หัวข้อข่าวปีที่ 6 ฉบับที่ 38 ประจำวันที่ 2005-10-10

ข่าวการศึกษา

จุฬา-มก.ไม่ขึ้นค่าเทอมปี 49
รัฐบาลเดินหน้าโครงการ “เออร์ลี่” ข้าราชการ
อาชีวะยันไม่มีสอบคัดเลือก รับไม่อั้นแต่คุณภาพคับแก้ว
ดึงงบเมกะโปรเจ็คต์ ผลิตอาจารย์"ป.เอก"
ราชภัฏดันแนวคิดรวมสงขลานครินทร์ เป็นมหา"ลัยใหม่ของสุราษฎร์ฯ
มก.ตั้งสถาบันวิจัยพัฒนาการศึกษาพิเศษ
มหา"ลัยไทยช่วย"ม.ลาว" มอบหนังสือ2,500เล่ม จัดหาทุนให้เรียนป.โท
อาชีวะทุ่มงบ 20 ล้าน ตั้งวิทยาลัยคนพิการ
น.ศ.แดนมังกรแห่เรียนวิทยาลัยอิสลามยะลา อธิการบดีปลื้มจีนมองการศึกษาไทย"เจ๋ง"
คณะสื่อสารมวลชนมช.เปิดหลากสาขา เน้นหลักสูตรบูรณาการแห่งแรกในไทย
มหาวิทยาลัยดังเปิดรับตรงปี 49
คณะพาณิชย์มธ.รับเด็ก ม.6 เรียนหลักสูตรป.ตรีควบโท 5 ปี
ศธ.ดัน ร.ร.มัธยมทุกจังหวัด เปิดสอนภาษาจีนภายในปี 2549
มอ.ยันไม่เอาร่างกม.นอกระบบฉบับกฤษฎีกา หวั่นโครงสร้างม.เดียวทำวิทยาเขตขอแยกตัว

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

ผุดแอร์พอร์ต บริการจานบิน รับอาคันตุกะนอกโลก
น้ำแข็งขั้วโลกหดเล็กลง ทำสถิติเพิ่มอุณหภูมิโลกร้อน
เตือน"น้ำแข็งขั้วโลกเหนือ"หดตัว
ปลายศตวรรษโลกยิ่งร้อนหนัก จนน้ำแข็งขั้วโลกละลายหมด
เสนอตั้งที่ปรึกษาดัยรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์
พบกาแล็กซียุคต้นกำเนิดจักวาล
ค้นพบดาวเคราะห์ใหม่ดวงที่ 10 ป่วนวงการดาราศาสตร์
มหัศจรรย์แห่งธรรมชาติ(ไม่)ยากที่จะเลียนแบบ
บีอาร์ทีครบรอบ10ปีโชว์ความสมบูรณ์ทรัพยากรชีวภาพไทย
"มหาสมุทร"กรด มหาภัยสัตว์ทะเล
รัสเซียผลิตเครื่องบินต่อต้านผู้ก่อการร้าย
3 องค์กรรัฐลงขัน 100 ล้านเปิดธุรกิจชีวภาพ
คิวรีโอ หุ่นยนต์ทูตสันถวไมตรี
“นาซ่า"ลอยแพสถานีอวกาศ เดินหน้าส่งคนเหยียบดวงจันทร์
พบจุลชีวะพันธุ์อึดในน้ำแข็งเย็นจัด
เอ็กซเรย์หัวใจ...ให้ไกลโรค

ข่าววิจัย/พัฒนา

สหรัฐพัฒนาวัคซีนไข้หวัดนกไม่ต้องฉีด-แค่สูดดม
สัมมนาปรับปรุงการเคลื่อนที่หุ่นยนต์
เข็มฉีดยาจิ๋วเล็กกว่าเส้นผม จิ้มทะลุผิวสบายไม่เจ็บปวด
รพ.ปิยะเวทควัก 100 ล้านจับธุรกิจสเต็มเซลล์รักษาโรค
นักวิทย์นานาชาติฟันธง ไวรัสซาร์สมาจาก"ค้างคาวจีน"
เพิ่มประสิทธิภาพการทำนา ด้วยเครื่องหว่านอเนกประสงค์
หมึกเพ้นท์ “ยางกล้วย” หมึกชั้นเลิศจากธรรมชาติ
2นักวิจัยออสซี่คว้าโนเบลการแพทย์
จีนเร่งวิจัยไวรัสซาร์สจากค้างคาว
น.ศ.เยอรมันประดิษฐ์ ที่รองแก้วเบียร์แสนรู้
สังคม"รีไซเคิล" พิทักษ์ทรัพยากรโลก
นักวิทย์น้อยศึกษาข่า
ม.ขอนแก่นผลิตไข่อินทรีย์ เพื่อคนรักสุขภาพ
อิตาชิคิดเครื่องสื่อสารผู้ป่วยอัมพฤก
หุ่นยนต์จิ๋วประกอบร่างเอง เล็งส่งเข้าร่างกายตรวจโรค
“เครื่องผลิตก๊าซโอโซน” ลดมลพิษ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี
รถตุ๊กตุ๊กไฮบริด ไม่ง้อน้ำมันแพง!!
"หนุ่มเรียว" สกัดสารดักจับแมลงวันทอง
พัฒนาสาหร่ายเห็ดลาบป่าอีสาน ทดแทนสาหร่ายญี่ปุ่น
โทรทัศน์ก่อโรคมะเร็งร้าย แสงวูบวาบทำลายเซลล์สมอง
เพาะปลาบึกบ่อซีเมนต์ วิจัยน้ำจืด ทำสำเร็จเป็นเจ้าแรก
ทดสอบเลือดเทียมในสัตว์ เล็งใช้กับคนหวังแก้ปัญหาขาดแคลนเลือด
ชุดกีฬาอัจฉริยะติดเซ็นเซอร์สั่นกระตุ้นผู้สวมใส่
อังกฤษเผยกินเกลือแกงน้อยลง ลดความเสี่ยงเกิดโรคหัวใจ
ผุด “โรงไฟฟ้าแกลบ” จ.พิจิตร เชื้อเพลิงไร้มลภาวะจริงรึ
เครื่องคัดแยกผลไม้อัตโนมัติ ฝีมือเด็กไอที เมืองย่าโม
ดร.ไทยคว้าวิจัยเยี่ยมสมาคม"มะกัน" พบวิธีเพิ่มสัตว์ปีก-เล็งทดลองไก่บ้าน
"เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม"คว้าโนเบล
มะนาวผง สู่แนวรุกก้าวข้ามโลก
รักษาโรคด้วยรังสีไวโอเลต มีฤทธิ์ฆ่าเซลล์ตัวการอักเสบ
ไม่ไร้ค่า ผลิตกระเป๋าถือ สินค้าโอทอป
ขมิ้นชันทำยาต้านมะเร็ง สถาบันมะเร็งเดินหน้าศึกษาสมุนไพรเพิ่ม
“ไอเออีเอ” ควง “เอลบาราได” รับโนเบลสันติภาพ
การนอนไม่หลับ เป็น “พันธุกรรม” อิทธิพลจากยีนส์
มช.เจ๋งวิจัยย่อส่วน “มันม่วงจิ๋ว” หวั่นสูญพันธุ์/โตในขวดหัวกินได้
หญ้า "มิสแคนทัส" แหล่งผลิตพลังงานสีเขียว

ข่าวทั่วไป

ISO 26000 มาตรฐานใหม่ ที่ผู้ประกอบการต้องเตรียมพร้อม
อนามัยโลกหวั่นหวัดนกระบาด อาจตายมากนับสิบล้านคน
ไทยเตรียมเสนอ "ท่านพุทธทาส" ให้ยูเนสโกยกย่องเป็นบุคคลสำคัญของโลก
เตือนฤทธิ์ ยาแก้สมาธิสั้น บั่นทอนชีวิตคนไข้
อุตฯเตรียมเก็บค่าทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์
ชี้มนุษย์รับสารพิษโดยไม่รู้ตัว
ไทย-คอสตาริการ่วมวิจัยพลังงานทางเลือก ดึงบราซิลแจมพัฒนา-ผลิตเอทานอลแก้น้ำมันแพง
เลื่อนถกไฮเทคแก้โลกร้อน
"เมดดิไซน์"ทุ่มเสริมบริการ-ชะลอวัย
สภาวิจัยดัน'สเต็มเซลล์'สู่แผนพัฒนาชาติ
ดื่มน้ำให้เพียงพอ ช่วยรักษาโรค-สุขภาพดี





ข่าวการศึกษา


จุฬา-มก.ไม่ขึ้นค่าเทอมปี 49

ศ.ดร.คุณหญิงสุชาดา กีระนันทน์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์กรณีที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเตรียมปรับขึ้นค่าเล่าเรียน ในปีการศึกษา 2549 ว่า จุฬาฯยังไม่มีความคิดในเรื่องนี้ แต่ในอนาคตหากจะมีปรับก็ต้องมีเหตุผล และต้องไม่ส่งผลกระทบถึงเด็กที่ยากจนโดยจะต้องเตรียมจัดทุนการศึกษาไว้ให้ ที่สำคัญต้องยึดปณิธานของจุฬาฯว่า ใครก็ตามถ้าสามารถเข้าเรียนในระดับปริญญาตรีที่นี่ได้จะต้องได้รับการดูแลให้เรียนจบได้โดยไม่ให้เรื่องการเงินมาเป็นอุปสรรค อย่างไรก็ตามยืนยันว่าปีการศึกษา 2549 จุฬาฯ จะไม่ขึ้นค่าเล่าเรียนแน่นอน ส่วนที่มหาวิทยาลัยบางแห่งกำลังจะปรับขึ้นนั้น โดยส่วนตัวคิดว่ายังไม่สมควร ตราบใดที่ ICLยังไม่มีความชัดเจนก็ควรรอความชัดเจนก่อน ซึ่งคิดว่าคงไม่นานทุกอย่างน่าจะชัดเจนได้ ส่วนปี 2550 จุฬาฯจะขึ้นค่าเล่าเรียนหรือไม่ ต้องมาดูระบบการจัดสรรเงินใหม่ก่อนว่ามีผลกระทบหรือไม่ ซึ่งต้องมาคุยกัน แต่มั่นใจว่าถ้าจะขึ้นก็ขึ้นไม่ถึง 100% แน่นอนเพราะต้องคิดถึงมวลชนเป็นหลัก ด้าน รศ.ดร.วิโรจ อิ่มพิทักษ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) กล่าวว่า มก. มีมาตรฐานแนวคิดเกี่ยวกับค่าเล่าเรียนในแต่ละ กลุ่มสาขาอยู่แล้ว ซึ่งมีความหลากหลายและ ซับซ้อน อย่างไรก็ตามขณะนี้ตนได้ให้มีการหา ตัวเลขค่าใช้จ่ายของนิสิตในแต่ละสาขาเช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ซึ่งตัวเลขก็มีความหลากหลาย แตกต่างกันพอสมควร แต่สำหรับการปรับขึ้นค่าเล่าเรียนนั้นขณะนี้ มก.ยังไม่ได้คิดเพราะต้องการรอให้ ICL นิ่งก่อน (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 3 ต.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





รัฐบาลเดินหน้าโครงการ “เออร์ลี่” ข้าราชการ

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ระหว่างเดินทางมาเป็นประธานเปิดงาน 3 ปี แห่งการพัฒนาระบบข้าราชการไทย ที่หอประชุมกองทัพเรือ เมื่อวันที่ 2 ต.ค.48 ว่า รัฐบาลยังมีแนวคิดที่จะจัดทำโครงการเกษียณก่อนอายุราชการ (เออร์รี่ รีไทร์) เพื่อลดอัตรากำลังข้าราชการ แต่แนวทางในการดำเนินการต่างๆ ยังไม่สามารถตอบได้ เพราะยังไม่มีการสรุปเงื่อนไขที่ชัดเจน ทั้งนี้กรอบข้าราชการที่จะเข้าโครงการเออร์รี่ รีไทร์ ตั้งเป้าไว้ที่จำนวน 50,000 อัตรา ส่วนข้อเสนอที่จะมีการมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้กับผู้ที่จะเข้าโครงการคงจะไม่ใช้ โดยจะไปหาสิ่งตอบแทนอื่น เพราะจำนวนข้าราชการที่จะเข้าโครงการมาก ซึ่งการให้เครื่องราชฯ จะดูเหมือนว่าจะเป็นเพียงน้อยนิด แต่หากมีการขอเข้ามามากกว่า 1 ล้านคน ก็จะมีปัญหาว่าไม่คุ้มค่า และรัฐบาลก็จะไม่สามารถบอกได้ว่าจะนำไปแจกผู้ที่จะเข้าโครงการทำไม อย่างไรก็ตาม โครงการเออร์รี่ รีไทร์ จะมีการทำไปก่อนการปรับโครงสร้างกระทรวง ทบวง กรมใหม่ ซึ่งแต่เดิมรัฐบาลคาดว่าจะทำไปพร้อมกับการปรับโครงสร้างฯ แต่เมื่อการปรับโครงสร้างฯ กำลังดำเนินการอยู่ ก็สามารถทำไปก่อน และอาจจะมีการทำหลังการปรับโครงสร้างอีกก็ได้ น่าจะเริ่มใช้ในปีงบประมาณรายจ่าย พ.ศ.2549 โดยจะให้ข้าราชการกลุ่มที่สมัครใจเข้าโครงการ เพราะมีบางคนอาจจะกลัวผลกระทบ หรืออยากจะกลับไปทำธุรกิจตัวเองหรือเอสเอ็มอีก็แล้วแต่เขา รวมทั้งเรื่องเงินตอบแทนก็ยังบอกไม่ถูก แม้ของเดิมจะอยู่ที่ 8-15 เท่า แต่ก็คงจะใช้ประมาณนี้เป็นเงินตอบแทนให้ (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 3 ต.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





อาชีวะยันไม่มีสอบคัดเลือก รับไม่อั้นแต่คุณภาพคับแก้ว

ตามที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า การรับนักศึกษา ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) ที่ยกเลิกการสอบเข้ามา 2 ปีแล้วนั้น จะกลับมาเน้นคุณภาพ แล้วใช้การสอบคัดเลือกเช่นเดียวกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) หรือไม่เพื่อให้โรงเรียนมีโอกาสคัดเลือกเด็กที่เรียนดี ซึ่งจะเป็นการรักษามาตรฐานคุณภาพของโรงเรียนไว้นั้น นายวีระศักดิ์ วงษ์สมบัติ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.)กล่าวว่าเรื่องนี้ต้องแยกกันที่ระดับประถมและมัธยมจำเป็นต้องสอบคัดเลือก เพราะคนอยากเข้าโรงเรียนดีๆ จึงต้องใช้การสอบเป็นเครื่องตัดสิน อีกทั้งมีโควต้า จับฉลาก และรับเด็กบ้านใกล้โรงเรียน ก็เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย ขณะที่อาชีวะกำลังมีปัญหาด้านปริมาณ เพราะภาคอุตสาหกรรมต้องการกำลังคนแต่ละสาขาสูงมาก ที่สำคัญมาตรฐานคุณภาพของสถาบันอาชีวศึกษาทั่วประเทศก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก อีกทั้ง สอศ.ก็มีนโยบายชัดเจนว่าเด็กถนัด สนใจ หรือตั้งใจอยากเรียนสาขาไหนต้องให้เรียนสาขานั้น เราจึงจำกัดด้วยการสอบคัดเลือกไม่ได้ (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 3 ต.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ดึงงบเมกะโปรเจ็คต์ ผลิตอาจารย์"ป.เอก"

นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยถึงโครงการเสนอของบตามโครงการเมกะโปรเจ็คต์ของรัฐบาล เพื่อพัฒนาสถาบันอุดมศึกษากลุ่มใหม่ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผลิตบุคลากรระดับปริญญาโทและเอก ของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จำนวน 28,800 ล้านบาท ว่า ประเทศไทยมีอาจารย์ระดับปริญญาเอกร้อยละ 24 เป็นอัตราส่วนที่น้อยมาก ดังนั้น สกอ.จะรวมอาจารย์เหล่านี้มาเป็นเครือข่าย แล้วจัดให้มีหลักสูตรปริญญาเอก ที่มีคุณภาพเพิ่มเติมขึ้นจำนวน 25 หลักสูตร เป็นหลักสูตรนานาชาติทั้งสิ้น และต่อไปจะเกิดห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอีก 600 ห้อง ในสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ คาดว่าใน 4 ปีข้างหน้า จะสามารถสร้างอาจารย์ระดับปริญญาเอกได้อย่างน้อยจำนวน 10,000 คน จะส่งผลให้เพิ่มสัดส่วนอาจารย์ระดับปริญญาเอกในอนาคตของไทย ที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 50 ของอาจารย์มหาวิทยาลัยทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีการผลงานวิจัยและพัฒนากว่า 12,000 ชิ้น และสามารถจดสิทธิบัตรได้ไม่ต่ำกว่า 70 ชิ้นงาน อีกทั้ง สกอ.ยังเสนอนำงบเมกะโปรเจ็คต์มาใช้ในโครงการเร่งด่วนพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วย (ข่าวสด จันทร์ที่ 3 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ราชภัฏดันแนวคิดรวมสงขลานครินทร์ เป็นมหา"ลัยใหม่ของสุราษฎร์ฯ

ผศ.ดร.ณรงค์ พุทธิชีวิน อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี แถลงข่าวกรณีสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) มีแนวคิดหลอมรวมมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (เขตการศึกษาสุราษฎร์ธานี) กับมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานีว่า แนวคิดนี้ตนและรศ.ดร.ประเสริฐ ชิตพงษ์ อธิการบดีมหวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มีความเห็นตรงกันว่า ในปัจจุบันมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี เปิดสอนเพียง 1 คณะ คือคณะเทคโนโลยีและการจัดการ ทำให้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นได้ แต่หากรวมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี และวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เข้าด้วยกัน ก็จะเป็นมหาวิทยาลัยสมบูรณ์แบบ ส่วนจะใช้ชื่อราชภัฏหรือเปลี่ยนชื่ออย่างไรย่อมเป็นเรื่องที่สามารถกระทำได้ทั้งสิ้น มหาวิทยาลัยยังคงมุ่งมั่นพัฒนาท้องถิ่น และสามารถจัดตั้งเป็นมหาวิทยาลัยใหม่ ซึ่งจะทำให้ได้รับการจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอต่อการพัฒนาองค์กรและนักศึกษา และสามารถจัดตั้งคณะใหม่ๆ ที่ตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้มากขึ้น ซึ่งแนวทางนี้ยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการขายความคิดต่อสาธารณชน ให้พิจารณาถึงความเป็นไปได้ ความสำคัญที่แท้จริงอยู่ที่ความต้องการของประชาชนเป็นหลักที่จะพัฒนาสถาบันการศึกษาในท้องถิ่นให้มีความพร้อมสมบูรณ์แบบ ลุ่มลึกและหลากหลายของสาขาวิชาที่จะเปิดสอน รองรับเยาวชนในท้องถิ่นที่จะเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาโดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปเรียนในส่วนกลาง (ข่าวสด จันทร์ที่ 3 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





มก.ตั้งสถาบันวิจัยพัฒนาการศึกษาพิเศษ

รศ.ดร.วิโรจ อิ่มพิทักษ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตร ศาสตร์ (มก.) เปิดเผยว่า มีแนวโน้มว่ามีจำนวนเด็กที่เป็นออทิสติก เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสภาพสังคมที่ซับซ้อน ในช่วงระยะ 15 ปีที่ผ่านมา มก. ให้ความสำคัญในการเรียนรู้และทำวิจัยเกี่ยวกับเด็กออทิสติก มาตลอด โดยได้ร่วมกับโรงพยาบาลยุวเวชในการดูแลเด็ก โดยรับเด็กออทิสติกจากโรงพยาบาลเข้ามาเรียนร่วมกับเด็กปกติในโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปีละ 5 คน ซึ่งจะให้เข้าเรียนตั้งแต่ชั้น ป.1 จนถึงระดับอุดมศึกษาใน มก. สำหรับวิธีการเรียนการสอนนั้นก็จะให้เด็กเรียนอยู่ในคณะต่าง ๆ ที่ เด็กสามารถเรียนได้ เช่น คณะสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศึกษาศาสตร์ เป็นต้น ซึ่งในการเรียนจะมีอาจารย์และเพื่อน คอยประกบเป็นรายบุคคล ซึ่งขณะนี้มีเด็กที่กำลังจะเรียนจบปริญญาตรีในปีการศึกษา 2549 ประมาณ 7-8 คน แต่ทั้งนี้การทำวิจัยเกี่ยวกับเด็กออทิสติกนั้นไม่ใช่ว่าจะดูเพียงพัฒนาการของเด็กเฉพาะในช่วงที่กำลังเรียนเท่านั้น แต่หลังจากที่เด็กออทิสติก เรียนจบแล้ว มก.ยังมีแผนที่จะติดตามต่อไปอีกว่า เด็กจบแล้ว จะไปทำงานอะไร สามารถทำได้หรือไม่ หรือประสบปัญหาอะไรบ้าง เป็นต้น. (เดลินิวส์ อังคารที่ 4 ต.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





มหา"ลัยไทยช่วย"ม.ลาว" มอบหนังสือ2,500เล่ม จัดหาทุนให้เรียนป.โท

เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ที่มหาวิทยาลัยสุพานุวง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) ได้พาคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยไทย 10 สถาบัน ไปมอบหนังสือจำนวน 2,500 เล่ม ให้กับคณาจารย์มหาวิทยาลัยสุพานุวง โดยมี ดร.คำผาย สีสะหวัน อธิการบดีมหาวิทยาลัยสุพานุวง ให้การต้อนรับ ทั้งนี้ นายภาวิชกล่าวว่า สถาบันอุดมศึกษาไทยทุกแห่งพร้อมจะให้ความร่วมมือในด้านต่างๆ กับมหาวิทยาลัยสุพานุวง ในฐานะเป็นมหาวิทยาลัยจัดตั้งใหม่ได้เพียง 2 ปี ซึ่งเบื้องต้นได้ประสานมหาวิทยาลัยไทยต่างๆ รวบรวมหนังสือจากห้องสมุดมามอบให้ เพื่อให้คณาจารย์และนักศึกษาของมหาวิทยาลัยสุพานุวงได้ใช้ในการค้นคว้าหาความรู้ นอกจากนี้ ตนยังได้หารือกับดร.คำผายในเบื้องต้นแล้วเห็นพ้องกันว่า ควรจะมีการแลกเปลี่ยนคณาจารย์และนักศึกษาเพื่อกระชับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ และในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ตนจะพาคณาจารย์จากประเทศไทยไปมอบหนังสืออีก 2,500 เล่ม ให้กับมหาวิทยาลัยจำปาศักดิ์ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยของลาวที่เพิ่งจัดตั้งใหม่เช่นกัน ประเทศไทยให้จัดหาทุนสำหรับคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยสุพานุวงได้มาศึกษาต่อระดับปริญญาโทคาดว่าจะมีทุนให้ 20-30 ทุนต่อปี"นายภาวิชกล่าว และว่า ที่ผ่านมาทางมหาวิทยาลัยสุพานุวงได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยไทยบ้างแล้ว โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) ได้ส่งเครื่องคอมพิวเตอร์ไปให้ 15 เครื่อง และมหาวิทยาลัยขอนแก่น(มข.) ได้รับอาจารย์จากมหาวิทยาลัยสุพานุวงมาศึกษาต่อระดับปริญญาโทในคณะศึกษาศาสตร์ นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังได้สนับสนุนเครื่องคอมพิวเตอร์เพิ่มให้อีก 40 เครื่อง และในอนาคตจะมีความร่วมมือในด้านสื่อการเรียนการสอนโดยเฉพาะใน 3 คณะวิชา ได้แก่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ และบริหารธุรกิจ (มติชนรายวัน อังคารที่ 4 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





อาชีวะทุ่มงบ 20 ล้าน ตั้งวิทยาลัยคนพิการ

สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2548 สอศ.จะปรับปรุงสถาบันอาชีวศึกษา 4 จังหวัด ครอบคลุม 4 ภูมิภาค โดยใช้งบ 20 ล้านบาท เพื่อพัฒนาเป็นวิทยาลัยนำร่องที่มีความพร้อมสูงในด้านอาคารสถานที่ และสื่อการเรียนการสอนสำหรับคนพิการ จัดหลักสูตรการเรียนการสอนเพื่อผู้ด้อยโอกาสและคนพิการ ทั้งนี้ในปีการศึกษา 2548 มีผู้พิการสนใจสมัครเข้าเรียนอาชีพในสถาบันอาชีวศึกษาทั่วประเทศ 1,825 คน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) 935 คน ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) 352 คน ฝึกอบรมอาชีพระยะสั้น 538 คน เพิ่มขึ้นจากปีการศึกษา 2547 ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ โดยเบื้องต้นจะคัดเลือกสถาบันอาชีวศึกษาที่มีความเหมาะสมจะพัฒนาเป็นวิทยาลัยนำร่องใน 10 จังหวัด ภูมิภาคละ 1 แห่ง โดยเปิดรับสมัครผู้พิการเข้าเรียนในปีการศึกษา 2549 โดยไม่จำกัดอายุ เพศ และความพิการ ในแต่ละปีเมื่อผู้พิการจบการศึกษา สอศ.จะแจ้งจำนวนและรายชื่อไปยังกระทรวงแรงงาน เพื่อจัดสรรผู้พิการเข้าทำงานในตำแหน่งงานที่ว่าง โดยกระทรวงแรงงานแจ้งว่ามีตำแหน่งงานรองรับผู้พิการที่จบการศึกษาและได้รับวุฒิจากสอศ. จำนวน 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม หมายความว่าผู้พิการเหล่านี้จะไม่ตกงาน (คมชัดลึก พุธที่ 5 ต.ค. 2547 http://www.komchadluek.net)





น.ศ.แดนมังกรแห่เรียนวิทยาลัยอิสลามยะลา อธิการบดีปลื้มจีนมองการศึกษาไทย"เจ๋ง"

นายสุนทร ปิยะสวัสดิ์ รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา วิทยาลัยอิสลามยะลา เปิดเผยว่า วิทยาลัยแห่งนี้ได้รับอนุญาตจัดตั้งจากทบวงมหาวิทยาลัยเมื่อปี 2541 ปัจจุบันมี 2 วิทยาเขต คือ ที่วิทยาเขตปารามีแต(จ.ยะลา) อยู่ในตัวเมือง มีเนื้อที่ 43 ไร่ และวิทยาเขตปัตตานี อยู่ที่ ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี มีเนื้อที่ 300 ไร่ มีบุคลากร 205 คน มีอาจารย์ต่างชาติ 9 คน มีนักศึกษาทั้งหมด 1,509 คน ซึ่งมาจาก 30 จังหวัดทั่วประเทศ แยกเป็นระดับปริญญาตรี 1,237 คน ระดับบัณฑิตศึกษา 272 คน ในจำนวนนักศึกษากว่าพันคนนี้เป็นชาวต่างชาติ 77 คน มาจาก 6 ประเทศ คือ จีน 53 คน กัมพูชา 20 คน มาเลเซีย อินโดนีเซีย คาซักสถาน และสวีเดน ประเทศละ 1 คน ซึ่งที่ผ่านมามีนักศึกษาจากเกาหลี ญี่ปุ่น และเวียดนามติดต่อขอเข้ามาเรียน แต่ทางวิทยาลัยยังไม่สามารถรับได้หมด เพราะมีปัญหาเรื่องหอพักนักศึกษาไม่เพียงพอ ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สถาบันผลิตนักศึกษาจบไปแล้ว 581 คน (มติชนรายวัน พุธที่ 5 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/matichon)





คณะสื่อสารมวลชนมช.เปิดหลากสาขา เน้นหลักสูตรบูรณาการแห่งแรกในไทย

นายพงษ์ศักดิ์ อังกสิทธิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) ให้สัมภาษณ์ว่า ได้เปิดคณะใหม่คือ คณะการสื่อสารมวลชน ซึ่งจะเปิดสอนในปี 2549 โดยยกฐานะจากภาควิชาการสื่อสารมวลชนเป็นคณะดังกล่าว ในอนาคตอยากให้เป็นศูนย์กลางของระบบการเรียนการสอน โดยการสร้างเครือข่ายและพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ ขณะนี้ มช.ได้ทำโครงการวิจัยบัณฑิต โดยจัดตั้งสำนักพัฒนาคุณภาพนักศึกษาขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่วิเคราะห์หลักสูตรการเรียนการสอนให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ นอกจากอาจารย์จะมีหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ให้ลูกศิษย์แล้ว ต้องทำงานวิจัยหาองค์ความรู้ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เพื่อนำงานวิจัยไปสู่สังคม และที่สำคัญต้องสร้างบัณฑิตทุกคนให้มีคุณภาพและศักยภาพ จบออกไปแล้วได้รับการยอมรับจากสังคม นางสดศรี เผ่าอินจันทร์ หัวหน้าคณะการสื่อสารมวลชน กล่าวว่า ได้เตรียมโครงการจะเปิดหลักสูตรใหม่ร่วมกับคณะต่างๆ ใน มช. เช่น คณะแพทยศาสตร์เปิดสอนวิชาการสื่อสารสุขภาพ คณะเศรษฐศาสตร์เปิดสอนวิชาการสื่อสารเศรษฐศาสตร์ เป็นต้น ซึ่งวิชาเหล่านี้ยังไม่มีที่ไหนเปิดมาก่อน ถือว่าเป็นการดำเนินยุทธศาสตร์ในเชิงรุก ทั้งนี้ ในระดับปริญญาตรีมี 5 สายวิชา ดังนี้ สายวิชาวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ สายวิชาการหนังสือพิมพ์และสื่อสิ่งพิมพ์ สายวิชาการประชาสัมพันธ์และการโฆษณา โดยสายวิชาสื่อสิ่งพิมพ์เน้นเรื่องการบูรณาการ เพื่อการผลิตสื่อต่างๆ สายวิชาสื่อการแสดง จะนำทักษะการแสดงสมัยเก่าและสมัยใหม่มาเข้าไว้ด้วยกันเพื่อให้ผู้เรียนสามารถสื่อสารการพูดได้ดี และมีบุคลิกภาพที่ดี (มติชนรายวัน พุธที่ 5 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/matichon)





มหาวิทยาลัยดังเปิดรับตรงปี 49

ม.ศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) รับสมัครนักศึกษาปริญญาตรีระบบรับตรง 1,022 คน ขายใบสมัครตั้งแต่บัดนี้-15 ตุลาคมนี้ หรือสมัครทางอินเทอร์เน็ตได้ถึงวันที่ 10 ตุลาคมนี้ โดยเข้าไปในเวบไซต์ http://admission.swu.ac.th สอบถามโทร.0-2664-1000 ต่อ 5716, 5717, 5665 ม.เกษตรศาสตร์ (มก.) รับตรงระดับปริญญาตรีโควตาพิเศษ 4,800 คน ตั้งแต่วันที่ 4-11 มกราคม 2549 โดยสำนักทะเบียนและประมวลผลได้ส่งใบสมัครไปที่โรงเรียนโดยตรง ตามโควตาแต่ละจังหวัดในรอบๆ วิทยาเขตของ มก. หรือให้โควตาโรงเรียนโดยตรงที่อยู่ในพื้นที่ ม.ขอนแก่น (มข.) รับสมัครนักศึกษาปริญญาตรีระบบรับตรงใน 18 คณะ ขายใบสมัครวันที่ 28 กันยายน-31 ตุลาคมนี้ ที่โรงเรียนประจำจังหวัด ได้แก่ จ.ขอนแก่น กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ นครพนม นครราชสีมา บุรีรัมย์ มหาสารคาม ยโสธร ร้อยเอ็ด เลย ศรีสะเกษ สกลนคร สุรินทร์ หนองคาย อุดรธานี และ จ.อุบลราชธานี สอบถามโทร.0-4320-2222-41, 0-4320-3333- 51 ต่อ 2039, 2049-50 หลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิตของคณะแพทยศาสตร์ ม.ขอนแก่น ม.เชียงใหม่ ม.ธรรมศาสตร์ รพ.รามาธิบดี ม.มหิดล ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ม.ศรีนครินทรวิโรฒ ม.สงขลานครินทร์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล และวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้-15 ตุลาคม ผ่านเวบไซต์ www.md.kku.ac.th, www.med.cmu.ac.th, www.med.tu.ac.th , www.medicine.psu.ac.th, www.ra.mahidol.ac.th, www.si.mahidol.ac.th, www.vajira.ac.th และ www.pcm.ac.th ม.นเรศวรรับสมัครนักศึกษาปริญญาตรีในระบบรับตรงในปีการศึกษา 2549 ใน 9 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ได้แก่ จ.กำแพงเพชร ตาก นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์ อุทัยธานี และ จ.พะเยา เปิดรับ 4,439 คน แบ่งเป็นศึกษาต่อที่ ม.นเรศวร จ.พิษณุโลก 3,614 คน และศึกษาต่อที่วิทยาเขตสารสนเทศพะเยา 825 คน รับสมัครตั้งแต่วันที่ 18-22 พฤศจิกายนนี้ สอบถามโทร.0-5526-1081 หรือ www.acad.nu.ac.th (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 6 ต.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





คณะพาณิชย์มธ.รับเด็ก ม.6 เรียนหลักสูตรป.ตรีควบโท 5 ปี

รศ.เกศินี วิฑูรชาติ คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีจัดทำหลักสูตรใหม่เพื่อรับนักเรียนเข้าศึกษาในปี 2549 โดยแบ่งเป็นสองหลักสูตรคือ หลักสูตรที่ 1 เรียน 4 ปี ที่ศูนย์รังสิต นักศึกษาสามารถเลือกสอบเข้าในสาขาบัญชี หรือบริหารธุรกิจ โดยจะรับโดยตรง 270 คน และรับผ่านสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) 90 คน "ส่วนหลักสูตรที่ 2 เป็นหลักสูตรใหม่ที่ได้พัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เป็นหลักสูตรควบตรี-โท ซึ่งใช้เวลาเรียนห้าปี ซึ่งนักเรียนสามารถเลือกที่จะเรียนจบห้าปีได้ปริญญาโท หรือเลือกเรียนสี่ปี เพื่อรับปริญญาตรี มีสองสาขาวิชาคือ สาขาบูรณาการบัญชี และสาขาการจัดการธุรกิจ ซึ่งทั้งสองสาขาจะเรียนตลอดหลักสูตร ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยจะรับตรงจำนวน 75 คน และรับผ่าน สกอ. อีก 75 คน หลักสูตรควบห้าปีนั้นถือเป็นนวัตกรรมทางการศึกษาของประเทศไทย มีการจัดทำเนื้อหาหลักสูตรขึ้นใหม่ทั้งหมด โดยในสาขาบูรณาการบัญชีนักศึกษาจะต้องเรียน 162 หน่วยกิต และสาขาการจัดการธุรกิจเรียน 156 หน่วยกิต เพื่อรับปริญญาโท โดยเนื้อหาวิชาจะเน้นการบูรณาการ โดยนักศึกษาจะต้องจัดทำโครงการรณรงค์ทางธุรกิจเพื่อสังคมและประเทศชาติก่อนจบการศึกษาอีกด้วย (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 6 ต.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ศธ.ดัน ร.ร.มัธยมทุกจังหวัด เปิดสอนภาษาจีนภายในปี 2549

คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยความคืบหน้าในการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนภาษาจีนว่า ได้มีการยกร่างยุทธศาสตร์และข้อเสนอแนะในการปรับปรุงการเรียนรู้ภาษาจีนในประเทศไทยเสร็จเรียบร้อยแล้ว และเตรียมจะเสนอนายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เร็วๆ นี้ หลักการสำคัญของยุทธศาสตร์ดังกล่าว คือกำหนดแผนว่า ในปีการศึกษา 2549 จะส่งเสริมโรงเรียนระดับมัธยมปลาย เปิดสอนภาษาจีน ในทุกจังหวัด ปีถัดไปจะส่งเสริมให้มีโรงเรียน ม.ปลาย ที่เปิดสอนภาษาจีน อย่างน้อย 1 โรงเรียนในทุกเขตพื้นที่การศึกษา และปีต่อไป ทุกโรงเรียนที่มี ม.ปลาย จะต้องเปิดแผนภาษาจีน คุณหญิงกษมา กล่าวอีกว่า มีการเสนอว่าในช่วง 3 ปีแรกของการส่งเสริมให้โรงเรียนเปิดสอนภาษาจีนนั้น รัฐบาลจะต้องช่วยเหลือโรงเรียนอีกทางด้วยเพื่อให้โรงเรียนอยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นความช่วยเหลือในเรื่องสื่อการเรียน ครู หลังจากนั้นจึงค่อยๆ ให้โรงเรียนช่วยตัวเอง นอกจากนี้ แต่ละจังหวัดจะจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีน โดยคัดเลือกจากโรงเรียนที่มีพื้นฐานดีอยู่แล้ว มาทำการคัดเลือกให้เป็นตัวแทนจัดตั้งเป็นศูนย์ แล้วก็ส่งเสริมให้เป็นพี่เลี้ยงโรงเรียนอื่นๆ นอกจากนั้น ได้มีการหารือร่วมกับสมาคมมิตรภาพไทยจีนเมื่อเร็วๆ นี้ เกี่ยวกับการจัดมหกรรมการเรียนการสอนภาษาจีน ในช่วงที่นายกรัฐมนตรีของจีนมาเยือนไทยระหว่างวันที่ 15-17 ธันวาคม 2548 เชิญผู้เชี่ยวชาญจากประเทศจีนมาสัมมนาเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนภาษาจีน และจะเชิญสมาคมโรงเรียนสอนภาษาจีน ตลอดจนสถานทูตจีนมาร่วมด้วย (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 7 ต.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





มอ.ยันไม่เอาร่างกม.นอกระบบฉบับกฤษฎีกา หวั่นโครงสร้างม.เดียวทำวิทยาเขตขอแยกตัว

นายประเสริฐ ชิตพงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์(มอ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.มอ.พ.ศ.... ซึ่งเป็นร่างกฎหมายมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐบาลได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา และเตรียมเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) รอบ 2 เพื่อให้ความเห็นชอบก่อนเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร ขณะนี้เลขาธิการ ครม.ได้ส่งร่าง พ.ร.บ.มอ.ให้กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) เพื่อสอบถาม มอ.ว่าจะรับร่าง พ.ร.บ.มอ.ที่คณะกรรมการกฤษฎีกาแก้ไขหรือไม่ และเท่าที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) สอบถามมานั้น ขอยืนยันร่าง พ.ร.บ.ฉบับเดิมที่ส่งให้ เพราะคณะกรรมการกฤษฎีกาได้เปลี่ยนแปลงรายละเอียด โดย มอ.จะเน้นความเป็นมหาวิทยาลัยที่มีหลายวิทยาเขต และต้องการให้อิสระในการบริหารงานกับวิทยาเขตต่างๆ ให้คล่องตัวที่สุด ไม่ให้แค่อธิการบดีมอบอำนาจ แต่คณะกรรมการกฤษฎีกาแก้ไขให้ มอ.มีโครงสร้างเหมือนมหาวิทยาลัยที่ไม่มีวิทยาเขต ส่วนความคืบหน้าในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับรัฐบาลของมหาวิทยาลัยอื่นๆ นั้น ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยบูรพา พ.ศ.... และร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ.... อยู่ระหว่างคณะกรรมาธิการร่วมสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาพิจารณา เนื่องจากสภารับไม่ได้กับแก้ไขสาระของวุฒิสภา อย่างไรก็ตามขณะนี้รัฐบาลได้แต่งตั้งนายจำลอง ครุฑขุนทด เป็นประธานกำหนดแนวทางกลางของร่างกฎหมาย ซึ่งไม่ใช่หลักการกลางที่ ครม.กำหนดไว้ 10 ข้อ เพื่อให้คณะกรรมาธิการชุดต่างๆ ของสภาและวุฒิสภาใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยต่างๆ (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 8 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


ผุดแอร์พอร์ต บริการจานบิน รับอาคันตุกะนอกโลก

นายไรออส อายุ 39 ปี เปิดเผยว่า เตรียมจะสร้างสนามบินเพื่อต้อนรับผู้มาเยือน จากโลกอื่นขึ้น เขากล้ายืนยันการสร้างตามโครงการนี้ ด้วยเหตุเพราะได้รับการสนับสนุน จากเทศบาลเมืองอย่างแข็งขัน เพราะเหตุว่าเทศบาลกำลังต้องการหารายได้ จากการท่องเที่ยวมาจุนเจืองบประมาณ ยังมี นายฟรานซิสโก เนกรอน ชาวนาซึ่งลงทุนเสนอยกที่ให้สร้างสนามบินนั้น เขาคาดว่า จะต้องใช้งบก่อสร้างประมาณ 4 ล้านบาท โดยหวังจะได้ทุนจากบริษัทห้างร้านต่างๆ เขาบอกว่า ต้องการทำให้เมืองเล็กๆของรัฐหนึ่งในสหรัฐอเมริกานี้ เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยว โดยเขาฝันว่าจะมีคนสนใจในเรื่องจานผี แห่กันมาเที่ยว เหมือนกับที่เคยมีผู้คนแตกตื่น ไปที่เมืองรอสเวลล์ ในรัฐนิวเม็กซิโก เมื่อมีข่าวลือว่ามีจานผีตก เมื่อสมัย พ.ศ. 2483. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 3 ต.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





น้ำแข็งขั้วโลกหดเล็กลง ทำสถิติเพิ่มอุณหภูมิโลกร้อน

จูเลียน สโตรฟ แห่งศูนย์ข้อมูลหิมะและน้ำแข็งแห่งชาติของสหรัฐฯ ที่วิจัยร่วมกับ 2 มหาวิทยาลัยคือ ยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ โคโลราโด และยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ วอชิงตัน เผยว่า จากการศึกษาล่าสุดพบว่าน้ำแข็งที่ปกคลุมบริเวณขั้วโลกเหนือหดตัวเล็กลงอีกในปีนี้ ซึ่งอาจจะลดลงต่ำกว่าสถิติต่ำสุดเมื่อ 3 ปีก่อน ทั้งนี้ เชื่อว่ามีสาเหตุมาจากสภาวะโลกร้อน นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า การปล่อยก๊าซคาร์บอนเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลกเป็นเหตุ ให้อุณหภูมิสูงขึ้นและส่งผลให้น้ำแข็งในบริเวณขั้วโลกละลาย การละลายของน้ำแข็งส่งผลกระทบเลวร้ายกว่าที่คิด เพราะน้ำแข็งและหิมะ ที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวสามารถ ช่วยสะท้อนรังสีจากดวงอาทิตย์กลับไปยังอวกาศ ขณะที่ก๊าซคาร์บอนกลับบดบังรังสีที่สะท้อนจากดวงอาทิตย์ให้ย้อนกลับไปสู่อวกาศ ทำให้อุณหภูมิโลกร้อนขึ้นเรื่อยๆ. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 3 ต.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





เตือน"น้ำแข็งขั้วโลกเหนือ"หดตัว

เลียน สโตรฟ แห่งศูนย์ข้อมูลหิมะและน้ำแข็งแห่งชาติของสหรัฐ ทำงานวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ โคโลราโด และยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ วอชิงตัน พบว่า น้ำแข็งที่ปกคลุมบริเวณขั้วโลกเหนือหดตัวเล็กลงอีกในปีนี้ เชื่อว่ามีสาเหตุมาจากสภาวะโลกร้อน สโตรฟระบุว่า การปล่อยก๊าซคาร์บอนเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลกเป็นเหตุให้อุณหภูมิสูงขึ้นและส่งผลให้น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกละลาย การละลายของน้ำแข็งส่งผลกระทบเลวร้ายกว่าที่คิด เพราะตามปกติน้ำแข็งและหิมะที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวสามารถสะท้อนรังสีจากดวงอาทิตย์กลับไปยังอวกาศ แต่ปัจจุบันรังสีเหล่านี้ถูกก๊าซคาร์บอนบดบังไม่ให้สะท้อนกลับไปสู่อวกาศ อุณหภูมิโลกจึงร้อนขึ้นเรื่อยๆ (ข่าวสด จันทร์ที่ 3 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ปลายศตวรรษโลกยิ่งร้อนหนัก จนน้ำแข็งขั้วโลกละลายหมด

สถาบันวิจัยชั้นเอกของเยอรมนี เปิดเผยผลการศึกษาครั้งหลังสุด กล่าววาดอนาคตไว้ว่า โลกตอนปลายศตวรรษนี้ อุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้นอาจทำให้ระดับน้ำในทะเลตอนปลายศตวรรษนี้สูงขึ้นกว่า ปัจจุบันอีกถึง 1 ฟุต ทั้งดินฟ้าอากาศก็จะเกิดวิปริตแปรปรวนอยู่เป็นประจำ สถาบันอุตุนิยมแมกซ์ พลังค์ที่เมืองฮัมบูร์ก เยอรมนีกล่าวว่า จากแบบจำลองด้วยคอมพิวเตอร์ที่สร้างขึ้น ได้แสดงให้เห็นว่าอุณหภูมิของโลกในช่วงปี พ.ศ. 2643 อาจจะเพิ่มสูงขึ้น มากถึง 4.1 องศาเซลเซียส เป็นเหตุให้น้ำแข็งที่ปกคลุมอยู่ที่เขตอาร์กติกของขั้วโลกพากันละลายลงจนหมดสิ้น. (ไทยรัฐ อังคารที่ 4 ต.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





เสนอตั้งที่ปรึกษาดัยรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์

นายคณวัฒน์ วศินสังวร ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เปิดเผยว่า สาเหตุที่ทำให้การดำเนินงานเรื่องรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ไม่ค่อยคืบหน้า เพราะขาดผู้ประสานงานที่ให้คำปรึกษาและทำความตกลงกับกระทรวงต่าง ๆ ดังนั้นจึงมีความคิดที่จะเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที ให้จัดตั้งทีมที่ปรึกษาเพื่อให้คำปรึกษากับซีไอโอในการดำเนินงานให้บริการข้อมูลผ่านเว็บไซต์ และทำความตกลงกับกระทรวงต่าง ๆ ในการเปิดให้บริการทางอินเทอร์เน็ต เบื้องต้นยังไม่ได้วางโครงการอย่างละเอียด แต่จะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด การจัดทำรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ได้จัดแบ่งขั้นตอนการดำเนินงานออกเป็น 4 ขั้นตอน โดยขั้นตอนแรกทุกกระทรวงต้องมีเว็บไซต์ขณะนี้มีครบเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ส่วนขั้นที่สองการร้องทุกข์หรือติดต่อผ่านเว็บไซต์ก็เริ่มมีเปิดให้บริการบ้างแล้วแต่ยังน้อย ส่วนขั้นสามการเปิดให้บริการแก่ประชาชน ทางเว็บไซต์มีกระทรวงเปิดให้บริการไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นขั้นที่สี่การเปิดให้บริการที่หลากหลายบนเว็บไซต์ของกระทรวงจึงยังไม่มีการดำเนินงาน ด้านนายมนู อรดีดลเชษฐ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (ซิป้า) กล่าวว่า การที่จะผลักดันให้เกิดการให้บริการที่หลากหลายผ่านเว็บไซต์ ต้องสร้างเครือข่ายในการเชื่อมโยงข้อมูลข้ามหน่วยงาน ดังนั้นจึงต้องสร้างซอฟต์แวร์ที่มีความสมบูรณ์ในการเชื่อมโยงข้อมูลข้ามหน่วยงานให้มีประสิทธิภาพ (เดลินิวส์ อังคารที่ 4 ต.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





พบกาแล็กซียุคต้นกำเนิดจักวาล

นักดาราศาสตร์ใช้กล้องโทรทรรศน์กำลังสูงส่องอวกาศพบกาแล็กซี่ที่มีขนาดใหญ่แต่อายุน้อยกว่ากาแล็กซีทางช้างเผือกนับหมื่นล้านปี ซ่อนกายอยู่บริเวณที่เป็นยุคแรกๆ ของจักรวาล ไขปริศนากำเนิดดวงดาว การค้นพบครั้งนี้ได้สร้างความประหลาดใจให้กับนักดาราศาสตร์เป็นอย่างมาก เนื่องจากก่อนหน้านี้มีทฤษฎีที่เชื่อกันมาตลอดว่า กาแล็กซีกำเนิดขึ้นจากกลุ่มดาวฤกษ์ที่มากระจุกตัวรวมกันเป็นกาแล็กซีขนาดเล็กแล้วค่อยขยายตัวเป็นกาแล็กซีขนาดใหญ่ขึ้น แต่กาแล็กซี HUDF-JD2 ที่พบนี้มีอายุเพียง 1,000 ล้านปี เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก แต่กลับมีมวลมากกว่ากาแล็กซีทางช้างเผือกถึงแปดเท่า กาแล็กซีทางช้างเผือก ซึ่งมีโลกและระบบสุริยะอาศัยอยู่นั้นมีอายุราว 1.3 หมื่นล้านปี กาแล็กซีอายุน้อยนี้ถูกส่องพบโดยกล้องโทรทรรศน์สองตัวคือ ฮับเบิล และสปิตเซอร์ ซึ่งเป็นกล้องที่มีประสิทธิภาพสูงสามารถส่องมองอดีตได้ไกลถึง 800 ล้านปีหลังจากเกิดการระเบิดที่เรียกว่า "บิกแบง" ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของกำเนิดเอกภพ การค้นพบกาแล็กซีอายุน้อยที่มีมวลขนาดใหญ่ดังกล่าวซึ่งขัดกับทฤษฎีที่เชื่อกันมานาน อาจทำให้นักดาราศาสตร์ต้องปรับความคิดเกี่ยวกับช่วงเวลาการก่อตัวของกาแล็กซีและวัตถุในจักรวาลใหม่ (คมชัดลึก อังคารที่ 4 ต.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ค้นพบดาวเคราะห์ใหม่ดวงที่ 10 ป่วนวงการดาราศาสตร์

การพบดาวเคราะห์ในสุริยจักรวาลดวงใหม่ นับเป็นดวงที่ 10 เป็นเหตุให้นักดาราศาสตร์ พากันแตกความเห็นในเรื่องคำจำกัดความของดาวเคราะห์อย่างเป็นทางการขึ้น ดาวเคราะห์ดวงใหม่ที่ถูกค้นพบ ถูกตั้งชื่อชั่วคราวให้ว่า “เซนา” อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ 14,400,000,000 กิโลเมตร หรือมากกว่าระยะห่างระหว่างดาวพลูโตกับดวงอาทิตย์ 3 เท่า นับเป็นวัตถุที่อยู่ ห่างไกลที่สุดของสุริยจักรวาลยิ่งกว่านั้น เมื่อมีการค้นพบด้วยว่า มันมีดวงจันทร์บริวารที่ถูกตั้งชื่อให้ว่า “กาเบรียล” ด้วย ยิ่งทำให้การโต้เถียงยิ่งรุนแรงหนักขึ้น ตัวดวงจันทร์นั้น โตประมาณ 248 กิโลเมตร และเห็นจากการดูด้วยกล้องเป็นเงาจางๆกว่าตัวดาวแม่เองถึง 60 เท่า แต่การมีดวงจันทร์ก็ได้ถูกนักดาราศาสตร์หลายคนโต้แย้งว่าไม่ใช่ลักษณะใหญ่ของดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์ปัจจุบันมีอยู่หลายดวงที่ไร้ดวงจันทร์ อย่างเช่นดาวพุธ และดาวศุกร์ เป็นต้น การมีดวงจันทร์ก็มีประโยชน์อยู่เหมือนกัน มันช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถกำหนดประมาณมวลของดาวเคราะห์ดวงนั้นได้ง่ายขึ้น ด้วยการสังเกตดูว่า หากว่าดวงจันทร์โคจรรอบดาวแม่ได้โดยเร็ว ก็ส่อว่าตัวดาวเคราะห์นั้นประกอบขึ้นด้วยมวลหนาแน่นมาก. (ไทยรัฐ พุธที่ 5 ต.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





มหัศจรรย์แห่งธรรมชาติ(ไม่)ยากที่จะเลียนแบบ

“Biomimicry” คือศาสตร์แขนงใหม่ที่ใช้ความรู้ทางด้านชีววิทยา เคมี และอื่น ๆ ซึ่งลงลึกไปในระดับเซลล์หรือโมเลกุลมาใช้ในการศึกษาและออกแบบพัฒนาเทคโนโลยีหรือกระบวนการต่าง ๆ โดยอาศัยการเลียนแบบจากสิ่งมีชีวิตที่มีคุณสมบัติที่โดดเด่นและตรงกับความต้องการของมนุษย์ ตัวอย่างก็เช่นการประดิษฐ์กาวที่มีคุณสมบัติในการยึดติดที่เป็นเยี่ยม ในสภาวะแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย โดยการเลียนแบบกาวที่หอยชนิดต่าง ๆ สร้างขึ้น ซึ่งมีคุณสมบัติในการยึดติดวัสดุที่มีพื้นผิวขรุขระอย่างเช่นหิน ในน้ำทะเลที่มีคุณสมบัติกัดกร่อนสูง และทนต่อการกระแทก ของคลื่น การเลียนแบบกาวดังกล่าวทำให้เราสามารถนำมาใช้ในการยึดติดกระดูกในร่างกายของเราที่แตกหักเสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และน่าจะลดการต่อต้านของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายลงได้ระดับหนึ่ง เพราะไม่ใช่วัสดุสังเคราะห์ ล้วน ๆ นั่นเอง แมลงอย่างเช่นด้วงพันธุ์ต่าง ๆ สามารถตรวจจับความร้อนจากการเกิดเพลิงไหม้หรือไฟป่าได้ แม้ว่าจะอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุหลายกิโลเมตร ด้วยความสามารถของมัน ถ้าเราสามารถเลียนแบบได้ เราก็จะสามารถสร้าง อุปกรณ์อย่างเช่นกล้องอินฟราเรดที่มีประสิทธิ ภาพสูงเพื่อใช้ในทางการทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรบในเวลากลางคืนได้เป็นอย่างดี “วอลโว่” ก็เป็นอีกบริษัทหนึ่งที่ สนใจศึกษาการเคลื่อนที่ของฝูงตั๊กแตน และให้ทุนวิจัยเพื่อเลียนแบบการเคลื่อนที่ของมัน ที่สามารถบินเป็นฝูง ๆ นับหมื่นนับแสนตัวได้โดยที่ไม่ชนกันแม้แต่นิดเดียว ทั้งนี้ก็เพื่อพัฒนาระบบตรวจจับเพื่อป้องกันการชนกันของรถยนต์ ซึ่งเป็นวิวัฒนาการอีกขั้นหนึ่งของรถยนต์ที่ภาพ ลักษณ์ด้านความปลอดภัยมาเป็นอันดับหนึ่ง องค์กรอย่างนาซายังให้ทุนแก่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Princeton ในประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อศึกษาโครงสร้างของเปลือกหอยเป๋าฮื้อ ที่มีคุณสมบัติในด้านความทนทานต่อแรงกระแทก เพื่อนำมาใช้เคลือบวัสดุกันความร้อนอย่างเช่นกระเบื้องที่ใช้เคลือบส่วนพื้นผิวของยานอวกาศเพื่อกันความร้อนจากการเผาไหม้เวลากลับสู่พื้นโลก นอกจากนั้นแล้วสถาบัน Defense Advanced Research Projects Agency ก็กำลังให้ทุนเพื่อศึกษาการปีนป่ายของสัตว์เลื้อยคลานอย่างเช่น จิ้งจกหรือตุ๊กแก เพื่อสร้างหุ่นยนต์ที่มีอุ้งเท้าที่สามารถเกาะติดพื้นผิวได้เหมือนพวกมัน เพื่อการเคลื่อนที่ในทุกระนาบ ทำให้หุ่นยนต์มีความคล่องตัวสูงยิ่งขึ้น อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือบริษัทชื่อดังคือ Qualcomm ที่กำลังออกแบบหน้าจอแสดงผลโดยอาศัยคุณสมบัติอันโดดเด่นของขนนกยูงเป็นต้นแบบ ทั้งนี้เนื่องจากสีน้ำเงินและเขียวที่ปรากฏขึ้นบนขนนกยูงนั้นไม่ได้มาจากเม็ดสีที่เป็นสีน้ำเงินและสีเขียวโดยตรง แต่มาจากเม็ดสี สีน้ำตาล ที่มีการจัดเรียงตัวเพื่อสะท้อนคลื่นแสงในช่วงความถี่ที่เหมาะสมทำให้ปรากฏเป็นสีเขียวหรือสีน้ำเงินขึ้นมา หน้าจอแสดงผลที่เลียนแบบการเกิดสีในขนนกยูง จะใช้สารที่มีคุณสมบัติพิเศษ ที่สามารถจัดเรียงโครงสร้างของตัวมันเองให้สะท้อนแต่สีที่ต้องการออกมา ไม่ใช่การสร้างสีจากตัวมันเอง ทำให้ใช้พลังงานน้อยลงอย่างมาก ที่สำคัญยังสามารถนำไปใช้ในที่ ๆ มีแสงสว่างมาก ๆ อย่างกลางแจ้งได้อีกด้วย ที่หากว่าเราสามารถไขปริศนาเหล่านั้นได้หมด มนุษย์เราก็จะสามารถสร้างเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อีกมากมายมหาศาลทีเดียว. (เดลินิวส์ พุธที่ 5 ต.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





บีอาร์ทีครบรอบ10ปีโชว์ความสมบูรณ์ทรัพยากรชีวภาพไทย

ศ.วิสุทธิ์ ใบไม้ หัวหน้าโครงการพัฒนาองค์ความรู้และศึกษานโยบายการจัดการทรัพยากรชีวภาพในประเทศไทย (บีอาร์ที) แถลงข่าวการจัดงาน “10 ปี บีอาร์ทีก้าวไกลมีขุมทรัพย์และภูมิปัญญาไทยมาแสดง” ระหว่างวันที่ 10-13 ตุลาคม ณ โรงแรมโซฟิเทล ราชาออคิด จังหวัดขอนแก่น เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัยที่เป็นการค้นพบสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ของโลก จำนวน 548 ชนิด ในสิ่งมีชีวิตกลุ่มต่าง ๆ ได้แก่ กลุ่มจุลินทรีย์ กลุ่มสาหร่าย แพลงตอน และไลเคน กลุ่มพืช กลุ่มสัตว์ กลุ่มฟอสซิล และการวิจัยเชิงพื้นที่ พร้อมสรุปผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติจำนวน 456 เรื่อง ซึ่งแสดงถึงศักยภาพของนักวิจัยไทยที่มีความสามารถในระดับแนวหน้าของโลก นอกจากนี้ ยังจัดแสดงนิทรรศการปฏิบัติการท่ามกลางธรรมชาติเพื่อแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรชีวภาพในประเทศไทยที่มีศักยภาพสามารถนำไปพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม อาทิ การจัดแสดงตัวอย่างหอยทากไทยหลายพันธุ์ที่คนไทยเกือบทั้งประเทศไม่เคยเห็นมาก่อน การแนะนำผลิตภัณฑ์หลายรูปแบบและหลายรสชาติของสาหร่ายเห็ดลาบ สาหร่ายสายพันธุ์ไทยจากป่าดูนลำพัน จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งสามารถแปรรูปได้อร่อยและมีคุณค่าทางอาหารไม่แพ้สาหร่ายชนิดอื่น ๆ และได้รับการยืนยันและยื่นจดสิทธิบัตรสูตรอาหารเพาะเลี้ยงแล้ว การสัมผัสความงามแห่งไม้ดอก “กล้วยไม้” พืชที่มีวิวัฒนาการสูงสุดแต่มีขนาดเมล็ดเล็กที่สุด มีเมล็ดนับล้านรวมอยู่ในผลเดียว “เฟิร์น” ที่หาดูได้ยากเป็นชนิดใหม่ของไทยและของโลกและบางอย่างเคยสูญพันธุ์ไปแล้วแต่พบได้ในประเทศไทย รวมทั้งเฟิร์นเป็นไม้ดอกไม้ประดับราคาสูงบางชนิดต้องเช่ามาแสดงเพราะดูแลรักษาและปลูกได้ยาก และไรน้ำนางฟ้าซึ่งมีศิลปะการดำรงชีวิตแบบหงายท้องว่ายน้ำแบบกรรเชียงที่ไม่เหมือนใคร ยิ่งกว่านั้นยังเป็นตัวอย่างของการเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพยากรชีวภาพ โดยศึกษาวิจัยต่อยอดจนสามารถจดสิทธิบัตรเทคนิคการฟักไข่ไรน้ำนางฟ้าไทยและปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างสูงในการนำไปเป็นอาหารปลาสวยงาม โดยจำหน่ายที่ตลาดจตุจักรและแหล่งอื่นในราคาตัวละถึง 1 บาท และปัจจุบันเป็นสัตว์เศรษฐกิจดาวรุ่งตัวใหม่ที่กำลังมาแรงในการทดแทนการนำเข้าไข่อาร์ทีเมียจากต่างประเทศได้ถึง 500 ล้านบาทต่อปี (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 5 ต.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





"มหาสมุทร"กรด มหาภัยสัตว์ทะเล

เมื่อ "โลกร้อน" น้ำทะเลใน "มหาสมุทร" ของโลกย่อมต้องร้อนตามไปด้วย สาเหตุหลักๆ ของภาวะโลกร้อนเท่าที่นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันค้นพบก็คือ การที่มนุษย์ปล่อยก๊าซ "คาร์บอนไดออกไซด์" ที่เกิดจากการเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิลและควันพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมไปสะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศ มาตรวัดระดับความรุนแรงของคาร์บอนไดออกไซด์มีชื่อเรียกว่า "พีพีเอ็ม" ในยุคก่อนอุตสาหกรรม, อัตราคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 280 พีพีเอ็ม ทุกวันนี้พุ่งไปที่ 380 พีพีเอ็ม ถ้าเกิน 500 พีพีเอ็มเมื่อไหร่ สภาพอากาศของโลกจะเปลี่ยนแปลงอย่างมาก! หนังสือพิมพ์การ์เดียนของอังกฤษ รายงานไว้ว่า นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มประเมินว่า เหลือเวลาอีกหลายร้อยปีกว่าที่ภาวะโลกร้อนจะทำลายสิ่งแวดล้อมทางทะเลจนย่อยยับ แต่ก็อาจมีความเป็นไปได้ว่าหายนะดังกล่าวอาจมาถึงเร็วกว่าที่คิดภายในเวลาไม่กี่สิบปีข้างหน้า โดยนอกจากอุณหภูมิในมหาสมุทรจะสูงขึ้นจนส่งผลกระทบต่อวงจรชีวิตของสัตว์น้ำแล้ว ปรากฏการณ์สยองอีกข้อที่จะเกิดขึ้นตามมา คือ "ฝนกรด" จะตกลงมาจากฟ้าและไปสะสมอยู่ในน้ำ ทำให้มหาสมุทรกลายเป็นกรด สัตว์ทะเลที่จะรับผลกรรมจากภาวะที่ว่านี้ ได้แก่ สัตว์น้ำที่มีเปลือก เช่น หอยในตระกูลผีเสื้อทะเล เนื่องจากกรดคาร์บอนิกในน้ำทะเลจะทำลายกระบวนการดึง "แคลเซียม" ในน้ำมาสร้างเป็นเปลือกห่อหุ้มร่างกาย ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ "วงจรห่วงโซ่อาหาร" ในมหาสมุทรจะปั่นป่วน เพราะสัตว์ประเภทนี้จะตายง่ายและตกเป็นเหยื่อของสัตว์ "ผู้ล่า" ง่ายขึ้น ทำให้พวกมันสูญพันธุ์อย่างรวดเร็ว และในที่สุดตัวผู้ล่าเองก็ต้องตาย เพราะหาเหยื่อกินยาก (ข่าวสด พุธที่ 5 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





รัสเซียผลิตเครื่องบินต่อต้านผู้ก่อการร้าย

คณะนักวิทยาศาสตร์สถาบันเทคโนโลยีหุ่นยนต์และไซเบอร์เนติกของสถาบัน ที่นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ได้สร้างเครื่องบินเล็กหนักเพียง 400 กรัม ติดเครื่องยนต์ และกล้องวีดิโอดิจิตอล 3 กล้อง สามารถส่งให้บินเฝ้าดูสถานที่ต่างๆ และค้นหาผู้ต้องหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายในหมู่ฝูงชนได้ด้วย ดร.อเล็กซานเดอร์ เซเลซเนียคอฟ ผู้อำนวยการสถาบันกล่าวกับหนังสือพิมพ์ “เสมียนา” ว่า “เครื่องบินเล็กจะมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถค้นหา ผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นผู้ก่อการร้ายในตัวของมันเองได้ เพราะมันจะแยกแยะลักษณะและพฤติกรรมอันน่าสงสัยออก เมื่อจับภาพผู้ต้องสงสัยได้ กล้องวีดิโอบนเครื่องจะส่งภาพของผู้ต้องสงสัยไปยังศูนย์บัญชาการที่พื้นดิน” และบอกต่อไปว่า “เครื่องบินถึงจะมีขนาดเล็กแต่บินทวนลมได้และไม่ไปกีดขวางอะไร มันอาจจะบินวนอยู่เหนือที่หนึ่งที่ใด และให้บินอยู่ในเส้นทางที่กำหนดได้” เขาแจ้งว่า อาจจะปล่อยเครื่องบินเล็กนี้ให้ออกมาปฏิบัติการเหนือ เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในอนาคตอันใกล้นี้ นอกจากจะใช้ในการต่อสู้กับการก่อการร้ายแล้ว ยังสามารถใช้ในงานสำรวจได้อีกด้วย. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 6 ต.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





3 องค์กรรัฐลงขัน 100 ล้านเปิดธุรกิจชีวภาพ

ศ.เกียรติคุณ ดร.พรชัย มาตังคสมบัติ ประธานกรรมการบริษัทร่วมทุน สตางค์ จำกัด และอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า บริษัทร่วมทุนสตางค์ ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้วด้วยมูลค่า 100 ล้านบาท โดยทางมหาวิทยาลัยมหิดลถือหุ้นอยู่ร้อยละ 60 หรือ 60 ล้านบาท เอสเอ็มอีแบงก์ถือหุ้นร้อยละ 20 (20 ล้านบาท) และสำนักงานนวัตกรรมฯ ถือหุ้นร้อยละ 20 (20 ล้านบาท) ธุรกิจหนึ่งที่บริษัท ร่วมทุนสตางค์ ให้ความสนใจ คือ ธุรกิจรับตรวจสอบชีวสมมูล (bio equipvalence) หรือความเท่าเทียมกันของคุณสมบัติและประสิทธิภาพของยา เนื่องจากยาบางชนิดมีสิทธิบัตรคุ้มครองเป็นเวลา 10-15 ปี หลังจากนั้นแล้ว บริษัทอื่นสามารถผลิตยาโดยใช้สูตรเคมีอย่างเดียวกันได้ แต่ก่อนที่บริษัทยารายใหม่จะผลิตยาออกวางจำหน่ายในตลาด ยาของบริษัทนั้นๆ จำเป็นต้องเข้ารับการศึกษาชีวสมมูลก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนยาก่อน ในด้านงานวิจัย คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีการวิจัยเกี่ยวกับโรคกุ้ง จนสามารถพัฒนาน้ำยาชันสูตร ตลอดจนขายลูกกุ้งสายพันธุ์ นอกจากนี้ บริษัทร่วมทุนฯ ยังเจรจากับบริษัทต่างประเทศ ทั้งอังกฤษ สหรัฐ เยอรมนี และไทย ตั้งบริษัทลูกที่ชื่อ Aclires (Asia Clinical Research) เพื่อรับทำการทดสอบยาระยะที่ 1 และระยะที่ 2 ซึ่งเป็นการทดสอบระยะแรกที่เรียกว่า pre-clinical trial โดยบริษัทต่างประเทศจะเป็นฝ่ายติดต่อหาลูกค้ามาให้กับบริษัทไทย ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการทดสอบทางคลินิกระยะ 3 อยู่แล้ว (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 3 ต.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





คิวรีโอ หุ่นยนต์ทูตสันถวไมตรี

"คิวรีโอ" (Qurio) หุ่นยนต์ทูตสันถวไมตรี ผู้มาทำหน้าที่เชื่อมโลกใบนี้ให้อยู่กันอย่างสันติด้วยบทเรียนทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งยูเนสโก หรือองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ได้แต่งตั้งให้คิวรีโอทำหน้าที่นี้ คิวรีโอจะมาทำหน้าที่ถ่ายทอดเนื้อหาด้านวิทยาศาสตร์ให้กับเด็กๆ โดยเฉพาะเด็กใน 3 ประเทศ ไทย เวียดนาม และอินเดีย เป็นพื้นที่แรกๆ จากนั้นก็จะตระเวนไปทั่วโลก ความสามารถของคิวรีโอสามารถพูดจาสื่อสาร แสดงอากัปกิริยา และความสามารถอื่นๆ ได้เกือบเหมือนมนุษย์ และวันข้างหน้าเรามีสิทธิที่จะต้องควักกระเป๋าเงินซื้อคิวรีโอมาเป็นเพื่อน (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 6 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





“นาซ่า"ลอยแพสถานีอวกาศ เดินหน้าส่งคนเหยียบดวงจันทร์

มาร์ก อูห์ราน หนึ่งในเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารนาซ่า เปิดเผยว่า นับจากนี้เป็นต้นไป นาซ่าจะปรับลดโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างสถานีอวกาศไอเอสเอส โดยผลกระทบที่ตามมาอย่างแน่นอนก็คือ นาซ่าจะไม่ส่งห้องทดลองด้านแรงโน้มถ่วงและการดำรงชีพของสัตว์ในอวกาศขึ้นไปยังสถานีไอเอสเอส นาซ่ามีแผนปลดระวาง "กระสวยอวกาศ" ทั้งหมดภายในปีพ.ศ.2553 เพื่อโยกเงินงบประมาณจากโครงการกระสวยอวกาศไปใช้ในการเดินหน้านโยบายส่งคนอเมริกันไปเหยียบเป็นครั้งที่ 2 ให้ได้ภายในปีพ.ศ.2561 ตามคำบัญชาของประธานาธิบดีบุช นอกจากนั้น โศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศ "โคลัมเบีย" ระเบิดเมื่อปี 2546 ก็ยังเป็นฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนนาซ่า รวมทั้งชาวอเมริกัน ผลลัพธ์ที่ตามมาทำให้โครงการส่งห้องทดลองด้านแรงโน้มถ่วงไปยังไอเอสเอสต้องล้มเลิก เพราะปัจจุบันมีแต่กระสวยอวกาศของนาซ่าที่มีศักยภาพพอในการขนส่งห้องทดลองและอุปกรณ์ต่างๆ ไปติดตั้งที่สถานีไอเอสเอส และยานอวกาศของรัสเซียเข้ามารับภารกิจเหล่านี้แทนสหรัฐไม่ได้ เนื่องจากยานรัสเซียมีขนาดเล็ก เหมาะสำหรับการขนส่งอาหาร เสบียง และมนุษย์ไปยังสถานีไอเอสเอสเท่านั้น ตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปี 2553 นาซ่าจะส่งกระสวยอวกาศออกไปนอกโลกไม่เกิน 19 เที่ยวบิน โดย 18 เที่ยวบินส่งไปยังไอเอสเอส ส่วนอีก 1 เที่ยวบินไปซ่อมแซมกล้องโทรทรรศน์ฮับเบิล แต่จำนวนเที่ยวบินอาจเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ก็ได้ (ข่าวสด ศุกร์ที่ 7 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





พบจุลชีวะพันธุ์อึดในน้ำแข็งเย็นจัด

นักวิจัยจากนอร์เวย์พบจุลชีวะอยู่ในผลึกน้ำแข็งที่มีอายุกว่า 1 ล้านปีบนเกาะอาร์กติก การค้นพบดังกล่าวช่วยสนับสนุนทฤษฎีที่เชื่อว่า น้ำแข็งบนดาวอังคารอาจมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เช่นกัน ทีมวิจัยนานาชาติได้ขุดตัวอย่างแท่งน้ำแข็งจากปล่องภูเขาไฟสเวอร์เรฟเจลที่ดับสนิทและปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งบนเกาะสวาบาร์ด พื้นที่ดังกล่าวทีมวิจัยเชื่อว่าเป็นแห่งเดียวบนโลกที่มีแร่ธาตุที่เรียกว่า ผลึกแมคนีไทท์ ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับที่พบในอุกกาบาตที่มาจากดาวอังคาร ที่พบในทวีปแอนตาร์กติกเมื่อปี 2539 พวกเขาพบจุลชีวะอาศัยอยู่ในท่อน้ำแข็งธรรมชาติบนเกาะสวาบาร์ด บริเวณดังกล่าวมีสภาพแวดล้อมที่รุนแรงเกินกว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ได้ การสำรวจดาวอังคารก่อนหน้านี้พบหลักฐานว่าครั้งหนึ่งดาวอังคารเคยมีน้ำ แต่นักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยที่เชื่อว่า ดาวอังคารในปัจจุบันมีสภาพที่หนาวเย็นเกินกว่าจะเกื้อหนุนให้สิ่งมีชีวิตดำรงชีวิตอยู่ได้ การค้นพบจุลชีวะบนเกาะน้ำแข็งครั้งนี้นับเป็นการค้นพบที่ท้าทายความเชื่อดังกล่าว ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 4 ของระบบสุริยะที่มีสภาพแห้งและหนาวเย็น ที่ขั้วเหนือและใต้ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง อย่างไรก็ดีดาวอังคารมีสภาพภูมิประเทศบางอย่างที่คล้ายกับเกาะสวาบาร์ดในอาร์กติก เช่น สภาพที่หนาวเย็นจัด ภูเขาไฟ และอาจมีน้ำพุร้อนไหลผ่านพื้นผิวที่เป็นน้ำแข็งด้วย (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 7 ต.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





เอ็กซเรย์หัวใจ...ให้ไกลโรค

การนำเข้าเครื่องเอ็กซเรย์ "เรียล 64 สไลซ์ ซีที" ที่ผนวกเอาเทคโนโลยีของการเอ็กซเรย์ ซีทีสแกน เข้ากับเทคโนโลยีการสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์ระดับสูง ช่วยในการระบุพยาธิสภาพของผู้ป่วยได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงอย่างมาก เพื่อมาให้บริการที่สถาบันหัวใจและหลอดเลือดของโรงพยาบาลพระรามเก้า ซึ่งถือเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ด้านโรคหัวใจที่ทันสมัยเทียบเท่ากับโรงพยาบาลชื่อดังระดับโลกรวมทั้งหลายโรงพยาบาลในสหรัฐอเมริกา คือการสแกนค่าความหนาแน่นของร่างกายของเราทั้งหมดด้วยลำแสงเอ็กซเรย์ 360 องศารอบตัวแล้วถ่ายภาพด้วยความเร็วสูง 0.33 วินาทีต่อ 64 ภาพ ซึ่งถือเป็นความเร็วสูงสุดเท่าที่อุปกรณ์ประเภทเดียวกันสามารถทำได้ในขณะนี้ ความเร็วที่ว่านี้ไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่ทำให้การตรวจวิเคราะห์ทำได้อย่างรวดเร็วเท่านั้น ยังเป็นความเร็วที่ช่วยให้เหมาะสมสำหรับการตรวจวิเคราะห์หัวใจที่เต้นอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย ทำให้ภาพที่ถ่ายมาได้มีความคมชัด ไม่เเบลอเพราะจังหวะการเต้นของหัวใจเหมือนเช่นที่ผ่านมา ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ของเครื่อง "เรียล 64 สไลซ์ ซีที" จะช่วยสร้างภาพทั้งที่เป็นภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวสี่สีขึ้นมาด้วยการแปลงข้อมูลที่ได้เป็นภาพต่อเนื่องขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ต้องการตรวจสอบดูร่องรอยความขรุขระหรือการอุดตันในเส้นเลือดต่างๆ ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการฉีดสารทึบแสงเพื่อให้อุปกรณ์สามารถจับภาพได้ นายแพทย์ปิยะมิตรและนายแพทย์สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจของสถาบันชี้ว่า "เรียล 64 สไลซ์ ซีที" มีจุดเด่นตรงที่สามารถตรวจผู้ป่วยที่มีแนวโน้ม หรือผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะป่วยได้โดยที่ยังไม่จำเป็นต้องแสดงอาการออกมาให้เห็น ช่วยให้การตรวจวิเคราะห์ทำได้แม่นยำมากขึ้นเพราะสามารถพบเห็นการอุดตันของไขมันในเส้นเลือดได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกที่มีขนาดเล็กเพียง 0.02 มิลลิเมตร เป็นการพัฒนาจากอุปกรณ์เดิมที่ตรวจพบได้แค่ขนาดตั้งแต่ 0.06 มิลลิเมตรขึ้นไป นอกจากนั้น ผู้ป่วยยังไม่จำเป็นต้องทนกับอาการเจ็บเพราะการสอดขดลวดสวนเข้าไปในเส้นเลือดหัวใจเพื่อฉีดสีดูลักษณะเส้นเลือดอย่างที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันอีกด้วย การเอ็กซเรย์หัวใจด้วย "เรียล 64 สไลซ์ ซีที" จึงช่วยป้องกันและแก้ไขอาการที่จะก่อให้เกิดโรคหัวใจในระยะแรกสุดได้เป็นอย่างดี ข้อเสียของการมีเทคโนโลยีทันสมัยในวงการแพทย์เมืองไทยก็คือค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านี้มักสูงขึ้นตามไปด้วย แม้จะไม่สูงเท่ากับในต่างประเทศก็ตาม คำแนะนำสำคัญจาก พล.อ.นายแพทย์ประวิชช์ ตันประเสริฐ ผู้อำนวยการสถาบันสำหรับบุคคลทั่วไปก็คือ การป้องกันตัวเอง เลี่ยงหนีจากพฤติกรรมเสี่ยงๆ ที่อาจก่อให้เกิดโรคหัวใจหรือเส้นเลือดอุดตันได้เป็นดีที่สุด (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 8 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ข่าววิจัย/พัฒนา


สหรัฐพัฒนาวัคซีนไข้หวัดนกไม่ต้องฉีด-แค่สูดดม

บริษัทเภสัชกรรมสหรัฐฯแห่งหนึ่งได้รับอนุมัติจากรัฐบาลให้คิดผลิตวัคซีนไข้หวัดนก โดยที่ไม่ต้องใช้การฉีดยา หากแต่แค่ใช้การสูดดมแทน ทั้งนี้ บริษัทดังกล่าว มีโรงงานตั้งอยู่ที่รัฐแมรีแลนด์ จะได้ ร่วมงานกับผู้เชี่ยวชาญโรค ไข้หวัดใหญ่ของรัฐบาลอเมริกา พัฒนาวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดนกสายพันธุ์ เอช 5 เอ็น 1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์เดียวกับที่ได้คร่าชีวิตคนชาวเอเชียไป 65 รายแล้ว นับตั้งแต่ พ.ศ. 2546 เป็นต้นมา. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 3 ต.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





สัมมนาปรับปรุงการเคลื่อนที่หุ่นยนต์

สำนักข่าวเอพีรายงานการจัดประชุมสัมมนาเชิงวิชาการ เกี่ยวกับการปรับปรุงการเคลื่อนไหวของหุ่นยนต์สัตว์และเครื่องจักรกลให้มีความลื่นไหล หรือ The AMAM 2005 (3 rd International Symposium on Adaptive Motion in Animals and Machines) ว่างานดังกล่าวได้จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยด้านเทคโนโลยีไออิมเมนัว ทางตะวันออกของประเทศเยอรมนี โดยในงานได้จัดแข่งขันการเดินของหุ่นยนต์ ด้วย ทั้งหุ่น ยนต์เลียนแบบมนุษย์ และหุ่นยนต์สัตว์ รายงานข่าวระบุว่าในส่วนของ การประชุมสัมมนามีผู้เชี่ยวชาญด้านหุ่นยนต์จากนานาประเทศนับร้อยคนเข้าร่วม งาน เช่น ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา ญี่ปุ่น และประเทศจากทวีปยุโรป. (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 3 ต.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





เข็มฉีดยาจิ๋วเล็กกว่าเส้นผม จิ้มทะลุผิวสบายไม่เจ็บปวด

ในการประชุมเภสัชศาสตร์อังกฤษ ทีมนักวิจัยจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ เวลส์ ได้อวดนวัตกรรมเข็มจิ๋วที่เล็กกว่าเส้นผมหลายเท่าสำหรับแทงทะลุผ่านผิวหนังที่ถูกออกแบบมาเพื่อนำวัคซีนดีเอ็นเอตรงไปยังเซลล์ผิวหนัง เข็มจิ๋วนี้ผลิตขึ้นมาโดยสถาบันแห่งชาติทินดัลล์ ในไอร์แลนด์ มีขนาดตามขวางเพียง 300 ไมครอน (0.3 มิลลิเมตร) ในถาดบรรจุมีเข็มอยู่ 400 เล่ม และเข็มเหล่านี้ได้ถูกทดลองใช้และทดสอบมาแล้ว และพบว่า ผู้ที่ถูกฉีดด้วยเข็มจิ๋วไม่รู้สึกเจ็บ สำหรับเทคนิคการฉีดวัคซีนสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ ที่ทีมงานกำลังพัฒนาอยู่นี้ ถ้าใช้เข็มที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันเวลาใช้งานต้องแทงลงไปลึกๆ แต่แผ่นเข็มจิ๋วจะสร้างช่องทางผ่านชั่วคราวขึ้นบริเวณผิวหนังเพื่อให้วัคซีนผ่านเข้าไปยังชั้นผิวหนังที่ตอบสนองต่อระบบภูมิคุ้มกัน ปัจจุบัน เข็มจิ๋วทำขึ้นจากซิลิกอน แต่นักวิทยาศาสตร์กำลังคิดประดิษฐ์เข็มที่เสื่อมสลายได้เองตามธรรมชาติ ซึ่งจะละลายหายไปในผิวหนัง การฉีดวัคซีคสารพันธุกรรมด้วยเข็มจิ๋วมีข้อได้เปรียบกว่าวัคซีนมาตรฐานที่ใช้กันในปัจจุบันหลายประการ และอาจผลิตได้ต้นทุนที่ถูกกว่า และทำได้ง่ายกว่า นอกจากนี้ยังสามารถพัฒนาในรูปของแผ่นแปะซึ่งผู้ป่วยสามารถใช้จ่ายยาเข้าผิวหนังได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งนักคลินิกแพทย์ นอกจากนี้ เข็มจิ๋วยังช่วยลดโอกาสเกิดการติดเชื้อจากการใช้เข็มซ้ำได้ และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับใช้จ่ายยาให้เด็กในประเทศกำลังพัฒนา สำหรับการวิจัยขั้นถัดไป ทีมวิจัยจะทำในเรื่องของการฉีดวัคซีนในโรค อาทิ ตับอักเสบบี และไข้หวัดใหญ่ และเข็มแบบใหม่ยังต้องใช้เวลาในการพัฒนาอย่างน้อยอีกประมาณ 5 ปีกว่าจะนำมาใช้ในโรงพยาบาลหรือในด้านศัลยกรรมได้ (คมชัดลึก จันทร์ที่ 3 ต.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





รพ.ปิยะเวทควัก 100 ล้านจับธุรกิจสเต็มเซลล์รักษาโรค

รพ.ปิยะเวทนำเข้าอุปกรณ์ทันสมัยเพรียบ มุ่งสร้างความพร้อมก่อนเปิดบริการสเต็มเซลล์รักษาโรคให้ทันปีหน้า แถมตั้งธนาคารรับฝากอสุจิด้วย นายแพทย์บุญ วนาสิน ประธานกรรมการโรงพยาบาลปิยะเวท เปิดเผยว่า โรงพยาบาลอยู่ระหว่างจัดตั้งสถาบันวิจัยการแพทย์แบบครบวงจร มุ่งศึกษาการใช้ประโยชน์จากสเต็มเซลล์ รวมถึงเป็นแหล่งเก็บสเต็มเซลล์และอสุจิในประเทศ โดยได้ลงทุนด้านเทคโนโลยีไปกว่า 100 ล้านบาท สำหรับจัดซื้อเครื่องปั่นแยกสเต็มเซลล์ออกจากเม็ดเลือด เครื่องระบุชนิดของสเต็มเซลล์ เครื่องเพาะเชื้อ และห้องเก็บรักษาสเต็มเซลล์ สำหรับทีมที่ปรึกษาโครงการได้รับความร่วมมือจาก โรงเรียนแพทย์ทั้งในและต่างประเทศ อาทิ ศิริราชพยาบาล แพทย์จากโรงเรียนแพทย์ในประเทศเยอรมนีและสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมทั้งนักวิทยาศาสตร์จากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช. ) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ปัจจุบันความสามารถในการใช้สเต็มเซลล์ รักษาผู้ป่วยของโรงพยาบาลในไทย ยังคงต้องเจาะเลือดผู้ป่วยส่งไปเพาะเนื้อเยื่อที่ต่างประเทศ เช่น สวิตเซอร์แลนด์ และรัสเซีย ที่มีความพร้อมในเรื่องความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีมากกว่า โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 5 แสนบาท แต่สถาบันฯ ซึ่งมีพร้อมด้านเทคโนโลยี คาดว่าจะแล้วเสร็จในปีหน้าจะช่วยลดต้นทุนในการรักษาไปมากกว่าเท่าตัว หรือเหลือเพียง 1-2 แสนบาท (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 3 ต.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





นักวิทย์นานาชาติฟันธง ไวรัสซาร์สมาจาก"ค้างคาวจีน"

วารสารไซเอินซ์ฉบับล่าสุดรายงานว่า คณะนักวิทยาศาสตร์นานาชาติจากจีน สหรัฐ และออสเตรเลีย ร่วมมือกันวิจัยค้นหาต้นตอการแพร่ระบาดของไวรัสโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือ "ซาร์ส" ซึ่งระบาดอย่างหนักไปทั่วโลกเมื่อช่วงปี 2545-2546 ได้ข้อสรุปว่า มีแนวโน้มสูงสุดว่าเชื้อโคโรน่าไวรัส ซึ่งเป็นต้นตอของโรคซาร์สมีแหล่งที่มาจากค้างคาวในประเทศจีน ข้อสรุปครั้งนี้สอดคล้องกับผลการศึกษาเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาของนักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยฮ่องกง เจิ้งหลี่ ฉี จากสถาบันสัตววิทยา สมาคมวิทยาศาสตร์จีน หนึ่งในทีมวิจัยโรคซาร์สนานาชาติ ระบุว่า เชื้อไวรัสในตัว "ค้างคาวหน้ายักษ์" (Horseshoe Bat) ทางภาคใต้ของจีน มีความใกล้เคียงกับดีเอ็นเอของไวรัสซาร์สที่ระบาดในคนถึงร้อยละ 92 จึงมีความเป็นไปได้สูงสุดว่าไวรัสตัวเดียวกันนี้คือที่มาของไวรัสซาร์สที่เริ่มระบาดจากทางภาคใต้ของเมื่อปี 2545 ก่อนจะระบาดไปทั่วโลก ทำให้มีผู้เสียชีวิต 770 คน คิดมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ไวรัสซาร์สที่อยู่ในค้างคาวหน้ายักษ์จะข้ามมาติดมนุษย์โดยตรงไม่ได้ เนื่องจากไวรัสต้องระบาดเข้าไปติดสัตว์พาหะตัวกลางเสียก่อน ในกรณีนี้คาดว่าสัตว์พาหะคือตัว "ชะมด" ซึ่งชาวจีนทางภาคใต้นิยมจับมารับประทาน ล่าสุด ทางการชาติต่างๆ ควรเก็บค้างคาวหน้ายักษ์ออกจากตลาดและแหล่งชุมชนออกให้หมดจนกว่าจะศึกษาจนรู้ถึงเส้นทางการระบาดของโรคอย่างแท้จริง (ข่าวสด จันทร์ที่ 3 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





เพิ่มประสิทธิภาพการทำนา ด้วยเครื่องหว่านอเนกประสงค์

นายชัชชัย ชัยสัตตปกรณ์ วิศวกรการเกษตร 7 กลุ่มทดสอบและพัฒนาเครื่องจักรกลเกษตร หนึ่งในคณะผู้วิจัยและพัฒนาเครื่องหว่าน บอกว่า เครื่องพ่นหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวนี้ของเดิมบรรจุเมล็ดพันธุ์ได้เพียง 16 กิโลกรัม เครื่องที่พัฒนาได้มาใหม่นี้ได้ปรับปรุงถังบรรจุเมล็ดให้มีขนาดใหญ่และได้ขยายช่องทางลงของเมล็ด ทำให้ปัญหาเมล็ดอุดตันลดลงและเครื่องนี้บรรจุได้ถึง 24 กิโลกรัม อัตราการทำงานของเครื่องพ่นหว่านประมาณ 5-8 ไร่/ชั่วโมง แต่จากการที่เกษตรกรนำไปใช้จริง ๆส่วนใหญ่ก็จะหว่านไปพักไปก็จะอยู่ระหว่าง 4-6 ไร่/ชั่วโมง ซึ่งสามารถลดแรงงานลงได้ 20-50% ซี่งเกษตรกรพอใจมาก แต่จุดของความพอใจของเกษตรกรคือ ลดความเหน็ดเหนื่อยไปได้มาก เนื่องจากไม่ต้องใช้แรงเหวี่ยงจากมือถึงไหล่ เพราะเครื่องพ่นหว่านนี้เมล็ดจะถูกแรงลมพ่นออกไป เพื่อให้การใช้เครื่องพ่นหว่านเมล็ดข้าวและปุ๋ยเมล็ดเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เกษตรกรต้องใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่สะอาด ปราศจากเศษฟาง ระแง้ หรือสิ่งสกปรกอื่นเจือปน การใช้เครื่องในการหว่านนาน้ำตม ควรใช้เมล็ดพันธุ์ที่มีรากงอกเป็นตุ่มตา ไม่ควรใช้เมล็ดพันธุ์ที่มีรากยาวเพราะจะทำให้การหว่านง่ายขึ้น จะไม่พบปัญหาการอุดตันของท่อพ่นเมล็ด เครื่องพ่นหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวที่พัฒนาขึ้นมาใหม่นี้มีอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 100-200 ซีซีต่อไร่ ราคาไม่รวมเครื่องยนต์ต้นกำลังประมาณ 3,500 บาท มีเกษตรกรนำเครื่องไปใช้งานจำนวนมาก ส่วนใหญ่สามารถคืนทุนได้ภายใน 1 ฤดูกาลผลิต เครื่องที่พัฒนาขึ้นนี้นอกจากจะนำไปพ่นหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวและปุ๋ยเม็ดแล้วยังสามารถนำไปใช้พ่นสารเคมีได้ดังเดิมอีกด้วย ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มทดสอบและพัฒนาเครื่องจักรกลเกษตร สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตร โทร. 0-2940-5582 เวลาราชการ (เดลินิวส์ อังคารที่ 4 ต.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





หมึกเพ้นท์ “ยางกล้วย” หมึกชั้นเลิศจากธรรมชาติ

อาจารย์ประทุมทอง ไตรรัตน์ หัวหน้าภาควิชาการพิมพ์ คณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.)ธัญบุรี ที่ช่างคิดค้นนำเอายางกล้วยมาพัฒนาเป็นหมึกพิมพ์สกรีน ได้สำเร็จ หมึกพิมพ์สกรีนจากยางกล้วย เหตุที่นำยางกล้วยมาใช้กับงานพิมพ์ สกรีนนั้น เพราะต้องการจะเข้าไปส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ที่ชาวบ้านทั่วๆ ไปก็สามารถนำเอายางกล้วยและวัสดุให้สีทางธรรมชาติที่อยู่รอบๆ ตัวมาใช้พิมพ์ผ้าเองได้ ยางกล้วย ที่นำมาใช้ในการพิมพ์สกรีนจะทำหน้าที่เป็นตัวยึดสี ช่วยให้สีที่ใช้พิมพ์ติดทนนาน แทนเรซินในการพิมพ์สกรีนทั่วๆ ไป โดยต้นกล้วยต้นหนึ่ง สามารถให้น้ำยางถึง 1.5 ลิตร ซึ่งนั่นก็หมายความว่า เราสามารถประหยัดเงินในการซื้อเรซินออกไปได้มากทีเดียว มิหนำซ้ำ ต้นกล้วยในบ้านเราก็มีมากอย่างที่ไม่ต้องซื้อหมึกพิมพ์ราคาแพงอีกด้วย สำหรับกรรมวิธี กว่าจะได้มาซึ่ง “หมึกพิมพ์ยางกล้วย” นั้นต้องใช้ตัวประสานธรรมชาติผสมรวมกันด้วย นั่นคือ แป้งมันสำปะหลัง และสารให้สีจากธรรมชาติเช่น ขมิ้นให้สีเหลือง หมากให้แดง และสีเขียวจากใบหูกวาง เป็นต้น ขั้นตอนการเตรียมหมึกยางกล้วยนั้น เริ่มจากนำยางกล้วยมาต้ม แล้วกรองสิ่งสกปรกออกจนหมด จากนั้นรอจนยางกล้วยเย็นลง และนำใส่ภาชนะที่มีฝาปิดสนิทและนำไปแช่ในตู้เย็น เมื่อได้หมึกยางกล้วยที่เตรียมไว้แล้ว นำมาผสมกับแป้งมันสำปะหลัง และสารให้สีตามอัตราส่วนที่เหมาะสม แล้วนำไปต้มด้วยไฟอ่อนๆ ค้นจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน เท่านี้ก็จะได้หมึกพิมพ์ยางกล้วย พร้อมพิมพ์สกรีนผ้าแล้ว ที่ต้องใช้แป้งมันสำปะหลัง ก็เพื่อให้หมึกมารวมตัวกัน เมื่อพิมพ์เสร็จแล้วนำผ้าไปซักแป้งมันก็จะหลุดออกจากผ้าเอง เพราะถ้าใช้ยางกล้วยอย่างเดียว หมึกจะกระจายตัวเมื่อนำไปพิมพ์ ส่วนผ้าที่เหมาะกับการพิมพ์หมึกย่างกล้วย ก็ควรเป็นเส้นใยจากธรรมชาติ อย่างผ้าฝ้าย ผ้าลินิน ซึ่งจะทำให้ลายผ้าที่ติดทนนาน และเมื่อยิ่งซักสีสันก็จะยิ่งสดใสขึ้นอีกด้วย ข้อดีของการพัฒนายางกล้วยมาใช้กับระบบการพิมพ์สกรีนนั้นคือ สามารถใช้กับสีที่ได้จากธรรมชาติซึ่งปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้พิมพ์ ที่สำคัญสามารถลดต้นทุนการผลิต ลดการซื้อสารเคมีราคาแพงอีกด้วย สำหรับผู้ที่สนใจ และอยากได้รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถ ติดต่อ อ.ประทุมทอง ไตรรัตน์ โทร.0-2549-4521 (สยามรัฐรายวัน อังคารที่ 4 ต.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





2นักวิจัยออสซี่คว้าโนเบลการแพทย์

เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม คณะกรรมการพิจารณารางวัลโนเบล ประเทศสวีเดน ได้ตัดสินให้สองนักวิจัยชาวออสเตรเลีย คือ นายแบร์รี เจ. มาร์แชล วัย 54 ปี นักวิจัยแห่งศูนย์การแพทย์คิวอีไอไอ และนายเจ. โรบิน วอร์เรน วัย 58 ปี นักพยาธิวิทยาแห่งโรงพยาบาลรอยัล เพิร์ธ เป็นผู้คว้ารางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ประจำปีนี้ไปครองร่วมกัน จากผลงานการวิจัยพบเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคกระเพาะอักเสบและแผลในกระเพาะอาหาร ซึ่งนำไปสู่วิธีการบำบัดรักษาโรคนี้ คณะกรรมการพิจารณารางวัลโนเบล ระบุชื่นชมผลงานของสองนักวิจัยชาวออสเตรเลียเมื่อปี 2525 ที่ค้นพบเชื้อแบคทีเรีย "เฮลิโคแบคเทอร์ ไพโลรี" ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอักเสบและแผลในกระเพาะ และทำให้โรคนี้ไม่เป็นโรครังอีกต่อไป แต่ทำให้สามารถหาวิธีรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะและการยับยั้งการขับน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ทั้งนี้ แบคทีเรียชนิดนี้เป็นสาเหตุให้เกิดความเสี่ยงเป็นลำไส้อักเสบ 90 เปอร์เซ็นต์และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่ง 2 ใน 3 ของประชากรโลกมักมีเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้อยู่ แต่ส่วนใหญ่จะไม่ออกอาการ อย่างไรก็ดี โรคนี้จะพัฒนาไปสู่มะเร็งกระเพาะอาหารที่คร่าชีวิตคนได้ง่ายๆ (มติชนรายวัน อังคารที่ 4 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





จีนเร่งวิจัยไวรัสซาร์สจากค้างคาว

หนังสือพิมพ์ไชน่าเดลี่ รายงานว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสในประเทศจีนออกมาเรียกร้องให้ทางการเร่งวิจัยมากขึ้นเกี่ยวกับการทดสอบสมมติฐานที่ว่าค้างคาวเป็นแหล่งแพร่เชื้อไวรัสโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (ซาร์ส) ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกเกือบพันคนเมื่อเกือบ 3 ปีก่อน รายงานระบุว่า งานวิจัยที่ตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ก่อนพบว่า เชื้อไวรัสในค้างคาว กับ โคโรนาไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคซาร์สมีความคล้ายคลึงกันถึงร้อยละ 92 และทำให้ค้างคาวน่าจะเป็นพาหะของโรคมากกว่าสัตว์อื่นๆ ที่เคยสงสัยกันก่อนหน้านี้ เช่น ชะมด อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ ของจีนยังไม่ปักใจเชื่อรายงานดังกล่าว (ข่าวสด อังคารที่ 4 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





น.ศ.เยอรมันประดิษฐ์ ที่รองแก้วเบียร์แสนรู้

บีบีซีรายงานว่า มัตเธียส ฮันห์เนน และโรเบิร์ต โดเออร์ สองนักศึกษามหาวิทยาลัยมิวนิก ประเทศเยอรมนี ประดิษฐ์ "ที่รองแก้วเบียร์แสนรู้" ซึ่งสามารถส่งสัญญาณไปเตือนให้บริกรรู้ว่าเบียร์กำลังจะหมดแก้ว และยังใช้เป็นอุปกรณ์เพื่อความบันเทิงในผับบาร์ได้ด้วย ที่รองแก้วเบียร์แสนรู้ดังกล่าวติดตั้งเซ็นเซอร์ 2 ชนิดเอาไว้ด้านใน เซ็นเซอร์ตัวแรกทำหน้าที่วัดน้ำหนักที่กดทับลงมาจากแก้วเบียร์เพื่อตรวจดูว่าเบียร์ใกล้จะหมดแก้วหรือไม่ ถ้าหมดเซ็นเซอร์จะส่งสัญญาณไฟกะพริบไปที่บาร์เพื่อให้บริกรมาเติมเบียร์ ส่วนเซ็นเซอร์ตัวที่สองทำหน้าที่ตรวจแรงโน้มถ่วง โดยถ้าลูกค้ายกแก้วออกและจับที่รองแก้วคว่ำหน้าลงจะเป็นการส่งสัญญาณโหวตคะแนนให้กับลูกค้าที่กำลังเล่นเกมในร้าน เช่น ร้องคาราโอเกะ นอกจากนั้น ถ้าใช้นิ้วเคาะลงไปบนที่รองแก้วจะเป็นการสั่งเบียร์ตามจำนวนครั้งที่เคาะลงไป เช่น เคาะ 2 ครั้งเท่ากับสั่งเบียร์เพิ่ม 2 แก้ว เป็นต้น (ข่าวสด อังคารที่ 4 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





สังคม"รีไซเคิล" พิทักษ์ทรัพยากรโลก

สังคมญี่ปุ่นเป็นผู้นำระดับโลกเรื่องการ "รีไซเคิล" วัสดุ สินค้า ผลิตภัณ์ต่างๆ เพื่อช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ช่วงนี้ รัฐบาลโตเกียวรณรงค์โครงการรีไซเคิลครั้งใหม่ ปลุกสำนึกให้ประชาชนยึดหลัก "3 อาร์" อาร์ตัวแรกย่อมาจาก Reduce : ลดใช้สิ่งต่างๆ ที่ไม่จำเป็น อาร์ตัวที่ 2 Reuse : ใช้ซ้ำเพื่อลดความสิ้นเปลืองทรัพยากร และอาร์ตัวที่ 3 Recycle : ก็หมายถึงการรีไซเคิลวัสดุสิ่งของเหลือใช้นั่นเอง บริษัทธุรกิจเอกชนญี่ปุ่นก็พร้อมใจกันเข้ามาช่วยรัฐบาลในเรื่องการรีไซเคิล ตัวอย่าง เช่น"รองเท้าเพื่อสิ่งแวดล้อม : อีโคชูส์" ของบริษัทเอซิคส์ ซึ่งทางผู้ผลิตจะตัดเย็บเส้นประสำหรับให้ลูกค้าตัดพื้นยางตรงส้นรองเท้าออกเวลาที่ผ้าใบรองเท้ามันเก่าแล้ว พอเวลานำรองเท้าไปทิ้ง ก็จะสามารถนำยางรองเท้าไปรีไซเคิลทำเป็นสินค้าชนิดอื่น ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต "คิโนะคุนิยะ" จัดโปรโมชั่นพิเศษ แจกกระเป๋าให้ฟรีๆ แก่ลูกค้าที่นำถุงใส่สินค้ามาเอง ทำให้ทางร้านลดปริมาณการใช้ถุงพลาสติก องค์กร "เฟรนด์ลี่เดย์" รณรงค์ให้นำเสื้อยืดเก่าๆ มาใส่ใหม่ ด้วยการกลับด้านในของเสื้อมาอยู่ด้านนอกแล้วก็พิมพ์ลายใหม่ๆ ลงไป บริษัท "เฮียวเซมอน" นำไม้เบสบอลใช้แล้วมาแปรรูปเป็นตะเกียบ ร้านขายสินค้า "ดี-ดีพาร์ตเมนต์" เก็บเบาะรถจักรยานยนต์เก่าๆ มาดัดแปลงติดตั้งเข้ากับ "ขา" ของเฟอร์นิเจอร์เก่า กลายเป็นเก้าอี้แนวใหม่ขึ้นมา ร้าน "มูจิน" เก็บเศษด้ายเหลือทิ้งจากโรงงานมาเย็บถักถอรวมกันเป็นถุงเท้าหลากสีสัน (ข่าวสด อังคารที่ 4 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





นักวิทย์น้อยศึกษาข่า

นายสุจิระ ปรีชาวิทย์ นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย จ.นครปฐม นักเรียนทุนโครงการ พสวท. ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.) เกิดความสนใจศึกษาในการนำสารสกัดที่ได้จากข่ามา ทดสอบประสิทธิภาพในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียโดยทำเป็นโครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง “การศึกษาผลของสารสกัดจากข่าต่อเชื้อแบคทีเรียบางชนิด” โดยแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ขั้นตอนแรก ศึกษาลักษณะบางอย่างของเชื้อแบคที เรียโดยการย้อมสีแกรม ขั้นตอนที่ 2 ศึกษาสารสกัดจากส่วนต่าง ๆ ของข่า เช่น ใบ ก้าน เหง้า ลำต้น ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียจะได้ว่าสารสกัดจากเหง้า ที่ความเข้มข้นเท่ากันจะยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้ดีที่สุด จากนั้นนำมาทดลองตอนที่ 3 ใช้การสกัดด้วยตัวทำลายต่างชนิดกัน ความเข้มข้นต่างกัน ทำการสกัดสารจากเหง้าข่าโดยใช้ dichloromet hane, ethy-lalcohol 95%, acetone และน้ำกลั่น จากนั้นนำมาตรวจความสามารถของสารสกัดหยาบในการฆ่าเชื้อและยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย 3 สายพันธุ์ ได้แก่ Bacillus cereus, Escherichiacoli และ Staphylococus aureus เมื่อเปรียบเทียบอิทธิพลของตัวทำละลาย ผลการทดลองพบว่าสารสกัดหยาบที่สกัดด้วย ethy-lalcohol 95% และ acetone สามารถยับยั้งเชื้อแบค ทีเรียได้ดีกว่าสารสกัดหยาบที่สกัดด้วย dichlo-romethane ส่วนสารสกัดหยาบที่สกัดด้วยน้ำกลั่นให้ฤทธิ์ยับยั้งน้อยที่สุด เชื้อแบคทีเรียแต่ละสายพันธุ์มีความไวต่อการถูกฆ่าหรือยับยั้งโดยสารสกัดหยาบแตกต่างกัน เชื้อที่สารสกัดหยาบ ยับยั้งได้ดีคือ Escherichia coli และพบว่าเกิดการยับยั้งเชื้อ Bacillus cereus เล็กน้อย โครงการนี้สามารถนำไปพัฒนาและฝึกฝนเทคนิคทางจุลชีววิทยาให้มีความรู้มากขึ้น และยังเป็นการนำพืชสมุนไพรอย่างข่า มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอีกด้วย. (เดลินิวส์ พุธที่ 5 ต.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ม.ขอนแก่นผลิตไข่อินทรีย์ เพื่อคนรักสุขภาพ

รศ.บัญญัติ เหล่าไพบูลย์ อาจารย์ประจำภาควิชาสัตวศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ผลิต “ไข่อินทรีย์” ขึ้นมาเพื่อคนรักสุขภาพ ซึ่ง รศ.บัญญัติ กล่าวถึงการเลี้ยงไก่เพื่อผลิตไข่อินทรีย์หรือไข่ปลอดสารว่า เป็นการเลี้ยงไก่พันธุ์เชิงการค้าทั่วไปนั่นแล แต่เลี้ยงด้วยหลักการธรรมชาติ โดยใช้พื้นที่ในการเลี้ยงประมาณ 4-5 ตัวต่อตารางเมตร พื้นที่นอกโรงเรือนเป็นสนามหญ้าที่ปลอดสารเคมีต่าง ๆ เพื่อให้ไก่ได้คุ้ยเขี่ยซึ่งเป็นการให้ไก่ออกกำลังกายไปในตัว อันทำให้ไก่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ยา โดยเฉพาะอาหารไม่ได้ใช้อาหารสำเร็จรูปตามท้องตลาด แต่เป็นอาหารที่ผสมเองจึงไม่เติมยาปฏิชีวนะทุกชนิดลงไปในอาหาร ฉะนั้นเมื่อไก่ไข่ออกมา จึงเป็นไข่อินทรีย์ หรือไข่ปลอดสาร เพราะไม่มีสารอะไรตกค้างในไข่ แม้ว่าการเลี้ยงไก่เพื่อผลิตไข่อินทรีย์หรือไข่ปลอดสารเพื่อสุขภาพอาจจะให้ผลผลิตน้อยและราคาในการจำหน่ายก็อาจสูงกว่าราคาไข่ทั่วไปเล็กน้อย แต่ก็เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้รักสุขภาพที่จะหลีกเลี่ยง สารที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ได้ ผู้สนใจไข่อินทรีย์หรือไข่ปลอดสาร สอบถามได้ที่ ภาควิชาสัตวศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จ.ขอนแก่น. (เดลินิวส์ พุธที่ 5 ต.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





อิตาชิคิดเครื่องสื่อสารผู้ป่วยอัมพฤก

บริษัท ฮิตาชิ ของญี่ปุ่นจับมือกับพันธมิตรประดิษฐ์เครื่องอ่านจิตช่วยผู้ป่วยอัมพฤกสื่อสารประโยคง่ายๆ อย่างเช่น "ใช่" และ "ไม่ใช่" กับผู้อื่นได้ โดยใช้วิธีวัดการไหลเวียนของเลือดในสมองเป็นตัวบ่งบอก กลุ่มพันธมิตรดังกล่าวประกอบด้วย บริษัท ฮิตาชิ บริษัท เอ็กเซล ออฟ เมคาทรอนิกซ์ คอร์ป และ เจแปน เอแอลเอส แอสโซซิเอชั่น ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ชื่อ "โคโคโค-กาตาริ" หรือเครื่องอ่านจิต สำหรับช่วยผู้ป่วยที่เป็นอัมพฤกขั้นรุนแรง หรือที่เรียกว่า เอแอลเอส โรคเอแอลเอส เป็นโรคเกิดกับเซลล์ประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อ ซึ่งส่งผลกระทบต่อกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้แม้แต่กะพริบตา ทีมวิจัยของญี่ปุ่นช่วยกันคิดค้นจนพบว่า ในผู้ป่วยอัมพฤกยังมีระบบหนึ่งที่ผู้ป่วยควบคุมได้เอง นั่นคือการไหลเวียนของเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงสมอง เนื่องจากว่า แม้ผู้ป่วยจะสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหว และสนทนาอย่างเด็ดขาดแล้ว แต่พวกเขายังสามารถคิดได้เป็นปกติ อุปกรณ์ดังกล่าวซึ่งใช้คาดรอบหน้าผากจะส่งรังสีอินฟราเรดระยะสั้นออกมาเพื่อวัดการไหลเวียนของโลหิตในสมอง หากผู้ป่วยต้องการตอบว่า "ใช่" ให้พวกเขากระตุ้นการทำงานของสมองได้โดยการคิดคำนวณ หรือร้องเพลงในหัว ซึ่งจะไปกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนมาที่บริเวณสมองส่วนหน้า อุปกรณ์จะทำการตรวจสอบว่ามีการไหลเวียนของโลหิตเพิ่มขึ้นหรือไม่ และถ้าผู้ป่วยต้องการตอบว่า "ไม่" ก็เพียงทำตัวสบายๆ เพื่อให้เลือดสูบฉีดตามปกติ จากการทดลองพบว่า คำตอบที่ได้จากการอ่านด้วยอุปกรณ์พิเศษนี้ ถูกต้องร้อยละ 80 และได้คำตอบภายในเวลา 36 วินาที อุปกรณ์ดังกล่าวคาดว่าจะจำหน่ายสู่ตลาดในเร็ววันนี้ (คมชัดลึก พุธที่ 5 ต.ค. 2547 http://www.komchadluek.net)





หุ่นยนต์จิ๋วประกอบร่างเอง เล็งส่งเข้าร่างกายตรวจโรค

นักวิทยาศาสตร์สถาบันเอ็มไอทีประสบความสำเร็จในการพัฒนาฝูงหุ่นยนต์จิ๋วที่สามารถประกอบร่างและแยกตัวใหม่ได้เองตามที่ถูกโปรแกรม ประยุกต์ใช้เป็นเซนเซอร์ส่งเข้าไปตรวจโรคในร่างกาย ทีมวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาชูเซตต์ (เอ็มไอที) เปิดเผยว่า ขณะนี้พวกเขาสามารถพัฒนาฝูงหุ่นยนต์จิ๋วที่สามารถวิ่งเข้ามาหากันประกอบเป็นรูปร่างจากชิ้นส่วนจำนวนมากที่กระจายตัวอย่างไม่เป็นระเบียบ และหุ่นยนต์เหล่านี้ ยังรู้ด้วยว่าทุกชิ้นส่วนที่นำมาต่อประกอบกันนั้น ถูกต้องหรือไม่ หากพบว่าผิดก็จะแก้ไขด้วยการแยกตัวเองออกและหาชิ้นใหม่มาประกอบแทน หุ่นยนต์ที่พวกเขาสร้างขึ้นมานั้น สามารถต่อประกอบร่างตามลำดับที่ถูกโปรแกรมไว้ได้อย่างถูกต้อง โดยเบื้องต้นฝูงหุ่นยนต์ชุดนี้จะมีด้วยกัน 2 สี คือ เหลือง และเขียว แต่ละตัวถูกโปรแกรมให้แต่ละด้าน ต้องต่อประกอบด้วยหุ่นยนต์ต่างสี นอกจากนี้ หุ่นยนต์เหล่านี้ยังมีกลไกแก้ไขข้อผิดพลาดได้เองในตัว หากลำดับจัดเรียงไม่ถูกต้อง ก็จะถอดสลักตัวนั้นออก พร้อมกับมีตัวใหม่ที่ถูกต้องมาต่อแทน แนวคิดดังกล่าวสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้หลากหลาย เช่น การป้อนให้ประกอบร่างเป็นแมงมุมเพื่อให้สามารถไต่ไปตามท่อได้ แต่เมื่อต้องเผชิญกับพื้นที่เป็นช่องขนาดเล็ก หุ่นยนต์จะแยกร่างและประกอบตัวเป็นหนอน เมื่อพ้นช่องแคบแล้วจึงประกอบกลับเป็นแมงมุมใหม่ กองทัพหุ่นยนต์เหล่านี้ ในอนาคตอาจเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกายได้เช่นกัน (คมชัดลึก พุธที่ 5 ต.ค. 2547 http://www.komchadluek.net)





“เครื่องผลิตก๊าซโอโซน” ลดมลพิษ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี

อาจารย์พงษ์เทพ เกิดดอนแฝกและคณะ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ สุพรรณบุรีได้คิดเครื่องกำเนิดก๊าซโอโซนคุณภาพสูง และใช้วัตถุดิบภายในประเทศราคาถูกได้เป็นผลสำเร็จ อ.พงษ์เทพ เล่าว่า ก๊าซโอโซนมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อ โดยเฉพาะเชื้อไวรัส ซึ่งคลอรีนไม่สามารถทำลายได้ และมีปฏิกิริยาที่รุนแรงกว่าคลอรีน 3,125 เท่า แต่มีช่วงเวลาสิ้นสุดการทำปฏิกิริยา เนื่องจากก๊าซโอโซนสามารถสลายตัวง่าย ดังนั้น ในปัจจุบันและอนาคตโอโซนจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการบำบัดน้ำและอากาศ ซึ่งจะช่วยให้ไม่มีสารเคมีตกค้าง รวมไปถึงการนำไปประยุกต์ใช้งานในด้านต่างๆ เช่น บำบัดน้ำเสีย, ฆ่าเชื้อโรคในสระว่ายน้ำ, การบำบัดอากาศ, สปา, สวนพืชไร้ดิน, เมล็ดพันธุ์พืช, การฆ่าเชื้อโรคในระบบผลิตน้ำดื่ม น้ำแข็งและน้ำประปา, ล้างผักผลไม้และอาหาร, ระบบบำบัดน้ำเพื่ออนุรักษ์พลังงานและระบบซักผ้า ส่วนเครื่องผลิตก๊าซโอโซนประสิทธิภาพสูงที่สร้างขึ้นจะใช้เทคนิคสนามไฟฟ้าแรงสูงความถี่สูงในการเปลี่ยนอากาศเป็นก๊าซโอโซน (Ozone:O3) ก๊าซโอโซนคือก๊าซที่เกิดจากการจับตัวกันของออกซิเจน 3 อะตอม ขั้นตอนการผลิตต้องป้อนพลังงานจากภายนอกเข้าไปกระตุ้นให้ก๊าซออกซิเจน (Oxygen gas : O2(g)) แตกพันธะออกเป็นอะตอมอิสระของออกซิเจน (O) แล้วจึงรวมกันกับ O2 กลายเป็น O3 ซึ่งพลังงานพันธะของ O3 น้อยกว่า O2 มาก นั่นคือกรณีที่มีการเพิ่มพลังงานให้กับระบบที่มี O3 อยู่ พลังงานเพียงเล็กน้อยก็จะสามารถทำให้ O3 สลายตัวได้ ผู้ใดที่สนใจติดต่อสอบถามไปได้ที่ สาขาเทคโนโลยีไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ วิทยาเขตสุพรรณบุรี โทร. 0-3554-4301-3 ต่อ 124 หรือ อ.พงษ์เทพ เกิดดอนแฝก โทร. 0-6320-4328 หรือ อ.นที โพธิ์อุไร โทร. 0-6565-3719 (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 5 ต.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





รถตุ๊กตุ๊กไฮบริด ไม่ง้อน้ำมันแพง!!

ตัวอย่างผลงานรถประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง “รถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าระบบพลังงานร่วม” (Tuk Tuk: Hybrid Electric Tricycle) โดยฝีมือของนักประดิษฐ์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร หรือเรียกง่ายๆ ว่า “รถตุ๊กตุ๊กไฮบริด” ซึ่งรถคันนี้มีดีตรงที่ สามารถใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว หรือใช้ทั้งพลังงานจากแบตเตอรี่และน้ำมันควบก็ได้ นายรัชต มั่งมีชัย อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้ากำลัง คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร ในฐานะที่ปรึกษาโครง สร้างขึ้นจากพื้นฐานของรถตุ๊กตุ๊กทั่วๆ ไป ที่วิ่งให้บริการกันอยู่ในประเทศของเรา ความแตกต่างระหว่างรถตุ๊กตุ๊กทั่วไปกับ รถตุ๊กตุ๊กไฮบริดนั้น รถตุ๊กตุ๊กทั่วไปจะใช้เครื่องยนต์เป็นตัวขับเคลื่อนและใช้น้ำมันเชื้อเพลง แต่รถตุ๊กตุ๊กไฮบริด จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นตัวขับเคลื่อน และใช้เครื่องยนต์ปั่นไฟร่วมกับแบตเตอรี่ในการจ่ายพลังงานให้กับมอเตอร์ “ ข้อดีของการใช้รถนี้ รถคันนี้สามารถที่จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานในจุดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดได้ตลอดเวลา จึงทำให้มลภาวะต่ำ และประหยัดพลังงานเหมาะกับใช้งานขนส่งมวลชน ซึ่งจะส่งผลให้ค่าโดยสารลดลงไปด้วย ผิดกับรถตุ๊กตุ๊กทั่วไปที่ลักษณะการใช้งานต้องมีการเร่ง และเบรก จะทำให้เปลืองน้ำมัน รวมทั้งทำให้เครื่องยนต์มีประสิทธิภาพต่ำ” รถนี้จะใช้แบตเตอรี่ชนิดตะกั่วกรด โดยการเติมน้ำกลั่น มีขนาดพิกัด 72 โวลต์ 100 แอมป์อาว ใช้แบตเตอรี่ 12 โวลต์ 100 แอมป์อาว จำนวน 6 ลูก ถังน้ำมันมีขนาดความจุ 2.5 ลิตร ซึ่งสามารถใช้เชื้อเพลิงเบนซิน 91, 95 และแก๊สโซฮอลล์ได้ ส่วนเครื่องยนต์ที่ใช้มีขนาดพิกัด 7.7 กิโลวัตต์ที่ 3,000 รอบ/นาที เจเนอเรเตอร์ มีขนาดพิกัด 5 KVA ที่ 3,000 รอบ/นาที สำหรับการทำงานของรถนี้ พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ และเครื่องยนต์ จะถูกส่งมาที่มอเตอร์ เพื่อมาจ่ายและใช้ในการขับเคลื่อนรถทั้งคัน โดยมอเตอร์จะส่งกำลังผ่านเกียร์แมนนวล 4 จังหวะ และถ่ายทอดกำลังลงสู่ล้อ เพื่อให้รถเคลื่อนตัว “ผลการทดสอบการใช้รถตุ๊กตุ๊กไฮบริด ถ้าวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว อัตราการสิ้นเปลืองอยู่ที่ 0.13 ยูนิต/กิโลเมตร ใช้ความเร็วได้ 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง วิ่งได้ระยะทาง 30 กิโลเมตร แต่ถ้าวิ่งด้วยระบบไฮบริด อัตราการสิ้นเปลืองอยู่ที่ 20 กิโลเมตร/ลิตร ใช้ความเร็วได้ 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง วิ่งได้ไม่จำกัดระยะทาง และยังเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่ารถที่ใช้น้ำมันเพียงอย่างเดียวด้วย ราคาจะอยู่ที่คันละประมาณ 300,000 บาท รถคันนี้ยังมีสิ่งที่ต้องพัฒนาอีก (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 5 ต.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





"หนุ่มเรียว" สกัดสารดักจับแมลงวันทอง

การล่อและการกำจัดแมลงวันทองโดยสารสกัดจากพืชชื่อคอลูบรินัม เป็นโครงงานวิทยาศาสตร์ของนายเรียวไผ่ จันทรชิต นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/4 คว้ารางวัลชนะเลิศระดับประเทศ และเป็นตัวแทนไปแข่งขันโครงงานวิทยาศาสตร์ที่เมืองฟินิกซ์ มลรัฐอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยได้รับการสนับสนุนจากหมวดวิทยาศาสตร์ โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช และมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ต้นคอลูบรินัม เป็นพืชที่มีถิ่นเกิดแถบประเทศมาเลเซีย ซึ่งนำมาใช้เป็นต้นตอสำหรับเสียบยอดพริกไทย เพราะมีระบบรากแข็งแรง ทนทานโรคได้ดี จากการทดลองพบว่า ต้นคอลูบรินัมมีคุณสมบัติในการล่อแมลงวันทองได้ดีที่สุด ดีกว่าชนิดอื่น ทั้งกะเพราไพล ต้อยติ่ง หูกวาง พลูป่า และว่านชักมดลูก สำหรับวิธีการล่อแมลงวันทอง ทำได้ 2 วิธี คือ 1.ใช้กับดัก โดยขยี้ใบคอลูบรินัมพอช้ำ เพื่อให้กลิ่นหอมระเหย ใส่ไว้ในกับดัก แล้วนำไปแขวนไว้ในสวนผลไม้ 2.ใช้กาวเหนียว นำส่วนผสมระหว่างน้ำที่คั้นจากใบคอลูบรินัม น้ำมันพืช และน้ำยางพาราดิบ ในอัตราส่วน 4:8:1 คนให้เข้ากัน แล้วนำไปทากับวัสดุอื่น เช่น ไม้ ตะเกียบ แผ่นพลาสติกถ้าไม่มีน้ำยางพาราดิบ สามารถใช้กาวดักหนูที่มีขายทั่วไปในท้องตลาดแทน โดยนำมาทากับวัสดุ ขยี้ใบคอลูบรินัม นำมาโรยไว้กับกาว ผู้สนใจอยากได้รายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อไปได้ที่นายเรียวไผ่ จันทรชิต 29/1 หมู่ 4 ตำบลกะหรอ กิ่งอำเภอนบพิตำ จังหวัดนครศรีธรรมราช 80160 โทร.0-9590-0607 (นอกเวลาเรียน) อีเมล์ reawphai@thaimail.com





พัฒนาสาหร่ายเห็ดลาบป่าอีสาน ทดแทนสาหร่ายญี่ปุ่น

ดร.อาภารัตน์ มหาขันธ์ นักวิจัยสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภูมิปัญญาไทยของคนอีสาน นำสาหร่ายเห็ดลาบซึ่งเป็นแผ่น ลื่นคล้ายเจล หรือเยลลี ขึ้นในป่าธรรมชาติที่จังหวัดมหาสารคามมาประกอบอาหาร ได้รับความนิยมมากเพราะรสชาติอร่อย ทีมนักวิจัยจึงนำสาหร่ายเห็ดลาบมาวิเคราะห์ คุณค่าทางโภชนาการรวมทั้งแนวทางการใช้ประโยชน์ พบว่า สาหร่ายเห็ดลาบมีโปรตีนร้อยละ 20 สารกลุ่มโพลีแซคคาร์ไรด์ที่เป็นไฟเบอร์ หรือเส้นใยอาหาร ร้อยละ 40 สารกลุ่มนี้ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติแก้อาการท้องผูก ขณะนี้ได้พัฒนาปรับปรุงในระดับห้องทดลองใช้เป็นส่วนประกอบ ในอาหารญี่ปุ่นทดแทนการนำเข้าสาหร่ายจากญี่ปุ่น อีกทั้งได้แช่แข็งสาหร่ายเห็ดลาบไว้ หากเกิดการสูญพันธุ์สามารถนำตัวอย่างมาเพาะเลี้ยงในห้องทดลอง นำกลับสู่ธรรมชาติได้อีก นักวิจัยกำลังพัฒนาให้เป็นอาหารคาว เช่น ใส่ในแกงจืด ทำเป็นแผ่นเพื่อปรุงเป็นข้าวห่อสาหร่าย ใส่ในขนมพวกบิสกิต คุกกี้ วุ้น ทำลาบกึ่งสำเร็จรูป สาหร่ายทรงเครื่อง เบื้องต้นได้ทดลองทำเป็นผลิตภัณฑ์ออกมาแล้ว คาดว่าปลายปีนี้ น่าจะผลิตเป็นสินค้าต้นแบบให้ประชาชนทดลองชิมได้ (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 6 ต.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





โทรทัศน์ก่อโรคมะเร็งร้าย แสงวูบวาบทำลายเซลล์สมอง

หนังสือพิมพ์รายวันฉบับยักษ์ของอังกฤษ ทั้งหนังสือพิมพ์ “เดลี่ สตาร์” และ “เดลี่ มิร์เร่อร์” ต่างรายงานว่า ดร.อาริก ซิกแมน ได้เผยแพร่รายงานผลการศึกษา กล่าวว่า “การนั่งอยู่หน้าจอทีวีมากเกินไป โดยเฉพาะเด็กๆอาจทำให้เป็นโรคมะเร็ง เบาหวาน ภาวะซึมเศร้าและโรคอ้วนขึ้นได้ เนื่องมาจากแสงอันวูบวาบของมัน” โดยระบุว่า “โดยเฉพาะการตัดต่ออันรวดเร็วของรายการยุค “เอ็มทีวี” นับเป็นภัยต่อเซลล์สมองมากที่สุด” เขากล่าวในรายงานว่า ถึงแม้ผู้ใหญ่ก็ตาม ก็ไม่ควรจะดูรายการโทรทัศน์รายการโปรดให้นานเกินกว่าวันละ 2 ชั่วโมง และเรียกร้องให้รัฐบาลควรจะออก ข้อแนะนำในการดูโทรทัศน์รายวัน ขึ้น. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 6 ต.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





เพาะปลาบึกบ่อซีเมนต์ วิจัยน้ำจืด ทำสำเร็จเป็นเจ้าแรก

นายสนธิพันธ์ ผาสุขดี ผู้อำนวยการสถาบัน วิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด เปิดเผยว่า ได้ทำการศึกษาวิจัยการเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำในการใช้ระบบน้ำหมุนเวียนในบ่อซีเมนต์ เพื่อการเลี้ยงพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ปลาบึก โดยเริ่มเมื่อเดือนตุลาคม 2546-กันยายน 2547 ผลการศึกษาปรากฏว่าคุณภาพน้ำไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก สามารถเพาะเลี้ยงได้ โดยไม่ต้องถ่ายน้ำออก ก่อนนำพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์มาเพาะขยายพันธุ์โดยการฉีดฮอร์โมนพบว่าสามารถรีดไข่ และน้ำเชื้อออกมาได้ปริมาณไข่ 2,730.10 กรัม/แม่ จนกระทั่งในช่วงเดือนมิถุนายนมีอัตราการฟักตัวของไข่เฉลี่ย 47.0% สูงกว่าในเดือนกรกฎาคมซึ่งมีอัตราการฟักตัวเฉลี่ย 18% การอนุบาลลูกปลาบึกวัยอ่อนในบ่อซีเมนต์ระยะ 7 วัน ให้โรติเฟอร์, ไรแดง และอาหารผสมโปรตีน แล้วจึงย้ายไปไว้ในบ่อดินโดยให้อาหารเม็ดพบว่ามีลูกปลารอดเฉลี่ย 35.76% ได้ลูกปลาขนาด 5-7 ซม.ประมาณ 80,000 ตัว : ซึ่งผลที่ได้รับแสดงว่าการใช้ระบบน้ำหมุนเวียนเพื่อเลี้ยงพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ปลาบึกในบ่อซีเมนต์ สามารถรักษาคุณภาพน้ำให้อยู่ในสภาพที่ดีและพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ปลาบึกให้น้ำเชื้อและมีไข่ที่สมบูรณ์ สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ถือว่าสำเร็จเป็นครั้งแรก (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 6 ต.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ทดสอบเลือดเทียมในสัตว์ เล็งใช้กับคนหวังแก้ปัญหาขาดแคลนเลือด

รศ.ดร.กำพล ศรีวัฒนกุล ผู้ประสานงานโครงการนวัตกรรมเลือดเทียม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า "ฮีโมทรานซ์" เป็นบริษัทร่วมทุนไทย-แคนาดา ได้นำเข้า "เลือดเทียม" ซึ่งเป็นผลงานวิจัยของ ดร.เจฟฟรี่ย์ หว่อง ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชีวภาพจากฮ่องกง มาศึกษาด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยในสัตว์ทดลอง ภายในห้องแล็บของคณะสัตวแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การทดสอบในสัตว์จะใช้เวลา 4 เดือน จากนั้นประมาณกลางปีหน้าจะทดลองกับอาสาสมัครคนไทย โดยเบื้องต้นจะเป็นทหารและผู้ป่วยฉุกเฉินตามสถานพยาบาลต่างๆ ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีความจําเป็นที่จะต้องให้เลือดในผู้ป่วย ที่เสียเลือดจากอุบัติเหตุการผ่าตัดใหญ่และภาวะฉุกเฉินต่างๆ นอกจากนี้ยังมีความจําเป็นที่จะต้องเปลี่ยนถ่ายเลือดในปริมาณมาก ในผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษและเป็นโรคมะเร็ง ขณะที่เลือดที่จากบุคคลอื่นมีความเสี่ยงในการติดเชื้อ โดยเฉพาะไวรัสเอดส์ และอาจเกิดปัญหาหมู่เลือดไม่เข้ากัน จึงจำเป็นต้องพึ่งพาเลือดเทียม ซึ่งมีความปลอดภัยสูงและอายุการเก็บรักษานานกว่าเลือดจริง สำหรับเลือดเทียมที่นำเข้ามาทดสอบในไทยนี้ ได้จากเลือดที่หมดอายุแล้ว ซึ่งนำมาสกัดสารที่เรียกว่า ฮีโมโกลบิน จากนั้นนํามาจับกับสารเด็กซ์ทราน ซึ่งปกติเป็นสารที่ใช้ผลิตน้ำเกลือ กลายเป็นเลือดเทียม โดยสามารถทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนเข้าสู่เนื้อเยื่อในส่วนต่างๆ ของร่างกายได้เหมือนเลือดจริง และเลือดเทียมนี้มีอายุถึง 2 ปี เมื่อเก็บในสภาพที่แช่แข็งแบบแห้งและสุญญากาศ ส่วนเลือดจริงจะเก็บได้ไม่เกิน 120 วัน เลือดเทียมเมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกายจะอยู่นาน 42 วัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาเพียงพอสำหรับการจัดหาเลือดจริงให้ผู้ป่วย ดังนั้นเลือดเทียมจึงเหมาะกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ในภาวะเลือดขาดแคลนและต้องการใช้งานด่วน หรือระหว่างรอเลือดบริจาค รวมถึงเป็นเลือดสำรองสำหรับสถานพยาบาลในพื้นที่ห่างไกล ก่อนการส่งต่อผู้ป่วยมารับการรักษาในตัวเมือง นอกจากนี้เลือดเทียมยังนำไปประยุกต์ใช้รักษาโรคมะเร็งและหลอดเลือดอุดตันได้ด้วย (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 6 ต.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ชุดกีฬาอัจฉริยะติดเซ็นเซอร์สั่นกระตุ้นผู้สวมใส่

นักวิจัยจากองค์กรวิจัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์แห่งเนเธอร์แลนด์ ได้ออกแบบชุดกีฬาอัจฉริยะที่สามารถส่งสัญญาณบอกให้ผู้สวมชุดปรับเทคนิค หรือใช้กล้ามเนื้อเฉพาะส่วนให้เปี่ยมประสิทธิภาพ โดยเบื้องต้นได้ทดลองใช้กับนักแข่งเรือ เสื้อกีฬาที่ว่านี้ติดเซ็นเซอร์สำหรับวัดความเร็วในการพายของฝีพาย และยังตรวจจับการทำงานของขากับการเคลื่อนไหวของร่างกายว่าสอดประสานกันหรือไม่ ถ้าฝีพายทำความเร็ว หรือมีจังหวะการจ้วงพายผิดรูปแบบ แผ่นสัญญาณที่เย็บติดไว้ที่ข้อเท้าและเอวจะสั่นเตือนในจังหวะที่ถูกต้อง เพื่อช่วยให้ฝีพายปรับปรุงจังหวะพายให้คว้าชัยชนะมาครอง นักวิจัย กล่าวว่า วิธีการดังกล่าวช่วยให้นักกีฬาแต่ละคนเข้าใจได้รวดเร็วว่าจะต้องปรับปรุงการเคลื่อนไหวอย่างไร แถมยังดีกว่าทำตามเสียงตะโกนบอกของโค้ช เสื้อกีฬาติดเซ็นเซอร์นี้ได้ถูกนำมาทดสอบกับนักกีฬาแล้ว โดยทดสอบกับเครื่องฝึกพายในห้องวิจัย ทีมงานยังได้ออกแบบกระเป๋าเสื้อพิเศษให้นักเล่นสเกตด้วย โดยติดตั้งแผ่นสัญญาณสั่นที่ไหล่และสะโพก ซึ่งจะบอกข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของนักแข่งสเกต ขณะที่ทำห้อตะบึงไปรอบๆ ลานสเกต และเสื้อผ้าสำหรับนักสเกตดังกล่าวทดลองใช้กับนักกีฬาแล้วเช่นกัน ส่วนทีมฟุตบอลก็ไม่ต้องอิจฉาไป เสื้อผ้าอย่างว่านี้ถูกนำมาให้นักฟุตบอลสวมใส่ โดยติดอุปกรณ์ที่บอกให้นักฟุตบอลรู้ท่าหวดลูกฟุตบอลของเขามีจุดผิดพลาดตรงไหน นอกจากนี้ นักวิจัยกำลังคิดค้นเสื้อผ้าสวมสบายที่โค้ชสามารถบอกนักฟุตบอลให้แก้ไขวิธีเล่นได้โดยสั่งผ่านรีโมทคอนโทรล (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 6 ต.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





อังกฤษเผยกินเกลือแกงน้อยลง ลดความเสี่ยงเกิดโรคหัวใจ

สภาวิจัยการแพทย์ของอังกฤษ ออกรายงานชิ้นใหม่ ซึ่งเผยถึงความสัมพันธ์ระหว่างเกลือกับสุขภาพ พบว่า การลดปริมาณเกลือในการบริโภคลงจากโดยเฉลี่ย 9.5 กรัม ให้เหลือเพียง 6 กรัมต่อวัน มีผลในการลดภาวะโรคหลอดเลือดได้ 13% และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้อีก 10% ดร.ซูซาน เจบบ์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยสุขภาพและโภชนาการของสภาวิจัย บอกว่า รัฐบาลอังกฤษตั้งเป้าหมายไว้ว่า ภายในปี 2553 ประชากรอังกฤษจะบริโภคเกลือให้ได้เหลือเพียงวันละ 6 กรัมให้ได้ เนื่องจากเกลือ ซึ่งประกอบด้วยโซเดียม 40% และคลอไรด์ 60% โดยร่างกายคนเราต้องการโซเดียม เพื่อช่วยจัดระเบียบน้ำในร่างกาย และเป็นระบบเสริมในการส่งข้อความระหว่างอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เนื่องจากมีคุณสมบัติในการนำประจุไฟฟ้าได้ แต่ปริมาณโซเดียมเพียง 1 กรัม ก็เพียงพอต่อการดำเนินกิจกรรมดังกล่าวแล้ว หากมากเกินไป ก็จะทำให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจ โดยสาเหตุที่เกลือสามารถเพิ่มระดับแรงดันได้นั้น ก็เพราะโซเดียมจะทำให้ร่างกายเก็บน้ำไว้ในตัวมากขึ้น รวมถึงน้ำในหลอดเลือดด้วย ส่งผลให้แรงดันเลือดเพิ่มสูงขึ้น รายงานชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้อุตสาหกรรมอาหาร ลดการใช้เกลือเป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ของตน และต้องการให้ผู้บริโภคลดปริมาณการใช้เกลือในการปรุงอาหารด้วย นอกจากนี้ ยังมีข้อแนะนำการเลือกซื้ออาหารสำเร็จรูปมาบริโภค ควรอ่านฉลากให้ละเอียดว่า มีปริมาณเกลือมากน้อยแค่ไหน และควรเลือกเอาชนิดที่มีส่วนผสมของเกลือให้น้อยที่สุด (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 6 ต.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ผุด “โรงไฟฟ้าแกลบ” จ.พิจิตร เชื้อเพลิงไร้มลภาวะจริงรึ

บริษัท เอ.ที ไบโอพาวเวอร์ จำกัด เห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมมีการปลูกข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจ ทำให้แกลบจากการสีข้าวปีละประมาณ 6-7 ล้านตัน จึงได้นำแกลบที่เป็นวัสดุเหลือใช้จากการสีข้าวมาใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตพลังงานไฟฟ้าจนประสบความสำเร็จ สามารถผลิตไฟฟ้ากำลังการผลิต 22 MW เป็นรายแรกของประเทศไทย ทั้งนี้ได้ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เป็นเวลา 25 ปี โดยเริ่มโครงการแรกที่ ต.หอไกร อ.บางมูลนา จ.พิจิตร ซึ่งเริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่ 5 มกราคม 2547 ซึ่งเสร็จแล้วกว่า 90% โรงไฟฟ้าดังกล่าวจะริ่มจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยในวันที่ 24 ธันวาคม 2548 นี้ ในส่วนกระบวนการผลิตเชื้อเพลิงจากแกลบเริ่มด้วย การบดแกลบที่โครงการจัดหาข้อตกลงซื้อขายกับโรงสีที่ตั้งอยู่ในในระยะ 80 กิโลเมตรรอบโครงการให้เป็นผงละเอียด จากนั้นพ่นแกลบเข้าไปในเตาเผาไหม้และนำความร้อนไปต้มน้ำให้เดือดเพื่อให้ได้ไอน้ำไปหมุนกังหันและกังหันไปฉุดเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ก่อให้เกิดแรงเหนี่ยวนำได้เป็นกระแสไฟฟ้า ก่อนที่จะส่งเข้าสู่ระบบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตต่อไป โดยระบบการผลิตทั้งหมดได้ใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ใช้การเผาไหม้เชื้อเพลิงแบบสมบูรณ์ หรือระบบเผาไหม้ลอยตัว จึงทำให้ไม่เกิดมลภาวะต่อสภาพแวดล้อมรวมถึงการใช้ระบบป้องกันและควบคุมมลภาวะไว้อย่างเพียงพอ เพื่อมิให้กระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น จัดทำบ่อพักน้ำที่บำบัดแล้วให้ระเหยไปเองตามธรรมชาติ มีการขึงตาข่ายไนล่อนล้อมรั้วกองแกลบ มีการดักจับควัน ฝุ่นและเถ้าแกลบ ด้วยระบบไฟฟ้าสถิตย์ มีเครื่องดูดซับเสียงครอบเครื่องจักรเพื่อป้องกันเสียงดังรบกวนชุมชนโดยรอบโครงการ รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ ที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในโครงการดังกล่าว สิ่งหนึ่งที่เป็นหลักประกันว่าโรงไฟฟ้าจากแกลบจะไม่สร้างมลภาวะให้กับชุมชน (สยามรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 6 ต.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





เครื่องคัดแยกผลไม้อัตโนมัติ ฝีมือเด็กไอที เมืองย่าโม

ชลภู โรจนวงศ์ และ ภูมินาท ปาเบ้า เด็กไอที ชั้น ม.4 จากโรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย จ.นครราชสีมา คิดประดิษฐ์เครื่องคัดแยกผลไม้ด้วยน้ำหนัก เป็นผลสำเร็จ โดยมีอาจารย์นิพนธ์ สมัครค้า หัวหน้าหมวดคอมพิวเตอร์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา สำหรับวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ประดิษฐ์ นั้นน้องโจ้ บอกว่า ส่วนใหญ่หาได้จากชุมนุมคอมพิวเตอร์ในโรงเรียน บางอย่างก็เป็นของใช้แล้ว เช่น เป็นมอเตอร์ DC ซึ่งเป็นของมือสองจากตลาดคลองถม จำนวน 5 ตัว โดยใช้ 2 ตัวใหญ่ ที่มีแรงบิดสูง มีระบบเฟืองทด ในตัวสำหรับขับระบบสายพาน อีก 1 ตัวเล็กสำหรับทำแขนปัดผลมะม่วงออกจากตาชั่ง และอีก 2 ตัวเล็กใช้สำหรับปิดเปิดประตูทางเข้าออก นอกจากนั้นยังมีตาชั่งสปริงตัวเซนเซอร์วัดระยะทาง และระบบสายพานลำเลียง ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือส่วนลำเลียง มะม่วงเข้าสู่ระบบคัดแยก, ส่วนแยกขนาดโดยใช้น้ำหนัก และส่วนลำเลียงผลไม้ไปลงช่องคัดแยกตามขนาดที่กำหนดไว้ เวลาที่เครื่องทำงาน ผลมะม่วงจะถูกลำเลียงไปตามสายพาน เครื่องจะประมวลผลเพื่อจำแนกน้ำหนัก และมีประตูสำหรับคัดแยกขนาดใหญ่ และขนาดกลาง สามารถเปิดให้มะม่วงลงในช่องแยกขนาดได้ถูกต้อง เรียกว่าได้ของดี ราคาถูกกว่าเครื่องคัดแยกผลไม้ในท้องตลาด แถมยังช่วยประหยัดเวลาและแรงงานคนไปได้มาก (สยามรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 6 ต.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ดร.ไทยคว้าวิจัยเยี่ยมสมาคม"มะกัน" พบวิธีเพิ่มสัตว์ปีก-เล็งทดลองไก่บ้าน

ผศ.ดร.ยุพาพร ไชยสีหา อาจารย์ประจำสาขาวิชาชีววิทยา สำนักวิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม กรณีเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลผลงานวิจัยดีเยี่ยมประจำปี 2005 จากสมาคมวิทยาศาสตร์สัตว์ปีก ประเทศสหรัฐอเมริกา ในการประชุมวิชาการนานาชาติ 2005 เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาว่า ผลงานที่ได้รับรางวัลเป็นงานวิจัยทางด้านการศึกษาควบคุมระบบสืบพันธุ์ โดยระบบประสาทและระบบต่อมไร้ท่อในสัตว์ปีก เป็นงานวิจัยร่วมกันระหว่าง มทส.กับมหาวิทยาลัยมินนิโซตา สหรัฐ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาทางอุตสาหกรรมสัตว์ปีก โดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพการสืบพันธุ์ในสัตว์ปีก ให้เพิ่มจำนวนของสัตว์ปีกได้มากขึ้น นอกจากจะนำไปพัฒนาให้ไก่ออกไข่ได้มากกว่าเดิมแล้ว ยังสามารถนำหลักการนี้ไปใช้ในสัตว์ปีกสวยงามและนกที่กำลังจะสูญพันธุ์ โดยทำให้นกดังกล่าวออกไข่ได้มากขึ้น นำไปสู่การเพิ่มจำนวนของสัตว์ปีกชนิดที่ต้องการได้มากขึ้น หรือถ้าหากต้องการลดจำนวนก็สามารถทำได้ โดยการควบคุมกลไกการหลั่งฮอร์โมนโปรแลคตินให้มากหรือน้อย ขณะนี้กำลังทำวิจัยไก่พื้นเมืองไทย เพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพการสืบพันธุ์ในไก่พื้นเมืองไทย โดยได้ค้นพบวิธีการเพิ่มจำนวนของไก่พื้นเมืองไทย และกำลังเตรียมจดสิทธิบัตร ในอนาคตจะสามารถเพิ่มจำนวนไก่พื้นเมืองให้แพร่หลายแทนไก่เนื้อที่นำเข้าจากต่างประเทศในท้องตลาดไทยในขณะนี้ และปกติแล้วไก่พื้นเมืองไทยจะออกไข่ปีละ 30-40 ฟอง หลังจากที่ได้ทำการวิจัยขณะนี้สามารถเพิ่มปริมาณไข่ไก่ของไก่พื้นเมืองไทยได้ปีละ 140 ฟอง ถือว่าเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 3 เท่าตัว (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 6 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





"เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม"คว้าโนเบล

นายอีฟส์ โชแว็ง ชาวฝรั่งเศส, นายโรเบิร์ต เอช.กรับส์ และนายริชาร์ด อาร์ ชร็อค ชาวอเมริกัน ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีประจำปี 2545 ในการประกาศผลเมื่อวันที่ 5 ตุลาคมที่ผ่านมา ด้วยผลงานในการช่วยลดปริมาณขยะอันตรายโดยวิธีการพัฒนาวิธีการสังเคราะห์สารประกอบอินทรีย์ให้เกิดเป็นโมเลกุลใหม่ที่ถูกและสะอาดกว่า โดยพุ่งเป้าไปที่การแตกของพันธะทางเคมีและการเชื่อมต่อระหว่างอะตอมของคาร์บอน ทำให้โมเลกุลเกิดการแตกตัวและแลกเปลี่ยนพันธะกันจนเกิดเป็นโมเลกุลใหม่ขึ้นมา ซึ่งวิธีการสังเคราะห์ดังกล่าวมีประโยชน์อย่างมากในอุตสาหกรรมยา เทคโนโลยีชีวภาพและผลิตภัณฑ์อาหาร นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปใช้สำหรับการพัฒนาการนำโพลีเมอร์กลับมาใช้ใหม่ คณะกรรมาธิการโนเบลระบุว่า การวิจัยดังกล่าวเป็นก้าวสำคัญของการไปสู่ "เคมีสีเขียว" ที่จะช่วยลดปริมาณขยะอันตรายด้วยการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ฉลาดขึ้น โดยทั้งสามคนจะแบ่งเงินรางวัล 10 ล้านโครเนอร์(52 ล้านบาท) ที่จะมีการมอบกันในวันที่ 10 ตุลาคมนี้ ที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน พร้อมกับผู้รับรางวัลโนเบลสาขาอื่นๆ (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 6 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





มะนาวผง สู่แนวรุกก้าวข้ามโลก

รักษ์ษิวัลย์ เปียประดิษฐ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท พัฒน์ธนรัตน์ จำกัด เปิดเผยว่า มะนาวผงเป็นการวิจัยพัฒนาระหว่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และบริษัท พัฒน์ธนรัตน์ จำกัด ณ ขณะนี้บริษัทได้พัฒนาและดำเนินการขอใบรับรองมาตรฐานอาหารต่างๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้วทั้ง HACCP และฮาลาล โดยในปีนี้มีแผนที่จะทำการตลาดใน 2 รูปแบบด้วยกัน คือ 1.แผนในการออกงานแฟร์ในประเทศไทย โดยการเข้าร่วมกับสถาบันอาหารเพื่อหาพันธมิตรในการเปิดตลาดร้านอาหารไทยในต่างประเทศ ประการถัดมาคือ การมองหาเทรดเดอร์เพื่อทำตลาดในแต่ละประเทศอีกด้วย มะนาวผงเน้นตลาดร้านอาหารไทยเป็นสำคัญ เน้นไปที่การขายเป็นเบาต์เพื่อนำไปเป็นเครื่องปรุงในอาหาร เช่น ต้มยำกุ้ง กับอีกรูปแบบหนึ่งขายให้กับเทรดเดอร์ไปแพ็กซองทำตลาดเองในต่างประเทศ "ร้านอาหารไทยที่อยู่ในอเมริกาเองหากใช้เลมอนของเมืองนอกรสชาติและกลิ่นไม่ได้ตามที่ต้องการ แต่ถ้าเป็นมะนาวไทยจะได้รสชาติที่ถูกต้อง "จุดเด่นที่ทำให้ร้านอาหารหันมามองมะนาวผงเพราะสามารถลดการสูญเสียจากมะนาวสดได้ ปกติมะนาวทั่วไปจะอยู่ได้ประมาณ 1 อาทิตย์ แต่มะนาวผง สามารถอยู่ได้ 1 ปีหากยังไม่เปิดซอง และ 1 เดือนถ้าเปิดแล้วแช่ตู้เย็น ทำให้ลดต้นทุนในการใช้วัตถุดิบในร้านอาหารไทยลงไปอีก" นอกจากนี้ มะนาวผงยังมีศักยภาพตรงที่สามารถเข้าไปอยู่ในหลายอุตสาหกรรม เพราะเป็นของธรรมชาติไม่ใช่สารทดแทนคือทำจากมะนาวแท้ๆ 99 เปอร์เซ็นต์ โดยใช้แป้งเป็นตัวทำให้น้ำเป็นผง ปัจจุบันสามารถผลิตเดือนละ 1 ตัน และคาดว่าจะส่งออกราว 10 ตันจนถึง สิ้นปีนี้ โดยมีแผนที่เข้าไปจำหน่ายแล้วก็คือ อเมริกา ยุโรป จีน ฮ่องกง และสิงคโปร์ (ประชาชาติธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 6 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/prachachart)





รักษาโรคด้วยรังสีไวโอเลต มีฤทธิ์ฆ่าเซลล์ตัวการอักเสบ

นักวิทยาศาสตร์ยุโรปกำลังทดลองรักษาผู้ป่วยที่มีอาการน้ำมูกไหล ไอจาม และโรคผื่นคัน ตลอดจนกระทั่งไข้ละอองฟาง ด้วยรังสีอัลตราไวโอเลต ปรากฏว่าได้ผลดีอย่างเป็นที่น่าพอใจ รายงานข่าวของสื่อมวลชนอังกฤษแจ้งว่า นักวิจัยของทวีปยุโรปได้ทดลองใช้รังสีอัลตราไวโอเลตชนิด เอ.และบี. ฉายเข้าไปในจมูกของผู้ป่วยไข้ละอองฟาง และผู้ที่มีอาการน้ำมูกไหล ไอจาม และกระทั่งเป็นผื่นคัน ปรากฏว่าได้ผลดีอย่างน่าพิศวง ช่วยให้อาการทุเลาดีขึ้นทันตาเห็น นักวิจัยเชื่อว่า คงอาจจะเป็นเพราะรังสี ได้ไปฆ่าเซลล์ ที่ก่อให้เกิดการอักเสบและก่ออาการเหล่านั้นลงได้. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 7 ต.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ไม่ไร้ค่า ผลิตกระเป๋าถือ สินค้าโอทอป

นายเสนีย์ บัวบาน นักศึกษาคณะคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตโชติเวช ผลิตกระเป๋าถือโดยใช้ ราก “ลำเจียก” โดยมี อาจารย์คะนึงนิจ กัณหะกาญจนะ กับ อาจารย์กฤตพร ชูเส้ง เป็นที่ปรึกษา ค้นหาวัตถุดิบ ที่จะนำมาทำกระเป๋า โดยพบว่า ต้นลำเจียกเป็นต้นไม้ที่มีมากมาย ในแถบจังหวัดกระบี่, สงขลารวมไปถึง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้คือ นราธิวาส, ยะลา และปัตตานี ขั้นตอนการผลิต ด้วยการเตรียมเส้นใยจากรากลำเจียก โดยการตัดรากที่มีอายุ 5 เดือนขึ้นไปให้มีความยาว 50 ซม.แล้วนำรากที่ได้มาปอกเปลือก ก่อนจะผ่าออกเป็นแผ่น จากนั้นก็ฉีกเส้นใยเพื่อนำไปย้อมสี โดยแบ่งเป็นเฉดสี คือ เฉดสีอ่อน, เฉดสีกลางและเฉดสีเข้ม นำขึ้นมาวางตากแดดให้แห้ง ขั้นตอนต่อไป เป็นการนำเส้นใยที่แห้งสนิทแล้วมาทอ เป็นผืนผ้าด้วยเครื่องทอพื้นบ้าน 4 ตะกอ กำหนดให้ใช้เส้นด้ายยืนด้วยเส้นด้าย ทำจากโพลีเอสเตอร์ และเส้นใยลำเจียกเป็นเส้นด้ายพุ่งเพื่อทอเป็นผืนผ้า จนสำเร็จ กลายเป็นสินค้าโอทอป ผู้สนใจรายละเอียดผลิตภัณฑ์กระเป๋าสตรี ที่ทำมาจากรากลำเจียก กริ๊งกร๊างสอบถามไปที่ เสนีย์ 0-2866-5883, 0-6660-9031 ในวันและเวลาราชการ (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 7 ต.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ขมิ้นชันทำยาต้านมะเร็ง สถาบันมะเร็งเดินหน้าศึกษาสมุนไพรเพิ่ม

น.พ.ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้สถาบันกำลังวิจัยพัฒนาสมุนไพรไทยให้เป็นยารักษาโรคมะเร็ง โดยมีรายชื่อสมุนไพรหลายรายการที่เชื่อว่ามีฤทธิ์ต้านมะเร็งได้ ขมิ้นชัน เพราะพบว่ามีผลต่อมะเร็งเต้านมและลำไส้ใหญ่ และเรามีแผนทดลองขยายผลในมะเร็งชนิดอื่นๆ ด้วย การศึกษาวิจัยของสถาบัน จะเน้นพัฒนายารักษาโรคมะเร็งใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพจากสมุนไพรไทยที่ทราบกันว่ามีคุณสมบัติในการรักษาโรคมะเร็ง รวมถึงสมุนไพรอื่นๆ ที่น่าสนใจ โดยจะศึกษากลไกการออกฤทธิ์ของสารต้านเซลล์มะเร็งต่อเซลล์มะเร็งเป้าหมาย ความสัมพันธ์ระหว่างสูตรโครงสร้างและการออกฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็ง ตลอดจนศึกษาผลการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันของสมุนไพร รวมทั้งจัดทำมาตรฐานและพิพิธภัณฑ์สมุนไพรที่มีประวัติรักษาโรคมะเร็งและสมุนไพรที่นำมาวิจัยด้วย ดร.พรทิพา พิชา นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ จากสถาบันเดียวกัน เพิ่มเติมว่า การคัดเลือกพืชสมุนไพรที่จะนำมาใช้ศึกษาวิจัยนั้น สถาบันเน้นไปที่สองลักษณะ ได้แก่ เชิงป้องกัน และเชิงรักษา กล่าวคือ ถ้าเป็นสมุนไพรที่ทำงานกับเซลล์ปกติ เรียกว่าป้องกัน เช่น กลุ่มพืชผักกินได้ อย่าง สะเดา แต่ถ้าเป็นสมุนไพรที่ออกฤทธิ์กับเซลล์ จัดเป็นสมุนไพรเชิงรักษา อย่างไรก็ตาม กว่าจะพัฒนามาเป็นตัวยารักษาได้จริงนั้น ทีมงานบอกว่าอาจต้องใช้เวลาหลายสิบปี เพราะแต่ละขั้นตอนของการทดลองนั้น จะต้องมีข้อมูลหนักแน่นและชัดเจน นอกจากนี้ ปัจจัยด้านการขาดแคลนเครื่องมือและบุคลากรด้านการวิจัยก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้งานวิจัยล่าช้า ทางออกที่สถาบันดำเนินการอยู่ในขณะนี้ คือการสร้างความร่วมมือกับต่างประเทศ โดยเฉพาะสถาบันมะเร็งแห่งชาติญี่ปุ่น เพื่อให้ได้มาซึ่งเครื่องมือไฮเทคสำหรับให้นักวิจัยไทยได้ใช้งาน (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 7 ต.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





“ไอเออีเอ” ควง “เอลบาราได” รับโนเบลสันติภาพ

คณะกรรมการสถาบันประสาทรางวัลโนเบล ประกาศมอบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี 2005 ที่กรุงออสโล นครหลวงของประเทศนอร์เวย์ ด้วยการให้สำนักงานพลังงานปรมาณูสากล (ไอเออีเอ) กับนายโมฮัมเหม็ด เอลบาราได วัย 63 ปี ผู้อำนวยการไอเออีเอ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศอียิปต์ ร่วมกันรับรางวัลทรงคุณค่า เพราะความพยายามมุ่งมั่นห้ามแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ รวมทั้งป้องกันมิให้พลังงานนิวเคลียร์ถูกใช้ภายใต้วัตถุประสงค์ของทางทหาร และให้ความเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่า พลังงานนิวเคลียร์เชิงสันติจะนำไปใช้ด้วยวิธีการที่ปลอดภัยที่สุด เอลบาราไดเข้ารับตำแหน่งนี้เมื่อปี 2540 จนถึงปัจจุบันติดต่อกันเป็นสมัยที่ 3 แม้จะมีเสียงทัดทานจากสหรัฐฯ ด้วยรู้สึกว่าเอลบาราไดอ่อนข้อกับอิหร่านในเรื่องโครงการพัฒนานิวเคลียร์เกินไป ซึ่งสหรัฐฯมั่นใจว่าอิหร่านจะผลิตอาวุธนิวเคลียร์ ขณะที่อิหร่านปฏิเสธว่าต้องการผลิตพลังงานไฟฟ้าไว้ใช้ ทั้งที่ก่อนหน้าประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช แห่งสหรัฐฯ ประกาศต่อชาวโลกว่าอิรัก อิหร่าน และเกาหลีเหนือเป็นอักษะปีศาจ จากนั้นก่อนจะบุกอิรักเมื่อปี 2546 ด้วยข้ออ้างว่าอิรักซุกซ่อนอาวุธทำลายล้างสูง เอลบาราไดก็ร้องขอสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ให้ตรวจสอบอาวุธร้ายแรงในอิรักมากขึ้น แต่รัฐบาลกรุงวอชิงตันกลับเพิกเฉย กระทั่งต้องอับอายไปทั่วโลก เพราะหลังถล่มอิรักกลับไม่พบว่าซัดดัม ฮุสเซน อดีตผู้นำอิรัก มีอาวุธร้ายแรง. (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 15 ต.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





การนอนไม่หลับ เป็น “พันธุกรรม” อิทธิพลจากยีนส์

โดยศูนย์พันธุกรรมประจำมหาวิทยาลัยเลาซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เปิดเผยผลสำรวจเมื่อเร็วๆ นี้ว่า การนอนหลับดีหรือไม่อาจเป็นผลจากพันธุกรรม จากการทดลองหนูทดลองซึ่งพบยีนส์หลับลึก จากการใช้เครื่องวัดคลื่นทางสมองต่อหนูทดลองที่นอนไม่ค่อยหลับเป็น โดยคลื่นดังกล่าวถือเป็นธรรมชาติติดตัวมาจากพันธุกรรมรวมทั้งในมนุษย์ ขณะเดียวกัน ผลสำรวจยังระบุด้วยว่า วิตามินเอยังมีส่วนทำลายคลื่นการหลับลึกดังกล่าว นอกเหนือจากการเสี่ยงต่อสุขภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ผู้หญิงมีครรภ์ ผลวิจัยนี้สอดคล้องกับผลวิจัยก่อนหน้าที่ระบุว่าพันธุกรรมของมนุษย์สามารถทำให้เกิดการนอนไม่หลับ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีการระบุตัวยีนส์ที่มีอิทธิพลโดยตรง ทั้งนี้ สำหรับคลื่นหลับลึกจะลดลงตามอายุ และเป็นสาเหตุว่าเพราะใดเด็กจึงมักจะหลับลึกและตื่นนอนอย่างสดใสมากกว่าผู้ใหญ่ สำหรับรายงานชิ้นนี้จะถูกตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์รายสัปดาห์ของสหรัฐฉบับวันศุกร์นี้ด้วย (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 8 ต.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





มช.เจ๋งวิจัยย่อส่วน “มันม่วงจิ๋ว” หวั่นสูญพันธุ์/โตในขวดหัวกินได้

รศ.ดร.ประสาทพร สมิตะมาน ผอ.ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางด้านพืช มูลนิธิโครงการหลวง/มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยถึงความก้าวหน้าการวิจัยของศูนย์ฯ ว่า ขณะนี้ประสบความสำเร็จในการวิจัยมันม่วงจิ๋ว ซึ่งเป็นพืชป่าหายากของประเทศไทยที่ใกล้จะสูญพันธุ์ โดยทีมวิจัยประสบความสำเร็จในการบังคับให้ต้นมันม่วงจิ๋ว เจริญเติบโตได้ภายในขวด และกำลังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยเพื่อพัฒนาพันธุ์ให้ต้นมันม่วง ให้มีสีม่วงเข้มกว่าเดิม ผอ.ศูนย์วิจัยฯ มช.กล่าวต่อไปว่า ก่อนหน้านี้ทางศูนย์ฯ ประสบความสำเร็จในการวิจัยพันธุ์กล้วยไม้เล็ก หรือกล้วยไม้จิ๋วมาแล้ว ด้วยวิธีการทางเทคโนโลยีชีวภาพเป็นครั้งแรกของโลก โดยการสนับสนุนทุนวิจัยจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ซึ่งสามารถสร้างลูกผสมกล้วยไม้ที่ใช้เป็นไม้ตัดดอก มีลักษณะต้นเตี้ย กลีบดอกหนา มีความมัน มีกลิ่นหอมและออกดอกได้ตลอดทั้งปี ถือเป็นการเพิ่มความหลากหลายทางสายพันธุ์พืช และเก็บรักษาพันธุ์กล้วยไม้ไทยที่หายาก อักทั้งยังสามารถใช้เป็นของขวัญในโอกาสพิเศษ หรือพัฒนาเป็นสินค้าส่งออกยังต่างประเทศเพิ่มมูลค่าการส่งออกได้ด้วย อย่างไรก็ตาม ทางศูนย์ฯ กำลังมีแนวคิดที่จะจัดกิจกรรมอบรมเผยแพร่ความรู้ให้กับผู้สนใจเกี่ยวกับเทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช และคาดว่าในอนาคตหลังจากที่มีการรวบรวมสายพันธุ์พืชได้ในระดับหนึ่งแล้ว จะจัดตั้งศูนย์แหล่งรวบรวมพันธุ์ไม้หายากของภาคเหนือไว้สำหรับศึกษาและใช้ประโยชน์ต่อไป (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 8 ต.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





หญ้า "มิสแคนทัส" แหล่งผลิตพลังงานสีเขียว

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ได้พยายามค้นคว้าหาวิธีที่จะใช้ประโยชน์จากหญ้าป่าในสปีชี่ต่างๆ มาผลิตเป็นเชื้อเพลิงทดแทนซากฟอสซิล ล่าสุดคณะวิจัยก็ค้นพบว่าหญ้าป่าขนาดยักษ์ "มิสแคนทัส" (Miscanthus) หรือที่เรียกในแวดวงวิชาการว่า "มิสแคนทัส เอ็กซ์ ไจแจนเทียส" (Miscanthus x giganteus) ซึ่งเป็นหญ้าไฮบริดตระกูลเหง้าที่สามารถเติบโตจนมีขนาดสูงถึง 13 ฟุต มีคุณสมบัติที่สามารถใช้เป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียนในอนาคต ทดแทนการใช้พลังงานจากซากฟอสซิลในอดีตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ศ.สตีเฟน พี. ลอง ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤกษ ศาสตร์ กล่าวในการนำเสนอผลงานที่สมาคมพัฒนาวิทยาศาสตร์แห่งอังกฤษ เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ราว 40% ของพลังงานที่ใช้ในสหรัฐถูกใช้ไปเพื่อการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดในการผลิตกระแสไฟฟ้า คือ การใช้เชื้อเพลิงแข็ง อาทิ ถ่านหิน นำมาเผาไหม้เพื่อผลิตไฟฟ้า และลำต้นของหญ้า มิสแคนทัสแห้งที่ไม่มีใบก็สามารถนำมาใช้แทนเชื้อเพลิงแข็งได้เป็นอย่างดี หญ้าชนิดนี้เป็นไม้ยืนต้นที่เติบโตได้ดีในสภาพอากาศเย็น คนทั่วไปจะรู้จักกันในนาม "หญ้าช้าง" (elephant grass) สามารถพบได้ทั่วไปในภูมิภาคเอเชีย หญ้าชนิดนี้มีลักษณะคล้ายต้นอ้อยอย่างมาก และมันจะผลัดใบในฤดูหนาว เมื่อผลัดใบแล้วจะมีลักษณะคล้ายลำต้นของไผ่ ซึ่งสามารถเก็บเกี่ยวได้ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ เพื่อนำไปเผามาใช้เป็นเชื้อเพลิง " จะได้เชื้อเพลิงสะอาด ไม่เหมือนเชื้อเพลิงจากฟอสซิล เพราะจะไม่ส่งผลต่อระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับนักวิจัยจากสถาบันเจโนมิก ไบโอโลยี เพื่อร่วมกันศึกษาความเป็นไปได้ที่จะแปลงหญ้าชนิดนี้ให้อยู่ในรูปของแอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถนำไปใช้แทนเชื้อเพลิงได้ในอีกรูปแบบหนึ่ง (ประชาชาติธุรกิจ เสาร์ที่ 8 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/prachachart)





ข่าวทั่วไป


ISO 26000 มาตรฐานใหม่ ที่ผู้ประกอบการต้องเตรียมพร้อม

"ความรับผิดชอบต่อสังคม" (social responsibility) จากนามธรรมดีงาม ที่ทุกองค์กร ทุกหน่วยงานพึงปฏิบัติด้วยความสมัครใจ ดูเหมือนว่าในปัจจุบันจะกลายเป็นรูปธรรมชัดเจนมากขึ้นเสียแล้ว หลังจากที่องค์กรระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐาน (International Organization for Standardization หรือ ISO) ที่มีสมาชิกกว่า 150 ประเทศ ได้เห็นชอบให้กำหนดความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นมาตรฐานสากล ISO 26000 ที่จะเข้าไปดูแลรูปแบบการจัดการ กฎระเบียบ หลักจริยธรรม สุขภาพ สิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย และการใช้แรงงานขององค์กรให้เหมาะสม นายไพโรจน์ สัญญะเดชากุล เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวว่า ในส่วนของ ISO 26000 ถือเป็นมาตรฐานพิเศษที่ได้รับความสนใจมาก จึงเปลี่ยนแนวคิดมาตั้งคณะทำงาน (working group) กำหนดกรอบปฏิบัติ ISO 26000 แทนการตั้งคณะกรรมการวิชาการปกติ ซึ่งคณะทำงานก็จะมีตัวแทนจากประเทศสมาชิกเข้าร่วมเป็นกรรมการประเทศละ 6 คน จากการประชุมครั้งแรกในปี 2547 ที่ประเทศบราซิล ครั้งที่สองระหว่างวันที่ 26-30 กันยายน 2548 นี้เอง ประเทศไทยได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะทำงาน ISO 26000 ขึ้น ผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 350 คน จาก 45 ประเทศ และอีก 24 องค์กรอิสระ โดยวาระสำคัญของการประชุมครั้งนี้จะเป็นเรื่องกำหนดรายละเอียดมาตรฐานความผิดชอบต่อสังคม ภายใต้กรอบหลักคือ เศรษฐกิจ, สังคม และสิ่งแวดล้อม เมื่อมีการกำหนดร่างของมาตรฐานแล้วก็จะเวียนให้ประเทศสมาชิกได้แสดงความคิดเห็นในส่วนบกพร่อง พร้อมกับการออกเสียงสนับสนุน คาดว่ากระบวนการจะเสร็จสิ้นและประกาศใช้ได้ภายในปี 2550 (ประชาชาติธุรกิจ จันทร์ที่ 3 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/prachachart)





อนามัยโลกหวั่นหวัดนกระบาด อาจตายมากนับสิบล้านคน

องค์การอนามัยโลกกล่าวว่า ยอดตัวเลขของประชากรโลก ที่อาจจะเสียชีวิตลงหากโรคไข้หวัดนกเกิดระบาดใหญ่ขึ้นทั่วโลก ที่มีเหตุผลน่าจะอยู่ในราว 2-7.4 ล้านคน ซึ่งต่ำกว่าที่เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ขององค์การผู้หนึ่ง เคยพยากรณ์ไว้เมื่อก่อนหน้าว่าอาจสูงถึง 150 ล้านคน เจ้าหน้าที่ผู้เป็นผู้ประสานงานการรับมือการระบาดของโรค ดร.เดวิด นาบาร์โร เคยลั่นวาจาไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนว่า การตอบสนองของโลกเท่านั้นจะเป็นคนกำหนดว่า พลโลกจะต้องพากันเสียชีวิต หากเกิดระบาดใหญ่ขึ้นมามากหรือน้อยตั้งแต่ 5 ล้านจนถึง 150 ล้านคนได้ ตัวเลขนี้สูงเกินกว่ายอดผู้เสียชีวิตเมื่อคราวโรคหวัดสเปน เท่าที่มีการบันทึกการระบาด เมื่อปี พ.ศ. 2461-2462 กว่ากันถึง 3 เท่า ครั้งนั้นมีผู้ล้มตายไปทั่วโลกประมาณ 50 ล้านคน องค์การอนามัยโลกได้แสดงความกลัวอย่างยิ่งว่าโรคระบาดนก ซึ่งเคยปรากฏขึ้นตามชาติเอเชียนจำนวนหนึ่งมาอย่างประปราย อาจจะเกิดระบาดใหญ่ไปทั่วได้ เพราะสายพันธุ์เอช 5 เอ็น 7 ปัจจุบัน สามารถติดต่อมาถึงมนุษย์ได้อย่างง่ายดาย และกำลังเฝ้าติดตามดูว่ามันอาจจะแปลงพันธุกรรม ทำให้มันมีฤทธิ์ร้ายกาจมากขึ้นและติดต่อกันได้รวดเร็วขึ้นได้หรือไม่ (ไทยรัฐ อังคารที่ 4 ต.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ไทยเตรียมเสนอ "ท่านพุทธทาส" ให้ยูเนสโกยกย่องเป็นบุคคลสำคัญของโลก

นายอุดม ไกรวัตนุสสรณ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิด ว่ากระทรวงศึกษาธิการโดยการเสนอของมูลนิธิเสถียรโกเศศ-นาคะประทีป เตรียมเสนอชื่อพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ฉายา เงื่อม อินทปัญโญ ให้องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ประกาศยกย่องเป็นบุคคลสำคัญของโลก ซึ่งแต่ละปียูเนสโกจะคัดเลือกบุคคลดีเด่นที่ประเทศสมาชิกเสนอชื่อเข้ามาจำนวนหนึ่ง แล้วประกาศยกย่องเป็นบุคคลสำคัญของโลกในด้านต่างๆ เพื่อให้แต่ละประเทศจัดงานเฉลิมฉลอง เหตุผลที่ประเทศไทยเสนอชื่อท่านพุทธทาสให้ยูเนสโกประกาศยกย่องเป็นบุคคลสำคัญของโลก เนื่องจากท่านพุทธทาสเป็นบุคคลผู้มีคุณูปการต่อสังคมไทยและสังคมโลก มีความโดดเด่นด้านการสืบต่อพระศาสนา เป็นประทีปทางปัญญาที่ยิ่งใหญ่ อุทิศตนเพื่อการสั่งสอนธรรมะเพื่อผดุงไว้ซึ่งสันติธรรม ยุติธรรม และให้มนุษย์อยู่ร่วมกับวิ่งแวดล้อมได้อย่างกลมกลืน ที่สำคัญในวันที่ 27 พฤษภาคม 2549 จะเป็นวันครบชาตกาล 100 ปี ของท่านพุทธทาสภิกขุด้วย จึงสมควรที่คนไทยจะได้ยกย่องเชิดชูและร่วมกันเฉลิมแลอง (คมชัดลึก อังคารที่ 4 ต.ค. 48 http://www.komchadluek.net) แนะกินบรอกโคลีเสริมความจำอุดมด้วยสารต้านโรคหลงลืม นักวิจัยอังกฤษแนะคนขี้หลงขี้ลืมให้หันมากินบรอกโคลีเสริมความจำ เพราะผลการศึกษาล่าสุดระบุว่า ผักชนิดนี้มีสารประกอบเหมือนที่มีอยู่ในยารักษาโรคสมองเสื่อม หรืออัลไซเมอร์ดีๆ นี่เอง ทีมวิจัยจากคิงส์ คอลเลจ ลอนดอน พบสารสกัดในผักและผลไม้ 5 ชนิด ได้แก่ บรอกโคลี มันฝรั่ง ส้ม แอปเปิ้ล และหัวไชเท้า ซึ่งมีสารประกอบที่ทำหน้าที่เหมือนกับยาที่ใช้รักษาโรคอัลไซเมอร์ โดยบรอกโคลีมีสารดังกล่าวมากที่สุดในกลุ่ม โรคอัลไซเมอร์ หรือโรคสมองเสื่อมยังไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ เป็นโรคที่พบได้ในผู้สูงวัย ซึ่งใครเป็นโรคนี้แล้วจะไม่สามารถดำเนินชีวิตประจำได้อย่างเป็นปกติ เนื่องจากเซลล์สมองในส่วนควบคุมความคิด ความจำ และภาษาได้รับความเสียหาย โดยยาที่ใช้รักษาส่วนใหญ่ จะเน้นไปที่การยังยั้งเอนไซม์อะซีทิลโคลีเนสโตเรส (acetylcholinesterase) ไม่ให้ทำงาน เนื่องจากเอนไซม์ชนิดนี้มีพิษต่อร่างกาย ส่งผลต่อระบบกระตุ้นประสาทที่ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ จากการศึกษาพบว่า บรอกโคลีมีสารสำคัญที่มีฤทธิ์ต้านอัลไซเมอร์สูงสุด แม้จะยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่ากินบรอกโคลีแล้ว สามารถป้องกันโรคได้จริง แต่นักวิจัยเชื่อว่าการบริโภคสารประกอบเหล่านี้ในระยะยาว รายงานก่อนหน้านี้ แนะนำให้ผู้บริโภครับประทานผักที่มีสารต้านอะซีทิลโคลีเนสโตเรสเช่นกัน แต่ยังไม่ข้อมูลเชิงลึกออกมา ต่างจากงานวิจัยชิ้นนี้ที่ยืนยันให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผักและผลไม้ทั้ง 5 ชนิด มีสารสำคัญดังกล่าวจริง (คมชัดลึก อังคารที่ 4 ต.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





เตือนฤทธิ์ ยาแก้สมาธิสั้น บั่นทอนชีวิตคนไข้

ศ.ดร.ภักดี โพธิศิริ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) เตือนแพทย์ให้ระมัดระวังการใช้ยา “Strattera” ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาโรคสมาธิสั้นเพราะมีรายงานว่า เด็กที่ใช้ยานี้บางรายมีแนวโน้มที่จะฆ่าตัวตาย และได้ให้บริษัทอีไล ลิลลี่ แอนด์โค (Eli Lilly & Co.) พิมพ์ประกาศคำเตือนนี้ไว้ข้างบรรจุภัณฑ์ยาที่จำหน่ายในสหรัฐฯ ในประเทศอื่นๆด้วย แม้ว่าจากรายงานการศึกษาจะพบว่าผู้ป่วยที่อยากฆ่าตัวตาย หลังจากใช้ยานี้มีเปอร์เซ็นต์น้อยมากก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่า ยาชนิดนี้ได้เข้ามาจดทะเบียนยาในประเทศไทยเมื่อเดือนสิงหาคม 2548 ที่ผ่านมา โดยเป็นยาที่ใช้ในการรักษาโรคสมาธิสั้นในเด็กอายุ 6 ขวบขึ้นไป จนถึงวัยรุ่น ทั้งนี้ ยาชนิดนี้เป็นยาใหม่ที่เพิ่งเข้ามาสู่ตลาดเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ ซึ่งหลังจากออกสู่ตลาดก็มีผลการทดลองที่เอฟดีเอทำร่วมกับบริษัทพบว่า กลุ่มผู้ที่ใช้ยานี้ประมาณร้อยละ 0.4 มีความพยายามที่จะฆ่าตัวตาย ส่วนจะมีการออกคำเตือนไปยังแพทย์หรือนำขึ้นเว็บไซต์ของ อย.หรือไม่นั้น ศ.ดร.ภักดี กล่าวว่า จะนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุกรรมการความปลอดภัยในการใช้ยา ซึ่งมีกรรมการผู้เชี่ยวชาญร่วมกันพิจารณาก่อน ทั้งนี้ ทาง อย. มีการติดตามความปลอดภัยของการใช้ยาของประเทศออสเตรเลีย สหรัฐฯ และกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) ตลอดเวลา ซึ่งหากมีคำเตือนทางวิชาการใดออกมาเราก็จะดำเนินการต่อไป. (ไทยรัฐ พุธที่ 5 ต.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





อุตฯเตรียมเก็บค่าทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐ มนตรีและรมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมมีนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาเรื่องการจัดเก็บค่าใช้จ่ายในการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์จากบริษัทผู้ผลิตและผู้นำเข้า เนื่องจากเป็นขยะที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และมีขั้นตอนการทำลายที่ซับซ้อนกว่าขยะอุตสาหกรรมทั่วไป ซึ่งการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้า เครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งอาจจะปรับสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ในทางกลับกันถือว่าเป็นผลดีต่อคุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อมโดยรวม ทั้งนี้เพื่อให้การบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมอย่างเป็นระบบตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางกระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้เร่งดำเนินการสร้างเตาเผากากอุตสาหกรรมที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู ซึ่งเป็นเตาเผาของเสียอุณหภูมิสูง 1,200 องศา เปิดให้บริการผู้ประกอบการนำกากของเสียที่เป็นอันตรายและของเสียติดเชื้อมากำจัดในเตาเผานี้ได้ ส่วนสถานการณ์กากอุตสาหกรรมในไทย มีรวมทั้งหมด 6.4 ล้านตัน แบ่งเป็นกากอันตราย 1.2 ล้านตัน กากไม่อันตราย 5.2 ล้านตัน มีโรงงานที่เป็นผู้ก่อให้เกิดกากของเสียอุตสาหกรรม 60,000 โรงงาน. (เดลินิวส์ พุธที่ 5 ต.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ชี้มนุษย์รับสารพิษโดยไม่รู้ตัว

กรณีศึกษาของกองทุนสัตว์ป่าโลก(ดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ) เผยแพร่เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ระบุว่า ชาวยุโรปโดยเฉพาะเด็กๆ ได้ดูดซึมเอาสารเคมีอันตรายเข้าสู่ร่างกายไปมากโดยไม่รู้ตัว โดยผ่านทางอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ที่มนุษย์เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน อาทิ คอมพิวเตอร์ เสื้อผ้า เครื่องสำอาง และอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น กรณีศึกษานี้ของกองทุนสัตว์ป่าโลกเป็นการสำรวจศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง 13 ครอบครัวใน 12 ประเทศยุโรป ซึ่งระบุพบสารประกอบเคมีอันตรายที่มนุษย์ผลิตขึ้นในระบบเลือดในร่างกายของผู้เป็นยาย มารดาและเด็กๆ ทั้งสิ้น 73 ชนิด โดยสารเคมีอันตรายที่พบในรุ่นยายมีสูงสุดเฉลี่ยถึง 63 ชนิด ซึ่งรวมสารดีดีทีที่ต้องห้าม ขณะที่พบสารเคมีอันตรายในรุ่นแม่เฉลี่ย 49 ชนิดเท่านั้น แต่พบในเด็กมีมากถึง 59 ชนิด และส่วนใหญ่เป็นสารเคมีตัวใหม่ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน นายคาร์ล วากเนอร์ ผู้เชี่ยวชาญของกองทุนสัตว์ป่าโลก กล่าวว่า กรณีศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าเราได้รับสารเคมีอันตรายที่ไม่มีการควบคุมเข้าไปโดยไม่รู้ตัว และน่าตกใจอย่างยิ่งเมื่อพบว่าสารพิษอันตรายที่ใช้กันในชีวิตประจำวัน ปนเปื้อนอยู่ในร่างกายของเด็กๆ (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 7 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/matichon)





ไทย-คอสตาริการ่วมวิจัยพลังงานทางเลือก ดึงบราซิลแจมพัฒนา-ผลิตเอทานอลแก้น้ำมันแพง

ผู้สื่อข่าวรายงานจากประเทศคอสตาริกาเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ระบุว่า ไทยและคอสตาริกาตกลงร่วมมือกันแสวงหาทางออกจากภาวะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนาน ทั้งนี้ประธานาธิบดีอาเบล พาชิโก เดอ ลา เอสพริเอลลา ของคอสตาริกา ให้สัมภาษณ์หลังนายกันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งอยู่ในระหว่างเดินทางเยือนคอสตาริกาอย่างเป็นทางการเข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการที่ทำเนียบประธานาธิบดีว่า สิ่งที่ทั้งสองประเทศจะสามารถร่วมมือกันได้อย่างดีคือเรื่องพลังงานทดแทน เพราะคอสตาริกามีความเชี่ยวชาญเรื่องปาล์มน้ำมัน ขณะที่ไทยมีความรู้เรื่องการผลิตเอทานอลจากอ้อยและมันสำปะหลัง นายกันตธีร์กล่าวว่า คอสตาริกามีประสบการณ์ในการพัฒนา ค้นคว้า และวิจัยเรื่องปาล์มน้ำมัน และยังมีความสนใจในเรื่องเอทานอลอีกด้วย จึงจะกลับไปพิจารณาว่าจะร่วมมือกันเพิ่มขึ้นต่อไปได้อย่างไร โดยในส่วนของเอทานอลนั้นอาจเป็นความร่วมมือสามฝ่าย เพราะไทยมีความร่วมมือกับบราซิลในเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 7 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/matichon)





เลื่อนถกไฮเทคแก้โลกร้อน

บีบีซีรายงานเมื่อ 5 ต.ค.ว่า การประชุมกลุ่มสนธิสัญญาเอเชีย-แปซิฟิกเพื่อการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและภูมิอากาศ นัดแรกต้องเลื่อนออกไปโดยไม่มีกำหนด จากเดิมที่กำหนดไว้ในเดือนพ.ย. ที่เมืองอาดีเลด ออสเตรเลีย โดย 6 ชาติสมาชิก ได้แก่ ออสเตรเลีย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหรัฐ หวังให้สนธิสัญญาฉบับนี้เป็นทางเลือกใหม่จากพิธีสารเกียวโต ซึ่งชาติมหาอำนาจอย่างอเมริกาและออสเตรเลียยังไม่ยอมลงนาม สำหรับสนธิสัญญาใหม่นี้จะเน้นการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดภาวะการปล่อยก๊าซที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน แต่เชื่อว่าเนื่องจากยังไม่มีแนวทางเป็นรูปธรรม จึงต้องเลื่อนการประชุมออกไป (ข่าวสด ศุกร์ที่ 7 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





"เมดดิไซน์"ทุ่มเสริมบริการ-ชะลอวัย

แพทย์หญิงอัจจิมา สุวรรณจินดา ผู้อำนวยการสถาบันวัยวัฒน์และความงามเมดดิไซน์ (MEDISCI) เผยว่า ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา สถาบันวัยวัฒน์และความงาม เมดดิไซน์ได้ทำการทดลองตลาดทางด้านโปรแกรมชะลอวัย และได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายหลักคือ กลุ่มชาย-หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไปเป็นอย่างดี ทางสถาบัน ยังได้นำวิทยาการ Anti-aging ศาสตร์แพทย์แขนงใหม่ ที่ได้รับการนิยมอย่างแพร่หลายในยุโรปและอเมริกามาเปิดให้บริการ ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจด้านนี้ โดยทางสถาบันจะเน้นการรักษาและบริการแบบเฉพาะบุคคล ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา จึงทำให้อัตราค่าบริการอยู่ในระดับพรีเมียม แต่เต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพ ซึ่งเริ่มแรกได้ใช้งบการลงทุนไปแล้ว 100 ล้านบาท และคาดว่าจะลงทุนเพิ่มอีก 30 ล้านบาท ในปี 49 เพื่อนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเสริมการให้บริการ ส่วนแนวโน้มการทำตลาดในปี 2549 เรายังคงมุ่งเน้นการให้บริการทางการแพทย์ชะลอวัย ซึ่งยังเป็นตลาดใหม่ และมีแผนที่จะใช้สื่อที่สามารถให้รายละเอียดของบริการได้มากๆ เนื่องจากต้องการให้กลุ่มเป้าหมายมีความรู้ ความเข้าใจถึงสาเหตุ และกระบวนการที่ชัดเจน ขณะเดียวกันยังได้ออกบัตรสมาชิก MEDISCI Anti-aging & Aesthetics ซึ่งเป็นบัตรสิทธิประโยชน์ด้านการชะลอวัยเพียงใบเดียวในตลาด มีจำนวนจำกัดเพียง 1,000 ชุดเท่านั้น โดยสามารถเป็นเจ้าของได้ในราคา 39,900 บาท สิทธิประโยชน์ต่างๆ สามารถเปลี่ยนมือผู้ใช้บริการได้ คาดว่าภายในปี 49 จะสามารถสร้างยอดขายจากกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้นถึง 50% สถาบันวัยวัฒน์และความงามเมดดิไซน์ตั้งอยู่ชั้น 17 อาคาร 2 โรงพยาบาลวิภาวดี (ข่าวสด ศุกร์ที่ 7 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





สภาวิจัยดัน'สเต็มเซลล์'สู่แผนพัฒนาชาติ

สภาวิจัยแห่งชาติหนุนการวิจัยเซลล์ต้นกำเนิดเข้าแผนยุทธศาสตร์ชาติ หวังแข่งกับนานาประเทศป้องกันเสียเปรียบด้านวิชาการ เตรียมหาแนวทางเพิ่มจำนวนเซลล์และควบคุมเซลล์กลายพันธุ์ ขณะที่แพทย์รามาฯ หวั่นเป็นอันตรายเพราะยังไม่มีรายงานแน่ชัดถึงประสิทธิภาพการรักษา ด้านสภากาชาดไทยจี้รัฐหนุนงบประมาณบริหารจัดการธนาคารเซลล์ต้นกำเนิด เผยคนบริจาคน้อยมาก ส่วนแพทยสภาเตรียมออกกฎคุมเข้มบริษัทเอกชนแห่เปิดธนาคารเนื้อเยื่อ ศ.ดร.อานนท์ บุณยะรัตเวช เลขาธิการคณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ (วช.) เปิดเผยว่า สภาวิจัยฯ ได้ผลักดันให้งานวิจัยและการศึกษาด้านเซลล์ต้นกำเนิด (สเต็มเซลล์) โดยเฉพาะการวิจัยเซลล์ต้นกำเนิดเต็มวัยเข้าสู่แผนการพัฒนายุทธศาสตร์แห่งชาติ 5 ปี โดยมุ่งพัฒนาบุคลลากรและองค์ความรู้ให้มากขึ้น หากสามารถบรรลุเป้าหมายของแผนดังกล่าวได้ จะทำให้ประเทศไทยไม่เสียเปรียบต่างประเทศในเวทีนานาชาติ ทั้งด้านวิชาการและการพัฒนาประเทศด้านสาธารณสุข (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 7 ต.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ดื่มน้ำให้เพียงพอ ช่วยรักษาโรค-สุขภาพดี

หลายคนทราบกันดีอยู่แล้วว่า คนเราควรดื่มน้ำ ให้ได้วันละ 8-10 แก้ว แต่บางคนยากที่จะปฏิบัติตามนั้น วิธีปฏิบัติให้ดื่มน้ำได้วันละ 8 แก้วนั้น ถ้าปฏิบัติเป็นประจำจนอยู่ตัวแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นแสนเข็ญอะไร วันนี้จึงนำเอาเคล็ดลับในการดื่มน้ำ ให้ครบตามสูตร ซึ่งเว็บไซต์ด้านสุขภาพ www.healthcentral.com บอกไว้ดังนี้ เริ่มต้นด้วยการดื่มน้ำตอนเช้าให้ได้ 2 แก้ว จะช่วยให้รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้น ก่อนกินอาหารสักครึ่งชั่วโมงดื่มน้ำ 1 แก้วจะทำให้ลดความหิวและความอยากอาหารลงได้ นอกจากนี้ต้องไม่ลืมว่าควรดื่มน้ำ 1 แก้วต่อการดื่มเบียร์ ไวน์ หรือชา กาแฟ ทุก 1 แก้วเช่นกัน หันมาที่เว็บ http://thai.mindcyber.com ยังได้แนะนำวิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ พร้อมด้วยวิธีดื่มน้ำ เพื่อสุขภาพดีไว้ว่าควรดื่มน้ำ ที่ไม่ร้อนหรือเย็นจัด หากเป็นน้ำอุ่นเล็กน้อย ดื่มในตอนเช้าจะให้การขับถ่ายดีขึ้น ลำไส้สะอาด ส่วนระยะเวลาดื่มน้ำให้แบ่งเป็นช่วงๆ คือ ตื่นนอนตอนเช้า ดื่มน้ำ 1 แก้ว (แก้วบรรจุ 400 ซีซี) ตอนสาย 2 แก้ว ตอนบ่าย 3 แก้ว ตอนเย็น 3 แก้ว ก่อนเข้านอนอีก 1 แก้ว มีข้อควรจำไว้ว่าไม่จำเป็นต้องดื่มครั้งละ 2-3 แก้วติดต่อกันทันที ควรดื่มตามปกติสบายๆ ผู้ที่ดื่มครั้งแรกๆ จะรู้สึกคลื่นไส้นิดหน่อยเป็นอาการปกติธรรมดาทั้งนี้ เพราะผนังลำไส้ และกระเพาะอาหารขยายตัวขึ้น ต่อไปจะไม่มีอาการอีกสามารถดื่มได้ง่าย และรู้สึกสบายที่ได้ดื่มน้ำมากๆ. (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 15 ต.ค. 48 http://www.thairath.co.th)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215