|
หัวข้อข่าวปีที่ 7 ฉบับที่ 10 ประจำวันที่ 2006-03-05
ข่าวการศึกษา
คณะสารสนเทศศาสตร์ ม.ศรีปทุม คณะในฝัน!ของคนทันสมัย อธิการฯมธ.-จุฬาฯรุมค้านจัดอันดับมหา"ลัย มก.ไม่กลัวจัดอันดับห่วงแค่ดัชนีชี้วัด รามฯ เปิด ป.โท การจัดการโลจิสติกส์ ค้านสกอ.จัดอันดับมหาวิทยาลัยหวั่นแบ่งแยกชนชั้น-ห่วงสถาบันเกิดใหม่เสียโอกาส ศิริราชเปิดศูนย์ฝึกผ่าตัดโรคกระดูกแห่งแรกของไทย ศธ.เอาอย่างญี่ปุ่น-วิธีพัฒนาเด็กครบวงจร ศธ.ส่งครูวิทย์อบรม"ม.วิสคอนซิน"สหรัฐ ม.หาดใหญ่ค้านปั่นหลักสูตรเพื่อฟันกำไร ชะลอตั้งคณะแพทย์ใหม่ มหา"ลัยอเมริกาบุก ตลาดการศึกษานานาชาติสะเทือน Flexible Program ปริญญาโทการเงิน จุฬาฯ "เวลาเรียน" ที่ออกแบบได้
ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี
พบหนอนอึดทนจุดเยือกแข็งไขความลับสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์นอกโลก ไอโซตรอนุท่ม 160 ล้านขยายกิจการฉายรังสี ยุโรปฟื้นชีพ"ไครโอแซต" ดาวเทียมศึกษาสภาพภูมิอากาศโลก เทคโนโลยีความงาม ศึกษาก่อนเห่อตามกระแส ยานอวกาศนาซ่า ถึงดาวอังคารมี.ค.นี้ กระเทียมมีสรรพคุณบำรุงผิวหนังยืดอายุของเซลล์ให้ยาวอีก 7 เท่า ทางช้างเผือกมีดาวมากกว่าที่เคยคิด ยอดแจกฟรีซีดีจันทรากระฉูดหลังรวม24โปรแกรมถูกใจไทย สหรัฐเปิดตัวระบบใหม่ จับแผ่นดินไหวใต้ทะเล
ข่าววิจัย/พัฒนา
โคฟรีบราจากผสมเทียม พัฒนาพันธุ์เป็นได้ทั้งนมและเนื้อ แนะรัฐวิจัยพืช GMOs ถึงระดับแปลงไร่นา มศว คิดหมากฝรั่งเลิกบุหรี่สำเร็จ วอนอย.เร่งจดทะเบียนช่วยคนอยากเลิก ไม่ธรรมดา ฝีมือเยาวชน น้ำมันหอมระเหย ใช้ผิดอาจส่งผลร้ายต่อเด็กในครรภ์ หมากฝรั่งให้พลังคนไข้ผ่าท้องช่วยให้ลำไส้กลับทำงานเร็วขึ้น ไฟฟ้าจี้กบบังคับหลั่งเคมีไล่ยุง พบวิธีให้สมองจดจำได้เวลานานต้องให้จิตใจอยู่ในภาวะพร้อม จีนคว้าใช้ทรัพยากรไร้ค่า ผงไหมไทยมีประโยชน์เพื่อความงาม มข.พบวิธีทำเส้นใยนาโนส่งโรงงานทำเนื้อเยื่อเทียม ผ้าปิดแผลและแผ่นกรองมลพิษ อุปกรณ์เผาน้ำมันหอมระเหย แพทย์ มข.เจ๋ง ประดิษฐ์เครื่องมือตัดมดลูก บุคลิกภาพที่อาจนำไปสู่โรคร้าย กล้องวงจรปิด จับภาพอัตโนมัติ มองเห็นโลกโศภินผินห่างโรคหัวใจ - ตรงข้ามโลกยิ่งมืดโรคทรุด
ข่าวทั่วไป
โรงพยาบาลกลางใช้ดนตรีไทย ผ่อนคลายความเครียดและกังวล เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับปลาทู เปิดโมเดล เครือซิเมนต์ไทย วิธีบริหาร "คน" แบบ "พอเพียง" สธ.ทุ่มงบพัฒนาคุณภาพยาไทย เปิดตัว รพ.มะเร็งเอกชนแห่งแรกในไทย คัดเลือกเด็กไทยร่วมงาน"ตุรกี" พบ 'นครปอมเปอีแห่งตะวันออก' ชาวเมืองเชื้อสายเวียดนาม-เขมร การปฏิบัติตนของผู้ใช้เคมีบำบัด สนพ.แจกฟรี!คู่มือประหยัดพลังงาน ผู้สูงวัยขยับกายาออกท่าเอ็กเซอร์ไซส์ ดื่มน้ำให้ถูกวิธี
ข่าวการศึกษา
คณะสารสนเทศศาสตร์ ม.ศรีปทุม คณะในฝัน!ของคนทันสมัย
คณะสารสนเทศศาสตร์ ม.ศรีปทุม ประกอบด้วย 3 หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ, หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ และหลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์/วิศวกรรมซอฟต์แวร์/เทคโนโลยีเครือข่ายและโมไบล์/การบริหารจัดการระบบ รองศาสตราจารย์ ดร.สุชาย ธนวเสถียร คณบดีคณะสารสนเทศศาสตร์ เปิดเผยว่า ช่วงหลายปีที่ผ่านมา คณะสารสนเทศศาสตร์ ได้รับความสนใจจากผู้เรียนจนเกือบเรียกได้ว่าเป็นที่นิยมมาก เพราะเนื้อหลักสูตรที่มีความเด่น และเน้นสร้างบัณฑิตให้เป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาที่แตกต่างกัน ซึ่งบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาไปแล้วก็ออกใช้ความรู้ในสายงานต่างๆ อาทิ บริหารจัดการระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่าย การออกแบบระบบ การตรวจสอบ การบำรุงรักษา การปรับปรุงประสิทธิภาพของเครือข่าย และอีกหลายคนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการเขียนโปรแกรมและฮาร์ดแวร์ สามารถพัฒนาและสร้างกิจการ SME ควบคุมดูแลขั้นตอนการพัฒนาโปรแกรมใน hases หรือก้าวสู่ตำแหน่งผู้บริหารในการพัฒนาโปรแกรมต่างๆ ในองค์กรที่เข้าทำงานได้ นอกจากนี้ทางคณะฯ ยังได้จัดหลักสูตรให้สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐ ที่พยายามผลักดันให้ประเทศไทย เป็นศูนย์นวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคตอันใกล้นี้ เพราะผู้เรียนสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ วัดได้จากผลงานการประกวดของนักศึกษาที่คณะได้ส่งได้รับรางวัลกลับมา บัณฑิตที่ผลิตออกไปจึงเป็นที่ต้องการของรัฐและเอกชน สามารถทำงานในด้านรองรับ หรือพัฒนาโปรแกรมด้านธุรกิจ ทำให้พัฒนาโปรแกรมที่สอดคล้องกับมาตรฐานระดับประเทศได้ สอบถามรายละเอียดการสมัครเรียนในคณะสารสนเทศศาสตร์ ม.ศรีปทุม ได้ที่สำนักงานกิจการสัมพันธ์ โทร.0-2579-1111 ต่อ 2121-2122 (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 27 ก.พ. 49 http://www.siamrath.co.th)
อธิการฯมธ.-จุฬาฯรุมค้านจัดอันดับมหา"ลัย
นายสุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ให้สัมภาษณ์กรณีสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) แจ้งให้มหาวิทยาลัยต่างๆ ส่งข้อมูลด้านต่างๆ เพื่อใช้ประกอบการจัดอันดับสถาบันอุดมศึกษา (Ranking 2005) โดยใช้เกณฑ์การจัดการเรียนการสอน และผลงานการวิจัยว่า มธ.ไม่เห็นด้วย เพราะตัวชี้วัดไม่ครอบคลุมทุกกลุ่มสาขา และทุกด้าน รวมทั้งมีข้อจำกัดมากเกินไป ซึ่งแม้จะไม่กระทบกับ มธ. แต่จะเป็นอันตรายกับมหาวิทยาลัยบางแห่ง เรื่องนี้อธิการบดีหลายสถาบันก็วิตก
เห็นว่าการจัดอันดับมหาวิทยาลัยควรเป็นหน้าที่ของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) เพราะ สมศ.มีตัวชี้วัดที่ครอบคลุมทุกด้าน ประกอบกับมหาวิทยาลัยเองก็เตรียมพร้อมเพื่อรองรับเกณฑ์การประเมินของ สมศ.อยู่แล้ว มธ.ยินดีจะส่งข้อมูลของมหาวิทยาลัยให้กับ สกอ. แต่ไม่ประสงค์จะให้นำข้อมูลไปใช้ในการจัดอันดับ ด้านคุณหญิงสุชาดา กีระนันท์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เห็นด้วยกับการจัดกลุ่มมหาวิทยาลัย แต่ไม่เห็นด้วยกับการจัดอันดับแบบ 1, 2 หรือ 3 ทั้งนี้ เพราะแต่ละแห่งคงไม่ได้เชี่ยวชาญทุกด้าน ประกอบกับการจัดอันดับควรทำในเชิงสร้างสรรค์ ทำให้มหาวิทยาลัยรู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหน และต้องพัฒนาด้านใด แต่ไม่ใช่เพื่อการเปรียบเทียบ หรือเกทับกัน (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 27 ก.พ. 49 http://www.matichon.co.th)
มก.ไม่กลัวจัดอันดับห่วงแค่ดัชนีชี้วัด
รศ.ดร.วิโรจ อิ่มพิทักษ์ อธิการบดีมหาวิท ยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) กล่าวกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จัดโครงการจัดอันดับมหาวิทยาลัยไทย แต่มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ไม่เห็น ด้วยที่จะให้ สกอ.มาทำหน้าที่นี้ว่า การจัดอันดับเป็นสิ่งที่ดีแต่ต้องคำนึงถึงรายละเอียดของดัชนีชี้วัดให้ดี เพราะมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งจะมีพื้นฐานการจัดการเรียนการสอนที่แตกต่างกัน ที่ผ่านมา มก.และจุฬาฯ ก็ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น ในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยในเครือข่ายเอเชียแฟซิฟิก ซึ่งในการจัดอันดับจะเพิ่มดัชนีชี้วัดที่เหมาะสมกับกลุ่มประเทศเอเชีย เช่น การเพิ่มดัชนีในส่วนการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และการบริการวิชาการแก่ประชาชนของประเทศ เป็นต้น ขณะที่ประเทศตะวันตกจะไม่ใช้ดัชนีนี้ประกอบการจัดอันดับ ดัชนีชี้วัดของ สกอ.จะอิงเกณฑ์จากต่างประเทศ โดยจะเน้นงบประมาณการตีพิมพ์ผลงานวิชาการในวารสารวิชาการหรือการเผยแพร่ในระดับสากล แต่ไม่มีดัชนีชี้วัดที่ดูถึงผลกระทบของงานวิชาการ อย่างไรก็ตามโดยส่วนตัวเห็นว่าการที่ สกอ. จะมาทำหน้าที่ในการจัดอันดับนั้นถือว่าซ้ำซ้อนกับที่สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) ทำอยู่ และว่า ส่วนที่มีการมองว่าหากให้ สกอ.มาทำหน้าที่จัดอันดับอาจจะไม่เป็นกลางนั้น ส่วนตัวเห็นว่าถ้ามหาวิทยาลัยเราดีอยู่แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าหน่วยงานใดจะมาจัดอันดับ แต่ที่กังวลเฉพาะดัชนีชี้วัดที่จะไม่ครอบคลุมและเหมาะสมกับระบบการศึกษาไทยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม มก. เตรียมความพร้อมทุกอย่างไว้เพื่อรอรับการจัดอันดับอยู่แล้ว. (เดลินิวส์ พุธที่ 1 มี.ค. 49 http://www.dailynews.co.th)
รามฯ เปิด ป.โท การจัดการโลจิสติกส์
ม.ร.เปิดปริญญาโทการจัดการโลจิสติกส์แห่งแรกของเมืองไทย รับสมัครถึง 31 มีนาคม ผู้ทรงคุณวุฒิฟันธงถูกจองตัวก่อนศึกษาจบแน่นอน ศ.ประจำรังสรรค์ แสงสุข อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง (ม.ร.) แถลงข่าวโครงการบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาการจัดการโลจิสติกส์ ที่หอประชุม ม.ร.หัวหมาก ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สภา ม.ร.มีมติอนุมัติให้ ม.ร.จัดการเรียนการสอนหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการโลจิสติกส์(MBA : Logistics Management) เป็นแห่งแรกของประเทศไทย เพื่อผลิตบุคลากรที่เป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการในทุกด้านของหน่วยงาน และรองรับการพัฒนาประเทศในโลกยุคใหม่ หลักสูตรนี้เป็นการเรียนรู้ตั้งแต่กระบวนการผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูป การเก็บรักษาสินค้า การบรรจุภัณฑ์และการขนส่งสินค้าไปยังลูกค้า โดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งหากการบริหารจัดการเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายสินค้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยลดต้นทุนการผลิตและส่งสินค้าได้ทันเวลาที่ต้องการ หลักสูตรนี้ ไม่ต้องทำวิทยานิพนธ์ ใช้เวลาในการศึกษา 2 ปี โดยเรียนเฉพาะวันเสาร์และวันอาทิตย์ ค่าใช้จ่ายตลอดหลักสูตร 195,000 บาท เปิดรับสมัครผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีทุกสาขา ระหว่างวันที่ 1-31 มีนาคมนี้ สนใจสอบถามได้ที่โทร.0-2310-8226-7 ต่อ 1118, 0-2310-8533, 0-2310-8560 หรือที่ www.mbalogistics.ru.ac.th (คมชัดลึก พุธที่ 1 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)
ค้านสกอ.จัดอันดับมหาวิทยาลัยหวั่นแบ่งแยกชนชั้น-ห่วงสถาบันเกิดใหม่เสียโอกาส
ศ.ดร.วิรุณ ตั้งเจริญ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ให้สัมภาษณ์ถึงการจัดอันดับมหาวิทยาลัยไทยว่า ไม่อยากให้ดำเนินการอย่างรีบร้อน แต่ควรให้มหาวิทยาลัยมีการเตรียมตัวเอง ส่วนบทบาทของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาหรือประสานให้มหาวิทยาลัย ไม่เหมาะทำหน้าที่จัดอันดับมหาวิทยาลัย เพราะมหาวิทยาลัยที่พอจะมีอิสระ ส่วนหนึ่งจะไปอยู่ใต้ระบบคิดการจัดอันดับหรืออยู่ภายใต้อำนาจการจัดการบางอย่างของ สกอ. เคยมองว่าสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) หรือที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) หรือองค์กรสื่อมวลชนน่าจะเข้ามาจัดอันดับมหาวิทยาลัยไทยได้ และต้องหลุดจากหน่วยงานบังคับบัญชามหาวิทยาลัยโดยตรง มศว ห่วงมหาวิทยาลัยเกิดใหม่ที่เขากำลังตั้งตัว และหากเขาโดนจัดอันดับด้วยความไม่รอบคอบ มันจะกลายปมอยู่ในสถาบันแห่งนั้นไปอีกนาน เมื่อมีการจัดอันดับออกมา คนส่วนใหญ่มองอันดับ โดยไม่มองปัจจัยและเหตุผลอื่นๆ เขาจะมองว่าเมื่อจัดอันดับเช่นนี้แล้ว มันถูกต้องที่สุด ดีที่สุด น่าเชื่อถือที่สุด ยิ่ง สกอ.เข้ามาจัดคนส่วนใหญ่ก็จะเชื่อถือ หากแต่ไม่ได้มองปัจจัยอื่นๆ ท้ายที่สุดสังคมไทยจะเกิดชนชั้นมหาวิทยาลัยและจะเกิดการแบ่งแยกมากขึ้นกว่าเดิม การที่มหาวิทยาลัยเก่าจะช่วยมหาวิทยาลัยใหม่เพื่อพยายามลดช่องว่างระหว่างมหาวิทยาลัยมันจะถูกแปรไปด้วยระบบการจัดอันดับมหาวิทยาลัย (คมชัดลึก พุธที่ 1 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)
ศิริราชเปิดศูนย์ฝึกผ่าตัดโรคกระดูกแห่งแรกของไทย
นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เป็นประธานเปิดศูนย์ฝึกผ่าตัดทางออร์โธปิดิกส์ ที่ชั้น 14 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช และเปิดเผยว่า ศูนย์แห่งนี้เป็นศูนย์อบรมเชิงปฏิบัติการการผ่าตัดโรคและภาวะความผิดปกติทางออร์โธปิดิกส์ทุกด้านแห่งแรกของประเทศไทย ได้รับการสนับสนุนจากภาควิชากายวิภาคศาสตร์และเอกชน ซึ่งสามารถเปิดอบรมแก่แพทย์ทั้งระดับประเทศและนานาชาติได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 80 คน หลักสูตรประกอบด้วย การฝึกผ่าตัดข้อเข่า ข้อสะโพก การผ่าตัดกระดูกสันหลังและยึดตรึงด้วยโลหะ ข้อเคลื่อนจุลศัลยกรรมทางมือ การผ่าตัดโรครูมาตอยด์ เป็นต้น โดยให้ฝึกผ่าตัดกับร่างกายมนุษย์ หรือ อาจารย์ใหญ่ ที่จะสร้างประสบการณ์ได้เร็ว และฝึกการวิเคราะห์ปัญหาผู้ป่วยได้แม่นยำขึ้น ทั้งนี้จะมีการเปิดฝึกอบรมแก่แพทย์ครั้งแรก 12 คนในวันนี้ (28 ก.พ.) - 1 มี.ค. โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญการผ่าเปลี่ยนข้อสะโพกและข้อเข่าเทียมจากมหาวิทยาลัยเพิร์ท ประเทศออสเตรเลีย มาร่วมสอนด้วย (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 1 มี.ค. 49 http://www.bangkokbiznews.com)
ศธ.เอาอย่างญี่ปุ่น-วิธีพัฒนาเด็กครบวงจร
คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิกา เปิดเผยว่า จากการเยี่ยมชมงานด้านการศึกษาที่ประเทศญี่ปุ่น ที่ผ่านมามีหลายเรื่องที่สามารถนำมาปรับใช้กับการศึกษาของไทย จุดเน้นของโรงเรียนที่ไปดูจะเห็นว่า ประเทศญี่ปุ่นให้ความสนใจมากกับเรื่องการพัฒนาเด็กอย่างครบวงจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความมีน้ำใจ การสร้างความรับผิดชอบ จะเน้นในเรื่องนี้มาก ขณะเดียวกัน เน้นให้เด็กนักเรียนรู้จักทำความสะอาดโรงเรียนอย่างจริงจัง รู้จักบริการตัวเอง และเรื่องพฤติกรรมเด็กนักเรียนก็ให้ความสนใจมาก นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญเรื่องเด็กพิการ ในด้านการเรียนร่วม หรือมีศูนย์บริการเด็กพิการแนะแนวด้วย ที่น่าสนใจคือ รายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาของญี่ปุ่น จะมีคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการสื่อสาร และผู้ผลิตรายการเป็นคนหนุ่มสาวทั้งหมดที่ยินดีให้ความร่วมมือ ซึ่งสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เคยทาบทามที่จะนำรายการมาปรับใช้ของเรา กำลังทำความร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่นอยู่ อีกทั้งไปดูพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ เพราะตอนที่กระทรวงศึกษาธิการซื้อเครื่องฉายดาว หลายคนตั้งข้อสังเกต ไม่ว่าจะเป็นราคาและความเหมาะสม จึงแสวงหาและมีประเทศไหนบ้างที่ซื้อเครื่องแบบเดียวกัน พบว่าญี่ปุ่นก็ซื้อพร้อมกันกับไทย และไปศึกษาข้อมูลแล้ว พบว่าญี่ปุ่นไม่ได้ซื้อเครื่องฉายดาวเป็นตัวนำ แต่จะเป็นนิทรรศการที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ และทำโดยความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในท้องถิ่นกับพิพิธภัณฑ์ ทำให้ได้ข้อคิดการจัดนิทรรศการจากญี่ปุ่น และคิดว่าจะเกิดความร่วมมือในด้านอื่นๆ ต่อไปด้วย (ข่าวสด พุธที่ 1 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)
ศธ.ส่งครูวิทย์อบรม"ม.วิสคอนซิน"สหรัฐ
นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ผู้ช่วยรมต.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า จากการประชุมเรื่อง "การพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ตามความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา" เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมพิจารณาโครงการความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์กับมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐคัดเลือกให้เป็นศูนย์ปฏิรูปวิทยาศาสตร์ระดับชาติ โดยกระทรวงศึกษาธิการเคยลงนามความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ส่งครูเข้ารับการอบรมการสอนวิทยาศาสตร์แบบเข้มข้นมาแล้ว 1 รุ่น ดังนั้น ในปี 2549 ที่ประชุมเห็นว่าโครงการนี้เป็นประโยชน์ และควรจะคัดเลือกครูและผู้บริหาร และผู้สอนด้านวิทยาศาสตร์มหาวิทยาเทคโนโลยีราชมงคล มหาวิทยาลัยราชภัฏ และสถาบันอาชีวศึกษาร่วมเข้ารับการอบรม เพื่อเป็นการผลิตครูวิทยาศาสตร์ รุ่นที่ 2 จำนวน 20 คน เมื่อเดินทางกลับมาแล้ว ต้องเป็นครูแกนนำในการอบรมปฏิรูปการสอนวิทยาศาสตร์ โดยใช้เทคนิคที่ได้รับการอบรมจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซินมาขยายผลต่อไป อีกทั้งในเดือนต.ค. มหาวิทยาลัยวิสคอนซินจะส่งผู้เชี่ยวชาญในการจัดประชุมปฏิบัติการ เพื่อขยายผลการปฏิรูปการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในประเทศไทยให้กับครู 2 รุ่น รุ่นละ 40 คน พร้อมทั้งจัดสัมมนาร่วมกับครูแกนนำที่เดินทางไปอบรมที่สหรัฐอเมริกา เพื่อติดตามผลการดูงานและสรุปผลวิเคราะห์วิจัย เพื่อพัฒนาต้นแบบการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ต่อไป (ข่าวสด พุธที่ 1 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)
ม.หาดใหญ่ค้านปั่นหลักสูตรเพื่อฟันกำไร
รศ.ดร.วัน เดชพิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ เปิดเผยว่า ไม่เห็นด้วยกับมหาวิทยาลัยที่ขยายวิทยาเขต แล้วยังไปเปิดสอนในหลักสูตรที่ซ้ำซ้อนกับมหาวิทยาลัยในท้องที่ เพราะเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรของประเทศชาติ สำหรับ ม.หาดใหญ่ เองไม่คิดที่จะเปิดหลักสูตรนอกสถานที่ตั้ง เพราะต้องการจะพัฒนาศักยภาพหลักสูตรในสถาบันให้มีความเข้มแข็งเสียก่อน หาก ม.หาดใหญ่ มีความพร้อมมากพอในอนาคตคงจะขยายตัวไปเปิดสอนบางหลักสูตรในต่างจังหวัด รวมถึงกรุงเทพฯ แต่ถ้าจะทำจริง อันดับแรกจะต้องหารือกับมหาวิทยาลัยอื่นทั้งในพื้นที่และบริเวณโดยรอบ เพื่อไม่ให้เกิดการซ้ำซ้อนกัน ถ้าใครเปิดสอนอยู่แล้วก็จะไม่ทำ จะไม่เปิดซ้ำซ้อนให้สินเปลื้องทรัพยากร เพราะนอกจากจะไปแย่งลูกค้ากันเองแล้ว ใครทำอย่างนั้นก็ทำเพื่อหวังรายได้มากกว่าทำเพื่อประเทศ การจะขยายการเรียนการสอนไปที่ใด ต้องแน่ใจแล้วว่าพัฒนาหลักสูตรภายในมหาวิทยาลัยดี เป็นที่น่าเชื่อถือเสียก่อน (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 2 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)
ชะลอตั้งคณะแพทย์ใหม่
ผศ.ดร.ศรปราชญ์ ธไนศวรรยางค์กูร รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) กล่าวว่า มก.มีโครงการจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ และตั้งเป้ารับนิสิตตั้งแต่ปีการศึกษา 2549 จำนวน 48 คน ใช้งบ 143 ล้านบาท และมีมหาวิทยาลัยจะตั้งคณะแพทยศาสตร์ใหม่ 8 แห่ง ได้แก่ ม.เทคโนโลยีสุรนารี ม.อุบลราชธานี ม.วลัยลักษณ์ ม.มหาสารคาม ม.นราธิวาส ม.บูรพา ม.แม่ฟ้าหลวง และ มก. ซึ่งมีแผนผลิตแพทย์ 10 ปี ตั้งแต่ปี 2549-2560 ใช้งบทั้งสิ้น 4,725 ล้านบาท และผลิตแพทย์ 2,100 คน ทั้งนี้ เมื่อเร็วๆ นี้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เชิญสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยผลิตแพทย์ หารือถึงการจัดตั้งงบโครงการนี้ โดยเสนอให้มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งตั้งงบจัดตั้งคณะแพทย์ใหม่ไว้ในงบประมาณปี 2550 ทั้งๆ ที่เดิม สธ.ระบุเป็นโครงการเมกะโปรเจคท์ มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่เข้าใจว่างบมาจากโครงการเมกะโปรเจคท์ ดังนั้น ที่ประชุมให้สธ.ไปหารือกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงกลาโหมที่มีหน่วยงานแพทย์เรื่องงบ ส่วนมหาวิทยาลัย 8 แห่ง พร้อมจะเปิดคณะแพทย์ใหม่ แต่ถ้ารัฐไม่สนับสนุนงบ จะต้องชะลอโครงการไว้ แต่มีบางมหาวิทยาลัยจะดำเนินการต่อ เช่น ม.เทคโนโลยีสุรนารี ม.อุบลราชธานี เพราะท้องถิ่นสนับสนุน อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมห่วงว่า ถ้าไม่ผลิตแพทย์เอง จะต้องรับจากต่างประเทศ ทำให้ไม่สามารถดูแลและควบคุมมาตรฐานแพทย์ได้ (คมชักลึก ศุกร์ที่ 3 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)
มหา"ลัยอเมริกาบุก ตลาดการศึกษานานาชาติสะเทือน
ผลจากเขตการค้าเสรีไทย-สหรัฐจะทำให้เกิดการแข่งขันมากขึ้น เช่นมหาวิทยาลัยเว็บสเตอร์ เซนต์หลุยส์ มิสซูรี สหรัฐอเมริกาในการลงทุนสร้างวิทยาเขตประจำภูมิภาคเอเชียที่ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี จุดเด่นของการเป็นมหาวิทยาลัยนานาชาติและเป็นมหาวิทยาลัย อเมริกาแห่งแรกที่รุกขยายการลงทุนในต่างประเทศซึ่งมีสาขา อาทิ อังกฤษ ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ ไทย ฯลฯ นั้นจะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดการศึกษานานาชาติได้ เนื่องจากเป็นมหาวิทยาลัยที่มีเครือข่ายทั่วโลก และมีการแลกเปลี่ยนอาจารย์ระหว่างมหาวิทยาลัยสาขาในประเทศต่างๆ และนักศึกษาสามารถโอนไปเรียนยังสาขาในต่างประเทศได้ หากต้องการ เนื่องจากใช้หลักสูตรเดียวกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมา การทำตลาดที่ยากที่สุดคือ การสร้างความเข้าใจเรื่องความเป็นนานาชาติกับผู้ปกครองและนักเรียน อาจเพราะความเป็นนานาชาติที่ในความรู้สึกของคนไทยส่วนใหญ่อาจมองว่าเป็นเพียงการเรียนการสอนด้วยภาษาอังกฤษ แต่สำหรับเว็บสเตอร์มีองค์ความรู้ในด้านการจัดการเรียนการสอนนานาชาติมีความหมายที่ต่างออกไป "นานาชาติ" แท้และ "นานาชาติ" เทียม "ความเป็นนานาชาติไม่ใช่แค่การเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ และจะต้องสร้างสภาพแวดล้อมทั้งหมดเอื้อให้ความเป็นนานาชาติ"ปัจจุบันเว็บสเตอร์เปิดการเรียนการสอนในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท ปริญญาตรีแบ่งออกเป็น 9 สาขา ได้แก่ บริหารธุรกิจ วิทยาการคอมพิวเตอร์ ธุรกิจระหว่างประเทศ พฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์ (จิตวิทยา) ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การสื่อสารด้วยสื่อ สื่อเพื่อการโฆษณา/การตลาด การจัดการ และการประชา สัมพันธ์ โดย สาขาที่เป็นที่นิยมคือบริหารธุรกิจ เพราะเน้นการเป็นผู้ประกอบการแบบอเมริกัน และการสื่อสารด้านสื่อ ขณะที่ปริญญาโทหลักสูตรบริหารธุรกิจมีสาขาสื่อสารด้วยสื่อ ธุรกิจระหว่างประเทศและกำลังจะเปิดอีกสาขาคือสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (ประชาชาติธุรกิจ ศุกร์ที่ 3 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th/prachachart)
Flexible Program ปริญญาโทการเงิน จุฬาฯ "เวลาเรียน" ที่ออกแบบได้
หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการเงินภาคบางเวลา (หลักสูตรภาษาอังกฤษ) : Flexible Master of Science in Finance (English) ของภาควิชาการธนาคารและการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เปิดมา 9 รุ่น แต่เนื่องจากกลุ่มคนทำงานในวงการเงินการธนาคารมักประสบปัญหาเรื่องเวลา ซึ่งหลักสูตรเดิมที่มีอยู่ไม่สามารถที่จะตอบสนองได้ ผศ.ดร.พัชราวลัย ชัยปาณี ประธานหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการเงิน เปิดเผยว่า จุดเด่นของหลักสูตรนี้ผู้เรียนสามารถเป็นผู้ตัดสินใจในวิชาที่เรียนและสามารถกำหนดระยะเวลาที่อยากจบเองได้ ถ้าต้องการจบเร็วก็สามารถลงวิชาให้มากขึ้น หากอยากเรียนสบายๆ เพราะงานที่รับผิดชอบมีมาก ก็ค่อยๆ เก็บไปทีละวิชา ที่สำคัญเรียนเฉพาะวันเสาร์ เพราะฉะนั้นหลักสูตรนี้จะเหมาะอย่างมากสำหรับคนที่ทำงานแล้วอยากเรียนต่อเพื่อเพิ่มความสามารถในการตัดสินใจ หากทำงานด้านการเงินหรือเป็นการเปลี่ยนเส้นทางอาชีพจากอาชีพอื่นมาสู่เส้นทางสายการเงิน โดยจะสามารถยืดระยะเวลาจบได้ในระยะเวลา 4 ปี ไม่เพียงความพิเศษในเรื่องการออกแบบหลักสูตรที่ยืดหยุ่นในด้านเวลาเรียน หากเปรียบเทียบกับหลักสูตรปริญญาโทสาขาการเงินปกติ จะเห็นว่ามีการพัฒนาวิชาเลือกให้มีเพิ่มมากขึ้นกว่าในหลักสูตรปกติ ซึ่งเปลี่ยน แปลงไปตามแนวโน้มของอุตสาหกรรมการเงินในปัจจุบัน ได้แก่ วิชา Alternative Investment ซึ่งจะเรียนเกี่ยวกับทางเลือกของการลงทุน ซึ่งปกติจะเรียนอยู่แค่การลงทุนในตลาดหุ้น พันธบัตร แต่ในวิชานี้จะเป็นการลงทุนอื่นๆ ผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.msfin.acc. chula.ac.th (ประชาชาติธุรกิจ ศุกร์ที่ 3 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th/prachachart)
ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี
พบหนอนอึดทนจุดเยือกแข็งไขความลับสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์นอกโลก
องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งสหรัฐ (นาซา) ทุ่มงบประมาณกว่า 8 ล้านบาท ศึกษาความอึดในสภาพอากาศหนาวเย็นของหนอนน้ำแข็งที่อาศัยอยู่ในอลาสกา บริติชโคลัมเบีย วอชิงตัน และโอเรกอน ซึ่งทำให้เชื่อว่าในสภาพอากาศที่เย็นจัดอย่างบนดวงจันทร์บริวารของดาวพฤหัส หรือแม้แต่ดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ อาจมีสิ่งมีชีวิตที่ปรับอุณหภูมิตัวเองดำรงอยู่ นอกจากนี้ งานวิจัยดังกล่าวอาจนำไปใช้ปรับปรุงถังแช่เย็นสำหรับเก็บอวัยวะหรือเนื้อเยื่อสำหรับใช้เปลี่ยนถ่ายอวัยวะด้วย ทว่าจุดอ่อนของหนอนพวกนี้คือ พอเจอกับอากาศที่เริ่มอบอุ่น ระบบอวัยวะที่ช่วยปรับอุณหภูมิในตัวไม่สามารถใช้การได้ นักวิจัยจึงเชื่อว่าหนอนน้ำแข็ง หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในธารน้ำแข็งอาจสูญพันธุ์ไปภายใน 50 ปีข้างหน้า เนื่องจากภาวะโลกร้อนทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย นักวิจัยมหาวิทยาลัยพูเกต์ซาวนด์ ได้ปืนภูเขาเมาท์เรเนอร์ค้นหาหนอนน้ำแข็งเพื่อมาใช้ทำวิทยานิพนธ์ชีววิทยา เนื่องจากที่ผ่านมายังไม่มีใครศึกษาเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจากเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก และองค์การนาซา พวกเขาเชื่อว่า พวกหนอนใช้ร่องเล็กที่อยู่ในก้อนน้ำแข็งสำหรับเดินทางแทรกตัวเข้าไปอยู่ข้างในเพื่อหลบร้อน แต่นักวิทยาศาสตร์อื่นกลับมองว่า หนอนหลั่งสารบางอย่างออกมาละลายน้ำแข็งบุกเบิกเส้นทาง จากการศึกษาพบว่า หนอนน้ำแข็งสามารถเพิ่มพลังงานให้เซลล์อบอุ่น เปรียบได้กับการเพิ่มน้ำมันใส่ลงไปในถัง นอกจากนี้ หนอนน้ำแข็งยังมีเยื่อบุเซลล์และเอนไซม์ในการเพิ่มพลังงานให้ตัวเอง และใช้ปรับอุณหภูมิเหมือนกับที่สัตว์ส่วนใหญ่มีเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่น แต่กลไกดังกล่าวมีจุดอ่อนตรงที่เมื่อถูกความร้อน เพียง 4 องศาเซลเซียส เยื่อบุเซลล์ของหนอนน้ำแข็งจะละลายและเอนไซม์ใช้งานไม่ได้ ในช่วงพระอาทิตย์ตกดิน หนอนสีดำจะโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำแข็งเพื่อกินสาหร่าย เกสร และซากที่ย่อยได้ แต่ก่อนรุ่งเช้า หนอนน้ำแข็งจะถอยกลับเข้าไปอยู่ในน้ำแข็ง ช่วงฤดูหนาวที่สาหร่ายไม่เติบโต และมีน้ำแข็งหนาปกคลุมพื้นผิว คาดว่าหนอนน้ำแข็งจะหมกตัวอยู่ในน้ำแข็ง หรือไม่ก็จำศีล (คมชัดลึก พุธที่ 1 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)
ไอโซตรอนุท่ม 160 ล้านขยายกิจการฉายรังสี
นายสุวิทย์ ตุลยาเดชานนท์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไอโซตรอน (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจให้บริการฉายรังสีแก่ภาคอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า บริษัทกำลังขยายกิจการ โดยเพิ่มขนาดของโรงงานและขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีกเท่าตัว ด้วยเงินลงทุน 160 ล้านบาท ปัจจุบันความต้องการใช้บริการฉายรังสีในสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ เป็นที่ยอมในทั่วโลก โดยรังสีจะทำปฏิกิริยากับดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิตในระดับเซลล์ จึงช่วยทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งมีชีวิตปนเปื้อนให้หมดไป โดยไม่ก่อให้เกิดสารพิษตกค้าง โดยที่ผ่านมาได้ให้บริการฉายรังสีเพื่อฆ่าเชื้อในอุตสาหกรรมเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น เสื้อกาวน์ผ่าตัด ถุงมือแพทย์ เข็ม ไหม ไตเทียม คิดเป็น 80% ส่วนที่เหลือเป็นอุตสาหกรรมอาหารแห้ง แช่แข็ง เครื่องเทศ ผ้าอ้อมเด็ก เครื่องสำอาง ซึ่งอัตราค่าบริการขึ้นอยู่กับปริมาณของรังสีที่ฉาย อาทิ สมุนไพรและเครื่องเทศจะคิดอัตรา 5-20 สตางค์ต่อ 5 กิโลเกร สำหรับบริษัท ไอโซตรอน ก่อตั้งในช่วงเดือนพฤษภาคมปี 2543 ทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 300 ล้านบาทโดยผู้ประกอบการจากประเทศอังกฤษ ให้บริการรังสีแกมมา และโคบอลต์ 60 ที่นำเข้าจากแคนาดา รวมปริมาณสารเคมีที่ใช้มากถึง 6 ล้านโด๊ส จึงถือเป็นโรงงานที่ใหญ่สุดในภูมิภาคเอเชีย รังสีที่ใช้กับอาหารมี 3 ประเภทคือ รังสีแกมมา, รังสีเอ็กซ์, รังสีอิเล็กตรอน โดยใช้ในปริมาณที่กำหนด-อย่างเหมาะสมก็จะไม่มีอันตราย ซึ่งในส่วนของเนื้อสัตว์แช่แข็ง รังสีจะช่วยทำลายเชื้อพยาธิ และถ้าเป็นเครื่องเทศ-เครื่องปรุงรสต่าง ๆ รังสีจะช่วย ทำลายจุลินทรีย์การฉายรังสีมีจุดเด่นหลายข้อ กล่าวคือกำจัดแมลง พืชผักผลไม้ต่างๆ เช่น แมลงวันทอง รวมถึงสามารถป้องกันการเข้าทำลายสินค้าของแมลงผลไม้ในระหว่างการขนส่ง อีกทั้งช่วย ชะลอการสุก "ยับยั้งการงอก ของหอมหัวใหญ่ มันฝรั่ง และช่วย คงคุณค่า-รสชาติ-ความสด ของพืชผักผลไม้ไว้ โดยไม่มีพิษตกค้าง ที่สำคัญ สามารถจะทำการฉายรังสีกับผลิตผล ที่บรรจุลงกล่องเรียบร้อยแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องแกะหีบห่อเพื่อฉายรังสีให้เสียเวลา-สิ้นเปลืองต้นทุนอีกด้วย (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 1 มี.ค. 49 http://www.bangkokbiznews.com)
ยุโรปฟื้นชีพ"ไครโอแซต" ดาวเทียมศึกษาสภาพภูมิอากาศโลก
องค์การอวกาศยุโรป (อีเอสเอ) เตรียมสร้างดาวเทียม "ไครโอแซต" ลำที่ 2 มูลค่า 140 ล้านยูโร หรือราว 6,500 ล้านบาท เพื่อทดแทนดาวเทียมไครโอแซตดวงแรกที่ระเบิดและตกหายไปในมหาสมุทรอาร์กติกเมื่อเดือนต.ค.ปีก่อน หลังปล่อยจากฐานยิงจรวดที่ศูนย์อวกาศเพลเซ็ตสค์ ทางตอนเหนือของรัสเซียไม่กี่นาที เนื่องจากเกิดปัญหาในซอฟต์แวร์ส่วนบนของกระสวยปล่อยดาวเทียม
ภารกิจดาวเทียมไครโอแซตมีขึ้นเพื่อศึกษาผลกระทบของแผ่นน้ำแข็งที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก ซึ่งมีหลักฐานว่าแผ่นน้ำแข็งหลายพื้นที่มีขนาดบางลง การฟื้นภารกิจดังกล่าวได้รับเสียงสนับสนุนเต็มที่จากหลายฝ่าย โดยเมื่อเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีของสหภาพยุโรป (อียู) แสดงความเห็นว่าไครโอแซตเป็นภารกิจสำคัญเกินกว่าจะปล่อยทิ้งไปเฉยๆ เพราะจะทำให้นักวิทยาศาสตร์ได้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก โดยเฉพาะสภาพแผ่นน้ำแข็งในกรีนแลนด์และแอนตาร์กติก ดาวเทียมไครโอแซต 2 มีเป้าหมายจะเข้าไปใกล้ขั้วโลกมากกว่าเดิมเพื่อเก็บข้อมูลมีค่าที่สูญหายไปและพร้อมทะยานขึ้นสู่ห้วงอวกาศใน 3 ปีข้างหน้า (ข่าวสด พุธที่ 1 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)
เทคโนโลยีความงาม ศึกษาก่อนเห่อตามกระแส
สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยจัดการเสวนาเรื่อง "เทคโนโลยีเพื่อความงาม ทางเลือก ประสิทธิภาพและความปลอดภัย" ที่โรงแรมดุสิตธานี เพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกใช้เทคโนโลยีล่าสุดที่ได้รับความนิยม เช่น เลเซอร์และผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่างๆ อย่างปลอดภัยและได้ผล พล.ต.น.พ.กฤษฎา ดวงอุไร แพทย์แผนกโรคผิวหนัง โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าและกรรมการสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สิวเป็นในวัยบางวัยและพบมากในกลุ่มหนุ่มสาว โดย 80% จะหายในช่วงหลังอายุ 25 ปี ซึ่งไม่มีผลกับการกินช็อกโกแลตแต่จะทำให้อ้วนมากกว่า ซึ่งมีการรักษาตั้งแต่ใช้ยาทา กินยา หรือจะซื้อเครื่องสำอางจำพวกหนึ่งที่ออกฤทธิ์ต่อผิวหนังมีผลเหมือนกับยาที่ใช้ในการรักษาแต่ปลอดภัยและไม่จัดว่าเป็นยาที่เรียกว่า "เวชสำอาง" ในกรณีที่เป็นไม่มาก นอกจากนี้ ยังรักษาด้วยการใช้เลเซอร์ แต่ต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน เพราะสิวเกิดกรรมพันธุ์ จากฮอร์โมน และสิ่งกระตุ้นบางอย่างหรือการกินยา นอกจากนี้ แสงแดดก็เป็นปัญหาในเรื่องของริ้วรอย ฝ้า กระ จุดด่างดำ ซึ่งยารับประทานรักษาฝ้าที่ปลอดภัยยังไม่มี การป้องกันฝ้าคืออยู่แต่ในถ้ำ ไม่โดนแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ แต่ควรป้องกันโดยกางร่ม หลบแดด สวมหมวกและใช้ครีมกันแดดเสริม แต่ครีมกันแดดก็ไม่ใช่ของวิเศษ เพราะยังไม่มีการทดลองว่าต้องใช้ SPF เท่าใดดีที่สุด แต่ควรใช้ค่าสูงๆ ไว้ดีกว่า ผิวแบ่งออกเป็น 6 ชนิด ซึ่งคนเอเชียเราจะมีสีผิวที่อยู่ในชนิดที่ 3-4 ซึ่งมีภูมิต้านทานในการสร้างเม็ดสี จึงไม่จำเป็นต้องทาครีมกันแดดในเด็กที่อายุน้อย ซึ่งต่างจากชาวยุโรป ส่วนการใช้โบทูลินัม ท็อกซิน (Botulinum toxin) ซึ่งได้จากโปรตีนสกัดจากแบคทีเรีย เป็น
แม้ตลาดเครื่องสำอางแก้ความชราได้เติบโตเป็นอย่างมาก ในขณะที่เทคโนโลยีก็ก้าวหน้ามากเช่นกัน แต่เราสามารถป้องกันตนเองได้โดยการทำจิตใจให้แจ่มใส ไม่วิตกกังวลและป้องกันแสงแดด งดสูบบุหรี่และรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ผู้ที่สนใจสามารถรับทราบข้อมูลได้ที่ www.thaiderm.net (ข่าวสด อังคารที่ 28 ก.พ. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)
ยานอวกาศนาซ่า ถึงดาวอังคารมี.ค.นี้
ดั๊ก แม็กควิสชั่น ผู้อำนวยการโครงการสำรวจดาวอังคารของนาซ่า แถลงว่า ยานอวกาศ "มาร์ส รีคอนนิเซินซ์ ออร์บิเตอร์" หรือ "เอ็มอาร์โอ" จะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจดาวอังคารมากขึ้น และเก็บข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับปฏิบัติการส่งหุ่นยนต์ลงจอดดาวดวงนี้ครั้งใหม่ภายใน 4 ปีข้างหน้า นาซ่าระบุว่า ยานเอ็มอาร์โอจะโคจรเข้าไปในระดับที่ใกล้กับดาวอังคารให้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม ศูนย์บังคับการภาคพื้นดินคงต้องใช้เวลาปรับวงโคจรของยานราวครึ่งปีกว่าจะเข้าที่ เมื่อขั้นตอนดังกล่าวผ่านพ้นไปแล้ว เอ็มอาร์โอจะโคจรปฏิบัติภารกิจหลักไปอีกประมาณ 5 ปี อาทิ สำรวจสัญญาณแหล่งน้ำใต้พื้นดินเพื่อดูว่าในอดีตเคยมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวอังคารหรือไม่ นอกจากนั้น ยังจะเก็บข้อมูลเพื่อกำหนดจุดตั้งฐานวิจัยบนดาวอังคารในอนาคต และจุดลงจอดของหุ่นยนต์สำรวจรุ่นต่อไป (ข่าวสด อังคารที่ 28 ก.พ. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)
กระเทียมมีสรรพคุณบำรุงผิวหนังยืดอายุของเซลล์ให้ยาวอีก 7 เท่า
นักวิทยาศาสตร์เมืองโคนมได้พบว่า หากเพาะเซลล์ผิวหนังมนุษย์ไว้ในจานทดลอง และเลี้ยงด้วยกระเทียม อายุของมันจะยืนยาวกว่าเซลล์ปกติถึง 7 เท่า ทั้งยังดูสมบูรณ์และเป็นหนุ่มสาวกว่าธรรมดาด้วย สารสกัดจากกระเทียมยังมีสรรพคุณยับยั้งเซลล์มะเร็งผิวหนัง ไม่ให้เจริญเติบโตได้อย่างน่าตื่นเต้นอีกด้วย แต่นักวิทยาศาสตร์เดนมาร์ก กล่าวว่า ไม่ใช่ จะนึกอยากจะเอาครีมที่ทำด้วยกระเทียมมาทาหน้ากันเลย หากแต่ควรจะลองกินกระเทียมปนข้าวดูบ้าง เพราะมันไม่ได้ก่อความเสียหายอะไรเลย. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 2 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)
ทางช้างเผือกมีดาวมากกว่าที่เคยคิด
นักดาราศาสตร์จากองค์การนาซาใช้กล้องโทรทรรศน์รังสีเอ็กซ์กวาดส่องไปทั่วกาแล็กซีทางช้างเผือก พวกเขาถึงกับตื่นตะลึง เมื่อพบเทหวัตถุนับล้านที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ที่ผ่านมา ต้นกำเนิดของรังสีเอ็กซ์ในกาแล็กซี่ทางช้างเผือกเป็นปริศนาสำหรับนักวิทยาศาสตร์มายาวนาน แต่ในที่สุด หลังจากใช้กล้องรังสีเอ็กซ์สำรวจจึงรู้ชัดว่า รังสีเอ็กซ์ในกาแล็กซีทางช้างเผือกมาจากดาวฤกษ์ที่ตายแล้ว หรือที่เรียกว่า ดาวแคระขาว และจากดาวที่มีวงแหวนรัศมีที่เข้มกว่าดาวฤกษ์ทั่วไป ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ไม่เคยรู้ว่ามีอยู่มาก่อน นักวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า การค้นพบล่าสุดนี้จะช่วยให้มนุษยชาติเข้าใจประวัติศาสตร์ของกาแล็กซี่ทางช้างเผือกได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ไล่มาตั้งแต่การเริ่มก่อตัวของดาวฤกษ์ และการระเบิดของดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ที่หมดพลังงาน หรือที่เรียกว่า "ซูเปอร์โนวา" ตลอดการได้เรียนรู้ถึงวิวัฒนาการของดวงดาว และยังจะช่วยคลี่คลายปัญหาในเชิงทฤษฎีเกี่ยวกับจำนวนดวงดาวที่นับได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น และบางทีอาจจะมีมากกว่าที่เห็นอยู่นับร้อยเท่า การสังเกตการณ์ที่ผ่านมา ยังไม่สามารถระบุแหล่งกำเนิดรังสีเอ็กซ์ได้แจ่มชัดพอ ทำให้เกิดปัญหาทางทฤษฎี เพราะถ้าแสงสว่างของรังสีเอ็กซ์มาจากก๊าซร้อนและการกระจายแสงจริง สักวันหนึ่งมันต้องหลุดออกนอกกาแล็กซีไป ขณะที่กำเนิดของก๊าซร้อนทั้งหมดนี้ต้องเกิดจากการระเบิดของดาวที่หมดอายุแล้ว หรือที่เรียกว่า ซูเปอรโนวา ซึ่งสามารถนำมาประเมินการก่อตัวของดาว และการหมดอายุของดาวได้ การศึกษาที่นำไปสู่การไขปริศนานี้ อาศัยข้อมูลที่ยานรอสซี เอ็กซ์พลอเรอร์ เก็บรวบรวมมาตลอด 10 ปี และนำมาประกอบเป็นแผนที่กาแล็กซีทางช้างเผือกฉบับรังสีเอ็กซ์ ทีมนักวิทยาศาสตร์ สรุปว่า ทางช้างเผือกเต็มไปด้วยดาวรังสีเอ็กซ์ ส่วนใหญ่มีแสงสว่างเล็กน้อย และที่ผ่านมาหลายปีนักวิทยาศาสตร์ระบุจำนวนดาวไว้ต่ำกว่าที่เป็นจริง (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 2 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)
ยอดแจกฟรีซีดีจันทรากระฉูดหลังรวม24โปรแกรมถูกใจไทย
นายเครือวัลย์ สมณะ ประธานกรรมการสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ หรือซิป้า กล่าวว่า หลังจากที่ได้เปิดตัวโอเพนซอร์สจันทรา เวอร์ชั่น 1.1 เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีผู้สนใจขอรับแผ่นจันทราเวอร์ชั่นดังกล่าวไปแล้วกว่า 8 พันราย มีทั้งที่มาติดต่อขอรับจากซิป้าโดยตรง และบางส่วนที่กระจายไปยังศูนย์ภูมิภาค รวมถึงจากการร่วมมือกับพันธมิตรอย่างนิตยสารควิกพีซี ที่แถมซีดีจันทราไปกับตัวนิตยสาร จันทรา 1.1 เป็นเวอร์ชั่นที่ปรับปรุงจากจันทรา 1.0 ซึ่งแจกไปแล้วกว่า 4 หมื่นแผ่น โดยจันทราเป็นซีดีรวมซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สบนวินโดวส์ ประกอบด้วย ซอฟต์แวร์ประเภทสำนักงาน อินเทอร์เน็ต กราฟฟิก มัลติมีเดีย พัฒนาเวบ บันเทิงและอรรถประโยชน์จำนวน 24 โปรแกรม ซึ่งล้วนผ่านการคัดเลือกแล้วว่ามีคุณภาพ และสามารถนำมาใช้ทดแทนโปรแกรมเชิงพาณิชย์รูปแบบเดิมได้ทันที ส่งผลช่วยลดปัญหาลิขสิทธิ์ และช่องว่างในการเข้าถึงเทคโนโลยีของประเทศในระยะยาว ล่าสุดซิป้าจะจัดอบรมต่อเนื่องทั้งปี ให้นักเรียนในเขตการศึกษาต่างๆ และองค์กรระดับใหญ่ เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส โดยจะเริ่มที่โปรแกรมโอเพนออฟฟิศ เพราะเกี่ยวข้องกับการใช้งานในชีวิตประจำวันมากสุด คาดว่าจะมีผู้ใช้โอเพนซอร์สเพิ่มกว่า 1,000 รายจากกิจกรรมครั้งนี้ (คมชักลึก ศุกร์ที่ 3 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)
สหรัฐเปิดตัวระบบใหม่ จับแผ่นดินไหวใต้ทะเล
สถาบันสมุทรศาสตร์วู้ดส์โฮล (WHOI) กำลังพัฒนาและทดสอบการทำงานของเครื่องมือตรวจจับแผ่นดินไหวใต้ทะเล หรือ "OBSs" ชนิดใหม่ และจะนำไปกระจายติดตั้งบริเวณตอนกลางของพื้นมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งมักเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง
เครื่องมือ "OBSs" ใหม่ดังกล่าว แยกเป็น 2 ส่วนหลักๆ ด้วยกัน ส่วนแรก คือ ชุดกล่องไฟเบอร์กลาส 4 ตัวที่เห็นทางฝั่งซ้ายมือของภาพ ภายในบรรจุแบตเตอรี่และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ควบคุมระบบการทำงานของเครื่อง ส่วนที่สองตั้งอยู่ทางขวามือของภาพ เป็นเครื่องตรวจวัดการแปรผันของระดับแรงดันของคลื่น ซึ่งเกิดจากแผ่นดินไหว โดยชุดอุปกรณ์กลุ่มนี้จะบรรจุอยู่ในกล่องเหล็กรูปร่างคล้ายกับยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว (ยูเอฟโอ) ที่เห็นกันในภาพยนตร์ ในช่วงเวลาก่อน หรือ เกิดเหตุแผ่นดินไหวไปแล้ว ไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือใหญ่ ระบบ "OBSs" ใหม่นี้จะส่งสัญญาณผ่านดาวเทียมกลับไปให้ศูนย์ควบคุมรับทราบ เพื่อประกาศเตือนภัยต่อไปในกรณีที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดสึนามิซัดเข้าชายฝั่ง แผนการขั้นต้น ทีมงานสถาบัน WHOI จะติดตั้ง "OBSs" รุ่นนี้ทั้งหมด 40 ตัว พร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นว่ามันจะทำงานอย่างเที่ยงตรงเนื่องจากติดตั้งอยู่ในบริเวณจุดศูนย์กลางและพื้นที่ใกล้เคียงศูนย์กลางแผ่นดินไหว (ข่าวสด ศุกร์ที่ 4 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)
ข่าววิจัย/พัฒนา
โคฟรีบราจากผสมเทียม พัฒนาพันธุ์เป็นได้ทั้งนมและเนื้อ
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ได้ร่วมกับ กรมปศุสัตว์ จัดทำโครงการวิจัยและพัฒนาธุรกิจการผลิตโคนม (Dairy Cattle Research & Business Development Project) ขึ้น นายสารกิจ ถวิลประวัติ ผอ.โครงการวิจัยฯ เปิดเผยว่า การวิจัยโครงการดังกล่าวนี้ ก็เพื่อเป็นการสร้างระบบการผลิต 'โคสาย เลือดสูง' ที่สามารถปรับตัวได้ดี เหมาะต่อสภาพของประเทศ ซึ่งแนวทางในการวิจัย เริ่มจากคัดเลือกแม่โคของเกษตรที่มีคุณลักษณะตามที่กำหนด มาทำการปรับปรุงพันธุ์ โดยนำวิธีการผสมเทียมมาใช้ ทำการผสมเทียมแม่โคบราห์มันลูกผสม โดยใช้น้ำเชื้อ จากพ่อพันธุ์ดีโฮสไตน์ฟรีเชียนพันธุ์แท้ ลูกโคที่ได้เรียกว่า โคฟรีบรา ชั่วที่ 1 จะรับซื้อลูกโคหย่านมคืน จากเกษตรกรในราคาประกัน นำลูกโคฟรีบราเพศเมีย ชั่วที่ 1 มาเลี้ยงเป็นโคสาว ทำการผสมเทียมด้วยน้ำเชื้อพ่อพันธุ์ดี จากนั้นจำหน่ายเป็นโคสาวตั้งท้อง ให้กับเกษตรกรในโครงการ และจากการติดตามและเก็บข้อมูลการให้น้ำนมของโคฟรีบราในระยะการให้นมที่ 1 และ 2 ที่สถานีวิจัยทดสอบพันธุ์สัตว์ปากช่อง พบว่า โคฟรีบราเพศเมีย จะให้นม 11.6 และ 14.1 กก./ตัว/วัน นอกจากนี้ยัง เลี้ยงง่าย หากินเก่ง ใช้อาหารหยาบในแปลงหญ้าได้ดี ทนต่อสภาพอากาศร้อนชื้นได้ดี มีภูมิต้านทานโรคและพยาธิสูง ไม่เปลืองค่ารักษาพยาบาลและยาบำรุง ได้ลูกถี่ เป็นสัดและกลับเป็นสัดหลังตกลูกเร็ว ผสมติดง่าย สามารถให้ลูกได้ปีละตัว ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพการเลี้ยงดู ของเกษตรกร ให้นมพอดี ให้น้ำนมพอ ประมาณด้วยการเลี้ยงดู ที่ใช้อาหารหยาบเป็นหลัก ทำให้ได้ผลตอบแทนต่อการลงทุนสูง มีผลผลิตยืนนาน มีอายุยืน ให้ลูกได้หลายตัว และให้น้ำนมในช่วงอายุได้มาก ขายได้ราคาเมื่อปลดระวางเป็นโคเนื้อ ส่วนโคเพศผู้ ที่นำมาเลี้ยงเป็นโคขุน จะมีคุณลักษณะ โตเร็ว ขุนได้ดี อัตราการเจริญเติบโตสูง เอวยาวทำให้เนื้อสันมีปริมาณมาก อกใหญ่ ตัวใหญ่ ลำตัวลึก เนื้อหน้าอกลำตัวมาก บั้นท้ายเต็ม มีเนื้อตะโพก และต้นขาเต็ม ทำให้ได้เนื้อส่วนนี้มาก เมื่อนำมาทดสอบคุณภาพซาก พบว่าเปอร์เซ็นต์เนื้อแดงและพื้นที่หน้าตัดเนื้อสัน มีความใกล้เคียงและอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี เมื่อเทียบกับโคพันธุ์ลูกผสมบราห์มันลูกผสมชาโล-เล่ห์และโคมัน ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดโคเนื้อ. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 27 ก.พ. 49 http://www.thairath.co.th)
แนะรัฐวิจัยพืช GMOs ถึงระดับแปลงไร่นา
นายเศรษฐสรร เศรษฐการุณย์ นายกสมาคมผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลืองและรำข้าว เปิดเผยว่า รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการวิจัยพืชดัดแปลงพันธุกรรมถึงการทดลองระดับแปลงไร่นา เพื่อให้ได้ข้อมูลของการวิจัยทดลองครบในทั้ง 3 ระดับ คือ ระดับห้องปฏิบัติการ ระดับแปลงทดลอง และระดับแปลงไร่นา รวมไปถึงการผ่านขบวนการทดสอบด้านความปลอดภัยต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นการเตรียมความรู้สู่การพัฒนาในเชิงพาณิชย์ หากมีความจำเป็นต้องแข่งขันกับต่างประเทศในอนาคตก็สามารถที่จะนำความรู้ดังกล่าวมาใช้ได้ทันที ปัจจุบันประเทศไทยห้ามไม่ให้ทำการทดสอบพืชดัดแปลงพันธุกรรมหรือ พืช GMOs ในระดับไร่นา แต่อนุญาตให้นำเข้าเมล็ดพืช GMOs โดยเฉพาะถั่วเหลืองเข้ามาเพื่อใช้ในการผลิตเนื่องจากประเทศไทยปลูกได้ไม่เพียงพอ แสดงว่าเราไม่ได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์โดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อเพิ่มผลผลิต ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลเสียหายทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศโดยรวมได้ โดยเฉพาะในหลายประเทศทั่วโลกเริ่มให้ความสำคัญและพัฒนาพืชดัดแปลงพันธุกรรมเพื่อเชิงพาณิชย์มากขึ้น จึงอยากให้มีการทดลองถึงระดับไร่นา เพื่อให้ได้ข้อมูลเป็นองค์ความรู้ไว้ ส่วนจะนำความรู้มาใช้เมื่อไหร่นั้น เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาในอีกขั้นหนึ่ง เพราะต่างประเทศเขาพัฒนาพืชดัดแปลงพันธุกรรมจนพัฒนาไปสู่เชิงการค้าแล้ว ไทยก็ควรเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้ (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 27 ก.พ. 49 http://www.dailynews.co.th)
มศว คิดหมากฝรั่งเลิกบุหรี่สำเร็จ วอนอย.เร่งจดทะเบียนช่วยคนอยากเลิก
รศ.ดร.ยงยุทธ ตัณฑุลเวสส อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวว่า ขณะนี้ มศว จดลิขสิทธิ์หมากฝรั่งยี่ห้อ "นิโคมายด์" ซึ่งเป็นหมากฝรั่งบำบัดผู้อดบุหรี่ หรือผู้ที่มีความต้องการอยากเลิกสูบบุหรี่ เป็นของมหาวิทยาลัยแล้ว โดยใช้งานวิจัยในการผลิตหมากฝรั่งผสมนิโคติน เพื่อใช้บำบัดผู้อดบุหรี่จากหลักการทางเคมี ใส่สารนิโคตินจากใบยาสูบผสมลงไปในหมากฝรั่งซึ่งมีหลายสูตร ผลผลิตที่ได้ราคาไม่แพง ต้นทุนการผลิตต่ำ อัตราการดูดซึมนิโคตินจากหมากฝรั่งเข้าสู่กระแสเลือดไม่แตกต่างจากหมากฝรั่งที่นำเข้าจากต่างประเทศ ทั้งนี้ หมากฝรั่งผสมนิโคตินเพื่อบำบัดผู้อดบุหรี่ออกฤทธิ์โดยการเคี้ยวหมากฝรั่ง จากนั้นนิโคตินจะถูกปลดปล่อยเข้าสู่ระบบเลือด เป็นการเติมนิโคตินให้แก่เลือด ทำให้ความอยากบุหรี่ลดลง และเลิกบุหรี่ได้ภายใน 2-3 เดือน มศว ยังผลิตเพื่อจำหน่ายไม่ได้ เพราะติดขัดอยู่ที่การจดทะเบียนยา ซึ่งทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ชี้แจงว่า เนื่องจากหมากฝรั่งที่คิดค้นนี้ มีเครื่องหมายการค้ายี่ห้อนิโคมายด์ ซึ่งมีต้นตำรับยาอยู่แล้ว การจดทะเบียนน่าจะจดทะเบียนยาได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าอย. ตีความหมากฝรั่งนิโคมายด์ เป็นยาตำรับใหม่ ขั้นตอนต่างๆ จะช้ามาก จึงอยากให้ อย. เร่งการจดทะเบียนยาให้ด้วย เพราะตอนนี้มีคนต้องการหมากฝรั่งเพื่อบำบัดการเลิกสูบบุหรี่จำนวนมาก (ข่าวสด จันทร์ที่ 27 ก.พ. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)
ไม่ธรรมดา ฝีมือเยาวชน
เครื่องทำความสะอาดข้าวเปลือก ของ นายเกศไชโย คงสมุทร, นายนิรันดร์ คำสุวรรณ, นางสาวศุภมาส สุวาท นักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี หลักการทำงานของเครื่องที่ว่า ก็มีดังนี้คือ กระบวนการทำความสะอาดข้าวเปลือกของเครื่องจะใช้หลักการง่าย ๆ เรื่องความแตกต่างของน้ำหนัก ความยาวของสิ่งปลอมปนเมื่อเทียบกับข้าวเปลือก แล้วนำมาคิด คำนวณ เพื่อสร้างระบบตะแกรงโยกที่ใช้ในการคัดเลือกสิ่งปลอมปนขึ้น ในส่วนของตัวเครื่อง แบ่งออกเป็นส่วนของช่องหรือกระพ้อป้อนข้าว, เพลาหมุนช่วยให้ข้าวเปลือกไหลลงสู่ตัวเครื่อง, พัดลมพัดสิ่งเจือปน, ตะแกรง 2 ชั้น ซึ่งชั้นแรกจะมีรูตะแกรงขนาดใหญ่กว่าเมล็ดข้าวเปลือก เพื่อคัดเลือกสิ่งปลอมปนขนาดใหญ่ออกไป และตะแกรงชั้นที่สองจะมีรูตะแกรงขนาดเล็กกว่าขนาดเมล็ดข้าวเปลือกมาตรฐาน เพื่อคัดข้าวลีบ เศษแกลบ นอกจากนั้น ในตะแกรงทั้ง 2 ชั้นยังได้ติดลูกบอลยางไว้ตรงรูของตะแกรง เพื่อช่วยดันเศษสิ่งปลอมปนที่ติดอยู่ตามรูอีกแรงหนึ่งด้วย, ถาดรับข้าวลีบ เศษแกลบ และมอเตอร์ต้นกำลังขนาด 1 แรงม้า 1,400 รอบต่อนาที ถ้าไม่มีสามารถใช้เครื่องยนต์ดีเซลที่ใช้ในการไถนาของเกษตรกรแทนได้ การทำงานของเครื่อง เมื่อเปิดเครื่อง เทข้าวเปลือกลงในช่องป้อนข้าว ตะแกรงจะโยกโดยอัตโนมัติเพื่อคัดแยกสิ่งปลอมปนขนาดใหญ่ลงสู่ภาชนะที่วางรองรับไว้ด้านท้ายตัวเครื่อง, ข้าวลีบและเศษแกลบจะแยกลงในถาดรับด้านล่างแล้วไหลลงสู่ภาชนะอีกใบ ส่วนข้าวที่ผ่านการคัดเลือกซึ่งอยู่ในตะแกรงชั้นที่สองก็จะไหลลงสู่ภาชนะรองรับใบกลาง ซึ่งจากการทดลองกับข้าวเปลือกพันธุ์คลองหลวง 1 ปรากฏว่าเครื่องทำงานได้ดีที่สุด ถ้าตั้งความเร็วรอบของเพลาตะแกรงโยก 243 รอบ/นาที มุมองศาของตะแกรงโยก 4 องศา ซึ่งค่านี้จะแตกต่างกันไปตามพันธุ์ของข้าว ขณะที่ต้นทุนเครื่องอยู่ที่ 12,000 - 15,000 บาท ขึ้นอยู่กับวัสดุ และโครงสร้างเหล็กที่เลือกใช้ ผู้สนใจสอบถามได้ที่ ผศ.ดร.รุ่งเรือง กาลศิริศิลป์ โทร. 0-2549-3357, 0-2549-3300 (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 27 ก.พ. 49 http://www.dailynews.co.th)
น้ำมันหอมระเหย ใช้ผิดอาจส่งผลร้ายต่อเด็กในครรภ์
พ.ญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ เลขานุการมูลนิธิการแพทย์แผนไทยพัฒนา กล่าวว่า การใช้น้ำมันหอมระเหย หรือที่เรียกว่า อโรมาเธอราพี (Aroma Therapy) ในปัจจุบัน จะใช้ในการรักษาโรค ลดความเครียด ทั้งการสูดดม การทา และการนวด ซึ่งจะต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก เนื่องจากนำมันหอมระเหยมีความเข้มข้นสูง และสารที่อยู่ในน้ำมันหอมระเหยอาจทำให้เกิดอาการแพ้ที่ผิวหนัง แต่ในประเทศไทยยังมีการวิจัยในเรื่องนี้น้อยาก ซึ่งน้ำมันที่ทำให้เกิดอาการแพ้มีหลายประเภท เช่น น้ำมันส้ม น้ำมันมะกรูด ที่นำเข้าจากต่างประเทศ ชื่อว่า คาราเวย์ (Caraway) ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้บางคนเกิดอาการแพ้แสงแดด น้ำมันกานพลู น้ำมันเออกาโน หรือน้ำมันเครื่องเทศของฝรั่ง(บ้านเรายังไม่มีกานำเข้า) ซึ่งหากใช้ในปริมาณมาก ๆ อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุทางเดินหายใจและหลอดลมได้ กลุ่มที่จะต้องระมัดระวังในการใช้น้ำมันหอมระเหยมากที่สุดคือ กลุ่มหญิงมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคลมชักหรือลมบ้าหมู โดยในกลุ่มหญิงมีครรภ์ห้ามใช้น้ำมันหอมระเหยประเภทเปปเปอร์มินท์ หรือน้ำมันพริกไทยดำ น้ำมันกานพลู น้ำมันอบเชย น้ำมันตะไคร้หอม เนื่องจากสารดังกล่าวอาจส่งผลต่อเด็กในครรภ์ อาจทำให้เกิดการแท้งได้ ส่วนผู้ป่วยโรคลมชัก ห้ามใช้น้ำมันหอมประเภทโรสแมรี่ น้ำมันเบซิล เนื่องจากน้ำมันดังกล่าวอาจส่งผลให้อาการชักกำเริบได้ ดังนั้นผู้ที่จะใช้น้ำมันหอมระเหยจะต้องรู้ข้อดีข้อเสียของน้ำมันหอมระเหยด้วย (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 27 ก.พ. 49 http://www.dailynews.co.th)
หมากฝรั่งให้พลังคนไข้ผ่าท้องช่วยให้ลำไส้กลับทำงานเร็วขึ้น
นักวิจัยของโรงพยาบาลซานตา บาร์บารา คอตเตจ ที่นครแคลิฟอร์เนีย แห่งสหรัฐฯ จะแนะนำให้คนไข้ที่มาผ่าท้อง เคี้ยวหมากฝรั่ง เพื่อช่วยได้หายฟื้นเร็วขึ้น คณะนักวิจัยได้ศึกษาทดลองกับคนไข้ ซึ่งผ่าตัดลำไส้ใหญ่ออกบางส่วนจำนวน 34 ราย โดยให้จำนวนครึ่งหนึ่งเคี้ยวหมากฝรั่งหลังการผ่าตัด วันละ 3 มื้อ ส่วนที่เหลือคงปล่อยให้อยู่ตามปกติ ปรากฏว่าคนไข้พวกที่เคี้ยวหมากฝรั่ง เฉลี่ยแล้วจะนอนโรงพยาบาลเพียงแค่ 4.3 วัน ส่วนพวกที่นอนปากอยู่นิ่งจะต้องนอนอยู่นาน ถึง 6.8 วัน นอกจากนั้น คนไข้ที่เคี้ยวหมากฝรั่ง ยังผายลมได้เร็วกว่า และลำไส้เคลื่อนไหวได้เร็วกว่าธรรมดาอีกด้วย (ไทยรัฐ พุธที่ 1 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)
ไฟฟ้าจี้กบบังคับหลั่งเคมีไล่ยุง
นักวิจัยทดลองใช้กระแสไฟฟ้าอ่อนๆ กระตุ้นกบต้นไม้พันธุ์อ้วนเตี้ยที่อาศัยอยู่ในป่าตอนเหนือของออสเตรเลีย และหมู่เกาะนิวกินี ทำให้กล้ามเนื้อเรียบที่อยู่ในต่อมใต้ผิวหนังหดตัวและหลั่งสารออกมานอกผิวหนัง จากนั้นล้างออกด้วยน้ำกลั่น แล้วนำมาทาที่หางหนูก่อนไปนอนให้ยุงพันธุ์ดุของออสเตรเลียรุมกัด ผลปรากฏว่า หนูที่ทาด้วยสารคัดหลั่งที่ได้จากกบต้นไม้สามารถรอดพ้นจากการถูกยุงรุมกัดได้นานราว 50 นาที ส่วนหนูอีกกลุ่มหนึ่งที่ทาด้วยสารดีอีอีที ซึ่งเป็นสารทากันยุงที่มีจำหน่ายทั่วไป สามารถรอดพ้นจากยุงกัดได้นานถึง 2 ชั่วโมง และหนูที่เป็นกลุ่มควบคุม ซึ่งไม่ได้ทาทั้งสารคัดหลั่งจากกบ และสารทากันยุงดีอีอีที สามารถรอดตัวจากยุงกัดได้เพียง 12 นาทีเท่านั้น ก่อนที่หางจะถูกรุมดูดเลือด นักวิจัยยังทดลองนำกบอีก 2 สายพันธุ์ ได้แก่ กบต้นไม้ทะเลทราย และคางคกพันธุ์หนึ่งมาทดสอบ พบว่ามีสารที่มีกลิ่นไล่ยุงขับออกมาจากผิวหนังเช่นกัน แต่ยังไม่ได้นำสารมาทดสอบกับหนู แม้ว่าการพบสารคัดหลั่งไล่ยุงในกบต้นไม้พันธุ์อ้วนเตี้ยยังไม่สามารถนำมาใช้แทนสารดีอีอีที แต่การค้นพบครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าในผิวหนังของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำมีคุณสมบัติบางอย่างที่ไม่มีใครรู้มาก่อน งานวิจัยก่อนหน้านี้ได้พบว่า สารคัดหลั่งเหล่านี้สามารถนำมาใช้เป็นยาระงับปวดได้ผลดี และยังมีฤทธิ์หลอนประสาทด้วย ปัจจุบันมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ต้องการนำโมเลกุลของสารคัดหลั่งมาพัฒนาเพื่อผลิตเป็นยารักษาโรค (คมชัดลึก พุธที่ 1 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)
พบวิธีให้สมองจดจำได้เวลานานต้องให้จิตใจอยู่ในภาวะพร้อม
นักวิทยาศาสตร์รู้แล้วว่าทำอย่างไรถึงจะทำให้คนเราสามารถจดจำอะไรได้นาน โดยได้รู้จากการศึกษาวิเคราะห์ภาพคลื่นไฟฟ้าสมองว่า จะต้องได้ยินได้ฟังในยามที่ภาวะจิตใจพร้อม คณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอลเลจ ลอนดอน กล่าวแจ้งในวารสารวิชาการ ธรรมชาติประสาทวิทยาศาสตร์ ว่า ภาวะจิตใจพร้อมนั้น คือภาวะที่สมองพร้อมที่จะระดมแหล่งทรัพยากรตอนช่วงก่อนหน้าที่จะได้รับข้อมูล ดร.ลูน ออตเตน หัวหน้านักวิจัย กล่าวว่า มันอาจจะฟังดูราวกับเราเป็นคนตาทิพย์ ที่สามารถจะรู้ได้ว่าใครจะจำอะไรได้แม่น ก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง นักวิทยาศาสตร์รู้อยู่แล้วว่าสมองจะเกิดปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อเราเก็บความจำอยู่ แต่ตอนนี้เรารู้ว่าสมองจะมีปฏิกิริยาอย่างไร เมื่อเราจะจดจำเรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ยาวนานเท่าใด รายงานการศึกษากล่าวว่า หากว่าเกิดปฏิกิริยาทางไฟฟ้าตรงสมองตอนหน้ากะโหลกศีรษะ เมื่อได้รับข้อมูลสูง ก็ส่อว่าผู้นั้นจะสามารถจดจำได้ดี และถ้าหากปฏิกิริยาต่ำ ส่อว่าจะจดจำไปได้ไม่นาน (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 2 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)
จีนคว้าใช้ทรัพยากรไร้ค่า
ผลศึกษาของสถาบันวิทยาศาสตร์จีนระบุว่า จีนติดอันดับที่ 56 ของประเทศที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติสูญเปล่าที่สุดจากทั้งหมด 59 ประเทศ ส่วนประเทศที่ครองแชมป์ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดคือ เดนมาร์ก ตามด้วยสวิตเซอร์แลนด์,ไอร์แลนด์,อังกฤษ,เนเธอร์แลนด์ และนอร์เวย์ โดยประเภทของทรัพยากรที่จีนบริโภคอย่างสิ้นเชิงมากที่สุดประกอบด้วยพลังงาน,น้ำ,ซีเมนต์,เหล็กกล้า และเหล็กอลูนิเมียม และยังถือบริโภคสูงกว่าทั่วโลกถึง 1.9 เท่า ในปี 2003 ผลศึกษาชี้ว่า พฤติกรรมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเปลืองที่สุดของโลกของจีนฟ้องว่า จีนยังสามารถสลัดตัวเองจากเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติได้ และส่งผลให้โมเดลหรือแบบแผนพัฒนาเศรษฐกิจจีนอย่างพึ่งพิงตัวเองยังคงเผชิญความเสี่ยงต่อไป รวมทั้งทำให้จีนยังไม่สามารถบรรลุแผนสร้างเศรษฐกิจเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแผนหลักของนโยบายแห่งชาติจีนในช่วง 15 ปีข้างหน้าได้ ทั้งนี้ ผลศึกษาได้เรียกร้องให้ผู้นำจีนใช้มาตรการปฎิรูปที่ครอบคลุมกว่าเดิม เพื่อสนับสนุนแบบแผนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรมอย่างจริงจังมากขึ้น รวมทั้งหันมาพึ่งพิงนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีในการพัฒนาเศรษฐกิจให้มากขึ้นด้วย (สยามรัฐรายวัน พฤหัสบดีที่ 2 มี.ค. 49 http://www.siamrath.co.th)
ผงไหมไทยมีประโยชน์เพื่อความงาม
อาจารย์ประทีป มีศีล ผู้อำนวยการศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ จังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า ทางศูนย์ได้ทำการวิจัยด้วยการนำเศษไหมที่เหลือจากนำไปทำเส้นไหมทอผ้ามาวิจัย เพราะด้วยวิสัยของคนไทยนั้นไม่ยอมทิ้งสิ่งใดให้สูญเปล่า ดังนั้น สิ่งที่เหลือจากขบวนการผลิตเส้นไหม เช่น เศษไหมที่ได้จากน้ำต้มไหม รวมถึงรังไหมที่ขาดและไม่สามารถสาวเอาเส้นไหมออกมาได้ จึงถูกนำไปผ่านกรรมวิธีการผลิตเพื่อให้ได้ผงไหม และนำผงไหมนี้เข้าสู่ขบวนการวิจัยโดยทีมนักวิชาการจากกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ผลจากการวิจัยพบว่าผงไหมไทยมีส่วนประกอบสำคัญคือโปรตีนคุณภาพสูงที่ได้จากส่วนของใยไหมและรังไหม โดยโปรตีนนี้มีกรดอะมิโนมากถึง 18 ชนิด นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ สารต้านจุลินทรีย์ สารต้านไวรัสโรคเริมและงูสวัด รวมถึงสารช่วยในเรื่องความจำและช่วยกระตุ้นการเต้นของหัวใจ ซึ่งสารสำคัญทั้งหลายเหล่านี้มีอยู่ปริมาณมากในพันธุ์นางน้อยศรีสะเกษ-1 เมื่อเปรียบเทียบกับผงไหมพันธุ์อื่น โดยเฉพาะกรดอะมิโนในโปรตีนคุณภาพเลิศนี้ จะซึมซับเข้าสู่เซลล์ผิวหนัง ช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้นในขณะเดียวกัน ก็จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นเส้นใยโปรตีนที่ช่วยทำให้ผิวเต่งตึง นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านจุลชีพในผงไหมพันธุ์ไทยแท้นี้ ยังช่วยขจัดสารพิษในเซลล์ ลดอาการอักเสบของเซลล์และลดปริมาณเชื้อโรคบนผิวหนังส่งผลให้แผลหายเร็ว ลดอาการอักเสบจากผิว ผิวหนังสุขภาพดี ริ้วรอยต่างๆ ลดลงทำให้แลดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ ผงไหมไทยนี้เมื่อผ่านกระบวนการผลิตมาแล้ว จะเก็บไว้ไม่ได้นานเพราะไม่มีสารเคมี เมื่อนำมาใช้ต้องใช้ในครั้งเดียวให้หมด ถ้าจะให้ง่ายที่สุดรับประทานโดยตรงเลยก็ได้ไม่ไมีปัญหา ไม่ต้องนำไปผสมกับอย่างอื่น เพราะเป็นส่วนที่มีโปรตีนมากที่สุด ส่วนข้อจำกัดของผงไหมนั้น อาจารย์ประทีปบอกว่า ถ้าพูดถึงข้อจำกัดคงไม่มี เพราะผงไหมที่สกัดนั้นเป็นผลิตผลจากธรรมชาติ และสารเคมีที่นำมาใช้สกัดก็ไม่มีผลร้ายต่อร่างกาย จะมีก็เพียงแต่เมื่อเปิดมาใช้แล้วต้องใช้ให้หมดภายในครั้งเดียว เพราะเมื่อเปิดออกแล้วโอกาสที่จะโดนเชื้อโรคต่างๆ ทำให้เสียเร็วเท่านั้นเอง (คมชักลึก ศุกร์ที่ 3 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)
มข.พบวิธีทำเส้นใยนาโนส่งโรงงานทำเนื้อเยื่อเทียม ผ้าปิดแผลและแผ่นกรองมลพิษ
ผศ.ดร.สันติ แม้นศิริ ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) และหัวหน้าคณะนักวิจัย เปิดเผยว่า เส้นใยนาโนที่พัฒนาขึ้นนี้ สามารถประยุกต์ใช้เป็นเส้นใยโพลีเมอร์ระดับนาโน มีคุณสมบัติเด่นคือย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ไม่เป็นพิษและเข้าได้ทางชีวภาพ คือเข้าได้กับเนื้อเยื่อร่างกาย จึงเหมาะสำหรับงานทางด้านวิศวกรรมเนื้อเยื่อกระดูก ผ้าปิดแผล ระบบส่งยาเข้าสู่ร่างกาย และระบบการกรองอย่างละเอียด เป็นต้น สำหรับเทคนิคที่นำมาใช้ในการเตรียมเส้นใยนาโนมีหลายวิธี แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน หนึ่งในนั้นคือ เทคนิคอิเล็กโตรสปินนิ่ง (electrospinning) หรือ การปั่นเส้นใยด้วยไฟฟ้าสถิต ซึ่งมีข้อดีคือใช้พลังงานในการผลิตต่ำ เทคโนโลยีไม่ซับซ้อน และสังเคราะห์เส้นใยได้ในอุณหภูมิห้อง แต่มีข้อเสียคือ เป็นการยากที่จะผลิตเส้นใยนาโนให้ได้ในปริมาณมากๆ และเนื่องจากขนาดที่เล็กมากของเส้นใยนาโนที่ได้จากเทคนิคนี้ ทำให้เกิดปัญหาในการควบคุมคุณภาพ ทีมวิจัยจึงออกแบบและพัฒนาระบบอิเล็กโตรสปินนิ่งที่ควบคุมการทำงานผ่านคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้สังเคราะห์เส้นใยนาโนโพลีเมอร์ และเส้นใยนาโนเซรามิกที่มีคุณภาพดี สามารถผลิตได้ในปริมาณมาก ใช้งานได้สะดวก มีความปลอดภัยสูง และสามารถเป็นเครื่องมือต้นแบบในการพัฒนาสู่การผลิตเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ระดับอุตสาหกรรมที่ผลิตขึ้นเองในไทย ซึ่งในอนาคตยังมีแผนที่จะผลิตป้อนตลาดในประเทศและต่างประเทศด้วย ตัวอย่างการนำเส้นใยนาโนมาใช้งาน ได้แก่ การสังเคราะห์เส้นใยนาโนโพลีเมอร์สำหรับใช้ทำเนื้อเยื่อเทียม จะช่วยลดการนำเข้าเนื้อเยื่อเทียมจากต่างประเทศ การสังเคราะห์เส้นใยนาโนไททาเนียมไดออกไซด์ สามารถประยุกต์ใช้ในการบำบัดมลพิษและด้านพลังงาน เป็นต้น ผลงานนี้ได้รับรางวัลชมเชยผลงานประดิษฐ์คิดค้น สาขาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและอุตสาหกรรม (สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์) ประจำปี 2549 จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และนำมาจัดแสดงในงานวันนักประดิษฐ์เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาด้วย (คมชักลึก ศุกร์ที่ 3 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)
อุปกรณ์เผาน้ำมันหอมระเหย
อุปกรณ์เผาน้ำมันหอมระเหย (USB fragrance oil burner) ที่สามารถเชื่อมต่อการทำงานผ่านทางพอร์ตยูเอสบีได้ พอร์ต USB มีอุปกรณ์เชื่อมต่อด้วยมากที่สุด ตั้งแต่อุปกรณ์รอบข้างพื้นฐานที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ ไปจนถึงเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นพัดลม หลอดไฟ ถุงมือให้ความอุ่น เครื่องนวดไฟฟ้า และล่าสุดคือ อุปกรณ์เผาน้ำมันหอมระเหย สำหรับเจ้าอุปกรณ์ที่ว่านี้ จะมีถาดร้อนสำหรับใส่น้ำมันหอมระเหยที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 เซนติเมตร พร้อมฝาครอบใสที่จะช่วยให้น้ำหอมกระจายกลิ่นฟุ้งออกไปในทิศทางต่างๆ เวลาใช้งานก็เพียงแค่เสียบเจ้าอุปกรณ์นี้เข้ากับพอร์ตยูเอสบีของคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ หรือโน้ตบุ๊กก็ได้ จากนั้นหยอดน้ำมันเข้าไปในถาดร้อน และกดปุ่มสวิตช์เปิด โดยจะมีหลอดไฟ LED แสดงสถานะการทำงานให้ทราบ ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลเรื่องไหม้ เนื่องจากฝาปิดได้รับการออกแบบให้ใส ทำให้สามารถมองเห็นได้ว่า น้ำมันหอมระเหยหมดแล้วหรือยัง ผู้ใช้คอมพิวเตอร์จะได้รู้สึกสดชื่น และผ่อนคลายเวลาทำงานได้อย่างแท้จริง สำหรับชุดอุปกรณ์จะมาพร้อมกับสายเคเบิลยาว 1.5 เมตร ขนาดของมันก็เล็กกะทัดรัดเพียงแค่ 98x98x41.5 มม. และมีน้ำหนักแค่ 86 กรัมเท่านั้น ราคาอยู่ที่ 19 เหรียญสหรัฐฯ(ประมาณแปดร้อยบาท) (สยามรัฐรายวัน ศุกร์ที่ 3 มี.ค. 49 http://www.siamrath.co.th)
แพทย์ มข.เจ๋ง ประดิษฐ์เครื่องมือตัดมดลูก
รศ.นพ.โกวิท คำพิทักษ์ อาจารย์หมอภาควิชาสูติ-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) คิดประดิษฐ์ เครื่องมือตัดมดลูก ขึ้น อาจารย์หมอโกวิท กล่าวว่า การผ่าตัดมดลูกสามารถทำได้โดยวิธีการส่องกล้องช่วยโดยตัดเอ็นยึดมดลูก และเส้นเลือดที่เลี้ยงส่วนบนของมดลูกด้วยกล้อง จากนั้นจึงตัดเอ็นและเส้นเลือดของมดลูกส่วนล่างทางช่องคลอด แล้วจึงนำมดลูกออกทางช่องคลอด แต่วิธีดังกล่าวไม่เป็นที่นิยมปฎิบัติกันนัก เพราะมีข้อจำกัดในเรื่องขนาดของมดลูกที่ต้องผ่าตัด หากมดลูกมีขนาดใหญ่มากกว่าผลส้มเช้ง หรือเส้นศูนย์กลางประมาณ 7 เซนติเมตรขึ้นไป ก็ไม่สามารถที่จะใช้วิธีนี้ได้ เนื่องจากปากช่องคลอดแคบ ทำให้ไม่สามารถที่จะดึงมดลูกที่ผ่าตัดแล้วออกมาได้ แพทย์ส่วนใหญ่จะใช้วิธีผ่าตัดทางหน้าท้องผู้ป่วย ซึ่งทำให้เกิดแผลผ่าตัดขนาดใหญ่ พักฟื้นนานกว่าแผลจะหาย จึงทำให้เกิดแนวคิดที่จะประดิษฐ์เครื่องมือช่วยตัดมดลูก โดยการผ่ามดลูกให้เล็กลงเป็น 2 ส่วน แล้วจึงดึงมดลูกที่ผ่าออกทีละส่วน ซึ่งการผ่าตัดด้วยวิธีนี้สามารถผ่าตัดมดลูกที่มีขนาดใหญ่ได้ โดยไม่ต้องเปิดหน้าท้อง จะทำให้ผู้ป่วยมีแผลจากการผ่าตัดเล็กลง เจ็บน้อยกว่า และใช้เวลาในการฟื้นตัวเร็วขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา หากผู้ป่วยมีขนาดมดลูกใหญ่ ต้องใช้วิธีผ่าตัดเปิดหน้าท้อง ซึ่งปกติจะใช้เวลาประมาณ 1-1.5 ชั่วโมง แต่หากใช้วิธีส่องกล้อง และใช้เครื่องมือตัดมดลูกหากเป็นแพทย์ที่ใช้เครื่องมือชำนาญ จะใช้เวลา 10-20 นาที เท่านั้น สำหรับหน่วยงานแพทย์ที่สนใจในนวัตกรรมชิ้นนี้ สามารถสอบถามเพิ่มเติมที่โทร.0-4336-2006 (สยามรัฐรายวัน ศุกร์ที่ 3 มี.ค. 49 http://www.siamrath.co.th)
บุคลิกภาพที่อาจนำไปสู่โรคร้าย
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย แวนเดอร์บิลท์ สหรัฐอเมริกา ได้แยกบุคลิกภาพของคนที่มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคร้ายออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มเอ บี และซี กลุ่มเอ คือคนที่มีนิสัยขี้โมโห เห็นแก่ตัว ชอบเยอะเย้ยถากถาง ชอบความรุนแรง หาเรื่อง ไม่ไว้ใจผู้อื่น และชอบทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก คนประเภทนี้ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ มากกว่าคนที่ทำตัวเรื่อยเปื่อย เพราะคนกลุ่ม เอ นี้ มีอารมณ์ที่ปรวนแปรง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่า คนที่สงบเสงี่ยม เจียมตัว ขี้อาย ซึ่งจัดว่าเป็นกลุ่มบี นั้นจะปลอดภัย ถ้าคิดเช่นนั้น ต้องคิดใหม่ เพราะคนกลุ่มนี้ จะมีภูมิคุ้มกันโรคต่ำซึ่งเป็นผลจากระดับฮอร์โมนคอลติซอลสูง ส่งผลให้เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย ส่วนบุคลิกภาพ กลุ่มสุดท้าย คือกลุ่ม ซี นั้น เป็นพวกที่ชอบเก็บอารมณ์ ข่มความรู้สึก อดทน อดกลั้น ไม่ชอบความขัดแย้ง กลุ่มนี้ มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง เพราะความพยายามในการควบคุมอารมณ์ จะทำให้ร่างกายมีระดับ Stress ฮอร์โมนสูง ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานมากเกินไป ทำให้เกิดการแข็งตัวของผนังเซล หรือเนื้อเยื่อ รวมไปถึงรูมาตอยด์ ไขข้ออักเสบ และโรคผิวหนังเรื้อรัง เมื่อเป็นเช่นนี้ เราสามารถจะเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพของเราได้หรือไม่ เพื่อจะลดความเสี่ยงของโรคร้ายเหล่านี้ คำตอบคือ บุคลิกภาพของเรา ถูกกำหนดโดยยีน แต่ในเรื่องของอารมณ์นั้น เราจะได้รับอิทธิพลจากหลายด้าน ทั้งพ่อแม่ การเลี้ยงดู และเพื่อน ดังนั้น จึงเป็นที่น่ายินดีว่า เราสามารถเปลี่ยนแปลงบางส่วนได้ หากรู้จักวิธีการในการโต้ตอบสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยความสงบและใจเย็น (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 3 มี.ค. 49 http://www.bangkokbiznews.com)
กล้องวงจรปิด จับภาพอัตโนมัติ
นวัตกรรมผลงานของนักศึกษาภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี ประกอบด้วย นายเจริญ น่วมกระจ่าง นายศรีกรุง วรรณโภคิน และนายไพฑูรย์ มินจันทึก ซึ่งช่วยกันคิดโปรแกรมควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้องแบบไร้สาย (cctv) สำหรับนำไปประยุกต์ไปใช้ในระบบรักษาความปลอดภัย เนื่องจากกล้องวงจรปิดที่มีอยู่ในปัจจุบัน ยังมีข้อบกพร่องที่ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยไม่สามารถเคลื่อนไหวตามวัตถุได้ ยังต้องใช้คนเป็นผู้ควบคุมอยู่ ทำให้สิ้นเปลืองทรัพยากรและค่าใช้จ่าย จากข้อจำกัดดังกล่าวนี้เอง นักศึกษากลุ่มนี้จึงได้คิดทำเครื่องต้นแบบสำหรับงานควบคุมอัตโนมัติเพื่อการติดตามการเคลื่อนไหว โดยใช้กล้องแบบไร้สาย ซึ่งรับคำสั่งจากโปรแกรมที่ได้ประมวลผลให้หมุนตามวัตถุที่เคลื่อนไหวผ่าน การทำงานของเครื่องจะเริ่มต้นที่เมื่อมีวัตถุเคลื่อนผ่านอุปกรณ์ตรวจจับสิ่งกระตุ้น หรือ SENSOR ก็จะส่งข้อมูลไปที่กล้องประมวลผลที่ได้พัฒนาขึ้น เพื่อประมวลผลแล้วส่งให้กล้องหันเคลื่อนตามวัตถุนั้น และเริ่มบันทึกภาพโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องมีคนมาคอยควบคุมการหันกล้อง ผู้ที่สนใจติดต่อได้ที่ภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ โทร.0-2549-3510-3 หรือ 0-1422-1737 (มติชนรายวัน ศุกร์ที่ 3 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th)
มองเห็นโลกโศภินผินห่างโรคหัวใจ - ตรงข้ามโลกยิ่งมืดโรคทรุด
นักวิทยาศาสตร์ของสถาบันสุขภาพจิต ได้พบจากการศึกษาผู้ชายสูงอายุ ที่มีอายุระหว่าง 64-84 ปี 545 คน ได้พบว่า คนที่มองเห็นโลกสดใสจะเป็นโรคหัวใจ และโรคของหลอดโลหิตตายน้อยกว่าผู้ที่มักจะเห็นโลกมืดมนยิ่งกว่ากันตั้งครึ่ง หมอโรคหัวใจก็เห็นด้วยว่า การมองโลกในแง่ดีจะให้คุณอย่างยิ่ง เพราะผู้ที่ยึดหลักสุนิยมในชีวิตมักจะชอบออกกำลังและเลิกนิสัย และความเป็นอยู่ที่เป็นการทำลายสุขภาพต่างๆลงเสียได้ การศึกษาวิจัยเมื่อก่อนหน้านี้เคยพบว่า คนที่มองโลกแจ่มใสมักจะมีอายุยืนยาว แต่การค้นพบหนนี้ นับว่าเพิ่งเป็นการพบว่ามันเป็นผลดีกับอาการของโรค หัวใจโดยตรงเป็นหนแรก หัวหน้าคณะนักวิจัย นายอีริค กิลเตย์ กล่าวเปิดเผยว่า ความรู้สึกมองโลกในแง่ดีจะประเมินพบกันได้ง่าย และมักจะคงอยู่ได้เป็นเวลานาน แม้ว่ามันจะค่อยลดน้อยถอยลงตามวัยก็ตาม ขณะเดียวกัน การมองเห็นโลกแต่ในแง่ร้ายก็จะแสลงต่อโรคหัวใจทั้งโดย ตรงและอ้อมหลายทางด้วยกัน (ไทยรัฐ อาทิตย์ที่ 5 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)
ข่าวทั่วไป
โรงพยาบาลกลางใช้ดนตรีไทย ผ่อนคลายความเครียดและกังวล
แพทย์และพยาบาลวงดนตรีไทย ของโรงพยาบาลกลางกว่า 10 คน ร่วมกันบรรเลงและขับร้องเพลงให้คนไข้ และญาติผู้ป่วยที่มารอรับการรักษาได้ฟังอย่างเพลิดเพลิน โดย น.พ.สุวิชา นุตกุล แพทย์กลุ่มงานศัลยกรรมกระดูก ประธานชมรมดนตรีไทยของโรงพยาบาลกลาง กล่าวว่า ทุกเช้าวันศุกร์ เวลา 07.30-08.30 น. สมาชิกของวงดนตรี ซึ่งร้อยละ 80 เป็นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล มีทั้งแพทย์ด้านกระดูก วิสัญญีแพทย์ ทันตแพทย์ และพยาบาล จะร่วมกันสละเวลาก่อนทำงานมาเล่นดนตรีไทยให้คนไข้และญาติฟัง เพราะเสียงดนตรีสามารถสร้างอารมณ์ และความรู้สึกที่ดี ช่วยผ่อนคลายความเครียดและความกังวลที่เกิดขึ้นได้ อีกทั้งการได้ฟังดนตรีอย่างน้อย 20 นาทีต่อวัน จะช่วยให้ ระบบการเต้นของหัวใจและระบบอื่นๆ ของร่างกายทำงานดีขึ้น มีสมาธิมากขึ้น ปัจจุบัน กทม. มีโรงพยาบาลในสังกัด 9 แห่ง มีโรง พยาบาลกลางเพียงแห่งเดียวที่จัดโครงการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยและดนตรีบำบัด ตามนโยบายด้านศิลปวัฒนธรรมในแผนบริหารราชการของ กทม. ปี 2548-2551 โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2548 ถึงขณะนี้รวมกว่า 3 เดือน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ชม. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 27 ก.พ. 49 http://www.thairath.co.th)
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับปลาทู
ปลาทูเป็นสินค้าพื้นเมืองอย่างหนึ่งของจังหวัดสมุทรสงคราม มีขายทั้งปลาทูสดและปลาทูนึ่ง เป็นที่นิยมบริโภคเพราะตัวใหญ่ มีความมันและเนื้อนิ่ม ปลาทูนึ่งของจังหวัดสมุทรสงคราม ก็รสชาติดี มีเอกลักษณ์ คือจัดวางเรียงในเข่งแล้วหักหัวงอพับลงมาอย่างมีศิลปะ ทำให้ปลาทูอ้วนสั้น ไม่แข็งทื่อ เหมือนปลาทูนึ่งทั่วไป จากข้อสังเกตของชาวประมงพบว่า ปลาทูที่เนื้อนิ่มอร่อยนั้นมี 2 แห่ง คือ ที่จังหวัด สมุทรสงครามและที่จังหวัดสตูล เพราะปลาจากที่แหล่งอื่นเป็นดินทราย เนื้อจะแข็ง ขาดความมัน ไม่อร่อย และเป็นที่รู้กันว่าปลาทูจากเรือตังเกและเรืออวนลาก มีรสชาติที่ต่างกันชัดเจน ปลาทูโป๊ะจะมีตัวสีขาว แถบน้ำเงินสดใส ตาโต แต่ปลาตังเกและปลาอวนลาก จะมีตัวค่อนข้างหนา ไม่ได้ขนาด ตาแดง เนื้อแข็ง ไม่นิ่มเหมือนปลาโป๊ะ กิจการขายปลาทูนึ่ง เป็นอาชีพที่ทำรายได้ดีพอควร มีทำกันเป็นอุตสาหกรรมในครอบครัว ทำขายกันตามความต้องการของตลาด กับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ส่งไปขายจังหวัดใกล้เคียง (ข้อมูลจากจังหวัดสมุทรสงคราม). (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 27 ก.พ. 49 http://www.dailynews.co.th)
เปิดโมเดล เครือซิเมนต์ไทย วิธีบริหาร "คน" แบบ "พอเพียง"
นายสมบัติ กุสุมาวลี อาจารย์จากโครงการบัณฑิตศึกษาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สถาบันพัฒนบริหาร ศาสตร์ (นิด้า) เลือก "เครือซิเมนต์ไทย" เป็นกรณีศึกษา ในการสร้างกระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพราะหากมองในแง่อายุองค์กรนั้น ยาวนานกว่า 92 ปี หากวัดในแง่ความสำเร็จ องค์กรได้รับรางวัล เป็นบริษัทที่ดีที่สุดในเอเชียประจำปี 2003 จากการจัดอันดับของนิตยสารไฟแนนซ์เอเชีย และเป็นบริษัทผู้นำในประเทศไทยจากการจัดอันดับของนิตยสารฟาร์อีสเทิร์น อีโคโนมิก รีวิว ส่วนด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลนั้น เครือซิเมนต์ไทยยังโดดเด่นมาอย่างต่อเนื่อง เครือซิเมนต์ไทยมีความชัดเจนในเรื่องการสร้างสมดุลในธุรกิจที่สร้างความสมดุลในการทำธุรกิจและสร้างคนในองค์กรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ที่น่าสนใจและที่คุยกันมากหากเป็นชุมชนที่ใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือจะต้องใช้แรงงานที่มีอยู่ในชุมชนให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเน้นใช้แรงงานในชุมชนซึ่งเครือซิเมนต์ไทยสะท้อนภาพนี้ชัดในการใช้คนในองค์กรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและใช้หลักการเติบโตของคนในองค์กรที่เติบโตจากข้างใน จนกลายมาเป็นการสร้างวัฒนธรรม สร้างผู้นำรุ่นใหม่ๆ ได้นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่มีหลักการ ได้แก่ ความพอประมาณ ความมีเหตุมีผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี ความรู้คู่คุณธรรมมาจับ จะเห็นว่าบริษัทมีการบริหารจัดการองค์กรโดยเฉพาะการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่สอดคล้องยิ่งกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สร้าง "สมดุล" 4 ขา ในด้านความพอประมาณ องค์กรมีความพอดีไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป และมุ่งประโยชน์ระยะยาวมากกว่าระยะสั้น โดยมีความพอประมาณทั้งในแง่ของการรับบุคลากรที่รับน้อยเท่าที่จำเป็น การ บริหารค่าจ้างและสวัสดิการที่พอประมาณ โดยเน้นความสมดุลและการตอบสนองผลประโยชน์ที่เป็นธรรมทั้ง 3 ฝ่าย ได้แก่ ผู้ถือหุ้น ให้ได้รับเงินปันผลที่เป็นธรรม ลูกค้าได้รับสินค้าและบริการที่มีคุณภาพในราคาที่ยุติธรรม และพนักงานได้รับผลตอบแทนและดูแลที่เหมาะสมและเป็น ดังนั้นการจะเป็นองค์กรที่ยึดหลักความพอเพียงและเติบโตอย่างยั่งยืนได้ จึงต้องเริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนวิธีคิดโดยมีผู้นำเป็นพลังผลักดันสำคัญ (ประชาชาติธุรกิจ จันทร์ที่ 27 ธ.ค. 49 http://www.matichon.co.th/prachachart)
สธ.ทุ่มงบพัฒนาคุณภาพยาไทย
กระทรวงสาธารณสุขใช้งบกว่า 400 ล้านบาทยกระดับคุณภาพยาแผนปัจจุบันสู่มาตรฐานโลก หลังตรวจพบยาที่ผลิตในไทยผิดมาตรฐานร้อยละ 13 หวังลดการสูญเปล่าเงินจากการใช้ยาด้อยคุณภาพไม่ต่ำกว่าปีละ 6 พันล้านบาท กระทรวงสาธารณสุขจึงได้จัดทำโครงการประกันคุณภาพยาแผนปัจจุบันที่ผลิตในประเทศไทย เพื่อให้ยาที่ผลิตในประเทศได้มาตรฐานสากล สร้างความมั่นใจให้คนไทยได้บริโภคยาที่ประสิทธิภาพดีให้ผลต่อการบำบัดรักษาอาการเจ็บป่วย โดยเฉพาะยาที่ใช้ในโครงการ 30 บาท ให้ได้รับยาดีที่มีราคาถูก และลดปัญหาเชื้อโรคดื้อยา ตลอดจนสามารถผลิตทดแทนการนำเข้ายา การดำเนินโครงการดังกล่าวใช้งบประมาณลงทุนประมาณ 434 ล้านบาท มีสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รับผิดชอบ ตั้งเป้าภายในปี 2551 ยาในประเทศไทยจะมีมาตรฐานสูงกว่าร้อยละ 95 โดยยาสำเร็จรูปที่ตรวจพบว่าไม่ได้ตามเกณฑ์มาตรฐานจะเก็บออกจากท้องตลาดและระงับการใช้อย่างรวดเร็ว ซึ่งผลเสียของการใช้ยาที่ไม่ได้มาตรฐานทำให้ประเทศไทยเกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจสูงถึงปีละกว่า 6,000 ล้านบาท (คมชัดลึก พุธที่ 1 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)
เปิดตัว รพ.มะเร็งเอกชนแห่งแรกในไทย
โรงพยาบาลกรุงเทพ เปิดตัวโรงพยาบาลมะเร็งแห่งแรกในไทยชื่อ "วัฒโนสถ" ชูเครื่องสแกนหาเซลล์มะเร็งเริ่มต้นได้ตั้งแต่ขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว ช่วยการวินิจฉัยไม่พลาด พร้อมทีมงานจากโรงเรียนแพทย์ ตั้งเป้าเพิ่มลูกค้ากว่า 10% จากยอดรวมของเครือ ทั้งกลุ่มคนระดับกลางจนถึงลูกค้าต่างชาติชั้นดี โรงพยาบาลวัฒโนสถ ซึ่งชื่อมีความหมายว่า "ยาก้าวหน้า"ถือเป็นโรงพยาบาลมะเร็งเอกชนแห่งแรกในประเทศไทย ในเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ซึ่งใช้งบลงทุนประมาณ 1,500 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าอาคารสถานที่ 600-700 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นค่านำเข้าเทคโนโลยีและเครื่องมือ ซึ่งเครื่องที่สำคัญคือเครื่องช่วยตรวจค้นหามะเร็งในระยะเริ่มต้น (PET/CT) ราคา 60 ล้านบาท เครื่องฉายรังสีและเครื่องผลิตสารซินโคลตรอน (cyclotron) ซึ่งราคาแพงที่สุดถึง 200 ล้านบาท สำหรับใช้งานคู่กับเครื่องเพ็ท/ซีที เพื่อให้บริการด้านมะเร็ง เพื่อรองรับนโยบายเมดิคัลฮับ เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านไม่มีเครื่องมือและเทคโนโลยีนี้ จึงเชื่อว่าจะมีลูกค้าต่างชาติในแถบภูมิภาคนี้เข้ามาใช้บริการ รวมทั้งดึงลูกค้าคนไทยไม่ให้ออกไปรักษายังต่างประเทศ และในเร็วๆ นี้ โรงพยาบาลแห่งนี้จะเป็นแหล่งเพิ่มทักษะความรู้ให้แพทย์จากเพื่อนบ้านด้วย ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีรักษามะเร็ง ยังรวมถึงเครื่องรังสีรักษาที่สามารถกำหนดขอบเขตการฉายรังสีที่มีความเฉพาะเจาะจง และกำหนดรูปร่างของก้อนเนื้อมะเร็งได้อย่างใกล้เคียง ทั้งยังกำหนดปริมาณรังสีที่จะเข้าไปในแต่ละมุม ช่วยให้เนื้อเยื่อดีรอบข้างถูกรบกวนน้อยสุด ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับรังสีที่ไม่จำเป็นน้อยลง และลดผลข้างเคียงได้ด้วย (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 1 มี.ค. 49 http://www.bangkokbiznews.com)
คัดเลือกเด็กไทยร่วมงาน"ตุรกี"
สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิพักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส คนพิการและผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ แจ้งว่า ประกาศรับสมัครเด็กไทยอายุตั้งแต่ 8-14 ปี เกิดในปีพ.ศ.2535-2541 เพื่อสอบคัดเลือกเข้าร่วมเทศกาลงานวันเด็กนานาชาติ ครั้งที่ 28 ที่ประเทศตุรกี ในวันที่ 17-26 เม.ย. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็กๆ ทั่วโลกได้มาพบปะทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นการแบ่งปันความรู้สึกและประสบการณ์ อันจะนำไปสู่สันติภาพ มิตรภาพ ความรัก และความเข้าใจของเด็กๆ ในอนาคต มีเด็กจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกกว่า 80 ประเทศรวมทั้งประเทศไทยและตุรกี ที่เข้าร่วมงานในครั้งนี้ สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียด และสมัครได้ที่สำนักส่งเสริมและพิทักษ์เยาวชน สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิพักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส คนพิการและผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เลขที่ 618/1 ถนนนิคมมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ โทร.0-2255-5850-7 ต่อ 190 และ 192 ในวันเวลาราชการ หรือเว็บไซต์ www.opp.go.th (ข่าวสด พุธที่ 1 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)
พบ 'นครปอมเปอีแห่งตะวันออก' ชาวเมืองเชื้อสายเวียดนาม-เขมร
ขุดพบอาณาจักรโบราณอันรุ่งเรือง ซึ่งถูกเถ้าถ่านจากภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกยุคปัจจุบัน กลบฝังรวมทั้งชาวเมืองเกือบแสนชีวิตตายลงในทันทีทันใด บนเกาะซุมบาวาของอินโดนีเซีย สมัยเมื่อปี พ.ศ. 2358 บริเวณซากเมืองโบราณแห่งนั้น ซึ่งถูกยกย่องให้ถือเป็น นครปอมเปอีแห่งตะวันออก ศาสตราจารย์ฮราลดูร ซิกุดส์สัน แห่งมหาวิทยาลัยโรด ไอส์แลนด์ ของสหรัฐอเมริกา หัวหน้าคณะสำรวจ ซึ่งเพียรค้นคว้าศึกษามาตั้ง 20 ปี ได้พบ ทั้งซากศพ บ้านเรือน และแบบชีวิตความเป็นอยู่ ยังคงเหมือนกับถูกหุ้มห่อรักษาไว้อย่างมิดชิด คงมีสภาพเดิมเหมือน กับที่เป็นอยู่เมื่อตอน พ.ศ. 2358 เป็นเวลา 191 ปีมาแล้ว เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องระวังรักษาไว้ คณะผู้สำรวจได้พบเศษของเครื่องปั้นดินเผา ไม้ที่เป็นเถ้าถ่าน และเศษกระดูกก่อนในตอนแรก หลังจากนั้นได้ใช้อุปกรณ์เรดาร์ส่องสำรวจลึกลงไปในพื้นดิน ที่เป็นกองเถ้าถ่านจากภูเขาไฟระเบิด ได้พบซากบ้านซึ่งจมอยู่ใต้ดินลึกถึง 3 เมตร ในบ้านยังมีซากศพของคน 2 คน ตลอดจนข้าวของต่างๆ การระเบิดของภูเขาไฟลูกชื่อเดียวกับเมือง เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2358 เป็นการระเบิดของภูเขาไฟครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ มนุษย์ยุคปัจจุบัน ลำเถ้าถ่านร้อนเป็นไฟ และเศษก้อนหินและดินได้ตกทับถม สังหารชาวเมืองประมาณ 88,000 คน ลงในทันทีทันใด ประมาณว่า แรงระเบิดคราวนั้นรุนแรงยิ่งกว่าเมื่อครั้ง ภูเขาไฟกรากะตัวระเบิดเมื่อปี พ.ศ. 2426 ไม่น้อยกว่า 4 เท่า. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 3 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)
การปฏิบัติตนของผู้ใช้เคมีบำบัด
การเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ใช้เคมีบำบัดในการรักษาโรคมะเร็ง เป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจ เพื่อให้ร่างกายพร้อมที่จะเผชิญกับโรค และเผชิญกับการใช้เคมีบำบัด ด้านร่างกาย ต้องรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ เพิ่มการนอนพัก ตอนกลางวันวันละ 1-2 ชั่วโมง ถ้ามีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคที่ต้องรับประทานยาเป็นประจำ ต้องแจ้งให้แพทย์ผู้รักษาทราบ ด้านจิตใจ ควรทำอารมณ์ จิตใจ พร้อมรับการรักษา ลดความกลัว ความวิตกกังวล มั่นใจในวิทยาการสมัยใหม่ ซึ่งสามารถลดอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ ถ้ารู้สึกไม่สบายใจ เกี่ยวกับโรค การดูแลรักษาตนเอง ควรปรึกษาแพทย์และพยาบาล การปฏิบัติตนระหว่าง และหลังรับยาเคมีบำบัด รับประทานอาหารครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง หลีกเลี่ยงอาหารหวานจัด มันจัด กลิ่นฉุน ควรดื่มน้ำอุ่นๆ น้ำส้ม น้ำมะนาว บ้วนปากด้วยน้ำอุ่นๆ หรือน้ำเกลือเจือจางหลังรับประทานอาหาร หรือหลังอาเจียนทุกครั้ง และควรปฏิบัติตัวเมื่อมีอาการดังต่อไปนี้ เยื่อบุช่องปากอักเสบ รักษาความสะอาดในช่องปาก แปรงฟันด้วยแปรงสีฟันขนนุ่มๆ บ้วนปากด้วยน้ำหรือน้ำเกลือบ่อยๆ และหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง รับประทานอาหารอ่อน หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ร้อนจัด งดบุหรี่ สุรา หมาก และดื่มน้ำมากๆ ภูมิต้านทานต่ำ ทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย ต้องดูแลรักษาความสะอาดร่างกายทั่วไป หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ชุมชน เช่น โรงภาพยนตร์ ศูนย์การค้า หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับบุคคล ที่เป็นโรคติดต่อ เช่น ไข้หวัด วัณโรค รับประทานอาหารที่สุก สะอาด งดผักสด สังเกตการติดเชื้อ เช่น มีไข้สูง เจ็บคอ ปัสสาวะแสบขัด ให้รายงานแพทย์หรือพยาบาลทราบ ผมร่วง เพราะเคมีบำบัดบางชนิดทำให้ผมร่วงหมดศีรษะ แนะนำให้ซื้อวิกผมมาใส่ และ เมื่อจบการรักษา ผมจะงอกขึ้นมาเป็นปกติ โปรดระลึกไว้เสมอ : อาการข้างเคียงเหล่านี้ อาจเกิดขึ้น หรือไม่ก็ได้ ถ้าเกิดขึ้นจะเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อหยุดการรักษาอาการต่างๆ ก็จะหายไป การปฏิบัติตนเมื่อกลับบ้าน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ต่อไปอีกประมาณ 1 เดือน เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น กรณีมีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้สูง คลื่นไส้อาเจียนมาก ท้องเสียรุนแรง มีจุดเลือดออกตามผิวหนัง หรือมีเลือดออกจากอวัยวะต่างๆ ให้ติดต่อแพทย์ก่อนวันนัด (คมชักลึก ศุกร์ที่ 3 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)
สนพ.แจกฟรี!คู่มือประหยัดพลังงาน
นายเมตตา บันเทิงสุข ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน แจ้งว่า เพื่อให้เยาวชนรับร้ข้อมูลด้านการประหยัดพลังงานให้ทั่วถึง สนพ.จึงได้จัดทำสาระน่ารู้ เรื่อง การอนุรักษ์พลังงาน 1 วันกับการประหยัดพลังงานสำหรับเยาวชน ซึ่งเสนอวิธีประหยัดพลังงานที่ชวนติดตาม ให้เยาวชนสามารถนำไปปฏิบัติได้ทันทีในชีวิตประจำวัน และยังมีสำนวนเตือนใจให้เยาวชนใช้พลังงานและทรัพยากรต่างๆ อย่างประหยัด โดยมี น้องแป้ง เป็นตัวเดินเรื่อง ดังนั้น เนื้อหาสาระในคู่มือประหยัดพลังงานฉบับนี้จึงน่าสนใจ และเหมาะกับเยาวชนเป็นอย่างยิ่ง โดยผลิตสำหรับแจกให้เยาวชนที่สนใจจำนวน 20,000 เล่ม ทั้งนี้ เยาวชนที่สนใจ ติดต่อขอรับได้ฟรี หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์พลังงานหาร 2 โทร. 0-2612-1555 ต่อ 204-205 หรือ www.eppo.go.th นอกจากนี้ สนพ.ยังมีหนังสือคู่มือบอกวิธีประหยัดพลังงานและโปสเตอร์ประหยัดพลังงานอีกมากมาย แจกให้สำหรับประชาชนทั่วไป (สยามรัฐรายวัน ศุกร์ที่ 3 มี.ค. 49 http://www.siamrath.co.th)
ผู้สูงวัยขยับกายาออกท่าเอ็กเซอร์ไซส์
ก่อนที่ผู้สูงอายุจะเริ่มออกกำลังจึงควรต้องรู้ว่าต้องเตรียมตัวกันอย่างไร บรรทัดถัดจากนี้ไปเป็นคำแนะนำของโรงพยาบาลบาร์นส์-ยิววิช เซนต์ ปีเตอร์ส ในสหรัฐอเมริกา ให้ข้อเสนอแก่ ผู้สูงอายุที่จะออกกำลังไว้ดังนี้ ให้ลองเริ่มยืนด้วยขาข้างเดียวเป็นระยะเวลาประมาณครึ่งนาที เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กล้ามเนื้อและปรับสมดุลการทรงตัว ควรอบอุ่นร่างกายอย่างน้อย 10 นาทีก่อนออกกำลังหรือลงเล่นกีฬา เลือกชนิดกีฬาที่เหมาะสมกับสภาพทางกายภาพของเรา หลังจากออกกำลังแล้วต้องไม่ลืมที่จะให้เวลากับการชะลอความเร็ว หรือผ่อนแรงในการออกกำลังกายลง เพื่อให้หัวใจได้ค่อยๆ ปรับเข้าสู่ความเปลี่ยนแปลง จากเต้นเร็วมากให้ค่อยเข้าสู่ภาวะปกติ สำหรับคนที่มีโรคประจำตัวควรจะปรึกษากับแพทย์ก่อนว่า การออกกำลังกายแบบที่จะเลือกนั้นเหมาะกับตนเองหรือไม่. (ไทยรัฐ อาทิตย์ที่ 5 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)
ดื่มน้ำให้ถูกวิธี
ในร่างกายของคนเรา มีน้ำประกอบอยู่ถึง 3 ใน 4 ส่วน ดังนั้นการดื่มน้ำ จึงถือเป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญอย่างมาก การดื่มน้ำให้ถูกวิธี ก็ยิ่งเป็นการเสริมสร้างสุขภาพของเราให้ดียิ่งขึ้นด้วย คนเราสามารถรับรู้สภาวะที่ร่างกายต้องการน้ำอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้ไม่ควรพรวดพราดดื่มทีละมากๆ เพราะนั่นจะไปเพิ่มภาระให้ระบบขับถ่ายอย่าง ไต ปอด ม้าม รวมทั้งระบบย่อย ส่วนที่เรียนกันมาว่าต้องดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วนั้น ข้อนี้ทำความเข้าใจกันใหม่ว่า น้ำในที่นี้หมายรวมถึงปริมาณทั้งหมดที่รับในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำจากผัก ผลไม้ น้ำแกง น้ำก๋วยเตี๋ยว หรืออื่นๆ สำหรับใครที่ชอบดื่มน้ำเย็นจัดจนเป็นนิสัย การดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ นั้น อวัยวะของเราต้องทำงานเพิ่มขึ้น เพราะต้องปรับน้ำที่เย็นกว่าให้เท่ากับอุณหภูมิร่างกายก่อนนำไปใช้ ซึ่งส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอลง ระบบย่อยอาหารไม่ดี หรือปวดประจำเดือน ทางที่ดีควรเปลี่ยนไปดื่มน้ำอุ่นๆ เพื่อให้ร่างกายขับเหงื่อ และดื่มตอนที่รู้สึกกระหาย คนที่ชอบดื่มน้ำระหว่างรับประทานอาหาร ประเภทข้าวคำ น้ำคำ ควรเลี่ยงพฤติกรรมนี้อย่างยิ่ง เพราะทำให้น้ำย่อยเจือจาง ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง ร่างกายจะได้รับสารอาหารไม่เต็มที่ ทั้งนี้ถ้ารู้สึกกระหายจริงๆ ให้แก้ไขด้วยจิบน้ำอุ่น หรือซดน้ำซุปแก้ฝืดคอแทน แล้วเคี้ยวอาหารช้าๆ ให้ละเอียดก่อนกลืน จะช่วยลดความกระหายน้ำได้ ถ้าต้องการดื่มน้ำให้ได้ประโยชน์ต่อร่างกายจริงๆ แนะนำว่า ควรดื่มตอนที่เพิ่งลุกจากเตียงหมาดๆ ระหว่างมื้ออาหาร 1 ชั่วโมงก่อนอาหารและหลังจากอิ่มแล้วครึ่งชั่วโมง สุขภาพก็จะแข็งแรงและสดชื่นสุดๆ (สยามรัฐรายวัน เสาร์ที่ 4 มี.ค. 49 http://www.siamrath.co.th)
KMUTT
Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215
|
|
|