้างการเตรียมพร้อมรับเหตุสุดวิสัยและแนวทางในการจัดการกับเหตุฉุกเฉินต่างๆ ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา จีเอ็มได้ริเริ่มนโยบายการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของพนักงานแล้ว ยังช่วยสนับสนุนเป้าหมายการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมของจีเอ็ม ประเทศไทย อาทิ การลดปริมาณของเสียลงร้อยละ 15 จากปี 2543 การเพิ่มสัดส่วนของเสียที่นำกลับไปใช้ได้ใหม่ร้อยละ 15 และการลดอัตราการใช้พลังงาน (ต่อหน่วยผลิต) ร้อยละ 10 ต่อปี ควบคุมปริมาณของมลพิษที่ปล่อยออกมาให้ต่ำกว่ามาตรฐานกำหนด ทั้งนี้ จีเอ็มยังได้เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกที่สร้างมลพิษและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง (ประชาชาติธุรกิจ จันทร์ที่ 20 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/prachachart)
ปรุงยาด้วยน้ำตาลธรรมชาติ เป็นอาวุธมหาประลัยฆ่าแมลง
นักวิทยาศาสตร์ของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้ค้นพบยาฆ่าแมลงขนานใหม่ เมื่อเอาน้ำตาลซูโครส คลุกเคล้าผสมเข้ากับสารเคมีพิเศษกลุ่มหนึ่ง แล้วทำเป็นสเปรย์อย่างเจือจางฉีดพ่นรดต้นไม้ นายแกรี ปูเตอกา แห่งศูนย์วิจัยเกษตรกรรมของกระทรวงเปิดเผยว่า เมื่อฉีดพ่นใบไม้ น้ำยาจะจับเคลือบผิวของใบ พอแมลงมาถูกเข้า มันจะซึมเข้าไปในหลอดคอของแมลง โดยเฉพาะพวกแมลงชนิดเล็ก ทำให้มันสำลักหายใจไม่ออก น้ำยาฆ่าแมลงทำด้วยน้ำตาลสังเคราะห์นี้ จะแผลงฤทธิ์ขึ้นในตัวของแมลงเมื่อมันแทรกซึมเข้าตัวได้ทางรูหนึ่งรูใด ตามเปลือกนอก พิษของสารเคมีที่ผสมอยู่ จะทำให้แมลงสูญเสียน้ำ หนาวสั่นและตายด้วยเหตุร่างกายขาดน้ำ แต่ขณะที่มันมีพิษสงกับแมลงอย่างน่าประทับใจ มันกลับปลอดภัยกับคน ด้วยเหตุว่าผิวหนังของเราแข็งแรงกว่า และปริมาณที่ใช้ในการฆ่าแมลงตัวหนึ่งนั้นน้อยมาก ยิ่งกว่าจะทำอันตรายกับคนได้ ผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ กล่าวต่อไปว่า น้ำยาที่พ่นฉีดให้พืชนั้น ชะล้างออกง่ายมาก และที่จริงแล้ว อุตสาหกรรมทำขนม ได้ใช้ ผสมทำขนมบราวนี่เพื่อช่วยให้เนื้อขนมละเอียดแน่นขึ้นด้วยซ้ำ แต่ไม่ได้ช่วยปรุงรส เพราะรสมันออกขมๆ ไม่ได้หวานอย่างกับน้ำตาลทั่วๆไป เชื่อเถอะอย่าไปลองชิมมันเข้า. (ไทยรัฐ อังคารที่ 21 มิ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)
เนคเทคแนะใช้สวทช.ต้นแบบ หน่วยงานกระทรวงใหม่
นายทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และรองประธานกรรมการมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย กล่าวว่า โครงสร้างของเนคเทค พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ หรือนโยบาย รวมถึงคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ที่มีนโยบายควบรวม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เข้าด้วยกัน เพราะเป็นหน่วยงานที่มีลักษณะการดำเนินงานอย่างเป็นอิสระคล้ายคลึงกับเอกชน โดยส่วนตัวมองว่ารัฐควรจัดตั้งหน่วยงานลักษณะที่มีข้อกฎหมายรองรับหน่วยงานเช่นเดียวกับสำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อให้มีโครงสร้างการทำงาน เงินเดือน ลักษณะเดียวกับเนคเทค เพื่อให้บุคลากรที่ทำงานด้านการส่งเสริมไอซีที หรือกฎหมายด้านไอที เลือกโอนย้ายมาอยู่ส่วนนี้ ซึ่งขึ้นตรงกับด้านกระทรวงไอซีทีรับผิดชอบได้ แต่ถ้าไม่จัดตั้งหน่วยงานรองรับ ก็จะส่งผลให้บุคลากรเลือกไปทำงานกับเอกชนมากกว่า พร้อมกันนี้ เขายืนยันว่า ที่ผ่านมาบุคลากรเนคเทคไม่เคยต่อต้านการโอนย้ายมากระทรวงไอซีที แต่เนคเทคไม่สามารถแบ่งส่วนงาน หรือบุคลากรใดไปอยู่ที่โครงสร้างของกระทรวงไอซีทีได้เต็มตัว ซึ่งหากมีการจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมไอซีที และสำนักงานวิจัยและพัฒนาไอซีทีขึ้นตั้งแต่ 1 ปีแรกตามกฎหมายจัดตั้งกระทรวง กรมใหม่ บุคลากรจากเนคเทคกว่า 100 คนก็สามารถโอนไปทำงานได้ตั้งแต่แรก (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 21 มิ.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
ผลสอบเนคเทคสมาร์ทการ์ดไม่ปลอดภัย
จากกรณี บัตรประจำตัวประชาชนอเนกประสงค์ หรือ สมาร์ทการ์ด ลอตแรก จำนวน 12 ล้านใบ ที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เปิดประมูล โดยกิจการร่วมค้า ซีเอสที ประมูลได้ในราคา 888 ล้านบาท มีปัญหาเรื่องการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างบัตรกับซอฟต์แวร์ในการใส่ข้อมูลและใช้งานของกรมการปกครอง ดังนั้นเพื่อยุติปัญหา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงมอบหมายให้ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เข้ามาทำหน้าที่ทดสอบ โดยให้เวลา 2 สัปดาห์ ตามรายงานสรุปผลการทดสอบบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ของเนคเทค ตั้งแต่วันที่ 4-20 พ.ค.48 ระบุว่า พื้นที่หน่วยความจำบัตร 66 KB ของซีเอสที แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 มีหน่วยความจำ 32 KB ใช้เก็บข้อมูลผู้ถือบัตร 28 KB ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้งาน โดย 4 KB กันไว้สำหรับอัพเกรดโปรแกรมและข้อมูลในอนาคต ส่วนที่ 2 มีหน่วยความจำ 34 KB โดย 32 KB ใช้โปรแกรม Native หรือการเข้าถึงข้อมูลแบบต้นฉบับ ที่เหลือ 2 KB กันไว้สำหรับอัพเกรดโปรแกรมและข้อมูลในอนาคต จากการทดสอบพบว่า พื้นที่ส่วน 2 ไม่สามารถนำมาใช้งานร่วมกับโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาหนึ่งของจาวา (Java Applet) ในพื้นที่ส่วนที่ 1 ได้เนื่อง จากโปรแกรมจาวาต่าง ๆ ที่บรรจุในบัตรไม่สนับสนุนการใช้งานบริการแอพพลิเคชั่น รักษาความปลอดภัย หรือ Public Key Infrastructure : PKI ตามมาตรฐานจาวา การ์ด 2.1.1 หรือสูงกว่า เช่น Java Runtime Environment ประเด็นนี้ ซีเอสที โชว์จดหมายรับรองที่ออกโดยผู้พัฒนาโปรแกรม Java Card Virtual Machine (JCVM) โดยอ้างว่าได้ทดสอบ JCVM แล้ว ผ่านมาตรฐานจาวา การ์ด 2.1.1 ยกเว้นบางรายการที่ไม่ได้ทดสอบ แต่ การทดสอบบัตรร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องตามข้างต้น รวมทั้ง ซัน ไมโครซิส เต็มส์ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลมาตรฐาน จาวา การ์ด ชี้ชัดว่า บัตรไม่สามารถใช้งานบริการแอพพลิเคชั่นรักษาความปลอดภัย ตามมาตรฐาน จาวา การ์ด 2.1.1 ได้ รวมทั้งการลบโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาจาวาตัวใดตัวหนึ่ง อาจส่งผลกระทบกับโปรแกรมตัวอื่น ๆ และอาจจะไม่คืนหน่วยความจำหลังการลบทำให้พื้นที่บัตรสูญหาย กระทั่งพื้นที่ซึ่งกันไว้สำหรับอัพเกรดข้อมูลซึ่งอยู่ในหน่วยความจำอาจเป็นช่องโหว่ที่ทำให้ความปลอดภัยของข้อ มูลในบัตรลดลง
(เดลินิวส์ อังคารที่ 21 มิ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)
รถเข็นไฮเทค
แอ็คเนส หลิว นักศึกษาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยซานโฮเซ่ สหรัฐอเมริกา ประดิษฐ์รถเข็นไฮเทค ซึ่งผสมผสานเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ "วินโดว์ซีอี" เข้ากับตัวรถเข็น ช่วยให้ผู้พิการสามารถติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตอย่างสะดวกง่ายดาย และยังใช้ระบบคอมพิวเตอร์ตรวจชีพจรได้ด้วย (ข่าวสด อังคารที่ 21 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)
"สวนดุสิต"ผนึกกำลัง"จุฬาฯ-เกษตรฯ-มธ." ผุดโครงการ"นักรบสิ่งแวดล้อม"
ปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านคุณภาพน้ำยังคงเป็นปัญหาที่สร้างความหนักอกหนักใจให้กับสังคมไทยในทุกยุคทุกสมัย จากการสำรวจพบว่าปัจจุบันแหล่งน้ำสำคัญหลายแห่งทั่วประเทศมีแนวโน้มเสื่อมโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด และสาเหตุหลักของปัญหาดังกล่าวเกิดจากการระบายน้ำเสียจากแหล่งชุมชนเมือง โรงงานอุตสาหกรรม และเกษตรกรรม อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการดำเนินการแก้ไข โดยหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาโดยตลอด แต่ก็ยังไม่เพียงพอในการแก้ไขปัญหาเรื้อรังนี้ได้ จากเหตุผลดังกล่าว มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดโครงการ"นักรบสิ่งแวดล้อม" ขึ้นระหว่างพฤษภาคม 2548-มิถุนายน 2549 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม เน้นการมีส่วนร่วมของนิสิตนักศึกษา มีสถาบันการศึกษาชั้นนำ 14 แห่งเข้าร่วมโครงการ โดยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดโครงการอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา (ข่าวสด พุธที่ 22 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)
ตั้งกล้องชมยิงดาวหาง"เทมเปล1"
นายเด็ดดวง แฉ่งใจ ผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนไผ่แก้ววิทยา โรงเรียนในโครงการ 1 อำเภอ 1 โรงเรียนในฝัน สังกัดสำนักงานการศึกษาเขตพื้นที่(สพท.) จ.ฉะเชิงเทรา กล่าวถึงกรณีองค์การนาซาส่งยานอวกาศดีพ อิมแพค เพื่อยิงกระสวยทองแดงใส่ดาวหาง เทมเปล 1 (9P/TEMPEL1) ในวันที่ 4 กรกฎาคมนี้ ซึ่งตรงกับวันชาติของสหรัฐอเมริกานั้นว่า ทางโรงเรียนจะให้นักเรียนแกนนำที่สนใจปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ 11 คน มาฝึกตั้งกล้องโทรทรรศน์ที่ทางโรงเรียนมีอยู่รวม 3 ตัว ฝึกสังเกตตำแหน่งและจับภาพชมปรากฏการณ์ "ดีพ อิมแพค" ด้านนายวรวิทย์ ตันวุฒิบัณฑิต ที่ปรึกษาสมาคมดาราศาสตร์ไทย กล่าวว่า หลักสังเกตดาวหางเทมเปล 1 ในวันที่ 4 กรกฎาคม เวลา 20.00 น. ให้หันหน้าไปทางทิศใต้ค่อนไปทางทิศตะวันตก จะเห็นดาวพฤหัสบดีสูงจากขอบฟ้าประมาณ 70 องศา ดาวหางเทมเปล 1 จะอยู่ห่างจากดาวพฤหัสบดีไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ 20 องศา (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 23 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)
เตือนแผ่นดินไหว 8 จว.ภาคเหนือเขตรอยเลื่อน
นายสมิทธ ธรรมสโรช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี บรรยายพิเศษในการสัมมนาเรื่อง แผ่นดินไหวมหันตภัยใกล้ตัว ซึ่งสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาภาคเหนือ จัดขึ้นที่ จ.เชียงใหม่ โดยนายสมิทธกล่าวว่าภัยธรรมชาติมีหลายชนิด แต่แผ่นดินไหวเป็นภัยชนิดเดียวที่มนุษย์ไม่สามารถพยากรณ์ได้เลย ทั้งนี้ ประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเกิดแผ่นดินไหว โดยเฉพาะ 8 จังหวัดภาคเหนือ เพราะอยู่ในรอยเลื่อนสำคัญต่อเนื่องกับรอยเลื่อนในประเทศพม่า รอยเลื่อนที่น่าเป็นห่วงขณะนี้คือรอยเลื่อนระนอง รอยเลื่อนคลองมะลุยซึ่งใกล้กับเกาะภูเก็ต ที่สำคัญรอยเลื่อนคือรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ใกล้กับ จ.กาญจนบุรี เพราะมีเขื่อนใหญ่อยู่ใกล้ถึง 2 เขื่อนที่น่าเป็นห่วง เพราะการสำรวจเพื่อสร้างเขื่อนของไทยยังไม่ถี่ถ้วน นึกจะสร้างเขื่อนก็สร้างเขื่อน สำรวจทางธรณีวิทยาเล็กน้อยเห็นว่าไม่มีแผ่นดินไหวรุนแรง ไม่เคยมีประวัติแผ่นดินไหวรุนแรงก็สร้างเลย นายสมิทธ กล่าวด้วยว่า สิ่งสำคัญคือประเทศไทยไม่มีแผนป้องกันแผ่นดินไหวที่จริงจังและไม่เผยแพร่ให้ประชาชนได้เข้าใจเพื่อปฏิบัติตัวให้ถูกต้องจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตจากภัยธรรมชาติกันมาก (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 24 มิ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)
สรุปความรุนแรงคลื่นยักษ์สึนามิ โลกสั่นสะท้านอยู่นานแรมเดือน
รายงานสรุปผลการศึกษามหันตภัยคลื่นยักษ์สึนามิ เมื่อปลายปีก่อน เปิดเผยให้รู้ว่า มหาภัยธรรมชาติครั้งนี้ จัดได้ว่าเป็น อภิมหาภัยครั้งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ ในรอบระยะเวลาหลายสิบปีครั้งหนึ่ง รายงานที่เพิ่งเปิดเผยแจ้งว่า เหตุแผ่นดิน ไหวใต้มหาสมุทรที่ทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามินั้น มีความรุนแรงถึงขนาด 9.15 ริกเตอร์นับเป็นความรุนแรงสูงสุดในรอบระยะเวลา 100 ปีมานี้ อันดับ 3 และเป็นครั้งรุนแรงที่สุดของรอบระยะเวลา 40 ปีมานี้ ในด้านยอดผู้เสียชีวิตที่สำรวจพบล่าสุด นับได้ว่าได้คร่าชีวิตมนุษย์ในชาติริมมหาสมุทร อินเดีย 13 ชาติ รวมกันไม่น้อยกว่า 230,000 คน อินโดนีเซียมีผู้เสียชีวิตมากที่สุด เฉพาะในจังหวัดอาเจะห์มีผู้เสียชีวิตหรือสูญหายมากถึง 168,000 คน นักวิทยาศาสตร์ยังได้กล่าวเผยว่า พลังแรงของแผ่นดินไหวได้ทำให้โลกยังคงสั่นไหวเหมือน กับระฆังอยู่นานต่อมาตั้งหลายเดือน. (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 25 มิ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)
ชีวศัลยกรรม
การแพทย์สมัยใหม่ สามารถสร้างปาฏิหาริย์ช่วยชีวิตมนุษย์ได้ในศตวรรษที่ 20 มีการค้นพบยาปฏิชีวนะและเทคนิคการผ่าตัดอันซับซ้อน แต่มาวันหนึ่งยาที่สร้างขึ้นใช้ในการผ่าตัดอาจล้มเหลว แพทย์จึงจำเป็นต้องหันกลับมาใช้สัตว์มีชีวิตอย่าง "ปลิง" "หนอนแมลงวัน" เพื่อช่วยในการรักษา ซึ่งการรักษาเช่นนี้เรียกว่า "ศัลยกรรมชีวภาพ" ครั้งหนึ่ง ปลิงเคยมีบทบาทสำคัญในการรักษา ในยุคกลาง คนใช้สารที่ได้จากปลิงเพื่อรักษาความเจ็บปวด ไข้ ฮิสทีเรีย และกระทั่งโรคซึมเศร้าการใช้ปลิงกับผู้ป่วย ตรงบริเวณจุดใดจุดหนึ่งของร่างกายที่มีเลือดคั่ง และให้ปลิงเกาะติดกับผิวหนัง มันจะฝังเขี้ยวทั้งสามกับฟันอันคมกริบกว่า 300 ซี่ ตัดช่องในเนื้อ ปลิงจะฉีดสารกันเลือดแข็งตัว เพื่อยับยั้งการแข็งตัวของเลือด ซึ่งปลิงมีสายพันธุ์ทั้งหมดกว่า 650 ชนิด แต่มีเพียง 11 ชนิดเท่านั้น ที่ใช้ในทางการแพทย์ ปลิงทุกตัวจะมีอวัยวะทั้งเพศผู้และเมีย ซึ่งแผนกจุลศัลยกรรมมักจะเก็บปลิงไว้สำรองเสมอ พวกเขาโด่งดังมากในด้านการต่อแขนขาที่บาดเจ็บสาหัส นิ้ว มือ และกระทั่งหู ปลิงอาจเกาะติดเราเหมือนตอนอยู่ในป่า และหลั่งยาชาอ่อนๆ ออกมาก่อนที่มันจะกัดลงบนผิวหนัง จากนั้น มันจะฉีด ฮิรูดิน สารกันเลือดแข็งตัวเพื่อหยุดเลือดไม่ให้แข็งตัว จุลศัลยกรรมจะลงมือผ่าตัดแผลอันซับซ้อนที่เป็นผลจากอุบัติเหตุ ตลอดวันและคืน แต่ไม่มียาหรือเทคโนโลยีใดๆ ที่สามารถเอาชนะปลิงในการนำชิ้นส่วนร่างกายคืนสู่ชีวิตได้ ทางการแพทย์ยังพบพันธมิตรในตัวอ่อนของแมลงขนาดจิ๋วอีกด้วย มันสามารถทำในสิ่งที่ยาทำไม่ได้ นั่นคือ การกินเนื้อที่ติดโรค โรงพยาบาลปรินเซส ออฟ เวลส์ เมือง บริดเจนด์(Bridgend) ประเทศอังกฤษ พวกเขาบุกเบิกหนทางรักษาสำหรับปัญหาสุขภาพที่ยามิอาจรักษาได้ การแต่งแผลแบบทดลองพิเศษ ได้ถูกพัฒนาขึ้นในห้องทดลอง พวกเขาเพาะพันธุ์แมลงวันกรีน บอตเทิล (green bottle) โดยการป้อนอาหารที่เป็นตับสดให้พวกมัน ทายาทของมันคือหนอนแมลงวัน หนอนแมลงวันเป็นๆ ที่ช่วยตกแต่งแผลที่ไม่ยอมหาย มันเป็นการรักษาวิธีใหม่พิเศษ การใช้ตัวอ่อนแมลงวันในการตกแต่งแผลผ่าตัด หนอนแมลงวันจะกินเนื้อเน่าที่รอบๆ ขอบแผล แล้วเนื้อใหม่ก็จะเริ่มงอก นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสิ่งที่หนอนหลั่งออกมาอาจช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อใหม่ที่แข็งแรง ซึ่งผู้ป่วยแผลไฟไหม้เป็นเป้าหมายชั้นดีของการติดเชื้อ เพราะมีแผลเปิดและนอนอยู่โรงพยาบาลนานๆ การผ่าตัดนำผิวหนังส่วนอื่นมาโปะเป็นวิธีปกติในการรักษาผิวหนังที่ถูกไฟไหม้ แต่เมื่อมีการติดเชื้อรุนแรง การผ่าตัดอาจไม่ได้ผล ปลิง และหนอนแมลงวันจึงมีบทบาทในการแพทย์แผนปัจจุบัน ศัลยกรรมชีวภาพจะคงอยู่ต่อไป การค้นหาพันธมิตรใหม่ๆ ระหว่างสัตว์และคนจะมีเริ่มขึ้นต่อไปในอนาคต ติดตามชม การแพทย์สมัยใหม่ที่นำเอาปลิงและหนอนแมลงวันมารักษาผู้ป่วย ในรายการสำรวจโลก ออกอากาศวันที่ 29 มิถุนายนถึง 1 กรกฎาคม 2548 ออกอากาศทาง (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 25 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)
ข่าววิจัย/พัฒนา
กระดูกงอกตอนกลางคืน
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งวิสคอนซิน ศึกษาการเจริญเติบโตของกระดูกแกะ ได้ข้อสรุปว่า การเติบโตส่วนใหญ่ของกระดูก จะเกิดขึ้นในขณะที่สัตว์กำลังหลับหรือพักผ่อน ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่า ปรากฏการณ์เช่นนี้อาจเกิดขึ้นกับคนเราด้วย ซึ่งอาจช่วยอธิบายได้ว่า ทำไมเด็กจึงรู้สึกเจ็บปวดในเวลากลางคืน ทีมวิจัยของ ดร.นอร์แมน วิลส์แมน ติดตั้งตัวตรวจจับสัญญาณหรือเซนเซอร์ไว้ที่กระดูกของแกะ โดยวัดความยาวทุก ๆ 167 วินาที เป็นเวลาประมาณ 3 สัปดาห์ ผลที่ได้พบว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของการเติบโตของกระดูก เกิดในขณะที่แกะกำลังหลับหรือพักผ่อน การเติบโตจะไม่เกิดขึ้นเลยในขณะที่แกะยืนหรือเดินไปเดินมา นักวิจัยเชื่อว่า เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น เพราะในขณะที่สัตว์พักผ่อน แรงกดดันที่มีต่อส่วนของกระดูกที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโต (เรียกกระดูกในส่วนนี้ว่า growth plate) จะลดลงทำให้กระดูกงอกยาวขึ้นได้ กระดูกที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตอาจมีลักษณะคล้ายกับสปริง ในขณะที่ยืนหรือเดิน จะได้รับแรงกดดันหรือถูกบีบไว้ แต่เมื่อแรงกดดันลดลง เช่น เมื่อสัตว์นอนลงหรือนอนหลับ การเติบโตก็ดำเนินต่อไปได้ ดร.ทอม ฮัทชิสัน กุมารแพทย์ที่ปรึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่งบาทให้ความเห็นว่า ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ในกรณีของคนเรานั้นความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในเด็กจะมีความเกี่ยวข้องกับการเติบโตของกระดูก เนื่องด้วยเหตุผลบางประการ เช่น เราพบว่าการเติบโตส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในช่วงวัยรุ่น แต่ความเจ็บปวดอันเนื่องมาจากการเติบโต มักจะเกิดกับเด็กอายุ 6 -10 ปี ยิ่งไปกว่านั้นเด็กยังอาจรู้สึกเจ็บปวดในช่วงเวลากลางวันได้ด้วย (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 20 มิ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)
นักวิจัยจีนสนใจทดลองปลูกสบู่ดำในไทย เพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทนในอนาคต
นายธงชาติ รักษากุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นลำดับ และมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต ทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศสูงขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตในภาคการเกษตรสูงขึ้น กระทบต่อเกษตรกรในภาพรวม
ดังนั้น กรมส่งเสริมการเกษตรจึงได้เสนอให้มีการนำสบู่ดำ มาผลิตเป็นพืชทางเลือกหนึ่งที่มีศักยภาพในการผลิตไบโอดีเซล เนื่องจากมีคุณสมบัติทางเชื้อเพลิงใกล้เคียงกับดีเซลหลายประการ ซึ่งกรมส่งเสริมการเกษตรได้เริ่มทดลองปลูก ทดสอบและสาธิตให้เกษตรกรใช้เป็นเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์เกษตรตั้งแต่ปี 2544 ปัจจุบันมีเกษตรกรสนใจที่จะปลูกจำนวนมาก แต่ยังไม่มีความมั่นใจในด้านราคาและการรับซื้อ มีเอกชนที่สนใจในการลงทุนโรงงานผลิตไบโอดีเซลจากสบู่ดำแต่ยังไม่มีความชัดเจนด้านปริมาณวัตถุดิบ มีผลงานและแผนการวิจัยของหน่วยงานศึกษาวิจัยรองรับอยู่ส่วนหนึ่ง ขณะนี้ สถาบันวิจัยซุนยัดเซ็นจากประเทศจีนได้ให้ความสนใจที่เข้ามาใช้พื้นที่ของไทยในการทดลองปลูกพืชสบู่ดำ เพื่อใช้ในการวิจัยและพัฒนาศักยภาพในการทำพืชพลังงานทดแทนไบโอดีเซล โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือเพื่อเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมในการดำเนินการ คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้เร็ว ๆ นี้ นอกจากนี้ กรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งได้รับมอบจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการทำวิจัยพัฒนาและส่งเสริมการปลูกสบู่ดำเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน จะร่วมกับสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) ลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมทุนวิจัยเพื่อส่งเสริมสนับสนุนทุนพัฒนางานวิจัย เรื่องการส่งเสริม สนับสนุนเพื่อการพัฒนางานวิจัยการเกษตร และวิสาหกิจชุมชนที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยด้านการเกษตร โดยเบื้องต้นคาดว่าจะมีการจัดทำวิจัยเรื่องสบู่ดำขึ้นเพื่อหาแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมไบโอดีเซลจากปาล์มพื้นฐานเปรียบเทียบ ซึ่งคาดว่าในเร็ว ๆ นี้ กรมฯ จะสามารถสรุปและจัดทำแผนวิจัยพัฒนาและส่งเสริมการปลูกสบู่ดำ เพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทนได้. (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 20 มิ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)
เครื่องจัดบัตรคิวราชมงคลใต้คุณภาพดีไม่แพง
นายเฉลิมพล นกน้อย นักศึกษาคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตภาคใต้ หนึ่งในทีมงานประดิษฐ์เครื่องจัดบัตรคิวต้นทุนต่ำ กล่าวว่า ทีมงานต้องการสร้างเครื่องจัดบัตรคิวที่ราคาประหยัดกว่าของท้องตลาดทั่วไป ซึ่งนอกจากจะเห็นการใช้ตามหน่วยงานเอกชนเป็นส่วนใหญ่ ส่วนตามสถานที่ราชการที่ต้องให้บริการประชาชนจำนวนมากยังมีเป็นส่วนน้อย เนื่องจากเครื่องจัดบัตรคิวที่มีขายอยู่ทั่วไปนั้นมีราคาแพง ดังนั้น การประดิษฐ์เครื่องดังกล่าวขึ้นไม่เพียงแต่สถานที่ราชการจะมีเครื่องจัดบัตรคิวราคาถูกเท่านั้น ประชาชนยังได้รับความสะดวกสบายอีกด้วย โดยออกแบบเครื่องให้มีช่องบริการ 8 ช่องสำหรับพนักงาน มีช่องบริการ 1 ช่องสำหรับผู้มาใช้บริการเพื่อรับบัตรคิว ส่วนเรื่องของราคาไม่น่าจะเกิน 15,000 บาท เพราะอุปกรณ์ประกอบอย่างเครื่องคอมพิวเตอร์ ปุ่มกด เครื่องปริ๊นท์หมายเลข มีราคาไม่แพง ขณะที่เครื่องของเอกชนราคาเกือบแสนบาท ทีมงานได้เขียนโปรแกรมวิชวลเบสิก โดยเชื่อมต่อระหว่างซอฟต์แวร์กับฮาร์ดแวร์ โดยอาศัยบอร์ด I2C ในการส่งผ่านข้อมูล เมื่อมีผู้มาใช้บริการก็จะกดรับบัตรเลขที่คิว ซึ่งเป็นส่วนฮาร์ดแวร์จะส่งข้อมูลไปยังส่วนของซอฟต์แวร์ ซึ่งจะทำหน้าที่บันทึกข้อมูลและพร้อมที่จะให้บริการเมื่อถึงคิวที่มารับบริการทางจอมอนิเตอร์ โดยจอมอนิเตอร์นี้จะทำหน้าที่แสดงคิวที่รับบริการ และช่องที่ให้บริการ พร้อมกับเสียงเรียกรับบริการที่จะถูกเรียกออกมาใช้เมื่อมีคิวแสดงที่หน้าจอมอนิเตอร์ ทำให้ได้ยินเสียงที่ผ่านระบบการเรียบเรียงแล้วผ่านทางลำโพง (คมชัดลึก อังคารที่ 21 มิ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)
นักวิทย์ชู'เชื้อราเขียว'ทำลายศัตรูอ้อย
อาจารย์พิมพรรณ สมมาตย์ ศูนย์วิจัยควบคุมศัตรูพืชโดยชีวินทรีย์แห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยฯ ได้ค้นพบคุณสมบัติของเชื้อราเขียวสายพันธุ์ Metarhizium anisopliae สามารถกำจัดด้วงหนวดยาว ซึ่งเป็นศัตรูพืชสำคัญที่เจาะทำลายลำต้นอ้อยและสร้างความเสียหายในวงกว้าง จากนั้นได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเชื้อราดังกล่าวให้เกษตรกรไร่อ้อย และปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาเพิ่มเพื่อขยายขอบข่ายการใช้ประโยชน์สู่การกำจัดปลวกและแมลงสาบ ในการทำลายด้วงอ้อยนั้น เชื้อราเขียวจะผลิตเอนไซม์ชนิดหนึ่ง ที่ออกฤทธิ์เจาะผิวหนังตัวด้วงเพื่อเปิดทางให้เชื้อราเข้าสู่ข้างในและกัดกินภายใน ทำให้ตัวด้วงเบื่ออาหาร หยุดเคลื่อนไหวและตายในที่สุด ซึ่งใช้ระยะเวลา 14 - 20 วันขึ้นอยู่กับพัฒนาการของเชื้อรา แม้ว่าเชื้อราจะไม่สามารถทำลายด้วงได้ในทันที แต่สามารถลดความเสียหายของลำอ้อยได้มาก นอกจากนี้ ประสิทธิภาพของเชื้อรายังสามารถทำลายตัวด้วงได้ทุกระยะ ตั้งแต่ระยะไข่จนถึงระยะตัวเต็มวัย ทั้งนี้ ด้วงอ้อยจะเข้าไปกัดกินบริเวณเหง้าของลำต้นอ้อย และเจาะไชรากส่วนโคนขึ้นไปฝังตัวในลำต้น ทำให้ไม่สามารถใช้สารเคมีจำกัด อีกทั้งยังสามารถเพิ่มจำนวนเชื้อราเขียวได้รวดเร็วด้วย และเมื่อนำผลสำเร็จนี้ไปวิจัยเพิ่มเติมจากต่างประเทศ ทำให้พบว่าเชื้อราเขียวชนิดนี้ ไม่มีอันตรายต่อไส้เดือน สัตว์ต่างๆ และมนุษย์ เพราะเป็นเชื้อราที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ขณะที่ในประเทศออสเตรเลียมีปัญหาการระบาดของด้วงอ้อยเช่นกัน และได้ใช้เชื้อราเป็นตัวกำจัดเช่นกัน เพียงแต่เป็นด้วงอ้อยและเชื้อราต่างชนิดกับที่พบในประเทศไทย โดยเชื้อราเขียวชนิดนี้พบทั่วไปในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โรงงานน้ำตาลแม่วัง จ.ลำปาง และอีกแห่งหนึ่งใน จ.นครสวรรค์ ได้เริ่มจัดตั้งห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเชื้อราเขียวให้ลูกไร่ (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 20 มิ.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
สูตรใหม่บำบัดมะเร็งเต้านมอาศัยอิทธิฤทธิ์ของน้ำมันปลา
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอินเดียนาทดลองผสมสารประกอบจากกรดไขมันโอเมก้า 3 กับ สารโปรโปโฟล ซึ่งเป็นสารที่ใช้ยับยั้งการเคลื่อนตัวของเซลล์มะเร็งให้อยู่ในทิศทางที่จำกัดพบว่า สามารถยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งทรวงอก ซึ่งหากปล่อยให้แพร่ลามไปทั่วร่างกายจะก่อตัวเป็นเนื้องอกขั้นที่สองได้ ทีมวิจัยนี้ได้ศึกษาผลของกรดไขมันโอเมก้า 3 สองตัวคือ ดีเอชเอ และอีพีเอ กรดไขมันทั้งสองชนิดนี้หากใช้แยกกันจะมีผลต่อการลดเซลล์มะเร็งเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อนำกรดไขมันแต่ละชนิดมาผสมกับสารโปรโปโฟล พบว่าสารผสมดีเอชเอกับโปรโปโฟล และอีพีเอโปรโปโฟลให้ผลที่ชะงัดกว่า นอกจากขัดขวางการเคลื่อนย้ายของเซลล์มะเร็งแล้ว ยังมีความสามารถในการยึดเกาะอยู่กับบริเวณที่เป็นไปได้ว่าจะเป็นแหล่งเนื้องอกใหม่ และสารผสมดังกล่าวยังกระตุ้นให้เซลล์บางตัวทำลายตัวเองด้วย การค้นพบดังกล่าวอาจเป็นไปได้ที่จะนำไปพัฒนาเป็นแผ่นแปะ หรือในรูปแบบของครีมที่บรรจุตัวยาสูตรผสม และทางทีมวิจัยยังได้เตรียมที่จะสังเคราะห์สารประกอบเหล่านี้ในปริมาณที่มากขึ้นเพื่อใช้ทดลองกับสัตว์ในการศึกษาที่จะมีขึ้นต่อไป เพื่อใช้ทดสอบประสิทธิภาพของยาเพื่อใช้เป็นยาต้านมะเร็ง โอเมก้า3 เป็นกรดไขมันที่พบในปลาที่มีไขมัน อาทิ ปลาทูน่า แซลมอน เฮอร์ริ่ง ซาร์ดีน และแมคเคเรล ซึ่งผู้บริโภคทราบดีว่าเป็นประโยชน์ต่อร่างกายในหลายด้าน นักโภชนาการมักแนะนำให้รับประทานเพื่อบำรุงหัวใจ และยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลด้วย นอกจากนี้ยังพบด้วยว่า โอเมก้า 3 ช่วยป้องกันโรคไขข้อ โรคผิวหนัง และหอบหืดด้วย อย่างไรก็ดี แพทย์ด้านโรคมะเร็งทรวงอกกล่าวว่า ถึงแม้ว่าคุณสมบัติของสารดังกล่าวจะน่าสนใจในการต่อต้านมะเร็ง แต่การวิจัยยังทดลองในระดับเซลล์เท่านั้น แต่ยังไม่แน่ชัดว่าจะใช้ได้ผลกับสตรีที่เป็นมะเร็งเต้านมหรือไม่ (คมชัดลึก จันทร์ที่ 20 มิ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)
ร่างกายหลับแต่สมองไม่ยอมนอน กลับเตรียมงานเอาไว้ให้ตอนตื่น
นักวิจัยของมหาวิทยาลัยลีจในเบลเยียม รายงานความรู้ที่ได้จากการศึกษาว่า การนอนดูเหมือนจะเป็นโอกาสให้สมอง ได้รวบรวมความจำ เพื่อให้เราพร้อมที่จะทำงานได้เมื่อเวลาตอนตื่น คณะนักวิจัยได้ศึกษากับอาสาสมัครจำนวน 22 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้หลับนอนได้ตามปกติ ส่วนที่เหลือบังคับให้อดนอน แล้วนำมาทดสอบ โดยใช้เครื่องตรวจคลื่นสมองคอยตรวจดูปฏิกิริยาของสมองไปด้วย เพื่อเปรียบ เทียบผลกันดู ปรากฏว่า กลุ่มที่มีเวลาหลับนอนได้ตามปกติ ทำคะแนนผลทดสอบได้ เหนือกว่ากลุ่มที่ถูกบังคับให้อดหลับอดนอน หัวหน้าชุดนักวิจัยกล่าวแจ้งว่า การศึกษาส่อให้รู้ว่า การนอนคงเปิดเวลาให้สมอง มีโอกาสเก็บรวบรวมความจำที่ได้รับระหว่างวันขึ้นเสียใหม่. (ไทยรัฐ อังคารที่ 21 มิ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)
จุฬาฯศึกษาสารเคมีในประสาท หาวิธีควบคุมเปิดทางรักษามะเร็ง
ผศ.ดร.มงคล สุขวัฒนาสินิทธิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยถึงการวิจัย ที่จะเป็นพื้นฐานสู่การพัฒนา วิธีรักษามะเร็งให้ถูกต้องแม่นยำขึ้น ว่า การวิจัยยังอยู่ในห้องทดลอง เป็นการศึกษาการทำงานระบบประสาทของสิ่งมีชีวิต ในส่วนที่เรียกว่า "โซเดียม โปตัสเซียม ปั๊มส์" ซึ่งเป็นกระบวนการควบคุมสารเคมีในเซลล์ประสาท (โปตัสเซียมและโซเดียม) เพื่อรักษาความสมดุลของร่างกายและสื่อประสาท ในการทดลองได้ใช้สารในกลุ่มคาริกซารีน ทำหน้าที่คล้ายกับบานพับประตูสำหรับปิดและปล่อยไออน ซึ่งใช้แสงป็นตัวควบคุมการทำงานทั้งระบบแทนพลังงานเอทีพีในร่างกาย เพื่อเป็นการทดสอบว่ากระบวนการดังกล่าว สามารถเกิดขึ้นภายนอกร่างกายได้หรือไม่ และสามารถจับสารเคมีอื่นได้อีกหรือไม่ ทั้งนี้ หากการทดลองประสบความสำเร็จ จะส่งผลดีต่อการพัฒนาเพื่อรักษาโรคมะเร็ง อาทิ เมื่อฉีดสารประเภทนี้เข้าไปในจุดที่ต้องการ และฉายแสงเฉพาะจุดเพื่อควบคุมให้ตัวยาเข้าไปฆ่าเชื้อโรคได้ส่วนนั้น ช่วยให้เห็นผลรักษาชัดเจน และลดผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ด้วย ผลการศึกษาจากห้องทดลองในขณะนี้พบว่า หลังจากการฉายแสงเข้าควบคุมกระบวนการ "โซเดียม โปตัสเซียม ปั๊มส์" ในหลอดทดลองพบว่า สารดังกล่าวสามารถจับและปล่อยโปตัสเซียมได้ดีกว่าโซเดียม แต่นับว่ายังห่างไกลจากกระบวนการตามธรรมชาติ ซึ่งนอกจากควบคมุการเข้าออกของสารในเซลล์แล้ว ยังทำหน้าที่ลำเลียงภายในเซลล์ด้วย ขณะนี้จึงพยายามศึกษาต่อไปว่า การจับและปล่อยสารที่ได้จะมีประสิทธิภาพเพียงใด แต่หากต้องการผลสำเร็จขั้นสุดท้ายอาจต้องใช้เวลาถึง 1 ช่วงอายุคน (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 21 มิ.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
มช.ผุดห้องแอร์พลังความร้อนใต้พิภพ แปลงน้ำพุร้อนแม่จัน เป็นพลังงานทดแทนในชุมชน
ผศ.ดร.ฟองสวาท สุวคนธ์ สิงหราชวราพันธ์ หัวหน้าทีมวิจัยศูนย์บริการเทคโนโลยีน้ำบาดาล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ศูนย์บริการเทคโนโลยีน้ำบาดาลร่วมกับสถานจัดการและอนุรักษ์พลังงาน ม.เชียงใหม่ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาพลังงานความร้อนใต้พิภพ จากแหล่งน้ำพุร้อนแม่จัน จ.เชียงราย เพื่อนำพลังงานที่ได้มาสร้างห้องอบแห้ง และห้องเย็นสำหรับเก็บรักษาผลิตผลทางการเกษตร โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณทั้งหมดจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ทีมวิจัยได้ศึกษาโครงสร้างแนวเส้น จากภาพถ่ายดาวเทียม และสำรวจธรณีวิทยาภาคสนาม รวมทั้งสำรวจทางธรณีฟิสิกส์ ทำให้สามารถกำหนดตำแหน่งที่จะเจาะให้ได้น้ำพุร้อน จากนั้นจึงขุดเจาะลงไปลึก 56 เมตร แล้วพบแหล่งน้ำพุร้อนใต้ดิน พุ่งขึ้นมาสูงกว่า 20 เมตร ปริมาณการไหลของน้ำ 20 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง และมีอุณหภูมิสูงถึง 94 องศาเซลเซียส ในขั้นตอนต่อไป ทีมวิจัยจะออกแบบห้องอบแห้งและห้องเย็น โดยใช้พลังงานความร้อน เพื่อเก็บพืชผลทางการเกษตรสำหรับจำหน่ายนอกฤดูกาล ขณะเดียวกัน จะได้ออกแบบห้องปรับอากาศ ซึ่งนับเป็นห้องปรับอากาศห้องแรกของประเทศไทย ที่ใช้พลังงานจากความร้อนใต้พิภพ โดยเป็นความร่วมมือกับองค์การบริหารส่วนตำบล ป่าตึง อ.แม่จัน จ.เชียงราย เพื่อใช้เป็นห้องจัดแสดงสินค้าโอท็อปของตำบล ห้องอบแห้ง ห้องเย็นและห้องปรับอากาศที่ออกแบบนี้ สามารถช่วยทดแทนการใช้พลังงานของประเทศ ถือเป็นต้นแบบและองค์ความรู้ใหม่ด้านการประหยัดพลังงาน ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2548 นี้ ศูนย์บริการเทคโนโลยีน้ำบาดาลยังได้ประสานกับหน่วยงานต่างๆ บริการเทคนิควิชาชีพแก่ชุมชนหลายโครงการ อาทิ ร่วมกับสำนักวิชาการเชื้อเพลิงธรรมชาติ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน จัดตั้งโครงการประเมินศักยภาพก๊าซมีเทนในชั้นถ่านหิน พื้นที่แอ่งแม่ละเมา จ.ตาก และร่วมกับกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดทำโครงการจัดตั้งเครือข่ายเฝ้าระวังแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า เรื่องแผ่นดินถล่มในพื้นที่เชียงใหม่และตาก ในปัจจุบันยังได้มุ่งวิจัยโครงการต่างๆ อาทิ โครงการบูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์ ระหว่างมหาวิทยาลัยกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ในการพัฒนาภูมิภาคทั้งในประเทศและอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง ทำฐานข้อมูลสารสนเทศภูมิศาสตร์ด้านน้ำบาดาล รวมถึงการวิจัยการบูรณาการข้อมูลธรณีฟิสิกส์ ธรณีวิทยา ตะกอนวิทยา และการลำดับชั้นหิน เพื่อใช้เป็นหลักฐานบ่งชี้ถึงเมืองโบราณเวียงหนองล่ม อ.เชียงแสน จ.เชียงราย อีกทั้งโครงการที่กำลังทำการวิจัยอยู่ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปีการศึกษาหน้า ได้แก่ การศึกษาเรื่องการเติมน้ำใต้ดิน ในพื้นที่เชียงใหม่และลำพูน (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 21 มิ.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
ฟีโบสร้างหุ่นยนต์สำรวจท่อ ลดเสี่ยงอุบัติเหตุแรงงานคน
นายเอกวิทย์ บุญสุข นางสาวนารีรัตน์ โพธิลังกา และนายไพศาล แซ่เลี่ยง นักศึกษาจากสถาบันวิชาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (ฟีโบ) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ผู้พัฒนาหุ่นยนต์สำรวจท่อ โดยได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เปิดเผยว่า ทีมวิจัยจากฟีโบได้ออกแบบและพัฒนาหุ่นยนต์ สำหรับสำรวจท่อระบายน้ำ เสียเพื่อลดความเสี่ยงในการส่งคนเข้าไปตรวจ หุ่นยนต์สำรวจท่อที่คิดค้นขึ้นนี้ ออกแบบให้ใช้งานกับท่อระบายน้ำเสีย ที่มีลักษณะเป็นท่อทรงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 7-12 นิ้ว ซึ่งทีมงานได้พัฒนาให้ตัวหุ่นสามารถปรับเปลี่ยนลักษณะกลไก ให้สามารถเคลื่อนที่ภายในท่อที่มีขนาดแตกต่างกันได้ โดยอาศัยขากลไกที่สามารถปรับขนาดให้เหมาะสมกับท่อที่จะใช้งานได้ทันที สำหรับการเคลื่อนที่ของหุ่นยนต์ จะใช้มอเตอร์ขับเคลื่อนล้อตีนตะขาบ โดยมีชุดแผงอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับควบคุมการทำงานของมอเตอร์และการสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ ที่ศูนย์ควบคุมอุปกรณ์ดังกล่าว ถูกบรรจุอยู่ในหลอดแก้ว ที่สามารถกันน้ำและความชื้นภายในท่อได้ ทำให้หุ่นยนต์สามารถทำงานในท่อที่มีความเปียกชื้น และมีพื้นผิวภายในท่อที่มีรอยเชื่อมหรือขรุขระได้อย่างสมบูรณ์ หุ่นยนต์ได้ติดตั้งกล้องบนตัวหุ่น เพื่อทำงานในส่วนของระบบจับภาพ ซึ่งจะสามารถส่งภาพความผิดปกติ ที่เกิดขึ้นภายในท่อกลับไปแสดงผลยังหน้าจอคอมพิวเตอร์ ที่ศูนย์บังคับการได้ตลอดการทำงาน ไม่ว่าจะเป็น ภาพขณะที่หุ่นยนต์กำลังปฏิบัติหน้าที่หรือภาพความเสียหายแตกร้าวของผนังท่อที่เกิดขึ้น ซึ่งกล้องจะจับภาพและส่งภาพดังกล่าวไปยังศูนย์ควบคุมทันที โดยระบบจับภาพดังกล่าว อาศัยซอฟต์แวร์ที่มีลักษณะเป็นหน้าต่าง ใช้แสดงภาพจากกล้องวิดีโอแสดงปุ่มควบคุมการเคลื่อนที่ของตัวหุ่น ซึ่งผู้ใช้งานสามารถบังคับตัวหุ่นได้จากหน้าจอคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้หุ่นยนต์ยังสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้จะอยู่ในที่มืด เนื่องจากทีมงานได้ติดตั้งระบบไฟส่องสว่างติดตั้งอยู่บนตัวหุ่นด้วย นักวิจัยบอกว่า หากนำอุปกรณ์เสริมมาติดตั้งเพิ่มเติม เช่น เครื่องเอกซเรย์ก็จะสามารถใช้สำรวจหารอยชำรุด แตกร้าว ภายในท่อได้อย่างแม่นยำมากขึ้น นอกจากนี้หุ่นยนต์ดังกล่าวยังสามารถดัดแปลง สำหรับใช้ช่วยงานล้างท่อแอร์ได้ด้วย เพียงแค่ติดตั้งอุปกรณ์ทำความสะอาดเข้ากับตัวหุ่นเพิ่มเติมเท่านั้น (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 21 มิ.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)
คิดค้นเครื่องฟักไข่นกกระจอกเทศ ลดต้นทุนการผลิต
ผศ.ประภาภรณ์ วรรธนะวาสิน และ อาจารย์วทัญญู เนตรสง่า อาจารย์ประจำฝ่ายวิจัยและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น จึงมีแนวคิดออกแบบและสร้าง เครื่องฟักไข่นกกระจอกเทศ ในราคาประหยัด เพื่อลดต้นทุนการเพาะเลี้ยงนกกระจอกเทศของเกษตรกรผศ.ประภาภรณ์ และ อาจารย์วทัญญู ร่วมกันเปิดเผยถึงหลักการทำงาน และขั้นตอนการทำงานของเครื่องว่า ภายในตัวเครื่องมีขดลวดความร้อนเป็นต้นกำลังและมีพัดลมเป็นตัวหมุนเวียนให้เกิดลมร้อนภายในตู้ ซึ่งใช้ความร้อน ประมาณ 750-1,000 วัตต์ โดยมีเครื่องควบคุมความร้อนอัตโนมัติ เป็นตัวควบคุมอุณหภูมิแบบเทอร์โมสตัท แบบเวเฟอร์ และไมโครสวิตช์ เพื่อให้อุณหภูมิในตู้ฟักไข่อยู่ในระดับที่ต้องการ รวมทั้งรักษาระดับความร้อนให้สม่ำเสมอ พอเหมาะกับความร้อนที่ใช้ในการฟักไข่ สำหรับขั้นตอนการทำงาน ให้นำไข่นกกระจอกเทศที่ต้องการฟักใส่ตะแกรงในตู้ฟักไข่ (ตู้ฟักไข่ สามารถบรรจุไข่ได้ประมาณ 50-100 ฟอง) แล้วจึงเปิดสวิตช์ เพื่อให้ความร้อนไหลมาตามขดลวด ซึ่งจะทำให้พัดลมหมุนเวียนอากาศทำงาน โดยมีตัวควบคุมความร้อนให้อยู่ระหว่าง 37-39 องศาเซลเซียส นอกจากนั้นตัวเครื่องยังมีกลไกกลับไข่อัตโนมัติทุก 3 ชั่วโมง เฉลี่ยวันละ 8-10 ครั้ง และในการฟักไข่แต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 38 วัน จากการทดสอบเครื่องฟักไข่ ปรากฏว่าสามารถฟักไข่ได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 เกษตรกรผู้ใดสนใจ เครื่องฟักไข่นกกระจอกเทศราคาประหยัด สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ ฝ่ายวิจัยและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น หมายเลขโทรศัพท์ 0-4333-6370-1, 0-4323- 5893-4 ในวันและเวลาราชการ (เดลินิวส์ อังคารที่ 21 มิ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)
ผลิตเลือดจากสเต็มเซลล์หมดปัญหาเลือดขาดแคลน แถมปลอดเชื้อร้าย
แอนดรูว์ เอลเลแฟนตี นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโมนาช ในเมลเบิร์น ออสเตรเลีย เปิดเผยว่า ทีมงานค้นพบวิธีสร้างเซลล์เม็ดเลือดได้เป็นผลสำเร็จ ภายใต้สภาวะแวดล้อมที่สามารถควบคุมได้ ทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีผลข้างเคียงร้ายแรงเกิดขึ้นหากนำไปใช้รักษาผู้ป่วย เนื่องจากในทางทฤษฎีแล้วเซลล์เม็ดเลือดแดงที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นมานี้ จะปลอดเชื้อ ต่างจากการใช้เลือดที่ได้จากผู้บริจาค ซึ่งบางทีอาจมีเชื้อร้ายหลุดรอดไปยังตัวผู้รับได้ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยบอกว่าอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปี กว่าจะสามารถพัฒนาเซลล์เม็ดเลือดในปริมาณมาก ที่เพียงพอต่อการนำไปใช้ช่วยผู้ป่วยในภาวะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายเลือด หรือการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ เทคนิคการบังคับให้เซลล์ตัวอ่อนมนุษย์พัฒนาไปเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาว และแดงนั้น ทีมงานชุดนี้สามารถผลิตได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยมากกว่างานวิจัยก่อนหน้านี้ และที่สำคัญใช้สารพันธุกรรมจากสัตว์มาเป็นส่วนประกอบร่วมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เอลเลแฟนตี ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า นักวิจัยรายอื่นมักจะใช้น้ำเลือด หรือซีรั่มจากวัวเป็นสื่อในการเพาะเลี้ยงเซลล์ขึ้นมา แต่ทีมงานของเขาใช้ส่วนผสมของเกลือ สารละลายอิเล็กโตรไลต์ กรดอะมิโน และกรดไขมัน แม้จะยอมรับว่า ขั้นตอนการเพาะเซลล์ยังต้องใช้โปรตีนของสัตว์ร่วมด้วย แต่พวกเขายืนยันว่าโปรตีนไข่ขาวของวัว ซึ่งอยู่ในน้ำเลือด และทำหน้าที่รักษาสมดุลของน้ำในเซลล์และเนื้อเยื่อนั้น ถูกทำให้บริสุทธิ์ก่อนนำมาใช้งาน ขณะเดียวกันนักวิทยาศาสตร์จากสหรัฐ ได้ประกาศความสำเร็จในการเพาะหลอดเลือดจากเซลล์ที่ได้มาจากผู้ป่วยสูงวัยได้แล้ว ทำให้เชื่อได้ว่าในอีกสิบปีข้างหน้า เทคนิคนี้จะช่วยการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างมาก ดร.ลอรา นิกลาสัน ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยดุ๊ค ในสหรัฐ บอกว่า ทีมงานได้ทดลองนำเซลล์ที่ได้จากชายสูงวัยที่อายุ 47-74 ปี และป่วยเป็นโรคหัวใจ 4 คน มาเพาะเลี้ยงเป็นหลอดเลือดภายในห้องปฏิบัติการ หลังจากนั้นก็นำหลอดเลือดที่ได้ไปช่วยในการผ่าตัดบายพาสให้กับทั้งสี่คน โดยที่แต่ละคนก็จะได้รับหลอดเลือดเฉพาะที่เพาะมาจากเซลล์ของตัวเอง ทำให้หมดปัญหาภูมิคุ้มกันในตัวผู้ป่วยปฏิเสธหลอดเลือดใหม่ (คมชัดลึก อังคารที่ 21 มิ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)
มก.วิจัยสมุนไพรกำจัดปลวก
มก.เปิดตัวสมุนไพรกำจัดปลวก หลังซุ่มวิจัยนานกว่า 20 ปี พบประสิทธิภาพเหนือชั้นกว่าสารเคมี ไม่ทำร้ายมนุษย์ทางอ้อม รองศาสตราจารย์ ดร.สุรพล วิเศษสรรค์ อาจารย์ประจำภาควิชาสัตววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ผู้คิดค้นสมุนไพรกำจัด สำหรับสมุนไพรที่วิจัยพบว่ามีประสิทธิภาพกำจัดปลวกก็เช่น ขมิ้นชัน เมล็ดน้อยหน้าสะเดาอินเดีย หางไหล (มีผลต่อการหายใจของแมลงจำพวกปากดูดและเจาะดูด)สาบเสือต้นพริก หญ้าแห้วหมู (ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ในปลวก) และเปลือกมังคุด (มีผลต่อการทำลายระบบภูมิคุ้มกันในปลวก) สมุนไพรเหล่านี้ปลวกไม่ชอบกิน ดังนั้นก็ต้องมาผสมกับไม้ที่ปลวกชอบกิน เช่นไม้ฉำฉา โกงกาง ทองหลาง ในอัตราส่วนสมุรไพร 1% ต่อไม้ 99% โดยกระบวนการ 3 รูปแบบ แบบแรกคือ Terminate เป็นไม้เหยื่อล่อปลวกอัดแท่งผสมพืชสมุนไพร แล้วบรรจุในท่อพลาสติกที่สามารถเสียบปักฝังดินได้ โดยฝังไปรอบๆ บริเวณบ้านในทุกระยะ 1.20 เมตร ปลวกจะนำเหยื่อกลับไปสู่รังของมัน โดยในครั้งแรกจะต้องเข้าทำการตรวจเช็คทุก 15 วัน หากจุดใดที่เหยื่อหมดไปให้เปลี่ยนเหยื่อใหม่แทน โดยเปลี่ยนเฉพาะเหยื่อที่มีปลวกกินเท่านั้น ในระหว่างนี้ปลวกจะค่อยๆ น้อยลง และเห็นผลภายใน 6 เดือนหรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับขนาดของรังปลวก แบบที่สอง Terminus เป็นไม้เหยื่อล่อปลวกอัดแท่งเหมือนแบบแรก แต่ไม่ต้องฝังดินเพียงติดตั้งบริเวณทางเดินของปลวกเพื่อล่อให้มากัดกินไม้ วิธีนี้เหมาะสำหรับบ้านที่เจอกองทัพปลวกโจมตีไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับวิธีสุดท้ายคือ Termina Oil เป็นน้ำมันสกัดสมุนไพรเข้มข้น เวลาใช้ต้องเจือจางกับน้ำในอัตราส่วน สมุนไพร 1 ลิตรต่อน้ำ 35 ลิตรแล้วฉีดพ่น มีฤทธิ์ทำให้ปลวกอ่อนแอลง ซึ่งตัวที่แข็งแรงกว่าจะกินตัวที่อ่อนแแอ ทำให้สารนั้นแพร่กระจายในรังของมันโดยอัตโนมัติ เรียกว่ายืมมือฆ่ากันเองจนสุดท้ายประชากรปลวกก็จะสูญพันธุ์ไปในที่สุด คุณสมบัติพิเศษอีกประการคือสมุนไพรที่นำมาใช้นี้มีฤทธิ์ทำให้ราชินีปลวกวางไข่ได้น้อยลง เพราะได้อาหารจากปลวกงาน จากที่เคยตกไข่นาทีละ 100 ฟองก็ลดเหลือ 4-5 ฟองอย่างน่าตกใจ ไม่นานปลวกก็ตายหมด แม้วิธีการนี้จะเห็นผลช้ากว่าใช้สารเคมี แต่รับประกันความปลอดภัยของเจ้าของบ้านว่าปลอดสารเคมีตกค้างอย่างแน่นอน สำหรับผู้อ่านที่สนใจกรรมวิธีกำจัดปลวกแบบนี้สามารถติดต่อขอรายละเอียดได้ที่รองศาสตราจารย์ ดร.สุรพล วิเศษสรรค์ ภาควิชาสัตววิทยา โทร.0-2579-1022 (สยามรัฐ อังคารที่ 21 มิ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)
ผู้ดีดึงเซลล์ต้นแบบ พัฒนาไข่-สเปิร์ม
ในการประชุมของสมาคมการสืบพันธุ์และว่าด้วยตัวอ่อนของมนุษย์ ที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน นักวิทยาศาสตร์อังกฤษได้เผยแพร่ผลงานวิจัยเรื่องการดึงเอาเซลล์ต้นแบบจากตัวอ่อนของมนุษย์แล้วไปพัฒนาต่อในห้องปฏิบัติการ จนสามารถเกิดเป็นเซลล์ที่จะกลายไปเป็นไข่หรือสเปิร์มขึ้นมาได้ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างไข่หรือสเปิร์มเพื่อช่วยคนที่เป็นหมันได้ หรืออาจจะนำไปสู่การสร้างไข่ขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับการโคลนนิ่งในอนาคต นายแฮร์รี มัวร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสืบพันธุ์และพัฒนาการทางการแพทย์ แห่งมหาวิทยาลัยเชฟฟีลด์ ประเทศอังกฤษ เปิดเผยว่า การค้นพบครั้งนี้ทำให้สามารถสืบค้นต่อไปได้ถึงกระบวนการเบื้องต้นในการพัฒนาด้านการสืบพันธุ์ของมนุษย์ และจากการทดสอบดูการเจริญเติบโตของตัวอ่อนที่เป็นเซลล์ต้นแบบเหล่านี้ที่แตกต่างไปจากเซลล์สืบพันธุ์ ก็จะทำให้สามารถทดสอบดูปฏิกิริยาของสารเคมีที่มีผลต่อการเติบโตของตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการได้ ขณะที่หนังสือพิมพ์เดอะ ไทม์ส รายงานว่า ไข่หรือสเปิร์มที่เกิดจากเซลล์ต้นแบบนี้จะสามารถนำมาใช้ได้ภายใน 10 ปี เพื่อช่วยรักษาผู้ที่เป็นหมันให้สามารถมีบุตรได้ (เอเอฟพี/รอยเตอร์) (มติชนรายวัน อังคารที่ 21 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)
ยานดำน้ำส่วนบุคคล : "ดีพไฟลต์ 1"
พัฒนาโดยบริษัทดีพไฟลต์ เกรแฮม ฮอว์เคส ผู้ก่อตั้งบริษัทดีพไฟลต์ กล่าวว่า เรือดำน้ำที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้นเวลาจะดำลงไปในน้ำใช้วิธีการดูดน้ำเข้าสู่แท็งก์อับเฉาและเวลาต้องการลอยขึ้นสู่ผิวน้ำก็ปล่อยน้ำในแท็งก์ออกมา แต่สำหรับยานดำน้ำส่วนบุคคล 1 ที่นั่ง "ดีพไฟลต์ 1" มีระบบการทำงานแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เพราะไม่มีแท็งก์อับเฉา แต่ติดตั้ง "ปีก" ขนาดเล็กเอาไว้ทั้ง 2 ข้างเหมือนปีกเครื่องบิน และใช้แรงยกกับแรงดันของเครื่องยนต์ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของเรือดีพไฟลต์ 1 ซึ่งสามารถดำดิ่งลึกลงไปใต้ทะเลด้วยความเร็ว 300 กว่าฟุตต่อนาที วัตถุประสงค์การใช้งานเพื่อสำรวจและถ่ายภาพใต้ทะเลลึก (ข่าวสด อังคารที่ 21 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)
หุ่นยนต์กุ้งมังกร : "โรโบล็อบสเตอร์"
พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยนอร์ธอีสเทิร์น หุ่นยนต์ตัวนี้ได้รับทุนวิจัยสนับสนุนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐ จัดว่าเป็นหุ่นยนต์สะเทินน้ำสะเทินบก ใช้ส่งไปปฏิบัติภารกิจจารกรรมสอดแนมข้อมูลในท้องทะเลและใช้ส่งไปตรวจหากับระเบิดในสนามรบภาคพื้นดินได้เช่นกัน (ข่าวสด อังคารที่ 21 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)
รถเหินเวหา : "เอ็ม400 สกายคาร์"
พัฒนาโดยบริษัทโมลเลอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เจ้าของรถยนต์เหินฟ้า "เอ็ม 400 สกายคาร์" ไม่ต้องปวดหัวกับปัญหารถติดการจราจรติดขัดเป็นตังเมอีกต่อไป
รถยนต์บินได้รุ่นนี้สามารถบินขึ้น-ลงในแนวดิ่ง ทำความเร็วสูงสุด 560 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้แอลกอฮอล์แทนน้ำมัน ต้นแบบรุ่นแรกได้รับการรับรองด้านความปลอดภัยจากสำนักงานการบินพลเรือนสหรัฐเรียบร้อยแล้ว เตรียมออกวางจำหน่ายภายในปีพ.ศ.2552 (ข่าวสด อังคารที่ 21 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)
ตรวจสมองจับเท็จ
พัฒนาโดยห้องทดลองเบรน ฟิงเกอร์พรินต์ หนึ่งในหลักฐานสำคัญที่ตำรวจใช้คลี่คลายคดี ได้แก่ การส่งตัวคนร้ายเข้าเครื่องจับเท็จ แต่ถ้าคนร้ายผ่านการฝึกมาเป็นอย่างดีจะหลอกเครื่องมือชนิดนี้ได้ นักวิทยาศาสตร์จึงคิดค้นเครื่องจับเท็จรูปแบบใหม่ขึ้นมา นั่นคือ เครื่องตรวจคลื่นสมอง "เบรน ฟิงเกอร์พรินต์" ซึ่งประกอบด้วยแถบวงจรไฟฟ้าสวมครอบลงไปบนศีรษะผู้ต้องสงสัย วิธีเค้นความจริงจากเครื่องๆ นี้ไม่ต้องรอให้คนร้ายสารภาพ แต่ทำโดยการนำภาพที่เกิดเหตุมาให้คนร้ายดู ถ้าเป็นสิ่งที่คนร้ายเคยเห็นมาก่อน เครื่องจะตรวจจับรูปแบบการเคลื่อนไหวของคลื่นสมองที่ผิดปกติทันที (ข่าวสด อังคารที่ 21 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)
เครื่องปอกเปลือกมะละกอ
นายจักพันธ์ ยั่งยืน,นายเทวิน เกษมสินธุ์ และนางสาวรัตนสิริ สุขล้ำ นักศึกษาของภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกลเกษตร คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้ร่วมกันประดิษฐ์ เครื่องปอกเปลือกมะละกอ ขึ้น โดยมี อาจารย์ชัยรัตน์ หงษ์ทอง เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาตลอดโครงการ เพื่อแก้ปัญหาสำหรับผู้ที่ต้องใช้มะละกอในปริมาณมากๆ โดยปอกเปลือกไม่ทันต่อความต้องการของกิจการหรือความต้องการของผู้บริโภค จึงประดิษฐ์เครื่องปอกมะละกอขึ้น ซึ่งเครื่องที่ได้ ไม่ได้จำกัดความสามารถอยู่ที่แค่มะละกอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังสามารถปอกเปลือกพืชผลอย่างอื่นที่มีลักษณะสัณฐานคล้ายกับมะละกอได้ อย่างเช่น ฟัก แตง เป็นต้น โดยตัวเครื่องประกอบด้วย มอเตอร์ไฟฟ้า 1 เฟส ส่งกำลังผ่านกระปุกเกียร์ทดขนาดอัตราทด 1:10 กำลังที่ออกจากกระปุกเกียร์ทดจะถูกส่งไปยังล้อสายพานตัวขับที่มีขนาด 63 มิลลิเมตร ล้อสายพานตัวตามมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 152 มิลลิเมตร ชุดใบมีดปอกเปลือกซึ่งทำการเลื่อนชุดใบมีดด้วยเพราเกลียวสี่เหลี่ยมคางหมูขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 20 มิลลิเมตร และระยะพิตช์ 4 มิลลิเมตรเพื่อทำการปอกเปลือกมะละกอ สำหรับใบมีดสามารถปรับองศาได้ตามความเหมาะสมต่อการตัดเฉือนพอดีกับผิวเปลือกจากที่ได้ทดสอบสมรรถนะสามารถสรุปได้ว่า เครื่องปอกเปลือกมะละกอเครื่องนี้ มีอัตราการป้อนชุดใบมีดที่ใช้ในการปอกที่เหมาะสมคือ 8 มิลลิเมตรต่อรอบ และองศาที่ใบมีดเท่ากับ 40องศา ซึ่งเป็นค่าที่เครื่องสามารถทำงานได้จริงและให้ประสิทธิภาพสูงสุดในการปอก โดยมะละกอที่ได้จะมีผิวเปลือกติดอยู่เพียงเล็กน้อยและสูญเสียเนื้อมะละกอไปค่อนข้างน้อย นอกจากนี้ ในการนำมะละกอมาปอกกับเครื่องนั้น ควรจะทำการคัดเลือกคัดเลือกขนาดรูปทรงเป็นบางส่วน และต้องตัดหัวและท้ายมะละกอเล็กน้อย เมื่อต้องการปรับให้ใบมีดปอกให้สามารถปอกเปลือกได้หนาขึ้น สามารถทำได้โดยการปรับคมมีดให้กว้างขึ้น ทั้งนี้หากผู้ใดสนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร หมายเลขโทรศัพท์ 02-549-3300 (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 22 มิ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)
หวานมันเค็มปลอดภัย เครื่องปรุงรสสุขภาพ...ไทยวิจัย
เกรียงศักดิ์ เทพผดุงพร กรรมการผู้จัดการ บริษัทอำพลฟูดส์ โพรเซสซิ่ง จำกัด แจกแจงถึงผลิตภัณฑ์ที่ร่วมทำวิจัยกับสถาบันวิจัยโภชนาการ ภายใต้ตราสินค้าชื่อ Good-Life ว่า ประกอบด้วย น้ำปลา สูตรลดโซเดียม 40 เปอร์เซ็นต์ ซีอิ๊วสูตรลดโซเดียม 40 เปอร์เซ็นต์ ซอสพริก สูตรไม่เติมน้ำตาลและลดโซเดียม 50 เปอร์ เซ็นต์ ซอสมะเขือเทศ สูตรไม่เติมน้ำตาลและลดโซเดียม 50 เปอร์ เซ็นต์ น้ำจิ้มไก่ สูตรไม่เติมน้ำตาลและลดโซเดียม 50 เปอร์เซ็นต์ และ กะทิธัญพืช โดยการนำน้ำมันรำข้าว น้ำมันดอกทานตะวัน และกะทิ ธรรมชาติ มาผ่านกระบวนโฮโมจิไนเซชั่น จนได้กะทิธัญพืช ที่มีกลิ่นสี และรสชาติคล้ายกะทิจากมะพร้าว สามารถปรุงอาหารได้ทั้งคาว-หวาน มีไขมันอิ่มตัวลดลง ไม่มีคอเลส เตอรอล และมีความสมดุลของกรดไขมันที่เหมาะสมต่อการบริโภค
รศ.ดร.วิสิฐ จะวะสิต ในฐานะเจ้าของโครงการวิจัย อธิบายกระบวนการวิทยาศาสตร์ที่นำมาใช้กับเครื่องปรุงรสว่า เครื่องปรุงรสนั้น ทางสถาบันได้พัฒนาผลิตภัณฑ์โดยลดปริมาณเกลือเพื่อให้โซเดียมลด แล้วทดแทนด้วยเกลือ โพแทสเซียม ที่เติมลงไปเพื่อช่วยในการลดความดันโลหิต นอกจากนี้ยังลดหรือตัดน้ำตาลทราย แล้วใช้ สารซอร์บิทอล ซึ่งเป็นสารที่ให้ความหวานแทน โดยสารนี้จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ไม่มีผลต่อการเพิ่มอินซูลิน
แม้จะสกัดสารอันตรายต่อร่างกายให้หมดไปแล้ว แต่รสชาติแห่งความเค็มหวานยังคงอยู่ ที่สำคัญถูกปากถูกลิ้นคนไทยที่ชอบอาหารรสจัดจ้านอยู่แล้ว ผู้วิจัยย้ำ เครื่องปรุงรสชนิดนี้น่าจะมีส่วนช่วยคนที่มีปัญหาสุขภาพ เช่นคนเป็นโรคความดัน หรือเบาหวาน ซึ่งถูกปิดกั้นในแง่ของรสชาติ ต้องกินจืด ๆ บางคนหมอสั่งอย่ากินเค็ม คนที่ทำได้คือทรมานไปเลย กินเค็มไม่ได้เลย ส่วนคนที่ทำไม่ได้ก็คือเลิกทำ ผลคือสุขภาพแย่ ต้องใช้ยาแทน ซึ่งยาแพงมาก ดังนั้นการที่ทำเครื่องปรุงรสขึ้นมา ทำให้คนไข้มีความสุขกับชีวิตมากขึ้นยังมีความหวังที่จะมีความสุขกับรสชาติ (เดลินิวส์ พุธที่ 22 มิ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)
เดินรถไฟพลังก๊าซชีวภาพขบวนแรก ประชดน้ำมันเชื้อเพลิงราคามหาโหด
สวีเดนเปิดเดินรถไฟขบวนแรก เดินด้วยพลังก๊าซชีวภาพแล้ว เมื่อต้นสัปดาห์นี้ นับเป็นชาติแรกที่หันมาพึ่งพาพลังจากก๊าซชีวภาพแทนน้ำมัน เชื้อเพลิงซึ่งกำลังมีราคาสูงขึ้น รถไฟพลังก๊าซชีวภาพขบวนแรก ประกอบด้วยรถจักรลากรถตู้โดยสารจุ 54 คนเพียงตู้เดียว วิ่งจากกรุงสตอกโฮล์ม ไปสุดชายทะเลฝั่งตะวันออก เป็นระยะทาง 80 กม. ตัวรถจักรดัดแปลงขึ้นจากหัวรถจักรเครื่องยนต์ดีเซลยี่ห้อเฟียต โดยเปลี่ยนมาติดเครื่องยนต์ใช้ก๊าซ 2 เครื่องแทน ก๊าซที่ใช้ได้จากถังหมักของพืชผักและมูลสัตว์ 6 ถัง ซึ่งเมื่อมันย่อยสลายจะปล่อยก๊าซออกมาใส่ถังเก็บไว้เป็นเชื้อเพลิง มากพอที่จะใช้วิ่งได้ระยะทางไกล 600 กม. จึงจะต้องเติมใหม่อีก ทำความเร็วสูงสุดได้ชั่วโมงละ 130 กม. อย่างไรก็ดี การใช้รถเครื่องยนต์ใช้ก๊าซชีวภาพไม่ใช่เป็นของใหม่ เพราะสวีเดนมีรถประจำทาง 779 คัน และรถยนต์นั่งอีกไม่ต่ำกว่า 4,500 คัน ที่ใช้น้ำมันเบนซินผสมกับก๊าซชีวภาพ หรือก๊าซธรรมชาติอยู่ก่อนแล้ว. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 23 มิ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)
เสียฟันตั้งแต่หนุ่มสาวเป็นลาง เป็นโรคสมองเสื่อมยามแก่เฒ่า
นักวิจัยของมหาวิทยาลัยเซาเทิร์น แคลิฟอร์เนีย ในสหรัฐฯ ได้พบในการศึกษาว่า การเสียฟัน ฟันหลุดฟันร่วงตั้งแต่ยังหนุ่มสาว จะต้องถือเป็นลางร้ายแสดงว่าจะต้องเป็นโรคสมองเสื่อม เมื่อตอนแก่เฒ่า ข่าวของหนังสือพิมพ์ อินดีเพนเดนต์ หนังสือพิมพ์ใหญ่ของอังกฤษฉบับหนึ่ง รายงานว่า การที่ฟันต้องหลุดร่วง เพราะด้วยโรคเหงือกอักเสบเสียตั้งแต่เนิ่นๆ จะทำให้ตกเป็นเหยื่อของโรคสมองเสื่อมเมื่อแก่ตัวลง มากกว่าคนที่ยังมีสุขภาพฟันดีอยู่กว่ากันถึง 4 เท่า. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 23 มิ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)
"แฮ้ม"ลดคอเลสเตอรอล จีน-มะกันจดลิขสิทธิ์ตัดหน้า
เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ที่กรมแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข มีการบรรยายในหัวข้อเรื่อง "การศึกษาประสิทธิผลของสมุนไพรในระดับยีน" ซึ่งประกอบด้วยเรื่องการวิจัยค้นหาการกลายพันธุ์ในยีน LDL Recepter ที่ทำให้เกิดการคอเลสเตอรอลสูงในพันธุกรรมในคนไทย ซี่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันและงานวิจัยค้นหาสมุนไพรที่สามารถลดคอเลสเตอรอลสูงที่เกิดจากพันธุกรรม รศ.ดร.คล้ายอัปสร พงศ์พีพร อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดของคนจะถูกควบคุมโดยยีนหลายยีน แต่ยีนหลักคือ LDL Recepter โปรตีน LDL Recepter จากยีนนี้อยู่บนผิวเซลล์ทั่วไปรวมทั้งเซลล์ตับ ถ้าคอเลสเตอรอล LDL คั่งอยู่ในเลือดจะเกาะหลอดเลือดซึ่งถ้าเกิดที่หลอดเลือดหัวใจก็จะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ปัจจุบันยาที่สามารถลดคอเลสเตอรอลซึ่งใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะคอเลสเตอรอลสูงและผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันคือ ยาในกลุ่มสเตตินส์(STATINS) และนักวิจัยทั่วโลกได้พยายามค้นหายากลุ่มใหม่ๆ ที่สกัดจากพืชที่สามารถลดคอเลสเตอรอล ล่าสุดมีทีมวิจัยจากชาวจีนร่วมกับอเมริกันพบว่าสาร Berberind จากสมุนไพรจีนที่ไทยเรียกว่า "แฮ้ม" สามารถลดคอเลสเตอรอลได้ด้วยกลไกเช่นเดียวกับยาสเตตินส์ จากผลงานวิจัยพบว่าสาร Berberind จากสมุนไพรจีนหรือ "แฮ้ม" สามารถกระตุ้นยีน LDL Recepter ได้ในเซลล์ตับ HepG2 ซึ่งเพาะเลี้ยงในจานทดลอง โปรตีน LDL Recepter ที่เพิ่มขึ้นสามารถจับอนุภาค LDL ได้เพิ่มขึ้น การทดลองใช้ Berberind ในคนพบว่ามีผลทำให้คอเลสเตอรอลในเลือดลดลงในผู้ป่วย FH โดยไม่มีผลข้างเคียงต่อตับหรือไต (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 23 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)
ระวังขึ้นเครื่องบินขาดออกซิเจน
งานวิจัยของนักวิชาการมหาวิทยาลัยเบลฟัสต์ ประเทศอังกฤษ ศึกษากลุ่มผู้โดยสารเครื่องบินอายุ 1-78 ปี พบว่ามีความเสี่ยงต่อการเจอภาวะขาดออกซิเจนหรืออากาศ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยโรคปอดและโรคหัวใจ งานวิจัยชิ้นนี้ได้เผยแพร่ในวารสารแอนีสธีเชียระบุว่า ปกติคนเราอยู่บนพื้นดิน จะมีออกซิเจนในเลือดประมาณ 97% เมื่อขึ้นเครื่องบินจะลดเหลือ 93% ขณะกำลังโดยสารเครื่องบินระดับออกซิเจนในเลือดของผู้โดยสารจะลดลงโดยเฉลี่ย 4% จากระดับปกติ และมีผู้โดยสารมากถึง 54% ที่อาจจำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ สำหรับปริมาณออกซิเจนในเลือดที่ลดลงจะเพิ่มความเสี่ยงของอาการหายใจติดขัด ปวดศีรษะ และหายใจไม่ออกในผู้ป่วยโรคหัวใจ นอกจากนี้ การโดยสารเครื่องบินยังมีความเสี่ยงต่อการสูญเสียน้ำ และการอยู่นิ่งเป็นเวลานานๆ ในภาวะความชื้นต่ำ มีส่วนทำให้ผู้โดยสารป่วยทั้งระหว่างและหลังเดินทาง อีกทั้งเครื่องบินสมัยใหม่สามารถบินในระดับที่สูงกว่าเดิมได้มาก โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพที่โรคปอด โรคหัวใจแล้ว ควรไปพบแพทย์ก่อนขึ้นบิน เพื่อป้องกันและเป็นการดูแลปัญหาด้านสุขภาพ (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 23 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)
ดื่มน้ำผักผลไม้คั้นต้านสมองฝ่อ ยังไม่มีทางรักษาได้แต่ป้องกันไว้
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญซึ่งได้ศึกษาเรื่องโรคสมองฝ่อในผู้สูงอายุมา 30 ปี กล่าวแนะนำให้ดื่มน้ำผลไม้และพืชผักคั้นประจำวัน อาจจะช่วยป้องกันโรคได้บ้าง นายแพทย์อามี่ โบเรนสไตน์ กับคณะของมหาวิทยาลัยฟลอริดาใต้ ได้ศึกษาผู้สูงอายุชาว อเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น ซึ่งนิยมกินน้ำผลไม้และพืชผักคั้นประจำวัน จำนวน 1,800 คน ติดต่อกันมาเป็นเวลา 30 ปี พบว่าพวกเขาเป็นโรคสมองฝ่อน้อยกว่า ผู้ที่ดื่มน้ำเหล่านั้นน้อยกว่า หรือไม่ดื่มเลยถึง 4 เท่า ขณะเดียวกัน นักวิจัยมาร์ค ซาเกอร์ ของมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน กับคณะ ได้ศึกษาคนที่มีพ่อแม่เป็นโรคนี้ และ พบข้อเท็จจริงที่อาจจะช่วยทายได้ว่าใครอาจจะเป็นโรคนี้ได้อย่างหนึ่ง นั่นคือปริมาณการดื่มสุรา เขาได้พบว่า คนที่ดื่มแต่พอหอมปากหอมคอ จะห่างจากโรคนี้ ได้มากกว่าคนที่ดื่มหนักหรือไม่ได้ดื่มเลย สมาคมต่อต้านโรคสมองฝ่อแห่งอเมริกัน ได้ประมาณว่า มีชาว อเมริกันที่มีอายุเป็นโรคนี้กันมากประมาณ 4.5 ล้านคน และเชื่อกันว่าทั่วโลกมีผู้มีอาการสมองพิการ ปัญญาเสื่อม อาจสูงถึง 25 ล้านคน และนับวันจะมากขึ้นเมื่อพลโลกมีอายุเพิ่มขึ้น โรคดังกล่าว ยังไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ ยาที่มีอยู่ ก็ช่วยได้แต่ไม่ให้อาการทรุดลงเร็วนักเท่านั้น ดังนั้น หมอจึงมักแนะนำให้หันมาหาหนทางป้องกันกันดีกว่า. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 24 มิ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)
วัคซีน"เดงกี่สายพันธุ์ 3" "สำเร็จ มหิดลทดลองในคนกรฎาคมนี้
เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ(วช.) ร่วมลงนามทำสัญญาโครงการวิจัยบูรณาการ กับตัวแทนจากมหาวิทยาลัยต่างๆ สำหรับสร้างงานวิจัยออกสู่ภาคอุตสาหกรรม มีหน่วยงานต่างๆ ที่ได้รับทุน เช่น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ฯลฯ นพ.ดร.สุธี ยกส้าน หัวหน้าศูนย์วิจัยและพัฒนาวัคซีน มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งอยู่ระหว่างทำงานพัฒนาวัคซีนไข้เลือดออกที่เกิดจากเชื้อไวรัสเด็งกี่ในประเทศไทย ซึ่งได้รับงบประมาณสนับสนุนการทำงานเรื่องนี้ รวมทั้งสิ้น 20 ล้านบาท กล่าวว่า ขณะนี้ทั่วโลกมีเชื้อไวรัสไข้เลือดออกอยู่ 4 ชนิด ชนิดที่ 1 มีประมาณ 40% ชนิดที่ 2 มีประมาณ 35% ชนิดที่ 3 มีประมาณ 15% และชนิดที่ 4 มีประมาณ 5% แต่เวลานี้ มีวัคซีนสำหรับป้องกันโรคไข้เลือดออกแค่ชนิดที่ 1 กับ 2 และ 4 เท่านั้น ตัวยาที่จะทำวัคซีนที่สมบูรณ์แบบป้องกันโรคได้ 100% จึงยังไม่มี วัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกชนิดที่ 3 ที่ทีมงานของมหาวิทยาลัยมหิดลกำลังดำเนินการอยู่นั้น ในส่วนของตัวยาและขั้นตอนทางเทคนิคต่างๆ นั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในเดือนกรกฎาคมนี้ จะ นำไปทดสอบในอาสาสมัคร ที่ยังไม่เคยป่วยด้วยโรคนี้ หลังจากเสร็จขั้นตอนนี้แล้ว คาดว่าอีกประมาณ 1 ปี นับจากนี้ จะสามารถนำมาใช้ได้ "เมื่อทดสอบกับอาสาสมัครเสร็จ และไม่มีปัญหาใดๆ เราจะนำวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกสายพันธุ์ที่ 3 นี้ไปรวมตัวกับอีก 3 สายพันธุ์ที่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้วทันที หลังจากนั้น ถึงจะขึ้นชื่อว่า เราสามารถทำวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกทุกสายพันธุ์ได้ 100% (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 24 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)
เปิดตัว "Independent" หุ่นกู้ภัยตัวแรกของไทย
หลังจากคว้าตำแหน่งแชมป์ จากการประกวด Thailand Rescue Robot Championship 2004 จากการประกวดหุ่นยนต์กู้กัย ที่จัดโดยเครือซิเมนต์ไทย ร่วมกับสมาคมวิชาการหุ่นยนต์ไทย ไปเมื่อปีที่แล้ว ล่าสุด 4 นักศึกษาคนเก่งจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ จ.ปราจีนบุรี ประกอบด้วย นายธงชัย พจน์เสถียร, นายดนุชา ประเสริฐสม, นายพินิจ เขื่อนสุวงศ์ และ นายอดิศักดิ์ ดวงแก้ว ก็ถือโอกาสเปิดตัวหุ่นยนต์กู้ภัย Independent ที่จะเป็นตัวแทนประเทศไปแข่งขันที่ประเทศญีปุ่นอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับหุ่นยนต์กู้ภัยตัวนี้ น้องๆ บอกว่าเป็นหุ่นยนต์กู้ภัยที่ดัดแปลง ปรับปรุงจากหุ่นยนต์ต้นแบบตัวเดิมที่เคยชนะการประกวดในประเทศไทยเมื่อปีที่แล้ว จากโจทย์ที่ให้สร้างหุ่นยนต์กู้ภัยเพื่อเข้าไปช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่กู้ภัย ในสถานการณ์ต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว หรือตึกถล่ม หลังที่ได้ตำแหน่งแชมป์ จึงนำหุ่นยนต์ตัวนี้ไปปรับปรุง และเพิ่มความโดดเด่นตรงช่วงล่างของหุ่นยนต์ให้เป็นการขับเคลื่อนแบบ 10 ล้อ เคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ สามารถปีนป่ายข้ามสิ่งปรักหักพังเข้าไปค้นหาผู้ประสบภัยได้อย่างสะดวกง่ายขึ้น Independent และทีมงานทั้งหมดจะเดินทางไปแข่งขันในรายการ "Robocup Rescue World Championship 2005" ในก.ค.นี้ อย่าลืมเป็นกำลังใจให้กับเพื่อนๆ ทั้ง 4 คนด้วย ส่วนผู้ที่สนใจอยากจะประลองฝีมือในการแข่งขันประดิษฐ์หุ่นยนต์ ขณะนี้เครือซิเมนต์ไทยและสมาคมวิชาการหุ่นยนต์ไทย กำลังเปิดรับสมัครทีมส่งหุ่นยนต์กู้ภัยเข้าแข่งขันเป็นรุ่นที่ 2 ในโครงการ "Thailand Rescue Robot" ชิงทุนการศึกษารวมกว่า 700,000 บาท ทีมชนะเลิศในปีนี้จะได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันในเวทีระดับโลก ที่ประเทศเยอรมนีในปีหน้าด้วย สนใจสามารถเข้าไปชมรายละเอียดได้ที่ www.siamcenment.com หรือโทร. 0-2586-5641 (ข่าวสด ศุกร์ที่ 24 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)
ข่าวทั่วไป
1ก.ค.สินค้า21รายการพร้อมใจขึ้นราคา
นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีที่รัฐบาลมีแผนจะลอยตัวราคาจำหน่ายก๊าซหุงต้ม ซึ่งตามแผนเดิมกำหนดไว้ในเดือนก.ค. เพื่อลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 400 ล้านบาท ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาก๊าซหุงต้มปรับเพิ่มขึ้นอีก ก.ก.ละ 2 บาท ว่า หากรัฐบาลลอยตัวราคาก๊าซหุงต้มจะปรับเพิ่มขึ้นอีกก.ก.ละ 2 บาท ส่งผลกระทบทำให้ราคาจำหน่ายปลีกก๊าซหุงต้มขนาดบรรจุ 15 ก.ก. ปรับราคาขึ้นอีกถังละ 30 บาท คือปรับจากราคา 252 บาท/ถัง เป็น 282 บาท/ถัง ทั้งนี้จากการศึกษาผลกระทบต่อค่าครองชีพประชาชนจากการลอยตัวก๊าซหุงต้ม พบว่า ครัวเรือนจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเดือนละ 30 บาท หากแต่ละครัวเรือนใช้ก๊าซหุงต้มขนาด 15 ก.ก. เดือนละ 1 ถัง อาหารสำเร็จรูป ก๋วยเตี๋ยว ข้าวแกง และร้านอาหารตามสั่ง พ่อค้าแม่ค้าจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น 0.066 บาท/จาน เนื่องจากก๊าซขนาดบรรจุ 48 ก.ก./ถัง สามารถทำอาหารได้จำนวนประมาณ 1,440 จานหรือชาม และผลกระทบต่อแท็กซี่ มีต้นทุนค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 80 บาท/วัน หากแท็กซี่มีการวิ่งรถประมาณ 600 ก.ม./วัน คาดว่าจะใช้ก๊าซหุงต้มประมาณ 40 ก.ก./วัน นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ขณะนี้มีสินค้าหลายรายการซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุปโภค-บริโภคได้เสนอขอปรับราคามาแล้ว หลังจากระยะเวลาตรึงราคาสินค้าสิ้นสุดลงในวันที่ 30 มิ.ย.นี้ ทั้งนี้จากการวิเคราะห์ข้อมูลภาระต้นทุน และตรวจสอบงบกำไรขาดทุนย้อนหลัง 2 ปี ของแต่ละรายสินค้าที่ผู้ผลิตแต่ละรายเสนอเข้ามาพบว่ามีบางส่วนที่ข้อมูลครบถ้วนตามเงื่อนไขการขอปรับราคาและมีเหตุผลเพียงพอที่จะให้ปรับราคาขึ้น รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับสินค้าที่มีการเสนอขอปรับขึ้นราคาในวันที่ 1 ก.ค.2548 มีจำนวน 21 รายการ ประกอบด้วย นมผง นมสด นมพร้อมดื่ม ปลากระป๋อง ยารักษาโรค น้ำอัดลม สีทาอาคาร ถ่านไฟฉาย ปุ๋ยเคมี ผงซักฟอก น้ำปลา นมข้นหวาน น้ำตาลทราย สายไฟฟ้า แป้งฝุ่นโรยตัว เหล็กแผ่น สบู่ ผงชูรส สังกะสี น้ำมันพืช และน้ำมันหล่อลื่น นอกจากนี้ ยังมีสินค้าเสนอขอตั้งราคาจำหน่ายจำนวน 11 รายการ ได้แก่ นมผง นมสด 2 รายการ นมพร้อมดื่ม 2 รายการ ผงซักฟอก นมข้น น้ำตาลทราย ปุ๋ยเคมี ปลากระป๋อง น้ำอัดลม (ข่าวสด พุธที่ 22 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)
ดันกม.คุมทดลองในมนุษย์
ศ.นพ.วิฑูรย์ อึ้งประพันธ์ ที่ปรึกษาศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การวิจัยทางการแพทย์เกือบทั้งหมดต้องอาศัยมนุษย์เป็นเครื่องทดลอง ซึ่งเรียกว่าการทดลองในมนุษย์(Human Experimentation) การทดลองในมนุษย์จึงเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยในคน ดังนั้น เพื่อประโยชน์ในการควบคุมการวิจัยในคน หลายประเทศได้มีกฎหมายพิเศษเกี่ยวกับการวิจัยในคนโดยเฉพาะ เพื่อคุ้มครองผู้ถูกทดลอง และขณะเดียวกันเพื่อกำหนดความรับผิดของผู้วิจัยไว้ต่างหาก โดยไม่ต้องนำความลับทางกฎหมายอาญาที่เกี่ยวกับความผิดฐานทำร้ายร่างกายมาใช้บังคับ การออกกฎหมายพิเศษเกี่ยวกับการทดลองในมนุษย์จะสามารถกำหนดขั้นตอนการควบคุมการวิจัยประเภทต่างๆ ให้เหมาะสมในแต่ละประเภทด้วย ปัจจุบันนี้ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายว่าด้วยการทดลองในมนุษย์บัญญัติไว้โดยตรง มีแต่ข้อบังคับของแต่ละผู้ประกอบการในแต่ละวิชาชีพ เช่น ประกาศข้อบังคับของแพทยสภา ซึ่งแต่ละแห่งก็จะมีคณะกรรมการจริยธรรม ต่างคนต่างมีกฎเกณฑ์ของตัวเอง ซึ่งไม่สอดคล้องกัน การออกกฎหมายฉบับนี้จะทำให้การคุ้มครองอยู่ในกรอบเดียวกัน และกฎหมายจะทำให้มีอำนาจในการบังคับใช้ ต่างจากคณะกรรมการจริยธรรมที่ไม่มีอำนาจการบังคับเลย ในเมื่อไม่มีกฎหมายคุ้มครองผู้ที่ถูกวิจัย นักวิจัยก็สามารถทำกันได้โดยอิสระ โดยที่ในหลายครั้งผู้ถูกวิจัยไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองกำลังถูกวิจัยอยู่ ศ.นพ.วิฑูรย์กล่าวต่อว่า สถานการณ์ในปัจจุบันของประเทศไทยถือว่าค่อนข้างน่าเป็นห่วง บุคลากรในวงการวิชาชีพสาธารณสุขทราบดีว่า บริษัทอุตสาหกรรมการผลิตยาต่างประเทศมีความเชื่อมโยงกันอย่างไรกับการวิจัยและทดลองในมนุษย์ ซึ่งขณะนี้บริษัทยาต่างประเทศเข้ามามีบทบาทมากกับการวิจัยในประเทศไทย ผู้ป่วยหลายรายที่อาจตกเป็นผู้ถูกวิจัยโดยไม่รู้ตัว เพราะเพียงแค่บริษัทยาว่าจ้างแพทย์ หรือเภสัชกรให้ทำการวิจัยยาชนิดหนึ่งขึ้นมา ก็สามารถทำได้ โดยที่คนถูกวิจัยไม่รู้เรื่อง เพราะประเทศไทยไม่มีกฎหมายว่าด้วยการทดลองในมนุษย์บัญญัติไว้ (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 23 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)
ดร.จิรันดร-ศ.ทญ.อรสา คว้ารางวัลมหาวิทยาลัยมหิดลปี"47
ดร.จิรันดร ยูวะนิยม วัย 36 ปี เป็น อาจารย์ระดับ 7 ภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ ม.มหิดล ได้รับรางวัลมหาวิทยาลัยมหิดล ปี 2547 สาขาการวิจัย จบปริญญาตรี วท.บ.(เคมี) เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เมื่อปี 2534 จาก ม.มหิดล และปริญญาดุษฎีบัณฑิต(ชีวเคมี) จาก มหาวิทยาลัยมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2540 เป็นนักวิจัยที่มีผลงานโดดเด่น สามารถศึกษาโครงสร้างสามมิติของเอ็นไซม์ DHFR-TS ของเชื้อมาลาเรีย Plasmodium falciparum เชื้อที่ทำให้เกิดโรคมาลาเรียขั้นรุนแรงจนเป็นเหตุให้เสียชีวิตในคน จากผลวิจัยทำให้มีการออกแบบและพัฒนายารักษาโรคมาลาเรียชนิดใหม่ ซึ่งสามารถจับและยับยั้งการทำงานของ DHFR-TS อย่างมีประสิทธิภาพ ผลงานของ อ.ดร.จิรันดร ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Nature Structural Biology และจัดเก็บอยู่ในฐานข้อมูลนานาชาติ(Protein Data Bank) ศ.ทญ.อรสา ไวคกุล คว้ารางวัลมหาวิทยาลัยมหิดล สาขาการแต่งตำรา สำเร็จทันตแพทยศาสตรบัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี 2521 M.Sc. จาก มหาวิทยาลัยอลาบามา ณ เบอร์มิ่งแฮม สหรัฐอเมริกาปี 2526 ปัจจุบัน เป็นศาสตราจารย์ระดับ 10 ประจำภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ ม.มหิดล เป็นผู้แต่งตำรา "การปลูกถ่ายฟัน : การวางแผนผ่าตัด และการประเมินผล" ที่ใช้ในการเรียนการสอนของคณะ เป็นตำราภาษาไทยเล่มแรกและเล่มเดียวในปัจจุบัน ที่กล่าวถึงกระบวนการปลูกถ่ายฟันทั้งหมดโดยละเอียดจากประสบการณ์จริง โดยการนำฟันซึ่งมักเป็นฟันกรามแท้ซี่ที่สาม ที่มักเป็นฟันคุดและมักถูกถอนออกไป นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ปลูกถ่ายแทนที่ฟันที่สูญเสียไป เป็นการบูรณะระบบบดเคี้ยวโดยใช้ฟันธรรมชาติแทนการใส่ฟันปลอม การจัดฟัน หรือฝังรากเทียม ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 23 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)
ผู้หญิงผู้ที่อยากได้บุตรไว้เชยชม ให้ห่างจากอาหารถั่วเหลืองเอาไว้
ผู้หญิงผู้ที่ใคร่อยากจะมีบุตร ไม่ควรจะบริโภคอาหารถั่วเหลือง ตลอดจนไม้จำพวกมีฝัก เช่นทองหลาง กระถิน ถั่ว ศาสตราจารย์ลินน์ เฟรเซอร์ วิทยาลัยแพทย์คิง คอลเลจแห่งกรุงลอนดอน ได้พบว่าอาหารเหล่านั้นมีสารประกอบที่มีชื่อว่า เจนิสไตน์ มีฤทธิ์ขัดขวางทำลายล้างตัวอสุจิ ขณะกำลังพยายามแหวกว่ายไปผสมกับไข่ สารนี้มีอยู่ในอาหารถั่วเหลืองทุกอย่าง ตั้งแต่นมถั่วเหลือง อาหารมังสวิรัติหลายอย่าง ตลอดจนอาหารสำเร็จรูปและพิซซ่า ผู้เชี่ยวชาญการมีบุตรกล่าวรายงานในที่ประชุมประจำปี สมาคมว่าด้วยการมีบุตรและการกำเนิดขึ้น เป็นตัวอ่อนหรือทารกของมนุษย์ แห่งยุโรปต่อไปว่า หากสตรีคนใดมีสารเจนิสสไตน์ในมดลูกหรือโดยรอบ ก็อาจจะไม่เกิดการปฏิสนธิขึ้นได้ เนื่องจากมันทำให้พวกตัวอสุจิ สิ้นแรงลงก่อนที่จะผสมกับไข่เสีย อย่างไรก็ดี เขากล่าวว่า ไม่จำเป็นถึงกับจะต้องงดบริโภคพวกอาหารถั่วเหลืองเสียเลย หลีกเลี่ยงก่อนหน้าที่กำลังจะมีไข่ตกสักสองสามวัน (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 24 มิ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)
แพทย์ดีเด่นของแพทยสภา
ประเทศไทยขณะนี้มีแพทย์ที่ขึ้นทะเบียนอยู่ที่แพทยสภา 33,186 คน แต่คาดว่ามีผู้ที่ยังปฏิบัติหน้าที่เป็นแพทย์เพียง 27,000 กว่าคนเท่านั้น แพทย์จำนวนมากเช่นนี้ก็คงเหมือนวงการอื่นๆ คือมีทั้งที่ดีและไม่ดี สังคมควรยกย่องผู้ที่ทำความดี ผู้ที่ยอมเสียสละ ด้วยเหตุนี้เองแพทยสภาจึงมีการสรรหาแพทย์ดีเด่นของแพทยสภาทุก 2 ปี ตั้งแต่ปี 2539 โดยในปี 2539 ผู้ได้รับเลือกคือ นายแพทย์ชาญ สถาปนกูล, พ.ศ.2541 มี 2 ท่าน คือ ศาสตราจารย์แพทย์หญิงเพ็ญแข ลิ่มศิลา และรองศาสตราจารย์แพทย์หญิงคุณหญิงส่าหรี จิตตนันทน์, พ.ศ.2543 นายแพทย์คณิต ตันติศิริวิทย์, พ.ศ.2545 พลตรีหญิงวณิช วรรณพฤกษ์ และ พ.ศ.2547 นายแพทย์สมสิทธิ์ ตันสุภสวัสดิกุล ในการสรรหาแพทย์ดีเด่นนั้น แพทยสภาได้ตั้งคณะอนุกรรมการสรรหาขึ้นมาซึ่งจะกำหนดวิธีการ เกณฑ์คัดเลือก ขั้นตอน แล้วจึงส่งแบบฟอร์มการเสนอชื่อไปในเดือนมิถุนายน 2548 โดยแพทยสภาจะส่งไปยังโรงพยาบาลต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน สาธารณสุขจังหวัด คณะแพทยศาสตร์ต่างๆ สมาคมแพทย์สาขาต่างๆ ราชวิทยาลัย แพทย์เหล่าทัพ ฯลฯ เกณฑ์ในการพิจารณาคือ แพทย์ต้องมีคุณสมบัติเด่นในการครองตน ครองคน ครองงาน เป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม และปัจจุบันยังเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ฯลฯ ประมาณตุลาคม 2549 จึงจะประกาศชื่อแพทย์ดีเด่นของแพทยสภา ประจำปี 2549 (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 24 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)
ร่างเกณฑ์มาตรฐาน... TQA รางวัลคุณภาพ สำหรับ SMEs
โครงการรางวัลคุณภาพแห่งชาติ รางวัลสำหรับผู้ประกอบการที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ว่าด้วยเรื่องบริหารจัดการแบบครบวงจรตามมาตรฐานสากล แหล่งข่าวผู้ประกอบการที่เคยเข้าร่วมโครงการนี้ บอกว่า โครงการนี้เป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะใช้ในการพัฒนาและยกระดับองค์กรของตนเอง นายธวัชชัย ตั้งสง่า รักษาการผู้อำนวยการสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ บอกว่า โครงการรางวัลคุณภาพแห่งชาติ สำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (TQA for SMEs) ครั้งนี้ ถือเป็นการนำร่อง เป็นโครงการที่จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาระดับศักยภาพ จุดแข็ง และโอกาสในการปรับปรุงขององค์กร SMEs นำร่องระดับแนวหน้า โดยใช้เกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติในการตรวจประเมิน และนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ประกอบการพัฒนาเกณฑ์ TQA for SMEs ต่อไป คาดว่าการสมัครใจของผู้ประกอบการปีนี้อาจจะมีจำนวนไม่มาก โดยเปิดรับมาตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา และเปิดรับไปจนถึงเดือนสิงหาคม ซึ่งขั้นตอนในการดำเนินงานประกอบด้วย 1.คัดเลือก SMEs ที่มีวิธีปฏิบัติงานและผลการดำเนินการในระดับแนวหน้า (ได้รับรางวัลประเภทต่างๆ หรือเป็นผู้ประกอบการที่ดี) จากภาคการผลิตและภาคบริการ 2.ฝึกอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับเกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติแก่ทีมผู้บริหารเอสเอ็มอีนำร่อง 3.ศึกษาระบบการบริการจัดการ และจัดทำรายงานวิธีการและผลการดำเนินงานของ SMEs นำร่องตามรูปแบบที่ใช้ 4.ตรวจประเมินด้วยกระบวนการที่เทียบเคียงกับรางวัลคุณภาพแห่งชาติ 5.นำเสนอผลตรวจประเมินต่อคณะกรรมการรางวัลคุณภาพแห่งชาติ เพื่อพิจารณากำหนดนโยบายในการจัดทำเกณฑ์คุณภาพแห่งชาติสำหรับเอสเอ็มอีต่อไป เวลานี้ที่คัดมาแล้ว 4 บริษัท อยู่ในภาคการผลิต 2 บริษัท และภาคบริการ 2 บริษัท ภายในเดือนนี้ก็น่าจะแล้วเสร็จ สำหรับเกณฑ์คุณภาพที่จะมาใช้สำหรับเอสเอ็มอีโดยเฉพาะ (ประชาชาติธุรกิจ 23 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/prachachart)
สสว.จับ SME ปรับโครงสร้าง รองรับยุทธศาสตร์ศก.ใหม่
นายภักดิ์ ทองส้ม รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.)เปิดเผยว่า ขณะนี้สสว.อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำแผนแม่บทการส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี)ฉบับที่ 2 ปี 2550-2554 โดยให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม และยุทธศาสตร์การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนประเทศไทยให้เป็นสังคมผู้ประกอบการอย่างแท้จริง ทั้งนี้สสว.ได้ระดมความคิดเห็นกับผู้ประกอบการ 17 กลุ่มอุตสาหกรรม โดยแบ่งการจัดทำแผนออกเป็น 3 ระดับคือ รายสาขา ระดับธุรกิจและระดับผู้ประกอบการ สำหรับอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของไทย ในขณะนี้ยังเป็นแต่เพียงผู้รับจ้างผลิต ซึ่งมีจีนเป็นคู่แข่งที่สำคัญเพราะมีต้นทุนต่ำ หากรัฐบาลไม่มีมาตรการที่ชัดเจนในการปรับโครงสร้างช่วยเหลืออนาคตไทยจะไม่สามารถแข่งขันสู้กับจีนได้ ซึ่งผู้ประกอบการเห็นว่า รัฐควรเน้นการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมกลุ่มดังกล่าวและอาจนำชิ้นส่วนบางอย่างจากต่างประเทศมาประยุกต์กับทุกสาขา ส่วนสาขาอื่นๆ เช่น กลุ่มสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติก ปิโตรเคมี ผลิตภัณฑ์ยาง แฟชั่น อัญมณี-เครื่องประดับ อาหาร ก็ยังต้องการให้รัฐพัฒนาตลาดต่างประเทศเพื่อรองรับสินค้าไปพร้อมๆ กับการพัฒนาทักษะความรู้ในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม พร้อมกับสนับสนุนงบประมาณแก่สถาบันเฉพาะทางเพื่อช่วยเอสเอ็มอี (สยามรัฐรายวัน เสาร์ที่ 25 มิ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)
แคลเซียม-วิตามินดี บรรเทาปัญหา"รอบเดือน"
ผู้หญิงหลายคนที่ยังอยู่ในวัยมีประจำเดือน ย่อมประสบภาวะไม่พึงปรารถนาก่อนมีรอบเดือน ซึ่งมีอาการหนัก-เบาไปตามสภาพร่างกายของแต่ละคน อาการเช่นนี้เรียกว่า premenstrual syndrome(อาการต่างๆ ก่อนมีประจำเดือน) หรือเรียกย่อๆ ว่า PMS ทั้งนี้ หญิงอเมริกัน ราว 40% มีอาการ PMS ในระดับปานกลาง และราว 5-10% มีอาการรุนแรง PMS ก่อให้เกิดความไม่คล่อง ไม่สบายตัวในการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยอาการของ PMS จะเกิดขึ้นประมาณ 1-2 สัปดาห์ก่อนวันมีรอบเดือน ซึ่งจะมีอาการตั้งแต่หน้าอกบวมขยาย อ่อนเพลีย และมีปัญหาในการนอน ไม่สบายท้อง ท้องผูก ปวดศีรษะ อารมณ์ผันผวน ไม่มีสมาธิ และมีปัญหาความจำ ปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ เป็นต้น ล่าสุดนี้ นักวิชาการแห่งมหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์ ค้นพบว่า การรับประทานแคลเซียมและวิตามินดี อาจจะช่วยลดอาการ PMS ในผู้หญิงได้ โดยปริมาณที่แนะนำคือกินแคลเซียม 1200 มิลลิกรัมต่อวัน และวิตามินดีวันละ 500 IU ผลการศึกษาระบุว่าการกินแคลเซียมและวิตามินดี อาจไปมีผลกระทบทางใดทางหนึ่งต่อระดับของฮอร์โมนหญิงที่ชื่อเอสโตรเจนระหว่างการมีรอบเดือน จึงช่วยลดอาการของ PMS ลง การทดลองนี้ศึกษาจากผู้หญิง 1,057 คน ที่กินแคลเซียมและวิตามินดี และมีอาการ PMS เปรียบเทียบกับ 1968 คนที่ไม่มีอาการ PMS เป็นเวลา 10 ปี อย่างไรก็ตาม มีเสียงโต้แย้งจากผู้เชี่ยวชาญรายอื่นว่า แคลเซียมและวิตามินดี อาจไม่ใช่สูตรสำเร็จที่จะใช้ได้กับผู้หญิงที่มี PMS ทุกคน แต่ก็เห็นว่าหากจะกินก็คงไม่เสียหายอะไร เพราะในขณะนี้(สหรัฐ) ผู้หญิงยังกินแคลเซียมไม่เพียงพอ (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 25 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)
มธ.ผนึกส.ประเมินยกระดับวิชาชีพ วัดความรู้ชูมาตรฐานเดียวทั้งระบบ
ศูนย์ทดสอบด้านการจัดการคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกับสมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทยและสมาคมนักประเมินราคาอิสระไทยจัดสอบวัดความรู้เพื่อจัดระดับผู้ประเมินค่าทรัพย์สินเพื่อยกระดับมาตรฐานวิชาชีพผู้ประเมินค่าทรัพย์สินไทยให้เป็นที่ยอมรับของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยใช้มาตรฐานเดียวกัน ผศ.พัชรา พัชราวนิช อาจารย์ประจำสาขาวิชาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า การจัดสอบเพื่อวัดระดับความรู้ผู้ประเมินค่าทรัพย์สินจะแบ่งออกเป็น 3 ระดับด้วยกัน คือ ผู้ประเมินระดับชั้นต้น ระดับชั้นสามัญหรือชั้นกลาง และผู้ประเมินระดับชั้นวุฒิหรือระดับสูง สำหรับระดับชั้นวุฒิหรือชั้นสูงที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จัดสอบนั้นจะเป็นการจัดสอบให้กับนักประเมินในรูปบริษัทไม่ใช่ตัวบุคคล แต่สำหรับการจัดสอบของสมาคมเป็นการจัดสอบให้กับตัวผู้ประเมินค่าทรัพย์สินเอง เรียกได้ว่า "ติดตัว ไม่ติดบริษัท" นายเอกรินทร์ ยลระบิล ผู้อำนวยการ SMART Center @Thammasat กล่าวว่า ทางศูนย์ได้ตั้งคณะกรรมการพัฒนารูปแบบข้อสอบและกำหนดเกณฑ์การประเมินผลการสอบทั้งระดับต้น ระดับกลาง และระดับสูง โดยจะเน้นในเรื่องมาตรฐานของความโปร่งใส และคุณภาพของข้อสอบ โดยผู้แทนจาก 7 สถาบันคือ ผู้แทนจากศูนย์ SMART สมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย สมาคมนักประเมินราคาอิสระไทย สมาคมธนาคาร ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และจากโครงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำหน้าที่กำหนดรูปแบบและแนวทางของข้อสอบรวมทั้งกำหนดเกณฑ์การประเมินผลสอบทุกระดับ โดยแต่ละขั้นตอนการออกข้อสอบจะมีคณะกรรมการแต่ละชุดพิจารณาอย่างเคร่งครัด เพื่อที่จะได้ข้อสอบที่สามารถวัดระดับผู้ประเมินได้อย่างแท้จริง การจัดสอบวัดความรู้ในแต่ละระดับนั้นจะจัดสอบปีละ 2 ครั้ง ในปี 2548 นี้จะเริ่มจากระดับกลางก่อน ส่วนสถานที่สอบจะใช้ที่คณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ ผู้ที่สนใจ สามารถสอบถามเพิ่มเติมหรือตรวจสอบคุณสมบัติได้ที่ สมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย www.vat.or.th สมาคมนักประเมินราคาอิสระไทย www.tva/or.th ศูนย์จัดสอบ SMART http://smart.bus.tu.ac.th และโครงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ม.ธรรมศาสตร์ http://re.bus.tu.ac.th (ประชาชาติธุรกิจ เสาร์ที่ 25 มิ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/prachachart)
KMUTT
Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215
|
|
|