หัวข้อข่าวปีที่ 6 ฉบับที่ 45 ประจำวันที่ 2005-11-26

ข่าวการศึกษา

พระนครเหนือปราจีนฯคว้าแชมป์หุ่นยนต์
สร้างครูไอที ยุคศตวรรษ 21
ภาคีบัณฑิต วว.คว้าโปสเตอร์สาหร่ายนานาชาติ
สาธิตสงขลาจัดทำวิจัยฐานความรู้
3 ม.ภูมิภาคจับมือแคนาดา เปิด ป.โทจัดการความขัดแย้ง
เด็กประถมฯไทยเจ๋ง คว้า 5 เหรียญโอลิมปิก แข่งขัน “คณิตฯ-วิทย์”
น.ศ.ม.รังสิตเจ๋ง! เพราะแฟชั่นกระดาษ ได้ทุนเรียนแฟชั่นดีไซน์ระดับโลก
"ทปอ."เสนอ"ครม." ขึ้นเงินเดือนปี"49
มหา"ลัยกลัวมีภาระไม่อยากทำหอพัก
จุฬาฯ โชว์ศักยภาพมหาวิทยาลัยวิจัย ช่วยอุตสาหกรรม
สกอ.ตั้งเป้าปี 49สร้าง 35 ยูบีไอในมหาวิทยาลัย
ม.รังสิตจับมือม.กุ้ยหลิน พัฒนาหลักสูตรไทย-จีน
21มหา"ลัยรัฐรับน.ศ.เพิ่ม30% 6คณะแพทย์เปิดใหม่ปี"49 เอกชนขอตั้งวิทยาลัย6แห่ง
ผลวิจัยการศึกษาชี้12ปีไม่ฟรีจริง
10มหา"ลัยผนึก"วิทยุศึกษา" รองรับจัดสรรคลื่นความถี่
น.ศ.รามฯก่อหวอดค้านออกนอกระบบ ยื่นหนังสือท้วงปธ.พิจารณากฎหมาย ห่วงจ่ายค่า"หน่วยกิต-ธรรมเนียม"แพง
"อาชีวะ"พลิกโฉม ดึงจบม.3เรียนต่อ

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

‘ฟอร์ด’ วางฐานหนุนไทยผลิตส่งออก
กระทรวงพานิชย์เปิดศูนย์ร้องเรียนอีคอมเมิร์ช
13มหาวิทยาลัยส่ง"นักรบ สวล."
คอมพิวเตอร์คนยากเสร็จปีหน้า สี่พันทำงานได้สารพัด
บังคับมะเร็งอยู่มือภายใน20ปีค้นพบวิธีรักษาใหม่
ฮ่องกงขึ้นแท่นเกาะเชื่อมเน็ตไร้สาย
บราซิลตั้งเป้าผู้นำโลก"ไบโอดีเซล"
ทีทีแอนด์ทีต่อยอดโทรบ้านสู่ "ทริปเปิล เพลย์"
"หยวนต้า"ขนวิศวกรนับพัน-พัฒนาแหล่งอัจฉริยะแห่งใหม่
พายุดาวพฤหัสฯ
อุณหภูมิ"น้ำ"สูงผิดปกติ "ปลา"ลดทั่วโลก-คนขาดอาหาร
เส้นทางมาตรฐานสินค้าเกษตรไทย
พลังงานวางแผน ผุดโรงไฟฟ้าใหม่ หลัง 54 ปีละ 2 โรง
ผุดไอเดียฮือฮา “ดูดทรายทะเล” แก้น้ำท่วมเวนิช
"เอฟเอโอ"ยกเครื่องใหม่ ตรวจ"จีเอ็มโอ"ในเอเชีย
ผู้ดีติดระบบสอดส่อง "ทะเบียนรถ"ทั่วปท.!
เรือยูนิไวส์ชลบุรีฝีมือคนไทยลำแรก
นักวิทยาศาสตร์ยุโรปเผย มลพิษสูงสุดใน6.5แสนปี

ข่าววิจัย/พัฒนา

คิดยายืดผมหยิกให้เหยียดได้ ยาย้อมผมสูญพันธุ์แน่
“ธนาคารขยะ-ถ่านให้พลังงาน”
ม.คอร์แนลเยือนไทยย้ำจุดดีมะละกอจีเอ็ม
นักชีววิทยาส่งหูฉลามเทียมขึ้นเหลา
นักวิทย์แปลงเชื้อแบคทีเรียสู้เอดส์
เครือข่ายนักวิจัยคิดค้น'พลาสติกชีวภาพ'
ยิวผลิตเครื่องจับเท็จ ป้องกันภัยสนามบิน
รถยนต์ไฟฟ้า
มก.สุดเจ๋ง ผุดเครื่องสแกนลายม่านตา
ช่างเสริมสวยเสี่ยงเป็นหืดหอบ
หุ่นยนต์อลวนค้นหาระเบิด ชูจุดเด่นเดินสะเปะสะปะตรวจครบทุกซอกมุม-ราคาถูก
หุ่นยนต์อวกาศ
"โสมใต้"โชว์ศักยภาพ ผู้นำโลกไอที-หุ่นยนต์
กระบี่จ้าง มอ.วิจัย รง.ไบโอดีเซล
เยอรมันพบวิธีตรวจทางดีเอ็นเอ 7 ชม.รู้ผลไข้หวัดนก
โปรตุเกสทำวัคซีนกันฟันผุผลทดสอบในหนูผ่านฉลุย
ค้นทฤษฎีใหม่เครื่องจับเท็จ"กระเพาะ"ดูว่าโกหกหรือไม่
แพทย์ชี้ควันบุหรี่ทำเด็กไหลตาย
เทคโนโลยีผ้าเบรกไร้ใยหิน
นวัตกรรมใหม่ "กระบวนการผลิตสาร ADS" ทางเลือกป้องกัน "ไข้หวัดนก"
ออสซี่พบ"ถั่วจีเอ็มโอ"ทำลายปอด
สบู่ใยบวบไทยไปนอกจากโบราณเป็นผลิตภัณฑ์สุดฮิต
ครีมนาโนฆ่าเชื้อราใต้เล็บอนุภาคขนาดจิ๋วซึมผ่านผิวเล็บ-ปีหน้าสู่ตลาด
พบยีนสั่งสมองหวาดกลัวปูทางรักษาโรควิตกกังวล
มุ้งอัจฉริยะหลอกล่อยุงมาตาย
ภัยเสียงดังสะท้านสะเทือนหัวใจ เสี่ยงเป็นโรคง่ายขึ้น
ญี่ปุ่นจะลงทุน 35 ล้านบาท พัฒนาวัคซีนต้นแบบสำหรับป้องกันไข้หวัดนก
จุฬาฯพบพฤติกรรมกาฝากในผึ้งมิ้ม เนเจอร์ปิ๊งพิมพ์เผยแพร่นานาชาติ
มะเขือเทศจีเอ็มต้านไวรัสใบหงิกเหลือง
"เลพติน"กุญแจไขสาเหตุ"อ้วน"
จักรยาน"พูดได้" นวัตกรรมใหม่ของโลก

ข่าวทั่วไป

ถวายรางวัล"อินทิรา คานธี"พระเทพฯ
บีทีเอส-โรงพยาบาลราชวิถีจัดคลินิกลอยฟ้าเช็กสุขภาพ
กทม.ทำบัตรสมาร์ทการ์ด
สมเด็จพระเทพฯ ดำริสร้างพิพิธภัณฑ์สภากาชาดไทย
เตือนไทยจับตาโรควัวบ้าในคน แพทย์จุฬาฯพบเชื้อฟักตัวมานาน10ปี
มือถือ...มะเร็งร้ายทางสมอง
วธ.ส่งเสริมสร้างละครแบบ"แดจังกึม"
กทม.พร้อมเปิดใช้ป้ายจราจรอัจฉริยะ28พ.ย.นี้
นโยบายวิจัยยุโรปไม่สนการเมือง
ครัวไทยตั้งเป้าที่ 2 ของโลก
สถาปนิกสยามยกระดับก่อสร้างไทย ร่วมมือ 8 องค์กรจัดสัมมนาออกแบบสู่สากล
ชี้อาหารเสริมกินสุ่มสี่สุ่มห้าติดหวัดไข้ง่าย
3จังหวัด"ไทยลาวเวียดนาม"จับมือ" เพิ่มศักยภาพท่องเที่ยวเมืองชายแดน
ระวังสเปรย์อันตราย
เครื่องดื่มมหันตภัย"สี่คูณร้อย" อย.ฟันธงกระตุ้น"ล้างสมอง"





ข่าวการศึกษา


พระนครเหนือปราจีนฯคว้าแชมป์หุ่นยนต์

ที่เอ็มซีซี ฮอลล์ ห้างเดอะมอลล์งามวงศ์วาน เมื่อเวลา 16.00 น. เครือซิเมนต์ไทย ร่วมกับสมาคมวิชาการหุ่นยนต์ไทย และมหาวิทยาลัยมหิดล จัดการแข่งขันหุ่นยนต์กู้ภัยแห่งประเทศไทย หรือ Thailand Rescue Robot Championship 2005 ปีที่ 2 รอบชิงชนะเลิศ หาสุดยอดหุ่นยนต์กู้ภัยฝีมือคนไทยเพียงทีมเดียว เข้าร่วมการแข่งขันหุ่นยนต์กู้ภัยระดับโลก (World Robocup) ในเดือน มิ.ย. 49 ที่ประเทศเยอรมนี โดยมีทีมเข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 8 ทีม จากทั้งหมด 61 ทีม หลังการแข่งขันเสร็จสิ้นผลปรากฏว่าทีม Independent สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ปราจีนบุรี ซึ่งเป็น แชมป์เก่าสามารถครองแชมป์ได้อีกสมัย รับเงินรางวัลเงินสด 2 แสนบาท พร้อมกับรางวัลพิเศษ Best Technique และเป็นตัวแทนประเทศไทยไปเข้าแข่งขันระดับโลกในปีหน้าด้วย ส่วน รางวัลรองชนะเลิศได้แก่ทีมหอยหลอด จาก วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสงคราม ส่วนรางวัล Best Creativity ได้แก่ทีม ZAD มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ องครักษ์ (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 21 พ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





สร้างครูไอที ยุคศตวรรษ 21

กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับ บ.อินเทล คอร์ปอเรชั่น จก. จัดโครงการ Intel Teach to the Future อบรมครูนำเทคโนโลยีช่วยสอนนักเรียน หวังขยายผลครู 18,500 คนทั่วประเทศ นายเครก บาร์เรตต์ ประธาน อินเทล คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า บริษัทได้จัดโครงการ Intel Teach to the Future เพื่ออบรมครูให้มีความเข้าใจและสามารถนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการเตรียมการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทันการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคศตวรรษที่ 21 ซึ่งการปรับเปลี่ยนวิธีการสอนในห้องเรียนโดยการนำเทคโนโลยีเข้าไปใช้ประกอบการเรียนในวิชาต่างๆ จะทำให้บรรยากาศการเรียนในห้องเรียนน่าสนใจกว่าเดิม และช่วยให้นักเรียนพัฒนาทักษะของตนได้อย่างเต็มที่ บริษัทได้ตั้งเป้าจะพัฒนาครูจำนวน 3 ล้านคน ใน 36 ประเทศทั่วโลก และครูที่ผ่านการอบรมยังสามารถถ่ายทอดความรู้ที่ได้ไปยังครูคนอื่นภายใต้แนวคิด "Train the Trainer" หรือการสร้างครูแกนนำให้ไปขยายผลต่อกับเพื่อนครูด้วยกัน ตลอดจนครูเหล่านี้จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาการเรียนรู้ให้แก่เด็กนักเรียนกว่าสิบล้านคนทั่วโลก (คมชัดลึก จันทร์ที่ 21 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ภาคีบัณฑิต วว.คว้าโปสเตอร์สาหร่ายนานาชาติ

น.ส.วัชรี กัลยาลัง นักศึกษาปริญญาโท โครงการการสร้างภาคีผลิตบัณฑิตปริญญาโท-เอก ระหว่างสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กับมหาวิทยาลัยมหาสารคาม สร้างผลงานภาคโปสเตอร์ "Development of Preservation Techniques for Algal Strains at MIRCEN, TISTR ได้รางวัลชมเชยในการประชุมนานาชาติ 4 th Asian - Pacific Phycological Forum จัดโดยคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และชมรมสาหร่ายและแพลงก์ตอนแห่งประเทศไทย เมื่อเร็วๆ นี้ โดยการประชุมดังกล่าวมีกิจกรรมเสนอผลงานโปสเตอร์ของนักวิชาการและนักศึกษาจากประเทศต่างๆ จำนวน 93 เรื่อง ส่วนชนะเลิศเป็นของนักวิชาการญี่ปุ่น และอีกหนึ่งรางวัลชมเชยเป็นของรัสเซีย (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 21 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





สาธิตสงขลาจัดทำวิจัยฐานความรู้

ผศ.ดร.ไพโรจน์ ด้วงวิเศษ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา เปิดเผยว่า ขณะนี้สังคมประเทศไทยกำลังเปลี่ยนเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจแบบทุนนิยมรวดเร็ว เพื่อให้เด็กปรับตัวรับกับการเปลี่ยนนี้ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา ได้จัดทำโครงการวิจัยการ "เปลี่ยนผ่านการศึกษาสู่ยุคเศรษฐกิจฐานความรู้ขึ้น" โดยเน้นการนำแนวคิดการเปลี่ยนผ่านการศึกษาและการบริหารการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อให้การจัดการศึกษาและการบริหารการศึกษา สามารถพัฒนาผู้เรียนให้ได้เต็มศักยภาพ โครงการวิจัยซึ่งประกอบด้วยวิจัยย่อย 6 โครงการ จะได้นำข้อความรู้แนวคิด หลักการสัตตศิลาสำหรับการเปลี่ยนผ่านการศึกษา อันประกอบด้วย คุณลักษณะผู้เรียนที่พึงประสงค์ รูปแบบการเสริมสร้างการเรียนรู้สารสนเทศ การเสริมสร้างโอกาสในการเรียนให้กับผู้เรียน และการบริหารการศึกษาแบบบูรณาการระหว่างเขตพื้นที่การศึกษาและโรงเรียน มาบูรณาการ (ข่าวสด จันทร์ที่ 21 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





3 ม.ภูมิภาคจับมือแคนาดา เปิด ป.โทจัดการความขัดแย้ง

รศ.สุมนต์ สกลไชย อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) เปิดเผยว่า คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มข.สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) และสถาบันพระปกเกล้า ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยรอยัล โรดส์ ประเทศแคนาดา เปิดโครงการพัฒนาหลักสูตรการวิเคราะห์และการจัดการความขัดแย้งระดับปริญญาโท โดยเป็นโครงการต่อเนื่องจากหลักสูตรด้านการวิเคราะห์และการจัดการความขัดแย้งระดับปริญญาโท โดยคาดว่าสถาบันการศึกษาต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์จะให้ความสนใจส่งนักศึกษามาเรียนในหลักสูตรใหม่นี้อย่างแน่นอน ศ.น.พ.วันชัย วัฒนศัพท์ ผู้ก่อตั้งสถาบันสันติศึกษา กล่าวว่า หลักสูตรดังกล่าวมีความน่าสนใจ ตรงที่ไม่ได้เรียนแค่เรื่องความขัดแย้งทางด้านวิชาการเท่านั้น แต่ยังพัฒนาความร่วมมือทางวิชาการ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์จากผู้เรียนและผู้สอนแล้ว ที่สำคัญหลักสูตรดังกล่าวเน้นการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา รวมทั้งวิธีการจัดการกับความขัดแย้งดังกล่าวอย่างเป็นระบบ โดยองค์ความรู้นี้ จะช่วยลดปัญหาและป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤติความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านได้เป็นอย่างดี (คมชัดลึก อังคารที่ 22 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





เด็กประถมฯไทยเจ๋ง คว้า 5 เหรียญโอลิมปิก แข่งขัน “คณิตฯ-วิทย์”

เมื่อวันที่ 22 พ.ย.48 นางพรนิภา ลิมปพยอม เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.)เปิดเผยว่า ตามที่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)ได้นำนักเรียนจำนวน 6 คน ซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มคณิตศาสตร์ จำนวน 3 คน และกลุ่มวิทยาศาสตร์ จำนวน 3คน เข้าร่วมการแข่งขันคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์โอลิมปิกนานาชาติ ระดับประถมศึกษาครั้งที่ 3 International Mathematics and Science Olympiad for PrimarySchool (IMSO) ระหว่างวันที่ 12-21 พ.ย.48 ณ กรุงจากาตาร์ ประเทศอินโดนีเซีย โดยผลการแข่งขันปรากฏว่า กลุ่มคณิตศาสตร์ รางวัลเหรียญทองได้แก่ ด.ช.ปวัน ลาภบริสุทธิ์ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ รางวัลเหรียญเงิน ได้แก่ ด.ช.วรณ ปัญโญวัฒนกูล โรงเรียนวัดพลับพลาชัย กรุงเทพฯ และเหรียญทองแดง ได้แก่ ด.ช.ธีรภัทร ศรีมโนรถ โรงเรียนราชวินิต (ประถม) กรุงเทพฯ ส่วนรางวัลกลุ่มวิทยาศาสตร์ รางวัลเหรียญเงิน 2 รางวัล ได้แก่ ด.ญ.ณัฎณิชา มณีอินทร์ โรงเรียนสุพรรณภูมิ จ.สุพรรณบุรี ด.ช.ชยากร พงษ์ศิริ โรงเรียนมารีย์อนุสรณ์ จ.บุรีรัมย์ และเกียรติบัตร ได้แก่ ด.ช.ภัสธรณ์ จูละยานนท์ โรงเรียนอนุบาลนครปฐม จ.นครปฐม (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 23 พ. ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





น.ศ.ม.รังสิตเจ๋ง! เพราะแฟชั่นกระดาษ ได้ทุนเรียนแฟชั่นดีไซน์ระดับโลก

การประกวดออกแบบแฟชั่นจัดแข่งขันในรูปแบบแปลกๆ อย่างเวที "เกษร โอริกามิ แฟชั่น คอนเทสต์" ที่จัดขึ้นโดยศูนย์การค้าเกษร เปิดกว้างให้นักศึกษาส่งผลงานดีไซน์เสื้อผ้าเข้าแข่งขัน ภายใต้คอนเซ็ปต์แหวกแนวตรงที่ผลงานที่ส่งเข้าประกวดต้องตัดเย็บด้วย "กระดาษ" จากผลงานที่ส่งเข้าร่วมประกวดจากนักศึกษาสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ กว่า 30 ผลงาน คัดผลงานเข้ารับรางวัลชนะเลิศ 2 ผลงาน ซึ่งงานนี้นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยรังสิตได้รับ 2 รางวัล ได้รับทุนเรียนด้านแฟชั่นและดีไซน์ที่ "อิสติตูโต มารังโกนี่" สถาบันแฟชั่นและดีไซน์แห่งเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี "เบลล์ : เดอะ ดิสคริพเอเบิล ทัช(Braille : The Describable Touch)" เป็นผลงานของ นายพชร รัตนคุปต์ "เมฆ" วัย 26 ปี น.ศ.ปี 3 สาขาแฟชั่นดีไซน์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เจ้าของผลงานเก๋ไก๋ เพราะนำคอนเซ็ปต์ของหนังสืออักษรเบลล์มาออกแบบเป็นเสื้อผ้า แพทเทิร์นชุดนี้เป็นชุดเสื้อกระโปรงป้ายเรียบๆ ชุดมีลักษณะซ้อนทับกันเป็นชั้นเหมือนหนังสือ ตัดเย็บขึ้นจากกระดาษโปสเตอร์ ขั้นตอนที่ยากสุดสุดของการทำชุดนี้เป็นตอนที่กดอักษรเบลล์ลงบนชุดเพราะไม่มีความรู้เกี่ยวกับอักษรเบลล์ จึงต้องเข้าไปค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับอักษรเบลล์ในอินเตอร์เน็ต อักษรเบลล์ที่กดลงบนชุดเป็นตัวอักษรเบลล์ภาษาอังกฤษ ซึ่งทั้งชุดกดอักษรเบลล์รวมทั้งหมด 20 แผ่นกระดาษโปสเตอร์ "อักษรเบลล์ที่กดลงไปบนชุดจะเป็นคำ วลี และเพลงที่มีความหมายให้กำลังใจ เป็นการสัมผัสความงามของภาษาที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา แต่รับรู้ได้จากการสัมผัสตัวอักษรเบลล์ อย่างเช่นคำว่า แอน เองเจิล วิล คีพ แอน ไอ ออน อัส(An angel will keeps an I on us) มีความหมายว่านางฟ้าจะดูแลและไม่ทอดทิ้งเรา ผมเชื่อว่าถ้าคนตาบอดมาสัมผัสชุดชองผม คนพิการจะได้สัมผัสถึงความงามและได้รับความสุขกลับไป" อีกหนึ่งผลงานจากรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน "สเคล อาร์เมอร์(Scale Armour)" เป็นชื่อผลงานของ น.ส.สายฝน จำปาทอง น.ศ.ปี 4 สาขาแฟชั่นดีไซน์ คณะศิลปเป็นชุดเกราะของยุโรปสมัยโบราณ สื่อให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง ที่ห่อหุ้มปกป้องร่างกาย โดยนำมาผสมกับความอ่อนโยนของผู้หญิง วัสดุที่ใช้คือกระดาษสาที่มีลักษณะเนื้อคล้ายผ้า นำมาเจาะรูและวางซ้อนทับบนผ้าตาข่ายแล้วเย็บให้เกิดเป็นผืนผ้า ส่วนสีที่ใช้เป็นสีแนวเอิร์ธโทน คือสีดำ สีเทาและสีครีม ขั้นตอนที่ยากที่สุดคือการทำชุดกระโปรงเพราะต้องนำกระดาษสามาตัดเป็นชิ้นเล็กและเจาะรูหลัง จากนั้นจึงนำมาเย็บต่อๆ กัน ชุดกระโปรงสื่อความหมายของความอ่อนโยนของผู้หญิง ส่วนเสื้อแจ๊คเก็ตสื่อความหมายของชุดเกราะที่แสดงถึงความแข็งแกร่งและปกป้อง" (มติชนรายวัน พุธที่ 23 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





"ทปอ."เสนอ"ครม." ขึ้นเงินเดือนปี"49

รศ.ดร.ประเสริฐ ชิตพงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เผยถึงการเสนอขอความเห็นชอบต่อที่ประชุมครม.ในการขอขึ้นเงินเดือนพนักงานมหาวิทยาลัยปีงบประมาณ 2549 หลังจากครม.มีมติขึ้นเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาจำนวนร้อยละ 5 ว่า ทปอ.จะเสนอขอให้ ครม.อนุมัติขึ้นเงินเดือนพนักงานมหาวิทยาลัยประมาณร้อยละ 3-4 เนื่องจากการขึ้นเงินเดือนครู ทำให้มีอัตราเงินเดือนใกล้เคียงกับพนักงานมหาวิทยาลัยที่มีสวัสดิการน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังมีปัญหาในเรื่องการที่ ครม.อนุมัติขึ้นเงินเดือนพนักงานมหาวิทยาลัยร้อยละ 11 ของฐานเงินเดือนเมื่อปีงบประมาณ 2548 จำนวน 361 ล้านบาท แต่ยังไม่ได้รับเนื่องจากสำนักงบประมาณให้มหาวิทยาลัยใช้งบเหลือจ่ายจากปี 2548 จ่ายเป็นเงินเดือนของพนักงานมหาวิทยาลัย ซึ่งปัจจุบันไม่มีงบประมาณในส่วนนี้แล้ว ทปอ.จึงขอให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ดำเนินการของบประมาณดังกล่าวมาจ่ายเป็นเงินเดือนย้อนหลัง (ข่าวสด พุธที่ 23 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





มหา"ลัยกลัวมีภาระไม่อยากทำหอพัก

ศ.ดร.วิรุณ ตั้งเจริญ อธิการบดีมหา วิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยว่า ปัจจุบันกระแสธุรกิจหอพักกำลังมาแรงจะเห็นได้ว่ามีเอกชนหันมาลงทุนทำหอพักเป็นจำนวนมาก เพราะเป็นธุรกิจที่ทำง่ายและมีลูกค้าแน่นอน ในขณะที่สถาบันอุดมศึกษากลับไม่พร้อมและไม่ค่อยคิดจะที่ทำ โดยเห็นว่ามีเป็นภารกิจที่ต้องมีความรับผิดชอบมาก ทั้งปัญหายาเสพติด ปัญหาทางเพศ ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามในส่วนของ มศว ซึ่งมีประสบการณ์ในการดำเนินการเรื่องหอพัก และทราบดีว่าการจัดการหอพักจะมีปัญหาและความยุ่งยากแน่นอน จึงต้องมีการจัดระบบให้ดีโดยมีหน่วยงานอิสระลงไปดูแล มีกรรมการชุดใหญ่ ที่มีอธิการบดีเป็นประธานอำนวยการดูแลหอพักโดยตรง จนทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่าทำไมอธิการบดีจะต้องลงมาเป็นประธานเอง ซึ่งตนได้ชี้แจงว่า เพื่อจะได้กำกับและดูแลนิสิตในหอพักอย่างใกล้ชิด และจะได้เน้นให้นิสิตมีคุณธรรม จริยธรรมด้วย (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 24 พ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





จุฬาฯ โชว์ศักยภาพมหาวิทยาลัยวิจัย ช่วยอุตสาหกรรม

เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน เวลา 09.00 น. ศ.คุณหญิงสุชาดา กีระนันทน์ อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประธานเปิดงานจุฬาฯ วิชาการ '48 ภายใต้แนวคิด "สานความรู้ สู่แผ่นดิน" ซึ่งจัดขั้นระหว่างวันที่ 23-27 พฤศจิกายน โดยอธิการบดีกล่าวตอนหนึ่งว่า แนวคิดการจัดงานเพื่อต้องการจะเผยแพร่ ให้ภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจ ศิษย์เก่านำองค์ความรู้จุฬาฯ ไปต่อยอดออกสู่ภาคอุตสาหกรรม เป็นการสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจของประเทศ และการแสดงผลงานเหล่านี้ก็จะเป็นการให้ประชาชนตรวจสอบการทำงานของจุฬาฯ จุฬาฯ มุ่งหวังที่จะเป็นมหาวิทยาลัยวิจัย ซึ่งจะผลิตงานวิจัยทั้ง 2 ประเภท คือ ทฤษฎี นวัตกรรมใหม่เชิงวิชาการ ที่จะนำไปใช้ต่อยอด หรือตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ เพื่อให้มหาวิทยาลัยเป็นที่ยอมรับของสากล ขณะเดียวกันเราก็มีการผลิตงานวิจัยประยุกต์ ที่จะนำไปใช้ได้จริง เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศ ซึ่งเวลานี้กำลังเร่งผลิตงานวิจัย ในปี 2548 สามารถผลิตได้กว่า 600 ชิ้น เนื่องจากอาจารย์รุ่นใหม่ที่สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ ได้กลับมาเป็นกำลังสำคัญของมหาวิทยาลัย ขณะนี้จุฬาฯ ผลิตบัณฑิตปริญญาตรีปีละเกือบ 2 หมื่นคน และผลิตบัณฑิตปริญญาโท-เอกกว่า 1.2 หมื่นคนต่อปี และในปีการศึกษา 2549 ก็รับนิสิตปริญญาโท-เอกเพิ่มในสาขาวิศวกรรมชีวเวช และสาขาอื่นๆ รวม 200-300 คน ส่วนระดับปริญญาตรีจะเพิ่มประมาณ 100 คนในหลักสูตรนานาชาติซึ่งเพิ่งเปิดใหม่ ซึ่งคงไม่รับนิสิตปริญญาตรีเพิ่มจำนวนมาก แต่จะดูคุณภาพเป็นหลัก พิจารณาให้เหมาะสมกับสัดส่วนอาจารย์ และห้องปฏิบัติการ ถึงสถาบันอื่นจะรับเพิ่มมากเท่าไร จุฬาฯ จะไม่รับ แต่จะคุมคุณภาพให้ดี (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 24 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





สกอ.ตั้งเป้าปี 49สร้าง 35 ยูบีไอในมหาวิทยาลัย

ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ลงนามร่วมกันจัดตั้งบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อจัดตั้งสมาคมหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจและอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย (Thai Business Incubator and Science & Technology Park Association : Thai-BISPA) ว่า สมาคมเพื่อให้เกิดการรวมตัวเป็นประชาคมของหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจ อุทยานวิทยาศาสตร์และอุทยานเทคโนโลยีต่างๆ ในประเทศไทย สำหรับเป็นกลไกส่งเสริมวิสาหกิจใหม่ในประเทศอย่างเป็นระบบ สกอ.ได้สนับสนุนสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ ในประเทศให้จัดตั้งหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจ (University Business Incubator, UBI) ขึ้นในสถาบัน เพื่อขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์จากองค์ความรู้ สิ่งประดิษฐ์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่คิดค้นขึ้นในแต่ละสถาบัน ซึ่งปัจจุบัน สกอ.ได้จัดตั้ง 25 หน่วยบ่มเพาะในทุกภูมิภาค และจะเพิ่มเป็น 35 แห่งในปี 2549 สกอ.จะให้การส่งเสริม Thai-BISPA เพิ่มเติม โดยสนับสนุนด้านบุคลากรและการเชื่อมโยงเว็บไซต์และเวบท่าของThai-BISPA ให้เข้ากับหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจ ในสถาบันการศึกษาต่างๆ พร้อมกับการสร้างบรรยากาศการเป็นผู้ประกอบการและบริษัทรุ่นใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นในสังคมไทยอีกด้วย (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 24 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ม.รังสิตจับมือม.กุ้ยหลิน พัฒนาหลักสูตรไทย-จีน

ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยภายหลังพิธีลงนามความร่วมมือกับ ศ.หยาง กว๋อ เลี่ยง อธิการบดีฝ่ายนโยบายมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีกุ้ยหลิน ณ ห้องประชุม 1-308 อาคารอาทิตย์ อุไรรัตน์ มหาวิทยาลัยรังสิต ว่าทั้งสองสถาบันได้ทำข้อตกลงความเข้าใจที่จะจัดเตรียมโครงการหลักสูตรต่างๆ อาทิ หลักสูตรธุรกิจการโรงแรมการท่องเที่ยว หลักสูตรธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ หลักสูตรบริหารธุรกิจการจัดการ และหลักสูตรระบบสารสนเทศ คอมพิวเตอร์ โดยแต่ละหลักสูตรจะจัดศึกษาดูงาน ฝึกงาน ตามความเหมาะสม รวมทั้งการศึกษาถึงผลสัมฤทธิ์ของโครงการความร่วมมือระยะสั้นข้างต้นให้พัฒนาต่อยอด เป็นโครงการหลักสูตร 2+2 หรือโครงการระยะยาวอื่นๆ ต่อไป คาดว่าจะเริ่มโครงการแลกเปลี่ยนดังกล่าว ประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2549 ด้าน ศ.หยาง กว๋อ เลี่ยง อธิการบดีฝ่ายนโยบาย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีกุ้ยหลิน กล่าวว่า ยินดีที่จะจัดเตรียมหลักสูตร อุปกรณ์การเรียนการสอน ตลอดจนอาจารย์ผู้สอนด้วย โอกาสนี้นักศึกษาไทยที่เดินทางไปแลกเปลี่ยนจะได้เรียนทั้งภาษาจีนและนาฏศิลป์จีนควบคู่กันไปด้วย (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 24 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





21มหา"ลัยรัฐรับน.ศ.เพิ่ม30% 6คณะแพทย์เปิดใหม่ปี"49 เอกชนขอตั้งวิทยาลัย6แห่ง

เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน นายประเสริฐ ชิตพงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.) ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการรับนิสิตนักศึกษา ประจำปีการศึกษา 2549 ว่า ได้คาดการณ์ว่า จะมีนักเรียนที่จบชั้น ม.6 ในปีการศึกษานี้รวมประมาณ 6 แสนคน โดยมหาวิทยาลัยแต่ละประเภทจะแบ่งสัดส่วนการรับกันไป อย่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.) นอกจากรับนักเรียนที่จบม.6 แล้ว อีกส่วนจะรับนักศึกษาที่จบระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.) ส่วนมหาวิทยาลัยราชภัฏ(มรภ.) อาจต้องแบ่งการรับกับมหาวิทยาลัยเอกชน และสำหรับมหาวิทยาลัยรัฐเดิม 21 แห่ง ที่ไม่ใช่มหาวิทยาลัยเปิด ในปีที่แล้วรับนักศึกษา 7.6-7.7 หมื่นคน และในปีการศึกษา 2549 คาดว่า จะรับเพิ่มประมาณ 30% คุณหญิงสุชาดา กีระนันทน์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ในปีการศึกษา 2549 จุฬาฯจะรับนิสิตระดับปริญญาตรีใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ส่วนการรับนิสิตระดับปริญญาโทและเอกคาดว่าจะรับเพิ่ม 200-300 คน เนื่องจากมีสัดส่วนอาจารย์ต่อนิสิตปริญญาเอกเป็น 1 ต่อ 1 รับนิสิตปริญญาตรีประมาณ 6 พันคน สำหรับระดับปริญญาโทและเอกจะเปิดหลักสูตรใหม่เพิ่มขึ้น เช่น ไบโอเมดดิคอล ซึ่งเกี่ยวกับการสร้างเครื่องมือมาใช้ทางการแพทย์ หรือสร้างอวัยวะเทียม ด้านนายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) เปิดเผยความคืบหน้าการจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์แห่งใหม่ในโครงการ 1 แพทย์ 1 อำเภอ ของกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ว่า ที่ผ่านมามีเข้าร่วมใน 7 มหาวิทยาลัย ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์(มวล.) มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ และล่าสุดมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง(มฟล.) ได้เสนอขอจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์เพิ่มด้วย ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าคณะแพทย์ที่พร้อมรับนักศึกษาในปีการศึกษา 2549 มี 6 มหาวิทยาลัย จาก 7 มหาวิทยาลัยเดิม โดยยกเว้นมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ นายสุชาติ เมืองแก้ว รองเลขาธิการ กกอ. เปิดเผยด้วยว่า ในการประชุมคณะกรรมการจัดตั้งและเปลี่ยนประเภทสถาบันอุดมศึกษาเอกชนได้พิจารณากรณีวิทยาลัยเอกชนขอยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัย เช่น วิทยาลัยฟาร์อีสเทิร์น จ.เชียงใหม่ นอกจากนี้ มีผู้ขอใบอนุญาตจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชนเพิ่มเติมอีก 6 แห่ง เช่น วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม วิทยาลัยนอร์ทเทิร์น(ประเทศไทย) จ.พิษณุโลก วิทยาลัยราชพฤกษ์ และวิทยาลัยอิสลามยะลาที่ได้ขอจัดตั้งวิทยาเขตที่ จ.ปัตตานี เป็นต้น (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 24 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





ผลวิจัยการศึกษาชี้12ปีไม่ฟรีจริง

รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะคณะอนุกรรมการการศึกษาและการพัฒนา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการได้ทำการวิจัยเรื่องสิทธิบริการการศึกษาขั้นพื้นฐานจากรัฐ เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 43 กำหนดไว้ว่า บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า 12 ปี ที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ในการศึกษาได้ทำแบบสอบถามสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 3 กลุ่ม ผลการสำรวจพบว่า ในภาพรวมรัฐสามารถจัดบริการการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนปลายได้อย่างทั่วถึงนั้น แต่ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นยังขาดอยู่บ้างเล็กน้อย ด้านคุณภาพการศึกษาพบว่า สถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาส่วนใหญ่ คิดเป็น 96.3% ผ่านการประเมินภายนอก และ 95.4% ผ่านการประเมินภายในแล้ว การจัดการศึกษาโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ร้อยละ 78.9 มีความเห็นว่า ค่าใช้จ่ายที่รัฐให้การสนับสนุนไม่เพียงพอ เพราะระดับประถมอุดหนุนรายหัวที่ 1,200 บาท มัธยมต้น 1,800 บาท และมัธยมปลาย 2,200 บาท ต้องระดมทรัพยากรจากผู้ปกครอง เพื่อเป็นค่าอุปกรณ์การเรียนการสอน คอมพิวเตอร์ "การจัดการศึกษาฟรี 12 ปี เป็นการบังคับตามกฎหมาย และระบุไว้ในรัฐธรรมนูญชัดเจน จะเก็บเพิ่มไม่ได้ หากมีองค์กรเครือข่ายผู้ปกครอง หรือหน่วยงานใดนำใบเสร็จการจ่ายค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากสถานศึกษา ไปฟ้องศาลปกครองรัฐต้องแพ้แน่" รศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 25 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





10มหา"ลัยผนึก"วิทยุศึกษา" รองรับจัดสรรคลื่นความถี่

เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน นายจุมพล รอดคำดี รองอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกรรมการผู้อำนวยการสถานีวิทยุแห่งจุฬาฯ กล่าวในพิธีลงนามความร่วมมือพันธมิตรสถานีวิทยุสถาบันการศึกษา ระหว่างผู้บริหารมหาวิทยาลัย 10 แห่ง และ 3 สมาคมวิทยุการศึกษาว่า เป็นครั้งแรกของประเทศที่มีความร่วมมือด้านสื่อวิทยุกระจายเสียงเพื่อการศึกษา ทั้งสถานีวิทยุแห่งจุฬาฯ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ วิทยาเขตปัตตานี มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารทางด้านการศึกษา และเป็นการแสดงถึงการปรับตัวของวิทยุด้านการศึกษาเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในการจัดสรรคลื่นความถี่ และ พ.ร.บ.ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ที่กำลังจะบังคับใช้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ นอกจากนี้ สถานีวิทยุแห่งจุฬาฯยังมีโครงการสานสัมพันธ์ไทย-จีน ผ่านสื่อวิทยุกระจายเสียงเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ข้อมูลข่าวสารระหว่างไทยกับจีนให้รวดเร็วและทันเหตุการณ์ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และศิลปวัฒนธรรม เพื่อให้คนไทยรู้ และเข้าใจคนจีนและประเทศจีนมากขึ้น โดยจะเริ่มออกอากาศร่วมกันในปี 2549 ที่สถานีวิทยุแห่งจุฬาฯ คลื่นความถี่ 101.5 MHz (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 26 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





น.ศ.รามฯก่อหวอดค้านออกนอกระบบ ยื่นหนังสือท้วงปธ.พิจารณากฎหมาย ห่วงจ่ายค่า"หน่วยกิต-ธรรมเนียม"แพง

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง(มร.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีนักศึกษา มร.รวมตัวกันประมาณ 100 คน นำโดยนายทองพิทักษ์ มากคง ประธานสภานักศึกษา มร. ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยรามคำแหง เพื่อคัดค้านการเปลี่ยนสถานภาพ มร.เป็นมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐบาล ก่อนที่นายชูศักดิ์จะเข้าร่วมประชุมกับคณะผู้บริหาร มร.เกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยรามคำแหง แกนนำนักศึกษา มร.ได้ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นปราศรัยชี้แจงถึงผลเสียในการเปลี่ยนสถานภาพ มร.ไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐบาล พร้อมทั้งแจกจ่ายใบปลิวข้อความว่า "หยุดนำรามฯออกนอกระบบ" ทั้งที่ มร.เป็นมหาวิทยาลัยเพื่อลูกคนจน เนื่องจากเมื่อเปลี่ยนสถานภาพแล้ว มร.จะต้องหาเลี้ยงตัวเอง ซึ่งจะต้องขึ้นค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียม เป็นต้น เพราะเวลานี้ มร.ยังเลี้ยงตัวเองไม่ได้ และจากการจัดประชาพิจารณ์ในกลุ่มนักศึกษา มร.มีถึง 70% ที่ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนสถานภาพ ดังนั้น ถ้าทางมหาวิทยาลัยยังเดินหน้าเปลี่ยนสถานภาพต่อไป ตนจะล่า 5 หมื่นรายชื่อคัดค้าน เพื่อส่งให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้รับพิจารณาแก้ไข (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 25 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





"อาชีวะ"พลิกโฉม ดึงจบม.3เรียนต่อ

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ที่โรงแรมบี พี สมิหลา บีช รีสอร์ท จ.สงขลา นายวีระศักดิ์ วงษ์สมบัติ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) เป็นประธานการประชุมวิชาการองค์การวิชาชีพในอนาคตแห่งประเทศไทย ในส่วนสถานศึกษาอาชีวศึกษาภาคใต้ ประจำปีการศึกษา 2548 ทั้งนี้ นายวีระศักดิ์กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) กำลังพยายามพลิกโฉมการอาชีวศึกษา โดยผลักดันให้เด็กที่จบชั้น ม.3 มาเรียนต่อในสายอาชีวะมากขึ้น และให้เรียนจบไปอย่างมีคุณภาพ โดยมุ่งพัฒนาให้เป็นแรงงานที่มีทักษะฝีมือ เพื่อร่วมพัฒนาประเทศ และสามารถแข่งขันกับนานาชาติในอนาคตได้ ซึ่งตนตั้งเป้าว่าใน 4 ปีข้างหน้าเด็กที่จบจากอาชีวะจะต้องมีทักษะในการสื่อสารและมีความรู้เพื่อนำไปประกอบอาชีพได้ และเด็กอาชีวะทุกคนจะต้องทำวิจัยเป็น และรู้วิธีทำแผนธุรกิจในการค้าขายได้ เพราะขณะนี้อุตสาหกรรมหลักๆ ของประเทศกำลังต้องการแรงงานจำนวนมาก เช่น สาขายานยนต์ ในช่วง 4 ปีข้างหน้าจะมีความต้องการแรงงานที่จบ ปวช.สูงถึง 82,000 คน เช่นเดียวกับสาขาอาหาร สิ่งทอ อัญมณี ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และแม่พิมพ์ ที่ต่างต้องการแรงงานมีทักษะฝีมือเกือบ 4 แสนคน (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 25 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


‘ฟอร์ด’ วางฐานหนุนไทยผลิตส่งออก

บิล ฟอร์ด ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “ฟอร์ด มอเตอร์ คอมปานี” บอกว่า ฟอร์ด มอเตอร์ คอมปานี เป็นบริษัทระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจมานานกว่า 100 ปี โดยมีเป้าหมายที่แสวงหาวิธีใหม่ ๆ ในการผลักดันธุรกิจให้ก้าวไปอย่างแข็งแกร่ง ทั้งนี้ ฟอร์ด ได้นำเทคโนโลยี “เอทานอล” ที่รองรับแก๊สโซฮอล์ E20 เข้าสู่ประเทศไทยผ่านรถยนต์ “ฟอร์ด โฟกัส” ซึ่งเป็นรถรุ่นแรกในประเทศไทยที่ใช้เชื้อเพลิงชนิดนี้ได้ นอกจากนี้ โฟกัสใหม่ ยังมีจุดเด่นที่เรียบหรูตามสไตล์ยุโรป ซึ่งมีความยอดเยี่ยมของวิศวกรรมเยอรมนีในราคาเพียง 747,000-898,000 บาท ทำให้โฟกัสเป็นทางเลือกที่น่าสนใจที่สุดสำหรับผู้บริโภค โดยพร้อมที่จะเปิดตัวรถยนต์ใหม่อีก 4 รุ่น ในปี 2549 ที่ใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิงหลักทำให้ยอดผลิตรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงหลากหลายชนิด (Flexible Fuel Vehicle : FFV) ในปี 2549 น่าจะมีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 280,000 คัน และในปีหน้าจะเป็นครั้งแรกที่ฟอร์ดนำเทคโนโลยีรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงหลากหลายประเภทมาติดตั้งในรถยนต์ที่ขายดีที่สุดในอเมริกา คือ รถกระบะฟอร์ด เอฟ-150 มาจำหน่าย และ เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางการดำเนินธุรกิจดังกล่าว ฟอร์ดได้ลงทุนมูลค่ากว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐในศูนย์การผลิตรถยนต์ของ บริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นธุรกิจร่วมทุนระหว่างฟอร์ดกับมาสด้าในประเทศไทย โดยโรงงานดังกล่าวผลิตรถ ฟอร์ด เรนเจอร์, มาสด้า ไฟเตอร์ และฟอร์ด เอเวอเรสต์ เพื่อจำหน่ายในประเทศไทยและส่งออกกว่า 100,000 คันไปยังกว่า 130 ตลาดทั่วโลกทั้งในยุโรป อเมริกาใต้ ตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แอฟริกาใต้ และอาเซียน. (เดลินิวส์ อาทิตย์ที่ 20 พ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





กระทรวงพานิชย์เปิดศูนย์ร้องเรียนอีคอมเมิร์ช

นางสาวอรจิต สิงคาลวณิช อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันการซื้อ ขายผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรืออีคอมเมิร์ซในประเทศไทยยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก เนื่องจากผู้บริโภคยังขาดความเชื่อมั่นในการธุรกรรมผ่านอินเทอร์เน็ต กรมฯ จึงร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือกระทรวงไอซีที, กสท. โทรคมนาคม, กรมทรัพย์สินทางปัญญา, สคบ., อย. กรมการปกครอง, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, สำนักงานศาลยุติธรรม สมาคมธนาคารไทย และสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย จัดตั้ง “ศูนย์จัดการข้อร้องเรียนด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์” เพื่อเป็นศูนย์กลางรับเรื่องร้องเรียนและแก้ไขปัญหาเบื้องต้น ที่เกิดจากการซื้อขายสินค้า/บริการทางอินเทอร์เน็ต ในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนได้ จะจัดส่งให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายของหน่วยงานภายใต้ข้อตกลงที่กำหนด การตั้งศูนย์ดังกล่าวเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค คาดว่าจะกระตุ้นให้ธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของไทย ขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 10 % จากปีที่ผ่านมา สำหรับความรับผิดชอบของศูนย์ฯ ครอบคลุมปัญหาที่เกิดจากการซื้อขายสินค้าหรือบริการทางอินเทอร์เน็ตของผู้ประกอบการที่มีสถานประกอบการตั้งอยู่ในประเทศไทย คุ้มครองผู้บริโภคทั้งที่เป็นคนไทย และชาวต่างประเทศที่ติดต่อซื้อขายกับเว็บไซต์ที่มีสถานประกอบการตั้งอยู่ในประเทศไทยปัญหาเกี่ยวกับจริยธรรมในการประกอบธุรกิจ เช่น โฆษณาเกินจริง หรือบริการอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งก่อให้เกิดผลเสียหายต่อสังคม รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับการขายสินค้าหรือบริการที่ผิดกฎหมาย เช่น การขายยาเสพติดการขายทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำผิดอาญา และการขายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาโดยประชาชนที่ประสบปัญหา สามารถร้องเรียนได้ที่ กองพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โทรศัพท์ 0-2547-5959-61 โทรสาร 0-2547-5973 หรือที่เว็บไซต์ : www.dbd.go.th (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 21 พ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





13มหาวิทยาลัยส่ง"นักรบ สวล."

นายเฉลิมศักดิ์ วานิชสมบัติ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดโครงการนักรบสิ่งแวดล้อมภูมิภาคภาคเหนือ ที่สนามศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก ว่า นักศึกษาจาก 13 สถาบันการศึกษา จาก 17 จังหวัดภาคเหนือ กว่า 300 คน เป็นอาสาสมัครนักรบสิ่งแวดล้อมที่จะออกไปตรวจสภาพน้ำเสียที่ระบายทิ้งจากชุมชน โรงงานอุตสาหกรรม และการเกษตรกรรม ทุกจังหวัดภาคเหนือ เพื่อติดตามคุณภาพสาเหตุสิ่งแวดล้อมจากแหล่งกำเนิดโดยตรง อันเป็นสาเหตุความเสื่อมโทรมของคุณภาพน้ำ ในแหล่งน้ำต่างๆ ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นทุกปี นอกจากนี้ยังมีประชาชนที่อาสาสมัครมาดูแลสิ่งแวดล้อม หน่วยงานราชการและนักศึกษาที่มาเข้าร่วมงาน ร่วม 1,000 คน โดยมุ่งหวังเกิดประโยชน์ในการปลูกฝังให้เกิดจิตสำนึก และกระตุ้นผู้ประกอบการให้เกิดความตระหนักและใส่ใจในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นในอนาคต นายเฉลิมศักดิ์กล่าวว่า สำหรับผลจากการติดตามตรวจสอบคุณภาพของแม่น้ำน่าน ระหว่างปี 2547 ถึงต้นปี 2548 ที่ผ่านมา ในจังหวัดพิษณุโลก จากการเก็บตัวอย่างทั้งหมด 13 จุด พบว่าคุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์พอใช้ 7 จุด และมี 4 จุด คุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์เสื่อมโทรม โดยบริเวณหน้าเขื่อนนเรศวร อ.พรหมพิราม เป็นจุดเก็บน้ำที่คุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์เสื่อมโทรม คุณภาพน้ำมีความสกปรกสูง จนอาจส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งอาจเกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีนโยบายที่จะส่งเสริมการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมให้มีประสิทธิภาพ โดยอาศัยกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 21 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





คอมพิวเตอร์คนยากเสร็จปีหน้า สี่พันทำงานได้สารพัด

นักวิทยาศาสตร์ของสถาบันเอ็มไอที สหรัฐฯ ศาสตราจารย์ นิโคลาส เนโกรปอนเต ประกาศทางสำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษ จะเริ่มผลิตคอมพิวเตอร์ ราคาประหยัด ในราคาเพียงเครื่องละ 4,000 บาท สำหรับเด็กตามชาติที่กำลังพัฒนาให้เสร็จในปีหน้านี้ และจะผลิตออกมาได้เป็นเรือนล้านเครื่อง ก่อนสิ้นปีหน้า เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดวางบนตัก เคยนำออกแสดงในงานประชุมสุดยอดสมาคมข้อมูลโลกหนที่แล้ว มีลักษณะเป็นฝาปิดพับได้ กินไฟน้อย ช่วยให้เด็กสามารถติดต่อกันเองระหว่างการเรียนได้ ว่า เป็นเครื่องมือที่ไม่เป็นอันตรายกับธรรมชาติแวดล้อม นอกจากจะใช้เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว ยังอาจใช้เป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ผู้ใช้จะบังคับเคอร์เซอร์ทางด้านหลังของตัวเครื่อง หรือทางแป้นสัมผัสทางด้านหน้าก็ได้ นอกจากนั้น ยังใช้เป็นหน้าปัดของเครื่อง เล่นเกมมือถือ ทั้งยังอาจทำหน้าที่เหมือนกับเป็นเครื่องรับโทรทัศน์อีกด้วย ได้รับการยกย่องจากเลขาธิการสหประชาชาตินายโคฟี อันนัน เป็นอันมาก (ไทยรัฐ อังคารที่ 22 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





บังคับมะเร็งอยู่มือภายใน20ปีค้นพบวิธีรักษาใหม่

ศาสตราจารย์คารอส ซิกอรา และแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็งแห่งโรงพยาบาลอิมพีเรียล คอลเลจ แอน แฮมเมอร์สมิธของกรุงลอนดอน ได้กล่าวในที่ประชุมนักวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญว่า หนทางและวิธีรักษาโรคมะเร็ง ที่ค้นพบภายในระยะเวลา 20 ปี ข้างหน้าจะทำให้สามารถควบคุมโรคมะเร็งอยู่มือได้ นอกจากนั้นข้อมูลความรู้ทางพันธุกรรมศาสตร์ที่ได้จากคนไข้ ยังอาจจะช่วยให้สามารถกำจัดโรคบางโรค อย่างเช่นโรคเบาหวานให้ หมดสิ้นไปได้อีกด้วย. (ไทยรัฐ อังคารที่ 22 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





ฮ่องกงขึ้นแท่นเกาะเชื่อมเน็ตไร้สาย

อินเทล คอร์ปอเรชั่น ผู้ผลิตชิพคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของโลก สำรวจจุดบริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไร้สาย (ฮอตสปอต) 10 อันดับแรกของเอเชีย พบว่า ฮอตสปอตในร้านกาแฟของแปซิฟิก คอฟฟี่ ที่ฮ่องกงพีค ได้รับความนิยมสูงสุด เนื่องจากทัศนียภาพสวยงามบริเวณท่าเรือของอ่าววิคตอเรีย กลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟและความสะดวกในการเชื่อมต่อเน็ต ทั้ง 3 ปัจจัยเป็นบรรยากาศที่เข้ากันได้อย่างลงตัว การสำรวจครั้งนี้อาศัยผลโหวตจำนวน 1,996 คนจาก 20 ประเทศ โดยเปิดให้นักธุรกิจและนักท่องเที่ยวเลือกสถานที่ 10 แห่งจาก 36 แห่งทั่วเอเชีย ที่คิดว่ามีทัศนียภาพสวยงาม สะดวก หรือเป็นสถานที่ที่ไม่ธรรมดา และเอื้อต่อการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไร้สายมากสุด ส่วนสุดยอดฮอตสปอตอันดับถัดมาคือ ร้านกาแฟสตาร์บัคส์ ที่เซอร์คูลาร์ คีย์ ใกล้กับโอเปร่าเฮาส์ในเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ซันเทคซิตี้ ศูนย์การประชุมและจัดแสดงนิทรรศการนานาชาติ ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของประเทศสิงคโปร์, ท่าอากาศยานชางกี ประเทศสิงคโปร์, ท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่ง ประเทศจีน, ย่านประวัติศาสตร์ซินเทียนตี่ เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน, กำแพงเมืองจีน ซึ่งจุดที่คาดไม่ถึงว่าจะมีการเชื่อมต่อเน็ตไร้สาย, ร้านกาแฟสตาร์บัคส์ ที่โอเชียน เซ็นเตอร์ ฮ่องกง พิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์แห่งชาติ ไทเป ไต้หวัน ซึ่งเป็นสถานที่เชื่อมต่อเน็ตได้เพลิดเพลิน เพราะได้จัดทำนิทรรศการด้านต่างๆ ไว้บนเวบไซต์ ทำให้ผู้เข้าเยี่ยมชมสามารถค้นหาความรู้เพิ่มเติมผ่านอุปกรณ์ไร้สายต่างๆ และอันดับสุดท้ายคือเกาะเชจู เกาหลีใต้ แบบสำรวจยังถามถึงวัตถุประสงค์การใช้บริการเน็ตไร้สาย ซึ่งร้อยละ 86.4 มุ่งค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับร้านอาหาร แหล่งช้อปปิ้งและสถานที่ท่องเที่ยว รองลงมาใช้สำหรับรับ-ส่งอีเมล (คมชัดลึก อังคารที่ 22 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





บราซิลตั้งเป้าผู้นำโลก"ไบโอดีเซล"

ประธานาธิบดีลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ภายในสิ้นปีนี้บราซิลจะมีบุคลากร 350,000 คนร่วมทำงานด้านไบโอดีเซลและเชื่อมั่นว่าในอีก 10 หรือ 15 ปีข้างหน้าบราซิลจะเป็นประเทศที่เป็นผู้นำของโลกในการผลิตไบโอดีเซล บราซิลสามารถจะผลิตไบโอดีเซลได้ถูกกว่าที่สหรัฐผลิตโดยใช้ข้าวโพด หรือถูกกว่ายุโรปที่ใช้ชูการ์ บีต โดยบราซิลจะปลูกดอกทานตะวัน ถั่วเหลือง และพืชเมืองร้อนอื่น ๆ การใช้เชื้อเพลิงพึ่งตนเองแบบพอเพียงเป็นความฝันของบราซิลมานาน และบราซิลได้ดำเนินการในลักษณะดังกล่าวมาแล้วด้วยการผลิตเชื้อเพลิงเอทานอลจากอ้อยมานานแล้ว (ข่าวสด อังคารที่ 22 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ทีทีแอนด์ทีต่อยอดโทรบ้านสู่ "ทริปเปิล เพลย์"

นายประจวบ ตันตินนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทีทีแอนด์ที กล่าวว่า บริษัทกำลังมองถึงบริการที่เป็น "วัน สต็อป ช็อป" ตอบสนองลูกค้า ที่มีแนวโน้มต้องการทุกบริการบนเครือข่ายเดียวมากขึ้น ตามกระแสการหลอมรวมของเทคโนโลยีไอที สื่อสาร และบรอดคาสติ้ง โดยจะใช้จุดแข็งของเครือข่ายโทรศัพท์พื้นฐาน ที่ลงทุนไปครอบคลุม 72 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งเมื่อรวมเข้ากับใบอนุญาตไอเอสพีที่ได้รับจาก คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) และใบอนุญาตบริการอินเตอร์เนชั่นแนล เกตเวย์ ที่เตรียมขออยู่ ทีทีแอนด์ที ก็จะเป็นบริษัทที่อยู่ในสถานะดีที่สุด สำหรับให้บริการทั้งด้านเสียง, ข้อมูล และภาพยนตร์-ทีวี ผ่านเครือข่ายเดียว (ทริปเปิล เพลย์) พร้อมกันนี้ บริษัทมองถึงการหาพันธมิตรระดับภูมิภาค ทั้งที่จะเข้ามาสนับสนุนด้านการเงิน, กลยุทธ์ และคอนเทนท์ เพื่อร่วมลงทุนในบริการใหม่ๆ จากใบอนุญาตที่ได้รับจาก กทช. ที่ผ่านมาได้รับแล้ว 2 ใบสำหรับบริการอินเทอร์เน็ต และกำลังรอขอใบอนุญาตประเภทที่ 3 อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่สรุปชัดเจนว่า จะเปิดกว้างให้พันธมิตรร่วมทุนในบริการตามไลเซ่นใหม่ดังกล่าว เข้ามาถือหุ้นในตัวบริษัทแม่คือ ทีทีแอนด์ที ด้วยหรือไม่ ด้านนายสมบุญ พัชรโสภาคย์ กรรมการ บมจ. จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า บริษัทสนใจจะขอใบอนุญาตบริการเกตเวย์ระหว่างประเทศจาก กทช. ซึ่งจะเพิ่มความสะดวกในการต่อเชื่อมโครงข่ายไปต่างประเทศ และรองรับเป้าหมายก้าวสู่บริการในรูปแบบ "ทริปเปิล เพลย์" (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 23 พ.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





"หยวนต้า"ขนวิศวกรนับพัน-พัฒนาแหล่งอัจฉริยะแห่งใหม่

นายแบร์รี่ แลม ประธานและซีอีโอของบริษัทหยวนต้า คอมพิวเตอร์ อิงค์ เผยถึงการเลือกโซลูชั่นแบบ End-to-End ของซิสโก้เพื่อใช้ในศูนย์วิจัยและพัฒนา(R&D) อัจฉริยะ; ความร่วมมือระหว่างซิสโก้กับหยวนต้าช่วยประสานความต้องการทางธุรกิจและทางเทคนิค ทั้งนี้ บริษัท หยวนต้า ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่ ใช้โซลูชั่นแบบ end-to-end เพื่อเพิ่มผลผลิตผ่านการถ่ายโอนกระบวนการทางธุรกิจและระบบเครือข่าย ด้วยระบบปฏิบัติงานในเชิง สถาปัตยกรรมธุรกิจและ Cisco Lifecycle Services บนอาคารอัจฉริยะ ซึ่งตั้งอยู่ในเมือง Linkou มณฑล Taoyuan ในไต้หวัน หยวนต้าได้รับการขนานนามศูนย์แห่งว่า "ดินแดนแห่งการผจญภัยของเหล่าวิศวกร R&D" รองรับวิศวกร 6,000 คน ขณะนี้มีวิศวกรกว่า 3,000 คน ที่ย้ายเข้ามาทำงานที่ศูนย์แห่งใหม่นี้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ศูนย์แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อดึงดูดผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถสูงจากทั่วโลก มาร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยี เพิ่มพูนผลผลิต สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และมีความปลอดภัยของระบบ (มติชนรายวัน พุธที่ 23 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





พายุดาวพฤหัสฯ

ทีมนักวิจัยนานาชาติร่วมกันพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ 3 มิติ จำลองสภาพอากาศบนดาวพฤหัสบดี ชี้ว่า พายุในดาวพฤหัสฯ ที่หมุนวนอย่างรุนแรงรอบดวงดาวมานานหลายศตวรรษ ด้วยความเร็ว 550 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่ากับพายุเฮอริเคนบนโลก เกิดจากแหล่งพลังงานในแกนกลางของดาวที่ยังร้อนระอุ ผศ.โจนาธาน เออร์นู ด้านฟิสิกส์ดาวเคราะห์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย กล่าวว่า แบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ให้คำตอบว่าเหตุใดลมพายุแนวตะวันออก-ตะวันตกที่พัดหมุนเวียนรอบดาวพฤหัสฯ มานาน 300 ปี จึงมีความเสถียรมาก "วิถีการพัดของลมบนโลกเรามีการเปลี่ยนแปลงทุกฤดู ต่างจากดาวพฤหัสฯ ที่แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย ซึ่งเกิดจากแกนกลางดาวที่ยังร้อนระอุเพราะประกอบด้วยไฮโดรเจน ฮีเลียม และพลาสมาเหลวจำนวนมาก โดยลักษณะของพายุบนดาวพฤหัสฯ คล้ายกับการเกิดไอน้ำหมุนวนเหนือน้ำเดือด" (ข่าวสด พุธที่ 23 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





อุณหภูมิ"น้ำ"สูงผิดปกติ "ปลา"ลดทั่วโลก-คนขาดอาหาร

กองทุนสัตว์ป่าโลก (ดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ) โดยแคทเธอรีน ชอร์ต ผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุ์ปลาของกองทุนสัตว์ป่าโลกระบุว่า อุณหภูมิของแหล่งน้ำในโลกที่สูงขึ้นทุกขณะ เพราะผลกระทบจากสภาวะ "โลกร้อน" กำลังคุกคามวงจรชีวิตของปลาทั่วโลก เพราะการที่น้ำร้อนขึ้นทำให้แหล่งอาหารของปลาลดลง และกลายเป็นหมัน ปลาบางชนิด เช่น แซลมอน Catfish และ Sturgeon กลายเป็นหมันวางไข่ไม่ได้ในฤดูหนาว เพราะน้ำร้อนเกินไป ปัจจุบันปริมาณของปลาตามแหล่งน้ำก็ลดลงอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว ด้วยปัญหาการจับปลาเกินความจำเป็น มลพิษ และถิ่นที่อยู่อาศัยของปลาถูกมนุษย์ทำลาย ปรากฏการณ์โลกร้อนเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ปลาแพร่พันธุ์ นอกจากนั้น "ปลาน้ำจืด" ก็จะหายใจลำบากขึ้นในน้ำร้อน เพราะออกซิเจนในน้ำจะมีน้อยกว่าน้ำอุณหภูมิปกติ จะต้องวางมาตรการปกป้องทั้งปลาน้ำเค็มและปลาน้ำจืด เพราะพวกมันเป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยประโยชน์ทางโภชนาการ และทรัพยากรทางเศรษฐกิจที่สำคัญของมนุษย์ ข้อมูลจากกองทันสัตว์ป่าโลกระบุว่า เมื่อน้ำร้อนขึ้น ปลาบางนิดจะอพยพย้ายถิ่นฐานไปยังที่ใหม่ ขณะที่ปลาบางชนิดจะต้องอาศัยอยู่ในระดับน้ำลึกกว่าเดิม ซึ่งสภาวะเหล่านี้จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อวงจรห่วงโซ่อาหารของสัตว์สายพันธุ์อื่นๆ ตัวอย่างเช่น เมื่อปี 2536 นกทะเล 120,000 ตัว ในแถบอ่าวอลาสกาต้องตายทั้งหมด เพราะปลาที่เป็นเหยื่อของมันต้องดำลงไปอยู่ในน้ำลึกกว่าเดิม ทำให้นกขาดแหล่งอาหาร (ข่าวสด พุธที่ 23 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





เส้นทางมาตรฐานสินค้าเกษตรไทย

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรฯได้มอบหมายให้ มกอช. หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพัฒนามาตรฐานระบบการตรวจสอบรับรองด้านสุขอนามัยสินค้าเกษตรและอาหารของไทยให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล และสอดคล้องกับเงื่อนไขที่ประเทศผู้นำเข้าต่าง ๆ กำหนด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคตลอดจนลดขั้นตอนการตรวจสอบซ้ำซ้อนของด่านตรวจพืช ณ จุดส่งออก ซึ่งเป็นต้นเหตุของต้นทุนที่สูงเกินความจำเป็นของผู้ประกอบการไทย โดยเบื้องต้น มกอช. ได้จัดทำมาตรฐานทั่วไปเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า และคุ้มครองผู้บริโภค ขึ้นมาใหม่ 2 ฉบับ ได้แก่ 1. หลักการทำงานในการวิเคราะห์ความเสี่ยง และ 2. หลักเกณฑ์การใช้เครื่องหมายรับรองสัญลักษณ์ Q และ Q Premium กับสินค้าเกษตรและอาหาร โดยในส่วนของหลักการทำงานในการวิเคราะห์ความเสี่ยง จะกำหนดแนวทางการปฏิบัติ งานในขั้นตอนต่าง ๆ อย่างชัดเจน ซึ่งนอกจากจะลดปัญหาการคลาดเคลื่อนของปัญหาสารพิษตกค้างและโรคแมลงศัตรูพืชแล้ว ยังทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่สะดวกและรวดเร็วมากขึ้นด้วย หลักเกณฑ์การใช้เครื่องหมายรับรอง Q และ Q Premium กับสินค้าเกษตรและอาหาร จะกำหนดมาตรฐานและเงื่อนไขการตรวจรับรองเป็นรายสินค้า โดยในช่วงต้นจะดำเนินการใน 4 กลุ่มสินค้า ดังนี้ 1. กลุ่มสินค้าผักผลไม้ 2. กลุ่มธัญพืชและพืชอื่น ๆ 3. กลุ่มสินค้าประมง และ 4. กลุ่มสินค้าเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยต่ออาหารที่จะส่งออกไปยังต่างประเทศและที่ผ่านมา มกอช. ทำหน้าที่เป็น CB ให้การรับรอง GMP/HACCP แก่โรงงานต่าง ๆ จำนวนทั้งสิ้น 147 โรงงาน มกอช. ได้จัดทำมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของประเทศและกระบวนการรับรองผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นเกษตรอินทรีย์เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคจำนวน 2 ฉบับ โดยยึดหลักมาตรฐานสากลที่มีลักษณะเป็นกลางของ Codex คือ มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ เล่ม 1 : การผลิต แปรรูป แสดงฉลากและจำหน่ายเกษตรอินทรีย์ (มกอช. 9000-2546) และมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ เล่ม 2 : ปศุสัตว์อินทรีย์ (มกอช. 9000-2547) นอกจากนี้ทาง มกอช. จะยังดำเนินการรับรองระบบงาน (Accreditation) ด้านเกษตรอินทรีย์แก่หน่วยรับรองด้านสินค้าเกษตรและอาหารให้เป็นที่ยอมรับระดับสากล มีสำนักรับรองมาตร ฐานสินค้าและระบบคุณภาพ (สรม.) ในฐานะหน่วยรับรองระบบงาน(Accreditation Body : AB) เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการให้การรับรองหน่วยรับรองด้านสินค้าเกษตรและอาหาร (Certification Body : CB) โดยหน่วยรับรองที่จะขอรับการรับรองจะต้องปฏิบัติตามมาตรฐานสากลว่าด้วยข้อกำหนด ทั่วไปสำหรับหน่วยรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ ISO/IEC Guide 65 : 1996 และจะต้องตรวจรับรองตามเกณฑ์มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของ มกอช. หรือมาตรฐานที่หน่วยรับรองยื่นขอการรับรอง ทั้งหมดถือเป็นความคืบหน้าของมาตรฐานสินค้าเกษตรไทย ซึ่งกำลังเป็นที่จับตามมองของประชาคมโลกและผู้บริโภคในโลกแห่งความปลอดภัยอาหาร. (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 24 พ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





พลังงานวางแผน ผุดโรงไฟฟ้าใหม่ หลัง 54 ปีละ 2 โรง

นายวิเศษ จูภิบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเปิดเผยภายหลังเข้าพบพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่า ได้รายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบถึงการปรับโครงสร้างการใช้และจัดหาพลังงานของประเทศระยะ 15 ปีข้างหน้า ซึ่งมีแผนการสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มหลังปี 2554 ปีละ 2 โรง กำลังการผลิตโรงละ 700 เมกะวัตต์ มูลค่าการก่อสร้าง 40,000 ล้านบาทต่อ 1 โรงไฟฟ้า โดยยืนยันว่า มาตรการประหยัดพลังงานของรัฐบาลได้ผล เพราะอัตราการเพิ่มการใช้พลังงานชะลอลง จึงตั้งเป้าหมายใหม่ให้การใช้พลังงานกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจเกิดความสมดุล ส่วนแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่มีการคาดการณ์ว่าจะสูงถึง 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ราคาน้ำมันขณะนี้ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ความต้องการชะลอตัวลง ประกอบกับประเทศต่างๆ มีการสำรองน้ำมันมากขึ้น จึงคาดว่าราคาน้ำมันตลาดโลกจะอยู่ที่ 50-55 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หรือลดลงกว่านั้น (สยามรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 24 พ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





ผุดไอเดียฮือฮา “ดูดทรายทะเล” แก้น้ำท่วมเวนิช

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า คณะกรรมการด้านวิศวกรและนักภูมิศาสตร์จากมหาวิทยาลัยปาดัว เตรียมเสนอแผนแก้ปัญหาน้ำท่วมเมืองเวนิชด้วยวิธีพิศดาร โดยจะดูดน้ำทะเลจำนวนมากเพื่อใช้ทรายจากทะเลช่วยยกระดับความสูงของเมือง หรือเฉลี่ย 30 ซม.ภายในระยะเวลา 10 ปี โดยแผนนี้จะถูกเสนอต่อนายกเทศมนตรีกรุงเวนิชซึ่งจะเป็นผู้พิจารณาว่าจะอนุมัติหรือไม่ ปัจจุบันกรุงเวนิชกำลังเผชิญปัญหาพื้นที่เมืองลดสู่ระดับน้ำทะเลเรื่อยๆ สาเหตุจากระดับในทะเลอาเดรียติกที่เพิ่มขึ้นสูง รวมทั้งคลื่นน้ำทะเลที่เพิ่มถี่ขึ้น และไอเดียใช้ทรายทะเลยกระดับเมืองเวนิชนับเป็นไอเดียล่าสุดในการแก้ปัญหาน้ำท่วมเมืองเวนิช หลังจากมีการเสนอโครงการสร้างประตูกันน้ำท่วมเมืองของรัฐบาลซึ่งต้องใช้งบประมาณสร้างถึง 2,900 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ไอเดียนี้จะใช้งบประมาณเพียง 68 ล้านดอลลาร์ โดยคณะผู้เชี่ยวชาญเจ้าของไอเดียระบุว่าวิธีนี้จะช่วยให้เมืองเวนิชคืนสู่ระดับความสูงเกือบเท่าปกติเหมือนในช่วง 300 ปีก่อน อย่างไรก็ตามไอเดียนี้ยังปรากฎว่าถูกผู้เชี่ยวชาญบางกลุ่มวิจารณ์ว่า เป็นไอเดียพิศดารเลียนนิยายวิทยาศาสตร์ และยากจะปฎิบัติได้จริง ( สยามรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 24 พ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





"เอฟเอโอ"ยกเครื่องใหม่ ตรวจ"จีเอ็มโอ"ในเอเชีย

ดร.บรรพต ณ ป้อมเพชร ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางชีวภาพ องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ(เอฟเอโอ) ภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิก เปิดเผยว่า ขณะนี้เอฟเอโอทำโครงการสร้างสมรรถภาพด้านความปลอดภัยทางชีวภาพของพืชดัดแปลงพันธุกรรม(จีเอ็มโอ) ในทวีปเอเชียขึ้น ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น มีประเทศสมาชิกเข้าร่วม 10 ประเทศ ประกอบด้วย บังกลาเทศ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา ไทย และเวียดนาม ตั้งเป้าจะสร้างประสิทธิภาพและสมรรถภาพให้ประเทศต่างๆ ในเรื่องการตรวจสอบพืชจีเอ็มโอ เน้นการประเมินและจัดการความเสี่ยง มุ่งให้สาธารณชนมีส่วนร่วม ในส่วนการจัดการแบ่งเป็น 4 ระดับ คือ ระดับ 1 กลุ่มที่ไม่มีอันตรายเลยหรืออันตรายน้อยมาก เช่น ถั่วเหลือง ฝ้าย ข้าวโพด และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ระดับ 2 เสี่ยงปานกลาง เช่น มะละกอจีเอ็มโอของไทย และระดับ 3 และระดับ 4 จะมีความเสี่ยงสูงมาก ทุกประเทศต้องมีหลักเกณฑ์และวิธีจัดการความเสี่ยงแต่ละระดับที่เป็นแบบแผน ขณะเดียวกันยังต้องมีขั้นตอนการประเมินความเสี่ยงด้วย ทั้งความเสี่ยงต่อสภาพแวดล้อม ถ้าใช้เป็นอาหารต้องประเมินด้านความปลอดภัย และผลกระทบต่อสุขอนามัย และมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มายืนยัน ไม่ใช่ยึดเอาความเชื่อเป็นหลัก (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 24 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





ผู้ดีติดระบบสอดส่อง "ทะเบียนรถ"ทั่วปท.!

ตำรวจอังกฤษเตรียมใช้ "ระบบจดจำและตรวจสอบป้ายทะเบียนรถยนต์อัตโนมัติ" หรือ "เอเอ็นพีอาร์" (Automatic Number Plate Recognition) คอยสอดส่องความเคลื่อนไหวของรถยนต์ที่วิ่งบนทางหลวงทั่วประเทศ ระบบเอเอ็นพีอาร์ติดตั้งอยู่ในรถตู้ ซึ่งจอดอยู่ตามทางหลวงทั่วอังกฤษนับตั้งแต่เดือนเมษายนไปจนถึงสิ้นปีพ.ศ.2549 เทคโนโลยีชนิดนี้ประกอบด้วยกล้องบันทึกภาพและระบบประมวลผลคอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่คอยบันทึกตัวเลขป้ายทะเบียบรถยนต์ที่วิ่งผ่านไปมา คาดว่าระบบๆ นี้จะทำให้ตำรวจคอยสอดส่องความเคลื่อนไหวของรถยนต์ได้ถึง 50 ล้านคัน วัตถุประสงค์ของเอเอ็นพีอาร์เพื่อป้องกันไม่ให้อาชญากรใช้รถยนต์เป็นพาหนะในการหลบหนีได้ง่ายๆ ทั้งยังใช้ในการสอดส่องรถยนต์ที่ไม่จ่ายค่าธรรมเนียมภาษีประจำปี และใช้ติดตามดูความเคลื่อนไหวของรถยนต์ของผู้ต้องสงสัยในคดีก่อการร้าย (ข่าวสด พฤหัสบดีที่ 24 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





เรือยูนิไวส์ชลบุรีฝีมือคนไทยลำแรก

นายสตีเฟ่น ดับเบิลยู กรีน กรรมการผู้จัดการหน่วยธุรกิจเอเชียทางตอนใต้ บริษัทเชฟรอน ออฟชอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เชฟรอนได้ว่าจ้างบริษัท ยูนิไวส์ ออฟชอร์ จำกัด ให้เป็นผู้ต่อเรือดันจูงอเนกประสงค์ (MOTT) ประจำแท่นผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล จนเป็นผลสำเร็จโดยเป็นเรือลำแรกที่ต่อในประเทศไทยโดยคนไทย และตั้งชื่อเรือดังกล่าวว่า “ยูนิไวส์ชลบุรี” ซึ่งจะส่งมอบให้เชฟรอนในเดือน ม.ค.ปีหน้า นายเชิดพงษ์สิริวิชช์ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การก่อสร้างเรือยูนิไวส์ชลบุรีที่ต่อขึ้นโดยฝีมือคนไทยจนเป็นผลสำเร็จ ถือว่า เป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมปิโตรเลียมไทยและการประสานความร่วมมือระหว่างเชฟรอนกับยูนิไวส์ฯ ในครั้งนี้จะช่วยขับเคลื่อนเพิ่มขีดความสามารถคนไทย และทำให้เกิดความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีการสำรวจและการผลิตปิโตรเลียมกลางทะเลให้พัฒนาต่อไป รวมทั้งยังช่วยให้เกิดการสร้างรายได้และภาษีให้กับประเทศไทยอีกทางหนึ่งด้วย นายอาทิตย์ ประทุมสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิไทยชิปยาร์ด แอนด์ เอนจิเนียริ่ง กล่าวว่า บริษัททำหน้าต่อเรือยูนิไวส์ชลบุรีโดยออกแบบเป็นพิเศษเพื่อรองรับการปฏิบัติงานกลางทะเลด้วยฝีมือคนไทยเป็นลำแรกและสามารถสร้างเสร็จภายใน 14 เดือน (สยามรัฐรายวัน เสาร์ที่ 26 พ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





นักวิทยาศาสตร์ยุโรปเผย มลพิษสูงสุดใน6.5แสนปี

ผลการศึกษาจากนักวิทยาศาสตร์ยุโรปที่ตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน เผยระดับของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซพิษตัวการที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนในปัจจุบันสูงขึ้นถึง 27 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับระดับเมื่อ 650,000 ปีก่อน ทั้งนี้ ผลการพิสูจน์ดังกล่าวมาจากการเจาะเข้าไปในแกนน้ำแข็งที่อยู่ลึกที่สุดในโลก ทางตะวันออกของทวีปแอนตาร์กติกา หรือที่เรียกว่า โดม คอนคอร์เดี(โดม ซี) เพื่อศึกษาปริมาณก๊าซคาร์บอนที่สะสมอยู่ในแกนน้ำแข็งดังกล่าวเมื่อ 650,000 ปีก่อน ข่าวระบุว่า การศึกษาดังกล่าวเป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะต้องเดินทางไกลนับพันกิโลเมตรท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นในอุณหภูมิติดลบถึง 54 องศาเซลเซียส เพื่อนำชิ้นน้ำแข็งจากแกนลึกสุดมาศึกษา (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 26 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





ข่าววิจัย/พัฒนา


คิดยายืดผมหยิกให้เหยียดได้ ยาย้อมผมสูญพันธุ์แน่

นักวิทยาศาสตร์ของบริษัทเครื่องสำอางลอเรล ได้ศึกษารู้ได้ว่ารากของผมเส้นที่เหยียดตรงกับเส้นที่หยิกเป็นลอนต่างกันอย่างไร จากการ ทดลองปลูกผมในห้องปฏิบัติการในเมืองคลิชี่ รู้ว่าผมจะมีรากหยั่งลึกลงในกะโหลกศีรษะประมาณ 4 มม.นั้น หากเป็นผมเส้นที่เหยียดเป็นเส้นตรงรากก็จะตรง และหากเป็นเส้นที่หยิกรากก็จะคดมาตั้งแต่แรก “เมื่อผมงอกมาพ้นหนังศีรษะ ลำต้นเส้นผมก็จะคงรักษาทรงของมันไว้” นายบรูโน เบอนาร์ด หัวหน้านักชีววิทยา ของบริษัทกล่าวว่า “มันขึ้นอยู่กับถุงรากผม หากถุงรากผมงอ ผมก็จะหยิก” นับเป็นความก้าวหน้า กว่าที่เราจะรู้ว่าผมหยิกอย่างไร เขากล่าวด้วยว่า แต่ยังจะต้องค้นหาแม่สวิตช์ที่ควบคุมแบบรูปร่างของถุงรากผมให้ได้ ถึงจะคิดถึงหนทางที่จะเปลี่ยนสีผมด้วยฮอร์โมนหรือยากันได้ พอจะมีหนทางทางชีววิทยา ที่จะทำให้ผมหยิกกลายเป็นผมเหยียด หรือในทางกลับกันกันได้แล้ว (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 21 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





“ธนาคารขยะ-ถ่านให้พลังงาน”

โครงการพัฒนานักวิจัยรุ่นเยาว์ ของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เป็นอีกเวทีที่เปิดโอกาสให้นักเรียนรู้จักการตั้งคำถาม ทดลองหรือพิสูจน์หาคำตอบ ถึงขั้นวิเคราะห์สรุปผล เกิดเป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยนักวิจัยรุ่นเยาว์ รองศาสตราจารย์สุชาตา ชินะจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายสวัสดิภาพสาธารณะ สกว. กล่าวว่า โครงการนี้เป็นเวทีของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้กับนักวิจัยรุ่นเยาว์ ตั้งแต่เรื่องการเขียนข้อเสนอโครงการ การเก็บข้อมูล การเขียนรายงานสรุป และการนำเสนอต่อที่ประชุม ทำให้เด็กๆ ได้รู้จักความสำคัญของการสื่อความหมาย สามารถสรุปการทำงานอย่างมีเหตุผลเนื่องจากเกิดการลงมือปฏิบัติจริง ทำให้เข้าใจได้ลึกซึ้ง นอกจากจะเรียนรู้ทางวิชาการแล้ว ยังฝึกความกล้า ให้นักเรียนได้เห็นสิ่งที่ตนควรนำไปพัฒนา ได้มิตรภาพ ได้เพื่อนต่างโรงเรียน ต่างถิ่นต่างศาสนา และการติดตามส่งเสริมความรู้ความสามารถของนักเรียนนี้ไม่ได้ดูเฉพาะที่ผลงานสุดท้ายเท่านั้น แต่จะติดตามดูการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตัวนักเรียนไปด้วย “ธนาคารขยะ” หนึ่งในผลงานของวิจัยรุ่นเยาว์ ที่ช่วยลดปริมาณกระดาษ จากไอเดียของนักเรียนโรงเรียนลานสกาประชาสรรค์ จ.นครศรีธรรมราช นอกจากนั้นยังทำให้นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการ มีรายได้จากการขายกระดาษเหลือทิ้งเหล่านี้ และทำให้เพื่อนๆ ในโรงเรียนเกิดจิตสำนึกในการช่วยกันรักษาความสะอาด อีกหนึ่งโครงการที่น่าสนใจ “ถ่านพลังงาน” ที่มีควัน คราบเข่มและขี้เถ้าน้อยโดยกลุ่มนักวิจัยรุ่นเยาว์ จาก โรงเรียนภูเวียงวิทยาคม จ.ขอนแก่น โครงการนี้ค่อนข้างใหญ่ เพราะต้องสร้างเตาเผาถ่านพลังงาน และศึกษาปริมาณถ่านที่ได้ โดยเปรียบเทียบประสิทธิภาพถ่านไม้กระถินยักษ์ ซึ่งสาเหตุที่ใช้ไม้กระถินเนื่องจากมีอยู่ในท้องถิ่นจำนวนมาก กลุ่มนักวิจัยรุ่นเยาว์ จะแบ่งงานกัน ตั้งแต่ออกไปสำรวจและตัดไม้กระถิน เป็นขนาด 80 ซม.และนำไปผึ่งแดด 14 วัน จากนั้นจึงบรรจุไม้ให้เต็มเตา โดยเตาเผาถ่านนี้ ทีมวิจัยได้ดัดแปลงทำจากถังน้ำมันที่มีปริมาณ 200 ลิตร และเรียงไม้จากไม้ที่เล็กที่สุดไปถึงไม้ท่อนใหญ่ที่สุดบรรจุไว้ในเตา โดยปริมาณไม้ได้ 78 กก. ก็จะได้ถ่าน 17 กก.และจะใช้เวลาอบถ่านราว 8 ชั่วโมง “เราต้องการเปรียบเทียบ กับเตาเผาถ่านแบบอุโมงค์ดั้งเดิมที่ชาวบ้านใช้กัน โดยศึกษาปัจจัยต่างๆ เช่น ระยะเวลาในการติดไฟ ปริมาณควันขณะไฟติด ความร้อนจากถ่านที่ทำให้อุณหภูมิของน้ำเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ ตลอดจนคราบเขม่าที่ติดภาชนะ ระยะเวลาที่ถ่านให้ความร้อน และปริมาณขี้เถาจากการเผาไหม้ ซึ่งงานวิจัยนี้สรุปได้ว่า คุณสมบัติของถ่านจากเตาเผาถ่านพลังงานที่ทีมวิจัยคิดขึ้น จะมีควันน้อย มีคราบเขม่าและขี้เถาน้อย ซึ่งจะเป็นคุณสมบัติที่ดีของถ่านไม้” นอกจากนี้ทีมวิจัยรุ่นเยาว์ ยังสามารถดักเก็บน้ำส้มควันไม้ ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการเผาไม้นำมาใช้ประโยชน์ได้อีกด้วย เช่น น้ำส้มควันไม้ 100% จะนำไปรักษาแผลสด หรือถ้าผสมน้ำ 20 เท่าจะใช้ในการรดผักและป้องกันแมลง อีกทั้งยังมีถ่านที่เป็นเศษเหลือทิ้งที่ไม่สามารถใช้งานได้ แต่ทีมวิจัยได้นำมาเศษเหลือทิ้งเหล่านั้นมาบดให้ละเอียดและผสมกับแป้งมัน นำไปใส่บล็อกเป็นรูปต่างๆ เช่น ได้เป็นถ่านรูปผลไม้ รูปหัวใจ เพื่อที่จะได้เป็นก้อนถ่านนำกลับมาใช้ได้ใหม่ ทำให้ได้ใช้ประโยชน์จากไม้อย่างคุ้มค่า (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 21 พ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





ม.คอร์แนลเยือนไทยย้ำจุดดีมะละกอจีเอ็ม

นักวิจัยผู้พัฒนามะละกอจีเอ็มต้านไวรัสจุดวงแหวนเยือนไทย ยืนยันจุดดีของมะละกอจีเอ็มทั้งปลอดภัยต่อผู้บริโภคและพันธุ์พื้นเมือง ดร.เดนนิส กอนซัลเวส ผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยทางการเกษตรแห่งมหาสมุทรแปซิฟิก กระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา ผู้เชี่ยวชาญการดัดแปลงพันธุกรรมมะละกอที่รัฐฮาวาย เปิดเผยว่า ตามที่หลายคนเข้าใจว่ามะละกอตัดต่อพันธุกรรมต้านไวรัสจุดวงแหวนเป็นพืชอันตราย แต่ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้น เนื่องจากกว่า 6 ปีที่ผ่านมา ที่ฮาวายยังไม่เคยได้รับรายงานการป่วยหรือตายเพราะการกินมะละกอจีเอ็ม นอกจากนี้ การปลูกมะละกอจีเอ็มไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพันธุ์มะละกอพื้นเมือง แต่กลับส่งผลดีต่อพันธุ์พื้นเมือง เพราะมะละกอจีเอ็มที่ปลูกร่วมกันจะไม่มีเชื้อโรคแพร่ไปต้นอื่น รศ.รศนา วงศ์รัตนชีวิน ภาควิชาชีวะเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า นับถึงวันนี้ยังไม่มีอะไรยืนยันว่า การบริโภคมะละกอจีเอ็มเป็นอันตรายต่อชีวิต ผศ.เพชรรัตน์ ธรรมเบญจพล คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า ปัจจุบันยอมรับว่า การตัดต่อพันธุกรรมมะละกอเพื่อป้องกันโรคจุดวงแหวนเป็นวิธีการที่ดีที่สุด และเห็นผลชัดเจน หากจะใช้ทางเลือกอื่นอย่างการใช้สายพันธุ์ต้านทางโรคตามธรรมชาติ ที่ผ่านมาก็ไม่สามารถแก้ปัญหาโรคจุดวงแหวน จึงนับว่ามะละกอที่ได้รับการตัดต่อพันธุกรรมต้านไวรัสจุดวงแหวน เป็นทางเลือกดีที่สุดของเกษตรกรในปัจจุบัน ขณะที่นางสาวภัสน์วจี ศรีสุวรรณ ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านพันธุวิศวกรรม กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวถึงเวทีประชุมครั้งนี้ของกรมวิชาการเกษตรกับสหรัฐอเมริกาว่า เป็นเพียงการเดินสายโปรโมทข้อดีของมะละกอจีเอ็มเท่านั้น โดยที่ผ่านมากรมยังไม่ได้เปิดเผยให้สาธารณชนได้ทราบว่า ระหว่างประเทศไทยและสหรัฐ มีการแบ่งปันผลประโยชน์กันอย่างไร รวมทั้งการร่างบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกรมวิชาการ





นักชีววิทยาส่งหูฉลามเทียมขึ้นเหลา

ผศ.ดร.มาริสา จาตุพรพิพัฒน์ ภาควิชาชีววิทยาประยุกต์ คณะวิทยาศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เปิดเผยว่า สามารถพัฒนาสูตรผลิตหูฉลามไบโอได้สำเร็จแล้ว โดยเนื้อสัมผัสและรูปร่างของผลิตภัณฑ์ที่ได้ไม่แตกต่างจากหูฉลามของจริง และยังมีคุณค่าอาหารมากกว่าด้วย ปัจจุบัน ปลาฉลามหายากมากและราคาแพง นักชีววิทยาจากสจล. จึงเกิดแนวคิดพัฒนาหูฉลามไบโอขึ้นมาทดแทน โดยใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติที่สามารถสร้างให้มีลักษณะใกล้เคียงกับครีบปลาฉลาม ได้แก่ เจลาติน และโซเดียมอัลจิเนต นำมาทำปฏิกิริยากัน จากนั้นนำมาฉีดผ่านหลอดฉีดเพื่อให้ออกมาเป็นเส้นหูฉลาม ซึ่งมีลักษณะหัวมนท้ายแหลม เมื่อได้มาแล้วก็นำไปแช่ในสารละลายทำให้แข็งตัว นำไปล้างน้ำ และแช่ในสารละลายสีเพื่อปรับสีให้ได้ตามที่ต้องการ สามารถนำไปปรุงซุปได้ทันที นอกจากนี้ ยังใส่สาหร่ายสีน้ำเงิน และเติมโอเมก้า 3 เข้าไปด้วย เพื่อให้ได้สารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากขึ้น ส่วนต้นทุนการผลิตของหูฉลามไบโอ จะอยู่ที่กิโลกรัมละประมาณ 1 พันกว่าบาท ขณะที่ของจริงจะสูงถึงกิโลกรัมละหมื่นกว่าบาท หรือแพงกว่านั้น หูฉลามไบโอที่ได้ออกมานี้ ยังจำกัดอยู่เฉพาะในรูปของสด จึงไม่สามารถบอกได้ว่าหากนำไปผ่านกระบวนการให้แห้งแล้ว คุณค่าทางอาหาร และการคงรูปจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ตอนนี้จึงเหมาะกับการนำไปปรุงอาหารชนิดพร้อมรับประทานได้ทันที โดยกำลังการผลิตในปัจจุบันใช้แรงงานคนทำได้ประมาณ 2 กิโลกรัม แต่กำลังออกแบบเครื่องมือที่จะใช้ผลิตแทนแรงงานคน คาดว่าเดือนมีนาคมปีหน้าแล้วเสร็จ (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 21 พ.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





นักวิทย์แปลงเชื้อแบคทีเรียสู้เอดส์

นักวิทยาศาสตร์สหรัฐจับแบคทีเรียมาดัดแปลงใส่เข้าไปในร่างกายมนุษย์ให้ผลิตสารเคมีสกัดกั้นเชื้อเอชไอวี ซึ่งเป็นตัวการของโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นความหวังที่จะนำไปสู่การค้นพบวิธีการใหม่เพื่อรับมือกับโรคเอดส์ สถาบันมะเร็งแห่งสหรัฐ ได้ศึกษาพบว่า การแพร่เชื้อเอชไอวีจากผู้ติดเชื้อไปยังผู้อื่น ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นบริเวณผิวบนของลำไส้และอวัยวะในการให้กำเนิด เช่น มดลูก ซึ่งปกติจะเคลือบด้วยชั้นของแบคทีเรีย นักวิจัยจึงเกิดความคิดที่จะเอาแบคทีเรียเหล่านี้มาดัดแปลงพันธุกรรม เพื่อให้สร้างสารเคมีที่เอาไว้ขัดขวางเชื้อเอชไอวีไม่ให้เข้ามาโจมตีเซลล์ ในการทดลองพวกเขาได้เอาแบคทีเรียที่แก้ไขพันธุกรรมแล้วใส่เข้าไปในตัวหนู เมื่อเข้าไปแล้วแบคทีเรียเพิ่มจำนวนมากมายบริเวณปลายลำไส้ สำหรับวิธีการใหม่ที่สถาบันมะเร็งสหรัฐคิดค้นนี้ เชื่อว่าจะป้องกันได้ในระยะเวลาที่นานขึ้น นอกจากนี้ ข้อดีของการคิดเทคนิคใช้แบคทีเรียต้านเอดส์คือ แบคทีเรียสามารถผลิต เก็บ แจกจ่าย และดูแลได้ง่าย และมีราคาถูกกว่าครีมทาช่องคลอดต้านเอดส์ และยังเชื่อมั่นว่า พวกเขาสามารถดัดแปลงให้แบคทีเรียสามารถขับสารเคมี หรือโปรตีนชนิดอื่นให้กับอวัยวะส่วนอื่นของร่างกายได้ด้วย เจ้าหน้าที่จากองค์การอนามัยโลก แสดงความเห็นว่า เทคนิคดังกล่าวน่าสนใจอย่างยิ่ง แต่ยังคงต้องรอการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อให้แน่ใจว่า เจ้าพวกแบคทีเรียดัดแปลงพันธุกรรมที่ไปเติบโตและสร้างอาณาจักรในร่างกาย จะไม่ส่งผลข้างเคียงต่อระบบย่อยอาหารในร่างกาย (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 21 พ.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





เครือข่ายนักวิจัยคิดค้น'พลาสติกชีวภาพ'

ดร.อรรถวิท เตชะวิบูลย์วงศ์ ผู้ประสานงานโครงการพลาสติกชีวภาพ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) หน่วยงานสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า สำนักงานสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือด้านการทำวิจัยและพัฒนาระหว่างเอกชน ภายใต้การดำเนินงานของชมรมพลาสติกชีวภาพไทย และสถาบันวิจัยต่างๆ เพื่อพัฒนาพลาสติกชีวภาพให้เกิดได้จริงในประเทศ พร้อมร่างเป็นมาตรฐานเพื่อรับมือหากนานาชาติยุติการใช้พลาสติกที่ย่อยสลายไม่ได้ โครงการดังกล่าวแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ซื้อสูตรพลาสติกชีวภาพ (พีแอลเอ) มาทดลองขึ้นรูปกับเครื่องจักรที่มีอยู่ในประเทศ (6 เดือน) ระยะที่ 2 พัฒนาสูตรพลาสติกขึ้นมาเอง (1 ปี) และระยะที่ 3 จะพัฒนาเม็ดเรซินพีแอลเอบริสุทธิ์ให้ได้ (3-5 ปี) ขณะนี้โครงการในระยะที่หนึ่งเสร็จสมบูรณ์แล้ว พบว่าหลังจากซื้อสูตรพลาสติกพีแอลเอมาขึ้นรูปกับเครื่องจักรที่มีอยู่ในประเทศ สามารถใช้การได้ดี และพร้อมจะเดินหน้าระยะสอง ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ในระยะที่สองจะดำเนินการพัฒนาสูตรเม็ดพลาสติกชีวภาพขึ้นมาเอง เพื่อลดต้นทุนการผลิต เนื่องจากการสั่งซื้อเม็ดเรซินพีแอลเอ ซึ่งผลิตจากข้าวโพดของบริษัท คาร์กิลดาว ในสหรัฐ ผู้ผลิตเพียงแห่งเดียวในโลกนั้น มีราคาแพงมาก ตกกิโลกรัมละ 2 ดอลลาร์ โดยต้องสั่งซื้อในปริมาณมากจึงจะได้ในราคาดังกล่าว สำหรับในระยะที่สอง สนช.จะจับคู่เอกชนในชมรมพลาสติกชีวภาพไทย 5 แห่ง กับสถาบันวิจัยในไทยอีก 5 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) โดยจะช่วยกันพัฒนาสูตรขึ้นมาเอง ให้เหมือนกันที่ญี่ปุ่นทำอยู่ในขณะนี้ คือไม่ได้ผลิตเม็ดเรซินบริสุทธิ์ด้วยตนเอง แต่จะนำเรซินมาผสมกับวัสดุชีวภาพอื่นๆ เพื่อสร้างเป็นสูตรผลิตหลอด ถุง หรือถ้วย ตามต้องการ ส่วนในระยะที่สาม ซึ่งเป็นแผนระยะยาว 3-5 ปี สนช.จะสนับสนุนให้เกิดการผลิตเม็ดเรซินจากมันสำปะหลังได้เอง โดยจะจับมือกับผู้ผลิตวัตถุดิบ เช่น มันสำปะหลัง และผู้ผลิตกลูโคสโดยตรง ภายใต้ความร่วมมือกับนักวิจัยไทย อาจเป็นเอ็มเทค และศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ความยากของโครงการวิจัยระยะสาม อยู่ที่การปรับปรุงพันธุ์เชื้อจุลินทรีย์ให้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการผลิตโพลีแลคติก หรือพลาสติกชีวภาพออกมาให้ได้ เพราะขั้นตอนการแปลงแป้งให้เป็นน้ำตาล และจากน้ำตาลให้เป็นกรดแลคติกนั้น ทีมวิจัยสามารถทำได้แล้ว แต่ยังไม่สามารถนำกรดแลคติกมาต่อสายเป็นโพลีแลคติก และมีเพียงคาร์กิลดาวรายเดียวเท่านั้นที่ทำได้ในปัจจุบัน (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 21 พ.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com)





ยิวผลิตเครื่องจับเท็จ ป้องกันภัยสนามบิน

บริษัทเนเมซิสโก ประเทศอิสราเอล คิดค้นเครื่องจับเท็จรุ่น "จีเค-1" สำหรับติดตั้งในสนามบิน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและป้องกันกลุ่มสลัดอากาศและกลุ่มลักลอบขนยาเสพติด ขณะนี้กำลังทดสอบการใช้งานของเครื่องต้นแบบที่สนามบินกรุงมอสโก รัสเซีย อามีร์ ลิเบอร์แมน ผู้บริหารเนเมซิสโก เปิดเผยว่า เครื่องจีเค-1 แตกต่างจากเครื่องจับเท็จโดยทั่วไป เพราะล้วงลึกเขาไปถึงการสื่อสารทางกายภาพ หรือ "น้ำเสียง" ของคนเรา โดยมีวิธีการทำงานคือต้องให้ผู้โดยสารสวมหูฟังและตอบคำถามว่ามีแผนจะทำอะไรผิดกฎหมายหรือไม่ ด้วยคำว่า "yes" (ใช่) หรือ "no" (ไม่ใช่) ใส่ไมโครโฟน จากนั้นโปรแกรมคอมพิวเตอร์จะจับความสั่นไหวที่ไม่สามารถควบคุมได้ในน้ำเสียงของผู้พูดที่จะเกิดขึ้นต่อเมื่อโกหกหรือมีสิ่งปิดบังโฆษกสนามบินมอสโกกล่าวว่า จากการทดสอบพิสูจน์ให้เห็นว่าเครื่องจับเท็จดังกล่าวมีประสิทธิภาพที่ดีและทางสนามบินกำลังอยู่ในกระบวนการทำสัญญากับทางเนเมซิสโก ทั้งนี้ คาดว่าเครื่องจีเค-1 จะวางขายในตลาดราคา 400,000-1,200,000 บาท (ข่าวสด จันทร์ที่ 21 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





รถยนต์ไฟฟ้า

รถยนต์นั่งพลังงานไฟฟ้า 4 ที่นั่ง สัญชาติฟิลิปปินส์ ของค่ายผู้ผลิตรถยนต์ "คาสเท็ค" อวดโฉมในงานแสดงนิทรรศการ "ประดิษฐกรรมแหล่งพลังงาน" ในกรุงมะนิลา สามารถรับพลังงานทั้งจากแหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้าภายนอกหรือเครื่องชาร์จแบตเตอรี่ เมื่อชาร์จแบตเตอรี่หนึ่งครั้งวิ่งได้นาน 8 ชั่วโมง ทำความเร็วสูงสุด 30 กิโลเมเตรต่อชั่วโมง (ภาพ-เอเอฟพี) (ข่าวสด จันทร์ที่ 21 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





มก.สุดเจ๋ง ผุดเครื่องสแกนลายม่านตา

“ระบบสแกนลายม่านตา” เป็นผลงาน ของทีมอาจารย์-นิสิต ห้องปฏิบัติการประมวลผลสัญญาณและภาพเกษตรศาสตร์ หรือ KSIP Lab โดยมี ดร.สมหญิง ไทยนิมิตร อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ เป็นหัวหน้าทีมวิจัย ผศ.ดร.วุฒิพงษ์ อารีกุล หัวหน้าโครงการระบบไบโอเมตริกและประมวลผลภาพดิจิตอล และนักศึกษาระดับปริญญาโท ประกอบด้วยนายกิตติพล โหราพงษ์, นายพรีณัฏฐ์ทูลแสงงาม และนายจิรยุทธ ศรีชลเพชร์ ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งร่วมกันวิจัย และคิดค้นระบบสแกนลายม่านตา มาตั้งแต่ปี 2545 ดร.สมหญิง หัวหน้าทีมวิจัย เปิดเผยว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีการตรวจสอบอัตลักษณ์ของบุคคลหรือที่เรียกว่า ไบโอเมตริก (Biometric) เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น มีการนำมาใช้งานด้านรักษาความปลอดภัย การเข้าถึงสถานที่หรือข้อมูลส่วนบุคคล การลงทะเบียนเวลาเข้าออก อาทิ การตรวจสอบลายนิ้วมือ ม่านตา หรือใบหน้า เทคโนโลยีที่ว่านี้มีความแม่นยำและลดความยุ่งยากในการจดจำรหัส หรือพกพากุญแจโดยเฉพาะการตรวจสอบผ่านม่านตา ถือได้ว่าเป็นระบบที่แม่นยำที่สุด เนื่องจากลายม่านตาของมนุษย์มีลักษณะเฉพาะตัว ไม่เปลี่ยนแปลงตามสภาพแวดล้อมและกาลเวลา และทำการปลอมแปลงได้ยาก จึงเหมาะในการนำมาใช้ระบบตัวบุคคล “ทีมวิจัยได้พัฒนาระบบนี้โดยอาศัย กล้องถ่ายวีดีทัศน์ (Camcorder) ที่สามารถทำงานในช่วงแสงใกล้อินฟราเรดได้ซึ่งมีขายในท้องตลาดเป็นตัวสแกนลายม่านตา และพัฒนาฮาร์ดแวร์ตรวจสอบระยะทางระหว่างใบหน้ากับกล้อง พัฒนาซอฟต์แวร์ตรวจหาดวงตาและเก็บภาพดวงตาอัตโนมัติ ซึ่งเมื่อทดลองบันทึกทางกายภาพของม่านตา แล้วลองตรวจสอบเข้ารหัสกับบุคคลในฐานข้อมูลจำนวน108 คน พบมีระบบมีความผิดพลาดอยู่ที่ 0.22% สำหรับเวลาที่ใช้ลงทะเบียนม่านตาไม่เกิน 2 วินาที และเวลาที่ใช้เปรียบเทียบระหว่างรหัสม่านตา เพียง 17มิลลิวินาทีเท่านั้น ซึ่งเครื่องต้นแบบสแกนลานม่านตานี้ ถูกนำมาทดลองใช้ในห้องปฏิบัติการ KSIP Lab เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพและความแม่นยำยิ่งขึ้น โดยคาดว่าจะสามารถนำออกแสดงในงาน “บนเส้นทางวิศวกรรม” ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2549” คงต้องพัฒนาเลนส์และกล้อง รวมทั้งระบบการจัดการฐานข้อมูลให้เหมาะสมกับงานที่จะนำไปใช้ ที่สำคัญคือต้องพัฒนาเรื่องของฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ที่นำมาใช้ด้วยเช่นกันเพื่อให้เป็นผลงานของคนไทยอย่างแท้จริง (สยามรัฐรายวัน อังคารที่ 22 พ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





ช่างเสริมสวยเสี่ยงเป็นหืดหอบ

ดร.กิอานนา มอสคาโต หัวหน้าหน่วยโรคภูมิแพ้และภาวะอักเสบ สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งปาเวีย ประเทศอิตาลี กล่าวว่า ปีที่แล้วเขาพบว่าช่างทำผมหลายรายมีปัญหาหอบหืด และจากการสังเกตดังกล่าวทำให้เขาสนใจศึกษาปัญหาหอบหืดที่เกิดกับช่างทำผม ทีมวิจัยได้เช็คประวัติผู้ป่วยระหว่างปี 2539-2547 พบว่า มีช่างเสริมสวย 47 ราย ซึ่งสัมผัสกับพวกน้ำยาย้อมผมมานานโดยเฉลี่ย 7 ปี และยังมีคนที่เข้ามาปรึกษากับทางสถาบันพร้อมกับโอดครวญถึงอาการแพ้และมีปัญหาระคายเคืองผิวหนัง เมื่อจับมาทดสอบอาการแพ้และตรวจสภาพการทำงานของปอดพบว่า ผู้ป่วยกว่าครึ่ง (ราวร้อยละ 51) มีปัญหาหอบหืด และร้อยละ 87.5 ของผู้ป่วยหอบหืดเป็นผลมาจากการสัมผัสกับเพอร์ซัลเฟตซอล์ต ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้กันทั่วไปสำหรับเป็นตัวกัดสี ส่วนคนไข้ที่เหลือมีอาการหอบหืดจากการใช้สีย้อมผมถาวรร้อยละ 8 และกาว ร้อยละ 4 นอกจากนี้ มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยทั่วไปที่วินิจฉัยว่าเป็นหอบหืด (ราวร้อยละ 54) พบว่ามีปัญหาอักเสบในเยื่อบุจมูกเกิดอาการระคายเคืองที่ตา จมูก และลำคอ เกิดจากสัมผัสเพอร์ซัลเฟตซอล์ต ร้อยละ 84.5 และราวร้อยละ 36 ของช่างทำผมที่เข้ามาปรึกษาปัญหากับสถาบันวินิจฉัยพบว่ามีอาการเยื่อบุจมูกอักเสบ (คมชัดลึก อังคารที่ 22 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





หุ่นยนต์อลวนค้นหาระเบิด ชูจุดเด่นเดินสะเปะสะปะตรวจครบทุกซอกมุม-ราคาถูก

รศ.ดร.ปิติเขต สู้รักษา ภาควิชาวิศวกรรมสารสนเทศ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เจ้าของโครงการระบบสื่อสารและควบคุมแบบชาญฉลาดสำหรับหุ่นยนต์อลวน เปิดเผยถึงความสำเร็จสร้างต้นแบบหุ่นยนต์กู้ระเบิด ที่มีประสิทธิภาพค้นหาวัตถุต้องสงสัยครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่กว่าตัวหุ่นยนต์ 300 เท่า โดยไม่จำเป็นต้องมีแผนที่กำกับเส้นทาง และจากการทดสอบพบว่าสามารถปักธงชี้จุดระเบิดได้ในเวลาเพียง 30 นาที สำหรับผลงานหุ่นยนต์กู้ระเบิดมีความแตกต่างจากหุ่นยนต์ทั่วไป เนื่องจากได้นำสัญญาณอลวน หรือเคออส (Chaos) มาใช้ในระบบสื่อสารและควบคุมหุ่นยนต์ ช่วยให้การเดินหรือเคลื่อนที่โดยไม่ซ้ำทาง ซึ่งต่างจากหุ่นยนต์ทั่วไปที่ถูกโปรแกรมให้เดินเป็นเส้นตรง จึงเกิดปัญหาเมื่อนำไปใช้ในพื้นที่จริง เพราะเมื่อพบสิ่งกีดขวางจะเปลี่ยนทิศทางการเดินทันที ทำให้ไม่ครอบคลุมทั่วทุกตารางนิ้ว การออกแบบวงจรภายในตัวของหุ่นยนต์ อาศัยเทคโนโลยีพื้นฐานทั่วไป โดยใช้เพียงแผงวงจรขนาดเล็กที่รูปแบบไม่ซับซ้อน ราคาไม่เกิน 200 บาท และยังทำให้หุ่นยนต์มีน้ำหนักเบาอีกด้วย ที่สำคัญหุ่นยนต์ที่ได้มานี้เหมาะที่จะใช้กับพื้นที่ที่ไม่มีแผนที่กำกับอย่างมาก ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยนรถตัดหญ้าให้เป็นหุ่นยนต์ และนักวิจัยกำลังทดลองกับเครื่องดูดฝุ่น โดยจะโปรแกรมให้หุ่นยนต์สามารถเคลื่อนที่ดูดฝุ่นได้แบบไม่ซ้ำทาง และ





หุ่นยนต์อวกาศ

ข้อดีของหุ่นยนต์บนอวกาศ คือไม่ต้องกินหรือดื่มและไม่มีการเจ็บป่วย แม้ว่าการออกแบบและการผลิตหุ่นยนต์ในอวกาศต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงและต้องใช้นักบินอวกาศที่มีความชำนาญ ในปัจจุบัน สำนักงานอวกาศยุโรป (อีเอสเอ) และหน่วยงานอวกาศหลายแห่งในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (อียู) เล็งเห็นถึงความสำคัญในการสร้างหุ่นยนต์ในอวกาศ จึงริเริ่มโครงการหุ่นยนต์สำรวจอวกาศ "ASTRA 2004" จิอันฟรังโก ไวเซนทิน หนึ่งในทีววิจัยของอีเอสเอ ระบุว่าปกติหุ่นยนต์ถูกนำมาใช้แทนมนุษย์ในการทำงานที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพสูง เช่น ใช้ในการประกอบรถยนต์ ระเบิด การเชื่อมท่อในทะเลลึก และโรงงานนิวเคลียร์ ในอวกาศหุ่นยนต์เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะสามารถจะทำงานแทนมนุษย์ในสภาพแวดล้อมที่อันตรายอย่างมาก และมีความยากลำบากในเรื่องของเวลา การดำรงชีวิต ของมนุษย์อวกาศ อีเอสเอตั้งเป้าหมายว่า ภารกิจหลักของหุ่นยนต์ในอวกาศ คือการทำหน้าที่สื่อสารในอวกาศ และทำงานแทนมนุษย์ (ข้อมูล : vcharkarn.com) (ข่าวสด อังคารที่ 22 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





"โสมใต้"โชว์ศักยภาพ ผู้นำโลกไอที-หุ่นยนต์

ระหว่างการประชุมประจำปีของผู้นำชาติสมาชิกกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ที่จัดขึ้นในเมืองปูซาน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลเกาหลีใต้ในฐานะ "ชาติเจ้าภาพ" ก็ใช้ประโยชน์จากจุดนี้ จัดนิทรรศการประชาสัมพันธ์ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีสื่อสารไอทีและหุ่นยนต์ของตัวเองแบบเต็มที่ หวังตอกย้ำภาพผู้นำผลิตภัณฑ์ไฮเทคระดับโลกแซงหน้า "ญี่ปุ่น" ในส่วนของ "หุ่นยนต์" รัฐบาลเกาหลีใต้กำลังทุ่มสรรพกำลัง รวมทั้งเม็ดเงินวิจัยเข้าไปอย่างต่อเนื่องผ่านหน่วยงาน "ศูนย์วิจัยหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์" (Homanoid Robot Research Center) โอ จุน-โฮ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแห่งนี้บอกกับนักข่าวเอพี ว่า เป้าหมายอันดับ 1 ของเกาหลีเรื่องหุ่นยนต์มุ่งไปที่การพัฒนาหุ่นยนต์ออกมาให้มีลักษณะและแสดงอารมณ์ได้ใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุด หนึ่งในกลุ่มหุ่นยนต์เด่นๆ ที่นำมาแสดงก็คือ รุ่น "ไอน์สไตน์ ฮูโบ" ส่วนหัวและใบหน้าของหุ่นลอกแบบมาจาก "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" นักวิทยาศาสตร์ระดับตำนาน มีจุดเด่นตรงที่ด้านในชั้นผิวหนังเทียมติดตั้ง "มอเตอร์" ถึง 31 ตัวเอาไว้ควบคุมกล้ามเนื้อเพื่อแสดงอารมณ์ เทคโนโลยีที่น่าสนใจที่เกาหลีนำมาโชว์อีกประเภท คือ "ดิจิตอล มีเดีย บรอดคาสติ้ง" (ดีเอ็มบี) ซึ่งคิดค้นขึ้นมาเพื่อให้ผู้ใช้ "มือถือ" ในแดนโสมสามารถเพลิดเพลินกับการรับชมรายการทีวีดิจิตอลและฟังเพลงดิจิตอลด้วยมือถือผ่านสัญญาณดาวเทียมโดยเฉพาะ และที่สำคัญเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้นำกลุ่มเอเปก ทดลองใช้เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงใหม่ล่าสุดที่เรียกว่า "ไวโบร" (WiBro) เป็นครั้งแรกในโลก "ไวโบร" เป็นบริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง หรือ บรอดแบนด์แบบไร้สาย 2.3 กิกะเฮิร์ตซ์ ซึ่งพัฒนาโดย "โคเรียเทเลคอม" (เคที) บริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์ฟิกซ์ไลน์รายใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ (ข่าวสด อังคารที่ 22 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





กระบี่จ้าง มอ.วิจัย รง.ไบโอดีเซล

นายสนธิ เตชานันท์ ผู้ว่าราชการ จ.กระบี่ เปิดเผยว่า จากการที่กระบี่เป็นจังหวัดแรกที่ปลูกปาล์มน้ำมันในประเทศและเป็นแหล่งผลิตปาล์มน้ำมันเป็นอันดับ 1 ของประเทศ โดยในปี 2547 มีพื้นที่เพาะปลูกรวม 8 แสนกว่าไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 48.33 ของประเทศ พื้นที่ดังกล่าวให้ผลผลิตแล้ว 7 แสนกว่าไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 86.36 และมติ ครม.เมื่อวันที่ 6 ก.ย.2548 ที่ จ.พังงา กำหนดให้ จ.กระบี่เป็นศูนย์กลางผลิตไบโอดีเซล ซึ่งสอดคล้อง กับยุทธศาสตร์การพัฒนา จ.กระบี่ที่กำหนดให้กระบี่เป็นเมืองแห่งปาล์มน้ำมัน (oil palm city) เพื่อให้บรรลุการเป็น oil palm city และ bio diesel ตามแผนยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ และทดแทนการ นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศตามนโยบายของรัฐบาล จ.กระบี่จึงได้อนุมัติงบประมาณจำนวน 20,000,000 บาท เพื่อศึกษาและพัฒนาโรงงานต้นแบบการผลิตไบโอดีเซลในเชิงพาณิชย์ ขนาดกำลังผลิต 10,000 ลิตร ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) ที่มีประสบการณ์และความชำนาญในเรื่องไบโอดีเซล ในการศึกษาออกแบบและพัฒนาโรงงานใช้งบประมาณจำนวน 18,500,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 9 เดือน ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จจังหวัดจะมอบให้ชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันกระบี่บริหารจัดการเพื่อจำหน่ายแก่เรือประมง เรือท่องเที่ยว และรถยนต์ภายในจังหวัดกระบี่ และโอกาสต่อไปจะร่วมมือกับกระทรวงพลังงาน การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ในการผลิตไบโอดีเซลในเชิงพาณิชย์ โดยให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กรมธุรกิจพลังงานกำหนด (ประชาชาติธุรกิจ 22 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/prachachart)





เยอรมันพบวิธีตรวจทางดีเอ็นเอ 7 ชม.รู้ผลไข้หวัดนก

บริษัทเยเนกัม โมเลกุลชีวภาพแห่งเยอรมัน แจ้งว่า ได้พัฒนาวิธีตรวจดีเอ็นเอ เพื่อตรวจพิสูจน์ ผู้ป่วยเป็นไข้หวัดนกเชื้อไวรัสพันธุ์ เอช 5 เอ็น 1 ได้สำเร็จ รู้ผลแน่นอนภายในเวลา 7 ชั่วโมงเท่านั้น แทนการตรวจด้วยการเพาะเชื้อที่ทำกันอยู่ ซึ่งจะต้องกินเวลานานหลายวัน บริษัทซึ่งมีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีของดีเอ็นเอ กล่าวรับรองว่า สามารถยืนยันผลการตรวจ ได้แนะนำ และด้วยวิธีการตรวจนี้ได้ ทำให้สามารถตรวจพบการติดเชื้อไข้หวัดนกในจีน รู้ได้โดยถูกต้องภายในเวลาอันรวดเร็ว เหมือนกับที่ได้ใช้ตรวจในกรีซเมื่อเร็วๆนี้ด้วย. (ไทยรัฐ พุธที่ 23 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





โปรตุเกสทำวัคซีนกันฟันผุผลทดสอบในหนูผ่านฉลุย

นักวิจัยโปรตุเกสได้พัฒนาวัคซีนป้องกันฟันผุขึ้นมา แม้จะสำเร็จแค่ในห้องทดลอง แต่ก็เชื่อว่าอีกไม่นานเกินรอน่าจะมีวัคซีนป้องกันฟันผุใช้กันถ้วนหน้า พอลลา เฟอร์ไรรา หนึ่งในทีมนักวิจัยจากมหาวิทาลัยโอพอร์โต ประเทศโปรตุเกส บอกว่า หลังจากฉีดวัคซีนให้กับหนูทดลองและเปรียบเทียบกับหนูในกลุ่มควบคุม พบว่า หนูที่ได้รับวัคซีนเกิดอาการฟันผุน้อยกว่าหนูที่ไม่ได้รับวัคซีน แต่กว่าจะถึงขั้นทดลองในมนุษย์ได้นั้น พวกเขาต้องทดลองในลิงก่อน เนื่องจากมีคุณลักษณะใกล้เคียงมนุษย์มากที่สุด อีกทั้งยังต้องหางบประมาณมาสนับสนุนงานวิจัยต่อเนื่องชิ้นนี้ด้วย งานวิจัยวัคซีนป้องกันฟันผุชิ้นนี้ ได้รับการจดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้วในโปรตุเกส และกำลังยื่นจดในสหรัฐ หนึ่งในแหล่งเงินทุนที่ทีมนักวิจัยคาดว่า จะหามาอุดหนุนการทำงานของพวกเขา สำหรับปัญหาฟันผุ เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้ทั่วไปทั่วโลก สาเหตุมาจากแบคทีเรียในช่องปาก ที่สร้างกรดออกมากัดกร่อนฟันจนสึกและผุในที่สุด โดยที่ผ่านมามีนักวิจัยจากหลายประเทศ พยายามหาทางพัฒนาวัคซีนเพื่อกำจัดแบคทีเรียที่สร้างกรดดังกล่าว แต่ก็ยังไม่มีชาติไหนออกมาประกาศความสำเร็จอย่างแจ่มชัดเหมือนที่โปรตุเกสทำได้ในตอนนี้ (คมชัดลึก พุธที่ 23 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ค้นทฤษฎีใหม่เครื่องจับเท็จ"กระเพาะ"ดูว่าโกหกหรือไม่

นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน ซึ่งพัฒนาเครื่องจับเท็จระบบใหม่ อาศัยการบันทึกลักษณะเปลี่ยนแปลงในกระเพาะอาหารมาอ้างอิง ตอนนี้กำลังถูกทดสอบอยู่ ถือเป็นการค้นคว้าที่ถูกนำมาเผยแพร่ในการประชุมในงาน อเมริกัน คอลเลจ ออฟ แกสโทรเอนเทอโรโลจี(American College of Gastroenterology) โดยผลงานของ ดร.ปันกัส พัดศรีชา นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเท็กซัส ที่ใช้การวัดสัญญาณไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในกระเพาะอาหารและลำไส้ของมนุษย์ พบความเกี่ยวพันว่าการพูดโกหกต่อหน้าบุคคลอื่น จังหวะการบีบตัวของกระเพาะอาหารจะมีมากขึ้น โดยทำการทดสอบและติดตามผลการเปลี่ยนแปลงในกระเพาะอาหาร ด้วยวิธีที่เรียกว่า "อิเล็กโตรแกสโตรแกรม" (electrogastrogram : EGG) จนสามารถระบุได้ชัดว่าผู้ทดสอบคนไหนพูดโกหก วิธีอิเล็กโตรแกสโตรแกรม หรืออีจีจีนี้ นับเป็นการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ คล้ายกับส่วนหนึ่งของอุปกรณ์จับเท็จที่ใช้กันอยู่ เพียงแต่อีจีจีแสดงผลและบันทึกออกมาด้วยการติดอิเล็กโทรดสติ๊กเกอร์กับผิวหนัง โดยไม่รู้สึกเจ็บปวด เมื่อเปรียบเทียบการบันทึกผลอีจีจีระหว่างคนพูดเท็จกับพูดความจริง เครื่องทดสอบนี้จะสามารถแสดงผลได้อย่างชัดเจนกว่าเครื่องจับเท็จปัจจุบัน เนื่องจากผู้ที่พูดไม่จริงจะมีการบีบตัวของกระเพาะอาหารเพิ่มสูงขึ้น วิธีการและลักษณะการทำงานของเครื่องอีจีจีนี้ ยังต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม และทดสอบใช้กับสถานการณ์จริงมากกว่านี้ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการจับโกหก (มติชนรายวัน พุธที่ 23 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





แพทย์ชี้ควันบุหรี่ทำเด็กไหลตาย

วันที่ 22 พฤศจิกายน ศ.นพ.ธีรชัย ฉันทโรจน์ศิริ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเด็กสมิติเวช ศรีนครินทร์ กล่าวในงานเสวนา "ควันบุหรี่เป็นอันตรายต่อเด็ก" ที่โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค ว่าเด็ก 700 ล้านคนทั่วโลกได้รับอันตรายจากควันบุหรี่ขณะอยู่ที่บ้าน และมีอุบัติการณ์ของการเกิดโรคระบบทางเดินหายใจในเด็กมากเกือบ 2 เท่าตัว เมื่อเทียบกับครอบครัวที่ไม่สูบบุหรี่ และจากการสำรวจขององค์การอนามัยโลก(WHO) พบว่า โรคระบบทางเดินหายใจ เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งในเด็กจากควันบุหรี่ โดยอัตราการเสียชีวิตจากโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจในเด็กมีจำนวน 3.5 ล้านคนต่อปี โดยเด็กประมาณ 2.5 ล้านคนที่เสียชีวิตมีอายุต่ำกว่า 5 ขวบ การศึกษาของยุโรปและสหรัฐอเมริกายังพบว่า ภัยของควันบุหรี่ยังทำให้มีโอกาสเป็นโรคไหลตายในเด็กขวบปีแรก หากได้รับควันบุหรี่จากบุหรี่จำนวน 20 มวน โอกาสที่เด็กจะเป็นโรคไหลตายมีมากถึง 5 เท่า ยังพบว่า เด็กที่ได้รับควันบุหรี่จากบิดาหรือมารดา ในขณะที่ยังอยู่ในครรภ์มารดานั้นมีโอกาสเป็นโรคไหลตายได้ถึง 3 เท่า แต่หากเด็กคลอดออกมาแล้ว จะมีโอกาสเป็นโรคดังกล่าวได้ 2 เท่า นอกจากนี้ ยังพบว่า เมื่อควันบุหรี่เข้าไปสู่ระบบทางเดินหายใจของเด็ก จะทำให้มีผลต่อการอักเสบในปอด หากรักษาไม่ทันอาจตายได้โดยโรคปอดอักเสบเฉียบพลัน จะพบในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ หากตรวจไม่พบและไม่ได้รักษา จะเกิดอาการปอดอักเสบเรื้อรัง หอบหืด และหูอักเสบ ศ.เกียรติคุณ นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า สำนักวิจัยเอแบคโพล สำรวจความคิดเห็นของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2-4 ในเขตกรุงเทพมหานครพบว่า พ่อมีพฤติกรรมในการสูบบุหรี่ในบ้านเกือบครึ่งหรือร้อยละ 46.5 และพ่อจะสูบบุหรี่ใกล้ๆ ลูกกว่าร้อยละ 64.9 ขณะที่เด็กๆรู้สึกเหม็นควันบุหรี่ถึงร้อยละ 94.7 และเด็กนักเรียนที่มีพ่อสูบบุหรี่กว่าร้อยละ 17.4 เคยรู้สึกไม่สบายเป็นประจำ (มติชนรายวัน พุธที่ 23 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





เทคโนโลยีผ้าเบรกไร้ใยหิน

นายเสริม สวนาการณ์ ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการ ฝ่ายโรงงาน บริษัท เอเซียคอมแพ็ค จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผ้าเบรก ภายใต้แบรนด์ คอมแพ็ค, มูซาชิ, ไดมอนด์ และวินเนอร์ เปิดเผยว่า “บริษัทฯ ได้คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ ในการผลิตผ้าเบรกไร้ใยหิน ทดแทนการใช้ใยหิน ที่กำลังถูกห้ามใช้ในต่างประเทศ ทั้งใน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ประเทศแถบยุโรป และสหรัฐอเมริกา เนื่องจากใยหินเป็นสารที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และก่อให้เกิดมะเร็ง บริษัทจึงได้ปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยหาวัตถุดิบใหม่ที่ไร้มลพิษเข้ามาทดแทน โดยเทคโนโลยีใหม่นี้ เรียกว่า เทคโนโลยี NAO (NON Asbestos Organic) ผ้าเบรกดังกล่าวเป็นผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากสารใยหิน ทำจากเส้นใยธรรมชาติอื่น ๆ 100% (ที่ไม่ใช่โลหะหนัก) หรือ aramid fibre มีคุณสมบัติเดียวกับที่ใช้ทำเสื้อเกราะกันกระสุน ระบายความร้อนได้ดี ไม่เกิดเสียงดังรบกวนเวลาเบรก หรือก่อให้เกิดการสึกหรอของจานเบรกที่ ผิดปกติ มีประสิทธิภาพการเบรกที่สม่ำเสมอในทุกช่วงอุณหภูมิ สำหรับการพัฒนาผ้าเบรกชนิดไร้ใยหินด้วยเทคโนโลยี NAO นี้ ได้รับการสนับสนุนจากโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย หรือ ITAP สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดหาผู้เชี่ยวชาญด้านเบรกจากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาถ่ายทอดเทคโนโลยี NAO เพื่อเป็นมาตรฐานการผลิตให้กับบริษัทฯ นำไปใช้พัฒนาการออกแบบพร้อมกับพัฒนาปรับปรุงสูตรการผลิตจนได้คุณสมบัติ ตามที่ต้องการ ขณะนี้เริ่มออกจำหน่ายแล้วภายใต้แบรนด์ “เคนจิ” นางสาวหงษ์สุดา สอนกลิ่น ที่ปรึกษาเทคโนโลยี โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโน โลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตผ้าเบรกชนิดไม่มีแร่ใยหินเพื่อเป็นมาตรฐานการผลิตให้กับ บริษัท เอเซียคอมแพ็ค จำกัด นั้น จะทำให้บริษัทฯ ได้นำไปใช้พัฒนาการออกแบบและการผลิตเพื่อขายในเชิงพาณิชย์ต่อไป อีกทั้งเทคโนโลยีดังกล่าว ถือเป็นสิ่งที่ ITAP ต้องการสนับสนุนและผลักดันให้มีการผลิตขึ้นในประเทศไทย เนื่องจากเป็นสินค้าที่ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม และยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อไปในอนาคต สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจเข้ารับการสนับสนุนในโครงการ ITAP สอบถามรายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2564-8000 หรือ www. nstda.or.th/itap. (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 24 พ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





นวัตกรรมใหม่ "กระบวนการผลิตสาร ADS" ทางเลือกป้องกัน "ไข้หวัดนก"

*ศูนย์วิจัยแบคทีเรียและไวรัส มหาชัย* ซึ่งมีผู้อำนวยการศูนย์ คือ *ดอกเตอร์ยอดยิ่ง เทพธรานนท์* เคยค้นคว้าทดลองวิจัยหาทางแก้ปัญหาไวรัสในกุ้งกุลาดำ ได้พบความสำเร็จในการค้นคว้าดังกล่าว จนสามารถผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ Antigenic Determinant ออกมาใช้กับกุ้งสามารถป้องกันไวรัสในกุ้งกุลาดำได้สำเร็จ นอกจากนี้การค้นคว้ายังพบว่า Antigenic Determinant สามารถป้องกันโรคที่เกิดจากแบคทีเรียและไวรัสทุกสายพันธุ์อีกด้วย การทำงานวิจัยของ ดอกเตอร์ยอดยิ่ง ร่วมกับ *คลังสมอง สภานิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย* (สภนจ.) และคณะแพทย์ ประกอบด้วย นายแพทย์วินัย วิริยกิจจา อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์จักรกฤษณ์ ภูมิสวัสดิ์ สาธารณสุขนิเทศ พ.อ.ธารา พูนประชา ผู้อำนวยการกองพยาธิวิทยา สถาบันพยาธิวิทยา ศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้า นายแพทย์ณัฐนพชัย เงินแย้ม จากสำนักงานเลขาธิการกองทัพบก กระทรวงกลาโหม นายแพทย์อารินทร์ โกยสมบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์ International นายแพทย์บัญชา แดงเนียม แพทย์ที่ปรึกษาประจำ Holistic Medical Centre คณะทั้งหมดนี้ร่วมกันทำวิจัยจนสามารถค้นพบสาร "แอนติเจนนิค ดีเทอร์มิแนนต์" (Antigenic Determinant Substances) หรือ ADS A คือ Antigenic(แอนติเจนนิค) แปลว่า สารที่เข้าสู่ร่างกายแล้วกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนตี้บอดี้ขึ้นมาเพื่อต่อต้านเชื้อโรค D คือ Determinant (ดีเทอร์มิแนนต์) แปลว่า ตัวบ่งบอก S คือ Substances (ซับสแตนท์) แปลว่าสาร สิ่งที่ค้นพบคือ กระบวนการผลิตสารแอนติเจนนิค ดีเทอร์มิแนนต์จากแบคทีเรียและไวรัส และเนื้อเยื่อติดเชื้อ กลายเป็น "นวัตกรรมใหม่" ของการวิจัยเมืองไทย "การค้นพบนี้ เป็นการค้นพบกระบวนการผลิตสารแอนติเจนนิค ดีเทอร์มิแนนต์ เพื่อใช้เป็นสารกระตุ้นภูมิคุ้มกันในคนหรือสัตว์ ที่ติดเชื้อแบคทีเรีย หรือไวรัส AD ไม่ใช่วัคซีน ถ้าพิจารณาในด้านการทำลายเชื้อ เนื่องจากวัคซีนเป็นสารหรือสิ่งใดๆ ก็ตามที่เข้าไปกระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันที่เป็นแอนตี้บอดี้ เพื่อเข้าทำลายเชื้อ ซึ่งวิธีนี้มีจุดอ่อนตรงที่เป็นหน่วยซึ่งมีความทรงจำและจะเข้าไปทำลายเชื้ออย่างเจาะจง ดังนั้นถ้าเชื้อมีการปรับตัวเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ไป แอนตี้บอดี้นั้นๆ ก็ไม่สามารถทำลายได้" ในทางตรงกันข้าม แอนติเจนนิค ดีเทอร์มิแนนต์ เป็นการนำเอาเชื้อตัวหนึ่งมาย่อยให้อยู่ในรูปของโมเลกุล ให้มีขนาดเล็กมากๆๆ สามารถกินได้ เมื่อกินเข้าไปในร่างกายก็สามารถดูดซึมในเส้นเลือดได้เลยทันที ไม่ต้องมีกระบวนการอะไรอีก สารนี้จะเข้าไปจับไวรัสแล้วทำลายเชื้อไวรัสในร่างกาย ขจัดพิษออกมาและกระตุ้นการสร้างสารแอนตี้บอดี้ในร่างกาย ทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน "ADS จะไปจับกับโมเลกุลเฉพาะจุด ทำหน้าที่ละเอียดกว่าวัคซีนมาก ฉะนั้นไวรัสตัวใดตัวหนึ่ง ถ้าเราสามารถที่จะเอามาแยกได้โดยไม่ต้องจำเป็นต้องเป็นเชื้อไวรัส H5 N 1 หรือเชื้อไข้หวัดนกอย่างเดียว ซึ่งโดยองค์ประกอบของโครงสร้างเชื้อไวรัสจะมากจะน้อยมีส่วนเหมือนกัน การแยกออกมาแล้วให้กินเข้าไปก็เข้าสู่กระแสโลหิต ไปกระตุ้นให้สร้าง ADS ทำหน้าที่การทลายเชื้อโดยการเจาะเซลล์ให้เป็นรูหรือทำให้พัง เซลล์ร้ายก็จะสลายไป และยังพบอีกว่า ADS สามารถฆ่าเชื้อไวรัสถึงระดับเชื้อ HN และ NN หรือตัวใดที่จะกลายพันธุ์ก็ใช้สารตัวเดิมทำลายได้ทุกตัว" (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 24 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





ออสซี่พบ"ถั่วจีเอ็มโอ"ทำลายปอด

ผลการศึกษาเรื่อง "ถั่วดัดแปลงพันธุกรรม" (ถั่วจีเอ็มโอ) ขององค์กรวิจัยแห่งชาติ "CSIRO" ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งดำเนินมานานเกือบสิบปีต้องยกเลิก ภายหลังจากพบว่าโปรตีนต่อต้านศัตรูพืชที่ตัดต่อเข้าไปในหน่วยพันธุกรรมของถั่วจีเอ็มโอดังกล่าวออกฤทธิ์ทำให้ปอดของหนูทดลองเกิดการอักเสบ ทีมนักวิจัย CSIRO ทดลองสกัดเอาโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งมีคุณสมบัติต่อต้านไม่ให้ตัวมอดเข้ามากัดกินทำลายถั่ว ตามปกติโปรตีนตัวนี้ไม่ก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ทั้งในมนุษย์และหนูทดลอง อย่างไรก็ตาม เมื่อตัดต่อโปรตีนเข้าไปในพันธุกรรมของถั่วพบว่า หนูทดลองที่รับประทานถั่วจีเอ็มโอเข้าไปป่วยด้วยอาการปอดอักเสบ นักวิจัย CSIRO จึงตัดสินใจล้มเลิกโครงการถั่วจีเอ็มโอ พอล ฟอสเตอร์ นักวิชาการด้านระบบภูมิคุ้มกันประจำมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย และ เจเรอมี่ เทเกอร์ สมาชิกกลุ่มพิทักษ์สิ่งแวดล้อมกรีนพีซสาขาออสเตรเลีย กล่าวสอดคล้องกันว่า ความล้มเหลวของโครงการถั่วจีเอ็มโอชี้ให้เห็นว่าการวิจัยเรื่องพืชจีเอ็มโอต้องทำให้ละเอียด เพราะไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่ตัดต่อเข้าไปในพันธุกรรมพืชอาจกลายเป็นอันตรายต่อมนุษย์ในภายหลังได้ (ข่าวสด พฤหัสบดีที่ 24 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





สบู่ใยบวบไทยไปนอกจากโบราณเป็นผลิตภัณฑ์สุดฮิต

“สบู่ใยบวบ” เป็นอีกหนึ่งความคิดสรรค์สร้าง ที่ทางกลุ่มแม่บ้านสายบัว ซ.รามอินทรา 76 แขวง-เขตคันนายาว กทม. ซึ่งนำโดย นางกัญญาลักษณ์ ตระกูลชีวพานิตต์ หรือผู้ใหญ่หวาน ผลิตชิ้นงานขึ้นมาเพื่อตอบรับกับกระแสนิยม “สบู่ใยบวบ” ส่วนรูปแบบที่ผลิตจะล้อ ธรรมชาติมากที่สุด ส่วนกลิ่น จะมี ดอกจำปี ผสมมังคุด ขมิ้น ชาเขียว ดอกปีบ จะผสมทานาคา ดอกลีลาวดี จะเป็นสมุนไพรจีน สำหรับวัตถุดิบ จะมีบวบ ซึ่งรับจากหลายๆ ที่โดยบางครั้ง จะเอาบวบมาแลกสบู่ แชมพู เพื่อไปขาย ส่วนบวบทางจะมาทำความสะอาด เองทั้งซัก ต้ม อบ ตากแห้ง เพื่อให้ แน่ใจว่าสะอาดจริง กรีเซอร์ลีน หรือหัวสบู่สำเร็จ รูป 1 กก.สมุนไพร อาขมิ้น ทานาคา มะขามผง (อย่างใดอย่างหนึ่ง) น้ำผึ้ง น้ำหอมตามชอบ ใยบวบ แม่พิมพ์ ส่วนกรรมวิธีการผลิต เริ่มแรกนำกรีเซอร์ลีน มาต้มโดยใช้ไฟอ่อนกระทั่งละลาย จากนั้นใส่ ส่วนผสมทั้งหมดลงไปยกเว้นน้ำหอม เสร็จแล้วยกขึ้นคนค่อนข้างอุ่นจึงใส่หัวน้ำหอม นำไปเทใส่แม่พิมพ์ ซึ่งมีใยบวบอยู่ ทิ้งไว้ประมาณ 2 คืน ให้เนื้อสบู่เซ็ทตัว เอาออกจากแม่แบบ ตัดก้อนสบู่ ซึ่งสูตรดังกล่าวจะได้เนื้อสบู่ใยบวบจำนวน 10 ก้อน ตลาดหลัก จะเป็นสถานสปาในประเทศ และล่าสุดทางกลุ่มมุ่งทำตลาดแบบเชิงรุก หรือที่เรียกว่า “เดลิเวอร์รี่” ด้วยการนำผลิตภัณฑ์เข้าหาผู้บริโภค ซึ่งจะมุ่งที่เขตคันนายาว ส่วนตลาดต่างประเทศ อาทิ สิงคโปร์ มาเลเซีย ไต้หวัน ญี่ปุ่น จะสั่งเฉพาะสบู่ใยบวบ กลุ่มยังเปิดสอนการทำแชมพู สบู่เหลว รอดช่องสิงคโปร์แห้ง ทั้งที่กรุงเทพฯ และที่ จ.พิษณุโลก สอบถามได้ที่ โทร.0-2517-5775. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 25 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





ครีมนาโนฆ่าเชื้อราใต้เล็บอนุภาคขนาดจิ๋วซึมผ่านผิวเล็บ-ปีหน้าสู่ตลาด

ศาสตราภิชาน น.พ.พิชิต สุวรรณประกร ประธานกรรมการบริษัท แพนราชเทวี กรุ๊ป เปิดเผยว่า คณะวิจัยของบริษัทประสบความสำเร็จในการคิดค้นครีมทาผิวสำหรับฆ่าเชื้อราในเล็บ โดยนำนาโนเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาครีมดังกล่าว เพื่อให้เนื้อครีมมีอนุภาคที่เล็กมากและสามารถซึมผ่านไปยังผิวหนังใต้เล็บที่ติดเชื้อราได้ ซึ่งจากการทดลองในกลุ่มอาสาสมัครพบว่าให้ประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อราในเล็บที่ดีซึ่งใช้ระยะเวลาเพียง 3 สัปดาห์เท่านั้น เนื้อเล็บที่ถูกเชื้อรากัดกินก็มีสภาพดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจากการพัฒนาดังกล่าวได้ไปขึ้นทะเบียนความลับทางการค้าที่ประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว คาดว่าในปีหน้าจะสามารถผลิตสู่ตลาดได้ ปัจจุบัน ยังไม่มียาตัวไหนที่สามารถรักษาเชื้อราในเล็บให้หายขาดได้ อีกทั้งต้องใช้ระยะเวลานานกว่าเล็บจะฟื้นฟูสภาพให้ดีขึ้น เนื่องจากเนื้อครีมที่ใช้ทาเล็บมีโมเลกุลที่ใหญ่เกินไปไม่สามารถซึมลึกเข้าไปยังชั้นผิวหนังที่อยู่ใต้เล็บได้ ดังนั้นการนำนาโนเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับเนื้อครีมทาเล็บจึงเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ช่วยทำให้เนื้อครีมแทรกผ่านชั้นผิวของเล็บไปยังผิวหนังและรักษาอาการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ที่ผ่านมาไม่มีใครพัฒนายาทารักษาเชื้อราในเล็บได้ เนื่องจากเชื้อราแพร่กระจายอยู่ใต้เล็บและเนื้อครีมไม่สามารถซึมเข้าไปในระดับลึกได้ เพราะเล็บมีประจุเป็นลบ ดังนั้นถ้าจะเอายาแทรกซึมเข้าไปได้ ต้องทำให้เป็นประจุบวก และต้องมีอนุภาคขนาดเล็กจึงจะแทรกซึมเข้าไปใต้เล็บได้ คณะวิจัยเริ่มจากการออกแบบโครงสร้างของตัวยาโดยเริ่มจากสารสเตียรอยด์ซึ่งต้องลดขนาดลงให้เหลือ 1 ใน 5 ส่วนหลังจากนั้นนำเนื้อครีมมาปั่นให้มีขนาดเล็กลงในระดับ 200 นาโน (1 นาโนเมตร = 1/1000 ล้านเมตร) ซึ่งทำให้เนื้อครีมซึมได้ลึกและคงสภาพได้นานมากขึ้น แต่ปัญหาที่ตามมาคือความไม่เสถียรของเนื้อครีมเนื่องจากประจุไฟฟ้าและค่าความเป็นกรดและด่าง ดังนั้นต้องทำให้เนื้อครีมมีความคงที่ให้ได้ โดยใช้วิธีการห่อหุ้มเนื้อครีมด้วยแคปซูล เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเนื้อครีมให้ออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 25 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





พบยีนสั่งสมองหวาดกลัวปูทางรักษาโรควิตกกังวล

นักวิจัยสหรัฐพบยีนควบคุมความกลัวอยู่ในสมองของมนุษย์ ทำหน้าที่ผลิตโปรตีนที่สัมพันธ์กับการตอบสนองความกลัวในรูปแบบต่างๆ การค้นพบครั้งนี้เชื่อว่าจะนำไปสู่การพัฒนาวิธีรักษาโรควิตกกังวลต่างๆ ได้อย่างเห็นผล นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยรัตเกอร์ รัฐนิวเจอร์ซี สหรัฐ บอกว่า งานวิจัยชิ้นนี้เป็นความก้าวหน้าของศาสตร์ด้านการเรียนรู้และความทรงจำในสมอง ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจในโรคเครียดภายหลังประสบเหตุการณ์สะเทือนขวัญ (พีทีเอสดี), โรคหวาดกลัวต่างๆ เช่น กลัวที่แคบ, โรคจิตแปรปรวน และโรควิตกกังวลอื่นๆ ในมนุษย์ได้ดียิ่งขึ้น และปูทางไปสู่การพัฒนาวิธีรักษาความผิดปกติดังกล่าวได้ในท้ายที่สุด งานวิจัย ระบุว่า ยีนผลิตสารสแทธมิน หรือ ออนโคโปรตีน 18 ในพื้นที่สมองอะมิกดาลา ทำให้เกิดการรับรู้ความกลัวและวิตกกังวลต่างๆ การค้นพบครั้งนี้ นำมาซึ่งข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับวิธีที่สมองเรียนรู้จนเกิดเป็นความกลัวฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก เมื่อนักวิจัยทดลองนำหนูมาดัดแปรพันธุกรรม ไม่ให้มียีนซึ่งสามารถผลิตโปรตีนสแทธมินได้ ก็พบว่าหนูในกลุ่มดังกล่าวไม่มีอาการหวาดกลัวใดๆ เมื่อต้องออกมาในที่โล่งแจ้ง หนึ่งในทีมวิจัย บอกว่า ผลการศึกษาที่ได้จะช่วยให้ทีมงานสามารถพัฒนา (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 25 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





มุ้งอัจฉริยะหลอกล่อยุงมาตาย

ผู้บริหารของบริษัท แอมไบโอ ของสหรัฐ เผยแนวคิดพิฆาตยุงว่า "แม่เหล็กดูดยุง" มีแม่เหล็กที่กระจายกลิ่นสังเคราะห์ที่เหมือนกับกลิ่นเนื้อกลิ่นตัวคน เพื่อชักชวนให้ยุงเข้ามาดูดเลือด เพียงแค่ยุงบินเฉียดเท่านั้น อุปกรณ์ซึ่งจะว่าไปก็คล้ายกับเครื่องดูดฝุ่นก็จะดูดยุงเข้าไปข้างในและทำให้ขาดอากาศหายใจตาย บริษัท แอมไบโอ ยังลงทุนเพื่อสร้างมุ้งอัจฉริยะ ซึ่งเป็นระบบกันยุงด้วยคอมพิวเตอร์เพื่อให้บริการแก่บริษัทห้างร้าน และหน่วยงานด้านสาธารณสุข โดยคาดว่าช่วงต้นปีหน้าทีมพัฒนาโปรแกรมจะสามารถออกแบบซอฟต์แวร์สำหรับควบคุมการทำงานของมุ้งแม่เหล็กดูดยุงได้สำเร็จ มุ้งอัจฉริยะที่ว่านี้เป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายโยงใยให้แม่เหล็กดูดยุงผ่านคลื่นวิทยุที่เรียกว่า ไว-ไฟ (คลื่นวิทยุที่ใช้สร้างระบบเครือข่ายไร้สายให้คอมพิวเตอร์) ระบบดังกล่าวสามารถกำจัดยุงครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่เท่ากับสนามกอล์ฟ หรือสถานที่พักตากอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรืออาจถึงขนาดสามารถลดจำนวนผู้ป่วยมาลาเรีย ซึ่งเป็นโรคที่สร้างปัญหาให้ประเทศยากจนได้ เครื่องดูดยุงดังกล่าวจะปล่อยกลิ่นที่ประกอบด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ ความชื้น ความร้อน และสารออคเทนอลเพื่อล่อยุงในระยะใกล้ แต่ละเครื่องสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง สามารถดูดยุงในระยะ 90 เมตร ตัวเครื่องประกอบด้วยระบบดูดสุญญากาศสำหรับดูดแมลงเข้ามาข้างใน และมีตัวรีดน้ำจนยุงตายอนาถ แต่กลิ่นล่อแมลงจะไม่มีผลกับแมลงอย่างพวกผีเสื้อ หรือแมลงเต่าทองเข้ามาติดกับ (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 25 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





ภัยเสียงดังสะท้านสะเทือนหัวใจ เสี่ยงเป็นโรคง่ายขึ้น

วารสารวิชาการ “แพทย์สมาคมโรคหัวใจแห่งยุโรป” รายงานว่า ได้มีการศึกษาพบว่า การมีชีวิตหรือทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมอันอึกทึก ครึกโครม อย่างเช่นเสียงของการจราจร บนถนน เป็นอันตรายกับสุขภาพหัวใจ ทำให้เสี่ยงกับภาวะหัวใจวายได้ การอยู่ใต้เสียง อื้ออึงนานๆไป เสี่ยงกับโรคหัวใจในระดับอ่อนถึงปานกลาง นักวิจัยกล่าวว่า อันตรายของเสียงดังเอะอะ ขึ้นอยู่กับความดังของเสียงมากกว่าลักษณะ เป็นการรบกวนของมัน จึงแนะนำว่า ควรจะ มีการเข้มงวด กับระดับความปลอดภัยของเสียง ให้มากขึ้น อย่างไร ก็ตาม รายงานของเขาระบุว่า การทำงานในสถานที่ ที่มีเสียงรบกวนดังๆ อาจทำให้ผู้ชายมีความเสี่ยงกับการเป็นโรคหัวใจสูงถึง 1 ใน 3 แต่โดยที่ผู้หญิงกลับไม่รู้สึก สะดุ้งสะเทือนอะไร หัวหน้าคณะนักวิจัย ดร.สเตเฟน วิลลิช ศูนย์ แพทย์มหาวิทยาลัยชาไรต์ ที่กรุงเบอร์ลิน อธิบายว่า ดูเหมือนเรามุ่งอยู่แต่ระดับต้นของความดังของเสียง ที่ยังคงถือว่าปลอดภัยอยู่ นั่นคือ ระดับ 60 เดซิเบล หากสูงไปกว่านี้ ก็อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงภัยยิ่งขึ้น กลไกที่อาจเป็นตัวสาเหตุในเรื่องนี้ อาจจะเป็นเพราะเสียงดังก่อความเครียดทางจิต และความโกรธขึ้งขึ้น เกิดความกระทบ กระเทือนขึ้นกับร่างกายส่วนอื่นๆอย่างเช่นไปเร่ง ให้ต่อมหมวกไตและอื่นๆต้องทำงานหนักขึ้น (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 26 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





ญี่ปุ่นจะลงทุน 35 ล้านบาท พัฒนาวัคซีนต้นแบบสำหรับป้องกันไข้หวัดนก

โทโมฮิโกะ อาราอิ หัวหน้าคณะที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลญี่ปุ่น เผยว่า คณะนักวิจัยญี่ปุ่นหวังว่าจะสามารถผลิตวัคซีนต้นแบบสำหรับป้องกันไข้หวัดนกได้ เพื่อเพิ่มความเตรียมพร้อมในการผลิตวัคซีนสำหรับคนกรณีที่เชื้อไวรัสกลายพันธุ์ให้สามารถติดต่อระหว่างคนได้ โครงการผลิตวัคซีนต้นแบบนี้ตั้งเป้าจะทำให้สำเร็จภายในเดือนมีนาคมปีหน้า รวมทั้งจะขอให้ทางการเร่งพัฒนาและอนุมัติวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เนื่องจากการผลิตวัคซีนในปัจจุบันต้องใช้เวลาพัฒนานานหลายเดือน อีกทั้งต้องตรวจสอบด้านความปลอดภัยอย่างละเอียดก่อนทำการทดลองกับคน ก่อนหน้านี้กระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นประกาศแผนรับมือไข้หวัดนก ว่า จะสำรองยาทามิฟลูให้เพียงพอสำหรับผู้ป่วย 25 ล้านคนภายใน 5 ปี เนื่องจากประมาณการไว้ว่า หากไข้หวัดนกระบาดจะมีชาวญี่ปุ่นเสียชีวิต 170,000 - 640,000 คน และเจ็บป่วยอีกราว 530,000-2,000,000 คน ญี่ปุ่นพบไข้หวัดนกครั้งแรกในรอบหลายสิบปีเมื่อปีก่อน เป็นการระบาดของเชื้อเอช 5 เอ็น 1 ในกลุ่มสัตว์ปีก มีผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไข้หวัดนก 1 คนเมื่อเดือนธันวาคม แต่ไม่มีผู้เสียชีวิตเพราะไข้หวัดนก (สยามรัฐรายวัน เสาร์ที่ 26 พ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





จุฬาฯพบพฤติกรรมกาฝากในผึ้งมิ้ม เนเจอร์ปิ๊งพิมพ์เผยแพร่นานาชาติ

อาจารย์ปิยมาศ นานอก นิสิตปริญญาเอก คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เจ้าของผลงานวิจัย “พฤติกรรมกาฝากในรังผึ้งมิ้ม” เปิดเผยว่า จากการวิจัยครั้งนี้ค้นพบว่า ผึ้งเป็นแมลงสังคมที่สามารถอธิบายพฤติกรรมได้เช่นเดียวกับพฤติกรรมของมนุษย์ โดยใช้เวลาเก็บตัวอย่างผึ้งนานกว่า 3 ปี และใช้เวลาศึกษาในห้องปฏิบัติการโดยใช้เทคนิค Microsatallite Analysis อีกระยะหนึ่ง การศึกษาวิจัยนี้พบผึ้งพันธุ์ท้องถิ่นของไทย จำนวนทั้งสิ้น 4 ชนิด ได้แก่ ผึ้งมิ้ม ผึ้งมดดำ ผึ้งโพรง และผึ้งหลวง และยังพบว่าในรังผึ้งจะแบ่งออกเป็น 3 วรรณะ คือ ผึ้งนางพญา (Queen) ผึ้งงาน (Worker) และผึ้งตัวผู้ (Drone) ทั้งนี้จากการศึกษาอธิบายได้ว่า เมื่อรังผึ้งขาดผึ้งนางพญา ส่วนใหญ่ผึ้งงานจะหนีรังและไปอาศัยอยู่ในรังอื่นเพื่อวางไข่ของตนให้ผึ้งงานในรังอื่นเลี้ยง หรืออีกทางหนึ่ง ผึ้งงานจากรังอื่นจะอาศัยช่องว่างดังกล่าวเข้ามาวางไข่เพื่อให้ผึ้งงานในรังที่ขาดนางพญาไปเลี้ยงลูกแทนตนโดยพฤติกรรมอย่างหลังนี้ถือเป็นพฤติกรรมกาฝาก (social arasitism) ซึ่งพบเป็นครั้งแรกในผึ้งมิ้มในประเทศไทย ประโยชน์ที่ได้จากการวิจัยนี้ จะเป็นความรู้พื้นฐานที่จะนำไปสู่การศึกษาในเรื่องอื่นๆ ต่อไป และรู้สึกดีใจ ที่ผลงานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล จนถูกนำตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการนานาชาติ “nature” ซึ่งที่ผ่านมามีผลงานวิชาการจากเอเชีย ได้ตีพิมพ์ในวารสารนี้ไม่มากนัก “อาจารย์ปิยมาศ กล่าว (สยามรัฐรายวัน เสาร์ที่ 26 พ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





มะเขือเทศจีเอ็มต้านไวรัสใบหงิกเหลือง

ดร.อรวรรณ ชัชวาลการพาณิชย์ นักวิจัยจากหน่วยปฏิบัติการวิจัยกลางของไบโอเทค เปิดเผยว่าทีมวิจัยประสบความสำเร็จในดัดแปลงพันธุกรรมของมะเขือเทศให้มีความต้านทานต่อโรคไวรัสใบหงิกเหลืองหนึ่งในโรคที่สร้างปัญหาให้กับเกษตรกร สำหรับวิธีการแก้ไขของเกษตรกรในเบื้องต้นนั้นทำได้เพียงการฉีดพ่นยาฆ่าแมลงเพื่อกำจัดแมลงหวี่ขาวพาหะของโรคนี้ ซึ่งเสี่ยงต่อการตกค้างของสารเคมี ดังนั้นวิธีการที่จะควบคุมโรคนี้ได้ดีที่สุดก็คือการหาพันธุ์มะเขือเทศที่ต้านทานโรค โดยในปัจจุบันก็ยังไม่มีมะเขือเทศพันธุ์การค้าใดๆ ที่ต้านทานโรคได้เลย งานวิจัยชิ้นนี้จึงพยายามค้นหาวิธีการทำให้มะเขือเทศมีความต้านทานโรคจนกระทั่งได้พันธุ์ที่สามารถต้านทานโรคดังกล่าวได้ นักวิจัย กล่าวว่า งานวิจัยชิ้นนี้ได้ทำการทดลองใช้ยีนที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มปริมาณของเชื้อไวรัสในมะเขือเทศที่เรียกว่า Replication-associated gene (Rep gene) มาทำให้เกิดการกลายพันธุ์ในตำแหน่งที่จะไปขัดขวางการเพิ่มปริมาณของเชื้อไวรัสนี้ และเมื่อถ่ายยีนกลายพันธุ์ให้กับมะเขือเทศ ก็จะไปชักนำให้เกิดความต้านทาน โดยทำให้เชื้อไวรัสใบหงิกเหลืองไม่สามารถเพิ่มปริมาณได้ ในการวิจัยครั้งนี้ ได้ส่งถ่ายชุดยีนเข้าสู่มะเขือเทศ โดยใช้พาหะหรือเวคเตอร์ที่เรียกว่า pMAT21 ซึ่งพัฒนาโดยนักวิจัยชาวญี่ปุ่นชื่อ Dr. H. Ebinuma ซึ่งเวคเตอร์ดังกล่าวจะสามารถกำจัดยีนคัดเลือกออกจากมะเขือเทศหลังจากการส่งถ่ายยีนที่ต้องการประสบผลสำเร็จ ผลการวิจัยในครั้งนี้เป็นการศึกษาในเบื้องต้น ในระดับ ซึ่งในระยะต่อไปของงานวิจัยจะต้องศึกษาถึงความคงทนและการกระจายตัวของยีน ความต้านทานต่อเชื้อไวรัสใบหงิกเหลืองสายพันธุ์อื่นๆ ที่พบในประเทศไทย รวมถึงความปลอดภัยทางชีวภาพและอาหาร หากในอนาคตจะมีการปลูกมะเขือเทศสายพันธุ์ที่ได้ในเชิงการค้าเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นแก่เกษตรกรและผู้บริโภค ทั้งนี้จะต้องทำการวิจัยต่อเพื่อสร้างพันธุ์ของมะเขือเทศต้านทานโรค ให้ได้พันธุ์แท้ ก่อนที่จะนำเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบความปลอดภัยทางชีวภาพและอาหาร เพื่อพิสูจน์รวมถึงเก็บข้อมูลในส่วนของการเปลี่ยนเแปลงของยีนที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เพื่อให้ได้ความปลอดภัยที่แน่นอน ก่อนที่จะนำไปสู่การผลิตเป็นต้นพันธุ์แจกจ่ายให้กับเกษตรกรต่อไป (กรุงเทพธุรกิจ เสาร์ที่ 26 พ.ย. 48 http://www.bangkokbiznews.com





"เลพติน"กุญแจไขสาเหตุ"อ้วน"

นักวิจัยชื่อ ดร.โรเจอร์ อังเกอร์ แห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัส เซาธ์เวสเทิร์น สหรัฐอเมริกา ได้ทำการทดลองโดยใช้หนู พบว่า เมื่อให้หนูกินมากเกินไป ฮอร์โมนที่ชื่อว่า "เลพติน" ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยเผาผลาญไขมัน ในเซลล์ไขมัน จะไม่ทำงาน เมื่อหนูถูกป้อนอาหารจนล้นเกินและทำให้อ้วน "เครื่องรับ" (receptor) ในเลพติน ซึ่งช่วยเผาผลาญไขมันจะอันตรธานไปจากเซลล์ไขมัน ในอีกการทดลองหนึ่งกับหนูเช่นกัน แต่เป็นหนูซึ่งถูกตัดแต่งยีนเป็นพิเศษ ซึ่งไม่มีวันจะสูญเสีย "ตัวรับ" เลพตินในเซลล์ไขมัน การทดลองนี้ทำแบบเดียวกับอันแรก คือป้อนอาหารหนูจนล้นเกิน แต่ปรากฏว่าหนูในกลุ่มนี้ไม่สูญเสียเลพตินซึ่งทำหน้าที่เผาผลาญไขมัน ผลก็คือหนูไม่อ้วน ดร.อังเกอร์เชื่อว่า ผลจากการวิจัยนี้ จะเป็นข้อมูลที่จะเป็นหนทางไปสู่การคิดค้นยาที่จะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ receptor ในเลพตินในเซลล์ไขมันอันตรธานไปเมื่อเรากินมาก แต่ดร.อังเกอร์ก็บอกว่า หนทางที่ง่ายกว่านี้ในการลดความอ้วน ก็คือควบคุมการกินให้พอเหมาะ (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 26 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





จักรยาน"พูดได้" นวัตกรรมใหม่ของโลก

ผศ.ดร.เฉลิม ชัยวัชราภรณ์ อาจารย์ประจำสำนักวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยาลัย ได้ประดิษฐ์คิดค้น "จักรยานอัจฉริยะพูดได้" ขึ้นมา เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ของผู้ที่รักการออกกำลังกาย เรียกว่าเป็นจุดขายดีทีเดียว จักรยานอัจฉริยะพูดประดิษฐ์ขึ้น เพื่อทำให้การออกกำลังกายสำหรับบุคคลที่มีประสิทธิภาพดี มีความรู้สึกที่มั่นใจขณะออกกำลังกาย เหมือนมีผู้ฝึกสอนคอยให้คำแนะนำอยู่เคียงข้าง ถือได้ว่าจักรยานอัฉจริยะพูดได้เป็นนวัตกรรมใหม่ของโลก เพราะยังไม่มีใครเคยประดิษฐ์ จักรยานที่ว่านี้มี 3 โปรแกรมให้เลือกตามความต้องการ โปรแกรมแรกสำหรับรักษาทรวดทรง และลวดความดันโลหิต ส่วนโปรแกรมที่สองเหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มฮอร์โมนเพศ และเผาผลาญไขมันในร่างกาย และสุดท้ายเป็นโปรแกรมสำหรับนักกีฬาที่ต้องการทดสอบการเต้นของหัวใจ หรือฝึกซ้อมให้การเต้นของหัวใจอยู่ในระดับที่ต้องการ ซึ่งจะช่วยให้ไม่เหนื่อยขณะเล่นกีฬา และสามารถเล่นกีฬาได้เรื่อยๆ จุดเด่นของจักรยานอัจฉริยะพูดได้ว่า มีความพิเศษหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการให้คำแนะนำด้วยเสียงเป็นระยะๆ จนกระทั่งการออกกำลังกายสิ้นสุดเกี่ยวกับความเร็วของการถีบจักรยานที่เหมาะสม โดยจะเตือนเมื่อออกกำลังกายเหนื่อยน้อยไป หรือเหนื่อยมากไปพร้อมแนะนำวิธีปฏิบัติที่ได้ผล และขณะออกกำลังกายผู้ออกกำลังกายจะไม่มีการเคลื่อนไหวร่างกายขึ้นๆ ลงๆ ดังนั้น จะไม่มีแรงกระแทกที่หัวเข่า ไม่เสียการทรงตัวระหว่างออกกำลังกาย เกิดความปลอดภัยสูง และสามารถทำกิจกรรมอื่นได้ขณะออกกำลังกาย เช่น อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ จักรยานอัจฉริยะพูดได้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวมาก หรือผู้สูงอายุ เนื่องจากสามารถใช้ออกกำลังกายที่บ้านได้ และขั้นตอนการใช้งานไม่ยุ่งยาก อีกทั้งมีเสียงพูดให้คำแนะนำตลอด ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่ามีคนดูแล เอาใจใส่ตลอดเวลา จึงอยากออกกำลังกายมากขึ้น ต่อไปจะประดิษฐ์จักรยานสำหรับคนตาบอดด้วย และได้ให้บริษัท มาราธอน ประเทศไทย จำกัด เป็นฝ่ายสร้างอุปกรณ์ จากนั้นทีมงานจะนำมาประกอบชิ้นส่วนและปรับปรุงแก้ไข จนประสบความสำเร็จ จากเหตุผลที่ไม่อยากให้นวัตกรรมหยุดนิ่ง อาจารย์เฉลิมจึงไม่ได้จดลิขสิทธิ์ และเป็นที่น่าดีใจเพราะที่ผ่านมามีคนสนใจเยอะ จึงให้บริษัท มาราธอน ประเทศไทย จำกัดเป็นผู้ผลิต เน้นราคาที่ชาวบ้านสามาถนำไปใช้ได้ โดยตกคันละ 13,000 บาท ใครสนใจติดต่อที่สำนักวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาฯ โทร.0-2433-7992-4 ต่อ 105 ,108 (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 26 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





ข่าวทั่วไป


ถวายรางวัล"อินทิรา คานธี"พระเทพฯ

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน เว็บไซต์ฮินดูสถานไทม์สดอตคอม ของอินเดีย รายงานว่า ในวันเดียวกันนี้ได้มีพิธีทูลเกล้าฯถวายรางวัลอินทิรา คานธี สาขาสันติภาพ การลดอาวุธและการพัฒนา ประจำปี 2547 แด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่กรุงนิวเดลี เมืองหลวงของอินเดีย ในฐานะที่พระองค์ทรงปฏิบัติภารกิจเพื่อประชาชนเสมอมา วันเดียวกัน ได้มีการประกาศชื่อผู้ได้รับรางวัลอินทิรา คานธี ประจำปี 2548 ได้แก่ นายฮาหมิด คาไซ ประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งคนแรกของอัฟกานิสถาน โดยนายคาไซได้รับเลือกอย่างเป็นเอกฉันท์จากคณะกรรมการ ให้เป็นผู้ได้รับรางวัลอินทิรา คานธี ครั้งที่ 19 ซึ่งจะมีการมอบรางวัลในปีหน้า ทั้งนี้ รางวัลอินทิรา คานธี นับเป็นรางวัลที่มีเกียรติสำหรับบุคคลที่ทำคุณประโยชน์เพื่อสังคม โดยมีบุคคลสำคัญของโลกหลายคนเคยได้รับมาแล้ว เช่น นายราจีฟ คานธี อดีตนายกรัฐมนตรีอินเดีย นายจิมมี่ คาร์เตอร์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นางแมรี โรบินสัน อดีตประธานาธิบดีไอร์แลนด์และนายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ (มติชนรายวัน อาทิตย์ที่ 20 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





บีทีเอส-โรงพยาบาลราชวิถีจัดคลินิกลอยฟ้าเช็กสุขภาพ

นายอาณัติ อาภาภิรม ที่ปรึกษาคณะกรรมการ และรักษาการผู้อำนวยการ ใหญ่สายปฏิบัติการ บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ ผู้ให้บริการรถไฟฟ้า บีทีเอส แจ้งว่า บริษัทฯ จะร่วมกับโรงพยาบาลราชวิถี และกรมการแพทย์ จัดโครงการ Sky Clinic ครั้งที่ 4 ชื่อ คลินิกลอยฟ้าเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี ระหว่าง วันที่ 28 พ.ย. ถึงวันที่ 2 ธ.ค. 2548 ตั้งแต่เวลา 08.00-20.00 น. ณ สถานี รถไฟฟ้าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กิจกรรมในงานจะประกอบด้วย นิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับโรคที่เกิดกับคนเมืองที่มีชีวิตเร่งรีบ เช่น ความดันโลหิตสูง อ้วน เบาหวาน หัวใจ ตา ผิวหนัง ความเครียด ฯลฯ วิธีการป้องกันและการ เสริมสร้างสุขภาพ โดยเน้นในเรื่องการรับประทานอาหารให้ถูกต้องและ เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และให้บริการตรวจสุขภาพเบื้องต้นด้วยเครื่องมือพิเศษฟรี เช่น วัดความหนาแน่นของกระดูก (วัดกระดูกพรุน) ตรวจจอประสาท ตาเพื่อตรวจหาเบาหวานเข้าตา ตรวจต้อหินด้วยภาพดิจิตอล ตรวจสภาพผิวหนัง ตรวจวัดระดับความเครียด ตรวจเลือดเพื่อเช็กเบาหวานและคอเลสเทอรอล เป็นต้น ซึ่งในปีนี้ได้เพิ่มนวดแผนโบราณ และบริการตรวจคลื่นหัวใจ EKG สำหรับผู้หญิงที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป จำนวน 50 คน ต่อวัน โดยจะ มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางให้บริการตรวจเบื้องต้น และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับโรคต่างๆ ซึ่งจะประจำ 2 ช่วงเวลา คือ เวลา 10.00-13.00 น. และ 16.00-19.00 น. ทุกวัน และพิเศษสำหรับผู้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไป รับการตรวจ เลือดเพื่อเช็กเบาหวานและไขมันฟรี รับจำกัดเพียง 80 คนต่อวันเท่านั้น ซึ่งผู้ที่มีความประสงค์จะเข้ารับการตรวจจะต้องงดอาหารและเครื่องดื่มทุก ชนิด 8-10 ชั่วโมง ก่อนเจาะเลือด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ ฮอตไลน์บีทีเอส โทรศัพท์ 0-2617-6000. . (ไทยรัฐ อังคารที่ 22 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





กทม.ทำบัตรสมาร์ทการ์ด

นายรัฐพล มีธนาถาวร รองปลัด กทม. เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย. เป็นต้นไป กรุงเทพมหานครจะเปิดให้บริการบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (SAMART CARD) โดยการทำบัตรแบบอเนกประสงค์ ดังกล่าวนั้น กทม.จะให้บริการเฉพาะ 3 กรณี คือ 1. ผู้ที่มีอายุ 15 ปี ขอมีบัตรเป็นครั้งแรก 2. ผู้ที่บัตรหมดอายุและขอทำใหม่ และ 3. ผู้ที่เปลี่ยนชื่อหรือเปลี่ยนนามสกุลเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่บัตรประชาชนยังไม่หมดอายุก็ขอให้ใช้บัตรเดิมไปก่อน ไม่จำเป็นต้องเดินทางมาทำใหม่ ส่วนผู้ที่บัตรหายแล้ว หรืออ้างว่าบัตรหายและประสงค์มาขอทำใหม่ เพื่อต้องการบัตรแบบอเนกประสงค์นั้น เรื่องนี้จะต้องใช้เวลานาน เพราะเจ้าหน้าที่ต้องสอบสวนอย่างละเอียดจนมั่นใจว่า เป็นรายเดียวกัน และไม่ใช่การสวมตัวทำบัตร จึงจะดำเนินการให้ สำหรับการเริ่มเปิดให้ทำบัตรประชาชนแบบ อเนกประสงค์จะเริ่มทยอยให้บริการตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย. เรื่อยไปทีละ 2-3 เขต ดังนี้ 1. วันที่ 25 พ.ย. เขตดุสิต บางเขน บางพลัด 2. วันที่ 26 พ.ย. เขตมีนบุรี สะพานสูง สายไหม 3.วันที่ 29 พ.ย. เขตพระโขนง วังทองหลาง บางกะปิ 4. วันที่ 1 ธ.ค. เขตบางนา จอมทอง บางขุนเทียน 5. วันที่ 3 ธ.ค. เขตลาดกระบัง บางซื่อ ประเวศ 6. วันที่ 7 ธ.ค. เขตจตุจักร ดอนเมือง หลักสี่ 7. วันที่ 9 ธ.ค. เขตบางแค ภาษีเจริญ บางบอน 8. วันที่ 15 ธ.ค. เขตคันนายาว หนองแขม คลองสามวา 9. วันที่ 17 ธ.ค. เขตดินแดง พญาไท ลาดพร้าว 10.วันที่ 20 ธ.ค. เขตธนบุรี บางกอกใหญ่ ราชเทวี 11. วันที่ 22 ธ.ค. เขตหนองจอก สาทร ยานนาวา 12. วันที่ 24 ธ.ค. เขตบึงกุ่ม ตลิ่งชัน บางกอกน้อย 13. วันที่ 27 ธ.ค. เขตสวนหลวง คลองสาน บางคอแหลม 14. วันที่ 29 ธ.ค. เขตวัฒนา ทุ่งครุ ราษฎร์บูรณะ 15.วันที่ 5 ม.ค. เขตบางรัก ห้วยขวาง ปทุมวัน 16. วันที่ 7 ม.ค. เขตสัมพันธวงศ์ ทวีวัฒนา ป้อมปราบศัตรูพ่าย และวันที่ 10 ม.ค. เขตพระนคร คลองเตย (ไทยรัฐ อังคารที่ 22 พ.ย. 48 http://www.thairath.co.th)





สมเด็จพระเทพฯ ดำริสร้างพิพิธภัณฑ์สภากาชาดไทย

สมเด็จพระเทพฯ ดำริสร้างพิพิธภัณฑ์สภากาชาดไทย แสดงประวัติความเป็นมาของกาชาด เปิดโอกาสให้เด็ก-เยาวชน เข้าชมเป็นที่แรกของโลก เตรียมปลูกฝังให้เด็กรักเพื่อนมนุษย์ ม.ร.ว.จักรรถ จิตรพงศ์ ประธานคณะกรรมการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์สภากาชาดไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้สภากาชาดไทย มีโครงการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์สภากาชาดไทย ตามพระราชดำริของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาสภากาชาดไทย เพื่อใช้เป็นแหล่งรวบรวมความรู้และจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับกาชาดไทยและกาชาดสากล ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่ขณะนี้ยังขาดงบประมาณในการสร้าง ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้ทุนเป็นจำนวนกว่าหลายร้อยล้านบาท โครงสร้างพิพิธภัณฑ์ จะเป็นอาคาร 4 ชั้น ภายในจะแบ่งออกเป็นห้องต่างๆ ได้แก่ ห้องจัดแสดงเรื่องราวของสภากาชาดไทยและกาชาดสากล โดยบอกเล่าผ่านสื่อวีดิทัศน์ ห้องสมุดที่ทันสมัย หอจดหมายเหตุ หน่วยรับบริจาคโลหิต ห้องปฏิบัติการที่จะแสดงสถิติของกรุ๊ปเลือดไว้อย่างชัดเจน มีการจัดแสดงสิ่งของที่เกี่ยวกับสภากาชาดในอดีต ที่สำคัญจะสร้างห้องผ่าตัดจำลอง พร้อมทั้งแสดงวิวัฒนาการของการผ่าตัดให้ผู้เข้าชมได้รับรู้อีกด้วย พร้อมกันนี้จะมีกิจกรรมให้ผู้เข้าชมมีส่วนร่วมในทุกวันเสาร์-อาทิตย์ นอกจากนี้จะใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลางเพื่อถ่ายทอดความรู้ไปให้เด็กๆ ที่อยู่ต่างจังหวัดได้รับรู้เรื่องเกี่ยวกับสภากาชาดไทย เช่นเดียวกับเด็กในกรุงเทพฯ (คมชัดลึก อังคารที่ 22 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net





เตือนไทยจับตาโรควัวบ้าในคน แพทย์จุฬาฯพบเชื้อฟักตัวมานาน10ปี

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา แพทย์ประจำศูนย์ปฏิบัติการโรคทางสมอง คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เปิดเผยว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประเทศไทยจะต้องเริ่มเฝ้าระวังโรควัวบ้าในคน เนื่องจากมีข้อมูลว่าเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ทั้งก่อนและช่วงต้นการระบาดของโรควัวบ้า มีอาหารป่นสำหรับเลี้ยงวัวจำนวนมากถูกส่งขายจากอังกฤษในราคาต่ำ มายังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยที่ประเทศไทยมีเข้ามาจำนวนประมาณ 1,000 ตัน อาหารวัวดังกล่าวเรียกว่า "มีทแอนด์โบนส์มีล" ทำมาจากซากกระดูก เครื่องใน สมอง และไขสันหลังของแกะ ตามปกติต้องนำมาบดป่นผ่านความร้อน แต่ในช่วงดังกล่าวผู้ผลิตต้องการลดต้นทุนค่าพลังงานเชื้อเพลิง ทำให้เชื้อโรคในซากแกะที่วัวกินเข้าไปยังเหลือปริมาณสูง จนเกิดการข้ามสายพันธุ์มายังวัวเป็นโรควัวบ้า และข้ามสายพันธุ์มายังคนในที่สุด ที่สำคัญคือโรคดังกล่าวจะใช้เวลาประมาณ 10 ปีฟักตัวในร่างกายของคนที่รับเชื้อเข้าไป จึงเชื่อได้ว่าในปีนี้จะเริ่มพบโรควัวบ้าในคนแสดงอาการในประเทศไทยแล้ว ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลว่าอาหารวัวดังกล่าวนำเข้ามาใช้ที่ส่วนใดในประเทศเมื่อ 10 ปีก่อน ซึ่งอาหารที่มีโอกาสมีเชื้อวัวบ้าอยู่มากนั้น คือ ส่วนที่มีเส้นเลือดเส้นประสาทวัวซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเชื้อโรค ได้แก่ เนื้อวัวส่วนติดกระดูกเช่นทีโบน และเนื้อแฮมเบอร์เกอร์ที่บดเนื้อวัวส่วนต่าง ๆ รวมกัน เชื้อวัวบ้าจะเข้าไปฟักตัวอยู่ในร่างกายมนุษย์บริเวณ ไต ลำไส้ ม้าม และต่อมทอนซิล ใช้เวลาประมาณ 10 ปีจึงแสดงอาการ ทั้งนี้ ต้องย้ำว่าเป็นการรับประทานเนื้อวัวเมื่อ 10 ปีก่อน เพราะขณะนี้ในประเทศคงไม่มีวัวที่มีโรคนี้แล้ว อาการของโรคมือเท้าชาและเจ็บ ลักษณะคล้ายคนเป็นโรคประสาท และหลังจากนั้นอีกระยะหนึ่งถึงจะมีอาการสมองเสื่อม พอสมองเสื่อมก็จะมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ ไม่รู้สึกตัว แต่ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้นานกว่า 1 ปี โดยจะมีอาการทางอารมณ์และจิตแปรปรวนก่อนหน้าสมองเสื่อม เพราะฉะนั้นคนไข้ที่อายุไม่มากนักจะถูกส่งไปยังจิตแพทย์ ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะเสียชีวิตภายใน 14 - 18 เดือน การวินิจฉัยโรคนี้จะทำได้ยาก เพราะคล้ายเป็นโรคสมองอักเสบ (ข่าวสด อังคารที่ 22 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





มือถือ...มะเร็งร้ายทางสมอง

รายงานทางการแพทย์หลายครั้งระบุว่า การใช้โทรศัพท์มือถือ ทำให้เป็นมะเร็งได้ ซึ่งเกิดจากการนำโทรศัพท์มือถือใส่ไว้บริเวณกระเป๋าเสื้อ เป็นได้ทั้งชายและหญิง ที่สำคัญ คลื่นจากโทรศัพท์มือถือมีผลต่อสมองและสายตาด้วย ที่ต้องระวังเรื่องแบตเตอรี่ที่อาจระเบิดได้ พ.อ.น.พ.สุรเดช จารุจินดา แพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เผยว่า โทรศัพท์มือถือใช้แนบไว้ที่หูครั้งละนานๆ เป็นเวลาหลายปี จะมีผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ใช้โดยตรง โดยมีรายงานการวิจัยในหลอดทดลองว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดจากการรับ-ส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมีความถี่อยู่ในช่วงคลื่นไมโครเวฟทำให้เกิดความร้อน และทำร้ายเซลล์ภายในเนื้อเยื่อบริเวณ หู ตา และสมอง ผลกระทบในระยะสั้น ผู้ที่ได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์มือถือจะทำให้เกิดอาการปวดหู ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว มึนงง ขาดสมาธิ และเครียดเนื่องจากระบบพลังงานในร่างกายถูกรบกวน ผลในระยะยาว อาจทำให้เกิดโรคความจำเสื่อม เนื่องจากเนื้อเยื่อถูกทำลาย เกิดโรคมะเร็งสมองเนื่องจากเนื้อเยื่อสมองมีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมไปจากปกติ และทำให้เกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว การใช้โทรศัพท์มือถือในเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 10 ขวบ จะมีผลกระทบต่อสุขภาพมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถผ่านกะโหลกศีรษะของเด็กเข้าสู่เนื้อเยื่อสมองได้ลึกกว่าของผู้ใหญ่ รวมทั้งการใช้โทรศัพท์มือถือขณะเติมน้ำมัน อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุเพลิงไหม้ได้ เนื่องจากโทรศัพท์มือถือทำให้เกิดประกายไฟที่จุดติดไฟกับน้ำมันได้ วิธีการป้องกัน ไม่ควรใช้โทรศัพท์มือถือติดต่อกันเป็นเวลานาน หากจำเป็นต้องคุยนานให้สลับหูซ้ายหูขวา ควรใช้อุปกรณ์ Small talk หรือ hand fred ทุกครั้งเมื่อใช้โทรศัพท์มือถือ หลีกเลี่ยงการให้เด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 1 ขวบใช้โทรศัพท์มือถือ หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ ขณะเติมน้ำมันรถยนต์ และปิดโทรศัพท์มือถือก่อนเข้าไปในบริเวณที่มีการรับจ่ายน้ำมันและก๊าซ ไม่ควรนำโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกง หรือคาดเอว หรือแขวงไว้ช่วงหน้าอก เพราะมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาจากเครื่องตลอดเวลา อาจทำให้เป็นมะเร็งเต้านมและเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ (ข่าวสด พุธที่ 23 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





วธ.ส่งเสริมสร้างละครแบบ"แดจังกึม"

คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวถึงกระแสละครเกาหลี เรื่อง"แดจังกึม" ที่กำลังได้รับความนิยมในประเทศไทย ว่าละครเรื่องดังกล่าวถือเป็นตัวอย่างในการที่รัฐเข้ามามีส่วนสนับสนุนภาคเอกชน นักธุรกิจส่งเสริมอุตสาหกรรมละคร ภาพยนตร์ ดนตรี รายการโทรทัศน์ เกมของประเทศเกาหลีสร้างอุตสาหกรรมวัฒนธรรมอย่างจริงจัง เป็นการเผยแผ่ศิลปวัฒนธรรมและนำรายได้เข้าประเทศ ดังนั้น รัฐบาลไทยจึงเริ่มตื่นตัวหันมาสนับสนุนอุตสาหกรรมวัฒนธรรมมากขึ้น จากการที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการสื่อสร้างสรรค์สังคมไทย โดยมี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเมื่อเร็วๆ นี้ โดยมีตัวแทนของทุกกระทรวง ทบวง กรมที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ โดยได้แบ่งงานออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้ 1.มาตรการป้องปราม ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) 2.มาตรการสร้างสรรค์ ขจัดสื่อร้าย กระจายสื่อดี ได้แก่ กรมประชาสัมพันธ์ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) 3.มาตรการปลูกฝังจิตสำนึกแก่เด็กและเยาวชน ได้แก่ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ข่าวสด พุธที่ 23 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





กทม.พร้อมเปิดใช้ป้ายจราจรอัจฉริยะ28พ.ย.นี้

นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองผู้ว่าฯกทม. เปิดเผยถึงศูนย์ควบคุมป้ายจราจรอัจฉริยะ ถ.พหลโยธิน บริเวณสนามเป้า ว่า จากการตรวจเยี่ยมความคืบหน้าการติดตั้งป้ายจราจรอัจฉริยะ ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 40 ป้ายทั่วพื้นที่กทม. โดยปัจจุบันติดตั้งแล้วเสร็จ 38 ป้าย คาดว่าป้ายทั้งหมดจะติดตั้งแล้วเสร็จและพร้อมใช้งานวันที่ 28 พ.ย. ทั้งนี้นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม.จะเป็นประธานเปิดศูนย์ควบคุมฯ อย่างเป็นทางการ ศูนย์ควบคุมมีความพร้อมปฏิบัติงานอย่างดี โดยมีเจ้าหน้าที่ทั้งสิ้น 40 คน ประกอบด้วย วิศวกร ช่างเทคนิคที่มีความเชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ทั้งหมดนี้จะหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันควบคุมและบริหารศูนย์ฯ ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรายงานสภาพการจราจรผ่านป้ายจราจรอัจฉริยะ ทั้งนี้ป้ายจราจรดังกล่าวจะเป็นทางเลือกแก่ผู้ขับขี่ว่าควรจะใช้เส้นทางใดเพื่อประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายมากที่สุด เป็นการลดปัญหาการขับขี่แบบเดาสุ่มเนื่องจากไม่ทราบสภาพการจราจร ในเส้นทางที่กำลังขับขี่ไปข้างหน้า และภายหลังจากเปิดโครงการแล้ว 2 เดือน บริษัทจะสำรวจความพึงพอใจของผู้ใช้รถใช้ถนน เพื่อนำข้อมูลมาใช้ปรับปรุงป้ายให้ดียิ่งขึ้น จากนั้นอีก 6 เดือนจะสำรวจซ้ำเพื่อนำข้อมูลมาปรับปรุงอีกครั้ง ( ข่าวสด พุธที่ 23 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th/khaosod)





นโยบายวิจัยยุโรปไม่สนการเมือง

ขณะนี้สหภาพยุโรปหรืออียู-European Union ได้คิดที่จะตั้งสภาการวิจัยแห่งยุโรปขึ้นหรือเรียกว่า European Research Council ขึ้นโดยคณะกรรมการซึ่งประกอบไปด้วยนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในยุโรป 22 ท่าน จากหลายประเทศ กำลังจะตัดสินใจแนวทาง นโยบาย การสนับสนุนงานวิจัยโดยไม่อยากให้ฝ่ายการเมืองมาชี้นำ หรือมาวุ่นวายมาก เพราะเกรงว่าจะทำให้ผลงานที่ได้ไม่มีคุณภาพเป็นเลิศดังที่ตั้งใจไว้ ในงานนี้ทางคณะกรรมการสหภาพยุโรปได้เสนอเงินสำหรับงานวิจัยของสหภาพยุโรปไว้ประมาณ 14 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 560,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการ 7 ปี ที่ชื่อว่า ฟ้าสีน้ำเงิน หรือ บลู สกายส์-Blue Skies ซึ่งหลายประเทศเห็นด้วยแต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องรายละเอียดอยู่บ้าง ทางยุโรปมักจะแข่งขันกับอเมริกาอยู่เสมอ ในเรื่องงานวิจัยก็เช่นกัน โดยเปรียบเทียบนักวิทยาศาสตร์กันแล้วระหว่างปี 1980 ถึง ปี 2003 ยุโรปมีนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาแพทยศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมี 68 คน ส่วนอเมริกามีถึง 154 คน ส่วนจีนและอินเดียยังน้อยอยู่ ส่วนของประเทศไทยลำบากหน่อยคือ ไม่เคยมีเลย นอกจากนี้ปัญหาที่เกิดกับยุโรปก็คือ ยุโรปยังต้องการนักวิจัยเพิ่มขึ้นอีกถึง 700,000 คน เพื่อที่จะให้เป็นไปตามค่าใช้จ่ายสำหรับเป้าหมายของงานวิจัยและพัฒนาให้ถึง 3% ของผลิตภัณฑ์ มวลรวมหรือ GDP ในปี 2010 ทั้งนี้เพราะนักวิทยาศาสตร์หนุ่มสาวของยุโรป หลังจากเรียนจบระดับสูงจากมหาวิทยาลัย แล้วก็ย้ายไปเป็นนักวิจัยที่สหรัฐอเมริกา เพราะ รายได้ดีกว่ามาก เพราะฉะนั้นสหภาพยุโรปโดยเฉพาะ ดร.โนวอทนี ผู้อำนวยการสภาวิจัยแห่งยุโรป จึงได้เห็นว่าการมียุโรปร่วมกันทำงานวิจัยจะมีผลดีเพราะยังทำให้นักวิจัยยังคงอยู่ในยุโรป แต่ปัญหาก็ยังอยู่ที่การตัดสินใจว่า วาระ แห่งงานวิจัยนั้นจะสามารถที่จะอิสระจากการแทรก แซงและอิสระจากขั้นตอนที่ซับซ้อนของกฎระเบียบ จากประเทศสมาชิกหรือไม่ และขณะนี้กำลังเขียน ธรรมนูญแห่งการวิจัยอยู่และก็เกรงว่าอาจจะมีการให้ฝ่ายการเมือง เข้ามาจัดลำดับความสำคัญของงานวิจัย และก็มีบางประเทศที่อยากจะให้เงินงบประมาณงานวิจัยถูกจัดสรรไปตามสัดส่วนเงินของประเทศที่เข้ามาร่วมโครงการซึ่งก็จะทำให้คุณภาพของงานวิจัยไม่เป็นไปตามเป้า การตัดสินใจก็ยังจะคงต้องอยู่กับรัฐสภา และนักการเมืองแต่ละประเทศในที่ประชุมของสหภาพยุโรปอยู่ดี (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 24 พ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





ครัวไทยตั้งเป้าที่ 2 ของโลก

นายพิมล ศรีวิกรม์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะคณะกรรมการศูนย์พัฒนาอาหารไทยและครัวไทยสู่โลก เปิดเผยว่า โครงการครัวไทยสู่โลกได้ลงนามความร่วมมือ(เอ็มโอยู)กับ William Angliss Institute of TAFE ซึ่งเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงด้านบริหารการโรงแรมท่องเที่ยวและเป็นสถาบันที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเมลเบิร์นประเทศออสเตรเลียบรรจุหลักสูตรอาหารไทยสอนชาวต่างชาติหรือสอนเจ้าของร้านอาหารไทยและพ่อครัวแม่ครัวคนไทยที่สนใจทำอาหารไทยรสชาติแบบไทยแท้ ซึ่งหลักสูตรดังกล่าวจะเริ่มเปิดสอนได้ในเดือนก.พ.49 นอกจากนี้ยังได้เจรจากับวิทยาลัยบริหารการจัดการโรงแรม และสอนเชฟในนครซิดนีย์หรือ TAFE NSW EDU ซึ่งพร้อมที่จะบรรจุหลักสูตรอาหารไทยเข้าสอนในหลักสูตรของวิทยาลัยได้ทันทีภายหลังจากเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการประมาณเดือนธ.ค.นี้ การเปิดยุทธศาสตร์สอนชาวต่างชาติทำเมนูอาหารไทยนั้นคาดว่าจะทำให้มีการขยายฐานร้านอาหารไทยในออสเตรเลียเพิ่มขึ้นกว่า 1,000 ร้านและมีการส่งออกผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบอาหารไทยเพิ่มขึ้น 1,000 ล้านบาท รวมทั้งทำให้นักท่องเที่ยวรู้จักประเทศไทยและรับประทานอาหารไทยเพิ่มขึ้น 20% สำหรับประเทศเป้าหมายในการเจรจาสอนหลักสูตรอาหารไทยในเบื้องต้นจะเปิดให้ครอบคลุมทั่วโลกกว่า 10 แห่ง และคาดว่าในปี 2550 โครงการครัวไทยสู่โลกจะสามารถโปรโมตอาหารไทย พ่อครัวแม่ครัวไทยให้เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมในตลาดเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากอาหารอิตาเลียนและอาหารจีน (สยามรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 24 พ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





สถาปนิกสยามยกระดับก่อสร้างไทย ร่วมมือ 8 องค์กรจัดสัมมนาออกแบบสู่สากล

พล.ร.ต.ฐนิธ กิตติอำพน นายกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า สมาคมสถาปนิกสยามจึงได้ร่วมมือกับองค์กรภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องด้านการก่อสร้าง 8 องค์กร ประกอบด้วย กรมโยธาธิการและผังเมือง, กระทรวงมหาดไทย, กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ, กระทรวงพาณิชย์, กรมการประกันภัย กระทรวงพาณิชย์, สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม, สภาวิศวกร วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์, สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสมาคมผู้ตรวจสอบและบริหารความปลอดภัยอาคาร จัดสัมมนาวิชาการสหวิชาชีพหัวข้อ “Innovative Aspects for Building Design and Construction” ในวันที่ 16-17 ธ.ค.2548 ณ ห้องจูปีเตอร์ โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายทางการค้าและผลกระทบต่อวิชาชีพออกแบบและก่อสร้าง การป้องกันและมาตรฐานความปลอดภัยของอาคาร เพื่อยกระดับไปสู่สากล และมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะแข่งขันในตลาดระดับโลกที่มีแนวโน้มรุนแรงในการการออกแบบและก่อสร้าง โดยเฉพาะเมื่อมีการเปิดเขตการค้าเสรี กับประเทศต่างๆ (สยามรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 24 พ.ย. 48 http://www.siamrath.co.th)





ชี้อาหารเสริมกินสุ่มสี่สุ่มห้าติดหวัดไข้ง่าย

ทีมวิจัยฮอลแลนด์พบความสัมพันธ์ของอาหารเสริมกับโรคหวัด ระบุคนที่ติดหวัดง่ายมักจะเป็นคนที่นิยมรับประทานอาหารเสริม เช่น วิตามินอัดเม็ด ขณะที่บ้านที่มีสัตว์เลี้ยงและเด็ก ยิ่งเสี่ยงสูงเป็นไข้หวัดได้เช่นกัน งานวิจัยนี้ เพื่อค้นหาสาเหตุที่ทำให้มนุษย์เกิดอาการป่วยไข้ได้ง่าย ประกอบกับที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์สงสัยกันมานานแล้วว่า อาหารเสริมมีประโยชน์ต่อสุขภาพจริงหรือ เพราะในปัจจุบันมีชาวยุโรปมากนับล้านราย นิยมบริโภคอาหารเสริม เนื่องจากเชื่อว่าจะช่วยให้สุขภาพแข็งแรงและต้านทานโรคภัยไข้เจ็บได้ สำหรับสาเหตุการเจ็บไข้ โดยเฉพาะไข้หวัด พบว่า ความเครียดเป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดอาการดังกล่าวได้ โดยหนึ่งในสามของชายและหญิงที่ตกอยู่ในภาวะเครียด มักจะมีไข้ตามมา และเกิดอาการหนาวสั่นกว่าคนที่จิตใจปกติสุข ทั้งยังพบด้วยว่า ปริมาณการบริโภควิตามินในรูปอัดเม็ดสัมพันธ์กับการเกิดอาการป่วยไข้ แม้ว่าความสัมพันธ์ดังกล่าวจะได้รับอิทธิพลมาจากความจริงที่ว่า คนเครียดมีแนวโน้มจะกินอาหารเสริมมากขึ้นก็ตาม คาริน โปสเทลแมนส์ นักวิจัย บอกว่า ทีมงานกำลังให้ความสำคัญไปที่ผู้ที่นิยมกินอาหารเสริมเป็นชีวิตจิตใจ และต้องการรู้ให้ได้ว่า ผลการศึกษาดังกล่าวไม่ใช่เรื่องบังเอิญ สำหรับผู้ที่มีอยู่ในภาวะเครียดจะเกิดการหลั่งฮอร์โมนความเครียด ได้แก่ คอร์ติซอลและอะดรีนาลีนออกมา ซึ่งฮอร์โมนทั้งสองชนิดจะเข้าไปหยุดประสิทธิภาพการทำงานของอวัยวะภายในร่างกาย ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและควบคุมเซลล์ต้านทานโรคไข้หวัด (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 24 พ.ย. 48 http://www.komchadluek.net)





3จังหวัด"ไทยลาวเวียดนาม"จับมือ" เพิ่มศักยภาพท่องเที่ยวเมืองชายแดน

นายณรงศักดิ์ คูบุญญอารักษ์ ผู้อำนวยการศูนย์การท่องเที่ยว กีฬาและนันทนาการจังหวัดมุกดาหาร เปิดเผยว่า จากการประชุมความร่วมมือเจ้าหน้าที่ด้านการท่องเที่ยว 3 จังหวัด 3 ประเทศ คือ ไทย-ลาว-เวียดนาม ที่แขวงสะหวันนะเขต ประเทศลาว เพื่อหารือเรื่องการอำนวยความสะดวกการเดินทางท่องเที่ยว โดยที่ประชุมได้เสนอให้แต่ละฝ่ายปรับปรุงการบริการด้านพิธีการเข้าเมืองที่บริเวณด่านสากลเข้า-ออกเมืองให้มีความสะดวกรวดเร็วประทับใจ คุ้มครองประกันภัย และจัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ให้แต่ละฝ่ายที่มีด่านสากลเข้า-ออกเมือง จัดทำป้ายแสดงเวลา เปิด-ปิดด่าน เวลาทำการของทางราชการ อัตราค่าธรรมเนียมต่างๆ และขอบเขตการเดินทางที่อนุญาต เพื่อให้ให้นักท่องเที่ยวได้ทราบระเบียบต่างๆ ที่แต่ละประเทศกำหนดไว้ เป็นภาษาไทย ลาว เวียดนาม และอังกฤษ ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวมีความสะดวกในการปฏิบัติตามระเบียบที่ได้กำหนดไว้ ตลอดจนให้บริษัทท่องเที่ยวของทั้ง 3 ประเทศต้องอำนวยความสะดวกในการรับส่งนักท่องเที่ยวและปฏิบัติตามระเบียบ กฎหมายในการเข้า-ออกเมืองให้ถูกต้องและครบถ้วนตามกฎระเบียบของประเทศนั้นๆ โดยยืนอยู่บนพื้นฐานของการประสานงานร่วมกัน ทั้งยังให้เจ้าหน้าที่ของทั้ง 3 ประเทศ แลกเปลี่ยนเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวกันด้วย (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 24 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)





ระวังสเปรย์อันตราย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ออกมาเตือนภัยกับการกระทำของมิจฉาชีพในรูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นภัยอันตรายกับสาธารณชน ล่าสุดได้ออกมาเตือนว่าขณะนี้กำลังมีการระบาดของกลุ่มมิจฉาชีพที่ทำทีมาขายสเปรย์ปรับอากาศในรถยนต์ ตามสถานที่ต่าง ๆ อาทิ ตามลานจอดรถ แต่จริง ๆ แล้วสารในสเปรย์กระป๋องนั้นคือ คลอโรฟอร์ม ที่ทำให้ผู้ใช้รถสลบได้ โดยมีเหตุการณ์ตัวอย่างเริ่มจากที่เด็กสาววัยรุ่นท่าทางน่าไว้วางใจ ทำทีมาเคาะประตูขณะที่รถจอด หรือกำลังจะจอดรถ หากท่านไม่ระวังหรือไขกระจกเพื่อพูดคุยด้วย สเปรย์มรณะดังกล่าวจะถูกฉีดเข้าในรถ เมื่อสลบ งัวเงีย สะลึมสะลือไม่ได้สติ จะมีเพื่อนร่วมแก๊งที่เป็นผู้ชายจะแอบย่องเข้ามาปลดทรัพย์ หรืออาจทำอันตรายร่างกายถึงแก่ชีวิตหรือบาดเจ็บได้. (เดลินิวส์ เสาร์ที่ 26 พ.ย. 48 http://www.dailynews.co.th)





เครื่องดื่มมหันตภัย"สี่คูณร้อย" อย.ฟันธงกระตุ้น"ล้างสมอง"

พล.ท.ขวัญชาติ กล้าหาญ แม่ทัพภาคที่ 4 เปิดเผยว่า พบยาเสพติดชนิดใหม่แพร่ระบาดในกลุ่มวัยรุ่นมุสลิม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในชื่อ "เครื่องดื่มมหันตภัย" หรือ "สี่คูณร้อย" ซึ่งมี 2 สูตร คือ สูตรแรกมีส่วนประกอบ คือ ใบกระท่อม ยากันยุงชนิดขด น้ำอัดลมโคล่า สูตรที่ 2 ประกอบด้วย ใบกระท่อม ยากันยุงชนิดขด ยาแก้ไอตราไก่ ถ้าต้องการเพิ่มฤทธิ์กล่อมประสาทก็ผสมยาอัลฟาโซแรม ซาแน็กซ์ ศ.ดร.ภักดี โพธิศิริ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) กล่าวว่า อย.มีมาตรการควบคุมวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท โดยยาแก้ไอผสมโคเดอีนให้จ่ายเฉพาะในสถานพยาบาล ส่วนยาแก้ไอเดร็กโตเมธาแฟน ยกเว้นให้แผงขนาดบรรจุ 4-10 เม็ด สามารถซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป เมื่อเกิดการนำมาใช้ผิดประเภท หวังผลให้เกิดฤทธิ์หลอนประสาท เคลิบเคลิ้ม ทาง อย.จะเสนอให้คณะอนุกรรมการยาพิจารณายกเลิกข้อยกเว้นเดิม เพื่อให้สามารถหาซื้อยาชนิดนี้ได้จากร้านค้าที่มีเภสัชกรประจำเท่านั้น ยาอัลฟาโซแรมซึ่งเป็นยากล่อมประสาท อย.ควบคุมปริมาณให้ใช้ได้สถานพยาบาลหรือคลีนิคละ 2,000 เม็ด ซึ่งจากสถิติการใช้ยาแก้ไอที่มีโคเดอีน และยาอัลฟาโซแรม ในภาคใต้มีแนวโน้มลดลง สำหรับยากันยุงชนิดขดจะมีสารไพรีทรอยด์ ใน 1 ขดมีสารนี้ประมาณ 30 มิลลิกรัม ต้องได้รับปริมาณถึง 300 มิลลิกรัม จึงจะมีอาการทางประสาท และหากได้รับเกิน 360 มิลลิกรัม จะเกิดพิษต่อร่างกาย ขณะที่น้ำอัดลมประเภทน้ำดำมีแคฟเฟอีน ทำให้กระตุ้นประสาท ส่วนใบกระท่อมนั้นมีสารอัลคาลอยด์เรียกว่า ไมตราไกนีน(Mitragynine) มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้ประสาทหลอน ยาและสารเคมีทุกชนิดที่บริโภคเข้าร่างกายมีพิษต่อตับและไต เมื่อรับเข้าไปปริมาณมากร่างกายก็ต้องหาทางขับออก เมื่อใช้ไปนานๆ จะเกิดการเสพติด ต้องเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ มีอาการทางจิตและประสาท ส่วนผสมในเครื่องดื่มมหันตภัยไม่ทำให้เกิดการ "ล้างสมอง" แต่การล้างสมองเปลี่ยนแปลงความเชื่อทำได้ง่ายหากคนนั้นมีจิตใจเคลิบเคลิ้มหรือเคลิ้มฝัน (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 26 พ.ย. 48 http://www.matichon.co.th)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215