|
หัวข้อข่าวปีที่ 7 ฉบับที่ 4 ประจำวันที่ 2006-01-22
ข่าวการศึกษา
เสมา 1 ย้ำให้ความสำคัญอุดมฯ ขยายความร่วมมือมหา"ลัย"ไทย-จีน" สาขา"แพทย์-เกษตร-อิเล็กทรอนิกส์" นักศึกษาธรรมศาสตร์ คว้ารางวัลชนะเลิศ ดาวนักสร้างแอนิเมชั่น แนะศธ.เตรียมครูรับมือเทคโนโลยีใหม่ ปิ๊งงานวิจัยยูเนสโก สั่งแปลไทยเผยแพร่ ใช้คู่ปฏิรูปการสอน มสธ.สั่งถอนพ้นสภาพน.ศ. พันคนยื่นวุฒิศึกษาปลอม "สพฐ."เร่งทำคู่มือจัดการศึกษารูปแบบ"โฮมสคูล" ไอซีแอลบีบมหาลัย รื้อหลักสูตรเน้นวิทย์ จุดขายดึงเงินรายหัว สกศ.โชว์ออฟผลงาน การศึกษาทางเลือก เตรียมจัดรายหัวปี 49 อปท.รุกอีกคืบขอตั้งมหาวิทยาลัยท้องถิ่น
ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี
กระทรวงวิทย์เฟ้นหายอดเยาวชนคนเก่งพีซี จีน-โต้โผใหญ่วิจัยภาวะโลกร้อน รถเต่าตาทิพย์ระวังคนเดินเบรกทำงานอัตโนมัติหลบการชนได้ทันใจ นาซาประกาศรับ "อาสาสมัครวิจัยฝุ่น"แกะรอยต้อนกำเนิดระบบสุริยะ เครื่องร่อนแบบง่าย "เทเลเมดิซีน" หมอไฮเทคประจำบ้าน ระบบขนส่งอัจฉริยะ 5ชาติลุ่มน้ำโขงลุยทำวิจัยผลกระทบเขื่อนจีน วท.พาสปอร์ตไฟเขียวเด็กอัจฉริยะใช้แล็บ สุราษฎร์ฯผลิต"โอมเพี้ยง"บำบัดน้ำเสีย "มนุษย์อวกาศบราซิล"คนแรก พร้อมเดินทางสู่สถานีไอเอสเอส รัฐนิวยอร์กสว่างไสว ด้วยไฟฟ้าแสงอาทิตย์ เปิดห้องดูดาวข้ามซีกโลก ไทยจับมืออังกฤษสร้างนักดาราศาสตร์รุ่นใหม่ บุก"พลูโต"ดาวเคราะห์ดวงที่ 9 ไทยเตรียมรับมือคลื่นลูกใหม่ 'อาร์เอฟไอดี' มอ.เขียนโปรแกรมห้องสมุดอัตโนมัติ นักวิทยาศาสตร์ทึ่ง เปิดยานสตาร์ดัสต์ เจอวัตถุอวกาศจิ๋ว หยดน้ำอัจฉริยะเทคโนโลยี "อิเล็กโทรเวตติ้ง" สถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์เพื่อ สวล. ลดขยะบรรจุภัณฑ์ลดต้นทุน
ข่าววิจัย/พัฒนา
น้ำมะเขือเทศ คุ้มครองคอยาจากโรคถุงลม เตือนนักจ๊อกกิ้งสาวใส่ยกทรงกีฬาป้องกันทรวงหย่อนยาน ประดิษฐ์อุปกรณ์รถแสนรู้ ช่วยคนขับแคล้วคลาดอุบัติเหตุ วิจัย...กากมะเขือเทศ ใช้เป็นอาหารเลี้ยงโคได้ดี พบสารกระตุ้นความอยาก ลุ้นใช้เป็นอาวุธสู้โรคอ้วน ไอซีทีมอบจุฬาฯวิจัยเกมออนไลน์ วท.ผลิตเครื่องหีบสบู่ดำ ต้นทุนต่ำทดแทนนำเข้า หนุนเผาถ่านใช้เอง-ลดใช้ถ่านเผาจากไม้ใหญ่ ได้"น้ำส้มควันไม้"ทำผลผลิตเพิ่ม ทำชุดตรวจวัดเชื้อไข่ของชาย หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป รับวิตามินดีในปริมาณมาก ลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม เยาวชนไทยโชว์เจ๋ง!! ประดิษฐ์เครื่องตัดหญ้าแบบนั่งขับ กินของหวานๆ หัวสมองแล่น สามารถจดจำข้อความได้มากขึ้น ผลงานนักศึกษาช่วยคนพิการชุดลากวีลแชร์พลังงานไฟฟ้า ยกย่องทีมวิจัยม.นเรศวร พบขิงแก้อาการแพ้หลังการผ่าตัด กระดาษจากใยตะไคร้งานศิลปะที่ถูกใจไทยและเทศ ฝังแบตฯจิ๋วรักษาตาเสื่อม สหรัฐระดมผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาพัฒนา ไทยพัฒนาข้าวหุงสุกเร็ว 3 นาที หวังเทียบชั้นบะหมี่สำเร็จรูป ขายข้าว...ชั่งตามน้ำหนัก นวัตกรรมข้าวไทยเคลือบสมุนไพร พบยีนเป็นโรคเบาหวาน
ข่าวทั่วไป
คณิสสร นาวานุเคราะห์ ตั้งศูนย์ทรัพย์สินทางปัญญาต่อยอดธุรกิจ วธ.ได้ข้อสรุปเรตติ้งรายการทีวี-เกม เตือนกิน"ยาลดความดัน" เสี่ยงกล้ามเนื้อหัวใจตาย เด็กไทยสร้างชื่อคว้า 136 รางวัลศิลปะเด็กนานาชาติ ดื่มน้ำบำบัดโรค พืชสวนโลกจัด 5 กิจกรรมดันเป็นศูนย์ฯไม้ผลเมืองร้อน ก.พ.วางเกณฑ์"ขรก.4กลุ่ม" เกษียณไม่เท่ากัน"55-65ปี" ไอบีเอ็มครองแชมป์จดสิทธิบัตรมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาติดต่อกันนานถึง 13 ปี แผ่นที่โบราณเมืองสยาม พลิกประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่ ลุ้นขึ้นทะเบียนมรดกโลกเพิ่ม
ข่าวการศึกษา
เสมา 1 ย้ำให้ความสำคัญอุดมฯ
จากการประชุมเครือข่ายอธิการบดี ครั้งที่ 1 นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว. ศึกษาธิการ กล่าวตอนหนึ่งในการบรรยายพิเศษเรื่อง จากใจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการถึงอธิการบดี ว่า สิ่งที่ตนอยากกล่าวกับเครือข่ายอธิการบดีฯ จากใจก็คือ รัฐบาล กระทรวงศึกษาธิการ และตนในฐานะ รมว.ศึกษาธิการ ให้ความสำคัญกับการอุดมศึกษามาก แต่เนื่องจากที่ผ่านมา ตนจำเป็นต้องทุ่มเทเวลาให้กับการวางยุทธศาสตร์การศึกษาให้ครอบคลุมทุกด้าน รวมไปถึงระดับอุดมศึกษาด้วย จึงอาจจะไม่ค่อยมีเวลาที่จะได้หารือกับเครือข่ายอธิการบดี แต่ขอยืนยันเห็นความสำคัญของอุดมศึกษาแน่นอน ทั้งยังเชื่อว่าเราสามารถสื่อสารกันได้ และพูดภาษาเดียวกันได้ไม่ยาก เพราะตนยังได้รับความช่วยเหลือจากอธิการบดีอยู่ และคิดว่าหลังจากนี้ตนจะตระเวนหารือและพูดคุยกับมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อนำนโยบายไปสู่ภาคปฏิบัติให้มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) จะต้องเร่งตัดสินใจว่าจะให้ผู้เรียนภาคค่ำกู้ได้หรือไม่ ทั้งเรื่องปรัชญาของ กรอ. และเรื่องการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ และอยากให้ชาวอุดมศึกษาช่วยคิดเรื่องการพัฒนาอุดมศึกษา ภายใต้ข้อจำกัดที่มีอยู่ โดยในเรื่องการผลิตกำลังคนนั้น จะต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นดูแลให้เป็นระบบ มีคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ภาคเอกชน สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาเป็นเลขานุการ สร้างเกณฑ์และตัวชี้วัด เพื่อสนับสนุนและสร้างแรงจูงใจให้มหาวิทยาลัยผลิตกำลังคนที่ประเทศต้องการ และลดแรงจูงใจเพื่อลดการขยายการผลิตบัณฑิตที่ไม่มีคุณภาพ นอกจากนี้ ยังต้องทั้งเร่งรัดการจัดอันดับคุณภาพอุดมศึกษา (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 16 ม.ค. 49 http://www.thairath.co.th)
ขยายความร่วมมือมหา"ลัย"ไทย-จีน" สาขา"แพทย์-เกษตร-อิเล็กทรอนิกส์"
นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า ตนได้หารือร่วมกับนายจาง ซินเซิ่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อเร็วๆ นี้ เกี่ยวกับความร่วมมือทางด้านอุดมศึกษา ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยกับจีนมีความร่วมมือกันค่อนข้างมาก และนักศึกษาไทยสนใจเรียนภาษาจีนเป็นวิชาเอกจำนวนนับพันคน มีการจัดตั้งสถาบันขงจื้อที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวมทั้งในขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาเพื่อจัดตั้งที่มหาวิทยาลัยบูรพาด้วย นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังให้เงินสนับสนุนในการจัดตั้งสถาบันจีนศึกษาที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และปัจจุบันยังมีโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษา และอาจารย์ระหว่างมหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกับมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) ซึ่งมีนักศึกษาจีนเข้ามาเรียนจำนวนมาก เพราะค่าเล่าเรียนไม่แพง (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 16 ม.ค. 49 http://www.matichon.co.th)
นักศึกษาธรรมศาสตร์ คว้ารางวัลชนะเลิศ ดาวนักสร้างแอนิเมชั่น
นักศึกษาธรรมศาสตร์ ได้รับรางวัลชนะเลิศ ดาวนักสร้างแอนิเมชั่น จากการประกวด Acer and Imagimax Animation Explo ration Contest 2005 ผลงานถูกนำมาผลิตเป็นภาพยนตร์โฆษณาทีวีของเอเซอร์ และได้สนับสนุนต่อเนื่องภายใต้โครงการผลิตบุคลากรทางด้าน 3D แอนิเมชั่นสำหรับเกมสื่อภาพเสมือนจริง นายนิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวว่า Acer and Imagimax Animation Explo ration Contest 2005 เป็นโครง การฯ ที่เอเซอร์และอิมแมจิแมกซ์ ร่วมมือกันจัดขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมพัฒนาบุคลากรและเทค โนโลยีอุตสาหกรรม การสร้างสรรค์ผลงานด้านแอนิเมชั่น โครงการดังกล่าวฯ ได้รับความสนใจและการตอบรับที่ดีจากนักศึกษาทั่วประเทศ สมัครเข้าร่วมกิจกรรม และการสนับสนุนจากสถาบันการศึกษาให้การสนับสนุนการจัดงานสัมมนา รวมถึงการส่งผลงานเข้าประกวดกว่า 50 ชิ้นงาน ด้านนายเกรียงไกร ศุภรสหัสรังสี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อิมเมจิแมกซ์ จำกัด กล่าวว่า หลังจากที่ได้มีการจัดโครงการนี้ ทำให้เห็นถึงศักย ภาพของเยาวชนไทยในอุตสาหกรรมแอนิเมชั่น ที่หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ควรให้การส่งเสริมและผลักดันเยาวชน ให้มีความรู้ความสามารถมากขึ้น เพื่อตอบรับการเติบโตของตลาดที่กำลังเป็นที่ต้องการทั้งในและต่างประเทศ จะเห็นได้จากผลงานโฆษณาในปัจจุบันที่ใช้เทคโนโลยีผลิต ผลงานแอนิเมชั่น ดึงดูดใจและเข้าถึงผู้บริโภคในการเลือกสินค้า สำหรับผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในปีนี้คือนายธนายุทธ พจน์โยธิน จากทีม Porous media มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ส่วนผู้ชนะเลิศอันดับ 2 คือนายสรรเสริญ ศุทธิชัยนิมิต จากทีม Abnimation และผู้ชนะเลิศอันดับ 3 คือ นายเอกสิทธิ์ ตันสกุล จากทีม Gt9 ทั้งนี้ผลงานของผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศจะถูกนำมาผลิตเป็นภาพ ยนตร์โฆษณาทีวีเอเซอร์ พร้อมได้รับการสนับสนุนเข้าสู่อุตสาหกรรมแอนิเมชั่น ภายใต้โครงการผลิตบุคลากรทางด้าน 3D แอนิเมชั่นสำหรับเกมสื่อภาพเสมือนจริง. (เดลินิวส์ อังคารที่ 17 ม.ค. 49 http://www.dailynews.co.th)
แนะศธ.เตรียมครูรับมือเทคโนโลยีใหม่
ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ์ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้สั่งซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กจากต่างประเทศ จำนวน 1 ล้านเครื่องสำหรับแจกจ่ายให้แก่นักเรียนทั่วประเทศ ซึ่งคาดว่าจะส่งมาถึงประเทศไทยในประมาณปลายปี 2549 นั้น ตนอยากถามว่าขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมความพร้อมอะไรไว้บ้างหรือยัง เพราะคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตมีทั้งคุณและโทษในเวลาเดียวกัน ถ้าไม่มีการเตรียมการรองรับไว้ตนเกรงว่า เด็กจะรู้ไม่เท่าทันเทคโนโลยีได้ ดังนั้นในช่วง 1 ปีนี้ น่าจะมีการเตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆ ไว้ เช่น การผลิตสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีคุณภาพ เหมาะสำหรับเด็กแต่ละช่วงชั้น ต้องมีการพัฒนาครูเพื่อรองรับการสอนด้วยไอทีเป็นการเฉพาะ ถึงแม้ ศธ.จะมีแนวคิดให้สอดแทรกการสอนไอทีไว้ในรายวิชาต่าง ๆ แต่ขณะนี้ครูก็ยังไม่มีความพร้อมในการใช้ไอที โดยระยะแรกอาจใช้วิธีจ้างครูอัตราจ้างชั่วคราวมาสอนโดยจ้างเป็นเขตพื้นที่การศึกษา เพื่อให้มาเป็นวิทยากรให้แก่โรงเรียนในเขตกันได้ นอกจากนี้จะต้องพัฒนาการใช้ไอทีให้ครูประจำกลุ่มสาระต่าง ๆ ด้วยโดยส่วนกลางควรทำคู่มือบูรณาการการใช้ไอทีในการสอนในแต่ละรายวิชา มีการสร้างหลักสูตรไอทีขั้นพื้นฐาน ที่สำคัญต้องสอนให้เด็กรู้จักวัฒนธรรมการใช้คอมพิวเตอร์ ไอทีอย่างสร้างสรรค์ มีความสามารถในการรับมือภัยจากปฏิกูลทางวัฒนธรรมได้ ไม่ใช่แค่เปิดอินเทอร์เน็ตเป็นเท่านั้น รวมถึงต้องอบรมพ่อแม่ ผู้ปกครองให้รู้จักและร่วมเรียนรู้ผ่านทาง ไอทีด้วย โดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์ และข้อดีของ อินเทอร์เน็ตว่าทำอะไรได้บ้าง และมีภัยอะไรแอบแฝงอยู่บ้าง อย่าให้อีเลิร์นนิ่งเป็นแค่การเรียนรู้ของเด็ก แต่ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์จากจุดนี้ (เดลินิวส์ พุธที่ 18 ม.ค. 49 http://www.dailynews.co.th)
ปิ๊งงานวิจัยยูเนสโก สั่งแปลไทยเผยแพร่ ใช้คู่ปฏิรูปการสอน
นางจรวยพร ธรณินทร์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในฐานะโฆษกประจำ ศธ. เปิดเผยว่า ตามที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ ได้ร่วมประชุมสมัยสามัญ ครั้งที่ 33 ของคณะกรรมการว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือองค์การยูเนสโก เมื่อเร็วๆ นี้นั้น นายจาตุรนต์ ได้ให้ความสนใจในเอกสารของสถาบันระหว่างประเทศ เพื่อการวางแผนด้านการศึกษาของสหประชาชาติโดยให้คัดเลือกผลงานวิจัย และเอกสารดีเด่น ที่ตรงกับความต้องการในการจัดการศึกษาของไทย จำนวน 40 ฉบับ พร้อมกันนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ดำเนินการจัดแปลเพื่อเผยแพร่ต่อไป อาทิ การพัฒนาหลักสูตรแห่งชาติและหลักสูตรสถานศึกษา, การพัฒนาวิชาชีพครู, การปรับปรุงประสิทธิผลของโรงเรียน, การจัดการความสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัยกับภาคอุตสาหกรรมในประเทศแถบเอเชียตะวันออกหรือการปฏิรูปการศึกษาและกระแสโลกาภิวัฒน์ : สิ่งที่ผู้วางแผนการศึกษาต้องรู้ เป็นต้น ผลงานวิจัยเหล่านี้เผยแพร่ เพราะเห็นว่ามีความสอดคล้อง กับนโยบายการประกาศเจตนารมณ์ 2549ปีแห่งการปฏิรูปการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้บริหารสถานศึกษา ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้ศึกษาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานปฏิรูปการศึกษา และพัฒนาการเรียนการสอนต่อไป โดยครูไม่ต้องเสียเวลาทำการวิจัยการปฏิรูปการเรียนการสอนเอง แต่สามารถนำองค์ความรู้เหล่านี้มาประยุกต์ใช้ได้ ทั้งนี้ ศธ.จะนำงานวิจัยที่แปลเป็นภาษาไทย แบบสมบูรณ์เผยแพร่ในกิจกรรมกระทรวงศึกษาธิการสัญจร 4 ภูมิภาค ยังจะเปิดให้ดาว์นโหลดเอกสารฉบับแปล ทั้งหมดที่ได้ www.onnec.go.th (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 18 ม.ค. 49 http://www.siamrath.co.th)
มสธ.สั่งถอนพ้นสภาพน.ศ. พันคนยื่นวุฒิศึกษาปลอม
นายปรัชญา เวสารัชช์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 16 มกราคมว่า จากการตรวจสอบข้อมูลของผู้ที่ใช้ วุฒิการศึกษาปลอมสมัครเข้าเรียนระดับปริญญาตรีของ มสธ.ตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2526-28 พฤศจิกายน 2548 พบว่า มีผู้ใช้วุฒิการศึกษาปลอม และถูกถอนพ้นจากสภาพนักศึกษา จำนวน 1,065 ราย และเพิกถอนปริญญาบัตรสำหรับผู้ที่สำเร็จการศึกษาแล้ว 7 ราย รวม 1,072 ราย โดยนักศึกษาที่ถูกถอนสถานภาพ และบัณฑิตที่ถูกเพิกถอนปริญญาบัตรนั้น พบว่าใช้วุฒิการศึกษาปลอมจากโรงเรียนใน จ.นครศรี ธรรมราชแห่งหนึ่ง มากเป็นอันดับ 1 จำนวน 319 ราย นอกจากนี้ ยังมีโรงเรียนอื่นๆ ที่มีผู้ใช้วุฒิการศึกษาปลอมสมัครเข้าเรียน มสธ.สูงรองลงมาจากโรงเรียนเทคนิคธุรกิจ บัณฑิต ได้แก่ โรงเรียนใน จ.นครศรีธรรมราชอีก 2 โรง โรงเรียนพาณิชย์ในกรุงเทพฯ อีก 4 โรง โรงเรียนใน จ.อุทัยธานี และพัทลุง จังหวัดละ 1 โรง เป็นต้น ส่วนวิธีการปลอมวุฒิการศึกษามีหลายวิธี ได้แก่ 1.นักศึกษาปลอมวุฒิการศึกษาขึ้นเอง เช่น นำใบระเบียนแสดงผลการเรียน (ใบ รบ.) ของผู้อื่นมาใส่ชื่อตัวเองลงไป 2.มีผู้รับจ้างทำวุฒิการศึกษาปลอมให้ 3.ทางโรงเรียนเป็นผู้ทำวุฒิการศึกษาปลอมให้ และ 4.เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนปลอมวุฒิการศึกษาให้โดยที่โรงเรียนไม่รู้ นางสุทธินี รัตนวราห รองอธิการบดีฝ่ายประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง(มร.) กล่าวว่า สำหรับ มร.จะตรวจสอบวุฒิการศึกษาที่ใช้สมัครเข้าเรียนก่อนที่นักศึกษาจะจบ หากตรวจสอบแล้วพบว่าวุฒิการศึกษาไม่ถูกต้อง แต่นักศึกษาได้นำวุฒิการศึกษาใหม่มาเปลี่ยนให้ ก็ไม่มีปัญหา สำหรับนักการเมืองที่เรียน มร.ไม่ค่อยมีปัญหา อย่างบางคนจบ ม.3 ก็มีคุณสมบัติเข้าเรียน โดยเสนอสภามหาวิทยาลัยอนุมัติเป็นรายๆ ไป โดยใช้วุฒิการศึกษา ม.3 บวกกับประสบการณ์ อย่างไรก็ตาม นักการเมืองส่วนใหญ่ที่เรียน มร. จะจบชั้น ม.ปลาย มร.จะตรวจสอบเรื่องวุฒิการศึกษาอย่างจริงจัง และขึ้นแบล๊คลิสต์ไว้สำหรับสถานศึกษาที่มีปัญหา หรือมีประวัติ ถ้าผู้สมัครเรียนคนใดอ้างวุฒิการศึกษาจากสถานศึกษาเหล่านี้ ทาง มร.จะตรวจสอบก่อนทันที (มติชนรายวัน 18 ม.ค. 49 http://www.matichon.co.th)
"สพฐ."เร่งทำคู่มือจัดการศึกษารูปแบบ"โฮมสคูล"
น.ส.บุญชู ชลัษเฐียร ผู้เชี่ยวชาญสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานจัดทำคู่มือการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยครอบครัว และศูนย์การเรียน เปิดเผยผลการประชุมคณะทำงานฯเมื่อเร็วๆ นี้ว่า นับตั้งแต่กฎกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่าด้วยสิทธิในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยครอบครัว พ.ศ.2547 มีผลบังคับใช้ ส่งผลให้เกิดช่องว่างระหว่างผู้ปกครองที่จัดการศึกษาในรูปแบบบ้านเรียนหรือโฮมสคูล กับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ต่างๆ ทั่วประเทศ ที่จะต้องเป็นผู้ติดตามและประเมินผล โดยเวลานี้ในหลายๆ ประเด็นยังมีความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน โดยเฉพาะในส่วนที่หน่วยงานภาครัฐได้เข้าไปกำกับการดำเนินการของผู้ปกครองมากเกินความจำเป็น ทั้งในเรื่องของการออกแบบหลักสูตร และวิธีการปฏิบัติในการจัดการเรียนการสอน ในขณะที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามองว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องเข้าไปคุ้มครองสิทธิเด็ก
แต่เดิม สพฐ.มีคู่มือแนวปฏิบัติในการจัดการศึกษาทางเลือกที่จัดโดยครอบครัวและสถานประกอบการ ซึ่งมีการกำหนดการดำเนินการที่เน้นตามกฎกระทรวง ศธ. แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ปัญหาความเข้าใจที่ไม่ตรงกันของทั้งสองฝ่าย ทาง สพฐ.จึงได้ปรับปรุงแนวปฏิบัติเรื่องนี้ให้มีความชัดเจนมากขึ้น เพื่ออุดช่องว่างต่างๆ ดังกล่าว อาทิ การออกแบบหน่วยจัดการเรียนรู้ และหลักสูตรในการจัดการเรียนการสอน เป็นต้น ซึ่งหลังจากที่ได้ยกร่างปรับปรุงแนวปฏิบัติดังกล่าวแล้ว จะเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งผู้แทนจากสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) สพท. และผู้จัดการศึกษาแบบโฮมสคูล มาหารือร่วมกันเกี่ยวกับแนวปฏิบัติต่างๆ อีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะนำออกเผยแพร่ไปยังสพท. โรงเรียน และผู้ปกครอง เพื่อให้มีความเข้าใจที่ตรงกัน (มติชนรายวัน 18 ม.ค. 49 http://www.matichon.co.th)
ไอซีแอลบีบมหาลัย รื้อหลักสูตรเน้นวิทย์ จุดขายดึงเงินรายหัว
ผศ.ดร.ช่วงโชติ พันธุเวช อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฎ (มรภ.) สวนสุนันทา กล่าวถึงผลกระทบจากโครงการกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต(กรอ.) หรือ ไอซีแอล ที่จะเริ่มใช้ในปีการศึกษา 2549 ว่า โครงการดังกล่าวจะส่งผลให้มหาวิทยาลัยที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียง และมีหลักสูตรที่ไม่สอดคล้องกับนโยบายการผลิตบัณฑิตที่เน้นในสาขาวิทยาศาสตร์ จะไม่ได้รับความนิยม เพราะผู้เรียนส่วนใหญ่ย่อมที่จะเลือกเรียนในสถานศึกษาที่ดีที่สุด จบออกมาแล้วรัฐรองรับและมีงานทำ ทำให้ขณะนี้มหาวิทยาลัยหลายแหล่งต้องปรับตัวในการปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องต่อความต้องการ ซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น เพราะต้องหาวิธีการให้นักศึกษาสมัครเข้าเรียนให้ได้ตามจำนวนที่กำหนดไว้ไม่เช่นนั้นมหาวิทยาลัยก็จะขาดสภาพคล่องในการบริหารการเงิน การอุดหนุนเงินให้สถานศึกษาผ่านค่าหัวนักศึกษาของรัฐนั้น เป็นจุดหนึ่งที่บีบให้มหาวิทยาลัยต้องปรับเปลี่ยนหลักสูตร เพราะการกระทำดังกล่าว ก็คือการที่รัฐนำเอาค่านิยมในการเลือกเรียนสาขา และความดังของมหาวิทยาลัยมาเป็นตัวสนองตอบยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ซึ่งมหาวิทยาลัยที่เน้นด้านสังคมศาสตร์ ก็จะทำให้เด็กมาเรียนน้อยและจะได้รับเงินอุดหนุนผ่านรายหัวนักศึกษาน้อยตามไปด้วย (สยามรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 19 ม.ค. 49 http://www.siamrath.co.th)
สกศ.โชว์ออฟผลงาน การศึกษาทางเลือก เตรียมจัดรายหัวปี 49
นางจิตนา ศักดิ์ภู่อร่าม หัวหน้ากลุ่มนโยบายการส่งเสริมการจัดการศึกษาในสถานประกอบการ สำนักงานสภาการศึกษา (สกศ.) เปิดเผยว่า ตามที่ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ มาตรา 12 กำหนดให้บุคคล ครอบครัว องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการและสถาบันสังคมอื่นๆ มีสิทธิจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือที่เรียกกันว่าการศึกษาทางเลือก โดยสกศ.ซึ่งเป็นหน่วยงานนโยบายและแผนการศึกษาของประเทศได้สนับสนุนการจัดการศึกษาทางเลือก โดยครอบครัวและสถานประกอบการแล้วหลายด้าน อาทิ การสนับสนุนด้านวิชาการ ตั้งแต่จัดทำหลักสูตรการฝึกอบรมให้แก่พ่อแม่และหน่วยงานต้องการจัดการศึกษา ตลอดจนติดตามประเมินผลการจัดการศึกษา จากการวิจัยพบว่ามีครอบครัวที่จัดการศึกษาทางเลือกประมาณ 190 ครอบครัว ทั้งที่จัดการศึกษาทางเลือกอยู่แล้ว 69 ครอบครัว และครอบครัวใหม่อีก 121 ครอบครัว ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมการจัดการศึกษาของสถานประกอบการ โดยนำร่องไปแล้ว 3 แห่ง คือ บริษัทในกลุ่มสมบูรณ์, บริษัทไดสตาร์ อิเลคทริก คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด(มหาชน) และโรงแรมรอยัล คลีฟบีช รีสอร์ท ซึ่งจะเป็นต้นแบบแก่สถานประกอบการอื่นต่อไป นางจิตนา กล่าวและว่า สำหรับในปี 2549 สกศ.กำลังเตรียมเรื่องการคำนวณค่าใช้จ่ายรายหัวในการจัดการศึกษา ซึ่งได้มอบหมายให้สถาบันพัฒนบริหารศาสตร์ไปศึกษากรอบแนวคิดคำนวณและวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายรายหัวที่รัฐจะสนับสนุน รวมถึงการลดหย่อน ยกเว้นภาษีการศึกษาและสิทธิประโยชน์อื่นๆ แก่ผู้จัดการศึกษาในรูปแบบศูนย์การเรียน เพื่อจูงใจให้เข้าร่วมจัดการศึกษาทางเลือกด้วย (สยามรัฐรายวัน ศุกร์ที่ 20 ม.ค. 49 http://www.siamrath.co.th)
อปท.รุกอีกคืบขอตั้งมหาวิทยาลัยท้องถิ่น
ศ. (พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทำเรื่องขอหารือมายังรัฐบาลว่า อปท.บางแห่งสนใจที่จะจัดตั้งมหาวิทยาลัยของท้องถิ่น จะมีกฎเกณฑ์อย่างไรบ้าง แต่ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน สถานภาพของมหาวิทยาลัย เนื่องจากมหาวิทยาลัยที่มีอยู่ จัดตั้งโดยรัฐบาล และมี พ.ร.บ.ของแต่ละมหาวิทยาลัยรองรับ และมหาวิทยาลัยเอกชน ตาม พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน หรืออาจจะให้ อปท.จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเพื่อตั้งมหาวิทยาลัย ก็จะเข้าลักษณะของ มหาวิทยาลัยเอกชน ซึ่งก็คงไม่ถูกต้องนัก เพราะ อปท. ก็เป็นหน่วยงานรัฐ ซึ่งเรื่องนี้เป็นกรณีใหม่ที่ต้องหารือกันใน กกอ.ก่อน แต่โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่า น่าจะออก เป็นกฎหมายกลางขึ้นฉบับหนึ่ง เพื่อกำหนดสถานภาพของมหาวิทยาลัยท้องถิ่น เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีกติกากลางในเรื่องนี้ สำหรับข้อดีข้อเสียในการที่จะให้ อปท.จัดตั้งมหาวิทยาลัยนั้น จะเป็นมหาวิทยาลัยที่สะท้อนความต้องการของท้องถิ่น ทั้งยังช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐบาลกลาง ซึ่งขณะนี้ อปท.ได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้นทุกปี และการที่ อปท. ให้ความสนใจจัดตั้งมหาวิทยาลัยเอง ก็จะต้องดูแลคุณภาพของตนเองอย่างเข้มข้นมากขึ้น ส่วนข้อเสียคือ ขณะนี้เรามีมหาวิทยาลัยจำนวนมากอยู่แล้ว หาก อปท.จะจัดตั้งมหาวิทยาลัยจริง ตนอยากให้เป็น อปท.บริเวณพื้นที่ที่ไม่มีมหาวิทยาลัยอยู่เลย เช่น พื้นที่ภาคตะวันตก ของประเทศ ตั้งแต่ จ.นครปฐม จนถึง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งยังไม่มีมหาวิทยาลัย (ไทยรัฐ อาทิตย์ที่ 22 ม.ค. 49 http://www.thairath.co.th)
ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี
กระทรวงวิทย์เฟ้นหายอดเยาวชนคนเก่งพีซี
ดร.พิชัย สนแจ้ง ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเปิดเผยว่ากระทรวงวิทยาศาสตร์ ร่วมกับบริษัทซินเน็ค(ประเทศไทย) จำกัด และภาคเอกชนจัดโครงการ PC Assembly Grand Prix Thailand 2006 ซึ่งเป็นการแข่งขันทักษะความรู้และการประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ปวช. ปวส.และอุดมศึกษา เพื่อส่งเสริมทักษะความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ให้กับเยาวชนไทย สามารถแก้ไขปัญหาเบื้องต้นได้อย่างถูกต้องรวมถึงสามารถนำความรู้และทักษะที่ได้รับจากประสบการณ์จริงไปใช้ประโยชน์ในการประกอบอาชีพในอนาคตได้ ด้านนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานบริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย)จำกัด กล่าวว่า ซินเน็คเห็นความสำคัญของการนำเทคโนโลยีมาใช้ในชีวิตประจำวัน การริเริ่มโครงการดังกล่าวจะเป็นแรงกระตุ้นให้นักเรียน นักศึกษารวมถึงอาจารย์ผู้สอนตระหนักถึงความสำคัญของคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษามากยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้เยาวชนจากเขตการศึกษาต่าง ๆ ทั่วประเทศได้มีโอกาสพัฒนาทักษะและได้รับความรู้ใหม่ ๆ ทั้งนี้จะมีการจัดกิจกรรมโรดโชว์แนะนำโครงการไปยังสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ โดยซินเน็คใช้งบประมาณสำหรับโครงการนี้กว่า 10 ล้านบาท สำหรับการแข่งขันแบ่งเป็น 2 ระดับคือระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือปวช. และระดับอุดมศึกษาหรือปวส. ชิงรางวัลกว่า 1 ล้านบาท พร้อมถ้วยรางวัลจากรัฐมนตรีว่าการกระ ทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ถึง 25 ม.ค. 2549 สำหรับการสมัครทางไปรษณีย์ และ 27 ม.ค. 2549 สำหรับการสมัครออนไลน์การแข่งขันมีทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เริ่มสอบข้อเขียนรอบแรก 5 ก.พ. 2549 ส่วนรอบชิงชนะเลิศ 19 ก.พ. 2549 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อพวช. โทร.0-2577-9999 ต่อ 1851 หรือ 1852 และซินเน็คฮอตไลน์ 0-2578-8200-5 (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 16 ม.ค. 49 http://www.dailynews.co.th)
จีน-โต้โผใหญ่วิจัยภาวะโลกร้อน
ทางการจีน โดยบัณฑิตยสถานด้านวิทยาศาสตร์ ในกรุงปักกิ่ง หรือซีเอเอส ได้ คิก ออฟ เริ่มงานวิจัยร่วมกับคณะนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ ซึ่งรวมทั้งญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เพื่อศึกษาถึงปัญหาฤดูกาลแปรปรวนในมิติต่างๆ จนกล่าวได้ว่าเป็นการศึกษาวิจัยที่ครอบคลุมเกือบทุกมิติแง่มุมทีเดียว อาทิ โครงการวิจัยระบบวิทยาศาสตร์โลก โครงการวิจัยความเปลี่ยนแปลงไปของโลก โครงการวิจัยภูมิอากาศโลก โครงการศึกษาวิจัยสภาพแผ่นดินและชีวะ โครงการวิจัยมนุษยชาติมิติ ต่างๆ และโครงการวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพระหว่างประเทศ ศาสตราจารย์ฟริตซ์ เพนนิง เดอ ไฟรส์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาฤดูกาลในเอเชีย ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยของบัณฑิตยสถานด้านวิทยาศาสตร์ของจีน กล่าวว่า โครงการวิจัยเหล่านี้ เริ่มวางแผนกันมาตั้งแต่ปีที่แล้ว เป็นการศึกษาเพื่อให้ได้องค์ความรู้ขึ้นมาใหม่ ก่อนที่จะนำมาบูรณาการทำเป็นองค์รวม เพื่อแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนฤดูกาลที่แปรปรวนกันต่อไป นับเป็นตัวอย่างที่ดีในการระดมทำวิจัยเพื่อแก้ปัญหาแบบช่วยกันรุมสกรัมกับปัญหา ก่อนนำมาบูรณาการใช้แก้ปัญหากันแบบองค์รวม และแถมยังมีผู้ทำหน้าที่โต้โผรับเป็นเจ้าภาพหัวเรือใหญ่ ตรงนี้ถือว่าสำคัญมากๆ ครับ (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 16 ม.ค. 49 http://www.siamrath.co.th)
รถเต่าตาทิพย์ระวังคนเดินเบรกทำงานอัตโนมัติหลบการชนได้ทันใจ
โฟล์คสวาเกน หรือที่รู้จักกันว่า รถเต่า ร่วมมือพันธมิตรผู้ผลิตรถยนต์สร้างต้นแบบยานยนต์ที่สามารถมองเห็นคนเดินถนนได้โดยอัตโนมัติ รวมทั้งสามารถหลบหลีกการปะทะกันอย่างคาดไม่ถึงได้ แต่ยังไม่ระบุว่าพร้อมจำหน่ายเมื่อใด เพราะต้องย่อส่วนอุปกรณ์ให้เล็กลงก่อนถึงจะผลิตเชิงพาณิชย์ได้ ระบบดังกล่าวมีชื่อว่า "เซฟ-ยู" (Save-U) เป็นความร่วมมือระหว่างโฟล์คสวาเกน, เดมเลอร์ไครสเลอร์ และบริษัทด้านเทคนิคหลายแห่ง ซึ่งต้นแบบที่ได้ออกมาถูกนำไปทดสอบในอังกฤษ และให้ผลสำเร็จที่น่าพอใจ ระบบเซฟ-ยูใช้เซ็นเซอร์ 3 รูปแบบ เพื่อระบุตัวบุคคล หรือแม้แต่คนขี่จักรยานที่ใช้เส้นทางร่วมกัน โดยอุปกรณ์ที่จะใช้ร่วมกับระบบ ได้แก่ ชุดควบคุมเซ็นเซอร์ กล้องอินฟราเรด และกล้องวิดีโอปกติ ทั้งหมดจะเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ เปรียบเสมือนตาทิพย์ที่คอยเตือนคนขับให้สามารถหลบหลีกการปะทะกับคนเดินถนนได้ นั่นหมายความว่า ตัวระบบจะต้องเชื่อมต่อกับระบบเบรก และคุณสมบัติด้านความปลอดภัยอื่นๆ อาทิ ถุงลมนิรภัย เป็นต้น มาร์ค-ไมเคิล ไมเนค จากโฟล์คสวาเกน กล่าวว่า แนวคิดหลักของระบบนี้อยู่ที่เซ็นเซอร์ ซึ่งสามารถตรวจจับและรู้จักว่าสิ่งที่อยู่ข้างหน้าคือคนเดินถนน ซึ่งหากอยู่ในภาวะที่เสี่ยงจะปะทะ ระบบก็จะเรียกเบรกให้ขึ้นมาทำงานโดยอัตโนมัติ ด้าน คริส ไรท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยจราจร มหาวิทยาลัยมิดเดิลเซ็กส์ ในอังกฤษ บอกว่า ขณะนี้ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายกำลังพัฒนาเทคโนโลยีที่จะทำให้รถยนต์สามารถทำงานด้วยตัวเองได้มากขึ้น หรือจะเรียกว่าเป็นระบบอัตโนมัติไปเลยก็ไม่ผิดนัก สิ่งเหล่านี้รวมถึงระบบควบคุมพวงมาลัย และการรักษาระยะห่างจากรถคันหน้า เช่นเดียวกันระบบหลีกเลี่ยงการชนสิ่งต่างๆ บนท้องถนน (คมชัดลึก จันทร์ที่ 16 ม.ค. 49 http://www.komchadluek.net)
นาซาประกาศรับ "อาสาสมัครวิจัยฝุ่น"แกะรอยต้อนกำเนิดระบบสุริยะ
ยานอวกาศสตาร์ดัสต์ถูกส่งออกไปปฏิบัติภารกิจเมื่อ 7 ปีที่แล้ว เพื่อเก็บฝุ่นละอองในอวกาศ ต่อมาในปี 2547 ยานสตาร์ดัสต์ได้เดินทางผ่านดาวหางไวล์ด 2 และได้เก็บฝุ่นละอองที่ปลิวกระจายออกมาจากดาวหาง ฝุ่งละอองเหล่านี้เชื่อว่าเป็นองค์ประกอบของธาตุในยุคแรกที่สุริยะก่อตัว เมื่อ 4,500 ล้านปีสำหรับผู้ค้นพบฝุ่นจิ๋วดังกล่าวจะได้รับเกียรติใช้ชื่อของตนเองไปตั้งเป็นชื่อของเม็ดฝุ่นที่ค้นพบ ยานอวกาศสตาร์ดัสต์จะลงสู่พื้นโลกในวันที่ 15 มกราคมนี้ (เวลาท้องถิ่น) ทางตะวันตกของทะเลทรายยูทาห์ จากนั้นทีมนักวิทยาศาสตร์จะถ่ายภาพของฝุ่นอวกาศทั้งหมด และนำไปเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต เพื่อให้อาสาสมัครช่วยกันหาอนุภาคฝุ่นผ่านระบบกล้องจุลทรรศน์เสมือนจริงออนไลน์ ซึ่งจะเริ่มดำเนินการกลางเดือนมีนาคมนี้ อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องกับภารกิจครั้งนี้ กำลังรอลุ้นว่า ตัวยานอวกาศจะลงสู่พื้นโลกอย่างปลอดภัยหรือไม่ เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น ก็จะซ้ำรอยเดิมกับยานอวกาศเจเนซิส ซึ่งทำหน้าที่เก็บอนุภาคของพายุสุริยะ และกลับมายังโลกเมื่อปีที่แล้ว แต่เกิดปัญหาร่มชูชีพไม่กาง ทำให้ตัวยานได้รับความเสียหายและไม่สามารถกู้อนุภาคที่ได้มาจากอวกาศกลับคืนมาได้ สตาร์ดัสต์ ถือเป็นภารกิจแรกของนาซา ที่จะนำตัวอย่างฝุ่นจากดาวหางและกาแล็กซีกลับมายังโลก ความน่าสนใจของโครงการนี้อยู่ที่ตัวอนุภาคของดาวหาง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ของนาซา บอกว่า สิ่งนี้จะนำไปสู่ความเข้าใจถึงการก่อกำเนิดของระบบสุริยจักรวาล การเกิดของมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศของโลก นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังเชื่อว่า เนื้อในของแอโรเจลที่ใช้จัดเก็บอนุภาคฝุ่นอวกาศนั้น จะต้องเต็มไปด้วยธุลีฝุ่นของดวงดาวอันไกลโพ้นห่างจากโลกนับล้านปีแสง และมาจากการระเบิดของซูเปอร์โนวา ตั้งแต่เมื่อ 10 ล้านปีที่แล้ว ทั้งนี้ แอโรเจล ซึ่งเป็นอุปกรณ์เก็บฝุ่นดาวที่โครงการสตาร์ดัสต์นำมาใช้นั้น มีเนื้อเป็นซิลิคอนที่มีโครงสร้างเป็นรูพรุนเหมือนฟองน้ำ และมีช่องว่างอยู่ประมาณ 99.8% โดยปริมาตร ได้รับการควบคุมคุณภาพและความบริสุทธิ์ไว้อย่างดี ทำให้แอโรเจลที่ได้มีความหนาแน่นเกือบเท่ากับอวกาศ มีความแข็งแรงและสามารถอยู่รอดได้ในอวกาศ นักวิทยาศาสตร์จึงใช้ประโยชน์จากวัสดุนี้ เพื่อติดตามค้นหาอนุภาคขนาดเล็กๆ โดยเฉพาะ (คมชัดลึก จันทร์ที่ 16 ม.ค. 49 http://www.komchadluek.net)
เครื่องร่อนแบบง่าย
เครื่องร่อนแบบง่ายๆ หรือ EasyGlider ตัวนี้เขาทำให้เป็นยานพาหนะอีกประเภทหนึ่งสำหรับขี่คนเดียว ประเภทใช้เครื่องอิเล็กทริกส์ขับเคลื่อนล้อให้วิ่งไป ความเร็ว 35 กม. ก็ชาร์จแบตเตอรี่ทีหนึ่ง เป็นผลงานคิดของคนเยอรมัน ซึ่งทดสอบมานานพอควร ตอนนี้ก็ผลิตออกมาทำตลาดแล้วเมื่อเดือนกันยายนปีก่อน จำหน่ายเครื่องละ 890 ยูโร อีซี่กิลเดอร์เครื่องนี้ เป็นเหมือนการผสมผสานระหว่างสกู๊ตเตอร์บวกเข้ากับจักรยาน และสกีโบ๊ตรวมๆ กัน ออกแบบมาเพื่อให้ประหยัดพลังงานน้ำมันแพงยุคนี้ แต่อย่างไรก็เถิด วิ่งๆ ไประยะไกล มีหวังไม่เติมเชื้อไฟฟ้าให้มัน ก็คงต้องเข็นกลับบ้านได้ง่ายๆ (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 16 ม.ค. 49 http://www.matichon.co.th)
"เทเลเมดิซีน" หมอไฮเทคประจำบ้าน
ผู้บุกเบิกโครงการตรวจรักษาโรคแนวใหม่ที่จะเล่าต่อไปนี้ ได้แก่ กลุ่มสมาคมสถานพยาบาลในเมืองคาร์ลิเซิล ประเทศอังกฤษ
แนวคิดของโครงการดังกล่าวก็คือ นำเอาเทคโนโลยี "ออนไลน์" มาช่วยให้ทั้ง "ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง" และ "สถานพยาบาล" ไม่ต้องเสียเวลามาโรงพยาบาล และหมดเปลืองเงินทองไปกับการนัดตรวจอาการในแต่ละครั้ง วิธีการนี้มีชื่อเรียกว่า "เทเลเมดิซีน" (การแพทย์ทางไกล) เบื้องต้นอาสาสมัครที่เข้าร่วมทดลองเป็นผู้ป่วยเรื้อรังโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคปอด ตามปกติแพทย์จำเป็นต้องนัดผู้ป่วยโรคเรื้อรังมาตรวจร่างกายเป็นระยะๆ แต่ด้วยเทคโนโลยีเทเลเมดิซีนจะช่วยให้ผู้ป่วยในเมืองคาร์ลิเซิลใช้ชุด "อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์" ตรวจสภาพร่างกายได้ด้วยตัวเองที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิร่างกาย อัตราการเต้นของหัวใจ คลื่นหัวใจ จังหวะการหายใจ และความดันโลหิต ตัวเครื่องอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวถูกออกมาให้ใช้งานง่ายๆ ไม่ซับซ้อน เพื่อให้ผู้ป่วยที่มีอายุมากๆ ใช้งานได้ ตลอดเวลาที่ทำการตรวจร่างกายนั้น ตัวเครื่องต้องเสียบหรือต่อสายเข้ากับ "สายโทรศัพท์บ้าน" ตลอดเวลา เหมือนกับเวลาเราใช้คอมพิวเตอร์ต่อเล่นอินเตอร์เน็ตออนไลน์ จากนั้นระบบสมองกลภายในเครื่องจะส่งข้อมูลการตรวจร่างกายผ่านไปยัง "เซิร์ฟเวอร์" หรือพูดง่ายๆ ก็คือเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับรับข้อมูลที่ทางกลุ่มสถานพยาบาลคาร์ลิเซิลจัดเตรียมเอาไว้ เพื่อส่งต่อให้แพทย์เจ้าของไข้ตรวจรายละเอียดต่อไปว่าสมควรจะต้องเรียกผู้ป่วยมาตรวจที่โรงพยาบาลหรือไม่ นอกจากนั้น ถ้าระบบคอมพิวเตอร์ตรวจพบว่าผลตรวจร่างกายมีความผิดปกติ ก็จะส่งสัญญาณเตือนไปให้แพทย์รับทราบทันที
ถือว่าเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่น่าจะช่วยให้ "ผู้ป่วยสูงอายุ" รู้สึกอุ่นใจขึ้นได้บ้าง ภายใต้สภาวะสังคมโลกยุคปัจจุบันที่ลูกหลานไม่ค่อยมีเวลาดูแลบุพการี-ญาติผู้ใหญ่ในครอบครัว (ข่าวสด จันทร์ที่ 16 ม.ค. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)
ระบบขนส่งอัจฉริยะ
โครงการหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ Intelligent Transportation Systems Research Program (ITS) ของ University of Washington ซึ่งอาจเรียกเป็นภาษาไทยว่า ระบบขนส่งอัจฉริยะ โครงการ ITS นี้ประกอบด้วยหลายโครง การย่อย ๆ ด้วยกัน ซึ่งเป็นความร่วมมือกันของ หลาย ๆ ภาควิชาของมหาวิทยาลัย ในระยะเริ่มแรกนั้นคณะนักวิจัยมุ่งเน้นไปที่การศึกษาสภาพการจราจรบนฟรีเวย์หรือทางหลวงเป็นหลัก ถ้าเทียบกับบ้านเราก็คงจะเปรียบได้กับระบบทางด่วนนั่นเอง นักวิจัยติดตั้งอุปกรณ์รับส่งสัญญาณบน รถประจำทางสาธารณะทุกคันที่วิ่งอยู่ในเมือง โดยที่ข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งเข้ามายังระบบคอมพิวเตอร์ส่วนกลางเพื่อประมวลผล ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งที่อยู่หรือความเร็วขณะที่เคลื่อนผ่านจุดใดจุดหนึ่งบนฟรีเวย์ ซึ่งจะมีอุปกรณ์เซ็นเซอร์คอยตรวจจับสัญญาณจากรถประจำทางเป็นระยะ ๆ แบบเรียลไทม์ ซึ่งข้อมูลที่ได้ทำให้เราทราบถึงความเร็วเฉลี่ยบนฟรีเวย์ทุกเส้นทางทำให้สามารถรู้ได้ว่าสภาพการจราจรในแต่ละช่วงของฟรีเวย์นั้นเป็นอย่างไร คนทั่วไปสามารถเข้าไปดูสภาพการจราจร บนฟรีเวย์ได้ทางอินเทอร์เน็ตทำให้สามารถวางแผนการเดินทางได้อย่างเหมาะสม นอกจากนั้นแล้วข้อมูลดังกล่าวยังถูกส่งต่อไปยังระบบที่เรียกว่า My Bus ซึ่งเป็นระบบที่ใช้การสื่อสารทางข้อความส่งไปยังสถานี รถประจำทางแต่ละสถานี ซึ่งสามารถเรียกดูได้ทาง อินเทอร์เน็ตอีกช่องทางหนึ่ง โดยที่เมื่อนำข้อมูลตำแหน่งและเวลาของรถประจำทางมาเปรียบเทียบกับตารางการเดินทางของเส้นทางเดินรถแต่ละสายแล้ว ผู้เดินทางสามารถที่จะทราบว่ารถประจำทางผ่านสถานีแต่ละสถานีตรงเวลาหรือไม่และยังประมาณการด้วยว่ารถประจำทางจะมาถึงยังสถานีต่าง ๆ ณ เวลาเท่าไหร่ นอกจากทั้งสองระบบแล้ว อย่างที่กล่าวมาข้างต้นว่ายังมีระบบย่อย ๆ อีกหลายระบบ ตัวอย่างเช่นระบบเว็บเซอร์วิส (ITS Web Services) ซึ่งใช้ในการรับส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ด้วยกัน ในกรณีที่ต้องรับส่งข้อมูลหรือต้องติดต่อกับระบบของหน่วยงานอื่น ๆ หรือระบบ Parking ที่ผู้ใช้รถสามารถตรวจสอบได้ว่าพื้นที่จอดรถในบริเวณที่ต้อง การเดินทางไปนั้นยังว่างอยู่หรือเปล่าและมีพื้นที่จอดรถในบริเวณอื่น ๆ ที่ใกล้เคียงกันหรือไม่อย่างไร หรืออีกระบบหนึ่งที่ชื่อว่า BusView ซึ่งผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบได้ว่ารถประจำทางแต่ละคันในแต่ละเส้นทางนั้นกำลังวิ่งอยู่ ณ จุดใดของเมืองผ่านทางอินเทอร์เน็ต (เดลินิวส์ พุธที่ 18 ม.ค. 49 http://www.dailynews.co.th)
5ชาติลุ่มน้ำโขงลุยทำวิจัยผลกระทบเขื่อนจีน
กรมทรัพยากรน้ำ ร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จัดสัมมนาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ระหว่างวันที่ 15-17 มกราคม 2549 มีนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม และผู้ที่เกี่ยวข้องจากประเทศในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง 6 ประเทศ คือ จีน พม่า กัมพูชา เวียดนาม ลาว และประเทศไทย เข้าร่วมระดมความคิดเห็น นายยงยุทธ ติยะไพรัช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในกลุ่มประเทศผู้ใช้แม่น้ำโขงหลังจากจีนสร้างเขื่อนสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า คือ ขาดงานวิจัยมาตรฐานที่เป็นภาพรวมร่วมกันของทุกประเทศว่าเกิดอะไร มีภาวะแวดล้อมเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง งานวิจัยดังกล่าว จะสามารถเอามาปรับใช้ เพื่อให้แต่ละประเทศนำไปจัดการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ด้าน รศ.ดร.วันชัย ศิริชนะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า มหาวิทยาลัยจะเป็นหน่วยงานหลักในการสร้างเครือข่ายมหาวิทยาลัย จาก 6 ชาติลุ่มแม่น้ำโขงเตรียมศึกษาผลกระทบและประเด็นสิ่งแวดล้อม รวมทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงท้ายน้ำโขง เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตอบคำถามว่า จีนเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาน้ำแล้งจริงหรือไม่ โดยตั้งเป้าว่าจะต้องใช้นักวิจัยอย่างน้อย 100 คน และใช้เวลาถึง 3 ปีในการค้นคว้าวิจัย โดยจะของบประมาณสนับสนุนจากธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ส่วน ดร.ชาน บิง นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยคุณหมิง ประเทศจีน กล่าวถึงกรณีที่มีการระบุจีนเป็นต้นเหตุ ที่ทำให้ประเทศท้ายน้ำได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากมีการสร้างเขื่อนปิดต้นน้ำ ว่า เคยได้ยินแต่ไม่ได้ติดตาม เพราะที่ผ่านมาจีนศึกษาแล้วว่า สามารถสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงได้ ซึ่งการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่แม้แต่สหรัฐอเมริกาก็ทำ ไม่เห็นว่าจะเกิดปัญหาอะไร แต่หากผู้สื่อข่าวอยากทราบอะไร ก็ลองไปติดตามที่จีนเอาเอง (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 18 ม.ค. 49 http://www.bangkokbiznews.com)
ด้าน ดร.เนช บารอม รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยพนมเปญ ประเทศกัมพูชา กล่าวว่า กัมพูชายังไม่สามารถจัดการแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ เพราะไม่มีหลักฐานทางวิชาการรองรับที่ชัดเจน แต่ในฐานะ 1 ในประเทศผู้ใช้น้ำโขง ซึ่งประชากรกัมพูชาทั้งประเทศ ต้องอาศัยน้ำโขงมากกว่า 30% เราจะให้ความร่วมมือเต็มที่ สำหรับการให้ข้อมูลภายในประเทศ รวมทั้งการส่งนักวิชาการเข้าร่วม หากภาคีสมาชิกต้องการทำวิจัยภาพรวมของแม่น้ำโขงทั้งสาย (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 18 ม.ค. 49 http://www.bangkokbiznews.com
วท.พาสปอร์ตไฟเขียวเด็กอัจฉริยะใช้แล็บ
เมื่อวันเสาร์ที่ 14 มกราคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ได้มอบหนังสือเดินทางสู่เส้นทางนักวิทยาศาสตร์ (Young Scientist Passport) แก่ผู้ได้รับรางวัลโอลิมปิกวิชาการรวม 10 คน ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ผู้ถือบัตรจะได้รับสิทธิพิเศษเข้าฝึกงานและใช้ศูนย์ปฏิบัติการวิจัยทุกแห่งของ วท.พร้อมมีนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของประเทศเป็นพี่เลี้ยง ให้คำแนะนำด้านวิชาการและทำวิจัยร่วมกันอย่างใกล้ชิด ตลอดทั้งสามารถใช้อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ของ วท.ในการฝึกปฏิบัติและดำเนินงานวิจัยตามความถนัดและศักยภาพที่มีอยู่ นอกจากนี้ ยังได้รับการดูแลเสมือนเป็นนักเรียนวิทยาศาสตร์ในสังกัด วท.ที่จะได้รับการส่งเข้าอบรม ดูงานประชุมสัมมนา ตลอดจนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก เพื่อให้เด็กที่ได้รับรางวัลโอลิมปิกพัฒนาไปสู่นักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าในอนาคต หนังสือเดินทางสู่เส้นทางนักวิทยาศาสตร์ดังกล่าวทำเป็นสมุดขนาดเท่าพาสปอร์ตและติดไมโครชิพเพื่อติดตามเก็บข้อมูลความก้าวหน้า โครงการนี้จะถือเป็นประตูบานแรกของกระบวนการสร้างคน และเป็นเสมือนการบ่มเพาะเยาวชนของประเทศชาติ ที่มีอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์ ให้พร้อมที่จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของประเทศและของโลกในอนาคต และยังเป็นการเตรียมคนเพื่อรองรับศักยภาพการแข่งขันที่ต้องใช้ฐานความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในระบบเศรษฐกิจใหม่ด้วย (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 18 ม.ค. 49 http://www.bangkokbiznews.com)
สุราษฎร์ฯผลิต"โอมเพี้ยง"บำบัดน้ำเสีย
ผศ.สุธน ช่วยเกิด อาจารย์ประจำโปรแกรมวิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยประดิษฐ์เครื่องบำบัดน้ำเสีย โดยใช้ชื่อว่า "โอมเพี้ยง" และจดสิทธิบัตรแล้ว มั่นใจว่าสามารถใช้ได้ดีและเหมาะกับบ่อบำบัดน้ำทิ้งของโรงงานและแหล่งน้ำต่างๆ ได้อย่างดี จากปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรน้ำที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ควบคู่กับการขยายชุมชนเมืองและการพัฒนาอุตสาหกรรม ซึ่งทำให้สารพิษหรือสิ่งที่ทำให้เน่าเสียลงไปสะสมอยู่ในน้ำมากขึ้น รวมถึงสิ่งแวดล้อมถูกทำลายลงไปมาก จนความสามารถในการพยุงคุณภาพน้ำลดลงอย่างน่าเป็นห่วง อุปกรณ์บำบัดน้ำเสียที่ชื่อ "โอมเพี้ยง" จึงถูกคิดค้นขึ้นมาจากห้องปฏิบัติการที่ได้ทดสอบกับน้ำเสียประเภทต่างๆ ซึ่งก็ได้ผลดีมาก น้ำเสียที่เก็บมาทำการทดลองสามารถใช้อุปกรณ์ "โอมเพี้ยง" ทำให้น้ำใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน "โอมเพี้ยงเป็นอุปกรณ์ทางไฟฟ้าเคมีที่จะทำให้อินทรีย์หรือมลพิษส่วนใหญ่ตกตะกอนแยกตัวออกมาจากน้ำ ทำให้น้ำสะอาดขึ้น น้ำเสียที่เหมาะในการรับการบำบัดโดยวิธีนี้คือน้ำเสียจากสารอินทรีย์ เช่น น้ำทิ้งจากครัวเรือน บ่อบำบัดชุมชน น้ำทิ้งในโรงพยาบาล น้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรม เทคนิคนี้จะสะอาดกว่าการใช้สารเคมี หรือเติมสารส้มก็จะเพิ่มซัลเฟตลงไปในน้ำอีก สิ่งนี้เป็นมิติใหม่ที่ถือว่าเป็นภาพหนึ่งของความพยายามของนักวิชาการในสายเคมี ที่จะหาหนทางช่วยกันป้องกันและเยียวยาสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรน้ำของสังคมไทย" ผศ.สุธนกล่าว (ข่าวสด พุธที่ 18 ม.ค. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)
"มนุษย์อวกาศบราซิล"คนแรก พร้อมเดินทางสู่สถานีไอเอสเอส
มาร์กอส ปอนเตส นายทหารยศพันโทแห่งกองทัพอากาศบราซิล เตรียมสร้างประวัติศาสตร์เป็น "มนุษย์อวกาศบราซิล" คนแรกที่มีโอกาสบินออกนอกโลกไปประจำบนสถานีอวกาศนานาชาติ (ไอเอสเอส) ตามกำหนดการ ปอนเตสจะนั่งยานอวกาศโซยูส ทีเอ็มเอ-8 ของรัสเซียออกนอกโลกไปพร้อมกับ 2 นักบินอวกาศมากประสบการณ์ นั่นคือ ปาเวล วิโนเกรดอฟ จากองค์การอวกาศรัสเซีย และ เจฟฟรีย์ วิลเลียมส์ จากองค์การอวกาศสหรัฐอเมริกา (นาซ่า) ในวันที่ 22 มีนาคมนี้ ปอนเตส ให้สัมภาษณ์ขณะอยู่ในระหว่างเตรียมตัวที่ศูนย์อวกาศจอห์นสันของนาซ่า ว่า ตนกับเพื่อนร่วมทีมอีก 2 คนจะเป็นมนุษย์อวกาศชุดที่ 13 ที่ขึ้นไปประจำการยังไอเอสเอส อย่างไรก็ตาม ในส่วนของตนเองนั้นจะอยู่บนไอเอสเอสแค่ 8 วันเท่านั้น และนั่งยาน ทีเอ็มเอ-7 กลับมาพื้นโลกพร้อมกับมนุษย์อวกาศไอเอสเอสชุดที่ 12 ระหว่างที่อยู่บนไอเอสเอส ปอนเตสมีภารกิจทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องของนาโนเทคโนโลยีและเรื่องอื่นๆ (ข่าวสด อังคารที่ 17 ม.ค. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)
รัฐนิวยอร์กสว่างไสว ด้วยไฟฟ้าแสงอาทิตย์
รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ได้ข้อสรุปว่า จะเดินหน้าโครงการผลิต "ไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์" โครงการนี้กินระยะเวลา 10 ปี ใช้เงินงบประมาณในการลงทุน 128,000 ล้านบาท วัตถุประสงค์เพื่อจัดหาและติดตั้งแผงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ หรือ แผงโซลาเซลล์ ลงบน "หลังคา" ของที่พักและอาคารสำนักงานนับล้านแห่งทั่วรัฐนิวยอร์ก เมื่อการติดตั้งแผงโซลาเซลล์เสร็จสมบูรณ์ประเมินกันว่า แผงโซลาเซลล์ทั้งหมดจะผลิตกระแสไฟฟ้ารวมกันถึง 3,000 เมกะวัตต์ "อดัม บราวนิ่ง" แกนนำริเริ่มโครงการไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์นิวยอร์ก กล่าวว่า การนำวัตถุดิบจากธรรมชาติ เช่น ถ่านหินและน้ำมัน มาเผาไหม้ปั่นเครื่องกำเนิดไฟฟ้านั้นเป็นสาเหตุสำคัญของวิกฤต "โลกร้อน" และสร้างมลภาวะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม "พลังแสงอาทิตย์" ซึ่งเป็นพลังงานทางเลือกที่มีความสะอาดและได้มาฟรีๆ จากธรรมชาติมาใช้ผลิตไฟฟ้า โครงการหลังคาบ้านโซลาเซลล์ครั้งนี้จะสร้างประโยชน์ระยะยาวแก่ชาวนิวยอร์ก คาดว่าภายในระยะเวลา 10 ปีนับจากนี้จะช่วยให้ชาวนิวยอร์กลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลงไปได้ 116,000 ล้านบาท (ข่าวสด อังคารที่ 17 ม.ค. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)
เปิดห้องดูดาวข้ามซีกโลก ไทยจับมืออังกฤษสร้างนักดาราศาสตร์รุ่นใหม่
รศ.บุญรักษา สุนทรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เปิดเผยภายหลังการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านวิจัยและวิชาการกับ ศ.แอนดริว ลีน ผู้อำนวยการหอดูดาวโจเดรลแบงก์ มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ สหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยดาราศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับแนวหน้าของโลกว่า หอดูดาวโจเดรลแบงก์มีชื่อเสียงและผลงานการศึกษาโดดเด่นในเรื่อง "ดาราศาสตร์วิทยุ" ดาราศาสตร์วิทยุเป็นสาขาดาราศาสตร์ยุคใหม่ ที่กำลังมีบทบาทสำคัญในการศึกษาเกี่ยวกับกาแล็กซี เอกภพ วิวัฒนาการจักรวาล โดยใช้ "คลื่นวิทยุ" เป็นสื่อในการศึกษาปรากฏการณ์ต่างๆ ในท้องฟ้าและอวกาศ จึงเป็นเรื่องใหม่สำหรับประเทศไทย ขณะที่หอดูดาวที่กำลังจะสร้างขึ้นที่ยอดดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ อาศัย "คลื่นแสง" หรือกล้องโทรทรรศน์ชนิดแสง ตรวจจับสัญญาณจากอวกาศ ดังนั้นในอนาคตจะมีการประสานข้อมูลความรู้จากเครื่องมือที่แตกต่างนี้เข้าด้วยกันผ่านระบบออนไลน์ ยังมีแนวคิดที่จะร่วมมือกับสถาบันการศึกษาอื่นๆ ในอังกฤษ ในรูปแบบการใช้ประโยชน์จากหอดูดาวหรือกล้องโทรทรรศน์ร่วมกัน อาทิ ในห้องเรียนดาราศาสตร์ของไทย ซึ่งเวลาเรียนย่อมเป็นช่วงกลางวันตามเวลาในไทย และตรงกับช่วงกลางคืนของอังกฤษ ทางหอดูดาวที่อังกฤษจะส่งภาพดวงดาวที่บันทึกได้ ณ เวลาจริง ผ่านระบบออนไลน์มาแสดงในห้องเรียนไทย ส่วนห้องเรียนของอังกฤษจะได้รับสัญญาณภาพท้องฟ้ากลางคืนจากไทย ทำให้นักศึกษาทั้งสองฝ่ายได้เรียนรู้ดาราศาสตร์จากภาพจริงที่อยู่ต่างซีกโลกกัน สำหรับความคืบหน้าของหอดูดาวแห่งใหม่บนยอดดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดซื้อกล้องโทรทรรศน์ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.4 เมตร ถือว่าใหญ่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนอาคารสถานที่กำลังจะก่อสร้าง ซึ่งจะแยกเป็น 2 ส่วน คือ อาคารหอดูดาวแห่งชาติ และศูนย์บริการสารสนเทศและฝึกอบรมดาราศาสตร์ เพื่อบริการค่ายฝึกอบรมให้ครู นักเรียน (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 19 ม.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
บุก"พลูโต"ดาวเคราะห์ดวงที่ 9
ดาวพลูโต ดาวเคราะห์ดวงที่เก้าของระบบสุริยะเสียที เพราะในบรรดาพี่น้องทั้ง 9 ดาวพลูโตเป็นน้องเล็กที่สุด หนาวเย็นที่สุด และอยู่ไกลสุดขอบระบบสุริยะ ตัวนักดาราศาสตร์เองยังถกเถียงกันอยู่ด้วยซ้ำไปว่า ตกลงดาวพลูโตควรเรียกว่าดาวเคราะห์หรือไม่ หรือควรจะลดอันดับลงมาให้เป็นวัตถุอวกาศที่มีขนาดใหญ่ที่เป็นสมาชิก "เข็มขัดไคเปอร์" (Kuiper Belt) หรือวงแหวนที่เต็มไปด้วยก้อนน้ำแข็งน้อยใหญ่ที่โคจรรอบดาวเนปจูน วงแหวนไคเปอร์เป็นแผ่นวงแหวนที่อยู่ปลายขอบสุริยะจักรวาลเต็มไปด้วยก้อนน้ำแข็งขนาดเล็กนับพันๆ ก้อนที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางอย่างน้อย 1,000 กิโลเมตรขึ้นไป และเชื่อกันว่าเป็นถิ่นที่อยู่ของดาวหางบางดวง สำหรับดาวพลูโตนี้ถูกค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2473 โคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบใช้เวลา 248 ปี มีลักษณะการโคจรเป็นวงรีแปลกกว่าดาวเคราะห์ดวงอื่น เคยโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดในปี 2532 และช่วงระหว่าง พ.ศ. 2522-2544 วงโคจรของดาวพลูโตเดินทางเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าดาวเนปจูนเสียอีก จึงเป็นช่วงโอกาสดีในการศึกษาดาวพลูโตและดวงจันทร์บริวารที่ชื่อ ชารอน จากการสำรวจด้วยกล้องโทรทรรศน์ 2 ตัว ตัวหนึ่งตั้งอยู่บนโลกชื่อ ไอลาส อีกตัวลอยอยู่ในอวกาศและมีชื่อเสียงรู้จักกันดีในนาม ฮับเบิล ทั้งดาวพลูโต ดวงจันทร์ชารอน และวงแหวนไคเปอร์ที่อยู่นอกระบบสุริยะ ยังเต็มไปด้วยปริศนามากมายที่รอการสำรวจอวกาศด้วยยานอวกาศรุ่นใหม่ วงโคจรของพลูโตแปลกกว่าดาวอื่น นอกจากเป็นวงรีแล้วยังเอียงกระเท่เร่อีกด้วย โดยทำมุมเอียง 17 องศาจากแนวระนาบของวงโคจรโลก จากการวัดด้วยคลื่นสเปกตรัมพบว่า พื้นผิวของดาวพลูโตมีลักษณะที่คล้ายกันกับดวงจันทร์ไตรตันของดาวเนปจูน และวัตถุอวกาศที่พบอยู่ในเข็มขัดไคเปอร์ ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์แล้ว พลูโตควรถูกจัดชั้นให้เป็นเพียงก้อนวัตถุของเข็มขัดไคเปอร์เท่านั้น ที่ผ่านมายังไม่มียานอวกาศลำไหนเดินทางไปสำรวจดาวพลูโตมาก่อน ด้วยเหตุนี้ ปฏิบัติการ "นิว ฮอไรซอนส์" จึงเป็นความหวังของมนุษยชาติที่จะได้รู้จักสมาชิกที่อยู่ขอบจักรวาลมากขึ้น (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 19 ม.ค. 48 http://www.komchadluek.net)
ไทยเตรียมรับมือคลื่นลูกใหม่ 'อาร์เอฟไอดี'
กระทรวงไอซีที โดยซิป้าร่วมกับเอเชีย อาร์เอฟไอดี ฮับ จัดงานไทยแลนด์ อาร์เอฟไอดี ซัมมิท นำเสนอเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดีครบวงจรพร้อมสัมมาจากวิทยาการระดับโลก วันที่ 22-24 กุมภาพันธ์ นี้ ณ ฮอล์เอ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิต์ นายมนู อรดีดลเชษฐ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า การยอมรับเทคโนโลยี อาร์เอฟไอดี และนำไปใช้กันอย่างกว้างขวางทั่วโลก ย่อมส่งผลต่อผู้ประกอบการ ตัวอย่างเช่น การประกาศใช้อาร์เอฟไอดีในซุปเปอร์สโตร์ขนาดใหญ่ Walmart มีผลให้คู่ค้าต้องปรับระบบเป็นอาร์เอฟไอดี ด้วยเช่นกัน ผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ส่งออกต้องพร้อมที่จะปรับตัวและศึกษาเทคโนโลยีนี้อย่างจริงจัง และนี่เป็นที่มาของการจัดงานไทยแลนด์ อาร์เอฟไอดี ซัมมิท 2006 ทั้งนี้ อาร์เอฟไอดี (Radio Frequency Identification: RFID) เป็นเทคโนโลยีไร้สายที่ใช้คลื่นวิทยุรับ-ส่งมูล สามารถนำไปใช้ในการระบุเอกลักษณ์วัตถุและตำแหน่งได้ชัดเจน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการตรวจสอบและติดตามสินค้า ความรวดเร็วของข้อมูล ลดขั้นตอนการทำงาน ความผิดพลาดและต้นทุนของสินค้า รวมทั้งควบคุมระบบความปลอดภัยด้วย อาทิ รถไฟฟ้าใต้ดินใช้เหรียญฝังอาร์เอฟไอดีเป็นตัวบันทึกเวลาและสถานีขึ้น-ลงของแต่ละบุคคล (เดลินิวส์ ศุกร์ ที่ 20 ม.ค. 49 http://www.dailynews.co.th)
มอ.เขียนโปรแกรมห้องสมุดอัตโนมัติ
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) คิดค้นและพัฒนาระบบห้องสมุดอัตโนมัติ (Automaitc Library System Thai Higher Education Institue หรือ ALIST) ขึ้นใช้เองจนสำเร็จ ผลงานยังโดนใจ สำนักบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) ขอให้พัฒนาระบบซอฟต์แวร์ดังกล่าว เพื่อใช้เป็น เครือข่ายห้องสมุดในประเทศไทย (ThaiLIS) ครอบคลุมห้องสมุดมหาวิทยาลัย24 แห่ง กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏ 41 แห่ง มหาวิทยาลัยราชมงคล 9 แห่ง มหาวิทยาลัยสงฆ์ และสถาบันเทคโนโลยีปทุมวันอีกด้วย รศ.ดร.บุญสม ศิริบำรุงสุข รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา มอ. เปิดเผยว่า มอ.ซึ่งมีถึง 5 เขตการศึกษา ทั้งที่หาดใหญ่ ปัตตานี ตรัง สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต ตระหนักดีถึงภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ จึงมีนโยบายพัฒนาระบบห้องสมุดอัตโนมัติขึ้นใช้เอง โดยมอบหมายให้ศูนย์คอมพิวเตอร์ ของมหาวิทยาลัยดำเนินการพัฒนาระบบ มาตั้งแต่ปี 2543 เพื่อทดแทนระบบห้องสมุดเดิม โดยเริ่มนำร่องใช้งานภายในห้องสมุดคุณหญิงหลง อรรถกระวีสุนทร เป็นแห่งแรก และเพื่อให้ระบบดังกล่าวมีความเป็นมาตรฐานและสากลยิ่งขึ้น มอ.จึงได้จัดตั้งคณะทำงานพัฒนาระบบห้องสมุดขึ้น เพื่อพัฒนาให้สามารถใช้เป็น โปรแกรมกลาง สำหรับห้องสมุดในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศได้ โดยมีผศ.ดร.ศักดิ์ชัย ปรีชาวีระกุล ในฐานะ ผอ.ศูนย์คอมพิวเตอร์ อธิบายถึงระบบห้องสมุดอัตโนมัติจะประกอบด้วย 6 ระบบย่อย ได้แก่ ระบบจัดหาทรัพยากรสารสนเทศ, ระบบจัดทำรายการสืบค้น, ระบบวารสารและสิ่งพิมพ์ต่อเนื่อง, ระบบการให้บริการยืม-คืน,ระบบสืบค้นสารสนเทศ และระบบจัดการและบริหารระบบนอกจากนี้ผู้ใช้งานยังสามารถปรับแต่งเองได้ในระดับ Source Code เพื่อให้การพัฒนาเป็นไปอย่างยั่งยืน และสามารถขยายการใช้ประโยชน์จากระบบห้องสมุดอัตโนมัติ ให้ครอบคลุมห้องสมุดประเภทต่างๆ ได้อย่างกว้างขวาง ถือเป็นการพัฒนาห้องสมุดที่ครอบคลุมที่สุดของประเทศไทย เป็นที่น่ายินใจว่า ขณะนี้ มีมหาวิทยาลัยให้ความสนใจ นำร่องระบบโปรแกรมห้องสมุดอัตโนมัติ ALIST เพื่อทดสอบใช้งานแล้วคือ ม.ศิลปากร ม.เทคโนโลยีสุรนารี และ ม.นเรศวร คาดว่าในเดือนเม.ย.นี้ มอ.จะสามารถติดตั้งระบบ ALISTได้แล้วเสร็จ (สยามรัฐรายวัน เสาร์ที่ 21 ม.ค. 49 http://www.siamrath.co.th)
นักวิทยาศาสตร์ทึ่ง เปิดยานสตาร์ดัสต์ เจอวัตถุอวกาศจิ๋ว
สำนักข่าวเอพีรายงานเมื่อวันศุกร์ (20 ม.ค.) ว่า นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์อวกาศจอห์นสัน สเปซ เซ็นเตอร์ ของสำนักงานบริหารการบินและอวกาศแห่งสหรัฐ (นาซา) ที่เมืองฮิวส์ตัน ในสหรัฐ ต่างปีติยินดีต่อความสำเร็จในภารกิจของแคปซูลอวกาศสตาร์ดัสต์ ที่ท่องอวกาศติดตามดาวหางมานานกว่า 7 ปี หลังจากเปิดกล่องเก็บตัวอย่างของยานสตาร์ดัสต์แล้ว พบวัตถุที่เชื่อว่าจะสามารถนำไปสู่การไขความลับการก่อตัวของระบบสุริยจักรวาลได้ ทั้งนี้ แคปซูลอวกาศสตาร์ดัสต์ ได้กลับสู่พื้นโลกเมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม ที่ผ่านมา โดยลงจอดกลางทะเลทรายยูทาห์ จากนั้นนักวิทยาศาสตร์ได้ขนย้ายไปยังศูนย์อวกาศในเมืองฮิวส์ตัน และเมื่อเปิดกล่องเก็บฝุ่นดาวหางเมื่อวันอังคารที่ 17 มกราคม ทำให้ทุกคนได้เห็นวัตถุชิ้นที่ว่านี้ นายโดนัลด์ บราวน์ลี นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ซึ่งร่วมปฏิบัติการในภารกิจที่มีค่าใช้จ่ายสูงถึง 212 ล้านดอลลาร์ (ราว 8,480 ล้านบาท) นี้ กล่าวว่า วัตถุทั้งหมดมีขนาดเล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จึงต้องใช้กล้องไมโครสโคปถึงจะมองเห็นได้ และนักวิจัยต่างประหลาดใจไปตามๆ กันที่เห็นวัตถุชนิดขนาดใหญ่อยู่ 1 ชิ้น จนถึงกับกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ และปลื้มที่ได้เห็นเจ้าวัตถุสิ่งนี้ด้วยตาตัวเอง ก่อนหน้านี้ ยานสตาร์ดัสต์ได้ท่องอวกาศโฉบผ่านดาวหางไวลด์ 2 เมื่อปี 2547 และใช้ตาข่ายซึ่งมีขนาดเท่ากับไม้เทนนิสที่ทาด้วยเจล เพื่อดักจับเศษดาวหาง นอกจากนี้ ยังได้บินวนรอบดวงอาทิตย์ เพื่อจับฝุ่นผงถึง 3 รอบ ทั้งยังเร่ง เครื่องด้วยความเร็วกว่าแรงยิงกระสุนถึง 6 เท่า จนทำให้นักวิทยาศาสตร์กังวลว่าอาจจะเป็นอุปสรรคต่อเป้าหมายของภารกิจนี้ จนไม่สามารถนำวัตถุอวกาศกลับมาศึกษายังพื้นโลกนี้ ด้านนายไมเคิล โซเลนสกี ผู้รักษายานสตาร์ดัสต์ กล่าวว่า จะจัดสรรวัตถุตัวอย่างเหล่านี้ให้แก่นักวิทยาศาสตร์ 150 คนทั่วโลกด้วย ขณะที่นายบราวน์ลี เรียกฝุ่นผงพวกนี้ว่า เป็นสมบัติโบราณจากดาวหาง ที่มาจากริมขอบของระบบสุริยจักรวาล (คมชัดลึก เสาร์ที่ 21 ม.ค. 49 http://www.komchadluek.net)
หยดน้ำอัจฉริยะเทคโนโลยี "อิเล็กโทรเวตติ้ง"
Varioptic บริษัทฝรั่งเศส ผู้ผลิตเลนส์ชนิดเหลวคิดค้นเลนส์เทคโนโลยี "อิเล็กโทรเวตติ้ง" (Electrowetting) เข้ารุกตลาดกลุ่มใหม่ภายในสิ้นปีนี้ ชูความสามารถเด่นในการปรับโฟกัสของเลนส์แบบอัตโนมัติที่ไม่ต้องอาศัยชิ้นส่วนกลไก สำหรับใช้งานกับโทรศัพท์ติดกล้อง พร้อมขยายการใช้งานเลนส์ชนิดเหลวเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการใช้งานทั่วไป ทั้งตลาดการสื่อสาร สำหรับใช้กับเครื่องพีดีเอ, กล้อง webcam, อุปกรณ์การประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ รวมทั้งกล้องแบบครบวงจรบนเครื่องพีซี / แล็ปท็อป, ตลาดอุตสาหกรรม เช่น โปรแกรมอ่านบาร์โค้ด และกล้องส่องที่ใช้ในงานอุตสาหกรรม, ตลาดระบบรักษาความปลอดภัย ได้แก่ อุปกรณ์กล้องวิดีโอบันทึกภาพภายในอาคาร เครื่องสแกนด้วยการส่งคลื่นอัลตราซาวด์ เทคโนโลยีไบโอเมทรี, ตลาดเพื่อความบันเทิง ซึ่งรวมถึงกล้องดิจิตอลขนาดจิ๋ว รุ่นเทคโนโลยีขั้นสูง แบบไฮ-เอ็นด์ (ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางชั้นนอก 8 มม. และหนาเพียง 2 มม.) กล้องวิดีโอ camcorder รวมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการเล่นเกม และตลาดใหม่ที่บริษัทต้องการขยายสินค้าเข้าไปนั้นมีความคล้ายคลึงกับตลาดโทรศัพท์มือถือติดกล้อง ซึ่งต้องการความสามารถในการใช้งานและความทนทานที่มากขึ้น ในชุดแพ็กเกจที่เล็กลงและราคาที่ย่อมเยาว์กว่า เลนส์ชนิดเหลวซึ่งควบคุมด้วยกระแสไฟฟ้านี้ คิดค้นโดยบริษัท Varioptic มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับดวงตาของมนุษย์ เนื่องจากสามารถโฟกัสวัตถุได้อัตโนมัติ โดยไม่ต้องอาศัยชิ้นส่วนทางกลไกใดๆ เลนส์ดังกล่าวพัฒนาขึ้นจากหลักการ "อิเล็กโทรเวตติ้ง" ที่เกิดจากการนำหยดน้ำไปวางบนแผ่นสับสเตรท (หรือแผ่นรอง) โลหะที่หุ้มด้วยชั้นฉนวนบางๆ ด้านนอก เมื่อป้อนแรงดันไฟฟ้าไปที่สับสเตรท จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมุมสัมผัส ของหยดของเหลว จากหลักการข้างต้น นำมาสู่การผลิตเลนส์ชนิดเหลว ซึ่งประกอบด้วยของเหลว 2 ชนิดที่มีค่าความหนาแน่นเท่ากัน แต่อันหนึ่งมีคุณสมบัติเป็นตัวฉนวน อีกอันมีคุณสมบัติเป็นตัวพา แรงดันไฟฟ้าจะทำหน้าที่ควบคุมการโฟกัสภาพให้คมชัด โดยค่าความดันไฟฟ้าจะไปแปรเปลี่ยนขนาดความโค้งของพื้นผิวสัมผัสระหว่างของเหลวทั้งสองส่วน ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดทางยาวโฟกัสของเลนส์ เทคโนโลยี "อิเล็กโทรเวตติ้ง" ของ Varioptic ซึ่งอาศัยหลักในการใช้กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนำเพื่อเปลี่ยนความตึงตัวของพื้นผิวเลนส์ดังกล่าว ได้รับการจดสิทธิบัตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมีข้อดีมากมายเหนือกว่าเลนส์ปกติที่ใช้กันอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน ทั้งในแง่ของขนาด ราคา ความเร็วในการปรับโฟกัส ความคงทนในการใช้งาน รวมทั้งเรื่องของคุณภาพ สนใจต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของบริษัทได้ที่ www.varioptic.com (มติชนรายวัน เสาร์ที่ 21 ม.ค. 49 http://www.matichon.co.th)
สถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์เพื่อ สวล. ลดขยะบรรจุภัณฑ์ลดต้นทุน
จากข้อมูลของศูนย์บริการทางวิชาการ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี 2547 ระบุตัวเลขของขยะบรรจุภัณฑ์ในประเทศมี 13.7 ล้านตันต่อปี รัฐต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรับภาระในการฝังกลบขยะชุมชน ใช้เงินประมาณ 8,000-10,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายและรักษาสิ่งแวดล้อมได้มีการก่อตั้ง สถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วยกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก เยื่อและกระดาษ แก้วและกระจก เหล็ก และอะลูมิเนียม กับสมาชิกที่ผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดการให้ปริมาณบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วในกองขยะทั่วประเทศลดลงด้วยวิธีที่ปลอดภัยและเหมาะสม เป็นหน่วยงานที่ไม่แสวงหาผลกำไร มีเงินทุนสนับสนุน 5 ปีแรก ปีละ 50 ล้านบาทจากผู้ประกอบการ ดำเนินการโดยอิสระภายใต้การบริหารของคณะกรรมการสถาบันฯ อาทิ ผู้แทนจากกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สถาบันดังกล่าวจะนำต้นแบบของ CEMPRE ประเทศบราซิล ที่ทำมาประมาณ 13 ปี มาปรับใช้กับประเทศไทย รณรงค์ให้ประชาชนแยกทิ้งขยะพร้อมกับอบรมชาวบ้านที่เก็บขยะให้รู้จักรวมตัวเป็นสหกรณ์ ใช้เครื่องมือป้องกันอันตรายจากขยะ ใช้เครื่องอัดขยะบรรจุภัณฑ์ให้เนื้อที่เล็กลงผูกมัดให้เก็บได้สะดวก CEMPRE จะช่วยหาผู้ซื้อที่เป็นโรงงานรีไซเคิลมารองรับ ขณะเดียวกันจะจ้างนักวิชาการศึกษาหาแนวทางนำขยะรีไซเคิลไปผลิตสินค้าที่ใช้ได้ดีและหาวัสดุใหม่ ๆ ที่จะทดแทนวัสดุเดิมโดยมีน้ำหนักน้อยกว่า รีไซเคิลง่ายกว่า ต่อมาจะประสานงานกับสหกรณ์กับโรงงานรีไซเคิลเพื่อการซื้อขาย ทั้งนี้จากการดำเนินการมาแล้ว 13 ปีของประเทศบราซิล ประสบความสำเร็จอย่างดี ประพัฒน์ โพธิวรคุณ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่าจะจัดทำโครงการนำร่องการจัดการขยะบรรจุภัณฑ์อย่างครบวงจร จะเริ่มที่เขตบางขุนเทียน, จังหวัดนนทบุรี และชุมชนธรรมศาสตร์ รังสิตก่อน ซึ่งจะเป็นการสร้างงานให้ชุมชนในท้องถิ่นด้วย และเป็นแบบอย่างขยายสู่พื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น และมีปัญหาการจัดการขยะบรรจุภัณฑ์อย่างมาก เช่น ปทุมธานี, เชียงใหม่, ชลบุรี, พัทยา, ขอนแก่น, นครราชสีมา, สงขลา, หาดใหญ่และภูเก็ต มีการสนันสนุนผู้ผลิตให้ใช้ Clean Technology ในการบรรจุภัณฑ์ สนับสนุนการใช้บรรจุภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพ. (เดลินิวส์ อาทิตย์ที่ 22 ม.ค. 49 http://www.dailynews.co.th)
ข่าววิจัย/พัฒนา
น้ำมะเขือเทศ คุ้มครองคอยาจากโรคถุงลม
นักวิทยาศาสตร์ชาวซากุระพบว่า มะเขือเทศอาจจะช่วยป้องกันโรคถุงลมปอดโป่งพอง ให้กับผู้สูบบุหรี่ได้ เพราะมะเขือเทศมีสารไลโคเปน อันมีคุณสมบัติเป็นตัวล้างพิษ ซึ่งช่วยป้องกันโรคเรื้อรัง ของปอด ที่คุกคามคอยาเป็นอันมาก ทำให้ปอดทำงานไม่เต็มปอด ผู้ป่วยหายใจได้ลำบาก หายใจ หอบและหายใจขัดมีเสียง หากเป็นโรคหลอดลมอักเสบซ้ำเข้าด้วยก็อาจทำให้ทางเดินในปอดอุด ตันถึงกับเสียชีวิตได้ นักวิทยาศาสตร์ของ โรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยจุนเทนโด ที่กรุงโตเกียว พบในการศึกษาว่า เมื่อผสมน้ำมะเขือเทศในน้ำให้หนูกิน ปรากฏว่าได้ผลช่วยป้องกันโรคถุงลมปอดโป่งพอง เกิดกับหนู เพราะจากการสูบควันบุหรี่ได้ พวกเขากำลังศึกษาต่อไปว่า น้ำมะเขือเทศ จะเป็นประโยชน์กับคนไข้โรคถุงลมปอดโป่งพอง ด้วยหรือไม่ ตามปกติเมื่อเรากินสลัดก็มีมะเขือเทศ เป็นเครื่องปรุงหลักอยู่แล้ว และในค็อกเทล ที่มีชื่อเสียงมีชื่อว่า บลัดดี้แมรี่ ก็เป็นส่วนผสมของเหล้าวอดก้ากับน้ำมะเขือเทศ. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 16 ม.ค. 49 http://www.thairath.co.th)
เตือนนักจ๊อกกิ้งสาวใส่ยกทรงกีฬาป้องกันทรวงหย่อนยาน
นักวิจัยของมหาวิทยาลัยพอร์ตสมัธ พบในการศึกษารูปภาพสามมิติทรวงอกของผู้หญิง ขณะวิ่งจ๊อกกิ้งว่า ทรวงอกจะถูกเขย่าอย่างไม่อาจบังคับได้ บิดเบี้ยวจนเป็นรูปเลข 8 ดึงขืนเนื้อเยื่อและเอ็นที่เปราะบาง นอกจากนั้น มันยังแกว่งไปคนละทางกับตัว แต่ละก้าวที่วิ่งไปบนลู่กลนั้น ทรวงอกจะแกว่งไปเป็นระยะเฉลี่ย 9 เซนติเมตร เมื่อคำนึงถึงว่า ทรวงอกของสตรีมีน้ำหนักข้างละระหว่าง 200-300 กรัม การที่ต้องแกว่งไปขนาดนี้ นับว่าเป็นงานหนักของผิวหนังชั้นนอก และเอ็นรั้ง กับภาระหน้าที่ช่วยรั้งประคองเอาไว้ พวกเขายังพบว่าการเคลื่อนไหวแบบนี้ยังอาจทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยได้ด้วย และที่สำคัญยังอาจทำให้เอ็นรั้งยืดล้า จะทำให้ทรวงอกเกิดหย่อนยานอย่างที่ไม่อาจกลับคืนเดิมได้ ดร.โจนน์ สเคอร์ หัวหน้าคณะวิจัย บอกอธิบายว่า การใส่เสื้อยืดคอกลมธรรมดาเมื่อเวลาวิ่งจะช่วยลดความสั่นสะเทือนได้เพียง 38% เท่านั้น จึงควรจะสวมใส่ยกทรงกีฬา ซึ่งจะช่วยลดความสั่นสะเทือนได้มากถึง 78% (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 16 ม.ค. 49 http://www.thairath.co.th)
ประดิษฐ์อุปกรณ์รถแสนรู้ ช่วยคนขับแคล้วคลาดอุบัติเหตุ
บริษัทรถยนต์ฮอนด้า บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นบริษัทหนึ่ง ได้พัฒนาระบบ พี่เลี้ยงคนขับขั้นสูง ขึ้น สามารถช่วยเหลือคนขับ แก้ไขความผิดพลาดของคนขับ ให้แคล้วคลาดจากอุบัติเหตุ นายแกรแฮม อเวนต์ โฆษกของบริษัท กล่าวว่า ระบบที่จะติดตั้งให้ในรถ ไม่ใช่ถึงกับไม่ต้องใช้คนขับหรือปล่อยให้คนขับปีนไปนอนหลับที่เบาะหลังได้เลย เพียงแต่ช่วยให้รถวิ่งตามเลน และใช้ความเร็วในระดับที่ปลอดภัยบนมอเตอร์เวย์เท่านั้น โดยที่คนขับเพียงแต่คอยใช้ศอกแตะพวงมาลัยรถไว้ทุกๆ 10 วินาทีเท่านั้น เขาอธิบายว่า ระบบทำงานโดยมีส่วนประกอบหลัก 2 อย่าง คืออุปกรณ์ คงความเร็วรถ อันเป็นเครื่องเรดาร์ตรวจวัดติดอยู่หลังตราฮอนด้าข้างหน้ารถ คอยตรวจจับรถคันหน้า จะคอยเร่งหรือชะลอความเร็วของรถให้สัมพันธ์กับรถคันหน้าไว้ และอุปกรณ์ที่จะคอยรักษารถให้คงแล่นอยู่ในเลน ซึ่งจะเป็นกล้อง ถ่ายภาพซึ่งติดตั้งอยู่หลัง กระจกมองข้าง จะคอยจับดูเส้นสีขาวบนถนนและพวงมาลัยรถอยู่เสมอ บริษัทกล่าวว่า ระบบพี่เลี้ยงทันสมัยนี้ จะติดตั้งให้กับรถยนต์ฮอนด้า แอคคอร์ดรุ่นใหม่ ซึ่งจะออกสู่ตลาดในเดือนมีนาคมศกนี้ จะจำหน่ายในราคา คันละประมาณ 1,941,000 บาทก่อน และจะได้ทยอยติดตั้งกับรถยนต์ฮอนด้า ที่ผลิตออกทุกคันภายในปี พ.ศ. 2559. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 16 ม.ค. 49 http://www.thairath.co.th)
วิจัย...กากมะเขือเทศ ใช้เป็นอาหารเลี้ยงโคได้ดี
นายอานุภาพ เส็งสาย นักวิชาการสัตวบาล 6 ว. กองอาหารสัตว์ กรมปศุสัตว์ เปิดเผยถึงชิ้นงานวิจัย การใช้กากมะเขือ เทศเป็นอาหารสัตว์ ว่า กากมะเขือเทศสดจากโรงงาน มีลักษณะเปียกเนื่องจากมีความชื้นสูง การนำไปเลี้ยงสัตว์จึงควรใช้ ในลักษณะสดใหม่ไม่เหม็นบูด หรือเกิดรา ทั้งในสภาพ หมักกับวัสดุอื่นๆ เช่น หมัก ร่วมกับต้นข้าวโพด หญ้าอาหารสัตว์ หรือแม้แต่มันเส้น เพื่อดูดซับความชื้นและเพิ่มพลังงาน สำหรับการทดลอง จะใช้กากมะเขือเทศสดหมัก ร่วมกับต้นข้าวโพดสัดส่วน 1 ต่อ 5 ต้นข้าวโพดหมักทั้งที่ไม่ผสมและ ผสมกากมะเขือเทศไป ประกอบสูตรอาหารมีโปรตีน 16 เปอร์เซ็นต์ เพื่อเลี้ยง โคนมพันธุ์โฮลสไตน์กำลังให้นม และใช้กากมะเขือเทศสดเป็น อาหารหยาบเปรียบเทียบกับฟางข้าว ผลที่ได้พบว่าแม่โคจะ ให้น้ำนมดีขึ้นอย่างชัดเจน เนื่องจากกากมะเขือเทศสดมีโปรตีนสูงกว่า (2.14 เปอร์เซ็นต์ ในสภาพสด หรือ 17.86 เปอร์เซ็นต์ของวัตถุแห้ง) โคจะกินกากมะเขือเทศสดเมื่อคิดเป็นอาหารแห้งได้มากกว่ากินฟางข้าว จึงได้รับสารอาหารมากกว่า และที่สำคัญยังมีแนวโน้มว่า เปอร์เซ็นต์ไขมันในน้ำนมจะสูงกว่าน้ำนมของแม่โค ที่กินฟางข้าวเป็นอาหารหยาบ ส่วน โคเนื้อ ได้ทดลองนำ กากมะเขือเทศแห้งมาใช้เลี้ยงทดแทน หญ้าแห้งและหญ้าสด ปรากฏว่า ตลอดเวลา 148 วัน ที่เก็บข้อมูล ปรากฏว่าโคกินกากมะเขือเทศแห้ง ได้มากกว่าหญ้าแห้งและหญ้าสด มีอัตราการเจริญเติบโตดีกว่า และให้ผลตอบแทนดีกว่า จากการทดลองนี้ กล่าว ได้ว่ากากมะเขือเทศแห้ง สามารถใช้ทดแทนหญ้าหรือ อาหารหยาบทั้งหมด หรือบางส่วนได้ในสภาพสด แห้ง และหมัก หรือหมักร่วมกับหญ้าหรือ วัสดุอื่นแล้วใช้เป็นอาหารหยาบ โดยใช้ร่วมกับอาหารข้นจะช่วยเพิ่มสารอาหารแก่ โคนมและโคเนื้อเป็นการลดการสูญเสีย ก่อให้เกิดผลตอบแทนที่ดี ลดปัญหา การขาดแคลนอาหารสัตว์และปัญหามลพิษ อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกร ได้ในยุควิกฤติเศรษฐกิจเช่นนี้ (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 16 ม.ค. 49 http://www.thairath.co.th)
พบสารกระตุ้นความอยาก ลุ้นใช้เป็นอาวุธสู้โรคอ้วน
นักวิทยาศาสตร์สหรัฐพบสารประกอบในสมองซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นความอยากอาหาร อาจต่อยอดพัฒนาเป็นอาวุธสำคัญใช้ต่อสู้กับโรคอ้วน รายงานระบุว่า สารประกอบดังกล่าวเป็นกรดไขมันเรียกว่า มาโลนิล โคเอ็นไซม์ เอ พบในสมองส่วนไฮไปธาลามัสซึ่งทำหน้าที่รับสัญญาณแสดงสถานะทางโภชนาการของร่างกายจากระบบย่อยอาหาร และกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยากอาหารหรือหยุดรับประทาน คณะนักวิจัยทดลองนำกรดไขมันมาโลนิล โคเอ็นไซม์ เอเข้าสู่สมองของหนูทดลองโดยใช้ไวรัสเป็นตัวกลาง จากการศึกษาพบว่า เมื่อระดับของกรดไขมันดังกล่าวต่ำลง หนูจะกินอาหารมากขึ้น และเริ่มอ้วนในที่สุด โดยเฉลี่ยพบว่าน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายในเวลา 18 สัปดาห์ นักวิทยาศาสตร์จากวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เจ้าของงานวิจัยซึ่งรายงานไว้ในวารสารเนเชอร์ นิวโรไซแอนส์ตั้งสมมติฐานว่า การขาดกรดไขมันมาโลนิล โคเอ็นไซม์ เอ อาจเป็นสาเหตุให้บางคนมีนิสัยกินไม่หยุดปาก หากสามารถเพิ่มระดับกรดไขมันดังกล่าวก็น่าจะช่วยปรับการรับประทานอาหารให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม งานวิจัยครั้งนี้สอดคล้องกับผลการศึกษาหลายชิ้นก่อนหน้า ซึ่งระบุว่า ฮอร์โมนมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นความอยากอาหาร โดยมีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาเป็นยาสำหรับรักษาผู้ป่วยโรคอ้วน (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 16 ม.ค. 49 http://www.siamrath.co.th)
ไอซีทีมอบจุฬาฯวิจัยเกมออนไลน์
กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) มอบหมายจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษาวิจัยเพื่อเป็นแนวทางจัดทำเรทติ้งเกม โดยใช้ข้อมูลจากต่างประเทศประมาณ 4-5 แห่ง มาประยุกต์ใช้ และคาดว่าภายในเดือนมีนาคม 2549 น่าจะเสร็จเรียบร้อย จากนั้นจึงเสนอรัฐมนตรีเพื่อเป็นมาตรการปฏิบัติต่อไป บริษัทที่ใช้เป็นข้อมูลวิจัยได้แก่กลุ่มเกมเกาหลี ที่มี "เรทติ้ง ออล" (RATING All) เหมาะสำหรับผู้เล่นทุกช่วงอายุ ประกอบด้วย เกมเมเปิล สตอรี่, บีเอ็นบี, และกันบาวด์ ขณะที่เกมแร็กนาร็อค ออนไลน์ และโยวกัง ออนไลน์ ซึ่งในเกาหลีอยู่ในกลุ่มออลนั้น ถูกจัดเรทติ้งเป็น "12+" คือเหมาะสำหรับผู้เล่นช่วงอายุ 12 ปีขึ้น ส่วนเกมจากไต้หวัน ได้แก่ เกมทีเอส ออนไลน์ ซึ่งบริษัทผู้พัฒนาจัดไว้ในกลุ่ม "ออล" แต่บริษัทปรับเป็นเรทติ้ง "12+" และเกมเจวาย ออนไลน์ ที่มีเรทติ้ง "ออล" ในไต้หวัน แต่อยู่ในกลุ่ม "15+" หรือเหมาะสำหรับผู้เล่นช่วงอายุ 15 ปีขึ้น สำหรับผู้เล่นในไทย (คมชัดลึก จันทร์ที่ 16 ม.ค. 49 http://www.komchadluek.net)
วท.ผลิตเครื่องหีบสบู่ดำ ต้นทุนต่ำทดแทนนำเข้า
นายประวิช รัตนเพียร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) แถลง "เปิดตัวเครื่องหีบน้ำมันเมล็ดสบู่ดำสำหรับเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน" ว่า เป็นความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยี โดยความร่วมมือกับสมาคมเครื่องจักรกลไทย คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) เครื่องนี้สามารถหีบน้ำมันได้ 1 ลิตร จากเมล็ดสบู่ดำ 3-4 กิโลกรัม คิดเป็นต้นทุนลิตรละ 80 สตางค์ สามารถทดแทนการน้ำเข้าเครื่องจักรจากต่างประเทศที่มีราคาเครื่องละ 6-7 หมื่นบาทได้ ทั้งนี้ จะสนับสนุนการวิจัยต้นสบู่ดำต่อไป เพราะประโยชน์จากใบนำไปเลี้ยงหม่อนไหมได้ ลำต้นสามารถนำไปทำเชื้อเพลิง และยังนำกากที่เหลือไปทำปุ๋ย นอกจากนี้ จะต้องเพิ่มการผลิตสบู่ดำต่อไร่จากปัจจุบันที่ผลิตได้ 300 กิโลกรัมต่อไร่ เพิ่มเป็น 800-1,000 กิโลกรัมต่อไร่ด้วย (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 16 ม.ค. 49 http://www.matichon.co.th)
หนุนเผาถ่านใช้เอง-ลดใช้ถ่านเผาจากไม้ใหญ่ ได้"น้ำส้มควันไม้"ทำผลผลิตเพิ่ม
นายปรียะทัศน์ ทัศนิยม รองประธานคณะทำงานพลังงานยั่งยืน จ.อุบลราชธานี เปิดเผยถึงการประกวดเผาถ่านด้วยเตาประสิทธิภาพสูง จัดโดย สมาคมเทคโนโลยีที่เหมาะสมว่า แต่ละปีจ.อุบลฯมีการใช้พลังงานจากถ่านหลายร้อยล้านบาท ก่อให้เกิดการสิ้นเปลืองทรัพยากรธรรมชาติ แต่ให้หันมาใช้พลังงานชีวมวลคือพลังงานจากไม้ฟืนที่เกิดขึ้นในทุ่งนาของตนเอง โดยไม่ได้เป็นการตัดไม้ทำลายป่า โดยไม้ที่นำมาใช้เผาถ่านนั้นเป็นไม้ขนาดเล็ก เสมือนเป็นการตัดแต่งกิ่งให้กับต้นไม้ ซึ่งมีเตาเผาใช้ถังน้ำมัน 200 ลิตร จะได้ปริมาณถ่านมากกว่าเตาเผาที่เป็นดินธรรมดา นอกจากนั้นผลพวงที่ได้จากการเผาถ่านโดยใช้เตาดังกล่าวนี้ จะได้น้ำส้มควันไม้ ซึ่งนำไปใช้ในการเกษตร ทำสบู่ หรือใช้ในชีวิตประจำวันอย่างอื่นได้เป็นอย่างดี โดยมีงานวิจัยทางวิชาการรับรอง
คุณภาพของถ่านในการประกวดครั้งนี้มีเกณฑ์ตัดสินคือ ต้องเป็นถ่านที่ปราศจากสารทาร์หรือน้ำมันดิน เมื่อเราจุดไฟแล้วจะไม่มีควัน ผิวถ่านต้องเป็นมันวาว เมื่อสัมผัสต้องไม่เป็นสีดำ มีความแกร่ง เวลา เคาะมีเสียงกังวาน รวมทั้งมีค่าความต้านทานไฟฟ้าต่ำ ประกอบกับเทคนิคการเผาของแต่ละทีมต้องโดดเด่น ซึ่งผู้ที่ชนะการประกวดในครั้งนี้จะเป็นตัวแทนของจังหวัดอุบลฯ เข้าประกวดระดับภาคที่จังหวัดขอนแก่น ในระหว่างวันที่ 20-23 ม.ค.นี้ น.ส.อรไท มนัสศิลา เจ้าหน้าที่ประสานงานศาลาพลังงาน สมาคมเทคโนโลยีที่เหมาะสม กล่าวว่า โครงการดังกล่าวจัด 5 จังหวัดนำร่อง คือ อุบลฯ ขอนแก่น นครราชสีมา สุรินทร์ ร้อยเอ็ด (ข่าวสด จันทร์ที่ 16 ม.ค. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)
ทำชุดตรวจวัดเชื้อไข่ของชาย หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป
นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมในอังกฤษพัฒนาชุดตรวจภาวะเจริญพันธุ์ ของผู้ชายด้วยตัวเองที่สามารถหาซื้อได้ตาม ร้านขายยาทั่วไปเป็นครั้งแรกของโลก ชุดตรวจดังกล่าวมีชื่อว่าเฟอร์เทลล์ ทราบผลได้ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ช่วยให้คู่สมรสทราบได้แต่เนิ่นๆ ว่าฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องภาวะเจริญ พันธุ์หรือไม่ คณะวิจัยอ้างว่า ผลการทดสอบกับผู้ชาย 150 คน ได้ผลแม่นยำถึงร้อยละ 95 และช่วยลดระยะเวลารอการรักษาปัญหาภาวะเจริญพันธุ์ลงได้มากที่สุดถึง 1 ปี เพราะแพทย์มักแนะนำให้คู่สมรสรอประมาณ 1 ปี ก่อนจะเข้า รับการรักษาปัญหาภาวะเจริญพันธุ์ ชุดตรวจจะบอกได้ว่าผู้ชายมีจำนวนสเปิร์ม หรือเชื้ออสุจิมากพอจะทำให้ไข่ปฏิสนธิได้หรือไม่ ด้วยการบังคับให้สเปิร์มว่ายผ่านตัวกั้นที่ทำเลียนแบบปากมดลูกของผู้หญิง หากจำนวนสเปิร์มที่ว่ายผ่านด่านไปได้มีมากพอ จะปรากฏเส้นสีแดงแสดงผลว่าภาวะเจริญพันธุ์ผ่านเกณฑ์ นักวิจัยคาดว่า เฉพาะผู้ชายในอังกฤษอาจจะไม่ ผ่านด่านอันนี้ไปได้ไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน. (ไทยรัฐ พุธที่ 18 ม.ค. 49 http://www.thairath.co.th)
รับวิตามินดีในปริมาณมาก ลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม
วารสารวิชาการ อเมริกัน เจอร์นัล ออฟ พับบลิค เฮลธ์ ฉบับออนไลน์ รายงานว่า การได้รับวิตามินดีในปริมาณมากถึงวันละ 1,000 หน่วยสากล สามารถจะลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ลงได้ประมาณหนึ่งในสาม รายงานดังกล่าวเป็นการศึกษาของซีดริค การ์แลนด์ และคณะจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียซานดิเอโก ที่ได้ทบทวนการศึกษาก่อนหน้านี้ 63 ชิ้น ตรวจสอบดูความสัมพันธ์ระหว่างวิตามินดีกับมะเร็ง พบว่า มีความเชื่อมโยงกันระหว่างการได้รับวิตามินดีกับการลดปัจจัยเสี่ยง การเป็นมะเร็งให้ต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับที่กล่าวกันว่าการสูบบุหรี่ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอดเพิ่มขึ้น หัวหน้านักวิจัยกล่าวว่า การตรวจหามะเร็งด้วยเครื่องแมมโมแกรม จะช่วยให้ทราบว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และลดอัตราการตายลงได้ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ แต่การใช้ วิตามินดีจะช่วยป้องกันมะเร็งได้ตั้งแต่ต้นมือ. (ไทยรัฐ พุธที่ 18 ม.ค. 49 http://www.thairath.co.th)
เยาวชนไทยโชว์เจ๋ง!! ประดิษฐ์เครื่องตัดหญ้าแบบนั่งขับ
"เครื่องตัดหญ้าแบบนั่งขับ" เป็นผลงานนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 นายอภิวัฒน์ สุขะนนท์, นายวุฒิพงษ์ คุณุ และนายสันติพงษ์ บดโคกกรวด จากโรงเรียนห้วยแถลงพิทยาคม อ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมา อุปกรณ์ที่ใช้เป็นเครื่องยนต์เก่าที่ไม่ใช้แล้วเอามาซ่อมแซ่มและดัดแปลงจนสามารถใช้งานและตัดหญ้าภายในโรงเรียนได้ สามารถแบ่งเบาภาระแถมประหยัดค่าใช้จ่ายให้โรงเรียนอีกด้วย นายอภิวัฒน์ สุขะนนท์ หนึ่งในผู้ร่วมประดิษฐ์รถตัดหญ้านั่งขับขนาดเล็ก เล่าว่า สำหรับแนวคิดได้จากการสังเกตเห็นการตัดหญ้าภายในโรงเรียนที่ต้องใช้รถตัดหญ้าแบบเดิน ทำให้คนเดินเข็นเครื่องตัดหญ้าต้องใช้แรงมาก จึงได้คิดประดิษฐ์รถตัดหญ้าแบบนั่งขับขึ้น โดยใช้ต้นทุนที่มีราคาถูก งบประมาณที่ใช้แค่ 5,400 บาท เท่านั้น สามารถใช้งานได้จริง และสามารถตัดหญ้าได้เร็วกว่าใช้แร็งงานคนมาก นอกจากนี้ บรรดานักเรียนจากโรงเรียนห้วยแถลงพิทยาคมยังมีผลงานของนักเรียนที่น่าสนใจอีกหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น เก้าอี้นวดพลังงานหลอดด้าย รถเสิร์ฟน้ำบังคับวิทยุ เครื่องปั่นนุ่น การยืดอายุขนมแพนเค้ก การประดิษฐ์ของชำร่วย ฯลฯ (มติชนรายวัน 18 ม.ค. 49 http://www.matichon.co.th)
กินของหวานๆ หัวสมองแล่น สามารถจดจำข้อความได้มากขึ้น
นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยสกอตแลนด์ ศึกษาพบว่าการกินน้ำตาลช่วยให้ความจำ ดีขึ้น จดจำได้มากขึ้น และยังต่อสู้กับโรคสมองเสื่อมอีกด้วยพวกเขาพุ่งความสนใจ ไปตรงสมองคนส่วนที่มีลักษณะเหมือนม้าน้ำ ซึ่งมีหน้าที่สร้างความจำใหม่ แต่มันจะเสื่อมถอยลงเมื่อเป็นโรคสมองเสื่อม ทำให้ความจำในหมู่ผู้สูงอายุเลวลง พวกเขาได้ศึกษากับอาสาสมัครที่มีอายุระหว่างตั้งแต่ 18-52 ปี 25 คน ให้ลองช่วยกันจำรายการคำจำนวนหนึ่ง แล้วให้ดื่มน้ำหวานกันก่อนที่จะทำการทดสอบความจำและตรวจวัดคลื่นสมอง ตรวจวัดดูว่าหลังจากที่ได้ดื่มน้ำส้มที่ใส่น้ำตาล 25 กรัม พอๆ กับดื่มโคคาโคลา 1 กระป๋อง เข้าไปแล้วเกิดอะไรขึ้น ผลการทดสอบได้พบว่า พวกเขาสามารถจดจำคำได้มากขึ้นกว่าเดิม 11% และหากว่าให้กินน้ำตาลเพิ่มมากขึ้นเป็นสองเท่า ก็จะมีความจำดีขึ้นเป็น 17% สามารถท่องชุดของคำได้เร็วขึ้นกว่าเก่าอีก 100 มิลลิวินาทีด้วย หัวหน้านักวิจัยศาสตราจารย์ริลบีกล่าวว่า การวิจัยของเราแสดงว่าการดื่มน้ำตาลกลูโคส จะช่วยทำให้ ความจำดีขึ้นอย่างเห็นได้ การทดลองกับคนหนุ่มและวัยกลางคนของเรา แสดงว่าหากว่าเราสามารถฝึกปรือร่างกายของเรา ให้ใช้พลังงานจากน้ำตาลกลูโคสที่มีสำรองในตัวเสียแต่ต้น อาจจะป้องกันเกิดความจำเสื่อมเมื่อตอนแก่ให้น้อยที่สุดก็อาจจะทำได้. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 19 ม.ค. 49 http://www.thairath.co.th)
ผลงานนักศึกษาช่วยคนพิการชุดลากวีลแชร์พลังงานไฟฟ้า
นายวีรศักดิ์ คำแสนใส นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมเครื่องกล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา วิทยาเขตภาคพายัพ (เชียงใหม่) ผู้คิดค้นเครื่องลากรถวีลแชร์พลังงานไฟฟ้า เปิดเผยว่า เนื่องจากรถวีลแชร์ไฟฟ้าที่นำเข้ามีราคาแพงถึง 40,000-50,000 บาท จึงร่วมกับนายคมสันต์ สุยะใหญ่ เพื่อนนักศึกษา คิดค้นเพื่อดัดแปลงและปรับเปลี่ยนมาใช้วัสดุอุปกรณ์ที่หาง่ายในท้องตลาด วีลแชร์ไฟฟ้าดังกล่าวได้นำวีลแชร์ที่มีอยู่แล้วมาดัดแปลง ด้วยการทำคานยึดกับส่วนลากวีลแชร์ ซึ่งส่วนลากวีลแชร์จะนำส่วนหน้าของรถจักรยานทั้งหมดมาดัดแปลง และติดตั้งกล่องควบคุมระบบการทำงาน ส่วนระบบเบรกจะใช้ของเดิมและได้เพิ่มไฟส่องสว่างด้วย สำหรับการประกอบชุดลากเข้ากับรถวีลแชร์นั้น สามารถทำได้ภายในเวลา 1 นาที ซึ่งน้ำหนักรวมเมื่อประกอบชุดลากเข้ากับรถวีลแชร์ ประมาณ 70 กิโลกรัม ในส่วนการทำงานสามารถใช้ความเร็วในการลากรถวีลแชร์ได้สูงสุดประมาณ 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนการชาร์จแบตเตอรี่แต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง และสามารถวิ่งได้ระยะทาง 20 กิโลเมตร ทั้งยังติดตั้งเข็มขัดนิรภัยเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งาน อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาได้ผลิตชุดลากวีลแชร์ไปแล้วประมาณ 5 ตัว ในราคาตัวละ 8,000 บาท (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 19 ม.ค. 49 http://www.bangkokbiznews.com)
ยกย่องทีมวิจัยม.นเรศวร พบขิงแก้อาการแพ้หลังการผ่าตัด
วารสารวิชาการ สูติแพทย์และนรีเวชวิทยา ของสหรัฐฯรายงานว่า คณะวิจัยของมหาวิทยาลัยนเรศวรได้ศึกษาพบว่า การให้คนไข้หลังการผ่าตัดกินขิงอย่างน้อย 1 กรัม ช่วยแก้อาการแพ้ เกิดอาการวิงเวียนคลื่นเหียนและอาเจียนได้อย่างชะงัด วารสารกล่าวว่า เคยมีการศึกษาเพื่อหาทางแก้อาการดังกล่าวมานักต่อนัก แต่ยังไม่เคยมีใครพบ จนเมื่อ 10 ปีมานี้ จึงได้มีการศึกษาสรรพคุณของขิง ในการแก้อาการแพ้หลังการผ่าตัด ซึ่งจะปรากฏว่ามีคนไข้เป็นกันอยู่สัก 43% ทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยนเรศวร ที่จังหวัดพิษณุโลก อันมี ดร.นธร ไชยาคุณาพฤกษ์ เป็นหัวหน้า ได้ศึกษาเรื่องนี้และทดลองกับคนไข้ 363 ราย โดยเปรียบเทียบกับการใช้ยาหลอก พบว่าการใช้ขิงจะช่วยลดอาการดังกล่าว ในคนไข้ในช่วงหลังการผ่าตัด 24 ชม.ลงได้ถึง 31% โดยที่เกิดอาการข้างเคียง มีแต่คนไข้รู้สึกไม่สบายท้องเท่านั้น (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 20 ม.ค. 49 http://www.thairath.co.th)
กระดาษจากใยตะไคร้งานศิลปะที่ถูกใจไทยและเทศ
นางสาวกมลชนก อยู่นันท์ นักศึกษาปริญญาตรี คณะคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร วิทยาเขตโชติเวช ได้คิดนำเอา ตะไคร้ พืชคณาประโยชน์ที่มีเส้นใยมาก มาเป็นวัตถุดิบแปรรูปทำกระดาษ...โดยมีอาจารย์กณวรรณ์ เอียดนุช เป็นที่ปรึกษา ปัจจุบันหลายหน่วยงาน มีการนำต้นตะไคร้ มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมาย อาทิ น้ำตะไคร้พร้อมดื่ม ซึ่งภายหลัง จากผ่านขบวนการต่างๆ แล้ว จะเหลือ กากใย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ถูกมองข้ามทิ้ง เป็นจำนวนมาก และส่วนนี้เอง ที่น่าจะนำมาใช้ ให้เกิดประโยชน์ได้ ดังนั้น จึงเริ่มศึกษาค้นคว้าข้อมูล ซึ่งทำให้รู้ว่าตะไคร้ เป็นพืชเลี้ยงเดี่ยวเส้นใย มีความเหนียว เหมาะที่จะนำมาผลิตกระดาษ ขั้นตอนการผลิต เริ่มแรกให้นำกากต้นตะไคร้ที่เหลือใช้จากการผลิตอุตสาหกรรมมาแช่ โซดาไฟ นำมาต้มเยื่ออีกครั้งโดยใส่โซดาไฟผสม จากนั้นนำเยื่อที่ต้มแล้วมาล้างน้ำ นำเข้าเครื่องตีเส้นใย กระทั่งเนื้อฟูใช้กระชอนตาใหญ่ช้อนขึ้นมา จากนั้นแผ่เป็นชั้นบางๆ บนกรอบมุ้งลวด (แม่แบบ) ที่เตรียมไว้ หากต้องการตกแต่งลวดลายให้มีความเก๋ไก๋ โดน ใจวัยรุ่น ให้หาใบไม้รูปแปลก ดอกไม้ ดอกหญ้า ธรรมชาติที่ไม่ควรมีขนาดใหญ่มากมาวางนำไปผึ่งลมให้แห้ง ลอกออกจากแม่แบบก็จะได้ กระดาษสาจากกากต้นตะไคร้สีธรรมชาติ แต่งขอบให้เรียบร้อย ถ้าต้องการสีขาว ให้นำมาฟอกขาว ด้วยไฮโดรเจนเปอร์ออกไชด์ ล้างน้ำให้สะอาด ผึ่งแดดให้แห้ง จากนั้นแกะออกจากกรอบ ก็จะได้กระดาษสำเร็จรูปออกมา หากต้องการสีสัน และลวดลาย ที่แตกต่างออกไป ก็นำกระดาษที่ได้มาย้อมสี หรือทำการมัดย้อม จะได้กระดาษจากกากต้นตะไคร้ ที่สวยงามแปลกตา มีต้นทุนการผลิตที่ไม่สูงนัก สนใจติดต่อสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการผลิตกระดาษสาจากกากต้นตะไคร้ได้ที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร วิทยาเขตโชติเวช อาจารย์กณวรรณ์ เอียดนุช หมายเลขโทรศัพท์ 0-2282-8531-2, 0-2281-0545 (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 20 ม.ค. 49 http://www.thairath.co.th)
ฝังแบตฯจิ๋วรักษาตาเสื่อม สหรัฐระดมผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาพัฒนา
ทีมวิจัยจากหลายสถาบันของสหรัฐได้รับทุนวิจัยมูลค่า 260 ล้านบาทจากสถาบันดวงตาแห่งชาติและสถาบันสุขภาพแห่งสหรัฐ เพื่อใช้สร้างศูนย์การออกแบบสารกึ่งตัวนำไฟฟ้าสำหรับใช้งานกับร่างกาย โดยภารกิจของศูนย์ดังกล่าว ได้แก่ การออกแบบ จัดทำต้นแบบ การสังเคราะห์ และสร้างเครื่องมือจิ๋วเพื่อใช้ในการแพทย์ โดยวัสดุที่นำมาใช้นั้นต้องเป็นวัสดุที่ได้จากธรรมชาติ หรือจำพวกโปรตีนสังเคราะห์ที่สามารถใส่เข้าไปในร่างกายได้โดยไม่เป็นอันตราย งานชิ้นแรกของศูนย์แห่งนี้คือ การออกแบบชุดผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับใช้ฝังเข้าไปในบริเวณส่วนต่างๆ ของร่างกาย หรือที่เรียกว่า ไบโอแบตเตอรี่ เบื้องต้นจะพัฒนาแบตเตอรี่จิ๋วสำหรับฝังลงในลูกตาเพื่อจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับจอประสาทตาเทียม เพื่อใช้รักษาโรคประสาทตาเสื่อมที่เกิดจากปัญหากล้ามเนื้อเสื่อมสภาพตามวัย นักวิจัยจะได้ใช้ความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบอุปกรณ์ที่มีขนาดจิ๋ว และนำความรู้นี้มาทำความเข้าใจและศึกษากลไกการทำงานของโปรตีนที่ทำหน้าที่ควบคุมประจุไฟฟ้าให้เคลื่อนที่ไปตามเยื่อบุเซลล์ โดยอาศัยความรู้จากการศึกษากลไกการทำงานของโปรตีนประจุในตัวปลาไหลไฟฟ้า ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้พวกเขาเข้าใจการทำงานของกระแสไฟฟ้าที่ระบบร่างกายผลิตขึ้นมาตามธรรมชาติ และข้อมูลที่ได้จะนำไปใช้ออกแบบและสร้างแบตเตอรี่จิ๋ว หรือแบตเตอรี่นาโน การจัดทำโครงการดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยความรู้หลายด้านเช่น คณิตศาสตร์ ซอฟต์แวร์ ความรู้ด้านการออกแบบ และความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ โดยนักวิชาการจากหลายสถาบันจะร่วมมือกับนักวิชาการจากข้างนอกเพื่อจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ สัมมนา การประชุม และการสร้างความร่วมมือกัน สำหรับองค์ประกอบของแบตเตอรี่นาโนจะใช้เทคโนโลยีซิลิกาเป็นพื้นฐาน ซิลิกาเป็นธาตุชนิดหนึ่งได้มาจากการหลอมทรายด้วยความร้อนสูงเพื่อทำให้ได้ธาตุที่บริสุทธิ์ ซิลิกามีคุณสมบัติเป็นสารกึ่งตัวนำไฟฟ้า และใช้งานแพร่หลายในชิพคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ ทีมงานยังมีแผนที่จะใช้ประยุกต์เอาการทำงานของระบบร่างกายต่างๆ มาทำเป็นเครื่องมือรักษาโรค และใช้เป็นอุปกรณ์ฝังในร่างกายด้วย นอกเหนือจากโปรตีนควบคุมประจุไฟฟ้าในร่างกายแล้ว ยังรวมถึงการส่งสัญญาณไฟฟ้า และการตรวจจับโมเลกุลในร่างกายด้วย (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 20 ม.ค. 49 http://www.komchadluek.net)
ไทยพัฒนาข้าวหุงสุกเร็ว 3 นาที หวังเทียบชั้นบะหมี่สำเร็จรูป
นายวัฒนกุล มังคลรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัท เอเชี่ยน สุพีเรียฟู้ดส์ จำกัด ธุรกิจในเครือของบริษัท ไทยเบตเตอร์ฟู้ดส์ จำกัด ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ข้าวไทยเพื่อการส่งออก ไม่ว่าจะเป็นเส้นหมี่ ก๋วยเตี๋ยว และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวประเภทอื่นๆ เปิดเผยว่า บริษัทได้พัฒนานวัตกรรมเกี่ยวกับข้าวไทยออกมา 3 รายการ ได้แก่ ข้างหุงสุกเร็ว ใบเมี่ยง และเส้นอุด้งสด ซึ่งขณะนี้พร้อมผลิตและส่งออกแล้ว โดยเฉพาะข้าวหุงสุกเร็ว เป็นผลิตภัณฑ์ข้าวสวยและข้าวปรุงรสกึ่งสำเร็จรูปที่สามารถคืนรูปเป็นผลิตภัณฑ์พร้อมรับประทานได้ ภายในเวลา 3 นาที เมื่อเข้าไมโครเวฟ แต่หากไม่มีไมโครเวฟ สามารถต้มน้ำร้อนและปิดฝาทิ้งไว้ 5 นาที ก็จะได้ข้าวพร้อมรับประทาน ซึ่งเร็วกว่ากระบวนการหุงปกติที่ใช้เวลา 15-30 นาที สาเหตุที่พัฒนาข้าวหุงสุกเร็วขึ้นมานั้น นายวัฒนกุลให้เหตุผลว่า ต้องการให้ชาวต่างประเทศสามารถปรุงผลิตภัณฑ์ข้าวไทยได้อย่างสะดวก เหมือนกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซึ่งส่วนใหญ่จะผลิตมาจากจีน โดยหากข้าวไทยสามารถทำให้สุกได้เร็วเท่าบะหมี่ ก็เชื่อได้ว่าจะดึงผู้บริโภคให้หันมารับประทานข้าวไทยแทนบะหมี่ได้ นอกจากนี้ บริษัทยังได้ออกแบบและพัฒนาเครื่องจักรทำแผ่นแป้งเมี่ยงขึ้นมาแทนการใช้แรงงานคนในการผลิต โดยใช้งบลงทุนไปราว 5 ล้านบาท จุดเด่นอยู่ที่ความสามารถในการควบคุมความหนาของแผ่นแป้งได้ตามต้องการ ซึ่งจากเดิมที่ใช้กำลังคนในการผลิตนั้น จะได้แผ่นแป้งที่ออกมามีความหนาไม่สม่ำเสมอ ส่วนเส้นอุด้ง ความน่าสนใจอยู่ตรงการใช้แป้งข้าวเจ้าทดแทนแป้งสาลีในปริมาณ 30% โดยที่เนื้อสัมผัสไม่ต่างจากอุด้งของต้นฉบับ ที่สำคัญการนำแป้งข้าวเจ้ามาทดแทนแป้งสาลีช่วยให้บริษัทลดต้นทุนได้มากถึง 20% ส่งผลให้สามารถส่งสินค้าออกไปแข่งขันกับอุด้งของประเทศที่มีวัตถุดิบแป้งสาลีเป็นของตัวเอง อย่างจีนได้ นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะเพิ่มสัดส่วนของข้าวเจ้าทดแทนแป้งสาลีในปริมาณ 50% ในอนาคตด้วย (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 20 ม.ค. 49 http://www.komchadluek.net)
ขายข้าว...ชั่งตามน้ำหนัก นวัตกรรมข้าวไทยเคลือบสมุนไพร
โมเดล ข้าวออร์แกนิก ที่ปลอดภัยตั้งแต่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ไปจนถึงคนกินข้าว ทั้งที่เป็นคนไทยและคนต่างชาติ และยังเป็นธุรกิจที่มีนวัตกรรมอีกต่างหาก นวัตกรรมเริ่มตั้งแต่ตัวผลิตภัณฑ์ไปจนถึงรูปแบบวิธีการขาย ซึ่งข้าวที่มีนวัตกรรมที่กล่าวถึงนี้ก็คือ "BE THE CHEF" แบรนด์ข้าวหอมมะลิไทยแปรรูปและส่งออก โดยส่งออกไปแล้วหลายประเทศ ทั้งยุโรปและอเมริกา โดย บริษัท เอ.พี.แซด. คอร์ปอเรชั่น จำกัด BE THE CHEF เป็นข้าวหอมมะลิไทยแปรรูปที่พร้อมหุง...ใครที่หุงข้าวไม่เป็น แม้กระทั่งการใช้หม้อหุงข้าวก็ยังไม่มั่นใจ เพราะไม่รู้ว่า จะใส่น้ำเท่าไหร่ ถึงจะได้ข้าวสวยที่มีความสุกพอดี หรือถ้าเป็นข้าวเก่า ต้องใส่น้ำมาก หรือข้าวใหม่ต้องใส่น้ำน้อย ไม่เช่นนั้นข้าวจะแฉะ แต่ถ้าเป็น BE THE CHEF ใส่น้ำได้เลยตามปริมาณที่กำหนด ไม่ต้องซาวข้าวให้เสียวิตามิน หุงได้ทั้งกับเตาไมโครเวฟ ด้วยกระทะ หรือหม้อหุงไฟฟ้า แถมยังใช้เวลาไม่นานและไม่เปลืองกับข้าวอีกต่างหาก แต่ถ้าใส่ปลา ใส่ผัก ก็เป็นการเพิ่มความอร่อยมากยิ่งขึ้น เหตุก็เพราะ BE THE CHEF เป็นข้าวที่ปรุงรสมาแล้วเรียบร้อย แถมยังเป็นรสยอดนิยม ที่คนต่างชาติรู้จัก ข้าวกึ่งสำเร็จรูปที่พัฒนาขึ้น 17 รสชาติ อาทิ ข้าวสมุนไพรอินทรีย์รสต้มยำ, รสกะเพรา, รสซีฟู้ด, รสต้มข่า, รสผักรวม, รสแกงเขียวหวาน ข้าวหอมมะลิชาเขียวใบหม่อน ฯลฯ คนต่างชาติชอบมากสำหรับข้าวที่เราพัฒนาขึ้นมา เพราะง่ายต่อการปรุงและง่ายต่อการรับประทาน และยังเป็นโปรดักต์ที่ตอบสนองกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่ตระหนักในเรื่องสุขภาพด้วย โดยเวลานี้รูปแบบการขายข้าวที่ส่งออกจะเป็นแพ็กใส่ถุง ขึ้นอยู่กับขนาดและความต้องการของผู้ซื้อ ที่ซื้อไปแล้วก็จะกระจายไปขายในมินิมาร์ต หรือซูเปอร์มาร์เก็ต ขนาดของแพ็กก็จะมี 200 กรัม หรือ 750 กรัม แต่ในขบวนการทำข้าวออร์แกนิก ที่เป็นระบบการผลิตที่ห่วงใยสิ่งแวดล้อม ในมุมคิดของคนผลิตจึงอยากที่จะทำให้ครบกระบวนการ ดังนั้นสำหรับในประเทศไทยจึงได้คิดค้น รูปแบบการขายแบบใหม่ขึ้นมา กนิษฐ์ สุวรรณประสิทธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เอ.พี.แซด คอร์ปอเรชั่น จำกัด เล่าว่า เดิมรูปแบบการขายของเราก็เหมือนกับทั่วๆ ไป คือแพ็กเป็นข้าวถุง และใช้แพคเกจจิ้งที่ทำมาจากพลาสติก รูปแบบการขายแบบใหม่ คือการขายข้าวตามน้ำหนัก ที่ไม่ใช่การบังคับซื้อดังเช่นข้าวถุงทั่วไป และวิธีการซื้อก็ไม่ยาก...หยิบถุง ชอบข้าวรสชาติไหน ก็นำปากถุงไปลองที่ปากก๊อกรสชาตินั้น จากนั้นก็กด พอได้ปริมาณข้าวตามที่ต้องการก็ปิด ปิดปากที่มีตัวล็อกเฉพาะ ไปช่างน้ำหนักและจ่ายเงิน (ประชาชาติธุรกิจ ศุกร์ที 20 ม.ค. 49 http://www.matichon.co.th/prachachart
พบยีนเป็นโรคเบาหวาน
นายคารี สเตเฟนสัน ผู้บริหารดีโคดเจเนติกส์ บริษัท ชีวการแพทย์ ได้เสนอผลการศึกษาอาสาสมัครผู้ป่วยโรคเบาหวาน พร้อมคณะทำงานซึ่งค้นพบยีนตัวใหม่ที่มีความสัมพันธ์ของการเกิดโรคเบาหวาน โดยระบุผลศึกษาในเว็บไซต์ Naturegenitics ว่า 1 ใน 5 ของผู้ป่วยโรคเบาหวานมักมียีนพิเศษดังกล่าว ซึ่งทำให้เกิดโอกาสเป็นเบาหวาน ชนิดที่ 2 การค้นพบยีนตัวนี้จะเป็นก้าวสำคัญ ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุกรรมพยายามค้นหายีนที่เพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคนี้มาหลายปี เพราะมีสถิติขององค์การอนามัยโลก ระบุว่าทั่วโลกมีผู้ป่วยเบาหวานเกือบ 200 ล้านคน และคาดว่า พ.ศ.2573 จะเป็นโรคนี้เพิ่มถึง 366 คน อันเป็นผลจากอาหาร การดำเนินชีวิตยุคนี้ ส่งผลให้มีการเสียชีวิต 1 ใน 4 และจะพัฒนาไปสู่ชุดตรวจหาความเสี่ยงเป็นเบาหวานอีกด้วย (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 20 ม.ค. 49 http://www.matichon.co.th)
ข่าวทั่วไป
คณิสสร นาวานุเคราะห์ ตั้งศูนย์ทรัพย์สินทางปัญญาต่อยอดธุรกิจ
นายคณิสสร นาวานุเคราะห์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญากลาว ถึงการตั้งศูนย์ทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อการค้า (IPC) เพื่อรวบรวมข้อมูลด้านทรัพย์สินทางปัญญาทุกประเภท ทั้งของไทยและต่างประเทศ นำไปใช้ในการต่อยอดการสร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญาเชิงพาณิชย์ เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า เป็นการสร้างฐานนวัตกรรม ซึ่งถือว่าเป็นการปรับบทบาทของกรมจากเดิมที่มุ่งเน้นในเรื่องการป้องกัน (protection) มาเป็นการให้บริการจดทะเบียนเพื่อให้สิทธิคุ้มครองตามกฎหมายและปราบปรามการละเมิดสิทธิ เชื่อว่า IPC จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญาในระยะยาวสอดคล้องกับนโยบาย Modernized Thailand ของท่าน รมต.ช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้ผู้ประกอบการไทยในการแข่งขันในตลาดโลก โดยเบื้องต้น IPC จะเป็นหน่วยงานอิสระที่แยกออกจากกรมทรัพย์สินทางปัญญาและมีหน้าที่ดำเนินงานเชิงลึก ขณะนี้ได้นำเสนอต่อรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไปแล้ว คาดว่าในปลายเดือนมกราคมนี้จะมีการเชิญผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้าร่วมรับฟังการบรรยายสรุปแนวคิด เพื่อให้ผู้ที่สนใจเสนอแผนในการพัฒนา ส่วนงบประมาณที่จะใช้ในเบื้องต้นคาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 150 ล้านบาท ซึ่งทางกรมได้เสนอเรื่องไปยังกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เพื่อขออนุมัติแล้ว โครงสร้างของศูนย์ IPC จะประกอบไปด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ศูนย์ข้อมูลด้านทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property Information Center) ส่วนที่ 2 Innovation Supporting ซึ่งเป็นหน่วยสนับสนุน โดยจะมีผู้เชี่ยวชาญเพื่อนำข้อมูลจากส่วนแรกมาย่อย เพื่อนำไปประสานกับหน่วยธุรกิจในการพัฒนาสินค้า หรือสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งอาจจะมีการประสานงาน กับหน่วยงานภายนอก ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา เช่น มหาวิทยาลัย หรือกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และส่วนที่ 3 คือ การพัฒนาทรัพย์สินทางปัญญาเชิงพาณิชย์ (commercialization) (ประชาชาติธุรกิจ จันทร์ที่ 16 ม.ค. 49 http://www.matichon.co.th/prachachart)
วธ.ได้ข้อสรุปเรตติ้งรายการทีวี-เกม
คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้การจัดระดับความเหมาะสมของสื่อแต่ละประเภท (Rating) ได้มีความชัดเจนแล้วสำหรับสื่อโทรทัศน์และเกมคอมพิวเตอร์ โดยในส่วนของโทรทัศน์ซึ่งมี พ.ญ.พรรณพิมล หล่อตระกูล เป็นประธานคณะอนุกรรมการฯ ได้นำเสนอลักษณะการจัดเรตติ้ง โดยแบ่งเป็น 6 กลุ่ม ได้แก่ TV-Y เหมาะสำหรับเด็กทุกเพศทุกวัย, TV-Y7 เหมาะสำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป, TV-G เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย มีความรุนแรงน้อย ภาษาไม่รุนแรง, TV-PG ระดับนี้เด็กและเยาวชนที่ดูควรได้รับการแนะนำจากผู้ปกครอง เพราะเนื้อหาบางตอนไม่เหมาะสมกับเด็ก, TV-14 เนื้อหาไม่เหมาะสมกับเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี และระดับสุดท้าย TV-M เหมาะสำหรับผู้ชมที่เป็นผู้ใหญ่เท่านั้น มีเนื้อหาทางเพศและความรุนแรงที่โจ่งแจ้ง ทางวธ.จะจัดทำคู่มือแนะนำการใช้ระบบเรตติ้ง เพื่อมอบให้สถานีโทรทัศน์แต่ละช่องได้นำไปปฏิบัติให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยจะมีการทดลองให้แต่ละสถานีผลิตรายการ ช่องละ 20 รายการตามระบบเรตติ้งดังกล่าว และจะมีกลุ่มประเมินผล 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มคณะกรรมการที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ กลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครอง และกลุ่มประชาชนทั่วไป เป็นผู้ประเมินว่ารายการที่ผลิตออกมาอยู่ในระดับเรตติ้งใด แล้วจึงนำไปประเมินผลอีกครั้ง เพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนาระบบเรตติ้งให้มีความสมบูรณ์และมีความเหมาะสมกับสังคมไทยมากที่สุด ในส่วนของเกมคอมพิวเตอร์จะใช้ระบบเรตติ้งของสถาบันสื่อและครอบครัวแห่งชาติ (ESRB) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่ง เป็นที่ยอมรับในระดับสากลอยู่แล้ว โดยในเบื้องต้นทางคณะกรรมการจัดระดับความเหมาะสมของสื่อด้านอินเทอร์เน็ตและเกมได้แบ่งระดับไว้ 4 ประเภท ได้แก่ ระดับ EC เป็นเกมที่เหมาะกับเด็กอายุตั้งแต่ 3 ขวบขึ้นไป ระดับ E เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย ระดับ E10+ เหมาะสำหรับอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป และระดับ T13 เหมาะสำหรับอายุ 13 ปีขึ้นไป ซึ่งจะมีการกำหนดสัญลักษณ์ดังกล่าวไว้ข้างกล่องเกม ซึ่งจะต้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้เข้าใจและขอความร่วมมือจากร้านจำหน่ายเกมให้มีการแนะนำแก่กลุ่มลูกค้าด้วย (เดลินิวส์ อังคารที่ 17 ม.ค. 49 http://www.dailynews.co.th)
เตือนกิน"ยาลดความดัน" เสี่ยงกล้ามเนื้อหัวใจตาย
เมื่อเร็วๆ นี้ บทบรรณาธิการวารสารทางการแพทย์ของประเทศอังกฤษ (BMJ) รายงานว่า ยาลดความดันกลุ่มที่ออกฤทธิ์ยับยั้งตัวรับแองจิโอเทนซิน (Angiotensin receptor blockers) ซึ่งแพทย์นิยมใช้เป็นยายับยั้ง การหลั่งสารชนิดนี้เพื่อลดความดัน ดังนั้น ปัจจุบันพบว่าการให้ยาลดความดันชนิดนี้ อาจเพิ่มโอกาสการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายสูง ผลสรุปนี้มาจากผลของการศึกษาทางคลีนิคขนาดใหญ่ที่ตีพิมพ์ในวารสารชั้นนำทั่วโลก เช่น การศึกษาชาร์มอัลเทอเนทีฟ พบว่าผู้ที่ได้รับยาแคนเดสซาเทน (candesartan) มีโอกาสเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้รับยา หรือได้รับยาหลอกถึงร้อยละ 36 ทั้งๆ ที่ยานี้สามารถลดระดับความดันโลหิตได้ถึง 4.4/3.9 มิลลิเมตรปรอท เช่นเดียวกับการศึกษาชาร์มพรีเสริฟ ที่พบว่ายาเคนเดสซาเทนสามารถลดอัตราการนอนโรงพยาบาล แต่ไม่สามารถป้องกันอัตราการเสียชีวิต ทั้งๆ ที่สามารถลดความดันโลหิตได้ถึง 7/3 มิลลิเมตรปรอท นอกจากนี้ จากการศึกษาสโคปยาเคนเดสซาเทน มีแนวโน้มเพิ่มอัตราการเสียชีวิต ร้อยละ 10 แต่ผลยังไม่ชัดเจนต้องศึกษาต่อไปอีกระยะหนึ่ง (มติชนรายวัน 18 ม.ค. 49 http://www.matichon.co.th)
เด็กไทยสร้างชื่อคว้า 136 รางวัลศิลปะเด็กนานาชาติ
ตามที่สมาคมโทรทัศน์เพื่อวัฒนธรรมแห่งญี่ปุ่น (NIPPON TELEVISION NETWORK CULTURAL SOCIETY) ร่วมกับมูลนิธิเพื่อศิลปศึกษา (FOUNDATION FOR ART EDUCATION) สนับสนุนโดยกระทรวงศึกษาธิการญี่ปุ่น กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น หนังสือพิมพ์โยมิอุริ และอีกหลายหน่วยงานของภาครัฐและเอกชน จัดงาน "นิทรรศการศิลปะเด็กนานาชาติ" ครั้งที่ 35 ประจำปี 2548 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มีประเทศต่างๆ ทั่วโลกส่งผลงานศิลปะเด็กเข้าประกวดจำนวน 196,963 ภาพ ผลการตัดสินของคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านศิลปะนานาชาติ ปรากฏว่าผลงานของนักเรียนศูนย์ศิลป์สิรินธร โรงเรียนสงครามวิทยา อ.วังสะพุง จ.เลย และ "ชมรมบ้านศิลปะเด็ก ครูสังคม ทองมี" คว้ามาถึง 136 รางวัลคือ รางวัลเกียรตินิยมเหรียญทองยอดเยี่ยม 1 รางวัล คือ ด.ช.ธัญญ์ แววหงส์ จากผลงานชื่อ "สีสันแห่งเมือง" รางวัลเกียรตินิยมเหรียญทอง 4 รางวัลคือ 1.ด.ญ.ครองขวัญ กิจพิพิธ จากผลงานชื่อ "แมว" 2.ด.ญ.พริมา สุริยสัตย์ จากผลงานชื่อ "ขี่ม้าในวันหยุด" 3.ด.ญ.ศุจีพัชร สุขชัยปราการ จากผลงานชื่อ "สัตว์น่ารัก" 4.ด.ช.ธนัท ติยะวุฒิโรจน์ จากผลงานชื่อ "เรือใหญ่" รางวัลเกียรตินิยมเหรียญเงิน 10 รางวัล รางวัลเกียรตินิยมเหรียญทองแดง 7 รางวัล และรางวัล PENTEL AWARD 114 รางวัล เด็กๆ ที่ได้รับรางวัลเกียรตินิยมเหรียญทอง รางวัลเกียรตินิยมเหรียญเงิน และรางวัลเกียรตินิยมเหรียญทองแดง จำนวน 22 คน ในครั้งนี้ได้รับการพิจารณาให้เป็นเยาวชนดีเด่น ผู้มีความสามารถสร้างชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติด้านศิลปะ ประเภทจิตรกรรม เข้ารับโล่เกียรติยศและใบประกาศเกียรติคุณจากนายกรัฐมนตรีในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2549 ที่ผ่านมา (ข่าวสด อังคารที่ 17 ม.ค. 49 http://www.matichon.co.th)
ดื่มน้ำบำบัดโรค
การดื่มน้ำมากๆจะทำให้อายุยืน ยิ่งถ้าพบว่าผิวหนังแห้ง ไม่ชุ่มชื้น ตาแห้ง มีกลิ่นปาก ท้องผูก เป็นริดสีดวงทวาร นั่นแสดงว่า ร่างกายของคุณกำลังขาดน้ำอย่างยิ่งเชียว วิธีแก้แบบง่าย ปลอดภัย และประหยัดที่สุดก็คือ การดื่มน้ำ ดื่มให้ถูกวิธี คือ ดื่มวันละ 14 แก้ว ได้แก่ 1. เวลาตื่นนอนให้ดื่มน้ำอุ่น 4 แก้ว 2. ก่อนอาหารทุกมื้อ มื้อละ 1 แก้ว 3. หลังอาหารทุกมื้อ มื้อละ 1 แก้ว
4. ในเวลา 10.00, 14.00 ,16.00 เวลาละ 1 แก้ว 5. ก่อนนอนดื่มน้ำอุ่น 1 แก้ว รวม 14 แก้ว เทคนิคในการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพนี้ ถ้าดื่มในช่วงพระอาทิตย์ยังไม่พ้นขอบฟ้า ต้องดื่มน้ำอุ่น แต่ถ้าพระอาทิตย์พ้นขอบฟ้าแล้ว ให้ดื่มน้ำเย็น เป็นการกลับคืนสู่ธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนหลงลืมอิทธิพลของพระอาทิตย์-พระจันทร์มานาน ถ้าทำได้ดังที่ว่านั้น ประโยชน์จะเกิดขึ้นกับร่างกายอย่างเห็นได้ชัด เพราะ การดื่มน้ำ สามารถทำลายเชื้อแบคทีเรียได้ ทำให้โอกาสในการเป็นโรคภูมิแพ้ต่ำ สามารถล้างคราบไขมันตามลำคอ และล้างลำไส้ที่มีความยาว 12 เมตรของมนุษย์ได้ ..ที่สำคัญ การดื่มน้ำในจำนวนนี้ทำให้การขับถ่ายไม่มีปัญหา (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 19 ม.ค. 49 http://www.dailynews.co.th)
พืชสวนโลกจัด 5 กิจกรรมดันเป็นศูนย์ฯไม้ผลเมืองร้อน
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่ดูแลการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก 2006 ร่วมกับภาคเอกชนและสมาคม ที่เกี่ยวข้องเพิ่มกิจกรรมเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เกี่ยวกับโครงการพระราชดำริด้านการเกษตร รวมทั้งกิจกรรมที่แสดงถึงศักยภาพด้านการผลิตสินค้าของประเทศไทย เพื่อใช้เป็นไฮไลต์ของงานที่จะสร้างความประทับใจ ให้กับผู้เข้าชมงานมหกรรมพืชสวนโลกในครั้งนี้ เบื้องต้นคาดว่ากิจกรรมที่เพิ่มขึ้นประกอบด้วย 5 กิจกรรมหลักได้แก่ 1. โครงการพระราชดำริเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงและแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ เพื่อเชิดชูและเผยแพร่พระราชกรณียกิจด้านการเกษตรของพระองค์ ท่านให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลก 2. สวนแสดงพันธุ์กล้วยไม้ซึ่งจะรวบรวมพันธุ์ กล้วยไม้พื้นเมืองและต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก 3. ศูนย์แสดงความหลากหลายและพันธุ์ไม้ผลเมืองร้อน 4. สวนสมุนไพรที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ 5. กิจกรรมตัวต่อดอกไม้ซึ่งจะมีการนำดอกบานไม่รู้โรยจำนวน 76 ล้านดอกมาเรียงเป็นรูปพระบรมฉายาลักษณ์ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในอิริยาบถด้านการเกษตร เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติและแสดงถึงความจงรักภักดีของชาวไทยทั้งประเทศ ที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กระทรวงยังต้องการเผยแพร่ศักยภาพการผลิต และความก้าวหน้าด้านการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากผลไม้ เพื่อขยายตลาดการส่งออกผลไม้ไทยในอนาคตโดย เฉพาะในกลุ่มประเทศที่มีกำลังซื้อสูงเช่น อเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย เพราะขณะนี้ผลไม้ ไทยหลายชนิดยังไม่เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคทำให้ไม่ สามารถส่งออกไปจำหน่ายได้ ซึ่งภายหลังการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเสร็จสิ้น จะเตรียมผลักดันให้เป็นศูนย์กลางเรื่องผลไม้เมืองร้อนของโลกด้วย. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 19 ม.ค. 49 http://www.thairath.co.th)
ก.พ.วางเกณฑ์"ขรก.4กลุ่ม" เกษียณไม่เท่ากัน"55-65ปี"
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ผู้กำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน หรือ ก.พ. ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 18 มกราคม ถึงการปรับตัวเลขอายุข้าราชการที่ต้องเกษียณอายุราชการว่า ทางอัยการและศาลขอแก้ไขให้ข้าราชการเกษียณอายุราชการตั้งแต่อายุ 65-70 ปี ขณะนั้นหลายฝ่ายบอกว่าสามารถทำได้ในช่วงอายุดังกล่าว แต่ก็มีบางส่วนที่บอกว่าอายุ 55 ปี ก็สามารถเกษียณได้ นอกจากนี้ ยังเสนอว่าในส่วนของอาจารย์สอนมหาวิทยาลัย ขอให้เกษียณอายุราชการระหว่างอายุ 60-65 ปี ที่ผ่านมาเรื่องนี้ต้องติดขัดและหยุดลงเพราะติดเรื่องการปฏิรูประบบราชการ ทั้งนี้ 4 ปี ที่ ก.พ.ดำเนินการเรื่องนี้ ได้กำหนดเกณฑ์ข้าราชการที่จะเกษียณ เป็น 4 ประเภท ประกอบด้วย ด้านบริหาร ด้านอำนวยการ ด้านวิชาการ และด้านธุรการ โดยระดับอายุของข้าราชการที่ต้องเกษียณอายุราชการจะขึ้นอยู่กับประเภทข้างต้นนี้ อย่างไรก็ตาม 4 ประเภทดังกล่าวเป็นเพียงแค่กรอบ ทาง ก.พ.ยังไม่พอใจและต้องการให้เปิดรับฟังความคิดเห็น รับฟังประชาพิจารณ์ให้มากกว่านี้ เพราะยังไม่ได้สอบถามความเห็นของข้าราชการในแต่ละสายงาน โดยเฉพาะความเห็นจากทางตำรวจและทหาร "วางกรอบไว้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะถ้าเป็นผู้บริหาร หากกำหนดให้เกษียณอายุราชการในอายุ 60 ปี ก็จะเกิดการขยับตำแหน่งมาฝ่ายวิชาการได้เพราะจะเกษียณในอายุ 65 ปี ดังนั้น ต้องไปคิดว่าจะป้องกันการขยับหนีได้อย่างไรเพราะในความเป็นจริงผู้บริหารหรือผู้บังคับบัญชามีอำนาจในการจองตำแหน่งต่างๆ ได้อยู่แล้ว ดังนั้น จึงมีบางอย่างที่ ก.พ.ยังมองไม่เห็น จึงต้องพิจารณาเรื่องความรู้ความสามารถร่วมด้วย กว่าจะได้ข้อสรุปคงต้องรอ ด้านนายปรีชา วัชราภัย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) กล่าวว่า ใน 4 สายงานดังกล่าวที่ประกอบด้วย สายงานบริหาร อำนวยการ วิชาการ และสายงานทั่วไป ก.พ.ได้มีการวางกรอบในเบื้องต้นของอายุในการเกษียณดังนี้ สายงานบริหารและสายงานอำนวยการจะให้เกษียณอายุราชการในอายุ 60 ปี เหมือนเดิม สายงานวิชาการ จะแบ่งเป็นช่วงอายุคือ ตั้งแต่ 55-70 ปี ตัวอย่างเช่น ข้าราชการจะที่เกษียณในอายุ 55 ปี จะเป็นข้าราชการในสายงานที่ต้องทำงานหนัก อาทิ นักบินที่เป็นตำแหน่งที่ต้องเริ่มงานเร็วตั้งแต่อายุไม่มากคือช่วง 25-30 ปี เพราะต้องเร่งเก็บชั่วโมงบิน และปฏิบัติงานราว 30 ปี ได้ชั่วโมงบินมาก และเริ่มล้าแล้ว ส่วนที่ต้องเกษียณในอายุ 70 ปี จะเป็นประเภทนิติกรซึ่งทำงานโดยไม่ต้องใช้พละกำลังจากร่างกายหนัก อีกทั้งส่วนใหญ่ผู้ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ จะมีอายุ 50 ปีขึ้นไป จึงต้องรักษาคนเหล่านี้ไว้ในระบบให้นานที่สุด ส่วนสายงานทั่วไป จะให้เกษียณอายุราชการระหว่าง 50-65 ปี โดยผู้ที่เกษียณในอายุ 50 ปี เช่น พนักงานที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ พยาบาลในห้องผ่าตัดที่เดิมกำหนดไว้ที่ 60 ปี แต่ในสถานการณ์จริงที่ผ่านมา พอคนเหล่านั้นอายุได้ 50 ปี ส่วนใหญ่จะมีปัญหาด้านสายตาซึ่งกระทบต่อการทำงาน ส่วนใหญ่จึงขอย้ายตัวเองไปในตำแหน่งพยาบาลทั่วไปอยู่แล้ว ส่วนที่ต้องเกษียณในอายุ 65 ปี จะเป็นสายอาชีพ อาทิ ครูสอนนาฏศิลป์ ที่ไม่ต้องใช้ทักษะซับซ้อนในการทำงาน อย่างไรก็ตามข้าราชการทั้งหมดยังสามารถต่ออายุได้เมื่อเกษียณแล้ว โดยจะเป็นไปตามความสมัครใจ ตามมาตรา 107 ของร่าง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับใหม่ ซึ่งผ่านการเห็นชอบจากครม.แล้ว ซึ่งทั้งหมดจะมีเกณฑ์วัดต่างๆประกอบด้วย โดยหลักในการกำหนดการเกษียณอายุราชการดังกล่าวทาง ก.พ.จะจัดทำเป็นระเบียบ เพื่อใช้ประกอบร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวเมื่อผ่านความเห็นชอบจากสภา และประกาศใช้แล้ว (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 19 ม.ค. 49 http://www.matichon.co.th)
ไอบีเอ็มครองแชมป์จดสิทธิบัตรมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาติดต่อกันนานถึง 13 ปี
The United States Patent and Trademark Office (USPTO) ได้ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิบัตรผลงานมากที่สุด โดยระบุว่า ไอบีเอ็มเป็นบริษัทที่มีสิทธิบัตรผลงานถึง 2,941 ชิ้น ซึ่งมากเป็นอันดับ 1 ในสหรัฐ และไอบีเอ็มครองตำแหน่งนี้ติดต่อกันเป็นปีที่ 13 แล้ว ล่าสุดไอบีเอ็มได้ประกาศโครงการริเริ่มที่ได้ร่วมมือกับ USPTO, Open Source Development Labs (OSDL) สมาชิกกลุ่มสนับสนุนซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส และกลุ่มนักวิชาการ เพื่อจะสร้างแนวทางปรับปรุงคุณภาพผลงานสิทธิบัตรในสหรัฐอเมริกา การจับมือร่วมกันระหว่างองค์กรและกลุ่มผู้สนับสนุนนี้จะช่วยเร่งการสร้างนวัตกรรมในสหรัฐ โครงการนำร่องจะเน้นการทบทวนสิทธิบัตรโอเพ่นสแตนดาร์ดของสมาคมโอเพ่นสแตนดาร์ดเพื่อยกระดับคุณภาพการตรวจสอบผลงานสิทธิบัตร เร่งให้ความสำคัญกับซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส ให้มีฐานะเป็นภูมิความรู้ (Prior Art) ที่มีสิทธิได้การคุ้มครองตามกฎหมาย OSDL, Novell, Red Hat, SourgeForge.net ของ VA software และไอบีเอ็มได้ร่วมมือกันสร้างระบบที่จะทำให้สามารถค้นหาคอมพิวเตอร์โค้ดต่าง ๆ ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะทำให้ผู้ตรวจสอบสิทธิบัตร และสาธารณชนได้เห็นว่าสิทธิบัตรนั้น ๆ จะถูกนำไปใช้เพื่อสร้างนวัตกรรมซอฟต์แวร์จริง ๆ ดูรายละเอียดได้ที่ http://developer.osdl.org/dev/priorart โครงการดัชนีคุณภาพผลงานสิทธิบัตร ไอบีเอ็มจะเป็นผู้สนับสนุนหลัก โดยศาสตราจารย์อาร์ โพลค์ เวคเนอร์ จากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ดัชนีนี้จะถูกสร้างขึ้นโดยการรวบรวมข้อมูลจำนวนมากจากโอเพ่นซอร์สคอมมิวนิตี้ นำมาทำเป็นงานวิจัยทางสถิติ และจะพัฒนาเป็นเครื่องมือที่สามารถใช้ได้อย่างแพร่หลายสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ และ USPTO ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www. patent-qualityidex.org ดร.จอห์น เคลลี่ ที่สาม รองประธาน อาวุโส Technology and Intellectual Property ของไอบีเอ็ม กล่าวว่า การยกระดับคุณภาพสิทธิบัตรจะสนับสนุนให้เกิดการลงทุนอย่างต่อเนื่องใน R&D ที่เกิดจากนักพัฒนาอิสระ ธุรกิจขนาดย่อม องค์กร และสถาบันการศึกษา ในขณะเดียวกันก็ช่วยป้องกันการคุ้มครองทางกฎหมายที่มากเกินไปซึ่งขัดต่อนวัตกรรมและประโยชน์สาธารณะ สิทธิบัตรที่มีคุณภาพจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของลิขสิทธิ์ทางปัญญา ลดข้อขัดแย้ง และเปิดให้ทรัพยากรต่าง ๆ ได้นำไปใช้ในการสร้างนวัตกรรม (เดลินิวส์ เสาร์ที่ 21 ม.ค. 49 http://www.dailynews.co.th)
แผ่นที่โบราณเมืองสยาม พลิกประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่
นับเป็นการพลิกประวัติศาสตร์การเขียนแผ่นที่โบราณเมื่อครั้งอดีตออกไปเสียสิ้น เมื่อการค้นพบแผ่นที่ ซึ่งมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 19 ในตำหนักพระองค์เจ้าภันตรีประชา พระบรมมหาราชวัง เมื่อปี 2539 ได้แสดงให้เห็นถึงเส้นทางยุทธศาสตร์ในการศึกกับพม่า และเส้นทางการค้ากับจีนอย่างละเอียดถี่ถ้วน สำหรับแผ่นที่โบราณที่ค้นเจอนั้นมีจำนวนทั้งหมด 17 ระวางขนาดใหญ่ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น หรือในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จนถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.2325-2394) โดยใช้วิธีการวาด และลงสีด้วยมือบนผืนผ้าฝ้าย ซึ่งในแผนที่ดังกล่าวได้แสดงสภาพภูมิศาสตร์ รวมถึงเส้นทางยุทธศาสตร์ในการศึกของไทยกับพม่า และเส้นทางการค้ากับจีนในสมัยรัชกาลที่ 1-3 รวมทั้งแสดงที่ตั้งของเมืองป้อมปราการ สถานที่สำคัญทางศาสนา ถิ่นฐานของชนกลุ่มน้อย พืชพรรณ และสัตว์ในบางท้องถิ่น จำนวนประชากร ระยะทาง หรือเวลาที่ใช้ในการเดินทาง รวมไปถึงเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในบริเวณนั้นๆ อีกด้วย จากความสำคัญดังกล่าว จึงเป็นที่มาของการจัดนิทรรศการ แผ่นที่โบราณในราชสำนักสยาม ซึ่งทางมูลนิธิเจมส์ เอช ดับเบิลยู ทอมป์สัน ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพระราชานุญาตให้นำแผ่นที่โบราณจำนวน 5 ระวางจากทั้งหมด 17 ระวางที่ค้นพบดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันนี้เก็บรักษาไว้ในห้องสมุดส่วนพระองค์ มาจัดแสดงต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก เพื่อส่งเสริมให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพสังคมวัฒนธรรมในอดีต และเห็นคุณค่าของภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวสยามให้เป็นที่ประจักษ์ ทั้งนี้ ม.ร.ว.นริศรา จักรพงษ์ ประธานกรรมการสำนักพิมพ์ริเวอร์ บุ๊คส์ และรับหน้าที่เป็นภัณฑารักษ์ในนิทรรศการครั้งนี้ กล่าวว่า เป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างยิ่งที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ได้พระราชทานพระราชานุญาตให้นำแผ่นที่มาแสดงต่อสาธารณชน เพราะจะทำให้ทุกคนได้เห็นถึงความสามารถในการวาดแผ่นที่ของคนไทยในสมัยโบราณ อีกทั้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแผ่นที่ดังกล่าวยังมีความหลากหลาย และน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะแผ่นที่ 2 ระวางใน 5 ระวางที่นำมาแสดงนั้น ม.ร.ว.นริศรา กล่าวว่า ได้แสดงเส้นทางการเดินเรือที่เป็นเส้นทางการค้าระหว่างไทยกับจีนได้อย่างละเอียด อย่างเช่น แผ่นที่กวางตุ้งที่เขียนระบุไว้นั้นแสดงให้เห็นถึงการเป็นเมืองท่าหลักของการทำการค้าระหว่างไทย-จีนในสมัยนั้นเป็นอย่างดี สำหรับผู้ที่สนใจนิทรรศการ แผนที่โบราณในราชสำนักไทย สามารถติดตามชมได้ที่ ศูนย์แสดงศิลปะบ้านจิม ทอมป์สัน ซอยเกษมสันต์ 2 (สถานีรถไฟฟ้า) สนามกีฬาแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 28 มกราคม ถึง 31 มีนาคม 2549 ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น.โดยไม่ต้องเสียค่าเข้าชมแต่อย่างใด อีกทั้งภายในงานนิทรรศการดังกล่าวยังมีการจัดแสดงโบราณวัตถุ และศิลปวัตถุที่เกี่ยวเนื่องกับการทำสงคราม และการค้าสำเภาในสมัยโบราณ หรือติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ มูลนิธิ เจมส์ เอช ดับเบิลยู ทอมป์สัน โทร.0-2216-7368,0-2762-2564 (สยามรัฐรายวัน เสาร์ที่ 21 ม.ค. 49 http://www.siamrath.co.th)
ลุ้นขึ้นทะเบียนมรดกโลกเพิ่ม
เมื่อปีที่แล้ว คณะกรรมการมรดกโลกประเทศไทย ได้เสนอพื้นที่มรดกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกต่อองค์การยูเนสโกรวม 11 แหล่ง และเป็นที่น่ายินดีว่าทางยูเนสโกได้ตอบรับแหล่งวัฒนธรรมของไทย 2 แห่งแล้ว ประกอบด้วย เส้นทางเชื่อมต่อทางวัฒนธรรม ปราสาทหินพิมายกับศาสนสถานที่เกี่ยวข้อง กับปราสาทหินพนมรุ้ง และปราสาทเมืองต่ำ โดยเข้าเกณฑ์มรดกโลกในด้านของความเป็นเอกลักษณ์ ด้านศิลปกรรมหรือตัวแทนความงดงาม และเป็นงานชิ้นเอกที่มีการสร้างสรรค์ขึ้น ส่วนแหล่งที่สอง คือ อุทยานแห่งชาติภูพระบาท จ.อุดรธานี แสดงถึงวัฒนธรรมของเอเชียอาคเนย์ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ สู่ยุคทวารวดี ล้านช้างจนถึงปัจจุบัน และช่างฝีมือพื้นเมือง ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างจัดทำรายละเอียดต่าง ๆ และแผนการจัดการ เสนอต่อยูเนสโกเพื่อขึ้นทะเบียนในปีนี้ (เดลินิวส์ อาทิตย์ที่ 22 ม.ค. 49 http://www.dailynews.co.th)
KMUTT
Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215
|
|
|