หัวข้อข่าวปีที่ 6 ฉบับที่ 29 ประจำวันที่ 2005-08-07

ข่าวการศึกษา

แนะพัฒนาอจ.มหา’ลัยเป็นวาระแห่งชาติ
รุ่งค้านตั้งทบวงอุดมฯ แนะยุบ สกอ.ปิดทางตัน
จุฬาฯ เผยรับนิสิต 3 แบบ คณะแพทย์สอบเพิ่มรายวิชา
"คริสเตียน"จับมือรพ.-ม.ญี่ปุ่นเปิดเทคโนฯแพทย์
ปลื้มแห่เรียน ว.ชุมชน - วิชาการปกครองยอดนิยม
มก.ติดอันดับ1มหามหาวิทยาลัยอิเล็กทรอนิกส์
เสนอตั้งสถาบันบัณฑิตศึกษา
เด็กร.ร.ทวีธาภิเษกเจ๋ง ซิวแชมป์คณิตคิดเร็วนานาชาติ

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

เห็นทะเลแช่แข็งบนดาวอังคาร นอนอยู่ที่ก้นหลุมบ่อขนาดยักษ์
ค้านป่าไม้ไม่ช่วยเก็บสงวนนํ้า กลับดูดขึ้นจากดินแล้วระเหยทิ้ง
ส่งระเบิดจิ๋วถล่มเซลล์มะเร็งคาที่
"กร"ระบุปี"49เริ่มฉายรังสีผลไม้
ญี่ปุ่นลั่นสร้างคอมพ์เร็วกว่าไอบีเอ็ม
รัสเซียชิงปล่อยยานอวกาศแสงแดด ยานปฏิวัติการเดินทางในอวกาศ
มหาสมุทรอาร์กติกยังมีสัตว์ชุกชุม ไม่กระทบกับอุณหภูมิของโลกสูง
พบดาวเคราะห์ใหม่มีดวงจันทร์บริวาร คาดเป็นอันดับที่10
แพทย์อิงคลื่นสมองรักษาลมชัก
จีนดาวรุ่งใหม่ศูนย์ออกแบบชิพโลก
อุณหภูมิโลกสูงขึ้น ปั่นพายุเฮอริเคนกราดเกรี้ยวรุนแรง
กล้องนาซาพบชีวโมเลกุลนอกโลก
คณะทันตะมอ.เปิดทำใบหน้า-ขากรรไกรเทียม ชี้เริ่มนิยมมากขึ้นเสริมความมั่นใจให้กับผู้ป่วย
เทคโนโลยีใหม่ระบบรปภ.วิเคราะสัญญานวงจรปิด
"สรอรรถ" เร่งสร้าง 3 ผลงานไอซีที หวังปิดภารกิจก่อนควบรวมก.วิทย์
ตามไปดู"โรงพยาบาลดิจิตอล" แห่งแรกของโลก!

ข่าววิจัย/พัฒนา

เสื้อกีฬานาโนไม่เหม็นเหงื่อไคลจุฬาฯ คิดเใส่อนุภาคเงินจิ๋วสกัดแบคทีเรีย
สนช.หนุนเอกชนผลิตพลาสติกชีวภาพ มุ่งสร้างผลิตภัณฑ์ย่อยเองในธรรมชาติ
เทคโนสุรนารีศึกษาโปรตีนต้านโรคติดเชื้อ
ยาเม็ดคุมกำเนิดเพิ่มความเสี่ยง มะเร็งของทรวงอกและปากมดลูก
นวัตกรรมใหม่รักษาโรคหัวใจไม่ผ่าตัด
แอปเปิ้ลต้านมะเร็ง
มะเฟือง..ดาวแห่งผลไม้
เครื่องอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์
ขูดมันหมูออกจากหนังด้วยเครื่อง
ประดิษฐ์เตาหุงต้มประหยัดพลังงาน ทดแทนเชื้อเพลิงจากไม่ได้ 7,360 ต้น/ปี
ยานเบาสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกฝีมือนักศึกษาไทยลุยทุกสภาพ
ปูนนครหลวงร่วมปั้นนักวิจัย มอบทุน'ป.โท'วิศวกรรมโยธา
เอ็มเทคคิดค้น 'พลังงานแสง' บำบัดน้ำทิ้ง
ฝีมือคนไทย แท็กซี่ไฮเทคสื่อผ่านดาวเทียม
เพ้นท์ลายผ้าด้วยยางกล้วยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์
‘ถ่านผลไม้ดูดกลิ่น’ ภูมิปัญญาของเยาวชนเกษตร
ม.ธนบุรีลุยพัฒนาเซลล์เชื้อเพลิง เน้นเทคโนฯไทยแต่คุณภาพสากล
ไส้กรองพิเศษเปลี่ยนฉี่เป็นน้ำดื่ม แก้ปัญหาขาดแคลนน้ำเบ็ดเสร็จ
ไขความลับเอนไซม์-ลดสารตกค้าง ทางรอด "สิ่งแวดล้อมไทย"
เครื่องตรวจวัดระดับความดันเลือด ความสำเร็จของไมโครชิพฝีมือไทย
ราชมงคลสุวรรณภูมิ แยกสิ่งปลอมปนข้าวสารด้วยไฟฟ้าสถิต
ข้าวกล้องใหม่กินอิ่มไม่อ้วนแถมวิตามินเข้มข้นแต่ให้น้ำตาลในเลือดต่ำ
วิจัยพบนกทะเลในอลาสกา มีสารเคมีที่ส่งกลิ่นไล่ยุงได้
สวทช.ดึงต่างชาติช่วยผู้ผลิตหินปูน ทำนาโนแคลไซด์
มช.กลั่นน้ำมันพืชเก่าเป็นไบโอดีเซล เดือนหน้าถ่ายทอดความรู้สู่ชุมชน
ทำบุหรี่ไร้ควันฝ่ากำแพงต่อต้าน คุยใช้สูบได้ทั่วทุกหนทุกแห่ง
ผลิตผ้าพันแผลแม่เหล็กวิเศษ รักษาแผลเรื้อรังแรมปีหายขาด
สหรัฐฯ ปิ๊งคุณน้ำนมแม่สกัดรักษาโรคในทารก
สิ่งประดิษฐ์สุดมัน
‘วานิลลา’ พืชเครื่องเทศมีกลิ่นหอมในไทยปลูกได้
ใช้หุ่นยนต์เฝ้าอาการผู้ป่วยไอซียู
เกาหลีใต้ "ก๊อบปี้" สุนัขตัวแรกของโลก
เครื่องกำจัดยุง
หมวกกันน็อครุ่นใหม่ยึดคางแน่น

ข่าวทั่วไป

สารปนเปื้อน ‘เหลือง-แดง’ สีต้องห้าม ตัวการก่อมะเร็ง
สว.จอน อึ๊งภากรณ์คว้าแมกไซไซปีนี้
ล้างพิษง่ายๆ ด้วยน้ำแร่ธรรมชาติ
ตรวจสอบยอดเงิน กบข.ผ่าน ATM ได้แล้ววันนี้
รางวัลบุษบกทอง...เพื่อผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่น
แสตมป์ไทยยุคไฮเทค ในงาน THAIPEX ...05
2 ผลงานวิชาการดีเด่น รางวัล"TTF AWARD"





ข่าวการศึกษา


แนะพัฒนาอจ.มหา’ลัยเป็นวาระแห่งชาติ

จากการวิจัยเรื่อง “การพัฒนาอาจารย์ในระดับอุดมศึกษาไทย” จัดทำโดยคณะนักวิจัยอาวุโส ได้แก่ รศ.ดร.อมรชัย ตันติเมธ ดร.กมล สุดประเสริฐ และ ศ.เกียรติคุณดร.นิพนธ์ ศุขปรีดี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การวิจัยดังกล่าวเป็นการค้นคว้าจากเอกสารและอินเทอร์เน็ต และสอบถามข้อมูลจากฝ่ายผู้บริหารเกี่ยวกับรูปแบบและระบบการพัฒนาอาจารย์ระดับอุดมศึกษาของประเทศต่าง ๆ ในสหภาพยุโรปและประเทศไทย ทำให้พบว่าอุดมศึกษาของประเทศไทยยังมีปัญหาด้านคุณภาพ คือ การเรียนการสอนยังมีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานสากลมาก มีการสร้างปัญญาที่ไม่ลุ่มลึก การแสวงหาความรู้หรือใช้ความรู้ให้เป็นวิถีชีวิตยังมีน้อย ความสามารถในการสังเคราะห์และคิดสร้างสรรค์ยังอยู่ในระดับต่ำ วิชาการไม่เข้มแข็งพอจนก่อให้เกิดความกังวลใจในการพัฒนาอาจารย์ สำหรับข้อเสนอแนะในการปรับปรุงคุณภาพของอาจารย์ ซึ่งรวบรวมจากการสอบถามอาจารย์สาขาศึกษาศาสตร์/ครุศาสตร์ วิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์สุขภาพ และสังคมศาสตร์/มนุษยศาสตร์ พบว่าทุกกลุ่มเสนอว่าควรจะให้มีหน่วยงานรับผิดชอบดูแลด้านการพัฒนาอาจารย์ในระดับอุดมศึกษา ที่สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ส่วนในระดับสถาบันก็ควรมีหน่วยงานดูแลพัฒนาอาจารย์เช่นกัน รวมทั้งเสนอให้การพัฒนาอาจารย์ควรเป็นวาระแห่งชาติ และจะต้องมีการพัฒนาการออกแบบระบบการจัดการเรียนการสอน การวัดและประเมินผลการเรียนการสอนในลักษณะการฝึกอบรมทางไกล โดยใช้ระบบเครือข่ายเป็นสื่อหลัก ส่วนการพัฒนาด้านปริมาณและคุณภาพการวิจัยก็ควรมีเงินค่าวิจัยมาทดแทนเงินประจำตำแหน่งทางวิชาการ รวมทั้งมีมาตรการทางภาษี และมีกองทุนสนับสนุนการวิจัยซึ่งมาจากธุรกิจและอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์. (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 1 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





รุ่งค้านตั้งทบวงอุดมฯ แนะยุบ สกอ.ปิดทางตัน

รายงานข่าวแจ้งว่าในการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องการจัดโครงสร้างส่วนราชการ คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ซึ่งมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โดยในที่ประชุมได้มีการพิจารณาข้อเสนอตั้งทบวงอุดมศึกษา ทบวงการศึกษาขั้นพื้นฐาน และทบวงอาชีวศึกษา และยุบรวมสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และสภาการศึกษา ซึ่ง ดร.รุ่ง แก้วแดง รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ.ได้แสดงความเห็นว่าไม่ควรตั้งทบวงอุดมศึกษา และเสนอให้ยุบสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ให้เหตุผลว่ามหาวิทยาลัยแต่ละแห่งจะมีอิสระอยู่แล้ว แต่ที่ประชุมไม่ได้มีข้อยุติ โดยนายกรัฐมนตรีได้นัดนักการศึกษาประชุมหาข้อสรุปอีกครั้ง รศ.ดร.ประเสริฐ ชิตพงศ์ อธิการบดี ม.สงขลานครินทร์ และประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) กล่าวว่า แม้ว่ามหาวิทยาลัยจะเปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับแต่ก็ยังต้องมีหน่วยงานดูแลระเบียบนโยบาย หากยุบ สกอ.จริง ทปอ.คงยืนยันให้มีกระทรวงอุดมศึกษาที่แยกออกมาจาก ศธ. (คมชัดลึก จันทร์ที่ 1 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





จุฬาฯ เผยรับนิสิต 3 แบบ คณะแพทย์สอบเพิ่มรายวิชา

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดประชุมชี้แจงเรื่องการรับสมัครคัดเลือกเข้าศึกษาระดับปริญญาตรี จุฬาฯ ปีการศึกษา 2549 ซึ่งมีนักเรียน ผู้ปกครอง ครู เข้าร่วมรับฟังกว่า 11,000 คน โดย รศ.ดร.วีระศักดิ์ อุดมกิจเดชา รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการจุฬาฯ กล่าวว่า ปีการศึกษา 2549 จุฬาฯจะรับนิสิต 6,073 คน มีวิธีคัดเลือกนิสิต 3 รูปแบบคือ 1. ระบบแอดมิชชั่นตรง 1,147 คน 2. ระบบแอดมิชชั่นกลาง 4,356 คน 3. หลักสูตรนานาชาติ/ภาษาอังกฤษ 570 คน ทั้งนี้มีคณะที่รับตรง 8 คณะ รวม 15 โครงการ ใช้องค์ประกอบคือ วิชา O-NET และ A-NET และวิชาเฉพาะที่จัดสอบโดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และวิชาเฉพาะอื่นนอกเหนือจากที่ สกอ.ไม่ได้จัดสอบ ซึ่งทางจุฬาฯ จะจัดสอบเอง เช่น ดนตรี กีฬา ความถนัดทางวิชาชีพทันตแพทยศาสตร์ วิชาจริยธรรมและทักษะการคิดแบบองค์รวม วิชาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แบบทดสอบสุขภาพจิต เป็นต้น และใช้สนามสอบภายในจุฬาฯ โดยผู้สมัครเลือกได้เพียง 1 คณะเท่านั้น หากสอบได้แอดมิชชั่นตรงแล้ว จุฬาฯจะส่งรายชื่อให้ สกอ. เพื่อตัดสิทธิจากแอดมิชชั่นกลาง จุฬาฯจะรับสมัครแอดมิชชั่นตรง วันที่ 1-30 ก.ย.นี้ ทางอินเตอร์เน็ตและไปรษณีย์ กำหนดวันสอบวิชาเฉพาะที่จัดสอบเพิ่มเติม วันที่ 25-26 ต.ค.นี้ ประกาศผลครั้งที่ 1 ในวันที่ 20 ม.ค.2549 เฉพาะโครงการศิลปะดีเด่น/ พสวท./อัจฉริยภาพ/คณะศิลปกรรมศาสตร์ ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสอบสัมภาษณ์ วันที่ 12 เม.ย.2549 สอบสัมภาษณ์และตรวจร่างกาย 17-18 เม.ย. 2549 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้าศึกษา วันที่ 21 เม.ย.2549 รายงานตัว วันที่ 24-25 เม.ย.2549 ส่งรายชื่อให้ สกอ.ตัดสิทธิแอดมิชชั่นกลาง วันที่ 28 เม.ย.2549 สำหรับการรับแอดมิชชั่นตรงในคณะที่ได้รับความนิยม เช่น คณะแพทยศาสตร์นั้น ในปี 2549 คณะแพทย์ฯ จะรับแอดมิชชั่นตรงทั้ง 245 คน ใช้คะแนน O-NET 5 วิชาหลัก และ A-NET ได้แก่ ภาษาอังกฤษ 2 วิทยาศาสตร์ 2 คณิตศาสตร์ 2 ทั้งนี้จะไม่กำหนดค่าคะแนนเฉลี่ยสะสมตลอด ม.ปลาย หรือจีพีเอเอ็กซ์ และค่าเฉลี่ยรายกลุ่มสาระ หรือจีพีเอ เพราะจากสถิติที่ผ่านมา แม้จะกำหนดค่าจีพีเอเอ็กซ์ไว้ที่ 3.5 ก็ไม่เคยมีใครที่มีคะแนนเฉลี่ยต่ำกว่า 3.5 มาสมัครอยู่แล้ว ส่วนคณะทันตแพทยศาสตร์นั้น จะเป็นปีแรกที่สอบวิชาความถนัดทางวิชาชีพทันตแพทย์ (ไทยรัฐ อังคารที่ 2 ส.ค.48 http://www.thairath.co.th)





"คริสเตียน"จับมือรพ.-ม.ญี่ปุ่นเปิดเทคโนฯแพทย์

นางจันทร์จิรา วงษ์ขมทอง อธิการบดีมหาวิทยาลัยคริสเตียน เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้เดินทางไปดูงานในมหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลที่ประเทศญี่ปุ่นร่วมกับกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ เพื่อเตรียมตัวเปิดหลักสูตรเทคโนโลยีทางการแพทย์ในคณะวิทยาศาสตร์และพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยคริสเตียน เพราะเดิมการเรียนการสอนในหลักสูตรเทคนิคการแพทย์ จะใช้เครื่องมือเอ็กซเรย์ รังสี แสง และน้ำยาต่างๆ ในการตรวจ และรักษา แต่ขณะนี้เครื่องมือ และเทคโนโลยีต่างๆ ทันสมัยขึ้นมาก มหาวิทยาลัยจึงต้องการผลิตนักเทคโนโลยีการแพทย์ที่ทันสมัยขึ้น แต่หากจะซื้อเครื่องมือ และอุปกรณ์ต่างๆ เองคงไม่คุ้ม จึงร่วมมือกับกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ และโรงพยาบาลในญี่ปุ่น ซึ่งมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย คาดว่าจะลงนามความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลในไทย และญี่ปุ่นในเร็วๆ นี้ คาดว่าจะเปิดรับนักศึกษาได้ในปีการศึกษา 2549 ประมาณ 30 คน ระยะแรกจะเปิดปริญญาตรี หลักสูตร 4 ปี และระยะที่สองจะเปิดระดับประกาศนียบัตรบัณฑิต โดยรับผู้ที่จบปริญญาตรีด้านการแพทย์ หรือเทคนิคการแพทย์ เข้าเรียน การไปดูงานที่มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลของญี่ปุ่นในครั้งนี้ เพื่อดูว่าญี่ปุ่นอยากให้เตรียมความพร้อมอย่างไรบ้าง เบื้องต้นจะต้องส่งอาจารย์ไปอบรมเรื่องต่างๆ ฝึกงานในโรงพยาบาลญี่ปุ่น และโรงพยาบาลไทยก่อนสอนจริง ส่วนนักศึกษาก็ต้องไปดูงาน และฝึกงาน โดยเลือกฝึกงานได้ในโรงพยาบาลไทย หรือญี่ปุ่น ซึ่งกรณีหลังต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทาง นอกจากนี้ เมื่อเรียนอยู่ปี 3 จะเปิดโอกาสให้นักศึกษาเลือกเรียนภาษาจีน หรือญี่ปุ่น เนื่องจากขณะนี้คนไข้ญี่ปุ่นที่เข้ามารักษาในไทยมีมาก อีกทั้ง เร็วๆ นี้ ตนจะเดินทางไปสาธารณรัฐประชาชนจีน เพราะจีนต้องการให้มหาวิทยาลัยช่วยผลิตพยาบาล นักกายภาพบำบัด และนักเทคโนโลยีทางการแพทย์ป้อนให้ (มติชนรายวัน อังคารที่ 2 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ปลื้มแห่เรียน ว.ชุมชน - วิชาการปกครองยอดนิยม

น.ส.สุนันทา แสงทอง ผอ.สำนักบริหารงานวิทยาลัยชุมชน เปิดเผยว่า ในปีการศึกษา 2548 สำนักงานบริหารงานวิทยาลัยชุมชน เห็นชอบให้วิทยาลัยชุมชนในจังหวัดต่างๆ 12 แห่ง รับนักศึกษาโปรแกรมวิชาต่างๆ ตามความพร้อมของแต่ละสถาบัน ซึ่งจากการรวบรวมข้อมูลการรับสมัครล่าสุด พบว่า มีผู้สนใจมาสมัครเข้าเรียนใหม่ในระดับอนุปริญญาทั้ง 12 แห่ง เป็นจำนวนถึง 6,488 คน มียอดเพิ่มขึ้นจากปีการศึกษา 2547 ประมาณ 4,000 คน และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักเรียนและประชาชนทั่วไปที่อยู่ในพื้นที่นั้นๆ และในจังหวัดใกล้เคียง แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในรูปแบบการจัดการเรียนการสอนของวิทยาลัยชุมชน สำหรับโปรแกรมวิชาที่มีผู้สมัครเรียนมาก 6 อันดับแรก ได้แก่ การปกครองส่วนท้องถิ่น การศึกษาปฐมวัย คอมพิวเตอร์ธุรกิจ การพัฒนาชุมชน การจัดการทั่วไปและคอมพิวเตอร์ ที่สำคัญเป็นที่น่ายินดีว่า วิทยาลัยที่มีผู้สมัครเข้าเรียนมากเป็นอันดับต้นๆ จากทั้งหมด 12 แห่ง ปรากฏว่าเป็นวิทยาลัยชุมชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ ได้แก่ วิทยาลัยชุมชนยะลา ปัตตานี และนราธิวาส แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ความไม่สงบไม่ได้มีผลต่อการเรียน และคาดว่าในทุกๆวิทยาลัยชุมชน จะมียอดของผู้สมัครเข้าเรียนเพิ่มขึ้นในทุกภาคเรียน ส่วนที่เป็นห่วงในเรื่องของสถานที่ในการจัดการเรียนรวมถึงอุปกรณ์การเรียนการสอนนั้น ขอยืนยันว่าไม่มีปัญหา เพราะโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ให้เข้ามาใช้ห้องเรียนในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ รวมทั้งเข้าไปจัดการเรียนภาคปฏิบัติภายในโรงงานต่างๆ ที่ร่วมเป็นเครือข่ายสนับสนุนการสอนด้วย. (ไทยรัฐ พุธที่ 3 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th) นักวิทย์น้อยศึกษาต้นไมยราบรักษาฝีหนอง นางสาววชิราภรณ์ วนิชนพรัตน์ หรือ น้องฝน สาวน้อยวัย 17 ปี จากโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จ.เชียงใหม่ นักเรียนทุนโครง การพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ที่มีใจรักและสนใจทางด้านวิทยาศาสตร์เกิดความสนใจนำวัชพืชมาศึกษาความสามารถในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ที่ก่อให้เกิดฝีหนอง และสามารถรักษาโรคไต โดยสารสกัดจาก ลำต้นไมยราบมาทำการทดลองตามขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์ โครงการนี้เป็นประโยชน์ด้านเภสัชสมุนไพร เพราะทำให้ทราบว่า พืชบางชนิดสามารถนำมาเป็นยาสมุน ไพรได้ เป็นอีกภูมิ ปัญญาจากท้องถิ่น ที่สามารถนำต่อยอดได้โดยวิทยาศาสตร์ หากมีการศึกษาเพิ่มเติมก็อาจนำมาใช้ประโยชน์ร่วมกับพืชสมุนไพรชนิดอื่น ๆ (เดลินิวส์ พุธที่ 3 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





มก.ติดอันดับ1มหามหาวิทยาลัยอิเล็กทรอนิกส์

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม นายวิโรจ อิ่มพิทักษ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์(มก.) เปิดเผยว่า มก.ได้รับการจัดลำดับจาก World Universities’ Ranking on the Web ของ InternetLab ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศสเปน ในการจัดลำดับมหาวิทยาลัยจากทั่วโลก 2,000 กว่าแห่ง โดยจัดให้ มก.เป็นมหาวิทยาลัยอิเล็กทรอนิกส์ลำดับ 1 ของประเทศไทย ลำดับที่ 69 ของภูมิภาคเอเชีย และลำดับที่ 599 ของโลก ส่วนสถาบันเทคโนโลยีแห่งเชีย อยู่ในลำดับ 2 ของประเทศไทย ลำดับที่ 80 ของเอเชีย และลำดับที่ 680 ของโลก และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อยู่ในลำดับ 3 ของประเทศ ลำดับที่ 94 ของเอเชีย และลำดับที่ 794 ของโลก ซึ่งการพิจารณาจัดลำดับครั้งนี้ ได้ใช้เกณฑ์พิจารณาจากการพัฒนาระบบเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศและข้อมูลในรูปดิจิตอลต่างๆ โดยพิจารณาจาก 3 เกณฑ์ ได้แก่ 1.ขนาดของจำนวนหน้าโฮมเพจที่มีสืบค้นได้จากช่องทางสืบค้นทางอินเตอร์เน็ตต่างๆ 2.จากการเชื่อมโยงเครือข่ายให้สามารถเข้าถึงได้อย่างกว้างขวางจากภายนอก และ 3.จากจำนวนแฟ้มข้อมูลทางวิชาการที่ปรากฏบนเครือข่ายสารสนเทศในรูปแบบต่างๆ "การที่ มก.ได้รับการจัดลำดับให้เป็นมหาวิทยาลัยอิเล็กทรอนิกส์ลำดับ 1 ของประเทศไทย สะท้อนถึงสิ่งที่ มก.ประกาศตัวเป็น E-University เมื่อ 3 ปีก่อนหน้านี้ และได้เตรียมความพร้อมเกี่ยวกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือไอซีที มา 20 ปีแล้ว บวกกับความเป็นเอกภาพของ มก. ซึ่งก่อนที่ผมจะเข้ารับตำแหน่งได้ประกาศว่า มก.จะเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยและมหาวิทยาลัยอิเล็กทรอนิกส์ จึงได้เตรียมพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เพื่อรองรับทั้งงานวิชาการ งานวิจัย และการบริการวิชาการ ซึ่งครอบคลุมทุกๆ วิทยาเขตของ มก.ด้วย จนทำให้เมื่อมีการประเมินแล้วเห็นถึงขีดความสามารถของ มก. ในการเป็น E-University" นายวิโรจกล่าว (มติชนรายวัน พุธที่ 3 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





เสนอตั้งสถาบันบัณฑิตศึกษา

ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยผลการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาการจัดตั้งและเปลี่ยนประเภทสถาบันอุดมศึกษาเอกชน เมื่อวันที่ 2 ส.ค.ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นด้วยในหลักการเบื้องต้นของการขอจัดตั้งสถาบันบัณฑิตศึกษาจุฬาภรณ์ ตามที่มูลนิธิจุฬาภรณ์เสนอ เนื่องจากเห็นว่าเป็นสถาบันที่มีศักยภาพสูงและมีประโยชน์ต่อประเทศชาติ ทั้งนี้ที่ประชุมให้มีการตั้งกรรมการ เพื่อไปตรวจเยี่ยมและดูความพร้อมของสถาบันดังกล่าวในวันที่ 22 ส.ค.นี้ ซึ่งทางมูลนิธิจุฬาภรณ์ ได้ชี้แจงเหตุผลการจัดตั้งสถาบันดังกล่าว เพื่อเฉลิมพระเกียรติ ศ.ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 4 รอบ ในปี 2548 และได้รับพระราชานุญาตจาก ศ.ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ให้ใช้พระนามและตราประจำพระองค์เป็นเครื่องหมายประจำสถาบันดังกล่าวได้ วัตถุประสงค์ของสถาบันคือจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาในสาขาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ผลิตบัณฑิตระดับสูงกว่าปริญญาตรี ทำหน้าที่วิจัย ค้นคว้าและสร้างสรรค์จรรโลงความก้าวหน้าทางวิชาการ บริการวิชาการแก่สังคมทั้งภายในและต่างประเทศและทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมของชาติ ส่วนเป้าหมายการผลิตบัณฑิตจะมี 3 ระดับคือระดับประกาศนียบัตรบัณฑิต ปริญญาโทและปริญญาเอก โดยเริ่มจากปี 2548-2550 จะรับนักศึกษาระดับละ 25 คนต่อปี จากนั้นปี 2551-2552 จะเพิ่มเป็นระดับละ 55 คน รวม 5 ปีแรกจะมีนักศึกษาทั้งหมด 185 คน โดยตั้งอยู่ที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ซึ่งมีความพร้อมทั้งด้านอุปกรณ์การเรียนการสอนและอาจารย์ โดยมีอาจารย์พิเศษทั้งในและต่างประเทศซึ่งจบปริญญาเอกทั้งหมด รวม 43 คน ทั้งนี้สถาบันดังกล่าวได้ขอตั้งเป็นสถาบันอุดมศึกษาเอกชน เพื่อความคล่องตัวในการดำเนินงาน และคาดว่าจะสามารถรับนักศึกษาได้เร็ว ๆ นี้. (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 4 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





เด็กร.ร.ทวีธาภิเษกเจ๋ง ซิวแชมป์คณิตคิดเร็วนานาชาติ

ผอ.ร.ร.ทวีธาภิเษกปลื้มนักเรียน ม.ต้น และ ม.ปลาย คว้ารางวัลที่ 1 แข่งคณิตศาสตร์และคณิตคิดเร็วนานาชาติ หรือ ไอเอ็มเอ็มเอซี 2005 เฉือนชนะคู่แข่ง 12 ประเทศ เด็กหัวกะทิเผยเคล็ดลับไม่เครียดกับการเรียน หมั่นฝึกทำโจทย์และทบทวนบทเรียน นางสุกัญญา ภู่พันธาภักดิ์ ผู้อำนวยการสถานศึกษาโรงเรียนทวีธาภิเษก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) กรุงเทพมหานคร เขต 3 เปิดเผยว่า ตามที่โรงเรียนส่งนักเรียนเข้าแข่งขันคณิตศาสตร์และคณิตคิดเร็วนานาชาติ โครงการ อินเตอร์เนชั่นแนล แมทิแมทิคส์ แอนด์ เมนทัล อะริทมิทิค คอมพิทิชั่น 2005 แบงค็อก ไทยแลนด์ (ไอเอ็มเอ็มเอซี 2005) โดยมีประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขัน 12 ประเทศ ได้แก่ อเมริกา แคนาดา ญี่ปุ่น เกาหลี อินโดนีเซีย อินเดีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และไทย ซึ่งปีนี้จัดในไทย ที่ศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2548 ปรากฏว่า ด.ช.ธนกฤต รุ่งโรจน์ชัยพร นักเรียนชั้น ม.2/2 ได้รับรางวัลที่ 1 ระดับชั้น ม.2 และนายสันติ เชิดหิรัญกร นักเรียนชั้น ม.6/1 ได้รับรางวัลที่ 1 ระดับไฮสคูล โดยทั้งสองคนได้รับถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และนายพิชิต พร้อมสุทธิพงศ์ นักเรียนชั้น ม.5/4 ได้รับรางวัลที่ 2 ระดับไฮสคูล ได้รับถ้วยจากกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 5 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


เห็นทะเลแช่แข็งบนดาวอังคาร นอนอยู่ที่ก้นหลุมบ่อขนาดยักษ์

กล้องถ่ายภาพความชัดสูง ของยานสำรวจ “มาร์ส เอ็กซ์เพรสส์” ขององค์การอวกาศยุโรป ได้ถ่ายภาพทะเลสาบน้ำแข็ง ขนาดยักษ์ นอนอยู่เหมือนไข่แดง อยู่ในหลุมบ่อ ที่ยังไร้ชื่อบนพื้นดาวอังคาร เอาไว้ได้ โดยตั้งอยู่บนที่ราบอันกว้างใหญ่ ถัดขึ้นไปทางเหนือของดาวอังคาร การค้นพบหนนี้ ทำให้เกิดความหวังกันขึ้นว่า อาจจะค้นพบชีวิตทั้งในอดีตและปัจจุบัน บนดาวเคราะห์นี้ได้ในวันหนึ่ง และทำให้ยิ่งหมายมั่นปั้นมือว่า จะต้องส่งมนุษย์อวกาศเดินทางไปให้ถึงจนได้ ทะเลสาบน้ำแข็ง อยู่ในหลุมบ่อยักษ์กว้าง 35 กม. และมีความลึกสัก 2 กม. นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าน้ำแข็งนั้นคงจะเป็นอยู่ชั่วนาตาปี เพราะอุณหภูมิและความกดอากาศ ไม่อาจให้เปลี่ยนรูปเป็นอื่นไปได้ ก่อนหน้าเมื่อตอนต้นปีนี้ สำนักอวกาศแห่งยุโรป ก็ตรวจพบสิ่งที่เรียกว่า “ทะเลแช่แข็ง” มหึมา บนดาวอังคาร หากแต่อยู่ใต้พื้นผิว เป็นที่เชื่อว่าคงจะมีน้ำและน้ำแข็งขังอยู่เป็นอันมาก ตามแถบขั้วทั้งสอง. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 1 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ค้านป่าไม้ไม่ช่วยเก็บสงวนนํ้า กลับดูดขึ้นจากดินแล้วระเหยทิ้ง

รายงานผลการศึกษาของโครงการวิจัยป่าไม้ ของอังกฤษ ที่เพิ่งเปิดเผย อาจจะก่อให้เกิดความปวดร้าวด้วยความรู้สึกว่าการลงทุนลงแรง ในโครงการปลูกต้นไม้ตามชาติที่กำลังพัฒนาต่างๆ อาจจะสูญเปล่า ว่า ต้นไม้จะดูดน้ำจากดินขึ้นไป แล้วคายออกระเหยเป็นไอออกไปในอากาศ เร็วกว่าต้นหญ้าหรือพวกธัญพืชเกือบทุกชนิด อย่างน้อยถึง 2 เท่า โดยเฉพาะต้นไม้สายพันธุ์ที่โตเร็วอย่างต้นสนและยูคาลิปตัส ซึ่งใช้เยื่อในอุตสาหกรรมกระดาษ จะดูดน้ำจากดินได้หนักยิ่งกว่าพืชอื่นใด ทั้งยังระบุว่าในราว พ.ศ. 2568 ประชากรโลกมากถึง 4 พันล้านคน ครึ่งหนึ่งของประชากรโลกทั้งหมดจะต้องเผชิญกับการขาดแคลนน้ำ เป็นเวลานานหลายสิบปีมาแล้ว นักอนุรักษ์ธรรมชาติได้ยืนยันว่า ป่าไม้ทำหน้าที่เหมือนกับฟองน้ำเก็บรวบรวมน้ำในหน้าฝน และระบายออกมาให้ตลอดทั้งปี แต่ในหลายกรณีกลับปรากฏว่า ต้นไม้เองกลับทำให้สูญเสียน้ำไปหนักขึ้น นักวิทยาศาสตร์ของโครงการวิจัยทรัพยากรดินและน้ำ ของมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล อ้างว่า “โดยปกติแล้วป่าไม้จะระเหยคายน้ำออกมามากกว่าพวกพืชผัก ด้วยเหตุผลง่ายๆสองอย่าง อย่างหนึ่งก็เพราะต้นไม้มีรากลึกกว่าพวกพืชผัก มันจะคายน้ำให้ระเหยออกมาในหน้าแล้ง อีกเหตุผลหนึ่ง ก็เพราะต้นไม้มีลำต้นสูง เมื่อลำต้นเปียกน้ำ พื้นผิวจะระเหยน้ำออกมาได้รวดเร็วกว่ากันมาก”. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 1 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ส่งระเบิดจิ๋วถล่มเซลล์มะเร็งคาที่

นักวิทยาศาสตร์เอ็มไอทีของสหรัฐ ประดิษฐ์ระเบิดจิ๋วขนาดเล็กเท่ากับโมเลกุล แต่มีความสามารถเกินตัวสามารถแทรกตัวเข้าไปใต้ผิวหนังทำการระเบิดเซลล์เนื้องอกโดยไม่ทำอันตรายใดๆ กับเซลล์ปกติแม้แต่น้อย สิ่งประดิษฐ์ที่อาศัยความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีชีวภาพชิ้นนี้ เป็นความสามารถของนักวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ ด้วยการนำระเบิดจิ๋วไปทดสอบกับหนูที่เป็นมะเร็งผิวหนังและมะเร็งปอด ผลออกมาพบว่า เจ้าหนูที่ได้ยาจิ๋วนี้ไปสามารถมีอายุอยู่ได้นานกว่าหนูที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยวิธีใดเลยถึงสามเท่า ระเบิดจิ๋วอาศัยเทคโนโลยีย่อวัสดุให้มีขนาดเล็กจิ๋วระดับโมเลกุล หรืออะตอม จะนำยาที่ใช้ในการรักษาด้วยเคมีบำบัดไปทำลายเนื้องอก และสารที่ต่อต้านการเติบโตของเส้นเลือด ซึ่งจะไปสกัดกั้นการจ่ายโลหิตให้กับเนื้องอก นักวิทยาศาตร์ยังเชื่อด้วยว่าเทคนิคนี้ สามารถนำมาประยุกต์ใช้รักษาผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งได้ อย่างไรก็ตามจากการทดลองเบื้องต้น พบว่าระเบิดจิ๋วมีผลต่อมะเร็งผิวหนังมากกว่ามะเร็งปอด แต่ทีมวิจัยบอกว่าสามารถปรับเปลี่ยนสูตรยาเพื่อให้การรักษาได้ผลดีขึ้น รวมทั้งเชื่อด้วยว่าเทคนิคดังกล่าว สามารถนำมาประยุกต์ใช้รักษามะเร็งชนิดอื่น และอาการป่วยแบบอื่นได้ด้วย (คมชัดลึก จันทร์ที่ 1 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





"กร"ระบุปี"49เริ่มฉายรังสีผลไม้

นายกร ทัพพะรังสี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(วท.) เปิดเผยถึงบทบาท วท.หลังการประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับมาตรการกำจัดศัตรูพืชผลไม้ไทยทั้ง 6 ชนิด ได้แก่ เงาะ ลำไย ลิ้นจี่ มังคุด สับปะรด และมะม่วง ว่า ผลไม้ทั้ง 6 ชนิดยังไม่สามารถเข้าสู่ตลาดในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ ทำให้สูญเสียรายได้เข้าประเทศเป็นจำนวนมาก โดยสหรัฐอ้างว่าหากต้องการนำผลไม้เข้าตลาดสหรัฐจะต้องใช้เทคโนโลยีการฉายรังสี ซึ่งจะทำให้ผลไม้ได้คุณภาพมากยิ่งขึ้น ทางกระทรวงจึงคิดว่าจำเป็นต้องดำเนินการใช้เทคโนโลยีฉายรังสีเข้ามาช่วย ซึ่งผลจากการทำดังกล่าวสามารถกำจัดศัตรูพืช อย่างพวกไข่แมลงวันไม่ให้มีการฟักตัวเป็นตัวหนอนได้ ซึ่งรับรองได้ว่าปลอดภัย ไม่กระทบต่อคุณภาพของผลไม้ ไม่ทำให้เสียรสชาติ และยังสามารถเก็บผลไม้ไว้รับประทานได้นาน ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวจะเริ่มภายในปี 2549 ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งจะเป็นผู้ให้การรับรองด้านสุขอนามัยพืช นอกจากมาตรการฉายรังสี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) ยังมีบทบาทที่จะพัฒนาบรรจุภัณฑ์สำหรับใส่ผลไม้ เพื่อยืดอายุและคุณภาพ เนื่องจากการจัดเก็บผลไม้ใส่หีบห่อไปส่งยังสถานที่ไกลๆ อาจเกิดปัญหาผลไม้เสียหายได้ ดังนั้น ภาชนะหีบห่อที่ใช้จัดเก็บจะมีการนำเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์มาช่วย ทำให้ผลไม้สามารถอยู่ได้นานถึง 3 เท่า ซึ่งมาตรการดังกล่าวน่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2549 เช่นกัน (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 1 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ญี่ปุ่นลั่นสร้างคอมพ์เร็วกว่าไอบีเอ็ม

ญี่ปุ่นประกาศสร้างสุดยอดคอมพิวเตอร์ที่สามารถประมวลผลได้เร็วที่สุดในโลก พร้อมใช้งานในปีหน้า หวังใช้ติดตามการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก เตือนภัยพิบัติก่อนถึงตัว สี่กระทรวงของญี่ปุ่น ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงกีฬา และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกันแถลงข่าวอย่างภูมิใจถึงแผนพัฒนาซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของญี่ปุ่นที่มีความเร็ว 10 เทราฟล็อป หรือเท่ากับการประมวลผลที่ระดับ 10 พันล้านล้านครั้งต่อวินาที หากเทียบกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ บลู ยีน/แอล ที่พัฒนาโดยบริษัทไอบีเอ็ม และใช้งานอยู่ที่ห้องปฏิบัติการแห่งชาติลอว์เรนซ์ ลิเวอร์มอร์ ในแคลิฟอร์เนีย ญี่ปุ่นบอกว่าของตัวเองเร็วกว่าถึง 73 เท่า ปัจจุบันซูเปอร์คอมพิวเตอร์บลูยีน ได้ชื่อว่าเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เร็วที่สุดในโลก ด้วยความเร็วขนาด 136.8 เทราฟล็อป หรือเท่ากับการประมวลผล 136.8 ล้านล้านครั้งต่อวินาที โครงการพัฒนาซูเปอร์คอมพ์ความเร็วสูงของญี่ปุ่นนั้น คาดว่าจะใช้งบประมาณราว 714-893 ล้านดอลลาร์ ขณะนี้ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เร็วที่สุดของญี่ปุ่น มีชื่อว่า "เอิร์ธ ซิมูเลเตอร์" ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อปี 2545 และได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งความเร็วของโลกประมวลผลนานถึงปี 2547 ก่อนจะมาเสียแชมป์ให้กับซูเปอร์คอมพิวเตอร์บลูยีนของไอบีเอ็ม จากรายงานการจัดอันดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เร็วที่สุด 500 อันดับแรกของโลก เอิร์ธ ซิมูเลเตอร์ ซึ่งประมวลผลด้วยความเร็ว 35.9 เทราฟล็อป ครองอันดับ 4 ตามหลังซูเปอร์คอมพ์บลูยีน 2 รุ่น ของไอบีเอ็ม และซูเปอร์คอมพ์โคลัมเบียของนาซา ทั้งนี้ เอิร์ธ ซิมูเลเตอร์ มีหน้าที่ติดตามระดับอุณหภูมิของน้ำทะเล ระดับน้ำฝน และการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกเพื่อทำนายภัยพิบัติธรรมชาติในศตวรรษหน้า แต่สำหรับซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ที่จะเริ่มพัฒนาในปีหน้านี้ คาดว่าจะช่วยงานได้หลากหลายมากขึ้น อาทิ จำลองการก่อตัวของกาแล็กซี และการหาค่าความสัมพันธ์หรือการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างยากับร่างกายมนุษย์ (คมชัดลึก อังคารที่ 2 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





รัสเซียชิงปล่อยยานอวกาศแสงแดด ยานปฏิวัติการเดินทางในอวกาศ

รัสเซียจะชิงตัดหน้าปล่อยยานอวกาศพลังงานแสงอาทิตย์ จากเรือดำน้ำก่อนชาติมหาอำนาจอื่นๆ ผู้เชี่ยวชาญของรัสเซียเปิดเผยว่า ยานอวกาศด้วยทุนอุดหนุนของเอกชน จะถูกปล่อยขึ้นจากเรือดำน้ำรัสเซียลำหนึ่งในทะเลเบเรนต์ หากว่าการ ทดลองเป็นผลสำเร็จ จะนับได้ว่าเป็นการปฏิวัติการเดินทางในอวกาศทีเดียว ยานอวกาศ “คอสมอส 1” จะคลี่ใบออกเพื่อสะท้อนโฟตอนจากดวงอาทิตย์ อันเป็นหน่วยขนาดเล็กของพลังงานรังสีแม่เหล็ก เมื่อขึ้นไปถึงชั้นอวกาศแล้ว ก่อให้เกิดแรงขับขึ้นในทิศทางตรงกันข้าม ผลักดันยานให้พุ่งไปข้างหน้า บรรดาผู้เชี่ยวชาญบางคนเห็นว่า พลังงานดวงอาทิตย์จะเป็นพลังขับเคลื่อนยานอวกาศที่ให้เดินทางได้เร็วกว่า และถูกกว่าอย่างอื่นด้วยไฟฟ้า ขณะนี้ทั้งสำนักอวกาศไม่ว่าจะของสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ต่างก็มีโครงการยานอวกาศพลังงานแสงอาทิตย์อยู่ด้วยกันทั้งสิ้น ยานอวกาศพลังแสงอาทิตย์ หากถูกส่งขึ้นถึงวงโคจรรอบโลก สูงจากพื้นโลก 800 กม. จะเตรียมพร้อมในวงโคจรอยู่สัก 4 วัน หลังจากนั้นมันจะคลี่ใบทำด้วยอะลูมิเนียม 8 ใบ ออกเป็นดอกรัสมีโต 100 ฟุต อันที่จริงแล้วพลังงานจากดวงอาทิตย์จะทำให้ยานเร่งความเร็วได้ไม่ เร็วนัก หากข้อดีเมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงเคมีอยู่ตรงที่อัตราเร่งจะเป็นไปอย่างคงที่. (ไทยรัฐ พุธที่ 3 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





มหาสมุทรอาร์กติกยังมีสัตว์ชุกชุม ไม่กระทบกับอุณหภูมิของโลกสูง

คณะนักวิทยาศาสตร์ซึ่งเดินทางไปสำรวจ บริเวณความลึกที่อยู่ห่างไกลที่สุดในมหาสมุทรอาร์กติก กล่าวเปิดเผยด้วยความประหลาดใจว่า ยังมีสิ่งมีชีวิตในรูปแบบต่างๆชุกชุม นับแต่แมงกะพรุนที่ไม่รู้จักสายพันธุ์มาก่อน ไปจนกระทั่งหนอน คณะนักวิทยาศาสตร์นำโดยมหาวิทยาลัยอลาสกา ได้ใช้เรือดำน้ำหุ่นยนต์และอุปกรณ์โซนาร์ สำรวจบริเวณนอกฝั่งอาร์กติกของแคนาดา ในระดับลึกถึง 3,800 เมตร เพราะต้องการรู้ว่าพวกมันจะได้รับความกระทบกระเทือน จากอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้นอย่างไรบ้าง. (ไทยรัฐ พุธที่ 3 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





พบดาวเคราะห์ใหม่มีดวงจันทร์บริวาร คาดเป็นอันดับที่10

นอกจากนักดาราศาสตร์จะพบดาวเคราะห์ดวงใหม่ที่คาดว่าจะได้รับการจัดอันดับให้เป็นดาวเคราะห์ดวงสิบต่อจากดาวพลูโต ซึ่งเป็นสมาชิกดวงสุดท้ายของระบบสุริยะแล้ว พวกเขายังพบว่าดาวเคราะห์ดวงนี้มีดวงจันทร์บริวารเหมือนดาวเคราะห์ดวงอื่นเช่นกัน ดาวเคราะห์ 2003 อีแอล 61 มีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 70% ของดาวพลูโต เท่ากับว่าในกลุ่มของดาวเคราะห์ชั้นนอก ดาวเคราะห์ 2003 อีแอล 61 มีขนาดเป็นรองแค่ดาวพลูโตเท่านั้น หลังจากข่าวการค้นพบดาวเคราะห์ดวงใหม่ถูกเผยแพร่ไปเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นักดาราศาสตร์จากสถาบันคาลเท็กซ์ ในสหรัฐ ยังออกมาบอกว่าเมื่อเดือนมกราคาที่ผ่านมานี้ พวกเขาได้สังเกตเห็นวัตถุคล้ายดวงจันทร์โคจรรอบดาวเคราะห์ดวงใหม่นี้ด้วย โดยอาศัยกล้องโทรทรรศน์เค็ก ในเกาะฮาวายส่องดู ดวงจันทร์ที่พบนี้แม้จะไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงแรกที่พบในบริเวณที่เรียกว่าคุยเปอร์เบลท์ (เป็นวงแหวนของเศษน้ำแข็งและกลุ่มก๊าซที่ล้อมรอบระบบสุริยะอยู่ห่างไปจากดาวพลูโต และเชื่อว่าเป็นเศษซากที่เหลือจากเกิดระบบสุริยะขึ้นแล้ว) สำหรับดวงจันทร์ดวงนี้มีมวลน้อยมาก ประมาณ 1% ของมวลดาวเคราะห์ดวงใหม่ สิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือจากการเฝ้าสังเกตการโคจรของดวงจันทร์ที่โคจรรอบดาวเคราะห์ 2003 อีแอล 61 เป็นเวลา 49 วัน ทำให้นักดาราศาสตร์สามารถคำนวณหามวลที่ถูกต้องของดาวเคราะห์และดวงจันทร์ใหม่ได้อย่างแม่นยำ (คมชัดลึก พุธที่ 3 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





แพทย์อิงคลื่นสมองรักษาลมชัก

สถาบันประสาทวิทยาเปิดศูนย์โรคลมชัก เน้นเทคโนโลยีรักษาด้วยการบันทึกคลื่นไฟฟ้าสมอง และถ่ายภาพวิดีโอทัศน์ควบคู่ 24 ชั่วโมง เผยช่วยเฝ้าระวังและวางแผนการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยนายแพทย์ชาตรี บานชื่น อธิบดีกรมการแพทย์ เป็นประธานเปิดงาน "ครบรอบ 48 ปี สถาบันประสาทวิทยา" และเปิดศูนย์ผู้ป่วยลมชัก สำหรับโรคลมชักนั้น สามารถรักษาให้หายได้ถึงร้อยละ 70 ซึ่งจะใช้เวลาในการรักษาเพียง 2-4 ปีเท่านั้น แต่ในส่วนผู้ป่วยร้อยละ 30 ที่ยังควบคุมอาการชักไม่ได้ จำเป็นต้องใช้วิธีการรักษาเพิ่มเติม หนึ่งในนั้นคือการสืบค้นที่ช่วยในการวางแผนการรักษา ด้วยวิธีการติดตามผู้ป่วยโดยการบันทึกคลื่นไฟฟ้าสมอง และถ่ายภาพวิดีโอทัศน์ควบคู่กัน (Video & Monitoring) เพื่อช่วยแพทย์ติดตามอาการผู้ป่วยโรคลมชักได้ โดยนัดผู้ป่วยมารับการรักษาด้วยเครื่องบันทึกไฟฟ้าสมองติดต่อเป็นเวลา 5 วัน พร้อมถ่ายวิดีโอควบคู่ตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถนำข้อมูลที่ได้ไปในการวินิจฉัยและ วางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้าน นายแพทย์มัยธัช สามเสน ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวว่า สถาบันยังได้เปิดบริการคลินิกเพิ่มขึ้น ได้แก่ คลินิกพิเศษโบไทลินุม ท็อกซิน ซึ่งเป็นคลินิกรักษาโรคทางระบบประสาทโดยใช้ Botox เพื่อลดการกระตุกของกล้ามเนื้อ ตาเหล่ ไมเกรน และคลินิกความจำ เพื่อรักษาโรคความจำเสื่อม รวมทั้งการบริการตรวจดัชนีการแข็งตัวของหลอดเลือด โดยใช้เครื่องวัด ABI (Ankle Brachial Index) ซึ่งวัดความผิดปกติของหลอดเลือด ด้วยการวัดแรงดันโลหิตตรวจส่วนปลายขา เทียบสัดส่วนกับแรงดันโลหิตที่แขนข้างเดียวกัน สามารถบ่งชี้ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ อัมพาต อัมพฤกษ์ ทำให้ผู้ป่วยระมัดระวังในการลดพฤติกรรมเสี่ยงของการเกิดโรคได้ (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 3 ส.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





จีนดาวรุ่งใหม่ศูนย์ออกแบบชิพโลก

แหล่งข่าวในวงการอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (ชิพ) รายงานว่า อุตสาหกรรมการออกแบบชิพ หรือออกแบบเพียงบางส่วนในประเทศจีนกำลังเฟื่องฟู จะมีสัดส่วน 14.8% ของยอดขายเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก ทำให้จีนขึ้นแท่นเป็นฐานการออกแบบชิพที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากอเมริกาที่ครองตำแหน่งผู้นำตลาด 40.2% และญี่ปุ่นมาเป็นอันดับ 2 ด้วยส่วนแบ่ง 15.5% และไต้หวันเป็นอันดับ 4 ในสัดส่วน 10.1% ตามการรายงานของบริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีไอซัพพลาย ทั้งนี้ เนื่องจากจีนเป็นแหล่งที่ตั้งของฐานการผลิตชิพที่สำคัญ ที่บริษัทแบรนด์ดังระดับโลก อย่างอินเทล เอเอ็มดี เอสทีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ วางแผนขยายกำลังการประกอบและผลิตชิพในประเทศจีนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมการพัฒนาชิพในประเทศจีนก้าวหน้าได้ช้า ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เนื่องมาจากขาดแคลนนักออกแบบชิพที่มีประสบการณ์ ซึ่งทางออกของเรื่องนี้ นายเกรก เชพเพริด รองประธานคณะผู้บริหารจากไอซัพพลาย กล่าวว่า จะต้องมีการร่วมมือกันระหว่างประเทศตั้งแต่จีน, ฮ่องกง และไต้หวัน เพื่อให้เกิดกิจกรรมในการพัฒนาออกแบบได้มากขึ้น เช่นเดียวกับที่จะเกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น สำหรับตลาดชิพของจีนเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีมูลค่าประมาณ 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เปรียบเทียบกับมูลค่าในตลาดชิพทั่วโลก 213,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีที่ผ่านมา ทำให้ตลาดชิพจีนได้รับการคาดหวังว่าจะสามารถเติบโตสูงกว่า 10% ในอีก 2 ปีข้างหน้า เทียบกับอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมชิพทั่วโลกที่อาจไม่เติบโตหรือโตไม่ถึง 10% ในปีนี้ เนื่องจากผู้ผลิตระดับโลกย้ายฐานผลิตไปในจีน เพื่อได้รับผลประโยชน์จากต้นทุนการผลิตชิพที่ต่ำกว่า และยังเข้าถึงลูกค้าได้ใกล้ชิดมากขึ้นด้วย (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 3 ส.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





อุณหภูมิโลกสูงขึ้น ปั่นพายุเฮอริเคนกราดเกรี้ยวรุนแรง

ศาสตราจารย์แคร์รี เอมานูเอล แห่งสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเสตต์ของสหรัฐฯกล่าว ในรายงานการศึกษาวิเคราะห์สถิติของพายุเฮอริเคนและพายุไต้ฝุ่น ตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 20 ในวารสารวิทยาศาสตร์ “ธรรมชาติ” ว่า อัตราความแรงของพายุโซนร้อน ได้ทวีขึ้นอีกครึ่งเท่าตัว ขึ้นตามอุณหภูมิของผิวน้ำในมหาสมุทรเขตร้อนที่เพิ่มขึ้นไปด้วย “ผลการศึกษาได้ส่อให้รู้ว่า หากว่าอุณหภูมิยังเพิ่มสูงขึ้นอีกต่อไป ก็อาจจะยิ่งทำให้พายุโซนร้อนยิ่งมีอำนาจการทำลายพุ่งสูงโด่งขึ้น เมื่อคิดถึงว่าผู้คนที่อยู่อาศัยตามแถบริมฝั่งมหาสมุทรก็จะยิ่งอยู่กันหนาแน่นขึ้นด้วย ก็น่ากลัวว่าความเสียหายที่พายุจะก่อขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 21 จะต้องเพิ่มขึ้นอีกมากทีเดียว” รายงานการศึกษาของเขาสรุปว่า อุณหภูมิของพื้นผิวน้ำในทะเลที่สูงขึ้นนั้น อย่างน้อยที่มีส่วนเกิดขึ้นจากอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้น ทำให้พายุเฮอริเคนมีความแรงกล้าขึ้น. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 4 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





กล้องนาซาพบชีวโมเลกุลนอกโลก

ลิน ยัน นักดาราศาสตร์หญิงจากศูนย์วิทยาศาสตร์สปิตเซอร์ในเมืองปาซาดีนา มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ และทีมวิจัยได้ใช้กล้องโทรทรรศน์สปิตเซอร์เฝ้าสังเกตกาแล็กซีแปดแห่งที่อยู่ไกลออกไปราว 1 หมื่นปีแสง (1 ปีแสงเท่ากับการเดินทางของแสงในหนึ่งปี ใน 1 วินาทีแสงเดินทางได้ 3 แสนกิโลเมตร) ภาพที่เห็นแสดงว่ากาแล็กซีกลุ่มนี้มีอายุเพียง 3,500 ล้านปีเท่านั้นนับตั้งแต่เกิดบิ๊กแบง ซึ่งถือเป็นทฤษฎีที่เชื่อกันว่าเป็นจุดเริ่มต้นแห่งจักรวาล "ภาพที่ได้จะเห็นว่ากาแล็กซีพวกนี้มีลักษณะเลือนๆ เพราะแสงของมันถูกปกคลุมด้วยฝุ่นละออง" เธอกล่าว ถึงกระนั้น กล้องอวกาศสปิตเซอร์สามารถตรวจจับการเรืองของแสงอินฟราเรดระยะกลางได้จากกลุ่ม และมีความชัดเจนกว่าภาพที่ได้จากกล้องโทรทรรศน์อินฟราเรดตัวอื่นที่ใช้กันก่อนหน้านี้ ากการใช้อุปกรณ์วัดรังสีสเปคตรัม กล้องสปิตเซอร์สามารถเก็บสัญญาณโมเลกุลที่มีความสลับซับซ้อนได้จากกาแล็กซีสองแห่ง โมเลกุลเหล่านี้มีชื่อเรียกว่า โพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอนส์ (PAHs) โมเลกุลแต่ละตัวประกอบด้วยอะตอมของคาร์บอนไดออกไซด์และไฮโดรเจน 100 อะตอม และเริ่มจับตัวเป็นโครงสร้างชีวโมเลกุลที่มีความซับซ้อนมากขึ้น "ถ้าได้ติดตามพัฒนาการของโมเลกุลที่ซับซ้อนเหล่านี้ไปสักพัก คงไม่ถึงกับบ้าถ้าจะคิดไปว่ามีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ในระบบสุริยะ หรือกาแล็กซีอื่น ซึ่งต้องอาศัยเวลาอีกราว 1 หมื่นล้านปี ที่โมเลกุลเหล่านี้จะก่อตัวและวิวัฒนาการ และยังมีอยู่หลายกาแล็กซีมาก" ยัน กล่าว การก่อตัวของดวงดาว จากการสังเกตดูจักรวาลด้วยกล้องโทรทรรศน์สปิตเซอร์ ยังได้พบข้อมูลอื่นเกี่ยวกับกาแล็กซีที่พบโมเลกุลที่เป็นต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิต โดยกาแล็กซีที่อยู่ใกล้กับโลกมากที่สุดพบการระเบิดของดวงดาวในกาแล็กซี ซึ่งบอกถึงกระบวนการก่อตัวของดาวที่มีความหนาแน่นสูง ชีวโมเลกุลก่อตัวอยู่บริเวณขอบของกลุ่มเมฆที่เกิดจากการรวมตัวของก๊าซและฝุ่น รวมถึงบริเวณก๊าซที่ถูกดาวมวลขนาดใหญ่ทำให้เป็นประจุไอออน แต่ไม่พบชีวโมเลกุลในกาแล็กซีที่สนามรังสีถูกครอบงำโดยสสารที่ปั่นป่วนอยู่รอบหลุมดำ นักดาราศาสตร์กล่าวว่า โมเลกุลเหล่านี้บอบบางมาก ถ้าอุณหภูมิสูงเกินไป หรือสนามรังสีเข้มเกินไป ชีวโมเลกุลเหล่านี้จะถูกทำลายได้ นักดาราศาสตร์หญิงกล่าวว่า ตอนนี้ยังต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบกาแล็กซีอีกมาก แต่ถ้ารู้แล้ว ขั้นต่อไปคือพยายามเข้าใจว่าเพราะเหตุใดบางกาแล็กซีถึงก่อตัวในรูปร่างหนึ่ง บางกาแล็กซีก่อตัวเป็นอีกแบบหนึ่ง (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 4 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





คณะทันตะมอ.เปิดทำใบหน้า-ขากรรไกรเทียม ชี้เริ่มนิยมมากขึ้นเสริมความมั่นใจให้กับผู้ป่วย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์(ผศ.) ทันตแพทย์วีระชัย ธรรมวานิช คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เปิดเผยว่า กำลังจะให้บริการทำอวัยวะเทียม โดยเน้นอวัยวะในช่องปากและใบหน้า โดยคาดว่าจะสามารถให้บริการใด้เต็มศักยภาพในอีก 3 เดือนข้างหน้า เนื่องจากเห็นว่าปัจจุบันคุณภาพชีวิตของคนเปลี่ยนไป คนไข้ที่ได้รับการผ่าตัดอวัยวะไม่จำเป็นต้องรับสภาพการสูญเสียอวัยวะไปตลอดชีวิต และต้องออกห่างจากสังคมเนื่องจากสภาพร่างกายเปลี่ยนไป ประกอบกับคณะ มีความพร้อมในด้านบุคลากร ในประเทศไทยเทคนิคการทำใบหน้า ขากรรไกรเทียมเข้ามาในประเทศไทยนานแล้ว โดยมีมหาวิทยาลัยมหิดลและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นหลัก และระยะหลังเริ่มมีผู้นิยมทำกันมากขึ้น เหตุผลส่วนหนึ่งที่การทำใบหน้าเทียมเข้ามาเกี่ยวข้องกับบริการทางทันตกรรม เนื่องจากวัสดุที่ใช้ทั้งหมด เช่น พลาสติคหรือซิลิโคนมีการใช้กันมากและใช้มานานในทางทันตกรรม เช่น ทำฟันเทียม เหงือกเทียม วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ส่วนใหญ่ต้องจัดซื้อจากต่างประเทศและต้องอาศัยงบประมาณจำนวนมาก เราจึงยังไม่มีการประกาศการให้บริการอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีการให้บริการคนไข้บ้างแล้วโดยผู้ป่วยส่วนใหญ่สูญเสียอวัยวะจากการเป็นโรคมะเร็ง อุบัติเหตุและพิการแต่กำเนิด อย่างไรก็ตาม คาดว่าอีกประมาณ 3 เดือน จะมีความพร้อมด้านนี้ แต่ผู้ป่วยที่เข้ารับบริการที่โรงพยาบาลทันตกรรมขณะนี้ส่วนใหญ่จะขาดทุนทรัพย์ ซึ่งคณะได้ใช้เงินจากกองทุนสมเด็จย่าเข้าช่วยเหลือ แต่หากผู้ป่วยจำนวนมากขึ้นคงจะต้องหาทางแก้ปัญหาต่อไป" ผศ.ทันตแพทย์วีระชัยกล่าว (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 4 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/matichon)





เทคโนโลยีใหม่ระบบรปภ.วิเคราะสัญญานวงจรปิด

นายธวัชชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทสามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในงานไอซีที เอกซโป 2005 ระหว่างวันที่ 3-7 สิงหาคม 2548 ณ เมืองทองธานี กลุ่มบริษัทสามารถฯ ได้นำเทคโนโลยีและสินค้าซึ่งจะวางจำหน่ายในช่วงครึ่งปีหลังมาสาธิตในงานนี้ โดยเฉพาะซีเคียวริตี้ ซิสเต็มส์ ซึ่งเป็นระบบรักษาความปลอดภัย ใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์ภาพจากสัญญาณกล้องโทรทัศน์วงจรปิด Video Content Analysis ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถส่งสัญญาณเตือนภัยได้อย่างแม่นยำ การส่งสัญญาณเตือนภัยของระบบดังกล่าว จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไข ในการตรวจจับสัญญาณจากภาพวิดีโอ กำหนดได้ทั้งขนาดของวัตถุ คน ทิศทางการเคลื่อนไหว รูปแบบการเคลื่อนที่ ระยะเวลาที่เกิดการเคลื่อนไหว ซึ่งการกำหนดเงื่อนไขเหล่านี้จะทำให้ระบบสามารถตรวจจับเหตุการณ์ ภาพสิ่งของผิดปกติแล้วส่งสัญญาณแจ้งเตือนทันที เทคโนโลยีดังกล่าวใช้ในต่างประเทศค่อนข้างแพร่หลาย รวมทั้งสนามบินชางกี สิงคโปร์ สนามบินซิดนีย์ ออสเตรเลีย รวมถึงลานจอดเฮลิคอปเตอร์ของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทสามารถฯ จะเปิดตัวโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ของ ไอ-โมบาย บริการดาวน์โหลดเพลง ดิจิทัล ดาวน์โหลดคอนเทนต์ต่าง ๆ บนมือถือฟรี และสาธิตการใช้งานระบบไอพี โฟน หรือโทรศัพท์ผ่านดาวเทียม ซึ่งคู่สนทนาสามารถคุยและเห็นหน้ากันผ่านจอโทรศัพท์มือถือผ่านดาวเทียมไอพีสตาร์. (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 5 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





"สรอรรถ" เร่งสร้าง 3 ผลงานไอซีที หวังปิดภารกิจก่อนควบรวมก.วิทย์

นายสรอรรถ กลิ่นประทุม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่า ภารกิจเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนี้มี 3 เรื่อง โดยตั้งเป้าไว้ 3-6 เดือน ก่อนที่จะมีการควบรวมกระทรวงไอซีที กับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประกอบด้วย 1.การจัดซื้อคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คราคาประหยัด 2.จัดซื้อบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดอีก 26 ล้านใบให้เสร็จสิ้น และ 3.เป็นต้นแบบการบริหารโลจิสติกส์ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายประเทศ ที่ต้องการนำไอซีทีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพ รวมถึงประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศ ทั้งยังสอดคล้องกับการค้าระหว่างประเทศที่มีการแข่งขันมากขึ้น ทั้งนี้ นายสรอรรถ นับเป็นรัฐมนตรีคนที่ 3 ของกระทรวงไอซีที และเข้ารับตำแหน่งเป็นวันแรก วานนี้ (4 ส.ค.) โดยเดินทางไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบริเวณ บมจ.ทีโอที แจ้งวัฒนะ ซึ่งเป็นที่ตั้งของกระทรวงฯ ตั้งแต่เวลา 06.00 น. และนับเป็นกระทรวงแห่งที่ 8 ที่เขาเข้าไปบริหาร (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 5 ส.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ตามไปดู"โรงพยาบาลดิจิตอล" แห่งแรกของโลก!

โรงพยาบาล โอกลาโฮมา ฮาร์ต ที่เจฟฟ์ โจนส์ ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมผู้เชี่ยวชาญในการวางระบบอยู่ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลไม่กี่แห่งที่คนอยากเข้า และยินดีที่จะเข้าไปใช้บริการ โอกลาโฮมา ฮาร์ต เปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2545 คนใน โอกลาโฮมา ซิตี้ เรียกที่นี่สั้นๆ ว่า "โอเค ฮาร์ต" และได้ชื่อว่าเป็นโรงพยาบาล "ดิจิตอล" สมบูรณ์แบบแห่งแรกของสหรัฐอเมริกาและของโลก ที่นี่เป็นโรงพยาบาลที่แทบ "ไร้กระดาษ" โดยสิ้นเชิงชนิดที่บางคนเปรียบเปรยไว้ว่า "ยังกะส้วมไม่มีกระดาษชำระ" ยังไงยังงั้น มองเข้าไปจากภายนอก หรือแม้แต่เมื่อเข้าไปถึงส่วนรับรอง-บันทึกประวัติผู้ป่วยในการติดต่อครั้งแรก ก็ยังคงดูเหมือนโรงพยาบาลทั่วๆ ไปอยู่ แต่ถัดจากนั้นไปทุกอย่างไม่เหมือนกับสภาพโรงพยาบาลที่เราคุ้นเคย แรกสุดที่ผู้ป่วยได้รับรู้เมื่อมาถึง โอเค ฮาร์ต ก็อีตอนที่ยื่นประวัติการรักษาที่ผ่านมาให้กับเจ้าหน้าที่ มันจะถูกนำไปสแกนเก็บเข้าสู่ระบบทันที เจฟฟ์ โจนส์ เป็นคนวางระบบคอมพิวเตอร์มูลค่า 75 ล้านดอลลาร์ของที่นี่ทั้งหมด เขาทำให้ทุกอย่างเป็นอัตโนมัติ ตั้งแต่การเลือกแพทย์ให้เหมาะกับอาการป่วย ไปจนถึงการกำหนดเวลานัดหมาย และการให้ข้อมูลข่าวสารที่ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงได้ในทุกๆ ที่ ทุกๆ ส่วนของโรงพยาบาล ไล่ตั้งแต่ห้องผ่าตัดไปจนถึงห้องจ่ายยา ที่โอเค ฮาร์ต อัตราการติดเชื้อจากโรงพยาบาลลดลงจนทำให้ติดอยู่ในกลุ่มที่ต่ำที่สุดของประเทศ ซึ่งมีอยู่เพียง 10 เปอร์เซ็นต์ของโรงพยาบาลทั่วสหรัฐอเมริกา แต่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ โอเค ฮาร์ต ถูกยกให้เป็นสุดยอดของโรงพยาบาลในความเห็นของผู้ป่วย ซึ่งมีอยู่แค่ 1 เปอร์เซ็นต์ของโรงพยาบาลทั้งประเทศ (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 6 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ข่าววิจัย/พัฒนา


เสื้อกีฬานาโนไม่เหม็นเหงื่อไคลจุฬาฯ คิดเใส่อนุภาคเงินจิ๋วสกัดแบคทีเรีย

ดร.สุพจน์ หารหนองบัว ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยโลหะและวัสดุ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยเทคนิคที่ช่วยสยบกลิ่นเหงื่อของนักกีฬาว่า นักวิจัยของมหาวิทยาลัยได้อาศัยอนุภาคซิลเวอร์นาโน หรือผงเงินที่มีขนาดป่นละเอียดยิบ ซึ่งเมื่อนำไปเคลือบบนเนื้อผ้าแล้วจะช่วยสกัดกลิ่นได้อย่างดีเยี่ยม ที่สำคัญเทคนิคของไทยสามารถทำได้ในขั้นตอนเดียว ขณะที่ของต่างประเทศต้องใช้ถึง 2 ขั้นตอน คือต้องทำออกมาเป็นอนุภาคนาโนก่อนแล้วจึงนำไปเคลือบผ้า ในการเคลือบผ้านั้น ดร.สุพจน์ บอกว่าจะใช้สารที่ 50 พีพีเอ็ม (50 ส่วนต่อเสื้อผ้าล้านส่วน) ซึ่งในเสื้อยืด 1 ตัว น่าจะมีอนุภาคซิลเวอร์นาโนอยู่ 10-15 มิลลิกรัม อนุภาคนี้จะมีคุณสมบัติในการต้านเชื้อราและแบคทีเรีย คือ เมื่อเชื้อทั้งสองเข้าไปแตะโดนเม็ดซิลเวอร์นาโน เม็ดนี้จะซึมผ่านผนังเซลล์ของเชื้อ เข้าไปทำปฏิกิริยากับสารบางตัวที่เยื่อเซลล์แบคทีเรีย และขัดขวางการแบ่งตัวของดีเอ็นเอ เชื้อก็จะตาย จากการทดสอบการฆ่าเชื้อในห้องปฏิบัติการพบว่า วิธีการนี้สามารถกำจัดเชื้อได้มากกว่าร้อยละ 99 และหลังทดสอบการซักล้าง พบว่าซักล้าง 30-50 ครั้ง ความสามารถของอนุภาคซิลเวอร์นาโนก็ยังคงอยู่ ขณะนี้กำลังคิดวิจัยถึงการเติมซิลเวอร์นาโนลงไปในสารซักล้าง เพื่อให้สามารถเคลือบเสื้อผ้าได้เลย แต่ยังติดปัญหาเรื่องคลอไรด์ ไอออนในน้ำประปาที่สามารถทำลายอนุภาคนี้ได้ และในขณะนี้กำลังร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อศึกษาการแพ้ และอันตรายต่อร่างกาย โครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) พัฒนาขึ้นจากการเตรียมสารละลายซิลเวอร์ไนเตรท จากนั้นเติมสารที่เป็นตัวออกซิไดซ์ลงไป เพื่อเปลี่ยนไอออนของเงิน (ซิลเวอร์) มาเป็นอะตอมของเงิน ซึ่งมีขนาดต่ำกว่า 100 นาโนเมตร (100 ส่วนพันล้านเมตร) ส่วนราคาน่าจะสูงกว่าเสื้อปกติประมาณร้อยละ 15 และคาดว่าจะออกสู่ตลาดในปีหน้า (คมชัดลึก จันทร์ที่ 1 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





สนช.หนุนเอกชนผลิตพลาสติกชีวภาพ มุ่งสร้างผลิตภัณฑ์ย่อยเองในธรรมชาติ

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) ร่วมกับบริษัทผลิตภัณฑ์พลาสติก 4 ราย จัดทำโครงการ "พัฒนาผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ" ในรูปแบบทุนเครือข่ายวิสาหกิจ เพื่อหาเทคโนโลยีผลิตพลาสติกชีวภาพ สามารถย่อยสลายได้ด้วยการฝังดิน ลดปัญหาปริมาณขยะพลาสติกของไทย ดร.อรรถวิท เตชะวิบูลย์วงศ์ ผู้ประสานงานโครงการ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ เล่าถึงการให้ความสนับสนุนของสำนักงานฯ ว่าให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อเม็ดพลาสติกชีวภาพจากต่างประเทศเพื่อใช้ในการศึกษาและติดต่อประสานงานจากนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญ ในเฟสแรกจะเริ่มจากซื้อเม็ดพลาสติกชีวภาพที่ทำสำเร็จมาแล้วพร้อมขึ้นรูปมาทดลองขึ้นรูป เพื่อทดสอบว่าสามารถใช้เครื่องจักรที่มีอยู่แล้วได้หรือไม่ เพราะถ้าต้องซื้อเครื่องจักรใหม่คงไม่มีใครอยากลงทุน ในเฟสที่สองเป็นการซื้อเม็ดพลาสติกชีวภาพมา แล้วมาลองทดสอบใส่สารปรุงแต่งสูตรต่างๆ เพื่อขึ้นรูป ในเฟสนี้บางบริษัทมีสูตรอยู่ในใจอยู่แล้ว และในเฟสสุดท้ายจะทำวิจัยในระดับต้นน้ำ คือพัฒนาเม็ดพลาสติกชีวภาพจากมันสำปะหลัง เป็นการทำวิจัยเริ่มจากปลายน้ำไปต้นน้ำ ในขณะนี้ โครงการเพิ่งเริ่มต้นดำเนินการมาได้ 6 เดือน ขณะที่ในบางบริษัทเริ่มต้นโครงการระยะแรกมาแล้ว และกำลังเริ่มระยะที่สอง ซึ่งระยะเวลาทำโครงการทั้งหมดอยู่ที่ 3 ปี เทคนิคการผลิตพลาสติกชีวภาพนั้น เริ่มจากการให้ยีสต์ โดยในต่างประเทศใช้เป็นยีสต์ที่ดัดแปรพันธุกรรมให้เหมาะสม เปลี่ยนมันสำปะหลังให้เป็นน้ำตาลกลูโคส และจากน้ำตาลจะเปลี่ยนเป็นพลาสติก จากการผลิตพลาสติกด้วยกระบวนการเช่นนี้ จะทำให้แบคทีเรีย จุลินทรีย์ ที่อยู่ในดินสามารถย่อยสลายได้ สำหรับพลาสติกชีวภาพที่สามารถย่อยสลายได้ด้วยการฝังกลบนั้นจะใช้เวลาย่อยประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับส่วนประกอบของอากาศ ความชื้น อุณหภูมิ และจุลินทรีย์ของดิน (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 1 ส.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





เทคโนสุรนารีศึกษาโปรตีนต้านโรคติดเชื้อ

ผศ.ดร.วิภา สุจินต์ จากภาควิชาเคมี สำนักวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ศึกษาโปรตีนพอรินที่เยื่อหุ้มเซลล์ด้านนอกของแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเมลิโออิโดซีส หรือโรคติดเชื้อชนิดหนึ่งที่มีความรุนแรงระบาดมากในประเทศกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทย โรคติดเชื้อเมลิโออิโดซีส เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียซึ่งอาศัยอยู่ในดิน โคลน สามารถติดต่อโดยตรงผ่านเพียงสัมผัส หรือติดต่อทางลมหายใจ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อโรคนี้จะมีอาการคล้ายโรคปอดบวม และอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนชนิดอื่นๆ เช่น วัณโรค เอดส์ ได้ง่าย เนื่องจากเชื้อโรคจะเข้าไปทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายของผู้ป่วยลดต่ำลง จนบางรายที่มีอาการรุนแรงมากถึงเสียชีวิต แม้ปัจจุบันแพทย์จะใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาโรคติดเชื้อชนิดนี้ แต่ก็พบว่าเชื้อโรคมีการดื้อต่อยาปฏิชีวนะบางกลุ่ม ทำให้การรักษาเป็นไปอย่างยากลำบาก ดังนั้นการศึกษากลไกการทำงานของเชื้อดังกล่าวจึงได้เริ่มต้นขึ้นเพื่อค้นหายาชนิดใหม่หรือปรับโครงสร้างของยาที่มีอยู่เดิมให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โครงการศึกษาครั้งนี้เริ่มจากการทดลองในห้องปฏิบัติการ โดยการนำเอาโปรตีนพอรินจากบริเวณเซลล์ผิวหนังของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งทำหน้าที่เป็นช่องนำโมเลกุลขนาดเล็ก ในการนำอาหารประเภทน้ำตาล รวมถึง ยาปฏิชีวนะผ่านเข้าสู่เซลล์ของแบคทีเรีย มาศึกษาโครงสร้างและกลไกการทำงานในห้องปฏิบัติการ ขณะนี้งานวิจัยกำลังเข้าสู่ขั้นตอนของการศึกษาการแสดงออกของเชื้อโดยตรงจากแบคทีเรียที่ไม่ก่อให้เกิดโรค ก่อนที่จะศึกษาด้านโครงสร้างให้ลึกลงไปในลักษณะของโครงสร้าง 3 มิติ รวมถึงศึกษาในเซลล์ที่มีชีวิตเป็นขั้นตอนสุดท้าย เมื่อทราบโครงสร้างการทำงานของโปรตีนบนผิวแบคทีเรียชนิดดังกล่าวแล้ว ก็สามารถนำโครงสร้างของโปรตีนมาออกแบบ หรือปรับโครงสร้างยาปฏิชีวนะที่มีอยู่ให้สามารถนำส่งยาเข้าทำลายเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาหลายขั้นตอนเพื่อความมั่นใจ โดยคาดว่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 5 - 10 ปี จากผลงานวิจัยดังกล่าวส่งผลให้ ผศ.ดร.วิภา สุจินต์ ผ่านการพิจารณาคัดเลือกให้ได้รับรางวัลสตรีนักวิทยาศาสตร์ ประจำปี 2547 จากลอรีอัล โดยได้รับทุนสนับสนุนการวิจัย 1.5 แสนบาท (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 1 ส.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ยาเม็ดคุมกำเนิดเพิ่มความเสี่ยง มะเร็งของทรวงอกและปากมดลูก

สำนักงานวิจัยโรคมะเร็งระหว่างประเทศอันเป็นหน่วยงานขององค์การอนามัยโลก กล่าวสรุปความเห็นว่า ผู้หญิงที่ใช้ยาคุมกำเนิดเม็ด แม้ว่ายาอาจจะได้บุญช่วยคุ้มความเสี่ยงจากมะเร็งได้บางชนิด แต่จะยิ่งกลับเสี่ยงกับมะเร็งของทรวงอกและปากมดลูกหนักขึ้น ยาอาจจะช่วยป้องกันมะเร็งของเยื่อบุมดลูกและรังไข่ได้ แต่ควรจะมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อให้รู้ถึงคุณในด้านป้องกันมะเร็งของยาอันแน่ชัด อย่างเช่นเมื่อก่อนหน้านี้ เคยมีการศึกษาพบว่า ผู้ที่ใช้ยาอาจจะเสี่ยงกับมะเร็งตับบ้าง แต่ผลการวิจัยครั้งหลังสุดส่อว่ามีโอกาสเสี่ยงกับมะเร็งของปากมดลูกและทรวงอกชัดเจนกว่า ปัจจุบันประมาณว่ามีผู้หญิงทั่วโลกใช้ยาคุมกำเนิดเม็ดมากถึงราว 100 ล้านคน. (ไทยรัฐ อังคารที่ 2 ส.ค.48 http://www.thairath.co.th)





นวัตกรรมใหม่รักษาโรคหัวใจไม่ผ่าตัด

น.พ.นิธิ มหานนท์ อายุรแพทย์ชื่อดังของเมืองไทย เล่าถึงนวัตกรรมใหม่ๆในการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ในปัจจุบันว่า สมัยก่อนมีวิธีรักษาโรคนี้อยู่ด้วยกัน 3 ทางคือ รักษาด้วยยา, ทำบอลลูน หรือใส่ ขดลวด และผ่าตัดทำบายพาส โดยจะเลือกใช้วิธีไหน ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะความตีบตันของหลอดเลือดหัวใจ ในระยะแรกเกือบทุกเคสต้องอาศัยการผ่าตัดทำบายพาส จนมาระยะหลังนิยมทำบอลลูนมากกว่า เพราะมีความเสี่ยงน้อยกว่า และใช้เวลาพักฟื้นแค่คืนเดียว นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งนวัตกรรมใหม่ที่น่าสนใจ เพิ่งได้รับความนิยมเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ทั้งๆที่มีการคิดค้นกันมานานหลายทศวรรษแล้วในอเมริกา เรียกว่าเทคโนโลยี EECP เป็นเครื่องนวดช่วยการทำงานหัวใจ โดยจะมีแถบความดันพันรอบขาทั้ง 2 ข้าง ตั้ง แต่ปลายขาไล่ขึ้นมา ถึงสะโพก เมื่อเครื่องทำงานจะทำให้เกิดการบีบรัดตามจังหวะการเต้นของหัวใจ เพื่อกระตุ้นให้เลือดกลับไปเลี้ยงหัวใจมากขึ้น นวัตกรรมนี้มีคนสนใจตั้งแต่ 20-30 ปีที่แล้ว แต่ไม่มีการพัฒนา จนกระทั่งประเทศจีนนำไปพัฒนาใหม่ ให้เครื่องมีขนาดเล็กลงไม่เทอะทะ และเมื่อ 3-4 ปีก่อน วงการแพทย์อเมริกาก็เริ่มหันมาสนใจพัฒนาเทคโนโลยี EECP อย่างจริงจัง เพราะมีคนไข้โรคหลอดเลือดหัวใจตีบจำนวนมากไม่อยากรักษาด้วยวิธีผ่าตัด จนปัจจุบันเครื่องนี้ถูกใช้อย่างแพร่หลายทั้งในอเมริกาและยุโรป สำหรับในเอเชีย นอกจากเมืองไทยแล้ว ก็มีแค่สิงคโปร์กับมาเลเซียเท่านั้น ที่ตามทันนวัตกรรมนี้ ที่สำคัญหน่วยงานด้านประกันสังคมของอเมริกา ยังอนุมัติให้การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบด้วยเครื่อง EECP เข้าสู่โครงการประกันสุขภาพ เพราะเห็นประสิทธิผลว่า วิธีนี้ช่วยให้คนไข้มีอาการดีขึ้นกว่าเก่าถึง 2 ระดับ และส่งผลข้างเคียงน้อยมาก ขณะนี้กำลังพิสูจน์กันว่าจะช่วยทำให้อายุผู้ป่วยไม่สั้นลงกว่าปกติจริงหรือไม่ (ไทยรัฐ อังคารที่ 2 ส.ค.48 http://www.thairath.co.th)





แอปเปิ้ลต้านมะเร็ง

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ของสหรัฐฯได้พบว่า การกินแอปเปิ้ล ช่วยให้สตรีลดโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งทรวงอกลงไปได้ 17% และยิ่งกินได้วันละหลายผล ก็จะยิ่งดีมากขึ้นอีกหลายเท่า คณะนักวิจัยได้ศึกษากับหนูทดลองที่ป่วยเป็นมะเร็งทรวงอกระยะต้น โดยป้อนให้กินสารสกัดจากแอปเปิ้ล และได้ผลว่า หากให้กินมากเทียบเท่ากับกินแอปเปิ้ลวันละ 1 ผล จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเป็นมะเร็งเต้านมให้ลงได้ 17% ยิ่งกว่านั้น หากกินวันละมากถึง 3 ผล จะยิ่งลดความเสี่ยงลงไปได้มากถึง 39% หากกินให้ได้ถึงวันละ 6 ผลก็จะลดความเสี่ยงลงได้ถึง 44% ทว่าหนังสือพิมพ์อังกฤษซึ่งรายงานเรื่องนี้ เปิดเผยว่า โครงการศึกษาวิจัยเรื่องนี้ ได้ทุนสนับสนุนบางส่วนมาจากวงการอุตสาหกรรมแอปเปิ้ลอเมริกัน แต่การรับประทานหารที่มีประโยชน์อื่นๆนอกจากแอปเปิ้ล เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ชนิดอื่นๆ ก็สามารถที่จะต้านโรคมะเร็งได้เช่นกัน เพียงแค่คุณดูแลและเอาใจใส่กับสุขภาพ. (เดลินิวส์ อังคารที่ 2 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





มะเฟือง..ดาวแห่งผลไม้

นักโภชนาศาสตร์ได้วิเคราะห์คุณค่าทางอาหารของมะเฟืองแล้วพบว่า อุดมไปด้วย วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 ไนอะซีน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมันเส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็กและพลังงาน ในปริมาณไม่น้อยเลย ดังนั้นหากเราจะดูคุณค่าของมะเฟืองตามสารอาหารที่พบแล้วก็จะเห็นว่ามะเฟืองหนึ่งผลนั้นสามารถที่จะช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรงควบคุมการเต้นของหัวใจให้สม่ำเสมอ ควบคุมกล้ามเนื้อ ช่วยให้เลือดแข็งตัวง่าย กล่อมประสาทช่วยระงับความฟุ้งซ่าน จึงช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้นในผู้ที่มีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับ ส่วนน้ำมะเฟืองคั้นนั้น ตำรายาโบราณกล่าวว่ามีสรรพคุณในการแก้ร้อนใน ดับกระหาย ลดความร้อนภายในร่างกายถอนพิษก็ได้ เป็นยาขับเสมหะ ป้องกันโรคโลหิตจาง โรคเลือดออกตามไรฟัน รวมทั้งยังช่วยขับปัสสาวะ และบรรเทาอาการนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้อีกด้วย (เดลินิวส์ อังคารที่ 2 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





เครื่องอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์

น.ส.เพียรเพ็ญ สีมา วัย 19 ปี นักเรียนโรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็น นักเรียนทุนในโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยา ศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เธอเลือกวิธีถนอมอาหารด้วยวิธีอบแห้งและตากแห้งด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งแม้จะช่วยเพิ่มมูลค่าของผลผลิตได้ แต่ก็มีปัญหาเรื่องความสะอาด ผลผลิตไม่ได้คุณภาพและขาดการดูแล โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง การสร้างเครื่องอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานเสริมจากไฟฟ้าขนาดใช้ในครัวเรือน จึงเกิดขึ้น เพื่อพัฒนาเครื่องอบแห้งที่ใช้อยู่ในปัจจุบันให้ดียิ่งขึ้น สามารถใช้ได้ทั้งพลังงานจากแสงอาทิตย์และพลังงานไฟฟ้า จากผลการทดลองตามขั้นตอนของเธอ โดยเลือกกล้วยน้ำว้ามาตากแห้ง ด้วยวิธีธรรมชาติ แสงแดดและไฟฟ้าพบว่า การอบแห้งสามารถช่วยร่นระยะเวลาได้มาก เพราะถ้าตากโดยใช้วิธีธรรมชาติ จะใช้เวลานานถึง 7-8 วัน แต่ถ้าตากโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพียงอย่างเดียว จะใช้เวลานานประมาณ 3-4 วัน ถ้าเลือกใช้พลังงานสองอย่างคือ แสงอาทิตย์ในตอนกลางวัน และใช้พลังงานจากไฟฟ้าในตอนกลางคืน ใช้เวลาเพียง 2 วันก็เก็บผลผลิตได้ โครงการนี้สามารถนำมาใช้ในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ประเภทอบแห้ง เช่น กล้วยตาก เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีความสะอาดและปลอดภัยต่อผู้บริโภคยิ่งขึ้น เพราะเครื่องอบแห้งจากงานวิจัยนี้ป้องกันฝุ่นและแมลงได้ และยังสามารถใช้เป็นพื้นฐานพัฒนาเครื่องอบแห้งให้มีประสิทธิภาพดียิ่ง ขึ้นด้วย (เดลินิวส์ อังคารที่ 2 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ขูดมันหมูออกจากหนังด้วยเครื่อง

จิตตา สีแดง, ประชุม รัตนเสนีวัฒน์ และอัฐพล เสนีวงศ์ นักศึกษาจากภาควิชาวิศวกรรมอาหาร คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ร่วมกันประดิษฐ์เครื่องขูดหนังหมูขึ้น โดยมุ่งให้เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ช่วยทุ่นแรงงานคนและทำงานได้เร็วตามความต้องการของผู้ผลิตและบริโภค ซึ่งมี อาจารย์ลัทธพร ภูวรรณตระกูล และอาจารย์ชัยรัตน์ หงษ์ทอง เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาตลอดโครงการ และโครงการนี้ยังได้รับการสนับสนุนทุนของโครงการทุนวิจัย สกว.อีกด้วย เครื่องขูดหนังหมูทำขึ้นเพื่อทุ่นแรงงานคน และทุ่นเวลาการผลิตเพื่อให้ทันต่อความต้องการของท้องตลาดแล้ว เรายังคำนึงถึงด้านสุขอนามัยและความสะอาด รวมทั้งปัญหาด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานเดียวกันด้วย รวมทั้งต้องสามารถพัฒนาเครื่องจักรนี้ให้ใช้งานได้จริงในอุตสาห กรรมอาหารหรืออุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ใกล้เคียงอีกด้วย ส่วนประกอบหลัก ๆ ของเครื่องจะประกอบด้วย ชุดลูกกลิ้ง ชุดตะแกรง ใบมีดขูด และชุดส่งกำลัง ใช้ต้นกำลังจากมอเตอร์ขนาด 3 แรงม้า 3 เฟส และเกียร์ทด อัตราทด 1 ต่อ 40 โดยใช้หลักการของการกดจากชุดลูกกลิ้ง แล้วมาเฉือนจากชุดตะแกรงใบมีดขูด ในการทำงานของเครื่องขูดหนังหมูต้องทำการป้อนแผ่นหนังหมูผ่านเครื่องขูด 3 ครั้ง จึงจะได้ประสิทธิภาพในการขูด มันออกจากหนังได้ดีที่สุด ส่วนอัตราความเร็วรอบที่เหมาะสมของลูกกลิ้งที่วัดจากลูกกลิ้งตัวพาคือ 10 รอบต่อนาที ระยะห่างที่เหมาะสมของตะแกรงใบมีดหลังถูกกลิ้งบดหยาบและตะแกรงใบมีดหลังถูกกลิ้งบดละเอียดคือ 4 และ 2 มิลลิเมตร อัตราการผลิตของเครื่องจะอยู่ที่ 186.94 กิโลกรัมต่อวัน ซึ่งเมื่อเทียบกับการใช้แรงงานคนแล้วแน่นอนว่าย่อมจะทุ่นแรงได้ในระดับหนึ่งและการใช้เครื่องขูดยังสามารถขูดได้เกลี้ยง กว่าคนทำ ผู้ใดสนใจก็สามารถติดต่อสอบถามไปที่เจ้าของผลงานได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 0-9787-0395 หรือที่คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร หมายเลข 0-2549-3300. (เดลินิวส์ อังคารที่ 2 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ประดิษฐ์เตาหุงต้มประหยัดพลังงาน ทดแทนเชื้อเพลิงจากไม่ได้ 7,360 ต้น/ปี

นายธานี วิริยะรัตนพร ผู้อำนวยการสำนักวิจัยการจัดการป่าไม้และผลิตผลป่าไม้ กรมป่าไม้ เปิดเผยว่า ในสภาวะที่น้ำมันมีราคาสูงมากในขณะนี้ ส่งผลกระทบต่อสินค้าอุปโภคและบริโภคให้มีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย รวมทั้งก๊าซหุงต้ม ซึ่งมีราคา ดังนั้น แนวทางหนึ่งของการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพคือการปรับปรุงเตาหุงต้มที่เกือบทุกครัวเรือนต้องใช้ให้ประหยัดพลังงาน และการลดการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อนำไม้มาทำเป็นเชื้อเพลิงลงด้วย สำนักวิจัยการจัดการป่าไม้และผลิตผลป่าไม้ กรมป่าไม้ ได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเตาหุงต้ม ชีวมวลในครัวเรือนขึ้น ทั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของเตาหุงต้มที่ใช้กันโดยทั่วไป ที่สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงฟืนและถ่าน ซึ่งพบว่าปริมาณการใช้ไม้ฟืนและถ่าน ของประเทศไทยคิดเป็นไม้ฟืนปริมาณถึง 10,418 ล้าน กก. และถ่าน 3,448 ล้าน กก. ทั้งนี้สำหรับเตาประหยัดพลังงานของกรมป่าไม้ ปัจจุบันมีเตาประสิทธิภาพสูงจำนวน 5 รูปแบบ คือเตาใช้ถ่าน เตาใช้ฟืน เตาใช้วัสดุทางการเกษตรแบบมีปล่อง เตาใช้วัสดุทางการเกษตรแบบไม่มีปล่องและเตาที่ใช้วัสดุอัดแท่ง โดยทำการส่งเสริมและเผยแพร่ให้แก่โรงงานผู้ผลิตและผู้ใช้โดยสามารถซื้อไปใช้ได้ในราคาตั้งแต่ 120-700 บาท โดยเตาดังกล่าวเป็นการใช้วัสดุทางการสามารถทดแทนเชื้อเพลิงจากไม้ได้ 7,360 ต้น/ปี และเมื่อมีการทดลองนำเตาจำนวน 2,000 ลูกไปแจกให้ราษฎรใช้พบว่าปริมาณวัสดุทางการเกษตรที่ใช้ประมาณ 53 กก./ครัวเรือน/เดือน เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณการใช้ถ่านและฟืนเพื่อการหุงต้มต่อครัวเรือนต่อเดือนซึ่งมีค่าประมาณ 21 กก. และ 69 กก. ตามลำดับ “การใช้เตาหุงต้มที่เชื้อเพลิง ชีวมวลนี้นับว่ามีประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะเป็นเชื้อเพลิงที่หาได้ง่ายจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรที่ถูกเผาทิ้งและปล่อยให้เน่าสลายไปและเป็นการประหยัดพลังงานเชื้อเพลิงฟืนและถ่านแล้ว เตาหุงต้มดังกล่าวยังก่อให้เกิดการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ ทำให้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้ใช้และไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศอีกด้วย (เดลินิวส์ อังคารที่ 2 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ยานเบาสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกฝีมือนักศึกษาไทยลุยทุกสภาพ

นายวุฒิพงษ์ ภูมี นักศึกษาภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เปิดเผยว่า ทีมงานจากภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล ได้ร่วมกันออกแบบและสร้างยานสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก โดยหวังว่ายานดังกล่าวจะเข้ามาทำหน้าที่แทนรถยนต์และเรือในการขับเคลื่อนซอกซอนไปยังพื้นที่ที่เต็มไปด้วยโคลน หรือพืชน้ำที่เรือเข้าไม่ถึง ยานสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกนี้อาศัยหลักการสร้างเช่นเดียวกับการออกแบบยานเบาอากาศ หรือ โฮเวอร์คราฟท์ ในลักษณะกึ่งเรือกึ่งเครื่องบิน เพียงแต่ทีมงานได้นำมาแก้ไขให้เครื่องยนต์สามารถทำงานได้จริง เนื่องจากที่ผ่านมาผลงานที่เกี่ยวกับยานในลักษณะนี้ยังไม่เป็นผลสำเร็จเท่าที่ควร ทีมงานจึงได้ค้นหาวิธีการสร้างยานในลักษณะดังกล่าว จนค้นพบวิธีการสำคัญ คือการเป่าลมเข้าสู่ตัวยาน หรือดูดอากาศจากภายนอกเข้าสู่พื้นที่จำกัดในตัวยาน ทำให้เกิดแรงยกและยานพาหนะนั้นลอยขึ้นเหนือพื้นดินหรือผิวน้ำได้ พบว่าความสามารถพิเศษของถุงลมที่ใช้คลุมโดยรอบของตัวยานขณะเคลื่อนที่ว่าสามารถจำกัดทิศทางลมให้พุ่งลงเพื่อลอดผ่าน พร้อมทั้งพยุงให้ยานลอยอยู่เหนือพื้นดินและพื้นน้ำได้ เหตุที่เลือกใช้ถุงลมเนื่องจากถุงลม หรือผ้าใบพลาสติกที่คลุมอยู่รอบยานนั้นเป็นวัสดุที่ไม่อ่อนตัวจนเกินไป จึงทำหน้าที่เป็นตัวบังคับทิศทางลมให้ลงสู่ด้านล่างของตัวยานได้อย่างสมบูรณ์ หลักการทำงานของเครื่องจะอาศัยการดูดอากาศเป็นหลัก โดยเมื่อทำการติดเครื่องยนต์ กังหันที่ติดตั้งอยู่ทางตอนท้ายของเครื่องยนต์จะเริ่มดูดอากาศจากด้านหน้า เข้าไปทางช่องรับลม โดยแบ่งลมออกทางหน้าท้องเครื่อง พยุงให้เครื่องยนต์เคลื่อนที่ไป ด้วยกำลังขับที่ 80 แรงม้า และลอยเหนือพื้นดินและน้ำประมาณ 2-3 นิ้ว ผลจากการทดสอบ ยานสามารถวิ่งได้เร็ว 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และบรรทุกสิ่งของได้ถึง 100 กิโลกรัม แต่อย่างไรก็ตามการเคลื่อนที่ของยานดังกล่าวนั้นยังไม่เสถียรเท่าที่ควร เนื่องจากขณะที่ยานลอยตัวการบังคับทิศทางจะทำได้ยากขึ้น จึงต้องอาศัยผู้ควบคุมที่มีความชำนาญในการบังคับเครื่องยนต์ เป็นเพราะขนาดของใบพัดเครื่องยนต์ไม่สัมพันธ์กับความเร็วรอบ ดังนั้นอาจจะต้องปรับปรุงให้เครื่องยนต์มีขนาดเล็กลง ประกอบกับเพิ่มรอบให้สูงขึ้นเพื่อให้ตัวยานมีความเสถียรมากที่สุด นอกจากนี้จะต้องปรับปรุงให้เครื่องยนต์มีน้ำหนักเบาขึ้นเพื่อให้บรรทุกสัมภาระได้มากขึ้น เนื่องจากเครื่องยนต์ที่ใช้มีน้ำหนักมากถึง 370 กิโลกรัม จึงบรรทุกได้เพียง 100 กิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งหากปรับปรุงเสร็จสิ้นก็สามารถนำไปใช้งานได้ทันที โดยหากมีผู้สนใจติดต่อซื้อไปใช้งานราคาของยานเบาตัวนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 4-5 หมื่นบาทเท่านั้น (คมชัดลึก อังคารที่ 2 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ปูนนครหลวงร่วมปั้นนักวิจัย มอบทุน'ป.โท'วิศวกรรมโยธา

ศ.ดร.ปิยะวัติ บุญ-หลง ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เปิดเผยว่า สำนักงานร่วมกับบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด สนับสนุนการผลิตบัณฑิตระดับปริญญาโทภายใต้ "โครงการทุนวิจัยมหาบัณฑิต" โดยในปีนี้ ได้ร่วมมอบทุนจำนวน 8 ทุน มีทั้งสาขาวิศวกรรมโยธา สิ่งแวดล้อมและจะขยายสู่ด้านโลจิสติกส์ด้วย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจระยะยาวและเตรียมกำลังพลรุ่นใหม่ที่จะสร้างระบบวิจัยใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น โครงการนี้ยังได้เปิดโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทำงาน ทำให้ได้โจทย์วิจัยที่ตรงกับความจริง และนำไปสู่การทำงานวิจัยในระดับใหญ่ได้ โดยนักวิจัยได้ศึกษาและเรียนรู้เงื่อนไขในการทำงานจริงไปพร้อมกัน จึงเล็งเห็นถึงประโยชน์ในการทำงานครั้งนี้ และคาดหวังว่าจะมีการร่วมกันทำงานในลักษณะนี้เพิ่มขึ้นทุกปี รศ.ดร.สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอุตสาหกรรม สกว. กล่าวว่า ในปีต่อๆ ไป คาดหวังว่าจะมีการขยายการให้ทุนเพิ่มขึ้น ทั้งด้านโยธาหรือสาขาที่เกี่ยวข้อง อย่างด้านโลจิสติกส์ ที่จะเป็นการเปิดโอกาสของประเทศในการศึกษาด้านนี้ ซึ่งโชคดีที่ไทยอยู่ใกล้ศูนย์กลางการค้าทั้งจีนและอาเซียน สำหรับผู้สนใจขอรับทุนในโครงการทุนวิจัยมหาบัณฑิต สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่โทรศัพท์ 0-2739-2387, www.trfmag.org (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 2 ส.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





เอ็มเทคคิดค้น 'พลังงานแสง' บำบัดน้ำทิ้ง

นายสิทธิสุนทร สุโพธิณะ นักวิจัยกลุ่มวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีเซรามิกส์ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) เปิดเผยถึงการวิจัยพัฒนาระบบบำบัดน้ำเสียสำหรับอุตสาหกรรมย้อมสีผ้าว่า น้ำเสียจากโรงงานย้อมสีผ้าจะปนเปื้อนสารเคมีที่เป็นพิษต่อจุลินทรีย์ ทำให้จุลินทรีย์ส่วนหนึ่งไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ส่งผลให้ระบบบำบัดได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จึงทำให้ต้นทุนด้านน้ำเสียเพิ่มขึ้น โดยใช้ทั้งระยะเวลาและขั้นตอนที่มากขึ้นสำหรับบำบัดน้ำให้ได้ค่า มาตรฐาน ก่อนปล่อยสู่แหล่งน้ำสาธารณะ ในงานวิจัยจึงได้พัฒนากระบวนการบำบัดน้ำเสียที่สามารถย่อยสารอินทรีย์ที่มีพิษต่อจุลินทรีย์ พร้อมทั้งเน้นใช้สารเคมีราคาถูก ประหยัด และใช้งานได้จริง โดยอาศัย "ไทเทเนียมไดออกไซด์" เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา และแสงจากหลอดไฟฟ้า (ซึ่งให้ความยาวคลื่นต่ำกว่า 400 นาโนเมตร) กล่าวคือเมื่อแสงตกกระทบตัวเร่งปฏิกิริยา ทำให้เกิดปฏิกิริยาการย่อยสลายโมเลกุลของสีย้อมผ้าที่ปนเปื้อนในน้ำเสีย ซึ่งจะเปลี่ยนสถานะเป็นคาร์บอนไดออกไซด์, น้ำและ เกลืออนินทรีย์ ที่ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม มีกระบวนการกำจัดกากตะกอน หรือการย่อยทางชีวภาพ เช่น ระบบแอคติเวตเต็ด-สลัดจ์ ซึ่งนิยมใช้ในอุตสาหกรรมทั่วไป แต่ในระบบนี้มีข้อจำกัด เพราะต้องใช้จุลินทรีย์ในการย่อยสลายน้ำเสีย ขณะที่จุลินทรีย์ไม่สามารถทนต่อสารอินทรีย์ที่ปนเปื้อนในน้ำเสีย ส่วนระบบใหม่จะเสริมเข้าไปในช่วงสุดท้ายของการบำบัดก่อนปล่อยน้ำสู่ลำคลองสาธารณะ เชื่อว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายของระบบบำบัดหลัก และลดการก่อให้เกิดมลพิษแก่ชุมชนที่อยู่บริเวณรอบๆ งานวิจัยระบบบำบัดน้ำเสียพลังงานแสงนี้ เป็นการวิจัยร่วมระหว่างเอ็มเทคกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ( องครักษ์) ภายใต้การสนับสนุนทุนจากเอ็มเทค คาดว่าประมาณกลางปี 2549 จะสามารถทดสอบใช้งานจริงในสถานประกอบการ หลังจากผ่านการทดสอบจนเกิดความมั่นใจในประสิทธิภาพ จากผลทดสอบการย่อยสีย้อมซิบาร์คอนเรดพบว่า เครื่องบำบัดนี้สามารถย่อยสีย้อมที่ความเข้มข้น 25 มิลลิกรัม/ลิตร ค่าพีเอช 3 จำนวน 4 ลิตร ได้หมดภายใน 3 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ระบบบำบัดน้ำเสียด้วยพลังงานแสงนี้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้บำบัดน้ำเสียจากอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงประยุกต์เป็นเครื่องกรองน้ำดื่มได้ด้วย (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 2 ส.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ฝีมือคนไทย แท็กซี่ไฮเทคสื่อผ่านดาวเทียม

นวัตกรรมใหม่จากฝีมือคนไทย สำหรับศูนย์แท็กซี่เรดิโอ 1681 ที่วันนี้เป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวของประเทศไทย ใช้ดาวเทียมมาช่วยรับงานจนถูกขนานนามว่า แท็กซี่ไฮเทค โดยศูนย์แท็กซี่เรดิโอ 1681 แห่งนี้ได้ทำการเช่าสัมปทานจากกรมไปรษณีย์เพื่อทำการติดตั้งระบบ และเช่าพื้นที่ตั้งเสาร่วมกับดีแทคให้บริการทั้งหมด 19 คลื่นความถี่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล งานนี้ อุไร วัยอัศว ผู้จัดการศูนย์วิทยุ 1681 อธิบายรายละเอียดเทคโนโลยีดังกล่าวว่า ระบบการทำงานของศูนย์วิทยุ 1681 นี้มีระบบเริ่มแรกก็เหมือนกับศูนย์บริการวิทยุของแท็กซี่อื่นๆ คือเจ้าหน้าที่ศูนย์จะสอบถามชื่อ เบอร์โทร. และเส้นทางที่จะไปถึงบ้านของคุณ จากนั้นระบบคอมพิวเตอร์จะจัดส่งข้อมูลของผู้โดยสารผ่านระบบดาวเทียม ไปยังแท็กซี่สังกัดของศูนย์ภายใน 5 นาทีเท่านั้น แต่ที่แตกต่างคือ ระบบการจัดส่งข้อความไปยังรถแท็กซี่ปลายทางนี้จัดส่งด้วยระบบการแบ่งเป็นไซต์ไป ไซต์ที่ว่าคือจัดแบ่งพื้นที่ออกเป็นโซนนั่นเอง เพื่อจะได้สะดวกต่อการทำงานและตัดปัญหาการแย่งงานกันออกไป ซึ่งเครื่องตรวจจับสัญญาณนี้คือ ตัวที่จะบอกว่าขณะนี้แท็กซี่คันใดอยู่ในโซนไหน เพื่อที่คอมพิวเตอร์ของศูนย์จะจัดส่งข้อความไปได้ถูก เช่น แท็กซี่คันนี้อยู่ที่ย่านแจ้งวัฒนะ ก็จะได้รับงานอยู่ในโซนของแจ้งวัฒนะเท่านั้น รถคันอื่นที่อยู่นอกโซนจะไม่ได้เห็นงาน จุดนี้จึงตัดปัญหาเรื่องการแย่งงาน แย่งรับผู้โดยสารไปได้เลย อุปกรณ์ในการตรวจจับและรับสัญญาณเครื่องละ 30,000 กว่าบาทนี้ว่า เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่คิดค้นโดยคนไทย ผลิตโดยคนไทย เจ้าเครื่องนี้มีหน้าตาคล้ายกับเพจเจอร์ที่เคยฮิตเมื่อหลายปีก่อน แต่อันนี้มีขนาดที่ใหญ่กว่ากันมาก และใช้รับข้อความออกมาเป็นตัวอักษรผ่านดาวเทียม พร้อมกับแผนที่ของสถานที่จุดหมายปลายทางนั้นๆ ส่งมาจากศูนย์ควบคุมอีกทอดหนึ่ง สำหรับข้อดีของเครื่องนี้ ทางศูนย์สามารถตรวจจับได้ว่าแท็กซี่แต่ละคันอยู่ตรงไหน สามารถตรวจหาได้จากการใส่หมายเลขรถเข้าไปในโปรแกรมเท่านั้น หน้าจอจะแสดงผลออกมาเป็นแผนที่ที่แท็กซี่คันดังกล่าวอยู่ และศูนย์ยังสามารถเรียกดูข้อมูลการเดินทางของแท็กซี่คันนั้นๆ ได้อีกด้วยว่า วันที่นี้ๆ ได้ขับรถไปที่ไหน เรื่องนี้ก็เคยได้ใช้ประโยชน์มาแล้ว โดยมากจะเป็นเรื่องของหาย แล้วมีคนเข้ามาแจ้งว่า นั่งรถของศูนย์ 1681 แล้วลืมของไว้ เพียงแต่แจ้งว่าขึ้นรถที่ไหนวันที่เท่าไร เวลาอะไร เราก็สามารถจะตรวจสอบและไล่ไปจนเจอรถคันดังกล่าวจนได้ (มติชนรายวัน อังคารที่ 2 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





เพ้นท์ลายผ้าด้วยยางกล้วยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์

นางสาวเกศิณี แตงไทย นักศึกษาระดับปริญญาตรีปีที่ 2 คณะคหกรรมศาสตร์ สาขาคหกรรมศาสตร์ศึกษา (ผ้าและ เครื่องแต่งกาย) มหา วิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตภาคใต้ เป็นผู้ดำเนินการวิจัยการเพ้นท์ลายผ้าด้วยยางกล้วย แล้วนำผ้าที่เพ้นท์มาตัดเย็บเป็นชุดราตรีแสนสวยด้วยฝีมือของเธอเอง ขั้นตอนของการทำงานวิจัยชิ้นนี้ว่า “การเพ้นท์ผ้าด้วยยางกล้วยเป็นแผนงานพิเศษที่ทำส่งอาจารย์ ซึ่งสิ่งแรกที่นึกถึงคือสีจากธรรมชาติ โดยต้องเป็นสีที่มีความคงทน สีไม่ตก และยางกล้วยก็เป็นสีชนิดเดียวที่มีคุณสมบัตินี้และที่พิเศษ ก็คือยางกล้วยจะมีลักษณะคล้ายสีน้ำมัน โดยการทดลองขั้นแรกต้องทดสอบเปรียบเทียบยางกล้วยแต่ละชนิด ก่อนว่าชนิดไหนมีความเหมาะสมที่ จะนำมาเพ้นท์ลงบนผ้าได้ จะต้องคัดเลือกให้ได้ยางแท้ที่มีน้ำเจือปนอยู่น้อยที่สุด ผลปรากฏว่า กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม และกล้วยยางนา มีลักษณะเหมาะสมและใกล้เคียงกัน คือในการปาดครั้งแรก ๆ ยางกล้วยจะมีสีใส ๆ และเมื่อเวลาผ่านไปสีของยางกล้วยก็จะ มีสีเข้มขึ้นและเหนียวขึ้น สำหรับเทคนิคในการปาดเพื่อให้ได้ยางกล้วยที่ดีและมากที่สุด คือต้องปาดบริเวณใกล้ผลกล้วยเพราะบริเวณนั้นจะมีความเข้มข้นสูง เมื่อได้ยางกล้วยแล้วต้องเก็บไว้ในขวดที่ปิดฝาสนิท และควรแช่ตู้เย็นเพื่อรักษาประสิทธิภาพของยางกล้วย” สำหรับขั้นตอนการเพ้นท์ ผ้าด้วยยางกล้วยนั้นเกศินีบอกว่า เริ่มจากการเตรียมวัสดุอุปกรณ์ได้แก่ น้ำ ยางกล้วยที่จะนำมาใช้ในการเพ้นท์ พู่กันเบอร์ 2, 8 แผ่นกระจก สำหรับรองเพ้นท์ เศษผ้าสำหรับเช็ดพู่กัน ขั้นตอนที่ 2 นำผ้าที่ลอกลายที่จะใช้ในการเพ้นท์ไว้แล้ว ทำการรีดให้เรียบ โดยไม่ต้องใช้น้ำยารีดผ้าเรียบ เพราะอาจทำให้เพ้นท์ไม่ติดได้ จากนั้นทำความสะอาดกระจกที่นำมาสำหรับรองเพ้นท์ให้สะอาด แล้วนำไปวางไว้บนพื้นที่เรียบเสมอกัน ต้อง เป็นพื้นราบไม่ลาดเอียง นำผ้าที่จะ ทำการเพ้นท์ปูวางบนแผ่นกระจกให้เรียบ แล้วลงมือทำการเพ้นท์ตามลวดลายที่กำหนดไว้ ขั้นตอนที่ 3 วิธีการเพ้นท์ ให้เริ่มเพ้นท์บริเวณบนสุดของลาย ก่อน เพื่อจะได้ไม่ทำให้มือไปถูกส่วน ที่เพ้นท์ไว้ก่อนแล้ว จากนั้นเริ่มเพ้นท์ลายที่อยู่ริมทางด้านซ้ายมือก่อน แล้วจึงเพ้นท์ในส่วนต่อมาทางขวามือไปเรื่อย ๆ จนสิ้นสุดลาย เมื่อเพ้นท์เสร็จในรอบแรก สามารถเพ้นท์ทับในส่วนที่ต้องการเพ้นท์ให้เกิดสีเข้มหรือเพื่อเพิ่มมิติของรูปได้ เสร็จแล้วผึ่งไว้ให้แห้ง ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อให้เกิดสีเต็มที่ก่อนแล้ว ค่อยน้ำไปเย็บประกอบตามขั้นตอนให้เป็นชุดที่ออกแบบไว้ ผู้สนใจกรรมวิธีการเพ้นท์ลายผ้าจากยางกล้วยสอบถามรายละเอียดไปได้ที่ นางสาวเกศิณี แตงไทย คณะคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตภาคใต้ หมายเลขโทรศัพท์ 0-7431-6263, 0-7431-6260-2 ในวันและเวลาราชการ. (เดลินิวส์ พุธที่ 3 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





‘ถ่านผลไม้ดูดกลิ่น’ ภูมิปัญญาของเยาวชนเกษตร

สมาชิกยุวเกษตรกรประจำตำบลหนองกะท้าว ตั้งอยู่ หมู่ 8 ต.หนองกะท้าว อ.นครไทย จ.พิษณุโลก ภายใต้การนำของ นายนันทพงศ์ ทองพูน ประธานกลุ่มวัย 24 ปี ที่มีสมาชิกเครือข่ายทั้งในและนอกโรงเรียนจำนวน 16 คน เกิดแนวความคิดที่จะนำพืชผลทางการเกษตรมาเพิ่มมูลค่าให้เป็นสินค้าที่สามารถสร้างรายได้ให้กับสมาชิก ในกลุ่มด้วยการทำ “ถ่านผลไม้ดูดกลิ่น” ในเบื้องต้นจึงทดลองนำผลไม้ที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นและรับซื้อผลไม้ที่ตกเกรดจากตลาดและ โรงงานในราคาถูกมาเผาด้วยวิธีการง่าย ๆ คือ ใช้ปี๊บเป็นวัสดุรองผลไม้และใช้แกลบเป็นเชื้อ เพลิง ทำให้ได้ถ่านผลไม้มาจำนวนหนึ่ง จากนั้นทดสอบด้วยการผ่าผลมะกรูดไปใส่ไว้ในรองเท้า แล้วนำถ่านผลไม้ที่ผลิตมาใส่ไว้อีกครั้งเพื่อช่วยดูดกลิ่น ปรากฏว่าสามารถช่วยระงับกลิ่นมะกรูดได้ จึงคิดที่จะผลิตถ่านผลไม้ขึ้นมาเพื่อหารายได้เข้ากลุ่ม แต่ปริมาณที่ผลิตในขณะนั้นยังไม่มากพอสำหรับการจำหน่ายเพราะต้องใช้ระยะเวลาในการเผาค่อนข้างนานประมาณ 1-2 วัน ทำให้เกิด การล่าช้าและไม่คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป อีกทั้งมี ต้นทุนที่สูงอยู่จากการซื้อแกลบมาเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในการเผา ดังนั้น ทางกลุ่มฯ จึงใช้ภูมิปัญญาหาวิธีการเผาแบบใหม่เพื่อให้ได้ถ่านผลไม้ในปริมาณที่มากขึ้นด้วยการขุดหลุมให้มีขนาดกว้าง 1x1.5 เมตร ลึก 1 เมตร โดยหลุมที่ทำนั้นสามารถบรรจุผลไม้ได้จำนวน 20 กก. จากนั้นคัดเลือกผลไม้ที่มีลักษณะเปลือกแข็ง เมื่อเผาแล้วสามารถคงรูปเดิมได้ เช่น ข้าวโพด ส้มโอ สับปะรด มังคุด กล้วย น้อยหน่า มาเป็นวัสดุในการจัดทำ ขั้นต่อมานำผลไม้วางบนตะแกรงลวดใช้ถ่านจากซังข้าวโพดและซังข้าวโพดแห้งเป็นเชื้อเพลิง เผาไหม้ใช้เวลาในการเผานาน 10 ชั่วโมงก็จะได้ถ่านผลไม้ไว้ใช้ดูดกลิ่น ทำให้ประหยัดเวลาและได้ผลผลิตมาก กว่าเดิม ผู้สนใจสินค้าถ่านผลไม้ดูดกลิ่นของสมาชิกกลุ่มยุวเกษตรกรหนองกะท้าว หรือต้องการเป็นตัวแทนจำหน่าย ติดต่อได้ที่ สำนักงานเกษตรจังหวัดพิษณุโลก โทร. 0-5521-9068 หรือ นายนันทพงศ์ ทองพูน โทร. 0-9048-5514 (เดลินิวส์ พุธที่ 3 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ม.ธนบุรีลุยพัฒนาเซลล์เชื้อเพลิง เน้นเทคโนฯไทยแต่คุณภาพสากล

รศ.ดร.อภิชัย เทอดเทียนวงษ์ โครงการทักษวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางโครงการได้วิจัยเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel cell) เพื่อเป็นแหล่งกำเนิดกระแสไฟฟ้าให้รถยนต์และอุปกรณ์ไฟฟ้าขนาดเล็ก เช่น คอมพิวเตอร์พกพาและแบตเตอรี่โทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยชนิดเซลล์เชื้อเพลิงที่กำลังทำวิจัยนี้ เป็นเซลล์เชื้อเพลิงแบบเมมเบรนแลกเปลี่ยนโปรตอน (Proton Exchange Membrane Fuel cell) ปัจจุบัน ทีมวิจัยกำลังศึกษาและพัฒนา ในส่วนที่เป็นเมมเบรนของเซลล์เชื้อเพลิง โดยส่วนนี้จะทำหน้าที่ในการแลกเปลี่ยนอิเล็กตรอนทำให้เกิดประจุไฟฟ้าขึ้น ซึ่งยังมีราคาที่สูงมากและมีบริษัทเอกชนเพียงไม่กี่แห่งที่ผลิตส่วนนี้ออกมาจำหน่าย ขณะนี้ มหาวิทยาลัยกำลังสร้างตัวเร่งปฏิกรณ์ ซึ่งสำคัญในกระบวนการผลิตไฮโดรเจน โดยใช้หลักการออกแบบทางวิศวกรรม และจะพัฒนาต่อให้มีขนาดเล็กลง สามารถซ่อมได้ง่าย อีกทั้งมีความปลอดภัยในการนำเซลล์เชื้อเพลิงไปใช้อีกด้วย และในส่วนต่อมาเรากำลังสร้างเซลล์เชื้อเพลิง ที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่าต่างประเทศ จากปัจจุบันเราสามารถทำได้ขนาด 300 วัตต์ เหมาะสำหรับโน้ตบุ๊ค เซลล์เชื้อเพลิงคือ เครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าโดยอาศัยปฏิกิริยาเคมีไฟฟ้า ซึ่งมีลักษณะการทำงานคล้ายกับแบตเตอรี่ แต่แตกต่างกันที่ เซลล์เชื้อเพลิงไม่จำเป็นต้องหยุดเพื่อชาร์จไฟ เพราะเซลล์เชื้อเพลิงสามารถทำงานอย่างต่อเนื่อง ตราบใดที่ยังคงมีการป้อนเชื้อเพลิงและก๊าชออกซิแดนท์ เข้าไปตลอด สำหรับเชื้อเพลิงที่ป้อนเข้าเซลล์เชื้อเพลิงในปัจจุบัน มีตั้งแต่ ก๊าชไฮโดรเจน เมทานอลและเอทานอล ในขณะที่ก๊าชออกซิแดนท์ คือ ก๊าชออกซิเจน หรือ อากาศเป็นหลัก รศ.ดร.อภิชัย บอกว่า เดิมที่มีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2549 ในตลาดโลกบริษัทเอกชนต่างๆ จะผลิตเซลล์เชื้อเพลิงมาใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะตลาดรถยนต์ แต่เนื่องจากการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ เกี่ยวกับเซลล์เชื้อเพลิง ยังคงมีราคาแพง ทำให้เซลล์เชื้อเพลิงไม่เป็นที่นิยมอย่างที่คาดการณ์ไว้ "ปัจจุบันเงินวิจัยสำหรับโครงการนี้ ยังไม่ถูกบรรจุในแผนพัฒนาแห่งชาติ ซึ่งตอนนี้ก็มุ่งไปที่ก๊าซธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่ว่ายังไม่ได้มองถึงการนำก๊าซไฮโดรเจนมาใช้มากนัก ซึ่งนักวิจัยเองก็ต้องผลักดันเรื่องนี้เพราะต้องใช้เงินวิจัยในระดับพันล้าน (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 6 ส.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ไส้กรองพิเศษเปลี่ยนฉี่เป็นน้ำดื่ม แก้ปัญหาขาดแคลนน้ำเบ็ดเสร็จ

องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ สหรัฐ (นาซา) สูญเงินไปถึงประมาณ 2,495 ล้านบาทในการขนส่งน้ำดื่มให้กับสถานีอวกาศนานาชาติ (ไอเอสเอส) จึงได้มีการพัฒนาระบบที่ทำน้ำให้บริสุทธิ์ โดยรวบรวมเหงื่อของนักบินอวกาศ ความชื้นจากอากาศ น้ำทิ้ง และปัสสาวะ และเปลี่ยนกลับมาเป็นน้ำดื่ม ช่วยให้ลดจำนวนน้ำที่จะต้องส่งขึ้นสู่อวกาศได้ถึง 2 ใน 3 และช่วยให้ยานอวกาศมีที่ว่างสำหรับนักบินอวกาศได้มากกว่า 4 คน ระบบกรองน้ำนี้สามารถช่วยนาซาขจัดปัญหาภายในกระบวนท่าเดียว คือกำจัดน้ำใช้แล้ว และนำมาผ่านกระบวนการเพื่อนำปัสสาวะกลับมาเป็นน้ำดื่มให้กับนักบินอวกาศ โดยทางองค์การกำลังทดสอบระบบนี้ที่ศูนย์อวกาศมาร์แชลล์ ในฮันท์สวิลล์ อลาบามา ซึ่งพนักงานจะถูกเก็บเหงื่อ ความชื้นจากการหายใจ และปัสสาวะ แล้วนำมาทำความสะอาดและนำกลับมาบริโภค บริษัท วอเตอร์ ซีเคียวริตี ซึ่งบริษัทเอกชนใหม่ จึงหาวิธีนำเทคโนโลยีของนาซามาไขปัญหาสิ่งแวดล้อมบนโลก โดยได้เพิ่มตัวกรองพิเศษลงในระบบของนาซา สร้างระบบที่สามารถขจัดไวรัสในน้ำได้ร้อยละ 99.9 ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมากในประเทศกำลังพัฒนา การเปลี่ยนของเสียจากร่างกาย และเปลี่ยนน้ำที่มีสารปนเปื้อน ให้กลายเป็นน้ำสะอาดมี 6 ขั้นตอนด้วยกัน เริ่มจากระบบแรกจะเป็นตัวกรองก่อนที่จะแยกอนุภาคขนาดใหญ่ของตะกอนและดินทราย อย่างเช่น เส้นผม ฝุ่น ออกมา ขั้นต่อไปเป็นการใช้ตัวกรองคาร์บอนจะดึงผลิตภัณฑ์ของเสียอินทรีย์ที่อยู่ในปัสสาวะ อย่างเช่น ยูเรีย กรดยูริค และครีเอตินีน ออกมา สู่ท่อที่พัฒนาขึ้นมาโดยวอเตอร์ ซีเคียวริตี ที่บรรจุเม็ดสีดำเล็กๆ ของเรซินไอโอดิเนต เมื่อมีสิ่งมีชีวิตจิ๋วเข้ามาชนกับเม็ดนี้ เจ้าเม็ดสีดำจะปล่อยไอโอดีนออกมาฆ่าทันที ไอโอดีนจะถูกปล่อยเข้าสู่น้ำทีละน้อย และจะมีความเสถียรมากในช่วงอุณหภูมิและค่าความเป็นกรดเป็นด่างที่กว้าง นี่เป็นสิ่งที่คุณต้องการในอวกาศ และมันยังสามารถทำให้น้ำที่สกปรกที่สุด เหม็นที่สุดในโลก ให้กลายเป็นน้ำดื่มที่สะอาดและปลอดภัยได้ น้ำในถังจะได้ไอโอดีนในเวลาที่พอเหมาะที่จะฆ่าเชื้อได้ จากนั้น ตัวกรองเรซินจะดึงไอโอดีนออกมา พร้อมกับไนเตรทและโลหะหนัก สุดท้ายน้ำจะมาผ่านตัวกรองที่กำจัดคริปโรสโปไรเดียม จุลินทรีย์ในน้ำที่ทนต่อไอโอดีน และทำให้น้ำมีรสอร่อย หลังจากกระบวนการกรองน้ำ 30 วินาที จะได้น้ำสะอาดไหลออกจากปลายท่อ ส่วนเรื่องรสชาติของน้ำนั้น มีรสชาติที่ดีพอใช้ แม้จะเทียบไม่ได้กับรสชาติของน้ำแร่ ทว่าดีกว่ารสชาติน้ำประปาในเมืองส่วนใหญ่ (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 3 ส.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ไขความลับเอนไซม์-ลดสารตกค้าง ทางรอด "สิ่งแวดล้อมไทย"

ผศ.ดร.พิมพ์ใจ ใจเย็น นักเรียนทุนโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทาง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้รับรางวัล Loreal-Unesco fellowship for Woman to Science 2546 ใน "โครงการวิจัยเพื่อศึกษากลไกการทำงานของเอนไซม์ เพื่อกำจัดสารพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อม" ผศ.ดร.พิมพ์ใจ เล่าถึงลักษณะของงานวิจัยว่าเป็นการนำเอาเอนไซม์ซึ่งเป็นสารอินทรีย์เร่งปฏิกิริยาในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด โดยเอนไซม์แต่ละชนิดจะทำหน้าที่ต่างกันเพื่อควบคุมองค์ประกอบทางเคมีในร่างกาย แต่งานวิจัยชิ้นนี้จะเลือกศึกษาเฉพาะ "เอนไซม์ที่ใช้วิตามินบี 2 และออกซิเจน" ในการทำงานหรือที่เรียกว่า "ออกซิเจนเนส" (Oxygenase) ซึ่งมักพบในกระบวนการทำงานของร่างกายของมนุษย์ เช่น กระบวนการย่อยอาหาร ระบบการหายใจ เป็นต้น เพื่อเรียนรู้ถึงและเลียนแบบกระบวนการทำงานของเอนไซม์ในกลุ่มนี้ โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่การใช้เอนไซม์ออกซิเจนเนส เพื่อย่อยสลายสารประกอบประเภทอโรมาติกและการสืบค้นหาเอนไซม์ซึ่งมีปฏิกิริยาเรืองแสงจากแบคทีเรีย ของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมหรือสารตกค้างจากยาฆ่าแมลงจะมีส่วนประกอบของสารอโรมาติกซึ่งเป็นสารมีความเสถียรสูงและละลายน้ำยาก เมื่อสะสมปริมาณมากจะเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม ในงานศึกษากลุ่มแรก เรานำเอาสารอโรมาติกมาเติมสารไฮดรอกซิล กรุ๊ปโดยใช้เอนไซม์กลุ่มวิตามินบี 2 เป็นตัวเร่งกระบวนการทั้งหมด เรียกว่า "ปฏิกิริยาฟิเนลไฮดรอกซเรท" ช่วยเปลี่ยนสมบัติของสารอโรมาติกให้สามารถละลายน้ำและย่อยจนกลายเป็นสารคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งไม่ก่อพิษต่อสิ่งแวดล้อมในที่สุด นอกจากนี้ การศึกษาดังกล่าวยังช่วยให้เข้าใจถึงกระบวนการอันซับซ้อนของการถ่ายเทสารของเอนไซม์ 2 ตัวในขณะเติมสารไฮดรอกซิล กรุ๊ป กล่าวคือ เอนไซม์พรีดักส์เทส ตัวหนึ่งทำหน้าที่ผลิตสาร รีดิวด์ เฟร์วินซึ่งเป็นสารไม่เสถียร และเอนไซม์อีกตัวจับเอาออกซิเจนและสารอโรมาติกเข้ามาทำปฏิกิริยาร่วมกัน การค้นพบครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกในประเทศไทยเลยทีเดียว ความสำเร็จในการถอดรหัสธรรมชาติของเอนไซม์ในกลุ่มแรกซึ่งเกิดจากความสนใจและมุ่งมั่นเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ในวงการวิทยาศาสตร์ยังมีส่วนต่อยอดในงานวิจัยเอนไซม์อีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งกลายเป็นเครื่องมือสำคัญใช้ค้นหาสารเคมีตามธรรมชาติ งานวิจัยทั้ง 2 ส่วนได้รับการการตีพิมพ์ในวารสารทางวิทยาศาสตร์ระดับนานาชาติ ซึ่งได้รับการยอมรับจากนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก อาทิ Science Direct, Europe Journal และ Biochemistry Journal เป็นต้น (ข่าวสด พุธที่ 3 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





เครื่องตรวจวัดระดับความดันเลือด ความสำเร็จของไมโครชิพฝีมือไทย

ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ หรือ TMEC หน่วยงานสังกัดศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิว เตอร์แห่งชาติ ในการแสดงความพร้อมในการเป็นฐานการผลิตสำหรับอุตสาหกรรมไมโครชิพของประเทศไทย ด้วยการพัฒนา “Silicon blood Pressure sensor” ให้กับบริษัท RADI Medical Systems บริษัทไฮเทคจากสวีเดน ในเชิงพาณิชย์ ทั้งนี้ไบโอเซ็นเซอร์ หรือชิพขนาดเล็กที่ผลิตโดย TMEC ถูกนำเป็นชิ้นส่วนสำคัญในการผลิตเครื่องตรวจวัดระดับความดันในเลือดสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ ดร.อิทธิ ฤทธาภรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์ TMEC บอกว่า บริษัท RADI ซึ่งมีผลิตภัณฑ์หลักคืออุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจวัดความดัน การไหลและอุณหภูมิในเส้นเลือด ได้ขยายกิจการและเข้ามาตั้งโรงงานประกอบและสาธิตอุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับตลาดเอเชีย ที่จังหวัดภูเก็ต เดิมทีไบโอ เซ็นเซอร์ชนิดนี้ ต้องอาศัยการนำเข้าจากสวีเดน และนำมาประกอบเป็นผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายในประเทศไทย ซึ่งทำให้ต้นทุนการผลิตสูง แต่เมื่อมีการพัฒนาร่วมกันระหว่าง TMEC และ RADI ทำให้ไม่ต้องนำเข้าชิ้นส่วนดังกล่าว โดย TMEC จะเป็นผู้ผลิตให้บริษัท RADI ในประเทศไทย ประมาณ 1 แสนชิ้นต่อปี ทั้งนี้อุปกรณ์ตรวจวัดระดับความดันในเลือดสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ จะมีชิ้นส่วนไมโครชิพหรือซิลิคอนขนาดเล็กประมาณ 100 ไมครอนเป็นหัวใจในการทำงาน เมื่อแทงสายที่ปลายติดชิพดังกล่าวเข้าทางเส้นเลือดจากต้นขา ชิพดังกล่าวจะแปลงระดับความดันเลือดไปเป็นสัญญาณไฟฟ้า รายงานผลผ่านจอคอมพิวเตอร์ ทำให้แพทย์ทราบว่า มีการอุดตันหรือหลอดเลือดตีบที่จะต้องทำบอลลูนที่จุดใดบ้าง ดร.อิทธิ บอกอีกว่า ปัจจุบัน TMEC พัฒนาสายการผลิตในระดับ 0.8 และ 0.5 ไมครอน มีกำลังการผลิตประมาณ 500 เวเฟอร์ต่อเดือน การผลิตชิพ ป้อน บริษัท RADI จำนวน 1 แสนชิ้นต่อปีนั้นใช้แค่ประมาณ 2-3 เวเฟอร์เท่านั้น กำลังการผลิตที่เหลืออยู่ระหว่างการนำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น เครื่องเซ็นเซอร์อัจฉริยะในการตรวจวัดลมในยางรถยนต์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย ซึ่งอนาคตยางทุกเส้นในรถยนต์ควรจะต้องติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าว เมื่อยางลมอ่อนหรือรั่ว จะเตือนผู้ขับขี่แบบอัตโนมัติได้ทันท่วงที นอกจากนี้ยังมีแผนการพัฒนาไปสู่ชิพอัจฉริยะ หรืออาร์เอฟไอดีอีกด้วย (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 4 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ราชมงคลสุวรรณภูมิ แยกสิ่งปลอมปนข้าวสารด้วยไฟฟ้าสถิต

ธนัต ลิ้มมั่ง, วรพงษ์ ศิลาธรรมและสาธิต เกตุนาค จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ วิทยาเขตสุพรรณบุรี รวมเอาทฤษฎีด้านวิศวกรรมไฟฟ้าแรงสูง, ด้านฟิสิกส์ และหลักการเกิดไฟฟ้าสถิต มาประดิษฐ์เครื่องคัดแยกสิ่งแปลกปลอมออกจากข้าวสารได้เป็นผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ โดยมีอาจารย์ประมุข อุณหเลขกะ และ อาจารย์พงษ์เทพ เกิดดอนแฝก เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาตลอดโครงการ หลักในการคัดแยกจะอาศัยเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ส่งไฟฟ้ากระแสตรงไปยังตัวเครื่องแยก ที่มีแผ่นเพลส 2 แผ่น ระหว่างแผ่นเพลสจะมีสนามไฟฟ้า เมื่อข้าวสารถูกเทลงด้านบนตัวเครื่องให้ไหลผ่านสนามไฟฟ้า สิ่งที่ปนมากับข้าวสารจะถูกแยก ออกให้ไหลออกคนละช่องกับข้าวสารที่ถูกคัดแยกแล้ว จากการทดสอบประสิทธิภาพแล้วพบว่า เครื่องจะทำงานได้ดีที่สุดสำหรับแยกพวกเศษเมล็ดหญ้า มอด ที่แรงดันไฟฟ้า 42 กิโลโวลต์ และต้องปรับมุมเอียงของแผ่นเพลสที่ 35 องศา ระยะห่างเท่ากับ 11 เซนติเมตร ซึ่งประสิทธิภาพในการคัดแยกมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ เครื่องสามารถทำงานได้ 1 ชั่วโมงต่อข้าว 1 เกวียน เนื่องจากน้ำหนักของสิ่งปลอมปนแต่ละอย่างมีน้ำหนักไม่เท่ากัน ดังนั้นในการคัดแยกสิ่งปลอมปนที่มีน้ำหนักต่างกันมาก ๆ ในการใช้แรงดันไฟฟ้าและระยะห่างของแผ่นเพลสย่อมจะไม่เท่ากันเพื่อให้การทำงานของเครื่องมีประสิทธิภาพมากที่สุด เครื่องนี้สามารถปรับระยะห่างของเพลส และแรงดันไฟฟ้าได้ เพื่อให้เหมาะสมกับสิ่งแปลกปลอมที่ต้องการแยก เช่น ถ้าสิ่งที่ปนมาในข้าวสารนั้นเป็นสิ่งที่มีน้ำหนักมากกว่าพวกเศษเมล็ดหญ้า หรือพวกมอด ก็ต้องปรับแรงดันไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 42 กิโลโวลต์ ค่อย ๆ ปรับขึ้นจนได้อัตราที่สนามไฟฟ้าสามารถยกสิ่งปลอมปนนั้นแยกออกจากข้าวสารได้ เป็นต้น และเครื่องยังสามารถนำไปประยุกต์เพื่อแยกสิ่งปลอมปนในวัสดุอื่น ๆ ได้อีกด้วย ผู้ใดสนใจหรือมีข้อสงสัยสามารถสอบถามไปได้ที่ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม สาขาเทคโนโลยีไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ วิทยาเขตสุพรรณบุรี หมายเลขโทรศัพท์ 0-3554-4301-3 หรือ 0-6122-3868. (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 4 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ข้าวกล้องใหม่กินอิ่มไม่อ้วนแถมวิตามินเข้มข้นแต่ให้น้ำตาลในเลือดต่ำ

น.ส.พัชรี ตั้งตระกูล นักวิจัยสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยถึงข้าวกล้องสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาทรวดทรงองเอวว่า เป็นผลงานที่ได้จากการค้นคว้าวิจัยของสถาบัน โดยใช้ชื่อว่า โอ-ไรซ์ (O-RICE) ถือได้ว่ามีคุณสมบัติพิเศษกว่าข้าวกล้องเพื่อสุขภาพทั่วไป กล่าวคืออุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูง อายุการเก็บรักษานานกว่า 2 สัปดาห์โดยไม่เหม็นหืน และเหมาะสำหรับผู้ป่วยคนเบาหวาน ในการวิจัยได้ค้นพบกระบวนการผลิตข้าวกล้องใหม่ เริ่มจากนำข้าวเปลือกมาผ่านความร้อนชื้นด้วยไอน้ำแรงสูง และเข้าสู่กระบวนการอบแห้งในทันที จากนั้นจึงนำข้าวเปลือกที่ได้ไปผ่านกระบวนการขัดสี โดยไอน้ำแรงสูงจะช่วยรักษาเปลือกข้าว ซึ่งอุดมสมบูรณ์ด้วยวิตามินและแร่ธาตุ ไม่ให้หลุดออกไปจากการถูกกะเทาะในขั้นตอนการขัดสี ส่งผลให้สารอาหารที่เป็นประโยชน์อยู่ครบถ้วน นอกจากนี้ ความร้อนยังทำให้เอนไซม์ไลเปสในเมล็ดข้าวถูกทำลาย ส่งผลให้ดัชนีไกลซิมิคต่ำกว่าข้าวกล้องปกติ ซึ่งดัชนีดังกล่าวเป็นตัวบ่งชี้ความสามารถของอาหารที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นระดับน้ำตาลในเลือด ค่าที่ต่ำแสดงถึงการย่อยสลายให้ได้น้ำตาลในเลือดต่ำ จึงเหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานและผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ขณะเดียวกัน ภายในเมล็ดข้าวโอ-ไรซ์ ยังอุดมด้วยสารรักษาสมดุลการส่งสัญญาณประสาทภายในสมอง ส่งผลให้รู้สึกผ่อนคลายขณะนอนหลับอีกด้วย ทั้งนี้ สถาบันได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้บริษัท เพชรบูรณ์ อินโนเวชั่น จำกัด ซึ่งจะแสดงและผลิตออกขายซองละ 15 บาท (ขนาดรับประทาน 2 คน 1 มื้อ) ในงานประชุมและนิทรรศการด้านนวัตกรรม อินโนเวเชีย 2005 ระหว่างวันที่ 21-23 กันยายนนี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 4 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





วิจัยพบนกทะเลในอลาสกา มีสารเคมีที่ส่งกลิ่นไล่ยุงได้

เฮคเตอร์ ดักลาส นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอลาสกาแฟร์แบงก์ ค้นพบคุณสมบัติพิเศษของนกทะเลออคเล็ต (auklet) ที่อาศัยอยู่ทางตะวันตกของอลาสกา สามารถส่งกลิ่นไล่ยุง หมัด และไร ให้ไกลจากตัวได้ด้วย การค้นพบครั้งนี้เป็นไปโดยบังเอิญ ระหว่างที่ดักลาสกำลังทำวิจัยให้กับหน่วยพิทักษ์สัตว์ป่าและพันธุ์ป่าของสหรัฐ ณ เกาะคิสตา โดยเขาได้กลิ่นคล้ายกลิ่นเปลือกส้ม เมื่อนกออคเล็ตทั้งฝูงบินมาอยู่ใกล้ๆ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้มั่นใจกับสมมติฐานที่ตั้งขึ้น นักวิจัยหนุ่มรายนี้จึงนำขนนกออคเล็ตไปตรวจวิเคราะห์ที่ห้องปฏิบัติการ และพบว่าภายในขนนกมีสารเคมีที่ส่งกลิ่นออกมาเหมือนกับยาทากันยุงไม่ผิดเพี้ยน หลังจากนั้น ได้ทดสอบคุณสมบัติไล่ยุง ด้วยการนำสารที่ได้มาจากขนนกไปแต้มลงบนกระดาษ และนำกระดาษมาติดที่มือ ก่อนจะยื่นมือเข้าไปในกรงเพาะยุงภายในห้องทดลอง พบว่า ยุงทุกตัวพยายามบินหนีไปให้พ้นรัศมีของกลิ่นเพชฌฆาตอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นปฏิกิริยาเดียวกันกับที่พวกมันได้กลิ่นของสารดีอีอีที และสารทากันยุงอื่นๆ แต่ก่อนจะยืนยันว่าสามารถนำไปผลิตเพื่อการค้าได้จริง ดักลาสต้องทำวิจัยเพิ่มก่อนว่าจะไม่เป็นอันตรายกับผิวหนังของผู้ใช้งาน (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 4 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





สวทช.ดึงต่างชาติช่วยผู้ผลิตหินปูน ทำนาโนแคลไซด์

สวทช.ดึงผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ ช่วยผู้ผลิตแร่แคลไซด์รายใหญ่ วางระบบห้องปฏิบัติการและถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิต ด้านเอกชนพอใจผลงาน เผยสามารถเพิ่มมูลค่าสินค้า 5-8 เท่าตัว แถมอีก 5 ปีหวังสร้างผลิตภัณฑ์ 'นาโนแคลไซด์' เป็นรายแรกในไทย นางสาวชนากานต์ สันตยานนท์ ที่ปรึกษาเทคโนโลยี โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า โครงการได้สนับสนุน Kiyoshi Takahashi ผู้เชี่ยวชาญชาวแคนาดาเชื้อสายญี่ปุ่น ซึ่งมีความรู้ด้านแคลเซียมคาร์บอเนต และด้านพลาสติกอย่างลึกซึ้ง มาวางระบบห้องปฏิบัติการและถ่ายทอดความรู้ในกระบวนการผลิต ให้ผู้ผลิตแร่แคลไซด์รายใหญ่ของประเทศ ส่งผลให้บริษัทสามารถปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่เป็นรายแรกของไทย ผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่ที่ได้เป็นแคลไซด์แบบเม็ด ที่สามารถผสมกับเม็ดพลาสติกเพื่อฉีดขึ้นรูปได้ทันที ซึ่งราคาจะเพิ่มขึ้นไปอีกกว่า 5-8 เท่าตัว (ตันละ 1.6 หมื่นบาท) และเป้าหมายอีก 5 ปีข้างหน้า ทางผู้ประกอบการต้องการจะผลิต "นาโนแคลไซด์" ที่ราคาขายปัจจุบันตันละกว่า 6 หมื่นบาท จากที่ผ่านมาจำหน่ายเฉพาะแคลไซด์บดเพื่อใช้ทำหินขัด ที่ราคาอยู่ตันละพันกว่าบาท และแคลไซด์ผงที่มีขนาดสม่ำเสมอราคาตันละ 2-3 พันบาท สำหรับแคลไซด์หรือแร่หินปูน ที่คนไทยรุ่นเก่านำมาใช้กันในชื่อของ "ดินสอพอง" และเป็นวัตถุดิบที่ใช้แพร่หลายในวงการอุตสาหกรรม อาทิ ส่วนผสมในสีทาบ้าน พลาสติกบรรจุของในห้างสรรพสินค้า กระดาษเอกสาร สารเคลือบฟัน แม้กระทั่งธนบัตรที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย โดยกรมธนารักษ์ได้สั่งซื้อแคลไซด์จากบริษัท ควอลิตี้ มิเนอรัล ไปผสมในการผลิตธนบัตรของไทย ตั้งแต่ 3 ปีก่อนจนถึงปัจจุบัน (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 4 ส.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





มช.กลั่นน้ำมันพืชเก่าเป็นไบโอดีเซล เดือนหน้าถ่ายทอดความรู้สู่ชุมชน

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่พัฒนาเครื่องผลิตไบโอดีเซลขนาดเล็กต้นทุนหลักแสน ช่วยเกษตรกรเติมดีเซลสูตรประหยัด เตรียมจัดถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับชุมชน เครื่องผลิตน้ำมันไบโอดีเซลจากน้ำมันพืชใช้แล้วที่พัฒนาโดย ผศ.ดร.อนุรักษ์ พรมวังขวา รองผู้อำนวยการ สถานจัดการและอนุรักษ์พลังงาน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นักวิจัยกล่าวว่า เครื่องผลิตน้ำมันไบโอดีเซลขนาดเล็กดังกล่าว เป็นเครื่องผลิตน้ำมันไบโอดีเซลขนาดเล็กความจุ 150 ลิตร ซึ่งใช้วัสดุภายในประเทศทำการผลิตทั้งหมด ซึ่งจะใช้งบประมาณในการผลิตเครื่องประมาณ 1 แสนบาท ถือว่าเป็นต้นทุนการประกอบที่ถูกมากหากเทียบกับเครื่องผลิตขนาดเดียวกันในต่างประเทศ และเป็นเครื่องผลิตขนาดเล็กเครื่องแรกที่สามารถผลิตได้อย่างครบกระบวนการ เครื่องผลิตน้ำมันไบโอดีเซลจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในอาทิตย์หน้า นอกจากจะนำร่องเพื่อใช้กับรถราชการของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่แล้ว ยังเตรียมการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับชุมชนด้วย รศ.ประเสริฐ ฤกษ์เกรียงไกร ผู้อำนวยการสถานจัดการและอนุรักษ์พลังงาน กล่าวว่า ในเดือนกันยายนนี้ สถานจัดการฯ เริ่มโครงการอบรมผลิตเครื่องไบโอดีเซล โดยจะเชิญตัวแทนชุมชนต่างๆ ในจ.เชียงใหม่เข้าร่วมการอบรม ผู้ผ่านการอบรมจะสามารถผลิตเครื่องดังกล่าวเพื่อนำไปขยายผลใช้ผลิตไบโอดีเซลได้เองในแต่ละชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระบวนการเปลี่ยนน้ำมันพืชใช้แล้วให้เป็นไบโอดีเซล เริ่มจากการไล่น้ำออกจากน้ำมันพืชเก่า และเตรียมน้ำมันพืชเก่าก่อนทำปฏิกิริยา การทำปฏิกิริยา การแยกกลีเซอรีน การล้างน้ำ และการต้มไล่น้ำครั้งสุดท้าย "เครื่องผลิตไบโอดีเซลขนาดเล็กที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศในปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้ทุกขั้นตอนเช่นนี้ ต้องซื้ออุปกรณ์เสริมเพิ่มเข้ามา จึงจะครบกระบวนการผลิตที่สมบูรณ์ และจะมีสนนราคารวมแล้วไม่ต่ำกว่าล้านบาทขึ้นไป" นักวิจัยแจง ในส่วนของกำลังการผลิต เครื่องขนาดเล็กสามารถจุน้ำมันพืชเก่า ซึ่งเป็นวัตถุดิบแรกเริ่มที่ใส่เข้าไปสูงสุดในปริมาณ 150 ลิตร เมื่อผ่านครบทุกกระบวนการแล้วจะให้น้ำมันไบโอดีเซลความเข้มข้น 100% หรือสูตร B100 ออกมาสูงสุดครั้งละ 138 ลิตร สามารถที่จะนำไปผสมกับน้ำมันดีเซลเพื่อให้ได้น้ำมันไบโอดีเซลที่เหมาะสมตามการใช้งานของชุมชนต่าง ๆได้ ปัจจุบันสูตรน้ำมันไบโอดีเซลที่กระทรวงพลังงานผลิตเพื่อใช้ทั่วไปนั้นเป็นสูตร B2 คือ ใช้น้ำมันไบโอดีเซล 2% ผสมกับน้ำมันดีเซล 98% "การกระจายความรู้ในการสร้างเครื่องผลิตน้ำมันไบโอดีเซลขนาดเล็กในครั้งนี้ ทางมหาวิทยาลัยคาดหวังว่าจะเป็นเครื่องที่มีกำลังการผลิตที่เหมาะสมกับการผลิตที่เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่าในชุมชนได้ในวงกว้างยิ่งขึ้น" ผอ.สถาบันจัดการฯ กล่าว (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 4 ส.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ทำบุหรี่ไร้ควันฝ่ากำแพงต่อต้าน คุยใช้สูบได้ทั่วทุกหนทุกแห่ง

บริษัทสวิสส์แห่งหนึ่งได้คิดประดิษฐ์บุหรี่ไร้ควันขึ้น เพื่อสนองความต้องการของคอยาทั่วโลก ที่ยังคงหลงเป็นทาสของมันอยู่ โฆษกของบริษัทอวดว่ามันไม่ได้ใช้เส้นยาเหมือนบุหรี่ธรรมดา หากแต่ใช้ขดลวดความร้อนปล่อยระบายนิโคตินออกมาโดยไม่มีควัน “คอยาจะควักมันออกมาได้ทุกแห่ง แม้ตามที่สาธารณะที่ห้ามสูบบุหรี่ก็ตาม ด้วยเหตุว่ามันไม่มีควันไปรบกวนใคร” โฆษกของบริษัทรับประกันว่า มันคงมีรสชาติเหมือนกับบุหรี่ธรรมดา แถมยังปลอดจากยาง สารหนู สารแคดเมียม และฟอร์มาลดีไฮด์ในเส้นยา ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเหมือนอย่างในบุหรี่ธรรมดา (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 5 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ผลิตผ้าพันแผลแม่เหล็กวิเศษ รักษาแผลเรื้อรังแรมปีหายขาด

หนังสือพิมพ์รายวันใหญ่ของอังกฤษ “เดลิ เมล์” รายงานว่า ได้มีการผลิตผ้า พันแผลแม่เหล็กขึ้น ใช้พันรักษาแผลเรื้อรังที่ขา ซึ่งเป็นมาเป็นเวลาแรมปีจนหายได้สนิท ข่าวอ้างว่า ได้ทราบเรื่องนี้มาจากวารสารการแพทย์ “การรักษาแผล” ว่า แพทย์ผู้ทดลองได้แจ้งว่า ได้เอาคนไข้มาทดลองรักษาด้วยผ้าพันแผลแม่เหล็กด้วยกันจำนวน 10 ราย ปรากฏว่าแผลที่ขาเรื้อรังหายลงอย่างราบคาบถึง 7 ราย โดยไม่เกิดเป็นใหม่ ขึ้นอีกเลย. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 5 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





สหรัฐฯ ปิ๊งคุณน้ำนมแม่สกัดรักษาโรคในทารก

นางเอลีนา เมโด ผู้บริหารระดับสูงสุดบริษัท โปรแลคตา ไบโอไซแอนซ์ เผยว่า น้ำนมแม่ มีวิตามิน แร่ธาตุ เอนไซม์ที่ช่วยย่อยอาหารและช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรค ให้ทารกสุขภาพแข็งแรงและบำรุงสมอง ซึ่งมีองค์ประกอบแตกต่าง 100,000 ชนิด จึงคิดพัฒนาน้ำนมแม่ที่ไม่เพียงช่วยเด็กที่มีน้ำหนักต่ำ กว่ามาตรฐานและบรรดาคุณแม่ ที่ให้นมลูกด้วยตัวเองไม่ได้ให้ดีกว่าปัจจุบัน โดยจะเปิดโรงงานที่เมืองมอนโรเวีย ห่างจากนครลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ไปทางตะวันตก 25 กม. เป็นแห่งแรกและเชื่อว่าเป็นแห่งเดียวในโลก เพื่อซื้อน้ำนมแม่บริจาคของธนาคาร น้ำนมเอกชนและโรงพยาบาลทั่วสหรัฐฯ แล้วนำไปกลั่นผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อ จากนั้นก็ขายคืนโรงพยาบาลเพื่อช่วย ทารกคลอดก่อนกำหนดก่อน แล้วค่อยพัฒนาสำหรับ ทารกที่หัวใจบกพร่องต้องเข้ารับการผ่าตัด หรือรายที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อและอื่นๆ แต่เฉพาะทารกเท่านั้น ขณะที่สมาคมธนาคารน้ำนม มนุษย์แห่งอเมริกาเหนือติงว่า สังคมจะเกิดข้อสงสัยตามมามากมายถึงการซื้อขาย น้ำนมคนที่เป็นการค้าไปแล้ว (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 5 ส.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





สิ่งประดิษฐ์สุดมัน

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ได้พัฒนาสุดยอดเทปกาวเหนียว โดยเลียนแบบกลวิธีจากตุ๊กแกที่เกาะติดผนังโดยไม่ตกพื้น โดยใน 1 ตารางเซนติเมตรของแผ่นกาวแบบใหม่จะมีเส้นใยพลาสติกจิ๋วนับล้าน ๆ เส้นคล้ายกับขนเหนียวที่ปกคลุมฝ่าเท้าของตุ๊กแก เทคโนโลยีใหม่นี้นอกจากจะช่วยให้มนุษย์ไต่กำแพงได้เหมือนตุ๊กแกแล้ว ยังเอาไปใช้ในงานผ่าตัดเนื้อเยื่อได้ด้วย อีกเรื่องหนึ่ง เป็นการแก้ปัญหาให้คนที่มีปัญหาต้องเขียนข้อความหรือส่งอีเมล์จนเมื่อยนิ้ว ตอนนี้มีชิปเช็ตคาเนสทา คีย์บอร์ดที่ฉายแสงเลเซอร์ไปบนพื้นผิวเรียบ ก็จะปรากฏเป็นคีย์บอร์ดเสมือนจริงให้พิมพ์ได้ทันที วิธี การทำงานของคีย์บอร์ดแบบนี้จะมีเซ็นเซอร์ ค้นหาตำแหน่งของนิ้วผู้ใช้ในแกนสามมิติ หาแป้นที่ถูกคีย์ แล้วถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ เรื่องสุดท้าย เป็นหุ่นยนต์ชื่อ ฮาล อยู่ในคราบของโครงกระดูกส่วนนอกร่างกาย ทำหน้าที่ช่วยเหลือคนพิการให้เดินได้ และในอนาคตจะขึ้นบันไดได้ด้วย ฮาล-3 เป็นชุดเครื่องช่วยเหลือ แขนขาแบบผสมที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ ประกอบด้วยคอมพิวเตอร์ 1 ตัวกับเซ็นเซอร์อีก 4 ตัว ติดกับข้อเข่าและข้อต่อตะโพก เมื่อตรวจพบสัญญาณไฟฟ้าอ่อน ๆ จากกล้ามเนื้อผู้สวมใส่ คอมพิวเตอร์จะคำนวณการเคลื่อนไหว และนำทางการเคลื่อนไหวนั้น ๆ (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 5 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





‘วานิลลา’ พืชเครื่องเทศมีกลิ่นหอมในไทยปลูกได้

มูลนิธิโครงการหลวงบอกมาว่าขณะนี้ทางมูลนิธิโครงการฯ โดยการสนับสนุนด้านบุคลากรจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ได้ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาพันธุ์วานิลลา และได้กระจายต้นพันธุ์ไปทดลองปลูกที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงต่าง ๆ ได้แก่ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงขุนวาง ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงป่าเมี่ยง และศูนย์พัฒนาโครงการหลวงอินทนนท์ เพื่อทดสอบคุณภาพและการเจริญเติบโตและขยายพันธุ์ให้มากขึ้นเพื่อทดแทนการนำเข้า วานิลลาเป็นพืชเครื่องเทศที่ฝักเมื่อบ่มแล้วมีกลิ่นหอม มีถิ่นกำเนิดแถบอเมริกากลางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเม็กซิโก เป็นพืชที่จัดอยู่ในวงศ์กล้วยไม้ (ORCHIDACEAE) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Vanilla fragrans (Salish) Ames ซึ่งมีมากกว่า 100 ชนิด ที่นิยมปลูกคือ แพลนิโฟเลีย สำหรับประเทศไทยนำต้นวานิลลามาจากอินโดนีเซียมาปลูกที่สถานีทดลองพืชสวนพลิ้ว จังหวัดจันทบุรี และกระจายไปในพื้นที่ ต่าง ๆ เช่น ที่คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร สถานีทดลองพืชสวนดอยมูเซอ สถานีย่อยอำเภอพบพระ จังหวัดตาก และกลุ่มศูนย์พัฒนาโครงการหลวง วานิลลาขยายพันธุ์ โดยการปักชำ เจริญเติบโตข้ามปี เกาะกับต้นไม้ใหญ่ ใบใหญ่ปลายเรียวคล้ายหอก ดอกจะเกิดตามซอกใบเป็นดอกเดี่ยวสีเหลืองอ่อนไปจนเขียวอ่อน ออกดอกปีละครั้งช่วง 2 เดือนที่อุณหภูมิ 25-27 องศาเซลเซียส ถ้ารับแสงหรือร่มมากเกินไปทำให้ฝักสุกแก่ ช้า ใบเหลืองทำให้เกิด โรคใบเน่า แต่ละพื้นที่ดอกจะบาน ไม่พร้อมกัน ที่ศูนย์พัฒนาโครงการ หลวงขุนวาง ดอกจะบานในช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ และศูนย์พัฒนาโครงการหลวงป่าเมี่ยง ดอกจะบานช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม นักพฤกษศาสตร์ เอ็ดมอนด์ อัลเบียส ได้คิดค้นและพัฒนาวิธีผสมดอกให้ติดฝักเป็นคนแรกและกลายเป็นวิธีที่ใช้กันแพร่หลายในปัจจุบัน ฝักวานิลลาที่แก่พร้อมเก็บเกี่ยวจะเป็นสีเขียวเข้มจนเหลือง ปลายฝักเมื่อสุกจะแตกออกตามแนวยาวทำให้ได้วานิลลาที่มีคุณภาพ และมีสารประกอบหลักเป็นวานิลินร้อยละ 1.5-3.5 และสารประกอบอื่นกว่า 150 ชนิด ทำให้เกิดกลิ่นหอมเมื่อฝักสุกและผ่านวิธีการบ่ม วานิลลาในเม็กซิโกมีสารประกอบนี้อยู่ร้อยละ 1.75 ศรีลังการ้อยละ 1.5 ตาฮิติร้อยละ 1.7 และที่ศูนย์ป่าเมี่ยงมีไม่ต่างจากอินโดนีเซียคือร้อยละ 2.21 ซึ่งการทำให้ได้วานิลลาที่มีคุณภาพ และรสชาติแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ดิน อัตราความสุกเมื่อ เก็บเกี่ยว และการบ่มซึ่งเริ่มจากการลวกฝักในน้ำร้อนเพื่อทำลายเชื้อ จุลินทรีย์ที่ติดมากับฝัก แล้วนำฝักไปอบเพื่อให้มีกลิ่นหอม จากนั้น นำไปผึ่งในที่ร่มจนแห้ง และขั้นตอนสุดท้ายเป็นการบ่มใช้เวลา 5-8 เดือนจนฝักอ่อนนุ่ม มีสีน้ำตาลถึงดำ มีกลิ่นหอมแรง เกิดน้ำมันบริเวณที่ผิว หลังการบ่มจะมัดรวมกันมัดละ 70-100 ฝัก หนักประมาณ 150-500 กรัม แล้วบรรจุกล่องปิดทึบ ในทวีปอเมริกา และยุโรปรับซื้อวานิลลาจำนวนมากและมีการลงทุนผลิตวานิลลา ในทวีปแอฟริกา ปัจจุบันความต้องการของตลาดโลกเพิ่มขึ้นถึงปีละประมาณ 10% สำหรับประเทศไทยเกษตรกรหรือผู้สนใจเข้าไปศึกษาหรือหาดูได้ที่โครงการหลวง (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 5 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ใช้หุ่นยนต์เฝ้าอาการผู้ป่วยไอซียู

นักวิทยาศาสตร์พัฒนาระบบคอมพิวเตอร์อัจฉริยะที่สามารถตัดสินใจแทนหมอได้ทันที เพื่อรักษาผู้ป่วยที่ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด สมองกลจะทำหน้าที่ตรวจจับสัญญาณการทำงานที่สำคัญของร่างกาย พร้อมกับประเมินและจัดยาให้เหมือนภารกิจของหมอ ระบบดังกล่าวได้รับการออกแบบโดยทีมวิศวกรจากมหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ โดยได้เงินทุนวิจัยมูลค่า 4 แสนดอลลาร์สหรัฐ จากอีพีเอสอาร์ซี นักวิจัยกล่าวว่า ระบบนี้มีความสามารถที่จะเรียนรู้ รู้จักปรับตัว และรวบรวมข้อมูลสำหรับตัดสินใจ เป็นระบบที่พิเศษที่สุด "ระบบใหม่นี้ไม่เพียงแต่คอยเฝ้าดูอาการและรักษาผู้ป่วยที่มีอาการหนักเท่านั้น แต่ยังสามารถเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ของทีมแพทย์ ซึ่งป้อนข้อมูลการรักษาใหม่เข้าระบบอยู่ตลอดเวลา" ศ.มาห์ดี มาห์ฟูซ หัวหน้าที่วิจัย กล่าว หลังจากแพทย์ป้อนข้อมูลใหม่ใส่ไปแล้ว ระบบบจะเลียนแบบข้อมูลของหมอ และใช้เป็นข้อมูลใหม่เพื่อใช้ตัดสินใจในการให้การรักษาผู้ป่วยรายต่อไปที่มีอาการคล้ายกัน ระบบคอมพิวเตอร์อัจฉริยะช่วยงานหมอมีความสามารถจำลองปฏิกิริยาของคนไข้ที่ได้รับยาเข้าไปแล้ว จากนั้นจะทำการตัดสินใจเพื่อคิดหาทางรักษาที่เหมาะสมที่สุดระหว่างที่หมอทำการผ่าตัดหัวใจ และหลังพักฟื้นในห้องดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัด อย่างไรก็ดี นักวิจัยกล่าวว่าระบบนี้ไม่ได้จะเอามาใช้ในห้องดูแลผู้ป่วยหนักแทนหมอ แต่มันจะช่วยประเมินปฏิกิริยาของร่างกายผู้ป่วยเมื่อได้รับยาแต่ละขนาด ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการรักษาคนไข้ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยเกิดอาการช็อกยา (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 5 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





เกาหลีใต้ "ก๊อบปี้" สุนัขตัวแรกของโลก

นักวิจัยโสมขาวสร้างความฮือฮาให้กับโลกได้อีกครั้ง เมื่อฮวาง วู-ซุก ผู้บุกเบิกสเต็มเซลล์ในเกาหลีใต้ และทีมงานจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติกรุงโซล ประสบความสำเร็จในการโคลนนิงสุนัขได้เป็นครั้งแรกของโลก หลังจากที่พวกเขาประสบความสำเร็จในการโคลนนิงตัวอ่อนมนุษย์เป็นครั้งแรกของโลกมาแล้วเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา "สนัปปี้" (Snuppy) สุนัขพันธุ์อัฟกันฮาวน์ วัย 14 สัปดาห์ คือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวล่าสุดที่ถูกโคลนขึ้นมา เจอรัล ชัตเทน นักวิจัยจากวิทยาลัยการแพทย์ มหาวิทยาลัยพิตส์เบิร์ก และเป็นหนึ่งในทีมงานของฮวาง บอกว่าบุคลิกลักษณะของเจ้าสนัปปี้ ไม่แตกต่างจากลูกสุนัขทั่วไป ไม่ว่าจะความร่าเริง ขี้เล่น และสุขภาพก็แข็งแรงปกติ งานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารเนเจอร์ โดยระบุว่าวัตถุประสงค์ของการโคลนสุนัขไม่ได้เป็นไปเพื่อการค้า หรือการชุบชีวิตสัตว์เลี้ยงแสนรักขึ้นมา แต่ต้องการสร้างโมเดลวิจัยทางการแพทย์สำหรับหาวิธีช่วยรักษาโรคร้ายในมนุษย์ นอกเหนือจากลิง ซึ่งเป็นโมเดลที่ใกล้ชิดกับมนุษย์ที่สุด แต่ ณ ตอนนี้ การโคลนนิงลิงในทางเทคนิคแล้วยังเป็นไปไม่ได้ คณะวิจัยชุดนี้ต้องใช้สุนัขมากกว่า 100 ตัว เพื่อฝังตัวอ่อนที่ได้มาจากกระบวนการโคลนนิงจำนวนกว่า 1,000 ตัว แต่กลับมีสุนัขโคลนเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จจากการทดลองครั้งนี้ เอียน วิลมุต ผู้โคลนแกะดอลลี่ จากมหาวิทยาลัยเอดินเบิร์ก และนักวิจัยหลายรายชื่นชมกับความสำเร็จของฮวาง แต่กังวลว่านักการเมืองและนักวิทยาศาสตร์อาจต้องเผชิญหน้ากับประเด็นขัดแย้งที่จะก่อตัวมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการขยายขอบเขตงานวิจัยที่ก้าวข้ามเส้นกั้นทางศีลธรรมออกไป (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 5 ส.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





เครื่องกำจัดยุง

ตั้งแต่ปัญหาไข้เลือดออกรุนแรงในบ้านเราเมื่อช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ต้องสูญเสียประชากรนับสิบๆ คน การป้องกันโรคนี้ได้ง่ายที่สุดนั่นคือ กำจัดแหล่งกำเนิดยุงลายเสียให้สิ้น แต่ในหลายพื้นที่ก็มีการละเลย จนถึงฤดูระบาดของมันเวียนกลับมา อย่างไรก็ตาม การป้องกันอีกวิธีหนึ่ง นั่นคือ ใช้อุปกรณ์ทุ่นแรงในการกำจัด หากเดินตามห้างสรรพสินค้า หรือย่านเครื่องจำหน่ายไฟฟ้า ก็จะเห็น "เครื่องกำจัดยุง" ที่ผลิตในเมืองจีน สำหรับหลักการทำงานของเครื่อง มีหลอด Black Light เป็นตัวล่อยุงและแมลง เมื่อยุงและแมลงเข้าใกล้ จะถูกดูดด้วยพัดลมกำลังสูง โดยไม่ใช้สารเคมีที่ก่อให้เกิดมลภาวะและไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ไม่มีเสียงรบกวนอัน สามารถถอดล้างทำความสะอาดได้ทุกชิ้นส่วน สนใจรายละเอียดเผื่อดูไว้ทำเอง http://www.wipsmax.com (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 5 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





หมวกกันน็อครุ่นใหม่ยึดคางแน่น

นายณพพร พรอินทร์ นักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษกอุดรธานี เปิดเผยถึงสิ่งประดิษฐ์หมวกนิรภัยไฮเทค ว่าต้องการเพิ่มความปลอดภัยให้ผู้ใช้รถใช้ถนน ด้วยการดัดแปลงหมวกนิรภัยหรือหมวกกันน็อคแบบเก่า และติดตั้งระบบควบคุมอัตโนมัติไว้ที่หมวก เมื่อสวมเข้าศีรษะสายรัดจะเลื่อนออกมารัดใต้คางโดยอัตโนมัติ และเมื่อต้องการถอดหมวกก็สามารถกดปุ่มปลดล็อกสายได้สะดวกเพียงปุ่มเดียว ทั้งนี้ หมวกนิรภัยที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันไม่สะดวกใช้งานในขณะรีบเร่ง ซึ่งนอกจากจะต้องสวมหมวกเข้าศีรษะแล้ว ยังต้องจัดการกับสายรัดใต้คาง โดยปรับความสั้นยาวเพื่อให้กระชับพอดีและป้องกันหมวกหลุด ทำให้เกิดความไม่สะดวก ส่งผลให้ผู้ขับขี่ส่วนใหญ่ละเลย ที่จะใส่ใจกับสายรัดใต้คางของหมวกนิรภัย ด้วยเหตุดังกล่าว นักศึกษาจากวิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษกอุดรธานี จึงได้ริเริ่มที่จะประดิษฐ์หมวกนิรภัยไฮเทค ที่ใช้งานง่ายและปลอดภัยสูง โดยใช้ชื่อว่า "หมวกกันน็อคล็อกกิ๊บ" ทีมงานได้ประยุกต์หลักการทำงานของเครื่องรอก โดยอาศัยเฟืองเป็นตัวขับระบบรอก บังคับสายรัดคางเลื่อนเข้าออกระหว่างตัวหมวกกันน็อคและตำแหน่งรัดที่คางของผู้ขับขี่ รวมถึงออกแบบให้สายรัดสามารถเลื่อนกลับที่เดิมได้อัตโนมัติ เพียงกดปุ่มเดียวเท่านั้น สำหรับระบบนี้สามารถดัดแปลงเข้ากับหมวกกันน็อคแบบเก่าได้ทันที โดยมีค่าใช้จ่ายในการดัดแปลงเพียง 300 บาทเท่านั้น สำหรับหมวกกันน็อคดังกล่าว ได้เปิดตัวครั้งแรกในงานประกวดสิ่งประดิษฐ์ของอาชีวศึกษา ปี 2547 จากนั้นทีมงานได้พัฒนาเพิ่มในส่วนของความปลอดภัย จนกระทั่งได้รับการจดอนุสิทธิบัตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ล่าสุดบริษัท แพลตตินั่ม จำกัด เอกชนผู้ประกอบการนำเข้ารถจักรยานยนต์ ได้ติดต่อที่จะนำหมวกดังกล่าวไปจำหน่าย โดยในเบื้องต้นได้สั่งซื้อจำนวน 500 ใบ นอกจากนี้ทางทีมวิจัยยังเตรียมที่จะพัฒนาต่อเพื่อส่งประกวดในปีถัดไปด้วย (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 6 ส.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ข่าวทั่วไป


สารปนเปื้อน ‘เหลือง-แดง’ สีต้องห้าม ตัวการก่อมะเร็ง

สหภาพยุโรป หรือ EU ประกาศ ห้ามนำเข้าสินค้าอาหารทุกชนิดที่มีสารปนเปื้อน Para Red และ Sudan Red I-IV พร้อมแจ้งว่า สารดังกล่าวนี้.ต้นเหตุโรคมะเร็ง สารปนเปื้อน Para Red และ Sudan Red I–IV เป็น สารสังเคราะห์ที่ให้สีแดง และเป็น สีที่อยู่ในกลุ่มของสีย้อมที่ใช้ในอุตสาหกรรม โดยปกตินิยมใช้เป็นสารให้สีของพลาสติกและวัสดุสังเคราะห์อื่น ๆ รวมทั้งนำมาใช้เป็นตัวทำละลายสีน้ำมันปิโตรเคมี สารขัดเงาพื้น และรองเท้า ไม่อนุญาตให้นำมาใช้ผสมในอาหารสำหรับการบริโภค เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง แม้ว่า จะอยู่ในระดับต่ำก็ตาม นายปณิธาน วัชรานันท์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร ให้ความรู้เรื่องสารปนเปื้อน Para Red และ Sudan Red I–IV พร้อมเปิดเผยถึงที่มาของคำประกาศห้ามของ EU และตัวอย่างสินค้าอาหารที่มักมี สารปนเปื้อนทั้งสองประเภทนี้ผสมอยู่ว่า ขณะนี้ทาง หน่วยงานมาตรฐานอาหารอังกฤษ (UK Food Standard Agency : FSA) ได้ประกาศห้ามอย่างเด็ดขาดในเรื่องของการนำเข้าสินค้าประเภทอาหารที่มี สารปนเปื้อน Para Red และ Sudan Red I, II, III และ IV หลังจากตรวจพบในอาหารที่มีส่วนประกอบนำเข้าจากประเทศจีน และอินเดีย โดยได้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบอาหารที่มีส่วนประกอบของสารให้ สีแดง และสีเหลืองในสินค้ากลุ่มเครื่องเทศ รวมถึง พริกป่น ขมิ้น และน้ำมันปาล์ม ผลิตภัณฑ์อาหารที่ผ่านสี Sudan Red และ Para Red ในระยะแรกหน่วยงานมาตรฐานอาหารอังกฤษตรวจพบในสินค้า “พริกป่น และผลผลิตที่ได้จากพริก” ในปี 2546 และหลังจากนั้นทาง FSA ก็ได้ตรวจพบในกลุ่มของสินค้า ผลิตภัณฑ์เครื่องเทศ, ขมิ้น, น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ และผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปอื่น ๆ ที่มีส่วนผสมของพริก เครื่องเทศ และซอส อันตรายจากการใช้สีผสมอาหารนั้น เกิดจากตัวสีเอง เพราะหากใช้สีผสมอาหารในปริมาณที่มากเกินไป จะเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค เนื่องจากในสีผสมอาหารมีส่วนผสมของโลหะหนักของสีแต่ละชนิดในปริมาณที่กฎหมายกำหนด เช่น ตะกั่ว สารหนู โครเมียม สังกะสี รวมทั้งมีการกำหนดปริมาณการใช้สีแต่ละชนิดไว้ด้วย หากบริโภคอาหารที่ใส่สีผสมอาหารที่มีสีฉูดฉาดมากๆ เป็นประจำ อาจทำให้ร่างกายได้รับปริมาณโลหะหนักมากขึ้น เกิดการสะสมในร่างกายจนอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 1 ส.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





สว.จอน อึ๊งภากรณ์คว้าแมกไซไซปีนี้

เมื่อวันที่ 1 ส.ค. เอพีรายงานจากกรุงมะนิลา เมืองหลวงฟิลิปปินส์ ว่า นายจอน อึ๊งภากรณ์ สมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร วัย 58 ปี เป็น 1 ใน 6 ผู้ได้รับรางวัลรามอน แม็กไซไซ ประจำปีนี้ และจะจัดพิธีมอบรางวัลวันที่ 31 ส.ค.นี้ รายงานระบุว่า รางวัลแม็กไซไซมีคุณค่าเปรียบได้กับรางวัลโนเบลของทวีปเอเชีย สำหรับนายจอนนั้น คณะกรรมการรางวัลแม็กไซไซ ได้ตัดสินให้เป็นผู้ได้รับรางวัลสาขาบริการภาครัฐ เนื่องจากเป็นส.ว.ที่มีประวัติการทำงานด้านสิทธิมนุษยชน และช่วยเหลือประชาชนผู้ด้อยโอกาสในสังคม ได้แก่ ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ผู้ได้รับรางวัลแม็กไซไซอีก 5 คนประกอบด้วย 1. เตเต็ง มาซูกี หัวหน้ากลุ่มตรวจสอบคอร์รัปชั่น ประเทศอินโดนีเซีย (สาขาบริการสาธารณะ) 2. วี. ชานะ ผู้วิจัยเรื่องโรคมะเร็ง ประเทศอินเดีย (สาขาบริการสาธารณะ) 3. สมบัติ สมพน ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกอบรมเพื่อการพัฒนาอย่างมีส่วนร่วม ประเทศลาว (สาขาผู้นำชุมชน) 4. มาร์เตียร์ ราห์มาน ผู้ก่อตั้งและบรรณาธิการสื่ออิสระ ประเทศบังกลาเทศ (สาขาสื่อสารมวลชนและวรรณกรรม) และ 5. เฮ-รัง ยุน ผู้ก่อตั้งกลุ่มพลเมืองเพื่อสวัสดิภาพโลก ประเทศเกาหลีใต้ (สาขาผู้นำอายุต่ำกว่า 40 ปีที่ทำงานเพื่อสังคม) (ข่าวสด อังคารที่ 2 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ล้างพิษง่ายๆ ด้วยน้ำแร่ธรรมชาติ

ทุกวันนี้รอบกายเราเต็มไปด้วยมลภาวะและสารพิษรอบๆ ตัว รวมถึงความเครียดในการใช้ชีวิตประจำวันส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบสุขภาพ ทำให้ร่างกายเริ่มอ่อนล้าจากการรับมือกับมลภาวะทั้งภายในและภายนอก ลองหันมาปลดปล่อยสิ่งที่ไม่จำเป็นและเริ่มชำระล้างระบบภายในร่างกาย ด้วยการล้างพิษกันบ้าง สำหรับการล้างพิษนั้นสามารถทำได้หลายวิธี แต่วิธีที่เป็นธรรมชาติที่สุดและสามารถทำได้ด้วยตัวเองก็คือการล้างพิษด้วยการดื่มน้ำ เราทราบกันดีแล้วว่า น้ำเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ร่างกายสามารถฟื้นคืนสภาพและปรับกลไกการทำงานของระบบสู่สภาวะปกติ โดยดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วต่อวัน ที่สำคัญควรจะเลือกดื่มน้ำแร่ที่คงความบริสุทธิ์จากธรรมชาติเพื่อให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด "น้ำแร่เอเวียง" จึงขอนำเสนอการล้างพิษน้ำด้วยแร่ธรรมชาติ 5 ขั้นตอนง่ายๆ ดังต่อไปนี้ 1.ให้ความชุ่มชื่นแก่ร่างกาย ดื่มน้ำให้มากๆ อย่างน้อยวันละ 1.5 ลิตร เพราะจะช่วยทำความสะอาดระบบภายในร่างกายและขับออกสู่ภายนอก ทำให้ร่างกายและจิตใจรู้สึกสดใสอ่อนเยาว์ ช่วยฟื้นฟูร่างกายได้เร็วขึ้น 2.เปลี่ยนนิสัยการรับประทาน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์โดยเลือกแต่อาหารธรรมชาติที่ไม่ผ่านกระบวนการแปรรูป และกำจัดอาหารขยะออกไปจากชีวิต 3.นอนหลับเพื่อความงาม นอนหลับให้ได้ 6-8 ชั่วโมงในแต่ละคืน เพราะเป็นโอกาสที่ร่างกายจะได้พักผ่อนและได้รับการฟื้นฟู พยายามอย่านอนดึก และอย่าลืมดื่มน้ำแร่ธรรมชาติเอเวียงก่อนเข้านอน และดื่มอีกครั้งแก้วใหญ่ๆ เต็มๆ สักแก้วเมื่อเริ่มต้นเช้าวันใหม่ 4.ฟิตร่างกาย การออกกำลังจะช่วยให้ร่งกายแข็งแรง และช่วยรักษารูปร่าง ออกกำลังกายแต่พอดี อย่าหักโหมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่คุณกำลังล้างพิษ และควรดื่มน้ำแร่ธรรมชาติเอเวียงก่อนและดื่มเป็นระยะๆ ตลอดการออกกำลังกาย 5.ปลุกความสดใสให้ผิวพรรณ ใช้สเปรย์น้ำแร่พ่นเบาๆ ให้ทั่วผิวหน้าจะช่วยเพิ่มความสดใสมีชีวิตชีวาและยังช่วยให้เครื่องสำอางของคุณติดทนนานตลอดวัน (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 4 ส.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ตรวจสอบยอดเงิน กบข.ผ่าน ATM ได้แล้ววันนี้

นับจากปี 2540 เป็นต้นมา ยอดเงินนำส่งที่สมาชิกแต่ละคนส่งเข้ามายัง กบข.นั้น สมาชิกจะได้ทราบและตรวจสอบยอดเงินดังกล่าวปีละ 1 ครั้งผ่านทางใบแจ้งยอดเงินประจำปีที่ส่งให้สมาชิกเพียงช่องทางเดียวเท่านั้น ดังนั้น สมาชิกที่ต้องการจะทราบและตรวจสอบยอดเงินของตนเองที่มีอยู่กับ กบข.ผ่านทาง ATM จึงเป็นเรื่องที่ กบข.นำมาศึกษาและพัฒนาระบบดังกล่าว และในวันนี้ กบข.พร้อมแล้วในการเปิดบริการใหม่ล่าสุด นั่นคือ ให้สมาชิกตรวจสอบยอดเงินของตนเองผ่าน ATM ของธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศได้ โดยสมาชิกที่มีบัญชีเงินฝากและมีบัตร ATM และกดเพื่อสอบถามยอดเงิน กบข.พร้อมกดรหัสประจำตัวสมาชิก 13 หลัก เพียงเท่านี้ก็จะได้รับทราบยอดเงินของท่านแล้วโดยมีค่าธรรมเนียมการใช้บริการ 5 บาทต่อครั้ง นอกจากวิธีการตรวจสอบยอดเงินผ่าน ATM แล้วในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ กบข.จะทยอยออกบริการตรวจสอบยอดเงินในรูปแบบใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ การตรวจสอบยอดเงินผ่านเว็บไซต์ กบข. www.gpf.or.th และการตรวจสอบยอดเงินผ่านศูนย์บริการข้อมูลสมาชิก โทร.1179 เพื่ออำนวยความสะดวกให้สมาชิกอย่างเต็มที่ เพื่อให้สมาชิกได้อุ่นใจและมั่นใจว่าเงินออมของท่านยังทำงานอยู่ตลอดเวลาที่ท่านเป็นสมาชิก กบข (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 4 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th/matichon)





รางวัลบุษบกทอง...เพื่อผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่น

ด้วยรางวัล “บุษบกทอง” เป็นโล่เชิดชูเกียรติแก่ผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรมสาขามนุษยศาสตร์ ด้านการใช้ภาษาไทย เป็นหนึ่งในกิจกรรมยกย่องเชิดชูเกียรติบุคคล และสถาบันดีเด่นที่ดำเนินงานด้านวัฒนธรรม ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติกระทรวงวัฒนธรรมได้จัดขึ้นเพื่อสนับสนุน ส่งเสริมบุคคลหรือองค์กรที่ทำงานด้านวัฒนธรรมให้มีกำลังใจ และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคม โดยมีเกณฑ์ในการคัดเลือกผู้ที่ได้รับ “บุษบกทอง” คือ จะต้องเป็นผู้ปฏิบัติงานด้านภาษาไทย อีกทั้งต้องเป็นผู้นำทางด้านความคิด หรือเป็นผู้นำความรู้ด้านภาษาไทยมาปรับใช้กับองค์กร และต้องมีผลงานเป็นที่ยอมรับ เช่น เป็นผลงานสร้างสรรค์ ผลงานเผยแพร่ต่อสาธารณชน ผลงานที่ได้รับรางวัล ฯลฯ ดังนั้นเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเป็น “วันภาษาไทยแห่งชาติ” นอกจากจะมีกิจกรรมที่เข้าร่วมภายในงาน ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการใช้ภาษาไทยอย่างมากมายแล้วยังมีการมอบ “บุษบกทอง” แก่ผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม สาขามนุษยศาสตร์ ด้านการใช้ภาษาไทย จำนวน 7 ท่าน จากนางอุไรวรรณ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มีดังนี้ นายปองพล อดิเรกสาร นายเจนภพ จบกระบวนวรรณ หรือ สันติภพ เจนกระบวนหัด นางสาวสายสวรรค์ ขยันยิ่ง นางสมจิต คงพูล นางดวงมน จิตร์จำนงค์ รศ.ธนู บุณยรัตพันธ์ รศ.นันทา ขุนภักดี (สยามรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 4 ส.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





แสตมป์ไทยยุคไฮเทค ในงาน THAIPEX ...05

“งานแสดงตราไปรษณียากรแห่งชาติ” ที่จัดทุกๆ สองปีนี้ได้เวียนมาเป็นครั้งที่ 15 โดยในปี 2548 หรือ THAIPEX…05 ทางบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) ร่วมกับสมาคมนักสะสมตราไปรษณียากรแห่งประเทศไทย (ส.ต.ท.) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-7 สิงหาคม 2548 ณ ฮอลล์ 5 อิมแพค เมืองทองธานี เพื่อสะท้อนถึงพัฒนาการการจัดสร้างตราไปรษณียากรไทยตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะความทันสมัยของแสตมป์ยุคใหม่ที่นำเทคนิคและรูปทรงใหม่ๆ มาใช้ ทั้งนี้ภายในมุมนิทรรศการแสตมป์ไทยในยุคไฮเทคดังกล่าวได้จัดแสดงในลักษณะเป็นเหมือนอุโมงค์แห่งกาลเวลา ประกอบแสงสีไฮเทค ซึ่งผู้ที่เข้าชมจะได้ตื่นตาตื่นใจกับสุดยอดชุดแสตมป์ไทย ที่สร้างความแปลกใหม่ให้แก่วงการ นับจากแสตมป์ทองคำ 3 ชุด ต่างปี พ.ศ.กัน ในชุดมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (2530) ชุดมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ (2535) และชุดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดวงที่ 3 (2539) ตามลำดับ นอกจากเทคนิคการพิมพ์ซึ่งรวมถึงการนำวัสดุ 3 ชนิด คือ ทองคำ เงิน และนากมาใช้พิมพ์พร้อมกัน ทั้งในชุดครบ 6 รอบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (2542) และชุดครบ 6 รอบสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถแล้ว (2547) แล้ว ยังมีแสตมป์ลักษณะพิเศษอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์ภาพสามมิติ หรือโฮโลแกรม (ชุดงานฉลองสิริราชสมบัติ 50 ปี ชุดที่ 4) แสตมป์กลิ่นหอม (แสตมป์กุหลาบปี 2545-47) แสตมป์เรืองแสง (ชุด UNSEEN THAILAND และชุดสะพาน ปี 2547) และแสตมป์เคลือบผิวกำมะหยี่ (แสตมป์กุหลาบปี 2548) ด้วยความแปลกตาของแสตมป์ยุคไฮเทค ซึ่งมาจากขนาด และรูปร่างที่แตกต่างจากที่เคยทำมา เช่น แสตมป์ดวงยาวที่สุด (ชุดเรือพระที่นั่งต่างๆ ปี 2539) แสตมป์ดวงใหญ่ที่สุด (ชุดจิตรกรรมฝาผนัง และชุดสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี) แสตมป์วงกลมหมีแพนด้า (ชุดที่ระลึก 30 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ปี 2548) แสตมป์สามหลี่ยม(ชุดหน้าบัน ปี 2548) เหล่านี้ล้วนเป็นมิติใหม่ของแสตมป์ไฮเทคเมืองไทย พร้อมกันนี้ภายในงานดังกล่าวยังมีตราไปรษณียากรที่ระลึก THAIPEX ...05 ด้วยการรวบรวมตัวละครสำคัญจากเรื่องรามเกียรติ์ที่แสดงในโขนนำมาสร้างให้มีชีวิตชีวาบนดวงตราไปรษณียากร ประกอบด้วยภาพ 4 ภาพ ได้แก่พระรามกับนางสีดา ทศกัณฐ์ หนุมาน และพระรามรบทศกัณฐ์ ชนิดราคา 3 บาทที่ออกแบบโดยนางวีณา จันทนทัศน์ และยังได้จัดสร้างสิ่งสะสมของตราไปรษณียากรชุดนี้ขึ้นด้วย ได้แก่ แผ่นตราไปรษณียากรที่ระลึก ซองวันแรกจำหน่าย อีกทั้งทางบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด(ปณท)ยังได้จัดทำหนังสือที่ระลึกของงานที่จะจำหน่ายพร้อมชีตทั้งไม่ปรุรู และปรุรู(หมายเลขเดียวกัน) ราคาเล่มละ 200 บาทอีกด้วย (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 3 ส.ค.48 http://www.siamrath.co.th)





2 ผลงานวิชาการดีเด่น รางวัล"TTF AWARD"

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย จัดงานประกาศเกียรติคุณ รางวัลผลงานวิชาการดีเด่น "TTF AWARD" หรือ Toyota Thailand Foundation Award ประจำปี 2548 ที่หอประชุมศรีบูรพา หรือหอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปีนี้มีผู้ได้รับรางวัล 2 คน ได้แก่ รางวัลเกียรติยศเรื่อง "ท่องทศชาติผ่านจิตรกรรม:เต ช สุ เน ม, ภู จ นา วิ เว" โดย *อู่ทอง ประศาสน์วินิจฉัย* และ รางวัลด้านสังคมศาสตร์ เรื่อง "และแล้วความเคลื่อนไหวก็ปรากฏ:การเมืองวัฒนธรรมของนักศึกษาและปัญญาชนก่อนจะถึง 14 ตุลาฯ" เป็นของ *อาจารย์ประจักษ์ ก้องกีรติ* สำหรับ "ท่องทศชาติผ่านจิตรกรรม:เต ช สุ เน ม, ภู จ นา วิ เว" เป็นหนังสือที่รวบรวมความงดงามของจิตรกรรมฝาผนัง ศิลปะแขนงต่างๆ และเรื่องราวของทศชาติที่แทรกซึมอยู่ในชีวิตของคนไทย และเป็นเนื้อหาของศิลปะไทยมาช้านาน โดยผู้เขียนคือ ผศ.อู่ทอง พยายามให้คนรุ่นใหม่กลับมาชื่นชอบและเห็นคุณค่าของมรดกไทยในเรื่องของการสื่อความหมายและแรงบันดาลใจเบื้องหลังที่ไม่มีวันตาย และสามารถส่งไปยังคนรุ่นหลังได้เสมอ *ถือว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่พลิกฟื้นบทบาทสำคัญของทศชาติชาดก โดยเรียบเรียงทำให้เข้าใจง่ายขึ้น*ส่วนเรื่อง "และแล้วความเคลื่อนไหวก็ปรากฏ:การเมืองวัฒนธรรมของนักศึกษาและปัญญาชนก่อนจะถึง 14 ตุลาฯ" ของอาจารย์ประจักษ์ แห่งรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ มีเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่อธิบายถึงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 จากแง่มุมทางการเมือง วัฒนธรรม โดยสนใจการเคลื่อนไหวทางความคิดของนักศึกษาและปัญญาชน ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเผด็จการทหาร(ระหว่าง พ.ศ.2506-2516) อะไรคือความคิดที่ผลักดันคนทั้งสองกลุ่มให้มีบทบาทตอบโต้ท้าทายอำนาจรัฐ กระบวนการและวิธีการรับความคิดเห็นเหล่านั้น เนื้อหาความคิดที่ก่อตัวขึ้น และกลวิธีแสดงความคิดเหล่านั้นสู่สาธารณะเป็นเช่นไร แม้ว่าแต่ละกระแสความคิดจะแตกต่างกันในเชิงอุดมการณ์ แต่ก็มีจุดร่วมขมวดเป็นปมเดียวกันมุ่งไปที่การต่อต้านเผด็จการทหาร เรียกร้องประชาธิปไตย และในที่สุดวาทกรรมทุกกระแสก็ปรากฏตัวร่วมกันในการเดินขบวนของนักศึกษาประชาชนในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 5 ส.ค. 48 http://www.matichon.co.th)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215