หัวข้อข่าวปีที่ 6 ฉบับที่ 40 ประจำวันที่ 2005-10-21

ข่าวการศึกษา

รุ่นพี่มช.ชวนน้องสัมผัสโลกบรรจุภัณฑ์
ม.รังสิตจับมือม.ไต้หวันเรียนจบตรี-โทสองสถาบัน สอนอาหาร"ไทย-จีน"ได้ใบประกาศฯจากก.แรงงาน
สทศ.เตรียมการสอบ O-NET ปี49
เรียนรู้ 'โลกของเรา' บนเวบไซต์
มจษ.จับมือ กทม. รุกสร้าง ร.ร.ดนตรี
อธิการฯ9มทร.พบ"ภาวิช" ขอทบทวนโครงสร้างใหม่
มธ.เปิดคณะสาธารณสุข
4 คนเก่งคว้าแชมป์สุดยอดเด็กรอบรู้

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

รอยเลื่อนและแผ่นดินไหว
ดาวเทียมนาซ่าบันทึก ภาพ"โลกมนุษย์"ใหม่ล่าสุด
จีนตั้งเป้า 5 ปีส่ง"อาหมวย"บุกอวกาศ
ฟาร์มาโคจีโนมิคส์ เทคโนโลยีการรักษาโรคล้ำยุค
ท้องฟ้าจำลองจัด "สำรวจอวกาศ" ทัวร์ดวงดาวนอกโลก พ.ย.-ธ.ค.นี้
พบดาวใหม่ใกล้"หลุมดำ"
วันเทคโนโลยีโชว์นวัตกรรมคนไทย
แสงประหลาดในทะเล
มกอช.ดันแล็ปสร้างมาตรฐานสินค้าส่งออก
สำรวจดาวเคราะห์คู่แฝดโลก หาบทเรียนแก้โลกร้อน
สวนสัตว์โคราชพบจิ้งเหลนพันธุ์ใหม่

ข่าววิจัย/พัฒนา

แพทย์รามาสยบมะเร็งอยู่หมัดเพิ่มสมรรถนะภูมิคุ้มกันจู่โจมเซลล์ร้าย
เกลือสินเธาว์ร้ายพอกับเกลือป่น
"เทคโนโลยีชีวภาพ"กุญแจรักษาอนาคต
ออราเคิล-ไทย สร้างงานวิจัยยาเฉพาะบุคคล
ป่าไม้เจ๋งใช้ความร้อนอบไม้ สวย-ทนเตรียมจดสิทธิบัตร
นักวิจัยมอ.เลี้ยงปูม้าด้วยน้ำทิ้งโรงงาน ใช้หลักสร้างอาหาร แห่งเดียวในโลก
ไทยเดินหน้าพัฒนารถอัจฉริยะ
ส่องม่านตายืนยันตัวแม่นยำ ม.เกษตรศาสตร์ขอโชว์ฝีมือไทยล้วน
คิดระบบป้องกันโจรฉกมือถือ จดจำท่วงท่าการเดินเจ้าของ
จับตาอากาศโลกเปลี่ยน
‘แคนาดา’ พบพี้กัญชาบำรุงสมอง สร้างเซลล์ใหม่เกิดขึ้นได้
ใช้มันฝรั่งคลุกเคล้า 'ซีเมนต์' ได้คอนกรีตแข็งแกร่งสีสันสดใส
ฝีมือคนไทยทำของเล่นไม้ ปลอดจากกาวไร้สารเคมี
นักวิจัยไทยทดลองใช้เปลือกผลไม้ต้านรอยย่น
พัฒนาเครื่องบีบอัดน้ำมันสะเดา ปริมาณน้ำมันสะเดาเพิ่ม สะดวก
“ทองพันชั่ง” ยับยั้งมะเร็งเต้านม-มดลูก
วิจัยเพิ่มพลังเม็ดเลือดขาว ฆ่าเซลล์มะเร็งท่อน้ำดี
เปลี่ยนยางรถยนต์เก่าเป็นพลังงานน้ำมัน
วิจัยสมุนไพรไทยเป็นยาแก้อักเสบ
หมอนแหล่งเพาะเชื้อรา ต้นตอโรคหอบหืด-ไซนัส
พบเทคนิคเพาะตับให้กลับงอก ในห้องทดลอง
เครื่องผลิตไบโอดีเซลแบบต่อเนื่อง
ถอดลายมือเป็นฟอนต์คอมพ์ ไม่ต้องเสียเวลาพิม์ซ้ำ
รักษาวัณโรคแบบใหม่ร่นเวลา นำร่องในแอฟริกาใต้-อูกันดา
ไทยเตรียมทดลองวัคซีนจับกินเอดส์ปีหน้า
เครื่องปัดโคลนติดพื้นรองเท้า
หมอกระดูกชี้ 20%สะโพกหัก เจอกระดูกพรุนตายใน 6 เดือน
รถเอ็นจีวีประหยัดพลังงาน "ธรรมศาสตร์" ศูนย์รังสิต
"คีเฟอร์"อาหารสุขภาพมาแรง ราชภัฏปรุงสูตร-จากทิเบตสู่ไทย
Robot Kit ชุดสร้างหุ่นยนต์ ปั้นเด็กพันธุ์ใหม่

ข่าวทั่วไป

รัฐบาลเตรียมตั้ง จว.ที่ 77 'นครสุวรรณภูมิ'
ชื่อใหม่ ‘สะพานพระราม 4’ พระราชทานแทน ‘ปากเกร็ด’
ดีไซเนอร์หนุ่ม คว้ารางวัลออกแบบบนเวทีโลก
"บะหมี่สำเร็จ"รูปทำจากอะไร?
ส่งผู้เชี่ยวชาญเชื้อไวรัสโรคหวัด ศึกษาแหล่งเกิดH5N1
คณะรัฐมนตรีเพิ่มโทษ"เมาแล้วขับ" ทำผิดอ่วมปรับสองหมื่น-ติดคุก 1 ปี
หญิงบังกลาเทศซิวรางวัลสมเด็จพระศรีฯ
เตรียมเจรจาโคเด็กซ์ ขอเพิ่มค่าแคดเมียมที่ปนเปื้อนในปลาหมึก
ข้าวโอ๊ตป้องกันโรคหัวใจ
ดื่มน้ำให้มากเพื่อสุขภาพที่ดี
TOP 10 ประเทศมหาเศรษฐี





ข่าวการศึกษา


รุ่นพี่มช.ชวนน้องสัมผัสโลกบรรจุภัณฑ์

ภาควิชาเทคโนโลยีการบรรจุ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่แจ้งว่า ได้มีการจัดโครงการฝึกอบรมเรื่อง "เปิดโลกบรรจุภัณฑ์กันเถอะ" เพื่อฝึกอบรมแนะแนวการศึกษาทางด้านเทคโนโลยีการบรรจุขั้นพื้นฐานแก่นักเรียนในระดับมัธยมศึกษา เพื่อแนะแนวทางการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา สร้างความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสาขาวิชาเทคโนโลยีการบรรจุ ตลอดจนเพื่อเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ภาควิชาเทคโนโลยีการบรรจุให้เป็นที่รู้จักอันจะเป็นแนวทางในการเลือกเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาต่อไป การฝึกอบรมครั้งนี้ จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 19-21 ต.ค.48 ณ ห้องเรียน PKT 301 ชั้น 3 อาคารภาควิชาเทคโนโลยีการบรรจุ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมีเนื้อหาครอบคลุมความรู้ทางด้านเทคโนโลยีการบรรจุ เช่น การผลิตวัสดุที่ใช้ในการบรรจุ หลักการบรรจุเบื้องต้น การขึ้นรูปบรรจุภัณฑ์ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ และการนำบรรจุภัณฑ์ไปใช้งาน เป็นต้น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่โทรศัพท์/โทรสารเบอร์ 0-5394-8224 (ข่าวสด จันทร์ที่ 17 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ม.รังสิตจับมือม.ไต้หวันเรียนจบตรี-โทสองสถาบัน สอนอาหาร"ไทย-จีน"ได้ใบประกาศฯจากก.แรงงาน

นายเสรี วังส์ไพจิตร คณบดีคณะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยหมิง ฉวน ประเทศไต้หวัน ลงนามความร่วมมือสร้างมิติใหม่ทางการศึกษา เพื่อความเป็นหนึ่งด้านภาษาในทวีปเอเชีย โดยในปีการศึกษาหน้าจะมีหลักสูตรแลกเปลี่ยนนักศึกษาไอที และพัฒนางานวิจัย ตลอดจนหลักสูตรต่างๆ 4 คณะ ได้แก่ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะบริหารธุรกิจ คณะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบิน และวิทยาลัยนานาชาติ ซึ่งหลักสูตรต่างๆ จะใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอนทั้งหมด นอกจากนี้ จะร่วมมือทำวิจัยระหว่าง 2 มหาวิทยาลัยในหลักสูตรการประกอบอาหารทั้งไทยและจีน โดยจะวิจัยทัศนคติและพฤติกรรมของคนไทยที่ไปท่องเที่ยวไต้หวันและคนไต้หวันที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย เพราะการท่องเที่ยวเป็นรายได้หลักของประเทศ จำเป็นต้องเร่งพัฒนาให้เป็นรูปธรรมมากกว่านี้ ทางมหาวิทยาลัยเล็งเห็นความสำคัญของการประกอบอาหารไทยและจีน จึงจัดหลักสูตรระยะเวลาสั้น 1 เดือน เพื่อรองรับนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยหมิง ฉวน ที่จะมาเรียนอาหารไทย พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้นักศึกษาจากทุกคณะที่มีความประสงค์อยากเดินทางไปเรียนประกอบอาหารจีนที่มหาวิทยาลัยหมิง ฉวน เมื่อจบหลักสูตรนี้จะได้รับประกาศนียบัตรการประกอบอาหารไทยจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ซึ่งสามารถใช้รับรองการประกอบอาหารไทยทั่วโลก (มติชนรายวัน อังคารที่ 18 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





สทศ.เตรียมการสอบ O-NET ปี49

รศ.ประทีป จันทร์คง ผอ.สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยถึงการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือ O-NET และการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง หรือ A-NET ว่า ขณะนี้สทศ.กำลังเตรียมการรับสมัคร ซึ่งการสอบ O-NET นั้น นักเรียนทุกคนที่ปีนี้อยู่ชั้นม.6 จะต้องสอบอยู่แล้ว จึงไม่ต้องสมัครสอบ โดยทางโรงเรียนจะจัดส่งรายชื่อนักเรียนให้สทศ.เพื่อดำเนินการจัดห้องสอบ ซึ่งขณะนี้ สทศ.ได้รับรายชื่อจากโรงเรียนเกินกว่า 70% แล้ว แต่สำหรับนักเรียน ม.6 ที่จบก่อนปี 2548 จะสมัคร O-NET ในวันที่ 1-15 พ.ย.2548 ส่วนนักเรียนที่กำลังเรียนหลักสูตรเทียบเท่า ม.6 เช่น อาชีวศึกษา หรือกศน.จะรับสมัคร O-NET วันที่ 15-25 พ.ย. 2548 สำหรับการสมัครสอบ A-NET จะรับสมัครวันที่ 1-15 ธ.ค. 2548 โดยวิธีการรับสมัครจะมีหลายช่องทาง เช่น สมัครผ่านทางอินเทอร์เน็ต หรือสมัครผ่านทางโรงเรียนก็ได้ และให้โรงเรียนรวบรวมรายชื่อและเงินส่งมาที่ สทศ. เพื่อเป็นการลดขั้นตอน รวมทั้งโรงเรียนจะได้ช่วย สทศ.ตรวจสอบข้อมูลเด็กอีกทางหนึ่งด้วย ส่วนเรื่องการจัดสถานที่สอบนั้น สทศ.ยังมีเวลาในการจัดสนามสอบและห้องสอบอีกประมาณ 2 เดือน ซึ่งจะต้องรณรงค์ให้เด็กรู้จักการตรวจสอบข้อมูล โดย สทศ. จะส่งข้อมูลเรื่องสถานที่สอบผ่านทั้งทางเว็บไซต์ของ สทศ. และโรงเรียนที่เด็กเรียนอยู่ รวมทั้งศูนย์สอบทุกแห่ง และสนามสอบทุกแห่ง เพื่อให้เด็กเข้าถึงข้อมูลได้อย่างสะดวกที่สุด นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ ได้ลงนามในประกาศกระทรวงศึกษา ธิการว่าด้วยนโยบายการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐานหรือ O-NET เพื่อให้การทดสอบเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยในประกาศดังกล่าวระบุให้นักเรียนม.6 ทุกคน ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนเอกชน และโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัย ต้องเข้าทดสอบ O-NET และนักเรียนที่กำลังศึกษาเทียบเท่าชั้นม.6 ในสังกัดอื่น ๆ ที่จะทดสอบก็สามารถทดสอบได้ โดยไม่ต้องเสียค่าสมัคร ทั้งนี้การสอบ O-NET วิชาคณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม จะสอบวันที่ 25 ก.พ. 2549 ส่วนวิทยาศาสตร์ และภาษาไทย สอบวันที่ 26 ก.พ. (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 18 ต.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





เรียนรู้ 'โลกของเรา' บนเวบไซต์

รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับสถาบันทางการศึกษาจากประเทศแคนาดา สร้าง "สื่อการเรียนรู้เชิงวัตถุ" เกี่ยวกับวิชาปฐพีวิทยา พร้อมทั้งให้บริการในระบบเรียนออนไลน์ (อี-เลิร์นนิ่ง) ผ่านเวบไซต์ http://stloe.most.go.th ของศูนย์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เนื้อหาวิชาจะมีทั้งภาษาไทยและอังกฤษ แบ่งเป็น 70 เรื่องใน 9 กลุ่มวิชา ประกอบด้วย ความรู้เบื้องต้นว่าด้วยโลก หินและแร่ธาตุ ภูมิอากาศ ภูเขาไฟ แผ่นดินไหว มหาสมุทร บรรยากาศ ฟอสซิล พลังงานแสงอาทิตย์ ขณะนี้ได้พัฒนาเนื้อหาเสร็จสมบูรณ์แล้ว 1 เรื่อง ซึ่งเป็นในส่วนของแมกมาและลาวา ในกลุ่มวิชาภูเขาไฟ และคาดว่าประมาณปลายเดือนตุลาคมนี้ จะเปิดให้บริการเพิ่มอีก 1 เรื่อง ในส่วนของทฤษฎีการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก จากนั้นจะทยอยให้บริการเนื้อหาจนครบทั้ง 70 เรื่องตามที่กำหนด โดยคาดว่าจะพัฒนาข้อมูลภาษาไทยและภาพกราฟฟิกประกอบการเรียนรู้ เพื่อให้บริการไม่ต่ำกว่า 15 เรื่องต่อเดือน นอกจากเนื้อหาที่พัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยวอเตอร์ลู ประเทศแคนาดาแล้ว สวทช. ยังได้สร้างเครือข่ายพัฒนาเนื้อหาเพิ่มเติม โดยร่วมกับสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ เพื่อดึงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และความหลากหลายทางชีวภาพของภูมิภาคต่างๆ มาจัดทำเป็นเนื้อหาเพิ่มเติม สำหรับประกอบเป็นความรู้ในลักษณะอี-เลิร์นนิ่ง โดยมหาวิทยาลัยมหาสารคาม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีและมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ได้นำร่องร่วมพัฒนาเนื้อหาดังกล่าว พื้นที่ภาคอีสานมีความหลากหลายทางชีวภาพ และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดจะรวบรวมขึ้นบนเวบไซต์นี้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้เวบไซต์เป็นศูนย์กลางความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างแท้จริง (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 19 ต.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





มจษ.จับมือ กทม. รุกสร้าง ร.ร.ดนตรี

รศ.มานพ พราหมณโชติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม (มจษ.) ได้ร่วมหารือกับนายทวีศักดิ์ เดชเดโช ผู้อำนวยการสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กทม. ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษมในการเตรียมจัดตั้งโรงเรียนดนตรี กทม.เพื่อร่วมมือจัดสร้างโรงเรียนดนตรี กทม. เปิดโอกาสให้เยาวชนในกรุงเทพฯ ที่มีความสนใจด้านดนตรีเข้ามาเรียนตั้งแต่ ชั้น ม.1-ม.6 ทั้งนี้ มจษ.จะร่วมจัดทำหลักสูตร และให้โควตานักเรียนจากโรงเรียนดังกล่าวเข้าเรียนต่อระดับปริญญาตรี ที่โปรแกรมวิชาดนตรีสากล มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม โดยใช้แนวทางการจัดโรงเรียนพลศึกษาของ กทม. ซึ่งประสบผลสำเร็จเกินคาดหมาย กทม. ได้ยินชื่อเสียงของ มจษ.ด้านดนตรี จึงคิดว่าหากร่วมมือกันได้ จะเกิดประโยชน์แก่เยาวชนอย่างมหาศาล ส่งผลให้เด็กๆ จะได้แสดงออก และไม่ไปมั่วสุมสิ่งเสพติด (คมชัดลึก พุธที่ 19 ต.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





อธิการฯ9มทร.พบ"ภาวิช" ขอทบทวนโครงสร้างใหม่

นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) เปิดเผยหลังอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.) 9 แห่งเข้าพบว่า อธิการบดี มทร.ทั้ง 9 แห่ง ได้อุทธรณ์กรณีคณะกรรมการ กกอ.เห็นชอบโครงสร้าง มทร.ตามกฎหมาย มทร. เช่น กำหนดโครงสร้างสำนักงานบริหารแทนที่จะเป็นสำนักงานวิทยาเขต ซึ่งต้องไปดูว่าแตกต่างกันอย่างไร หรือกรณีบางศูนย์มี 2 คณะ สามารถยกเป็นวิทยาเขตได้ แต่กลับไม่ยกเป็นวิทยาเขต ก็ต้องไปหารือกันอีกครั้ง แต่บางเรื่องตนเห็นว่ามติของคณะกรรมการ กกอ.ถูกต้องแล้ว เช่นที่ระบุว่า บางคณะถูกยุบหรือยุบรวมทั้งที่ มทร.เปิดสอนมานาน อาทิ คณะวิศวกรรมเกษตร ถูกยุบเพราะคณะกรรมการ กกอ.เห็นว่าในวิทยาเขตเดียวกันมีคณะวิศวกรรมศาสตร์อยู่แล้ว และคณะวิศวกรรมเกษตรถูกเปลี่ยนชื่อเป็นคณะเทคโนโลยีการเกษตรแทน ซึ่งก็น่าจะถูกต้องแล้ว แต่เรื่องการยุบรวมคณะวิศวกรรมศาสตร์กับคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ในบาง มทร.ทั้งที่เป็นคนละวิชาชีพนั้น รับฟังได้ ทั้งนี้ อธิการบดี มทร.แจ้งว่าจะเข้าพบนายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ในวันที่ 19 ตุลาคมนี้ด้วย (มติชนรายวัน พุธที่ 19 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





มธ.เปิดคณะสาธารณสุข

ผศ.ดร.นันทวรรณ วิจิตรวาทการ รักษาการคณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันปัญหาด้านสาธารณสุขมีมากทั้งโรคติดต่อ โรคไม่ติดต่อ โรคเรื้อรัง ปัญหามลพิษ ปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งปัญหาความไม่ปลอดภัยในการทำงาน ซึ่งปัญหาดังกล่าวมีแนวโน้มไม่หยุดนิ่ง แต่ในทางกลับกันถ้าสังคมมีการส่งเสริมป้องกันและจัดการระบบสาธารณสุขที่ดี บุคคลก็จะมีสุขภาพกายและจิตที่ดีส่งผลไปถึงคุณภาพชีวิตและคุณภาพการทำงานที่ดีตามไปด้วย ทาง มธ. จึงจะเปิดคณะสาธารณสุขศาสตร์ เพื่อขยายศักยภาพทางวิชาการที่จะตอบสนองความต้องการของสังคมด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยยกฐานะมาจากภาควิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพในคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในปี 2549 จะเปิดรับระดับปริญญาตรี 2 หลักสูตร ได้แก่หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ และสาขาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ส่วนปีการศึกษา2550 เปิดระดับบัณฑิตศึกษาในหลักสูตรสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย และใน 2551 จะเปิดสาธารณสุขศาสตรดุษฎีบัณฑิต (นานาชาติ) คณะยังมีแผนเปิดศูนย์บริการวิชาการส่งเสริมสิ่งแวดล้อม (ศสส.) เพื่อให้บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำ บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพอาหาร รวมทั้งเฝ้าระวังคุณภาพอากาศในสถานที่ทำงานในโรงงาน และให้บริการจัดอบรมสัมมนาและให้คำแนะนำปรึกษาด้านชีวอนามัย ความ ปลอดภัยสิ่งแวดล้อมและการสร้างเสริมสุขภาพ ซึ่งผู้สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่โทร. 0-2564-2926 0-2564-4440-79 ต่อ 2250 (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 20 ต.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





4 คนเก่งคว้าแชมป์สุดยอดเด็กรอบรู้

โครงการ UBC Thailand Power Kids Challenge ในการค้นหาสุดยอดเด็กรอบรู้ของประเทศไทย ร่วมเป็นตัวแทนของดิสคอฟเวอรี่ เอเชีย พร้อมเปิดโลกใหม่แห่งการเรียนรู้ที่ประเทศออสเตรเลีย ตัวแทนของโรงเรียนจากทั่วทุกภาคของประเทศ ที่ผ่านการคัดเลือกใน 4 หมวด วิชาได้แก่ Animal, Nature & Environment, Science&Technology และ History รวม 31 คน เดินทางเข้าร่วมกิจกรรมรอบสุดท้ายกันที่โรงแรมพัทยา ปาร์ค จ.พัทยา เมื่อวันที่ 11-13 ต.ค.48 เด็กเก่งจำนวน 4 คน ได้แก่ 1. ด.ช.ชัชรักษ์ ทรงศิวิไล อายุ 8 ขวบ โรงเรียนดรุณสิกขาลัย กทม. จากหมวด Science&Technology 2. ด.ญ.กัลยรักษ์ อุษณีย์รุ่งเรือง อายุ 11 ปี ร.ร.พระหฤทัยคอนแวนต์ จากหมวด Animal 3. ด.ญ.เพชรศิรินทร์ กองเกิด อายุ 12 ปี ร.ร.อนุบาลกาฬสินธุ์ จากหมวด Nature&Environment 4.. ด.ช.แทนกาย บรรโนปกรณ์ อายุ 11 ปี ร.ร.เทศบาลบ้านบางเหนียว จ.ภูเก็ต จากหมวด History (ข่าวสด พฤหัสบดีที่ 20 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


รอยเลื่อนและแผ่นดินไหว

โลกที่เราอยู่อาศัยนี้เมื่อเทียบดาวเคราะห์อื่นในระบบสุริยะจักรวาลเป็นดาวที่มีขนาดปานกลาง มีเส้นรอบวงตรงจุดศูนย์สูตร 40,075 กิโลเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง(ตรงเส้นศูนย์สูตร) 12,756 กิโลเมตร ข้างในโลกแบ่งเป็น 4 ชั้นได้แก่ 1.แกนกลางเส้นผ่าศูนย์กลาง 2,700 กิโลเมตรเป็นวัตถุโลหะเช่นเหล็ก นิเกิล และก๊าซที่อัดแข็ง อุณหภูมิสูงราว 5,000 เซลเซียส มีการแตกตัวด้วยปฏิกิริยานิวเคลียร์ตลอดเวลา 2.แกนนอกรัศมี 2,200 กิโลเมตร 3. เปลือกนอกด้านในรัศมี 2,900 กิโลเมตร เป็นหินหลอมเหลวที่เรียกว่าแมนเทิล (mantle) เคลื่อนไหวตามแรงกดดันและอุณภูมิความร้อนจากภายใน 4. เปลือกนอกสุดได้พื้นดินที่เราอยู่รวมทั้งทะเลและมหาสมุทร มีความบางเหมือนเปลือกส้มลึกเฉลี่ย 35 กิโลเมตร แผ่นดินที่มนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายอยู่กันนี้ เป็นหินและแร่ธาตุต่างๆ ที่เย็นลง แต่มีขนาดความหนาเพียงนิดเดียว (เมื่อเทียบกันส่วนที่เป็นชั้นใน) ดังนั้นจึงถูกหินหลอมเหลวผลักดันขับเคลื่อนตลอดเวลา ทำให้มีการแบ่งเปลือกโลกออกเป็น 7 แผ่นใหญ่ และมีรอยแตกแขนงย่อยๆ อีกมากมาย การระเบิดของภูเขาไฟและแผ่นดินไหวกับการเกิดคลื่นยักษ์สึกนามิ ล้วนมีผลมาจากแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนตัว ซึ่งเมื่อขอบเปลือกโลกชนกันก็เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้น แต่อย่างไรก็ตามนักวิชาการได้ยืนยันว่าการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ๆ ต้องใช้เวลาเป็นร้อยหรือเป็นพันปี และความเสียหายจะจำกัดเฉพาะจุดเท่านั้น เขตอันตรายของโลกก็คือบริเวณรอบมหาสมุทรแปซิฟิกซึ่งเรียกกันว่า “วงแหวนไฟ” เขตนี้มีภูเขาไฟเรียงรายและทำนายกันว่าจุดเสี่ยงมากที่สุดก็คือญี่ปุ่นกับแคลิฟอร์เนียและลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา สำหรับประเทศไทยแม้จะมีรอยเลื่อนใหญ่ที่ยังมีพลังชื่อสะแกง แต่รอยเลื่อนนี้อยู่ในพม่า ซึ่งยังไม่ได้แสดงฤทธิ์เดชออกมา สิ่งที่ไทยเจอเป็นกรณีคลื่นยักษ์สึนามิจากชวาและที่ตื่นตาตื่นใจกันมากก็คือกลัวจะเกิดแผ่นดินไหวแบบเดียวกับแคชเมียร์ปากีสถาน เมื่อทุกฝ่ายยืนยันว่าเขื่อนเมืองกาญจนบุรีทุกแห่งมั่นคงแข็งแรง และระบบตรวจจับความสั่นสะเทือนไม่พบสิ่งผิดปกติ ก็น่าจะเบาใจลงได้ (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 17 ต.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





ดาวเทียมนาซ่าบันทึก ภาพ"โลกมนุษย์"ใหม่ล่าสุด

องค์การอวกาศสหรัฐอเมริกา (นาซ่า) เปิดเผยภาพถ่าย "โลกมนุษย์" ภาพใหม่ล่าสุด มีความคมชัดกว่าภาพเก่าถึง 2 เท่า โดยโครงการบันทึกภาพโลกจากห้วงอวกาศนี้มีชื่อว่า "บลูมาร์เบิล" แสดงให้เห็นถึงปริมาณของ "หิมะ" บริเวณพื้นที่ตอนเหนือของโลก ซึ่งลดน้อยลงกว่าในอดีต รวมทั้งพื้นที่สีเขียวและพื้นที่เพาะปลูก ซึ่งลดน้อยลงเช่นกัน นอกจากนั้นยังแสดงให้เห็นภาพสภาพอากาศในฤดูร้อนและฤดูฝนในพื้นที่เขตร้อนของโลก โครงการบลูมาร์เบิลเป็นการใช้ดาวเทียมนอกโลกเก็บภาพถ่ายของโลกหลายพันภาพ จากนั้นนาซ่าจึงนำภาพมาปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน สำหรับภาพโลกมนุษย์ล่าสุดมีชื่อว่า "บลูมาร์เบิล : เน็กซ์ เจเนอเรชั่น" สร้างขึ้นมาจากภาพถ่ายของโลกในรอบ 1 ปีที่บันทึกโดยกล้อง "Moderate Resolution Imaging Spectroradiometers" ซึ่งติดตั้งบนดาวเทียม "เทอร์รา" กับดาวเทียม "อาควา" ทั้งนี้ สถาบันการศึกษา นักวิทยาศาสตร์ ภาคธุรกิจ และสาธารณชนทั่วไปสามารถติดตามภาพๆ นี้ได้ต่อไปผ่านเว็บไซต์ของนาซ่า สำนักข่าวสกายนิวส์ของอังกฤษ รายงานว่า ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2515 ลูกเรือประจำยานอวกาศอพอลโล 17 ของนาซ่าถ่ายภาพสีของโลกมนุษย์ ซึ่งแทบจะสมบูรณ์ที่สุดในยุคนั้น กลายเป็นแรงบันดาลใจให้นักวิทยาศาสตร์พยายามคิดค้นวิธีการถ่ายภาพโลกให้ดีและให้ได้สีที่ถูกต้องกว่าเดิม (ข่าวสด จันทร์ที่ 17 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





จีนตั้งเป้า 5 ปีส่ง"อาหมวย"บุกอวกาศ

เจ้าหน้าที่จีนกล่าวภายหลังประสบผลสำเร็จในการส่งยานอวกาศ "เสินโจว 6" พร้อมนักบินอวกาศเพศชาย 2 คนสู่ห้วงอวกาศว่า จีนมีโครงการจะส่งนักบินอวกาศหญิงคนแรกไปกับยาน "เสินโจว 9" ภายใน 5 ปีจากนี้ โดยขั้นตอนการคัดสรรและฝึกนักบินหญิงกำลังดำเนินไปตามแผนอย่างค่อยเป็นค่อยไป เฉิน ชาง กวน ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกนักบินอวกาศของจีน กล่าวว่า การฝึกนักบินอวกาศจำเป็นต้องใช้เวลา 5-6 ปี อย่างไรก็ตาม จีนยังมีโครงการจะปล่อยยานเสินโจวอีกหลายรุ่น คาดว่าการปล่อยยานเสินโจว 7 อาจจะยังไม่เกิดขึ้นภายใน 1 ปี และว่า หากเปรียบเทียบกับนักบินอวกาศชาย นักบินอวกาศหญิงน่าจะมีความอดทนมากกว่า รวมทั้งมีสภาพจิตใจที่มั่นคงมากกว่า (ข่าวสด จันทร์ที่ 17 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ฟาร์มาโคจีโนมิคส์ เทคโนโลยีการรักษาโรคล้ำยุค

ฟาร์มาโคจีโนมิคส์ หรือเภสัชพันธุศาสตร์ เกิดจากการผสมผสานระหว่างคำ 2 คำ ได้แก่ ฟาร์มาโคโลจี (pharmacology) หรือเภสัชวิทยา ซึ่งคือการศึกษาเกี่ยวกับยา และพันธุกรรมศาสตร์ (พันธุกรรมที่พบในร่างกายมนุษย์) กล่าวอีกนัยได้ว่า ฟาร์มาโคจีโนมิคส์ หรือเภสัชพันธุศาสตร์ เป็นเทคโนโลยีการปฏิวัติอุตสาหกรรมการดูแลรักษาสุขภาพในประเทศไทยและทั่วโลก โดยจะจำแนกพันธุกรรมของมนุษย์ที่มีอิทธิพลต่อการทำปฏิกิริยาต่อยา ซึ่งจะทำให้เรามียาเฉพาะบุคคลที่ผลิตสำหรับผู้ใช้แต่ละราย ด้วยระบบเภสัชพันธุศาสตร์ แพทย์จะสามารถตรวจสอบดีเอ็นเอได้อย่างง่ายดาย และเลือกใช้ยาที่มีความปลอดภัยที่สุด และมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับลักษณะทางพันธุกรรมของคุณ ขณะที่บริษัทยาจะสามารถพัฒนายาให้เหมาะสมกับลักษณะทางพันธุกรรมต่าง ๆ และนำออกจำหน่ายในตลาดได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ผู้บริโภคชาวไทยมียาให้เลือกสรรอย่างหลากหลายขึ้นในราคาที่ถูกกว่าเดิม แต่ให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นและมีความเสี่ยงต่อสุขภาพลดลง ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนจากวิธีการสั่งจ่ายยาในปัจจุบัน ที่ส่วนใหญ่จะพึ่งพาการคาดคะเนอย่างมีหลักวิชาการไปเป็นการใช้ยาเฉพาะบุคคล จำเป็นต้องได้รับความร่วมมืออย่างใกล้ชิดของหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องฟาร์มาโคจีโนมิคส์จะเกิดขึ้นจริงได้ก็ต้องอาศัยความร่วมมืออย่างจริงจังจากภาครัฐ นักวิชาการ และภาคเอกชนภายใต้การสนับสนุนของระบบเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ซึ่งแต่ละฝ่ายจะมีบทบาทสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีฟาร์มาโคจีโนมิคส์ในประเทศไทยที่แตกต่างกันไป เภสัชพันธุศาสตร์จะส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนวิธีการดูแลรักษาสุขภาพของคนไทย ดังนั้น การบรรลุผลสำเร็จดังกล่าวจึงต้องเริ่มต้นจากรัฐบาล ซึ่งจะต้องมีวิสัยทัศน์กว้างไกล และมี นโยบายที่ชัดเจนในการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีเภสัชพันธุศาสตร์ระดับชาติ หน่วยงานตั้งแต่ระดับกระทรวง ทบวง และกรมที่เกี่ยวข้อง พร้อมด้วยหน่วยงานที่ดูแลและรับผิดชอบทางด้านกฎหมายจะต้องประสานการทำงานอย่างใกล้ชิดในการแปลงนโยบายเป็นกรอบการทำงานแบบครบวงจร นอกจากนี้รัฐบาลยังมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้มีการผนึกกำลังร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะทำให้มีการเชื่อมโยงความรู้ทางด้านวิทยาการ พร้อมด้วยความชำนาญทางด้านวิชาการวิจัย และพาณิชย์เข้าไว้ด้วยกัน เภสัชพันธุศาสตร์ สามารถช่วยวิเคราะห์แนวโน้มการอุบัติโรคจากการเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาลเกี่ยวกับสุขภาพของประชากรในประเทศ โดยข้อมูลทางคลินิกที่จัดเก็บจากโรงพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศ จะถูกรวบรวมเข้าไว้เป็นฐานข้อมูลเดียว เพื่อนำมาใช้วิเคราะห์ควบคู่กับข้อมูลประชากร รวมทั้ง ข้อมูลเกี่ยวกับความหลากหลายทางพันธุกรรมของประชากรไทยที่รวบรวมจากสถาบันวิจัยในไทยหลายแห่ง บริษัทผู้ผลิตยาซึ่งจะใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาตัวยาให้เหมาะสมกับลักษณะทางพันธุกรรมของคนไทย ยาที่ผลิตขึ้นตามหลักเภสัชพันธุศาสตร์ จะเข้าถึงผู้บริโภคชาวไทยผ่านระบบสาธารณสุขแห่งชาติ แพทย์สามารถสั่งจ่ายยาดังกล่าวให้ตรงตามลักษณะทางพันธุกรรมของผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว สำหรับข้อมูลเชิงคลินิกที่เกี่ยวกับผลการรักษาดังกล่าวจะถูกจัดเก็บไว้ในฐานความรู้ทาง ด้านสุขภาพเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งสุขภาพที่ยั่งยืนต่อไป (เดลินิวส์ อังคารที่ 18 ต.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ท้องฟ้าจำลองจัด "สำรวจอวกาศ" ทัวร์ดวงดาวนอกโลก พ.ย.-ธ.ค.นี้

น.ส.สาลิน วิรบุตร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา สำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) เปิดเผยว่า ในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมนี้ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา (ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพฯ) จะเปิดการแสดงเรื่อง "สำรวจอวกาศ" สำหรับนักเรียนและบุคคลทั่วไปที่สนใจความก้าวหน้าของการสำรวจอวกาศ การเดินทางออกนอกโลกไปเยือนดวงดาวที่อยู่ใกล้โลก การส่องสำรวจวัตถุท้องฟ้าที่อยู่ห่างไกล รวมถึงการสำรวจดาวหาง เพื่อไขความลับการเกิดโลก ความมหัศจรรย์ ความแปลกตาของดวงดาว และการสืบค้น หาความรู้ที่เกิดจากดวงดาวและท้องฟ้า การแสดงสำรวจอวกาศจัดแสดงที่ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพฯ ในห้องฉายดาว ทุกวันอังคาร-วันอาทิตย์ หยุดวันจันทร์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ รอบการแสดงของนักเรียนเปิดการแสดงทุกวันอังคาร-ศุกร์ เวลา 10.00 น. และ 13.30 น. รอบประชาชน เวลา 11.00 น. และ 14.30 น. วันเสาร์และวันอาทิตย์เปิดการแสดง 4 รอบ เวลา 10.00 น., 11.00 น. 13.30 น. และ 14.30 น. ค่าเข้าเด็ก 10 บาท ผู้ใหญ่ 20 บาท สอบถามได้ที่โทร.0-2392-1778 (คมชัดลึก อังคารที่ 18 ต.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





พบดาวใหม่ใกล้"หลุมดำ"

ในอดีตนักดาราศาสตร์มีความเชื่อว่า ไม่มีอะไรสามารถต้านทานแรงดึงดูดกำลังมหาศาลของ "หลุมดำ" ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ใกล้แม้แต่แสงยังถูกหลุมดำดูดหายไป แต่การค้นพบดาวดวงใหม่ๆ บ่งบอกว่า กลุ่มก๊าซความหนาแน่นสูงที่โคจรล้อมรอบหลุมดำในระยะปลอดภัย อาจช่วยให้ดาวดวงใหม่ๆ ก่อกำเนิดขึ้นได้ "เซอร์เก นายาคชิน" จากมหาวิทยาลัยไลเซสเตอร์ ประเทศอังกฤษ และ "ราชิด ซุนยาเอฟ" จากสถาบันฟิสิกส์แม็กซ์แพลงค์ ประเทศเยอรมนี เป็น 2 นักดาราศาสตร์ผู้ค้นพบดาวดวงใหม่หลายสิบดวงใกล้หลุมดำขนาดยักษ์ใจกลางทางช้างเผือก ผลจากการที่ทั้ง 2 คนใช้กล้องโทรทรรศน์ "จันทราเอกซเรย์" ขององค์การอวกาศแห่งชาติสหรัฐ (นาซ่า) พบว่า ดาวดวงใหม่มีอายุไม่ถึง 1 ปีและอยู่ในระยะห่างพอจะรักษาวงโคจรรอบหลุมดำในลักษณะเดียวกับที่ดาวเคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์ มันมีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ 30-50 เท่า และมีความสว่างมากกว่าดวงอาทิตย์ถึง 100,000 เท่า ความสว่างระดับนี้บ่งชี้ว่า พวกมันกำลังเผาไหม้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนของตัวเองในอัตราเร็วกว่าที่ดวงอาทิตย์เผาไหม้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนของตัวเอง คาดดาวเหล่านี้จะเผาไหม้มวลของตัวเองไปถึงร้อยละ 80 ในเวลา 5 ล้านปี จากนั้นจะระเบิดกลายเป็นหลุมดำขนาดเล็กต่อไป (ข่าวสด อังคารที่ 18 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





วันเทคโนโลยีโชว์นวัตกรรมคนไทย

งานเทคโนมาร์ท 2005 โชว์ผลงานสิ่งประดิษฐ์ฝีมือไทยกว่า 300 ชิ้นงาน พบกับหมวกกันน็อคไฮเทคของเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ สามารถส่งสัญญาณควบคุมคันสตาร์ทไม่ให้ทำงาน หากผู้ขับขี่ละเลยหมวกกันน็อค ด้านกลาโหมส่งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจากแรงปั่น สร้างกระแสไฟฟ้าป้อนวิทยุและโทรทัศน์ ตัวอย่างสิ่งประดิษฐ์ อาทิ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ วิทยาเขตนนทบุรี โดยสาขาวิชาเทคโนโลยีโทรคมนาคม ได้นำหมวกกันน็อคไฮเทคติดเซนเซอร์ สามารถควบคุมระบบสตาร์ทของรถว่าจะให้ใช้การได้หรือไม่ โดยเชื่อมโยงกับลักษณะการสวมหมวกกันน็อคของผู้ขับขี่ ส่วนหลักการทำงานนั้น เมื่อเซนเซอร์ตรวจพบว่าผู้ขับขี่สวมหมวกกันน็อคเรียบร้อยแล้ว จะส่งสัญญาณไปที่อุปกรณ์ตัวรับซึ่งติดตั้งบนตัวถังรถ จากนั้น อุปกรณ์ตัวรับจะสั่งการให้วงจรไฟฟ้าทำงาน ซึ่งมีผลให้สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ แต่ถ้าถอดหมวกกันน็อคนี้ออกจากศีรษะประมาณ 1 นาที วงจรไฟฟ้าจะหยุดทำงานและเครื่องยนต์ดับทันที อย่างไรก็ตาม กรณีที่หมวกกันน็อคสูญหาย ทีมงานได้ออกแบบระบบสำรอง ด้วยการป้อนรหัสเพื่อให้สตาร์ทรถได้ โดยชุดป้อนรหัสนี้จะซ่อนไว้ใต้เบาะนั่ง นอกจากนี้ ยังมีสิ่งประดิษฐ์เครื่องกำเนิดไฟฟ้าจากแรงปั่น จากฝีมือการพัฒนาของสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหารกลาโหม ซึ่งเป็นการทำเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจากฮาร์ดดิสก์ที่ไม่ใช้แล้ว จึงช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยนำแม่เหล็กและขดลวดจากฮาร์ดดิสก์มาต่อเป็นวงกลม เมื่อปั่นวงล้อ ขดลวดจะเคลื่อนที่ผ่านแม่เหล็กทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า สำหรับป้อนเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก ภายในงานยังมีนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ อาทิ โครงการฝนหลวง พลังงานไบโอดีเซล รวมทั้งน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล กิจกรรมอภิปรายกลุ่มนักธุรกิจพบนักวิทยาศาสตร์ พิธีมอบสื่อดีเด่นด้านวิทยาศาสตร์ นิทรรศการเผยแพร่ผลงานวิจัย โดยเทคโนมาร์ท 2005 จัดขึ้นในวันที่ 21-23 ตุลาคมนี้ ณ โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัล ลาดพร้าว (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 19 ต.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





แสงประหลาดในทะเล

แสงสีขาวแวววาวที่น่าขนลุกซึ่งฉาบผิวน้ำทะเลในยามกลางคืนปรากฏในตำนานชาวเรือซึ่งเล่าสืบทอดกันมาหลายร้อยปีว่ามันคือ ทะเลนม ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์สามารถไขความลับของปรากฏการณ์นั้นได้แล้ว สตีฟ มิลเลอร์ และคณะจากห้องทดลองวิจัยนาวอลพบข้อมูลว่าเกิดปรากฏการณ์ทะเลนมในมหาสมุทรอินเดียนอกชายฝั่งโซมาเลียเมื่อ 25 ม.ค.ปี 2538 และข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมก็ยืนยันสิ่งเดียวกันว่าแสงสีขาวฉาบผิวน้ำตรงนั้นกินอาณาบริเวณกว้าง 15,400 ตารางกิโลเมตร เป็นเวลา 3 คืนและเคลื่อนไหวตามกระแสน้ำ มิลเลอร์ เผยว่า แสงสีขาวนวลที่พบเกิดจากการแพร่กระจายตัวที่ไม่บ่อยนักของแบคทีเรียเรืองแสงชื่อ วิบริโอ ฮาวิอาย ซึ่งอาศัยอยู่ร่วมกับสาหร่ายขนาดเล็กจิ๋วและด้วยเทคโนโลยีตรวจสอบผ่านดาวเทียมที่ทันสมัยนักวิทยาศาสตร์หวังว่าจะสามารถตรวจสอบได้ว่าจะเกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้นเมื่อใดเพื่อจะได้สำรวจและค้นคว้าต่อไป (ข่าวสด พุธที่ 19 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





มกอช.ดันแล็ปสร้างมาตรฐานสินค้าส่งออก

นายสมชาย ชาญณรงค์กุล รองผู้อำนวยการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ มกอช.ได้เร่งดำเนินการประสานงานกับทุกหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องการดูแลมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารส่งออกของไทย ให้เร่งพัฒนาระบบมาตรฐานของห้องปฏิบัติการให้สามารถเข้าสู่ระบบ ISO 17025 ซึ่งเป็นระบบมาตรฐานสากลของห้องปฏิบัติการทั่วโลกให้ได้ เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานของสินค้าไทยให้เป็นที่ยอมรับของสากลมากยิ่งขึ้น ในส่วนของมาตรฐานสินค้าต่างๆ ของไทยที่มีการร่างขึ้นนั้น จะเป็นมาตรฐานกลางที่อิงกับมาตรฐานสากลซึ่งเป็นมาตรฐานที่ทุกประเทศยอมรับ ซึ่งผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่สามารถผลิตสินค้าได้ตรงตามมาตรฐานแล้ว โดยในส่วนของระบบการตรวจสอบรับรองมาตรฐานนั้น ขณะนี้ มกอช.ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งตรวจสอบในเรื่องของระยะเวลาในการตรวจสอบรับรองสินค้าที่จะส่งไปยังต่างประเทศว่าสามารถใช้ระยะเวลามาก หรือน้อยแค่ไหนเพื่อวิเคราะห์ถึงปัญหาในการตรวจสอบรับรองสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อหาแนวทางแก้ไขต่อไป (สยามรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 20 ต.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





สำรวจดาวเคราะห์คู่แฝดโลก หาบทเรียนแก้โลกร้อน

องค์การจะส่งยานอวกาศ “วีนัส เอกซเปรสส์” เดินทางไปยังดาวศุกร์ ด้วยจรวดขับดัน “โซยุซ เฟรกัต” ของรัสเซีย จากสนามจรวดไบคูเนอร์ ที่แคว้นคาซัคสถาน ใช้เวลาเดินทางนาน 5 เดือน ด้วยความประสงค์เพื่อจะศึกษาหาลู่ทางว่า จะแก้ปัญหาภาวะเรือนกระจกของโลกได้อย่างไรด้วยเหตุที่ดาวศุกร์มีขนาดและมวลพอๆ กับโลกของเรา ยิ่งกว่านั้นยังอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เกือบเท่ากันด้วย ดร. แอนดรูว์ โคตส์ แห่งห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ อวกาศมูลลาร์ดของมหาวิทยาลัยคอลเลจ ในกรุงลอนดอน ได้กล่าวว่า บางทีเขาก็เรียกดาวศุกร์ ว่า เป็น “คู่แฝดคนชั่วของโลก” เหมือนกัน “เพราะแม้จะมีขนาดเท่ากัน แต่ก็มี ความแตกต่างกว่ากันมาก เช่น อากาศร้อนกว่ากันมาก อุณหภูมิที่ผิวพื้นอาจขึ้นถึง 460 องศาเซนติเกรด ทั้งความกดดันอย่างหนักบนพื้นผิวจากชั้นบรรยากาศหนาที่ปกคลุมอยู่ อากาศก็เต็มไปด้วยเมฆกรดกำมะถัน ดาวศุกร์ยังไร้สนามแม่เหล็กคุ้มกันเหมือนของโลก” องค์การจะส่งยานอวกาศ “วีนัส เอกซเปรสส์” เดินทางไปยังดาวศุกร์ ด้วยจรวดขับดัน “โซยุซ เฟรกัต” ของรัสเซีย จากสนามจรวดไบคูเนอร์ ที่แคว้นคาซัคสถาน ใช้เวลาเดินทางนาน 5 เดือน ด้วยความประสงค์เพื่อจะศึกษาหาลู่ทางว่า จะแก้ปัญหาภาวะเรือนกระจกของโลกได้อย่างไรด้วยเหตุที่ดาวศุกร์มีขนาดและมวลพอๆ กับโลกของเรา ยิ่งกว่านั้นยังอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เกือบเท่ากันด้วย ยานอวกาศจะเดินทางไปเข้าอยู่ในวงโคจรรอบๆดาวศุกร์ในเดือนเมษายนศกหน้า และจะเริ่มค้นคว้าดูความลึกลับของลมวนที่เหมือนกับพายุเฮอริเคน แถบขั้วโลกของมันก่อนอื่น. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 21 ต.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





สวนสัตว์โคราชพบจิ้งเหลนพันธุ์ใหม่

รายงานข่าวแจ้งว่า สวนสัตว์นครราชสีมาพบสัตว์เลื้อยคลานตัวใหม่เป็นพันธุ์ใหม่หายากที่สุดในโลก คือจิ้งเหลนด้วงลาย มีพบเห็นที่จ.ประจวบคีรีขันธ์ จากนั้นนำมาดูแลไว้เพื่อศึกษาค้นคว้าและหาข้อมูลเพื่อจะได้นำไปอนุรักษ์และพัฒนาไม่ให้สัตว์ชนิดนี้สูญหายต่อไป สำหรับจิ้งเหลนด้วงลาย มีลำตัวยาว 20-30 เซนติเมตร ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ใต้ดินที่ร่วนซุยตามไหล่เขาที่มีใบ้ไม้หล่นทับถมกันหนาๆ ลำตัวกลมยาว ตัวสีเหลือง มีแถบสองเส้นสีเหลืองพาดยาวจนถึงช่วงทวารหนัก และตั้งแต่ทวารหนักไปจนสุดปลายหางทู้จะมีจุดสีดำ คล้ายรูปดาวห้าแฉกเรียงกันสองแถวจนสุดปลายหาง ส่วนใต้ท้องมีส่งม่วงหรือสีน้ำตาล และเป็นสีเดียวตลอด ปากแบนคล้ายปากนกกระจอกเทศ ตาสีดำเล็ก กะพริบตาได้ ไม่มีขา ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะคล้ายคลึงกัน ตัวเมียออกลูกเป็นตัวทีละ 4-5 ตัว ส่วนถิ่นที่อยู่อาศัยพบตามไหล่เขาที่มีใบไม้หล่นทับถมกันหนาๆ ตัวเมียไม่ค่อยจะปรากฏตัวให้เห็น ซึ่งตรงนี้จึงทำให้เกิดการเข้าใจผิดกันต่างๆ ว่าเป็น งูที่มีพิษรุนแรง และปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาค้นคว้า พบถิ่นที่อยู่อาศัยในประเทศไทยที่ จ.สุพรรณบุรี กาญจนบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ออกหากินในเวลากลางคืน กินจำพวกแมลงเล็กๆ ปลวก ไส้เดือน (ข่าวสด ศุกร์ที่ 21 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ข่าววิจัย/พัฒนา


แพทย์รามาสยบมะเร็งอยู่หมัดเพิ่มสมรรถนะภูมิคุ้มกันจู่โจมเซลล์ร้าย

รศ.น.พ.สุรเดช หงส์อิง ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ทีมงานสามารถพัฒนาเทคนิคเพิ่มประสิทธิภาพ และจำนวนเม็ดเลือดขาวในหลอดทดลองได้สำเร็จ ซึ่งเป็นอีกวิธีที่สามารถนำมาเสริมการรักษามะเร็งรูปแบบเดิมที่ใช้กันทั่วไป โดยทั่วไปผู้ป่วยมะเร็งที่เป็นผู้ใหญ่มีโอกาสหายขาดเพียง 30-40% ส่วนในเด็กจะมีโอกาสหายสูงกว่าคือ 70-80% แต่ผู้ป่วยบางคนรักษาแล้วก็กลับมาเป็นใหม่อีก หากภูมิต้านทานไม่แข็งแรง แม้จะกลับไปรักษาด้วยวิธีเดิม ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัด ฉายแสง เคมีบำบัด หรือการเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกแล้วก็ตาม ในการทำลายเซลล์มะเร็งนั้น เม็ดเลือดขาวซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันสำคัญของร่างกายต้องแข็งแรง ดังนั้น ถ้าต้องการให้โรคมะเร็งหายขาด ต้องเพิ่มระดับภูมิต้านทานให้สูงขึ้น และมีประสิทธิภาพ ทีมวิจัยชุดนี้จึงดำเนินการเพิ่มจำนวน และเพิ่มประสิทธิภาพของเม็ดเลือดขาวในหลอดทดลอง โดยกระตุ้นด้วยสารเคมี ซึ่งสามารถกระตุ้นเพิ่มจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวได้แล้วในตอนนี้ 4-5 ชนิด โดยในเวลาเพียง 1 เดือน สามารถเพิ่มได้หลายพันเท่า สำหรับวิธีการเพิ่มจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวนั้น ทีมวิจัยได้ดูดเซลล์เม็ดเลือดขาวจากไขกระดูกหรือเลือดในผู้ป่วยมาใส่ในหลอดทดลอง และนำเซลล์เม็ดเลือดขาวมาผ่านกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพด้วยการกระตุ้นจากสารเคมี และเมื่อนำมาทดสอบกับเซลล์มะเร็งชนิดต่างๆ ได้แก่ เซลล์มะเร็งท่อน้ำดี มะเร็งเต้านม มะเร็งสมอง และเซลล์มะเร็งต่างๆ ในเด็ก ภายในหลอดทดลอง พบว่าเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นมาก จากเดิมเซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่งไม่สามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้เลย กลับสามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้ดีขึ้นกว่าเดิม 50-100 เท่า จะเริ่มทดลองในคนปีหน้า หลังประสบความสำเร็จในหนูทดลอง (คมชัดลึก จันทร์ที่ 17 ต.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





เกลือสินเธาว์ร้ายพอกับเกลือป่น

งานวิจัยในอังกฤษ เตือนผู้ที่เปลี่ยนมารับประทานเกลือทะเล และเกลือสินเธาว์แทนเกลือป่น เพราะคิดว่าจะดีต่อสุขภาพมากกว่านั้น เป็นความเชื่อที่ผิดอย่างน่าเศร้า เพราะไม่ว่าเกลือแบบไหนก็ไม่ดีต่อหัวใจและหลอดเลือดพอๆ กันหากบริโภคจำนวนมาก ข้อมูลจากกลุ่มผู้สนับสนุนรักษ์สุขภาพของอังกฤษ ออกมาพูดถึงสถานการณ์ปัจจุบันว่า ผู้บริโภคไม่น้อยที่เข้าใจถึงผลเสียจากการรับประทานเกลือเข้าไปในร่างกายมากๆ คิดว่าหากเปลี่ยนไปรับประทานเกลือทะเล หรือเกลือสินเธาว์แทน จะเป็นผลดีต่อสุขภาพร่างกายมากกว่าเกลือป่นที่ได้จากสารโซเดียมคลอไรด์ ความเชื่อดังกล่าวเป็นผลมาจากคำแนะนำจากพ่อครัวชื่อดังที่ออกมาสาธิตการทำอาหารทางทีวี และส่วนใหญ่เป็นพวกที่สนับสนุนการบริโภคเพื่อสุขภาพ หัวหน้าทีมวิจัยสุขภาพและโภชนาการ จากสภาพวิจัยการแพทย์ เคมบริดจ์ แย้งว่า เกลือสินเธาว์ เกลือทะเล และเกลืออินทรีย์ ต่างไม่มีคุณค่าทางอาหารทั้งนั้น เพราะเกลือเหล่านี้มีโซเดียมอยู่เหมือนๆ กัน ร่างกายคนเราต้องการโซเดียมเพียงเล็กน้อย แค่ 1 กรัมต่อวันเท่านั้น เพื่อการทำงานของร่างกาย อย่างไรก็ดี คนบางประเทศบริโภคเกลือเฉลี่ยถึงวันละ 9.5 กรัม ซึ่งเกือบทั้งหมดนั้นก็คือโซเดียม และบางคนบริโภคมากถึงวันละ 20-25 กรัม และอาหารสำเร็จรูปในปัจจุบันมีเกลือเป็นองค์ประกอบหลักอยู่ถึงร้อยละ 75 ของอาหารสำเร็จรูปทั้งหมด อย่างเช่น แฮม ชีส และมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบ ซึ่งมีเกลือเป็นส่วนประกอบในจำนวนสูง (คมชัดลึก จันทร์ที่ 17 ต.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





"เทคโนโลยีชีวภาพ"กุญแจรักษาอนาคต

น.พ.ธงชัย ทวิชาชาติ ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ของประเทศไทย (Thailand Center of Excellence for Life Sciences หรือ TCELS) กล่าวว่า ขณะนี้นานาประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนา "เทคโนโลยีชีววิทยาศาสตร์" โดยทุ่มงบประมาณ มหาศาลเพื่อทำการวิจัย ไม่เพียงแต่ประเทศในแถมอเมริกาและยุโรปเท่านั้น แต่รวมถึงประเทศในแถบภูมิภาคเอเชีย เพื่อเข้ามีส่วนร่วมใน การปฏิวัติการแพทย์ยุคใหม่ที่เกิดจากการถอดรหัสพันธุกรรม เปลี่ยนเทคนิคและพัฒนาวิธีการใหม่ๆ ในการรักษาโรค จากสถิติรายได้ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ชีวภาพ พบว่ามีการเติบโตอย่างมากนับตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา เฉพาะเพียงรายได้ของบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพที่เกี่ยวข้องกับ ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพได้เพิ่มขึ้นจาก 8 ล้านดอลลาร์ เป็น 3.9 ล้านดอลลาร์ ในปี 2546 โดยในปี 2547 ยังพบว่ารายได้ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 17% เป็น 5.46 หมื่นล้านดอลลาร์ สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำในด้านนี้ และมีสัดส่วนรายได้ถึง 78% ของรายได้ทั้งหมด ขณะที่ประเทศในกลุ่ม เอเชีย-แปซิฟิก อาทิ อินเดีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์ และไต้หวัน ต่างเริ่มตระหนักความสำคัญของเทคโนโลยีชีวภาพที่มีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ต่างเริ่มวางแผนมุ่งสร้างอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพในประเทศ มีการทุ่มงบประมาณจำนวนมากเพื่อผลักดันให้เกิดการลงทุนในด้านนี้ ไทยจึงได้ก่อตั้ง TCELS โดยได้รับการสนับสนุนจากนายกรัฐมนตรี มีเป้าหมายเพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการวิจัยและการลงทุนด้านชีววิทยาศาสตร์ ด้วยการทำหน้าที่ประสานความร่วมมือระหว่างองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนในการสนับสนุนเงินลงทุน การจัดหาแหล่งทุนการช่วยเหลือด้าน ทรัพย์สินทางปัญญา รวมทั้งให้การสนับสนุนพัฒนาบุคลากร ซึ่ง การวิจัยไม่สามารถดำเนินการโดยหน่วยงานหนึ่งได้แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 17 ต.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ออราเคิล-ไทย สร้างงานวิจัยยาเฉพาะบุคคล

นายณัฐศักดิ์ โรจนพิเชฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออราเคิล คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทร่วมกับศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ จัดทำโครงการ "เภสัชพันธุศาสตร์" หรือฟาร์มาโคจีโนมิคส์ ในไทย และเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หนุนการพัฒนาวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิตในประเทศ (ไลฟ์ไซน์) ตามนโยบายการส่งเสริมของนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ บริษัทร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญทางสำนักงานใหญ่ และนักพัฒนาของออราเคิลในอินเดีย เพื่อเรียนรู้การใช้ซอฟต์แวร์ เฮลธ์ ทรานแซคชั่น เบส (HTB) ซึ่งช่วยจัดเก็บข้อมูลผู้ป่วยตามมาตรฐานเอชแอล 7 ของโลก เพื่อนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ในโครงการนี้เต็มประสิทธิภาพและตรงความต้องการท้องถิ่น โดยบริษัทศึกษากระบวนวิธีการวิจัย (Methodology) และความต้องการของนักวิจัย ลักษณะข้อมูลที่ใช้ รวมถึงนำข้อมูลผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย จากโรงพยาบาลรามาธิบดี เป็นต้นแบบการศึกษา และเก็บข้อมูลผู้ป่วย 1,000 ตัวอย่าง ซึ่งเริ่มทำงานไปได้แล้วกว่า 70% นายธงชัย ทวิชาชาติ ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศทางด้านชีววิทยาศาสตร์ของประเทศไทย (TCELS) กล่าวว่า แนวคิดหลักในการนำข้อมูลของยาแต่ละตัวที่ระบุว่า เป็นยาที่เหมาะกับอาการแสดงออกของโรค (ฟีโนไทป์) บวกกับข้อมูลลักษณะทางพันธุกรรม (จีโนไทป์) ของผู้ป่วยแต่ละราย ที่ได้จากการตรวจเลือด และใช้ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ ทำให้ได้ข้อมูลลักษณะของพันธุกรรมต่อการทำปฏิกิริยาของยานั้นๆ ปัจจุบัน บริษัทยา จะระบุข้อมูลกลุ่มอาการของโรคที่จะรักษาอยู่แล้ว หากร่างกายผู้ป่วยแต่ละราย จะตอบสนองต่อยานั้นๆ ต่างกัน ตั้งแต่ เร็ว ปานกลาง หรือต่ำ ซึ่งถ้าได้ข้อมูลพันธุกรรมมาช่วย จะทำให้ระบุกลุ่มผู้ป่วยตามลักษณะพันธุกรรมที่มีผลต่อยาแตกต่างกัน หากพบผู้ป่วยที่มีลักษณะพันธุกรรมเข้าข่ายมีปฏิกิริยาต่อยานั้นต่ำ แพทย์อาจสั่งเพิ่มปริมาณยา เป็นต้น ดังนั้น จะทำให้แพทย์เลือกใช้ยาตรงกับลักษณะพันธุกรรมเฉพาะของผู้ป่วยได้แม่นยำมากขึ้น เป็นยาที่ตรงกับความต้องการเฉพาะบุคคล (เพอร์ซัลนัลไลซ์ เมดิซีน) จากเดิมจะจ่ายยาตามลักษณะอาการ มีผลช่วยลดการสูญเปล่าจากการจ่ายยาแล้วไม่ได้ผล กรณีที่ร่างกายของผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อยานั้นๆ โดยเฉพาะยาที่มีราคาแพง หรือยาใหม่ นอกจากนี้ จะช่วยให้บริษัทยาสามารถใช้ข้อมูลจากระบบดังกล่าวพัฒนายาชนิดใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับลักษณะทางพันธุกรรมของคนไทย และเอเชียอีกด้วย โดยเฉพาะการทดสอบทางคลินิกให้มีความรวดเร็วและปลอดภัยมากขึ้น โดยในระยะ 3 ปีนี้ จะศึกษาในกลุ่มโรค 7 กลุ่ม ได้แก่ ธาลัสซีเมีย รูมาตอย หัวใจและหลอดเลือด มะเร็งเม็ดเลือดขาว เอดส์ เบาหวาน ภูมิแพ้ตัวเอง (เอสแอลอี) รวมถึง พีทีเอสดี (Post Traumatc Stress Disorder) หรือโรคเครียดภายหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ที่จะใช้งบประมาณอีกส่วนหนึ่งโดยขอทุนจากต่างประเทศเพราะใช้เวลากว่า 4 ปี และอนาคตมีแผนศึกษาโรคอัลไซเมอร์ เพราะคนไทยมีแนวโน้มมีกลุ่มผู้สูงอายุ และป่วยเป็นโรคนี้เพิ่ม (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 17 ต.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ป่าไม้เจ๋งใช้ความร้อนอบไม้ สวย-ทนเตรียมจดสิทธิบัตร

นายฉัตรชัย รัตโนภาส อธิบดีกรมป่าไม้ เปิดเผยว่า กรมป่าไม้ประสบความสำเร็จในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการปรับปรุงความทนทานของกระพี้ และแก่นไม้สักสวนป่าอายุน้อย โดยการใช้ความร้อนจากเตาเผาหรือเครื่องปฏิกรณ์ระบบปิด วิธีนี้จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความแน่นของเนื้อไม้ ทำให้มีความคงทนถาวรมากขึ้น และเพิ่มความเข้มของสีเทียบเท่าไม้สักที่มีการปลูกมาเป็นระยะเวลานาน ตลอดจนช่วยลดปัญหามอดและแมลงกัดกินหลังการนำมาแปรรูป สามารถทดแทนการใช้สารเคมีที่ผู้ประกอบการนิยมใช้แต่เดิม สนับสนุนให้มีการนำไม้แก่นและกระพี้ของไม้สักไปใช้ประโยชน์ในการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าได้มากยิ่งขึ้น นายวรธรรม อุ่นจิตติชัย นักวิชาการป่าไม้ สำนักวิจัยและการจัดการป่าไม้และผลิตผลป่าไม้ กล่าวว่า ปัญหาเดิมของกระพี้และแก่นของไม้สักที่ได้จากการตัดสางขยายระยะในสวนป่า ส่วนใหญ่มักถูกนำไปทิ้งโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์ หรือหากนำมาจำหน่ายมักขายไม่ได้ราคา ราคาของไม้สักติดกระพี้ที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบันคิดเป็นมูลค่าเพียงร้อยละ 20 จากราคาไม้สักที่มีอายุมากเท่านั้น หรือหากนำมาแปรรูปมักเกิดปัญหาเนื้อไม้อ่อนไม่ได้คุณภาพ สีของเนื้อไม้อ่อนไม่สวยงาม และมักเกิดมอดและแมลงกัดกินเนื้อไม้ทำให้เนื้อไม้เป็นรูขุยไม่ได้มาตรฐาน แต่เทคโนโลยีการปรับปรุงคุณภาพไม้ด้วยการใช้ความร้อน ได้มีการทดลองใช้กับไม้หลายชนิด อาทิ ไม้ยางพารา ไม้พญาสัตบรรณ ไม้แสม ขณะนี้อยู่ระหว่างขอจดสิทธิบัตรก่อนเผยแพร่ผลงานวิจัยเพื่อใช้ประโยชน์ (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 17 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





นักวิจัยมอ.เลี้ยงปูม้าด้วยน้ำทิ้งโรงงาน ใช้หลักสร้างอาหาร แห่งเดียวในโลก

ศูนย์ข่าวอิศรา สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย รายงานว่า ผศ.ดร.ชลธี ชีวะเศรษฐธรรม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสงขลานครินร์ วิทยาเขตปัตตานี เปิดเผยโครงการเลี้ยงปูม้าเพื่อเป็นทางเลือกใหม่สำหรับประมงพื้นบ้านในอ่าวปัตตานีว่า ใช้วิธีพัฒนาน้ำทิ้งจากโรงงานปลาป่น โรงงานแปรรูปอาหารทะเล และโรงงานแปรรูปยางพารา ซึ่งมีธาตุอาหารของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเป็นตัวเริ่มต้นสำหรับอาหารของลูกปู โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ "หลักการคือ สร้างอาหารสัตว์จากน้ำทิ้ง สุดท้ายน้ำที่ผ่านกระบวนการแล้วจะกลายเป็นน้ำสะอาด และไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ถือได้ว่าเป็นการนำเอาน้ำทิ้งจากโรงงานมาสร้างมูลค่าให้เกิดกับประชาชน สำหรับการเพาะพันธุ์ปูม้านั้น จะมีการซื้อพ่อและแม่พันธุ์มาจากชาวประมงมาเลี้ยง จนกระทั่งวางไข่และกลายเป็นตัวซึ่งมีขนาดเล็กมาก โดยจะกินอาหารที่ได้จากกระบวนการบำบัด ซึ่งไม่มีโลหะหนักเจือปน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) ได้สนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการนำร่องที่แหลมโพธิ์ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ซึ่งจะมีการปล่อยลูกปูชุดแรกในเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ การเพาะเลี้ยงปูม้า ทำมา 4-5 ปี แต่วิธีการใช้ประโยชน์จากน้ำทิ้งถือว่าที่นี่เป็นที่เดียวของประเทศไทยและของโลก ขณะนี้ต่างชาติเริ่มให้ความสนใจและขอศึกษารูปแบบ และว่า กระบวนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่พัฒนานี้นอกจากเลี้ยงปูม้าแล้ว ยังสามารถใช้หลักการเดียวกันเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอื่นๆ เช่น ปลากะพงขาว ปูทะเล กุ้งก้ามกาม หากโครงการนำร่องนี้ประสบความสำเร็จจะขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ เป็นประโยชน์สำหรับชุมชน (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 17 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ไทยเดินหน้าพัฒนารถอัจฉริยะ

รศ.ดร.มนูกิจ พานิชกุล อาจารย์จากภาควิชาเมคาโทรนิคส์ คณะเทคโนโลยีขั้นสูง สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที) เป็นหนึ่งในทีมนักวิจัยไทยที่กำลังพัฒนาระบบรถอัจฉริยะสัญชาติไทยขึ้นมาเพื่อเป็นแนวทางในการลดอุบัติเหตุบนถนน โครงการดังกล่าว ซึ่งเป็นความร่วมมือกันของสถาบันการศึกษาไทย 11 แห่ง ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น เนื่องจากตอนนี้ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เพียง 1 ล้านบาท และกำลังรอการอนุมัติจากผู้ให้ทุนสนับสนุนอีก ต้นแบบได้รถไฟฟ้าสี่ล้อจากบริษัทไทเกอร์ มาพัฒนา เป้าหมายต้องการใช้รถทั่วไป แต่ในแง่ของการใช้รถไทเกอร์ ก็เป็นแบรนด์ของไทย ถ้าทำได้ก็จะเป็นการสร้างภาพที่ดีให้ประเทศ รศ.ดร.มนูกิจ คาดว่า หากงบประมาณผ่าน ภายในสามปีนี้น่าจะได้เห็นรถต้นแบบที่สามารถควบคุมกลไกทั้งหมดได้โดยอัตโนมัติ และอยู่ในระดับที่สามารถนำไปใช้ได้จริง โดยเส้นทางทดลองวิ่งคือ เส้นทางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-อยุธยา รวมระยะทางกว่า 100 กิโลเมตร (คมชัดลึก อังคารที่ 18 ต.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ส่องม่านตายืนยันตัวแม่นยำ ม.เกษตรศาสตร์ขอโชว์ฝีมือไทยล้วน

ทีมงานอาจารย์และนิสิตห้องปฏิบัติการประมวลผลสัญญาณและภาพ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พัฒนาต้นแบบระบบไบโอเมตริก หรือระบบระบุตัวบุคคลด้วยข้อมูลทางชีวะที่สามารถตรวจสอบทั้งลายนิ้วมือและลายม่านตาบุคคล ระบบดังกล่าวสามารถนำไปใช้งานด้านความปลอดภัยและตรวจหาบุคคลในฐานข้อมูล โดยได้รับทุนสนับสนุน 5.3 ล้านบาท จากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ดร.สมหญิง ไทยนิมิต หัวหน้าทีมวิจัยเปิดเผยว่า เทคโนโลยียืนยันบุคคลจากลายนิ้วมือ ม่านตาและใบหน้า มีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น ทั้งด้านรักษาความปลอดภัย การอนุญาตให้เข้าถึงสถานที่ หรือข้อมูลส่วนบุคคล การลงทะเบียนเวลาเข้าออก โดยการตรวจสอบลายม่านตา ถือเป็นเทคโนโลยีไบโอเมตริกที่ถูกต้องสูงสุด เนื่องจากลายม่านตาของมนุษย์มีลักษณะเฉพาะตัว ไม่เปลี่ยนแปลงตามสภาวะแวดล้อมและกาลเวลา มีความเป็นเอกลักษณ์และปลอมแปลงได้ยาก จึงเหมาะใช้ระบุตัวบุคคล อย่างไรก็ตาม ระบบตรวจสอบลายม่านตา มีราคาสูงมาก จึงเป็นเหตุจูงใจให้ทีมวิจัยพัฒนาระบบตรวจสอบลายม่านตา ที่มีประสิทธิภาพและราคาถูก ทีมวิจัยได้คิดค้นขั้นตอนวิธีการตรวจสอบลายม่านตา ตั้งแต่ปี 2545 จนถึงปัจจุบัน และเป็นขั้นตอนที่คิดค้นขึ้นใหม่เองทั้งหมด โดยเฉพาะวิธีดึงรายละเอียดทางกายภาพของม่านตา จากนั้นนำมาทำการเข้ารหัส และตรวจสอบความผิดพลาดกับฐานข้อมูลจำนวน 756 ภาพม่านตาของคน 108 คน ระบบสามารถระบุได้ถูกต้องทั้งหมดว่า ภาพม่านตาที่เข้ามาเป็นบุคคลใดในฐานข้อมูล และเมื่อทดลองนำไปใช้ระบุว่า ภาพม่านตาที่เข้ามาเป็นบุคคลในฐานข้อมูลหรือไม่ ระบบมีความผิดพลาดอยู่ที่ 0.22% ขณะนี้เวลาในการลงทะเบียนม่านตา 1 ข้างไม่เกิน 2 วินาที และเวลาที่ใช้เปรียบเทียบระหว่างรหัสม่านตา (1:1) เท่ากับ 17 มิลลิวินาที ในส่วนของฮาร์ดแวร์ได้พัฒนาระบบสแกนม่านตาขึ้น จากกล้องถ่ายอัดวิดีโอที่สามารถทำงานในช่วงแสงใกล้อินฟราเรด ที่มีขายทั่วไปในท้องตลาด และยังได้พัฒนาฮาร์ดแวร์ตรวจสอบระยะทางระหว่างใบหน้ากับกล้อง พัฒนาซอฟต์แวร์ตรวจหาดวงตาและเก็บภาพดวงตาอัตโนมัติ ปัจจุบันสามารถทดลองใช้ในห้องปฏิบัติการได้สำเร็จแล้ว ซึ่งจะนำออกแสดงในงานบนเส้นทางวิศวกรรมช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2549 (คมชัดลึก อังคารที่ 18 ต.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





คิดระบบป้องกันโจรฉกมือถือ จดจำท่วงท่าการเดินเจ้าของ

นักวิจัยจากศูนย์วิจัยเทคนิควีทีที ในฟินแลนด์ ติดตั้งเซ็นเซอร์ที่เรียกว่า "เกตโค้ด" หรือรหัสการเดิน ไว้ในอุปกรณ์เคลื่อนที่ อาทิ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ซึ่งเซ็นเซอร์นี้จะจดจำการเคลื่อนไหวของเจ้าของในรูปแบบ 3 มิติ และบันทึกเก็บไว้ในหน่วยความจำ หากผู้พกพามีรูปแบบการเดินที่เปลี่ยนไป ระบบเปรียบเทียบแล้วไม่เหมือนเดิม เครื่องจะถามหารหัสผ่าน ซึ่งหากให้รหัสผ่านผิด อุปกรณ์จะล็อกตัวเอง ปิดการทำงานโดยอัตโนมัติ อุปกรณ์ชิ้นนี้ นักวิจัยชี้ว่า มีความแม่นยำถึงร้อยละ 90 เลยทีเดียว เทคโนโลยีเกตโค้ดยังสามารถนำไปดัดแปลงใช้งานกับอุปกรณ์อื่นๆ ได้อีก เช่น บัตรอัจฉริยะ (สมาร์ทการ์ด) กระเป๋าสี่เหลี่ยมเอกสารธุรกิจ อาวุธ หรืออุปกรณ์บันทึกข้อมูลประเภทต่างๆ และเทคโนโลยีนี้ยังสามารถเชื่อมเข้ากับระบบรู้จำเสียงได้อีกด้วย ศ.เฮกกิ ไอลิสโต จากศูนย์วิจัยเทคนิควีทีที ในฟินแลนด์ กล่าว "พวกเราคิดว่าหากอุปกรณ์เหล่านี้ถุกขโมยไปแล้วเอาไปใช้งานอะไรไม่ได้ อีกหน่อยจำนวนของอาชญากรรมก็จะลดลงเอง" (คมชัดลึก อังคารที่ 18 ต.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





จับตาอากาศโลกเปลี่ยน

รศ.ดร.สิรินธรเทพ เต้าประยูร ประธานสายวิชาสิ่งแวดล้อม บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานสิ่งแวดล้อม ผู้ทำวิจัยเรื่อง สถานภาพและความพร้อมของประเทศเพื่อรองรับผลกระทบของสนธิสัญญาและมาตรการต่างประเทศที่เกี่ยวกับการลดและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย กล่าวว่า “ความเป็นไปได้ที่ภาวะโลกร้อนจะส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ทำให้เกิดพิบัติภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น เหตุการณ์รุนแรงซึ่งมีสาเหตุจากสภาวะอากาศเปลี่ยนที่เห็นได้ชัดคือ ปรากฏการณ์คลื่นความร้อน ที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมากที่ประเทศฝรั่งเศสและอินเดีย ในบางพื้นที่อาจะเกิดฝนตกรุนแรง มากขึ้นเช่น ในยุโรป สำหรับประเทศไทยในขณะนี้ประสบกับปัญหาอุทกภัย ฝนไม่ตกตามฤดูกาล ปีนี้ฝนมาล่าและมามากจนส่งผลเสียต่อพืชไร่ ขณะเดียวกันมีแนวโน้มอุณหภูมิจะสูงขึ้น” จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกพบว่าอุณหภูมิโลกใน 20 ปีที่ผ่านมานั้นเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ย 0.5 องศาเซลเซียส ค่าความร้อนสูงขึ้นทำให้น้ำระเหยสู่บรรยากาศมากขึ้น เมื่อแหล่งน้ำซึ่งเป็นปัจจัยทำให้สภาวะระบบนิเวศเย็นมีปริมาณน้อยลง สภาพอากาศโดยทั่วไปจึงร้อนขึ้น อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นนี้เองทำให้น้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลายส่งผลต่อการพัดพาของกระแสน้ำอุ่นและกระแสน้ำเย็นโดยเฉพาะบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิคด้านล่างระหว่างทวีปอเมริกาใต้และทวีออสเตรเลียเปลี่ยนไปทำให้เกิดปรากฏการณ์เอลนีโญบ่อยขึ้นเพราะพัดพากระแสน้ำเย็นไปไม่ถึง ระบบพวกนี้จะเปลี่ยนไปหมด เอลนิโญจะเกี่ยวข้องกับกระแสน้ำเย็นกับอากาศที่อยู่ด้านบนมีความสัมพันธ์กับกระแสน้ำ ตรงนี้อาจก่อให้เกิดพายุหรือเหตุการณ์ที่ไม่ได้มาตามระยะเวลากำหนดหรือไม่ได้มาตามรอบมากขึ้น สอดคล้องกับการเกิดพายุเฮอริเคนที่มีความรุนแรงถึงระดับ 5 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ตั้งข้อสังเกตว่าอุณภูมิโลกที่สูงขึ้นมีผลต่อระดับความรุนแรงของเฮอริเคนอย่างเห็นได้ชัด จากรายงานของเคอรี เอ็มมานูเอล สถาบันเทคโนโลยีแมสซาซูเสตส์ ระบุว่านับตั้งแต่ปี ค.ศ.1970 เป็นต้นมา พายุลูกใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรแอตแลนติกและมหาสมุทรแปซิฟิก เพิ่มความรุนแรงแต่ละลูกยาวนานขึ้นถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งปัจจัยการเกิดพายุขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ พื้นที่และอุณหภูมิบนพื้นผิวน้ำทะเลต้องมีค่าอุณหภูมิอย่างน้อย 27 องศาเซลเซียส หากยังปล่อยให้เกิดภาวะโลกร้อนอยู่เช่นนี้ ทำนายได้ว่าน้ำแข็งที่ขั้วโลกยังคงละลายอย่างต่อเนื่อง ระดับน้ำในทะเลจะสูงขึ้น ฝนตกผิดฤดูกาล มีรายงานชัดเจนถึงระดับอุณหภูมิว่านอกจากอุณหภูมิจะสูงขึ้นแล้ว วันที่ร้อนจะมีมากขึ้นและมีช่วงยาวขึ้น ภัยพิบัติเหล่านี้ยังไม่รวมถึงเหตุการณ์พายุรุนแรง และคลื่นยักษ์สินามิ ซึ่งมีเหตุปัจจัยเสริมอื่นๆ ร่วมด้วย ความวิปริตแปรปรวนของอากาศที่เกิดขึ้นเราต่างได้รับผลกระทบอย่างทั่วหน้า แนวทางที่คนทั่วไปทำกันได้คือลดการใช้พลังงานอันเป็นบ่อเกิดของมลภาวะเพื่อให้โลกได้ปรับสมดุล ยืนอายุให้ทุกชีวิตได้อยู่อาศัยต่อไป (สยามรัฐรายวัน อังคารที่ 18 ต.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





‘แคนาดา’ พบพี้กัญชาบำรุงสมอง สร้างเซลล์ใหม่เกิดขึ้นได้

คณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยซัสกัต-เชวาน เปิดเผยว่า ได้พบจากการศึกษากับหนูทดลองว่า สารในกัญชาที่มีฤทธิ์แรง ช่วยสร้างหน่วยประสาทของสมองส่วนที่มีลักษณะ เหมือนม้าน้ำขึ้นมาทดแทนได้มากขึ้น สมองส่วนนี้มีหน้าที่เกี่ยวกับการเรียนและความจำ รวมทั้งควบคุมอารมณ์ ต่างๆ ช่วยให้พวกมันไม่ตื่นกับถิ่นใหม่ กินอาหารได้มากเหมือนเดิม สารเสพติดเกือบทุกชนิด ตั้งแต่เหล้า เฮโรอีน โคเคน ตลอดจนนิโคติน ล้วนแต่ถูกพบว่า เป็นพิษกับเซลล์ประสาทในสมองส่วนนี้ทั้งสิ้น แต่หัวหน้านักวิจัยนายเซียะ จาง ได้ บอกสรุปผลการศึกษาหนใหม่ว่า การศึกษาส่อว่าสารในกัญชาอันเป็นยาเสพติด ที่ผิดกฎหมายด้วยเช่นกัน เป็นเพียงชนิดเดียวที่กลับบำรุงเซลล์ประสาทในสมองส่วนนั้น การค้นพบนี้อาจจะทำให้ได้มียารักษาอาการซึมเศร้า ขนานใหม่แทนยาโปรแซคได้. (ไทยรัฐ พุธที่ 19 ต.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ใช้มันฝรั่งคลุกเคล้า 'ซีเมนต์' ได้คอนกรีตแข็งแกร่งสีสันสดใส

บริษัทปูนนอปเปิร์ท คอนกรีต ที่เมืองซูมาร์ ทางภาคเหนือของประเทศเนเธอร์แลนด์ได้พบสูตรโดยบังเอิญ และเตรียมจะผสมปูนคอนกรีตสูตรใหม่ออกจำหน่าย “ลักษณะเด่นที่สุดของมัน เมื่อเอามันฝรั่งผสมลงไป ก็คือทำให้มันมีเนื้อแน่นและแข็งแรงมากขึ้นมันยังทนกับการสึกหรอ ทั้งยังมีสีสันสดสวยอีกด้วย” แต่ประโยชน์ที่สำคัญอยู่ที่การเอาแป้ง มันฝรั่งผสมปูนช่วยให้ลดต้นทุนลงได้เป็น อันมากเนื่องจากช่วยลดปริมาณของปูน อันเป็นส่วนผสมของคอนกรีตที่มีราคาสูงกว่าเพื่อน ให้ลดลงได้ ปูนซีเมนต์ สูตรนี้นับว่ามีแห่งเดียวของโลก (ไทยรัฐ พุธที่ 19 ต.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ฝีมือคนไทยทำของเล่นไม้ ปลอดจากกาวไร้สารเคมี

นายวิมล วิระพรสวรรค์ ผู้อำนวยการเครือข่ายอุปทาน บริษัท แปลนครีเอชั่น เป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทแปลนฯ ผลิตและจำหน่ายของเล่นไม้จากยางพารารายแรกของโลก บริษัทนอกจากจะให้ความสำคัญกับเรื่องของดีไซน์ และคุณภาพแล้ว บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับเรื่องอินโนเวทีฟ หรือ การสร้างนวัตกรรมด้านความปลอดภัยขึ้น เนื่องจากผลิตภัณฑ์ประเภท “ทอยส์” หรือ ของเล่นสำหรับเด็ก จะมีข้อกำหนดเป็นมาตรฐานด้านความปลอดภัยสำหรับการส่งออกตามที่แต่ละประเทศกำหนด โดยเฉพาะเรื่องของ “สารฟอร์มัลดิไฮด์” ซึ่งเป็นสารเคมี หรือ “กาว” ที่ช่วยในการยึดเกาะหรือเป็นตัวประสานเนื้อไม้อัดให้ติดกันนั้น ตามมาตรฐานจะให้มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ได้ในระดับที่ปลอดภัยสำหรับการนำมาใช้งานเท่านั้น ซึ่งการใช้สารดังกล่าวในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และของเล่นไม้จะแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับ E2, E1 และ E0 โดยทั่วไปจะอยู่ในระดับ E2 และ E1 เท่านั้น สารฟอร์มัลดิไฮด์จะมีผลต่อร่างกายได้หากได้รับในปริมาณมาก ๆ ซึ่งจากผลวิจัยพบว่า สารฟอร์มัลดิไฮด์เป็นสารที่ก่อมะเร็งหากได้รับในปริมาณมาก ๆ ทำให้ในบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น และเยอรมนี ให้ความสำคัญกับสารดังกล่าวอย่างมาก บริษัทฯ จึงมีแนวคิดพัฒนา “กาวไร้สารฟอร์มัลดิไฮด์” หรืออีซีโร่ (E0) ขึ้น ได้ขอให้ทางโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดหาผู้เชี่ยวชาญจากภาควิชาวนผลิตภัณฑ์ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เข้ามาช่วยในการปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิตไม้อัด ซึ่งทำให้กระบวนการผลิตไม้อัดมีประสิทธิ ภาพมากขึ้น ลดต้นทุนการผลิตลงได้ 10% และพัฒนาสูตรกาวไร้สารเคมีที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์สำหรับการเชื่อมไม้อัด ช่วยทำให้สามารถผลิตแผ่นไม้อัดที่ไม่ใช้กาวที่มีส่วนผสมของสารฟอร์มัลดิไฮด์ในแผ่นไม้อัด ที่ยังคงมีคุณภาพเทียบเท่ามาตรฐานเดิม ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถนำไปเป็นจุดขายสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้า ถึงความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ที่ไร้สารพิษเหนือระดับที่มาตรฐานกำหนดรายแรกและรายเดียวของโลก โดยนำสูตรกาวที่พัฒนาขึ้นมาใช้กับผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ปี 2546 และในปี 2547 ที่ผ่านมามียอดจำหน่าย 340 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2548 นี้ จะเพิ่มขึ้นเป็น 350 ล้านบาท (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 18 ต.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





นักวิจัยไทยทดลองใช้เปลือกผลไม้ต้านรอยย่น

รศ.ดร.ศิริพร โอโกโนกิ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นักวิจัยที่ได้รับทุนการทำวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย หรือ สกว. ทำวิจัยเรื่อง “สารต้านอนุมูลอิสระจากสมุนไพรไทย” เพื่อทดสอบความเป็นไปได้ในการสกัดสารอนุมูลอิสระจากเปลือกผลไม้ เปิดเผยว่า หลังได้นำเปลือกผลไม้ชนิดต่าง ๆ เข้าสู่กระบวนการสกัดด้วยตัวทำละลาย เอทานอล หรือ เอทิลแอลกอฮอล์ และนำส่วนที่ละลายมาทำการระเหยเอทานอลออกให้เหลือเฉพาะสารสกัดจากเปลือกผลไม้ พบว่า เปลือกมังคุด ทับทิม และเงาะ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระมากที่สุด และเป็นสารอนุมูลอิสระที่อยู่ในกลุ่ม polyphenolic compound แต่งานวิจัยชิ้นนี้ยังต้องศึกษาต่อ เนื่องจากเมื่อนำสารต้านอนุมูลอิสระที่ได้มาทดสอบความเป็นพิษกับเซลล์เม็ดเลือดขาวปกติในหลอดทดลอง พบว่า สารที่ได้จากเปลือกผลไม้ยังมีสารที่เป็นอันตรายต่อเซลล์ปกติอยู่มาก ดังนั้นทีมงานวิจัยกำลังพัฒนากระบวนการสกัดเพื่อให้ได้สารต้านอนุมูลอิสระที่บริสุทธิ์มากขึ้น โดยปรับเปลี่ยนตัวทำละลายและเพิ่มประสิทธิภาพการสกัดและการคัดแยก ตั้งเป้าทำงานวิจัยเสร็จปี 2549 สารความงาม หรือสารต้านอนุมูลอิสระที่นำเข้าจากต่างประเทศมีราคาอยู่ที่มิลลิกรัมละประมาณ 1 หมื่นบาท แต่ถ้างานวิจัยชิ้นนี้สำเร็จและผลิตได้เองในประเทศสารดังกล่าวจะมีราคาถูกมาก เพราะใช้เปลือกผลไม้เหลือทิ้งและมีต้นทุนเพียงค่าน้ำ เอทานอล และไฟฟ้าเท่านั้น สำหรับปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการสะสมของสารอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งส่งผลให้สภาพเซลล์ผิวหนังเหี่ยวย่นมีริ้วรอย ได้แก่ เขม่าควัน สารเคมี ควันบุหรี่ แสงแดด และความเครียด ฯลฯ (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 18 ต.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





พัฒนาเครื่องบีบอัดน้ำมันสะเดา ปริมาณน้ำมันสะเดาเพิ่ม สะดวก

ผศ.ชลิตต์ มธุรสมนตรี อาจารย์ประจำภาควิชา วิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี คิดค้น เครื่องบีบอัดน้ำมันสะเดาขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกในกระบวนการบีบอัดน้ำมันสะเดา ที่จะนำมาผลิตสารสกัดจากสะเดาต่อไป โดยโครงงานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “การผลิตสารสกัดจากสะเดาเชิงธุรกิจ” วิทยาการเพื่อการพึ่งพาตนเอง ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ผศ.ชลิตต์ เปิดเผยถึงผลงาน เครื่องบีบอัดน้ำมันสะเดา ว่า ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ได้ทำการปรับปรุงเครื่องบีบอัดน้ำมันจากเมล็ดสะเดาแบบเกลียวอัดเดี่ยว ให้สามารถทำงานได้อย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น เพื่อให้บีบอัดน้ำมันออกจากเมล็ดสะเดาให้ได้มากที่สุด เพราะสารสะเดาที่ได้จากการสกัดนั้น ต้องไม่มีน้ำมันสะเดาผสมอยู่ เนื่องจากเวลานำสารสะเดาไปใช้กับพืช น้ำมันก็จะไปเคลือบติดอยู่ตามใบพืช ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการสังเคราะห์แสงของพืชลดลง สำหรับขั้นตอนการบีบอัดน้ำมันจากเมล็ดสะเดานั้น เริ่มจากแบ่งเมล็ดสะเดาแห้งออกเป็น 2 ประเภท คือ แบบไม่กะเทาะเปลือก และแบบกะเทาะเปลือก แล้วนำมาผ่านการบดให้ละเอียดโดยเครื่องบด และเครื่องปั่นละเอียด จากนั้นจึงนำวัตถุดิบใส่ลงใน Hopper ของเครื่องบีบอัดน้ำมันสะเดา และเกลียวบีบอัดก็จะทำการบีบอัด จนได้น้ำมันสะเดาออกมา ส่วนกากสะเดาก็จะแยกลงมาทางส่วนล่างของเครื่อง และน้ำมันสะเดาที่ได้ก็จะถูกนำไปเข้าเครื่องสกัดสารสะเดา เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป จากการทดลอง ซึ่งเมื่อเทียบกับวิธีการบีบอัดน้ำมันสะเดาด้วยวิธีอื่นแล้ว ได้ปริมาณมากกว่ากันถึง 1 เท่าตัว หลักการของเครื่องบีบอัดน้ำมันสะเดานี้ยังสามารถนำไปต่อยอดเพื่อประดิษฐ์เครื่องบีบอัดน้ำมันจากเมล็ดพืชประเภทอื่นๆ เช่น เมล็ดถั่วเหลือง ทานตะวัน และละหุ่ง ได้อีกด้วย ผู้ใดสนใจ เครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสารสะเดาเชิงธุรกิจ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี หมายเลขโทรศัพท์ 0-2549-3441, 0-2549-3405 ในวันและเวลาราชการ (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 19 ต.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





“ทองพันชั่ง” ยับยั้งมะเร็งเต้านม-มดลูก

นักวิจัยภาควิชาเคมี ม.เกษตรศาสตร์ ร่วมกับสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สังเคราะห์สารอนุพันธ์แนพโทควิโนนเอสเทอร์ จากสารต้นแบบที่ได้จากต้นทองพันชั่ง มีฤทธิ์ยับยั้งมะเร็งเยื่อบุช่องปาก มะเร็งเต้านม และมะเร็งมดลูกได้สำเร็จ โดยรองศาสตราจารย์ ดร.งามผ่อง คงคาทิพย์ ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์(มก.)หนึ่งในทีมวิจัยและ รองศาสตราจารย์ ดร.บุญส่ง คงคาทิพย์ หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการวิจัยผลิตภัณฑ์ธรรมชาติและเคมีอินทรีย์สังเคราะห์ ภาควิชาเคมีฯ เปิดเผยถึงความสำเร็จในการวิจัยสังเคราะห์สารอนุพันธ์ “แนพโทควิโนนเอสเทอร์” ที่มีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็ง จากสารต้นแบบที่ได้จาก “ต้นทองพันชั่ง” แม้ว่าสารประกอบประเภท “แนพโทควิโนนเอสเทอร์” ที่แยกได้จากต้นทองพันชั่ง จะมีออกฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งได้ แต่ยังมีปริมาณน้อย จึงจำเป็นต้องศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างกับการออกฤทธิ์ และหาสารตัวใหม่ที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งที่ดีกว่ายาปัจจุบัน ดังนั้นทีมวิจัย จึงทำการสังเคราะห์สารอนุพันธ์แนพโทควิโนนเอสเทอร์ รวมทั้งไรนาแคนทิน ไปพร้อมๆ กัน โดยผลจากการทดสอบการออกฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งเยื่อบุช่องปากมะเร็งเต้านม และมะเร็งมดลูกนั้น พบว่า สารประกอบแนพโทควิโนนเอสเทอร์ ที่มีส่วนของเอสเทอร์ ที่เป็นอนุพันธ์ของอะโรมาติก จะให้ผลการออกฤทธิ์ดีกว่าเอสเทอร์ที่เป็นอนุพันธ์ของโซ่อะลิฟาติก ซึ่งจะไม่ออกฤทธิ์ หรือออกฤทธิ์เล็กน้อยถึงปานกลาง การวิจัยครั้งนี้ ทำให้วิจัยสามารถค้นพบสารใหม่ ที่สามารถออกฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งได้ถึง 35 ชนิดอีกด้วย สำหรับผู้สนใจในสรรพคุณของ “ทองพันชั่ง” สามารถติดต่อได้ที่ โทร.0-2942-8181-3 (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 19 ต.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





วิจัยเพิ่มพลังเม็ดเลือดขาว ฆ่าเซลล์มะเร็งท่อน้ำดี

รศ.น.พ.สุรเดช หงส์อิง ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เผยระหว่างการประชุม "นักวิจัยรุ่นใหม่ พบ เมธีวิจัยอาวุโส" จัดโดยสกว.ว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคมะเร็งจำนวนมากต้องประสบปัญหา การกลับมาเป็นซ้ำของโรค เนื่องจากคำว่าหายจากโรคมะเร็งนั้น เป็นเพียงสภาวะที่ร่างกายของผู้ป่วยดีขึ้น มีภูมิต้านทานของร่างกายแข็งแรงเพียงพอที่จะทำลายเซลล์มะเร็งได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเซลล์มะเร็งจะถูกทำลายทั้งหมด 100% ยังคงมีเซลล์มะเร็งบางส่วนเหลืออยู่ ผู้ป่วยบางคนที่ผ่านแนวทางการรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีการใช้ยาเคมีบำบัด การผ่าตัด และการฉายแสง มายาวนานจะส่งผลให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายอยู่ในภาวะต่ำมากเกินไป ฉะนั้น เมื่อใดที่ผู้ป่วยอ่อนแอ ภูมิต้านทานต่ำ เซลล์มะเร็งที่แฝงอยู่ในร่างกายจะเจริญเติบโตและเข้าทำลายเซลล์ร่ายกาย ผู้ป่วยจึงมีโอกาสกลับมาเป็นโรคมะเร็งอีกครั้ง ปัจจุบันแนวทางการรักษาที่เป็นไปได้และมีบทบาทเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในหลายประเทศคือเทคนิคการเพิ่มประสิทธิภาพเม็ดเลือดขาว โดยใช้สารเคมีให้มีฤทธิ์ต่อการทำลายเซลล์มะเร็ง ด้วยการนำเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีประสิทธิภาพมากระตุ้นเพื่อเพิ่มจำนวนและประสิทธิภาพ เริ่มจากการดูดเซลล์เม็ดเลือดขาวจากไขกระดูกหรือจากเลือดในผู้ป่วยออกมาใส่ในหลอดทดลอง และนำเซลล์เม็ดเลือดขาวมาผ่านกระบวนการ จากการทดลองนำเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ได้มาทดสอบกับเซลล์มะเร็งชนิดต่างๆ ได้แก่ เซลล์มะเร็งท่อน้ำดี เซลล์มะเร็งเต้านม เซลล์มะเร็งสมอง เซลล์มะเร็งต่างๆ ในเด็กในหลอดทดลอง พบว่า เซลล์เม็ดเลือดขาวที่ได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นมาก กว่าเดิม 50-100 จากนั้นได้ขยายผลทดสอบในหนู โดยใช้โมเดลเซลล์มะเร็งท่อน้ำดี ซึ่งพบบ่อยในประเทศไทยและยังเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ผลงานวิจัยในเบื้องต้นพบว่า ก้อนมะเร็งในหนูซึ่งได้รับเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เตรียมจากห้องทดลองนั้นมีขนาดเท่าเดิมหรือเล็กลง (ข่าวสด พุธที่ 19 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





เปลี่ยนยางรถยนต์เก่าเป็นพลังงานน้ำมัน

ผศ.ดร.ศิริรัตน์ จิตการค้า ได้ทำวิจัยเรื่อง “การนำยางรถยนต์ที่ใช้แล้วมาเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ตั้งต้นที่มีมูลค่าด้วยวิธีไพโรไลซิส” หรือ “การเปลี่ยนยางรถยนต์เก่าเป็นพลังงานน้ำมันด้วยการเผาไหม้ในสภาพไร้อากาศ” ซึ่งได้ทุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เนื่องจากเห็นว่าประเทศไทยมียางรถยนต์เก่าหมดสภาพการใช้งานกว่าปีละ 10 ล้านเส้นจึงคิดที่จะนำมาสร้างประโยชน์ เพราะแต่เดิมจะทำลายด้วยวิธีเผาทิ้งในเตาทำลายของบริษัทปูนซีเมนต์เท่านั้น ยางรถยนต์มีสารประกอบไฮโดรคาร์บอนซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของน้ำมัน เพราะน้ำมันเกิดจากสารไฮโดรคาร์บอนต่อกันเป็นสายโซ่ใหญ่ ดังนั้น ถ้านำยางรถยนต์มาทำปฏิกิริยาให้สายโซ่เหล่านั้นแตกออก โดยใช้วิธีเผาในเตาปฏิกรณ์ที่สภาพไร้อากาศ หรือเรียกว่า กระบวนการไพโรไลซิส ก็จะได้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นน้ำมันดิบออกมาซึ่งสามารถนำไปแยกเป็นน้ำมันชนิดต่าง ๆ ได้ตามลำดับจุดเดือดและขนาดโมเลกุล ได้แก่ น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล น้ำมันก๊าด และน้ำมันเตา การเผาไหม้ยางแต่ละครั้งจะให้น้ำมันถึง 40% ก๊าด 20% ที่เหลือเป็นเถ้าถ่าน ปัจจุบันการทดลองการเผายางที่สภาวะปกติ จะให้น้ำมันในสัดส่วน 38-55% ของปริมาณยางทั้งหมด ดังนั้นจึงต้องเร่งพัฒนาหาตัวเร่งปฏิกิริยาและสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อให้ได้สัดส่วนของน้ำมันมากขึ้นเพื่อคุ้มกับการลงทุนในเชิงพาณิชย์ เบื้องต้นผู้วิจัยโครงงานนี้จับมือกับบริษัทผลิตน้ำมันเตา วางขายผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ได้จากการเผายางรถยนต์ในรูปของน้ำมันเตาแล้ว เพราะขายง่าย ส่วนการสกัดเป็นน้ำมันประเภทอื่น ๆ ยังติดปัญหาเรื่องต้นทุนการผลิต และข้อจำกัดเกี่ยวกับสเปกของน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล ตามที่กฎหมายกำหนด จึงต้องทำการศึกษาต่อไป โครงงานวิจัยนี้ใช้งบทำวิจัยทั้งหมด 4.8 แสนบาท ภายในระยะเวลา 2 ปี หากภาครัฐสนับสนุนให้ใช้น้ำมันจากการเผายาง จะช่วยลดการนำเข้าน้ำมันดิบได้ถึง 10-50% จากปัจจุบันที่มีการนำเข้าน้ำมันดิบมากถึง 90% และผลิตเองได้ในประเทศเพียง 10% (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 20 ต.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





วิจัยสมุนไพรไทยเป็นยาแก้อักเสบ

ศ.ดร.อภิชาต สุขสำราญ อาจารย์จากภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหา วิทยาลัยรามคำแหง นักวิจัยที่ได้รับทุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ผู้ค้นพบสารต้านการอักเสบที่มีอยู่ในสมุนไพร “กาสามปีก” เปิดเผยว่า เปลือกของกาสามปีก มีสารอิริคอยด์ ที่ช่วยยับยั้งเอนไซม์คอกซ์ 2 ที่กระตุ้นให้เกิดอาการอักเสบได้เหมือนกับยาแผนปัจจุบัน แต่ดีกว่าเพราะสารที่ได้จาก กาสามปีกไม่ทำลายเอนไซม์ดี หรือคอกซ์ 1 ที่จำเป็นในการทำงานอย่างปกติของร่างกาย ต่างจากยาแก้อักเสบแผนปัจจุบันที่จะทำลายเอนไซม์ดีไปด้วยเมื่อกินยาแก้อักเสบ และถ้ากินติดต่อกันเป็นเวลานานจะส่งผลเสียต่อการทำงานของไต รวมทั้งอาจมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร สำหรับกาสามปีก เป็นไม้ยืนต้นอยู่ในสกุลเดียวกับต้นไข่เน่า และสมรตีนนก ซึ่งการค้นพบดังกล่าวจะใช้เป็นต้นแบบในการสร้างยาแก้อักเสบจากสมุนไพรไทย นอกจากนี้ ศ.ดร.อภิชาต ยังได้ทำวิจัยการเปลี่ยนสารเคอร์คิวมินจากขมิ้นชันซึ่งเป็นสารต้านการอักเสบที่มีฤทธิ์ต่ำให้เป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบสูงด้วย และหากการพัฒนาทุกขั้นตอนสำเร็จเป็นผลดี คนไทยจะได้ใช้ยาแก้อาการอักเสบที่ผลิตจากสมุนไพรไทยและไม่มีผลข้างเคียงกับร่างกาย. (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 20 ต.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





หมอนแหล่งเพาะเชื้อรา ต้นตอโรคหอบหืด-ไซนัส

ศ.เอสลีย์ วูดค็อก หัวหน้านักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ กล่าวว่า หมอนกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อราหลากชนิด โดยที่หลายคนไม่รู้ตัว จากการศึกษาพบเชื้อรามากถึง 16 ชนิด ที่แฝงตัวอยู่ในหมอน ซึ่งพวกมันมีสิทธิทำให้เจ้าของหมอนเป็นโรคหืดขึ้นมาได้ จากการวิเคราะห์หาเชื้อราในหมอน 10 ใบ แบ่งเป็น หมอนใยสังเคราะห์ 5 ใบ และหมอนขนนกอีก 5 ใบ ซึ่งถูกใช้งานแล้วในช่วงระหว่าง 18 เดือน และ 20 ปี พบว่า เชื้อราในหมอนใยสังเคราะห์มีมากชนิดกว่าหมอนขนนก โดยเชื้อราที่พบทั้งหมดกินขี้ไคลของเจ้าของหมอน และอุจจาระของไรฝุ่นเป็นอาหาร โดยงานวิจัยชิ้นนี้ ได้แสดงให้เห็นระบบนิเวศวิทยาขนาดเล็กที่อยู่ภายในหมอนที่หลายคนหนุนนอน จะเห็นได้ว่าในหมอนแต่ละใบ จะมีปริมาณเชื้อรามากน้อยแตกต่างกันไป โดยมีจำนวนอยู่ที่ 4-16 ชนิด และจากการส่องกล้องจุลทรรศน์ดู พบว่าเชื้อราแอสเปอร์จิลลัส ฟูมิกาทัส (Aspergillus fumigatus) มีอยู่มากในหมอนใยสังเคราะห์ โดยเชื้อดังกล่าวหากหลุดรอดเข้าไปในปอด และโพรงจมูก ก็มีสิทธิเป็นโรคหืด และไซนัสได้ รวมถึงผู้ป่วยที่ผ่านการปลูกถ่ายไขกระดูกมา หรือผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว หากมาหนุนหมอนที่มีเชื้อราดังกล่าว ก็มีสิทธิเกิดภาวะติดเชื้อได้โดยไม่ทันตั้งตัว (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 20 ต.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





พบเทคนิคเพาะตับให้กลับงอก ในห้องทดลอง

หนังสือพิมพ์ “เดลี่ เอกซเปรสส์” ที่อังกฤษรายงานข่าวว่า นักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาเทคนิค ทำให้คนไข้ผู้ที่ตับวาย ให้สามารถเพาะตับของตนเองกลับขึ้นมาใหม่ได้อีก โดยหมอจะดูดเอาเซลล์ตับที่เหลือออกมา แล้วเพาะเลี้ยงไว้ในห้องปฏิบัติการทดลอง ก่อนจะเอามากรอกคืนกลับเข้าไปในตับ เพื่อรอให้มันเพิ่มจำนวนมากขึ้น คณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งฟลอเรนซ์ ในอิตาลี ได้พบเทคนิคว่า หากตัดเลือดที่ไปเลี้ยงตับบางส่วนให้น้อยลงได้ มันจะไปบังคับตับให้เร่งผลิต เซลล์ใหม่ขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ศาสตราจารย์มาสซิโม พินซานี่ หัวหน้าคณะนักวิจัยเปิดเผยว่า จะเริ่มทดลองทำกับคนไข้ได้ ภายในสองสามเดือนข้างหน้านี้. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 21 ต.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





เครื่องผลิตไบโอดีเซลแบบต่อเนื่อง

รศ.ดร.ประกอบ กิจไชยา อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ผู้คิดค้นและพัฒนา “เครื่องผลิตน้ำมันไบโอดีเซลแบบต่อเนื่อง” ซึ่งได้รับทุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เปิดเผยว่า ปัญหาหลักของการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลถ้าผลิตน้อยจะมีต้นทุนสูง ดังนั้นจึงคิดค้นเครื่องผลิตแบบต่อเนื่องเพื่อให้ได้น้ำมันไบโอดีเซลในปริมาณที่มากและต้นทุนต่ำ รศ.ดร.ประกอบ กล่าวต่อว่า จากการทดสอบเครื่องผลิตน้ำมันไบโอดีเซลแบบต่อเนื่องในอุณหภูมิการผลิต 60 องศา ใช้เวลาให้ตัวเร่งปฏิกิริยาทำให้โมเลกุลของไตรกลีเซอไรด์แตกเล็กลง 2 นาที ด้วยมอเตอร์ขนาด 200 กว่าวัตต์ กินไฟชั่วโมงละ 2 บาท พบว่า สามารถผลิตน้ำมันไบโอดีเซลได้สูงถึง 98% สูงกว่าการผลิตน้ำมันดีเซลชีวภาพปกติที่ได้น้ำมัน 96% ซึ่งผลการวิจัยนี้ช่วยให้ค้นพบช่วงเวลาในการผสมกันของสารที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ปริมาณน้ำมันที่สูงที่สุด ปัจจุบัน น้ำมันไบโอดีเซลมีผลิตที่ม.สงขลานครินทร์ในกำลังการผลิต 2,000 ลิตร/วัน และกำลังจะตั้งโรงงานผลิตที่จ.กระบี่โดยมีกำลังการผลิต 1 หมื่นลิตร/วัน ซึ่งเป้าหมายสูงสุดของการวิจัยคือสร้างเครื่องที่ผลิตน้ำมันได้วันละ 1 แสนลิตร ทั้งนี้ น้ำมันไบโอดีเซลเป็นการนำน้ำมันพืช หรือน้ำมันสัตว์ ไปทำปฏิกิริยากับแอลกอฮอล์โดยใช้กรดหรือด่างเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา โดยทำให้โมเลกุลของไตรกลีเซอไรด์แตกเล็กลง ส่งผลให้มีความหนืดลดลงจากน้ำมันพืชประมาณ 10 เท่า เหมาะกับการนำมาใช้แทนน้ำมันดีเซล. (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 21 ต.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ถอดลายมือเป็นฟอนต์คอมพ์ ไม่ต้องเสียเวลาพิม์ซ้ำ

นายอนุรักษ์ ชูวิเชียร นักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยศรีปทุม บอกว่า เขาเริ่มต้นสร้างโปรแกรมถอดลายมือโดยศึกษาวิธีการทำงานของโปรแกรมแปลงตัวอักษรจากเอกสารให้เป็นไฟล์เอกสาร ดูทั้งจุดเด่น จุดด้อย ของแต่ละโปรแกรมที่มีอยู่ในท้องตลาด เพื่อนำมาดัดแปลงใช้กับโปรแกรมที่คิดค้นขึ้น โดยเพิ่มความสามารถของโปรแกรมให้สามารถแปลงไฟล์เอกสารจากลายมือที่แตกต่างกันของแต่ละคนได้ เขาเลือกใช้ซอฟต์แวร์ "โครงข่ายประสาท หรือ นิวรอล เน็ตเวิร์ค" ซึ่งเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ช่วยในการรู้จำสิ่งต่างๆ ที่ต้องการ โดยนำโปรแกรมดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ให้ง่ายขึ้นเพื่อช่วยในการจำลายมือของแต่ละคน เพราะแต่ละคนลายมือไม่เหมือนกัน โปรแกรมของเขาจะจดจำตัวอักษรภาษาไทยทั้งพยัญชนะและสระ ในแบบต่างๆ แล้วเก็บไว้ในฐานข้อมูล การใช้งานผู้ใช้ต้องป้อนกระดาษที่เขียนด้วยลายมือเข้าเครื่องสแกน ซึ่งจะบันทึกไว้เป็นภาพดิจิทัล จากนั้นโปรแกรมโครงข่ายประสาทจะประมวลผลและแปลงตัวอักษรบนภาพให้เป็นไฟล์เอกสารดิจิทัล "นิวรอลจะช่วยประมวลผลข้อมูล โดยเปรียบเทียบลักษณะตัวเขียนกับลักษณะลายมือแบบต่างๆ แล้วดึงเอาลักษณะเด่นของอักษรแต่ละตัวมาเก็บรวบรวมไว้ในฐานข้อมูล เมื่อโปรแกรมพบตัวเขียนที่ตรงกับตัวพิมพ์ที่เก็บไว้ในฐานข้อมูล โปรแกรมก็จะแปลงลายมือนั้นให้เป็นตัวพิมพ์ทันที" จากการทดสอบบันทึกลายมือของคน 5 คน เข้าสู่ฐานข้อมูล เพื่อทำการแปลงไฟล์ ปรากฏว่า โปรแกรมสามารถแปลงลายมือเป็นอักษรตัวพิมพ์ในระยะเวลาประมาณ 4 นาที ความแม่นยำอยู่ที่ 90 เปอร์เซ็นต์ โดยข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากลักษณะตัวอักษรภาษาไทยที่มีความคล้ายคลึงกันเช่น ค กับ ด เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หากจะนำโปรแกรมดังกล่าวมาใช้งานจริงนั้นอาจต้องใช้ฐานข้อมูลลายมือของคนเป็นจำนวนมาก และจะต้องกำหนดลักษณะเด่นของตัวอักษรแต่ละตัวของแต่ละลายมือให้ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ โปรแกรมดังกล่าวยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้สำหรับการจดจำใบหน้าคน เพื่อประโยชน์ในการค้นหาเปรียบเทียบใบหน้าในการติดตามคนร้าย (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 21 ต.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





รักษาวัณโรคแบบใหม่ร่นเวลา นำร่องในแอฟริกาใต้-อูกันดา

ดร.มาเรีย แฟร์ ประธานกลุ่มพันธมิตรโลกเพื่อพัฒนายารักษาวัณโรค บอกว่า กลุ่มจะร่วมกับบริษัท ไบเออร์ เฮลธ์แคร์ เอจี ใช้ยารวมตัวใหม่ทดลองทางคลินิกกับผู้ป่วยวัณโรคราว 2,500 คนในแอฟริกาใต้ ยูกันดา บราซิล สหรัฐ แคนาดา สเปน แทนซาเนีย ลักเซมเบิร์ก โดยนำร่องแล้วที่แอฟริกาใต้และอูกันดา วัณโรคเป็นหนึ่งในโรคฉวยโอกาสที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากเสียชีวิต ปัจจุบันมีผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ราว 9 ล้านรายในแต่ละปี และราว 2 ล้านรายเสียชีวิตด้วยโรคนี้ คาดการณ์ว่าจะมีผู้ป่วยวัณโรคเพิ่มขึ้นกว่า 200 ล้านรายในปี 2563 และจะมีผู้เสียชีวิตสูงถึง 35 ล้านราย การแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวี ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดผู้ป่วยวัณโรครายใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี วิธีรักษาใหม่ ซึ่งจะได้รับการอนุมัติภายในห้าปี สามารถร่นระยะเวลาการรักษาวัณโรคจาก 6 เดือน ให้เหลือเพียง 2-3 เดือน การทดลองจะเป็นการใช้ยาปฏิชีวนะตัวใหม่ร่วมกับยารักษาวัณโรคที่มีอยู่เดิม ซึ่งตัวยาปฏิชีวนะดังกล่าว ได้รับการอนุมัติใน 104 ประเทศทั่วโลกแล้วว่า เป็นยาสำหรับใช้รักษาโรคผิวหนังและทางเดินหายใจติดเชื้อแบคทีเรียมาแล้ว (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 21 ต.ค. 48 http://www.komchadluek.net)





ไทยเตรียมทดลองวัคซีนจับกินเอดส์ปีหน้า

ศ.นพ.ประพันธ์ ภานุภาค ผู้อำนวยการศูนย์โรคเอดส์ สภากาชาดไทย เปิดเผยว่า สภากาชาดไทยเตรียมดำเนินโครงการทดลองวัคซีนรักษาโรคเอดส์ในผู้ติดเชื้อ ภายใต้ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในออสเตรเลีย อาทิ มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวล มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น และมหาวิทยาลัยซิดนีย์ โดยจะเริ่มดำเนินการได้ภายในต้นปีหน้า กำหนดระยะเวลา 1 ปี พร้อมทั้งจะคัดเลือกอาสาสมัครผู้ป่วยเอดส์เข้าร่วมโครงการ 20 คน สำหรับวัคซีนเอดส์ที่จะทดลองนี้ถือเป็นรุ่นที่ 3 โดยก่อนหน้านี้ มีการทดลอง "อัลแวควัคซีน" ของบริษัท อเวนตีส ปาสเตอร์ ประเทศฝรั่งเศส ออกฤทธิ์กระตุ้นร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันในเซลล์ ให้จับและฆ่าเซลล์ที่ติดเชื้อเอชไอวี ถัดมาคือ "เอดส์แวกซ์วัคซีน" ของบริษัท แว๊กซ์เจน สหรัฐอเมริกา จะออกฤทธิ์กระตุ้นร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันในน้ำเลือด ซึ่งภูมิคุ้มกันนี้จะเข้าไปทำลายเชื้อเอชไอวีในน้ำเลือด วัคซีนทั้ง 3 รุ่นนี้เป็นชนิดดีเอ็นเอ ซึ่งสังเคราะห์จากส่วนประกอบบางส่วนของสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอไวรัสเอชไอวี ส่วนการทดลองครั้งนี้จะแบ่งการฉีดออกเป็น 2 ครั้ง ครั้งแรกจะฉีดปูพื้นด้วยวัคซีนดีเอ็นเอ และตามด้วยวัคซีนที่ได้จากฝีดาษของนก ซึ่งมีชิ้นส่วนของเชื้อเอชไอวีอยู่ด้วย เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะในส่วน "ทีเซลล์" ของเม็ดเลือดขาว ซึ่งทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคเอดส์ ผลการทดลองกับอาสาสมัครในออสเตรเลียเป็นที่น่าพอใจ แต่ยังไม่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้เพียงพอ ดังนั้น การทดลองในไทยจะศึกษาถึงประสิทธิภาพของวัคซีน ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในผู้ป่วย โดยจะฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าของการทดลองในออสเตรเลีย นอกจากนี้ สภากาชาดไทยยังได้สร้างห้องปฏิบัติการ เพื่อทดสอบการตอบสนองของทีเซลล์หรือระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งถือว่าเป็นโครงการแรกของไทยที่มีการทดลองอย่างครบวงจร ทั้งในระบบห้องปฏิบัติการและคลินิก โดยไม่ต้องส่งผลการตรวจเลือดหรือการทดลองไปทดสอบยังต่างประเทศ หากโครงการทดลองนี้ประสบผลสำเร็จ ประเทศไทยจะได้เป็นเจ้าของสิทธิบัตรในวัคซีน ร่วมกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ในออสเตรเลีย ซึ่งช่วยให้ไทยสามารถนำเข้าวัคซีนรักษาโรคเอดส์ได้ในราคาถูก (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 21 ต.ค. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





เครื่องปัดโคลนติดพื้นรองเท้า

ธีรศักดิ์ สรวลแย้ม ธีรทัศน์ รอดเมฆและ ธนากร ธเนศวานิชย์จากสาขาช่างไฟฟ้า จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ วิทยาเขตสุพรรณบุรี มองว่า ถ้าหากว่าตามตึก ตามอาคารต่างๆ จะมีอุปกรณ์สำหรับปัดโคลนจากรองเท้า ก่อนที่จะเหยียบย่างขึ้นอาคารก็คงจะช่วยทุนแรงของพนักงานทำความสะอาดได้ จึงเกิดความคิดประดิษฐ์ “เครื่องปัดโคลนออกจากพื้นรองเท้า” ขึ้น โดยมีอาจารย์อานนท์ พ่วงชิงงาม เป็นที่ปรึกษา “ธีรศักดิ์” ผู้ร่วมไอเดีย อธิบายถึงโครงสร้างเครื่องปัดโคลนฯ ตัวนี้ว่า ที่เห็นชัดๆ ก็มีตะแกรงรองพื้นรองเท้า แกนหมุนแปรงขัด ซึ่งใช้เชือกไนล่อนมาแยกออกเป็นเส้นเดี่ยวจากเดิมที่ตีเป็นเกลียว แล้วยึดติดกับแผ่นกระดาษไฟเบอร์ที่เจาะเป็นรูไว้สำหรับร้อยเชือกแล้วติดตั้งเข้ากับแกนหมุน โดยใช้น๊อตสกรูเกลียว สำหรับการทำงานจะควบคุมด้วยระบบออโตเมติก ขับเคลื่อนการหมุนแกนขัดด้วยมอเตอร์คาปาซิเตอร์สตาร์ท ใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ 220 โวลล์ กำลัง 12 แรงม้า โดยมีเซ็นเซอร์ลำแสงในการตรวจจับรองเท้าที่วางบนตะแกรงรองพื้นรองเท้า เมื่อวางรองเท้าอยู่ในตำแหน่งเหมาะสม เครื่องจะสั่งให้ Timer Relay ทำการหน่วงเวลาไว้ 2 วินาทีก่อนตัวปั่นทำความสะอาดจะหมุน โดยใช้พูลเลย์มาบังคับให้การหมุนมีทิศทางเข้าหากัน “เครื่องจะใช้เวลาปัดโคลนจากพื้นรองเท้าในเวลา 15 วินาทีเท่านั้น ส่วนลมที่เกิดขณะที่แปรงปัดโคลนออกจะช่วยพาเอาโคลนเหล่านั้นให้ตกลงไปที่ถาดรองด้านล่าง ซึ่งสามารถถอดออกไปล้างเมื่อโคลนมีปริมาณมากๆ ได้ เพียงเท่านี้รองเท้าที่เปรอะโคลนมามากต่อมากก็สามารถขจัดออกก่อนเข้าไป เหยียบในตัวอาคารได้อย่างไม่ต้องกังวลใจ” ผู้ใดสนใจติดต่อสอบถามไปที่ แผนกไฟฟ้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ วิทยาเขตสุพรรณบุรี โทร.0-3654-4301-3 (สยามรัฐรายวัน ศุกร์ที่ 21 ต.ค. 48 http://www.siamrath.co.th)





หมอกระดูกชี้ 20%สะโพกหัก เจอกระดูกพรุนตายใน 6 เดือน

ศ.นพ.บุญส่ง องค์พิพัฒนกุล คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงผลการศึกษาในต่างประเทศพบว่า ผู้หญิงอายุ 90 ปีขึ้นไป ที่ป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน มีโอกาสสะโพกหัก 20% และอาจเสียชีวิตภายใน 6 เดือน เนื่องจากมีโรคอื่นร่วมด้วย ทั้งนี้ เมื่อไม่สามารถเดินได้ ก็ทำให้ต้องนอนอยู่บนเตียงเป็นเวลานาน ส่งผลให้ร่างกายไม่ขยับเขยื้อน จนก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ และมีเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่มีโอกาสรอดชีวิต และเดินได้เป็นปกติอีกครั้ง ศ.นพ.บุญส่งกล่าวว่า ในประเทศไทยได้ทำการสำรวจพบว่า มีความคล้ายคลึงกับต่างประเทศ คือ ผู้หญิงอายุ 70 ปีขึ้นไปประมาณ 60% เป็นโรคกระดูกพรุน และ 20% มีอาการสะโพกหักร่วมและอาจเสียชีวิตได้ภายใน 1 ปี ทั้งนี้ ยังได้ทำการสำรวจที่ จ.เชียงใหม่ พบว่า ผู้หญิงอายุ 70 ปีขึ้นไปที่ป่วยด้วยโรคกระดูกพรุน จะเกิดสะโพกหักประมาณ 800-900 คนต่อแสนต่อปี ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวคล้ายคลึงกับมาเลเซีย แต่น้อยกว่าสิงคโปร์ อย่างไรก็ตาม เป็นสัญญาณเตือนภัยว่าอนาคตจะมีตัวเลขเพิ่มสูงขึ้น การทานแคลเซียม เป็นอีกหนทางที่อาจช่วยไม่ให้เป็นโรคกระดูกพรุนได้ แต่ก็ไม่ใช่ 100% เนื่องจากยังมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย อาทิ พันธุกรรมฯลฯ พญ.สินี ดิษฐบรรจง คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การเกิดโรคกระดูกพรุน ยังมีสาเหตุมาจากเลือดมีความเป็นกรดมาก เนื่องจากไตไม่สามารถขับกรดออกมาได้ ซึ่งอาจมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรมและอาหาร โดยส่วนใหญ่จะพบในภาคอีสาน สำหรับภาวะเลือดเป็นกรดสามารถรักษาได้ แต่ต้องรับประทานยาไปตลอดห้ามขาด ทั้งนี้ หากมีอาการปัสสาวะปนเปื้อนไปด้วยกรวด ทราย หรือปวดเมื่อยตามร่างกาย ควรสงสัยและเริ่มมาพบแพทย์ หากมาตรวจช้าอาจทำให้ร่างกายไม่เจริญเติบโต และมีโอกาสป่วยเป็นโรคกระดูกพรุนได้ (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 21 http://www.matichon.co.th )





รถเอ็นจีวีประหยัดพลังงาน "ธรรมศาสตร์" ศูนย์รังสิต

มธ.ศูนย์รังสิตได้เปิดตัวรถเอ็นจีวี (NGV) ปลอดมลพิษให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา นายสุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยว่า มธ.ศูนย์รังสิตใช้งบประมาณ 6 ล้านบาท จ้างให้บริษัทเอกชนผลิตรถบัสขนาดเล็ก เป็นรถเอ็นจีวี (NGV) บริการรับ-ส่ง นักศึกษาและบุคลากรภายในมหาวิทยาลัย จำนวน 12 คันขนาด 24 ที่นั่งและให้บริการทุก 5 นาที ในสองเส้นทาง เพื่อรณรงค์มิให้นักศึกษานำรถส่วนตัวมาใช้ภายใน มธ. ศูนย์รังสิต อีกทั้งลดการจราจรติดขัด การก่อมลพิษทางอากาศ ด้วยการนำรถก๊าซ NGV (Natural Gas Vehicle) แทนการใช้รถน้ำมันดีเซลตามนโยบายประหยัดพลังงานของรัฐบาล ซึ่งสามารถประหยัดงบประมาณของมหาวิทยาลัยได้ปีละ 1 ล้านบาทปรากฏว่ารถเอ็นจีวีได้รับความนิยมจากนักศึกษาและบุคลากรจำนวนมาก เร็วๆ นี้คาดว่าจะเพิ่มจำนวนรถเอ็นจีวีเพิ่มขึ้นอีก และต่อไป ทางมหาวิทยาลัยจะทุ่มงบประมาณกว่า 27 ล้านบาทเพื่อก่อสร้างทางจักรยานที่มีหลังคาคลุม โดยเชื่อมต่อกับอาคารเรียนในมธ.ศูนย์รังสิตทั้งหมด เพื่อส่งเสริมให้นักศึกษาใช้จักรยานเดินทางไปเรียนและติดต่อกันภายในมหาวิทยาลัย เนื่องจากปัจจุบันพบว่านักศึกษาไม่นิยมใช้จักรยานเพราะอากาศร้อนจัดและเมื่อมีฝนตกไม่มีหลังคาคลุม อีกทั้งการเดินทางสัญจรโดยรถบัสขนาดใหญ่บนถนนจึงเป็นอันตรายสำหรับการขับขี่จักรยาน หากทำทางจักรยานเสร็จแล้วจะทยอยปิดการสัญจรของรถยนต์ในบางพื้นที่ โดยเฉพาะถนนในกลุ่มอาคารเรียนของมหาวิทยาลัย ซึ่งในปีการศึกษา 2549 จะเริ่มก่อสร้างทางจักรยานให้เสร็จ (ข่าวสด ศุกร์ที่ 21 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





"คีเฟอร์"อาหารสุขภาพมาแรง ราชภัฏปรุงสูตร-จากทิเบตสู่ไทย

ผลิตภัณฑ์นมหมัก หรือคีเฟอร์ (kefir) ตามสูตรการคิดค้นของ อ.รัฐพล ศรประเสริฐ และ อ.พรผจง เลาหวิเชียร สองอาจารย์ประจำโปรแกรมวิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ที่ต้องการเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้นิยมรักษาสุขภาพร่างกาย "คีเฟอร์" ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์นมหมักที่ได้รับความนิยมมากในประเทศทิเบต และจีน ซึ่งชนพื้นเมืองของเขาจะนิยมบริโภคกันต่างน้ำ เนื่องจากเชื่อกันว่าเป็นเครื่องดื่มช่วยคืนความสดชื่นให้แก่ผู้บริโภค ตรงนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นทำให้สนใจและคิดว่าเราสามารถทำได้จากนมหลาย "คีเฟอร์ช่วยบำบัดอาการที่เกี่ยวกับระบบการย่อยอาหารให้ดีขึ้น ได้แก่ ลดกรดในกระเพาะ ระบบการย่อยในลำไส้ ช่วยควบคุมน้ำหนัก การเผาผลาญภายในร่างกาย ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด ภูมิแพ้ โรคปอดแข็งที่เกิดร่วมกับวัณโรคเป็นอาหารที่เหมาะกับทารกหรือผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับการย่อย รักษาแผลในกระเพาะและลำไส้เล็กส่วนต้น ยับยั้งเนื้องอกและมะเร็ง เพราะจากการทดสอบพบว่าสามารถยับยั้งเนื้องอกและมะเร็งปอดของหนู ช่วยเพิ่มเม็ดเลือดขาว ช่วยลดอาการแพ้ยาหรือเซรุ่ม และยับยั้งการแพร่กระจายของโรค ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียจากการทดลองพบว่าสารยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่ผลิตจากเชื้อสกุล Lactococcal ที่แยกได้จากคีเฟอร์ จะไปยับยั้งการเจริญของเชื้อสกุล Lactococci ดีที่สุด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลให้ต่ำลงเมื่อรับประทานคีเฟอร์ในปริมาณ 500 มิลลิลิตรต่อวัน เป็นเวลา 1 เดือน โดยแบคทีเรียในคีเฟอร์จะเป็นตัวเพิ่มสายโมเลกุลของกรดไขมันแบบสายโมเลกุลสั้น ซึ่งกรดไขมันสายโมเลกุลสั้นนั้นจะเป็นตัวไปลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด หรือยับยั้งการสร้างคอเลสเตอรอลในตับและสามารถนำคอเลสเตอรอลจากน้ำเลือดไปเก็บไว้ในตับได้ อีกอย่างหนึ่ง คือ การที่กรดน้ำดีปริมาณลดลงถูกขับเข้าสู่ลำไส้ใหญ่และขับออกจากร่างกายเป็นสาเหตุให้เกิดการกระตุ้นการสร้างกรดน้ำดีเพิ่มขึ้น กรดน้ำดีจะเป็นตัวขับคอเลสเตอรอลออกจากกระแสเลือดเพราะเป็นตัวย่อยไขมันทำให้ระดับคอเลสเตอรอลลดลง ฯลฯ นอกจากนั้นในด้านโภชนาการ คีเฟอร์มีโปรตีนมากกว่า 3.5% และอุดมไปด้วยวิตามิน B 12, B 13 วิตามินเอ, B 1 วิตามินซี และวิตามินเอช เป็นอาหารสำหรับทารก ใช้เลี้ยงทารกที่คลอดก่อนกำหนดมีผลต่อกรดไขมันในเลือด ทำให้เด็กมีสุขภาพแข็งแรง ช่วยเสริมสร้างการทำงานของแบคทีเรียในลำไส้ของทารกที่คลอดก่อนกำหนด โรคตับอ่อนในเด็ก โรคปอดบวม โรคหลอดลมอักเสบในเด็กอายุมากกว่า 2 ขวบ ช่วยปรับสมดุลความเป็นกรด-ด่าง และลดไข้ และยังเป็นอาหารควบคุมน้ำหนัก และป้องกันโรคกระดูกที่ขาดธาตุแคลเซียม แมกนีเซียม และโพแทสเซียมอีกด้วย โปรแกรมวิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ ได้ทำการทดลองผลิตคีเฟอร์ตามหลักการดั้งเดิม ซึ่งหากพัฒนาจนสามารถใช้การได้ดี จะนำไปสู่การพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อขาย นอกจากนั้นจะพัฒนาให้เป็นผลิตภัณฑ์ของนักศึกษาในรูปแบบ 1 ผลิตภัณฑ์ 1 มหาวิทยาลัยอีกด้วย (ข่าวสด ศุกร์ที่ 21 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





Robot Kit ชุดสร้างหุ่นยนต์ ปั้นเด็กพันธุ์ใหม่

ชัยวัฒน์ ลิ้มพรจิตรวิไล วิศวกร กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินโนเวทีฟ เอกซเปอริเมนต์ จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์ชุดเรียนรู้และสร้างหุ่นยนต์อัตโนมัติขนาดเล็ก ซึ่งเป็นผู้ผลิตเพียงเจ้าเดียวในประเทศไทย ที่พัฒนาจนขึ้นมาเป็นคู่แข่งของชุดสร้างหุ่นยนต์ชื่อดังจากต่างประเทศ โดยเรียนรู้งานวิจัยของ เอ็มไอที (Massachusetts Institute of Technology) ที่ทำไว้ในปี 1990 บอกว่า ไม่มีสื่อใดที่จะเข้าถึงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การเขียนโปรแกรม ตลอดจนวิธีการแก้ปัญหาในศาสตร์ต่าง ๆ ได้ นอกจากหุ่นยนต์ ซึ่งเป็นสื่อเดียวที่ทำให้เข้าถึงได้ทุกศาสตร์ ส่วนใหญ่การเรียนรู้เกี่ยวกับหุ่นยนต์ ต้องเรียนในมหาวิทยาลัย ปี 3 จึงเข้าใจว่าเป็นเรื่องยาก แต่การศึกษาพบว่า เด็กอายุ 10 ขวบขึ้นไป ต่างหากที่มีความพร้อม เพราะสมองกำลังโต ยังไม่ถูกเพื่อนชักชวนไปสู่ความสนใจเรื่องอื่น และเด็กที่เล่นหุ่นยนต์ จะสนใจวิทยาศาสตร์มากขึ้น ผลงานชิ้นแรกของเขา ROBO BAsic ชุดประกอบหุ่นยนต์ สำหรับนักศึกษาอาชีวะ ขายชุดละ 4,000 บาท ในขณะที่ของนอกที่เข้ามาโกยเงินไทยตั้งราคาไว้ชุดละ 12,000 บาท การประกาศปฏิรูปการศึกษา ปี 2003 มีส่วนทำให้สื่อการเรียนการสอนหุ่นยนต์มีชีวิตชีวาขึ้น กับข้อสงสัยว่าหุ่นยนต์ให้ทักษะ หรือพัฒนาการเรียนรู้ได้อย่างไร ในเมื่อส่วนใหญ่จะได้ยินข่าวก็ตอนแข่งเตะตะกร้อ ชัยวัฒน์ อธิบายว่า “หุ่นยนต์” ต้องตอบสนองคำสั่งได้ วิ่งได้ รับรู้ว่าชนสิ่งกีดขวาง หลบหลีกได้ อ่านสี อ่านเส้น ให้วิ่งไปอีกห้อง เมื่อออกไปแล้วเจอประตูสีแดงต้องรู้ว่าจะต้องเลี้ยว และจะทำได้ก็เพราะมีความคิดที่ผู้ประกอบใส่ความคิดเข้าไปผ่านโปรแกรม โดยชุดประกอบสำหรับเด็กก็จะเป็นภาษาโลโก้ หรือสัญลักษณ์ ที่เข้าใจได้ง่าย แม้ไม่มีพื้นฐานการเขียนโปรแกรม ราคาของชุดประกอบหุ่น รุ่นล่าสุด ตั้งไว้ที่ชุดละ 2,500 บาท วันนี้ งานเวิลด์ไดแดค เอเชีย 2005 ยังมีอยู่ นอกจากดูชุดประกอบหุ่นยนต์แล้ว ยังมีชุดสื่อการเรียนการสอนเพื่อบุคลากรการศึกษายุคใหม่อีกมาก (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 21 ต.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ข่าวทั่วไป


รัฐบาลเตรียมตั้ง จว.ที่ 77 'นครสุวรรณภูมิ'

นายสมชาย สุนทรวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง ถึงการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแบบพิเศษนครสุวรรณภูมิ ว่า ที่ประชุมได้ข้อสรุปในเบื้องต้นที่จะนำพื้นที่รอบข้างสนามบินสุวรรณภูมิ ได้แก่ กทม. 2 เขต คือ เขตประเวศ และลาดกระบัง รวมกับพื้นที่ 2 อำเภอ คือ อ.บางพลี อ.บางบอน จ.สมุทรปราการ มาจัดตั้งเป็นเขตปกครองพิเศษและถือเป็นจังหวัดใหม่ของประเทศ คือ จังหวัดที่ 77 นอกจากนี้เขตปกครองดังกล่าว จะมีผู้ว่าราชการจังหวัด ที่มาจากการเลือกตั้ง และมี ส.ส.ในพื้นที่ 3-4 คนด้วย จะเตรียมสรุปแผนการพัฒนาพื้นที่ให้แล้วเสร็จก่อนการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยหน้า และคาดว่าจังหวัดใหม่ดังกล่าวจะเป็นศูนย์กลางด้านธุรกิจเทียบเท่ากับประเทศสิงคโปร์ และจะมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นก่อนการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิ จากปัจจุบันจำนวนกว่า 400,000 คน (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 17 ต.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ชื่อใหม่ ‘สะพานพระราม 4’ พระราชทานแทน ‘ปากเกร็ด’

นายสุรชัย ธารสิทธิ์พงษ์ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) กล่าวว่า ในเร็วๆนี้กรมทางหลวงชนบทจะเสนอขอแก้ไขชื่อ เนื่องจากชื่อกรมทางหลวงชนบท ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบงานในชนบท นอกจากนี้ในการเปิดรับสมัคร ข้าราชการ หลายครั้งที่ผ่านมาไม่ค่อยมีคนสนใจ ทั้งๆที่กรมทางหลวงชนบทมีภารกิจที่จะต้องดำเนินการในขณะนี้มากเป็นอันดับ 1 ของประเทศ สูงกว่ากรมทางหลวงด้วยซ้ำ ซึ่งถ้ามีโอกาสก็จะเข้าไปแนะนำหน่วยงานตามสถานศึกษา เพื่อให้ทราบหน้าที่และภารกิจสำคัญ รวมทั้งจะขอเปลี่ยนชื่อใหม่ให้เหมาะสมกับงานที่รับผิดชอบ เพราะกรมทางหลวงชนบท ไม่ได้รับผิดชอบเฉพาะในท้องถิ่นชนบทเท่านั้น ยังมีโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล เช่น สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาปากเกร็ด โครงการถนนวงแหวนอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นงานที่รับผิดชอบต่อจากกรมโยธาธิการ สำหรับโครงการใหม่ของกรมทางหลวงชนบทเองที่จะทำก็คือ สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยานนทบุรี ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษา ออกแบบ กำหนดก่อสร้างปี 2550 และงานปรับปรุงถนนสายต่างๆ รองรับการขนส่งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ อีกหลายโครงการ ในวงเงินงบประมาณ 2 หมื่นล้านบาท สำหรับสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาปากเกร็ด เพิ่งได้รับพระราชทานชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า สะพานพระราม 4. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 17 ต.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





ดีไซเนอร์หนุ่ม คว้ารางวัลออกแบบบนเวทีโลก

อนุชิต ราชแก้ว "ทิมมี่" อายุ 29 ปี ได้รับรางวัลรองชนะเลิศบนเวทีประกวดอาภรณ์แห่งศิลป์ หรือเรียกสั้นๆ ว่า "ว้าว" (WOW) "World of WearableArt Award" คือการนำศิลปะจากผืนผนังมาประยุกต์และประดับบนเรือนร่างมนุษย์ ที่เมืองเวลลิงตัน ประเทศนิวซีแลนด์ ผลงานชื่อชุดของทิมมี่ "โลตัส กูรู" (LOtus Guru) มาประกวดประชันกับดีไซเนอร์จากทั่วโลกกว่า 170 ประเทศ โดยการประกวดนี้บังคับใช้ผ้าไหมเป็นวัสดุหลัก(Wales & Mackinlay Silk Award) ซึ่งเจ้าตัวออกแบบมาถึง 3 ชุดด้วยกัน แต่มีเพียงชุดเดียวที่คว้ารางวัล ทิมมี่ เล่าถึงที่มาของผลงานที่ได้รับรางวัลว่า ได้แรงบันดาลใจมาจากหลักคำสอนในพระพุทธศาสนาที่เปรียบเทียบดอกบัวออกเป็น 4 เหล่า รวมทั้งยังได้นำภาพวาดรูปดอกบัวของโมเนท์(Monet) ที่ถ่ายทอดความงามออกมาเป็นภาพเขียนที่มีชีวิตชีวา จึงนำมาสร้างสรรค์ให้เกิดเป็นงานศิลปะที่มีมิติ มีการเคลื่อนไหว ทุกรายละเอียด (มติชนรายวัน อังคารที่ 18 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





"บะหมี่สำเร็จ"รูปทำจากอะไร?

ข้อมูลจากหนังสือในโครงการ "ความรู้คู่บ้าน" ของบริษัทบางจากปิโตรเลียม ระบุว่า บะหมี่สำเร็จรูปทำมาจากแป้งสาลีผสมกับผงชูรส แล้วนำไปทอดในน้ำมันปาล์ม และใส่สารกันหืนลงไป ส่วนเครื่องปรุงบรรจุมาในถุงพลาสติกเล็กๆ เป็นพวกพริกป่น เครื่องเทศ ผงชูรส และกระเทียมเจียว จากการวิเคราะห์พบว่าในบะหมี่สำเร็จรูปหนึ่งห่อ จะให้พลังงานประมาณ 235 แคลอรี ให้โปรตีน 6-7 กรัม ไขมัน 9 กรัม และคาร์โบไฮเดรต 33 กรัม โดยสรุปสารอาหารที่ได้จากบะหมี่สำเร็จรูปส่วนใหญ่จะเป็นแป้ง คนที่ชอบกินบะหมี่สำเร็จรูปมากๆ เช่นบางคนที่กินทุกวัน วันละสามถึงห้าห่อ พึงระวังว่าจะเป็นโรคขาด สารอาหารได้ง่าย ทางที่ดีเวลากินบะหมี่สำเร็จรูปควรเพิ่มเนื้อสัตว์ ไข่ หรือผักเข้าไปด้วย นอกจากนี้การกินบะหมี่สำเร็จรูปอาจเป็นอันตรายได้ ในกรณีที่ฉีกซองแล้วกินเลย โดยไม่นำไปต้มก่อน เพราะบะหมี่ตกไปถึงกระเพาะอาหารก็จะดูดน้ำจากส่วนอื่นๆ ของร่างกายทำให้ร่างกายขาดน้ำ ถ้ากินมากๆ โดยไม่ดื่มน้ำตามจะวิงเวียนหน้ามืดได้ (ข่าวสด อังคารที่ 18 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ส่งผู้เชี่ยวชาญเชื้อไวรัสโรคหวัด ศึกษาแหล่งเกิดH5N1

สภาการวิจัยทางการแพทย์อังกฤษ ที่ค้นพบเชื้อไวรัสไข้หวัดเมื่อปี 2476 ส่งผู้เชี่ยวชาญมาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อเพิ่มความร่วมมือ ในการต่อต้านไวรัส ไข้หวัดนกและโรคติดต่ออื่นๆ รายงานข่าวแจ้งว่า นักวิทยาศาสตร์ของสภาการวิจัย ทางการแพทย์ อังกฤษ หรือเอ็มอาร์ซี จะเดินทางไปประเทศจีน เวียดนาม เขตปกครองพิเศษฮ่องกงเพื่อหารือเกี่ยวกับโรคติดต่อร้ายแรง ก่อนหน้าการประชุมระดับโลกในเดือนธันวาคม ความตื่นตัวของอังกฤษเกิดขึ้นหลังจากผลการตรวจสอบยืนยันว่า เป็ดในโรมาเนียติดเชื้อ ไข้หวัดนกสายพันธุ์เอช 5 เอ็น 1 ซึ่งเป็นไวรัสไข้หวัดนกชนิดเดียวกับที่แพร่ระบาด ในเอเชียและตุรกี คำยืนยันนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ไข้หวัดนกแพร่ถึงทวีปยุโรป ด้านนายเลียม โดนัลด์สัน หัวหน้าเจ้าหน้าที่แพทย์ของ เอ็มอาร์ซีประเมินว่าถ้า โรคไข้หวัดนกระบาดในอังกฤษ จะมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 50,000 คน. (ไทยรัฐ พุธที่ 19 ต.ค. 48 http://www.thairath.co.th)





คณะรัฐมนตรีเพิ่มโทษ"เมาแล้วขับ" ทำผิดอ่วมปรับสองหมื่น-ติดคุก 1 ปี

เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายดนุพร ปุณณกันต์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ครม.อนุมัติในหลักการร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)จราจรทางบก(ฉบับที่...) พ.ศ... ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เสนอมา ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 เกี่ยวกับการเพิ่มโทษของผู้ขับขี่ที่ดื่มสุรา หรือเสพยาเสพติดให้โทษ หรือเสพวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ 1.ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 43 (2) ของร่าง พ.ร.บ.จราจรทางบก(ขับขี่รถยนต์ในขณะเมาสุราหรือเมาอย่างอื่น) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี จากเดิมจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 5,000-20,000 บาท จากเดิมปรับไม่เกิน 2,000-10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งให้ทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ไม่เกิน 7 วัน และให้พักใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 2 เดือน 2.ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 43 (2) ของร่าง พ.ร.บ.จราจรทางบก จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 20,000-40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน 3.ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 43 (2) ของ ร่าง พ.ร.บ.จราจรทางบก จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2-6 ปี ปรับไม่เกิน 40,000-100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรืออาจเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ และ 4.ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 43 (2) ของร่าง พ.ร.บ.จราจรทางบก จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3-10 ปี ปรับไม่เกิน 60,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่โดยไม่ต้องรอคำพิพากษาถึงที่สุด ในส่วนของผู้ขับรถที่เสพยาเสพติดให้โทษ หรือเสพวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2-6 ปี ปรับไม่เกิน 40,000-120,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี แต่ถ้าฝ่าฝืนจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3-10 ปี ปรับไม่เกิน 60,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ จากนี้รัฐบาลจะส่งร่างกฎหมายดังกล่าวให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบความถูกต้อง ก่อนเสนอคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร(วิปรัฐบาล)พิจารณา เพื่อนำเสนอสภาต่อไป (มติชนรายวัน พุธที่ 19 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





หญิงบังกลาเทศซิวรางวัลสมเด็จพระศรีฯ

วันที่ 18 ตุลาคม 2548 ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ รศ.ดร.ทัศนา บุญทอง นายกสภาการพยาบาล ในฐานะรองประธานคณะกรรมการมูลนิธิรางวัลสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี แถลงข่าวผู้ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี ประจำปี 2548 คือ นางสาวอัคตาร์ บานู อายุ 72 ปี พยาบาลจากประเทศบังกลาเทศ ทั้งนี้ นางสาวอัคตาร์จะเข้ารับประทานโล่รางวัล ประกาศนียบัตร ประกาศเกียรติคุณ และเงินรางวัล 10,000 เหรียญสหรัฐ จากสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท อนึ่ง รางวัลสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี เป็นรางวัลที่มีเกียรติสูงสุดสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ และจัดทำขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติแด่สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี ที่ทรงศึกษาวิชาชีพนี้ด้วยพระองค์และทรงบำเพ็ญประโยชน์ต่อวงการพยาบาลและสาธารณสุข โดยรางวัลนี้จัดขึ้นครั้งแรกในปี 2543 (มติชนรายวัน พุธที่ 19 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





เตรียมเจรจาโคเด็กซ์ ขอเพิ่มค่าแคดเมียมที่ปนเปื้อนในปลาหมึก

นายสมชาย ชาญณรงค์กุล รองผู้อำนวยการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ เปิดเผยว่า มกอช.ได้ดำเนินการยื่นขอเพิ่มค่าปริมาณสูงสุดของสารแคดเมียมที่ปนเปื้อนในปลาหมึก จากเดิมโคเด็กซ์กำหนดไว้ที่ 1 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เป็น 2 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่าปลาหมึกที่จับจากแหล่งน้ำตามธรรมชาติในประเทศไทย บางครั้งมีสารแคดเมียมปนเปื้อนอยู่มากกว่า 1 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ประเทศคู่ค้าตีกลับสินค้าบ่อย ๆ สร้างความเสียหายให้ผู้ประกอบการส่งออกสินค้าของไทยมาก ดังนั้นเพื่อลดปัญหาดังกล่าว มกอช.ได้เสนอขอเพิ่มค่าปริมาณสูงสุดของแคดเมียมที่ปนเปื้อนในปลาหมึกกับคณะกรรมการวิชาการของโคเด็กซ์ และได้รวบรวมข้อมูลการปนเปื้อนของแคดเมียมในปลาหมึกให้คณะผู้เชี่ยวชาญของโคเด็กซ์ประเมินความเสี่ยงของสารแคดเมียมที่ปนเปื้อนอยู่ในปลาหมึกโดยใช้ข้อมูลจากหลายประเทศว่าจะส่งผลกระทบต่อ ผู้บริโภคหรือไม่ และการประเมินสรุปผลว่าระดับการปนเปื้อนที่ 2 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ยังเป็นระดับ ที่ปลอดภัย แต่หลายประเทศยังคัดค้านอยู่จึงจำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลเพื่อชี้แจงเพิ่มเติมในการประชุม ครั้งต่อไป คาดว่าข้อเสนอดังกล่าวของไทยจะประสบความสำเร็จ เนื่องจากหลาย ๆ ประเทศเห็นด้วยและให้การสนับสนุน มีเพียงสหภาพยุโรปเท่านั้นที่ยังมีการคัดค้านและยืนยันว่าหากมีการปนเปื้อนสารแคดเมียมในปลาหมึกมากกว่า 1 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม จะยังไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค ทั้งนี้เนื่องจากกลุ่มสหภาพยุโรปเป็นกลุ่มประเทศที่เป็นผู้บริโภคโดยตรง. (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 20 ต.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





ข้าวโอ๊ตป้องกันโรคหัวใจ

ม.ร.ว.พรรณนิภา จันทรทัต ประธานชมรมโภชนวิทยามหิดล กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้ภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูงก็คือบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงจนเป็นนิสัย อาหารทะเลบางชนิด สูบบุหรี่ ขาดการออกกำลังกาย มีความดันโลหิตสูง เป็นโรคเบาหวาน เป็นต้น ต้องหลีกเลี่ยงอาหารพวกไข่แดง เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ส่วนที่ติดมันทุกชนิด สมองสัตว์ อาหารทะเลบางชนิด เช่น หอยนางรม ปลาหมึก รวมถึงอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมัน เช่น อาหารทอด หรือผัด ควรเปลี่ยนเป็นการนึ่ง ต้ม ย่าง หรืออบ แทน หากจะทอดหรือผัด ควรใช้น้ำมันพืช แทนน้ำมันจากสัตว์ เช่น เนย น้ำมันหมู และหลีกเลี่ยงการบริโภคน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันมะพร้าว หรือ กะทิ และควรเพิ่มอาหารที่มีไฟเบอร์หรือกากใยสูง เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมไขมันน้อยลง เช่น ผักและผลไม้ จำพวกผักคะน้า ผักกาด ฝรั่ง ส้ม และธัญพืช โดยเฉพาะข้าวโอ๊ตที่ประกอบด้วยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ที่มีชื่อว่าเบต้า-กลูแคน ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นเสมือนตัวขับเคลื่อนให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้มีระบบขับถ่ายที่ดี ขณะเดียวกันยังทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำเล็กๆ ที่คอยซับคอเลสเตอรอลในลำไส้เล็กและขับออกจากร่างกาย เมื่อคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดลดลงความเสี่ยงของโรคต่างๆ ก็ลดลงด้วย ไม่ว่าจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง ไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และน้ำหนักลดลง จึงมีโครงการอาหารไทยหัวใจดี โดยการให้ตราสัญลักษณ์ "อาหารรักษ์หัวใจ" กับผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนในการป้องกันโรคหัวใจ เป็นรูปหัวใจที่มีเครื่องหมายติ๊กถูกในรูปวงกลม ของมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยฯ และคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อสุขภาพหัวใจที่ดีก่อนซื้อผลิตภัณฑ์ชนิดใดก็อาจพิจารณาตราสัญลักษณ์สักนิด (มติชนรายวันพฤหัสบดีที่ 20 ต.ค. 48 http://www.matichon.co.th)





ดื่มน้ำให้มากเพื่อสุขภาพที่ดี

น้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญของร่างกายที่มีอยู่ถึง 2 ใน 3 ของน้ำหนักตัว ช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่ ลำเลียงสารอาหารต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น การลำเลียงอาหาร การไหลเวียนของเลือด รวมถึงช่วยในกระบวนการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายด้วย ถ้าร่างกายขาดน้ำจะทำให้เกิดการกระหายน้ำ ผิวแห้งกร้าน เพราะผิว หนังของคนเราประกอบด้วยไฟเบอร์ คอลลาเจน ซึ่งสามารถอุ้มน้ำไว้ได้ปริมาณมาก ถ้าอยู่ในภาวะขาดน้ำ ร่างกายจะดึงน้ำจากเนื้อเยื่อมาใช้ โดยเฉพาะจากผิวหนัง ทำให้ผิวดูแห้งและขาดชีวิตชีวา การขาดน้ำถือเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดรอยคล้ำรอบดวงตาด้วย เนื่องจากลูกตาประกอบด้วยของเหลวปริมาณมาก ถ้าร่างกายขาดน้ำก็จะดึงน้ำออกไปจากเนื้อเยื่อบริเวณใต้ตา จึงทำให้เกิดรอยคล้ำ ดร.รอย คีเน็น ผอ.สถาบันดุราเบิ้ลส์ อาร์ แอนด์ ดี นักวิจัยและผู้พัฒนาเครื่องกรองน้ำ จากสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า การดื่มน้ำที่สะอาดและเพียงพอในแต่ละวันถือเป็นสิ่งสำคัญมากต่อการมีสุขภาพดี การทำให้น้ำสะอาดซึ่งเหมาะกับการบริโภคนั้นมีด้วยกันหลายวิธี เช่น การต้มน้ำ การกลั่นน้ำ และการกรองน้ำ ซึ่งปัจจุบันการกรองน้ำเป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับมากขึ้น เพราะเป็นหนึ่งในวิธีที่สะอาด สะดวก ประหยัดและถูกสุขอนามัย ยิ่งเครื่องกรองน้ำที่มีเทคโนโลยีสูง ๆ ฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงอัลตราไวโอเลต รวมถึงไส้กรองคาร์บอนหลายชั้น ทำให้มั่นใจได้ว่าน้ำที่บริโภคนั้นสะอาดและยังคงแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายไว้ ในแต่ละวันควรดื่มน้ำให้มากพอ 6-8 แก้ว เพื่อให้ร่างกายสดชื่น มีชีวิตชีวา ผิวพรรณสดใส และส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมมากที่สุด. (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 21 ต.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)





TOP 10 ประเทศมหาเศรษฐี

1. ลักเซมเบิร์ก 2. นอร์เวย์ 3. สวิตเซอร์แลนด์ 4. สหรัฐ อเมริกา 5. เดนมาร์ก 6. ญี่ปุ่น 7. ไอร์แลนด์ 8. ไอซ์แลนด์ 9. กาตาร์ 10. สวีเดน (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 21 ต.ค. 48 http://www.dailynews.co.th)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215