Digital Library

หัวข้อข่าวปีที่ 6 ฉบับที่ 37 ประจำวันที่ 2005-10-02

ข่าวการศึกษา

ม.สยามจัดเวทีนานาชาติ ถก"ไอซีที-จัดการความรู้"
หวั่นมรภ.เป็น"ฟาสต์ฟู้ดยูนิเวอร์ซิตี้"
เลิร์นนิ่งมรช.ฮิตจัดถึงเว็บล่ม
รามไฮเทคเรียนผ่านมือถือ
ม.หาดใหญ่ประกาศเป็น"อี-ยูนิเวอร์ซิตี้" วอนสกอ.ปฏิบัติเท่าเทียมสถาบันของรัฐ
ต้นทุนผลิตบัณฑิต
เครือยูคอมเดินหน้า"อีเลิร์นนิ่ง" ผลิตหลักสูตรเพิ่มลุยเอ็นทรานซ์
7มหาวิทยาลัยจับมือ"อมตะนคร" ปั้นวิศวะยานยนต์ผ่านม.ไซเบอร์

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

ทำโรงไฟฟ้าใช้นํ้ามันปรุงอาหารทิ้ง ได้ทั้งเงิน-รักษาสิ่งแวดล้อม
จีนลุยไฟฟ้านิวเคลียร์สร้างโรงงานใหญ่สุดปีหน้า
ทีเซลส์ลุยธุรกิจรับจ้างทดสอบยาครบวงจร
'ดิจิทัล ไทยแลนด์' แผนที่เมืองไทยบนเวบไซต์
หุ่นยนต์นักไต่"ลีเมอทูบีร์" ปีนเก็บข้อมูลดาวแดง-ดวงจันทร์
แนะรบ.หนุนผลิตเซลล์แสงแดด รับมืออีก 20 ปีโลกขาดแคลนไฟฟ้า!
จีนส่งคนเดินทางอวกาศเที่ยวใหม่-อีกก้าวการไปดวงจันทร์
คลื่นความร้อนตัวการขย้อน CO2
จัดระเบียบศึกษาพรรณไม้ในโรงเรียน
สัมผัสพืชชนิดใหม่ของโลก บานนอกถิ่นกำเนิด/นอกฤดูกาล
กรมควบคุมมลพิษเร่งขจัดซากมือถือ
ไต้หวันรวมพลคนนาโนเทค
นิทรรศการอุตสาหกรรม 15 ปี สจพ. โชว์นวัตกรรมเทคโนโลยีไทย-ฝรั่งเศส
ยุโรปเสนอช่วยรัสเซีย สร้างยานอวกาศรุ่นใหม่

ข่าววิจัย/พัฒนา

คิดวิธีลดความอ้วนแบบพิสดาร ให้กินไฟฟ้าต่างอาหาร
สหรัฐพัฒนาเทคนิค สแกนสมองฆาตกรจับโกหก
กากมันสำปะหลังไม่ไร้ค่าเพาะเห็ดฟางเพิ่มรายได้
'ศิริราช' เดินเครื่องวิจัยผ้ากันฝุ่น กันรัฐสูญเงินรักษาภูมิแพ้
เจลว่านหางจระเข้ใช้ทั้งเคลือบผักผลไม้ทั้งกินได้
ทางการจีนพอใจผลทดสอบสมุนไพรจีนรักษาเอดส์
แพทย์ศิริราชคิดค้นผ้าปลอดไรฝุ่นกันภูมิแพ้
ทีมวิจัย ม.เกษตรฯคัดสายพันธุ์ขมิ้นชันเคอร์คูมินสูง
โทรศัพท์รุ่นใหม่ พิสูจน์กลิ่นหาเจ้าของ
มะนาวเป็นศัตรูคู่กัดเชื้อเอดส์สังหารไวรัสตายราบในไม่กี่นาที
CP-R500 โรงสีข้าวชุมชนสิ่งประดิษฐ์คนไทยเพื่อชาวนา
“กรีนไดมอนด์” ตั้งสถาบันมอบทุนนักวิจัย
เผยผักผลไม้มีสรรพคุณเป็นยาต้านโรคสมองเสื่อม
ผลิตยาสเปรย์ป้องกันโรคหวัดสกัดโรคไม่ให้คืบก้าวหน้าได้
พัฒนาโรงอัดก้อนยางสู่ GMPใช้ Q การันตี
เครื่องขูดมะละกออัตโนมัติ...สะดวก สบาย หายเหนื่อย
เด็กมัธยม 6 เพิ่มความแข็งคอนกรีตด้วยเม็ดกระบก
เครื่องกรอไหมพลังแสงอาทิตย์
ไวรัสไข้หวัดนกเมินแมลงวัน
เติมคุณค่าให้ “อาหารขยะ”
นักวิจัยคว้าเงินล้านรางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่น
กระเป๋าถือเปล่งแสงสว่าง หยิบเครื่องสำอางไม่พลาดชิ้น

ข่าวทั่วไป

ไทยลาวเปิดเดินรถอุบล-ปากเซปี49
ค้านมะกันจดสิทธิบัตรไวรัสมะละกอไทย
เล็งต่อรถไฟฟ้าถึงนครปฐม-อยุธยา-พัทยา
นำร่องพัฒนาแหล่งน้ำ 3 จังหวัด กรมชลฯ ใช้งบกว่า 2.2 พันล้าน สร้างอ่างใหม่
ขยะไฮเทคในไทยเพิ่มขึ้น กรีนพีชชี้กระทบสิ่งแวดล้อมในอนาคต
กมธ.จี้ศึกษาผลกระทบดื่มชาเขียว
"สมาร์ทเวย์" ขนส่งฉับไว ความหวังของคนกรุงเทพฯ

ข่าวการศึกษา

ม.สยามจัดเวทีนานาชาติ ถก"ไอซีที-จัดการความรู้"

แผนกประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยสยาม แจ้งว่า มหาวิทยาลัยสยาม ร่วมกับสมาคมอธิการบดีนานาชาติ(IAUP) จัดการประชุมวิชาการเรื่อง "เทคโนโลยีสารสนเทศและการจัดการความรู้" ระหว่างวันที่ 28-30 กันยายนนี้ ที่มหาวิทยาลัยสยาม โดยมี ดร.อำนวย วีรวรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดการประชุมในวันที่ 28 กันยายน เวลา 10.30 น. โดยภายในงานจะมีการอภิปรายโดยนักวิชาการ และผู้ทรงคุณวุฒิจากนานาชาติ ในหัวข้อเรื่องที่น่าสนใจมากมาย อาทิ ความก้าวหน้าในการจัดการความรู้ปี 2005, อนาคตของมหาวิทยาลัย, บทบาทใหม่ของ CIO ในสังคมความรู้, ความปลอดภัยด้านข้อมูลในระบบการศึกษาที่อาศัยไอที, การจัดการความรู้ทางด้านพุทธศาสนา, การพัฒนาระบบประเมินหลักสูตรออนไลน์ และเรื่องความได้เปรียบเชิงการแข่งขันจากการจัดการความรู้ โดยผู้ที่สนใจเข้าร่วมการประชุมสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่โทร.0-2457-0068 ต่อ 306, 318 (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 26 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)

หวั่นมรภ.เป็น"ฟาสต์ฟู้ดยูนิเวอร์ซิตี้"

นายสมเกียรต์ พงษ์ไพบูลย์ ประธานที่ประชุมประธานสภาคณาจารย์และข้าราชการแห่งประเทศไทย (ทปสท.) กล่าวว่า ทปสท.ประชุมหารือเกี่ยวกับผลกระทบจากกองทุนกู้ยืมที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) หรือกองทุนไอซีแอล เห็นว่ากองทุนไอซีแอลจะกระทบกับมรภ.ใน 3 เรื่อง คือ 1.ทำลายจิตสำนึกสาธารณะของนักศึกษา เนื่องจากผู้ที่กู้เมื่อจบจะต้องมุ่งหางานทำเพื่อใช้หนี้ของตนเอง โดยไม่คำนึงถึงการช่วยเหลือผู้อื่น นับเป็นการทำลายจิตวิญญาณของสถาบันอุดมศึกษา ทำให้มหาวิทยาลัยต่างๆ เปลี่ยนเป็นฟาสต์ฟู้ด ยูนิเวอร์ซิตี้ (Fast Food University) หรือมหาวิทยาลัยเร่งด่วน ที่ทุกคนเข้ามาเพื่อหาความรู้เพียงเพื่อไปประกอบอาชีพ ไม่คำนึงถึงเรื่องอื่น นายสมเกียรติกล่าวอีกว่า 2.เกิดการกระจุกตัวของผู้เรียนอยู่เฉพาะสาขาที่หางานทำได้ง่าย อย่างคณะสายวิทยาศาสตร์ ในขณะที่คณะสายสังคม เช่น ครุศาสตร์ สังคมศาสตร์ หรือศิลปศาสตร์ กลับถูกเมินไม่มีผู้เรียน เพราะหารายได้ลำบาก ทำให้มหาวิทยาลัยต้องปรับตัวเองเน้นเฉพาะสาขาที่มีคนนิยมเรียน ขาดความสมดุลทางการศึกษาในระดับอุดมศึกษา และ 3.เมื่อมหาวิทยาลัยจะเปิดสาขาใหม่จึงต้องคำนึงถึงต้นทุนเพื่อไม่ให้ขาดทุน หากมีนักศึกษาเรียนไม่มากจึงต้องขึ้นค่าหน่วยกิต ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อมรภ. เนื่องจากนักศึกษาของ มรภ.กว่า 50 เปอร์เซ็นต์เป็นลูกหลานของเกษตรกร ฉะนั้นการขึ้นค่าหน่วยกิตในขณะที่รัฐไม่ปล่อยกู้ค่าครองชีพจึงส่งผลให้นักศึกษา มรภ.ลดลงประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ในปีแรกของการใช้กองทุนไอซีแอล ด้วยการผันตัวเองไปเรียนมหาวิทยาลัยเปิดซึ่งมีค่าหน่วยกิตถูก ทำให้ มรภ.ขนาดกลางและขนาดเล็กรับภาระหนักในการดึงนักศึกษาให้เข้ามาศึกษา ทปสท.เสนอแนะให้รัฐปรับเป็นระบบกองทุนคู่ขนาน คือไม่ปฏิเสธกองทุนไอซีแอลให้ดำเนินการต่อไป เพื่อให้ทุกคนไม่ว่าจนหรือรวยมีสิทธิ์กู้ค่าเล่าเรียน แต่ควรมีการจัดตั้งอีกหนึ่งกองทุน คือกองทุนที่ดูแลคนด้อยโอกาส ที่ต้องการเรียนมหาวิทยาลัย โดยให้กู้ทั้งค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพ โดยดำเนินการแบบคู่ขนานทั้ง กรอ.และกองทุนผู้ด้อยโอกาส โดย ทปสท.จะสรุปข้อมูลเกี่ยวกับระบบกองทุนคู่ขนานเสนอให้กระทรวงการคลังและกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พิจารณาภายในเดือนต.ค.นี้ (ข่าวสด จันทร์ที่ 26 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)

เลิร์นนิ่งมรช.ฮิตจัดถึงเว็บล่ม

ผศ.กลชาญ อนันตสมบูรณ์ ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรช.) ฐานะผู้ควบคุมดูแลฝ่ายเทคโนโลยี สารสนเทศการจัดการเรียนการสอนด้านอี-เลิร์นนิง เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยได้ประกาศอย่างเป็นทางการให้การเรียนการสอนสำหรับวิชาพื้นฐานกลางของมหาวิทยาลัย หรือวิชาพื้นฐานทั่วไปที่นักศึกษาจากทุกคณะต้องเรียนเหมือนกันบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ในรูปของอี-เลิร์นนิ่งแล้ว ตั้งแต่ภาคเรียนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปฏิรูปการเรียนให้เป็นไปตามการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกในยุคปัจจุบัน ซึ่งมีทั้งหมด 10 รายวิชา ดังปรากฏบนเว็บไซต์ www.cru.in.th ของมหาวิทยาลัย รวมถึงบางรายวิชาที่ได้รับอนุญาตจากมหาวิทยาลัยแล้ว ที่ผ่านมาได้รับความสนใจจากนักศึกษาผู้เรียนและอาจารย์ผู้สอนเป็นอย่างมาก จนทำให้ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ที่ใช้เรียนมีปัญหาในการจัดการเรียนการสอน และรองรับความต้องการของคณาจารย์ และนักศึกษา ซึ่งทางเจ้าหน้าที่สำนักเทคโนโลยีสารสนเทศก็ได้ทำงานอย่างเต็มที่เพื่อตอบสนองความต้องการของนักศึกษาจากคณะต่างๆ (ข่าวสด จันทร์ที่ 26 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)

รามไฮเทคเรียนผ่านมือถือ

การนำเทคโนโลยี ไอทีมาประยุกต์ใช้งานในการเรียนการสอน ของมหาวิทยาลัยที่มีนักศึกษามากที่สุดในประเทศอย่างรามคำแหง เริ่มตั้งแต่การจัดการเรียนการสอนผ่านดาวเทียม ในต่างจังหวัด การเรียนออน ไลน์ (อีเลิร์นนิ่ง) จนกระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้เปิด ลงทะเบียนเรียนผ่านเอสเอ็มเอส และการสอบแบบออนไลน์รู้ผลได้ทันที ล่าสุดเปิดเรียนทางมือถือหรือที่เรียกว่า เอ็ม-เลิร์นนิ่ง โดยจับมือกับดีแทค ให้นักศึกษาเรียนผ่านแว็ปไซต์ (WAPSITE) ได้ โดยเสียค่าใช้จ่ายเพียง 399 บาทต่อเดือน การเรียนผ่านมือถือนี้ นักศึกษา รวมทั้งประชาชนทุกคนที่ใช้เครือข่ายดีแทค สามารถเข้าเรียนในวิชาต่าง ๆ ของรามคำแหงได้ ผ่านทางแว็ปไซต์ (WAPSITE) ตัดปัญหาไม่มีเวลามาเรียนแถมยังทบทวนเนื้อหาที่เรียนแล้วผ่านมือถือได้อีกด้วย สำหรับวิธีเรียน ใช้ระบบเครือข่ายจีพีอาร์เอสโดยเข้าไปที่ WAP DJUICE จะมีเมนูให้เลือก ตามวิชาสมแล้วกับนโยบายหลักของรามคำแหงที่อธิการบดี “รังสรรค์ แสงสุข” บอกว่าต้องเรียนได้ทุกที่ที่ต้องการเรียน สามารถเรียนได้ตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งเป้าว่าจะมีนักศึกษาเข้ามาใช้การเรียนวิธีนี้ไม่ต่ำกว่า 1,000 คนภายในสิ้นปีนี้ เบื้องต้นเรียนได้ 160 วิชาจากวิชาทั้งหมดของมหาวิทยาลัย 1,629 วิชา ลงทะเบียนกับดีแทคได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เริ่มเรียนตั้งแต่ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2548 รายละเอียดเพิ่มเติมให้เข้าไปที่ www.ru.ac.th (เดลินิวส์ อังคารที่ 27 ก.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)

ม.หาดใหญ่ประกาศเป็น"อี-ยูนิเวอร์ซิตี้" วอนสกอ.ปฏิบัติเท่าเทียมสถาบันของรัฐ

นายธารพรรษ สัตยารักษ์ รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ให้สัมภาษณ์ว่า ปีนี้มหาวิทยาลัยเอกชนส่วนใหญ่จะรับนักศึกษาลดลง เพราะเด็กมีทางเลือกมากขึ้น อย่างที่หาดใหญ่ลดลงประมาณกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าเยอะ แต่เพิ่งลดปีนี้เป็นปีแรก หลังจากเปิดมหาวิทยาลัยมา 8-9 ปี มีนักศึกษาเพิ่มขึ้นทุกปี อย่างปีที่แล้วรับนักศึกษาได้ 2,000 คน ปีนี้เหลือ 1,500 คน เท่าที่ทราบบางมหาวิทยาลัยลดตั้งแต่ปีที่แล้ว เกิดจากการที่มหาวิทยาลัยเกิดใหม่เยอะ จึงพยายามประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัยมากขึ้นว่ามีอะไรเป็นจุดแข็ง สำหรับที่นี่คือคณะบริหารธุรกิจ เพราะนักศึกษามีผลงานมากมายในการแข่งขันชนะเลิศทางธุรกิจมากมาย เป็นคณะเก่าแก่ มีความแข็งแกร่งทางวิชาการมากกว่าคณะอื่นๆ มีนักเรียนมาเรียนคณะนี้ 80 เปอร์เซ็นต์ของนักเรียนทั้งหมดกว่า 3,000 คน เป็นคณะที่นักศึกษานิยมมากที่สุด ปัจจุบันมีนักศึกษา 4,300 คน อาจารย์ประจำประมาณ 200 คน อาจารย์พิเศษ 60-70 คน นายธารพรรษกล่าวว่า ขณะนี้เปิดสอน 5 สาขาวิชามีบริหารธุรกิจ นิติศาสตร์ ศิลปศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และรัฐศาสตร์ และได้พยายามทำเรื่องการสร้างแบรนด์ เรื่องการพัฒนาคณะวิชาของมหาวิทยาลัย ที่สำคัญที่สุดคือเรื่อง เทคโนโลยีสารสนเทศ เรื่องไอที ปีที่ผ่านมามีการลงทุนเรื่องไอที มีโปรเจ็คต์ที่เรียกว่า "อิเล็กทรอนิกส์-ยูนิเวอร์ซิตี้" พยายามจัดการทุกอย่างผ่านเว็บเพจ การเรียนการสอนเรามีอี-เลิร์นนิ่ง คือนักศึกษาสามารถเรียนผ่านอินเตอร์เน็ตได้ระดับหนึ่ง อาจารย์สั่งงานหรือโต้ตอบนักศึกษาผ่านอินเตอร์เน็ตได้ เรื่องการลงทะเบียน การตรวจเกรด ผลการเรียน ประวัตินักศึกษา สามารถตรวจผ่านเว็บไซต์ได้ อาจารย์ก็เข้ามาให้เกรดออนไลน์ได้ สามารถดูการเข้าเรียนของนักศึกษา อาจารย์เข้ามาจัดการด้วย พยายามให้ทุกอย่างเป็นอิเล็กทรอนิกส์-ยูนิเวอร์ซิตี้หมด เป็นพัฒนาการของมหาวิทยาลัยปีนี้และในอนาคตที่ชัดเจน ซึ่งเป็นจุดแข็งกว่ามหาวิทยาลัยอื่น (มติชนรายวัน อังคารที่ 27 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)

ต้นทุนผลิตบัณฑิต

นงราม เศรษฐพานิช และคณะ ได้ศึกษาค่าใช้จ่ายในการผลิตบัณฑิตของมหาวิทยาลัยรัฐทั้งแบบจำกัดรับและไม่จำกัดรับ สถาบันอุดมศึกษาของเอกชน สถาบันราชภัฏ และสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล โดยใช้ข้อมูลปี 2524-2528 ส่วนข้อมูลค่าใช้จ่ายส่วนบุคคลของนักศึกษาเก็บรวบรวมในปี 2531 การศึกษานี้จำแนกค่าใช้จ่ายออกเป็น 2 ประเภทคือ ค่าใช้จ่ายทางสังคมและค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล ค่าใช้จ่ายทางสังคมประกอบด้วยค่าใช้จ่ายดำเนินการและค่าใช้จ่ายทุนทรัพย์สินทั้งหมด ซึ่งจ่ายจากเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณของสถาบันการศึกษา ส่วนค่าใช้จ่ายส่วนบุคคลประกอบด้วย ค่าเล่าเรียนและอุปกรณ์การศึกษาที่นักศึกษาหรือผู้ปกครองเป็นผู้จ่าย เมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายทั้งสองแบบในสถาบันการศึกษาทั้งห้าประเภทพบว่า มหาวิทยาลัยแบบจำกัดรับมีค่าใช้จ่ายทางสังคมสูงกว่าสถาบันการศึกษาประเภทอื่น ขณะที่มหาวิทยาลัยประเภทไม่จำกัดรับมีค่าใช้จ่ายทั้งสองแบบต่ำที่สุด การจำแนกค่าใช้จ่ายทั้งสองประเภทตามสาขาวิชาแสดงให้เห็นว่า สาขาแพทยศาสตร์มีค่าใช้จ่ายทางสังคมสูงสุด สาขานิติศาสตร์และสาขาพาณิชยศาสตร์มีค่าใช้จ่ายทางสังคมน้อยที่สุด เนื่องจากเป็นสาขาที่เปิดสอนอย่างแพร่หลายในมหาวิทยาลัยแบบไม่จำกัดรับและสถาบันอุดมศึกษาเอกชน สาขาวิจิตศิลป์/สถาปัตยกรรมศาสตร์มีค่าใช้จ่ายส่วนบุคคลสูงสุด ชัยยุทธ์ ปัญญสวัสดิ์สุทธิ์ (2548) ได้ใช้ 4 แหล่งทุนหลักในการคำนวณค่าใช้จ่ายทางด้านการศึกษาของประเทศไทย ได้แก่ 1. ภาครัฐ 2. ภาคเอกชน 3. ภาคธุรกิจเอกชน 4. องค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร ในปี พ.ศ.2545 ทั้งสี่แหล่งทุนนี้ได้มีค่าใช้จ่ายทางการศึกษารวมกันเป็น 258,315 ล้านบาท โดยที่ค่าใช้จ่ายของภาครัฐมีสัดส่วนสูงที่สุด (ร้อยละ 86.3) ตามด้วยค่าใช้จ่ายของครัวเรือน (ร้อยละ 12.9) และภาคเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร (ร้อยละ 0.8) นอกจากนี้ยังได้ประเมินด้วยว่าหากรวมแหล่งเงินทุนทุกแห่งที่ค่าใช้จ่ายได้ผ่านไป ทำให้มีการนับซ้ำได้ โดยที่ขนาดของการนับซ้ำสูงถึง 83,687 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 32.4 ของค่าใช้จ่ายจริง (ประชาชาติธุรกิจ อังคารที่ 27 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th/prachachart)

เครือยูคอมเดินหน้า"อีเลิร์นนิ่ง" ผลิตหลักสูตรเพิ่มลุยเอ็นทรานซ์

ดร.ประกอบ จิรกิติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เลิร์น ทูเกเธอร์ จำกัด ภายใต้กลุ่มบริษัท ยูคอม เปิดเผยถึงโครงการ Learn2gether ว่าเป็นการขยายหลักสูตรเพิ่มเติมสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษามากขึ้น ซึ่งแต่เดิมจะเน้นในหลักสูตรที่ครอบคลุมทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ(ICT) การบริหารจัดการ และภาษาอังกฤษ(EFL) โดยได้รับความไว้วางใจจากหน่วยงานราชการ องค์กรเอกชน มหาวิทยาลัย อาทิ สำนักงานพัฒนาข้าราชการพลเรือน กรมพัฒนาชุมชน ทีโอที มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเซีย โดย Learn2gether ใด้ให้บริการหลักสูตรอบรมออนไลน์ และ/หรือบริการรับจ้างจัดทำระบบอีเลิร์นนิ่ง โดยจะร่วมมือกับพันธมิตรที่เป็นผู้ชำนาญ มีชื่อเสียง และ มีประสบการณ์มายาวนานในเรื่องของการเรียนการสอน อาทิ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย(TMA) ล่าสุดได้ขยายไลน์หลักสูตรมาในกลุ่มเด็กด้วยการเปิดตัวหลักสูตรคณิตศาสตร์ ตามด้วยฟิสิกส์ และภาษาอังกฤษ ดร.ประกอบกล่าวว่า "Learn2gether" ยังได้พัฒนาหลักสูตรอย่างต่อเนื่องต่อไปอีก เพื่อสนับสนุนเด็กไทยในการส่งเสริมการเรียนรู้และฝึกหัดวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และภาษาอังกฤษอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีข้อจำกัด พร้อมใช้การผนวกกับรากฐานของการเป็นผู้นำในเรื่องของระบบ Infra-structure ของยูคอมเอง จึงได้มีการขยายหลักสูตรมาที่กลุ่มเด็กระดับมัธยม โดยเริ่มแรกจะเน้นไปที่หลักสูตร Math Genius นอกจากนั้น ยังมีหลักสูตรอื่นๆ อาทิ ฟิสิกส์ โดยได้ร่วมกับสถาบันไอฟาส ซึ่งมีชื่อเสียงเกี่ยวกับเนื้อหาทางด้านฟิสิกส์ และอื่นๆ สำหรับหลักสูตรภาษาอังกฤษ(Eng for Ent") โรงเรียนใดที่มีความประสงค์จะให้ทางทีม Learn2gether เข้าไปแนะนำหลักสูตรต่างๆ สามารถติดต่อแจ้งความประสงค์มาได้ (มติชนรายวัน พุธที่ 28 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)

7มหาวิทยาลัยจับมือ"อมตะนคร" ปั้นวิศวะยานยนต์ผ่านม.ไซเบอร์

เมื่อวันที่ 27 กันยายน นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) เปิดเผยว่า จากที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) ได้จัดตั้งมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย(Thailand Cyber University) หรือ TCU มาได้ระยะหนึ่ง ปรากฏว่าจนถึงขณะนี้มีผู้สนใจสมัครเข้าเรียนในหลักสูตรระยะสั้น เช่น ช่างยนต์ คอมพิวเตอร์ และอื่นๆ รวมจำนวนกว่า 2 หมื่นคนแล้ว นอกจากนี้ สกอ.ยังได้เตรียมลงนามบันทึกข้อตกลงในการจัดการเรียนการสอนทางไกลผ่านอินเตอร์เน็ตในระดับปริญญากับมหาวิทยาลัยต่างๆ เพิ่มเติมจากเดิมที่ลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกันไปแล้ว 5 มหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ หรือเอแบค โดยงบประมาณที่ใช้ในการพัฒนามหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทยในระยะเวลา 5 ปี เป็นเงินจำนวน 500-600 ล้านบาท ซึ่งในปีงบประมาณ 2549 ได้งบฯสำหรับพัฒนามหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทยประมาณ 60 ล้านบาท ยังถือว่าน้อย แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่าการเรียนการสอนในหลักสูตรระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ผ่านมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทยจะเปิดรับนักศึกษาได้ภายในปีนี้ ขณะนี้คณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัย 7 แห่ง เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา(มบ.) และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เป็นต้น ได้ร่วมกันจัดทำหลักสูตรวิศวกรรมยานยนต์ ซึ่งเป็นหลักสูตรการเรียนการสอนผ่านออนไลน์ในมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย และเรียนจากการปฏิบัติจริง มีทั้งหลักสูตรระยะสั้น และระยะยาว โดยจะจัดตั้งศูนย์การเรียนหลักสูตรวิศวกรรมยานยนต์แห่งแรกที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร โดยทางมหาวิทยาลัยบูรพาจะเป็นมหาวิทยาลัยหลักในการดูแล และหากการจัดตั้งที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนครสำเร็จด้วยดี จะขยายศูนย์ต่อไปยังนิคมอุตสาหกรรมนวนคร ทั้งนี้ การเปิดหลักสูตรดังกล่าวจะทำให้ผู้ที่ทำงานด้านยานยนต์สามารถนั่งเรียนในสถานประกอบการผ่านมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทยได้ โดยทางนิคมอุตสาหกรรมจะจัดเครื่องคอมพิวเตอร์อำนวยความสะดวกไว้ให้ (มติชนรายวัน พุธที่ 28 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

ทำโรงไฟฟ้าใช้นํ้ามันปรุงอาหารทิ้ง ได้ทั้งเงิน-รักษาสิ่งแวดล้อม

ผู้จัดการโรงงานบำบัดน้ำเสียของเมืองมิลแบ ได้ร่วมกับบริษัทน้ำมันเชฟรอน ทดลองตั้งโรงไฟฟ้าใช้เชื้อเพลิงที่นำมาจากน้ำมันและไขมันที่ใช้ในการปรุงอาหารทิ้งแล้ว โดยจะเอามาจากร้านอาหารต่างๆในเมืองมาผลิตเป็นก๊าซขึ้นก่อน เจ้าหน้าที่คาดว่าโครงการนี้ ยังจะสร้างรายได้ให้มากถึงปีละประมาณ 10,560,000 บาท โดยการประหยัดเชื้อเพลิง และจากรายได้ที่ได้จากค่ากระแสไฟที่ผลิตขึ้นด้วย การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ ยังจะทำให้ ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศลดน้อยลงไปอีกด้วย เป็นการได้ปรับคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นอีกด้วย. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 26 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)

จีนลุยไฟฟ้านิวเคลียร์สร้างโรงงานใหญ่สุดปีหน้า

รัฐบาลจีนประกาศเริ่มสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดของประเทศที่เมืองหยาง�เจียง มณฑลกวางตุ้ง ทางภาคใต้ ตั้งแต่ปีหน้า เพื่อเพิ่มศักยภาพรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้า จำนวนมหาศาลในการพัฒนาเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดด โรงไฟฟ้าดังกล่าวมีกำลังผลิต 6 ล้านกิโลวัตต์ ประกอบด้วยเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 6 เตา เวลานี้สร้างระบบสาธารณูปโภค รองรับแล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ จีนมีโรงไฟฟ้านิว�เคลียร์มาตั้งแต่ปี 2534 โรงไฟฟ้า 2 แห่ง อยู่ในมณฑลกวางตุ้งกับมณฑลซีเจียง ซึ่งจีนตั้งเป้าจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ในพื้นที่ภาคตะวันออกจำนวน 10 แห่งวันเดียวกันนี้ รัฐบาลมาเลเซียประกาศเริ่มสร้าง โรงงานผลิตน้ำมันไบโอดีเซลจากปาล์มแห่งแรก เพื่อการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป ใช้งบก่อสร้าง 16 ล้านดอลลาร์ กำลังการผลิต 50,000 ตันต่อปี. (ไทยรัฐ อังคารที่ 27 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)

ทีเซลส์ลุยธุรกิจรับจ้างทดสอบยาครบวงจร

ศ.เกียรติคุณ ดร.พรชัย มาตังคสมบัติ ประธานศูนย์ความเป็นเลิศทางชีววิทยาศาสตร์ หรือทีเซลส์ ซึ่งตั้งอยู่ภายในคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ประกาศจุดยืนที่จะผลักดันให้เกิดธุรกิจใหม่ เพื่อให้บริการแก่บริษัทยาต่างประเทศในการทดสอบประสิทธิภาพของยา และความเป็นพิษ โดยรับทดสอบตั้งแต่การทดลองระยะที่หนึ่งจนถึงระยะที่สาม หรือการทดลองทางคลีนิกกับมนุษย์ “อุตสาหกรรมยาเริ่มมาถึงจุดเปลี่ยนแล้ว เห็นได้จากบริษัทยาหลายแห่งควบรวมกิจการกันเพื่อลดต้นทุนในการผลิต งานบางอย่าง บริษัทยาไม่จำเป็นต้องทำเองตั้งแต่ต้นจนจบ แต่จะไปว่าจ้าง (outsource) .ให้บริษัทอื่นทำแทน จึงเป็นโอกาสของประเทศไทยที่จะสร้างธุรกิจที่มารอบรับงานตรวจพิสูจน์ความปลอดภัยของยา เพื่อรวบรวมข้อมูลให้บริษัทยานำยาไปขอจดทะเบียน และรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” หลังจากบริษัทยาได้ค้นพบสารประกอบเคมี ที่มีความเป็นไปได้ว่าสามารถใช้รักษาโรคบางอย่างได้ ก่อนที่จะขอไปจดทะเบียนยาจากองค์กรกำกับดูแลด้านอาหารและยาจำเป็นต้องทำการทดสอบเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อผู้ป่วย โดยการทดลองมีตั้งแต่ระยะที่หนึ่งคือการทดลองในหลอดแก้ว การทดลองระยะที่สอง หรือการทดลองในสัตว์ และการทดลองในระยะที่สาม ซึ่งถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งคือ การทดลองในมนุษย์ (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 27 ก.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)

'ดิจิทัล ไทยแลนด์' แผนที่เมืองไทยบนเวบไซต์

พอ.กฤษณ์ บัณฑิต หัวหน้าศูนย์ข้อมูลแผนที่ กรมแผนที่ทหาร เปิดเผยถึงกรณีที่เผยแพร่ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมแผนที่โลก บนอินเทอร์เน็ตผ่านโปรแกรมกูเกิ้ล เอิร์ธ (google earth) ว่า อาจส่งผลกระทบความมั่นคงของประเทศ เพราะพื้นที่บางจุดมีความสำคัญเป็นความลับทางราชการ หากถูกเผยแพร่ออกไป หวั่นจะเกิดผลกระทบต่อประเทศ ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านยังไม่มีข้อมูลภาพถ่ายในลักษณะเดียวกัน ทางองค์การสหประชาชาติหรือยูเอ็น ออกประกาศข้อกำหนดเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียม โดยกำหนดความละเอียดของการใช้งานภาพถ่ายดาวเทียมสาธารณะ ให้สามารถถ่ายภาพวัตถุที่มีขนาดระหว่าง 13-20 เมตรเท่านั้น ขณะที่เทคโนโลยีพัฒนาเพิ่มขึ้นจนเข้าไปช่วยเพื่มประสิทธิภาพการใช้งานให้สูงขึ้น อาทิ การแปลงภาพถ่ายเป็นภาพ 3 มิติ หรือการซ้อนทับข้อมูล ระบุรายละเอียดสถานที่บนภาพถ่ายได้มากขึ้น จึงอาจกระทบถึงความมั่นคงของประเทศ เช่นเดียวกับประเทศเกาหลีที่หวั่นผลกระทบในเรื่องนี้เช่นกัน ด้านนายชาญชัย เพียรวิจารณ์พงศ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) กล่าวว่า สำนักงานมีโครงการร่วมกับกรมแผนที่ทหาร และสถาบันการศึกษา จัดทำโปรแกรมแผนที่ภาพถ่ายดาวเทียมของประเทศไทย ภายใต้ชื่อ "ดิจิทัล ไทยแลนด์" โดยจะรวบรวมแผนที่ภาพถ่ายจากดาวเทียมแลนแซท ระยะ 30 เมตร มาใช้งานร่วมกับข้อมูลภาพถ่ายที่ สทอภ. มีอยู่ประมาณ 20% และเผยแพร่ในลักษณะของโปรแกรมค้นหาข้อมูลบนเวบไซต์ ซึ่งจะแบ่งระดับข้อมูลสำหรับกลุ่มผู้ใช้งาน ทั้งภาคการศึกษา และหน่วยงานราชการ ซึ่งคาดว่าโปรแกรมจะเสร็จในเบื้องต้น คือรวบรวมภาพถ่ายดาวเทียมทั่วทั้งประเทศในเดือนธันวาคม 2548 (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 27 ก.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)

หุ่นยนต์นักไต่"ลีเมอทูบีร์" ปีนเก็บข้อมูลดาวแดง-ดวงจันทร์

เบร็ตต์ เคนเนดี้ เจ้าหน้าที่ห้องทดลองเจพีแอลขององค์การอวกาศสหรัฐ (นาซ่า) หนึ่งในทีมงานผู้พัฒนาหุ่นยนต์ลีเมอร์ ทูบี กล่าวว่า การส่งหุ่นยนต์ไปศึกษาพื้นผิวดาวดวงอื่นๆ ในขณะนี้ยังมีข้อจำกัดด้านการสำรวจพื้นผิวระหว่างจุดสูงสุดกับจุดต่ำสุดในแนวตั้ง ซึ่งการทำลายข้อจำกัดดังกล่าวต้องอาศัยหุ่นยนต์ที่สามารถปีนป่ายและไต่ขึ้นลงที่สูงได้เหมือนกับนักไต่เขาบนโลกเรา หุ่นยนต์ลีเมอร์ ทูบี ที่พัฒนาอยู่นี้เป็นหุ่นนักไต่รุ่นที่ 2 ลักษณะลำตัวเป็นจานทรงกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 30 เซนติเมตร มีขากล 4 ขา ความยาวขาละ 15 เซนติเมตร ด้านล่างปลายขาติดตั้งหมุดสำหรับกดตรึงลงบนพื้นผิว ส่วนตัวขามีอุปกรณ์เซ็นเซอร์สำหรับวิเคราะห์การเคลื่อนที่แต่ละก้าว รูปแบบการเคลื่อนที่ของลีเมอร์ ทูบี ใช้ 3 ขาพยุงตัวเอาไว้และใช้ 1 ขาที่เหลือควานหาจุดดึงตัวไปข้างหน้า ในอนาคตอาจพัฒนาเปลี่ยนจากหมุดเป็นสว่านขนาดเล็ก ซึ่งสามารถเจาะลงไปในพื้นผิวและมีประโยชน์ 2 ข้อ คือ ยึดเกาะมั่นคงขึ้นและสามารถเก็บตัวอย่างใต้พื้นผิวได้ด้วย แต่กว่าที่หุ่นยนต์รุ่นนี้จะออกปฏิบัติภารกิจในอวกาศได้จริงอาจต้องใช้เวลาสร้างอีก 10 ปี (ข่าวสด อังคารที่ 27 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)

แนะรบ.หนุนผลิตเซลล์แสงแดด รับมืออีก 20 ปีโลกขาดแคลนไฟฟ้า!

สำหรับ "ประเทศไทย" หากสามารถผลิตเซลล์แสงแดดได้เอง จะไม่ต้องซื้อเซลล์แสงแดด และไม่ต้องจ่ายค่าทรัพย์สินทางปัญญาให้ต่างประเทศ ถ้าไทยสามารถผลิต "ซิลิคอน" จากแกลบไทยในราคาถูก ไทยจะมีรายได้จากการขาย "ซิลิคอน" ที่จำเป็นต้องใช้ปริมาณมหาศาลในการผลิตเซลล์แสงแดดและในอุตสาหกรรมที่ต้องใช้ "ซิลิคอนชิพ" เป็นที่ทราบกันดีว่า "สารกึ่งตัวนำ" อื่นๆ จะสามารถนำมาผลิตเป็นเซลล์แสงแดดที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าซิลิคอนมาก แต่เนื่องจากราคาของสารเหล่านั้นแพงกว่าซิลิคอน ซิลิคอนจึงมีข้อได้เปรียบในการนำมาผลิตเป็นเซลล์แสงแดดมากกว่าสารกึ่งตัวนำอื่นๆ เพราะเป็นธาตุในโลกที่มีปริมาณเป็นอันดับ 2 รองจากออกซิเจนและไม่มีใครเป็นเจ้าของ สำหรับประเทศไทย ความต้องการพลังงานในยุคสมัยอีก 20 ปีข้างหน้าเมื่อประชากรมากขึ้นและระดับความเป็นอยู่สูงขึ้น ก็คงต้องใช้เซลล์แสงแดดคิดเป็นพื้นที่ประมาณ 5 แสนไร่ ซิลิคอนเป็นธาตุอยู่ในสภาพ "ซิลิคา" ในทราย ควอตซ์ ฯลฯ และสำคัญที่สุดคือที่อยู่ในแกลบ ดังนั้น ประเทศไทยเรามีจุดแข็งตรงที่เรามีข้าว มีแกลบในปริมาณมาก ต้นทุนจึงถูก กอปรกับซิลิคาในเแกลบเป็นในรูปแบบก้อนเล็ก 3-4 ไมครอนที่สะดวกต่อการใช้ในกระบวนการแปลงสภาพจากซิลิคา เป็นซิลิคอนตามต้องการ นอกจากเหตุผลทางเทคนิคดังกล่าวแล้ว ก็จะมีคุณประโยชน์ต่อชาวนาไทยที่จะมีผลผลิตราคาดี คือ แกลบเพิ่มจากราคาข้าวด้วย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยว่าจะสามารถทำเป้าหมาย 2 ประการต่อไปนี้ให้เป็นจริงใน 20 ปีได้หรือไม่ นั่นคือ 1. สร้างเทคโนโลยีการสกัดซิลิคอนจากแกลบให้ได้ซิลิคอนคุณภาพสูงในราคาถูกกว่าคนอื่น 2. พัฒนาเทคโนโลยีการสร้างการผลิตเซลล์แสงแดดให้ได้ประสิทธิภาพสูงกว่าและในราคาที่ถูกกว่า จึงขอเสนอให้ภาครัฐจัดตั้ง "สถาบันและกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อผลิตเซลล์แสงแดดไทยจากแกลบ" โดยมีความมั่นใจว่าเมื่อได้ตั้งสถาบันและมีการสนับสนุนด้วยกองทุนฯ แล้ว เรามีความเชื่อมั่นว่าจะทำให้บรรลุผลทั้ง 2 ประการภายใน 20 ปี จะได้เห็นผลชัดเจน อีกทั้งเป็นการทำงานเชิงรุกเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าในระยะยาวอีกด้วย(ข่าวสด อังคารที่ 27 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)

จีนส่งคนเดินทางอวกาศเที่ยวใหม่-อีกก้าวการไปดวงจันทร์

สำนักข่าวไชน่า นิวส์ เซอร์วิส รายงานว่า จีนเตรียมส่งยานอวกาศพร้อมนักบินลำที่ 2 และจะเป็นลำแรกที่จะมีนักบินอวกาศเดินทางไปด้วย 2 คน ในวันที่ 13 ตุลาคมนี้ หากไม่มีปัญหาด้านสภาพอากาศ การเดินทางในครั้งนี้มีระยะปฏิบัติภารกิจทั้งสิ้น 5 วัน ทั้งนี้ หากเป็นไปตามแผนยานเสิ่นโจว 6 จะถูกปล่อยออกจากฐานปล่อยจิ่วฉวนในทะเลทรายโกบี ทางภาคเหนือของจีน เพื่อปฏิบัติภารกิจในห้วงอวกาศเป็นเวลา 119 ชั่วโมง ในการปล่อยยานอวกาศครั้งนี้เลือกเวลากลางวัน เนื่องจากเหตุผลด้านความปลอดภัยและเผื่อเวลาในการเตรียมความพร้อมครั้งสุดท้าย ซึ่งต่างจากการปล่อยยานไร้คนขับที่ผ่านมาที่เลือกปล่อยในเวลากลางคืนหรือตอนเช้ามืด โครงการอวกาศที่สนับสนุนโดยกองทัพจีนนับเป็นโครงการใหญ่อีกโครงการหนึ่งของรัฐบาล จีนยังมีแผนจะส่งยานสำรวจแบบไม่มีคนขับไปสำรวจดวงจันทร์ให้ได้ ในอีก 5 ปีข้างหน้า จีนประสบความสำเร็จในการส่งมนุษย์อวกาศคนแรกเมื่อเดือนตุลาคม 2546 และนับเป็นประเทศที่ 3 ของโลก ที่ส่งมนุษย์ออกไปสู่ห้วงอวกาศได้สำเร็จรองจากรัสเซีย และสหรัฐฯ สำหรับการเดินทางครั้งใหม่นี้ พ.อ.หยาง ลี่เหว่ย นักบินอวกาศคนแรกของจีน ที่เดินทางรอบโลกไปกับยานเสิ่นโจว 5 อาจจะไม่ได้เดินทางไปด้วย แต่เป็นผู้ฝึกให้กับเหล่านักบินรบ 14 คน ที่ร่วมในโครงการคัดเลือกนักบินอวกาศที่จะเดินทางไปปฏิบัติภารกิจใหม่นี้. (ไทยรัฐ พุธที่ 28 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)

คลื่นความร้อนตัวการขย้อน CO2

ผลงานวิจัยโครงการ CarboEurope ภายใต้ความร่วมมือของบริษัท สถาบันและองค์กร ต่าง ๆ ร่วมร้อยแห่งในทวีปยุโรปมีวัตถุประสงค์คือการศึกษาความสมดุลและวัฏจักรของคาร์บอนในทุกระดับตั้งแต่ท้องถิ่นไปจนถึงระดับทวีป (ยุโรป) ซึ่งก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของพันธสัญญาในพิธีสารเกียวโต ข้อมูลถูกส่งมาจากสถานีตรวจการณ์ทั่วทวีปยุโรป ซึ่งแต่ละแห่งก็จะมีหอสูงคอยตรวจปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่หมุนเวียนอยู่รวมไปถึงเรื่องน้ำและถ่ายเทพลังงานของระบบนิเวศบริเวณนั้นๆ ซึ่งต้องขอสร้างความเข้าใจให้กับคุณผู้อ่านก่อนว่า มวลของพืชนั้นกว่าครึ่งหนึ่งอยู่ในรูปของคาร์บอน ดังนั้นการศึกษาวัฏจักรของคาร์บอนจากชั้นบรรยากาศสู่พืชและจากพืชสู่ชั้นบรรยากาศ (ในกระบวนการสังเคราะห์แสงและการหายใจของพืช) จากข้อมูลนี้ทำให้เราได้ทราบว่าคลื่นความร้อนที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2003 ส่งผลกระทบอย่างมากกับระบบนิเวศในทวีปยุโรป เพราะว่าช่วงราวเดือนสิงหาคมเป็นช่วงที่พืชพันธุ์ต่าง ๆ โตเต็มที่และพร้อมที่จะผลิดอกออกผล แต่เมื่อมาเจอกับคลื่นความร้อนเข้า บรรดาพืชเกือบทุกชนิดจะเจริญเติบโตช้าลง ซึ่งสังเกตได้ชัดจากภาพถ่ายดาวเทียม นั่นแสดงว่าพืชดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศน้อยลง ผลการวิเคราะห์จากแบบจำลองทำให้ทราบอีกว่าในปีนั้นบรรดาพืชในทวีปยุโรปปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ มากกว่าที่มันดูดซับเข้าไป ซึ่งโดยปกติแล้วพืชเหล่านี้จะดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 125 ล้านตันในแต่ละปี แต่สำหรับปี ค.ศ. 2003 กลับปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศเป็นปริมาณสุทธิทั้งกว่า 500 ล้านตันเลยทีเดียว ปริมาณดังกล่าวคิดเป็นเกือบ 1 ใน 10 ของปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิลทั่วโลกราว 7,000 ล้านตัน ซึ่ง ตัวเลขนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์ตกใจและต้องกลับมา ทบทวนผลกระทบจากคลื่นความร้อนกันใหม่ เพราะแต่เดิมเชื่อกันว่าการที่โลกร้อนขึ้นส่งผลกระทบในด้านบวกสำหรับระบบนิเวศในทวีปยุโรป เพราะว่าพืชจะได้มีช่วงระยะเวลาเติบโตและขยายพันธ์ยาวนานมากขึ้น แต่ความเชื่อดังกล่าวไม่ได้คิดถึงผลกระทบ จากปรากฏการณ์คลื่นความร้อนที่เกิดขึ้นบ่อยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพราะถึงแม้อากาศที่อุ่นขึ้นจะทำให้พืชมีช่วงระยะเวลาในการเจริญเติบโตและขยายพันธุ์ได้มากขึ้น ทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ถูกดูดซับไปในปริมาณที่มากขึ้นด้วย แต่การเกิดคลื่นความร้อนเพียงครั้งเดียวกลับทำให้มีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ถูกปลดปล่อยออกมาสู่ชั้นบรรยากาศเพียงปีเดียว มากกว่าที่เคยถูกดูดซับเข้าไปเป็นระยะเวลาหลาย ๆ ปีเสียอีก นอกจากนี้แล้วนักวิทยาศาสตร์ยังทำนายไว้อีกด้วยว่า ตั้งแต่กลางศตวรรษนี้เป็นต้นไป คลื่นความร้อนจะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็น “ปกติ” ในทวีปยุโรป และอาจจะเป็นสาเหตุสำคัญอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้โลกซึ่งร้อนอยู่แล้วร้อนมากขึ้นไปอีก (เดลินิวส์ พุธที่ 28 ก.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)

จัดระเบียบศึกษาพรรณไม้ในโรงเรียน

นายเอกวิทย์ ลำพาย หรือน้องเตอร์ นักเรียนโรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย จ.ขอนแก่น นักเรียนทุนโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เจ้าของโครงงาน วิทยาศาสตร์เรื่อง “การสำรวจพรรณไม้ต้นไม้ในโรงเรียนแก่นนครวิทยาลัยและจำแนกจัดทำวิธานพืช” โดยทำการสำรวจพรรณไม้ และต้นไม้ในโรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย เพื่อรวบรวมข้อมูลจำแนกประเภทพืช เนื่องจากในโรงเรียนมีต้นไม้ที่หลากหลายชนิด เช่น ไม้ต้น ไม้พุ่ม ไม้เลื้อย บนเนื้อที่ 63 ไร่ 137 ตารางวา ในเชิงการทำรูปวิธานพืช สำรวจพรรณต้นไม้และเก็บตัวอย่าง ซึ่งจำแนกโดย ใช้สัญลักษณ์เป็นเกณฑ์ จัดหมวดหมู่ในระดับต่าง ๆ ของพรรณต้นไม้ ยกเว้นพืชตระกูลปาล์ม จากนั้นทำแผนผังแสดงตำแหน่งชนิด และจำนวนพรรณต้นไม้ในโรงเรียน จากการศึกษาและสำรวจพบว่า มีพรรณไม้ทั้งหมด 42 ชนิด และจำนวนต้นไม้ 803 ต้น นายเอกวิทย์ บอกว่า โครงงานนี้สามารถนำไปใช้ในการจำแนกพืช และทำให้โรงเรียนมีข้อมูลด้านพฤกษศาสตร์มากขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้รู้ตำแหน่งของพรรณไม้ทุกต้นในโรงเรียน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจศึกษาด้านนี้ต่อไป (เดลินิวส์ พุธที่ 28 ก.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)

สัมผัสพืชชนิดใหม่ของโลก บานนอกถิ่นกำเนิด/นอกฤดูกาล

ดร.นงลักษณ์ ปานเกิดดี ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กล่าวว่า จากการที่ ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีการเกษตร วว. ภายใต้โครงการวิจัยการอนุรักษ์และพัฒนาพันธุกรรมพืชในวงศ์ไม้จำปา ซึ่งเป็นโครงการย่อยของโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ค้นพบ "จำปีสิรินธร" พันธุ์ไม้ชนิดใหม่ของโลก ในบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำหรือป่าพรุน้ำจืด ที่บ้านซับจำปา ตำบลซับจำปา อำเภอท่าหลวง จังหวัดลพบุรี และที่ป่าพรุน้ำจืด ต. น้ำสวย อ. เมือง จ. เลย ปัจจุบันประสบความสำเร็จในการขยายพันธุ์นอกถิ่นกำเนิด ณ แปลงเพาะชำกล้าไม้ วว. เทคโนธานี คลองห้า จังหวัดปทุมธานี ซึ่งในขณะนี้จำปีสิรินธร ได้ออกดอกบานนอกถิ่นกำเนิดและนอกฤดูกาล นับเป็นความสำเร็จและน่าชื่นชมยินดียิ่ง ดังนั้น เพื่อให้สังคมตื่นตัวร่วมอนุรักษ์พันธุ์พืชหายากดังกล่าว จึงจัดสัปดาห์ชมฟรี! "จำปีสิรินธร...บานนอกถิ่นกำเนิดและนอกฤดูกาล" ระหว่างวันที่ 26-30 กันยายนนี้ ผู้สนเข้าชมสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายเทคโนโลยีการเกษตร วว. โทรศัพท์ 0 2577 9004-5 ในวันเวลาราชการ กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 28 ก.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)

กรมควบคุมมลพิษเร่งขจัดซากมือถือ

นายปลอด ประสพสุรัสวดีที่ปรึกษารมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีลงนามในบันทึกความร่วมมือว่าด้วยการจัดการซากแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือระหว่างกรมควบคุมมลพิษและภาคเอกชนว่า ภาครัฐได้เล็งเห็นถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากซากโทรศัพท์มือถือและซากแบตเตอรี่ที่ปะปนมากับขยะมูลฝอยของชุมชนโดยสารเคมีที่อยู่ในแบตเตอรี่ดังกล่าวจะส่งผลเสียต่อระบบนิเวศน์และระบบห่วงโซอาหารรวมทั้งทำลายระบบอวัยะต่างๆ ของร่างกายมนุษย์มากมายอาทิสารตะกั่วที่ไหลออกมามีผลทำลายระบบประสาทส่วนกลางและระบบโลหิตการทำงานของไตและการสืบพันธุ์ พัฒนาการทางสมองของเด็กนอกจากนี้สามารถสะสมในบรรยากาศและเกิดผลเฉียบพลันหรือเรื้อรังกับพืช สัตว์และจุลินทรีย์ ส่วนสารแคดเมียมที่อยู่ในแบตเตอรี่จะสะสมในร่างกายโดยเฉพาะที่ไต ทำลายระบบประสาทส่งผลต่อพัฒนการของเด็กและภาวะการตั้งครรภ์และอาจมีผลต่อพันธุกรรม สำหรับสารเลิลเรียมเป็นสารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะปอด ผู้ได้รับสารนี้อย่างต่อเนื่องจากการสูดดมจะกลายเป็นโรค Beryllicosis หากสัมผัสจะทำให้เกิดแผลที่ผิวหนังอย่างรุนแรงทำให้ระบบการทำงานของต่อมไทรอยด์และต่อมไร้ท่อผิดปกติ สะสมในน้ำนม กระแสเลือดและถ่ายทอดในห่วงโซ่อาหาร เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าวภาครัฐจึงขอความร่วมมือกับผู้ที่เกี่ยวข้องดังนี้1.ให้สถานที่จำหน่ายหรือสถานที่รับชำระค่าบริการโทรศัพท์มือถือ กำหนดจุดตั้งวางรับซากโทรศัพท์มือถือและแบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพ 2.รวบรวมซากโทรศัพท์มือถือและแบตเตอรี่ส่งไปกำจัดโดยโรงงานผู้รับบริการกำจัดสิ่งปฏิกูลและวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว ซึ่งขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย 3.ให้ผู้ประกอบการที่ให้บริการโทรศัพท์มือถือร่วมกับบริษัทผู้ผลิตและผู้นำเข้าโทรศัพท์มือถือและแบตเตอรี่ในลักษณะห้างหุ้นส่วน รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดการซากโทรศัพท์มือถือและแบตเตอรี่4.ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปร่วมมือกำจัดซากโทรศัพท์มือถือและแบตเตอรี่ที่ไม่ใช้แล้ว และให้ความรู้เพื่อยืดอายุการใช้งานโทรศัพท์ให้นานขึ้น พร้อมกันนี้ได้ขอความร่วมมือประชาชนไม่ทิ้งซากโทรศัพท์มือถือ และแบตเตอรี่ปะปนกับขยะมูลฝอยทั่วไปและให้นำมาทิ้งในจุดที่กำหนดเท่านั้น (สยามรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 29 ก.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)

ไต้หวันรวมพลคนนาโนเทค

ไต้หวันประกาศศักยภาพ ความเป็นผู้นำนาโนเทคโนโลยี ระดมผลิตภัณฑ์นาโนจาก 29 บริษัทชั้นนำทั่วโลกจัดแสดงใหญ่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แผ่นกรองอากาศนาโนที่มาพร้อมคุณสมบัติพิเศษ สามารถดักจับอนุภาคฝุ่นได้หมดทุกขนาด เหมาะสำหรับผู้ใส่ใจสุขภาพเป็นพิเศษ กับลูกเบสบอลเคลือบด้วยนาโนสาร เสริมความแข็งแกร่งทนทานเป็นพิเศษ แม้จะถูกกระแทกดีอย่างรุนแรง จะไม่ทิ้งรอยขีดข่วนให้เห็นแม้แต่นิดเดียว ช่วยให้ผู้เล่นกีฬาประเภทนี้ประหยัดค่าลูกเบสบอลใหม่ได้ ผลงานทั้งสองถูกจัดแสดงร่วมกับผลงานอื่นๆ ที่พัฒนาจากนาโนเทคโนโลยี 176 บูธ จาก 29 บริษัทใน 8 ประเทศ อาทิ เยอรมนี ญี่ปุ่น สหรัฐ ฮ่องกง เกาหลี อังกฤษและเนเธอร์แลนด์ ภายในงานไต้หวันนาโนเทค ณ ศูนย์การค้าโลกไทเป (ทีดับเบิลยูทีซี) และศูนย์ประชุมนานาชาติไทเป (ทีไอซีซี) จัดโดยกระทรวงเศรษฐกิจของไต้หวัน นอกจากจัดแสดงผลิตภัณฑ์นาโนเทคโนโลยีแล้วยังมีกิจกรรมอื่นๆ ด้วย อาทิ เวทีประชุมประเมินและการจัดการโครงการนาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ เสวนาโอกาสทางธุรกิจของนาโนเทคโนโลยี เสวนาสมาคมธุรกิจไต้หวัน การประชุมปฏิบัติการนานาชาติและเสวนาเทคโนโลยีการวัดในระดับนาโนจากเอเปค เป้าหมายการจัดงานเพื่อเปิดโอกาสให้นักวิจัยจากนานาชาติ ได้นำเสนอผลงานของตนเอง อันจะนำไปสู่การเรียนรู้ซึ่งกันเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีนาโนล่าสุด พร้อมทั้งแสวงหาหนทางขับเคลื่อนนวัตกรรมนาโนสู่ศตวรรษใหม่ นายเยน-เชียง ชิห์ รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ กล่าวว่า ไต้หวันมีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำด้านนาโนเทคโนโลยีในส่วนที่เกี่ยวกับไอที อย่างเช่น อุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์ อีกทั้งยังเน้นว่า รัฐบาลไต้หวันได้จัดสรรงบวิจัยนาโนเทคโนโลยีในปี 2546-2551 ถึง 23 พันล้านดอลลาร์ไต้หวัน แต่อย่างไรก็ตาม การลงทุนด้านนาโนเทคโนโลยีก็ยังคงน้อยอยู่ดี เมื่อเทียบกับงบประมาณที่ให้กับการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งได้งบประมาณ 5-6 พันล้านดอลลาร์ไต้หวันต่อปี (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 30 ก.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)

นิทรรศการอุตสาหกรรม 15 ปี สจพ. โชว์นวัตกรรมเทคโนโลยีไทย-ฝรั่งเศส

สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ(สจพ.) จะจัดงานนิทรรศการครบรอบ 15 ปี ศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีไทย-ฝรั่งเศส วันที่ 3-5 ตุลาคมนี้ โดยเป็นโครงการความร่วมมือทางวิชาการระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลฝรั่งเศส ภายในงานมีการประชุมสัมมนาวิชาการด้านเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ เทคโนโลยีการกัดกร่อน เทคโนโลยีงานเชื่อม ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์ และมาตรวิทยา โดยผู้เชี่ยวชาญฝรั่งเศสและวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิชาวไทย และชมงานนิทรรศการผลงานทางวิชาการ วิจัยและพัฒนานวัตกรรมทันสมัย จากกลุ่มบริษัทชั้นนำของประเทศฝรั่งเศส พร้อมกับเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีด้านต่างๆ ห้องปฏิบัติการด้านการสอบเทียบ(Open-house) ของศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีไทย ณ อาคารอเนกประสงค์ อาคารศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีไทย-ฝรั่งเศส สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 30 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)

ยุโรปเสนอช่วยรัสเซีย สร้างยานอวกาศรุ่นใหม่

องค์การอวกาศยุโรป (อีเอสเอ) ยื่นขอเสนอพร้อมช่วยองค์การรัสเซียสร้างยานอวกาศรุ่นใหม่ "คลิปเปอร์" ซึ่งสามารถนำมนุษย์ 6 คนขึ้นไปสู่อวกาศ ปัจจุบัน ยาน "โซยูซ" ขององค์การอวกาศรัสเซียรับภาระหลักในการส่งมนุษย์อวกาศขึ้นไปประจำการในสถานีอวกาศนานาชาติ (ไอเอสเอส) แต่เนื่องจากยานโซยูซปฏิบัติภารกิจมานานกว่า 40 ปี ทำให้รัสเซียจำเป็นต้องปลดระวางยานลำนี้ และกำลังวางแผนพัฒนายาน "คลิปเปอร์" ขึ้นมาใช้แทนที่ สเซียตั้งเป้าว่า ยานคลิปเปอร์จะสามารถบินไปถึงดวงจันทร์ และล่าสุดอีเอสเอแสดงความสนใจอยากเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนายานรุ่นนี้ เพื่อใช้เป็นพาหนะสำหรับรับ-ส่งมนุษย์อวกาศของยุโรปไปกลับระหว่างสถานีไอเอสเอสกับโลกมนุษย์ (ข่าวสด ศุกร์ที่ 30 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)

ข่าววิจัย/พัฒนา

คิดวิธีลดความอ้วนแบบพิสดาร ให้กินไฟฟ้าต่างอาหาร

หนังสือพิมพ์ "เดอะ เมล์" ฉบับใหญ่ของอังกฤษ ลงข่าวฮือฮาว่า ได้มีวิธีการลดความอ้วนด้วยการผ่าตัดแผลเล็กขนาดเท่ารูเข็ม ซึ่งเป็นวิธีการที่คิดขึ้นในอิตาลีถูกนำไปใช้ในอังกฤษแล้ว ตามวิธีการดังกล่าว หมอจะผ่านำเอาเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดเล็กจิ๋ว ขนาดโตเท่ากับกล่องไม้ขีดเข้าไปไว้ในกระเพาะอาหาร แล้วให้ทำงานกำเนิดกระแสไฟฟ้าขึ้น ทำให้ผู้นั้นเกิดความรู้สึกอิ่มขึ้นได้ โดยไม่ต้องกินอะไร ดังนั้น แต่ละมื้อจึงไม่ต้องกินมากก็พอ ชั่วเวลาไม่นานน้ำหนักตัวก็จะลดลงได้เอง อุปกรณ์ที่ใช้ในการลดน้ำหนักแบบพิสดารครั้งนี้ ทางแพทย์อิตาลีได้ ทดลองใช้จนได้รับความสำเร็จอย่างงดงามมาแล้ว. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 26 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)

สหรัฐพัฒนาเทคนิค สแกนสมองฆาตกรจับโกหก

เดเนียล แลนเกิลเบน หัวหน้านักวิจัยจากวิทยาลัยการแพทย์ มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนียในสหรัฐ ยืนยันว่าหากใครพูดโกหก ลอนสมองส่วนหน้าจะทำงานให้เห็นอย่างชัดเจน การตรวจสอบภาวะดังกล่าวได้นั้น นักวิจัยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่เรียกว่าเทคนิคเอฟเอ็มอาร์ไอตรวจดูสมองทุกตารางนิ้วว่า สมองส่วนไหนกำลังทำงาน โดยทดสอบกับอาสาสมัครในห้องปฏิบัติการ หลังจากนั้นพวกเขาก็พัฒนาสูตรคณิตศาสตร์ ที่สามารถนำมาใช้ตรวจจับคำโกหกที่มีความแม่นยำถึง 99% ทีมวิจัยบอกว่าเอฟเอ็มอาร์ไอ เป็นเครื่องมือวิจัยที่สามารถนำมาใช้ในกระบวนการสืบสวนสอบสวน เพื่อจับโกหกบรรดาอาชญากรและผู้ก่อการร้ายได้ แม้จะยังไม่สามารถบอกได้ว่าผู้ต้องสงสัยมีแผนวางระเบิดไว้ในใจหรือไม่ แต่อย่างน้อย เทคนิคนี้ก็สามารถบอกได้ว่า คนคนนั้นโกหกในคำตอบที่ให้เรามาหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เจนนิเฟอร์ เวนดีเมีย ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำวิจัยจับโกหก มหาวิทยาลัยเซาท์แคโรไลนา มองว่า การทดลองในห้องปฏิบัติการ ไม่อาจใช้ได้ในสถานการณ์จริง และไม่มีข้อยืนยันใดๆ ที่จะทำให้มั่นใจได้ว่า สิ่งที่มั่นใจในห้องทดลองจะถูกต้อง 100% เมื่อนำมาใช้งานจริง (คมชัดลึก จันทร์ที่ 26 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)

กากมันสำปะหลังไม่ไร้ค่าเพาะเห็ดฟางเพิ่มรายได้

ที่ บ้านโนนค้อ ต.โคกพระ อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม เกษตรกรเกือบทั้งหมู่บ้าน ได้รวมกลุ่มกันเพาะเห็ดฟางเป็นอาชีพเสริมจากการทำนา เพราะมีตลาดรองรับผลผลิต ถือเป็นแหล่งเพาะเห็ดฟางที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดก็ว่าได้ สำหรับกระบวนการเพาะเห็ดฟางด้วยกากมันสำปะหลัง นั้นนางจุมศรี สารศรี เกษตรกร เล่าว่า เริ่มแรกนำกากมันสำปะหลัง, ปูนขาว, ยิบซัม และอาหารเสริมสำหรับเพาะเห็ดผสมให้เข้ากัน เกลี่ยให้เสมอกัน โรยฟางข้าวทับอีกชั้น ผสมน้ำกับเชื้อจุลินทรีย์อีเอ็มราดให้ทั่วกองวัสดุ ทำเช่นนี้จนครบ 3-4 ชั้น คลุมด้วยผ้าพลาสติก แล้วหมักทิ้งไว้ 4 วัน ส่วนการเตรียมโรงเรือนเพาะเห็ดนั้น ให้ปูฟางข้าวบนชั้นในโรงเรือน เทวัสดุเพาะทับบนฟางให้หนาพอประมาณ ผสมรำอ่อนและปุ๋ยคอก โรยทั่ววัสดุเพาะ ปิดโรงเรือนให้มิดชิด ทิ้งไว้ 1 คืน อบด้วยไอน้ำ นาน 3 ช.ม.เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทิ้งไว้อีก 1 วัน แล้วเปิดโรงเรือน โรยเชื้อเห็ดฟางบนวัสดุเพาะให้ทั่ว ปิดโรงเรือนให้มิดชิดไม่ให้แสงเข้าเพื่อมิให้เชื้อเห็ดฝ่อ ประมาณ 4 วัน เปิดโรงเรือนรดน้ำเพื่อตัดเส้นใยเห็ด หลังจากนี้อีก 5-6 วัน ก็เริ่มเก็บดอกเห็ดได้ โดยเก็บอย่างต่อเนื่องประมาณ 7-10 วัน จึงหมดรุ่น ได้ผลผลิตรุ่นละ 150-180 กิโลกรัม ทางกลุ่มฯ รวบรวมเห็ดฟางจากสมาชิก จำหน่ายให้พ่อค้าคนกลางที่มารับซื้อทุกวัน วันละประมาณ 200 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 28-30 บาท หากเป็นช่วงฤดูแล้ง ราคาจะสูงถึงกิโลกรัมละ 35-40 บาท เกษตรกรสามารถเพาะเห็ดได้เดือนละ 1 รุ่น ลงทุนเฉพาะค่าวัสดุรุ่นละ 1,300 บาท แต่สามารถจำหน่ายได้ถึง 4,500 พันบาทเลยทีเดียว (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 26 ก.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)

'ศิริราช' เดินเครื่องวิจัยผ้ากันฝุ่น กันรัฐสูญเงินรักษาภูมิแพ้

ศ.คลินิก น.พ. ปิยะสกล สกลสัตยาทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้ลงนามความร่วมมือกับนายวิรัตน์ ตันเดชานุรัตน์ ผอ.สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ เพื่อดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาเนื้อผ้าให้มีคุณสมบัติที่สามารถป้องกัน เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้ หลังการลงนาม นางวรรณะ มหากิตติคุณ หัวหน้าโครงการวิจัยไรฝุ่นและโรคภูมิแพ้ ภาควิชาปรสิตวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า ภาควิชาปรสิตวิทยาได้เพาะ เลี้ยงไรฝุ่นบริสุทธิ์ไว้ในห้องปฏิบัติสำหรับงานวิจัยในประเทศ เพื่อประโยชน์ในการนำมาผลิตเป็นน้ำยา และยังใช้ในงานวิจัยอื่นเกี่ยวกับการป้องกันโรคภูมิแพ้ไรฝุ่น งานวิจัยที่กำลังดำเนินการคือ การทดสอบประสิทธิภาพของผ้ากันไรฝุ่น โดยเก็บตัวอย่างปลอกหมอนที่มีการโฆษณาว่า สามารถป้องกันไรฝุ่นได้จาก 6 ประเทศ คือ ไทย แคนาดา ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา จำนวน 48 ตัวอย่าง พบว่าปลอกหมอนป้องกันไรที่ทั่วโลกนิยมใช้เกือบ 50% ของกลุ่มตัวอย่าง ไม่พบว่าสามารถป้องกันไรฝุ่นได้เลย และปลอกหมอนยังเป็นรังของไรฝุ่นอีกด้วย ด้าน พ.ญ.ฉวีวรรณ บุนนาค นายกสมาคมโรคภูมิแพ้และอิมมูโนวิทยาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า อุบัติการณ์ของโรคภูมิแพ้ทางผิวหนัง ทางระบบทางเดินหายใจ พบว่าเฉพาะอาการแพ้ทางจมูกที่เกิดจากไรมีมากถึง 20-25% ของประชากรทั่วโลก สำหรับไทยมีประมาณ 15 ล้านคน ยังไม่นับรวมอาการแพ้ที่หลอดลม นำสู่การเป็นหอบหืด ซึ่งพบผู้ป่วยประมาณ 3 ล้านคน ทั้งนี้แนวโน้มของผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ สูงขึ้นทุกปี และมากถึง 3-4 เท่า ภายในเวลา 20 ปี จากข้อมูลในปี 2547 รัฐต้องเสียค่าใช้จ่าย เฉพาะเรื่องยาแก้แพ้ในการรักษาโรคแพ้อากาศ และโรคหืดเป็นเงิน 2,250 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ยังไม่ได้รวมค่าแพทย์ (ไทยรัฐ อังคารที่ 27 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)

เจลว่านหางจระเข้ใช้ทั้งเคลือบผักผลไม้ทั้งกินได้

นักวิจัยในสเปนได้พัฒนาเจลว่านหางจระเข้ให้นำมาใช้เคลือบผิวผักและผลไม้ เพื่อยืดอายุให้มีความสดและยังปลอดภัยกว่าการใช้สารสังเคราะห์ในปัจจุบันอีกด้วย แม้การพัฒนาสารเคลือบผิวอาหารให้คงความสด และกินได้ด้วยจะมีการทำมาเป็นจำนวนมากแล้ว แต่เชื่อว่าน่าจะเป็นครั้งแรกที่มีการศึกษานำเอาว่านหางจระเข้มาใช้เป็นสารเคลือบผิว โดยวารสารเกษตรกรรมและเคมีอาหารของสมาคมอเมริกัน เคมีคัลฉบับเดือนตุลาคมนี้ รายงานผลการศึกษาของแดเนียล วาเลโร จากมหาวิทยาลัยมิเกล เฮอร์นันเดซ อัลลิกันเตประเทศสเปน ระบุว่า จากการที่วาเลโรและคณะได้ทดลองนำองุ่น ไปจุ่มในเจลว่านหางจระเข้ แล้วเก็บในอุณหภูมิต่ำเป็นเวลา 5 สัปดาห์ เทียบกับอีกกลุ่มตัวอย่างที่เก็บในอุณหภูมิต่ำแต่ไม่ได้ จุ่มในเจลว่านหางจระเข้ ปรากฏว่าผลไม้ที่ไม่ได้ จุ่มในเจลว่านหางจระเข้ นั้นเสียไปอย่างรวดเร็วภายในเวลาแค่ 7 วัน ในขณะที่องุ่นที่ผ่านการ เคลือบเจลนั้นเก็บได้ ถึง 35 วัน ภายใต้สภาพการทดลองที่เหมือนกัน นักวิจัยบอกด้วยว่าองุ่นที่ผ่านการเคลือบเจลนั้นเนื้อองุ่นยังกรอบไม่เสียน้ำหนัก และสีไม่ซีดจางลง พร้อมกันนี้กรรมการที่มาช่วยประเมินอีก 10 ราย เมื่อลองชิมแล้วก็บอกว่ารสชาติโดยทั่วไปก็ยังเหนือชั้นกว่า นักวิจัยเชื่อว่าเจลว่านหางจระเข้ทำหน้าที่เป็นปราการตามธรรมชาติต่อความชื้น และออกซิเจนซึ่งเป็นตัวเร่งเข้าไปทำให้อาหารเสีย ทั้งยังมีความปลอดภัยสามารถกินเข้าไปพร้อมกับอาหารได้ อันน่าจะเป็นทางเลือกแทนที่ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ หรือสารสังเคราะห์ที่ใช้ในการเก็บรักษาอาหารได้ต่อไป. (ไทยรัฐ อังคารที่ 27 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)

ทางการจีนพอใจผลทดสอบสมุนไพรจีนรักษาเอดส์

โครงการทดสอบรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ในจีน ด้วยยาแผนโบราณของจีนที่เริ่มต้นเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ผลการทดสอบขั้นต้นทางคลินิกออกมาเป็นที่น่าพอใจ ผลการรักษาที่ใช้ยาฝรั่งพบว่ามักจะมีผลข้างเคียงและมีราคาแพงเกินไป เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ยาแผนโบราณของจีนในการรักษาการติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์แล้ว การรักษาแบบหลังค่อนข้างมีราคาถูกกว่าและมีผลข้างเคียงน้อยกว่า แพทย์ ผู้ดูแลโครงการทดลองบอกว่า การรักษาโดยใช้ ยาสมุนไพรมีวัตถุประสงค์ที่จะรักษาและเพิ่มภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย ช่วยยุติกลุ่มอาการต่างๆ ที่มักเกิดขึ้นเมื่อติดเชื้อนี้ จึงช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หลิว เหวินอู่ เจ้าหน้าที่บริหารโครงการแพทย์แผนจีนโบราณของรัฐ กล่าวว่า จากการ ทดลองที่ผ่านมาพบว่าผลเป็นที่น่าพอใจและมีความหวัง “ตั้งแต่เริ่มโครงการทดสอบเมื่อ สิงหาคม 2547 มีผู้ป่วยโรคเอดส์ 2,700 รายจาก 5 มณฑล คือเหอหนาน เหอเป่ย อันหุย หูเป่ย และกว่างตง ที่ได้รับความช่วยเหลือ และจะมีอีก 6 มณฑล เข้าร่วมเพิ่มขึ้นในปีนี้” โครงการทดลองนี้เป็นโครงการนำร่องที่รับอาสาสมัครผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ เข้ารับการรักษาฟรี โดยโรงพยาบาลของรัฐเป็นผู้ให้การรักษาและต้องเก็บความลับ ของอาสาสมัครไว้ในการรักษานั้น จะมีการปรับแนวการรักษาให้ เหมาะสมกับสภาพผู้ป่วยแต่ละคน ซึ่งจากสถิติพบว่าการรักษาด้วยยาสมุนไพร ช่วยหยุดกลุ่มอาการทั่วไปที่มักเกิดขึ้นให้ลดลงได้ เช่น ท้องเสีย อาเจียน อ่อนเพลีย เป็นต้น. (ไทยรัฐ อังคารที่ 27 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)

แพทย์ศิริราชคิดค้นผ้าปลอดไรฝุ่นกันภูมิแพ้

รศ.วรรณะ มหากิตติคุณ หัวหน้าโครงการวิจัยไรฝุ่นและโรคภูมิแพ้ ภาควิชาปรสิตวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เปิดเผยว่า ภาควิชาอยู่ระหว่างวิจัยและพัฒนาผ้าป้องกัน "ไรฝุ่น" สำหรับตัดเย็บชุดเครื่องนอน ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจำนวน 4.32 แสนบาท จากสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ คาดว่าโครงการน่าจะแล้วเสร็จภายใน 3 เดือน การคิดค้นดังกล่าวได้ผนวกความรู้ด้านพฤติกรรมของตัวไรฝุ่น เข้ากับความรู้ด้านเส้นใยและนาโนเทคโนโลยี เพื่อให้ได้ผ้าที่มีคุณสมบัติพิเศษตามต้องการคือ สามารถป้องกันตัวไรฝุ่นแทรกตัวเข้าไปอยู่อาศัยตามเส้นใยผ้า และไม่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของตัวไร ขณะที่วัสดุสิ่งทอที่ใช้ป้องกันไรฝุ่นในปัจจุบัน นิยมเคลือบด้วยสารเคมี อาทิ ผ้าเคลือบสารโพลิยูริเทน พลาสติกหรือไวนินและผ้าอัดใย เป็นต้น ผลิตภัณฑ์เครื่องนอนที่จำหน่ายทั่วไป มีหลายรายที่แอบอ้างสรรพคุณป้องกันไรฝุ่น แต่จากการสำรวจและนำผลิตภัณฑ์มาทดสอบ ปรากฏว่าผ้าป้องกันไรฝุ่นส่วนใหญ่ยังไม่ได้มาตรฐาน และทำให้ผู้บริโภคกลายเป็นผู้เสียเปรียบในที่สุด ดังนั้น คณะทำงานซึ่งทำวิจัยในเรื่องตัวไรฝุ่นอยู่แล้ว โดยมีฟาร์มเพาะเลี้ยงตัวไรที่บริสุทธิ์ ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก เพื่อนำมาผลิตน้ำยาทดสอบอาการภูมิแพ้ ทดสอบผลิตภัณฑ์ผ้ากันไรฝุ่นและใช้ในงานวิจัยอื่นๆ จึงต้องการพัฒนาวัสดุประเภทผ้าที่มีประสิทธิภาพป้องกันไรฝุ่นได้อย่างแท้จริง (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 27 ก.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)

ทีมวิจัย ม.เกษตรฯคัดสายพันธุ์ขมิ้นชันเคอร์คูมินสูง

ดร.วิเชียร กีรตินิจกาล หัวหน้าศูนย์ความหลากหลายทางพันธุกรรมของพืช และอาจารย์ประจําภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตรและคณะวิจัย ได้ริเริ่มโครงการวิจัยการจําแนกสายพันธุ์ขมิ้นชัน โดยได้รับงบประมาณบูรณาการจากสภาวิจัยแห่งชาติ ซึ่งใช้เวลากว่า 18 เดือน รวบรวมพันธุกรรมขมิ้นชันกว่า 2,000 ตัวอย่างจากทั่วประเทศ และใช้กระบวนการจําแนกสายพันธุด้วยเครื่องหมายดีเอ็นเอ ชนิด Microsatellite Marker หรือ SSR (Simple SeQuence Repeat) เครื่องหมายดีเอ็นเอดังกล่าว สามารถใช้แยกความแตกต่างระหว่างสายพันธุ์พืช จากการศึกษาส่วนของดีเอ็นเอที่เป็น Microsatellite และสามารถจําแนกสายพันธุ์ขมิ้นชันได้ 34 สายพันธุ์ ซึ่งในจํานวนนี้พบขมิ้นชันที่มีลักษณะดี 14 สายพันธุโดยสายพันธุ์ที่ดีสุดนั้นให้ผลผลิตถึง 6.2 ตัน/ไรและมีปริมาณสารเคอร์คูมินสูงถึง 10-12% โดยใช้ชื่อพันธุ์ว่า “แดงสยาม” และยังมีพันธุ์ส้มปรารถนาและเหลืองนนทรี ที่ให้สารเคอร์คูมินในระดับน่าพอใจ “ขมิ้นชัน” เป็นพืชสมุนไพรที่คนไทยใช้กันมาแต่โบราณ มีสารสําคัญสีเหลือง -ส้มกลุ่มเคอร์คูมินอยดซึ่งจากงานวิจัยหลายชิ้นพบว่าสารเคอร์คูมินมีฤทธิ์ช่วยป้องกันโรคมะเร็งปอด มะเร็งลําไสมะเร็งต่อมลูกหมากและอัลไซเมอรโดยเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา นักวิจัยจาก University of Texas M.D. Anderson Cancer Center, Houston สหรัฐอเมริกา ได้ทดลองใช้สารเคอร์คูมินร่วมกับยารักษามะเร็งในหนูทดลอง ผลวิจัยพบว่า สามารถป้องกันมะเร็งลุกลามได้ถึง 78% ส่งผลใหผู้คนหันมาบริโภคขมิ้นชัน ทั้งในรูปของอาหารและอาหารเสริมอย่างมากมาย และไทยซึ่งเป็นประเทศหนึ่งที่คุ้นเคยกับขมิ้นชัน และนิยมใช้เป็นเครื่องเทศเพื่อปรุงอาหาร แต่ปริมาณการปลูกและการส่งออกกลับอยู่ในระดับต่ำ ปัญหาหลักของขมิ้นชันไทยคือความไม่สม่ำเสมอของสารเคอร์คูมิน ซึ่งอาจเกิดจากสภาพแวดล้อมและพันธุกรรม ที่ผ่านมานั้น ไทยยังไม่สามารถแบ่งแยกสายพันธุ์ขมิ้นชันไทยไดเพราะสายพันธุ์มีความคล้ายกันจนแยกไม่ออก จึงมีปัญหาการปะปนของสายพันธุ์ ซึ่งยากแก่การผ่านมาตรฐานการส่งออก โครงการวิจัยนี้จึงเป็นองค์ความรู้สําคัญ ที่ช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวไดและขณะนี้กําลังเร่งดําเนินการขยายพันธุ์ขมิ้นชันสายพันธุ์แดงสยาม เพื่อให้มีปริมาณมากพอ ที่จะนําไปให้เกษตรกรปลูก โดยมีแปลงทดลอง 12 ไร่ อยู่ที่ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่าง ไร่สุวรรณวาจกกสิกิจ จังหวัดนครราชสีมา, แปลงทดลองมหาวิทยาลัยแม่โจ้, แปลงทดลองมหาวิทยาลัยขอนแก่น และศูนย์วิจัยยาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 26 ก.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)

โทรศัพท์รุ่นใหม่ พิสูจน์กลิ่นหาเจ้าของ

เดวิด บิชอป รองประธานฝ่ายวิจัยนาโนเทคโนโลยีของเบลแล็บส์ ฝ่ายวิจัยของบริษัท ลูเซ่น เทคโนโลยีส์ ในสหรัฐ ทำนายว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า โทรศัพท์มือถือจะมีความสามารถด้านการดมกลิ่น มองเห็น และได้ยินเหมือนกับที่มนุษย์สามารถทำได้ โดยเจ้าจมูกอิเล็กทรอนิกส์ที่จะฝังตัวอยู่ในโทรศัพท์นั้น จะสามารถแยกแยะกลิ่นส่วนตัวของแต่ละคนได้อย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งนั่นสามารถนำมาประยุกต์ใช้เป็นระบบรักษาความปลอดภัยแทนการใช้ตัวเลขเป็นรหัสผ่านได้ วัตถุประสงค์หลักของการพัฒนาโทรศัพท์มือถือให้มีประสาทสัมผัสเหมือนมนุษย์นั้น ก็เพื่อต้องการให้การสนทนาผ่านทางโทรศัพท์มีความรู้สึกสมจริงมากขึ้น และยังช่วยในด้านรักษาความปลอดภัยได้ด้วย โดยนาโนเทคโนโลยี บิชอบคาดว่าภายใน 1-2 ปีนี้ ไมโครโฟนที่ติดตั้งในโทรศัพท์จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่าเส้นผมมนุษย์เพียงสองเท่า และมีความไวอย่างมาก รวมทั้งสามารถรับเสียงได้จากทุกทิศทาง และตัดเสียงรอบข้างขณะกำลังสนทนาได้อย่างยอดเยี่ยม และภายใน 3-4 ปี "เลนส์ตา" ก็จะถูกติดตั้งลงในโทรศัพท์ด้วย เลนส์ดังกล่าวจะทำหน้าที่ตรวจจับอาการของคนปลายสายว่า สนใจกับบทสนทนาอยู่หรือเปล่า ขณะที่ลำโพงก็จะคอยปรับแต่งระดับเสียงเพื่อดึงความสนใจของคู่สนทนาเอาไว้ ขณะที่ "จมูกอิเล็กทรอนิกส์" ซึ่งบิชอบคาดว่าภายในสิบปีนี้ได้เห็นแน่นั้น จะสามารถตรวจจับฟีโรโมน หรือกลิ่นเฉพาะตัวของแต่ละบุคคลได้ หากเป็นเช่นนั้นจริง ต่อไปนี้การแสดงตนหรือพิสูจน์ว่าป็นผู้ที่อยู่เบื้องหน้าเป็นตัวปลอมหรือเปล่า ด้วยการใช้กลิ่นแทนรหัสผ่านก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ขั้นต่อไปทีมงานจะนำทั้งหมดมาผนวกรวมกันไว้ในโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียว และแน่นอนว่าโทรศัพท์ในทศวรรษหน้าจะสามารถทำงานได้เหมือนกับกับที่มนุษย์รู้สัมผัสในทุกอย่าง เมื่อคนสองคนที่ไม่ได้อยู่ภายในห้องเดียวกัน สนทานกันผ่านทางโทรศัพท์ ก็จะเกิดบรรยากาศที่สมจริงและเป็นธรรมชาติมากขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 26 ก.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)

มะนาวเป็นศัตรูคู่กัดเชื้อเอดส์สังหารไวรัสตายราบในไม่กี่นาที

หนังสือพิมพ์ “เดอะ ซัน” ฉบับอันมีชื่อเสียงของอังกฤษ รายงานข่าวว่า นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น แห่งออสเตรเลีย ศาสตราจารย์โรเจอร์ ชอร์ต ประกาศแจ้งว่า อาจเอามะนาวพันธุ์ที่เรียกกันว่ามะนาวนมยาน ที่มีรูปทรงเหมือนไข่ ไปใช้ทำยาแก้โรคเอดส์ได้ เขาได้ความคิดหลังจากที่ประจักษ์ฤทธิ์เดชของมันที่สังหารไวรัสอันทำให้เป็นโรคเอดส์ ลงได้เกือบหมดถึง 90% ภายในเวลาไม่กี่นาที และยังได้รู้มาด้วยว่าพวกโสเภณีไนจีเรีย ได้ใช้น้ำมะนาวพันธุ์นี้ เป็นยาคุมกำเนิดกันมานมนานแล้ว. (ไทยรัฐ พุธที่ 28 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)

CP-R500 โรงสีข้าวชุมชนสิ่งประดิษฐ์คนไทยเพื่อชาวนา

โรงสีข้าวชุมชน CP-R500 ด้วยการคิดค้นของ นายนเรศว์ร ชิ้นอินมนู และทีมงานบริษัทเกรท อะโกรจำกัด เครือเจริญโภคภัณฑ์ เผยว่า โรงสีข้าวชุมชน CP-R500 เป็นโรงสีที่ได้พัฒนามาจากโรงสีขนาดใหญ่ ซึ่งได้ร่วมประกวดใน งานวันนักประดิษฐ์ประจำปี 2548 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อกลางเดือนกันยายนที่จังหวัดภูเก็ต โรงสีนี้เป็นโรงสีขนาดเล็ก มีกำลังการผลิตสูงถึง 500 กิโลกรัมข้าวเปลือกต่อชั่วโมง มีประสิทธิภาพการผลิตเหมือนโรงสีขนาดใหญ่ และให้ผลตอบแทนสูง แต่มีต้นทุนต่ำกว่า, ใช้งานง่าย, ไม่ยุ่งยากซับซ้อน, ใช้พื้นที่ในการติดตั้งน้อย ที่สำคัญชิ้นส่วนที่ใช้ในการผลิตทั้งหมดเป็นวัตถุดิบในประเทศ ข้าวสารที่ได้จากโรงสีนี้มีคุณภาพเทียบเท่าโรงสีขนาดใหญ่ และดีกว่าโรงสีขนาดเล็กทั่วไปที่ทำให้ ได้ข้าวแตกหักสูง, มีแกลบ และสิ่งเจือปน ดังนั้นการแปรรูปข้าวโดยใช้โรงสี CP-R500 จึงเหมาะสำหรับ ชาวนาในการทำธุรกิจด้านการตลาดข้าวสาร โดยการสีข้าวและขายข้าวเรียกได้ว่า จากต้นน้ำถึงปลายน้ำ และได้นำไปใช้ที่ ศูนย์ส่งเสริมและผลิตภัณฑ์ข้าวชุมชนบ้านโนนม่วย ต.หนองไผ่ อ.ชุมพลบุรี จ.สุรินทร์ ที่มี นายเลิศ บุญสด เป็นประธานศูนย์ ทำให้ชุมชน และคนในหมู่บ้านสามารถมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สามารถลดต้นทุนในการผลิต โดยเฉพาะภาระค่าใช้จ่าย ในการขนส่งสามารถเพิ่มรายได้ขยายตลาด ทำให้ชาวนาประกอบอาชีพได้อย่างครบวงจร ยังสามารถส่งไปขายให้กับโรงสีขนาดใหญ่เพื่อนำไปขัดมัน เป็นการทำงานที่เชื่อมโยงกันระหว่างโรงสีชุมชน กับโรงสีขนาดใหญ่ เพื่อการส่งออกต่อไปในอนาคต (ไทยรัฐ พุธที่ 28 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th

“กรีนไดมอนด์” ตั้งสถาบันมอบทุนนักวิจัย

นายสหประชา บุญสม ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและผลิตภัณฑ์ บริษัท กรีนไดมอนด์ จำกัด เปิดเผย ว่า ขณะนี้บริษัทมีนโยบายในการที่จะช่วยเหลือสังคม จึงมีโครงการที่จะจัดตั้งสถาบันที่ให้ทุนด้านการวิจัย แก่นักวิจัยที่มีความสามารถ จะช่วยเหลือทางด้านงานวิจัยต่างๆ รวมทั้งการส่งเสริมให้นักวิจัยไทยมีเวทีในการแสดงออก และสามารถนำไปสร้างเป็นอุตสาหกรรมได้จริงๆ โดยเฉพาะในกลุ่มนักศึกษา จะเน้นให้มีการแข่งขันประกวดโครงงานการวิจัยต่างๆ ผู้ชนะเลิศจะได้รับทุนจากสถาบัน ไม่มีภาพของธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อให้งานวิจัยมีคุณภาพและทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นได้จริงในอุตสาหกรรม คาดว่าจะดำเนินการจัดตั้งได้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ หลังจากนั้นจึงจะดำเนินการหาทุน สรรหาผู้บริหารสมาคม เพราะไม่ต้องการทำในนามของบริษัทกรีนไดมอนด์ นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนที่จะรวมกลุ่มผู้ประกอบการสาหร่ายสไปรูลินาที่เป็นโรงงานผลิต เพื่อตั้งเป็นสมาคม สร้างความเข้มแข็งในกลุ่มให้มากขึ้น ที่ผ่านมาสาหร่ายสไปรูลินาเป็นสินค้าอีกกลุ่มหนึ่งที่สร้างรายได้ให้ประเทศชาติ หากมีสมาคมที่จะเป็นกระบอกเสียงภาครัฐก็น่าจะหันกลับมาให้ความสนใจมากขึ้น (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 28 ก.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)

เผยผักผลไม้มีสรรพคุณเป็นยาต้านโรคสมองเสื่อม

เภสัชกรรมสมาคมหลวงอธิบายว่า การค้นพบนี้ถือ ได้ว่าเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ยืนยันในสิ่งที่เคยเชื่อกันมาก่อนแล้ว นอกจากนั้น ยังทำให้ได้พบหนทางป้องกัน และบำบัดรักษาของโรคนี้อีกด้วย นักวิจัยได้พบว่าสารที่สกัดได้ จากผักและผลไม้ 5 อย่าง อันมีบรอคโคลี มะเขือเทศ ส้ม แอปเปิ้ล และหัวแรดดิช ต่างมีสารบางอย่าง ที่มีสรรพคุณแบบเดียวกับ ยารักษาโรคนี้ ซึ่งผักบรอคโคลีมีอยู่สูงกว่าเพื่อน โรคสมองเสื่อมเป็นโรคที่เป็นกันมากที่สุด ในหมู่ผู้สูงอายุ ทำให้ปฏิบัติกิจวัตรต่างๆ เป็นไปอย่างติดขัด โดยเฉพาะทำให้สมองส่วนควบคุมความคิด ความจำ และภาษาเสื่อมถอยลง ยาที่ใช้รักษาโรคนี้เกือบทุกขนานจะมีสรรพคุณต้านสารแอคซีไทล์โชลินเนสเทอแรส อันเป็นเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ย่อยเส้นประสาทแอคซีไทล์โชไลน์และการวิจัยครั้งนี้ยืนยันว่า ผักบรอคโคลีมีสารที่มีสรรพคุณแบบเดียวกันนี้แรงกว่าอย่างอื่น. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 29 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)

ผลิตยาสเปรย์ป้องกันโรคหวัดสกัดโรคไม่ให้คืบก้าวหน้าได้

หนังสือพิมพ์ “ไฟแนนเชียล ไทม์ส” ในเมืองอังกฤษรายงานว่า มียาทำในรูปของสเปรย์พ่น มีสรรพคุณสกัดโรคหวัดไว้ตั้งแต่ต้นมือออกมาแล้ว สเปรย์ยาหวัดขนานนั้น เป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทอุตสาหกรรมผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคใหญ่ ของสหรัฐฯรายหนึ่ง ข่าวอ้างว่า มันมีสรรพคุณสกัดไม่ให้เป็นโรคหวัดอย่างเต็มตัวขึ้นได้ กำหนดจะออกสู่ตลาดของชาติยุโรปในเดือนหน้านี้ รายงานข่าวกล่าวว่า ในการทดลองกับอาสาสมัคร 70 นาย ที่โดนเชื้อไวรัสโรคหวัด ไรโนไวรัส กลุ่มที่ได้รับการพ่นด้วยสเปรย์ปรากฏว่ายังมีที่คงเป็นโรคหวัดขึ้น 57% เทียบกับกลุ่มที่ให้ยาหลอก ที่พากันล้มป่วยมากถึง 79%. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 29 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)

พัฒนาโรงอัดก้อนยางสู่ GMPใช้ Q การันตี

นายจิรากร โกศัยเสวี รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมาย ให้กรมดำเนินการก่อสร้างโรงอัดก้อนยางดังกล่าวซึ่งมุ่งหวังให้สถาบันเกษตรกรรวมตัวกัน และสามารถผลิตยางก้อนที่ได้มาตรฐานของกรมวิชาการเกษตร และเป็นที่ยอมรับของตลาดต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยรักษาเสถียรภาพราคายางพารา ตลอดจนช่วยสนับสนุนบริษัทร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศ จำกัด (IRCo) ภายใต้ความร่วมมือของไทย, อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ขณะนี้ การก่อสร้างโรงอัดก้อนยางได้เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยมี 2 ขนาด คือโรงอัดก้อนยางที่มีกำลังการผลิต 200 ตัน/ปี และ 500 ตัน/ปี ปัจจุบันกรมวิชาการเกษตรได้เร่งจัดทำโรงอัดก้อนยางจำนวน 10 โรงพื้นที่ จ.สงขลา, ตรัง, พัทลุง, ยะลา, นครศรีธรรมราช, สุราษฎร์ธานี, ชุมพร, ระยอง และบุรีรัมย์ ขณะนี้เตรียมที่จะผลักดันให้โรงงานต้นแบบเข้าสู่ระบบการจัดการคุณภาพที่ดี (GMP) และมอบสัญลักษณ์ Q ของกรมวิชาการเกษตรให้ด้วย เพื่อสร้างมาตรฐานให้เป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 29 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)

เครื่องขูดมะละกออัตโนมัติ...สะดวก สบาย หายเหนื่อย

นักศึกษาจาก คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี โดย ภานุวัฒน์ จันทร์มาก และ ธีระวุฒิ ชมแก้ว คราวนี้พวกเขานำเสนอ เครื่องขูดเส้นมะละกอ หลังจากที่ได้เคยนำเสนอเครื่องปอกมะละกอไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยมี อาจารย์สุนัน ปานสาคร และ อาจารย์จตุรงค์ ลังกาพินธุ์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา เครื่องขูดมะละกออัตโนมัตินี้ ถูกออกแบบและสร้างขึ้นโดยมีมอเตอร์เป็นเครื่องต้นกำลัง ในการขับสายพานส่งไปยังชุดใบมีดเพื่อทำการขูดชิ้นเนื้อมะละกอขนาดความยาวประมาณ 13 เซนติเมตร โดยพิจารณาจากระยะห่างของใบมีดแต่ละใบ ใช้อัตราความเร็วรอบอยู่ระหว่าง 400-700 rpm สามารถขูดมะละกอได้ 0.5 กิโลกรัม ในเวลา 3-7 วินาที แต่เมื่อมาทดสอบหาประสิทธิภาพของเครื่องแล้วพบว่า ที่ความเร็วรอบระหว่าง 500-600 rpm จะให้ประสิทธิ ภาพสูงสุดที่ 82.00% ใช้เวลาประมาณ 5-6 วินาที ขูดมะละกอได้ 0.5 กิโลกรัม โดยที่ชิ้นมะละกอที่ขูดได้ไม่ช้ำและเป็นชิ้นยาวไม่ขาด สำหรับผู้ใดที่สนใจเครื่องขูดมะละกออัตโนมัตินี้สามารถติดต่อสอบถามไปได้ที่ คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี หมายเลขโทรศัพท์ 0-2549-3300 หรือ 0-9671-2945. (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 29 ก.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)

เด็กมัธยม 6 เพิ่มความแข็งคอนกรีตด้วยเม็ดกระบก

นางสาวปานหทัย ยาดิบ นาย สาโรช พรหมมูล นายวีระยุทธ สุขสิริ นายสืบพงษ์ กันทะแก้ว และนายจตุพล ละมุด นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 6 แผนวิชาวิทย์คณิต โรงเรียนแม่พริกวิทยา อ.แม่พริก จ.ลำปาง สามารถวิจัยการพัฒนาคอนกรีตมวลเบาด้วยเม็ดกระบก ซึ่งหาได้ภายในท้องถิ่น ตาม ธรรมชาติ ได้เป็นผลสำเร็จ มีข้อดีคือ ทำให้คอนกรีตมีน้ำหนักเบา ขนย้ายสะดวก ประหยัด แรงงาน และ ค่าขนส่ง ที่สำคัญที่สุดคือ แข็งแรง ทนทาน และรับน้ำหนัก หรือแรงอัดประลัยได้มากกว่า คอนกรีต สำเร็จรูป จากการศึกษาวิจัย โดยทดลองใช้เม็ดกระบกนำมาเป็นวัสดุทดแทนเศษก้อนหิน หรือหินคลุก ด้วยเหตุผลที่ ว่าเม็ดกระบกเป็นเศษวัสดุที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น เป็นต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สามารถออกผล เป็นลูกกลมๆ ขนาดเท่าลูกมะนาว เมื่อผลแก่จัดจะร่วงหล่นลงมากองกับพื้น สัตว์จำพวก แทะ เช่น วัว ควาย แพะ และแกะ สามารถกินได้ เม็ดอ่อนที่อยู่ข้างในคนกินได้ รสชาติอร่อย มีคุณค่าทางอาหารประเภท โปรตีนสูง จากการทดลองเมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน ปรากฏว่าเม็ดกระบกให้ ผลดีกว่า ตรงที่ ประหยัดเงินหาง่าย ไม่ทำลายธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม การทดลองกำหนดใช้เม็ดกระบก นำมาเป็นส่วนผสมในการจัดทำคอนกรีต โดยเริ่มในอัตราส่วนผสมเม็ด กระบก ต่อปูนต่อทราย เท่ากับ 1 :1 :3 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปรากฎที่อัตราส่วนขนาด 2.5 :1 :3 หรือ เม็ดกระบกจำนวน 2.5 กิโลกรัม ปูนจำนวน 1 กิโลกรัม และทรายอีก จำนวน 3 กิโลกรัม ได้ผลดีที่สุด โดยนำมาผสมคลุกเคล้าเข้าด้วยกันให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นก็จะนำน้ำมาเป็นส่วนผสมในอัตราตาม ความพอ เหมาะ เพื่อให้ได้เนื้อปูนที่มีความเหนียวให้มากที่สุด จากนั้นนำไปเทลงบนแบบแท่นเหล็กที่ชโลมน้ำมันทิ้งไว้แล้ว เนื้อปูนจะกลมกลืนกับเม็ดกระบก เชื่อมประสานเข้าด้วยกัน จนมองดู คล้ายกับเป็นเนื้อเดียวกันทิ้งไว้ให้แห้ง จากนั้นนำไปผ่านเครื่องมือวัดความแข็งแรงที่ ชื่อว่า เครื่องอัดประลัย หรือ UNIVERSAL TESTING MACHINE ซึ่งได้รับความร่วมมือจากอาจารย์ ประจำคณะ วิชาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีล้านนา วิทยาเขตตาก ให้ความอนุเคราะห์เครื่องมือตรวจสอบครั้งนี้ ผลการตรวจสอบปรากฎว่า สามารถให้ความแข็งแรงทนทานแรงอัดกระแทก หรือแรงอัดประลัยได้สูงสุด 63,100 กิโลกรัม ต่อตารางเซนติเมตร หรือประมาณ 63 ตัน ต่อตาราง เซนติเมตร ให้ผลดีกว่าคอนกรีตที่ใช้เศษก้อนหินเป็นส่วนผสม ซึ่งวัดค่าแรงอัดประลัยได้เพียง 8,600 กิโลกรัม เท่านั้น คิดเป็นค่าเฉลี่ยประมาณ 10 เท่าของความแข็งแรงของส่วนผสมก้อนหิน การทดลองสามารถพัฒนานำมาเม็ดกระบกเป็นส่วนผสมประเภทปูน ปั้นต่างๆ ได้ เช่น ปั้นโอ่งเก็บน้ำขนาดใหญ่ อ่างเลี้ยงปลา และถนนคอนกรีต ซึ่งรับแรงอัดได้มหาศาล และ น้ำหนักเบา ประหยัดเงินค่าใช้จ่าย ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงขนส่ง หาได้ง่ายในท้องถิ่น และยังไม่ทำลาย ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอีกด้วย (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 29 ก.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)

เครื่องกรอไหมพลังแสงอาทิตย์

นางสาวธิดารัตน์ จันทรปรีดา และเพื่อนร่วมทีมจากโรงเรียนปรินส์รอยแยลล์ จังหวัดเชียงใหม่ ประดิษฐ์เครื่องกรอไหมพลังงานแสงอาทิตย์ จากการที่พบเห็นการทอผ้าไหมของผู้ประกอบการ ต้องใช้วิธีการต่างๆ ในการทอ โดยหนึ่งในกระบวนการทอผ้าไหมนี้ ต้องใช้จำนวนคนและเวลามาก ทว่าได้ไหมออกมาน้อย ถึงจะมีเครื่องกรอไหมพลังงานไฟฟ้ามาช่วย แต่เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรพลังงาน หลักการทำงานของเครื่อง จะมีแผงโซลาร์เซลล์และกล่องวงจร เมื่อแผงโซลาร์เซลล์รับแสงอาทิตย์ จะผ่านกระแสไฟฟ้าสู่กล่องวงจร ซึ่งจะผ่านต่อไปสู่แบตเตอรี ที่จะมีไดโอดป้องกันกระแสไฟฟ้าไหลย้อนกลับ จากนั้นแบตเตอรีจะส่งกระแสไฟฟ้าไปสู่มอเตอร์ ให้หมุนมู่เล่ห์ซึ่งมีลักษณะเป็นวงล้อ เชื่อมต่อกับแกนเหล็ก เมื่อมู่เล่ห์หมุน แกนเหล็กซึ่งติดหลอดไหมจะหมุนไปด้วย ทำให้กรอไหมได้เป็นระเบียบ ส่วนแบตเตอรีสามารถทำงานได้นาน 4 ชั่วโมง 30 นาที หากชาร์จไฟเต็มที่ แต่ในการกรอไหมนั้นจะทำเฉพาะในเวลาว่าง และการกรอไหม 1 หลอดจะทอผ้าได้ยาว 1 เมตร หากเป็นการกรอด้วยแรงงานคน ในแต่ละวันจะได้เพียง 2-3 หลอดเท่านั้น หากใช้เครื่องกรอไหมพลังงานแสงอาทิตย์นี้ สามารถกรอไหมได้ถึง 10 หลอด ต่อแบตเตอรีขนาด 12 โวลต์ 1 ตัว เครื่องกรอไหมพลังงานแสงอาทิตย์เป็นผลงานชนะเลิศระดับนักเรียน จากโครงการประกวดสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้แผงโซลาร์เซลล์เป็นแหล่งพลังงาน "โซลาร์ อินโนเวทีฟ คอนเทสต์" จัดโดย บริษัท ลีโอนิคส์ จำกัด ใช้งบประมาณในการประดิษฐ์ประมาณ 3 พันบาท ไม่รวมค่าแผงโซลาร์เซลล์ หลังจากนี้ ทางทีมนักประดิษฐ์ตั้งใจจะพัฒนาเครื่องกรอไหม ให้สามารถทำงานกรอได้ตลอดวัน เพื่อสนับสนุนกิจการระดับโรงงานอุตสาหกรรมได้ในอนาคต (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 29 ก.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)

ไวรัสไข้หวัดนกเมินแมลงวัน

จากที่มีข่าวการตรวจพบเชื้อไข้หวัดนกในแมลงวันที่ประเทศญี่ปุ่น กรมวิทยาศาสตร์บริการมอบหมายให้นักวิจัยจากกลุ่มงานกีฏวิทยาทางการแพทย์ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข ออกไปเก็บตัวอย่างแมลงวันในพื้นที่ ที่มีการระบาดของเชื้อไข้หวัดนกในสัตว์ปีกมาทำการศึกษาในเชิงลึก หลังจากทีมวิจัยได้ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างแมลงวันในพื้นที่เสี่ยง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2548 พบว่า ในพื้นที่ที่มีการพ่นยาฆ่าแมลงไปก่อนหน้านั้น ทำให้ได้ตัวอย่างแมลงวันเพียง 72 ตัว แต่ก็ได้นำตัวอย่างแมลงวันที่ได้มาชำแหละเพื่อแยกตรวจวิเคราะห์ โดยแบ่งการตรวจออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน คือ ส่วนลำไส้ ส่วนหัวและส่วนลำตัว รวมชิ้นส่วนแต่ละชนิดเป็น 8 ตัวอย่าง ตัวอย่างละ 9 ตัว การตรวจวิเคราะห์ของห้องปฏิบัติการไวรัสทางเดินหายใจ โดยวิธี RT-PCR ไม่พบชิ้นส่วนพันธุกรรมของเชื้อไวรัสไข้หวัดนก ในเดียวกันกลับตรวจพบยีน ที่มีความใกล้เคียงกับเชื้อไข้หวัดใหญ่ Matrix Protein (MP) ของ Influenza Type Aในลำไส้ของแมลงวัน ซึ่งเมื่อนำมาหาลำดับดีเอ็นเอจึงพบว่า มียีนส่วนสั้นๆ ที่ใกล้เคียงกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ FLu-A/H3 แต่ในตัวอย่างทุกรายไม่สามารถตรวจพบเชื้อจากการเลี้ยงเชื้อในไข่ฟัก จากการศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า การตรวจไม่พบเชื้อไวรัสไข้หวัดนกในแมลงวัน ที่เก็บจากพื้นที่ระบาดของเชื้อไข้หวัดนก อย่างไรก็ตามประชาชนในพื้นที่ควรรักษาความสะอาดพื้นที่ และระมัดระวังการปนเปื้อนจากเชื้อโรคอื่นๆ ที่สามารถแพร่เชื้อโดยแมลงวัน (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 29 ก.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)

เติมคุณค่าให้ “อาหารขยะ”

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ได้ทดลองสกัดสารไร้รสชาติชนิดหนึ่งเรียกว่า “อัลจิเนต” ให้เติมเข้าไปในอาหารขยะเพื่อเพิ่มกากใยอาหารให้แก่อาหารจำพวกเบอร์เกอร์ ขนมพายและเค้ก โดยหวังว่าคนทั่วไปจะได้กินอาหาร รสชาติอร่อยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากขึ้น สำหรับอัลจิเนตนั้นปกติมีการใช้กันโดยทั่วไปในอุตสาหกรรมอาหารอยู่แล้ว มันมีลักษณะเหมือนกับเจล และเบียร์บางชนิดใส่ลงไปให้มีฟองหนาขึ้น การทดลองครั้งนี้นักวิจัยได้ นำเอาสาหร่ายทะเลสีน้ำตาล 2 ชนิด ชื่อ เลสโซเนีย และ ลามินาเรีย ที่พบในบริเวณตะวันออกไกล อเมริกาใต้ และบางส่วนของนอร์เวย์และสกอตแลนด์มาใช้ ทดลอง ผลปรากฏว่า สาหร่ายทะเลที่สกัดจากห้องทดลองนั้นไร้สี ไร้กลิ่น และเมื่อนำไปใส่ในอาหารแล้วก็เพิ่มใยอาหารอันเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคได้ด้วย ศาสตราจารย์ เจฟฟ์ เพียร์สัน สมาชิกคนหนึ่งในทีมวิจัยกล่าวว่า “เราเชื่อว่าเป็นการยากที่จะเปลี่ยนนิสัยการกินของคน ดังนั้นทางออกที่เป็นไปได้ที่สุดในทางปฏิบัติ คือต้องปรับปรุงคุณภาพอาหารที่คนทั่วไปกินกันอยู่แล้ว”. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 30 ก.ย. 48 http://www.thairath.co.th)

นักวิจัยคว้าเงินล้านรางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่น

ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) เปิดเผยว่า ทีมวิจัยได้รับประกาศยกย่องให้ได้รับรางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่น ประเภทกลุ่ม จากมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ เนื่องจากประสบความสำเร็จในการพัฒนา "บรรจุภัณฑ์แอคทีฟ" ที่ช่วยยืดอายุผักและผลไม้สดได้มากถึง 2-5 เท่า สำหรับรางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่น ประเภทบุคคล คือ รศ.นพ.ประกิต เทียนบุญ ภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เจ้าของผลงานการพัฒนาโลหะดามหลังกระดูกสันหลัง สำหรับทดแทนการนำเข้าโลหะดามกระดูกสันหลัง ที่ใช้ในโรงพยาบาลทั่วประเทศ นอกจากรางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่นแล้ว มูลนิธิฯ ยังประกาศผู้รับรางวัลนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่คือ รศ.ดร.จิตต์ลัดดา ศักดาพาณิชย์ ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จากผลงานการพัฒนายางสกิม และสารที่มีคุณค่าจากของเสีย ที่ได้จากอุตสาหกรรมน้ำยางธรรมชาติ ทั้งนี้ นักเทคโนโลยีดีเด่นและนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ จะได้รับเงินรางวัล 1 ล้านบาท และ 2 แสนบาทตามลำดับ (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 30 ก.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)

กระเป๋าถือเปล่งแสงสว่าง หยิบเครื่องสำอางไม่พลาดชิ้น

สิ่งประดิษฐ์จากมหาวิทยาลัยบรูเนล มีชื่อว่า "ซันแทรพ" (Sun Trap) หรือกระเป๋าถือพลังแสงอาทิตย์ ผลงานพัฒนาของโรซานนา คิลฟิดเดอร์ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยบรูเนล คือคำตอบที่ทุกคนกำลังค้นหา ตัวอย่างง่ายๆ ที่ใช้อธิบายคุณประโยชน์ของกระเป๋าใบนี้ ก็คือความสามารถในการช่วยหากุญแจรถ ที่อยู่ลึกในซอกหลืบของกระเป๋าได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที ซันแทรพ แปลเป็นไทยได้ว่าจับแสงอาทิตย์มาใส่ไว้ในกระเป๋า ซึ่งใช้หลักการทำงานไม่ยาก แค่ติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์ไว้ด้านนอกของตัวกระเป๋า คอยรับพลังงานจากแสงอาทิตย์ จากนั้นพลังงานก็จะถูกจัดเก็บไว้ในแบตเตอรี่ และทำหน้าที่จ่ายพลังงานให้ผ้าซับในของกระเป๋าเรืองแสงขึ้นมา ทันทีที่คุณเปิดซิปกระเป๋า ผ้าซับในก็จะสว่างวาบออกมาในทันที และจะดับไปเองโดยอัตโนมัติเมื่อคุณรูดซิปปิด หรือหากไม่ตั้งใจเปิดกระเป๋าค้างไว้ ระบบก็จะตัดไฟโดยอัตโนมัติหลังจากเปิดไปแล้ว 15 วินาที นอกจากนี้ แบตเตอรี่ในกระเป๋ายังสามารถนำมาใช้เป็นแหล่งพลังงานฉุกเฉินให้โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ไร้สายอื่นๆ กระเป๋าใบนี้ได้รับรางวัลชนะเลิศ ในการแข่งขันสิ่งประดิษฐ์ของมหาวิทยาลัยบรูเนล ซึ่งมีวัตถุประสงค์การจัดงานเพื่อเฟ้นหาสุดยอดนักธุรกิจรุ่นใหม่ โดยผู้ชนะเลิศจะได้รับความช่วยเหลือจากศูนย์บรูเนลเอ็นเตอร์ไพรซ์ ด้วยการแปลงแนวคิดให้เป็นสินค้าออกมาวางจำหน่ายได้จริง และขณะนี้ศูนย์กำลังช่วยคิลฟิดเดอร์จดสิทธิบัตร และคาดว่าจะเตรียมการผลิตเพื่อวางจำหน่ายในตลาดเป็นลำดับต่อไป (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 30 ก.ย. 48 http://www.komchadluek.net)

ข่าวทั่วไป

ไทยลาวเปิดเดินรถอุบล-ปากเซปี49

นายปิยะพันธ์ จัมปาสุต อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) มีข้อตกลงร่วมกันในการประชุมความร่วมมือในการเปิดเสรีการขนส่งรถโดยสารระหว่างกัน ที่เมือง ปากเซ แขวงจำปาสัก สปป.ลาว เตรียมเปิดให้บริการเดินรถโดยสารประจำทางระหว่างประเทศในเส้นทางจังหวัดอุบลราชธานี-เมืองปากเซ สปป.ลาวในเดือนมกราคม 2549 นี้ ซึ่งจะเปิดให้บริการเดินรถโดยสารในจำนวนที่เท่าเทียมกันคือ ให้บริการวันละ 4-8 เที่ยว จำนวนรถ 2-4 คัน และในอนาคตอาจขยายเส้นทางสายนี้เป็นกรุงเทพมหานคร-เมืองปากเซต่อไป อย่างไรก็ตามยังมีปัญหาที่ทั้งสองประเทศจะต้องแก้ไขก่อนเปิดให้บริการคือค่าธรรมเนียมที่มีอัตราที่ไม่เท่าเทียมกัน เพราะทางสปป.ลาวนั้นมีการเก็บค่าธรรมเนียมหลายประเภท ส่วนไทยไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมใดๆ ซึ่ง สปป.ลาวจะต้องมีการพิจารณายกเลิกหรือลดค่าธรรมเนียมต่างๆ ลงให้ได้มากที่สุดเพื่อไม่ให้กระทบกับอัตราค่าโดยสาร นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้มอบหมายให้ตัวแทนทั้งสองประเทศร่วมกันสำรวจข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณาเปิดในเส้นทาง จ.มุกดาหาร-แขวงสะวันนาเขต สปป.ลาว และรายงานผลในการประชุมเดือน ธ.ค.48 ซึ่งเส้นทางนี้ทางเวียดนามพยายามผลักดันให้มีการขยายต่อไปยังเมืองเว้ และเมืองดานังของเวียดนามด้วย (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 26 ก.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)

ค้านมะกันจดสิทธิบัตรไวรัสมะละกอไทย

เมื่อวันที่ 26 กันยายน กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดงานสัมมนาระดมความคิดเห็น เรื่องคำขอจดสิทธิบัตรสหรัฐอเมริกา โดยนายเจษฎ์ โทณะวนิก คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม กล่าวว่า จากกรณีการขอจดสิทธิบัตรในมะละกอ และการลงนามบันทึกความเข้าใจ(เอ็มโอยู) ระหว่างกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับมหาวิทยาลัยคอร์แนล สหรัฐอเมริกา สิ่งที่กรมวิชาการเกษตร เอกชน และประชาชน ควรคิดในขณะนี้คือ ควรจะทำอย่างไรกับสิทธิบัตรที่สหรัฐกำลังจะยื่นจด และไทยควรจะลงนามเอ็มโอยูกับมหาวิทยาลัยคอร์แนลหรือไม่ สิ่งที่ไทยควรเน้นเป็นพิเศษ คือการที่สหรัฐเอายีนดีเอ็นเอ พันธุ์มะละกอไทยไปแล้ว ยังขอสิทธิในโครงสร้างของไวรัสมะละกอด้วย นายวิชัย โฆสิตรัตน รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า สิ่งที่สหรัฐขอการคุ้มครองในการจดสิทธิบัตรว่า หากมีโครงสร้างของไวรัสเหมือนกับสิ่งที่จดไว้ในสิทธิบัตร 85% ให้ถือว่าเป็นโครงสร้างเดียวกันนั้น ถือว่าไม่เป็นธรรม เพราะเมื่อทดสอบทางวิทยาศาสตร์แล้วจะเห็นว่าโครงสร้างธรรมชาติของไวรัส 12 สายพันธุ์ เช่น จีน เชียงใหม่ ฟลอริดา ศรีลังกา ไต้หวัน เหมือนกันมากกว่า 90% และในแง่ของผู้ที่มีฐานะเป็นนักวิทยาศาสตร์ก็ไม่ควรทำเช่นนี้ (มติชนรายวัน อังคารที่ 27 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)

เล็งต่อรถไฟฟ้าถึงนครปฐม-อยุธยา-พัทยา

นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.คมนาคม ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการโครงการระบบขนส่งมวลชน เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า การลงทุนในโครงการระบบขนส่งมวลชนขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปในรายละเอียดที่ชัดเจน ต้องรอคณะทำงานพิจารณาประมาณ 1 เดือน แต่คณะกรรมการได้ให้แนวทางในการดำเนินการ คือ เส้นทางสายสีส้ม (บางบำหรุ-บางกะปิเดิม) และสายสีม่วง (บางซื่อ-บางใหญ่-ราษฎร์บูรณะเดิม) ให้ตัดเส้นทางที่ผ่านในเมือง จะทำให้ลดการลงทุนจากเดิม 2 แสนล้านบาท ซึ่งจะพิจารณานำงบที่ประหยัดได้ไปขยายเส้นทางเพิ่ม เช่น เส้นทางสายสีแดงที่เดิมจะไปสุดที่ตลิ่งชันก็ให้มองยาวไปถึงนครปฐม ส่วนเส้นสีแดงที่ขึ้นไปทางเหนือก็ลดจำนวนรางลง นำไปขยายเส้นทางรถไฟฟ้าไปจนถึงพระนครศรีอยุธยา และเส้นทางตะวันออกก็ให้มองไปถึงพัทยา (ข่าวสด อังคารที่ 27 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)

นำร่องพัฒนาแหล่งน้ำ 3 จังหวัด กรมชลฯ ใช้งบกว่า 2.2 พันล้าน สร้างอ่างใหม่

นายสามารถ โชคคณาพิทักษ์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยถึงโครงการจัดทำแผนพัฒนาแหล่งน้ำแบบบูรณาการในเขตจังหวัดลำปาง ชัยนาท และศรีสะเกษ ซึ่งเป็นโครงการนำร่องว่า การดำเนินงานเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ ซึ่งขณะนี้ได้ทำการสำรวจด้านวิศวกรรมประเมินผลด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมสำรวจผลกระทบในด้านต่างๆ แล้ว โดยในส่วนจังหวัดลำปาง กรมชลประทานมีแผนที่จะพัฒนาการใช้ประโยชน์จากลุ่มน้ำแม่มอกให้เต็มศักยภาพด้วยการสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยโป่งผาก บ้านหนองหอย ต.เวียงมอก อ.เถิน ซึ่งเป็นการสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง ความจุ 19 ล้านลูกบาศก์เมตร ใช้เงินลงทุนประมาณ 423 ล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างได้ในปี 2550 ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้าง 5 ปี ในส่วนของจังหวัดชัยนาท จากผลการศึกษา กรมชลประทานจะดำเนินการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยหนองโรง บ้านกะบกเตี้ย ต.กระบกเตี้ย กิ่ง อ.เนินขาม มีขนาดความจุประมาณ 21 ล้านลูกบาศก์เมตร ใช้เงินลงทุนประมาณ 1,096 ล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างได้ในปี 2550 ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้าง 5 ปีเช่นเดียวกัน เมื่อแล้วเสร็จจะมีพื้นที่เกษตรกรรมได้รับประโยชน์ประมาณ 25,000 ไร่ ราษฎรไม่ต่ำกว่า 3,114 ครัวเรือน จะมีน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคอย่างพอเพียงตลอดทั้งปี สามารถเพิ่มช่องทางอาชีพทางประมงใหม่ให้ราษฎร และยังพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่จะให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจได้ถึง 17.5% ด้านจังหวัดศรีสะเกษ กรมชลประทานจะดำเนินการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยศาลา บ้านศาลา ต.โคกตาล อ.ภูสิงห์ สามารถเก็บกักน้ำได้ประมาณ 44 ล้านลูกบาศก์เมตร ใช้เงินลงทุนประมาณ 761 ล้านบาท โดยจะดำเนินการก่อสร้างได้ในปี 2550 ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้าง 5 ปี เมื่อแล้วเสร็จจะมีพื้นที่เกษตรกรรมได้รับประโยชน์ประมาณ 28,500 ไร่ ราษฎร 2,951 ครัวเรือน จะมีน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคอย่างพอเพียงตลอดทั้งปี เพิ่มอาชีพด้านการประมงและเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ คาดว่าจะให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจแก้ราษฎรในพื้นที่สูงถึง 20.09% การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทั้ง 3 แห่งดังกล่าว (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 28 ก.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)

ขยะไฮเทคในไทยเพิ่มขึ้น กรีนพีชชี้กระทบสิ่งแวดล้อมในอนาคต

นายกิตติคุณ กิตติอร่าม ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านสารพิษ กรีนพีช เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า จากการจัดทำรายงานมหันตภัยไฮเทคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่า ขณะนี้ประเทศไทย และฟิลิปปินส์ กำลังประสบปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ล้นเมือง เพราะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการบริโภคสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สูงขึ้น สำหรับในประเทศไทย ขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์และมือถือ มีสถิติสูงขึ้นมาก โดยพบสัดส่วนการใช้คอมพิวเตอร์ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2548 กว่า 2.6 ล้านเครื่อง ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านสารพิษ การเพิ่มขึ้นของขยะอิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบัน เป็นสัญญาณเตือนว่า อนาคตขยะประเภทนี้จะสร้างปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างแน่นอน เพราะขยะประเภทนี้ถูกส่งนำเข้ากระบวนการกำจัดที่ถูกวิธีน้อยมาก และจากการตรวจโรงงงานคัดแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์จำพวกจอคอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ในเขตจังหวัดนนทบุรี แห่งหนึ่งพบว่า คนงานมีการคัดแยกขยะด้วยมือเปล่า และไม่มีอุปกรณืป้องกันตัวเอง มีการทุบและทำลายจอภาพ CRT อีกทั้งยังทิ้งชิ้นส่วนไว้ตามแหล่งน้ำอีกด้วย ซึ่งทางกรีนพีชต้องการเรียกร้องให้ผู้ผลิตขยะอิเล็กทรอนิกส์ร่วมรับผิดชอบในการผลิตขยะพิษเหล่านี้ และควรมีการแบกรับภาระในการกำจักขยะ ตลอดจนการใช้วัสดุที่ปลอดภัยในการผลิตด้วย. (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 29 ก.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)

กมธ.จี้ศึกษาผลกระทบดื่มชาเขียว

นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. พรรคไทยรักไทย ประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร แถลงเมื่อวันที่ 28 กันยายน ที่รัฐสภา ภายหลังการประชุมว่า คณะทำงานศึกษากรณีผลกระทบจากการบริโภคชาเขียวเกินขนาด รายงานต่อที่ประชุมว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่เชื่อว่า ชาเขียวเป็นเครื่องดื่มสุขภาพ ดื่มแล้วสุขภาพดี ทำให้ไม่คำนึงถึงผลกระทบของปริมาณกาเฟอีนในผลิตภัณฑ์ กมธ.จึงเห็นควรให้สถาบันที่น่าเชื่อถือศึกษาถึงสารส่วนประกอบสำคัญและคุณค่าในชาเขียวและผลกระทบสารนั้นๆ ต่อร่างกายด้วย รวมถึงปริมาณที่เหมาะสมในการบริโภค นอกจากนี้ จะเสนอให้แสดงข้อความและคำเตือนในฉลากให้ชัดเจนมากขึ้น เช่น ระบุว่าไม่ควรดื่มเกินวันละกี่ขวด หรือข้อมูลเรื่องความปลอดภัย ให้ตระหนักถึงผลกระทบในปริมาณสารกาเฟอีนในชาเขียว มีคำเตือนสำหรับเด็ก สตรีมีครรภ์ และคนชรา ให้ระมัดระวังเป็นพิเศษ ที่สำคัญควรจำกัดปริมาณกาเฟอีนด้วย เร็วๆ นี้ กมธ.จะนำผลการพิจารณาทั้งหมดเสนอ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายโภคิน พลกุล ประธานรัฐสภา และ นพ.สุชัย เจริญรัตนกุล รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงสาธารณสุข เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 29 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)

"สมาร์ทเวย์" ขนส่งฉับไว ความหวังของคนกรุงเทพฯ

อภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้คิดวิธีการแก้ปัญหารถติดด้วยโครงการระบบรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษ(BRT) หรือ สมาร์ทเวย์ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการเดินทางของคนกรุงเทพฯ แนวคิดนี้ได้นำเสนอตั้งแต่เมื่อครั้งยังเดินหาเสียงผู้ว่าฯกทม. จนกระทั่งโครงการจะเริ่มก่อสร้างภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อให้เห็นภาพว่า รถบีอาร์ทีของไทยจะเป็นอย่างไร นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองผู้ว่าฯกทม. ได้นำคณะผู้บริหารและสื่อมวลชนไปดูงานการจัดระบบขนส่งของ 2 เมืองใหญ่ คือ เมืองซิดนีย์ และ เมืองบริสเบน ประเทศออสเตรเลีย ระหว่างวันที่ 11-16 กันยายนที่ผ่านมา เชื่อว่าหลังจากที่กรุงเทพมหานครเริ่มเปิดใช้โครงการรถบีอาร์ที เส้นทางที่ 1 สาย นวมินทร์-เกษตร-หมอชิต และ เส้นทางที่ 2 สาย ช่องนนทรี-สะพานกรุงเทพฯ ในช่วงกลางปีหน้าแล้วจะทำให้คนกรุงเทพฯ มองเห็นภาพการให้บริการได้เป็นอย่างดี แต่ในระหว่างนี้ กทม.มีการบ้านที่ต้องสร้างความเข้าใจกับประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมกับเส้นทางบีอาร์ที เพื่อให้เกิดการยอมรับ และลดแรงต้านจากการที่ต้องเสียพื้นผิวจราจรไป 2 เลน เพราะเมื่อคนยอมรับก็ย่อมไร้แรงต้าน โครงการที่วางไว้อีก 10 สาย จะได้ไม่สะดุดล้มเสียก่อนจะเกิด (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 29 ก.ย. 48 http://www.matichon.co.th)

KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215