Digital Library

หัวข้อข่าวปีที่ 7 ฉบับที่ 9 ประจำวันที่ 2006-02-25

ข่าวการศึกษา

จี้รัฐอัดเม็ดเงินพนักงานมหาวิทยาลัย
ชงครม.รอบ2เพิ่มเงินเดือน พนง.มหาวิทยาลัย523ล.
ม.หาดใหญ่ทุ่ม100กว่าล.สร้าง U Plaza จัดพื้นที่ให้นักศึกษาเช่าทำธุรกิจก่อนจบ
สทศ.จัดสอบโอเน็ต ให้เด็กป.6ในปี2550
'ทักษิณ' เปิดตัว กรอ.ฟุ้งบรรลุปฏิรูปอุดม
แกะกล่องหลักสูตรปริญญาโทรั้ว มช.
ปอมท.ชงปรับเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตร
สกอ.เห็นหนทางควบรวมมหาวิทยาลัย

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

ไบโอเทคชงแผนจีเอ็มโอเข้า ครม.
น้ำแข็งเกาะกรีนแลนด์ละลายเร็วกว่าที่คิด ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลในมหาสมุทรสูงขึ้น
ซิป้าดัน "โอเพ่นออฟฟิศ"แจ้งเกิด หวังพ่วงโปรเจ็กต์ภาครัฐทุกแห่ง
ลำปาง"พร้อมรับสมาชิกAPEC ประชุมพลังงานถ่านหินสะอาด
โลมาอิรวดีเข้าข่าย 10 สูญพันธุ์
อนุรักษ์พันธุ์ปลาหมูขาว ศูนย์ฯประมงผสมเทียมสำเร็จ
ปีหน้าได้ยลโฉมมือถือ 12 ล้านพิกเซล
'สมาคมสมองกล'ผลิตคนหนุนฮับยานยนต์
สวทช.ชูญี่ปุ่นต้นแบบพัฒนาวิทยาศาสตร์
"ม.ยูเอ็น"จี้เอเชียยกเครื่อง ระบบเตือนดินถล่ม-ฝนตกหนัก
ทำแผนรับแผ่นดินไหว
ปลูกถ่ายเซลล์หมูให้คน รักษาโรคเบาหวานได้ใน 10 ปี
เผยรายชื่อโลกที่อาจมีสิ่งชีวิตอาศัยอยู่ ในกาแล็กซีดาวฤกษ์
แบคทีเรียสร้าง “พลาสติก”
นาซ่าฟันธง 10 ดาวฤกษ์ถิ่นกำเนิด "อีที"
เปิดท้องฟ้าจำลองดิจิทัลเอกมัย
ตะลึงพบปะการังใหม่ "เขาหลัก"หลัง"สึนามิ" ดันเป็นอุทยานฯทะเล

ข่าววิจัย/พัฒนา

คิดเลขเรื่องขี้ปะติ๋ว ทารกก็นับได้
แผ่นทองแดงกำจัดเชื้อไข้หวัดได้แนะใช้ทำเป็นเครื่องใช้ครัวเรือนหยุดแพร่เชื้อ
ประดิษฐ์เครื่องลดความดันโลหิต ใช้เพลงผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
วท.สร้างเครื่องทดสอบ"ศูนย์ล้อ" ให้ตรอ.ถูกกว่าของนอก 4 แสน
เยาวชนโชว์ฝีมือพัฒนาผ้าทอใยบัว
"ทรานสิชั่น"รถบินได้ ฝันเฟื่อง-ฝันที่เป็นจริง?
โครงงานสังเคราะห์ตัวนำไฟฟ้ายิ่งยวดของเด็กไทย
มะพร้าวอบกรอบรสเมี่ยงคำ...ฝีมือนักศึกษาราชมงคล
วัคซีนใหม่สยบหวัดทันใจ ผลิตได้เพียบใน1เดือน-ย่นระยะเวลาได้อื้อ
สุดทึ่ง! โปรแกรมคลิกเม้าส์ด้วยดวงตา
พัฒนาการใหม่ หุ่นยนต์ผ่าตัด "ดาวินชี่" จาก "หัวใจ" สู่ "ช่องท้อง"
รองเท้าเงาวับจากครีมเปลือกทุเรียน โอท็อปเด็ดๆ จากเด็กสันกำแพง
เครื่องหั่นกล้วย2พลังงาน ใช้งานได้ทั้งระบบไฟฟ้า-แรงคน
ตั้งโรงไฟฟ้าใช้พลังงานขี้หมา เลี้ยงกันมากจนกำจัดไม่ไหว

ข่าวทั่วไป

ว้ายกรี๊ด!ผู้ชายเป็นมะเร็งทรวงอก บ้างถึงตายเหตุไม่สนสัญญาณเตือน
อย.เตือนอย่าหลงเชื่อหัวน้ำหอมบำบัดโรค
"ไซเบอร์แพลนเน็ต"คว้าอะพิกต้า อวอร์ด 2005 เกมซีอีโอ ซิตี้ รับรางวัลซอฟต์แวร์ระดับเอเชีย แปซิฟิก
สนช.ผลิตเครื่องออกกำลังกาย ป้องกัน-บำบัดโรคกระดูกเสื่อม
ปวดหลังเรื้อรังแพ้การฝังเข็ม 90% ทุเลาความทรมาน
ยิ้มสวยกับ สปาฟัน
สหรัฐกำหนดติดฉลากอาหารก่อภูมิแพ้และไขมันไม่อิ่มตัวปกป้องผู้บริโภค มกอช. แจ้งส่งผู้ออกไทยรีบดำเนินการ
ทําคู่มือภัยผู้หญิง รวมแหล่งขอความช่วยเหลือ

ข่าวการศึกษา

จี้รัฐอัดเม็ดเงินพนักงานมหาวิทยาลัย

จากการประชุมสามัญที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ครั้งที่ 1/2549 ที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ศ.ดร.ปรัชญา เวสารัชช์ อธิการบดี มสธ. ในฐานะประธาน ทปอ. เผยภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมหารือเกี่ยวกับการ เพิ่มเงินรายได้ของพนักงานมหาวิทยาลัยรัฐ เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลประกาศขึ้นเงินให้กับข้าราชการ 2 ครั้ง แต่พนักงานมหาวิทยาลัยไม่ได้รับการปรับเพิ่ม แม้ว่าทาง มหาวิทยาลัยได้ทำเรื่องผ่านสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี และได้รับการอนุมัติในหลักการจาก ครม.แล้ว แต่สำนักงบประมาณกลับปฏิเสธที่จะจัดสรรเงินให้กับมหาวิทยาลัย จึงเป็นเรื่องที่คาใจมหาวิทยาลัยหลายแห่ง และเห็นว่าคงต้องทบทวนเรื่องที่จะให้มหาวิทยาลัย เปลี่ยนสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐ เพราะมหาวิทยาลัยที่ออกนอกระบบไปแล้ว ก็ระบุว่า ได้รับความสนใจจากรัฐบาลน้อยมาก รวมทั้งเงินที่เพิ่มให้กับเงินเดือนพนักงานมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้รับการดูแลเช่นกัน ทปอ.จึงมีมติที่ตั้งคณะทำงานขึ้นชุดหนึ่ง เพื่อรวบรวมข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่เป็นรูปธรรม ในการที่จะยกระดับคุณภาพมหาวิทยาลัย เพื่อเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะรวมไปถึงข้อเสนอเกี่ยวกับการเพิ่มเงินเดือน พนักงานมหาวิทยาลัยด้วย ศ. (พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 16 ก.พ.ที่ผ่านมา สกอ.ได้ทำเรื่องเสนอต่อ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ เพื่อนำเรื่อง เข้าที่ประชุม ครม. เนื่องจากที่ผ่านมา ครม. มีมติไว้แล้วว่า ให้มหาวิทยาลัยได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มเติม เพื่อจัดสรรให้กับพนักงานมหาวิทยาลัย สืบเนื่องจากกรณีที่ข้าราชการได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นในครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2547 โดยได้รับเงินจำนวน 420 ล้านบาท ส่วนการขึ้นเงินเดือนข้าราชการครั้งที่สองเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2548 มหาวิทยาลัยขอเงินเพิ่มอีก 103 ล้านบาท รวม 523 ล้านบาท. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 20 ก.พ. 49 http://www.thairath.co.th)

ชงครม.รอบ2เพิ่มเงินเดือน พนง.มหาวิทยาลัย523ล.

นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ว่า ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับการปรับเงินเดือนเพิ่มให้พนักงานมหาวิทยาลัยของรัฐทั้ง 20 แห่ง กว่า 1 หมื่นคน เพราะจนขณะนี้ยังไม่ได้รับการปรับเงินเดือนเพิ่มระหว่างเดือนเมษายน 2547-กันยายน 2548 ทั้งที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้เพิ่มเงินเดือนพนักงานมหาวิทยาลัยในส่วนนี้เป็นเงิน 420 ล้านบาท รวมถึงที่ ทปอ.และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้เสนอ ครม.ให้ปรับเพิ่มเงินเดือนให้พนักงานมหาวิทยาลัยรอบ 2 ประมาณ 3-4% เป็นเงิน 103 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 523 ล้านบาท ซึ่ง สกอ.ได้เสนอปัญหานี้ต่อนายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เพื่อเสนอเรื่องต่อที่ประชุม ครม.อีกครั้ง นายปรัชญา เวสารัชช์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และประธาน ทปอ. กล่าวว่า มหาวิทยาลัยหลายแห่งกังวลเกี่ยวกับสถานภาพของพนักงานมหาวิทยาลัย เพราะไม่ได้รับการดูแลจากหน่วยงานของรัฐ กลายเป็นลูกกำพร้า เห็นได้จากการขอปรับขึ้นเงินเดือนพนักงานมหาวิทยาลัยที่มีปัญหาในขณะนี้ และจากการหารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณก็เห็นว่าควรพัฒนาคุณภาพมหาวิทยาลัยในทุกด้าน ทั้งวิชาการ งานวิจัย และสถานภาพบุคลากรของมหาวิทยาลัย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสนับสนุนให้เพิ่มเงินเดือนแก่พนักงานมหาวิทยาลัย เพราะคนเหล่านี้มีความจำเป็นอย่างมากต่อการพัฒนามหาวิทยาลัย (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 20 ก.พ. 49 http://www.matichon.co.th)

ม.หาดใหญ่ทุ่ม100กว่าล.สร้าง U Plaza จัดพื้นที่ให้นักศึกษาเช่าทำธุรกิจก่อนจบ

ดร.วัน เดชพิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ กล่าวตอนหนึ่งในการแถลงข่าวเรื่อง "ก้าวสู่หนึ่งทศวรรษ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่" ที่มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ว่าปัจจุบันมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ เปิดสอนใน 6 คณะ และในปีการศึกษาใหม่นี้ จะเปิดเพิ่มอีกหนึ่งคณะคือ คณะนิเทศศาสตร์ ในอนาคตเตรียมเปิดหลักสูตรอีกมากมาย อาทิ ภาษาจีนธุรกิจ และหลักสูตรนานาชาติ ที่ผ่านมานักศึกษาสามารถพัฒนาตนเองจนได้รับความสำเร็จจากการแข่งขันทางวิชาการมากมาย อาทิ ได้รับ รางวัลจากการประกวดแผนธุรกิจระดับประเทศ โดยคว้าแชมป์มาได้ 2 ปี จากแผนธุรกิจห้างหุ้นส่วนกัลยาณมิตร บริการจัดงานศพครบวงจร ปี 2546 และได้รับรางวัลชนะเลิศจากแผนธุรกิจ กาเม็ง…ลูกชิ้นแพะ ในปี 2548 นายวิทวัส สัตยารักษ์ รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา กล่าวว่า ในอนาคตจะยกระดับเทคโนโลยีสารสนเทศสู่การเป็น E-University ภายในปีการศึกษา 2550 เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานและการให้บริการแก่นักศึกษาในยุคดิจิตอล และจะสร้าง อาคาร University Plaza (U Plaza) ด้วยงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท สร้างเสร็จปี 2550 และสร้างอาคารศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรม พร้อมกันนี้ได้เตรียมจัดโครงการที่มุ่งสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์แก่สังคม เช่น โครงการตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง และกิจกรรมทางวิชาการเพื่อเฉลิมฉลองหนึ่ง ทศวรรษของมหาวิทยาลัยในปี 2550 จัดแบ่งพื้นที่ ดังนี้ 1.Retail Zone แหล่งอำนวยความสะดวก ประกอบด้วย ธนาคารสาขาย่อย ศูนย์หนังสือ ศูนย์อาหาร ร้านค้าต่างๆ ที่สำคัญมีพื้นที่สำหรับให้นักศึกษาได้เช่าทำธุรกิจขนาดย่อม เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนจบการศึกษา 2.Exhibition Zone พื้นๆ 3.Education Services Zone ประกอบด้วยหน่วยบริการทางวิชาการต่างๆ เช่น ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ ศูนย์ภาษา 4.Classrooms and Studio ประกอบด้วยห้องเรียน และสตูดิโอทางนิเทศศาสตร์ที่ทันสมัย (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 20 ก.พ. 49 http://www.matichon.co.th)

สทศ.จัดสอบโอเน็ต ให้เด็กป.6ในปี2550

คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ ประธานกรรมการบริหารสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยหลังเข้าพบ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ได้นำกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของ สทศ. พร้อมทั้ง รศ.ดร.ประทีป จันทร์คง ผู้อำนวยการ สทศ. มารายงานความคืบหน้าในการทำงานของ สทศ.หน้าที่จัดประเมินระดับชาติเพื่อประเมินผลการจัดการศึกษา ซึ่งช่วงแรกในปีนี้เริ่มต้นจากการจัดทดสอบโอเน็ตและเอเน็ตให้แก่นักเรียนที่จบ ม.6 และนำผลการทดสอบไปใช้สอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ในปี 2550 สทศ.จะขยายจัดสอบโอเน็ต นักเรียนที่จบชั้น ป.6 ด้วย เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของนักเรียนช่วงชั้นที่ 2 และหากสามารถทำได้ จะสุ่มสอบโอเน็ตให้แก่นักเรียนที่จบชั้น ป.3 และ ม.3 ด้วย เพื่อให้การประเมินผลสัมฤทธิ์ในการจัดการศึกษาครบทุกช่วงชั้น อย่างไรก็ตาม รมว.ศึกษาธิการ ได้ให้นโยบายว่า น่าจะมีการประเมินด้วยวิธีอื่นๆ นอกเหนือจากการสอบข้อเขียน เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่จะสร้างเด็กที่คิดเป็น ทำเป็น ไม่ใช่เป็นแต่ท่องจำมาสอบ ซึ่งในต่างประเทศก็มีรูปแบบการทดสอบอื่นๆ อีกนอกจากการสอบข้อเขียน เช่น ส่งคนไปประเมินในห้องเรียนจริง รวมถึง รมว.ศึกษาธิการ ต้องการให้นำผลทดสอบทางการศึกษามาใช้ประโยชน์ในการปฏิรูปการเรียนรู้ได้ด้วย ด้าน รศ.ดร.ประทีป จันทร์คง ผอ.สทศ. กล่าวว่า ขอให้นักเรียนที่จะสอบโอเน็ตในวันที่ 25-26 กุมภาพันธ์นี้ และสอบเอเน็ต ที่จะสอบในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ และ 1 มีนาคมนี้ ตรวจสอบที่นั่งสอบ ซึ่ง สทศ.จะประกาศทาง www.ntthailand.com ตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ หากใครไม่มีที่นั่งสอบ ขอให้รีบนำใบสมัครและบัตรประจำตัวประชาชนไปติดต่อที่ศูนย์ที่สมัครสอบไว้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีปัญหาเกี่ยวกับระบบข้อมูล จะมีนักเรียนจำนวนหนึ่งที่ไม่มีชื่อในประกาศที่นั่งสอบ แต่ศูนย์จะจัดห้องสอบให้เฉพาะสำหรับผู้ที่เจอปัญหาข้างต้น นอกจากนั้น ขอให้นักเรียนที่จะต้องสอบภาษาไทยและภาษาอังกฤษเตรียมตัวให้พร้อมด้วย เพราะปีนี้เป็นครั้งแรกที่จะมีข้อสอบอัตนัยใน 2 วิชาดังกล่าว โดยให้นักเรียนเข้าไปดาวน์โหลดกระดาษคำตอบมาดูได้ทางเวบไซต์ดังกล่าว (คมชัดลึก จันทร์ที่ 20 ก.พ. 49 http://www.komchadluek.net)

'ทักษิณ' เปิดตัว กรอ.ฟุ้งบรรลุปฏิรูปอุดม

เมื่อวันที่20 ก.พ. ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดกองทุนเงินให้กู้ยืมที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) และมอบ นโยบายด้านการศึกษาตอนหนึ่งว่า การเปิดตัว กรอ.เป็นการบรรลุวัตถุประสงค์ของการปฏิรูปการเงินเพื่อการอุดมศึกษาในระดับหนึ่ง เพราะเป็นการสร้างโอกาสและการลงทุนเพื่ออนาคตของชาติ และเป็นหน้าที่ของรัฐ ที่จะสร้างเศรษฐกิจที่ดี เพื่อให้เด็กเหล่านี้จบไปมีงานทำ และกลับมาใช้หนี้ หากรัฐไม่ทำเศรษฐกิจให้ดี เด็กไม่มีงานทำถือเป็นความผิดของรัฐ และรัฐก็จะรับผิดชอบเงินในส่วนนั้น โครงการนี้จะได้ประโยชน์ 4 อย่างคือ 1. ให้โอกาสเด็กที่มีศักยภาพได้เรียนต่อเนื่อง 2. แบ่งเบาภาระพ่อแม่ผู้ ปกครอง 3. สถาบันการศึกษามีการแข่งขันเพื่อพัฒนาคุณภาพ 4. ใช้อุปสงค์เป็นตัวกำหนดแนวทางการผลิตกำลังคนตามความต้องการของเศรษฐกิจประเทศ และอยากให้ผู้เข้า กรอ.ทุกคนทำบัตรสมาร์ทการ์ด เพื่อใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยด้านข้อมูลและงานธุรการ จะช่วยลดปัญหาได้ ด้าน นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า เรามั่นใจว่า กรอ.จะดำเนินการได้แน่นอน และเชื่อว่าจะดูแลเด็กได้ทั้งหมด เพราะมีผู้ปกครองจำนวนมาก ที่ออกค่าใช้จ่ายให้บุตรหลานโดยไม่กู้ กรอ. (ไทยรัฐ อังคารที่ 21 ก.พ. 49 http://www.thairath.co.th)

แกะกล่องหลักสูตรปริญญาโทรั้ว มช.

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เปิดตัว 4 หลักสูตรใหม่ ในระดับบัณฑิตศึกษาสร้างทางเลือกให้กลุ่มผู้สนใจศึกษาต่อในสายวิศวกรรมศาสตร์ บริหารธุรกิจ และยังมีหลักสูตรสอดรับกับยุทธศาสตร์ “ครัวไทยสู่ครัวโลก” ของรัฐบาล โดยมีรายละเอียดดังนี้ วิทยาลัยศิลปะ สื่อ และเทคโนโลยี เปิดหลักสูตรปริญญาโท สาขาวิชาวิศวกรรมซอฟต์แวร์(ภาคพิเศษ) มุ่งสร้างบุคลากรรองรับตลาดซอฟต์แวร์ ทั้งระดับนักออกแบบซอฟต์แวร์ วิศวกรทดสอบซอฟต์แวร์ และนักสถาปนิกด้านซอฟต์แวร์ เป็นต้น ผู้สนใจเข้าศึกษาจะต้องสำเร็จปริญญาตรี สาขาวิสวกรรมคอมพิวเตอร์ วิทยาการคอมพิวเตอร์ หรือสาขาวิชาในกลุ่มสารสนเทศ และต้องมีประสบการณ์ทำงานเกี่ยวกับอุตสาหกรรมซอตฟ์แวร์ หรือการพัฒนาซอฟต์แวร์ อย่างน้อย 1 ปี ซึ่งในรุ่นแรก นี้จะเปิดรับผู้เรียนเพียง 35 คนเท่านั้น สนใจสอบถามโดยตรงที่วิทยาลัยศิลปะ สื่อและเทคโนโยี มช.โทร.0-5389-3216 อีกหลักสูตรใหม่ที่น่าสนใจ หลักสูตรปริญญาโท การจัดการอุตสาหกรรมเกษตร (MBA-AGRO) ของคณะบริหารธุรกิจและคณะอุตสาหกรรมเกษตร ซึ่งร่วมกันเปิดหลักสูตรนี้ขึ้น โดยมุ่งเน้นการพัฒนาาบุคลากรในสายการจัดการอุตสาหกรรม เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้สามารถแข่งขันในระดับโลก และสอดรับกัยบยุทธศาสตร์ “ครัวของโลก” ความน่าสนใจของหลักสูตรนี้ เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าเกษตร แบบบูรณาการโดยใช้ความรู้การบริหารจัดการสมัยใหม่เข้ามาเสริม และยังมีการศึกษาดูงานของภาคธุรกิจอุตสาหกรรมเกษตร และสถานประกอบการจริงอีกด้วย สำหรับผู้สนใจอยากเรียน ต้องจบปริญญาตรี สาขาบริหารธุรกิจ หรืออุตสาหกรรมเกษตรก็ได้ หากมีประสบการณ์ทำงานยิ่งดี เปิดนำร่องรุ่นแรกเพียง 65 คน ซื้อใบสมัครได้ที่บัณฑิตวิทยาลัยมช. ตั้งแต่บัดนี้-18 เม.ย.49 สอบถามโทร.0-5394-2150 และหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาบริหารธุรกิจสำหรับผู้บริหาร (EX-MBA) เป็นหลักสูตรรองรับความต้องการของผู้บริหารที่อยากพัฒนาความรู้ เพื่อเป็น SMART CEOsเรียนรู้จากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งในภาคราชการและเอกชน โดยรุ่นแรกนี้เปิดรับ 60 คน ไม่จำกัดสาขา แต่ต้องมีประสบการณ์ทำงาน อย่างน้อย 3 ปี สนใจดูรายละเอียดที่เว็บไซต์ www.ba.cmu.ac.th หรือสอบถามที่ 0-5394-2146 ปิดรับสมัครวันที่ 31 มี.ค.ศกนี้ (สยามรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 23 ก.พ. 49 http://www.siamrath.co.th)

ปอมท.ชงปรับเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตร

นายปฐม ปฐมธนพงษ์ ประธานสภาคณาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในฐานะรองประธานที่ประชุมสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ปอมท.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ปอมท.ได้พิจารณาถึงข้อดีและข้อบกพร่อง ในการตั้งเกณฑ์มาตรฐานการศึกษา ของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) โดยได้หยิบยกประเด็นปัญหาและแนวทางแก้ไขเบื้องต้น อาทิ การกำหนดกรรมการบริหารหลักสูตร ไม่น้อยกว่า 5 คนเนื่องจากสัดส่วนระหว่างหลักสูตรและอาจารย์ไม่สมดุลกัน เช่น บัณฑิตวิทยาลัย จึงเสนอให้ปรับปรุงหลักสูตรทั้งหมด และแบ่งเป็นกลุ่มต่างๆ ให้เหมาะกับผู้เรียน โดยเฉพาะในวิทยาเขตเดียวกันเพื่อลดจำนวนหลักสูตรลง รวมทั้งในกรณีที่เป็นหลักสูตรร่วมระหว่างสถาบัน หรือหลายสถาบัน ก็ให้อาจารย์ประจำของสถาบันที่ร่วมมือถือเป็นอาจารย์ประจำได้ ให้มีการแก้ไขให้กรรมการบริหารหลักสูตร ที่กำหนดไว้ไม่น้อยกว่า 3 คน หรือกำหนดให้มีการแบ่งชนิดของหลักสูตร เป็นหลักสูตรพื้นฐานมีกรรมการบริหารหลักสูตรไม่น้อยกว่า 3 คน และหลักสูตรเฉพาะวิชามีกรรมการบริหารหลักสูตรไม่น้อยกว่า 5 คน รวมทั้งแบ่งช่วงเวลาการบริหารหลักสูตร โดยช่วง 2 ปีแรกการบริหารอาจจะมีปัญหาให้มีกรรมการบริหารหลักสูตรไม่น้อยกว่า 5 คน และ 3 ปีหลังการบริหารหลักสูตรน่าจะมีปัญหาน้อยลงให้ลดกรรมการบริหารหลักสูตรเป็นไม่น้อยกว่า 3 คน และที่สำคัญหลักสูตรขาดแคลนให้มีกรรมการบริหารหลักสูตรจำนวนไม่น้อยกว่า 3 คน นอกจากนี้การกำหนดอาจารย์หนึ่งคนบริหารได้ 1 หลักสูตรก็เป็นปัญหา เพราะอาจารย์มีจำนวนน้อย ดังนั้นควรแก้ไขเป็นอาจารย์หนึ่งคนบริหารได้ 2 หลักสูตร แต่ต้องกำหนดคุณสมบัติของอาจารย์ที่จะบริหาร 2 หลักสูตรให้ชัดเจนว่าต้องมีผลงานอะไรบ้าง ให้มีการแบ่งชนิดของหลักสูตรเป็นหลักสูตรพื้นฐานให้มีอาจารย์หนึ่งคนบริหารได้ 2 หลักสูตรและหลักสูตรเฉพาะให้อาจารย์หนึ่งคนบริหารได้ 1 หลักสูตร มีการแบ่งช่วงเวลาการบริหารหลักสูตร โดย 2 ปีแรกให้มีอาจารย์หนึ่งคนบริหารได้ 1 หลักสูตร และ 3 ปีหลังให้อาจารย์หนึ่งคนที่บริหารหลักสูตรนั้นสามารถบริหารได้ 2 หลักสูตรได้ เพราะมีการจัดการบริหารมาแล้วกว่า 2 ปี และ หลักสูตรขาดแคลนขอให้มีอาจารย์ 1 คนบริหารได้ 2หลักสูตร (สยามรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 23 ก.พ. 49 http://www.siamrath.co.th)

สกอ.เห็นหนทางควบรวมมหาวิทยาลัย

ศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยผลการประชุมเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการหลอมรวมมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 21 ก.พ. ว่า แนวโน้มจำนวนนักศึกษาอุดมศึกษาในอนาคตจะลดลง เพราะผ่านยุคเบบี้บูม ซึ่งมีเด็กเกิดปีละ 1 ล้านคนไปแล้ว เวลานี้มีเด็กเกิดใหม่แค่ปีละ 8 แสนคน และเรียนถึงชั้นม.6 ประมาณ 6 แสนคน และรัฐบาลพยายามผลักดันเด็กให้เรียนในสถาบันอาชีวศึกษามากขึ้น ดังนั้นในอนาคตน่าจะมีนักศึกษาเข้าเรียนอุดมศึกษาลดลงจากปีละ 5 แสนคน เหลือ 3-4 แสนคน ซึ่งจะทำให้เกิดความพอดีในการพัฒนาประเทศในทุกภาคส่วน มหาวิทยาลัยต้องปรับตัวใหม่จะขยายตัวไม่ได้แล้ว รวมทั้งต้องเป็นมหาวิทยาลัยเฉพาะทาง และเกิดการหลอมรวมมหาวิทยาลัย โดยคู่แรกอย่างมรภ.กาฬสินธุ์และ มทร.อีสาน วิทยาเขตกาฬสินธุ์น่าจะมีความเป็นไปได้มาก เพราะตนได้รับโทรศัพท์จากอธิการบดีมทร.อีสาน วิทยาเขตกาฬสินธุ์ว่า มีอาจารย์ 105 คนจาก 120 คนเห็นด้วย ส่วนอธิการบดี มรภ.กาฬสินธุ์ก็ไม่ขัดข้อง ซึ่งเป็นนิมิตหมายที่ดีและหลังจากนี้ สกอ.จะจัดประชุมเชิงปฏิบัติการที่จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อฉายภาพใหม่ของม.กาฬสินธุ์และสอบถามความเห็นของชุมชน ถ้าเห็นชอบก็จะเดินหน้าหลอมรวมต่อไป นอกจากนี้ยังมีมหาวิทยาลัยอีกหลายคู่ที่น่าจะหลอมรวมกันได้ เช่น ม.มหาสารคาม มรภ.มหาสารคาม วิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม และวิทยาลัยพลศึกษา ซึ่งเรื่องนี้เคยมีการหารือกันในอดีตแล้ว รวมทั้งมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี และมรภ.สุราษฎร์ธานี รวมเป็นมหาวิทยาลัยสุราษฎร์ธานี นอกจากนี้ยังมี มทร.อีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ และมรภ.สุรินทร์ ซึ่งหากมีการรวมกันจริง ก็จะทำให้มหาวิทยาลัยใหม่มีความเข้มแข็งได้ทันที และการเสนอของบประมาณต่าง ๆ ก็จะทำได้ง่ายขึ้น แต่ทั้งนี้ตามธรรมเนียมของอุดมศึกษาจะไม่มีการบังคับ ไม่กำหนดเป็นนโยบาย (เดลินิวส์ พุธที่ 22 ก.พ. 49 http://www.dailynews.co.th)

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

ไบโอเทคชงแผนจีเอ็มโอเข้า ครม.

ศ.ดร.มรกต ตันติเจริญ ผอ.ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) เปิดเผยว่า ไบโอเทคเตรียมจะเสนอแผนยุทธศาสตร์พัฒนาพืชจีเอ็มโอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งประกอบด้วยเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ 4 ข้อคือ 1. การเสริมสร้างความสามารถของนักวิจัยไทยให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ของเทคโนโลยีและสามารถแข่งขันได้ในลำดับต่อไป 2. การพัฒนาพืชจีเอ็มโอที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม 3. การสร้างความสามารถในการทดสอบและควบคุม ความปลอดภัยทางชีวภาพในระดับภาคสนามและไร่นา และ 4. การสร้างความเข้าใจต่อสาธารณชน โดยเน้นให้สังคมได้รู้จัก และเข้าใจเรื่องพืชจีเอ็มโอมากขึ้น ซึ่งแผนดังกล่าวจะมีกรอบระยะเวลา 3 ปี (2549-2551) วงเงินงบประมาณ 240 ล้านบาท ทั้งนี้ แผนนี้ได้เคยผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบาย เทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานมาก่อนหน้านี้แล้ว ครม.จะให้ความเห็นชอบกับแผนดังกล่าวหรือไม่ แต่ขณะนี้สถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงไป เช่น ในต่างประเทศที่มีการปลูกพืชจีเอ็มโออย่างกว้างขวาง การวิจัยต่างๆก็เป็นผลงานของนักวิจัยไทยมากขึ้น อีกทั้งเราก็ไม่ได้ผลักดันพืชจีเอ็มโอโดยไม่พิจารณาความเหมาะสม ซึ่งทุกงานต้องอยู่บนพื้นฐานงานวิจัย และเรามีการบริหารจัดการอย่างรัดกุม ทำให้มีโอกาสที่แผนดังกล่าวจะผ่านความเห็นชอบจาก ครม.มากขึ้น สำหรับสถานการณ์จีเอ็มโอในประเทศไทย ขณะนี้มีการพัฒนาพืชจีเอ็มโอต้นแบบหลายงาน ซึ่งหลายปีก่อนได้รับการร้องเรียนจากสมัชชาคนจน และถูกระงับไม่ให้ทดสอบระดับภาคสนามและไร่นา ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่อนุญาตให้ปลูกพืชจีเอ็มโอ เพื่อการค้า แต่อนุญาตให้ใช้ข้าวโพดและถั่วเหลืองจีเอ็มโอที่นำเข้าจากต่างประเทศได้ น่าเสียดายที่เมื่อ 5 ปีก่อน ประเทศไทยระงับการปลูกพืชจีเอ็มโอไป ทำให้ประเทศไทยยังคงอยู่ในระยะเริ่มต้นเรื่องนี้. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 20 ก.พ. 49 http://www.thairath.co.th)

น้ำแข็งเกาะกรีนแลนด์ละลายเร็วกว่าที่คิด ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลในมหาสมุทรสูงขึ้น

คณะนักวิจัยอเมริกันพบว่าแผ่นน้ำแข็งของเกาะกรีนแลนด์แตกตัว และละลายไหลลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติกเร็วกว่าที่คิดกันไว้เกือบ 2 เท่า ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 1 ใน 6 ส่วน นิตยสารไซเอินซ์ฉบับที่ออกเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาระบุว่า ผลการตรวจวัดแผ่นน้ำแข็งทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะกรีนแลนด์ตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมาพบว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้น 3 องศาเซลเซียสในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ทำให้น้ำแข็งข้างใต้ละลายมากขึ้นและไหลลงสู่มหาสมุทรเร็วขึ้น ผลการคำนวณจากข้อมูลใหม่ชี้ว่า ปี 2548 แผ่นน้ำแข็งของเกาะ กรีนแลนด์ละลายไหลลงมหาสมุทรแอตแลนติก 150 ลูกบาศก์กิโลเมตรต่อปี เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าจากปี 2539 ที่ละลาย 50 ลูกบาศก์กิโลเมตรต่อปี น้ำแข็งที่ละลายนี้ทำให้ระดับน้ำทะเลโลกเพิ่มขึ้น 0.5 มิลลิ�เมตรจากที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดปีละ 3 มิลลิเมตร เกาะกรีนแลนด์มีแผ่นน้ำแข็งทั้งหมด 1.7 ล้านตารางกิโลเมตร เกือบเท่าพื้นที่ของเม็กซิโก หากแผ่นน้ำแข็งทั้งหมดละลายจะทำให้ระดับน้ำทะเลของโลกเพิ่มขึ้นถึง 7 เมตร งานวิจัยดังกล่าวเป็นการศึกษาร่วมกันระหว่างนักวิจัยของห้องทดลองเจ๊ต พรอพัลชั่น องค์การนาซา กับศูนย์รีโมตเซ็นซิ่งแผ่นน้ำแข็งของมหาวิทยาลัยแคนซัส โดยใช้ข้อมูลจากดาวเทียมของแคนาดา และยุโรป. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 20 ก.พ. 49 http://www.thairath.co.th)

ซิป้าดัน "โอเพ่นออฟฟิศ"แจ้งเกิด หวังพ่วงโปรเจ็กต์ภาครัฐทุกแห่ง

นายเจมส์ คลาร์ก ผู้จัดการฝ่ายโอเพ่นซอร์ซ สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (SIPA) เปิดเผยว่า สถานการณ์การใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ซในเมืองไทยตอนนี้ถือว่าสดใส มีโอกาสโตได้อีกมาก โดยเน้นการส่งเสริมและผลักดันผ่านโครงการของภาครัฐ ไม่ว่าโครงการคอมพิวเตอร์ 2.5 แสนเครื่อง เพื่อการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ที่มีข้อตกลงว่าจะใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ร่วมกับ แอปพลิเคชั่นของโอเพ่นออฟฟิศ รวมทั้งโครงการแลปท็อป 4,000 บาท ที่รัฐบาลมีนโยบายจะแจกให้กับนักเรียนทั่วประเทศก็จะเป็นโอเพ่นซอร์ซทั้งหมด นอกจากนี้ก็จะพยายามผลักดันให้โครงการของภาครัฐทั้งหลาย โดยเฉพาะโครงการของกระทรวงศึกษาธิการ มีการใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ซในทุกโครงการ เพราะจะทำให้เด็กในยุคต่อไปคุ้นเคยกับการใช้โอเพ่นซอร์ซมาตั้งแต่ต้น อย่างไรก็ตามก็ยังมีการอุปสรรคยากที่จะแข่งขันกับซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์เพราะคนส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยกับการใช้โอเพ่นซอร์ซ และคิดว่าโอเพ่นใช้งานยาก อย่างไรก็ตาม ทางซิป้าก็มีงบประมาณในการที่จะส่งเสริมให้คนไทยมีความเข้าใจและคุ้นเคยกับการใช้โอเพ่นซอร์ซประมาณ 28 ล้านบาท รวมถึงการสนับสนุนการพัฒนาโอเพ่นซอร์ซด้วย นอกจากนี้ซิป้ายังได้เปิดเว็บไซต์ www.thaiopensource.org เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูล, เนื้อหาและลิงก์ต่างๆ ที่สามารถดาวน์โหลดซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ซมาใช้ได้อีกด้วย และ เพื่อส่งเสริมให้ผู้บริหารหน่วยงานของรัฐมีความคุ้นเคยและรู้จักโอเพ่นซอร์ซมากขึ้น โดยการจัดสัมมนา "Effective Web-based Information Management" เป็นระบบบริหารจัดการเนื้อหาเว็บไซต์ (content management system หรือ CMS) โดยใช้โอเพ่นซอร์ซที่ชื่อว่า Mambo ให้แก่หน่วยงานราชการ และองค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นโปรแกรม CMS แบบโอเพ่นซอร์ซ ที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการใช้งานและสามารถใช้งานง่าย และสนับสนุนการใช้งานเป็นภาษาไทยได้อย่างดี ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงจากผู้ใช้งานทั่วโลกรวมทั้งหน่วยงาน (ประชาชาติธุรกิจ จันทร์ที่ 20 ก.พ. 49 http://www.matichon.co.th/prachachart)

ลำปาง"พร้อมรับสมาชิกAPEC ประชุมพลังงานถ่านหินสะอาด

นายสหาย รักเหย้า รองผู้จัดการใหญ่เชื้อเพลิง บมจ.กฟผ.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตามที่ บมจ.กฟผ.ร่วมกับกระทรวงพลังงานเป็นเจ้าภาพจัดสัมมนาวิชาการด้านพลังงานถ่านหินสะอาดกลุ่มสมาชิกเขตเศรษฐกิจ APEC (APEC Clean Fossil Energy Technical Policy Seminar) ครั้งที่ 13 ซึ่งจะจัดขึ้นที่โรงแรมเวียงลคอร จ.ลำปาง เพื่อเสนอนโยบายสะอาดในกลุ่มสมาชิกเขตเศรษฐกิจ ด้านพลังงาน 21 ประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิชาการและเทคนิค ประสบการใช้พลังงานถ่านหินสะอาด ในวันที่ 23-25 ก.พ.2548 นั้น ขณะนี้ได้เตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าว กฟผ.มีความสนใจแลกเปลี่ยนเรียนรู้การใช้เทคโนโลยี พลังงานถ่านหินสะอาดจากประเทศต่างๆ ที่พัฒนาเทคโน โลยีที่ก้าวหน้าแล้ว เช่น ประเทศญี่ปุ่น และบางประเทศมีกระบวนการนำถ่านหินให้สะอาดก่อน นำมาเผาไหม้ โดยนำถ่านหินมาเป็นก๊าซก่อนแล้วจึงนำเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งเป็นวิธีการทำให้ถ่านหินสะอาด ไม่ต้องติดตั้งเครื่องดักจับก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ นอกจากนี้ ยังมีโรงไฟฟ้าเอกชนแห่งหนึ่งที่จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งมีวิธีการใส่สารสำหรับดูดซับสารพิษต่างๆ ในระหว่างการเผาไหม้ ซึ่งอาจนำมาพัฒนาใช้กับกระบวนการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินของ กฟผ.ให้มีคุณภาพ และเป็นพลังงานสะอาดกว่าที่เป็นอยู่ ด้านนายอมรทัต นิรัติศยกุล ผวจ.ลำปางกล่าวว่า การประชุมวิชาการระดับชาติครั้งนี้ทุกฝ่ายเตรียมพร้อมจัดงานอย่างเต็มที่ เพราะนอกจากจะเป็นประโยชน์ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานถ่านหินแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อจังหวัดลำปางและประเทศไทยด้านการท่องเที่ยว (ประชาชาติธุรกิจ จันทร์ที่ 20 ก.พ. 49 http://www.matichon.co.th/prachachart)

โลมาอิรวดีเข้าข่าย 10 สูญพันธุ์

ไพล โสมณี เจ้าหน้าที่โครงการอนุรักษ์โลมาแม่น้ำโขงแห่งกัมพูชา กล่าวว่า เขาได้รับรายงานการตายของโลมาแรกเกิดถึง 4 ตัว และหากนับรวมตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมเป็นต้นมา มีโลมาอิรวดีตายไปแล้วรวม 14 ตัว ขณะที่ปีที่แล้วทั้งปีตาย 8 ตัว จากที่ประเมินกันเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ คาดว่ามีเหลืออยู่เพียง 80-100 ตัวในแม่น้ำโขง สาเหตุการตายของโลมา ณ ขณะนี้ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เจ้าหน้าที่กล่าวว่า อาจมีสาเหตุมาจากมลพิษในแม่น้ำลำคลองและการใช้ตาข่ายจับปลาอย่างผิดกฎหมายในกัมพูชา สำหรับโลมาที่ตายในกัมพูชา เจ้าหน้าที่กองทุนสัตว์ป่าโลกได้ส่งไปตรวจชันสูตรที่แคนาดาเพื่อหาสาเหตุการตายที่แท้จริง โลมาอิรวดีสามารถพบได้ในแม่น้ำบางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา เช่นกัน ชาวบ้านเรียกว่า โลมาหัวบาตร เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีวงจรชีวิตคล้ายปลาพะยูน และคน สำหรับในแม่น้ำไทยคาดว่ามีอยู่ราว 300 ตัว แต่พบเห็นตายทุกปีเช่นกัน เนื่องจากติดอวนปลา หรือไม่ก็ถูกใบพัดเรือบาดเจ็บ (คมชัดลึก จันทร์ที่ 20 ก.พ. 49 http://www.komchadluek.net)

อนุรักษ์พันธุ์ปลาหมูขาว ศูนย์ฯประมงผสมเทียมสำเร็จ

ปลาหมูขาวจัดเป็นปลาหายากสายพันธุ์หนึ่ง ซึ่งศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพิจิตร สำรวจในแม่น้ำน่าน จ.พิจิตร และนำมาเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆเพื่อเป็นฐานในการเพาะสายพันธุ์ ป้องกันไม่ให้เกิดการสูญพันธุ์ไปจากบ้านเราในอนาคต เมื่อปี 2547 ศูนย์วิจัยฯได้นำปลาหมูขาวที่รวบรวมได้จากแม่น้ำยม ในเขต อ.สามง่าม จ.พิจิตร มาเลี้ยงเพื่อใช้สำหรับเป็นพ่อแม่พันธุ์ในตู้กระจกขนาด 48 x 48 x 90 ตารางเซนติเมตร ปล่อยปลาหมูขาวขนาด 120 x 150 กรัม จำนวน 10 ตัว โดยให้หนอนนกผสมสาหร่ายสไปรูไรน่า น้ำมันตับปลา วิตามินอี ให้กินในช่วงบ่ายเป็นอาหารวันละ 1 มื้อ ฤดูการผสมพันธุ์ของปลาหมูขาว ตามธรรมชาติจะอยู่ช่วงฤดูร้อนต่อฤดูฝน ปลาตัวผู้จะมีขนาดเล็กกว่าและลำตัวเพรียวกว่าตัวเมีย เมื่อเพศเมียถึงวัยเจริญพันธุ์ บริเวณจะอูมเป่งและช่อเกิดสีชมพูเรื่อๆ วิธีการผสมเทียม ใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์และยาเสริมฤทธิ์ ฉีด 1 ครั้ง โดยฉีดฮอร์โมนให้กับปลาเพศเมียและปลาเพศผู้พร้อมกันที่ความเข้มข้น 10 ไมโครกรัมต่อ 1 กิโลกรัม ฉีดให้กับแม่ปลาหมูขาว จำนวน 5 ตัว แต่ละตัวน้ำหนัก 120 x 150 กรัม ผลปรากฏว่าแม่ปลาหมูขาวสามารถรีดไข่ออกได้จำนวน 2 ตัว หลักจากฉีดฮอร์โมนไปแล้ว 6 ชม. และฟักเป็นตัวใช้เวลาประมาณ 13 ชั่วโมง ได้ลูกปลาวัยอ่อนประมาณ 300 ตัว ปัจจุบันเหลือลูกปลาเพียง 10 ตัวอายุ 90 วัน (ไทยรัฐ อังคารที่ 21 ก.พ. 49 http://www.thairath.co.th)

ปีหน้าได้ยลโฉมมือถือ 12 ล้านพิกเซล

เท็กซัส อินสตรูเมนท์ อิงค์ บริษัทผู้ผลิตชิพสำหรับใช้กับโทรศัพท์มือถือ เปิดเผยว่า ได้พัฒนาชิพประมวลผลที่มีความสามารถสูงขึ้นเพื่อให้สามารถประมวลข้อมูลภาพวิดีโอความละเอียดสูง และงานที่ต้องใช้การคำนวณอย่างรวดเร็วบนอุปกรณ์ไร้สาย นอกจากจะช่วยให้ถ่ายวิดีโอคุณภาพเยี่ยมแล้ว ยังสามารถดาวน์โหลดภาพยนตร์ภาพคมชัดมาลงมือถือแล้วเอาไปต่อกับจอทีวีได้ด้วย ชิพโอเอ็มเอพี 3 รุ่นใหม่สามารถบันทึกภาพขนาด 12 ล้านพิกเซลได้โดยมีช่วงเวลาเหลื่อมระหว่างกดชัตเตอร์ถ่ายภาพเพียง 1 วินาที ซึ่งความสามารถระดับนี้ปกติจะใช้กับกล้องดิจิทัลแบบเลนส์เดียวที่มีราคาแพงลิ่วเท่านั้น ปัจจุบัน ชิพโอเอ็มเอพี 2 มีใช้ในโทรศัพท์มือถือญี่ปุ่นที่ติดกล้องบันทึกภาพสูงถึง 3.2 ล้านพิกเซล และสามารถเล่นเกมสามมิติได้ แม้จะมีความสามารถเหลือล้นแต่ชิพเหล่านี้กินไฟน้อย ไม่ทำให้แบตเตอรี่หมดเร็ว ยิ่งชิพรุ่นใหม่โอเอ็มเอพี 3 ด้วยแล้วยิ่งกินไฟน้อยกว่ารุ่นก่อน อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์มองว่า คุณสมบัติดังกล่าวออกจะสูงไปสักหน่อยสำหรับโทรศัพท์มือถือ (คมชัดลึก อังคารที่ 21 ก.พ. 49 http://www.komchadluek.net)

'สมาคมสมองกล'ผลิตคนหนุนฮับยานยนต์

สมาคมสมองกลฝังตัวไทยเดินหน้าปั้น "นักออกแบบด้านระบบสมองกลฝังตัว" ตั้งเป้าไม่ต่ำกว่า 350 คนต่อปี มุ่งรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ใหม่ เผยจับมือสถานศึกษาระดับอาชีวะและมหาวิทยาลัยยกระดับหลักสูตรสมองกลฝังตัวไทย เน้นทิศทางเดียวกับหลักสูตรญี่ปุ่น ด้านโตโยต้าผุดบริษัทซอฟต์แวร์ควบคุมเครื่องยนต์ วางแผนจ้างงานเด็กไทยครบ 600 คนใน 4 ปีหน้า ดร.อิทธิ ฤทธาภรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์ไมโครอิเล็กทรอนิกส์และคณะกรรมการสมาคมสมองกลฝังตัวไทย เปิดเผยว่า ประเทศญี่ปุ่นตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยีระบบสมองกลฝังตัว (Embedded Systems) อย่างมาก และวางแผนผลิตนักออกแบบด้านระบบสมองกลฝังตัวอย่างเร่งด่วน ด้วยการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านการศึกษาต่างๆ กับภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ จัดทำหลักสูตร Embedded Technology Skill Standart ซึ่งมุ่งกำหนดทิศทางการพัฒนาบุคลากรด้านนี้ให้ไปในทิศทางเดียวกัน ระบบสมองกลฝังตัวถูกนำมาใช้ประโยชน์มากขึ้น ในลักษณะที่แฝงไว้ในอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายในชีวิตประจำวัน อาทิ บัตรโดยสารรถไฟ้าบีทีเอส, วอล-มาร์ทของอังกฤษกำลังจะใช้ระบบนี้สินค้าเพื่อติดตามพฤติกรรมของลูกค้า, เซกเวย์ พาหนะสองล้อก็อาศัยระบบนี้ควบคุมการทำงานเช่นกัน รวมถึงรถยนต์รุ่นใหม่ที่นำระบบสมองกลฝังตัวมาช่วยควบคุมเครื่องยนต์ ส่งผลให้ความต้องการบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับระบบสมองกลฝังตัวเพิ่มขึ้น ดร.อิทธิ กล่าวอีกว่า สมาคมฯเตรียมจะเปิดหลักสูตรเชิงปฏิบัติการต่อเนื่อง 6 เดือน ที่เน้นบทบาทระบบสมองกลฝังตัวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ สำหรับอาจารย์ที่สอน ระดับอาชีวศึกษาและมหาวิทยาลัย รวมถึงบัณฑิตสาขาวิศวกรรมศาสตร์คอมพิวเตอร์ กำหนดเป้าหมายผู้เข้ารับการอบรมรุ่นแรก 100 คนภายในเดือนกันยายนนี้ (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 21 ก.พ. 49 http://www.bangkokbiznews.com)

สวทช.ชูญี่ปุ่นต้นแบบพัฒนาวิทยาศาสตร์

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดงานสัมมนา “บทเรียนจากประเทศญี่ปุ่นในการวางแผนยุทธศาสตร์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เห็นแนวทางการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตัวอย่างประเทศที่ประสบความสำเร็จในการเป็นผู้นำด้านวิทยาศาสตร์ฯ ของภูมิภาคนี้ โดยเชิญวิทยากรจากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศญี่ปุ่น ร่วมบรรยายด้วย ศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน์ ผู้อำนวยการ สวทช. ในฐานะประธานจัดงาน กล่าวว่า ขณะที่ประเทศไทยยังประสบปัญหาการบริหารงานที่ขาดความคล่องตัว ทำให้การดำเนินงานและการวิจัยมีความล่าช้า อีกทั้งยังขาดการบูรณาการแผนงานด้านวิทยาศาสตร์ฯ ให้เข้ากับหน่วยงาน ส่งผลให้ศักยภาพทางวิทยาศาสตร์ฯ ไม่เท่าทันการแข่งขันในระดับนานาประเทศ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องปรับแผนการดำเนินงานด้านวิทยาศาสตร์ฯ โดยผลักดันให้เข้าไปอยู่ในยุทธศาสตร์แผนงานของทุกหน่วยงานในแต่ละกระทรวง โดยแบ่งเป็นคลัสเตอร์ต่าง ๆ ตามนโยบายของรัฐบาล เช่น ด้านเกษตร อาหาร สุขภาพ ชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และอาร์เอฟไอดี เพื่อสนับสนุนให้เกิดการพัฒนางานวิจัยด้านนี้ให้มากขึ้น และทำให้ไทยพัฒนาศักยภาพการแข่งขันเทียบเท่านานาประเทศ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้ความสำคัญในเรื่องงบประมาณ เพื่อการพัฒนางานด้านวิทยาศาสตร์ฯ ในลำดับต้นของแผนงานด้านต่าง ๆ ซึ่งเป็นแรงขับดันสำคัญที่ทำให้วิทยาศาสตร์ฯ ของญี่ปุ่นก้าวหน้าอย่างมาก (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 21 ก.พ. 49 http://www.bangkokbiznews.com)

"ม.ยูเอ็น"จี้เอเชียยกเครื่อง ระบบเตือนดินถล่ม-ฝนตกหนัก

นายศรีกันธา เฮราธ นักวิจัยในโครงการสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืนประจำมหาวิทยาลัยสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า สถิติภัยพิบัติอันเนื่องมาจากฝนตกหนักที่เกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียเริ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จึงจำเป็นที่จะต้องวางมาตรการรับมือและเตือนภัยล่วงหน้า และว่า ภัยธรรมชาติมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย การที่จะป้องกันไม่ให้เกิดภัยพิบัติขึ้นก็จำเป็นที่จะต้องยกเครื่องระบบเฝ้าระวังกันใหม่ ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่และนักเคลื่อนไหวต่างเห็นพ้องว่าภัยพิบัติโคลนถล่มที่เกิดขึ้นในหลายประเทศมีสาเหตุมาจากการตัดไม้ทำลายป่า และการขยายชุมชนเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงภัย โดยชี้ว่าภัยโคลนถล่มและน้ำป่านั้น มีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากความเสื่อมโทรมของสภาพป่า จนเป็นผลให้ป่าไม่สามารถอุ้มน้ำเอาไว้ ด้วยเหตุนี้ ฝนที่ตกในบริเวณที่ราบลุ่มจึงกลายสภาพเป็นอุทกภัย และหากตกในพื้นที่สูงก็จะก่อให้เกิดโคลนถล่มตามมา ขณะที่การตั้งชุมชนในพื้นที่เสี่ยงนั้นก็ยิ่งทวีความสูญเสียให้รุนแรงยิ่งขึ้น นอกจากการฟื้นฟูสภาพป่าโดยเร่งด่วนแล้ว การวางมาตรการจัดการภัยพิบัติก็มีความจำเป็นไม่แพ้กัน โดยชี้ด้วยว่า ขณะนี้ญี่ปุ่นเองก็ได้แต่งตั้งคณะทำงานในระดับรัฐบาลเพื่อเตรียมพร้อมรับเหตุภัยพิบัติแล้ว ขณะที่หลายประเทศในเอเชียทั้งเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเกิดภัยพิบัติโคลนถล่มและอุทกภัยหลายครั้งก็เริ่มดำเนินโครงการเฝ้าระวังภัยล่วงหน้าแล้ว (ข่าวสด อังคารที่ 21 ก.พ. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)

ทำแผนรับแผ่นดินไหว

นายเชิดวิทย์ ฤทธิประศาสน์ ผวจ.กาญจนบุรี เปิดเผยถึงแผนป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติแผ่นดินไหวของจังหวัด ว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยพิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้ประชาชนได้ทราบถึงข้อเท็จจริงในประเด็นเขื่อนศรีนครินทร์กับแผ่นดินไหว รวมทั้งโอกาสความเป็นไปได้ ผลกระทบและการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ และเกิดความเชื่อมั่นในระบบความปลอดภัย แผนปฏิบัติการฉุกเฉิน และแผนการอพยพประชาชนของจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นายเชิดวิทย์กล่าวว่า จึงขอให้จังหวัด ร่วมกับศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 2 สุพรรณบุรี และบริษัท กฟผ.จำกัด (มหาชน) จัดให้ประชุมเชิงปฏิบัติการ จัดทำแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจากแผ่นดินไหว จ.กาญจนบุรี โดยเรียนเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหว ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่กรมทรัพยากรธรณี กรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมชลประทาน บริษัท กฟผ.จำกัด (มหาชน) ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ผู้แทนเหล่าทัพ ฯลฯ และผู้แทนองค์กรประชาชนในพื้นที่ เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการ จัดทำแผน พร้อมทั้งฝึกแผนอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย ในวันที่ 24 ก.พ.นี้ โดยขอรับการสนับสนุนงบประมาณดำเนินการจากบริษัท กฟผ.จำกัด (มหาชน) และประสานการปฏิบัติกับน.พ.ไพรัช ศุภกาญจนกันติ ประธานคณะทำงานมาตรการระวังภัยแผ่นดินไหว จ.กาญจนบุรี โดยใกล้ชิดด้วย (ข่าวสด อังคารที่ 21 ก.พ. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)

ปลูกถ่ายเซลล์หมูให้คน รักษาโรคเบาหวานได้ใน 10 ปี

นักวิทยาศาสตร์แสดงความเชื่อมั่นว่าจะสามารถรักษาโรคเบาหวานให้หายได้ ด้วยการปลูกถ่ายเซลล์สร้างอินซูลินจากหมูมาเปลี่ยนให้กับคน คณะนักวิจัยสหรัฐอเมริกา ได้รายงานในวารสารการแพทย์ “ธรรมชาติเวชศาสตร์” ว่า ได้พบความสำเร็จในการปลูกถ่ายกลุ่มเซลล์จากม้ามของหมูมา ให้กับลิงที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 จนหายได้ ก่อนหน้านี้ หมออังกฤษ ก็เคยผ่าตัดปลูกถ่ายเซลล์ของม้ามคนด้วยกันให้กับผู้ป่วยโรคเบาหวาน สำเร็จมาแล้วเช่นกัน หากแต่หาอวัยวะของคนด้วยกันมาปลูกถ่ายให้ยาก จึงหันมาสนใจที่จะเอาจากหมู แต่ในการนำเซลล์จากหมูมาปลูกถ่ายให้กับคนนี้ คณะแพทย์จะต้องคิดยากดภูมิคุ้มกันให้ได้เสียก่อน เพราะเหตุว่ายามักจะก่อให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง จึงจำเป็นจะต้องปรับปรุงให้ดีเสียก่อน รองศาสตราจารย์วิชาศัลยกรรมและหัวหน้าคณะศึกษา เบิร์นฮอร์ เฮริงแจ้งว่า ความสำเร็จหนนี้จะทำให้ทางไปสู่การนำเซลล์ จากหมูมาใช้ในการรักษาโรคเบาหวานให้สำเร็จระยะยาวได้ หากว่าได้เริ่มทดลองในการรักษาคนในสถานพยาบาลภายในเวลา 3 ปีนี้ และได้ ผลดี ก็คงอาจจะใช้วิธีนี้กับคนกันขึ้นอย่างแพร่ หลายภายในสิบปี (ไทยรัฐ พุธที่ 22 ก.พ. 49 http://www.thairath.co.th)

เผยรายชื่อโลกที่อาจมีสิ่งชีวิตอาศัยอยู่ ในกาแล็กซีดาวฤกษ์

นักดาราศาสตร์สหรัฐอเมริกาเสนอรายชื่อดาวฤกษ์ 5 ดวงที่อยู่ใกล้ กาแล็กซีทางช้างเผือกที่อาจเอื้อให้ดาวเคราะห์ ที่โคจรอยู่โดยรอบ มีสภาพที่เหมาะสมต่อการกำเนิดสิ่งมีชีวิต องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือ นาซา จะเป็นผู้ใช้บัญชีนี้เพื่อกำหนดการทำงานของสถานีโคจรอวกาศ ที่มีหน้าที่ค้นหาดาวเคราะห์ที่มีลักษณะคล้าย คลึงกับโลก ผู้เชี่ยวชาญของสถาบันคาร์เนกีในกรุงวอชิงตัน กล่าวว่า การกำหนดดวงดาวที่น่าจะมีสิ่งมีชีวิตนอกโลกหรืออีกที่มีความสำคัญมาก เนื่องจากกาแล็กซีมีดาวฤกษ์ถึง 400,000 ล้านดวง ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่นักดาราศาสตร์สามารถตรวจ ค้นหาสิ่งมีชีวิตในดาวทุกดวง ทั้งนี้ นาซากำหนดส่งสถานีโคจรอวกาศภายในปี 2559 แต่ขณะนี้ต้องเลื่อนแผนการออกไป เนื่องจากประสบปัญหาขาดแคลนงบประมาณ (ไทยรัฐ พุธที่ 22 ก.พ. 49 http://www.thairath.co.th)

แบคทีเรียสร้าง “พลาสติก”

“โพลีสไตรีน” (Polystyrene) หรือที่เรียกอีกอย่างว่า “สไตโรโฟม” (Styrofoam) ซึ่งถือเป็นวัสดุประเภทพลาสติกอีกชนิดหนึ่งที่มีการนำมาใช้งานกันอย่างแพร่หลาย เช่นภาชนะบรรจุอาหาร (ถาดรองโฟม) ทีมนักวิจัยจาก University College Dublin ประเทศไอร์แลนด์เพิ่งนำเสนอบทความงานวิจัยเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากขยะสไตโรโฟม ซึ่งเป็นวัสดุที่ย่อยสลายยาก และเราก็มักนิยมที่จะใช้วิธีฝังกลบกับขยะประเภทดังกล่าว อันจะทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ในระยะยาว กระบวนการนำเอาขยะสไตโรโฟมมาใช้ประโยชน์นี่สิน่าสนใจมาก ๆ คือนักวิจัยนำเอาขยะประเภทสไตโรโฟมมาผ่านกระบวนการ Pyrolysis ซึ่งเป็นกระบวนการเผากากของเสียโดยใช้ความร้อนสูงในระยะเวลาอันรวดเร็ว โดยไม่ใช้ออกซิเจน ซึ่งก็เป็นวิธีการที่พบได้สำหรับการกำจัดกากของเสียหลายประเภทในปัจจุบัน สิ่งที่ได้จากการนำสไตโรโฟมมาผ่าน กระบวนการ Pyrolysis ในเตาปฏิกรณ์ก็คือน้ำมันที่มี “สไตรีน” (Styrene) เป็นส่วนประกอบประมาณ 83 เปอร์เซ็นต์ และน้ำมันที่ได้ดังกล่าว ทีมนักวิจัยนั้นค้นพบว่าสามารถนำมาให้เป็นอาหารของแบคทีเรีย Pseudomonas putida ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ธรรมดาที่พบได้โดยทั่วไป เมื่อน้ำมันที่ได้จากกระบวนการกลั่นสไตโรโฟมสามารถนำมาใช้เป็นอาหารเลี้ยงแบคทีเรียตัวนี้ได้ นักวิจัยจึงค้นพบหนทางในการรีไซเคิลขยะประเภทสไตโรโฟม ทั้งนี้เนื่องจากทราบกันดีว่าแบคทีเรีย Pseudomonas putida นั้นสามารถสังเคราะห์โพลีเมอร์ที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติที่รู้จักกันในชื่อ PHA (Polyhydroxyalkanoates) ซึ่งก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ซึ่งก็น่าแปลกใจที่น้ำมันได้จากกระบวนการ Pyrolysis ของสไตโรโฟมสามารถนำมาใช้เป็นอาหารเลี้ยงแบคทีเรียได้ดี ทั้งที่แต่เดิมนักวิจัยคาดว่ามันจะมีความเป็นพิษกับแบคทีเรีย ต้นทุนในการนำเอาขยะสไตโรโฟมมาผ่าน กระบวนการ Pyrolysis จะสูงจนไม่คุ้มที่จะรีไซเคิลนั้น ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกระบวนการ Pyrolysis ได้ออกมาให้ความเห็นว่าเราสามารถนำเอาน้ำมันที่ได้จาก กระบวนการมาผ่านกระบวนการกลั่นให้บริสุทธิ์ขึ้น แล้วน้ำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับกระบวนการ Pyrolysis ได้เป็นวัฏจักรต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด จากการเปรียบเทียบ การนำเอาวัสดุประเภทโพลีสไตรีน 1 กิโลกรัม มาผ่านกระบวนการ Pyrolysis นั้นต้องใช้พลังงาน 2,700 กิโลจูล แต่น้ำมันที่ได้จากกระบวนการ Pyrolysis เพียง 100 กรัม (10 เปอร์เซ็นต์ของน้ำมันที่ได้ 1 กิโลกรัม) เมื่อนำมาผ่านกระบวนการกลั่นแล้วสามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงที่ให้พลังงานถึง 5,000 กิโลจูล ซึ่งก็เพียงพอที่จะใช้เป็นแหล่งพลังงานของกระบวนการทั้งหมดให้ดำเนินต่อเนื่องไปได้ด้วยตัวของมันเอง (เดลินิวส์ พุธที่ 22 ก.พ. 49 http://www.dailynews.co.th)

นาซ่าฟันธง 10 ดาวฤกษ์ถิ่นกำเนิด "อีที"

มาร์กาเร็ต เทิร์นบูล จากสถาบันคาร์เนกี้แห่งวอชิงตัน ได้เปิดเผยรายชื่อ "ดาวฤกษ์ 10 อันดับแรกในการประชุมสมาคมเพื่อวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าแห่งสหรัฐ (เอเอเอเอส) ดาวฤกษ์ทั้ง 10 ดวงนี้ เป็นเป้าหมายที่องค์การนาซาของสหรัฐจะใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศที่ชื่อ เทอร์เรสเทรียล แพลเน็ต ไฟเดอร์ ส่งสำรวจในเชิงลึก กล้องโทรทรรศน์ดังกล่าวมีกำหนดยิงขึ้นสู่อวกาศในปี 2563 ในกาแล็กซีทางช้างเผือกมีดาวฤกษ์อยู่ 4 แสนล้านดวง เลือกเฉพาะดาวฤกษ์ที่มีอายุราว 3,000 ล้านปี และมีมวลไม่เกิน 1.5 เท่าของดวงอาทิตย์ มีธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบไม่น้อยกว่า 50% เนื่องจากนักดาราศาสตร์เชื่อว่า ระบบสุริยะจะเกิดขึ้นได้จำเป็นต้องมีธาตุหนักเพื่อให้ดาวเคราะห์ก่อตัวขึ้นมาได้ ดาวฤกษ์ 10 ดวงที่เป็นไปได้ว่าน่าจะมีดาวเคราะห์คล้ายโลกเป็นบริวารได้แก่ ดาวเบต้า คานัม เวนาติคอรัม เป็นดาวที่อยู่ในอันดับแรก เพราะมีคุณสมบัติคล้ายดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากระบบสุริยะของเราไป 26 ล้านปีแสง ในกลุ่มดาวสุนัขล่าเนื้อ อันดับสองคือ เอชดี 10307 อยู่ไกลราว 42 ล้านปีแสง เป็นดาวฤกษ์คล้ายดวงอาทิตย์หลายอย่าง เช่น อุณหภูมิ มวล และมีโลหะเหมือนกัน ต่อมาคือ เอชดี 211415 มีโลหะราวครึ่งหนึ่งที่ดวงอาทิตย์มี และค่อนข้างจะเย็นกว่า ถัดมาคือ 18 สกอร์พิอิ เป็นดาวฤกษ์ยอดนิยมสำหรับการค้นหาดาวเคราะห์ มีลักษณะเกือบเหมือนกับเป็นฝาแฝดกับดวงอาทิตย์ และถัดมาอีกดวงคือ 51 ปีกาซุส (ดาวม้าบิน) เป็นดาวดวงแรกที่พบว่ามีดาวเคราะห์คล้ายดาวพฤหัสบดี จึงเชื่อว่าน่าจะมีดาวโลกอยู่เช่นกัน ทั้ง 5 ดวงนี้ ทางโครงการฟีนิกซ์ของสถาบันเซติได้ทำการตรวจสอบแล้ว แต่ไม่พบอะไรในกอไผ่ อาจจะต้องรอกล้องโทรทรรศน์รุ่นใหม่ที่มีคลื่นความถี่สูงกว่ารุ่นที่ใช้อยู่ในปัจจุบันสัก 3 เท่า สำหรับอีก 5 ดวง ได้แก่ ดาวเอปสิลอน อินดี เอ. อยู่ไกลราว 11.8 ล้านปีแสง ค่อนข้างเย็นกว่าและเล็กกว่าดวงอาทิตย์ เมื่อไม่นานมานี้พบดาวแคระน้ำตาลหนึ่งดวง ต่อมาคือ ดาวเอปสิลอน แอริดานี เล็กและเย็นกว่าดวงอาทิตย์เช่นกัน พบมีดาวเคราะห์บริวารหนึ่งดวง แฟนพันธุ์แท้หนังไซไฟจะรู้ว่าดาวดวงนี้เป็นดาวแม่ของดาวเคราะห์ชื่อ วัลแคน บ้านเกิดของสป็อค มนุษย์ต่างดาวที่มีหูแหลมชี้เป็นเอกลักษณ์ อีกดวงคือ โอมิคอน 2 อีริดานี เป็นดาวที่มีสีเหลืองส้ม มีอายุใกล้เคียงกับดวงอาทิตย์ อีกดวงคือ อัลฟา เซนทัวริ บี เป็นส่วนหนึ่งของระบบไตรดาว ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด เป็นดาวฤกษ์ที่หมายตาว่าน่าจะมีสภาพที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต และมักถูกอ้างถึงในนิยายวิทยาศาสตร์ รวมถึง "สถาบัน สถาปนา" ของไอแซค อาซิมอฟ ด้วย สุดท้ายคือ ทาอู เซติ เป็นดาวที่สว่างเท่าดวงอาทิตย์ แต่มีโลหะน้อยเมื่อเทียบกับดวงอาทิตย์ แต่ก็มีอายุพอที่จะเอื้อต่อการกำเนิดชีวิต (คมชัดลึก พุธที่ 22 ก.พ. 49 http://www.komchadluek.net)

เปิดท้องฟ้าจำลองดิจิทัลเอกมัย

.ส.สาลิน วิรบุตร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา เปิดเผยว่า รัฐบาลญี่ปุ่นได้สนับสนุนท้องฟ้าจำลองเคลื่อนที่ระบบดิจิทัล ซึ่งมีศักยภาพฉายดาวฤกษ์ได้ถึง 6,000 ดวง แสดงดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดาวเคราะห์ รวมถึงปรากฏการณ์ดาราศาสตร์สำคัญที่ย้อนอดีตได้ เช่น สุริยุปราคา จันทรุปราคา ฝนดาวตก และยังหมุนเวลาหาอดีต หรือปรับเดินหน้าสู่อนาคตได้อีกด้วย ท้องฟ้าจำลองเคลื่อนที่ดังกล่าว ถือเป็นการแสดงเทคโนโลยีทันสมัยของสื่อผสมเบ็ดเสร็จ โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ต และเครื่องมือโสตทัศนูปกรณ์อย่างเต็มรูปแบบ จึงจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับส่งเสริมความรู้ความเข้าใจด้านวิทยาศาสตร์ธรรมชาติของโลกและจักรวาล ประกอบกับมีความสะดวกที่จะเคลื่อนที่ไปได้ทุกแห่งทั่วประเทศ สามารถจุผู้ชมได้รอบละ 25 คน โดยจะมีพิธีรับมอบท้องฟ้าจำลองเคลื่อนที่ดังกล่าวในวันที่ 22 กุมภาพันธ์นี้ ณ ชั้น 1 ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา เอกมัย และจะเปิดบริการให้บริการจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้ จากนั้นจะเคลื่อนที่ไปให้บริการแก่เยาวชนและประชาชนทั่วไปในเขตภูมิภาคต่อไป (คมชัดลึก พุธที่ 22 ก.พ. 49 http://www.komchadluek.net)

ตะลึงพบปะการังใหม่ "เขาหลัก"หลัง"สึนามิ" ดันเป็นอุทยานฯทะเล

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ว่า นายทรงพล ทิพยวงศ์ ผู้จัดการโครงการทรัพยากรทางทะเลชายฝั่งของดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ ประเทศไทย ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทีมนักประดาน้ำของดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟได้พบแนวปะการังที่ยังสมบูรณ์อยู่และยังไม่เคยถูกค้นพบมาก่อน อีกทั้งยังเต็มไปด้วยฝูงปลา โดยแนวปะการังใหม่นี้กินเนื้อที่มากถึงราว 2.7 ตารางกิโลเมตร อยู่บริเวณนอกชายฝั่งเขาหลัก จ.พังงา แหล่งท่องเที่ยวบริเวณชายฝั่งทะเลอันดามันซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยว อันเป็นพื้นที่ซึ่งเคยประสบมหันตภัยคลื่นยักษ์สึนามิ โดยแนวปะการังแนวนี้อยู่ไม่ไกลจากเขาหลัก และหากมีการดูแลอย่างถูกต้องก็จะกลายเป็นแหล่งดำน้ำที่มีชื่อเสียง ซึ่งจะทำให้เกิดการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนในท้องถิ่นต่อไป ดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟระบุว่า ขณะนี้กำลังประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช, ชุมชนในท้องถิ่น และผู้ประกอบการดำน้ำ เพื่อให้แน่ใจว่าแนวปะการังนี้จะได้รับการบริหารจัดการอย่างเหมาะสม ซึ่งอาจจะนำไปสู่การยกย่องให้เป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลแห่งใหม่ของไทย (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 23 ก.พ. 49 http://www.matichon.co.th)

ข่าววิจัย/พัฒนา

คิดเลขเรื่องขี้ปะติ๋ว ทารกก็นับได้

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยดุ๊ก ในสหรัฐ ได้ทดลองศึกษาทารก 20 ราย ได้ผลสรุปคล้ายกับการทดลองก่อนหน้าที่พบว่าลิงมีทักษะในการนับเลขเหมือนมนุษย์ แต่ในการศึกษากับทารกพบว่า ทารกที่ยังพูดไม่เป็นคำ สามารถเลือกคำตอบจำนวนที่ถูกต้องได้โดยนับครั้งเสียงที่ได้ยิน ในการทดลองได้ให้เด็กอายุ 7 เดือน นั่งบนตักของผู้ปกครอง ดูภาพจากจอที่ตั้งคู่กัน 2 จอ พร้อมกับเปิดภาพวิดีโอที่แสดงภาพใบหน้าของผู้หญิงสองคนและสามคน ซึ่งเด็กไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ผู้หญิงเหล่านี้จะพูดคำว่า "ดู" ผ่านลำโพงที่ซ่อนอยู่ นักวิจัยพบว่า เด็กสามารถเลือกภาพผู้หญิงสองหรือสามคนได้ตรงกับจำนวนของเสียงที่ได้ยิน โดยเด็กจะใช้เวลานานเป็นพิเศษ คอยจ้องมองภาพใบหน้าที่เห็นที่มีจำนวนตรงกับจำนวนเสียง ผลจากการทดลองดังกล่าว นักวิจัยสรุปว่า ถึงแม้ทารกยังอ้อแอ้พูดไม่ได้ แต่ก็มีระบบมีการแทนค่าจำนวนอยู่ข้างใน และยังแสดงให้เห็นถึงกระบวนการคิดเชิงนามธรรมภายใน ข้อสรุปดังกล่าวสนับสนุนความคิดที่ว่า ทารกวัยก่อนพูดและสัตว์ที่พูดไม่ได้ มีระบบการเทียบค่าจำนวนเหมือนกัน ความรู้จากงานวิจัยดังกล่าว อาจนำมาใช้เพื่อประดิษฐ์วิธีสำหรับฝึกทักษะพื้นฐานในการสอนคณิตศาสตร์ให้แก่เด็กแรกเกิดได้ (คมชัดลึก จันทร์ที่ 20 ก.พ. 49 http://www.komchadluek.net)

แผ่นทองแดงกำจัดเชื้อไข้หวัดได้แนะใช้ทำเป็นเครื่องใช้ครัวเรือนหยุดแพร่เชื้อ

นักวิจัยได้ทดลองนำเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ มาวางลงบนแผ่นทองแดงพบว่า เชื้อไข้หวัดถูกขจัดออกไปอย่างสิ้นเชิงภายใน 6 ชั่วโมง ทั้งนี้เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ เป็นตัวการทำให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดใหญ่ทั่วโลก และเป็นไวรัสในตระกูลเดียวกับเชื้อไข้หวัดนก พวกเขาทดลองวางเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ (เอช 1 เอ็น 1) 2 ล้านหน่วยลงบนแผ่นทองแดงบริสุทธิ์ และเหล็กสเตนเลสในอุณหภูมิห้อง จากนั้นจึงเข้ามาตรวจอัตราการอยู่รอดของเชื้อตัวอย่างเป็นระยะๆ ผ่านไป 6 ชั่วโมง เชื้อไข้หวัดใหญ่บนแผ่นสเตนเลสลดจำนวนลงเหลือ 1 ล้านหน่วย และผ่านไป 24 ชั่วโมงเชื้อลดลงเหลือ 500,000 หน่วย ส่วนเชื้อบนแผ่นทองแดง ผ่านไปเพียงชั่วโมงเดียว เชื้อลดเหลือ 5 แสนหน่วย และเมื่อผ่านไป 6 ชั่วโมงมีเชื้อเพียง 500 หน่วยเท่านั้นที่ก่อโรคได้ ขณะที่เชื้อที่เหลือหมดสภาพไปหมดแล้ว ศ.บิล คีวิล และดร.โจนาทาน นอยซ์ นักวิจัยด้านจุลชีววิทยา กล่าวว่า เชื้อสายพันธุ์เอช 1เอ็น 1 ที่ใช้ทดสอบเป็นเชื้อที่มีความใกล้เคียงอย่างมากกับเชื้อเอช 5 เอ็น 1 หรือเชื้อไข้หวัดนก ดังนั้น คุณสมบัติในการกำจัดเชื้อโรคด้วยแผ่นทองแดงจึงน่าจะใกล้เคียงกัน เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า ขณะที่วัคซีนใช้กระตุ้นสารภูมิคุ้มกันร่างกายเพื่อจู่โจมเฉพาะผิวหน้าของเซลล์เชื้อโรค แต่คุณสมบัติในการกำจัดเชื้อของทองแดงอาจจู่โจมโครงสร้างทั้งหมดของไวรัส จึงมีผลที่กว้างกว่า นักวิจัยยังกล่าวถึงการนำคุณสมบัติของทองแดงไปใช้เพื่อกำจัดเชื้อว่า อาจนำเอาไอออน (ประจุลบ) ของทองแดงไปละลายลงบนแผ่นใย แผ่นกรอง หรือวัสดุประเภทอื่น อย่างไรก็ดี การนำไปใช้ในลักษณะดังกล่าวจะลดทอนประสิทธิภาพของคุณสมบัติทองแดงลง เนื่องจากปริมาณของทองแดงในวัสดุดังกล่าวถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับทองแดงเป็นแผ่น ทางเลือกที่ดีที่สุดที่ทำได้ขณะนี้คือ การนำเอาทองแดง หรือวัตถุผสมที่ประกอบด้วยทองแดงอย่างทองเหลือง และสำริดมาใช้เป็นพื้นผิวสัมผัส เช่น ลูกบิด มือจับ แผ่นผลักประตู แผ่นปูบนเคาน์เตอร์ อ่างล้างหน้า เพื่อช่วยป้องกันการแพร่กระจายโอกาสส่งต่อเชื้อ (คมชัดลึก จันทร์ที่ 20 ก.พ. 49 http://www.komchadluek.net)

ประดิษฐ์เครื่องลดความดันโลหิต ใช้เพลงผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

นักวิทยาศาสตร์ของอังกฤษได้ประดิษฐ์เครื่องมือขนาดเล็ก มีคุณสมบัติช่วยทำให้ความดันโลหิตลดต่ำลงได้โดยไม่ต้องใช้ยา เครื่องมือซึ่งมีรูปร่างคล้ายเครื่องเล่นซีดี วอล์กแมน จะช่วยให้หลอดเลือดซึ่งหดตัวแคบลง ทำให้ความดันโลหิตอัดกันอยู่เปิดโล่งขึ้น เครื่องมือนั้นซึ่งได้รับอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯแล้ว ได้ใช้ลำดับของเพลงสอนให้คนไข้ปรับเปลี่ยนวิธีการหายใจ เครื่องทำงานด้วยการจับวัดอัตราการหายใจของคนไข้ ด้วยสายรัดคาดอยู่ที่หน้าอก จะจัดโปรแกรมให้สำหรับแต่ละคน โดยเฉลี่ยแล้วจะให้คนไข้ลดอัตราการหายใจให้ช้าลง ด้วยการฟังเพลงเย็นๆ โดยเฉลี่ยจากนาทีละ 18 ครั้ง เหลือเพียง 10 ครั้ง คณะผู้ประดิษฐ์ได้เสนอรายงานผลการ ทดลองเครื่องมือนี้ในสถานพยาบาลรวม 7 หน ต่อที่ประชุมประจำปีสมาคมแพทย์โรคความดันโลหิตสูงของอังกฤษ กล่าวว่า ในการวิจัยได้แสดงให้เห็น หากทำให้หายใจให้ช้าลงแต่ให้ลึกขึ้น ปอดและกล้ามเนื้อรอบๆหลอดเลือดก็จะได้รับออกซิเจนมากขึ้น ถ้ากล้ามเนื้อเหล่านี้ได้รับออกซิเจนน้อยไปก็จะหดตัวลง ทำให้เป็นโรคความดันโลหิตสูง ดังนั้น เมื่อกล้ามเนื้อผ่อนคลาย ความดันโลหิตก็จะลดลง จากการทดลองในสถานพยาบาล ผู้ที่หายใจด้วยเครื่องนี้ เมื่อหายใจนาทีละ 10 หน ความดันโลหิตจะลดลงมาอยู่ในระดับปลอดภัย แค่ 120/80. (ไทยรัฐ อังคารที่ 21 ก.พ. 49 http://www.thairath.co.th)

วท.สร้างเครื่องทดสอบ"ศูนย์ล้อ" ให้ตรอ.ถูกกว่าของนอก 4 แสน

นายประวิช รัตนเพียร รัฐมนตรี วท. แถลงข่าว "การสร้างเครื่องทดสอบห้ามล้อรถยนต์และเครื่องทดสอบศูนย์ล้อรถยนต์" โดยความร่วมมือระหว่างสมาคมเครื่องจักรกลไทย สถาบันไทย-เยอรมัน และ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วท.ว่า หลังจากการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดเชียงใหม่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีมติให้ วท.หาแนวทางลดการนำเข้าเครื่องดังกล่าว พร้อมทั้งผลิตเองในประเทศ ทั้งนี้ วท.ได้หารือร่วมกับภาคเอกชน โดยได้ข้อสรุปว่า สามารถสร้างเครื่องดังกล่าวได้เอง โดยฝีมือคนไทยและวัสดุในประเทศไทย คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในระยะเวลา 2 เดือนนับจากนี้ ราคาเครื่องทดสอบเมื่อสร้างเสร็จแล้ว 400,000 บาทต่อเครื่อง ซึ่งถือว่าถูกมาก เมื่อเทียบกับเครื่องนำเข้าจากต่างประเทศ อาทิ สาธารณรัฐฝรั่งเศส ราคา 880,000 บาทต่อเครื่อง ประเทศเยอรมนีราคา 660,000 บาทต่อเครื่อง และสาธารณรัฐประชาชนจีน ราคา 500,000 บาทต่อเครื่อง สำหรับสถานตรวจสภาพรถยนต์เอกชน (ตรอ.) ในประเทศไทย ปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้น 1,725 แห่ง มีเครื่องทดสอบห้ามล้อและเครื่องทดสอบศูนย์ล้อที่นำเข้าจากยุโรปและจีนแล้วจำนวน 782 แห่ง ซึ่งยังเหลือสถานประกอบการอีกประมาณ 1,000 แห่ง ที่ไม่มีเครื่องดังกล่าว ดังนั้น หากสร้างเสร็จเมื่อไหร่ จะเป็นอีกทางเลือกให้ผู้ประกอบการที่เหลือสามารถซื้อเครื่องจักรที่ผลิตได้เองในประเทศและได้ในราคาที่ถูก อีกทั้ง ยังลดการนำเข้าจากต่างประเทศได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท เครื่องดังกล่าวจะสามารถรับน้ำหนักรถยนต์ได้ 5 ตัน ในขณะที่เครื่องจากจีนรับน้ำหนักได้เพียง 3 ตัน และเครื่องจากยุโรปรับน้ำหนักได้เพียง 2 ตัน เมื่อเทียบในรุ่นมาตรฐานเดียวกัน นอกจากนี้ ในเรื่องคุณภาพของเครื่องที่ผลิตจากไทยนั้น รับรองได้มาตรฐานสากล เนื่องจากจะสอบเทียบโดยสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ และรับรองมาตรฐานการผลิตโดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) กระทรวงอุตสาหกรรม ด้านนายณรงค์ วรงศ์เกรียงไกร ผู้แทนสถาบันไทย-เยอรมัน กล่าวถึงหลักการทำงานของเครื่องดังกล่าวว่า ขั้นแรกต้องนำตัวรถไปวิ่งอยู่บนบริเวณลูกกลิ้ง จากนั้นนำเครื่องดังกล่าวไปตรวจวัดบนลูกกลิ้ง โดยเครื่องจะระบุว่า การหมุนของล้อเป็นระยะทางทั่วไรจึงจะเบรกได้ปลอดภัยและมีมาตรฐาน นอกจากนี้ เครื่องดังกล่าวยังตรวจสอบความปลอดภัยหลังจากรถเบรกด้วย โดยตรวจว่าหลังจากเบรกแล้วรถต้องสามารถวิ่งต่อไปได้ โดยไม่ไถลไปนอกทิศทางที่กำหนด (มติชนรายวัน อังคารที่ 21 ก.พ. 49 http://www.matichon.co.th)

เยาวชนโชว์ฝีมือพัฒนาผ้าทอใยบัว

นางสาวสิริบูรณ์ มุกดาใส สาวหน้าใสชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย จ.ขอนแก่น อายุ 17 ปี นักเรียนทุนของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้นำก้านดอกบัวที่เหลือจากที่ตัดดอกไปขายแล้วมาศึกษาคุณสมบัติต่างๆ ในโครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง "การศึกษาสมบัติของเส้นใยบัวหลวงสีขาว" (Nelumbo nucifera Gaerth) ขั้นตอนการศึกษาว่า เริ่มจากนำก้านบัวที่มีขนาดต่างกันมาคัดแยกเส้นใยบัว ตัดก้านบัวยาว 55 เซนติเมตร ทุบก้านดอกบัวให้แตก นำก้านบัวที่ทุบใส่กะละมังเติมน้ำจนท่วมตั้งทิ้งไว้ 5 วัน แล้วแยกเส้นใยจากก้านดอกบัวด้วยมือ โดยใช้น้ำกลั่นล้างเส้นใยที่แยกได้ ผึ่งเส้ยใยให้แห้ง นำเส้นใยมาศึกษาความแข็งแรงของเส้นใยบัว หนีบเส้นใยเข้ากับตัวหนีบเส้นใยต่อเข้ากับเครื่อง Force censor วัดค่าแรงดึงของเส้นใย ซึ่งผลทดลองพบว่าเส้นใยบัวที่ฟอกด้วยสารละลาย pH 8.5 มีความแข็งแรงมากที่สุด ดังนั้น จึงเลือกเส้นใยบัวที่ฟอกด้วยสารละลาย pH 8.5 เป็นเส้นใยบัวสีขาว เพราะมีความแข็งแรงนำไปใช้ในการศึกษาด้านการย้อมและทอเป็นผืนต่อไป นับเป็นการค้นพบที่แปลกใหม่ของวงการผ้าไทย โดยเยาวชนไทย ที่จะก้าวเข้าสู่เส้นทางนักวิทยาศาสตร์ในอนาคต (มติชนรายวัน อังคารที่ 21 ก.พ. 49 http://www.matichon.co.th)

"ทรานสิชั่น"รถบินได้ ฝันเฟื่อง-ฝันที่เป็นจริง?

"คาร์ล ดีทริช" บัณฑิตคนเก่งจากคณะการบินและอวกาศของสถาบันเทคโนโลยีชั้นนำ "เอ็มไอที" ในสหรัฐอเมริกา พัฒนา "รถบินได้" ดีทริชได้รับเงินทุนสนับสนุนจากเอ็มไอทีและกองทุนลีเมลสัน 1.2 ล้านบาท เขาจึงตัดสินใจนำเงินส่วนนี้บวกกับเงินของเพื่อนร่วมสถาบัน ก่อตั้งบริษัท "เทอร์ราฟูเกีย" เพื่อเดินเครื่องพัฒนาต้นแบบรถบินได้ รุ่น "ทรานสิชั่น" เครื่องยนต์ของรถรุ่นนี้ใช้เชื้อเพลิงไร้สารตะกั่ว มีอุปกรณ์หลัก เช่น แอร์แบ็ก กันชนออกแบบตามหลักกลศาสตร์ ระบบนำร่องด้วยดาวเทียม (จีพีเอส) และคอมพิวเตอร์ควบคุมความปลอดภัยด้านการบิน "ปีก" ของรถเป็นปีกแบบ "พับได้" เหมือนกับปีกเครื่องบินบางรุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และปีกเครื่องบินรบเอฟ-18 ปัญหาใหญ่ของรถทรานสิชั่น คือ ต้องออกแบบห้องโดยสารและบรรทุกสัมภาระให้ "ถูกใจ" ผู้ซื้อ ไม่เช่นนั้นพอถึงเวลาจะขายขึ้นมาจริงๆ อาจขายยาก เพราะเล็กคับแคบเกินไป เบื้องต้นผลการคำนวณออกมาว่า ทรานสิชั่นบรรทุกผู้โดยสารได้ 2 คน บวกกับสัมภาระอีกจำนวนหนึ่งรวมน้ำหนักไม่ควรเกิน 200 กิโลกรัม บินด้วยความเร็ว 193 ก.ม./ช.ม. อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอยู่ที่เกือบ 4 ลิตรต่อระยะทาง 48 กิโลเมตรโดยประมาณ ดีทริช วางแผนนำต้นแบบรถเหาะทรานสิชั่นไปแสดงให้นายทุนผู้สนใจชมกันในงานอุตสาหกรรมการบินในรัฐวิสคอนซินช่วงปลายเดือนก.ค.นี้ ถ้ามีผู้สนใจร่วมลงทุนอาจผลิตวางตลาดได้ในปี 2553 (ข่าวสด อังคารที่ 21 ก.พ. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)

โครงงานสังเคราะห์ตัวนำไฟฟ้ายิ่งยวดของเด็กไทย

น.ส.พรรณิดา นนสุวรรณ์ ชั้น ม.6 โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย จ.นครปฐม นักเรียนทุนโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เจ้าของโครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง “การสังเคราะห์ตัวนำไฟฟ้ายิ่งยวดโดยเทคนิค SOL-GEL และศึกษาสมบัติของสารตัวนำไฟฟ้ายิ่งยวดในทางฟิสิกส์และเคมี” การศึกษาตัวนำยิ่งยวด หรือ Superconductor คือตัวนำไฟฟ้าที่ปราศจากความต้านทาน และแสดงสมบัติ Diamagnetic ที่อุณหภูมิวิกฤติ โดยเตรียมสารตัวนำยิ่งยวดในระบบ Y-Ba-Cu-O โดยวิธีทางเคมี ด้วยเทคนิค SOL-GEL ซึ่งใช้สารตั้งต้นที่มี ความบริสุทธิ์ในอัตราส่วน Y : Ba : Cu เป็น 1 : 2 : 3, 1 : 2 : 4, 1 : 3 : 3, 1 : 4 : 4.5 และ 2 : 3 : 5 การทดลองเตรียมสารประกอบทั้ง 3 ให้อยู่ใน รูปของ “sol” และเติมกรดทาทาริกก่อนเกิด “gel” เพื่อป้องกันการตกผลึกของ Cu จากนั้นนำเจลที่ได้อบที่อุณหภูมิ 80 องศา เป็นเวลา 24 ชั่วโมง จะได้ dried blue get จากนั้นศึกษาสารประกอบที่เป็นองค์ประกอบของ dried blue get เผาต่อที่อุณหภูมิ 820 องศา เป็นเวลา 10 ชั่วโมง บดสารให้ละเอียดแล้วนำไปเผาที่อุณหภูมิ 900 องศา เป็นเวลา 20 ชั่วโมง นำสารที่ได้ไปบดแล้วอัดเป็นเม็ดเผาต่อที่อุณหภูมิ 900 องศา เป็นเวลา 20 ชั่วโมง จะได้เม็ดสารของตัวนำยิ่งยวด Meissner effect และอุณหภูมิวิกฤติของตัวสารที่แสดงความเป็นตัวยิ่งยวด โดยการวัดความเหนี่ยวนำของขดลวดที่พันรอบสารตัวนำยิ่งยวด ที่เปลี่ยนไปตามอุณหภูมิ จากนั้นศึกษาองค์ประกอบภายในของสารตัวนำยิ่งยวด หลังจากการอัดเม็ดแล้วด้วยเทคนิค Infrared Spectrosopy นอกจากนี้ยังได้ศึกษาลักษณะของเนื้อสารตัวนำยิ่งยวดด้วยภาพถ่าย SEM (Scanning Electron Microscope) และปริมาณของ Ba และ Cu ของสารตัวนำยิ่งยวดที่สังเคราะห์ขึ้นด้วยวิธีทางเคมี ผลการทดลองสรุปว่า IR spectrum ของ dried get แตกต่างจาก IR spectrum ของสารที่เตรียมเป็นเม็ดแล้ว IR spectrum ของ dried get จะมีสารพวก organic อยู่ แต่ IR spectrum ของสารตัวนำยิ่งยวดจะไม่มีสารพวก organic แต่จะพบ park ของ metal-o สำหรับโครงงานวิจัยนี้ สามารถใช้เป็นแนวทางในการเตรียมสารตัวนำยิ่งยวดที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นได้. (เดลินิวส์ พุธที่ 22 ก.พ. 49 http://www.dailynews.co.th)

มะพร้าวอบกรอบรสเมี่ยงคำ...ฝีมือนักศึกษาราชมงคล

น.ส.ศุภกร นุชพงษ์, น.ส.อัลธริมา บุญธรรม, นายจักษ์ ไท้ยง้วน และ น.ส.กมลวรรณ ตินนวร นักศึกษาจากสาขาอาหารและโภชนาการ-ธุรกิจอาหาร คณะคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี คณะนักศึกษาผู้พัฒนาสูตร และผลิตผลิตภัณฑ์มะพร้าวอบกรอบรสเมี่ยงคำออกวางขาย ร่วมกันเปิดเผยว่า “มะพร้าวอบกรอบรสเมี่ยงคำ เป็นผลงานการคิดค้นของรุ่นพี่ อิทธิพงษ์ แก้วมูลศรี ที่ต้องการแก้ปัญหาผลผลิตมะพร้าวที่ล้นตลาด จึงนำมะพร้าวมาแปรรูปเป็นมะพร้าวอบกรอบ โดยผสมรสชาติของเมี่ยงคำเข้าไปเพื่อสร้างรสชาติความแปลกใหม่ให้ผลิตภัณฑ์ สำหรับวิธีการทำ ขั้นแรกให้เตรียมมะพร้าวทึนทึก นำมาขูดจนขาวทั้งใบ เอาน้ำออก ล้าง แล้วผ่าเป็นชิ้น นำมาสไลด์ด้วยเครื่องสไลด์ จนได้มะพร้าวที่สไลด์แล้วประมาณ 200 กรัม ขิง 12 กรัม ข่า 12 กรัม หัวหอมแดงซอยละเอียด 14 กรัม มะพร้าวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลมะพร้าว 75 กรัม กะปิ 0.25 กรัม และน้ำเปล่า 150 กรัม จากนั้นให้ตั้งกระทะ ไฟปานกลาง ใส่น้ำตาล กะปิ ละลายจนเข้ากัน ใส่ขิง ข่า หัวหอมแดงซอยละเอียด มะพร้าวคั่ว และมะพร้าวที่สไลด์เรียบร้อยแล้ว ผัดรวมกันจนแห้ง (ประมาณ 20 นาที) จึงนำไปอบในตู้อบ ประมาณ 6 ชั่วโมง (ที่อุณหภูมิ 75 องศาเซลเซียส) หรือเอาไปตากแดดแทนก็ได้ เมื่ออบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต้องรีบบรรจุใส่ถุงพลาสติกโพลิเอทิลีน มิฉะนั้นมะพร้าวจะจับตัวกันเป็นก้อน เหนียว ไม่กรอบ และเมื่อบรรจุถุงแล้วสามารถเก็บไว้รับประทานได้ 10 วัน ซึ่งจากการทดลองวางขายถุงละ 15-20 บาท ก็ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ อาจารย์สีวลี ไทยถาวร อาจารย์อุจิตชญา จิตรวิมล อาจารย์ที่ปรึกษา ภาควิชาอาหารและโภชนาการ คณะคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี หมายเลขโทรศัพท์ 0-2549-3161, 0-2549-3188 ต่อ 1101 ในวันและเวลาราชการ. (เดลินิวส์ พุธที่ 22 ก.พ. 49 http://www.dailynews.co.th)

วัคซีนใหม่สยบหวัดทันใจ ผลิตได้เพียบใน1เดือน-ย่นระยะเวลาได้อื้อ

นักวิทยาศาสตร์สังกัดศูนย์วิจัยของเอกชน ใช้เทคนิคใหม่ผลิตวัคซีนแบบเร่งด่วน วิธีผลิตวัคซีนแบบเดิมที่ใช้ไข่ไก่เป็นตัวผลิตเชื้อ ต้องใช้เวลานาน 3-6 เดือน ส่วนเทคนิคใหม่ที่พัฒนาโดยนักวิทยาศาสตร์ จากศูนย์วิจัยเอกชน ช่วยย่นเวลาผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้เร็วกว่าเดิมหลายเท่า นักวิทยาศาสตร์ประจำ บริษัท โปรตีน ไซแอนซ์ คอร์ปอเรชั่น (พีเอสซี) กล่าวว่า เทคนิคการผลิตวัคซีนแบบใหม่ที่บริษัทค้นพบ เป็นวิธีการผลิตโดยนำเอาเซลล์ของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่มาผลิต และทันทีที่รู้ว่าเป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ไหน จะใช้เวลาไม่ถึงเดือนในการผลิตออกมาเป็นจำนวนมากเพื่อป้อนให้กับประเทศต่างๆ วิธีผลิตวัคซีนที่บริษัทพีเอสซีใช้ เป็นการนำเอาโปรตีนบริสุทธิ์จากผิวหน้าของไวรัส ที่เรียกว่า "เฮแมคกูลตินิน" (หรือตัวอักษร "เอช" ที่เป็นตัวกำหนดลักษณะของไวรัสแต่ละสายพันธุ์ เช่น ไวรัสไขหวัดนก คือ เอช 5 เอ็น 1 ) นักวิทยาศาสตร์จะใช้โปรตีนตัวนี้เป็นตัวล่อสารภูมิคุ้มกันให้มาจัดการกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ ก่อนอื่น นักวิทยาศาสตร์จะนำเอายีนที่เก็บคำสั่งผลิตสารเฮแมคกลูตินินจากไวรัสมาสกัดเป็นโปรตีน แล้วค่อยเอาโปรตีนที่ได้ไปใส่ไว้กับไวรัสอีกสายพันธุ์หนึ่ง ที่เรียกว่า "บาคูโลไวรัส" เพื่อใช้ทำเป็นวัคซีนที่ได้จากการตัดต่อยีน จากการทดสอบกับมนุษย์ระยะที่ 2 พวกเขาพบว่า วัคซีนมีความปลอดภัยในการนำมาใช้ และสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เทียบเท่า หรือมากกว่าวัคซีนที่ผลิตจากไข่ ตลอดจนมีประสิทธิภาพในการป้องกันการขยายจำนวนเซลล์ไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ 100% ทีมวิจัยได้ทดสอบผลิตวัคซีนใหม่สำหรับสยบเชื้อไข้หวัด 4 สายพันธุ์ เป็นผลสำเร็จแล้ว ได้แก่ เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เอช 5 เอช 7 เอช 9 และเอช 2 นับเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญในการรับมือกับการระบาดของไข้หวัดใหญ่ โดยทันทีที่สามารถระบุสายพันธุ์ไวรัสที่ระบาดได้แล้ว เพียงแค่ 2 อาทิตย์ก็สามารถผลิตเป็นปริมาณมากๆ ได้ (คมชัดลึก พุธที่ 22 ก.พ. 49 http://www.komchadluek.net)

สุดทึ่ง! โปรแกรมคลิกเม้าส์ด้วยดวงตา

3 นักศึกษาวิทยาการคอมพ์ฯ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี คิดประดิษฐ์นวัตกรรมสุดไฮเทค “โปรแกรมควบคุมพอยท์เตอร์ด้วยดวงตา” เหมาะสำหรับผู้พิการที่ไม่สามารถใช้มือและแขนควบคุมเมาส์ได้คล่อง สำหรับ นวัตกรรมล้ำยุคนี้ถูกคิดค้นโดย ภูเบนทร์ ยงสืบชาติ, วิรัตชุดา พระสุรัตน์ และนันทวัน เสนาคชวงค์ นักศึกษาชั้นปี 4 จากภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ซึ่งมีอาจารย์สุเทพ เชาว์สนิท เป็นที่ปรึกษาโครงการ โปรแกรมที่ร่วมกันคิดขึ้นมานี้ มุ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้พิการที่ไม่สามารถใช้มือและแขนในการควบคุมเมาส์ หรือผู้ที่พิการท่อนบน คือตั้งแต่กระดูกสันหลังลงมาให้สามารถใช้เทคโนโลยีอย่างคอมพิวเตอร์ได้เท่าเทียมกับคนปกติทั่วไป โปรแกรมนี้จะอาศัยการควบคุม “พอยท์เตอร์” ด้วยดวงตาโดยไม่ต้องใช้เมาส์อีกต่อไป แต่จะอาศัยการทำงานผ่านกล้องเว็บแคม (web Camera) ในการจับภาพเคลื่อนไหวของดวงตา แล้วนำภาพที่ได้มาประมวลผลอีกทอดหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า “Immage rocessing” เพื่อคำนวณหาจุดของดวงตาดำที่เคลื่อนไหวไปมา แล้วนำการเคลื่อนไหวนี้ไประบุเป็นตำแหน่งต่างๆ บนจอภาพ และตำแหน่งของพอยท์เตอร์จะเคลื่อนไปตามตำแหน่งที่ดวงตามองไปยังจุดนั้นๆ อย่างแม่นยำอีกด้วย สำหรับขั้นตอนการทำงานนั้น ผู้ใช้จะสั่งงานผ่านเสียงพูดผ่านไมโครโฟน ซึ่งจะสอดรับกับการเคลื่อนไหวของดวงตา เป็นการควบคุมการเคลื่อนที่ของพอยท์เตอร์ไปที่จุดที่เราต้องการ จากนั้นก็สามารถออกคำสั่งให้ click, double clik, drag and dro ได้เลย เพราะโปรแกรมนี้ได้ถูกเขียนไว้ให้รับคำสั่งดังกล่าวไว้แล้ว ด้วยการสร้างกำหนดโปรแกรมแยกความเข้มของสีตาแต่ละคนเสริมไว้ด้วย อุปกรณ์ มีเครื่องคอมพิวเตอร์ (C) ความเร็วในการประมวลผลไม่ต่อกว่า 3.00 GHz ตัวกล้องเว็บแคม (web Camera) ที่มีอัตรา Frame rate:30 frames/sec ความละเอียดไม่ต่ำกว่า 800 x 600 ixel, ไมโครโฟนแบบHardset เป็นต้น สำหรับผู้สนใจในความสามารถของโปรแกรมควบคุมพอยเตอร์ด้วยดวงตา นี้สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ ภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ โทร.0-2549-3510-39 ต่อ 104 (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 22 ก.พ. 49 http://www.siamrath.co.th)

พัฒนาการใหม่ หุ่นยนต์ผ่าตัด "ดาวินชี่" จาก "หัวใจ" สู่ "ช่องท้อง"

หุ่นยนต์ดาวินชี่ ประกอบด้วย 4 แขน แต่ละแขนมีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 1.5 เซนติเมตร แขนที่ 1 เป็นกล้องสำหรับส่องเข้าไปเห็นภายในระบบหัวใจได้ลึกและชัดเจน ทำให้ศัลยแพทย์สามารถมองเห็นหัวใจของผู้ป่วยผ่านแขนข้างนี้ ขณะเดียวกันก็สามารถควบคุมการผ่าตัด โดยสั่งการการเคลื่อนไหวหุ่นยนต์จากแผงควบคุมภายนอก ซึ่งควบคุมแขนอีก 3 แขนที่เหลือที่ทำหน้าที่เป็นคีม และกรรไกรขนาดจิ๋ว ที่หมุนได้รอบทิศทาง ทำให้ทำการผ่าตัดเป็นไปได้อย่างแม่นยำกว่ามือคน โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพนอกจากจะมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดหัวใจ ยังได้นำเข้าเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาพร้อมช่วยในการผ่าตัดหัวใจเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทางโรงพยาบาลเริ่มใช้ "ดาวินชี่" เข้ามาช่วยในการผ่าตัดหัวใจผู้ป่วยตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2547 ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคหัวใจที่เข้ารับการรักษาโดยหุ่นยนต์ "ดาวินชี่" ทั้งสิ้น 12 คน ขณะนี้ทั้ง 12 คนสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และมีสุขภาพแข็งแรงเหมือนคนทั่วไป หลังจากใช้หุ่นยนต์ดาวินชี่ผ่าตัดหัวใจแล้ว โรงพยาบาลกรุงเทพยังสามารถพัฒนาศักยภาพการใช้งานของหุ่นยนต์ดาวินชี่ให้ใช้กับการผ่าตัดในด้านอื่นๆ ได้อีกด้วย โดยเฉพาะการผ่าตัดในช่องท้อง ซึ่งที่ผ่านมายังไม่เคยมีที่ใดทำได้มาก่อน ยกเว้นในต่างประเทศ นพ.อนุศักดิ์ เยี่ยงพฤกษาวัลย์ นายแพทย์ไทย ซึ่งขณะนี้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนก Minimal Invasive Surgery ประจำอยู่ที่โรงพยาบาล Valley Hospital ที่รัฐนิวเจอร์ซี ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในสหรัฐอเมริกาว่า เป็นศัลยแพทย์ที่มากประสบการณ์และมีความสามารถมากทางด้านการผ่าตัดด้วยการใช้หุ่นดาวินชี่ ล่าสุด โรงพยาบาลกรุงเทพได้เชิญ นพ.อนุศักดิ์เข้ามาเล่าเรื่องประสบการณ์ในการผ่าตัดหลากหลายกรณีในช่องท้อง พร้อมทั้งร่วมลงมือผ่าตัดเนื้องอกต่อมหมวกไต ข้างขวาโดยวิธีการส่องกล้อง ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ โดยการใช้หุ่นยนต์ดาวินชี่ ข้อดีของการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ดาวินชี่คือ แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กลง ใช้เวลาในการผ่าตัดน้อย และลดความเจ็บปวดหลังการผ่าตัด รวมทั้งสามารถลดภาวะแทรกซ้อนภายหลังการผ่าตัด โดยรายงานทางการแพทย์แจ้งว่า ผู้ป่วยไม่มีภาวะแทรกซ้อนและสามารถรับประทานอาหารได้ในวันที่ 2 หลังการผ่าตัด ระดับน้ำตาลและความดันโลหิตกลับสู่สภาวะปกติและพักฟื้นในโรงพยาบาลหลังผ่าตัดเป็นเวลา 5 วัน ก็สามารถกลับไปรักษาตัวที่บ้านต่อได้ ถึงแม้ว่าค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดหัวใจด้วยหุ่นยนต์ดาวินชี่อาจสูงกว่าการผ่าตัดแบบปกติบ้างเล็กน้อย แต่จะช่วยผู้ป่วยลดค่าใช้จ่ายหลังการผ่าตัดได้มาก เช่น ใช้ยาน้อยลง จำนวนวันที่พักฟื้นในโรงพยาบาลน้อยลง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายโดยรวมแล้ว ก็ไม่สูงกว่ากัน ดังนั้น การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ดาวินชี่ จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการผ่าตัดในยุคปัจจุบัน (มติชนรายวัน พุธที่ 22 ก.พ. 49 http://www.matichon.co.th)

รองเท้าเงาวับจากครีมเปลือกทุเรียน โอท็อปเด็ดๆ จากเด็กสันกำแพง

น.ส.รัตนาภรณ์ คุณหลวง น.ส.ผุสดี ใจธิ น.ส.ชนิดา กันนา น.ส.ศิริลักษณ์ คำจันทร์ และน.ส.เพชรรัตน์ ทรัพย์นำ จากเด็กสันกำแพง ร่วมกันคิดค้นขึ้นมาจนประสบความสำเร็จครั้งนี้ได้แก่ ครีมขัดรองเท้าสมุนไพรจากเปลือกทุเรียน ที่สามารถนำไปขัดรองเท้าทุกชนิดให้มันเงางามเหมือนใหม่ คุณภาพดีไม่แพ้ครีมขัดเงาทั่วไป แถมยังมีกลิ่นหอมและไม่เลอะเปรอะเปื้อนอีกด้วย แนวคิดในการผลิตครีมขัดเงาจากเปลือกทุเรียนนี้ เกิดขึ้นจากการช่างสังเกตและจดจำของสมาชิก ที่ได้เห็นสารคดีเรื่องหนึ่งในโทรทัศน์นำเสนอเรื่องเปลือกทุเรียนที่สามารถนำมาขัดวัสดุให้ขึ้นเงาได้ และยังเคยมีความรู้ว่าเทียนธรรมดาๆ ก็สามารถนำมาขัดรองเท้าได้เช่นกัน เมื่อเห็นว่าสองสิ่งนี้มีคุณสมบัติเหมือนกัน จึงร่วมกันคิดค้นประยุกต์ให้วัสดุทั้งสองอย่างรวมอยู่ด้วยกันเสียเลย จนได้ครีมขัดเงาแบบใหม่ใช้สะดวกขึ้นมาในที่สุด โดยลองออกไปให้คนในครอบครัวและสมาชิกรอบๆ โรงเรียนลองใช้ดูปรากฏว่ารับความนิยมดี เพราะว่าครีมแบบนี้มีสีขาว ไม่ใช่สีดำเหมือนครีมขัดรองเท้าทั่วไป ทำให้ไม่เลอะเทอะ นอกจากนี้เรายังลองเอากลิ่นดอกไม้ต่างๆ ผสมลงไปด้วยทำให้ครีมมีกลิ่นหอมก็เลยมีคนชอบมาก จึงผลิตออกขายในราคาตลับละ 29 บาท ซึ่งนอกจากทำขายอย่างเดียวแล้วเรายังก่อตั้งเป็นบริษัทขึ้นมา ชื่อว่าบริษัทจำลองสันกำแพง ไบโอเฮิร์บ จำกัด เพื่อบริหารการซื้อขายแบบธุรกิจทั่วไป สำหรับผู้ที่สนใจอยากได้เคล็ดลับการทำงานของน้องๆ หรือต้องการจะอุดหนุนครีมขัดรองเท้าสมุนไพรจากเปลือกทุเรียนเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ของบริษัทได้ที่ www.skpbioherbs.com หรือโทร. 0-5333-1907 ต่อ 141 (ข่าวสด พุธที่ 22 ก.พ. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)

เครื่องหั่นกล้วย2พลังงาน ใช้งานได้ทั้งระบบไฟฟ้า-แรงคน

อาจารย์ภาณุมาศ สุยบางดำ แผนกวิชาช่างกลเกษตร คณะวิชาเครื่องกล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตภาคใต้ พร้อมกับกลุ่มลูกศิษย์ ...คิดประดิษฐ์เครื่องหั่นกล้วยฉาบขึ้น โดยได้คิดออกแบบและพัฒนาเครื่องขึ้นมาใหม่ ซึ่งคุณสมบัติอย่างที่ต้องการอยู่นี้ คือ เครื่องนี้มีขนาดกะทัดรัดน้ำหนักเบา สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก ระบบการจับยึด ง่ายต่อการถอดประกอบใช้เวลาน้อยในการถอดชิ้นส่วนออกมาทำความสะอาด เครื่องนี้ยังสามารถทำงานได้ทั้งระบบมือหมุน และด้วย พลังงานไฟฟ้าอีกด้วย โดยตัวเครื่องมีขนาดความกว้าง 40 เซนติเมตร สูง 50 เซนติเมตร ประกอบด้วย มอเตอร์ขนาด 1/4 แรงม้า ใช้ไฟฟ้า 220 โวลต์ ความเร็วรอบ 1,440 รอบ/นาที ชุดใบมีดหั่นกล้วยมีความเร็ว 200 รอบ/ นาที อัตราการทำงานได้ 150 กิโลกรัม/ชั่วโมง ส่วนการทำงานโดยการหมุนด้วยมือนั้นจะใช้เฟืองดอกจอก ในการเปลี่ยนทิศทางการหมุนจากแนวระดับ ไปเป็นแนวดิ่งโดยใช้อัตรา 1:1 อัตราการทำงาน เท่ากับ 75 กิโลกรัม/ชั่วโมง ความเร็วรอบในการทำงานประมาณ 70-80 รอบ/นาที (ขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติงานด้วย) ผู้สนใจเครื่องหั่นกล้วยฉาบก็โทรที่ 0-7438-8134 (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 24 ก.พ. 49 http://www.thairath.co.th)

ตั้งโรงไฟฟ้าใช้พลังงานขี้หมา เลี้ยงกันมากจนกำจัดไม่ไหว

เทศบาลนครซานฟรานซิสโก กำลังคิดจะสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานขี้หมาขึ้น เนื่องจากปีหนึ่งๆ ต้องกำจัดขี้หมามีปริมาณมากถึง 6,500 ตัน บริษัทผู้รับเหมากำจัดขยะของเมือง จะได้เริ่มทดลองใช้รถเก็บกวาดขี้หมาตามสวน สาธารณะ ในเมืองของคนรักสุนัขแห่งนี้ ซึ่งจะมีถังหมักบรรทุกไปด้วย เมื่อเก็บขึ้นมาได้ ก็จะเทลงไปในถังหมัก ปล่อยให้เป็นอาหารของบรรดาแบคทีเรียหลายอาทิตย์ ก็จะให้กำเนิดก๊าซมีเทน ซึ่งสามารถใช้เป็นก๊าซพลังความร้อน ไปใช้กับเตาก๊าซ เครื่องทำความร้อน และแม้แต่เอาไปใช้ กำเนิดกระแสไฟฟ้าได้ การใช้ถังหมักทำก๊าซมีเทนไม่ใช่ของใหม่ เทคโนโลยีนี้ได้คิดใช้กันตามชาติยุโรปต่างๆ มานานประมาณ 20 ปีแล้ว และตามฟาร์มแห่งต่างๆ ในแคลิฟอร์เนียก็ใช้กันอยู่ไม่น้อยกว่า 600 แห่ง บางแห่งก็ใช้ขี้ไก่และขี้หมูเป็นหลัก นครซานฟรานซิสโกซึ่งตั้งชื่อตามนักบุญเซนต์ ฟรานซิส ผู้เป็นนักบุญผู้อุปถัมภ์สัตว์ต่างๆ มีผู้ประมาณกันว่าชาวเมืองเลี้ยงแมวและหมามากถึง 240,000 ตัว. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 24 ก.พ. 49 http://www.thairath.co.th)

ข่าวทั่วไป

ว้ายกรี๊ด!ผู้ชายเป็นมะเร็งทรวงอก บ้างถึงตายเหตุไม่สนสัญญาณเตือน

ศาสตราจารย์ เอียน เฟนติแมน ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งของโรงพยาบาลกัย รายงานในวารสารการแพทย์ เดอะ แลนเซ็ท ว่า ในอังกฤษนั้น แต่ละปีจะตรวจพบผู้ชายประมาณ 250 ราย ที่มี อาการของมะเร็งทรวงอก และในจำนวนนี้ 70 ราย เสียชีวิต แต่ครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยชายมักจะไม่ได้ รับการตรวจรักษาจนกระทั่งอาการของมะเร็งลุกลามไปมากแล้ว ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ บอกว่า หากมีการตรวจพบมะเร็งทรวงอกของชายตั้งแต่ช่วงแรกๆ จะมีโอกาสรอดและฟื้นตัวได้ถึง 75%-100% แต่ถ้ามะเร็งลุกลามไปมากแล้วโอกาสรอดจะลดเหลือแค่ 30% สิ่งสำคัญสำหรับเรื่องนี้ก็คือ คนส่วนใหญ่เพิกเฉยกับมัน เมื่อผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาล มะเร็งทรวงอกก็ลุกลามไปไกลจนเกินกว่าจะมีโอกาสรอดได้แล้ว อย่างไรก็ตาม สำหรับมะเร็งทรวงอกในผู้ชายนั้นมีการรักษา ที่มีประสิทธิภาพพอๆกับการรักษามะเร็งทรวงอกในผู้หญิง ถ้าหากไปพบแพทย์ได้ตั้งแต่ในระยะต้น จากงานวิจัยที่มีการสัมภาษณ์ผู้ป่วยชายในครั้งนี้ พบว่ามีความจำเป็นที่จะต้องให้ข้อมูลเรื่องมะเร็งทรวงอกแก่ผู้ชายเป็นการเฉพาะด้วย. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 20 ก.พ. 49 http://www.thairath.co.th)

อย.เตือนอย่าหลงเชื่อหัวน้ำหอมบำบัดโรค

ศ. ดร.ภักดี โพธิศิริ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า อย.ได้ตรวจสอบโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพผ่านทางสื่อต่าง ๆ อย่างเข้มงวดพบว่า โฆษณาทางสื่อแผ่นพับเกี่ยวกับการโฆษณาขายผลิตภัณฑ์หัวน้ำหอมอโรมา-สกัดจากธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ มีข้อความโฆษณาในหัวข้อ “The Natural Air Revitalising System Take a deep breathe and smile :ยิ้มรับอากาศบริสุทธิ์ เพื่อการหายใจเต็มปอด” ระบุว่า “เย็นสบาย สดชื่น โล่งจมูก บำบัดอาการหวัดและภูมิแพ้ ผ่อนคลายจิตใจ กระตุ้นให้สดชื่น” “ต่อต้านความเครียด ช่วยให้ผ่อนคลาย ช่วยบรรเทาอาการเศร้า ทำให้จิตใจสงบ ช่วยบำบัดได้” “…ต่อต้านแบคทีเรีย เชื้อโรคและเชื้อราต่าง ๆ ป้องกันเชื้อจุลินทรีย์ และไวรัส…กระตุ้นการทำงานของหัวใจได้ดี…” เป็นต้น ซึ่งข้อความดังกล่าวจัดเป็นการแสดงสรรพคุณยา และเป็นการโฆษณาขายยาที่โอ้อวดเกินจริง ไม่มีหลักฐานทางวิชาการสนับสนุน อีกทั้งเป็นการโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาต อาจทำให้ผู้บริโภคได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและหลอกลวงให้ผู้บริโภคหลงเชื่อโดยที่ไม่มีผลในการรักษาตามที่กล่าวอ้าง อย. ได้ทำหนังสือแจ้งระงับการโฆษณาถึงบริษัทผู้โฆษณาแล้ว และดำเนินคดีฐานโฆษณาขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาตจาก อย. แสดงสรรพคุณยาอันเป็นเท็จหรือเกินจริง และมีการโฆษณาว่าสามารถรักษาโรคที่ห้ามโฆษณา เช่น โรคหัวใจ เป็นต้น จึงมีความผิดฐานโฆษณาขายยาโดยแสดงสรรพคุณยาว่าสามารถบำบัด บรรเทา รักษา หรือป้องกันโรค หรืออาการของโรคที่รัฐมนตรีประกาศห้ามโฆษณา ซึ่งจะถูกระวางโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 20 ก.พ. 49 http://www.bangkokbiznews.com)

"ไซเบอร์แพลนเน็ต"คว้าอะพิกต้า อวอร์ด 2005 เกมซีอีโอ ซิตี้ รับรางวัลซอฟต์แวร์ระดับเอเชีย แปซิฟิก

ไซเบอร์แพลนเน็ต บริษัทผู้ผลิตและพัฒนาเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ซอฟต์แวร์ของประเทศไทย คว้ารางวัลซอฟต์แวร์ระดับเอเชีย แปซิฟิกในโครงการ The Asia Pacific Information and Communication Technology Award 2005 (APICTA) สร้างชื่อให้กับประเทศไทยด้วยผลงานเกม "ซีอีโอ ซิตี้" ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมเชอราตัน จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 16-19 กุมภาพันธ์ 2549 ไซเบอร์แพลนเน็ต สามารถคว้ารางวัลสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยเป็นปีที่ 3 โดยในปีนี้สามารถคว้าชัยชนะมาได้จากผลงานซอฟต์แวร์เกม ซีอีโอ ซิตี้ โดยได้รับรางวัลรองชนะเลิศในสาขา Media and Entertainment โดยการสนับสนุนของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) และสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ หรือ ซิป้า ทั้งนี้ มีสมาคมธุรกิจคอมพิวเตอร์ไทย หรือ เอทีซีไอ (The Association of Thai ICT Industry: ATCI) เป็นผู้ประสานงานโครงการ และสนับสนุนการส่งผลงานของผู้ชนะการประกวดของประเทศไทยในแต่ละสาขา เข้าร่วมงาน The Asia Pacific Information and Communication Technology Award 2005 (APICTA) ด้วย ทั้งนี้ มีตัวแทนจากประเทศต่างๆเข้าร่วมการแข่งขันถึง 15 ประเทศด้วยกันได้แก่ ออสเตรเลีย, บรูไน, ฮ่องกง, อินเดีย, อินโดนีเซีย, เกาหลี, มาเก๊า, มาเลเซีย, พม่า, ฟิลิปปินส์, สิงค์โปร์, ศรีลังกา, ไทย, เวียดนาม และจีน (เดลินิวส์ พุธที่ 22 ก.พ. 49 http://www.dailynews.co.th)

สนช.ผลิตเครื่องออกกำลังกาย ป้องกัน-บำบัดโรคกระดูกเสื่อม

นายชาญวิทย์ รัตนราศรี ผู้ประสานงานโครงการนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เปิดเผยว่า ปัญหาปวดหลังเรื้อรัง พบมากในประชากรทั่วโลกทั้งชายและหญิง งานวิจัยจำนวนมากพบว่า การออกกำลังกายที่ถูกวิธีจะช่วยป้องกันหรือรักษาปัญหาปวดหลังได้ โดยเน้นการฝึกออกกำลังโดยการเกร็งกล้ามเนื้อหลังและหน้าท้องที่เกี่ยวข้องกับกระดูกสันหลัง เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง ได้สนับสนุนโครงการเครื่องออกกำลังกายกระดูกสันหลัง โดยสนับสนุนด้านวิชาการ เพื่อใช้ในการทดสอบประสิทธิภาพเครื่องออกกำลังกายที่ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคที่เกี่ยวกับกระดูกสันหลัง อาทิ การปวดหลังจากการใช้งานหลังไม่ถูกวิธี ทั้งการนั่งหรือการยกของผิดท่าผิดทาง และความเสื่อมของข้อหรือข้อต่อกระดูกสันหลัง รวมถึงภาวะโรคกระดูกพรุน ซึ่งปัจจุบันสามารถผลิตเครื่องต้นแบบออกกำลังกายกระดูกสันหลัง และผ่านการจดสิทธิบัตรแล้ว แต่ยังขาดผลการทดสอบ (มติชนรายวัน พุธที่ 22 ก.พ. 49 http://www.matichon.co.th)

ปวดหลังเรื้อรังแพ้การฝังเข็ม 90% ทุเลาความทรมาน

หนังสือพิมพ์รายวัน “เดลิ เมล์” ของอังกฤษรายงานว่า สถาบันเวชศาสตร์ป้องกันของมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน ได้พบในการศึกษาว่า ผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยอาการ ปวดหลังเรื้อรัง มากถึง 90% พากันรู้สึกทุเลาขึ้น หลังจากที่ได้รับการบำบัดด้วยการฝังเข็ม ในการศึกษาเปรียบเทียบผลของการรักษาอาการปวดหลัง ด้วยการฝังเข็มเทียบกับวิธีการแพทย์แผนปัจจุบัน ยังพบว่าการฝังเข็มช่วยให้ผู้ป่วยที่มีอาการพิการ 129 คน ฟื้นขึ้นจากความพิการได้ถึง 89% และยังคงเป็นอยู่ต่อไป จนหลังจากรักษามานานจน 6 เดือนแล้ว รายงานยังแจ้งว่า พวกคนไข้รู้สึกว่าอาการปวดขา และอาการปวดเมื่อย อันเนื่องมาจากการทำงานได้เพลาลง โดยไม่ต้องหยุดพักงานนานเหมือนเมื่อก่อน เป็นที่ประมาณว่านักกายวิภาคตามสถานพยาบาลต่างๆ ของไต้หวัน ได้รักษาผู้ป่วยอาการปวดหลัง โดยการฝังเข็มให้ปีหนึ่งๆ มากประมาณ 1,300,000 ราย. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 23 ก.พ. 49 http://www.thairath.co.th)

ยิ้มสวยกับ สปาฟัน

ไบรท์สไมล์ (Brite Smile) สปาทันตกรรมฟอกฟันขาวจากสหรัฐฯ ซึ่งใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยด้วยการฉายแสงสีฟ้าอ่อนละมุน “บลู ไลต์ (Blue Light) ไปทำปฏิกิริยากับเจลฟอก ฟันขาวสูตรไม่ระคายเหงือกและฟัน มาเซิร์ฟคนไทยถึงที่แล้ว โดยเปิดตัวสาขาแรกของเอเชียและสาขาที่ 19 ของโลก ที่สยามพารากอน ท.ญ.กิตติลักษณ์ จุลลัษเฐียร หรือ “จุ้มจิ้ม” จาก AF1 ทันตแพทย์ประจำร้านบอกคอนเซปต์ของร้าน ลูกค้าที่เข้ามาจะรู้สึกสบาย ผ่อนคลาย ไม่มีอะไรที่น่ากลัว กลับออกไปก็มีแต่รอยยิ้มมีความสุข (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 23 ก.พ. 49 http://www.thairath.co.th)

สหรัฐกำหนดติดฉลากอาหารก่อภูมิแพ้และไขมันไม่อิ่มตัวปกป้องผู้บริโภค มกอช. แจ้งส่งผู้ออกไทยรีบดำเนินการ

การค้าในเวทีระดับโลก คู่ค้าที่สำคัญของไทยประเทศหนึ่งก็คือ สหรัฐอเมริกา ได้ออกกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคและการติดฉลากอาหาร ก่อภูมิแพ้ พ.ศ. 2547 โดยประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2547 ในกฎหมายดังกล่าวมีเรื่องการติดฉลากอาหารซึ่งมีส่วนประกอบอาหารก่อภูมิแพ้ที่ระบุไว้ พร้อมกำหนดระยะเวลาการปฏิบัติตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2549 เป็นต้นไป และมีผลบังคับใช้กับอาหารในบรรจุภัณฑ์ที่มีการจำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกา สำหรับอาหารก่อภูมิแพ้ที่สำคัญและมีการระบุไว้ในกฎหมายดังกล่าว ประกอบด้วย นม, ไข่, สัตว์น้ำ, สัตว์น้ำมีเปลือกแข็ง, ถั่วบางประเภท, เมล็ดข้าวสาลี, ถั่วลิสง, ถั่วเหลือง ในกรณีของถั่วประเภท Tree nuts ต้องมีการระบุประเภทของถั่วให้ชัดเจน เช่น อัลมอนด์ พีแคน หรือ วอลนัท ในกรณีของปลา ต้องมีการระบุ Species เช่นปลาอินทรีย์ ปลาทูน่า ปลาค็อด ในกรณีของสัตว์น้ำมีเปลือกแข็ง ต้องมีการระบุ เช่นกัน เช่น ปู ล็อบสเตอร์ กุ้ง การกำหนดให้อาหารทั้ง 8 กลุ่ม เป็นอาหารก่อภูมิแพ้ที่สำคัญนั้น ก็เนื่องจากร้อยละ 90 ของอาการภูมิแพ้อาหาร มีสาเหตุมาจากอาหารเหล่านี้ ถึงแม้ว่าจะมีอาหารชนิดอื่นที่อาจมีความอ่อนไหวและก่อภูมิแพ้กับบางบุคคล แต่ในกฎหมายนี้ กำหนดการติดฉลากอาหารก่อภูมิแพ้สำหรับอาหาร 8 กลุ่ม ดังกล่าวเท่านั้น สำหรับสินค้าเกษตรประเภทดิบ อาทิ ผักและผลไม้สด ได้รับการยกเว้น น้ำมันแปรรูปขั้นสูง ที่มาจากอาหารก่อภูมิแพ้ทั้ง 8 กลุ่ม รวมทั้งส่วนประกอบที่มาจากน้ำมันดังกล่าวได้รับการยกเว้น ไม่ต้องติดฉลากอาหารก่อภูมิแพ้ นอกจากยัง จำเป็นต้องมีการระบุปริมาณไขมันชนิดทรานส์ หรือ Trans fat ไว้ในฉลากโภชนาการด้วย จากเดิมระบุเพียงปริมาณไขมันอิ่มตัว เนื่องจากการบริโภคไขมันชนิดทรานส์ จำนวนมากเป็นสาเหตุสำคัญสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคหัวใจเช่นกัน โดยอาหารที่มักพบ ไขมันชนิดทรานส์ ได้แก่ อาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำมันพืชเติมไฮโดรเจน ของขบเคี้ยว ของทอดกรอบ ของอบ อาหารประเภท fast food ต่าง ๆ เนยเทียม เป็นต้น ท่านใดต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ www.acfs.go.th. (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 23 ก.พ. 49 http://www.dailynews.co.th)

ทําคู่มือภัยผู้หญิง รวมแหล่งขอความช่วยเหลือ

มูลนิธิกลุ่มปรารถนาดีประเทศไทย (กู้ดวิลล์ ประเทศไทย) ร่วมมือกับ สังฆมณฑลคริสต์ ศาสนานิกายออร์โธด็อกซ์ เขตฮ่องกงและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ The Orthodox Metropolitanate of Hong Kong and Southeast Asia (OMHKSEA) และองค์กรการกุศลคริสเตียนนิกายออร์โธด็อกซ์สากล Inter-national Orthodox Christian Charities Inc. (IOCC) จัดพิมพ์หนังสือ “คู่มือภัยผู้หญิง” ครั้งแรกของประเทศไทยเป็นจำนวน 35,000 เล่ม เพื่อให้หญิงไทยทุกเพศทุกวัยทุกฐานะเจอทางออกในการติดต่อขอความช่วยเหลือ เพราะเนื้อหาภายในเล่มจะรวบรวมข้อมูลรายละเอียดของหน่วยงานหลายๆด้าน ครบทุก 76 จังหวัด หลังจากที่ใช้เวลาในการรวบรวมแล้วจัดเป็นหมวดหมู่ราว 3 เดือน ไม่ว่าจะเป็นความช่วยเหลือด้านอาหาร ที่พักพิง สุขภาพจิต คำปรึกษาด้านกฎหมาย สุขอนามัย ภัยค้าผู้หญิง การศึกษา อาชีพและการจัดหางาน ทิพยนิภา (ไกรฤกษ์) สมะลาภา กรรมการบริหารมูลนิธิกลุ่มปรารถนาดี มองว่า “หนังสือเล่มนี้จะมีประโยชน์กับผู้หญิงไทยเป็นอย่างมาก และรู้สึกดีใจที่มีส่วนร่วมเพราะได้ช่วยยกระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิต ของผู้หญิงไทยทุกคนให้ดีขึ้น จะมีปรับปรุงอัพเดทข้อมูลในครั้งหน้า โดยนำมาจากข้อแนะนำต่างๆจากใบตอบรับของผู้อ่านที่แทรกอยู่ในหนังสือ หรือไม่แน่ว่าต่อไปอาจจะมีศูนย์ฮอตไลน์ (Hot Line) ที่รวมทุกศูนย์มาอยู่ที่นี่เพียงแห่งเดียวก็ได้ สามารถรับหนังสือเล่มนี้ได้ฟรี ตามหน่วยราชการต่างๆ หรือมูลนิธิกลุ่มปรารถนาดี โทร. 0-2253-8493 สำหรับภาครัฐจะเริ่มแจกจ่ายพร้อมกันในราวเดือน มี.ค.นี้. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 24 ก.พ. 49 http://www.thairath.co.th)

KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215