หัวข้อข่าวปีที่ 7 ฉบับที่ 12 ประจำวันที่ 2006-03-20

ข่าวการศึกษา

จัดอันดับมหาวิทยาลัยสกอ.ลั่นรู้ผลมี.ค.ปีนี้
ตั้งหน่วยงานปั้นป.โท-เอก สกอ.ใช้งบ 100 ล.-เน้นทำวิจัย รับนศ.รุ่นแรกปี50
มรภ.กำแพงเพชร กับบทบาทใหม่ Lively University
"ญี่ปุ่น"ผุดกองทุนให้น.ศ.ทั่วเอเชีย "บาห์เรน"ไม่เอาร่างกม.ตั้ง"ม.หญิง"
ตั้งกองทุนสิรินธรฯติวเข้มครูภาษาจีน บิ๊กมฟล.ชี้ขาดแคลน-ทั่วปท.ไม่ถึง2พัน

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

"วัฒโนสถ" โรงพยาบาลมะเร็งเอกชน PET/CT สแกนเครื่องแรกในไทย
ส.ดาราศาสตร์บันทึก"ไทม์แคปซูล" แนวเกิดคราสสุริยุปราคาปี 2613
กูเกิ้ลโชว์แผนที่ดาวอังคาร
กูเกิลเปิดเวบดูดาวอังคารส่องสำรวจพื้นผิวเห็นภูเขาหลุมบ่อชัดเจน
"ยุ่น-มะกัน"ประสบความสำเร็จ แผนทดสอบจรวดต้านขีปนาวุธ
10วิธีประหยัดพลังงาน เริ่มง่ายๆ ที่บ้านของเรา
"เนคเทค" ดันคนไทยร่วมใช้โอเพ่นซอร์ส
มหัศจรรย์...สายสะดือ!
ดาวอังคารไม่รอดสายตามนุษย์ มองหาที่ทำสนามลงยานอวกาศ
คนไทยชอบ 'ขาวใสหน้าเด็ก” สนใจกับความงามของผิวพรรณ
ผ่าตัดข้อเข่าใหม่ใช้คอมพ์นำทางหมอลงมีดแม่น
กล้องไฮเทคตรวจจับนักซิ่งดัดหลังพวกชอบฝ่าไฟแดง-ซิ่งบนทางหลวง
อัดก๊าซอบอุณหภูมิโลกให้ร้อน-ชุบบ่อน้ำมันแห้งขอดฟื้น

ข่าววิจัย/พัฒนา

"เภสัชศาสตร์พันธุกรรม" ตัวแปรการให้ยา "ถูกโรค ถูกคน"
เก็บเซลล์ต้นกำเนิดจากเลือดระดู เหมาะกับเพาะให้เป็นเซลล์หัวใจ
คอมพิวเตอร์บังคับด้วยความคิด สร้างสำหรับผู้พิการแขนขาด้วน
โปรแกรมสอนฟิสิกส์บนเน็ต
สหรัฐผลิตสำเร็จถังไฮโดรเจนใช้งานจริง
ชี้เฟอร์นิเจอร์ในอนาคต ผสานคอมพ์-ต่อระบบท่องเน็ต
กล้องวงจรปิดหันตามวัตถุเคลื่อนที่
หม่อนสกัดเนรมิตผิวขาวใสมหิดลวิจัย 8 สัปดาห์อาสาสมัครขาวขึ้น 11%
ไทยเหลือช้างเลี้ยงแค่3,000เชือก คิดผสมเทียมด้วยน้ำเชื้อแช่แข็ง
ผลิตวัคซีนป้องกันมะเร็งคอมดลูก สำเร็จในเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งปี
เห็นคุณของการสวดมนต์ภาวนา ระบายความเครียดทำให้ใจสงบ
ติดสปริงดึงลิ้นไก่สยบเสียงกรนใช้หมอนส่งสัญญาณไฟฟ้ากระตุ้น
หนู10 ล้านปีคืนชีพ
สกว.เปิดเวทีศึกดวลคนอัจฉริยะโชว์งานวิจัยแนวหน้ากว่า200ชิ้น
ปลาทูน่า..ปลาทูยักษ์ ทรัพยากรทะเลมูลค่ามหาศาล
น.ศ."ว.นอร์ทฯ"คว้ารางวัลไฮเทค
วิจัยพืชเรืองแสง บอกเวลา"รดน้ำ!"
พบไฟทำให้มนุษย์เหนือกว่าลิง ได้คุณประโยชน์อาหารสูงกว่า
"หุ่นยนต์ประชาสัมพันธ์" ไอเดียน.ศ.มทร.ศรีวิชัย
ดวดไวน์แดงป้องกันโรคเหงือก ด้วยฤทธิ์ต่อต้านสารอนุมูลอิสระ
วิจัยนิเวศหอยมุกน้ำจืด เลี้ยงโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
มจร.ธัญบุรีทอถุงมือจากขนพุดเดิ้ล
งูพิษกัดคนตายช่วยชีวิตคนใช้ห้ามเลือดคนไข้ฉุกเฉินให้หยุด
"นาโนเทค"ช่วยหนูตาบอด ฟื้นระบบประสาท-มองเห็นอีกครั้ง

ข่าวทั่วไป

บำรุงผิวสวยใสด้วยอาหาร
5 เคล็ดลับดูแล‘ใจ’
คนไข้โรคหัวใจพบความหวังใหม่ มีหนทางรักษาให้หายกลับคืนได้
"ภูมิแพ้อาหาร" ภัยเงียบที่ไม่ควรประมาท
อย.ชี้อันตรายครีมหน้าขาว40ยี่ห้อ
รักษาคนไข้โรคไตได้แค่1ใน4 ที่เหลือโดนปล่อยจนเสียชีวิต
สสส.ชวนลดละเลิกน้ำตาลเพื่อสุขภาพ
10เครื่องดื่มยอดนิยมน้ำตาลสูง ต้นเหตุโรคอ้วนเล่นงาน
'สรรพากร' ใจดีลดภาษีรับค่าครองชีพพุ่ง มนุษย์เงินเดือนเตรียมเฮ!





ข่าวการศึกษา


จัดอันดับมหาวิทยาลัยสกอ.ลั่นรู้ผลมี.ค.ปีนี้

ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดอันดับมหาวิทยาลัยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้พยายามเพิ่มเติมดัชนีชี้วัดให้ครอบคลุมในประเด็นต่างๆ ที่มหาวิทยาลัยขอให้เพิ่มเติมมากขึ้น แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่มีการจัดอันดับ และคงจะไม่ได้ทำแค่ปีเดียว ปีต่อๆ ไป สกอ.จะค่อยๆ พัฒนาดัชนีชี้วัดให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเน้น 2 เรื่องหลัก คือ การวิจัย และการเรียนการสอน เพราะประเทศจะเป็นตาย รอดไม่รอดก็อยู่ที่การวิจัยและคุณภาพบัณฑิตเป็นหลัก ขณะนี้มหาวิทยาลัยรัฐ 24 แห่ง ส่งมาแล้ว 22 แห่ง ส่วนมหาวิทยาลัยราชภัฏ 40 แห่ง และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล 9 แห่ง ส่งมาแล้วกว่าครึ่ง ส่วนมหาวิทยาลัยเอกชน 50 แห่ง ส่งมาเพียง 3-4 แห่ง ที่เหลือแจ้งว่าให้ใช้ข้อมูลเดิมที่ สกอ.มีอยู่ ซึ่ง สกอ.คงไม่นำมาใช้เพราะเป็นข้อมูลเก่า พร้อมปรับแผนการจัดอันดับใหม่ เปิดเผยเพียง 50 อันดับแรก ส่วนผู้ที่ไม่ส่งข้อมูล หรือไม่ติดอันดับก็จะไม่ระบุสาเหตุว่าที่ไม่ติดอันดับเพราะด้วยเหตุใด คาดว่าจะจัดอันดับเสร็จปลายเดือนมีนาคมปีนี้ เพื่อให้ทันก่อนการเปิดรับสมัครแอดมิชชั่นส์ เพราะจุดประสงค์หนึ่งในการจัดอันดับก็เพื่อให้ผู้สมัครแอดมิชชั่นส์ได้ใช้ข้อมูลนี้ประกอบการตัดสินใจเลือกคณะ มหาวิทยาลัยสมัครเข้าเรียน (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 16 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)





ตั้งหน่วยงานปั้นป.โท-เอก สกอ.ใช้งบ 100 ล.-เน้นทำวิจัย รับนศ.รุ่นแรกปี50

สกอ.ดันตั้งสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นสูง ใช้งบประมาณจัดตั้ง 100 ล้านบาท ไว้เป็นหน่วยงานกลาง เร่งผลิตบัณฑิตระดับปริญญาโท-เอก วางเป้าส่งนักศึกษาไปทำวิจัยตามศูนย์วิจัยในเครือข่าย เพื่อเรียนรู้การปฏิบัติงานจริง คาดเริ่มรับนักศึกษารุ่นแรกได้ปีการศึกษา 2550 ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวตอนหนึ่งในการนำเสนอร่าง พ.ร.บ.สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นสูง พ.ศ....ว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ถึงการให้สถาบันวิจัยมีส่วนร่วมในการผลิตบุคลากรระดับปริญญาโทและเอก โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จึงได้ร่าง พ.ร.บ.สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นสูง พ.ศ.....และคาดว่าจะเปิดรับนักศึกษารุ่นแรกในปีการศึกษา 2550 และจะใช้งบจัดตั้งไม่เกิน 100 ล้านบาท องค์กรนี้ทำหน้าที่เหมือนสำนักงานอธิการบดี เป็นหน่วยงานกลางเปิดรับนิสิต และประสานสถาบันหรือศูนย์วิจัยต่างๆ มีอำนาจการออกใบปริญญาบัตร แต่ไม่มีอาจารย์ประจำ ไม่มีการสอนในชั้นเรียน เน้นทำวิจัยในองค์กรเครือข่ายที่มีอยู่ไม่น้อยกว่า 10 แห่ง ซึ่งทำวิจัยอยู่แล้ว เพียงแต่เพิ่มบทบาทการเป็นอาจารย์ให้ความรู้กับนิสิตปริญญาโท หรือเอก และมีนักศึกษาเข้าไปเป็นผู้ช่วยการวิจัยไปพร้อมๆ กัน ซึ่งจะเกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย ทั้งกับสถาบัน ตัวนักศึกษา และประเทศชาติ นักวิจัยที่มาเป็นอาจารย์นั้น สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์ฯ จะขึ้นทะเบียนเป็นให้เป็นอาจารย์ มีการดูแล มีบันไดความก้าวหน้าทางวิชาการ เพิ่มเติมจากสายการวิจัย รวมถึงจะมีค่าตอบแทนจากเงินประจำตำแหน่งทางวิชาการ ส่วนองค์กรต่างๆ ที่เป็นฝ่ายผลิต นอกจากจะได้บุคลากรช่วยวิจัยเพิ่ม ก็จะยังได้ค่าอุดหนุนในการผลิตบัณฑิตที่มาจากค่าเล่าเรียนตามรายหัวนักศึกษาที่ส่งไป (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 16 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)





มรภ.กำแพงเพชร กับบทบาทใหม่ Lively University

มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร สถาบันอุดมศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่น มุ่งสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการบนพื้นฐานของภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและภูมิปัญญาสากล จากการสำรวจติดตามการมีงานทำของบัณฑิตพบว่าบัณฑิตที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชรมีอัตราการมีงานทำสูงกว่า 80 % มหาวิทยาลัยมีกิจกรรมหลากหลายให้นักศึกษาทุกคนมีส่วนร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมตัดสินใจและรับผิดชอบในกิจกรรมพัฒนาคุณลักษณะบัณฑิต เรียนรู้ด้านทฤษฎี ไปพร้อมกับการลงมือปฏิบัติจริง ศึกษาสภาพจริงจากภูมิปัญญาท้องถิ่น เรียนรู้ร่วมกันกับชุมชนในท้องถิ่น สร้างภาวะการเป็นผู้นำ ให้รู้จักการทำงานร่วมกันเป็นทีม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและความสามารถทางด้านภาษานั้น มหาวิทยาลัยจัดให้มีการสอบวัดความรู้ด้านคอมพิวเตอร์และภาษาอังกฤษสำหรับนักศึกษาทุกคนก่อนที่จะออกฝึกประสบการณ์วิชาชีพ นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยยังเพิ่มศักยภาพด้านการใช้ภาษาอังกฤษและภาษาจีน อีกทั้งมหาวิทยาลัยมีข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการกับมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวันในการแลกเปลี่ยนบุคลากร การแลกเปลี่ยนนักศึกษาทั้งที่จบการศึกษาและที่กำลังศึกษาอยู่ โครงการความร่วมมือนี้ยังมีข้อสัญญาที่จะช่วยเหลืออุปถัมภ์ซึ่งกันและกันตามความต้องการของทั้งสองฝ่าย Lively University หมายถึง L = Love your studies ทุกคนใฝ่เรียนใฝ่รู้ I = Interesting activities ควบคู่กับการเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อพัฒนาตน V = Value your time เป็นคนรุ่นใหม่ที่ใช้เวลาอย่างมีประสิทธิผล E = Everyone participates enthusiastically กระตือรือร้นพร้อมเป็นเจ้าขององค์การ L = Live life to the full สร้างสรรค์งานตามบทบาทอย่างเต็มที่ Y = Youthful spirit ด้วยวิถีที่เบิกบานปฏิบัติงานด้วยพลังหนุ่ม (ข่าวสด อังคารที่ 14 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th)





"ญี่ปุ่น"ผุดกองทุนให้น.ศ.ทั่วเอเชีย "บาห์เรน"ไม่เอาร่างกม.ตั้ง"ม.หญิง"

หนังสือพิมพ์ธุรกิจ นิฮอน เคไซ ของญี่ปุ่นรายงานว่า ญี่ปุ่นกำลังจะจัดตั้งกองทุนเพื่อการศึกษาสำหรับเด็กในเอเชีย โดยรูปแบบคล้ายคลึงกับทุนการศึกษาฟุลไบรท์ของสหรัฐอเมริกาที่ให้ผู้รับทุนไปเรียนในสหรัฐ ข่าวระบุว่า กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น จะเริ่มโครงการทุนการศึกษาเพื่อเด็กเอเชียในปีการศึกษา 2551 ในเดือนมีนาคมปีเดียวกัน ทางกระทรวงเศรษฐกิจฯ ได้หารือกระทรวงต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการคลังญี่ปุ่นแล้ว และยังเสนอต่อนายกรัฐมนตรี จุนอิชิโร โคอิซูมิ ของญี่ปุ่น ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบอย่างไม่เป็นทางการแล้วเช่นกัน ทุนการศึกษาที่ว่าชื่อ "Asian human resource fund" ให้ปีละ 700 ทุน สำหรับนักศึกษาจากทั่วเอเชีย เพื่อไปเรียนคณิตศาสตร์ เคมี ไอที และวิชาอื่นๆ ที่ญี่ปุ่น 3 ปี ตามโครงการนี้ รัฐบาลตั้งงบประมาณไว้ 1-2 หมื่นล้านเยน (ประมาณ 3.4-6.8 ล้านบาท) โดยนักศึกษาจะได้รับ 300,000 เยนต่อปี ทุนการศึกษานี้จะช่วยให้โตเกียว เมืองหลวงญี่ปุ่น เป็นเมืองแห่งเทคโนโลยี ช่วยให้ญี่ปุ่นแข่งขันกับประเทศอื่นได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญช่วยให้เอเชียเข้าใจญี่ปุ่นมากขึ้น ที่ประเทศบาห์เรน รัฐบาลได้ปฏิเสธร่างกฎหมายที่จะจัดตั้งมหาวิทยาลัยสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นความพยายามของชาวมุสลิมกลุ่มหนึ่งที่ต้องการให้แยกมหาวิทยาลัยสำหรับผู้ชาย และผู้หญิง แต่รัฐบาลให้เหตุผลว่าปัจจุบันห้องเรียน และห้องอาหารสำหรับหญิง และชายในมหาวิทยาลัย แยกกันอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีมหาวิทยาลัยสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ เพราะค่าใช้จ่ายสูง ก่อนหน้านี้ร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาเรียบร้อยแล้ว (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 13 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th)





ตั้งกองทุนสิรินธรฯติวเข้มครูภาษาจีน บิ๊กมฟล.ชี้ขาดแคลน-ทั่วปท.ไม่ถึง2พัน

นายวันชัย ศิริชนะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) เปิดเผยว่า ศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนสิรินธร มฟล. ได้จัดตั้งกองทุนสิรินธรเพื่อพัฒนาครูสอนภาษาจีนในประเทศไทย เพื่อถวายเป็นที่ระลึกแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายุ 50 พรรษา เพื่อพัฒนาครูสอนภาษาจีนให้มีความรู้ความสามารถในการสอนภาษาจีน กองทุนนี้ได้รับการสนับสนุนจากชาวไทยเชื้อสายจีน มีนายไกรสร จันสิริ เป็นประธานกรรมการจัดหาทุน เมื่อโครงการนี้เกิดขึ้น กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ประสาน มฟล.ช่วยจัดอบรมครูภาษาจีนให้ โดยกองทุนจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ 50-100% โดยรุ่นแรกอยู่ระหว่างอบรม อบรมคนละ 200 ชั่วโมง หากครูที่เข้ารับการอบรมคนใดผ่านประเมินตามเกณฑ์มาตรฐาน จะได้รับทุนจากรัฐบาลจีนไปอบรมภาษาจีนที่สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นเวลา 1 เดือน การอบรมจะแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ขั้นต้น กลาง และสูง ถ้าไม่มีพื้นฐานเลย เมื่ออบรม 100 ชั่วโมง จะทักทายและสื่อสารในชีวิตประจำวันได้ ถ้ามีพื้นฐานบ้าง อบรม 200 ชั่วโมง จะใช้ได้คล่อง อย่างครูภาษาจีนที่กำลังอบรมในขณะนี้ มีทั้งอ่านออกเขียนได้นิดหน่อย บางคนพูดได้ ฟังได้ แต่เขียนไม่ได้ บางคนอ่านได้แต่พูดไม่ได้ เป็นต้น ซึ่งก่อนหน้านี้ มฟล.ได้อบรมครูภาษาจีนไปแล้ว 5 รุ่น ประมาณ 800 คน เป้าหมายคืออบรมครูภาษาจีนทั่วประเทศ ผลที่เห็นได้ชัดหลังอบรมคือครูสอนได้ดีขึ้น และส่วนใหญ่กลับมาอบรมในขั้นที่สูงขึ้นไปอีก โดยจะทำต่อเนื่อง 5 ปี เชื่อว่าจะยกระดับครูสอนภาษาจีนในไทยได้ คาดว่าปัจจุบันมีครูภาษาจีนในไทยไม่เกิน 2,000 คน และที่เก่งจริงๆ 10-20% เท่านั้น นายวันชัยกล่าวอีกว่า สำหรับศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนสิรินธร มฟล. ถือเป็นศูนย์เดียวในไทยที่รัฐบาลจีนจัดตั้งให้ และเน้นการอบรมครูสอนภาษาจีน โดยใช้มาตรฐานการเรียนการสอน การออกเสียง และการเขียนแบบปักกิ่งทั้งหมด (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 13 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


"วัฒโนสถ" โรงพยาบาลมะเร็งเอกชน PET/CT สแกนเครื่องแรกในไทย

"โรงพยาบาลวัฒโนสถ" นาม "วัฒโนสถ" ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานนามให้ มีความหมายว่า "ยาก้าวหน้า" การก่อตั้งโรงพยาบาลวัฒโนสถ *นายแพทย์พงษ์ศักดิ์ วิทยากร* กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) เล่าถึงรายละเอียดว่าใช้เงินมากกว่า 1,000 ล้านบาท ในการสร้างโรงพยาบาลแห่งนี้ขึ้นมา และได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยในการวินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็งอย่างครบวงจร โดยการซื้อเครื่อง PET/CT (เพ็ท / ซีที) เข้ามาช่วยในการวินิจฉัยโรค เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและทันสมัย คุณหมอพงษ์ศักดิ์บอกว่า ประสิทธิภาพที่กล่าวถึงคือ เครื่อง PET/CT ช่วยหาตำแหน่งและขนาดของมะเร็งได้แม่นยำถึง 90% และถือเป็นเครื่องแรกในประเทศไทยที่นำมาใช้ในการตรวจหามะเร็ง การทำงานของเครื่องนั้น เริ่มตั้งแต่ฉายดูเงาในร่างกายคน เพื่อดูว่ามีก้อนเนื้อหรือไม่ โดยเครื่อง PET จะเป็นตัวที่บอกว่าก้อนเนื้อที่เครื่อง CT พบนั้นมีกิจกรรมอะไรบ้าง เป็นก้อนเนื้อร้ายหรือไม่ จากการดูสีที่จะแสดงออกมาจากการสันดาปสูง โดยเครื่องสแกนจะใช้เวลาในการประมวลผลประมาณ 5-6 นาที สามารถสแกนภาพได้ทั้งตัว โดยการแสดงเป็นภาพสามมิติ เมื่อเครื่องมีประสิทธิภาพ ราคาค่างวดในการเข้าตรวจรักษาก็ต้องสูงเป็นธรรมดา โดยผู้อำนวยการโรงพยาบาลวัฒโนสถบอกว่า ราคาแตกต่างจากเมืองนอกเล็กน้อย กล่าวคือในต่างประเทศคิดราคาครั้งละประมาณ 100,000 บาท ส่วนในไทยตกราคาครั้งละ 81,000 บาท (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 16 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th)





ส.ดาราศาสตร์บันทึก"ไทม์แคปซูล" แนวเกิดคราสสุริยุปราคาปี 2613

น.ส.ประพีร์ วิราพร เลขาธิการสมาคมดาราศาสตร์ไทย เปิดเผยว่า วันที่ 18 มีนาคม ทีมงานสำรวจเส้นทางแนวการเกิดคราสของปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงในประเทศไทยครั้งต่อไปซึ่งจะเกิดในวันที่ 11 เมษายน 2613 หรืออีก 64 ปีข้างหน้า ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง ตราด จันทบุรี โดยการเดินทางครั้งนี้จะไปเก็บข้อมูลที่เกาะช้าง จังหวัดตราด ทีมงานจะเก็บข้อมูลเชิงภูมิศาสตร์ ภูมิทัศน์ เป็นภาพถ่ายขาวดำแบบพาโนรามาซึ่งมีความทนทานสามารถเก็บรักษาเอาไว้ได้เป็น 100 ปี โดยในภาพถ่ายจะให้เห็นสถานที่รอบด้านทั้งถนน บ้าน ร้าน ตลาด ถานที่ราชการ และสัมภาษณ์ชาวบ้านในบริเวณนั้น โดยจะเก็บข้อมูลเหล่านี้เอาไว้ในในกรุเวลาดาราศาสตร์ หรือไทม์ แคปซูล ซึ่งเป็นระบบสุญญากาศที่ผลิตจากโลหะพิเศษ รวมกับข้อมูลปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาถึงปัจจุบัน กรุเวลานี้จะถูกเปิดอีกครั้งก่อนเกิดสุริยุปราคาครั้งต่อไป 1 ปีในปี 2612 ซึ่งจะไปทำพิธีปิดที่บริเวณเขาชะโงก โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จังหวัดนครนายก ข้อมูลที่บรรจุนี้มีค่าทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง ในอนาคตจะสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้อธิบายเรื่องราวต่างๆ ได้ครบถ้วนและเชื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้นความเจริญก้าวหน้าด้านดาราศาสตร์จะมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง สำหรับปรากฏการณ์สุริยุปราคานั้นเป็นปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์ มี 3 แบบ คือ 1.สุริยุปราคาเต็มดวง คือ ดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์ทั้งดวงทำให้ท้องฟ้ามืดสลัวคล้ายเวลาใกล้ค่ำ จะเกิดในช่วงเดือนดับคือแรม 14-15 ค่ำ ทั้งนี้ เดือนดับจะเกิดทุกเดือน แต่สุริยุปราคาเกิดปีละ 1-2 ครั้งเท่านั้น 2.สุริยุปราคาบางส่วนคือดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์บางส่วนทำให้เห็นดวงอาทิตย์แหว่งเว้า 3.สุริยุปราคาแบบวงแหวนจะเกิดช่วงที่ดวงจันทร์อยู่ไกลจากโลก ซึ่งจะดูเหมือนเล็กกว่าดวงอาทิตย์ จึงเห็นดวงอาทิตย์เป็นวงคล้ายวงแหวน ทั้งนี้ สุริยุปราคาเต็มดวงจะเกิดขึ้นนานๆ ครั้ง ล่าสุดในไทยเกิดเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2538 (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 16 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th)





กูเกิ้ลโชว์แผนที่ดาวอังคาร

หลังจากที่บริษัท กูเกิ้ล ยักษ์ใหญ่แห่งวงการเสิร์ช เอ็นจิ้น ประสบความสำเร็จในการทำแผนที่โลกใน "กูเกิ้ล เอิร์ธ" มาแล้ว ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา กูเกิ้ลประกาศเปิดตัวแผนที่ดาวอังคารที่ทำขึ้นเป็นครั้งแรก โดยนายชีไก โอฮาซามา ทีมงานของกูเกิ้ล เอิร์ธ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาชาวโลกได้แต่มองความงดงามของดาวอังคาร ไม่ว่าจะเป็นจากภาพร่างพื้นผิวของเปอร์ซิวอล โลเวลล์ จากหนังสือจำนวนมากและจากภาพยนตร์ และยังได้ใช้เวลาในการศึกษาดาวเคราะห์ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้โลกมากที่สุด ทำให้เป็นที่มาของการทำแผนที่ดาวอังคารขึ้น โดยนายโนเอล โกเรลิค และนายไมเคิล วีส-มาลิค จากมหาวิทยาลัยอริโซนา นักวิจัยจากองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (นาซา) ได้ทำงานร่วมกับกูเกิ้ลโดยการรวมเอาเทคโนโลยีการทำแผนที่ของกูเกิ้ลเข้ากับรายละเอียดของดาวอังคารให้ได้มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา สำหรับวิธีการที่จะเข้าไปดูแผนที่ดาวอังคารที่เว็บไซต์ www.google.com/mars มีอยู่ 3 แบบด้วยกัน คือ แผนที่แสดงความต่างระดับโดยใช้สีจำแนก, แผนที่เสมือนจริงที่จะแสดงให้เห็นพื้นผิวจริงๆ ของดาวอังคาร และแผนที่อินฟราเรดที่จะแสดงรายละเอียดซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 16 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th)





กูเกิลเปิดเวบดูดาวอังคารส่องสำรวจพื้นผิวเห็นภูเขาหลุมบ่อชัดเจน

ผู้จัดทำเวบกูเกิลนำเอาแผนที่ภาพพื้นผิวบนดาวอังคารมาใส่บนเวบ www.google.com/mars แผนที่ดังกล่าวบันทึกภาพโดยยานสำรวจมาร์ส โออีสซีย์ และมาร์ส โกลบอล เซอร์เวเยอร์ ที่องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งสหรัฐ หรือนาซา ส่งไปโคจรรอบดาวอังคาร ก่อนหน้านี้ เวบไซต์สืบค้นข้อมูลที่ได้รับความนิยมที่สุดในโลกนี้เปิดตัว กูเกิล เอิร์ธ เป็นโปรแกรมที่ผู้ใช้ดาวโหลดโปรแกรมติดตั้งลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ดึงข้อมูลตอบโต้กับคอมพิวเตอร์แม่ข่าย (เซิร์ฟเวอร์) ของกูเกิล เครื่องมือสืบค้นแผนที่โลกของกูเกิลได้รับความนิยมอย่างมาก นอกจากสามารถใช้วางแผนการเดินทางไปยังสถานที่ หรือใช้ดูที่ตั้งของอาคาร เส้นทางถนน ยังเหมาะสำหรับครูและนักเรียนใช้ศึกษาภูมิศาสตร์ หรือดูที่ตั้งประเทศและเมืองหลวงสำคัญของโลกได้ สำหรับแผนที่ดาวอังคารนี้จะต่างจากกูเกิล เอิร์ธ ผู้ใช้สามารถเข้าไปดูแผนที่พื้นดาวอังคารได้จากเวบไซต์โดยตรง ไม่ต้องดาวโหลดโปรแกรมติดตั้ง แต่ตัวแผนที่ไม่ได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ของดาวอังคาร และมีเครื่องมือสำหรับใช้งานน้อยกว่า แต่ผู้สนใจสามารถปรับเลื่อนภาพใกล้ไกลและซ้ายขวาได้ พร้อมกับมีระดับสีแสดงระยะสูงต่ำของพื้นที่ แผนที่ดังกล่าวสามารถเลือกดูได้ 3 แบบ แบบแรกแสดงพื้นผิวที่เป็นระดับสูงต่ำด้วยระดับสี แบบที่สองเป็นแผนที่แสดงภาพที่มองเห็นจากสายตาปกติ เป็นภาพสีขาว-ดำ ส่วนแบบที่สามเป็นภาพอินฟราเรด แสดงให้เห็นระดับอุณหภูมิ สีมืดแสดงพื้นผิวที่มีอุณหภูมิต่ำ และสีสว่างแสดงอากาศร้อน ผู้ใช้สามารถซูมภาพได้ทั้งสามแบบ ซึ่งสามารถเห็นลักษณะภูมิประเทศอย่างเช่น ภูเขา หุบผา เนิน และแอ่งหลุมอุกกาบาต แผนที่ยังได้แสดงตำแหน่งลงจอดของยานสำรวจพื้นผิวดาวอังคารสองลำด้วย ได้แก่ สปิริต และออพพอร์ทูนิตี ซึ่งถูกส่งไปสำรวจคนละฝั่งของดาวอังคารเมื่อสองปีที่แล้ว ทั้งนี้ ผู้จัดทำตั้งใจจะปรับปรุงข้อมูลใหม่ๆ ทุกสองสัปดาห์ เวบไวต์ค้นหาข้อมูลแห่งนี้ยังจัดทำกูเกิล มูน แสดงแผนที่ดวงจันทร์ โดยมีตำแหน่งลงจอดของยานอพอลโล่ทั้ง 6 ลำด้วย (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 16 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)





"ยุ่น-มะกัน"ประสบความสำเร็จ แผนทดสอบจรวดต้านขีปนาวุธ

ญี่ปุ่นและสหรัฐประสบความสำเร็จในการทดสอบระบบ "จรวดต่อต้านขีปนาวุธ" ร่วมกัน สำนักงานป้องกันภัยขีปนาวุธของสหรัฐกล่าวว่า จรวดเอสเอ็ม-3 รุ่นปรับปรุงใหม่ ถูกยิงขึ้นมาจากเรือลาดตระเวนชั้นอีจิสที่ลอยลำอยู่นอกชายฝั่งเกาะฮาวาย จรวดลูกนี้มีญี่ปุ่นร่วมพัฒนาในส่วนของกรวยหัว ซึ่งสามารถดีดตัวออกจากจรวดขับดันตามโปรแกรมที่ตั้งไว้โดยไม่ผิดพลาด การทดสอบครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งในการวิจัยร่วมด้านกลาโหมระหว่างสองประเทศที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2542 หลังจากเกาหลีเหนือสร้างความตกตะลึงด้วยการยิงขีปนาวุธข้ามญี่ปุ่นไปตกที่มหาสมุทรแปซิฟิก ชินโซ อาเบะ หัวหน้าคณะเลขาธิการคณะรัฐมนตรี กล่าวว่า ความสำเร็จครั้งนี้พิสูจน์ความเชื่อมั่นในโครงการร่วมพัฒนาระบบป้องกันขีปนาวุธข้ามทวีปกับสหรัฐ (ข่าวสด พุธที่ 15 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)





10วิธีประหยัดพลังงาน เริ่มง่ายๆ ที่บ้านของเรา

แนวทางใกล้ๆ ตัวที่อาจช่วยให้ท่านผู้อ่านลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าได้ นับเป็นก้าวแรกของการประหยัดไฟ-ประหยัดสตางค์สามารถเริ่มต้นง่ายๆ ที่ "บ้าน" ของเราเอง คือ 1. ปลูกต้นไม้ใหญ่สัก 2-3 ต้นรอบๆ บ้าน พอถึงหน้าร้อนก็จะได้ร่มเงาบังแสงแดด ล่วงสู่หน้าหนาวก็มีต้นไม้คอยบังลมเย็น 2. ติดฉนวนกันความร้อน 3. ถ้าที่บ้านต้องการใช้โทรศัพท์ไร้สาย ให้เลือกซื้อรุ่นที่มีแบตเตอรี่แบบประจุไฟใหม่ได้ 4. ถ้าจะเลือกซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ ให้ซื้อแบบโน้ตบุ๊ก เพราะกินไฟน้อยกว่าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (พีซี) 5. เลือกใช้กระจกกันความร้อน เพื่อลดปริมาณการใช้เครื่องปรับอากาศหรือแอร์ 6. อาบน้ำฝักบัวช่วยประหยัดน้ำมากกว่าอาบน้ำในอ่างถึง 1 เท่า 7. ใช้หลอดประหยัดไฟฟ้า 8. โทรทัศน์ เครื่องเสียง เครื่องเล่นวีซีดี/ดีวีดี ยังต้องมีกระแสไฟฟ้าเข้าไปเลี้ยงอยู่ตลอดเวลาแม้จะปิดเครื่องแล้ว ดังนั้นถ้าไม่ใช้งานควรถอดปลั๊กไฟออกเลย หรือ เสียบปลั๊กตัวเครื่องเข้ากับปลั๊กไฟพ่วงที่มีปุ่มเปิด/ปิดไฟ 9. เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ฯลฯ ควรเลือกซื้อรุ่นที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์สูงๆ กำกับไว้ 10. ถ้ามีบ้านหลังใหญ่ควรติดตั้งระบบเซ็นทรัลแอร์ หรือ จ่ายแอร์จากท่อแอร์รวม แต่ถ้าต้องการติดแอร์ในห้องๆ เดียวให้เลือกซื้อแอร์ที่มีกำลังในการทำงานเย็นที่เหมาะสมกับขนาดของห้อง (ข่าวสด อังคารที่ 14 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th)





"เนคเทค" ดันคนไทยร่วมใช้โอเพ่นซอร์ส

ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ มีนโยบายในการพัฒนา ผลักดัน และสนับสนุนให้ใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส ที่เรียกว่า ซอฟต์แวร์ต้นฉบับรหัสเปิด (Open Source Software Project) อย่างแพร่หลายในประเทศไทย เช่น การพัฒนาซอฟต์แวร์ Linux และ OpenOffice.org ให้มีการใช้ภาษาไทยได้ถูกต้อง หลังจากจับมือร่วมกับองค์กร กลุ่มบุคคล และบุคคลในการพัฒนาโอเพ่นซอร์สขึ้นมา ทั้งนี้ ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส คือซอฟต์แวร์ใช้งานคุณภาพสูง ที่ผู้เขียนหรือผู้พัฒนาได้เปิดเผยรหัสต้นฉบับ (Source code) แสดงการทำงานของโปรแกรมทุกขั้นตอน ผู้ใช้งานทั่วไป (User) ก็สามารถใช้งานส่วนที่เป็นโปรแกรมใช้งานได้โดยสะดวก แนวคิดการใช้งานซอฟต์แวร์รหัสเปิด (Open Source Software) ปรากฏเป็นรูปเป็นร่างที่แท้จริงแล้วในภาคปฏิบัติ จากมีผู้สนใจด้านนี้รวมกลุ่มกันพัฒนาซอฟต์แวร์ภายใต้แนวคิดนี้ ซึ่งเป็นการรวมพลังความคิด ความรู้ ความสามารถ เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานด้านซอฟต์แวร์ จนกระทั่งวันนี้ผลผลิตแห่งภูมิปัญญา ได้ก่อให้เกิดซอฟต์แวร์ขึ้นจำนวนมากมาย ให้นำมาใช้ประโยชน์กัน และยังคงเดินหน้าพัฒนาต่อไปอย่างต่อเนื่อง ซอฟต์แวร์รหัสเปิดมีการพัฒนาตั้งแต่โปรแกรมอำนวยความสะดวกขนาดเล็กๆ ไปจนถึงระบบปฏิบัติการที่มีประสิทธิภาพสูง หลายต่อหลายโปรแกรมได้รับการพัฒนาจนมีคุณภาพสูง ทั้งในด้านของประสิทธิภาพ และความเชื่อถือได้ จนได้รับความนิยมอย่างสูง และมีการนำไปประยุกต์ใช้งานอย่างกว้างขวาง สำหรับประเทศไทย ผู้ใช้ส่วนใหญ่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดว์ส เนคเทค ซึ่งงานพัฒนาเนื้อหาสาระดิจิตอล ได้จัดทำและรวบรวมโปรแกรมโอเพ่นซอร์ส ตลอดจนฟรีแวร์ต่างๆ ที่สามารถใช้งานได้กับระบบปฏิบัติการวินโดว์ส (Windows) เผยแพร่และแจกจ่ายฟรีให้แก่ผู้สนใจ โดยเริ่มออกแผ่นซีดี "โอเพ่นซอร์สและฟรีแวร์สำหรับระบบปฏิบัติการวินโดว์ส รุ่น 1.0" เมื่อเดือนธันวาคม 2547 พร้อมทั้งได้มีการทดลองใช้งานกับบุคลากรของเนคเทคทั้งหมด ตลอดจนบางกลุ่มของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช. ) ผู้ใดสนใจอยากเข้าร่วมีส่วนในการพัฒนา ผลักดันการใช้โอเพ่นซอร์ส ติดต่อ โทร.0-2564-6900 ต่อ 2353-2354 (มติชนรายวัน อังคารที่ 14 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th)





มหัศจรรย์...สายสะดือ!

มีงานวิจัยทางการแพทย์หลายชิ้นยืนยันว่า สเต็มเซลล์จากไขกระดูก และสายสะดือ สามารถรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว และชะลออาการของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งตับอ่อน และมะเร็งรังไข่ในผู้ป่วยบางรายได้ และในอนาคต วงการแพทย์ยังมีความหวังว่า สเต็มเซลล์ จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการรักษาโรคทางสมอง เช่น พาร์กินสัน หรืออัลไซเมอร์ ล่าสุด มีการใช้สเต็มเซลล์ในการซ่อมกล้ามเนื้อหัวใจ ได้ น.พ.แพททริก ตัน ผู้เชี่ยวชาญด้านโลหิตวิทยา ของ โรงพยาบาล เมาท์ อลิซาเบธ ในสิงคโปร์ ซึ่งทำการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ให้กับคนไข้โรคเลือดมาแล้วกว่า 600 ราย บอกว่า “สเต็มเซลล์ในสายสะดือ” หรือ Cord Blood Stem Cell คือ ส่วนที่มีสเต็มเซลล์ที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์ที่สุด” คุณหมอตัน อธิบายว่า “สายสะดือ” เป็นส่วนสำคัญต่อการเชื่อมโยงระหว่างทารกในครรภ์กับมารดา จึงมีสเต็มเซลล์ที่จำเป็นต่อการสร้างระบบโลหิตของทารกในครรภ์ด้วย โดยเซลล์ต้นกำเนิดจากสายสะดือ สามารถจะสร้าง เซลล์เม็ดเลือดแดง,เซลล์เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด ได้ และ วงการแพทย์ และวิทยาศาสตร์ยังพบว่า เนื้อเยื่อจากสายสะดือ มี เซลล์เมเซนไค ที่ใช้สำหรับการสร้างกระดูกได้ด้วย หากมอง ในอนาคต หากไม่มียาที่ดีที่สุดในการรักษาโรค “สเต็มเซลล์” ก็น่าจะเป็นความหวังที่เป็นไป ได้มากที่สุดในปัจจุบัน และอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะขณะนี้ มีรายงานยืนยัน ว่า สเต็มเซลล์สามารถ นำไปใช้ในการรักษาโรคต่างๆได้แล้วถึง 83 โรค การเก็บสเต็มเซลล์จากสายสะดือ ไม่ยุ่งยาก เพราะหลังจากทารกคลอดออกมา แพทย์จะตัดสายสะดือ และสอดเข็มเข้าไปเพื่อเจาะเลือดออกมาจากสายสะดือ ประมาณ 30-100 ซีซี เก็บ ไว้ในชุดเก็บเลือด หลังจากนั้นจะนำเลือดที่ได้ไปตรวจคัดกรองว่ามีการติดเชื้อต่างๆหรือไม่ หากไม่มี ก็จะนำเลือดที่ได้ไปสกัดหาสเต็มเซลล์ และนำเข้าสู่กระบวนการแช่แข็งภายใต้อุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส เพื่อรอเวลาที่จะถูกนำไปใช้ในอนาคต เมื่อมีความจำเป็น ปัจจุบัน สิงคโปร์เป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มี “ธนาคารสายสะดือ” ซึ่งได้มาตรฐานการรับรองจาก AABB (American Association Blood Bank) ทำให้การจัดเก็บสเต็มเซลล์จากสายสะดือของประเทศต่างๆในภูมิภาคนี้ ยังคงต้อง ส่งไปเก็บที่สิงคโปร์ แต่ในอนาคตมีแนวโน้มว่า ภาคเอกชนกำลัง จะเข้ามาลงทุน จัดตั้งธนาคารสายสะดือที่ได้มาตรฐานในประเทศไทย ค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บสเต็มเซลล์จากสายสะดือในประเทศไทย ขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 41,160 บาทต่อการจัดเก็บครั้งแรก และเสียค่าบำรุงการจัดเก็บอีกปีละ 6,000 บาท โดยจะ มีสัญญาชัดเจนว่า สเต็มเซลล์จากสายสะดือของเรา จะต้องไม่ถูกนำไปโคลนนิ่ง หรือใช้ประโยชน์ในทางอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยของเจ้าของสเต็มเซลล์ หรือคนในครอบครัว (ไทยรัฐ อังคารที่ 14 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)





ดาวอังคารไม่รอดสายตามนุษย์ มองหาที่ทำสนามลงยานอวกาศ

หลังจากนี้ยานอวกาศจะโคจรรอบดาวอังคาร 500 รอบ เป็นเวลา 6 เดือน เพื่อส่งข้อมูลดาวอังคารที่ดีกว่าข้อมูลก่อนหน้านี้ถึง 10 เท่า กลับมายังโลก รวมทั้งสำรวจหาพื้นที่เหมาะสมสำหรับการลงจอดของยานอวกาศที่มีมนุษย์เดินทางไปด้วย การส่งยานสำรวจอวกาศเข้าสู่วงโคจรของดาวอังคาร นับว่ายากลำบากมาก ยานสำรวจดาวอังคารของนาซา 2 จาก 4 ลำ ก่อนหน้านี้หายสาบสูญไประหว่างการเดินทางสู่วงโคจรดาวอังคาร ยานสำรวจอวกาศลำนี้ออกเดินทางจากโลกเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว และเคลื่อนสู่ดาวอังคารด้วยความเร็ว 17,600 กิโลเมตรต่อชั่วโมง. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 13 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)





คนไทยชอบ 'ขาวใสหน้าเด็ก” สนใจกับความงามของผิวพรรณ

รศ.น.พ.นภดล นพคุณ เลขาธิการสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ว่าโรคผิวหนังเป็นโรคที่พบบ่อย ทั้งกลาก เกลื้อน เชื้อรา ผื่นแพ้สัมผัส รวมทั้งมะเร็ง อย่างไรก็ตาม ช่วง 5 ปีที่ผ่านมาพบแนวโน้มคนไทยให้ความสนใจความงาม ของผิวพรรณมากขึ้นโดยเฉพาะการทำให้ผิวขาว ใบหน้าอ่อนเยาว์ หน้าใสๆ เหมือนผิวเด็ก ส่งผลให้เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ปรับสภาพผิว ลดริ้วรอยและเทคโนโลยีด้านความงาม เช่น เครื่องเลเซอร์รักษาผิวพรรณเพื่อลดริ้วรอยทำให้ผิวขาว ยกผิวหน้าให้กระชับเต่งตึง ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ซึ่งการใช้เทคโนโลยีเพื่อความงามเหล่านี้ หากเลือกไม่เหมาะสมทำให้เกิดผลข้างเคียง ไม่คุ้มกับเงินที่จ่ายไปเพราะค่อนข้างราคาแพง “การใช้เลเซอร์เพื่อยกกระชับดึงหน้าให้ตึง แพทย์ผิวหนังที่ให้การรักษาต้องให้ข้อมูลกับคนไข้อย่างรอบด้าน คนไข้สามารถหาความเห็นที่ 2 กับแพทย์ผิวหนังคนอื่นได้ ต้องบอกข้อมูลอย่างรอบด้านให้คนไข้รู้ เพราะเลเซอร์รักษาบางโรคต้องทำต่อเนื่องหลายครั้ง ยิงเลเซอร์แล้วทำให้ผิวดำคล้ำกว่าเดิม ผิวคนไทยคล้ำอยู่แล้ว อาจมีผลข้างเคียงทำให้หน้าแสบร้อนต้องบอกวิธีปฏิบัติ คือหลบแดดหลังทำ หากยิงเลเซอร์ไม่เหมาะสมอาจทำให้เส้นประสาทบนใบหน้าตาย ทำให้ผิวหน้าไม่มีความรู้สึก ปากเบี้ยว การใช้เครื่องไอออนโตไม่มีประโยชน์ เพราะผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือเครื่องสำอาง มีความสามารถซึมเข้าผิวหนังอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือผลักเข้าผิวหนัง (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 13 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)





ผ่าตัดข้อเข่าใหม่ใช้คอมพ์นำทางหมอลงมีดแม่น

ศ.น.พ.อัลเฟรด เทรีย ผู้เชี่ยวชาญด้านคลินิกศัลยกรรมกระดูกและกล้ามเนื้อ รพ.จุฬาฯ กล่าวว่า ระบบการตรวจสอบโดยใช้คอมพิวเตอร์ระบบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ถือเป็นเทคโนโลยีล่าสุดของการผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียมชนิดทำให้เนื้อเยื่อบาดเจ็บน้อย โดยจะช่วยเพิ่มความแม่นยำให้กับการผ่าตัด เนื่องจากศัลยแพทย์สามารถเห็นภาพระหว่างการผ่าตัดได้ในทันที อีกทั้งลดอัตราเสี่ยงที่จะต้องผ่าตัดซ้ำเพื่อแก้ไข และยังลดการตัดหรือเจียรกระดูกที่ไม่จำเป็น สามารถตรวจสอบการเคลื่อนไหวของข้อได้อย่างถูกต้องยิ่งขึ้นด้วย โดยไม่จำเป็นต้องเปิดปากแผลขนาดใหญ่ถึง 8-10 นิ้ว และด้วยเทคนิคใหม่นี้ปากแผลผ่าตัดจะเหลือเพียง 4-6 นิ้วเท่านั้น จึงลดอาการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อรอบเข่า และความเจ็บปวดจากการผ่าตัด เสียเลือดจากการผ่าตัดน้อยลง รวมถึงแผลเป็นจะมีขนาดเล็กลงอีกด้วย ก่อนหน้านี้ การผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียม ซึ่งอาศัยระบบคอมพิวเตอร์นำร่องแบบเดิม จำเป็นต้องฝังเสาส่งสัญญาณเข้าที่กระดูก โดยเสาส่งสัญญาณนี้มีขนาดใหญ่ และต้องฝังทั้งสองฝั่งของข้อเข่าบนและล่าง ส่งผลให้ต้องเปิดปากแผลใหญ่ หรือต้องกรีดแผลเพิ่ม 1-2 แห่งเพื่อฝังเสาส่งสัญญาณ และอาจมีผลให้คนไข้ที่ภาวะกระดูกบาง อาจมีรอยร้าวบนกระดูกได้ กระทั่งปลายปี 2548 มีการพัฒนาคอมพิวเตอร์ระบบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบใหม่ จึงลดปากแผลผ่าตัด และไม่ต้องกรีดแผลเพิ่ม นับเป็นนวัตกรรมการผ่าตัดที่เป็นประโยชน์แก่แพทย์และคนไข้ ทั้งนี้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์จะนำเทคโนโลยีใหม่ดังกล่าวมารักษาคนไข้โรคข้อเข่าเสื่อมในประเทศไทยด้วย ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมนี้ (คมชัดลึก จันทร์ที่ 13 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)





กล้องไฮเทคตรวจจับนักซิ่งดัดหลังพวกชอบฝ่าไฟแดง-ซิ่งบนทางหลวง

นายนิธิกร เพียมา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทนิกซ์ แทรฟฟิก โซลูชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ระบบการตรวจจับการกระทำความผิดทางจราจร ได้แก่ กล้องจราจรเรดไลท์ ตรวจจับผู้ฝ่าฝืนสัญญาณจราจร และกล้องตรวจจับความเร็วแบบเคลื่อนที่ สามารถติดตั้งภายในรถ หรือใช้ประกอบเป็นแบบมือถือใช้งานได้สะดวก กล้องเรดไลท์เป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งประจำจุดที่เฝ้าตรวจตามแยกจราจรต่างๆ เพื่อตรวจวัดความเร็ว สัญญาณไฟเขียวและแดง การฝ่าฝืนกฎระเบียบและวินัยด้านการจราจร สามารถบันทึกการกระทำความผิดได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ สามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยใช้เทคโนโลยีเลียนแบบเซ็นเซอร์จับสัญญาณผู้กระทำผิดกฎจราจร และจะทำงานก็ต่อเมื่อมีสัญญาณไฟแดงปรากฏขึ้น ทำให้จับภาพผู้ขับขี่รถฝ่าไฟแดงได้ง่าย ส่วนกล้องตรวจจับความเร็วสามารถใช้ได้ทั้งถนนทางหลวงปกติและทางด่วนพิเศษ และติดตั้งได้เลยไม่ต้องทุบพื้นถนน กล้องใช้ระบบตรวจจับด้วยแสงเลเซอร์และแสงอินฟราเรดควบคู่กัน โดยแสงเลเซอร์จะทำหน้าที่ตรวจจับความเร็วในระยะไกล ขณะที่แสงเลเซอร์คอยตรวจจับปริมาณรถที่วิ่งด้วยความเร็วสูง เมื่อผสานสองระบบเข้าด้วยกันการตรวจจับผู้กระทำความผิดจึงมีประสิทธิภาพมากขึ้น กล้องตัวนี้มีความละเอียดของภาพถึง 12 ล้านพิกเซล ทำให้สามารถซูมภาพถ่ายจนมองเห็น "ทะเบียนยานพาหนะ" ที่กระทำความผิด เพื่อเป็นหลักฐานได้อย่างดี ผู้กระทำความผิดสามารถชำระค่าปรับผ่านโทรศัพท์ เคาน์เตอร์เซอร์วิส ทางไปรษณีย์ และอินเทอร์เน็ต ช่วยให้ผู้กระทำความผิดชำระค่าปรับได้รวดเร็วขึ้น โดยสามารถใช้ควบคู่กับบัตรสมาร์ทการ์ด ที่ผ่านมาได้ทดลองใช้ในหลายประเทศ ซึ่งช่วยให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงทางอุบัติเหตุของตำรวจจราจรด้วย สำหรับประเทศไทย บริษัทมีแผนจะลงทุน 3 พันล้านบาท เพื่อติดตั้งระบบดังกล่าวให้ครอบคลุมพื้นที่จราจรภายในประเทศ แต่ต้องขึ้นกับนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและนโยบายของรัฐบาล ที่จะสนใจร่วมลงทุนหรือไม่ ในรูปแบบสัญญาระยะยาว และแบ่งปันผลประโยชน์จากการจัดเก็บค่าปรับร้อยละ 50 ซึ่งบริษัทจะเป็นฝ่ายออกค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบทั้งหมด (คมชัดลึก จันทร์ที่ 13 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)





อัดก๊าซอบอุณหภูมิโลกให้ร้อน-ชุบบ่อน้ำมันแห้งขอดฟื้น

กระทรวงพลังงานสหรัฐอเมริกาแจ้งว่า พบลู่ทางที่จะเพิ่มปริมาณน้ำมันดิบของตน ที่ลดลงมานานหลายสิบปีแล้ว ให้เพิ่มขึ้นได้อีกตั้ง 4 เท่า โดยการฉีดอัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลงไปในบ่อน้ำมันที่แห้งขอดเหล่านั้น สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นชาติใช้น้ำมันเปลืองมากที่สุด ได้เคยใช้วิธีนี้ ดันน้ำมันขึ้นจากบ่อน้ำมันที่แห้งขอดเหล่านี้มาใช้ได้อีก มานาน 30 ปีแล้ว กระทรวงได้ประมาณว่า การใช้เทคนิคดังกล่าวจะทำให้มีน้ำมันดิบสำรองเพิ่มขึ้นอีก 89 พันล้านบาร์เรล ซึ่งสหรัฐอเมริกาจะพอใช้ ตามอัตราที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไปได้นาน 12 ปี นักวิทยาศาสตร์เกือบทุกคนพากันตราหน้าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ว่าเป็นก๊าซตัวการทำให้โลก ร้อนขึ้น และรายงานของสหประชาชาติเมื่อเดือนกันยายนที่แล้ว เคยรายงานว่าวิธีกำจัดก๊าซนี้ก็คือการฝังดินไว้เสีย แต่จะต้องใช้ทุนรอนจำนวนมาก. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 17 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)





ข่าววิจัย/พัฒนา


"เภสัชศาสตร์พันธุกรรม" ตัวแปรการให้ยา "ถูกโรค ถูกคน"

ผศ. ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ว่า ปัจจุบันมีการนำความรู้เรื่องเภสัชพันธุศาสตร์ (Pharmacogenentic) ซึ่งเป็นการศึกษาลักษณะทางพันธุกรรมมนุษย์ที่ส่งผลให้มีการตอบสนองต่อยาชนิดเดียวกันแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยเชื่อว่า จะนำไปสู่การพัฒนาและปรับเปลี่ยนยาให้มีความเหมาะสมเฉพาะบุคคล ลดอาการแพ้หรืออาการข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยาแบบลองผิดลองถูก ข้อมูลพันธุกรรมในแต่ละบุคคลจะเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนายาให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัยยิ่งขึ้น ช่วยให้แพทย์สามารถปรับระดับการให้ยาได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งย่นระยะเวลาและขั้นตอนในการค้นหาและพัฒนายาตัวใหม่ ทำให้ลดต ้นทุนและค่าใช้จ่ายในภาพรวมของระบบการแพทย์ได้ ปัจจุบันมีโครงการนำร่องศึกษาด้านเภสัชพันธุศาสตร์ในผู้ป่วย 8 โรค คือ โรคธาลัสซีเมีย เอดส์ เบาหวาน ภูมิไวเกิน ข้ออักเสบ พร่องโปรตีน หัวใจ และหลอดเลือด โดยศึกษาจากยีนที่ย่อยสลายยาได้ดีเพื่อใช้รักษากลุ่มโรคดังกล่าว วิทยาการปัจจุบันสามารถค้นพบยีนที่เกี่ยวข้องกับโรคดังกล่าวทั้งหมด 200 ยีน ซึ่งขั้นต่อไปกำลังเร่งศึกษาในรายละเอียดของยีนทั้งหมด เพื่อศึกษาว่ายีนตัวใดสามารถย่อยสลายยาชนิดใดได้ดี ซึ่งจะมีผลต่อการรักษาและลดอัตราการเกิดผลข้างเคียงได้ นักวิจัยแต่ละทีมจะทำการศึกษายีนในแต่ละโรคจากทั้งหมด 8 กลุ่มยีน โดยจะเก็บตัวอย่างเลือดของคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคดังกล่าวและคนปกติ ในอัตราส่วน 500 ต่อ 500 คน และนำมาเปรียบเทียบว่า ดีเอ็นเอหรือยีนใดจะสามารถย่อยสลายยาชนิดใดได้ดี การวิจัยนี้อยู่ในช่วงศึกษา คาดว่าภายใน 3 ปีจะเป็นรูปธรรมขึ้น โดยจะนำความรู้ที่ได้มาผลิตเป็นชุดทดสอบพันธุกรรม หรือ DNA gene chip ที่ระบุถึงลักษณะพันธุกรรมของแต่ละบุคคล รวมถึงชุดแปลผล ที่สามารถบ่งชี้ได้ว่าพันธุกรรมใดเหมาะสมกับยาชนิดใด ถือเป็นชุดตรวจเพื่อสกรีนคนไข้ก่อนให้ยา ชุดทดสอบพันธุกรรมและชุดแปลผลว่า ปัจจุบันมีราคาชุดละ 20,000 - 30,000 บาท หากคนไทยสามารถผลิตได้ จะช่วยลดการนำเข้าจากต่างประเทศได้มาก มีแนวโน้มว่าราคาจะลดเหลือประมาณ 1,000 บาท ในส่วนของปัญหาจริยธรรมไม่ต้องวิตกกังวล เนื่องจากไม่มีการเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดของคนไข้ โดยหลอดเก็บตัวอย่างเลือดระบุเป็นเลขรหัส ไม่มีการระบุชื่อ แม้แต่นักวิจัยก็ไม่รู้ว่าเป็นของใคร. (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 16 มี.ค. 49 http://www.dailynews.co.th)





เก็บเซลล์ต้นกำเนิดจากเลือดระดู เหมาะกับเพาะให้เป็นเซลล์หัวใจ

นักวิจัยเมืองปลาดิบสามารถเก็บเซลล์ต้นกำเนิด เอามาจากเลือดประจำเดือนของสตรีได้ ทั้งเหมาะที่จะเอาไปเพาะขึ้นเป็น เซลล์ของหัวใจ เพื่อเอาไปใช้รักษาหัวใจที่เสียหาย หรือทรุดโทรม ได้เซลล์ต้นกำเนิดที่ยังอ่อนวัยเป็นเซลล์ที่สามารถจะเอาไปเลี้ยงให้เป็นเซลล์ ที่ประกอบกันเป็นเนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆ ดร.ชุนชิโร มิโยชิ ได้แจ้งต่อที่ประชุมวิทยาลัยโรคหัวใจอเมริกันว่า เขากับเพื่อนที่โรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยเคอิโอ ได้รวบรวมโลหิตประจำเดือนจากผู้หญิง 6 คน และเก็บกวาดเซลล์ต้นกำเนิด ที่เกิดขึ้นตามเยื่อบุมดลูกเอามาใช้ได้ แถมยังได้มากกว่าที่ได้จากไขกระดูกเกือบ 30 เท่า เขายังกล่าวว่า เมื่อเอามันมาเพาะ เพื่อให้มันเจริญขึ้นเป็นเซลล์หัวใจได้ 5 วันครึ่ง ก็ปรากฏว่า เซลล์กว่าครึ่งสามารถบีบตัวเป็นจังหวะพร้อมกันได้ ส่อว่ามีวงจรไฟฟ้าติดต่อกัน ระหว่างเซลล์ขึ้น ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 16 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)





คอมพิวเตอร์บังคับด้วยความคิด สร้างสำหรับผู้พิการแขนขาด้วน

นิตยสารวิทยาศาสตร์อันมีชื่อเสียง “นิว ไซเอนติสท์” รายสัปดาห์ของอังกฤษ กล่าวว่า เครื่องคอมพิวเตอร์แบบนี้จะเปิดทางให้ผู้พิการ แขนขาด้วนสามารถจะบังคับกลไกอิเล็กทรอนิกส์ของแขนขาเทียมให้ทำงานได้ เป็นผลงานของนักวิจัยสถาบันฟรอโฮเฟอร์ที่กรุงเบอร์ลิน และโรงเรียนแพทย์ของมหาวิทยาลัยฮัมโบลด์ต มันจะสามารถพิมพ์ข้อความขึ้น บนจอชั่วเพียงแต่นึกให้มันทำเท่านั้น ผู้ใช้จะต้องสวมหมวกซึ่งมีขั้วไฟฟ้าที่คอยจับวัดปฏิกิริยาของไฟฟ้าในสมอง และจะต้องนึกไว้ว่าจะขยับแขนขวาหรือซ้าย เพื่อจะเลื่อนตัวเคอร์เซอร์ให้เคลื่อนที่ไป (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 16 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)





โปรแกรมสอนฟิสิกส์บนเน็ต

นายกฤษฎิ์ คำตื้อ นายไกรสร สืบบุญ นักศึกษาภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ และ นายกฤษณพันธ์ ศรีมงคล นักศึกษา ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกันคิดค้นโปรแกรมสื่อการสอนออนไลน์เรื่อง "ฟิสิกส์นิวเคลียร์พื้นฐาน" ซึ่งเนื้อหาเกี่ยวกับนิวเคลียสของอะตอม เหมาะสำหรับนักเรียนระดับ ม.2-ม.6 และผู้สนใจทั่วไป โดยใช้วิธีการศึกษาผ่านอินเทอร์เน็ต เนื้อหาของบทเรียน จะเน้นศึกษาเรื่องภายในอะตอมหรือนิวเคลียสของอะตอม ประกอบด้วยบทเรียน 4 บทเรียน แบบฝึกหัด ห้องปฏิบัติการและระบบจัดการผู้ใช้ ซึ่งติดตั้งไว้ที่ www.phynsc2006.co.nr เนื้อหาทั้งหมดในเวบไซต์จะใช้พื้นที่ประมาณ 10 เมกะไบต์ จึงเหมาะสมมากกับโรงเรียนในชนบท เพราะสามารถใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วต่ำได้โดยไม่มีปัญหา ในบทเรียนสามารถเลือกได้ทั้งแบบมีเสียงและไม่มีเสียง จุดเด่นอีกอย่างของสื่อการเรียนนี้คือ ในส่วนของห้องปฏิบัติการ ได้จำลองห้องปฏิบัติการที่มีเครื่องมือราคาแพงเอาไว้ด้วย นักเรียนหรือผู้เรียนสามารถสัมผัสได้ในบทเรียน และค่อนข้างละเอียดเหมือนของจริงที่มีราคาแพง ทั้งนี้ ผลงานโปรแกรมสื่อการสอนออนไลน์นี้ ได้รับรางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 8 ของเนคเทค (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 16 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)





สหรัฐผลิตสำเร็จถังไฮโดรเจนใช้งานจริง

นักเคมีอเมริกัน ประสบความสำเร็จในการพัฒนาวัสดุเก็บบรรจุไฮโดรเจน เพื่อนำมาใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นถังเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ หรือผลิตไฟฟ้าให้คอมพิวเตอร์แล็ปท็อป และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ถังบรรจุไฮโดรเจนที่พัฒนากันอยู่ขณะนี้สามารถเก็บไฮโดรเจนได้เพียงเล็กน้อย การพัฒนาวัสดุทำถังบรรจุไฮโดรเจนให้รถยนต์วิ่งได้ 500-700 กิโลเมตร โดยไม่ต้องเติมเชื้อเพลิงอีก ดังนั้น นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยยูซีแอลเอ และมหาวิทยาลัยมิชิแกนได้เพียรพยายามพัฒนาวัสดุที่จะนำมาใช้ทำ "ถังเก็บก๊าซไฮโดรเจน" กระทั่งได้วัสดุชนิดใหม่ ที่สามารถแก้อุปสรรคดังกล่าวได้ โอมาร์ ยากี ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยยูซีแอลเอ เรียกวัสดุที่คิดค้นว่า "มอฟส์" เป็นโครงร่างวัสดุประเภทโลหะอินทรีย์ มีลักษณะคล้ายกับฟองน้ำคริสตัล มีรูพรุนที่เล็กขนาดนาโนเมตร (1/1000 ล้านเมตร) สามารถใช้บรรจุก๊าซที่ปกติจะเก็บบรรจุหรือขนส่งได้ยาก เช่น ไฮโดรเจน และมีเทน ทั้งยังสามารถใช้งานได้หลายประเภท เนื่องจากมันมีคุณสมบัติที่ยอมให้โมเลกุลผ่านเข้าออกได้โดยไม่ติดขัด วัสดุมหัศจรรย์นี้ยังสามารถขยายตัว เพิ่มความสามารถในการเก็บบรรจุได้มหาศาล ซึ่งมอฟส์หนึ่งกรัมสามารถทำเป็นพื้นผิวได้เท่ากับสนามฟุตบอลหนึ่งสนาม ปัจจุบันนักวิจัยผลิตมอฟส์ที่มีคุณสมบัติและโครงสร้างแตกต่างกันได้แล้วมากกว่า 500 มอฟส์ ซึ่งผลิตได้จากวัสดุราคาถูก เช่น ซิงค์ออกไซด์ สารประกอบที่ใช้กระจกกันแดด และเทเรฟาธาเลต สารที่มีอยู่ในขวดพลาสติกบรรจุโซดา (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 16 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)





ชี้เฟอร์นิเจอร์ในอนาคต ผสานคอมพ์-ต่อระบบท่องเน็ต

บริษัทฮิตาชิ ประเทศญี่ปุ่น วาดภาพเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านในอนาคตว่าจะถูกผสมผสานเข้ากับเทคโนโลยีอินเตอร์แอ๊คทีฟ ทำให้เฟอร์นิเจอร์ เช่น โต๊ะและกระจก เปลี่ยนสภาพเป็นคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้ ทั้งยังมีรูปลักษณ์กลมกลืนกับส่วนประกอบอื่นๆ ภายในบ้าน ฮิตาชิกำลังพัฒนา "อินเตอร์แอ๊คทีฟ เฟอร์นิเจอร์" หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ได้รับการติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์และระบบท่องเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเข้าไปด้วยหลายชนิด ล่าสุดที่วางตลาดแล้วก็คือกระจกอินเตอร์แอ๊คทีฟ ทำหน้าที่เป็นทั้งกระจกส่องหน้าเหมือนกระจกทั่วไป แต่ใช้ท่องอินเตอร์เน็ตเพื่อค้นหาเคล็ดลับการแต่งตัว การเลือกเสื้อผ้า อ่านข่าว ตรวจอีเมล์ และตรวจพยากรณ์อากาศประจำวันได้ด้วย นอกจากนี้ ฮิตาชิยังพัฒนาอินเตอร์แอ๊คทีฟเฟอร์นิเจอร์อีกหลายประเภท เช่น โต๊ะไม้ขนาดบางเฉียบซึ่งภายในซ่อนคอมพิวเตอร์เอาไว้ด้านใน ส่งผลให้เจ้าของบ้านสามารถใช้โต๊ะตัวนี้เปิดดูไฟล์ภาพยนตร์ วิดีโอดิจิตอล ภาพ และเล่นเกม เป้าหมายของการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ล้ำสมัยพวกนี้ คือ ออกแบบให้มีหน้าตาและรูปลักษณ์ไม่แตกต่างจากเฟอร์นิเจอร์ตามปกติ ช่วยให้ผู้ใช้ไม่เกิดความรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังใช้งานคอมพิวเตอร์อยู่ (ข่าวสด พุธที่ 15 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)





กล้องวงจรปิดหันตามวัตถุเคลื่อนที่

เจริญ น่วมกระจ่าง นักศึกษาจากภาควิชาคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) ร่วมกับนายศรีกรุง วรรณโภคิน และนายไพฑูรย์ มินจันทึก เพื่อนนักศึกษา ออกแบบโปรแกรมควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้องแบบไร้สาย สำหรับประยุกต์ไปใช้กับงานรักษาความปลอดภัย มีลักษณะพิเศษคือ กล้องจะหมุนตัวหรือหันตามวัตถุเคลื่อนที่ ซึ่งต่างจาก กล้องวงจรปิดทั่วไป ที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวตามวัตถุ ทีมงานได้ใช้กล้องไร้สายในการศึกษาค้นคว้า โดยติดตั้งเซนเซอร์ 2 ตัวไว้บริเวณฐานของกล้องวงจรปิด เซนเซอร์ดังกล่าวจะทำหน้าที่ตรวจจับอุณภูมิ หรือความร้อนที่เปลี่ยนแปลงไป ขณะที่เซนเซอร์อีกตัวทำหน้าที่ตรวจจับวัตถุเคลื่อนไหวผ่านหน้ากล้องโดยอัตโนมัติ จากนั้นจะส่งข้อมูลแบบไร้สายไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้โปรแกรมที่เขียนขึ้นมาทำหน้าที่ประมวลผล คอมพิวเตอร์จะประมวลผลข้อมูล แล้วสั่งให้กล้องหันเคลื่อนตามวัตถุนั้นๆ ก่อนที่จะเริ่มบันทึกภาพอัตโนมัติ ไม่ต้องอาศัยการควบคุมโดยแรงงานคน ส่วนโปรแกรมควบคุมสามารถปรับใช้กับกล้องวงจรปิดทุกรุ่นทุกยี่ห้อ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายและทรัพยากรบุคคลที่ต้องคอยควบคุมกล้องไปได้มาก จากทดสอบติดตั้งกล้องเพื่อใช้งานจริง ยังพบว่าขณะที่กล้องวงจรปิดเคลื่อนที่จับภาพวัตถุ ตัวกล้องยังไม่หยุดนิ่งหรือส่ายไปมา ทำให้ภาพที่ปรากฏไม่ชัดเจน ดังนั้นทีมงานจะต้องปรับปรุงประสิทธิภาพ ในส่วนของขั้นตอนการทำงานของโปรแกรมให้เสถียรมากขึ้น อาจจะปรับเซนเซอร์ให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้นด้วย (คมชัดลึก พุธที่ 15 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)





หม่อนสกัดเนรมิตผิวขาวใสมหิดลวิจัย 8 สัปดาห์อาสาสมัครขาวขึ้น 11%

รศ.ดร.อ้อมบุญ ล้วนรัตน์ ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ศูนย์ประยุกต์และบริการวิชาการ ซึ่งดำเนินโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมยาไทย สมุนไพรและเครื่องสำอางจากสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง ประสบความสำเร็จในการพัฒนาสารสกัดหม่อนจากหม่อนพันธุ์นครราชสีมา 60 ให้เป็นวัตถุดิบใช้ผสมเครื่องสำอางลดฝ้าและความคล้ำบนใบหน้า อย่างไม่มีผลข้างเคียงใดๆ สารสกัดหม่อนมีฤทธิ์ยับยั้ง "เอนไซม์ไธโรซิเนส" ซึ่งเป็นตัวการสำคัญในการสร้างเม็ดสีเมลานิน ซึ่งเป็นต้นเหตุให้ผิวหน้าคล้ำดำ โดยสารสกัดที่ทีมงานเตรียมขึ้นยังออกฤทธิ์ได้ดีกว่าสารสกัดหม่อนนำเข้าอีกด้วย และเพื่อเป็นการพิสูจน์ประสิทธิภาพของสารสกัดหม่อน ในเครื่องสำอางลดความคล้ำ จึงสนับสนุนให้ใช้ครีมเบสผสมสารสกัดหม่อน 2% ทดสอบในอาสาสมัคร 20 คนพบว่า ใบหน้าอาสาสมัครมีความขาวเพิ่มขึ้น 11% ในเวลา 8 สัปดาห์ ทั้งนี้ ศูนย์ประยุกต์ฯ นำผลงานวิจัยไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบเซรุ่มบำรุงผิวหน้า โดยใช้สารสกัดหม่อนเข้มข้น 5% เพื่อจำหน่ายให้ผู้บริโภคเกิดความคุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์โดยตรง อีกทั้งเป็นการทดลองทำตลาด ปรากฏว่าได้รับการตอบรับอย่างดี และผู้ใช้เซรุ่มทาบริเวณลำคอพบว่ากระเนื้อบริเวณลำคอลดจำนวนลงด้วย ขณะเดียวกันได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลพระมงกุฎ ทำวิจัยคลินิกเพื่อให้ได้ข้อมูลอย่างเป็นทางการ เกี่ยวกับประสิทธิภาพของสารสกัดหม่อนเข้มข้นเพื่อลดฝ้าในอาสาสมัคร ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ อีกทั้งนักศึกษาปริญญาเอกของคณะเภสัชศาสตร์ ยังได้วิจัยพัฒนารูปแบบที่เหมาะสมของสารสกัดหม่อนเพื่อใช้ในเครื่องสำอางด้วย (คมชัดลึก พุธที่ 15 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)





ไทยเหลือช้างเลี้ยงแค่3,000เชือก คิดผสมเทียมด้วยน้ำเชื้อแช่แข็ง

ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงใหม่ ว่า เนื่องในวันช้างไทย ที่ปางช้างแม่สา อ.แม่ริม นางอัญชลี กัลมาพิจิตร ผู้อำนวย การฝ่ายปฏิบัติการ ปางช้างแม่สา กล่าวเมื่อวันจันทร์ที่แล้วว่า ปางช้างแม่สาร่วมกับภาคเอกชนหลายหน่วยงาน ได้มอบเครื่องมือส่องตรวจภายใน ชนิดวีดิทัศน์หรือเครื่องเอนโดสโคป ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญในการผสมเทียมช้างด้วยน้ำเชื้อสดและน้ำเชื้อแช่แข็ง มูลค่ากว่า 1 ล้านบาท ให้คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อใช้ในโครงการผสมเทียมช้างเอเชียด้วยน้ำเชื้อแช่แข็ง อันมีเป้าหมายชะลอการสูญพันธุ์ของช้างไทย โดยจะพยายามทำการผสมเทียมช้างด้วยน้ำเชื้อแช่แข็งให้สำเร็จเป็นประเทศแรกในโลก เนื่องจากสถานการณ์ ปัจจุบัน จำนวนช้างในประเทศไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง ในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 3 ต่อปี ขณะนี้ช้างเลี้ยงมีจำนวนเหลือเพียง 3,000 เชือก จากแต่ก่อนมีช้างเลี้ยงนับ 10,000 เชือก. (ไทยรัฐ พุธที่ 15 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)





ผลิตวัคซีนป้องกันมะเร็งคอมดลูก สำเร็จในเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งปี

ผู้เชี่ยวชาญการแพทย์ออสเตรเลีย กล่าวแจ้งว่า จะมีวัคซีนป้องกันมะเร็งคอมดลูก และหูดที่ขึ้นตามที่ลับ ในชั่วเวลาอีกไม่ถึงปี ผู้เชี่ยวชาญของศูนย์วิจัยมะเร็งและภูมิคุ้มโรค ของมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ แห่งออสเตรเลียนายเอียน เฟรเซอร์ กล่าวว่า ขณะนี้มะเร็งดังกล่าวกำลังพัฒนาอยู่ โรคมะเร็งคอมดลูกได้คร่าชีวิตของผู้หญิงลงแต่ละปีมากถึง 250,000 คน และส่วนใหญ่มากถึง 99.8% เกิดจากเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดเนื้องอก การผลิตวัคซีนเทคโนโลยีชีวภาพสำหรับโรคติดต่อและโรคอื่นๆ ที่เมืองไฮเดอราบัด ประเทศอินเดีย มะเร็งมดลูกอาจจะป้องกันได้ ด้วยการตรวจหามะเร็งปากมดลูก โดยการขูดเอาเนื้อเยื่อ หรือเมือกที่ปากมดลูกไปตรวจ การตรวจหาเชื้อโรคเอดส์ และการฉีดวัคซีนป้องกัน นายเฟรเซอร์กล่าวว่า วัคซีนได้ประสบความสำเร็จในการทดลอง สามารถป้องกันผู้หญิงที่ยังไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ให้เป็นหลังจากได้วัคซีนมานานจน 5 ปีแล้ว คิดเป็นประสิทธิภาพมีอัตราสูงระหว่าง 95-100% วัคซีนมีฤทธิ์ในด้านป้องกัน ไม่ใช่เพื่อรักษา ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการทดลองขั้นที่ 3 อยู่. (ไทยรัฐ พุธที่ 15 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)





เห็นคุณของการสวดมนต์ภาวนา ระบายความเครียดทำให้ใจสงบ

นักวิจัยของโรงพยาบาลในนครซาน ไดโกของอเมริกา พบในการศึกษาว่า คุณประโยชน์ของการสวดมนต์ภาวนา จะช่วยระบายความเครียดและทำให้จิตใจสงบได้ นักวิจัยของโครงการรักษาสุขภาพ ทางกิจการทหารผ่านศึกซาน ไดโก กล่าวว่า ได้พบว่าการสวดมนต์ภาวนา ไม่ว่าจะในศาสนาพุทธ ยิว คริสต์ และฮินดู ล้วนต่างให้คุณ ช่วยให้จิตใจสงบลงได้ทั้งสิ้น นายจูลล์ บอร์มานน์ ผู้ศึกษาวิจัยกล่าวในการเสนอรายงานทางเว็บไซต์ว่า ที่จริงมันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในเกือบทุกศาสนา แต่ความจริงแล้วมันไม่เพียงแต่เกี่ยวกับศาสนิกชนเท่านั้น หากแต่เป็นเรื่องที่ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับศาสนาใดด้วย “ขอให้สวดมนต์กันไว้เถิด มันเป็นเทคนิคช่วยระบบความเครียดในชีวิตประจำวันของเรา” ดร.ซาเมอร์ ภาริกห์ นักจิตวิทยาผู้มีชื่อเสียงของอินเดีย ให้ความเห็นว่า “การสวดมนต์เป็นของมีคุณประโยชน์ มันไหลเลื่อนอย่างเป็นจังหวะ เป็นเครื่องช่วยผ่อนลมหายใจ ช่วยให้จิตใจสงบจากเรื่องฟุ้งซ่าน และยังได้บุญทางจิตวิญญาณด้วย” และเสริมว่า “มันเป็นสมบัติส่วนตัว นึกจะใช้เมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ต้องเสียเงินทองแต่อย่างใด ไม่ต้องใช้หยูกยาและไม่มีพิษมีภัยอันใดด้วย”. (ไทยรัฐ พุธที่ 15 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)





ติดสปริงดึงลิ้นไก่สยบเสียงกรนใช้หมอนส่งสัญญาณไฟฟ้ากระตุ้น

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนียแก้ปัญหาเสียงกรนด้วยอุปกรณ์พิเศษ ให้ตรงจุดจำเป็นต้องรู้ที่มาของปัญหาของเสียงกรนเสียก่อน สาเหตุที่คนเรานอนกรนนั้นเป็นเพราะเนื้อเยื่อบางๆ ในหลอดลม เช่น เพดานปากและลิ้นไก่หย่อนตัวลงมาขวางทางเดินอากาศ และเกิดสั่นรั่วเมื่ออากาศพยายามไหลผ่าน โดยทั่วไปแพทย์จะรักษาด้วยการศัลยกรรมเนื้อเยื่อเพื่อไม่ให้เกิดเสียง แต่วิธีดังกล่าวออกจะน่ากลัวสำหรับบางคน นักวิจัยจากคณะวิศวกรรมชีวแพทย์มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนียเกิดความคิดใหม่ที่จะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณใกล้กับเนื้อเยื่อหดตัวกระชับเมื่อเริ่มมีเสียงกรน วิธีดังกล่าวจะทำให้เนื้อเยื่อตึงขึ้นไม่ให้หย่อนลงมาสั่นรัว พวกเขาเลยคิดวิธแสนพิสดารโดยเสียบขดลวดสปริงขนาดเล็กไว้กับกล้ามเนื้อเพดานปาก และขดลวดอีกตัวหนึ่งแยกฝังเอาไว้กับหมอน ขดลวดในหมอนจะส่งสัญญาณไร้สายกระตุ้นกระแสไฟฟ้าให้ขดสปริงที่ฝังในกล้ามเนื้อรั้งเนื้อเยื่อให้ตึงขึ้น ระบบที่ออกแบบนี้จะใช้ไมโครโฟนเป็นตัวรับฟังเสียงกรน พอได้ยินเสียงปุ๊บก็จะสั่งให้สวิตช์ทำงาน อย่างไรก็ดี ในการทดลองนั้นยังพบว่าต้องลดเสียงกระตุ้นไฟฟ้าและช่วงเวลาของจังหวะกระตุ้นลงไม่ให้ไปก่อกวนจนคนนอนผวาตื่น (คมชัดลึก อังคารที่ 14 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)





หนู10 ล้านปีคืนชีพ

หลังจากนักวิทยาศาสตร์ได้พบหนูชนิดหนึ่งที่ถูกนำมาขายในตลาดประเทศลาว คนลาวเรียกหนูชนิดนี้ว่า "ข้าหนู" เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วพบว่า หนูพันธุ์แปลกนี้เป็นสัตว์ยุคดึกดำบรรพ์ที่เชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้วกว่าสิบล้านปี ปีที่แล้ว นักวิจัยจากไวด์ไลฟ์ คอนเซอร์เวชั่น โซไซตี้ (ดับเบิลยูซีเอส) พบหนูหนวดยาว ขาทู่เหมือนหมู และมีหางฟูเหมือนกระรอก ถูกนำมาขายในตลาดค้าของป่าที่จังหวัดหนึ่งในลาว คนลาวเรียกว่า ข้าหนู ซึ่งครั้งนั้นได้แต่สันนิษฐานกันว่าเป็นหนูชนิดใหม่ที่ยังไม่มีใครเคยบันทึกการพบเห็นมาก่อน และตั้งชื่อหนูชนิดนี้เสียใหม่ว่า ลาวนัสเตส อีนิกมามัส ต่อมานักวิจัยอีกทีมหนึ่งนำเอาสรีระของหนูพันธุ์ประหลาดนี้ไปเปรียบเทียบกับฟอสซิล และเมื่อวิเคราะห์ลักษณะฟันอย่างละเอียดจึงฟันธงว่า หนูชนิดนี้เป็นสมาชิกของบรรพบุรุษหนูที่เรียกว่า เดียทอมยีเด (Diatomyidae) เป็นสัตว์ตระกูลหนึ่งที่เชื่อว่าสูญพันธุ์ไปเมื่อ 11 ล้านปีก่อน การค้นพบครั้งนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของปรากฏการณ์ที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า "ปรากฏการณ์ลาซารัส" เป็นปรากฏการณ์ที่ใช้พูดถึง การค้นพบสัตว์ชนิดหนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งก่อนหน้านี้พบแต่หลักฐานฟอสซิลที่แสดงถึงการมีชีวิตอยู่ในอดีตกาล และเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว ตัวอย่างที่ดีที่สุดของปรากฏการณ์ลาซารัสคือ การค้นพบปลาโคลาแคนธ์ เป็นปลาดึกดำบรรพ์ที่พบว่ายังมีชีวิตอยู่นอกชายฝั่งแอฟริกาใต้ เดิมเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปตั้งแต่ 65 ล้านปีที่แล้ว ซึ่งเป็นยุคเดียวกับไดโนเสาร์สูญพันธุ์ ล่าสุด ลาวนัสเตส อีนิกมามัส อยู่ระหว่างรอจัดอันดับใหม่อย่างเป็นทางการให้เป็นสัตว์ในตระกูล เดียทอมยีเด หรือหนูดึกดำบรรพ์ที่มีขนาดใกล้เคียงกับกระรอก มีชีวิตอยู่ในยุคเทอร์เทียรี หรือประมาณ 34 ล้านปีถึง 11 ล้านปีก่อน โดยมีถิ่นอาศัยอยู่ในเอเชียใต้ จีนตอนกลาง และญี่ปุ่น นักวิทยาศาสตร์ได้เปรียบเทียบฟอสซิลกะโหลกและลำตัวของของลาวนัสเตสกับตัวที่ยังมีชีวิตเป็นๆ พบว่าสอดคล้องกัน ต่างกันแค่ฟันของเจ้าที่มีชีวิตอยู่ยื่นชี้ออกมามากกว่า การค้นพบตัวเป็นของหนูสายพันธุ์โบราณนี้ ยังจะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจได้ว่า หนูอพยพจากเอเชียกลางมายังอนุทวีปอินเดียได้อย่างไร (คมชัดลึก อังคารที่ 14 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)





สกว.เปิดเวทีศึกดวลคนอัจฉริยะโชว์งานวิจัยแนวหน้ากว่า200ชิ้น

ทีมนักศึกษาชั้นปีที่ 4 ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ปีการศึกษา 2547 ได้แก่ นายชาคริต ศรีประจวบวงษ์ นายสมโภช พ่วงเจริญ และนายสุนทร รอดเอี่ยม นำเสนอผลวิจัยที่ช่วยภาคอุตสาหกรรมปรับปรุงคุณสมบัติของวัตถุดิบ "แผ่นพอลิเมทิลเมทาคริเลต" หรือที่เรียกกันว่าแผ่นอะคริลิค ให้สามารถทนแรงกระแทกมากกว่าแผ่นอะคริลิคทั่วไป 8 เท่า ขณะที่ต้นทุนผลิตถูกลง 5% แผ่นอะคริลิคนี้นิยมนำมาใช้ในงานกระเบื้องมุงหลังคาแบบลอนใส ชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ ป้ายโฆษณาติดไฟ กระจกหน้าหมวกนิรภัย สำหรับโครงงานนี้ใช้เวลาวิจัยประมาณ 10 เดือน ในการศึกษาใช้ยางธรรมชาติมาเป็นส่วนผสมในวัตถุดิบเดิม ส่งผลให้รับแรงกระแทกได้มากขึ้น อีกทั้งสามารถลดดุลการค้าที่เกิดจากการพึ่งพาวัตถุดิบต่างประเทศ โดยมี ดร.กิติกร จามรดุสิต อาจารย์จากมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นที่ปรึกษาโครงการ ผลงานชิ้นนี้ได้รับความสนใจจากบริษัท แพนเอเชียอุตสาหกรรม จำกัด ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดกลางที่ผลิตแผ่นพอลิเมทิลเมทาคริเลต ซึ่งเป็นบริษัทคนไทย 100% นำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อจำหน่าย รวมทั้งพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อ่างจากุชชี โครงงานวิจัยดังกล่าวยังได้รับเลือกให้เป็น 18 ผลงานวิจัยเด่นของสํานักงานกองทุนสนับสนุนงานวิจัยปีที่ผ่านมาอีกด้วย ศ.ดร.ปิยะวัติ บุญ-หลง ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กล่าวว่า ความสำเร็จนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการโครงงานสำหรับนักศึกษาปริญญาตรี ที่สนับสนุนทุนจำนวนหนึ่งให้นิสิตนักศึกษาชั้นปีสุดท้าย สร้างโครงงานวิจัยที่ช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการเอกชนในระดับหนึ่ง ถือเป็นกลไกเชื่อมโยงภาคอุตสาหกรรมกับมหาวิทยาลัยเข้าด้วยกัน ทำให้แต่ละฝ่ายเข้าใจกันและสร้างประโยชน์ให้แก่กันมากยิ่งขึ้น สกว.จึงเชิญชวนผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรม นักศึกษาและบุคคลทั่วไป เข้าชมผลงานการค้นคว้ากว่า 200 โครงงานของนักศึกษาไทย เช่น เครื่องล้างผักโอโซน จากสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลวิทยาเขตเชียงราย, เครื่องเช่าวีซีดีแบบอัตโนมัติ จากสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลคลองหก, เครื่องย่อยเศษวัสดุจากอุตสาหกรรมทำเบาะ จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง, โปรแกรมสำหรับระบบบริหารงานบำรุงรักษาในโรงงานปูเทียม ม.สงขลานครินทร์, การพัฒนาระบบนำส่งยาไอโซซอบายด์ไดไนเตรตทางแผ่นปิดผิวหนัง ม.ศิลปากร ภายในงานที่ใช้ชื่อว่า "ศึกดวลคนอัจฉริยะ" IRPUS' 49 ณ เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน ในวันที่ 31 มีนาคม- 2 เมษายนนี้ (คมชัดลึก อังคารที่ 14 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)





ปลาทูน่า..ปลาทูยักษ์ ทรัพยากรทะเลมูลค่ามหาศาล

นายจรัลธาดา กรรณสูต อธิบดีกรมประมง เป็นประธานในการเปิดตัวเรือ TUNA HANTER 1 ของภาคเอกชน อยู่ที่ท่าฉลอม จ.สมุทรสาคร...ประกอบการประมงเบ็ดราวปลาทูน่า เรือเบ็ดราวทูน่าลำนี้ถือว่าเป็นลำแรกที่ต่อขึ้นในประเทศไทย โดยฝีมือคนไทยเพื่อออกไปหารายได้เข้าประเทศ เมื่อครั้งที่ นายปองพล อดิเรกสาร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีการสนับสนุนให้สหกรณ์จัดซื้อเรือจับปลาทูน่าในทะเล และ ได้เจรจากับประเทศมัลดีฟส์เพื่อทำประมงปลาทูน่าร่วมกัน แต่พอสิ้นตำแหน่งไม่มีผู้สานงานต่อ โครงการจึงสลายไปโดยปริยาย การทำประมงปลาทูน่า มีทั้งการใช้แพล่อปลาเข้าไปอาศัยอยู่ใต้แพ แล้วจึงปฏิบัติการอวนล้อมจับ และการใช้เบ็ดราว ในการทำประมงน้ำลึกใน ปลาทูน่าสายพันธุ์ตาโต (Bigeye Tuna) ไทยทำใส่กระป๋อง ส่งออกเป็นอันดับหนึ่งของโลก คิดเป็นมูลค่าปีละประมาณ 20,000 ล้านบาท แต่ต้องสั่งซื้อปลาทูน่าสดกว่า 13,000 ล้านบาท จึงเป็นมูลให้มีการพัฒนาเรือประมงทูน่า เพื่อหาวัตถุดิบป้อนในตลาดโลกเสียเอง (ไทยรัฐ อังคารที่ 14 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)





น.ศ."ว.นอร์ทฯ"คว้ารางวัลไฮเทค

นายเจริญรัตน์ วิไลลักษณ์ ประธานกรรมการบริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้จัดโครงการ Samart Innovation Awards 2005 เพื่อกระตุ้นให้เยาวชนไทยตื่นตัวและสนใจผลิตเทคโนโลยีมากขึ้น โดยหวังว่าคนไทยจะได้เห็นซอฟต์แวร์ฝีมือเด็กไทยบุกตลาดต่างประเทศมากยิ่งขึ้น ซึ่งผลการตัดสินจากการประกวดปรากฏว่า นายนราศักดิ์ แม้นสุรางค์ และนายคเชนทร์ ศุกรเวทย์ศิริ นักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ วิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ เจ้าของผลงาน "ระบบติดตาม และตรวจสอบการขนส่งสินค้าผ่านเทคโนโลยีระบุพิกัดจากดาวเทียม" ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 Silver Award ซึ่งเป็นการพัฒนาซอฟต์แวร์บนอุปกรณ์มือถือช่วยในการติดตามรถยนต์ขนส่งผลิตภันฑ์ โดยที่ผู้ใช้สามารถตรวจสอบและติดตามเส้นทางการเดินรถผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตว่า อยู่ในตำแหน่งใด และมีสถานะอย่างไร ทั้งยังสามารถประยุกต์ใช้งานได้หลากหลาย เช่น ติดตามรถยนต์ที่ถูกโขมย เป็นต้น (มติชน เสาร์ที่ 11 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th)





วิจัยพืชเรืองแสง บอกเวลา"รดน้ำ!"

นักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง ประเทศสิงคโปร์ พัฒนาต้นไม้ที่เปล่งแสงเมื่อต้องการน้ำ นักศึกษาคิดค้นต้นไม้ที่สามารถสื่อสารกับคนได้โดยใช้วิธีตัดแต่งพันธุกรรมต้นไม้ ด้วยการนำสารพันธุกรรม หรือยีนเรืองแสงสีเขียวมาจากแมงกะพรุน ซึ่งจะเรืองแสงเมื่อเกิดภาวะกดดันเพราะขาดน้ำ มาใส่ต้นไม้ แสงที่ว่าไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าแต่จะต้องใช้ระบบตรวจสอบการมองเห็นที่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางพัฒนาขึ้น การพัฒนาพืชชนิดต่างๆ ให้กลายเป็นพืชพิเศษที่สามารถสื่อสารกับคนได้ จะเป็นประโยชน์ให้เกษตรกรพัฒนาระบบชลประทานที่มีประสิทธิภาพต่อการเพาะปลูกพืชพันธุ์ในอนาคต (ข่าวสด จันทร์ที่ 13 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th)





พบไฟทำให้มนุษย์เหนือกว่าลิง ได้คุณประโยชน์อาหารสูงกว่า

นักวิทยาศาสตร์ตั้งข้อสันนิษฐานสิ่งที่ทำให้ มนุษย์และลิงไร้หางแตกต่างกันอาจอยู่ที่กลุ่มยีนประมาณ 50 ตัว จากจำนวนยีนมนุษย์ทั้งหมด 20,000 ตัว แต่ผลการศึกษาที่ลงพิมพ์ในวารสารเนเชอร์ฉบับวันพฤหัสบดีที่แล้วชี้ว่า วิธีการทำงานของยีนคือสิ่งที่สร้างความแตกต่าง ยีนเป็นรหัสในการสร้างโปรตีนและโมเลกุลที่รวมตัวขึ้นเป็นเซลล์ ยีนมีหน้าที่กำหนดทิศทางการทำงานของเซลล์ หาก การกำหนดทิศทางเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้กายวิภาคและพฤติกรรมเปลี่ยนไปมาก คณะนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยชิคาโกในสหรัฐฯวิเคราะห์การทำงานของยีน 1,056 ตัว ในตัวอย่างตับของสัตว์ในกลุ่มลิงไร้หาง 4 ประเภท คือ มนุษย์ อุรังอุตัง ชิมแปนซี และลิงวอก พบว่า ยีนร้อยละ 60 ทำหน้าที่แทบไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อ 70 ล้านปี ที่ผ่านมา แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างมากอยู่ที่ยีนกลุ่มหนึ่งซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของยีนตัวอื่น ยีนกลุ่มนี้ของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากกว่ากลุ่มอื่นถึง 4 เท่า ความแตกต่างนี้น่าจะอยู่ที่มนุษย์รู้จักใช้ไฟในการหุงอาหาร ซึ่งเป็นความแตกต่างขั้นพื้นฐานอย่างหนึ่งระหว่างมนุษย์กับสัตว์ การใช้ไฟหุงอาหารอาจไปเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางชีววิทยา จากการได้รับสารอาหารเต็มที่และการกำจัด สารพิษในพืชและสัตว์ ส่งผลให้ยีนของมนุษย์มีความแตกต่างจากลิงไร้หาง (ไทยรัฐ เสาร์ที่ 11 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)





"หุ่นยนต์ประชาสัมพันธ์" ไอเดียน.ศ.มทร.ศรีวิชัย

อ.วิษณุ มีสวัสดิ์ และนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ศรีวิชัย วิทยาเขตภาคใต้ จ.สงขลา ได้ประดิษฐ์ "หุ่นยนต์ประชาสัมพันธ์" ขึ้น หุ่นยนต์ประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่แบบไร้สาย โดยใช้รีโมทคอนโทรลกระจายเสียงแบบไร้สายจากพนักงานประชาสัมพันธ์โดยตรง ทั้งยังใช้แขนหยิบเอกสารได้หลายขนาด หรือแจกจุลสารแผ่นพับด้วยการควบคุมจากระบบรีโมทคอนโทรล หุ่นยนต์สามารถเดินหน้า-ถอยหลัง หันซ้าย-ขวา ได้ตามความต้องการของผู้ใช้ กระบวนการทำงานของหุ่นยนต์ว่า การโหลดกระดาษเอกสาร หรือใบปลิว สามารถสั่งงานได้จากระยะไกล โดยส่งผ่านระบบรีโมทคอนโทรล ซึ่งจะรับคำสั่งโดยโหลดกระดาษจากด้านในถาดป้อนกระดาษของตัวหุ่นยนต์ จากนั้นจะโหลดกระดาษทางช่องด้านหน้าบริเวณลำตัวของหุ่นยนต์ ก่อนที่หุ่นยนต์จะใช้มือหนีบจับกระดาษหรือเอกสารที่ต้องการแจกยื่นให้ผู้ที่สนใจ ส่วนการกระจายเสียงนั้น ภายในหุ่นยนต์มีลำโพงกระจายเสียง โดยจะรับสัญญาณจากพนักงานประชาสัมพันธ์ ซึ่งส่งสัญญาณแบบไร้สายผ่านระบบไมค์ลอยไร้สาย จึงเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารได้ในระยะไกล ตลอดจนควบคุมการเคลื่อนที่ได้ในระยะ 100 เมตร ซึ่งการใช้งานมีประสิทธิภาพ และได้รับความสนใจจากผู้พบเห็น โดยเฉพาะเยาวชน เพราะได้รับความสนุกพร้อมข้อมูลข่าวสาร ต้นทุนในการสร้างประมาณ 4,000 บาท นับเป็นนวัตกรรมที่เสริมสร้างการประชาสัมพันธ์แนวใหม่ให้กับหน่วยงานต่างๆ ในอนาคตอย่างดี สนใจสอบถามเพิ่มเติม โทร.0-7432-3504-6 ต่อ 1991 (มติชนรายวัน จันทร์ที่ 13 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th)





ดวดไวน์แดงป้องกันโรคเหงือก ด้วยฤทธิ์ต่อต้านสารอนุมูลอิสระ

เหล้าไวน์แดงถูกพบว่า มีคุณประโยชน์ป้องกันโรคเหงือกได้อีกอย่างหนึ่ง เนื่องด้วยมีฤทธิ์ป้องกันสารอนุมูลอิสระได้นักวิทยาศาสตร์แคนาดาผู้ค้นพบเชื่อว่า สารเคมีโพลีฟีนอลส์ในเหล้าไวน์ มีฤทธิ์ต่อต้านอณูของอนุมูลอิสระได้ โดยมันจะเข้าไปรื้อองค์ประกอบของโปรตีนภายในเซลล์ ให้ปรวนแปรไปจนไม่อาจปล่อยอนุมูลอิสระออกมาได้ แต่อนุมูลอิสระในปากเหล่านี้ก็ยังจำเป็นที่จะต้องรักษาเอาไว้ให้คงมีอยู่ในระดับต่ำ เพื่อสุขภาพของเหงือกด้วยเช่นกัน นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยลาวาลที่มณฑลควีเบค ได้เสนอรายงานการศึกษาต่อสมาคมวิจัยทันตกรรมแห่งอเมริกัน กล่าวว่า โรคเยื่อหุ้มฟันอักเสบจะทำลายเนื้อเยื่อของเหงือกลง จนทำให้ฟันหลุดร่วงในที่สุด โรคนี้กำลังบ่อนทำลายฟันในปากของผู้คนทั่วโลกอยู่เป็นเรือนล้านๆ พวกเขาเชื่อว่าแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคเหงือก อาจจะมีส่วนไปกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มโรค ให้เร่งผลิตอนุมูลอิสระออกมามากขึ้น ในการศึกษาที่ผ่านมา ได้ผลการศึกษาส่อว่าสารโพลีฟีนอลส์ในเหล้าไวน์แดง อาจจะช่วยลดการอักเสบ และยังอาจจะลดความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งและหัวใจด้วย. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 13 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)





วิจัยนิเวศหอยมุกน้ำจืด เลี้ยงโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

อาจารย์อุทัยวรรณ โกวิทวที และ อาจารย์สาธิต โกวิทวที ภาควิชาสัตววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กับคณะ ได้ทำการวิจัย การเพาะเลี้ยงหอยมุกน้ำจืดอย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Culture of Freshwater Pearl Mussel ขึ้น เนื่องจากเห็นว่าปัจจุบันจำนวนหอยลดลง และบางชนิดกำลังใกล้จะสูญพันธุ์ ซึ่งมาจากหลายสาเหตุ หลายประการ ยกตัวอย่างเช่น การเก็บหอยขึ้นมาจาก ธรรมชาติเป็นจำนวนมาก โดยไม่คำนึงถึง การอนุรักษ์สภาพแวดล้อม ทำให้แหล่งน้ำมีสภาพเสื่อมลง การเพาะเลี้ยงหอยมุกน้ำจืดมี 3 ขั้นตอน คือ การเลี้ยงหอยระยะโกลคิเดีย ระยะจูวีไนล์ และระยะตัวเต็มวัย ขั้นตอน การเลี้ยงหอยระยะโกลคิเดีย พบว่า ปัจจุบันนี้สามารถเพาะเลี้ยงโกลคิเดียของหอยมุกน้ำจืดในอาหารสังเคราะห์ โดยนำโกลคิเดียมาเลี้ยงในตู้ควบคุมอุณหภูมิต่ำ พร้อมให้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ 5% อาหารที่ใช้เลี้ยงโกลคิเดียมีส่วนผสมของ M199 พลาสมาปลา ยาปฏิชีวนะ และยาป้องกันเชื้อรา พบว่ามีหอยมุกน้ำจืดและหอยกาบน้ำจืดหลายชนิด ที่สามารถเลี้ยงในอาหารสังเคราะห์ได้ การเลี้ยงหอยระยะจูวีไนล์ ปัจจุบันสามารถเลี้ยงหอยมุกน้ำจืด ระยะจูวีไนล์ที่ได้จากการเพาะเลี้ยง ในอาหารสังเคราะห์ได้หลายชนิด โดยหอยระยะจูวีไนล์อายุ 1-90 วัน จะเลี้ยงในห้อง ปฏิบัติการ อาหารที่ใช้เลี้ยงเป็นสาหร่ายสีเขียว เซลล์เดียว ได้แก่ Chlorella sp. Kirchneriella incuvata มีการรอดตาย 40-70 เปอร์เซ็นต์ และจูวีไนล์ 90 จนถึงระยะก่อนสร้างเซลล์สืบพันธุ์ โดยเลี้ยงที่แหล่งน้ำธรรมชาติ พร้อมได้รับอาหารจากแหล่งน้ำดังกล่าว มีการรอดตาย 80-100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนการเลี้ยง หอยกาบน้ำจืดระยะตัวเต็มวัย จะง่ายกว่าระยะอื่นๆ โดยเลี้ยงที่แหล่งน้ำธรรมชาติ สามารถเลี้ยงได้หลายชนิด เพราะหอยระยะนี้ จะมีความอดทนสูง พบว่าการเจริญเติบโต ของหอยจะขึ้นอยู่กับชนิด และปริมาณแพลงก์ตอนพืช คุณภาพของแหล่งน้ำ และรูปแบบของภาชนะที่เลี้ยง มีการรอดตาย 100 เปอร์เซ็นต์ จะเป็นแนวทาง ในอุตสาหกรรมการผลิตยา เครื่องสำอาง เพื่อเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม และเกิดการสร้างอาชีพ รวมทั้ง ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร และยังเป็นแหล่งอาหารโปรตีนสูงอีกด้วย. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 13 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)





มจร.ธัญบุรีทอถุงมือจากขนพุดเดิ้ล

วรนุช ภู่ระหงษ์ และ อัครวุฒิ บุญบำรุง นักศึกษาจากภาควิศวกรรมสิ่งทอ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ทดลองนำขนสุนัขพันธุ์ "พุดเดิ้ลมินิเอเจอร์" มาปั่นเป็นเส้นด้าย และสามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สิ่งทอ อาทิ ถุงมือ โดยมี ผศ.ธีระพงษ์ ไชยเฉลิมวงศ์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาตลอดโครงการวิจัย ส่วนกรรมวิธีการนำขนสุนัขมาปั่นเป็นด้ายนั้น เจ้าของไอเดียเล่าว่า เริ่มจากตัดขนสุนัขให้ยาว 1-2 นิ้ว จากนั้นนำขนสุนัขมาสางเพื่อให้เส้นใยเรียงตัวขนานกันด้วยเครื่องสางใยขนาดทดลอง จนได้ขนสุนัขที่เรียงตัวกันเป็นแผ่น แล้วนำมาม้วนเข้ากันเรียกว่า "ลูกหลี" และนำไปปั่นด้วยเครื่องปั่นด้าย เมื่อได้เส้นด้ายแล้วก็นำไปทำความสะอาด จะทำให้เส้นด้ายมีความนุ่มและเรียบมากขึ้น หากต้องการสีอะไรก็สามารถย้อมสีได้ตามต้องการ แล้วสามารถนำด้ายจากขนสุนัขไปทำเป็นผลิตภัณฑ์สิ่งทออื่นๆได้ เช่น ถุงมือ ผ้าพันคอ (คมชัดลึก จันทร์ที่ 13 มี.ค. 49 http://www.komchadluek.net)





งูพิษกัดคนตายช่วยชีวิตคนใช้ห้ามเลือดคนไข้ฉุกเฉินให้หยุด

หนังสือพิมพ์รายวัน “เดอะ ซัน” ฉบับยักษ์ ของอังกฤษ รายงานว่า ดร.เลียม เซนต์ เพียรี แห่งมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ของออสเตรเลียได้พบว่าพิษของงูไทปัน อันเป็นงูพื้นบ้านทางเหนือออสเตรเลียมีโปรตีนอย่างหนึ่ง ซึ่งมีฤทธิ์สามารถช่วยให้เลือดจับตัวแข็งได้ทันควัน “พิษของมันนับเป็นยาห้ามเลือดที่มีความแรงที่สุดเท่าที่เคยพบมา” และกล่าวบอกว่า โปรตีนซึ่งถูกตั้งชื่อให้ว่า “แฟคเตอร์ เอกซ์” จะมีประโยชน์ในการห้ามเลือด เมื่อผ่าตัดหัวใจและการช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุจากรถชนกัน ขณะนี้บริษัทชีวเภสัชแห่งหนึ่งกำลังทดลองยาที่มี “แฟคเตอร์ เอกซ์” ตามสถานพยาบาลแห่งต่างๆอยู่ (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 17 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)





"นาโนเทค"ช่วยหนูตาบอด ฟื้นระบบประสาท-มองเห็นอีกครั้ง

สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า คณะนักวิทยาศาสตร์จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งเมสซาชูเส็ตต์ (เอ็มไอที) รวมถึงมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาและฮ่องกง กำลังพัฒนานำเอาความก้าวหน้าด้านนาโนเทคโนโลยีมาใช้รักษาเซลล์ประสาท เพื่อให้คนตาบอดกลับมามองเห็นอีกครั้ง โดยผลการทดลองเบื้องต้นในหนูทดลองประสบความสำเร็จด้วยดี นักวิทยาศาสตร์ทำการทดลองโดยจำลองสถานการณ์ให้ระบบประสาทในสมองของหนูแฮมสเตอร์ส่วนควบคุมการมองเห็นได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ส่งผลให้หนูตาบอด ขึ้นตอนต่อมา นำเอาน้ำยาชนิดพิเศษ ซึ่งมีส่วนผสมของอนุภาคนาโน ฉีดตรงเข้าไปยังระบบประสาทที่ถูกทำลาย ผลปรากฎว่าน้ำยานาโนดังกล่าวฟื้นฟูระบบประสาทให้เชื่อมต่อกันได้อีกครั้ง ทำให้หนูกลับมามองเห็นเหมือนเดิม สำหรับอนุภาคนาโนที่ผสมอยู่ในน้ำยา ประกอบด้วยโมเลกุลเป๊ปไทด์แบบสังเคราะห์ ซึ่งมีคุณสมบัติสามารถเชื่อมเซลล์ให้ต่อติดกันได้ โดยเมื่อน้ำยานาโนดังกล่าวถูกฉีดเข้าไปในสมองหนูตรงระบบประสาทที่ถูกทำลาย มันจะออกฤทธิ์จัดเรียงตัวเองออกมาเป็นลักษณะคล้ายกับใยนาโนไฟเบอร์ ทำหน้าที่เชื่อมประสานระบบประสาทให้เชื่อมต่อกันอีกครั้ง ก่อนที่จะกลายเป็นแผลเป็น ดร.รุทเลดจ์ เอลลิส เบห์นเค นักประสาทวิทยาของเอ็มไอที หัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า ก่อนการฉีดน้ำยานาโนนั้น จะต้องตัดเอาเซลล์ประสาทส่วนควบคุมการมองเห็นที่ได้รับความเสียหายออกก่อนแล้วจึงฉีดน้ำยาเข้าไปตรงจุดนั้น จากการติดตามผลพบว่าหลังจากนั้นเซลล์สมองเริ่มฟื้นฟูตัวเองภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมาก และเนื้อเยื่อสมองที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ทำให้หนูกลับมามองเห็น และหวังว่าข้อมูลขั้นต้นจากการทดลองครั้งนี้จะนำไปสู่การผ่าตัดฟื้นฟูเซลล์สมองของมนุษย์ต่อไปในอนาคต (ข่าวสด ศุกร์ที่ 17 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)





ข่าวทั่วไป


บำรุงผิวสวยใสด้วยอาหาร

ศูนย์ผู้บริโภคเนสท์เล่จัดกิจกรรมให้ความรู้เรื่องผิว โดยได้ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังอย่างแพทย์หญิงพักตร์พิไล ทวีสิน มาแนะวิธีดูแลผิว พร้อมด้วยอาจารย์ตรีดาว อภัยวงศ์ ร่วมเล่าอาหารพิชิตผิวใสอีกด้วย แพทย์หญิงพักตร์พิไลบอกว่า มีหลายคนที่ดูแลผิวอย่างไม่ถูกวิธี อย่างเวลาอาบน้ำชำระร่างกายหลายคนมักขัดถูขี้ไคลออกทุกวันเป็นประจำ ในความจริงแล้วขี้ไคลเปรียบเหมือนเสื้อเกราะที่ปกป้องผิวหนังไว้จากมลพิษ ถ้าขัดทุกวันผิวก็จะเกิดอาการแพ้ได้ง่าย อาจเกิดการระคายเคือง รวมทั้งการล้างหน้าควรใช้น้ำเปล่าที่มีอุณหภูมิปกติเป็นสิ่งที่ดีที่สุดโดยที่ไม่ต้องพึ่งโฟมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของสารเคมีเลยด้วย และการรับประทานอาหารควรเลือกผัก ผลไม้ อาหารจำพวกธัญพืชที่มีไฟเบอร์ ซึ่งส่วนช่วยในการขับถ่าย รวมไปถึงการออกกำลังกายนั้นเป็นฐานสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพร่างกายและผิวให้แข็งแรง ส่วน อ.ตรีดาวก็แนะวิธีดูแลสุขภาพผิวว่า เน้นการทามอยซ์เจอไรเซอร์ทั้งเช้าและก่อนนอน แต่ที่สำคัญที่สุดคือการนอน พักผ่อนมากๆ ดื่มน้ำเยอะๆ "สิ่งสำคัญคือการทานผัก ผลไม้ให้ครบ 7 สี อาทิ สีแดง-ส้ม จากมะเขือเทศ แครอต ส้ม, สีเขียวอ่อน เขียวแก่จากผักสลัด บร็อคโคลี, สีม่วงจากกะหล่ำปลี หรือองุ่น เป็นต้น" เคล็ดลับดีๆ อย่างนี้ ถ้าได้ลองทำบ้างคงได้ผิวใสไม่น้อยเลยทีเดียว (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 16 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th)





5 เคล็ดลับดูแล‘ใจ’

สัญญาณหัวใจเป็นสัญญาณของชีวิต นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักแล้ว ที่สำคัญกว่านั้นคือ มันหล่อเลี้ยงชีวิตและร่างกายของเราให้คงอยู่ และก่อนที่มันจะสายอย่าปล่อยให้หัวใจของเราอ่อนแอลงทุกวันๆ เคล็ดที่หนึ่ง เริ่มที่อาหาร @อาหารที่เหมาะกับหัวใจ ที่ควรจะบริโภคได้แก่ ปลาทะเล ผัก ผลไม้ ขอแบบหลากหลายชนิด @ไวน์วันละแก้ว ส่งผลดีต่อหัวใจ แต่ถ้ามากไปกว่านี้ความดันโลหิตจะสูง ส่วนเบียร์ได้แค่ 2 กระป๋อง หรือ 1 ขวดใหญ่ นี่คือปริมาณต่อวัน @เปลี่ยนจากอาหารทอดเป็นย่าง@เปลี่ยนเมนูเนื้อเป็นปลา@ทานผลไม้ทั้งเปลือก เช่น ฝรั่งหรือแอปเปิ้ล วิตามินชั้นดีอยู่ในนั้น@กินไข่แต่พอดี อายุมากแล้ว สัปดาห์ หนึ่งไม่ควรเกิน 4 ฟอง เพราะไข่แดงมีคอเลสเตอรอลสูง@ดื่มนมไขมันต่ำ@กินข้าวซ้อมมือแทนข้าวขัดสี@กระเทียม เคล็ดลับที่2 หมั่นออกกำลังกาย การออกกำลังกายเป็นยาวิเศษ ประโยชน์ของมันก็รู้กันดี ทำให้สวย หล่อ รูปร่างดี มีความสุขสมองปลอดโปร่งโล่งสบาย กระฉับกระเฉง ว่องไวประโยชน์อนันต์ของการออกกำลังกายอีกข้อคือ บำรุงกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรง ระบบไหลเวียนโลหิตจะหมุนเวียนดี การออกกำลังกายที่ดีต่อหัวใจมากๆคือ แอโรบิก ที่ต่อเนื่องเป็นเวลา 30 นาทีขึ้นไป ปฏิบัติให้ได้อย่างน้อย 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ได้แก่ เดินออกกำลังกายแบบไม่หยุดพัก,วิ่งเหยาะๆแล้วเพิ่มสปีด,ว่ายน้ำ,เทนนิสหรือแบดมินตัน,เต้นแอโรบิก หรือถีบจักรยาน เป็นต้น เคล็ดลับที่ 3ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลด ละ เลิก พฤติกรรมร้ายๆในชีวิตประจำวัน ขวนขวายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและความนึกคิดดีๆเข้าตัวเองเพื่อชีวิต เพื่อหัวใจดวงเดียวของคุณ เดินทางสายกลาง รักและดูแลตัวเองมากๆไม่ได้หมายความว่าจะไม่ใช้ชีวิตให้เต็มที่ เลิกบุหรี่ให้เด็ดขาด รับประทานอาหารเช้า เคล็ดลับที่4 ความอ้วนก็เสี่ยง เพราะความอ้วนเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ โรคเบาหวาน ความดันในโลหิตสูงและอื่นๆจะตามมาอีกมาก ควบคุมอาหาร เลือกรับประทานสิ่งที่มีประโยชน์ เคล็ดลับสุดท้าย ความรักทำให้เลือดคุณสูบฉีดทั่วร่างนั่นเป็นข้อดีของ ความรักที่ทำให้ได้บริหารกล้ามเนื้อหัวใจ และทำให้ความรู้สึกนึกคิดและชีวิตในห้วงเวลานั้นของคุณเบ่งบานตามไปด้วย นี่คือข้อดีของความรักขั้นปฐมภูมิ ความเข้าใจ สวดมนต์ เล่นโยคะ นั่งสมาธิ ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลถึงภายใน อย่างโยคะเป็นทั้งการสร้างสมาธิและได้ออกกำลังกาย มีผลดีต่อหัวใจอย่างแรง และอยู่กับปัจจุบัน (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 16 มี.ค. 49 http://www.dailynews.co.th)





คนไข้โรคหัวใจพบความหวังใหม่ มีหนทางรักษาให้หายกลับคืนได้

ผู้ป่วยโรคหัวใจเรือนล้านทั่วโลก อาจจะเกิดความหวังใหม่ เพราะหมอแจ้งให้รู้ว่า พบหนทางที่จะให้โรคหายกลับคืนเป็นปกติอย่างเดิมได้ ผู้ป่วยซึ่งต้องทนทุกข์ทรมาน เนื่องจากหลอดเลือดโดนถูกตะกอนไขมันจับพอกจนตีบตัน ซึ่งอาจเป็นเหตุหัวใจวายและเส้นเลือดแตกถึงแก่ชีวิตได้ เท่าที่เป็นมาแพทย์ได้แต่พยายามรักษาเพื่อชะลอไม่ให้อาการทรุดลงอย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่เพิ่งได้พบจากการศึกษาใหม่ว่าการโหมรักษา ด้วยยาลดโคเลสเตอรอลขนานใหม่ สามารถจะลดตะกรันท่อเลือดแดงลงได้ แพทย์ที่ปรึกษาใหญ่โรคหัวใจแห่งโรงพยาบาลเอดินเบิร์ก รอแยล แห่งอังกฤษ หมอนีล อูเรน กล่าวแจ้งว่า “มันส่อว่าการรักษาอย่างเต็มที่จะช่วยลดระดับของโคเลสเตอรอลลง ซึ่งมีผลต่อคราบตะกอนที่จับตามหลอดเลือดแต่ละเส้นด้วย” การศึกษาได้ทำกับคนไข้โรคหัวใจจำนวน 349 ราย ตามศูนย์พยาบาล 53 แห่ง ทั้งในสหรัฐฯ แคนาดา ยุโรปและออสเตรเลีย โดยใช้ยาลดโคเลสเตอรอลขนานใหม่ เป็นเวลานานถึง 2 ปี ปรากฏผลว่าสามารถทำให้ปริมาณโคเลสเตอรอลถูกลดทอนเหลือต่ำลง พลอยเป็นผลให้คราบไขมันตามหลอดเลือดลดน้อยลงไป คนไข้เกือบ 4 ใน 5 รายได้แสดงอาการให้เห็นว่า ระดับของโรคหลอดเลือดแดงตีบตันก็ได้ทุเลาลงด้วย. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 16 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)





"ภูมิแพ้อาหาร" ภัยเงียบที่ไม่ควรประมาท

"ภูมิแพ้อาหาร" การปรากฏอาการแพ้นั้นค่อนข้างช้า 1 ชั่วโมงจนถึง 1 สัปดาห์หลังจากรับสารนั้น ทำให้นึกไม่ถึงว่าอาการแพ้นั้นเกิดจากอาหาร ไม่ใช่อากาศ ซึ่งปัจจุบันแพทย์เริ่มหันมาให้ความสนใจมากขึ้นเพราะอาการแพ้นั่นมีตั้งแต่นอนไม่หลับ คัดจมูกจนถึงอาการรุนแรงถึงขั้นผนังเส้นเลือดแข็งตัว เกิดโรคหัวใจเป็นอัมพาตได้ พญ.อัจจิมา สุวรรณจินดา ผู้อำนวยการสถาบันวัยวัฒน์และความงามเมดดิไซด์ (MEDISCI) บอกว่า จากงานวิจัยของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้จากประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นเมื่อมีการตรวจสอบหาสาเหตุและควบคุมอาหารที่ตรวจพบในระยะเริ่มต้น ซึ่งทุกคนควรให้ความสำคัญกับอาการแพ้อาหาร เพราะบางครั้งไม่มีใครคิดว่าว่าเกิดจากอาหาร ทำให้การรักษาไม่ถูกต้องเท่าที่ควร ซึ่งจะทำให้เกิดอาการเรื้อรัง ต้องรับประทานยาเป็นเวลานาน ที่อาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพและอาจเป็นต้นเหตุของโรคร้ายต่างๆ และความเสื่อมของร่างกายก่อนวัยได้ เมื่อพบสาเหตุที่แท้จริงแล้ว ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ตลอดชีวิต และหมั่นสังเกตอาการที่แพ้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อหาต้นตอของอาการนำไปสู่การรักษาที่มีประสิทธิภาพ อาการป่วยเล็กน้อยอาจเป็นผลต่อเนื่องในระยะยาว ดังนั้น การตรวจสุขภาพจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในยุคที่สิ่งแวดล้อมมีแต่มลภาวะ (มติชนรายวัน พุธที่ 15 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th)





อย.ชี้อันตรายครีมหน้าขาว40ยี่ห้อ

.ดร.ภักดี โพธิศิริ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวถึง เครื่องสำอางที่มีสารอันตราย 40 ยี่ห้อห้ามใช้เด็ดขาด ประกอบด้วย 1.ไพรสด สมุนไพรธรรมชาติ สิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ 2.Second Cream ตรา Magnate 3.ครีมทาฝ้าชาเขียว ตรา Magnate 4.โลชั่น วินเซิร์ฟ ลดฝ้า กันแดด 5.ครีมวินเซิร์ฟ 6.เอ็ดการ์ด โลชั่นกันแดดผสมอัลลันโทอิน 7.EASY Herb Night Bright Melasma Cream ครีมแต้มฝ้า กระ จุดด่างดำ สำหรับกลางคืน 8.ครีมสมุนไพรว่านนางสาว 9.เอสจี โลชั่นปรับสภาพผิว 10.ครีมสมุนไพรมะขาม 11.Mena FACIAL CREAM 12.ครีมสมุนไพรมะเขือเทศ 13.ครีมสมุนไพรมะนาว 14.ครีมกันแดด สมุนไพรแตงกวา สูตรพิเศษ 15.SOW ทาฝ้ารอยดำ (ตลับชมพู) 16.BEST BEAUTY ครีมประทินผิว ลดรอยดำ 17.เบสท์โลชั่น โลชั่นปรับสภาพผิว 18.3 P โลชั่น 19.ฝ้า กระ PIGMENT 20.WHITENING CREAM ครีมมุกหน้าขาว 21.VOLK Intensive Lifting Cream USA 22.IFSA 23.ครีมข้นเหนียวสีส้ม 24.ครีมข้นเหนียวสีน้ำตาล 25.เครื่องสำอางครีมหน้าใส IFSA 26.เครื่องสำอางครีมชาเขียว DR.JAPAN 27.The Winner สมุนไพรมะขาม Tamarine Cream สูตรเข้มข้น 28.ครีมสมุนไพร 29.ครีมทาปาก หัวนมชมพูก่อนนอน 30.ยารักษาฝ้า เช้า-ก่อนนอน 31.ทาใต้รักแร้ ง่ามขาดำ ก่อนนอน 32.พรีม เมลาโนไวเทนเนสส์ เอ 33.พรีม ไบรเทน แอนด์ รีไวเทน 34.3 ทรีเดย์ เนเชอรัล ฝ้าปานกลาง สูตรขาวเนียน 35.3 ทรีเดย์ ไบรเทน แอนด์ รีไวเทน 36.3 ทรีเดย์ เนเชอรัล อี พลัส ครีมทาสิว ฝ้า 37.ครีมลูกยอผสมน้ำผึ้ง white noni & honey cream 38.สมุนไพรแตงกวา 39.สีเขียว 4 (เครื่องสำอางกึ่งสำเร็จรูปพร้อมบรรจุ เป็นครีมข้นสีเขียว) 40.สีเหลืองขมิ้น 5 (เครื่องสำอางกึ่งสำเร็จรูปพร้อมบรรจุ เป็นครีมข้นสีเหลือง) (มติชนรายวัน อังคารที่ 14 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th)





รักษาคนไข้โรคไตได้แค่1ใน4 ที่เหลือโดนปล่อยจนเสียชีวิต

ศ.พ.ญ.ลีนา องอาจยุทธ หัวหน้าสาขาวิชาวักกะวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ในฐานะนายกสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงการเกิดโรคไตและภาวะไตวายระยะสุดท้ายเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศ โดยมีผู้ป่วยเพียงร้อยละ 25 ที่ได้รับการรักษา ซึ่งอีกร้อยละ 75 ยัง ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคจนเสียชีวิต จากข้อมูลสมาคมโรคไตฯ ในปี 2548 ทั่วประเทศมีศูนย์รักษาโรคไตอยู่ ประมาณ 350 แห่ง โดยร้อยละ 42 กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ และจังหวัดในภาคกลางเท่านั้น มีเพียง 51 แห่ง ที่มีบริการฟอกไตทางช่องท้องได้ และมีเพียง 24 แห่ง ที่ ทำการปลูกถ่ายไตได้ จึงคิดว่าทางออกที่ดีที่สุดน่าจะเป็นการป้องกันโรค และการค้นหาผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังในระยะเริ่มแรกมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะถ้าผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสมกับระดับความรุนแรงของโรคไต จะช่วยชะลอการเกิดภาวะไตวายระยะสุดท้ายได้ และยังช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยและการตายของผู้ป่วย รวม ทั้งลดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาพยาบาลของผู้ป่วยและประเทศชาติได้ถึงปีละไม่ ต่ำกว่า 3,600 ล้านบาท (ไทยรัฐ อังคารที่ 14 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th) ประดิษฐ์พืชพันธุ์ร้องบอกให้รู้ตัว เมื่อยามขาดน้ำก่อนจะแห้งตาย นักศึกษาวิทยาลัยโปลีเทคนิคสิงคโปร์ ได้เพาะต้นไม้ซึ่งจะร้องบอกเจ้าของให้รู้ได้ เมื่อขาดน้ำ โดยนำเอายีนของแมงกะพรุนที่ถูกปรับแต่งไปใส่ไว้ในพืช ทำให้มันจะ “เปล่งแสง” ขึ้น เมื่อมันขาดน้ำจนชักจะเหี่ยว แห้งลง แต่เนื่องจากแสงที่เปล่งออกจางมาก แทบสังเกตไม่เห็นด้วยตาเปล่า จึงต้องใช้แว่นขยายช่วยขยายอีกต่อหนึ่ง คณะนักศึกษาของวิทยาลัยเทคนิคแห่งมหาวิทยาลัยนานยางกล่าวให้ความเห็นว่า การคิดพัฒนาพืชทำนองนี้ขึ้น จะช่วยให้เกษตรกรพัฒนาหนทาง ที่จะรดน้ำให้กับพืชพันธุ์อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น. (ไทยรัฐ อังคารที่ 14 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)





สสส.ชวนลดละเลิกน้ำตาลเพื่อสุขภาพ

ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการสร้างสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยงรอง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า จากการที่รัฐบาลประกาศขึ้นราคาน้ำตาลทรายนั้น ทุกฝ่ายควรใช้โอกาสนี้สร้างวัฒนธรรมลด ละ เลิก การบริโภคน้ำตาลแก้ปัญหาการบริโภคหวานเกินพอดีของคนไทย จากการสำรวจเครื่องดื่มสำเร็จรูปในท้องตลาด ที่มีปริมาณน้ำตาลสูง ในช่วงเดือนธันวาคม 2548 พบว่า มีปริมาณน้ำตาลมากตามลำดับ คือ ชานมหรือชาเย็น 500 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 31.25 ช้อนชา ชาเขียวผสมนม 250 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 26.3 ช้อนชา ชาเขียวรสน้ำผึ้ง 250 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 25 ช้อนชา ชาดำเย็น 350 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 15.3 ช้อนชา รูทเบียร์ 1 กระป๋อง มีน้ำตาล 14.3 ช้อนชา น้ำอัดลมที่ไม่มีสี 1 กระป๋อง มีน้ำตาล 11.4 ช้อนชา น้ำอัดลมหลากสี 1 กระป๋อง มีน้ำตาล 11.4 ช้อนชา รูทเบียร์ในร้านอาหารจั๊งก์ฟู้ด มีน้ำตาล 10.8 ช้อนชา น้ำอัดลมรสส้ม 1 กระป๋อง มีน้ำตาล 9.5 ช้อนชา น้ำดำ 2 ยี่ห้อดัง มีน้ำตาล 8.5-9.3 ช้อนชา (มติชน เสาร์ที่ 11 มี.ค. 49 http://www.matichon.co.th)





10เครื่องดื่มยอดนิยมน้ำตาลสูง ต้นเหตุโรคอ้วนเล่นงาน

ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ ผอ.สำนักสนับสนุนการสร้างสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยงรอง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) กล่าวว่า จากการที่รัฐบาลประกาศ ขึ้นราคาน้ำตาลทรายจากกิโลกรัมละ 13 บาท เป็น 17.25 บาท โดยผู้ผลิตหลายรายประกาศ ว่า จะต้องขึ้นราคาสินค้าอื่นๆตามไปด้วย ซึ่งผู้บริโภคจะกลายเป็นผู้ที่แบกรับภาระหนักที่ สุด ตามข้อเท็จจริงแล้ว น้ำตาลคือสิ่งที่ก่ออันตรายต่อสุขภาพ เป็นสาเหตุของโรคร้ายใน คนทุกกลุ่มอายุ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน ดังนั้น ทุกฝ่ายควรใช้โอกาสนี้ สร้างวัฒนธรรม ลด ละ เลิก การบริโภคน้ำตาล โดยผู้ผลิตควรแก้ปัญหาด้วยวิธีลดปริมาณน้ำตาล ที่เป็นส่วน ผสมในอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ แทนการขึ้นราคาสินค้า เพราะนอกจากจะลดต้นทุนแล้ว ยังแก้ปัญหาการบริโภคหวานเกินพอดีของคนไทยด้วย จากการสำรวจ10 อันดับเครื่องดื่มสำเร็จรูปในท้องตลาด ที่มี ปริมาณน้ำตาลสูง ในช่วงเดือนธ.ค. 2548 พบว่า อันดับ 1.ชานมหรือชาเย็นขนาด 500 มิลลิลิตร มีน้ำตาลถึง 31.25 ช้อนชา 2 .ชาเขียวผสมนม 250 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 26.3 ช้อนชา 3.ชาเขียวรสน้ำผึ้ง 250 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 25 ช้อนชา 4.ชาดำเย็น 350 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 15.3 ช้อนชา 5.รูทเบียร์ 1 กระป๋อง มีน้ำตาล 14.3 ช้อนชา 6.น้ำอัดลมที่ไม่มี สี 1 กระป๋อง มีน้ำตาล 11.4 ช้อนชา 7.น้ำอัดลมหลากสี 1 กระป๋อง มีน้ำตาล 11.4 ช้อน ชา 8. รูทเบียร์ในร้านอาหารจังก์ฟู้ด มีน้ำตาล 10.8 ช้อนชา 9.น้ำอัดลมรสส้ม 1 กระป๋อง มีน้ำตาล 9.5 ช้อนชา 10.น้ำดำ 2 ยี่ห้อดัง มีน้ำตาล 8.5-9.3 ช้อนชา ซึ่งล้วนแต่เป็นปริมาณ ที่สูงมาก และเป็นอันตรายต่อร่างกาย อีกทั้งใน 1 วัน แต่ละคนอาจบริโภคเครื่องดื่มเหล่านี้ หลายชนิด โดยเด็กไม่ควรทานน้ำตาลเกิน 4 ช้อนชา ต่อวัน ส่วนผู้ใหญ่ไม่ควรเกิน 6 ช้อนชา ต่อวัน (คมชัดลึก จันทร์ที่ 13 มี.ค. 49 http://www.bangkokbiznews.com)





'สรรพากร' ใจดีลดภาษีรับค่าครองชีพพุ่ง มนุษย์เงินเดือนเตรียมเฮ!

นายเสงี่ยม สันทัด ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในฐานะคณะกรรมการพัฒนากฎหมายของกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมสรรพากรเตรียมที่จะเสนอให้กระทรวงการคลังแก้ไขกฎหมาย เพื่อเพิ่มการหักค่าใช้จ่ายส่วนตัวหรือเพิ่มค่าลดหย่อน ก่อนที่จะนำมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากที่กำหนดให้นำค่าใช้จ่ายส่วนตัวมาหักเป็นค่าลดหย่อนได้ 60,000 บาทต่อคน เพื่อให้เหมาะสมกับค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบัน ทั้งนี้ กรมสรรพากรจะเสนอแก้ไขประมวลรัษฎากร 2 มาตราคือ มาตรา 42 ทวิ ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับรายได้ของบุคคลธรรมดา ที่มีเงินเดือนและบุคคลที่มีรายได้จากค่าตำแหน่งงานที่ทำ สามารถหักค่าใช้จ่ายเหมาจ่ายได้ 40% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 60,000 บาทต่อคน และมาตรา 42 ตรี เป็นเรื่องที่กฎหมายยอมให้หักค่าจ่ายกรณีที่มีรายได้จากค่าลิขสิทธิ์, ค่าความนิยม (Goodwill) ได้ 40% แต่ไม่เกิน 60,000 บาทเช่นกัน รวมถึงการปรับปรุงการหักค่าใช้จ่ายสำหรับเงินได้จากค่าเช่า, เงินได้จากวิชาชีพอิสระ, เงินได้ จากการรับเหมาและเงินได้จากการประกอบธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การขนส่ง การอุตสาหกรรม โดยการปรับปรุงดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ค่าครองชีพสูงขึ้นกว่าในอดีต ซึ่งจะเป็นการช่วยลดภาระภาษีให้แก่ผู้เสียภาษีโดยเฉพาะคนที่มีรายได้ประจำเป็นเงินเดือน กรมสรรพากรยังจะเสนอให้แก้ไขมาตรา 65 ทวิ (10) แห่งประมวลรัษฎากร เนื่องจากเกิดความไม่เท่าเทียมกันระหว่างบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น กับบริษัทที่ไม่ได้อยู่ในตลาดในประเด็นของภาษีเงินปันผล ที่ปัจจุบันกฎหมายกำหนดว่า เฉพาะบริษัทในตลาด ที่ได้รับเงินปันผลจากบริษัทอื่น ที่ถือหุ้นอยู่ไม่น้อยกว่า 25% ของหุ้นทั้งหมด ไม่ต้องนำเงินปันผลที่ได้รับมารวมคำนวณเพื่อจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคล ขณะที่บริษัทที่ไม่อยู่ในตลาดหุ้น เมื่อได้รับเงินปันผลจากบริษัทอื่นจะต้องนำเงินปันผล ที่ได้รับมารวมคำนวณภาษีเงินได้ นิติบุคคล ทั้งนี้ จะกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ไม่ต้องนำเงินปันผลที่ได้รับมารวมคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 13 มี.ค. 49 http://www.thairath.co.th)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215