|
หัวข้อข่าวปีที่ 7 ฉบับที่ 16 ประจำวันที่ 2006-04-17
ข่าวการศึกษา
การเมืองวุ่นห่วงม.ใหม่ TiTEC มจธ.ท้าโจทย์ใหญ่...พลิกโฉมอุตสาหกรรมถิ่นตะวันตก ว.ชุมชนมุกดาหารจัดหลักสูตร 'จาตุรนต์' จี้มหาวิทยาลัยเลิกจัดสอบเอง สั่งทบวนการรับ นศ.หวังลดภาระเด็ก ได้เวลาประกันคุณภาพมหา''ลัย แพทย์จุฬาฯเผยรับตรง พร้อมกสพท.12 เม.ย. ให้เลือก1แห่งไม่มีกั๊ก สจพ.รับป.ตรี"สมทบพิเศษ" เด็กไทยคว้ารางวัลพิชิตโจทย์เลข หลักสูตร "ซากาโมโต้"
ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี
คนเก่งภาษาต้องมีมันสมองพิเศษ รูปพรรณสัณฐานต่างจากธรรมดา ประดิษฐ์อุปกรณ์ "กล่องดำ" ของรถยนต์ บันทึกภาพก่อน และหลังอุบัติเหตุ บาร์โค้ด2มิติ...เทคโนโลยีทางเลือก เอไอเอสโชว์หุ่นยนต์แดนซ์ช่วงปิดเทอม สัตว์ดึกดำบรรพ์ผจญภาวะโลกร้อนมาแล้ว พบฟอสซิลรอยต่อสัตว์น้ำสัตว์บก จุฬาฯโชว์เทคนิคใหม่ผ่าตัด แก้พาร์กินสันแห่งแรกในเอเชีย อวดโฉมพันธุ์ไม้กินแมลง ครั้งแรกในไทย พบดาวมฤตยูมีวงแหวนสีฟ้า กระเบนชนิดใหม่ของโลกตั้งชื่อ"กิติพงษ์" แอลกอฮอล์อวกาศ ดิสนีย์บุกสำรวจดินแดน"หลังคาโลก" เฉลยคำตอบ "ทำไมพื้นดินสีน้ำตาล" จีนปลูกใบหน้าคนไข้รายแรก
ข่าววิจัย/พัฒนา
วิจัยข่า...ใช้ต้านผิวหนังสัตว์พัฒนาตำราโบราณคุณสมบัติออกมาดี.. น้ำยางพาราทำครีมผิวขาว ศูนย์ทีเซลส์แจกทุนทดสอบในคนลุ้น1ปีรู้ผล สหรัฐทำกระเพาะปัสสาวะเทียมสำเร็จ ควันบุหรี่หลงยังคงมีฤทธิ์มีเดช ทำให้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ไทยจับมือญี่ปุ่นทดลองนอกโลก รับสมัคร นร.ส่งโครงการเลี้ยงพืชในอวกาศ อุปกรณ์นับรถบนถนนแก้จราจรติดขัด เครื่องตรวจสารพิษในพืชผัก นวัตกรรมใหม่เพื่อ "สุขภาพ" ไทยเจ๋ง พัฒนา...ระบบบำบัดนำเสียประสิทธิภาพสูง ใช้จุลินทรีย์สร้างก๊าซชีวภาพ เปรียบเทียบลักษณะ"ยีน" ช่วยป้องกันโรคล่วงหน้า มลภาวะคุกคามปลาจนเหลือแต่ตัวผู้ นศ.ธัญบุรีประดิษฐ์เครื่องชงกาแฟรสชาติคงที่ แว่นสายตายาวปรับได้อัตโนมัติ ตู้ส่องฟิล์มเอกซเรย์เต้านม มช.ประดิษฐ์ส่องดูเซลล์มะเร็งชัดเจน เอ็มเทควิจัยโฟมชีวภาพย่อยสลายใช้แทนโฟมพลาสติกตัวก่อมลภาวะ สหรัฐแปลงข้าวโพดเป็นเอทานอลต้นทุนต่ำ แว่นตาติดไมค์ช่วยฟังเสียงชัดเต็มหู แผ่นปิดแผลหยุดเลือดได้เร็วหัวคิดคนไทยสกัดสารพิเศษจากเปลือกกุ้ง นักวิจัยเจ๋งผลิตชุดควบคุมไฟอัตโนมัติ ดึงแสงสว่างนอกตึกช่วยประหยัดเงิน
ข่าวทั่วไป
สารกันรา ในผักดอง
ข่าวการศึกษา
การเมืองวุ่นห่วงม.ใหม่
ศ.ดร.วิรุณ ตั้งเจริญ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวถึงความวุ่นวายทางการเมืองอาจส่งผลกระทบต่อการทำงบประมาณและการใช้จ่ายของกระทรวงต่างๆ ว่า ในส่วนของมหาวิทยาลัย แม้สำนักงบประมาณจะชะลอเพื่อรอนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ แต่โดยระบบการของบประมาณปี ประจำปี 2550 ถูกส่งเข้าสู่ระบบของสำนักงบฯ แล้ว ศ.ดร.วิรุณ ยังกล่าวถึงปัญหาทางการเมืองอาจจะส่งผลถึงยอดเงินที่จะให้นักศึกษากู้ยืมเรียนว่า เรื่องนี้ต้องฟังหูไว้หู ไม่ว่ารัฐบาลชุดนี้ หรือชุดใหม่ก็ไม่ควรเบียดเบียนสิ่งที่เป็นความหวังของเด็ก หรือคนยากคนจน ถ้าเป็นเช่นนั้นบ้านเมืองจะยุ่งเพิ่มขึ้น ตอนนี้สิ่งที่ห่วงคือ มหาวิทยาลัยใหม่ๆ ระบบงบประมาณได้เอื้อต่อการปรับตัวมากน้อยแค่ไหน เนื่องจากปีที่แล้ว ไม่ได้ทำให้กลุ่มมหาวิทยาลัยใหม่ๆ พัฒนาตัวเองได้รวดเร็วมากนัก (คมชัดลึก จันทร์ที่ 10 เม.ย. 49 http://www.komchadluek.net)
TiTEC มจธ.ท้าโจทย์ใหญ่...พลิกโฉมอุตสาหกรรมถิ่นตะวันตก
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) หนึ่งในเครือข่ายโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP) โดยการสนับสนุนของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) คือตัวอย่างของสถาบันการศึกษาที่เข้ามามีส่วนส่งเสริมและดูแลอุตสาหกรรม ในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคตะวันตก โดย ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร อธิการบดี มจธ. เผยถึงการเข้าไปมีส่วนร่วมในโครงการนี้ว่า โครงการ ITAP นั้นแม้ไม่ได้เป็นการผลิตบุคลากรคนนัยเดียว กับการผลิตบัณฑิตของมหาวิทยาลัยฯ แต่เป็นการสร้างผู้รู้เข้าไปแก้โจทย์ในภาคอุตสาหกรรม ที่ผ่านมาทางมจธ.ก็จัดส่งนักศึกษา นักวิชาการเข้าไปทำงานร่วมกับอุตสาหกรรมอยู่หลายๆ รูปแบบ นอกจากประโยชน์ที่ภาคอุตสาหกรรมได้รับแล้ว ยังผลพลอยได้กลับมาสู่มหาวิทยาลัยอีกด้วย เพราะไม่เพียงอาจารย์หรือนักวิชาการที่เข้าร่วมโครงการฯ ในฐานะที่ปรึกษาให้กับบริษัทจะสามารถแก้โจทย์จริงได้แล้ว ยังสามารถดึงนักศึกษาเข้าไปมีส่วนร่วมทำงานเป็นการก้าวพ้นโจทย์สมมติในห้องเรียนหรือแล็ปไปสู่โจทย์จริง และยิ่งมีอาจารย์ นักวิชาการของมหาวิทยาลัยสนใจเข้าร่วมโครงการ ITAP มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเป็นผลดีต่อนักศึกษามากเท่านั้น และไม่เพียงเท่านี้ยังเพิ่มโอกาสการมีงานทำของนักศึกษาที่ใกล้จบอีกด้วย เพราะจากประสบการณ์จริงที่มีส่วนร่วม ทำให้ภาคอุตสาหกรรมไม่ต้องฝึกฝนมือใหม่ขึ้นมารับมือกับปัญหาอีก สำหรับกลุ่มอุตสาหรรมที่อยู่ในความดูแลของ มจธ.ส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันตก อาทิ จังหวัดสมุทรสงคราม, สมุทรสาคร, นครปฐม และราชบุรี ซึ่งที่ผ่านมายังไม่เคยมีสถาบันอุดมศึกษาใดเข้าไปให้ความช่วยเหลือ หรือสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งเมื่อ มจธ.เข้ามาดูแล ก็ได้จัดตั้ง ศูนย์บูรณาการเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรมไทย TiTEC (มจธ.) ขึ้น เพื่อให้บริการอย่างเต็มที่ สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจขอรับการสนับสนุนจาก ศูนย์บูรณาการเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรมไทย TiTEC มจธ. สามารถติดต่อได้ที่ โทร.0-2470-9298-99 หรือเว็บไซต์ www.kmutt.ac.th/titec (สยามรัฐรายวัน อังคารที่ 10 เม.ย. 49 http://www.siamrath.co.th)
ว.ชุมชนมุกดาหารจัดหลักสูตร
นายวิรุฬห์ ศุภกุล ประธานกรรมการสภาวิทยาลัยชุมชน (วชช.) มุกดาหาร เปิดเผยว่า คณะกรรมการวิทยาลัยชุมชนมุกดาหารได้ร่วมกับสำนักงานจังหวัดมุกดาหาร เดินทางไปสำรวจเส้นทางการค้าอินโดจีน และร่วมประชุมเจรจากับตัวแทนประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อพัฒนาหลักสูตรระหว่างประเทศอินโดจีน ที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อรองรับการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 2 ซึ่งจะเปิดใช้ในปลายปี 2549 นี้ อันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะการส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตและขยายตัวมากขึ้น วิทยาลัยชุมชนมุกดาหารจึงได้พิจารณายกร่างหลักสูตรธุรกิจระหว่างประเทศในกลุ่มอินโดจีน ได้แก่ ลาว เวียดนาม และไทย เพื่อเป็นหลักสูตรที่มุ่งสร้างนักลงทุนรุ่นใหม่ให้สามารถทำธุรกิจในกลุ่มประเทศอินโดจีนได้ หลักสูตรดังกล่าวจะเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไป และนักธุรกิจที่สนใจได้เรียนรู้ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนลง เนื่องจากมีความรู้ และรับทราบข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุนนั่นเอง โดยได้กำหนดวัตถุประสงค์หลักสูตรไว้ครอบคลุม 4 ด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม การลงทุน และด้านการศึกษา หลักสูตรนี้ทางการลาวจะร่วมสนับสนุนทุกด้าน เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ เพื่อการพัฒนาคู่กันไป (มติชนรายวัน อังคารที่ 11 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th)
'จาตุรนต์' จี้มหาวิทยาลัยเลิกจัดสอบเอง สั่งทบวนการรับ นศ.หวังลดภาระเด็ก
นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การคัดเลือกบุคคลเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย ในระบบกลางการรับนิสิต นักศึกษา (แอดมิชชั่น) มีประเด็นที่ต้องมีการพิจารณาหารือร่วมกันเพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น เพราะแม้ว่าขณะนี้ระบบดังกล่าวจะเป็นการดำเนินการของมหาวิทยาลัย โดยใช้ผลการเรียนในห้องเรียนร่วมกับคะแนนทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) และคะแนนทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง (A-NET) รวมทั้งการรับตรงของมหาวิทยาลัยผสมผสานกันไป ซึ่งหวังว่าจะเป็นการส่งเสริมและให้ความสำคัญกับการเรียนการสอนในห้องเรียนมากขึ้น และลดปัญหาการกวดวิชาลง แต่สามารถแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากพบว่าบางคณะและบางมหาวิทยาลัยยังมีการสอบคัดเลือกกันเองอยู่ ซึ่งหากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต เพราะทำให้เด็กต้องเตรียมตัวสอบซ้ำซ้อน ทั้งในห้องเรียน เอเน็ต โอเน็ต และการสอบของมหาวิทยาลัย ทำให้ความสนใจการเรียนในห้องเรียนลดลง เพราะเด็กต้องไปเรียนกวดวิชา ส่งผลให้การปฏิรูปการเรียนการสอนที่กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการอยู่ ไม่ประสบผลสำเร็จอีก นอกจากนี้ การให้ เด็กตระเวนสอบในคณะและมหาวิทยาลัยที่ต้องการ เป็นภาระทั้งด้านเวลาและค่าใช้จ่าย จึงเป็นเรื่องที่ต้องรีบพิจารณาหาทางแก้ปัญหา โดยได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ประสานกับสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) และที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ร่วมกันพิจารณา ซึ่งตนอยากเห็นมหาวิทยาลัยลดหรือเลิกการสอบเอง หากจำเป็นต้องมีก็ให้น้อยที่สุด แล้วหันมาใช้ผลการเรียนบวกกับผลการสอบจาก สทศ. ศ. (พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา กล่าวกรณีนักเรียนเป็นห่วงเรื่องการให้เกรดของโรงเรียน ซึ่งบางแห่งอาจปล่อยเกรดเฟ้อ หรือบางแห่งกดเกรด ว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และ สกอ. ได้ศึกษาการให้เกรดของโรงเรียน ไม่ปรากฏว่ามีการปล่อยเกรด เมื่อผลการศึกษาวิจัยออกมายืนยันก็ต้องยอมรับข้อเท็จจริง ที่ผ่านมามีแต่พูดกันบนพื้นฐานของคำเล่าลือและหวาด ระแวง ส่วนปีนี้เดิม สกอ.จะใช้สูตรเพื่อปรับเกรดของโรงเรียนต่างๆ แต่สุดท้ายต้องยกเลิกไปนั้น เนื่องจากที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทยเห็นว่า หากมีการปรับลดเกรดของนักเรียน อาจถูกนักเรียนและผู้ปกครองฟ้องต่อศาลปกครองได้ เพราะเราไม่มีสิทธิไปปรับเกรดของเด็ก อย่างไรก็ตาม สกอ.จะมีการติดตามค่าความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนเฉลี่ยสะสม ม.ปลายหรือ จีพีเอ กับคะแนนโอเน็ตต่อไป. (ไทยรัฐ พุธที่ 12 เม.ย. 49 http://www.thairath.co.th)
ได้เวลาประกันคุณภาพมหา''ลัย
ผศ.ดร.จันทร์จิรา วงษ์ขมทอง อธิการบดีมหาวิทยาลัยคริสเตียน ในฐานะกรรมาธิการด้านการประกันและรับรองคุณภาพการศึกษา (Commission on Quality Assurance and Accreditation) ของสมาคมอธิการบดีนานาชาติ(International Association of University Presidents) หรือ IAUP เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะกรรมาธิการฯ ซึ่งมีตัวแทนจาก 10 ประเทศ ได้แก่ ไทย จีน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เดนมาร์ก เบลเยียม เยอรมนี ออสเตรีย และสหรัฐอเมริกา ได้มีการประชุมกันที่ประเทศเดนมาร์ก และมีข้อสรุปถึงการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการฯ ที่จะทำต่อไปคือ การประสานงานให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับการประกันและรับรองคุณภาพการศึกษาระดับอุดมศึกษาระหว่างมหาวิทยาลัยในภูมิภาคต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างมหาวิทยาลัยในสหภาพยุโรป (European Union) กับเอเชีย และสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้กิจกรรมเด่น ๆ ที่คณะกรรมาธิการฯได้ดำเนินการมาแล้ว ที่ประชุมก็เห็นว่าควรจะต้องดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่อง เช่น การเคลื่อนย้ายนักศึกษาระหว่างมหาวิทยาลัยในประเทศต่างๆ (Student Mobility) การกำหนดกรอบคุณวุฒิการศึกษา (Qualification Framework) หรือการสร้างความเข้าใจในระบบการศึกษาของมหาวิทยาลัยในภูมิภาคต่าง ๆ เป็นต้น รวมทั้งจะสนับสนุนให้เกิดการรวมกลุ่มด้านการประกันและรับรองคุณภาพการศึกษาขึ้นในภูมิภาคต่างๆ เพื่อก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับการประกันคุณภาพการศึกษา การรับรองคุณภาพหลักสูตรการศึกษา การแลกเปลี่ยนอาจารย์และนักศึกษา รวมทั้งคณะกรรมาธิการฯ จะส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยและการประกันคุณภาพการศึกษาของมหาวิทยาลัยผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (เดลินิวส์ พุธที่ 12 เม.ย. 49 http://www.dailynews.co.th)
แพทย์จุฬาฯเผยรับตรง พร้อมกสพท.12 เม.ย. ให้เลือก1แห่งไม่มีกั๊ก
เมื่อวันที่ 11 เม.ย.49 ศาสตราจารย์ นพ.อาวุธ ศรีศุกรี เลขาธิการกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย(กสพท.) เปิดแถลงข่าวเรื่องการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในหลักสูตรแพทยศาสตร์ ประจำปี 2549 ว่า เนื่องจากมีนักเรียนและผู้ปกครองจำนวนมากได้ติดต่อมาที่ กสพท.เพื่อขอให้ กสพท.ประกาศรายชื่อของผู้ที่มีสิทธิ์เข้าคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (จากการรับตรง) และผู้ที่สอบติดของ กสพท.ก่อน เพื่อจะได้รู้ว่าตนเองติดที่ใดบ้าง และจะได้มีโอกาสเลือกสถาบันที่ต้องการเข้าศึกษา ดังนั้นในวันที่ 12เม.ย.นี้ กสพท.จะประกาศผลเฉพาะเด็กที่มีชื่อซ้ำของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ที่รับตรง และของ กสพท. ผ่านเว็บไซต์ htt://www.si.mahido.ac.th และสถาบันที่ร่วมกับ กสพท. ทั้งนี้ ผู้ที่มีรายชื่อตามประกาศดังกล่าวจะต้องดาวน์โหลดแบบฟอร์มแสดงความจำนงเลือกคณะที่จะไปสัมภาษณ์ และส่งโทรสารกลับมายังหมายเลขที่ระบุ ภายในวันที่ 15 เม.ย.พร้อมทั้งส่งเอกสารตัวจริง มาทางไปรษณีย์ EMS ภายในวันที่ 17 เม.ย.ทั้งนี้นักเรียนจะต้องยืนยันเลือกเพียงสถาบันของ กสพท.หรือคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ทางใดทางหนึ่งเท่านั้น สำหรับผู้ที่ไม่มีรายชื่อจากการประกาศผลในวันที่12 เม.ย.ขอให้รอการประกาศผลอีกครั้งภายในวันที่ 18 เม.ย.นี้ อย่างไรก็ตามหากนักเรียนคนใดมีปัญหาผลคะแนนทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) และคะแนนทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง (A-NET) ไม่สมบูรณ์ สามารถตรวจสอบที่สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) และนำหนังสือรับรองมายื่นด้วยตนเอง ที่ตึกอดุลยเดชวิกรม ชั้น 6 คณะพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ภายในวันที่ 16 เม.ย.นี้ สำหรับผู้ที่มีรายชื่อสอบติดคณะแพทย์ฯ จะต้องมาตรวจร่างกายและยืนยันสิทธิ ในวันที่ 14 เม.ย.ภายในเวลา 12.00 น. และจะประกาศผลในวันที่ 16 เม.ย. ทั้งนี้หากนักเรียนมาตรวจร่างกายไม่ทัน หรือมีเหตุขัดข้องต้องรีบแจ้งมาที่จุฬาฯ โดยยืนยันเป็นเอกสารและขอรับการตรวจร่างกายได้วันที่ 16 เม.ย.49 (สยามรัฐรายวัน พุธที่ 12 เม.ย. 49 http://www.siamrath.co.th)
สจพ.รับป.ตรี"สมทบพิเศษ"
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมกล้าพระนครเหนือ (สจพ.) เปิดรับสมัครเข้าศึกษาต่อโครงการสมทบพิเศษ รอบ 2 ปีการศึกษา 2549 ระดับปริญญาตรี 3 ปี และ 4 ปี ระดับปริญญาตรีหลักสูตร 3 ปี คณะเทคโนโลยีและการจัดการอุตสาหกรรม (มีประสบการณ์ไม่น้อยกว่า 1 ปี) รับผู้สำเร็จการศึกษา ปวส.ทางช่างอุตสาหกรรม หรือเทียบเท่าระดับ ปริญญาตรีหลักสูตร 4 ปี รับผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลาย หรือเทียบเท่า และมีผลคะแนน O-NET และ A-NET ของสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เข้าศึกษาในสาขาวิชาต่างๆ ดังนี้ คณะวิทยาศาสตร์ประยุกต์, คณิตศาสตร์ประยุกต์, เทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม, เคมีอุตสาหกรรม, วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหาร, สถิติธุรกิจและการประกันภัย, เทคโนโลยีอุตสาหกรรมการเกษตร, ฟิสิกส์อุตสาหกรรมและอุปกรณ์การแพทย์, เทคโนโลยีชีวภาพ, วิทยาการคอมพิวเตอร์ประยุกต์ คณะวิศวกรรมศาสตร์, วิศวกรรมเคมี, วิศวโยธา คณะอุตสาหกรรมเกษตร, เทคโนโลยีอุตสาหกรรมและการจัดการ, พัฒนาผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมการเกษตร ขายใบสมัคร 24 เมษายน-6 พฤษภาคม ที่งานประชาสัมพันธ์ ชั้น 1 อาคารอเนกประสงค์ รับสมัคร 28 เมษายน-6 เมษายน เวลา 09.00-16.00 น. สอบถามรายละเอียดที่งานเอกสารและการพิมพ์ ชั้น 3 อาคาร 46 สพจ. โทร.0-2913-2500-24, 1129, 1139 (มติชนรายวัน พุธที่ 12 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th)
เด็กไทยคว้ารางวัลพิชิตโจทย์เลข หลักสูตร "ซากาโมโต้"
เด็ก 8 คนซึ่งเป็นตัวแทนประเทศไทยเดินทางไปร่วมแข่งขัน World Mathematics Competition 2006 ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ แข่งสู้กับเด็กจากอีก 5 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 1-6 เม.ย.มี่ผ่านมา ซึ่งผลปรากฏว่ามีเด็กไทย 1 คนติดกลุ่มผู้ทำคะแนนสูงสุดในการแข่งขันครั้งนี้ ทั้ง 8 คนผ่านการคัดเลือกจากสถาบันการเรียนการสอนคณิตศาสตร์หลักสูตรซากาโมโต้ (Sakamoto) ทั้ง 40 สาขาในประเทศไทย "ซากาโมโต้คือการเอาข้อมูลจากโจทย์มาวาดเป็นรูป" คุณคณิศร พัดสุวรรณ ผู้จัดการทั่วไปบริษัทเอ็ดดูเคชั่น เน็ตเวิร์ค ซึ่งนำหลักสูตรซากาโมโต้เข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย เล่าให้ฟังถึงหลักสูตรสัมพันธ์คณิตศาสตร์พิชิตโจทย์ Sakamoto Method จากประเทศญี่ปุ่น ก่อนจะเล่าต่อว่า เมื่อได้โจทย์เลขมาเราก็จะมาวาดเป็นรูปเพื่อคิดหาทางแก้โจทย์นั้น เหมือนวิธีการทำงานของชาวญี่ปุ่นเมื่ออธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ก็ให้วาดเป็นรูป เด็กจึงสนุกที่ได้วาดรูป เหมือนการแก้ปัญหาด้วยการเขียนเป็นสมการ แต่เด็กประถมยังไม่รู้จักสมการ กว่าจะได้เรียนก็ชั้น ป.6 ก่อนนั้นเราก็ใช้ไดอะแกรมเป็นการแก้ ถ้าเด็กมีพื้นฐานทางไดอะแกรมเขาก็จะมองภาพว่าจริงๆ แล้วสมการก็คือไดอะแกรม ด.ช.พชร เศวตมาลย์ อายุ 8 ขวบ ชั้น ป.2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายประถม) ซึ่งได้ 100 คะแนนเต็มในการแข่งขันในประเทศที่ผ่านมา และเป็นผู้คว้าใบประกาศนียบัตรในฐานะมีคะแนนติดกลุ่มผู้ทำคะแนนสูงสุดในการแข่งขันที่ประเทศฟิลิปปินส์ ด.ช.สิริภพ จิตมีศิลป์ วัย 8 ขวบ ชั้น ป.2 โรงเรียนเดียวกัน และยังได้ 100 คะแนนเต็มในการแข่งขันในประเทศเช่นกัน (ข่าวสด พุธที่ 12 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)
ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี
คนเก่งภาษาต้องมีมันสมองพิเศษ รูปพรรณสัณฐานต่างจากธรรมดา
ผู้ที่อยากจะรู้ว่าตนจะเรียนภาษาได้เก่งหรือไม่ ในวันหน้า อาจจะต้องไปให้หมอตรวจรูปร่างและโครงของสมอง เนื่องจากว่านักประสาทวิทยาศาสตร์พบว่าคนที่เก่งภาษาจะมีรูปพรรณสัณฐานสมอง ต่างจากคนธรรมดาสามัญแพทย์ประสาทวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยคอลเลจ ลอนดอน กล่าวเปิดเผยว่า ผู้ที่เก่งภาษาจะมีเนื้อสมองสีขาวแถวสมองส่วนซึ่งจัดการกับเสียงมาก และอาจจะมีขนาดใหญ่โตกว่าส่วนอื่น รายงานการศึกษาซึ่งเสนอในวารสารวิชาการ เปลือกสมอง กล่าวว่า ดร.นารี่ โกลสตานี่ แห่งสหรัฐฯ ผู้ร่วมศึกษาคนหนึ่ง กล่าวว่า เนื้อสมองสีขาวจะแทรกอยู่ตามส่วนที่เกี่ยวเชื่อมของสมองต่างๆ และปริมาณของมันที่มีมาก อาจจะส่อถึงสมรรถภาพในการจัดการกับเสียงที่สูงเหนือกว่าธรรมดา (ไทยรัฐ อังคารที่ 11 เม.ย. 49 http://www.thairath.co.th)
ประดิษฐ์อุปกรณ์ "กล่องดำ" ของรถยนต์ บันทึกภาพก่อน และหลังอุบัติเหตุ
บริษัทระบบวิศวกรรมแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ได้ประดิษฐ์อุปกรณ์ซึ่งเปรียบได้กับ กล่องดำ ให้กับรถยนต์ เพื่อบันทึกอุบัติเหตุต่างๆที่เกิดขึ้นเอาไว้เป็นหลักฐานอุปกรณ์มีขนาดเท่ากับฝ่ามือ ยาว 11 ซม. หนา 8 ซม. และหนัก 110 กรัม ใช้ติดอยู่ ที่กระจกหน้ารถ ซึ่งมีกล้องถ่ายภาพขนาดเล็กติดอยู่ จะเริ่มบันทึกภาพตั้งแต่ตอนช่วงก่อนหน้าจะเกิดอุบัติเหตุ 15 วินาที และหลังจากอุบัติเหตุแล้วอีก 5 วินาที แล้วจะเก็บรักษาไว้ในการ์ดหน่วยความจำ ซึ่งสามารถนำไปเล่นกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ บริษัทโฮริบา ไฮเทค เจ้าของผู้ประดิษฐ์ จะนำออกจำหน่ายในประเทศก่อน ตั้งราคาไว้เครื่องละประมาณ 1 หมื่นบาทเศษ (ไทยรัฐ อังคารที่ 11 เม.ย. 49 http://www.thairath.co.th)
บาร์โค้ด2มิติ...เทคโนโลยีทางเลือก
บาร์โค้ด 2 มิติจะมีลักษณะที่หลาก หลาย สามารถบรรจุข้อมูลได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน และบรรจุข้อมูลได้มากขึ้นถึง 4,000 ตัวอักษร มากกว่าบาร์โค้ดแบบ 1 มิติถึง 200 เท่า และสามารถอ่านได้หลายภาษา อาทิ อังกฤษ ญี่ปุ่น จีน และเกาหลี รวมทั้งอ่านและถอดรหัสบาร์โค้ดได้โดยใช้โทรศัพท์มือถือติดกล้องพีดีเอ และ โน้ตบุ๊กที่ติดตั้งโปรแกรมถอดรหัสไว้แล้ว โดยไม่จำกัดการถอดรหัสไว้เพียงเครื่องอ่านอย่างเดียว ที่สำคัญแม้บาร์โค้ดจะถูกทำลายเสียหายไปกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ก็ยังสามารถอ่านได้ ต่างกับบาร์โค้ดแบบ 1 มิติ ที่เพียงมีไอน้ำหรือบาร์โค้ดยับ เครื่องอ่านก็ไม่สามารถอ่านได้ แต่เทคโนโลยีก็ใช่จะมีแต่เรื่องดี เนื่องด้วยบาร์โค้ด 2 มิติสามารถดาวน์โหลดโปรแกรมเพื่อทำขึ้นใช้งานเองได้ ดังนั้นจึงมีคนสร้างบาร์โค้ดที่บรรจุชื่อเว็บไซต์เพื่อดาวน์โหลดไฟล์ของมัลแวร์ ดร.โกเมน พิบูลย์โรจน์ รักษา การผู้อำนวยการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อความมั่นคง ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอ นิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) กล่าวว่า การป้องกันภัยจากเทคโนโลยีบาร์โค้ด 2 มิติ ทำได้โดยดาวน์โหลดโปรแกรม ในการถอดรหัสจากผู้ให้บริการ หรือแหล่งที่น่าเชื่อถือ และปิดโปรแกรมถอดรหัสบาร์โค้ด 2 มิติทุกครั้งหลังใช้งานเสร็จ สำหรับประเทศไทยก็มีศูนย์ประสานงานการรักษาความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ประเทศไทย ซึ่งอยู่ภายใต้เนคเทคให้ความรู้เรื่องเทคโนโลยีบาร์โค้ด 2 มิติ ผู้ที่สนใจอยากลองใช้เทคโนโลยีบาร์โค้ด 2 มิติสามารถดาวน์โหลดโปรแกรมสำหรับอ่าน บาร์โค้ดด้วยโทรศัพท์มือถือได้ที่ http://www. activeprint.org/g/ เบื้องต้นโทรศัพท์มือถือรุ่นที่ใช้ได้มี โนเกีย 3650, 3660, 6600, 6670, 6680, 7610, 7650 และซีเมนส์ sx1. (เดลินิวส์ อังคารที่ 11 เม.ย. 49 http://www.dailynews.co.th)
เอไอเอสโชว์หุ่นยนต์แดนซ์ช่วงปิดเทอม
นายสมชัย เลิศสุทธิวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานธุรกิจบริการสื่อสารไร้สาย บริษัท แอดวานซ์อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า เพื่อเชื่อมโลกของเทคโนโลยีเข้ากับชีวิตประจำวัน เอไอเอสได้จัดกิจกรรม หุ่นยนต์เพื่อนรัก-Robot World ขึ้นที่ เอไอเอส ฟิวเจอร์ เวิลด์ ชั้น 4 สยามพารากอน โดยแสดงการเต้นเข้าจังหวะของหุ่นยนต์เลียนแบบมนุษย์ F4 ควบคุมและสั่งงานด้วยระบบโทรศัพท์มือถือ ซึ่งส่งตรงมาจากงาน ซีบิต 2006 งานแสดงเทคโนโลยีไฮเทคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ที่เมืองฮันโนเวอร์ ประเทศเยอรมนี นอกจากนี้ ยังแบ่งโซนจัดแสดงผลงานหุ่นยนต์จากฝีมือนักเรียนนักศึกษาหลากหลาย สถาบัน, เปิดเวิร์กช็อปสอนประดิษฐ์หุ่นยนต์ทำมือฟรีทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และจัดฉายภาพยนตร์แนว หุ่นยนต์ทุกวัน เวลา 17.00 น. ที่โรงภาพยนตร์ 360 องศา อาทิ Star wars ภาค 1-6, Terminator ภาค 1-3, Robots, Toy Story, I Robot และWar of the World ฯลฯ โดยกิจกรรมดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ 5 เม.ย.-28 พ.ค.นี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือจองเข้าร่วมกิจกรรมได้ที่เบอร์ 0-9200-9900 (เดลินิวส์ อังคารที่ 11 เม.ย. 49 http://www.dailynews.co.th)
สัตว์ดึกดำบรรพ์ผจญภาวะโลกร้อนมาแล้ว
จอห์น รอธ นักธรณีวิทยาสหรัฐ เล่าว่า นักธรณีวิทยาและนักบรรพชีวิน ต่างก็ลงความเห็นว่า เมื่อ 65 ล้านปีก่อน สมัยที่อุกกาบาตขนาดใหญ่พุ่งชนโลก ทำให้ไดโนเสาร์และสิ่งมีชีวิตกว่า 1 ใน 3 ของโลกสูญพันธุ์ ถือเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ แต่กลับเทียบไม่ติดกับวิบัติที่เกิดขึ้นเมื่อ 247 ล้านปีก่อน อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์ยังไม่แน่ใจว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนเมื่อ 247 ล้านปีที่แล้ว คาดว่าอุณหภูมิต่ำสุดน่าจะอยู่ที่ 37 องศาเซลเซียสตลอดทั้งปี และเป็นอยู่อย่างนี้เป็นพันๆ ปี นักวิทยาศาสตร์เพิ่งยอมรับเมื่อไม่นานมานี้ว่า แนวเส้นกราไฟต์เป็นหลักฐานสำคัญที่เป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน และมีลักษณะแตกต่างจากแนวเส้นกราไฟต์อื่นในถ้ำที่เกิดขึ้นราว 5 แสนปีที่ผ่านมา โดยภายในถ้ำแห่งนี้ได้ขุดพบฟอสซิลเสือจากัวร์อีกด้วย ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ผู้เชี่ยวชาญชาวแคนาดา บอกว่า มันมีอายุถึง 32,800 ปี รวมทั้งพบฟอสซิลหมีกริซสลีย์ที่มีอายุนับพันปี โดยทีมที่จัดทำแผนที่ภายในถ้ำ และยังมีพวกแมลงอีกครึ่งโหลที่ยังไม่ได้ระบุชนิด รวมทั้งชิ้นส่วนจากยุคน้ำแข็งก็พบที่นี่เช่นกัน (คมชัดลึก อังคารที่ 11 เม.ย. 49 http://www.komchadluek.net)
พบฟอสซิลรอยต่อสัตว์น้ำสัตว์บก
นักบรรพชีวินชาวอเมริกันขุดพบฟอสซิลสำคัญที่อาจช่วยอธิบายว่าสัตว์โลกดึกดำบรรพ์มีวิวัฒนาการจากสิ่งมีชีวิตในน้ำมาเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ก่อนที่จะกลายมาเป็นสัตว์บกเต็มตัว ฟอสซิลสัตว์พันธุ์ใหม่ที่เพิ่งถูกค้นพบนี้มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Tiktaalik roseae ซึ่ง Tiktaalik เป็นภาษาอินุกทิทุท ของชนพื้นเมืองแถบที่พบฟอสซิล แปลว่า ปลาน้ำตื้นขนาดใหญ่ ปลาชนิดนี้มีลักษณะก้ำกึ่งระหว่างปลากับจระเข้ คล้ายกับว่าเป็นปลามีขา มีกะโหลกยาว 20 เซนติเมตร รูปร่างแบน อาจมีความยาวลำตัว 1.25-2.75 เมตร ปกคลุมไปด้วยเกล็ดรูปเพชร สัตว์ชนิดนี้จึงเหมือนปลาที่เพิ่งจะมีกรามและครีบ แต่ว่ามีคอและกระดูกซี่ใครงแบบเทโทรพ็อด ส่วนที่นักวิทยาศาสตร์สนใจ คือ ข้อต่อในครีบอกของมัน มีกระดูกคล้ายกับแขนทั้งแขน และส่วนประกอบมือในยุคแรกของสัตว์บก ไม่ว่าจะเป็นหัวไหล่ ข้อศอก หรือแม้แต่ข้อมือ จากการตรวจสอบตะกอนดินที่พบในบริเวณเดียวกันนี้ พบว่ามีอายุ 375 ล้านปี ซึ่งอยู่ในยุคเดโวเนียน ยุคเริ่มแรกที่มีแต่หนองน้ำ อาร์ติกแคนาดาที่มีอากาศหนาวในปัจจุบัน ในยุคนั้นมันเป็นส่วนหนึ่งของทวีปขนาดใหญ่ที่คร่อมเส้นศูนย์สูตร นักวิจัยอีกรายกล่าวเสริมว่า พิจารณาจากโครงกระดูกของปลาบอกได้ว่า สิ่งมีชีวิตชนิดนี้สามารถพยุงร่างกายมันต้านทานแรงโน้มถ่วงของโลกได้ไม่ว่าจะอยู่ในน้ำตื้นหรือบนบก จึงถือเป็นตัวแทนของช่วงสำคัญในตอนต้นทางวิวัฒนาการของสัตว์มีแขนขาทุกชนิดที่รวมทั้งมนุษย์ด้วย (คมชัดลึก อังคารที่ 11 เม.ย. 49 http://www.komchadluek.net)
จุฬาฯโชว์เทคนิคใหม่ผ่าตัด แก้พาร์กินสันแห่งแรกในเอเชีย
เมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ รศ.นพ.รุ่งโรจน์ พิทยศิริ สาขาวิชาประสาทวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวภายในงานบรรยายทางวิชาการเรื่อง โรคพาร์กินสัน จัดโดยศูนย์รักษาโรคพาร์กินสันและกลุ่มความเคลื่อนไหวผิดปกติครบวงจร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ว่าปัจจุบันทางศูนย์มีการรักษาผู้ป่วยโรคพาร์กินสันโดยใช้เทคนิคใหม่ ประกอบกับการผ่าตัดที่ฝังสายอิเล็กโทรด (Deep Brain Stimulation : DBS) ในสมองส่วนที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว ให้ไปทำปฏิกิริยาด้วยการกระตุ้นไฟฟ้าในสมองส่วนนั้น เพื่อลดอาการแข็งเกร็ง สั่น หรือยุกยิกของผู้ป่วย โดยเทคนิคดังกล่าวเป็นการใช้เข็มหมุดเจาะบริเวณรอบๆ กะโหลกศีรษะ เพื่อพยุงให้ศีรษะทรงตัวได้ก่อนการผ่าตัด ข้อดีของรูปแบบใหม่ คือมีน้ำหนักเบา ลดระยะเวลาในการผ่าตัดจากเดิม 2-4 ชั่วโมง ผู้ป่วยเสียเลือดน้อย ช่วยลดอัตราเสี่ยงในผู้ป่วยที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างการผ่าตัด อีกทั้งยังฟื้นตัวได้เร็วประมาณ 1 สัปดาห์ ทั้งนี้ การผ่าตัดดังกล่าวโดยทั่วไปพบว่าผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นอย่างชัดเจนประมาณ 75-80% นอกจากนี้ ศูนย์ยังทำการวิจัยถึงผลิตภัณฑ์ไม้เท้าเลเซอร์เพื่อช่วยผู้ป่วยพาร์กินสัน ที่มีปัญหาเดินติดขัด โดยหลักการทำงานจะอาศัยความร่วมมือของผู้ป่วยในการกดปุ่มเพื่อยิงแสงเลเซอร์จากไม้เท้าขณะมีอาการเดินติดขัด โดยแสงจะมีลักษณะเป็นเส้นสีแดง วางขวางอยู่หน้าเท้าผู้ป่วย เพื่อเป็นตัวนำให้ผู้ป่วยก้าวข้ามและเริ่มเดินได้ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยดังกล่าวยังอยู่ในขั้นทดลองเพื่อพัฒนาให้ดีขึ้นและใช้ง่ายต่อไป (มติชนรายวัน อังคารที่ 11 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th)
อวดโฉมพันธุ์ไม้กินแมลง ครั้งแรกในไทย
ชมรมไม้กินแมลง* ร่วมกับ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ทาวน์ รัตนาธิเบศร์ จัดประกวดพันธุ์ไม้กินแมลง ครั้งแรกในประเทศไทย สำหรับผลการประกวดพันธุ์ไม้กินแมลงครั้งแรกในไทย มีผู้ชนะเลิศ 5 ประเภท ดังนี้ *มนัสสิริ โกวิททวีเกียรติ* ได้รับรางวัลประเภทสวยงามที่สุด ได้แก่ ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงสายพันธุ์ N.ampullaria hotlip *สัญญา มากสำลี* ได้รับถึง 2 รางวัล คือ ประเภทใหญ่สุด ได้แก่ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงสายพันธุ์ N.truncata พิจารณาจาก ลูกหม้อข้าวหม้อแกงลิง มีความสมบูรณ์เจริญเติบโตเต็มที่ และที่สำคัญคือใหญ่ที่สุดด้วยอีกรางวัลที่สัญญาได้รับ คือรางวัลประเภทเล็กสุด ได้แก่ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงสายพันธุ์ N.gracillis *ณพัทธ์ ปัณฑุกำพล* ได้รับรางวัลประเภทหายากสุด ได้แก่ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงสายพันธุ์ N.Viking *สุรศักดิ์ สังขกร* ได้รับรางวัลน่าสนใจสุด ได้แก่ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงสายพันธุ์ N.ampullaria spott พิจารณาจากภาพรวมของต้นไม้ ว่ามีความสมบูรณ์เจริญเติบโตเต็มที่และที่สำคัญคือ ได้สัดส่วนมีความสมดุลของต้นไม้ซ้ายขวา รูปใบ ได้สัดส่วนตลอดทั้งต้น ปิดท้ายด้วยคำแนะนำจาก *สุวรุณ ศุภวุฒิ* ประธานชมรมพันธุ์ไม้กินแมลง และ *สุดเขตร์ โรหิตรัตนะ* ที่ปรึกษาชมรมถึงเทคนิคการปลูกดูแลรักษาต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง ว่าเป็นต้นไม้ที่ชอบความร้อนชื้น แต่ไม่ถึงกับแดดจัดมาก ประมาณ 50% ก็พอ และถ้าอยากเห็นหม้อข้าวหม้อแกงลิงตามธรรมชาติ พบได้ตามป่าเขาหรือทุ่งหญ้า ลำธาร แต่ที่พบมากที่สุดจะอยู่ที่ป่าดงดิบทางภาคใต้ และตามหมู่เกาะต่างๆ (มติชนรายวัน อังคารที่ 11 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th)
พบดาวมฤตยูมีวงแหวนสีฟ้า
นักดาราศาสตร์พบดาวยูเรนัส หรือดาวที่คนไทยเรียกว่าดาวมฤตยู มีวงแหวนสีฟ้ารอบเหมือนดาวเสาร์ แต่ยังไม่รู้ว่าวงแหวนเกิดขึ้นได้อย่างไร หลังจากเปรียบเทียบภาพที่บันทึกด้วยกล้องโทรทรรศน์รังสีใกล้อินฟราเรดที่ตั้งอยู่ในฮาวายกับภาพที่ถ่ายด้วยกล้องโทรทรรศน์แบบเลนส์ของฮับเบิล นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าดาวยูเรนัสก็มีวงแหวนสีฟ้าเหมือนกับวงแหวนวงนอกของดาวเสาร์ และท้องฟ้าโลกที่เกิดจากอนุภาคขนาดเล็กทำให้เกิดการกระเจิงของแสง ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์มีความเห็นว่า การที่วงแหวนชั้นนอกของดาวเสาร์เป็นสีฟ้าเพราะไอพวยพุ่งมาจากดวงจันทร์เอ็นซีลาดัสที่โคจรอยู่รอบนอก เช่นเดียวกับดาวยูเรนัสที่มีวงแหวนสีฟ้าอยู่เหนือดวงจันทร์แมบ แต่เทียบกันแล้ว ดวงจันทร์แมบของยูเรนัสเล็กและเย็นเกินกว่าจะพ่นไอออกมาให้เป็นวงแหวนสว่างได้เหมือนกับดวงจันทร์ของดาวเสาร์ นักดาราศาสตร์จึงไม่คิดว่าวงแหวนสีฟ้าของดาวยูเรนัสเกิดจากละอองไอ แต่ยอมรับว่า ณ ตอนนี้ยังไม่รู้ว่ามีองค์ประกอบของอนุภาคเล็กอะไรอยู่บ้างที่ทำให้ยูเรนัสมีวงแหวนสีฟ้ารอบอยู่ อาจเป็นไปได้ว่าดวงจันทร์แมบอาจปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง เหมือนๆ กับดวงจันทร์ดวงอื่นของดาวยูเรนัส แต่น้ำแข็งเหล่านี้คงไม่ทำให้วงแหวนเป็นสีฟ้าได้ อย่างไรก็ดี สีฟ้าที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นวงแหวนของดาวเสาร์ หรือสีของท้องฟ้าโลกเป็นเพราะอนุภาคเล็กๆ เหมือนที่ทำให้แสงกระเจิงเป็นแสงสีฟ้า ทว่าวงแหวนของดาวเคราะห์ต่างๆ ในระบบสุริยจักรวาลโดยมากจะเป็นสีแดง เนื่องจากประกอบด้วยอนุภาคที่มีขนาดใหญ่กว่าทำให้สะท้อนแสงสีแดง และทำให้ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์ซึ่งใช้ลำแสงใกล้อินฟราเรดค้นหาวงแหวนจึงไม่พบวงแหวนสีฟ้านี้ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าดวงจันทร์แมบของยูเรนัสถูกดาวหางพุ่งชนจนเศษผิวหน้าของดวงจันทร์แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย โดยชิ้นที่ใหญ่ที่สุดยังอยู่ในวงโคจรของดวงจันทร์ แต่ในที่สุดแล้วก็จะหลุดออกไป ส่วนเศษชิ้นส่วนที่มีขนาดเล็กจะกลายเป็นวงแหวนขึ้นมา (คมชัดลึก พุธที่ 12 เม.ย. 49 http://www.komchadluek.net)
กระเบนชนิดใหม่ของโลกตั้งชื่อ"กิติพงษ์"
เมื่อวันที่ 11 เมษายน ดร.ชวลิต วิทยานนท์ ผู้เชี่ยวชาญปลาน้ำจืด องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลก สำนักงานประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ว่า ปี 2547 ได้รับมอบปลากระเบนน้ำจืด จากนายกิติพงษ์ จารุธานินทร์ นักเลี้ยงปลาสวยงาม นำไปตรวจสอบร่วมกับ ดร.ไทสัน โรเบิร์ต นักวิจัยอาสาสมัครของสถาบันสมิทโซเนียน เพื่อเปรียบเทียบกับปลากระเบนชนิดอื่นๆ แล้ว ได้ข้อสรุปว่า เป็นกระเบนน้ำจืดชนิดใหม่ของโลกจริงๆ และได้ตั้งชื่อว่า "กระเบนแม่กลอง Himantura kittipong" เพื่อเป็นเกียรติแก่ นายกิติพงษ์ ผู้พบตัวอย่าง ดร.ชวลิตกล่าวว่า การค้นพบครั้งนี้ได้ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารประวัติศาสตร์ธรรมชาติของสยามสมาคม เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา (มติชนรายวัน พุธที่ 12 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th)
แอลกอฮอล์อวกาศ
นักดาราศาสตร์นำโดย ดร.ลิซ่า ฮาร์เวย์-สมิธ ใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศโจเดรลล์ แบงก์ ในอังกฤษ ค้นพบกลุ่มเมฆ แอลกอฮอล์ ชนิด เมธานอล ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 463,000 ล้านกิโลเมตร ในเขต W3(OH) ของทางช้างเผือก นำเสนอในที่ประชุมราชสมาคมดาราศาสตร์อังกฤษ ในเมืองเลย์เชสเตอร์ อังกฤษ ว่าอะไรคือก๊าซเริ่มต้นในการก่อรูปร่างของดาวดวงใหญ่ กลุ่มก๊าซเมธานอลมีรูปร่างแบบสะพาน แต่มีส่วนคล้ายแสงเลเซอร์มากกว่า ซึ่งโมเลกุลในก๊าซดังกล่าวสั่นสะเทือนหลายล้านครั้ง การค้นพบใหม่สร้างความประหลาดใจให้ เพราะในอดีต นักดาราศาสตร์เคยคิดว่ากลุ่มที่ปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะมีรูปร่างเป็นแท่งหรือเป็นจุดสว่างขนาดเล็กมากล้อมรอบรัศมีที่เจือจาง ทั้งนี้ มีการค้นพบก๊าซเมธานอลครั้งแรกเมื่อปี 2547 (ข่าวสด พุธที่ 12 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)
ดิสนีย์บุกสำรวจดินแดน"หลังคาโลก"
ทีมนักวิทยาศาสตร์จากองค์กรอนุรักษ์นานาชาติจับมือกับแอนิมอล คิงดอมของดิสนีย์ได้ดำเนินโครงการสำรวจทางวิทยาศาสตร์ใน 6 เขตของทิเบตดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งพุทธศาสนา ที่ตั้งอยู่ในภูเขาทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนและเนปาล ทีมสำรวจได้พบกับพันธุ์พืชและสัตว์แปลกประหลาดหลายชนิด ลีแอนน์ อัลออนโซ นักวิทยาศาสตร์ผู้นำคณะสำรวจและรองประธานของโครงการประเมินค่าขององค์กรอนุรักษ์นานาชาติ บอกว่า พวกเขาได้พบสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ๆ อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่น่าเอื้อให้พืชและสัตว์ดำรงชีวิตอยู่ได้ และยังพบสิ่งมีชีวิตที่เหลืออยู่น้อยมากในโลกและใกล้สูญพันธุ์ เป็นจำนวนมาก ตัวอย่างสิ่งมีชีวิตแปลกๆ ที่พบ ได้แก่ แตนยักษ์ที่ชาวบ้านเรียกว่าเป็นนักฆ่าจามรี หนูมนุษย์หิมะจอมกระโดด ตั๊กแตนพันธุ์ใหม่ที่ตัวผู้จะขี่อยู่บนหลังตัวเมีย ลิงขนทองหน้าสีฟ้ากลุ่มลิงขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาค กระต่ายพิคาที่หน้าตาคล้ายหนูแฮมสเตอร์กินมูลตัวเอง กบชนิดใหม่ 2 ชนิด แมลงชนิดใหม่ 8 ชนิด มดชนิดใหม่อีก 10 ชนิดมาเพิ่มจำนวนมดที่รู้จักแล้วมากกว่า 11,000 ชนิด ผลที่ได้ทั้งหมดจากการสำรวจครั้งนี้จะส่งไปให้รัฐบาล นักวิทยาศาสตร์ และองค์กรทางด้านสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์หลายๆ กลุ่มเพื่อที่จะพัฒนาแผนการที่จะปกป้องสิ่งมีชีวิตหลายชนิดที่พบเฉพาะในเขตนี้ นักสำรวจบอกว่า ชุมชนที่อาศัยอยู่ในแถบนี้ซึ่งมีความเชื่อเกี่ยวกับ "ดินแดนศักดิ์สิทธิ์" ทำให้ชุมชุนช่วยกันปกป้องพืชและสัตว์ไม่ให้สูญพันธุ์ และยังแสดงถึงความสำคัญทางวัฒนธรรมที่เป็นส่วนสำคัญในการอนุรักษ์ธรรมชาติ (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 13 เม.ย. 49 http://www.komchadluek.net)
เฉลยคำตอบ "ทำไมพื้นดินสีน้ำตาล"
เมื่อมองจากอวกาศ เราจะเห็นโลกเป็นสีฟ้า แต่เมื่อเรามองโลกจากพื้นดินที่เรายืนอยู่ เราจะพบว่ามันเป็นสีน้ำตาล แล้วสีน้ำตาลนี้มาจากไหน สตีเฟน แอลไลสัน นักนิเวศวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียพบคำตอบแล้ว คำตอบคือ มันมาจากพืชสีเขียวนั่นเอง เพราะเมื่อพืชเฉาแล้วตาย ใบไม้และกิ่งก้านที่ร่วงโรยจะกลายเป็นแหล่งของคาร์บอนในดิน จากนั้นสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ในดินจำพวกจุลชีพก็จะเริ่มปฏิบัติการย่อยสลายพืชที่ตายแล้วด้วยน้ำย่อยที่จำเพาะ มันจะตัดซากพืชจนได้เศษที่มีขนาดเล็กพอสำหรับเป็นอาหารของจุลชีพ โดยจุลชีพที่หิวโหยจะจัดการกับเศษพืชที่เป็นแหล่งคาร์บอนของมัน พร้อมยังดึงเอาแร่ธาตุต่างๆ ในดินกินเข้าไปด้วย มันจึงมีงานเยอะมาก มีซากพืชให้ย่อยเยอะมากจนกระทั่งมันไม่สามารถจัดการกับซากพืชได้เสร็จทั้งหมด แอลไลสัน บอกว่า จุลชีพพวกนี้ไม่สามารถจัดการกับพวกซากพืชจนเสร็จสมบูรณ์ได้ทั้งหมด เลยยังมีคาร์บอนบางส่วนที่ไม่ถูกจุลชีพกินเข้าไป แล้วยังมีคาร์บอนจากตัวมันอีก เมื่อมันตาย คาร์บอนก็จะสะสมในดิน คล้ายกับเป็นวัฏจักร ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีคาร์บอนเหลืออยู่ในสิ่งแวดล้อม ยิ่งเวลาผ่านไปก็จะยิ่งถูกเก็บสะสมขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมาทับถมกองรวมกันหลายพันปีก็จะกลายเป็นฮิวมัส เป็นผืนคาร์บอนที่ได้จากจุลชีพมาปกคลุมพื้นโลก ทำให้พื้นโลกมีสีน้ำตาลที่ดูสกปรกนั่นเอง นี่ก็เป็นเพราะคาร์บอนดูดกลืนแสงจากดวงอาทิตย์ทั้งหมด สะท้อนแต่สีน้ำตาลออกมาเข้าตาเรา ทำให้เราเห็นพื้นดินเป็นสีน้ำตาลแต่ไม่เห็นสีอื่น เพราะสีอื่นถูกคาร์บอนดูดกลืนไว้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกพื้นที่ของโลกจะมีแต่สีน้ำตาลอย่างเดียว บางทะเลทรายมีผืนทรายสีขาว ดินที่ฮาวายก็มีสีออกแดงๆ เป็นแต้มๆ เพราะมีปริมาณเหล็กในดินมาก เมื่อขุดดินลึกลงไปอีก ลึกกว่าชั้นผิวสีน้ำตาลนี้ก็จะพบสีอื่นๆ อยู่ข้างใต้ ดังนั้นถ้าไม่มีปริมาณคาร์บอนในดินมากพอ ดินก็อาจมีสีเหลือง แดง และเทา ตามสีขององค์ประกอบของดิน (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 13 เม.ย. 49 http://www.komchadluek.net)
จีนปลูกใบหน้าคนไข้รายแรก
หนังสือพิมพ์ไชน่าเดลี่ของจีนรายงานเมื่อ 15 เม.ย. ว่าคณะแพทย์จีนประสบความสำเร็จในการผ่าตัดปลูกถ่ายใบหน้ามนุษย์เป็นรายแรกของประเทศ และรายที่สองของโลกต่อจากกรณีของฝรั่งเศส คนไข้ของจีนชื่อนายหลี่ กัวะซิง วัย 30 ปี ถูกหมีดำทำร้ายเมื่อ 2 ปีก่อน ทางตอนใต้ของมณฑลยูนนานจนใบหน้าเป็นแผลฉกรรจ์ และได้รับความช่วยเหลือจากองค์กรอาสาสมัครให้ผ่าตัดที่โรงพยาบาลซิจิง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลทหารในมณฑลซีอาน ผ่าตัดทำศัลยกรรมใบหน้าที่บริเวณคาง ริมฝีปากบน จมูก คิ้ว โดยได้รับบริจาคอวัยวะจากคนไข้ชายสมองตายรายหนึ่ง ทีมแพทย์ใช้เวลาเกือบ 14 ชั่วโมง ตั้งแต่วันพฤหัสบดีจนเสร็จสิ้นในเช้าวันศุกร์ในการผ่าตัดใบหน้าซีกขวาที่เสียโฉมไป 2 ใน 3 ของใบหน้าทั้งหมด น.พ.หาน หยาน รองผู้อำนวยการแผนกศัลยกรรมพลาสติก กล่าวว่า การผ่าตัดประสบความสำเร็จ และโรงพยาบาลไม่ได้คิดค่าใช้จ่ายใดๆ เพราะคนไข้มีฐานะยากจน ขณะนี้คนไข้มีอาการดีแล้ว คาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกหนึ่งสัปดาห์กว่าแผลจะหายดี แต่นายหลี่คงต้องใช้เวลาอีก 6 เดือนในการฟื้นฟูสภาพจิตใจหลังการผ่าตัดใบหน้าใหม่และปัญหาจริยธรรมด้วย นอกจากนี้ น.พ.หานยังเผยด้วยว่าการผ่าตัดครั้งนี้ซับซ้อนกว่าการผ่าตัดใบหน้าคนไข้หญิงที่ถูกสุนัขทำให้เสียโฉมในฝรั่งเศสเมื่อเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา (ข่าวสด อาทิตย์ที่ 16 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)
ข่าววิจัย/พัฒนา
วิจัยข่า...ใช้ต้านผิวหนังสัตว์พัฒนาตำราโบราณคุณสมบัติออกมาดี..
ผศ.การันต์ ชีพนุรัตน์ และอาจารย์ไฉน น้อยแสง 2 นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี วิทยาเขตปทุมธานี ได้นำเอาข่าอันเป็นทั้งอาหาร และสมุนไพรเป็นวัตถุดิบในการต้านเชื้อแบคทีเรียทำให้ เกิดโรคผิวหนังในสัตว์ได้เป็นผลสำเร็จ ได้มุ่งถึงประสิทธิภาพในการต้านเชื้อแบคทีเรียในสัตว์ เพราะโรคผิวหนังอักเสบในสัตว์ที่เกิดจากแบคทีเรียส่วนมากเกิดจากกลุ่ม Staphylococcus spp และมีการตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะน้อย โดยเฉพาะ กลุ่ม ยาเพนนิซิลิน ซึ่งก็ล้วนแต่เป็นสารเคมี อันจะเป็นอันตรายต่อสัตว์ซึ่งทำให้เกิดการแพ้ยาได้ และหากมีการใช้ยาเป็นระยะเวลานานๆแล้วยังเกิดปัญหาการดื้อยา และยาเหล่านี้จะใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป ทำให้ต้องเปลี่ยนยาตัวอื่นซึ่งมีผลการรักษาดีกว่า...หรือต้องเพิ่มปริมาณ ตัวยาเดิมให้มากขึ้น หรือใช้ระยะเวลาในการรักษานานขึ้น ด้วยเหตุผลนี้เองจึงได้หันมาวิจัยประสิทธิภาพของ ข่าจากตำรับยาไทยแผนโบราณที่เข้าเครื่องยารักษาผิวหนังอักเสบจากแบคทีเรีย และโรคผิวหนังจากเชื้อรา เอามาเป็นต้นแบบในการทำวิจัย ขั้นตอนการวิจัยนี้ได้สกัดสาร ละลายชนิดต่างๆเพื่อที่จะทราบว่า ชนิดใดจะมีประสิทธิภาพในการต้านเชื้อแบคทีเรีย Staphylococusaureus, Pseudomonas aeruginosa และ Escherichia coli จึงได้ นำสารละลาย 4 ชนิด คือ เฮกเซน, โคลโรฟอร์ม, เอทิลอะซิเตท และเมทานอล ที่ระดับความเข้มข้น 160 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร โดยวิธี Agar well diffusion มาทดลองทำลายและสกัดการเจริญเติบโตของเชื้อดังกล่าว ก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า สารสกัดข่าที่สกัดด้วยตัวทำ ละลายโคลโรฟอร์ม และ เอทิลอะซิเตท มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรียทั้ง 3 ชนิดได้ดีกว่าสารสกัดข่าที่สกัดด้วยตัวทำละลายเฮกเซน และเมทานอล ในการวิจัยนี้เป็นการวิจัยเบื้องต้นเพื่อให้ทราบถึง ประสิทธิภาพในการต้านเชื้อแบคทีเรียในผิวหนังสัตว์เท่านั้น ส่วนการพัฒนาเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ ยังอยู่ในขั้นศึกษา คาดว่าอีกไม่นานเราน่าจะมียาต้านเชื้อแบคทีเรียจาก ข่า ที่มาจากสวนของเกษตรกรไทยอย่างแน่นอน (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 10 เม.ย. 49 http://www.thairath.co.th)
น้ำยางพาราทำครีมผิวขาว ศูนย์ทีเซลส์แจกทุนทดสอบในคนลุ้น1ปีรู้ผล
นายแพทย์ธงชัย ทวิชาชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ของประเทศไทย (ทีเซลส์) เปิดเผยว่า ศูนย์ทีเซลส์ได้สนับสนุนทุนวิจัย 5 ล้านบาทให้ รศ.ดร.รพีพรรณ วิทิตสุวรรณกุล อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สำหรับดำเนินโครงการวิจัยครีมหน้าขาวจากน้ำยางพาราในระยะเวลา 1 ปี ซึ่งจะเป็นการทดสอบขั้นตอนสุดท้ายถึงคุณสมบัติของครีมในคน ผู้รับทุนใช้เวลาประมาณ 20 ปีศึกษายางพาราในประเด็นต่างๆ รวมถึงโปรตีนในน้ำยางพารา และหนึ่งในความรู้ที่ค้นพบคือ หลังจากปั่นน้ำยางพาราด้วยเครื่องปั่นความเร็วรอบสูงในระบบสุญญากาศ จะได้โปรตีนหลายชนิด ซึ่งซ้อนกันอยู่เป็นชั้นๆ และมีคุณสมบัติแตกต่างกัน เมื่อนำโปรตีนเหล่านั้นมาผ่านกระบวนการชีวเคมี สามารถนำไปสู่การพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ยาโรคข้ออักเสบ ยาฆ่าเชื้อรา ผลิตภัณฑ์หมากฝรั่งและกาว รวมถึงเครื่องสำอางที่ทำให้ผิวขาวขึ้นได้ด้วย โดยกลุ่มโปรตีนขนาดเล็กกลุ่มหนึ่งที่พบในน้ำยางพารา มีคุณสมบัติยับยั้งการทำงานเอนไซม์ ตัวการควบคุมเซลล์ใต้ผิวหนังกำพร้าผลิตเม็ดสี ที่ทำให้ผิวหนังดำและหมองคล้ำ รวมทั้งยังชะลอการเจริญเติบโตของรูขุมขนอีกด้วย ในการวิจัยจะดำเนินการกับสัตว์ทดลองก่อน เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพในน้ำยาง ว่ามีฤทธิ์ทำให้ผิวขาวได้มากน้อยเพียงใดและปลอดภัยสำหรับใช้ในคนหรือไม่ หากขั้นตอนการวิจัยในสัตว์ไม่พบอันตราย จึงจะดำเนินการวิจัยในคน โดยอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจ้างมหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งมีหน่วยงานให้บริการทดสอบด้านเวชสำอาง ให้ทำการทดสอบในคน (คมชัดลึก จันทร์ที่ 10 เม.ย. 49 http://www.komchadluek.net)
สหรัฐทำกระเพาะปัสสาวะเทียมสำเร็จ
นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างอวัยวะที่มีความซับซ้อน อย่างกระเพาะปัสสาวะขึ้นใหม่ให้ผู้ป่วย 7 ราย โดยใช้เนื้อเยื่อของคนไข้เอง จนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนคนทั่วไป ศัลยแพทย์ด้านเปลี่ยนถ่ายอวัยวะจากศูนย์แพทย์ซูนี-ดาวน์สเตทในนิวยอร์ก กล่าวชื่นชมว่า เป็นความสำเร็จในการใช้เทคนิควิศวกรรมเนื้อเยื่อ มาพัฒนาเซลล์ใหม่ แทนการรออวัยวะบริจาคที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์สามารถปลูกถ่ายเซลล์ผิวหนัง และไขกระดูกเป็นผลสำเร็จมาแล้วก็ตาม แต่สำหรับอวัยวะที่มีการทำงานที่ซับซ้อนอย่างกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งต้องทำงานร่วมกับกล้ามเนื้อและระบบประสาทสั่งการอัตโนมัติ ถือว่าเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญทางการแพทย์ เทคนิคใหม่นี้ นักวิทยาศาสตร์ใช้เนื้อเยื่อกระเพาะปัสสาวะที่ไม่ติดเชื้อจากผู้ป่วย มาสร้างเนื้อเยื่อกระเพาะปัสสาวะขึ้นมาใหม่ เพื่อนำไปแทนที่เนื้อเยื่อที่ติดเชื้อและเป็นแผล โดยนำเซลล์มาเลี้ยงจนมีปริมาณมากพอ จากนั้นก็จะนำมาเพาะเลี้ยงบนแม่แบบที่มีรูปร่างเหมือนกระเพาะปัสสาวะ แล้วให้มันโตอยู่ในนี้ 7 สัปดาห์ จนได้เซลล์จำนวน 1,500 ล้านเซลล์ จึงนำแบบพิมพ์ที่มีเนื้อเยื่อไปปะติดกับกระเพาะปัสสาวะที่เหลือของคนไข้ ท้ายสุดเนื้อเยื่อจะแทรกเข้าไปรวมตัว เป็นการสร้างกระเพาะปัสสาวะขึ้นมาใหม่ วิธีดังกล่าวดีกว่าการนำกระเพาะปัสสาวะจากผู้บริจาคทั้งอัน มาปลูกถ่าย ซึ่งอาจมีปัญหาในการต่อเข้ากับท่อปัสสาวะ หลอดเลือดและระบบประสาท รายงานระบุว่ากระเพาะปัสสาวะใบใหม่นี้ สามารถเก็บปัสสาวะและยืดหยุ่นดีขึ้นกว่าเดิมถึง 3 เท่า และผู้ป่วยที่ร่วมในการศึกษามีการทำงานของไตเป็นปกติ แม้ว่าผู้ป่วยยังคงต้องใช้ท่อเจาะเพื่อระบายปัสสาวะอยู่เป็นประจำ แต่ก็สามารถอั้นไว้ไม่ให้เล็ดราดได้ (คมชัดลึก จันทร์ที่ 10 เม.ย. 49 http://www.komchadluek.net)
ควันบุหรี่หลงยังคงมีฤทธิ์มีเดช ทำให้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน
วารสารการแพทย์อังกฤษฉบับออนไลน์ เผยแพร่ผลการศึกษาชายและหญิง 4,500 กว่าคน ในเมืองเบอร์มิงแฮม นครชิคาโก เมืองมินเนอาโปลิส และเมืองโอกแลนด์ เป็นเวลา 15 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2528 พบว่า ร้อยละ 22 ของอาสาสมัครที่สูบบุหรี่ ร่างกายยุติการผลิตอินซูลิน ที่ทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด อันเป็นสัญญาณเตือนของการเป็นเบาหวาน ส่วนอาสาสมัครที่ไม่สูบบุหรี่แต่ ได้รับควันบุหรี่หลงจากผู้อื่น เกิดปัญหานี้ร้อยละ 17 ขณะที่อาสา สมัครที่ไม่สูบบุหรี่ และไม่ได้รับควันบุหรี่ จากผู้อื่น เกิดปัญหานี้ไม่ถึงร้อยละ 12 คณะนักวิจัยจากศูนย์การแพทย์ทหาร ผ่านศึกเบอร์มิงแฮมที่ ทำการศึกษานี้สันนิษฐานว่า สารพิษจากควันบุหรี่อาจเข้าไปสะสมในตับอ่อนที่มีหน้าที่ผลิตอินซูลิน แต่ออกตัวว่าต้องทำการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อยืนยันอีกครั้งวงการแพทย์ระบุ เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2535 ว่า การสูบบุหรี่มือสองเป็นอันตรายต่อสุขภาพ มีส่วนทำให้เป็นโรคหัวใจ และมะเร็ง แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผลการศึกษาชี้ว่าอาจทำให้เป็นเบาหวานด้วย การสูบบุหรี่มือสองอาจได้รับสารพิษมากกว่าที่คาดกันไว้ เนื่องจากควันบุหรี่ที่พ่นออกมามีอุณหภูมิต่ำกว่าควันบุหรี่ที่ผู้สูบได้รับเข้าไปโดยตรง ทำให้สารพิษบางอย่างไม่เจือจางไป. (ไทยรัฐ อังคารที่ 11 เม.ย. 49 http://www.thairath.co.th)
ไทยจับมือญี่ปุ่นทดลองนอกโลก รับสมัคร นร.ส่งโครงการเลี้ยงพืชในอวกาศ
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จับมือญี่ปุ่นทำการทดลองในอวกาศ ศึกษายีนเชื้อแบคทีเรียปูทางผลิตยาราคาถูก และทดลองปลูกพืชในขวด สังเกตการณ์การเจริญโตในภาวะไร้แรงโน้มถ่วง เตรียมประกาศรับสมัครโครงการของนักเรียนทั่วประเทศ ทีมชนะเลิศจะถูกส่งไปวิจัยร่วมกับสถานีอวกาศนานาชาติ ดร.สวัสดิ์ ตันติพันธุ์วดี รองผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า เนื่องจากสำนักงานสำรวจอวกาศแห่งประเทศญี่ปุ่นมีโครงการส่งยานอวกาศขึ้นไปยังสถานีอวกาศนานาชาติที่อยู่ เพื่อติดตั้งห้องทดลองนานาชาติ (JEM) สำหรับวิจัยสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง และสำนักงานอวกาศแห่งประเทศญี่ปุ่นได้ติดต่อมายัง สวทช. ให้เสนองานวิจัยของประเทศไทยเข้าร่วมกับโครงการครั้งนี้ด้วย สวทช.กำลังพิจารณาการศึกษา 2 โครงการ ที่จะเสนอเข้าร่วมกับปฏิบัติการทดลองทางวิทยาศาสตร์นอกโลกกับประเทศญี่ปุ่น โดยโครงการแรกเป็นการวิจัยเกี่ยวกับเชื้อแบคทีเรีย สเตรปโตไมซิส ซึ่งโดยทั่วไปในทางการแพทย์จะนำมาผลิตเป็นยาปฏิชีวนะ แต่ยังไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้มากพอที่ทำให้ยามีราคาถูกลง แต่หากสามารถศึกษาวิธีทำให้เชื้อแบคทีเรียเติบโตได้จำนวนมาก โดยเฉพาะการศึกษาพันธุกรรมของแบคทีเรีย จะช่วยให้สามารถผลิตเป็นยาปฏิชีวนะปริมาณมากได้ อีกโครงการหนึ่งเป็นงานวิจัยเกี่ยวกับการปลูกพืชในขวด ซึ่งจะทดลองปลูกพืชที่สามารถรับประทาน โดยจะเลือกพืชที่ออกดอกและให้กลิ่นเพื่อนำขึ้นไปทดลองในอวกาศ ดร.สวัสดิ์ บอกว่า ในส่วนการศึกษาในโครงการนี้ ทาง สวทช.จะเปิดโอกาสให้นักเรียนจำนวน 1 พัน คนจาก 100 โรงเรียน แข่งขันออกแบบชุดทดลองเพาะเลี้ยงพืช โดยนักเรียนจะเป็นผู้คิดออกแบบชุดทดลองและคัดเลือกพืชที่นำมาเพาะเลี้ยง หากทีมจากโรงเรียนใดชนะการแข่งขัน ทาง สวทช.ก็จะสร้างชุดทดลองของทีมนั้นขึ้นมาอีก 1 ชุด แล้วนำไปเพาะเลี้ยงบนสถานีอวกาศนานาชาติ พร้อมกับยานอวกาศของประเทศญี่ปุ่น และจะมีการถ่ายภาพพืชที่นำไปทดลองในอวกาศทุกสัปดาห์แล้วส่งภาพนั้นมายัง สวทช. เพื่อติดตามผลการทดลองและการเจริญเติบโตของพืช (คมชัดลึก อังคารที่ 11 เม.ย. 49 http://www.komchadluek.net)
อุปกรณ์นับรถบนถนนแก้จราจรติดขัด
นักวิจัยไทยจึงออกแบบอุปกรณ์นับจำนวนรถแบบไร้สาย เพื่อความแม่นยำของข้อมูลและปกป้องเจ้าหน้าที่จากควันพิษรถยนต์ด้วย นายจตุพร ชินรุ่งเรือง นักวิจัยงานประมวลผลสัญญาณโทรคมนาคม ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีโทรคมนาคม ศูนย์อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค/ สวทช.) เปิดเผยว่า เครือข่ายเซ็นเซอร์ไร้สายสำหรับงานตรวจนับรถยนต์ ผลงานที่เนคเทคพัฒนาขึ้นนี้ จะช่วยให้ได้ข้อมูลจำนวนรถที่ถูกต้อง สำหรับนำมาจัดการวางแผนการจราจร สัญญาณไฟให้สัมพันธ์กับช่วงเวลาและปริมาณของรถ แทนการใช้แรงงานคนในการปฏิบัติหน้าที่ตลอดทั้งวัน ในการพัฒนาเครื่องนับรถนี้ เริ่มจากการศึกษาข้อดีและข้อด้อยของอุปกรณ์ตรวจนับรถยนต์ที่มีอยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น ระบบตรวจสอบท่อลม ระบบขดลวดเหนี่ยวนำ และการใช้กล้องวงจรปิด ซึ่งอุปกรณ์แต่ละชนิดพบข้อเสียที่แตกต่างกันไป โดยเฉพาะเรื่องความยุ่งยากในการติดตั้ง ที่จะต้องขุดเจาะถนน แถมยังมีค่าบำรุงรักษาอีกด้วย ขณะที่เครือข่ายเซ็นเซอร์ของเนคเทค สามารถทำงานได้แม่นยำ ไม่ยุ่งยาก โดยตัวเครื่องมีลักษณะเป็นกล่องขนาดเล็ก ภายในติดตั้งเซ็นเซอร์แสงอินฟราเรด สำหรับตรวจวัตถุที่เคลื่อนผ่าน ดังนั้น เมื่อรถวิ่งผ่านเซ็นเซอร์ในความเร็วไม่เกิน 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เซ็นเซอร์แสงก็จะตรวจจับและประมวลผล จากนั้นจะแสดงจำนวนตัวเลขผ่านหน้าจอแอลซีดีบนตัวเครื่อง เมื่อจำนวนข้อมูลครบตามที่ตั้งค่าไว้ ข้อมูลจะถูกส่งผ่านคลื่นวิทยุไปยังระบบคอมพิวเตอร์แม่ข่าย เพื่อรวบรวมข้อมูลก่อนวางแผนการจราจรในบริเวณนั้นได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว ขณะที่ประสิทธิภาพการตรวจนับรถยนต์แม่นยำถึง 90% จากผลการทดสอบใช้งานจริง (คมชัดลึก อังคารที่ 11 เม.ย. 49 http://www.komchadluek.net)
เครื่องตรวจสารพิษในพืชผัก นวัตกรรมใหม่เพื่อ "สุขภาพ"
ความพยายามในการคิดค้นชุดตรวจสารพิษตกค้างในร่างกายมนุษย์และผลผลิตการเกษตรของคณาจารย์จากคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยการนำของ ดร.ธนะชัย พันธ์เกษมสุข อาจารย์ประจำภาควิชาพืชสวน นอกจากราคาจะถูก ช่วยผู้บริโภคมั่นใจพืชผักว่าปลอดภัยปราศจากอันตรายแล้ว เกษตรกรยังตรวจสอบสารพิษก่อนเก็บเกี่ยวได้ด้วยตนเอง ได้รับการสนับสนุนเงินทุนและอุปกรณ์การวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ทั้งนี้คณะวิจัยใช้เวลาในการคิดค้นประมาณ 1 ปี ใช้เงินทุนวิจัย 1 แสนบาท โดยชุดตรวจสอบนี้ใช้ง่าย เกษตรกรสามารถใช้ได้ด้วยตนเองและยังใช้ได้ดีในสารกำจัดศัตรูพืชโดยเฉพาะในกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต คาร์บาเมต และอะบาเม็กติน และผักใบเขียวจะให้ผลที่แม่นยำชัดเจน สำหรับชุดตรวจ ประกอบไปด้วย น้ำยาทดสอบ 3 ชนิดได้แก่น้ำยาเบอร์ 1 เบอร์ 2 และน้ำยาเบอร์ 3 โดยได้ตั้งชื่อว่าชุดตรวจทีวีคิท (TV KIT) วิธีการใช้ต้องนำผักที่จะมาตรวจหั่นให้ละเอียด 10 กรัม นำมาใส่ขวดแล้วจึงใส่น้ำยาสกัดเบอร์ 1 20 ซีซี เขย่านาน 5 นาที จากนั้นจึงกรองเอาเศษผักออก นำน้ำที่ผ่านการกรองเศษแล้วจำนวน 1 ซีซี มาใส่หลอดทดลองแล้วหยดน้ำยาเบอร์ 1 ลงจำนวน 2 หยด และเบอร์ 2 จำนวน 2 หยด ก่อนนำไปแช่ในน้ำเดือดนาน 5 นาที จากนั้นหยดน้ำยาเบอร์ 3 ปริมาณ 1 ซีซี หากมีสารกำจัดศัตรูพืชตกค้างจะมีสีม่วงแดง หากไม่พบสารตกค้างจะมีลักษณะใส ซึ่งเกษตรกรสามารถชะลอการเก็บเกี่ยวเพื่อรอให้สารตกค้างหมดไปก่อนได้ ราคาชุดละ 800 บาท สามารถใช้ตรวจได้ 40 ตัวอย่าง และมีอายุ 1 ปี หากไม่มีการผสม และ 7 วัน หากผสมน้ำยาไว้แล้วการนำชุดตรวจทีวีคิท (TV KIT) ไปใช้งานจะมีความแม่นยำกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ และราคาถูกกว่าชุดตรวจชนิดอื่นที่มีอยู่ในท้องตลาด แต่ด้านการนำไปผลิตเชิงพาณิชย์ต้องสงวนไว้ก่อน และได้จดสิทธิบัตรไว้แล้ว ผู้สนใจติดต่อได้โดยตรงที่คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (คมชัดลึก อังคารที่ 11 เม.ย. 49 http://www.komchadluek.net)
ไทยเจ๋ง พัฒนา...ระบบบำบัดนำเสียประสิทธิภาพสูง ใช้จุลินทรีย์สร้างก๊าซชีวภาพ
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ซึ่งจับมือร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) นำระบบบำบัดน้ำเสียเพื่อผลิตก๊าซชีวภาพมาใช้ในโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลัง โดยผ่านการวิจัยและพัฒนามานาน เกิดระบบที่เหมาะสม มีประสิทธิภาพมากที่สุดจนได้ระบบบำบัดน้ำเสียแบบไร้อากาศในบ่อปิด เรียก "ระบบบำบัดแบบตรึงฟิล์มจุลินทรีย์ชนิดไร้อากาศ" หรือ Anerobic Fixed Film Reactor : AFFR ที่แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ดี ทั้งเรื่องคุณภาพน้ำและกลิ่น ทั้งใช้พื้นที่น้อยกว่าระบบบ่อเปิด ที่สำคัญ มีผลพลอยได้เป็นก๊าซชีวภาพ นำมาใช้เป็นพลังงานทดแทนน้ำมันเตา ทำให้คุ้มค่าต่อการลงทุน ลดภาระต้นทุนจากเชื้อเพลิงในภาวะวิกฤตน้ำมันแพง และแนวโน้มปัญหาพลังงานในอนาคต ดร.อรรณพ นพรัพน์ นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี บอกว่า การพัฒนาระบบบำบัดแบบตรึงฟิล์มจุลินทรีย์ชนิดไร้อากาศนี้ พัฒนาขึ้นจนมีคุณสมบัติเหมาะกับการบำบัดน้ำเสียจากโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลัง ใช้หลักการตรึงเซลล์จุลินทรีย์ไว้บนผิววัสดุตัวกลางที่เป็นตาข่าย ทำให้กักเก็บจุลินทรีย์ให้อยู่ในระบบได้เป็นระยะเวลานาน มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดของเสีย 80% ใช้กับน้ำเสียที่มีสารแขวนลอยสูง โดยไม่ต้องปรับสภาพน้ำเสียก่อนเข้าระบบ ทุ่นค่าสารเคมีและการดูแลไม่ซับซ้อน ที่สำคัญเป็นเทคโนโลยีที่คิดค้นและพัฒนาขึ้นเองในประเทศ ระบบข้างต้นมีการถ่ายทอดและพัฒนาใช้กับบริษัท ชลเจริญ จำกัด ถือเป็นหนึ่งในโรงงานอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลังต้นแบบ ที่บำบัดน้ำเสียและผลิตก๊าซชีวภาพแบบลูกผสมได้ โดยการลงทุนทำระบบบำบัดทั้งสิ้น 42 ล้านบาท ได้รับการเงินสนับสนุนจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในรูปเงินอุดหนุนร้อยละ 20 ของเงินลงทุน และเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจากโครงการสนับสนุนการวิจัย พัฒนาและวิศวกรรมภาคเอกชน ของ สวทช. จากความสำเร็จนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์เตรียมถ่ายทอดเทคโนโลยีไปยังโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลังอื่นๆ อีก 48 แห่งทั่วประเทศ พร้อมจัดหาแหล่งเงินทุนให้แก่ผู้ประกอบการ และจะผลักดันให้เป็นนโยบายของรัฐต่อไป สำหรับผู้สนใจยื่นขอร่วมโครงการสนับสนุนการวิจัย พัฒนาได้ โดยสอบถามโทร.0-2564-7000 ต่อ 1335-9 เวลาราชการ ที่เว็บไซต์ www.nstda.or.th/cd (มติชนรายวัน อังคารที่ 11 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th)
เปรียบเทียบลักษณะ"ยีน" ช่วยป้องกันโรคล่วงหน้า
คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกียวโตของญี่ปุ่นร่วมกับสถาบันวิจัยการแพทย์และสุขภาพแห่งชาติของฝรั่งเศส เริ่มโครงการ เปรียบเทียบ "ยีน" หรือ หน่วยพันธุกรรมของผู้ป่วยในสองประเทศ เพื่อศึกษาแง่มุมด้านชาติพันธุ์ของอาการเจ็บป่วยเพื่อพัฒนาวิธีการรักษาให้ดีขึ้น โดยรวบรวมข้อมูลของผู้ป่วยในสองประเทศที่ป่วยด้วยโรคเดียวกัน เช่น โรคข้อรูมาตอยด์ ตับอักเสบ มะเร็ง เพราะมีหลายโรคที่ผู้ป่วยมีอาการทางคลินิกเหมือนกัน แต่ลักษณะทางพันธุกรรมแตกต่างกัน เช่น ผู้ป่วยตับอักเสบบางคนตอบสนองดีต่อยาอินเตอร์เฟอรอน แต่บางรายกลับไม่ตอบสนอง ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้แวดวงการแพทย์พัฒนาวิธีการช่วยให้ผู้ที่มีแนวโน้มจะเจ็บป่วยด้วยโรคบางอย่างหาทางป้องกันล่วงหน้า เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง (ข่าวสด อังคารที่ 11 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th/khaosod)
มลภาวะคุกคามปลาจนเหลือแต่ตัวผู้
นักวิจัยฮ่องกงทดลองพบปลาม้าลายออกลูกมาเป็นตัวผู้มากขึ้น เนื่องจากออกซิเจนในน้ำลดลง ซ้ำร้ายปลาตัวเมียยังมีฮอร์โมนเพศชายมากกว่าปกติเสียอีก ผลจากการใช้ปุ๋ยเคมี และการทิ้งของเสียลงแม่น้ำลำคลองทำให้น้ำมีออกซิเจนน้อยลง ซึ่งจากการวิจัยพบว่า สภาพออกซิเจนในน้ำน้อยมีผลต่อการสืบพันธุ์ของปลา นักวิจัยชาวฮ่องกงได้ทดลองทำให้สภาวะน้ำในบ่อเลี้ยงปลาม้าลายให้มีสภาพออกซิเจนต่ำ ซึ่งสภาพดังกล่าวมีผลต่อยีนที่มีหน้าที่ผลิตฮอร์โมนเพศผู้และฮอร์โมนเพศเมีย ผลปรากฏว่าสภาพน้ำที่มีออกซิเจนต่ำทำให้ปลาม้าลายเพศผู้เกิดขึ้นในสัดส่วนมากกว่าเพศเมีย 3 ต่อ 1 แม้ว่าโดยปกติแล้ว ไม่ว่าปลาน้ำจืด หรือน้ำเค็ม สามารถเปลี่ยนเพศได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่ในสภาวะที่น้ำขาดออกซิเจนนั้นต่างกัน เพราะสภาวะดังกล่าวมีผลต่อยีน ซึ่งเป็นตัวกำหนดเพศและพัฒนาการของเพศ และยิ่งสภาวะที่แหล่งน้ำธรรมชาติหลายแห่งทั่วโลกตกอยู่ในสภาวะออกซิเจนในน้ำต่ำ และสัตว์หลายชนิดเริ่มได้รับผลกระทบในลักษณะเดียวกันนี้แล้ว นักวิทยาศาสตร์ยกตัวอย่างในอ่าวเม็กซิโกพบปลาตายจำนวนมาก และส่วนที่ยังรอดก็ใช่ว่าจะรักษาเผ่าพันธุ์อยู่ได้ ยิ่งมีตัวผู้เป็นจำนวนมากโอกาสสืบทอดสายพันธุ์ยิ่งลดลง ปัจจุบันเขตพื้นที่อันตรายทั่วโลกเมื่อรวมๆ กันแล้วก็มีถึง 1 แสนตารางไมล์ และส่วนใหญ่ก็เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ที่ใช้ปุ๋ยและของทิ้งจากการเกษตร (คมชัดลึก พุธที่ 12 เม.ย. 49 http://www.komchadluek.net)
นศ.ธัญบุรีประดิษฐ์เครื่องชงกาแฟรสชาติคงที่
สิทธิพล อุดมเดช จากภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มทร.ธัญบุรี กล่าวว่า เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติควบคุมการทำงานด้วยระบบไมโครคอนโทรลเลอร์ หรือสมองกลอัจฉริยะ เครื่องแสดงผลด้วยจอแอลซีดีภาษาไทย สามารถจดจำรสชาติกาแฟได้ไม่เกิน 256 แบบ รองรับส่วนผสมได้ 6 ชนิด ชงกาแฟในหน่วยเป็นครึ่งช้อนชา ชงได้ครั้งละ 1 แก้ว ปริมาณน้ำร้อน 150 มิลลิลิตรต่อ 1 แก้ว สิ่งประดิษฐ์นี้รองรับการทำงานได้ทั้งระบบอัตโนมัติและไม่อัตโนมัติ คือ ในกรณีที่ชงแบบอัตโนมัติ เราสามารถพิมพ์ป้อนข้อมูลคำสั่งเข้าไปว่า ในการชงต้องการเติมกาแฟ น้ำตาล และครีมเทียม ในปริมาณอย่างละเท่าไร จากนั้นชิพสมองกลจะเก็บข้อมูลคำสั่งไว้ และให้ตัวเลขรหัสออกมา เพื่อใช้ในการชงครั้งต่อไป เพียงแค่ป้อนรหัสนั้นก็จะได้เครื่องดื่มกาแฟรสชาติเดิมอย่างแม่นยำในทุกๆ ครั้งที่ใช้รหัสเดิม โดยไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นกำหนดปริมาณกาแฟและส่วนผสมอื่นๆ ใหม่อีก ส่วนผู้ที่ชอบดื่มกาแฟที่รสชาติที่ปรับเปลี่ยนบ่อยๆ เช่น ครั้งนี้อาจเติมส่วนผสมครีมเทียม ครั้งหน้าอาจไม่ต้องการ ทีมงานยังได้ออกแบบสิ่งประดิษฐ์ให้รองรับความต้องการส่วนนี้เช่นกัน โดยมีระบบควบคุมเครื่องด้วยตนเอง เพียงแค่กดค่าของปริมาณกาแฟ น้ำตาล และครีมเทียม ตามความต้องการด้วยตนเอง สิ่งประดิษฐ์นี้ นอกจากจะเหมาะกับร้านกาแฟแล้ว ยังน่าจะเหมาะกับหน่วยงาน หรือบริษัทที่มีพนักงานมาก เพื่ออำนวยความสะดวกและสามารถควบคุมปริมาณได้อย่างชัดเจนด้วย อย่างไรก็ตาม ทีมงานที่ร่วมคิดค้นสิ่งประดิษฐ์นี้ ได้แก่ สิทธิพล ธนชัย แสนใจธรรม และศราวุธ พันธุ์ขะวงษ์ นักศึกษาภาควิชาเดียวกัน มีนายศิริชัย เตรียมล้ำเลิศ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาตลอดโครงการ (คมชัดลึก พุธที่ 12 เม.ย. 49 http://www.komchadluek.net)
แว่นสายตายาวปรับได้อัตโนมัติ
นักวิทยาศาสตร์สหรัฐประดิษฐ์แว่นตาโดนใจคนแก่ สามารถปรับความคมชัดในการมองภาพระยะใกล้ไกลได้อัตโนมัติ ไม่ต้องคอยใส่และถอด หรือหาแว่นตาสองเลนส์มาใส่ เผยกระจกชนิดใหม่แค่กดปุ่มก็ดูได้ชัดทั้งใกล้และไกล นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอริโซนา จึงพัฒนาผลงานแว่นสองเลนส์ให้เจ๋งกว่าเดิม ตัวเลนส์จะใช้แผ่นแก้วแบนๆ 2 แผ่นประกบกัน โดยมีไส้ในเป็นคริสตัลเหลวบางเท่าเส้นผม สามารถเปลี่ยนรูปร่างโค้งนูนได้เมื่อมีกระแสไฟไหลผ่าน ทำให้กระจกมีลักษณะเหมือนกับเลนส์สายตายาว การปรับลักษณะของผลึกคริสตัลให้เป็นเลนส์สายตายาวใช้เวลาแค่ 1 วินาที นักวิจัยเจ้าของผลงานไฮเทคนี้บรรยายสรรพคุณแว่นว่า เมื่อเปิดสวิตช์ทำงานก็จะเป็นเลนส์นูนไว้ใช้อ่านหนังสือ แต่ถ้าปิดสวิตช์ มันก็เป็นแค่กระจกธรรมดาแผ่นหนึ่งเท่านั้น เหมาะสำหรับใช้เวลาขับรถ หรือมองไกลๆ แล้วถ้าจะอ่านหนังสือขึ้นมาก็แค่เลื่อนสวิตช์ที่ตัวแบตเตอรี่ที่เหน็บไว้ที่เข็มขัด หรืออยู่ในกระเป๋าเสื้อ คาดว่าแว่นแบบใหม่นี้น่าจะออกสู่ตลาดได้ภายใน 5 ปีข้างหน้านี้ ซึ่งในอนาคตจะออกแบบให้ตัวแบตเตอรี่กับสวิชต์ติดตั้งอยู่ในกรอบแว่นได้เลย แล้วอาจพัฒนาต่อไปโดยจะเพิ่มตัวตรวจจับ หรือเซ็นเซอร์ ที่ทำให้เลนส์ทำงานได้เอง ไม่ต้องมาคอยเปิดสวิตช์เพื่อให้มันทำงาน อย่างไรก็ดี รายงานไม่ได้ระบุว่า เทคนิคเดียวกันนี้สามารถประยุกต์ใช้กับคนที่เป็นทั้งสายตาสั้นและสายตายาวในคนเดียวกันหรือไม่ เพราะคนที่เคยสายตาสั้นมาก่อน เมื่อแก่ตัวเวลามองใกล้ยังคงต้องพึ่งสายตาสั้นอยู่ดี ขณะที่มองไกลต้องพึ่งเลนส์สายตายาวช่วย (คมชัดลึก พุธที่ 12 เม.ย. 49 http://www.komchadluek.net)
ตู้ส่องฟิล์มเอกซเรย์เต้านม มช.ประดิษฐ์ส่องดูเซลล์มะเร็งชัดเจน
นายกฤศณัฎฐ์ เชื่อมสามัคคี คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ออกแบบผลิตและประเมินชุดอุปกรณ์สำหรับอ่านภาพรังสีเต้านม กล่าวว่า กระบวนการหนึ่งในการวินิจฉัยโรคมะเร็งเต้านมของรังสีแพทย์คือ การอ่านภาพรังสี ซึ่งจำเป็นต้องใช้ชุดอุปกรณ์เฉพาะสำหรับการอ่าน ได้แก่ ตู้อ่านฟิล์มชนิดพิเศษ เลนส์ขยาย และไฟสำหรับดูรอยโรคเฉพาะที่ เพื่อให้เห็นรอยโรคที่มีขนาดเล็กได้ รวมถึงมีประสิทธิภาพในการตรวจพบมะเร็งเต้านมในระยะแรก หรือเกิดความคลาดเคลื่อนน้อยลง อีกทั้งนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข ที่ให้โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลประจำจังหวัดและศูนย์มะเร็งทั่วประเทศ มีเครื่องถ่ายภาพรังสีเต้านม จึงได้ศึกษาค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ อุปกรณ์ช่วยสำหรับการอ่านภาพรังสีเต้านม จากห้องสมุด วารสารต่างประเทศ อินเทอร์เน็ต การสัมภาษณ์ปัญหาและความต้องการจากผู้ใช้อุปกรณ์ และศึกษาวัสดุอุปกรณ์ที่จะนำมาผลิตเป็นส่วนต่างๆ ของชุดอุปกรณ์ จนสามารถออกแบบชุดอุปกรณ์ช่วยสำหรับการอ่านภาพรังสีเต้านม ชุดอุปกรณ์ดังกล่าวประกอบด้วย ตู้อ่านฟิล์มชนิดพิเศษ เลนส์ขยายไฟสำหรับส่องดูรอยโรคเฉพาะที่ รวมถึงอุปกรณ์ประกอบย่อยอื่นๆ และยังเน้นการคัดเลือกวัสดุที่สามารถหาได้ง่ายภายในประเทศ อาทิ ไฟเบอร์กลาส หลอดไฟชนิดพิเศษ สำหรับขนาดชุดเครื่องมือดังกล่าว จะมีความกว้างประมาณ 50 เซนติเมตร สูง 180 เซนติเมตร อีกทั้งยังสามารถถอดประกอบเคลื่อนย้ายได้สะดวก และใช้ไฟประมาณ 250 วัตต์ โดยยังสามารถทำงานวินิจฉัยโรคมะเร็งเต้านม ได้ 2 ชุด พร้อมกัน ได้แก่ ภาพรังสีเต้านมข้างขวา 2 ภาพ และข้างซ้าย 2 ภาพ อีกทั้งยังสามารถดูภาพรังสีทั่วไป ที่ประกอบการวินิจฉัยโรคได้อีก 3 ภาพในคราวเดียวกัน ต้นทุนของสิ่งประดิษฐ์ต้นแบบนี้ จะมีราคาประมาณ 3.5 หมื่นบาท ขณะที่ต่างประเทศเครื่องมือดังกล่าวจะมีราคาประมาณ 4-5 แสนบาท และขณะนี้กำลังปรับปรุงและพัฒนาต่อไปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ภายใต้การสนับสนุนทุนใน "โครงการโครงงานสำหรับนักศึกษาปริญญาตรี" หรือ IRPUS (Industrial and Research Projects for Undergraduate Students) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 11 เม.ย. 49 http://www.bangkokbiznews.com)
เอ็มเทควิจัยโฟมชีวภาพย่อยสลายใช้แทนโฟมพลาสติกตัวก่อมลภาวะ
นักวัสดุศาสตร์วิจัยแป้งมันสำปะหลัง เล็งใช้โพลีเมอร์ชีวภาพมาผลิตเป็นโฟมกันกระแทก ใช้ห่อผลไม้สดแทนโฟมพลาสติกจากโพลิสไตลิน ระบุข้อดีสามารถย่อยสลายได้รวดเร็ว ช่วยลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม คาดอีก 1 ปีได้ต้นแบบและพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ภาคอุตสาหกรรมมุ่งผลิตในเชิงพาณิชย์ โดยทั่วไปแล้ว โฟมกันกระแทกผลิตมาจากโพลิสไตลินหรือโฟมพลาสติกชนิดอื่น ๆ ซึ่งแม้จะมีคุณสมบัติในการกันกระแทกที่ดีมากและอยู่ได้นาน แต่เมื่อนำมาฝังกลบไม่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติทำให้สิ้นเปลืองพื้นที่มาก นักวัสดุศาสตร์จากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) จึงคิดค้นทำโฟมกันกระแทกจากวัสดุธรรมชาติที่ย่อยสลายได้ โดยใช้แป้งธรรมชาติเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตโฟมชีวภาพ ดร.ปิยวิทย์ กล่าวว่า สาเหตุที่นำแป้งมันสำปะหลังมาวิจัยเพื่อผลิตเป็นโฟมพลาสติกกันกระแทก เนื่องจากในแป้งมันสำปะหลังมีโพลีเมอร์ที่สามารถนำมาขึ้นรูปเป็นโฟมได้ โดยใช้กระบวนการรีด อีกทั้งประเทศไทยยังเป็นผู้ผลิตและส่งออกแป้งมันสำปะหลังรายใหญ่ของโลก ดังนั้นหากนำมาผลิตเป็นโฟมพลาสติกได้ นอกจากจะช่วยลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยเพิ่มมูลค่าให้แป้งมันสำปะหลังอีกด้วย
นักวิจัยคาดว่า ต้นแบบโฟมพลาสติกชีวภาพจากแป้งมันสำปะหลังจะใช้เวลาภายใน 1 ปี โดยมีคุณสมบัติกันกระแทกได้พอสมควร ซึ่งต้องเน้นเทคนิคการขึ้นรูปและใช้สารเติมแต่งในปริมาณน้อย เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาต้นทุนราคาแพง หากประสบความสำเร็จจะช่วยลดการผลิตพลาสติกที่ทำลายสิ่งแวดล้อมและนักวิจัยจะถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้สู่ภาคอุตสาหกรรมเพื่อผลิตในเชิงพาณิชย์ต่อไป (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 13 เม.ย. 49 http://www.bangkokbiznews.com)
สหรัฐแปลงข้าวโพดเป็นเอทานอลต้นทุนต่ำ
นักวิจัยจากสหรัฐฯคิดค้นกรรมวิธีการผลิตเอทานอลจากข้าวโพดให้คุ้มค่ามากขึ้น โดยมีผลพลอยได้อื่น ๆ มาช่วยให้การสกัดน้ำตาลเพื่อไปผลิตเป็นเอทานอลคุ้มค่าต่อการลงทุน วาย.เอช. เพอร์ซิวาล จาง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ของวิทยาลัยการเกษตรและวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ณ เวอร์จิเนียเทค สหรัฐ เป็นผู้หนึ่งที่คิดค้นกระบวนการผลิตเอทานอลจากข้าวโพดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และต้นทุนต่ำลง ในการผลิตเอทานอลคือ การแยกน้ำตาลออกจาก "ลิกโนเซลลูโลส" ซึ่งเป็นส่วนประกอบของลิกนิน เฮมิเซลลูโลสและเซลลูโลสในผนังของเซลล์พืช ที่ผ่านมาได้มีการคิดค้นกรรมวิธีเปลี่ยนลิกนินเซลลูโลสเป็นน้ำตาล แต่ยังมีราคาสูงเกินไป ไม่คุ้มค่ากับราคาน้ำตาลที่ได้ นักวิจัยได้พัฒนากระบวนการแยกน้ำตาลด้วยสารเคมีโดยผสมผสาน 3 เทคโนโลยีไว้ด้วยกัน ได้แก่ เทคโนโลยีการเตรียมข้าวโพดด้วยสารละลายเซลลูโลส การใช้กรดความเข้มข้นสูงทำให้เป็นน้ำตาล และสารละลายอินทรีย์ ซึ่งจะทำให้ข้อจำกัดของกระบวนการที่ใช้อยู่หมดไป นอกจากนี้ แทนที่จะใช้ระบบความดันสูงที่อุณหภูมิระหว่าง 150-250 องศาเซลเซียสจางกลับใช้ความดันปกติ ที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส เพื่อจะเตรียมข้าวโพดโดยการทำให้น้ำตาลเป็นสายอิสระก่อน ในอีกหลายขั้นตอนถัดมา เขาใช้สารละลายเซลลูโลสที่เข้มข้นแทนการใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงความดันสูง และอุณหภูมิสูงมาทำให้ลิกนิน เฮมิเซลลูโลส และเซลลูโลสแยกออกจากกัน ทำให้ได้ผลตอบแทนสุดท้ายจากการนำผลผลิตทุกอย่างไปใช้มีมูลค่ามากขึ้น ทำให้เกิดความคุ้มค่าในการผลิตเอทานอลมากขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 13 เม.ย. 49 http://www.bangkokbiznews.com)
แว่นตาติดไมค์ช่วยฟังเสียงชัดเต็มหู
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเดลฟท์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้พัฒนาเลนส์แว่นแบบใหม่ที่มีไมโครโฟนฝังอยู่ภายในเพื่อใช้ช่วยฟัง พร้อมพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สู่ตลาดให้คนทั่วไปซื้อหามาใช้ได้ แว่นช่วยฟังนี้ มีชื่อทางการค้าว่า เวอริเบล สามารถลดเสียงรบกวนจากรอบข้างได้ และช่วยขยายเฉพาะเสียงที่มาจากทางด้านหน้าของผู้สวมใส่ ผู้ผลิตอ้างว่า แว่นพิเศษนี้สามารถแยกเสียงที่ต้องการฟังออกจากเสียงอื่นได้ดีกว่าเครื่องช่วยฟังทั่วๆ ไป 2 เท่า เสียงที่รับจากไมโครโฟนจะผ่านหน่วยประมวลผลก่อนที่จะเข้าหูคนใส่แว่น ข้อมูลจากสถาบันวิจัยคนหูหนวกและความผิดปกติอื่นๆ ในการสื่อสารของสหรัฐอเมริกา ระบุว่า หนึ่งในสามของคนอายุ 60 ปีขึ้นไป จะเสียความสามารถในการได้ยิน และต้องใช้เครื่องช่วยฟัง แต่เครื่องช่วยฟังแบบทั่วๆ ไปมีรูปลักษณ์ที่ไม่น่าใช้เท่าไรนัก และยังขยายเสียงจากทุกทิศทาง ทำให้บางครั้งจับเสียงจากการสนทนาได้ยาก เป็นสาเหตุที่ทำให้หลายคนไม่อยากเข้าสังคม บางคนถึงกับเกษียณอายุงานเร็วกว่าที่ควรไปเลย แต่อุปกรณ์ตัวใหม่นี้จะจับเสียงเฉพาะจากด้านที่ผู้ใช้กำลังมองอยู่เป็นเสียงหลัก คอร์ สเต็งส์ นักวิจัยผู้ร่วมทดสอบเวอริเบล ให้ความเห็นว่า ในการทดลองใช้แว่นตาช่วยฟัง มันให้ผลดีเป็นไปตามคาด ช่วยให้รับฟังได้ดีขึ้น และยังช่วยเพิ่มคุณภาพเสียงที่ได้ยินอีกด้วย (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 14 เม.ย. 49 http://www.komchadluek.net)
แผ่นปิดแผลหยุดเลือดได้เร็วหัวคิดคนไทยสกัดสารพิเศษจากเปลือกกุ้ง
ดร.วนิดา จันทร์วิกูล นักวิจัยกลุ่มเทคโนโลยีโพลิเมอร์และวัสดุการแพทย์ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค/สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยถึงความสำเร็จจากการพัฒนาวัสดุทางการแพทย์ ที่ช่วยเร่งการแข็งตัวของเลือดว่า สามารถใช้กับบาดแผลภายในร่างกายได้ด้วย ซึ่งปกติโรงพยาบาลจะต้องนำเข้าจากต่างประเทศในราคาแผ่นละ 200 บาท เพื่อใช้รักษาบาดแผลภายในที่เกิดจากการผ่าตัด อาทิ ผ่าตัดสมอง ซึ่งจะช่วยผู้ป่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาลงได้ นอกจากนี้แพทย์สามารถทิ้งวัสดุดังกล่าวไว้ในร่างกายโดยไม่เป็นอันตรายกับร่างกาย ผลงานดังกล่าวเป็นการศึกษาต่อยอดจากแผ่นฟิล์มวัสดุตกแต่งแผลจากวัสดุชีวภาพ "ไคโตซาน" มีคุณสมบัติในการดูดซับของเหลวจากบาดแผล ทั้งนี้ อนุพันธ์ของไคติน-ไคโตซาน เป็นสารชีวภาพที่ได้จากเปลือกกุ้ง มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับคลอลาเจน ซึ่งช่วยห้ามเลือดได้เร็ว แผ่นห้ามเลือดที่ทำจากสารอนุพันธ์ไคติน-ไคโตซาน ได้ผ่านการทดสอบความเป็นพิษแล้ว และพบว่าไม่เป็นพิษต่อร่างกาย อีกทั้งมีความสามารถดูดซับของเหลวได้ดี โดยเอ็มเทคได้วิจัยพัฒนาแผ่นไคติน-ไคโตซานเป็นผิวหนังเทียม หรือวัสดุปิดรักษาแผลน้ำร้อนลวกในรายที่ไม่รุนแรง พบว่าไม่มีอาการแพ้หรืออักเสบของบาดแผล สามารถลดอาการเจ็บปวดของผู้ป่วยลงได้ ซึ่งข้อดีของมันก็คือจะสลายตัวอย่างช้าๆ และถูกดูดซับเข้าร่างกาย อย่างไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านจากร่างกาย ในขั้นต่อไป นักวิจัยมีแผนที่จะร่วมกับศัลยแพทย์ด้านสมองและอวัยวะภายในจากโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ทดสอบประสิทธิภาพกับผู้ป่วยจำนวน 40 คน เพื่อยืนยันผลการใช้งาน และพร้อมที่จะต่อยอดให้ภาคเอกชน ภายหลังจากงานวิจัยดังกล่าวเสร็จสิ้นในอนาคต (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 14 เม.ย. 49 http://www.komchadluek.net)
นักวิจัยเจ๋งผลิตชุดควบคุมไฟอัตโนมัติ ดึงแสงสว่างนอกตึกช่วยประหยัดเงิน
นายชาญณรงค์ เกสรมาลา ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม นักศึกษาในโครงการโครงงานสำหรับนักศึกษาปริญญาตรี หรือ IRPUS(Industrial and Research Projects for Undergraduate Students) โดยการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กล่าวว่า ได้ร่วมทีมกับนายทัศเทพ ยอดไทย และนายนภดล แสงแดง ทำวิจัย ชุดควบคุมแสงสว่างหลอดฟลูออเรสเซนต์อัตโนมัติ โครงงานได้พัฒนาชุดควบคุมแสงสว่างหลอดฟลูออเรสเซนต์อัตโนมัติด้วยวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ควบคุมด้วยไมโครคอนโทรลเลอร์ให้ทำงานร่วมกับบัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์แบบหรี่แสงสว่างของหลอดฟลูออเรสเซนต์ได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งอุปกรณ์ตรวจวัดค่าความส่องสว่างจะใช้ตัวต้านทานที่เปลี่ยนแปลงความต้านทานไฟฟ้าตามแสงสว่างที่ตกกระทบส่งสัญญาณผ่านชุดควบคุมสัญญาณ เพื่อแบ่งการจ่ายแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงให้เป็นช่วง 1-10 โวลล์ ส่งไปยังบัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อควบคุมการส่องสว่างของหลอดฟลูออเรสเซนต์ได้ด้วยความสว่างของแสงจากนอกอาคาร ทั้งนี้ ชุดควบคุมแสงสว่างดังกล่าวสามารถใช้งานได้ 1 ชุดต่อหลอดไฟฟลูออเรส นายชาญณรงค์กล่าวว่า ผลจากการทดสอบชุดควบคุมแสงสว่างหลอดฟลูออเรสเซนต์อัตโนมัตินี้ยังพบว่าสามารถปรับค่าความส่องสว่างตามปริมาณของแสงสว่างจากภายนอกและทำให้ประหยัดพลังงานไฟฟ้าลงได้ เช่น ในกรณีที่มีแสงสว่างจากภายนอกมีปริมาณมาก ทะลุผ่านหน้าต่างหรือช่องกระจก เข้าไปในห้องที่มีชุดควบคุมดังกล่าว หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ที่ติดตั้งชุดควบคุมนี้จะถูกหรี่ลงและใช้แสงสว่างจากภายนอกเข้ามาแทนที่ ทำให้สามารถประหยัดไฟฟ้าได้มากขึ้น ทั้งนี้เหมาะกับห้องที่ใช้ปริมาณไฟฟ้าค่อนข้างมาก หรือห้องที่เป็นกระจกแสงสว่างจากภายนอกส่องผ่านได้ ก็จะช่วยให้ประหยัดไฟได้เพิ่มขึ้น (มติชนรายวัน พฤหัสบดีที่ 13 เม.ย. 49 http://www.matichon.co.th)
ข่าวทั่วไป
สารกันรา ในผักดอง
การเติมสารกันรา (กรดซาลิซิลิค) ลงในผักดอง เพื่อให้สีของผักดองดูใส สะอาด น่ารับประทานและเก็บได้นาน เนื่องจากสารกันราเป็นวัตถุกันเสียที่มีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ได้ ้เป็นอย่างดี แต่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ออกประกาศ ฉบับที่ 151 (พ.ศ.2536) กำหนดให้ กรดซาลิซิลิค เป็นสารที่ห้ามใช้ในอาหาร ถ้าร่างกายได้รับ กรดซาลิซิลิค จนมีความเข้มข้นในเลือดถึง 25-35 มิลลิกรัม/เลือด 100 มิลลิลิตร จะมีอาการอาเจียน หูอื้อ มีไข้ และอาจถึงตายได้ ดูแล้วมันอาจจะไม่มาก แต่ถ้าสะสมต่อไปนานๆ จะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเรา เพื่อคลายความกังวล สถาบันอาหารจึงได้สุ่มตัวอย่างผักดอง ที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาด จำนวน 5 ตัวอย่าง ได้แก่ หน่อไม้ดอง ผักกาดดอง และกระเทียมดอง เพื่อนำมาวิเคราะห์หาการปนเปื้อนของ กรดซาลิซิลิค ผลการวิเคราะห์พบว่า ทุกตัวอย่างไม่พบการปนเปื้อนของ กรดซาลิซิลิค โล่งใจกันไปได้เปลาะหนึ่ง (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 10 เม.ย. 49 http://www.thairath.co.th)
KMUTT
Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215
|
|
|