|
หัวข้อข่าวปีที่ 7 ฉบับที่ 11 ประจำวันที่ 2006-03-13
ข่าวการศึกษา
สมศ.วัดคุณภาพมหาวิทยาลัยรอบ 2 จัดกลุ่มก่อนอีก 5 ปีค่อยมองอันดับ ห้องสมุดประวัติศาสตร์ ศ.หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล มช.จับมือไมนิจิกรุ๊ปติวเข้มนศ.ที่จะศึกษาต่อญี่ปุ่น ม.เกษตรเปิดสอนผ่านเน็ต รับ'ดีทรอยต์แห่งเอเชีย มจธ.หนุนเทคโนโลยี กระตุ้นเอสเอ็มอีสร้างสินค้าใหม่ ยึดพระราชกรณียกิจผลิตหลักสูตร มรภ.เชียงรายส่ง 28 น.ศ.บินเรียนภาษานจีน กิน-นอน-ศึกษา 5 เดือน-มั่นใจไม่มีปัญหาเจออากาศหนาว อัด สกอ.ดื้อจัดอันดับมหาลัยไร้ประโยชน์
ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี
โลกประจันกับก้อนหินอวกาศยักษ์ ทะยานตัดกับวิถีวงโคจรของโลก ชี้สึนามิล้มทฤษฏีแผ่นดินไหว แผ่นทวีปเก่า-ใหม่ เสียงเท่าเดิม คูเวตสุดอู้ฟู่พบแหล่งก๊าซ-น้ำมันใหม่มโหฬาร "กระสวยอวกาศ"พร้อมบิน นาซ่าชี้"ไอเอสเอส"เสร็จปี2553 รักษามะเร็งร้าย ด้วยคลื่นความถี่สูง พบหลุมอุกกาบาตยักษ์ในอียิปต์ "ลา นีญา"ลามทั่วแปซิฟิกเอเชียเสี่ยงน้ำท่วมใหญ่ วิกฤตโลกร้อนรุมเร้า "แอฟริกา"เสี่ยงแม่น้ำแห้ง! สสวท.เป็นแม่งานจัดประชุมวิชาการวิทย์ สื่อหลอมรวม รีโมตสั่งปากกาเซ็นข้ามโลกไม่ต้องเดินทางให้เสียเวลา สัตว์พันชนิดเสี่ยงสูญพันธ์ชี้กวางเรนเดียร์-วัวมัสวิกฤติสุด ลุ้นยานโคจรรอบดาวแดง
ข่าววิจัย/พัฒนา
วิจัยไม้สักตัดแต่งยีน ต่างชาติยอมรับ..ไทยรอหน่อย ผลวิจัยนอร์เวย์ยืนยัน ยาคุมกำเนิดกระตุ้นไมเกรน แปลงอักษรเป็นเสียงพูด นักโปรแกรมเมอร์เล็งพัฒนาช่วยผู้พิการตา เครื่องกะเทาะเมล็ดทานตะวัน นวัตกรรมใหม่เพื่อเกษตรกร สนพ.เตรียมเปิดตัว ต้นแบบบ้านประหยัดพลังงาน "กล้องวงจรปิด-เสื้อ" แปลงแสงอาทิตย์สู่ไฟฟ้า ศึกษาโทษของโทรศัพท์มือถือ ต่อโปรตีนในร่างกายของคนเรา สกัดน้ำมันเบนซินจากขี้ควาย ออกขายใช้เติมรถภายใน 5 ปี พบวิธีตรวจเร็วโรคสมองฝ่อ อนุมัติใช้กอเอี๊ยะแก้ภาวะซึมเศร้า ตัวยาเดียวกับรักษาสมองเสื่อม ดับร้อนปลอดภัย รู้ทันอันตราย กาเฟอีน วว.ทำอาหารเสริมบำรุงตับส่วนผสมจากพืชสมุนไพรหยุดพิษสุราทำลายเซลล์ตับ รีไซเคิลมูลวัวให้กลายเป็นกลิ่นวนิลาใช้ผสมสินค้า อาหาร...ภัยเงียบต้นเหตุภาวะแก่ก่อนวัย สี ทำได้...มือถือระวังไว้ให้ดี! เตาประหยัด 'แก๊ส' ซดน้ำอัดลม1เดือนพรวดครึ่งกิโล สารจากใบชาปกป้องผิว
ข่าวทั่วไป
หญิงเสี่ยงโรคพุ่มพวงโจมตีประสาท คาดต้นตอวัวบ้าแคนาดา ระบาดผ่านอาหารสัตว์ปนเปื้อน ลูกทัวร์อวกาศราย 4 เป็นญี่ปุ่น ไม่ไปเลือกตั้งเสียสิทธิ 8 ประการอะไรบ้าง เครื่องหอมไทย ซูชิอาจเป็นผลร้ายต่อร่างกายปลาตัวโตมีสารปรอทมาก เครื่องราชฯสำหรับขรก.ต่ออายุ
ข่าวการศึกษา
สมศ.วัดคุณภาพมหาวิทยาลัยรอบ 2 จัดกลุ่มก่อนอีก 5 ปีค่อยมองอันดับ
ศ.ดร.สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพศึกษา (สมศ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร สมศ.ได้ พิจารณาถึงการจัดกลุ่มสถาบันอุดมศึกษา ตามจุดเน้นการปฏิบัติพันธกิจของสถาบันอุดมศึกษา เพื่อจะได้ประเมินคุณภาพภายนอกในรอบสอง ให้สอดคล้องกับเอกลักษณ์ของมหาวิทยาลัยมากขึ้น ซึ่งได้เสนอให้จำแนกมหาวิทยาลัยออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสถาบันอุดมศึกษาที่เน้นทั้งการผลิตบัณฑิต การวิจัย และการพัฒนาสังคมในสัดส่วนที่เท่ากัน, กลุ่มผลิตบัณฑิตกับการวิจัย, กลุ่มผลิตบัณฑิตกับการพัฒนาสังคม, กลุ่มผลิตบัณฑิตกับการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมและกลุ่มที่เน้นผลิตบัณฑิตเป็นสำคัญ โดยจะนำข้อเสนอพร้อมหลักเกณฑ์ไปหารือกับที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยของรัฐ ที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ ที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล และสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนก่อน เพื่อสอบถามความคิดเห็นและนำมาปรับปรุง ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือน มี.ค.นี้ สำหรับการจัดกลุ่มมหาวิทยาลัย จะจัดตามที่มหาวิทยาลัยพึงประสงค์ และต้องการจะเน้นในการพัฒนามหาวิทยาลัย ซึ่งจะทำให้การประเมินภายนอกสอดคล้องกับธรรมชาติและจุดเน้นของแต่ละแห่ง และยุติธรรมมากขึ้นไม่ใช่ใช้หลักเกณฑ์เดียวกันมาประเมินมหาวิทยาลัยทุกแห่งเหมือนเช่นครั้งแรก ทั้งนี้หากเรื่องดังกล่าวลงตัว สมศ.จะเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ให้จัดสรรงบประมาณ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้แต่ละมหาวิทยาลัยมีความเป็นเลิศ (สยามรัฐรายวัน จันทร์ที่ 6 มี.ค. 49 http://www.siamrath.co.th)
ห้องสมุดประวัติศาสตร์ ศ.หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล
ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทร ดิศกุล ตั้งพระทัยจะบริจาคหนังสือที่ทรงสะสมให้กับมหาวิทยาลัยศิลปากร เพื่อจัดทำเป็นห้องสมุดพร้อมเงินสนับสนุน ซึ่งเมื่อถึงรุ่นทายาทจึงได้สืบสานเจตนารมณ์ดังกล่าว โดยได้มอบหนังสือให้กับมหาวิทยาลัยศิลปากร เพื่อจัดตั้งเป็นห้องสมุด ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ขึ้นในปีพุทธศักราช 2544 อาจารย์พุฒ วีระประเสริฐ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร ได้เล็งเห็นคุณค่า และความสําคัญของทรัพยากรสารสนเทศเหล่านั้น ให้ทางมหาวิทยาลัยดําเนินการปรับปรุงศูนย์หนังสือมหาวิทยาลัยศิลปากร(เดิมเป็นห้องสมุดศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล) ให้เป็นแหล่งความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ศิลปะโบราณคดี และสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องสําหรับคณาจารย์ นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไป ทั้งนี้เพื่อเป็นอนุสรณ์ และเป็นการถวายพระเกียรติแด่ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ในฐานะที่ทรงเป็นนักปราชญ์ ทางด้านประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีของไทย ห้องสมุดศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ใช้ระบบห้องสมุดอัตโนมัติMillennium ในการดำเนินงาน โดยจัดหมวดหมู่หนังสือด้วยระบบหอสมุดรัฐสภาอเมริกัน ผู้ใช้บริการสามารถสืบค้นข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตได้ที่เว็บไซต์ www.lib.su.ac.th ผู้มีสิทธิ์ใช้บริการ ได้แก่ อาจารย์ นักศึกษา ข้าราชการ พนักงานของมหาวิทยาลัยศิลปากร และบุคคลทั่วไป โดยจะเปิดบริการ ตั้งแต่วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 08.30-16.30 น. ส่วนวันเสาร์-วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ปิดให้บริการ หรือติดต่อ โทร.0-2623-6115-23 ต่อ 1441,1443 (สยามรัฐรายวัน อังคารที่ 7 มี.ค. 49 http://www.siamrath.co.th)
มช.จับมือไมนิจิกรุ๊ปติวเข้มนศ.ที่จะศึกษาต่อญี่ปุ่น
นางสาวนงคราญ สวนป่า ผู้ประสานงานโครงการจัดสัมมนาแนะแนวศึกษาต่อประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า ปัจจุบันแนวโน้มของนักศึกษาใน จ.เชียงใหม่ พบว่าต้องการศึกษาต่อในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น จะเห็นได้จากมีผู้ที่สนใจเรียนภาษาญี่ปุ่นมากขึ้น และการเปิดหลักสูตรภาษาญี่ปุ่นในโรงเรียนมัธยมและมหาวิทยาลัยหลายแห่งในจังหวัดเชียงใหม่ แต่ที่ผ่านมาการศึกษาต่อในประเทศญี่ปุ่น มีอุปสรรคจำนวนมากทั้งเรื่องของการใช้ชีวิตที่มีความแตกต่างจากประเทศไทย ค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า รวมไปถึงเรื่องของภาษา ซึ่งทั้งหมดถือมีความจำเป็นอย่างมากในการศึกษาต่อที่ญี่ปุ่น สำหรับการเรียนการสอนในประเทศญี่ปุ่น จะสอนเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด เพื่อเป็นการให้ความรู้กับผู้ที่ตั้งใจศึกษาต่อยังประเทศญี่ปุ่น สถานวิชาการนานาชาติ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ร่วมกับศูนย์แนะแนวการศึกษาต่อประเทศญี่ปุ่นครบวงจร หรือ ไมนิจิ อะคาเดมิค กรุ๊ป จัดสัมมนา เพื่อเตรียความพร้อมไปสู่การศึกษาที่ญี่ปุ่นให้ประสบผลสำเร็จ โดยจะมีวิทยากรมาให้ความรู้จากไมนิจิอะคาเดมิค กรุ๊ป พร้อมทั้งศิษย์เก่าญี่ปุ่น ซึ่งการจัดสัมมนาในครั้งนี้จะมีขึ้นในวันที่ 4 มีนาคม49 เวลา13.00น-16.00น. ที่ห้องเชียงรายชั้น 2 สถานวิชาการนานาชาติ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 7 มี.ค. 49 http://www.bangkokbiznews.com)
ม.เกษตรเปิดสอนผ่านเน็ต รับ'ดีทรอยต์แห่งเอเชีย
อาจารย์นนทวัฒน์ จันทร์เจริญ คณบดี เปิดเผยว่า คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เกษตร ได้เข้าร่วมโครงการ Thailand Cyber University ของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) โดยเปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรีออนไลน์ทางอินเตอร์เน็ต (e-Learning) ในหลักสูตรอุตสาหกรรมบัณฑิต (อส.บ.) สาขาเทคโนโลยียานยนต์ เพื่อรับศูนย์กลางอุตสาหกรรมรถยนต์ในภูมิภาคเอเชีย "ดีทรอยต์แห่งเอเชีย" เป็นการสนับสนุนขยายโอกาสให้ผู้จบ ปวส. และกำลังทำงานในสถานประกอบการให้สามารถศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีและทำงานควบคู่กันไปได้ เมื่อจบการศึกษามีศักดิ์และสิทธิ์เทียบเท่าปริญญาตรีระบบปกติ วิธีการเรียนอีเลิร์นนิ่งจะใช้เวลาเรียน 2 ปี ค่าเล่าเรียน บรรยายหน่วยกิตละ 750 บาท ปฏิบัติการหน่วยกิตละ 1,500 บาท เรียนเสริมความรู้ทั่วไปเฉพาะวิชาบรรยาย เหมาจ่ายวิชาละ 2,500 บาท จัดการเรียนการสอนแบบผสมผสาน (Blended Learning) ทั้งการเข้าห้องเรียนในห้องเรียน 15% เรียนจากสื่อการสอนอิเล็กทรอนิกส์ 70% และฝึกปฏิบัติจริงในห้องปฏิบัติการหรือโรงงาน 15% โดยจะเริ่มเปิดรับสมัครการเรียนเป็นรายวิชาก่อนในเดือนมีนาคม 2549 และเปิดสอนจริงในเดือนมิถุนายน 2549 ส่วนการเรียนตามหลักสูตร อส.บ. สาขาเทคโนโลยียานยนต์นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการขออนุมัติตามลำดับขั้นและรอให้ทางกระทรวงศึกษาธิการอนุญาตและประกาศหลักเกณฑ์อย่างเป็นทางการก่อน จะเริ่มรับนิสิตเข้าศึกษาต่อในปี 2550 สนใจดูรายละเอียด ได้ที่ www.eng.ku.ac.th หรือ www.thaicyberu.go.th หรือโทรสอบถามได้ที่ 0-2942-8555 ต่อ 1148, 1152 (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 23 ก.พ. 49 http://www.bangkokbiznews.com)
มจธ.หนุนเทคโนโลยี กระตุ้นเอสเอ็มอีสร้างสินค้าใหม่
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ได้ดำเนิน "โครงการเสริมสร้างผู้ประกอบการใหม่ NEC" โดยเน้นอบรมให้ความรู้ด้านการบริหารจัดการ และทักษะการเป็นผู้ประกอบการในเบื้องต้น เพื่อสร้างผู้ประกอบการใหม่ รวมถึงเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจของผู้ประกอบการรายเดิม โดยได้รับการสนับสนุนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รศ.ดร.นภดล เจียมสวัสดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเทคโนโลยีเอสเอ็มอี กล่าวว่า หลังจากการอบรมสร้างผู้ประกอบการรายใหม่แล้ว มจธ.จะพิจารณาคัดเลือกผู้ที่มีศักยภาพในกลุ่ม สำหรับรับการช่วยเหลือและถ่ายทอดเทคโนโลยีจาก มจธ. รวมถึงจัดหานักวิจัยผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษา แนะนำ ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ผู้ประกอบการแต่ละราย เพื่อเป็นแนวทางพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ทั้งยังให้ข้อเสนอในการปรับปรุงแผนธุรกิจไปพร้อมกันด้วย โครงการดังกล่าว ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนกันยายน 2548 สามารถเข้าถึงเอสเอ็มอีในธุรกิจหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มอาหารแปรรูป ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มแปรรูปสมุนไพรและเครื่องสำอาง สปาและกลุ่มอาหารสัตว์ จากการคัดเลือกผู้ประกอบการจำนวน 30 คน จากผู้สมัครทั้งหมดเข้าร่วมโครงการ 431 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการที่ผ่านการอบรมหลักสูตร NEC (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 23 ก.พ. 49 http://www.bangkokbiznews.com)
ยึดพระราชกรณียกิจผลิตหลักสูตร
นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรักษาการ รมว.วัฒนธรรม กล่าวว่า ในปี 2549 เป็นปีมหามงคลเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์เป็นปีที่ 60 จึงมอบหมายให้คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ศึกษาการสร้างองค์ความรู้ เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ปีที่ 1 จนถึงปีที่ 60 ว่ามีพระราชกรณียกิจความสำคัญอย่างไรบ้างต่อชาติบ้านเมือง เพื่อเป็นแหล่งความรู้ให้เด็กและเยาวชนศึกษาและเจริญรอยตามพระราชกรณียกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัติไว้เป็นตัวอย่าง หากสามารถผลิตออกมาเป็นหลักสูตรการเรียนการสอนได้ยิ่งดี เพราะเท่าที่ทราบปัจจุบันในระบบการศึกษาไทย ไม่มีวิชาหน้าที่พลเมืองแล้ว นอกจากนี้ขอให้ผู้บริหาร ข้าราชการของกระทรวงวัฒนธรรม ปรับเปลี่ยนทัศนคติการทำงานใหม่ นอกจากจะส่งเสริมเรื่องการศึกษาตามแหล่งโบราณสถาน และพิพิธภัณฑ์แล้ว ทำอย่างไรจะทำให้วัฒนธรรมช่วยส่งเสริมความมั่นคงของประเทศ โดยเฉพาะการสร้างสันติใน 3 จังหวัดภาคใต้ ต้องทำเป็นยุทธศาสตร์วัฒนธรรมออกมาให้เป็นรูปธรรม ให้ชาวบ้านแม้จะต่างศาสนา ต่างวัฒนธรรม อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ทำให้ความแตกต่างไม่ใช่ความแตกแยก (ข่าวสด อังคารที่ 7 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)
มรภ.เชียงรายส่ง 28 น.ศ.บินเรียนภาษานจีน กิน-นอน-ศึกษา 5 เดือน-มั่นใจไม่มีปัญหาเจออากาศหนาว
ผศ.ดร.มาณพ ภาษิตวิไลธรรม อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยส่งนักศึกษาวิชาเอกภาษาจีนรุ่นแรกไปเรียนภาษาจีนที่วิทยาลัยครูยู่ซี มณฑลยูนนาน ประเทศจีน โดยออกเดินทางเมื่อวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมา จำนวน 28 คน ทั้งหมดเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 3 เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมและเสริมทักษะด้านภาษาจีนจากเจ้าของภาษา รวมทั้งสภาพแวดล้อมของจีนโดยตรง ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของมหาวิทยาลัย ที่ให้นักศึกษาที่เรียนวิชาเอกภาษาจีนทุกคน ทุกชั้นปีก่อนสำเร็จการศึกษาได้เดินทางไปเรียนที่จีนเป็นเวลา 1 ภาคเรียน โดยทางมหาวิทยาลัยช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการเดินทางบางส่วน การแลกเปลี่ยนนักศึกษาของมหาวิทยาลัยกับวิทยาลัยครูยู่ซีครั้งนี้ เป็นการเปิดมิติใหม่ทางการศึกษาด้านภาษาจีนของมหาวิทยาลัย โดยมีการลงนามความร่วมมือ รวมทั้งเปิดศูนย์ประสานงานที่จีนแล้ว มีน.ส.ธัญญลักษณ์ แซ่เลี้ยว เป็นเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ที่วิทยาลัยครูยู่ซี มีหน้าที่เป็นผู้ประสานงานและติดต่อกับนักศึกษาจีนที่ประสงค์จะมาศึกษาต่อเพิ่มเติมที่มรภ.เชียงราย ขณะนี้มีนักศึกษาชาวจีนมาเรียนที่มหาวิทยาลัยแล้วกว่า 50 คน (ข่าวสด อังคารที่ 7 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)
อัด สกอ.ดื้อจัดอันดับมหาลัยไร้ประโยชน์
ศ.ดร.วิรุณ ตั้งเจริญ อธิการบดีมหา วิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ยังคงเดินหน้าจัดอันดับมหาวิทยาลัยว่า โดยส่วนตัวอยากให้สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) และสกอ. ได้มานั่งคุยกันก่อน ไม่ใช่ต่างคนต่างคิด และต่างทำ มิฉะนั้นจะเกิดข้อเสียมากกว่าข้อดี เพราะตัวชี้วัดที่สกอ. กำหนดเพื่อใช้ในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยก็ยังไม่ ครอบคลุม ซึ่งเท่าที่ดูยังให้น้ำหนักกับวิชาและ สาขาทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์สุขภาพมากเกินไป อีกทั้งไม่แน่ใจว่ามหาวิทยาลัยให้ความสำคัญกับการให้ข้อมูลแก่ สกอ. เพื่อนำ มาจัดอันดับหรือไม่ เพราะทุกวันนี้มหาวิทยาลัยจำนวนไม่น้อยยังมีระบบฐานข้อมูลที่ไม่เข้มแข็ง ดังนั้นหากเราใช้ข้อมูลที่ไม่เข้มแข็งมาจัดอันดับมหาวิทยาลัย แล้วจะทำให้น่าเชื่อถือได้อย่างไร ศ.ดร.สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ ผอ.สมศ. กล่าวว่า หลักการการจัดอันดับมหาวิทยาลัยเป็นเรื่องดี แต่วิธีการจัดอันดับที่ทำอยู่ยังไม่ได้มาตร ฐานทั้งในอังกฤษและอเมริกา และหาก สกอ.จัดอันดับมหาวิทยาลัยโดยทำตามระบบสากลก็จะเป็นปัญหาหนัก และเป็นการจัดแถวที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อประเทศไทย ตนจึงขอย้ำว่า สมศ.จะจัดอันดับมหาวิทยาลัย โดยใช้ผลการประเมินภายนอกในรอบที่ 3 ซึ่งเชื่อว่าจะดีกว่าระบบการจัดอันดับมหาวิทยาลัยในขณะนี้อย่างแน่นอน (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 9 มี.ค. 49 http://www.dailynews.co.th)
ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี
โลกประจันกับก้อนหินอวกาศยักษ์ ทะยานตัดกับวิถีวงโคจรของโลก
นักดาราศาสตร์เตือนให้ระวังก้อนหินอวกาศมหึมาก้อนหนึ่ง มีความยาวเท่าๆกับทิวเขาถึง 500 เมตร น่ากลัวว่าจะเข้ามาชนกับโลก ในราวตอนต้นศตวรรษหน้านี้ ด้วยโอกาสสูงถึง 1 ใน 1,000 ก้อนหินอวกาศมีชื่อรหัสว่า 2004 มีมวลมหาศาลคิดเป็นน้ำหนักเกือบหนึ่งพันล้านตัน หากว่าชนเข้ากับโลก จะก่อให้เกิดแรงระเบิดเทียบเท่ากับดินระเบิดปริมาณ 10,000 เมกะตัน หรือเทียบเท่ากับอำนาจระเบิดของอาวุธนิวเคลียร์ ที่มีสะสมกันอยู่ทั้งหมดบนโลก มันถูกค้นพบตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 และคำนวณอย่างรวดเร็วรู้ได้ว่า มีวิถีโคจรตัดกับวิถีโคจรของโลก ด้วยโอกาสอยู่ 1 ใน 3,000 แต่ต่อมาถูกคำนวณใหม่ ให้เพิ่มโอกาสสูงขึ้นเป็น กว่า 1 ใน 1,000 เล็กน้อย ผู้เชี่ยวชาญของแผนกสังเกตวัตถุใกล้โลก ขององค์การอวกาศสหรัฐฯ นายเดวิด มอร์ริสสันระบุว่า มันมีโอกาสสูงที่อาจจะมาโดนโลกในตอนต้นศตวรรษหน้า มากยิ่งกว่าดาวเคราะห์น้อยที่รู้จักกันดวงใดหมด แต่ก็เน้นว่าโอกาสที่มันจะมาชนโลกจริงๆนั้น นับว่ามีอยู่น้อย ยังเคราะห์ดี ที่ยังมีเวลาอีกนานเกือบ 1 ศตวรรษ ที่โลกจะโคจรเฉียดกรายใกล้มัน ช่วยให้มีเวลาที่เบี่ยงเบนวิถีโคจรของมันไป หรือที่น่าจะเป็นได้มากที่สุด ก็คือให้มันหนีห่างจากโลกออกไป. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 6 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)
ชี้สึนามิล้มทฤษฏีแผ่นดินไหว แผ่นทวีปเก่า-ใหม่ เสียงเท่าเดิม
นักวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีคาลเท็กซ์ศึกษาสภาพธรณีวิทยาหลังเหตุการณ์สึนามิได้ข้อสรุปว่า กรอบความคิดเดิมเกี่ยวกับแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ต้องเปลี่ยนกันใหม่ เพราะเมื่อดูจากขนาดแรงสั่นสะเทือนแล้ว แผ่นดินไหวบริเวณสุมาตรา-อันดามัน รุนแรงถึง 9.15 ริคเตอร์ นับเป็นครั้งที่ 3 ที่เกิดแรงสั่นสะเทือนสูงสุดในรอบร้อยปี แผ่นดินไหวครั้งนั้นเกิดขึ้นจากการมุดตัวของแผ่นมหาสมุทรอินเดียที่เบียดกับแผ่นทวีปพม่า บริเวณดังกล่าวเป็นรอยเลื่อนแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ก่อนหน้านี้นักวิจัยเชื่อว่า การมุดตัวเปลี่ยนโลกขนาดใหญ่จะทำให้เกิดแผ่นดินไหวต่อเมื่อแผ่นมหาสมุทรใหม่มีอายุน้อย และเป็นแผ่นลอยตัว แต่แผ่นเปลือกโลกที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวเมื่อปลายปี 2547 ถือเป็นแผ่นที่เก่าและหนัก การเคลื่อนที่ค่อนข้างช้า ด้วยเหตุนี้ บริเวณแผ่นทวีปมุดตัวอื่นที่เคยเชื่อว่าจะไม่มีความเสี่ยงแผ่นดินไหว อาจจะต้องกลับมาทบทวนกันใหม่ รวมถึงเกาะริวกิว ที่อยู่ระหว่างไต้หวันกับญี่ปุ่นด้วย และเกาะแคริเบียนที่อยู่ระหว่างตรินิแดด บาร์บาดอส และเปอโตริโก (คมชัดลึก อังคารที่ 7 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)
คูเวตสุดอู้ฟู่พบแหล่งก๊าซ-น้ำมันใหม่มโหฬาร
ชีคอาเหม็ด ฟาฮัด อัล อาเหม็ด อัล ซาบาห์ รมว.พลังงานคูเวต เปิดเผยบริษัทคูเวต ออยล์ คัมปานี (เคโอซี) รัฐวิสาหกิจของคูเวต ได้ค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติและ แหล่งน้ำมันขนาดใหญ่มโหฬารอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน ถือเป็นการค้นพบแหล่งพลังงานที่สร้างความพึงพอใจอย่างสูงเป็นครั้งแรก แหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ 2 แห่งที่ค้นพบคือที่บ่ออัมนาคา และบ่อซาบริยา ตั้งอยู่ทางเหนือของประเทศ รวมประมาณ 35 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตโดยสามารถนำมาใช้งานได้ 60-70% การค้นพบครั้งนี้ส่งผลให้สถานะของคูเวตเปลี่ยนแปลง จากที่เคยต้องเจรจาเพื่อขอซื้อก๊าซธรรมชาติจากอิหร่านและกาตาร์ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็กลับกลายขึ้นแท่นเป็นประเทศผู้ผลิตก๊าซทันที ขณะเดียวกัน การสำรวจแหล่งพลังงานทางเหนือของ ประเทศยังทำให้คูเวตค้นพบบ่อน้ำมันดิบที่มีปริมาณมากถึง 10,000-13,000 ล้านบาร์เรล ทำให้คูเวตมีปริมาณน้ำมันสำรองเพิ่มขึ้น 10% ฟารุก อัล ซานคี ประธานเคโอซี กล่าวว่า บริษัทจะเริ่มดำเนินการผลิตก๊าซและน้ำมันจากแหล่งดังกล่าวเฟสแรกได้ราวปลายปี 2550 หลังจากที่มีการก่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานแล้วเสร็จสมบูรณ์ ซานคียังกล่าวอีกว่า ก๊าซที่ค้นพบจะถูกนำไปใช้ในการผลิตไฟฟ้าและ เนื่องจากเป็นก๊าซที่มีคุณภาพสูง ก็จะใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆด้วย เช่น อุตสาหกรรมปิโตรเคมี เป็นต้น (ไทยรัฐ พุธที่ 8 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)
"กระสวยอวกาศ"พร้อมบิน นาซ่าชี้"ไอเอสเอส"เสร็จปี2553
หลังจากองค์การอวกาศสหรัฐอเมริกา (นาซ่า) ปล่อยให้โครงการก่อสร้าง "สถานีอวกาศนานาชาติ" (ไอเอสเอส) เผชิญกับภาวะสุญญากาศ ชะงักงันมานาน 4 ปี ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่าจะเริ่มกลับมาเดินหน้าโครงการนี้อีกครั้ง และแผนการก่อสร้างน่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปีค.ศ.2010 หรือตรงกับพ.ศ.2553 สาเหตุที่ทำให้โครงการก่อสร้างสถานีไอเอสเอสต้องสะดุดลงมาจาก 2 ปัจจัย ข้อแรกจากโศกนาฎกรรมกระสวยอวกาศโคลัมเบียของนาซ่าระเบิดกลางอากาศเมื่อปี 2543 ผลการสอบสวนพบว่าต้นตอการระเบิดเป็นเพราะฉนวนกันความร้อนหลุดมากระแทกกับถังเชื้อเพลิง ส่วนข้อที่สองเป็นเพราะทีมวิศวกรนาซ่าต้องสั่งระงับเที่ยวบินกระสวยอวกาศสหรัฐทั้งหมด ภายหลังจากเกิดเหตุฉนวนโฟมบริเวณถังเชื้อเพลิงของกระสวยอวกาศดิสคัฟเวอรี่แตกและหลุดออกจากตัวยานเมื่อเดือนกรกฎาคมปีก่อน ทำให้นาซ่าต้องระดมสมองแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับถังเชื้อเพลิงของกระสวยอวกาศทุกลำ ล่าสุด นาซ่าแถลงว่าพร้อมส่งกระสวยอวกาศขึ้นปฏิบัติภารกิจขนชิ้นส่วนไอเอสเอสออกไปประกอบนอกโลกอีกครั้งนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้เป็นต้นไป คาดว่าแผนก่อสร้างไอเอสเอสจะเสร็จสิ้นภายในปี 2553 และต้องส่งกระสวยอวกาศขึ้นบินราว 16 เที่ยวบิน ทั้งนี้ กระสวยอวกาศสหรัฐเป็นยานอวกาศรุ่นเดียวในโลกที่ใหญ่พอสำหรับใช้ขนอุปกรณ์ เสบียง และชิ้นส่วนต่างๆ เพื่อสร้างไอเอสเอส (ข่าวสด พุธที่ 8 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)
รักษามะเร็งร้าย ด้วยคลื่นความถี่สูง
เทคนิคใหม่การรักษามะเร็งที่กำลังเป็นที่สนใจของแพทย์ทั่วโลกคือ การทำลายก้อนมะเร็งด้วยความร้อน(Thermal Ablation) ซึ่งมีหลายเทคโนโลยี เช่น การใช้เลเซอร์ การใช้ไมโครเวฟ การใช้คลื่นความถี่สูง เทคโนโลยีที่นิยมกันมากที่สุดในขณะนี้คือ การใช้คลื่นความถี่สูง radiofrequency) ทำลายก้อนมะเร็ง ที่เรียกว่า การรักษามะเร็งด้วยคลื่นความถี่สูง RADIOFREQUENCY ABLATION หรือ RFA พ.ต.ท.พญ.ชัญญา ภมรศิริ นายแพทย์(สบ.2) งานรังสีวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ เผยว่า วิธีการ RFA รักษามะเร็งจะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นมะเร็งปฐมภูมิ และมะเร็งทุติยภูมิของตับบางชนิด เช่น มะเร็งที่แพร่กระจายมาจากมะเร็งลำไส้ใหญ่ ในปัจจุบันเริ่มมีการนำวิธีนี้ไปประยุกต์ใช้รักษามะเร็งของอวัยวะอื่นๆ เช่น ปอด ซึ่งรายงานการศึกษา พบว่าการทำอาร์เอฟเอ จะได้ผลดีในกรณีที่ก้อนมะเร็งหรือมีขนาดไม่เกิน 5 เซนติเมตร ข้อจำกัดของการทำอาร์เอฟเอ ขึ้นกับขนาด จำนวน และตำแหน่งของก้อนมะเร็งนั้นๆ โดยแพทย์จะเป็นผู้ให้คำอธิบายแก่ผู้ป่วยก่อนรักษา ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับการเตรียมพร้อม เช่น เจาะเลือดตรวจค่าความแข็งตัวของเลือดและกรณีอื่นๆ หากผู้ป่วยมีโรคประจำตัว ซึ่งวิสัญญีแพทย์จะช่วยประเมินความพร้อมของผู้ป่วยอีกด้วย ทั้งนี้ก่อนวันรักษาผู้ป่วยจะต้องอดอาหาร อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับอาร์เอฟเอ ประกอบด้วยเข็มแบบพิเศษ(RF needle) ขนาดเท่ากับ ไส้ปากกาลูกลื่น ความยาว 15 ซ.ม. ปลายเข็มสามารถหุบและบานออกได้ โดยเข็ม RF มีหลายแบบแล้วแต่การออกแบบของแต่ละบริษัท ใช้แทงผ่านผิวหนังเข้าไปในก้อนมะเร็งโดยใช้เครื่องอัลตราซาวด์หรือเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่วยนำทาง ต่อวงจรเข้ากับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า(generator) และตัวผู้ป่วยเป็นส่วนหนึ่งของวงจรด้วยการแปะแผ่นสายดิน(ground pad) ที่หน้าขาของผู้ป่วย หลักการทำงานของอาร์เอฟเอ เมื่อปล่อยไฟฟ้ากระแสสลับจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ขนาด 50-200 วัตต์ ผ่านเข้าไปในเข็ม ซึ่งส่วนปลายเข็มเป็นขั้วไฟฟ้า(Electrode) อาศัยการเหนี่ยวนำไฟฟ้าจากเครื่อง ทำให้เกิดคลื่นความถี่สูง 375-500 KHz มีผลให้โมเลกุลของเนื้อเยื่อรอบๆ เข็มสั่นสะเทือนและเสียดสี จนเกิดความร้อนแผ่กระจายออกไปรอบๆ จนครอบคลุมก้อนมะเร็งทั้งก้อน จากการศึกษาพบว่าความร้อนที่มากกว่า 50 องศาเซลเซียส สามารถทำให้เซลล์ตายได้ ค่ารักษาด้วยเข็ม RF ไม่สามารถเบิกจ่ายจากกรมบัญชีกลางได้ ราคาเข็ม 25,000-35,000 บาท ยกเว้นเข็มชนิดพิเศษอาจมีราคาสูงกว่า ผู้ป่วยสามารถตรวจสอบข้อมูลแพทย์และเข้ารับการรักษาได้ที่เว็บไซต์ของสมาคมรังสีวิทยาหลอดเลือดและรังสีร่วมรักษาแห่งประเทศไทย www.thaivir.org หรือ e-mail address chanyabh@yahoo.co.th หรือแฟกซ์ข้อมูลการวินิจฉัยที่เคยได้รับ เขียนโดยแพทย์ของท่านรวมทั้งข้อมูลเอกซเรย์ที่เคยทำ มาที่ 0-2652-5036 (ข่าวสด พุธที่ 8 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)
พบหลุมอุกกาบาตยักษ์ในอียิปต์
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบอสตันศึกษาภาพถ่ายดาวเทียมพบหลุมอุกกาบาตที่พบนี้มีขนาดกว้างถึง 31 กิโลเมตร ใหญ่กว่าหลุมที่เคยพบในทะเลทรายซาฮาราก่อนหน้านี้ถึงสองเท่า หรือทำเอาหลุมอุกกาบาตในรัฐแอริโซนาของสหรัฐ ซึ่งกว้าง 1.2 กิโลเมตร กลายเป็นของเด็กเล่นไปเลย แอ่งที่เกิดจากการพุ่งชนของอุกกาบาตแห่งใหม่ที่พบนี้ สันนิษฐานว่าเกิดจากอุกกาบาตที่มีขนาดราว 1.2 กิโลเมตร ซึ่งเชื่อว่าเมื่อพุ่งชนโลกแล้วทำให้เกิดพลังมหาศาลที่สามารถทำลายทุกสิ่งที่อยู่ในอาณาบริเวณหลายร้อยกิโลเมตร แต่ก็ยังถือว่ามีขนาดเล็กกว่าอุกกาบาตขนาด 160-240 กิโลเมตรที่พุ่งชนบริเวณชายฝั่งเม็กซิโก ซึ่งเรียกว่า หลุม "ชิกซูลับ" ที่เป็นต้นเหตุให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์เมื่อ 65 ล้านปีก่อน หลุมอุกกาบาตที่พบใหม่นี้ นักวิจัยที่พบเรียกชื่อว่า "เคบิรา" เป็นภาษาอาหรับแปลว่าใหญ่ และมีชื่อสัมพันธ์กับเขตที่เรียกว่า กิลฟ์ เคเบีย แถวอียิปต์ตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่พบหลุมอุกกาบาต นักวิจัยกล่าวว่า ที่ผ่านมาหลุมเคบิราอาจรอดพ้นสายตาจากการสำรวจเพราะมันเป็นหลุมที่มีขนาดใหญ่มาก หรือใหญ่กว่าสนามฟุตบอล 125 สนามรวมกัน กินอาณาบริเวณเปรียบเทียบได้กับพื้นที่ครอบคลุมกรุงไคโร เมืองหลวงของอียิปต์ตั้งแต่สนามบินซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไปจนถึงพีระมิดแห่งกิซาในตะวันตกเฉียงใต้ เดิมการค้นหาหลุมอุกกาบาตส่วนใหญ่มักมุ่งหาหลักฐานเล็กๆ น้อยๆ โดยเฉพาะที่มองเห็นได้จากภาคพื้นดิน ขณะที่ภาพถ่ายดาวเทียมช่วยให้มองเห็นมุมมองกว้างและใหญ่กว่า สำหรับหลุมที่พบนี้มีลักษณะเหมือนกับหลุมอุกกาบาตทั่วไปที่มีวงแหวนล้อมสองวง แต่ก็ถูกลมและน้ำพัดพาจนคนทั่วไปที่ไม่ได้รับการฝึกฝนมาไม่สามารถรู้ได้เลย นักวิจัยยังไม่สามารถระบุระยะเวลาที่อุกกาบาตพุ่งชนจนเกิดหลุมนี้ได้ แต่ก็เชื่อว่าความร้อนสูงจากแรงปะทะทำให้เกิดซิลิกาสีเขียวเหลือง หรือ แก้วทะเลทราย เป็นวงกว้าง โดยพบที่ผิวดินระหว่างเนินทะเลทรายขนาดใหญ่ในตะวันตกเฉียงใต้ของอียิปต์ (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 9 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)
"ลา นีญา"ลามทั่วแปซิฟิกเอเชียเสี่ยงน้ำท่วมใหญ่
องค์กรอุตุนิยมโลก (ดับเบิลยูโอ) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ตั้งอยู่ในกรุงเจนีวา ออกรายงานเมื่อปลายอาทิตย์ที่แล้วว่า อุณหภูมิบริเวณส่วนกลางและตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกตั้งแต่ต้นปีวัดค่าได้ต่ำกว่าปกติ 0.5-1.0 องศาเซลเซียส และเมื่อนำข้อมูลจากมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อน และสภาพอากาศมาประกอบ จึงเห็นเค้าลางของปรากฏการณ์ลา นีญา ลา นีญา เป็นปรากฏการณ์ที่มีต้นกำเนิดที่นอกชายฝั่งตะวันตกของอเมริกาใต้ แต่ส่งผลปั่นป่วนให้กับสภาพอากาศในหลายพื้นที่ทั่วโลก โดยเฉพาะภาวะฝนตกชุกในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และออสเตรเลีย ขณะที่ประเทศเขตร้อนที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของแปซิฟิกจะเกิดภาวะแล้ง ปรากฏการณ์ลา นีญา ล่าสุดเกิดขึ้นระหว่างกลางปี 2541-ต้นปี 2544 ภาวะอุณหภูมิที่มีค่าต่ำกว่าปกติบริเวณแปซิฟิกตะวันออกเกิดขึ้นเมื่อกระแสลมจะพัดเอากระแสน้ำอุ่นจากตะวันออกของแปซิฟิกมายังฝั่งตะวันตก ทำให้เกิดการก่อตัวของเมฆฝนในบริเวณนี้ ขณะเดียวกันกระแสน้ำเย็นจากใต้มหาสมุทรลอยตัวขึ้นมาสู่ผิวน้ำ ทำให้ประเทศชายฝั่งละตินตะวันตก เช่น เปรู และเอกวาดอร์ประสบภาวะแห้งแล้ง ขณะที่ฝนตกชุกในประเทศแถบเอเชียใต้ ส่วนแอฟริกาตะวันตก และแอฟริกาตะวันออกเฉียงใต้ ญี่ปุ่น และคาบสมุทรเกาหลีจะมีอุณหภูมิ หนาวเย็นกว่าปกติ (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 9 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)
วิกฤตโลกร้อนรุมเร้า "แอฟริกา"เสี่ยงแม่น้ำแห้ง!
งานวิจัยชิ้นใหม่ของ "มาเทน เดอ วิต" และ "จาเซค สแตนคีวิคซ์" นักภูมิศาสตร์มหาวิทยาลัยเคปทาวน์ แอฟริกาใต้ เผยแพร่ในวารสารไซน์เอ็กซ์เพรส ระบุว่า ปริมาณน้ำฝนที่ตกน้อยกว่าเดิมเพียงเล็กน้อยจะส่งผลให้เกิดน้ำแล้งอย่างรุนแรงในแม่น้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตประชาชนและสัตว์หลากหลายพันธุ์ในทวีปแอฟริกา พื้นที่เผชิญวิกฤติแห้งแล้งจะมีทั้งสิ้น 25% ของทวีป โดยส่วนที่ร้ายแรงที่สุดจะอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือและทางใต้และพื้นที่กว้างใหญ่อย่างบอสวานาและแอฟริกาใต้จะเป็นหนึ่งในพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างมาก นอกจากนั้น พื้นที่ตอนเหนือของแอฟริกา ระดับน้ำในแม่น้ำจะลดลงต่ำกว่า 50% โดยพบว่า พื้นที่ซึ่งเดิมมีปริมาณฝนปานกลางคือ 400-1,000 มิลลิเมตรต่อปีจะเป็นพื้นที่ซึ่งเผชิญวิกฤติน้ำมากหรือน้ำแล้งมากที่สุด การพยากรณ์ปริมาณฝนที่จะตกในอนาคตได้จากการเปรียบเทียบข้อมูลของ "แบบจำลองการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" ที่ดีที่สุด 21 แบบที่พัฒนาโดยทีมนักวิจัยหลายทีมจากทั่วโลก ซึ่งโดยเฉลี่ยต้นแบบเหล่านั้นพยากรณ์ว่าพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือและทางใต้ของแอฟริกา ฝนจะตกน้อยลง 10-20% ในปีค.ศ.2070 เดอ วิต กล่าวว่า แอฟริกาแตกต่างจากทวีปอื่นๆ เพราะไม่มีภูมิประเทศเป็นภูเขาขนาดใหญ่ที่จะทำให้มีน้ำจากหิมะที่ละลายหรือลูกเห็บ ดังนั้นระบบน้ำผิวดินจึงสำคัญมากในแอฟริกาโดยประชาชนส่วนใหญ่นอกเมืองยังคงพึ่งพาระบบน้ำผิวดินในชีวิตประจำวัน ด้านศ.อาดิล นาจาม ผู้เชี่ยวชาญด้านการเจรจาต่อรองและการทูตมหาวิทยาลัยทัปต์ส ในแมสซาชูเสตต์ กล่าวว่า ถ้าการคาดการณ์ของเดอ วิต เป็นจริง ชนบทของแอฟริกาจะเผชิญหายนะ เพราะประชาชนมากมายในแอฟริกาพึ่งพาน้ำมากกว่าแหล่งทรัพยากรอื่นๆ (ข่าวสด พฤหัสบดีที่ 9 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)
สสวท.เป็นแม่งานจัดประชุมวิชาการวิทย์
ดร.ปานทอง กุลนาถศิริ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษและรักษาการผู้ช่วยผู้อำนวยการ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 14-15 มี.ค. นี้ สสวท. กำหนดจัดงานประชุมวิชาการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์เพื่อเยาวชน ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ เพื่อจัดแสดงผลงานทางวิทยาศาสตร์กว่า 400 หัวข้อ โดยนิสิตนักศึกษา ระดับปริญญาตรี โท เอก และนักวิทยาศาสตร์ไทยในโครงการพัฒนาและ ส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) และโครงการอื่น ๆ พร้อมนิทรรศการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงการเสวนาและการบรรยายทางวิทยาศาสตร์มากมาย โดยผู้เข้าร่วมงานไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ตลอดเวลา 22 ปี ที่ผ่านมา โครงการนี้ก็สามารถเตรียมนักวิทยาศาสตร์ที่ดีได้ในระดับที่น่าพอใจ โดยกำหนดให้ผู้รับทุนทำโครงงานทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี รวมถึงทำงานวิจัยร่วมกับนักวิทยาศาสตร์พี่เลี้ยง จนมีผลงานที่ทยอยเข้ารับรางวัลผลงานดีเด่นจากหน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยการประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์เพื่อเยาวชน ครั้งนี้จะมีการนำผลงานจากโครงการ พสวท.มาจัดแสดงด้วย. (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 10 มี.ค. 49 http://www.dailynews.co.th)
สื่อหลอมรวม
การหลอมรวมสื่อนี้ถือเป็นการประยุกต์เทคโนโลยีหลากหลายประเภทเข้าด้วยกัน โดยจะนำมาซึ่งนวัตกรรมของการบริการรูปแบบใหม่ๆ สร้างความสะดวกสบายในการติดต่อสื่อสาร การเข้าถึงความรู้และความบันเทิงรูปแบบต่างๆ บริการหลักๆ บนสื่อหลอมรวม 5 ประเภท คือ การชมทีวีออนไลน์ผ่านอินเทอร์เน็ต การฟังเพลงออนไลน์ผ่านอินเทอร์เน็ต การศึกษาผ่านอินเทอร์เน็ต โทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต และการประชุมทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ต บริการที่ผู้ตอบแบบสอบถามรู้จักและใช้บริการมากที่สุดก็คือบริการฟังเพลงออนไลน์ โดยผู้ที่เคยใช้บริการส่วนมากอายุต่ำกว่า 20-29 ปี และมีผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 29.1 ระบุว่าใช้บริการนี้มากกว่า 20 ครั้งต่อเดือน ขณะที่บริการอื่นๆ ส่วนใหญ่มีผู้ใช้บริการต่ำกว่า 5 ครั้งต่อเดือน สำหรับบริการทีวีออนไลน์ ผู้ที่เคยใช้บริการประเภทนี้ส่วนใหญ่ชมรายการประเภทข่าวรองลงมาคือด้านบันเทิง ปัจจัยสำคัญที่ให้ใช้บริการก็คือความสะดวกในการใช้บริการ การเลือกและฟังรายการย้อนหลังได้สร้างความแปลกใหม่และทันสมัย นั่นเอง ส่วนโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต หรือ VoIP ยังเป็นบริการที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักมากที่สุด บริการสื่อหลอมรวมนี้ แม้จะยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักเพราะบางบริการจะยังจำกัดเฉพาะการใช้งานในภาคธุรกิจ (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 10 มี.ค. 49 http://www.dailynews.co.th)
รีโมตสั่งปากกาเซ็นข้ามโลกไม่ต้องเดินทางให้เสียเวลา
มาร์กาเร็ต แอตวูด นักเขียนนวนิยายวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ เกิดความคิดที่จะพัฒนามือกลที่สามารถเซ็นชื่อหลังปกหนังสือให้แก่นักอ่านแทน ปากกามหัศจรรย์ของนักเขียนท่านนี้เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกในงานหนังสือกรุงลอนดอน โดยนำปากกามาเขียนขยุกขยิกลงบนแผ่นกระดาษอิเล็กทรอนิกส์ อีกไม่กี่วินาทีต่อมา แขนกลที่ตั้งอยู่อีกที่หนึ่งก็คว้าปากกามาแล้วเขียน บางคนตั้งคำถามกับนักเขียนว่า อุปกรณ์ไฮเทคที่เขาคิดขึ้นมานี้จะทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างนักอ่านกับนักเขียนห่างเหินไปหรือไม่ แต่แอตวูดแย้งว่า มือกลลองเพนยิ่งช่วยให้ความสัมพันธ์ของสองฝ่ายแนบแน่นยิ่งขึ้น และนักเขียนยังสามารถสนทนากับนักอ่านได้ผ่านกล้องวิดีโอด้วย นอกจากนี้ ปากกาเซ็นชื่อทางไกลยังสามารถนำมาใช้งานด้านอื่นได้ด้วย เช่น ลงนามในข้อสัญญา หรือให้นักกีฬาชื่อดังเซ็นชื่อบนลูกฟุตบอล บาสเกตบอล หรือเบสบอล ซึ่งทีมงานกำลังพัฒนาในส่วนนี้อยู่ (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 10 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)
สัตว์พันชนิดเสี่ยงสูญพันธ์ชี้กวางเรนเดียร์-วัวมัสวิกฤติสุด
คณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยอิมพีเรียลคอลเลจ ประเทศอังกฤษ ศึกษาพื้นที่ที่มีแนวโน้มสัตว์สูญพันธุ์ในอนาคต และการกระทำของมนุษย์ส่งผลให้การสูญพันธุ์เร็วขึ้น โดยมีเป้าหมายวิจัยเพื่อหามาตรการป้องกันก่อนที่สัตว์จะเหลือน้อยเกินกว่าจะสงวนพันธุ์สัตว์ไว้ได้ และเป็นแนวทางที่ยอมรับกันทั่วไปในหมู่เจ้าหน้าที่รักษาพันธุ์สัตว์ สำหรับพื้นที่อยู่อาศัยของสัตว์ที่มีแนวโน้มสูญพันธุ์ ได้แก่ กรีนแลนด์ ที่ราบไซบีเรีย และบางพื้นที่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การศึกษาครั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เป็นสัตว์บกกว่า 1,500 ชนิด มีแนวโน้มเสี่ยงสูญพันธุ์ในอนาคต สอดคล้องกับงานวิจัยของกลุ่มต่างๆ ที่พบว่า สัตว์ที่มีแนวโน้มสูญพันธุ์มักเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ และอาศัยอยู่ในพื้นที่ขนาดเล็ก มีอัตราการขยายพันธุ์ช้า กลุ่มเหล่านี้รวมถึงกวางเรนเดียร์ในอเมริกาเหนือ วัวมัส ซึ่งมีต่อมใต้ตาสามารถขับกลิ่นเหมือนตัวชะมด จิ้งจอกบิน และลีเมอร์น้ำตาลในเซย์เชลเลส เกาะในมหาสมุทรอินเดีย ห่างจากเกาะมาดากัสการ์ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ รายงานพื้นที่เสี่ยงสัตว์สูญพันธุ์ไม่รวมถึงพื้นที่ ซึ่งมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงอย่าง ลุ่มน้ำอเมซอน และคองโก รวมถึงพื้นที่ใต้ขั้วโลกแถบตอนเหนือของแคนาดา รัสเซีย และกรีนแลนด์ เข้าไว้ด้วย ทั้งที่เป็นเขตที่มีสัตว์ขนาดใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ขนาดเล็ก เหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะการเก็บข้อมูลไม่ดีพอ โดยเจ้าหน้าที่ศูนย์ความหลายหลายทางชีวภาพประยุกต์ขององค์กรคุ้มครองพืชสัตว์ระหว่างประเทศ ในวอชิงตันให้ความเห็นว่า ฐานข้อมูลพืชและสัตว์มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องปรับปรุงใหม่ (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 10 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)
ลุ้นยานโคจรรอบดาวแดง
นักวิทยาศาสตร์ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (นาซา) ของสหรัฐ เฝ้ารอดูการเดินทางของยานสำรวจดาวอังกฤษ รีคอนนิแซนซ์ ออร์บิเตอร์ อย่างใจจดในจ่อในช่วงนี้ หลังจากที่ยานออกเดินทางจากโลกไปตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และเตรียมที่จะเข้าสู่ระยะสุดท้ายในวันที่ 10 มีนาคม ซึ่งเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงมากที่สุดก่อนเข้าไปอยู่ในวงโคจรของดาวอังคาร โดยอาจจะต้องใช้เวลาอีก 7 เดือน เพื่อเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาลส่งมายังโลก ในปฏิบัติการสำรวจดาวอังคารเป็นเวลา 2 ปีของยานรีคอนนิแซนซ์ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์จะนำข้อมูลที่ได้มาศึกษาเพื่อดูถึงความเป็นไปได้ว่าบนดาวอังคารจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่หรือไม่ (ข่าวสด ศุกร์ที่ 10 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th)
ข่าววิจัย/พัฒนา
วิจัยไม้สักตัดแต่งยีน ต่างชาติยอมรับ..ไทยรอหน่อย
สวนป่าแม่เมาะ ตำบลบ้านดง อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ในสังกัดของ สำนักงานอนุรักษ์และพัฒนาสวนป่า องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ เป็นสถานที่ที่หน่วยงานให้ปฏิบัติการเป็นแหล่งดำเนินการผลิตกล้าไม้สัก เหง้า และกล้าสักชำถุงรวมไปถึงการใช้เทคนิคการวิจัยและเพาะเลี้ยง โดยดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2512 บนพื้นที่ 48 ไร่ เพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ไม้จากต้นแม่ 464 ต้น ซึ่งมีความหลากหลายถึง 16 แม่พันธุ์เพื่อเป็นแหล่งเก็บเมล็ดที่มีคุณภาพดีใช้ในการปลูกสู่สวนป่า โดยมี อาจารย์โกวิทย์ สมบุญ เป็นหัวหน้าคณะวิจัย ศิษย์เก่า วนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมทำงานกับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ เมื่อประมาณปี 2545 จากนั้นได้เอาเทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเข้ามาดำเนินการในการผลิตกล้าสัก โดยการนำกล้าสักที่มีสายพันธุ์ที่ดีจากการคัดเลือกสายพันธุ์จากแม่ไม้ในแหล่งต่างๆทั่วประเทศ มาทำการขยายพันธุ์ด้วยเทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเสริมจากการขยายพันธุ์ด้วยการเพาะจากเมล็ด กล้าพันธุ์สักที่ได้จากการวิจัยและเข้าสู่กระบวนการผลิตเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ จะเป็นไม้โตเร็วที่ทางกายภาพโตไวให้ผลผลิตต่อไร่สูง และให้ผลตอบแทนในระยะเวลาอันสั้น ปี 2549 นี้คาดว่าจะผลิตได้ประมาณ 300,000 กล้า และจะเพิ่มกำลังผลิตให้เพียงพอ ต่อความต้องการแจกจ่ายให้สวนป่าต่างๆ ในสังกัดองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ และจำหน่ายให้กับประชาชนทั่วไป ในการปฏิบัติการวิจัยพันธุ์ไม้ สวนป่าแห่งนี้มิได้อยู่เพียงแค่นี้ ได้มีการทดลองและวิจัย ที่ก้าวหน้าทันประเทศที่พัฒนาแล้ว ด้วยการ เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อแบบจีเอ็มโอ GMOs โดยตัดเอายีนที่มีดอกออก และ นำไปทดลองปลูกในต่างประเทศจนได้ผลเป็นที่น่าพอใจแล้ว (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 6 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)
ผลวิจัยนอร์เวย์ยืนยัน ยาคุมกำเนิดกระตุ้นไมเกรน
ดร.คาเรน เอจิดิอุส จากศูนย์ปวดศีรษะแห่งชาตินอร์เวย์ หัวหน้าคณะนักวิจัยชุดนี้เผยว่า สตรีบางคนมีอาการไมเกรนระหว่างมีรอบเดือนซึ่งเป็นช่วงที่ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง สตรีกลุ่มนี้มักมีอาการไมเกรนเมื่อทานยาเม็ดคุมกำเนิดด้วย เนื่องจากยาเม็ดคุมกำเนิดไปเพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนให้สูงกว่าระดับปกติถึง 4 เท่า ส่งผลให้ฮอร์โมนลดลงอย่างมากในระหว่างมีรอบเดือน คณะนักวิจัยศึกษาข้อมูลของสตรี 13,944 คน ที่ตอบคำถามเรื่องการทานยาเม็ดคุมกำเนิดและการปวดศีรษะพบว่า สตรีที่ทานยาเม็ดคุมกำเนิดมักมีอาการไมเกรนมากกว่าผู้ไม่ทานประมาณร้อยละ 40 และมีอาการปวดศีรษะที่ไม่ใช่ไมเกรนมากกว่าผู้ไม่ทานร้อยละ 20 อย่างไรก็ดี ไม่พบหลักฐานว่าปริมาณฮอร์โมนในยาเม็ดคุมกำเนิดมีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงปวดศีรษะ นักวิจัยแนะนำให้แพทย์สั่งจ่ายฮอร์โมนเอสโตรเจน 2-3 วัน ก่อนมีรอบเดือนแก่สตรีที่มีอาการปวดศีรษะขณะทานยาเม็ดคุมกำเนิดเพื่อรักษาระดับออร์โมนไม่ให้ลดลงมาก หรือให้สตรีกลุ่มนี้ได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนนานติดต่อกัน 3 เดือน โอกาสปวดศีรษะก็จะลดลงเหลือปีละ 4 ครั้ง แทนที่จะเป็นทุกเดือน (ข่าวสด จันทร์ที่ 6 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)
แปลงอักษรเป็นเสียงพูด นักโปรแกรมเมอร์เล็งพัฒนาช่วยผู้พิการตา
นายพุฒิพันธุ์ พลยานนท์ ผู้บริหารบริษัท พีพีเอ อินโนเวชั่น และนักพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์พูดได้เสียงเหมือนจริง กล่าวว่า โปรแกรมตัวนี้พัฒนาต่อยอดมาจากโปรแกรม พีพีเอ เท็กซ์-ทู-สปีช เป็นโปรแกรมการสื่อสารที่สามารถนำมาใช้งานได้หลากหลายทั้งในภาคธุรกิจองค์กร และการใช้ในระดับทั่วไป นายพุฒิพันธุ์ได้ใช้เวลาศึกษาการออกเสียงของคนไทย รูปแบบของเสียงตามวรรณยุกต์ อักษรสูง อักษรกลาง อักษรต่ำ คำควบกล้ำ คำควบแท้ ฯลฯ นายพุฒิพันธุ์ยอมรับว่า ภาษาไทยมีข้อจำกัดค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับภาษาอักฤษ ทำให้การปรับปรุงโปรแกรมจนกว่าจะออกเสียงพูดได้เป็นธรรมชาติต้องใช้เวลาถึง 2 ปี โปรแกรม Thai & English Text-to-Speech ที่นายพุฒิพันธุ์พัฒนาขึ้นมีความแตกต่างจากซอฟต์แวร์เสียงที่ใช้ในศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หรือ คอล เซ็นเตอร์ ซึ่งเมื่อต้องการเปลี่ยนประโยคพูดต้องทำการอัดเสียงพูดใหม่ทุกครั้ง แต่โปรแกรมคอมพิวเตอร์พูดได้ใช้วิธีป้อนคำลงในโปรแกรม ซึ่งระบบจะอ่านออกเป็นเสียงพูดที่เหมือนกับธรรมชาติมาก ทำให้เกิดความคล่องตัวในการใช้งานมากขึ้น ในอนาคต โปรแกรมเปลี่ยนข้อความดิจิทัลเป็นเสียงพูดยังสามารถนำไปใช้กับระบบอัจฉริยะในรถยนต์ โดยเฉพาะรถที่ติดตั้งระบบระบุตำแหน่งด้วยดาวเทียม หรือจีพีเอส และมีระบบนำร่องบอกเส้นทาง แทนที่ผู้ขับรถยนต์จะต้องคอยมองชื่อถนนบนหน้าจอ ระบบแจ้งตำแหน่งจะบอกชื่อถนน ระยะทาง และเวลาที่จะถึงที่หมาย หรือบอกให้เตรียมตัวเลี้ยวรถอัตโนมัติ สายตาผู้ขับจึงไม่วอกแวกออกจากถนน สำหรับโปรแกรมเวอร์ชั่นล่าสุดที่สามารถพูดได้เหมือนเสียงพูดตามธรรมชาตินี้ สามารถนำไปใช้กับระบบการอ่านข้อความเอสเอ็มเอส อีเมล หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ และการอ่านข้อมูลทุกรูปแบบบนฐานข้อมูล ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับคนสูงวัย และผู้พิการสายตา (คมชัดลึก อังคารที่ 7 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)
เครื่องกะเทาะเมล็ดทานตะวัน นวัตกรรมใหม่เพื่อเกษตรกร
คณะนักวิจัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ วิทยาเขตหันตรา จ.พระนครศรีอยุธยา นำโดย อ.ดิเรก ฉิมชนะ "เครื่องกะเทาะเปลือกเมล็ดทานตะวัน" มีคุณสมบัตินอกจากจะช่วยย่นเวลาการทำงานให้เร็วขึ้นแล้ว ยังเพิ่มราคาผลผลิตให้สูงขึ้นและที่สำคัญเป็นเครื่องมือที่มีราคาไม่แพง โดยได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเครื่องกะเทาะเปลือกแบบแรงเหวี่ยงหนีศูนย์ คือ เมื่อป้อนเมล็ดทานตะวันลงไปในเครื่องแล้ว เมล็ดจะถูกเหวี่ยงออกด้วยความเร็วที่เหมาะสมจนพุ่งไปกระทบเป้า และเมล็ดก็ถูกกะเทาะออกจากเปลือก ส่วนประกอบและการทำงานของเครื่องนี้ ประกอบด้วย ถังเก็บเมล็ด ที่บรรจุได้ 20 กิโลกรัม อุปกรณ์ปล่อยเมล็ด มีหน้าที่ปล่อยเมล็ดลงสู่จานเหวี่ยงที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 80 เซนติเมตร ในอัตราไม่น้อยกว่า 100 กิโลกรัม/ชั่วโมง ลักษณะเป็นหนามเตยปล่อยเมล็ดขับด้วยมอเตอร์ขนาดเล็กที่ปรับอัตราการหมุนได้ 0-30 รอบ/นาที ขณะที่จานเหวี่ยงจะเหวี่ยงเมล็ดไปกระทบผนังที่ทำหน้าที่เป็นเป้า ทำให้เปลือกหุ้มเมล็ดแตกออกจากเนื้อใน เป้ากระทบหรือผนังนั้นจะทำด้วยแผ่นยางที่ใช้นำสายพานลำเลียงอาหารเรียกว่า ยางขาว ที่ทากาวติดกับแผ่นเหล็กซึ่งตัดเป็นวงกลม เมื่อเมล็ดกะเทาะออกจากเปลือกแล้วจะถูกส่งต่อมาที่ถาดรองรับและรวบรวมเมล็ดที่ถูกกะเทาะ ให้ไหลลงอุปกรณ์ทำความสะอาด ซึ่งมีหน้าที่แยกเปลือกเมล็ดออกจากเนื้อใน โดยจะแยกด้วยพัดลมดูดอากาศซึ่งถูกติดตั้งอยู่ที่ด้านหลังของตู้บังคับการ ขั้นตอนสุดท้ายคือการคัดแยกด้วยอุปกรณ์คัดแยก ที่ทำหน้าที่คัดเกรดหรือขนาดเนื้อในของเมล็ดที่แบ่งเป็น 2 เกรด โดยใช้ตะแกรงรูกลม 2 ขนาด เส้นผ่าศูนย์กลาง 6 และ 4.8 มิลลิเมตร เมล็ดที่ยังไม่ถูกกะเทาะจะค้างอยู่บนตะแกรงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 มิลลิเมตร ส่วนเนื้อในของเมล็ดทานตะวันที่มีขนาดใหญ่ และค่อนข้างสมบูรณ์จะค้างอยู่บนตะแกรงขนาด 4.8 มิลลิเมตร ส่วนเนื้อในที่มีขนาดเล็กหรือบางส่วนที่แตกหักก็จะไหลสู่ถาดรองรับด้านล่าง โดยชุดตะแกรงนี้จะถูกโยกโดยเพลาลูกเบี่ยงเยื้องศูนย์ เครื่องนี้ใช้มอเตอร์ทำงาน 3 ตัวคือ มอเตอร์สำหรับขับจานเหวี่ยงขนาด 1/2 แรงม้า เป็นมอเตอร์กระแสสลับเฟสเดียวเหมาะสมกับระบบไฟฟ้าในชนบท ตัวที่สองมอเตอร์ขับพัดลมดูดอากาศขนาด 200 วัตต์ และสามมอเตอร์ขับอุปกรณ์ขนาด 200 วัตต์ โดยประสิทธิภาพการทำงาน สามารถกะเทาะเปลือกเมล็ดทานตะวันได้ 80 กิโลกรัมต่อชั่วโมง การสิ้นเปลืองพลังงานอยู่ที่ชั่วโมงละครึ่งยูนิต (ยูนิตละสลึง) ซึ่งถือว่าประหยัดพลังงานมาก ราคาประมาณ 4-5 หมื่นบาท หากต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมก็สามารถติดต่อที่ โทร.0-1801-5220 (คมชัดลึก อังคารที่ 7 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)
สนพ.เตรียมเปิดตัว ต้นแบบบ้านประหยัดพลังงาน
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยรังสิต เตรียมเปิดตัวต้นแบบ "บ้านประหยัดพลังงาน" 3 รูปแบบ เดือนมีนาคมนี้ หวังบ้านประหยัดพลังงานช่วยกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาการออกแบบบ้านประหยัดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น นายเมตตา บันเทิงสุข ผู้อำนวยการ สนพ. เปิดเผยว่า ในอนาคตแนวโน้มการออกแบบก่อสร้างอาคารและบ้านที่อยู่อาศัยจะมุ่งเน้นไปที่ "บ้านประหยัดพลังงาน" เป็นหลัก เนื่องจากประชาชนให้ความสำคัญกับการประหยัดพลังงานมากขึ้น สนพ.จึงได้สนับสนุนให้สถาบันการศึกษา 19 แห่งศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านการอนุรักษ์พลังงานที่เกี่ยวข้องกับอาคารและบ้านอยู่อาศัย 4 เรื่อง ได้แก่ มาตรฐานสภาพแวดล้อม การออกแบบอาคาร วัสดุก่อสร้าง และการออกแบบงานระบบและอุปกรณ์ทั่วไปรวมทั้งสิ้น 56 โครงการ วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นหน่วยงานหนึ่งที่ได้รับการจัดสรรทุน และได้ดำเนินโครงการ "ออกแบบบ้านประหยัดพลังงาน ประเภทบ้านเดี่ยว" ขนาดพื้นที่ใช้สอยไม่เกิน 150 ตารางเมตร บนที่ดินประมาณ 50 ตารางวา ได้แก่ 1. บ้านทุ่งอาทิตย์ ที่เสนอแนวคิดการกรองแสงแดดและความร้อนที่จะส่องเข้ามาในตัวบ้าน ด้วยการนำไม้ระแนงมาตกแต่ง 2. บ้าน Setback House ที่เสนอแนวคิดไม่ให้บ้านได้รับรังสีความร้อนโดยตรง ด้วยการถอยร่นส่วนต่างๆ ของบ้านให้พ้นจากความร้อนที่มาจากผนัง และหลังคา 3. บ้าน The Hybrid House ที่ใช้แนวคิดการนำพลังงานจากธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เช่น เปิดรับแสงและลมจากธรรมชาติมากที่สุด โดยคำนึงถึงช่วงเวลาการใช้งานของพื้นที่ในบ้าน สำหรับบ้านประหยัดพลังงานทั้ง 3 แบบปัจจุบันการก่อสร้างคืบหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 90 คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์พร้อมเปิดให้นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปเข้าชมได้ประมาณเดือนมีนาคมนี้ (ข่าวสด อังคารที่ 7 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)
"กล้องวงจรปิด-เสื้อ" แปลงแสงอาทิตย์สู่ไฟฟ้า
มีสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้แผงแปลงแสงอาทิตย์เป็นไฟฟ้า หรือ แผงโซลาร์เซลล์ 2 ชิ้น ชิ้นแรกเรียกว่า "กล้องวงจรปิดพลังแสงอาทิตย์" ซึ่งติดตั้งอยู่บนยอดเสาไฟฟ้าในนครบัลติมอร์ สหรัฐอเมริกา ต้นตอการประดิษฐ์อุปกรณ์ดังกล่าวสืบเนื่องจากการที่ตลอด 3-4 เดือนที่ผ่านมา มีแก๊งหัวขโมยออกตระเวนขโมยตัด-ชำแหละชิ้นส่วน "อะลูมิเนียม" ของเสาไฟฟ้า 130 กว่าต้นไปขาย ทางการบัลติมอร์จึงลงทุนนำกล้องวงจรปิดพลังแสงอาทิตย์มูลค่า 2 แสนกว่าบาทไปติดบนยอดเสาไฟที่เหลือ โดยภายในอุปกรณ์ชนิดนี้จะมีระบบตรวจจับภาพและแรงสั่นสะเทือน เมื่อเสาเกิดสั่นไหวเพราะแรงตัดหรือแรงเลื่อยก็จะส่งสัญญาณร้องเตือนหัวขโมยว่าให้หยุดพฤติกรรมโฉดเดี๋ยวนี้ เพราะหน้าตาของพวกคุณถูกบันทึกภาพไว้หมดแล้ว ชาวเมืองบางส่วนบอกว่าเป็นแนวคิดที่ดี...แต่บางคนก็แซวว่าคราวนี้เห็นทีโจรจะมีของชิ้นใหม่ให้ขโมยจากเสาไฟเพิ่มอีกชิ้น ส่วนชิ้นที่สอง เป็นเสื้อแจ๊กเก๊ตยี่ห้อ "Scottevest" ของสหรัฐ แผงโซลาร์เซลล์จะเย็บติดอยู่กับด้านหลังของตัวเสื้อ ระยะเวลาชาร์จไฟจนเต็ม ถ้าอยู่ในที่มีแดดแรงๆ ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ประโยชน์ของเสื้อตัวนี้ก็คือ ใช้เป็นที่ชาร์จไฟสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กที่ผู้คนนิยมใช้กัน เช่น เครื่องเอ็มพี-3 โทรศัพท์มือถือ และเครื่องเล่นดิจิตอลที่มีช่องยูเอสบีพอร์ต ราคายังแพงอยู่มาก ตก 20,000 กว่าบาทต่อ 1 ตัว (ข่าวสด อังคารที่ 7 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)
ศึกษาโทษของโทรศัพท์มือถือ ต่อโปรตีนในร่างกายของคนเรา
คณะเจ้าหน้าที่คอยเฝ้าระวังอันตรายจากรังสีของฟินแลนด์ จะได้ลงมือศึกษาการใช้โทรศัพท์มือถือ ที่มีต่อโปรตีนในร่างกายของคนเรา ด้วยการทดสอบโดยตรงกับผิวหนังของมนุษย์ เพื่อจะจับดูว่ารังสีจากเครื่อง สร้างความกระทบกระเทือนกับสุขภาพหรือไม่ ศาสตราจารย์ดาเรียส เลสซ์ซินสกี้ หัวหน้าคณะวิจัยแจ้งว่า จะเริ่มการทดลองเป็นการนำร่อง ภายในสัปดาห์นี้ ด้วยการใช้ผิวหนังที่แขนของผู้อาสาสมัครโดนถูกรังสีจากโทรศัพท์มือถือ เป็นช่วงระยะเวลานานเท่ากับการพูดโทรศัพท์ทางไกลอย่างนาน หรือเป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง (ไทยรัฐ พุธที่ 8 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)
สกัดน้ำมันเบนซินจากขี้ควาย ออกขายใช้เติมรถภายใน 5 ปี
นักวิทยาศาสตร์เมืองซากุระเปิดเผยว่า ค้นพบแหล่งกำเนิดน้ำมัน เบนซินแหล่งใหม่ คือสกัดเอาจากขี้วัวขี้ควาย ศาสตราจารย์วิชาวิศวการเกษตร ของคณะเกษตรและเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยโตเกียว ศาสตราจารย์ซากาเอะ ชิบุซาวา กล่าวแจ้งว่า คณะของเขาสามารถสกัดน้ำมันเบนซินได้เป็นปริมาณ 87.71 ซีซี จากมูลสัตว์เกือบ 1 กิโลกรัม โดยใช้ความดันและความร้อนได้สำเร็จ เทคโนโลยีใหม่ที่ค้นพบนี้จะเป็นคุณประโยชน์แก่บรรดาผู้เพาะพันธุ์ปศุสัตว์ต่างๆ ซึ่งมีภาระต้องคอยกำจัดของสกปรกเหล่านี้ ปีหนึ่งๆเป็นปริมาณไม่น้อยลง เขาประมาณว่า เฉพาะในญี่ปุ่นเองปีหนึ่งๆ มีปริมาณมูลสัตว์เหล่านี้มากถึง 551,155 ตัน เทคนิคการสกัดน้ำมันเบนซินจากมูลสัตว์ว่า ต้องผสมโลหะที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ไม่เปิดเผยลงไปในถังบรรจุ จากนั้นใช้ความกดดันขนาด 30 เท่าของความกดบรรยากาศ กับความร้อนขนาด 300 องศาเซลเซียส สกัดน้ำมันเบนซินออกมา คณะของเขาเชื่อว่าจะสามารถปรับปรุงวิธีการ ให้สามารถผลิตเบนซินออกมาจำหน่ายได้ภายในเวลา 5 ปีข้างหน้านี้ (ไทยรัฐ พุธที่ 8 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)
พบวิธีตรวจเร็วโรคสมองฝ่อ
เอเอฟพีรายงานเมื่อ 7 มี.ค. นายนีล แคชแมน นักวิทยาศาสตร์ด้านสมอง ประกาศความสำเร็จคิดค้นการทดสอบเพื่อหาผู้ป่วยโรคสมอง เช่น อัลไซเมอร์ พาร์คินสันและโรคสมองฝ่อหรือซีเจดีได้แล้ว คาดว่าจะวางตลาดภายใน 2-5 ปี นายแคชแมนซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสถาบันวิจัยด้านสุขภาพแคนาดา กล่าวว่า การทดสอบนี้เป็นการนำเลือดของผู้ป่วยมาทดสอบแบบง่ายๆ ด้วยการหาโปรตีนที่ผิดปกติ เพื่อจะรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคตั้งแต่เนิ่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยังจะทำให้รักษาโรคทางสมองเหล่านี้ได้ แม้ว่าปัจจุบันยังไม่มีวิธีใดทำได้ก็ตาม คาดว่าการทดสอบกับผู้ป่วยโรคสมองฝ่อจะสำเร็จภายใน 6 เดือนข้างหน้า (ข่าวสด พุธที่ 8 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)
อนุมัติใช้กอเอี๊ยะแก้ภาวะซึมเศร้า ตัวยาเดียวกับรักษาสมองเสื่อม
สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐฯ หรือเอฟดีเออนุมัติการใช้แผ่นแปะรักษาภาวะซึมเศร้าเป็นครั้งแรกแล้ว แผ่นแปะดังกล่าวชื่อว่าเอ็มแซม ส่งตัวยาเซเลจิลีนซึมผ่านผิวหนังเข้าสู่กระแสเลือด ใช้วันละครั้ง พัฒนาโดยบริษัทซอเมอร์เซ็ต ฟาร์มาซูติคัลส์ และจะจัดจำหน่ายโดยบริษัทบริสตอลไมเออร์ส สคิปป์ ยาเซเลจิลีนเป็นยาในกลุ่มยับยั้งโมโนอามีน ออกซิเดส เอฟดีเออนุมัติให้ใช้ครั้งแรกเมื่อปี 2532 ในรูปของแคปซูลเพื่อรักษาโรคพาร์กินสัน นอกจากนี้ แพทย์ยังสั่งจ่ายยาขนานนี้แก่ผู้มีภาวะซึมเศร้า ที่ไม่ตอบสนองต่อฤทธิ์ยารักษาภาวะซึมเศร้าโดยทั่วไป เช่น โปรแซก โซลอฟท์ และแพกซิล เอฟดีเอระบุในเว็บไซต์ว่า ผลการศึกษานาน 6-8 สัปดาห์ และการศึกษาในระยะยาวชี้ว่าแผ่นแปะเอ็มแซมปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะซึมเศร้า ข้อมูลจากการทดลองเชิงคลินิกพบด้วยว่าผู้ป่วยที่ใช้แผ่นแปะเอ็มแซมในปริมาณน้อยที่สุดคือ มีตัวยาเซเลจิลีน 6 มิลลิกรัม เป็นเวลา 24 ชั่วโมง ไม่จำเป็นต้องจำกัดอาหารการกิน ไม่เหมือนการใช้ยารักษาภาวะซึมเศร้าในกลุ่มยับยั้งโมโนอามีน ออกซิเดส ชนิดรับประทาน ผลข้างเคียงเพียงอย่างเดียวของการใช้แผ่นแปะเอ็มแซมคือ ระคายเคืองปานกลางตรงบริเวณที่แปะ (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 9 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)
ดับร้อนปลอดภัย รู้ทันอันตราย กาเฟอีน
กาเฟอีน สารธรรมชาติที่มีฤทธิ์กระตุ้นซึ่งผสมอยู่ในเครื่องดื่มคลายร้อนเหล่านี้ โดยจากการสำรวจตรวจสอบพบว่า ในเครื่องดื่มประเภทโคล่าจะมีปริมาณกาเฟอีนอยู่ที่สัดส่วน 1 ใน 3 ถึง 1 ใน 4 ของที่พบ ในชาหรือกาแฟ ซึ่งสารกาเฟอีน เป็นสารเสพติดที่ช่วยกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ผลิตภัณฑ์ที่มีกาเฟอีนจะไปกระตุ้นร่างกาย และเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ อาจดูเหมือนทำให้สมองแล่น ความอ่อนเพลียหายไป แต่ก็เป็นไปได้ชั่วคราวเท่านั้น กาเฟอีนในปริมาณที่พบในอาหารและเครื่องดื่มอาจทำให้เกิดโรคนอนไม่หลับ หงุดหงิด วิตกกังวล จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ การดื่มเครื่องดื่ม ที่มีกาเฟอีนมากเกินไปอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร หรือในกระเพาะปัสสาวะ และ ส่งผลให้ระดับความดันในเลือดสูง ภ.ก.มานิตย์ อรุณากูร รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ให้ทรรศนะเกี่ยวกับสารอาหารที่ผสมอยู่ในชา กาแฟ และ เครื่องดื่มผสมกาเฟอีน พร้อมกล่าวแนะนำถึงสัดส่วนการบริโภคที่ปลอดภัยต่อร่างกาย และกลุ่มคนที่ไม่ควรดื่มว่ากาเฟอีนที่มีผลต่อร่างกายพบว่า ค่าความปลอดภัยอยู่ที่ 100-300 มิลลิกรัม ซึ่งเท่ากับกาแฟธรรมดาประมาณ 2-4 ถ้วยต่อวัน แต่ถ้าดื่มเป็นประจำ และได้รับกาเฟอีนมากกว่า 300 มิลลิกรัมต่อวันจะทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจล้มเหลว หัวใจวายหรือโรคเกี่ยวกับหัวใจได้ โดยผลการวิจัยระบุว่า อยู่ในอัตรา 2.8 เท่าของคนที่ไม่ดื่มกาแฟเลยทีเดียว สารกาเฟอีนจะส่งผลต่อร่างกายของแต่ละคนในลักษณะที่แตกต่างกัน สำหรับผู้หญิงหากไม่อยากเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนตอนอายุมาก ๆ อาจต้องจำกัดปริมาณกาเฟอีนที่ร่างกายได้รับ ซึ่งหากเป็นในกาแฟก็ควรดื่มไม่ให้เกิน 2-3 แก้วต่อวัน สำหรับวัยรุ่นนับเป็นวัยที่ต้องการแคลเซียมในปริมาณสูงเพื่อนำไปเสริมสร้างกระดูกช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต การดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนในปริมาณมากเป็นประจำอาจทำให้เป็นอุปสรรคต่อการเสริมสร้างความสูง และอาจทำให้ติดสารกาเฟอีน ถ้าไม่ได้ดื่มจะรู้สึก เฉื่อยชา เหนื่อยล้า และทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว ส่วนเด็กเล็ก สตรีมีครรภ์ มารดาที่ให้นมบุตร ผู้ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ โรคกระเพาะ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทนี้ได้เป็นดีที่สุด (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 9 มี.ค. 49 http://www.dailynews.co.th)
วว.ทำอาหารเสริมบำรุงตับส่วนผสมจากพืชสมุนไพรหยุดพิษสุราทำลายเซลล์ตับ
ดร.นงลักษณ์ ปานเกิดดี ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เปิดเผยว่า วว.ประสบความสำเร็จในการพัฒนา "ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารป้องกันโรคตับจากสมุนไพรไทย" หลังจากดำเนินโครงการวิจัยพัฒนา ซึ่งใช้หลักการเดียวกับการวิจัยของประเทศอินเดียมาประยุกต์ใช้ จึงลดระยะเวลาและขั้นตอนในการทำวิจัยเกี่ยวกับสมุนไพรได้อย่างดี ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดังกล่าว มีสรรพคุณบำรุงและป้องกันพิษจากสารเคมีต่อตับ บำรุงและป้องกันพิษจากแอลกอฮอล์ เหมาะใช้ร่วมกับยาเพื่อรักษาหรือบำรุงตับให้แข็งแรง โดยไม่มีผลข้างเคียงเช่นเดียวกับยาสังเคราะห์ ทั้งนี้แผนงานในอนาคตของ วว. พร้อมที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อผลิตเชิงพาณิชย์ ตลอดจนพร้อมจะศึกษาผลจากการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดังกล่าวร่วมกับยาในผู้ป่วยต่อไป วว.พัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดังกล่าวได้ 2 ชนิด แบ่งเป็นตัวช่วยบำรุงและป้องกันพิษจากสารเคมีต่อตับ หรือเชื้อไวรัส เช่น ผู้ป่วยโรคตับอักเสบ ดีซ่าน ส่วนอีกชนิดนั้นช่วยบำรุงและป้องกันเซลล์ตับจากพิษแอลกอฮอล์ เหมาะสำหรับใช้ร่วมกับยาเพื่อรักษา หรือช่วยให้ตับแข็งแรงโดยไม่มีผลข้างเคียง จึงเป็นทางเลือกใหม่สำหรับการป้องกันโรคตับอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ดร.ชุลีรัตน์ บรรจงลิขิตกุล นักวิชาการประจำฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ วว.กล่าวว่า ขั้นตอนการวิจัยเริ่มจากคัดเลือกพืชสมุนไพรที่มีฤทธิ์ป้องกันโรคตับ และนำสารสกัดหยาบที่ได้จากพืชแต่ละชนิดไปทดสอบฤทธิ์ ในการป้องกันการทำลายเซลล์ตับที่เกิดจากสารเคมี กระตุ้นการสร้างเซลล์ตับใหม่ทดแทนเซลล์ที่ถูกทำลาย และเพิ่มการหลั่งของน้ำดี ผลจากการคัดเลือกปรากฏว่า พืชสมุนไพร 3 ชนิดได้แก่ พริกไทย ผักบุ้ง และขมิ้นชัน ให้ผลป้องกันโรคตับได้ดี จากนั้นจึงนำสารสกัดจากสมุนไพรทั้ง 3 ชนิดที่มีฤทธิ์เสริมกัน มาผสมในอัตราส่วนที่เหมาะสม และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดเม็ด (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 9 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)
รีไซเคิลมูลวัวให้กลายเป็นกลิ่นวนิลาใช้ผสมสินค้า
นักวิทยาศาสตร์ของศูนย์การแพทย์นานาชาติแห่งญี่ปุ่นในโครงการรีไซเคิลประสบความสำเร็จ ในการสกัดกลิ่นวนิลาจากมูลวัว โดยนำมูลวัวเข้าสู่กระบวนการความร้อนและแรงดันเป็นเวลา 1 ชั่วโมง จากนั้นได้สารที่มีองค์ประกอบเดียวกับการสกัด กลิ่นวนิลาจากถั่ววนิลา นักวิทยาศาสตร์ในโครงการเปิดเผยว่า จะนำวนิลาจากมูลวัวไปผสมในสินค้าอุปโภค เช่น แชมพู และเทียนหอม แต่จะไม่นำไปผสมในสินค้าประเภทบริโภค เช่น อาหาร แม้ จะสามารถทำได้ก็ตาม เนื่องจากคาดว่าผู้ บริโภคจะไม่ยอมรับ และตามกฎหมายคุ้มครอง ผู้บริโภคญี่ปุ่นกำหนดให้บริษัทผู้ผลิตเปิดเผยแหล่งที่มาของส่วนผสมสินค้าต่างๆ. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 10 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)
อาหาร...ภัยเงียบต้นเหตุภาวะแก่ก่อนวัย
แพทย์หญิงอัจจิมา สุวรรณจินดา แพทย์ผู้อำนวยการสถาบันวัยวัฒน์และความงามเมดดิไซน์ (MEDISCI) แห่งโรงพยาบาลวิภาวดี กล่าวว่า ขณะนี้สถาบันวัยวัฒน์ และความงาม เมดดิไซน์ ได้ร่วมกับศูนย์วิจัยโรคภูมิแพ้ ไบโอเทค ประเทศสหรัฐอเมริกา เปิดให้บริการตรวจโรคภูมิแพ้อาหารแบบตอบสนองช้า โดยใช้วิธีการตรวจจากเลือด และเน้นการใช้เทคโนโลยีใหม่ทางการแพทย์วิเคราะห์แบบพิเศษ ทำให้ได้ผลการตรวจชนิดของอาหารที่แพ้อย่างละเอียด และชัดเจนกว่าทั่วไป โดยเฉพาะการแพ้อาหารในกลุ่มเรื้อรัง และสามารถครอบคลุมชนิดของอาหารเอเชียถึงกว่า 90 ชนิด ทำให้ ทราบถึงสาเหตุของอาการแพ้ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนของความผิดปกติของร่างกายเบื้องต้น ในขณะที่การ ตรวจอาการแพ้แบบทั่วไปอาจไม่พบความผิดปกติใดๆ จากประสบการณ์พบว่า ผู้ป่วยที่มีอาการดังกล่าวเรื้อรัง ต้องรับประทานยาแก้แพ้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว เนื่องจาก ไม่ทราบสาเหตุ ทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง และต้องทนกับการเกิดผลข้างเคียงจากยาแก้แพ้อีกด้วย การตรวจหาสาเหตุที่แพ้ อาจทำให้สามารถแก้ปัญหาสุขภาพได้ถึง ต้นตอ หยุดปฏิกิริยาลูกโซ่ที่คอยกัดกร่อนร่างกายทีละเล็กทีละน้อย ที่เป็นต้นเหตุของภาวะเสื่อมของร่างกาย ก่อนควร และแก่ก่อนวัย ผู้มีปัญหาดังกล่าวที่ต้องการรับคำปรึกษา ติดต่อคุณหมอที่ โทร. 0-2941-2975-6. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 10 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)
สี ทำได้...มือถือระวังไว้ให้ดี!
นักวิจัยจากบริษัท NaturalNano ประเทศสหรัฐอเมริกาใช้ประโยชน์จาก ท่อนาโน (nanotubes) ของแร่ Halloysite ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยมีโครงสร้างเป็นท่อทรงกระบอกขนาดเล็กถ้าเทียบกับความหนาของกระดาษ 1 แผ่น มีขนาดเล็กกว่า 20,000 เท่า
ท่อนาโนที่มีขนาดเล็กเช่นนี้ทำให้นักวิจัยสามารถจับเอาอนุภาคนาโนของทองแดง (Copper) ซึ่งก็เล็กในระดับนาโนเมตรเช่นกันเข้าไปในท่อนาโนที่ว่าได้ โดยท่อนาโน Halloysite ที่ถูกบรรจุด้วยอนุภาคนาโนของทองแดงนั้นสามารถนำไปผสมกับสีทาผนังได้โดยที่ไม่ทำให้คุณสมบัติอื่น ๆ ที่ควรจะมีของสีเปลี่ยนไป อย่างเช่นคุณสมบัติในการยึดติดเป็นต้น อนุภาคนาโนของทองแดงในท่อนาโนจะกระจายตัวแทรกอยู่ระหว่างอนุภาคของเม็ดสีและจะคอยทำหน้าที่บล็อกสัญญาณโทรศัพท์มือถือไม่ให้เล็ดลอดผ่านผนังห้องที่มีการทาสีดังกล่าวเคลือบไว้ไปได้ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เหมือนกับทำให้ห้อง ๆ นั้นกลายเป็นเขตปลอดสัญญาณนั่นเอง แต่อย่างไรก็ดี ใช่ว่าสัญญาณทุกประเภทจะถูกบล็อกแบบถาวร เนื่องจากว่าเราสามารถนำเอาอุปกรณ์กรองสัญญาณมาใช้ร่วมกับเทคโนโลยีใหม่นี้ได้ โดยที่อุปกรณ์กรองสัญญาณจะทำหน้าที่ดักจับสัญญาณมือถือหรืออื่น ๆ จากภายนอกห้องปลอดสัญ ญาณแล้วจึงอนุญาตให้เฉพาะสัญญาณ หรือความถี่ที่ต้องการผ่านเข้าไปในบริ เวณที่ว่าได้ เรียกว่าถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็หมดสิทธิ หรือถ้าไม่อย่างนั้นก็อนุญาตให้สัญญาณโทรศัพท์มือถือผ่านเข้าไปได้ (โดยอุป กรณ์กรองสัญญาณที่กล่าวมาข้างต้น) เฉพาะเวลาช่วงพักเบรก (สำหรับการชมละครหรือภาพยนตร์เรื่องยาว) ซึ่งก็อาจจะช่วยบรรเทาอาการอยากสำหรับผู้ที่เสพติดโทรศัพท์มือถือหรือผู้ที่มีธุระจำเป็นจริง ๆ ได้ ถ้ามีวิธีแก้ปัญหาที่ลงตัวสำหรับการใช้งานในกรณีฉุกเฉินของบุคคลบางสาขาอาชีพอย่างเช่น ตำรวจ นายแพทย์ พนักงานดับเพลิง ฯลฯ อีกไม่นาน สีทำได้ รุ่นใหม่คงวางตลาดในเร็ววันนี้ (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 10 มี.ค. 49 http://www.dailynews.co.th)
เตาประหยัด 'แก๊ส'
ธนาธิป ปั้นประสม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอมมี่ โปร ดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด ผู้ประดิษฐ์ เตาประหยัดแก๊ส เปิดเผยว่า เตาแก๊สที่ใช้ประกอบอาหารคราวละ มาก ๆ ตามสถานที่ต่าง ๆ อาทิ ภัตตาคาร โรงแรม ซึ่งเรียกว่า เตาเร่ง หรือ เตาไฮ มักจะสูญเสียพลังงานออกด้านข้างเสมอ และเป็นจำนวนมากด้วย จึงคิดว่าน่าจะประดิษฐ์เตาที่ช่วยลดการสูญเสียได้ โดยประดิษฐ์วงแหวนที่กันความร้อนจากด้านข้างได้ เตาดังกล่าวสามารถลดการสูญเสียไปในอากาศได้สูงสุดถึง 30% จากการใช้งานปกติ ซึ่งเป็นการช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าจำนวนมาก และประหยัดพลังงาน และได้จดสิทธิบัตรแล้ว (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 10 มี.ค. 49 http://www.dailynews.co.th)
ซดน้ำอัดลม1เดือนพรวดครึ่งกิโล
ดร.คาร่า แอบเบลลิง นักวิจัยจากโรงพยาบาลเด็กแห่งบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า หลังจากศึกษาในเด็กจำนวน 103 คน อายุระหว่าง 13-18 ปี โดยครึ่งหนึ่งในจำนวนนี้ได้รับเครื่องดื่มที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเป็นประจำทุกสัปดาห์ และได้รับคำแนะนำให้หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล อีกทั้งยังได้รับการเตือนผ่านทางโทรศัพท์และแผ่นเหล็กติดตู้เย็นโดยมีข้อความว่า "คิดก่อนดื่ม" ขณะเด็กอีกครึ่งหนึ่งปล่อยให้กินดื่มตามปกติ ซึ่งปราศจากคำชี้แนะ หลังจากผ่านไป 6 เดือน ทีมวิจัยพบว่า เด็กกลุ่มที่ได้รับเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นประจำทุกสัปดาห์สามารถลดการบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลได้ร้อยละ 82 ในขณะที่อีกกลุ่มที่ใช้ชีวิตปกติไม่มีความเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมเลย นักวิจัยสรุปว่า เด็กวัยรุ่นยิ่งดื่มเครื่องดื่มผสมน้ำตาลมากแค่ไหนในระยะแรก ก็จะยิ่งส่งผลต่อน้ำหนักร่างกายมากขึ้นเท่านั้น ขณะเดียวกัน มีงานศึกษาอีกโครงการหนึ่งที่เตือนว่า ภาวะอ้วนในวัยเด็กจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในปลายทศวรรษนี้ ในสหภาพยุโรปจะมีเด็กที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน 26 ล้านคน และเป็นโรคอ้วนราว 6.4 ล้านคน ในเอเชียยิ่งหนักกว่า เด็กอ้วนจะเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าใน 4 ปีข้างหน้า (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 10 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)
สารจากใบชาปกป้องผิว
นักวิจัยพบว่า สารสกัดจากใบชาขาว (white tea) สามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของเซลล์ผิวหนัง และปกป้องผิวหนังจากอันตรายของแสงแดดได้ ก่อนหน้านี้ศูนย์ศึกษาผิวหนังที่มหาวิทยาลัยโรงพยาบาลแห่งคลีฟแลนด์และมหาวิทยาลัยเคสเวสเทิร์นรีเสิร์ฟ ได้ทำการศึกษาชาอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ให้ผลในเชิงป้องกันเช่นกันนั่นคือ ชาเขียว (green tea) และพบว่าสารที่อยู่ในชาเขียวสามารถช่วยลดผลจากการถูกแดดเผาได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับชาแบบอื่นๆ แล้ว ชาทั้งสองรูปแบบนี้ จัดว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในปริมาณสูงที่สุด โดยเฉพาะชาขาวซึ่งเป็นชาที่ผ่านกระบวนการน้อยที่สุด ส่วนการวิจัยครั้งล่าสุดนี้ ซึ่งเป็นการศึกษาใน ชาขาว พบว่าสารสกัดที่ได้นี้สามารถปกป้องผิวหนัง ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันเกิดความเสียหาย เมื่ออยู่ภายใต้ภาวะที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันอีกด้วย ทั้งนี้ ปฏิกิริยาออกซิเดชั่น เปรียบได้กับรถเกิดสนิม ดังนั้น ปฏิกิริยาออกซิเดชันนั่นแหละ ปฏิกิริยาออกซิเดชั่นที่เกิดขึ้นก็คือ การทำให้ความแข็งแรงของเซลล์และการทำงานของเซลล์เสียไปนั่นเอง เกร็ดเล็กๆ จากสารในใบชาที่นำมาฝากในวันนี้ เชื่อว่าคงสร้างความรู้สึกดีๆ กับการดื่มชามากขึ้น นอกจากรสชาติของชาแต่ละชนิด (สยามรัฐรายวัน ศุกร์ที่ 10 มี.ค. 49 http://www.siamrath.co.th)
ข่าวทั่วไป
หญิงเสี่ยงโรคพุ่มพวงโจมตีประสาท
ศ.น.พ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางประสาทวิทยา คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี เปิดเผยว่า "โรคปลอกหุ้มเส้นประสาทอักเสบ" เกิดจากภาวะภูมิแพ้ตัวเองหรือโรคพุ่มพวง หรือเรียกย่อๆ ว่า เอ็มเอส พบมากในประเทศแถบหนาว แต่ปัจจุบันประเทศในแถบเอเชียก็พบผู้ป่วยด้วยโรคนี้มากขึ้น สำหรับระบบประสาทส่วนกลาง ได้แก่ สมองและไขสันหลัง ถือเป็นส่วนสำคัญที่สั่งการการทำงานของร่างกาย เมื่อเกิดการอักเสบทำให้เกิดแผลเป็นหรือรอยโรคขึ้นบริเวณประสาทที่ถูกกระทบ จึงก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายอย่างมาก และโรคเอ็มเอสจะก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ จากนั้นจะเริ่มแสดงอาการ และอาจจะหายไปในบางช่วง แต่จะกลับมาเป็นใหม่เป็นระยะๆ และมักจะรุนแรงกว่าเดิม โรคนี้ตรวจวินิจฉัยได้ยาก เพราะอาการมักจะเป็นๆ หายๆ และอาการที่ปรากฏแต่ละครั้ง ก็จะต่างกันออกไปตามจุดที่เกิดการอักเสบ เช่น บางรายตามัวอย่างรวดเร็ว หรือจู่ๆ ตาบอด เพราะประสาทตาอักเสบ จากนั้น 2-3 เดือนอาการก็อาจจะดีขึ้น แต่บางครั้งอีก 1-2 ปี ก็อาจจะเป็นขึ้นมาอีก บางรายเกิดอาการอื่นร่วมด้วย คือ แขนขาชา ปัสสาวะไม่ออก พูดไม่ชัด สุดท้ายก็จะทำให้พิการและอายุสั้น สาเหตุที่แท้จริงของโรคปลอกหุ้มเส้นประสาทอักเสบนี้ ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อกันว่าร่างกายได้ผลิตสารบางอย่างที่ทำลายส่วนประกอบบางส่วนของระบบประสาท ทำให้เกิดการอักเสบบริเวณประสาทส่วนนั้น สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ผลจากการวิจัยในปัจจุบันระบุว่าพันธุกรรมมีส่วนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค ในปัจจุบันยังไม่มีเทคโนโลยีรักษาให้หายขาด แต่ผู้ป่วยจะได้รับยาฉีดตลอดชีวิต เพื่อป้องกันการเกิดโรคซ้ำ คล้ายกับผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลินตลอดชีวิต (คมชัดลึก อังคารที่ 7 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)
คาดต้นตอวัวบ้าแคนาดา ระบาดผ่านอาหารสัตว์ปนเปื้อน
ทางการประเทศแคนาดายืนยันการพบวัวที่ติดโรควัวบ้าเป็นรายที่ 4 ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยรายงานระบุว่าวัวดังกล่าวเกิดเมื่อปี 2543 หรือ 3 ปีให้หลังจากที่ทางการประกาศห้ามใช้อาหารสำหรับปศุสัตว์ที่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบ ทำให้หลายฝ่ายเป็นกังวลต่อการบังคับใช้มาตรการห้ามผสมเนื้อสัตว์ เนื่องจากรายงานก่อนหน้านี้ระบุว่าโรควัวบ้าจะระบาดก็ต่อเมื่อสัตว์ได้รับอาหารที่ปนเปื้อนเนื้อเยื่อของสัตว์ที่ติดโรควัวบ้าเท่านั้น ผลการสอบสวนโดยทางการแคนาดาระบุว่าหนึ่งในบริษัทที่จัดส่งอาหารสัตว์ป้อนเข้าสู่ฟาร์มปศุสัตว์ที่พบวัวติดเชื้อผลิตอาหารทั้งประเภทมีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบสำหรับสัตว์ชนิดอื่น และอาหารที่ไม่มีส่วนผสมของเนื้อสำหรับเลี้ยงปศุสัตว์ จึงเป็นไปได้ว่าอาจเกิดการปนเปื้อนของเชื้อวัวบ้า เนื่องจากอุปกรณ์การผลิตไม่ได้รับการทำความสะอาดตามมาตรฐาน ล่าสุด ทั้งแคนาดาและสหรัฐกำลังแก้ไขข้อบังคับห้ามการผสมเนื้อสัตว์ในอาหารสำหรับปศุสัตว์ให้เข้มงวดยิ่งขึ้น แต่ข่าวระบุด้วยว่ามาตรการของแคนาดาในขณะนี้เข้มงวดยิ่งกว่าสหรัฐ โดยห้ามผสมเนื้อไก่หรือเศษอาหารที่เหลือจากภัตตาคาร ขณะที่มาตรการทางฝั่งสหรัฐนั้นยังคงได้รับเสียงวิจารณ์ถึงความย่อหย่อน (ข่าวสด อังคารที่ 7 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)
ลูกทัวร์อวกาศราย 4 เป็นญี่ปุ่น
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานบริษัทสเปซ แอดเวนเจอร์ ผู้ให้บริการท่องเที่ยวอวกาศ ในเมืองอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย ของสหรัฐฯ เปิดเผยบริษัทได้คัดเลือกลูกค้ารายล่าสุดเป็น นักธุรกิจด้านไอทีชาวญี่ปุ่นวัย 34 ปี ชื่อนายไดสุเกะ เอโนะโมโตะ หรือไดซ์เค ผู้จะขึ้น ไปทัศนศึกษาในอวกาศราวเดือน ก.ย.นี้ นายเอโนะโมโตะจะเป็นลูกทัวร์อวกาศรายที่ 4 ของโลก และเป็นรายแรกที่เป็นชาวญี่ปุ่น หลังจากที่เข้ารับการตรวจร่างกายและแพทย์รับรองสภาพความพร้อม นายเอโนะโมโตะ ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทไลฟ์ดอร์ ได้เซ็นสัญญาและกำลังอยู่ระหว่างรับการอบรมเกี่ยวกับอวกาศ ที่องค์การอวกาศกลางรัสเซีย การฝึกอบรมจะแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ การอบรมด้านทฤษฎีและการอบรมด้านปฏิบัติ ขณะเดียวกันยังต้องเรียนรู้ภาษารัสเซียด้วย เขามีกำหนดจะโดยสารยานโซยูซ ทีเอ็มเอ-9 ไปยังสถานีอวกาศนานาชาติในเดือน ก.ย.นี้ รายงานระบุก่อนหน้านั้นก็มีนักท่องเที่ยวไปเยือนอวกาศมาแล้ว 3 รายได้แก่ นายเดนนิส ติโต ชาวอเมริกัน ที่ประเดิมเป็นรายแรกเมื่อปี 2544 ปีถัดมาเป็นนายมาร์ก ชัตเติลเวิร์ธ ชาวแอฟริกาใต้ และปีที่ผ่านมาคือนายเกร็ก โอลเซน ชาวอเมริกัน ซึ่งทั้งหมดสมัครใจจ่ายเงิน คนละ 20 ล้านดอลลาร์ เพื่อท่องอวกาศเป็นเวลา 8 วัน สเปซ แอดเวนเจอร์ประกาศแผนเดือนนี้ จะนำเสนอทัวร์อวกาศ แก่นักท่องเที่ยวในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์. (ไทยรัฐ พุธที่ 8 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)
ไม่ไปเลือกตั้งเสียสิทธิ 8 ประการอะไรบ้าง
มาตรา 68 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2540 ระบุว่า "บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง บุคคลซึ่งไม่ไปเลือกตั้งโดยไม่แจ้งเหตุอันสมควรที่ทำให้ไม่อาจไปเลือกตั้ง ย่อมเสียสิทธิตามที่กฏหมายบัญญัติ ..." นอกจากนี้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว. ได้ระบุถึงการเสียสิทธิทั้ง 8 ประการไว้ดังนี้ 1.สิทธิยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว. ผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่น 2.สิทธิร้องคัดค้านการเลือกตั้งกำนันผู้ใหญ่บ้าน ตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะการปกครองท้องที่ 3.สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.และ ส.ว. ผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่น 4.สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นกำนันผู้ใหญ่บ้าน ตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะการปกครองท้องที่ 5.สิทธิเข้าชื่อร้องขอเพื่อให้รัฐสภาพิจารณากฎหมาย ตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย 6.สิทธิเข้าชื่อร้องขอให้สภาท้องถิ่นพิจารณาออกข้อบัญญัติท้องถิ่น ตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าขื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น 7.สิทธิเข้าชื่อร้องขอเพื่อให้ ส.ว. มีมติถอดถอนบุคคล ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 8.สิทธิเข้าชื่อร้องขอให้ถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามกฎหมายว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น "การเสียสิทธิ 8 ประการนี้ จะได้กลับคืนมา เมื่อไปใช้ สิทธิเลือกตั้ง ส.ส. หรือ ส.ว. ครั้งต่อไป" (มติชนรายวัน พุธที่ 8 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th)
เครื่องหอมไทย
พ.ญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ เลขาธิการมูลนิธิการแพทย์แผนไทย เผยว่า สมุนไพรไทยสามารถนำไปแปรรูปได้หลากหลาย ตลาดเครื่องหอมขยายตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากความนิยมของการบำบัดด้วยสุคนธบำบัด โดยคำว่า AROMA (สุคนธา) แปลว่า กลิ่นหอม และ THERAPY คือการบำบัดรักษา ดังนั้น สุคนธบำบัด จึงหมายถึงการบำบัดรักษาเพื่อให้บรรเทาหรือทุเลาอาการต่างๆ ด้วยเครื่องหอม สมุนไพรแต่ละชนิดมีสรรพคุณต่างกันแล้วแต่จะเลือกนำมาใช้ บางอย่างก็เป็นกลิ่นที่ต่างประเทศไม่มี เมืองไทยอยู่ในเขตร้อนและชุ่มชื้น และมีพรรณไม้หลายชนิดที่มีกลิ่นหอม และนำส่วนต่างๆ มาใช้ประโยชน์ได้ มาก อาทิ จากส่วนของดอก เช่น มะละ มะลิลา กุหลาบ พิกุล กระดังงาไทย พุทธชาด จัน กะพ้อ ลำเจียก จำปี จำปา จากส่วนของใบ เช่น เตยหอม เนียม มะกรูด ส้ม ตะไคร้หอม สะระแหน่ โหระพา กระเพรา จากส่วนของลำต้น เปลือก เนื้อไม้ หรือแก่นไม้ เช่น จันทร์เทศ ผิวมะกรูด กฤษณา แก่นจันทน์ หญ้าฝรั่ง อบเชย ชะลูด จากยางไม้ เช่น กำยาน หนาด กฤษณา จากผล เช่น ลูกจันทน์เทศ กานพลู จากเมล็ด เช่น ลูกจันทน์เทศ พริกไทยดำ แต่ละส่วนจะมีฤทธิ์ทางยาต่างกันไป เช่น กลิ่นของกุหลาบ นอกจากจะเป็นตัวแทนความงาม ความรัก และด้านจิตใจที่เกี่ยวข้องกับนิยายและศาสนาแล้ว ยังสามารถใช้รักษาผิวหนัง คุมประจำเดือน เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ทำให้เลือดบริสุทธิ์ และบำรุงหัวใจ ดังนั้น เมื่อได้กลิ่นกุหลาบก็จะเชื่อมโยงไปสู่ความสัมพันธ์เหล่านี้ ซึ่งจะมีผลต่อจิตใจ ร่างกาย ทำให้เกิดความสดชื่น กระชุ่มกระชวย ทางแพทย์แผนไทยถือว่าเป็นยาเย็น การออกฤทธิ์ของน้ำมันหอมระเหยนั้น เกิดจากบางส่วนของร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงทางเคมี โดยน้ำมันหอมระเหยเข้าสู่กระแสโลหิตไปทำปฏิกริยากับฮอร์โมน เอนไซม์ ออกฤทธิ์โดยน้ำมันหอมระเหยไปกระตุ้นบางส่วนของร่างกายให้หลั่งสารเคมีออกมา ซึ่งจะมีผลต่อการทำงานของร่างกาย เช่น ไปกระตุ้นหรือระงับระบบประสาท และการออกฤทธิ์ทางด้านจิตใจ โดยเมื่อสูดดมกลิ่นเข้าไปจะมีปฏิกริยากับกลิ่นนั้นๆ ฤทธิ์ของการใช้น้ำมันหอมระเหย จะช่วยรักษาทั้งทางผิวหนัง ระบบการไหลเวียน กล้ามเนื้อและข้อต่อ ระบบหายใจ ระบบย่อยอาหาร ระบบทางเดินปัสสาวะและระบบต่อมไร้ท่อ ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบประสาท จิตใจสมองและอารมณ์ ทั้งนี้ ต้องจัดกลิ่นให้เหมาะกับสภาพร่างกายของผู้ใช้ (ข่าวสด พุธที่ 8 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)
ซูชิอาจเป็นผลร้ายต่อร่างกายปลาตัวโตมีสารปรอทมาก
นายเอลี แซดเลอร์ สมาชิกของกลุ่มกล่าวว่า ข้อมูลที่ได้มาทำให้สามารถ ลงความเห็นว่า การกินซูชิเหมือนกับการเล่นรัสเชี่ยนรูเล็ตต์ นักวิทยาศาสตร์ให้ความเห็นที่ซูชิมีปริมาณสารปรอทสูงมากว่า มีสาเหตุมาจากการที่ร้านอาหารญี่ปุ่นมักนิยมใช้ปลาตัวใหญ่และมีอายุมาก เพราะให้เนื้อปลาซูชิที่มีรสชาติดี แต่ปลาตัวใหญ่และอายุมากมักสะสมสารปรอทไว้ในตัวมากตามไปด้วย จึงไม่เป็นผลดีแก่ผู้บริโภค ขณะที่การตรวจหาสารปรอทในซูชิบางส่วน ที่ทำจากปลาตัวเล็ก กุ้ง และปลาแซลมอนที่มีอายุไม่ยืนกลับไม่พบสารปรอท ดังนั้น จึงแนะนำให้ผู้บริโภคที่รักการรับประทานปลาซูชิสั่งปลา และสัตว์ทะเลขนาดเล็กและมีวงจรชีวิตสั้น ข้อมูลทางการแพทย์บ่งว่า สารปรอทสามารถทำลายระบบประสาทของทารกในครรภ์อย่างถาวร และอาจทำให้ผู้ใหญ่สูญเสียความจำชั่วขณะได้. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 10 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)
เครื่องราชฯสำหรับขรก.ต่ออายุ
เครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นเครื่องหมายแห่งเกียรติยศสำหรับข้าราชการที่ทำความดีความชอบของแผ่นดิน แต่มีปัญหาว่า ข้าราชการบางประเภทที่ได้รับต่ออายุหลังจากเกษียณอายุราชการแล้ว มีสิทธิได้รับพระราชทานเครื่องราชฯหรือไม่ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ครม.) หารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (เรื่องเสร็จที่ 45/2549) สรุปความว่า มหาวิทยาลัยศิลปากรขอหารือแนวทางในการขอพระราชทานเครื่องราชฯให้แก่ข้าราชการตำแหน่งตั้งแต่ระดับ รศ.ขึ้นไป เมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ และให้รับราชการต่อไปได้จนอายุ 65 ปี ว่า จะนับเวลาราชการต่อเนื่องเพื่อขอพระราชทานเครื่องราชฯชั้นสายสะพายต่อไปได้หรือไม่ ใน 2 กรณี คือ
1.กรณีผู้ที่เกษียณอายุราชการในสิ้นปีงบประมาณ 2546 และ 2547 2.กรณีผู้ที่ได้รับคำสั่งให้รับราชการต่อไปโดยมิได้เกษียณอายุราชการ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 2) ได้พิจารณาแล้ว เห็นว่า ในการขอพระราชทานเครื่องราชฯแก่บุคคลใดให้พิจารณาโดยรอบคอบว่าบุคคลนั้นได้กระทำความดีความชอบเป็นประโยชน์แก่ราชการหรือสาธารณชนจนถึงขนาดจะได้รับพระราชทานเครื่องราชฯโดยมิใช่พิจารณาเพียงแต่ตำแหน่ง ระดับ ชั้น ชั้นยศ หรือครบกำหนดระยะเวลาที่จะขอพระราชทานเครื่องราชฯได้เท่านั้น กรณีตามปัญหาแยกพิจารณาได้เป็น 2 กรณี คือ 1.กรณีที่เกษียณอายุราชการในสิ้นปีงบประมาณ 2546 และ 2547 และต่อมาได้รับคำสั่งให้รับราชการต่อไป การเสนอขอพระราชทานเครื่องราชฯ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ระเบียบสำนักนายกฯที่กำหนดคุณสมบัติของข้าราชการดังกล่าวต้องมีระยะเวลารับราชการติดต่อกันมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี ประกอบกับบัญชีท้ายระเบียบสำนักนายกฯกำหนดให้ข้าราชการระดับ 9 จะเลื่อนชั้นตราเป็นสายสะพายหรือเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้น ม.ว.ม. ได้จะต้องได้รับเครื่องราชฯชั้น ป.ช. มาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีบริบูรณ์ ฉะนั้น การนับเวลาราชการติดต่อกันสำหรับข้าราชการดังกล่าวซึ่งได้รับการต่อเวลาราชการ จนถึงสิ้นปีงบประมาณที่ผู้นั้นมีอายุครบ 65 ปี จึงเป็นกรณีที่ปรากฏว่า ข้าราชการผู้นั้นได้พ้นจากการเป็นข้าราชการไปแล้วนับแต่เกษียณอายุจนถึงวันที่ได้รับคำสั่งให้รับราชการต่อไป ดังนั้น การนับระยะเวลารับราชการติดต่อกันของผู้นั้นจึงได้ขาดตอนไปแล้ว จึงต้องเริ่มนับระยะเวลาใหม่ อย่างไรก็ตาม ในระเบียบสำนักนายกฯสามารถดำเนินการได้หากพิจารณาเห็นว่าผู้นั้นเป็นผู้ที่มีผลงานความดีความชอบดีเด่นก็อาจเสนอขอพระราชทานให้เป็นกรณีพิเศษ โดยระบุความดีความชอบให้เห็นเด่นชัด
2.กรณีเป็นผู้ที่ได้รับคำสั่งให้รับราชการต่อไปจนผู้นั้นมีอายุครบ 65 ปี โดยมิได้ออกจากราชการ เป็นการรับราชการติดต่อกันโดยต่อเนื่อง ดังนั้น จึงสามารถนับระยะเวลาการเลื่อนชั้นตราติดต่อกันจากเดิมได้โดยไม่ต้องเริ่มนับใหม่ (ข่าวสด ศุกร์ที่ 10 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th)
KMUTT
Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215
|
|
|