หัวข้อข่าวปีที่ 7 ฉบับที่ 27 ประจำวันที่ 2006-07-03

ข่าวการศึกษา

ธรรมศาสตร์ไม่เพิ่มรับตรงตอกย้ำมั่นใจแอดมิชชั่น
เสนอทปอ.ชี้ขาดระบบรับนศ.ปีหน้า4ก.ค.นี้
ศธ.เฮครม.ไฟเขียวคืนอัตราครูกว่า3พัน
ชี้พุทธธรรม-จิตวิทยา สำคัญแต่มักถูกละเลย
เผยนักวิจัยไทยเข้าสู่ยุคตกต่ำ เฉลี่ยเขียนคนละ3-4บรรทัด/ปี
องคมนตรีแนะมหาวิทยาลัยยึดแอดมิสชั่นส์รับเด็กมากกว่ารับตรง
พิษโอเน็ต-เอเน็ตทำบอร์ดสทศ.ตบเท้าลาออกยกทีม
สทศ.ชี้คะแนนGPA กับ O-NET สวนทางกันได้
มธ.ปัดฝุ่นทุนช้างเผือก ทุ่ม16 ล.อุ้มนศ.ยากจน60คนเรียนฟรี
สพฐ.เปิดรับฟังความเห็นครู ก่อนยุบ600โรงเรียนขนาดเล็ก
ไอเอ็มดีลดอันดับไทย อยู่ที่ 32 ล้าหลังมาเลย์
ขาดแรงงานนุ่งห่ม5หมื่น จี้อาชีวะผลิตเพิ่มปีละ5-8พันคน
แฉเยาวไทย’เมินหนังสือ’ติดฮัลโหลงอม
สกอ.-ทปอ.พร้อมรับฟังวิจารณ์กรณียกเลิกแอดมิชชั่นตรง

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

เอเรี่ยนสเปซกับภารกิจส่งดาวเทียมสู่อวกาศ
วิศวกรสหรัฐเยือนไทยแนะ "วัคซีนเซลล์" สยบหวัดใหญ่
ทาวน์เฮ้าส์อยู่สบาย ต้นแบบแห่งแรกของภาคเหนือ
ประดิษฐ์เครื่องบินกระดาษกระพือปีกได้
แนะโลกหันมาใช้หลอดตะเกียบ ประหยัดกว่าพลังงานทางเลือก
จุฬาฯคว้าสุดยอดซอฟต์แวร์ปั่นจักรยาน
เฟ้นงานวิจัยไทยสู่อวกาศ ญี่ปุ่นหนุนสร้างความรู้ใหม่ เช่น ทำนาสุญญากาศ
วิจัยไทยเตรียมทะยานสู่สถานีอวกาศนานาชาติ
ติดระบบเสียงพูดในรถยนต์ บังคับขับเคลื่อนไปยังจุดหมาย
ศึกษาดีเอ็นเอหมารักษาโรคคน หาทางแก้โรคของระบบภูมิคุ้มกัน
คิดยากันแมลงปราบยุงให้หายซ่า ยุงได้กลิ่นเหม็นจนบินหนีไปหมด
งานแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศสีคืบ 90%

ข่าววิจัย/พัฒนา

GPS ระบุพิกัดรถยนต์ ระบบแสดงผลพลังงาน
ทับทิมต้านมะเร็งต่อมลูกหมาก ยับยั้งอาการโรคให้สะดุดหยุดยั้ง
กินกระเทียมดิบลดคอเลสเทอรอล นักวิจัยศึกษาทดลองกับหนูได้ผล
'ขับรถพูดโทรศัพท์' เท่า 'เมาแล้วขับ' เสนอให้ออกก.ม.จับกุมผู้กระทำผิด
มจธ.คิดเครื่องตรวจระเบิดใต้ท้องรถ
เปิดตัวรถหุ้มเกราะไทย กระสุนเจาะเกราะและลูกอาก้าไม่ระคายผิว
สหรัฐใกล้พบวิธีคืนชีพสมอง ปลุกชีวิตผู้ป่วยหลอดเลือดตีบ
กาแฟช่วยสกัดป้องกันเบาหวาน ซดวันละ 6 ถ้วยห่างโรค 33%
พบยาปราบโรคมะเร็งในสวนผลไม้ ขัดขวางไม่ให้เลือดไปเลี้ยงเนื้อร้าย
พริกแสดงอภินิหารดับข้ออักเสบ บำบัดอาการเจ็บปวดทรมานลง
หมอจุฬาฯ ทำผิวหนังเทียม ความหวังใหม่รักษาแผลไฟไหม้รุนแรง
นร.แก่นนครเพิ่มค่าขยะเปลือกหอย
'ธัญบุรี' แชมป์หุ่นยนต์โปรกอล์ฟ
สร้างแขนขาเทียมบังคับด้วยสมอง ทดลองกับคนไข้เป็นผลสำเร็จแล้ว
ญี่ปุ่นให้โอกาสไทยส่งงานวิจัยไปอวกาศ
'หุ่นยนต์สื่ออารมณ์'เลียนแบบหน้า
ฟิลิปส์เปิดตัวระบบทางไกลเฝ้าคนไข้

ข่าวทั่วไป

ยกย่องรำมวยจีนเป็นคุณผู้สูงอายุ ช่วยบำรุงทั้งร่าง กายรวมทั้งจิตใจ
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์บริการเช็คเตาไมโครเวฟฟรี
คุณยายไฮเทค
ชี้ไทยจุดเสี่ยงศูนย์กลางหวัดใหญ่ระบาด
พระเทพฯโปรดพัฒนาที่ดิน ให้บันทึกแนวร่วมประ วัติศาสตร์
จำนวนประชากรคนไทยเพิ่ม0.6% อีก30ปีคนแก่มากถึง25%





ข่าวการศึกษา


ธรรมศาสตร์ไม่เพิ่มรับตรงตอกย้ำมั่นใจแอดมิชชั่น

จากการที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษา การรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ต้องการให้มหาวิทยาลัยลดสัดส่วนการรับนักศึกษาในระบบรับตรง รวมทั้งหาแนวทางในการจัดสอบคัดเลือกร่วมกัน เพื่อไม่ให้นักเรียนต้องเสียเวลาวิ่งรอกสอบหลายแห่งนั้น ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวว่า ตนได้หารือเรื่องดังกล่าวในที่ประชุมผู้บริหารของ มธ. แล้ว และได้ข้อสรุปว่าในปี 2550 มธ. จะยังคงสัดส่วนการรับตรงไว้เท่าเดิม ถึงแม้ในภาพรวมหลายคณะจะต้องการเพิ่มสัดส่วนการ รับตรงมากขึ้น เพราะการรับตรงจะทำให้มหาวิทยาลัยมีโอกาสคัดเลือกนักศึกษาที่มีศักยภาพและตรงกับความต้องการของมหาวิทยาลัยได้มากกว่า แต่เพื่อให้เห็นว่า มธ. ยังเชื่อมั่นต่อระบบแอดมิชชั่น เพราะเป็นอนาคตร่วมกันของสถาบันอุดมศึกษาและการศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศ จึงต้องทำทุกทางเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ระบบ แอดมิชชั่นเดินหน้าต่อไปได้ อธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวต่อไปว่า การที่มหาวิทยาลัยพยายามเรียกร้องให้นักเรียนและผู้ปกครองไว้ใจในระบบแอดมิชชั่น แต่มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งกลับไปเปิดรับตรงเองหมด หากเป็นเช่นนั้นก็คงไม่สามารถฟื้นความเชื่อมั่นกลับมาได้ ซึ่งที่ผ่านมา มธ. รับนักศึกษาด้วยระบบ แอดมิชชั่นประมาณ 50% ของจำนวนนักศึกษาที่รับกว่า 6,000 คน ส่วนอีก 50% จะเป็นการคัดเลือกด้วยระบบรับตรง และโควตา เช่น โครงการช้างเผือก โควตานักศึกษาที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรือพิการ โควตานักกีฬา เป็นต้น ซึ่งจากการรับนักศึกษาใหม่ด้วยวิธีรับตรงนั้นได้ทำให้มหาวิทยาลัยสามารถคัดเลือกนักศึกษาเก่ง ๆ ผ่านการคัดเลือกเข้ามาได้ประมาณ 2,000 คน จึงทำให้ผู้บริหารหลายคณะเห็นว่าในปี 2550 ควรจะขยายการรับตรงให้มากขึ้นจากปี 2549 เพื่อที่ มธ. จะได้คัดเลือกนักศึกษาเก่ง ๆ เข้ามา แต่เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจต่อระบบแอดมิชชั่น มธ. จึงยอมทิ้งโอกาสดังกล่าวเพื่อนำที่นั่งไปเปิดรับนักศึกษาด้วยระบบแอดมิชชั่น “สำหรับประเด็นที่นายจาตุรนต์ เสนอให้แต่ละมหาวิทยาลัยไปหาแนวทางในการจัดสอบคัดเลือกร่วมกันนั้น เรื่องนี้คงต้องนำไปหารือในที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) แต่ โดยส่วนตัวเห็นว่าปกติการรับตรงของแต่ละมหาวิทยาลัยก็มีเงื่อนไขของตนเอง และวิธีการสอบก็อาจไม่เหมือนกัน เช่น บางคณะจะวัดทักษะและความสามารถทางวิชาการ ในขณะที่บางคณะจะวัดเจตคติในการประกอบวิชาชีพ” อย่างไรก็ตาม ตนเห็นด้วยกับแนวคิดที่จะต้องหาวิธีทำอย่างไรเพื่อไม่ให้นักศึกษาต้องวิ่งสอบหลายแห่ง ซึ่งในระดับคณะและสาขาวิชาเดียวกันก็คงร่วมมือกันได้ในระดับหนึ่ง แต่เชื่อว่าคงไม่สามารถจัดสอบพร้อมกันได้ทั้งหมด เพราะการรับตรงของมหาวิทยาลัยถือเป็นการเปิดโอกาสให้นักศึกษา (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 3 ก.ค. 2549 http://www.dailynews.co.th/ )





เสนอทปอ.ชี้ขาดระบบรับนศ.ปีหน้า4ก.ค.นี้

ศ.ดร.นพ.พรชัย มาตังคสมบัติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล (มม.) ในฐานะประธานคณะทำงานเพื่อพิจารณาระบบการคัดเลือกนักศึกษาระยะปัจจุบัน ระยะกลางและระยะยาว เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะทำงานฯ เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ว่า ตามที่ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ได้มอบหมายให้ตนและอธิการบดีมหาวิทยาลัยรัฐและเอกชนพิจารณาเสนอแนะเกี่ยวกับระบบการคัดเลือกนักศึกษาประจำปีการศึกษา 2550 นั้น ขณะนี้คณะทำงานได้ข้อสรุปที่ชัดเจนแล้ว และจะเสนอให้ ทปอ.พิจารณาในการประชุมวิสามัญ วันที่ 4 ก.ค. นี้ ที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) สำหรับข้อเสนอแนะนั้น คณะทำงานจะ เสนอให้ทปอ.เป็นผู้ดำเนินการสอบคัดเลือกวิชาเฉพาะจำนวน 17 วิชาในเดือนตุลาคมเอง แต่ให้ขอความร่วมมือจากสกอ. เนื่องจากมีประสบการณ์ ส่วนการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือ O-NET ก็ให้สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ดำเนินการเหมือนเดิม เพราะเป็นหน้าที่ที่ สทศ. จะต้องดำเนินการอยู่แล้ว แต่ในส่วนของการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง หรือ A-NET ให้ ทปอ. ดำเนินการเอง นอกจากนี้คณะทำงานยังจะเสนอ ทปอ.ให้ตั้งหน่วยงานที่เป็นองค์กรกลาง นิติบุคคล หรือมูลนิธิ ที่ประกอบด้วยตัวแทนจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เพื่อทำหน้าที่ประสานกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินการคัดเลือกนิสิตนักศึกษา รวมทั้งจะเสนอรายชื่อประธานหน่วยงานที่จะตั้งขึ้นใหม่ด้วย ซึ่งจะเป็นบุคคลที่มีความรู้ มีประสบการณ์เกี่ยวกับการดำเนินการสอบคัดเลือกเป็นอย่างดี ทั้งนี้หน่วยงานที่จัดตั้งใหม่นอกจากจะดูแลเรื่องการคัดเลือกนิสิตนักศึกษาแล้ว ยังจะช่วยดูในเรื่องที่เกี่ยวกับการพัฒนามหาวิทยาลัยด้วย “ส่วนเรื่องที่ รักษาการ รมว.ศธ. เสนอว่าจะต้องนำข้อสอบอัตนัยมาใช้ด้วยนั้น ทปอ.จะต้องพิจารณาอีกครั้ง อย่างไรก็ตามรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับการคัดเลือกนิสิตนักศึกษาในปี 2550 จะต้องเร่งสรุปให้เร็วที่สุด และถึงเวลานี้ผมคิดว่ายังไม่ช้าเกินไป เพราะทุกอย่างจะต้องทำอย่างรอบคอบ ชัดเจน น่าเชื่อถือ ยุติธรรม และเรียกความศรัทธากลับมาให้ได้” (เดลินิวส์ อังคารที่ 4 ก.ค. 2549http://www.dailynews.co.th/)





ศธ.เฮครม.ไฟเขียวคืนอัตราครูกว่า3พัน

จากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์ที่ใช้ในการปฏิรูปกำลังคนภาครัฐสำหรับปี พ.ศ. 2549-2551 ตามที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เสนอ โดย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ได้ตั้งข้อสังเกตว่ายุทธศาสตร์ที่นำเสนอเป็นยุทธศาสตร์ที่ เน้นเหมือน ๆ กันในทุกกระทรวง จึงต้องการให้ คปร. กลับไปวิเคราะห์ความจำเป็น ทั้งในกรณีที่จะต้องมีการลดกำลังคนมาก ลดกำลังคนน้อย หรือต้องการเพิ่มกำลังคน และให้นำกลับเข้าที่ประชุมอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตามมติดังกล่าวถือว่าเป็นประโยชน์กับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มาก โดยตนได้รายงานให้ที่ประชุมครม.ทราบว่าในเรื่องการขาดแคลนอัตรากำลังครูนั้น ก่อนหน้านี้ ศธ.ได้หารือกับตัวแทนสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการ พลเรือน (ก.พ.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) และ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรี จนได้ข้อสรุปเชิงหลักการ และ ดร.สุรเกียรติ์ได้รายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบว่า ศธ.จะมีมาตรการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น การจ้างพนักงานราชการ เป็นต้น “โดยสรุป ศธ.จะได้อัตรากำลังคนกลับคืนมาจากการเกษียณอายุราชการในปี 2548 จำนวนกว่า 3,000 อัตรา ส่วนมาตรการเชิงบริหารอื่น ๆ จะมีการหารือในรายละเอียดกับ ดร.สุรเกียรติ์ต่อไป ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ ผมได้กำชับในที่ประชุมผู้บริหารระดับสูงของ ศธ. ว่าให้เร่งจัดทำมาตรการเชิงบริหารเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนบุคลากรให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว เพื่อเสนอ ครม. ต่อไป” (เดลินิวส์ อังคารที่ 4 ก.ค. 2549http://www.dailynews.co.th/)





ชี้พุทธธรรม-จิตวิทยา สำคัญแต่มักถูกละเลย

รศ.ดร.โสรีช์ โพธิแก้ว นายกสมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีเด็กนักเรียนหญิงตบตีกันแล้วถ่ายภาพเป็นคลิปวิดีโอว่า ปัญหาเกิดจากเด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพสังคมไทยที่เปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่พ่อแม่จะจูงลูกเข้าวัด ฟังเทศน์ธรรม ช่วย กล่อมเกลาจิตใจให้เด็กมีศีลธรรม ลดความก้าวร้าว แต่ปัจจุบันพ่อแม่ต้องวุ่นอยู่กับการทำงานจนไม่มีเวลาให้ลูก ทำให้คุณภาพชีวิตของเด็กดูเปราะบาง เมื่อมีปัญหาวิ่งมากระทบจึงไม่มีภูมิคุ้มกันทางด้าน จิตใจ และทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา นอกจากนี้วงการจิตวิทยายังพบอีกว่า เด็กในเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ในแต่ละภูมิภาค จะมีอาการเครียดมากกว่าเด็กในชนบท โดยมีสาเหตุมาจากการเรียนที่มุ่งเน้นแข่งขัน เห็นได้จากที่เด็กที่นอกจากต้องเข้าเรียนตามระบบโรงเรียนแล้วยังต้องไปเรียนกวดวิชาอีกด้วย รศ.ดร.โสรีช์ กล่าวต่อไปว่า ความจริงแล้วการเรียนกวดวิชาไม่สามารถนำไปปรับใช้ในการบ่มเพาะชีวิตได้เลย แต่กลับจะยิ่งเป็นการสร้างความกดดันและสร้างความตึงเครียดให้แก่เด็กมากขึ้น เพราะการเรียนรู้เพียงแค่วิชาการ โดยไม่ได้บ่มเพาะกระบวนการแก้ปัญหาของชีวิต เมื่อประสบปัญหาหรือ ผิดหวังจากการคาดหวังที่สูงจะทำให้เด็กหาทางออกให้แก่ชีวิตไม่ได้ ดังนั้นการศึกษาปัจจุบันต้องเน้นให้เด็กได้ศึกษาวิชาพุทธธรรมกับจิตวิทยามากขึ้น “วงการศึกษาบ้านเรายังให้ความสำคัญกับวิชาพุทธธรรมและจิตวิทยาน้อยมาก บางคนก็มองว่าเป็นเรื่องของคนโบราณ ทั้งที่หากนำมาเชื่อมโยงกับวิชาสมัยใหม่ก็จะช่วยให้คนรุ่นใหม่มีคุณภาพทางจิตใจที่ดีขึ้นได้ ดังนั้นในวันที่ 3 ก.ค. ทางสมาคมฯ จะจัดสัมมนาพุทธธรรมกับจิตวิทยาการสังเคราะห์ เพื่อคุณภาวะของชีวิตและสังคม ณ หอประชุมจุฬาฯ ซึ่งผู้สนใจเข้าร่วมได้โดยติดต่อที่ 0-2218-9907, 0-1844-1701” (เดลินิวส์ อังคารที่ 4 ก.ค. 2549http://www.dailynews.co.th/)





เผยนักวิจัยไทยเข้าสู่ยุคตกต่ำ เฉลี่ยเขียนคนละ3-4บรรทัด/ปี

สมาคมสถาบันอาจารย์อุดมศึกษาเพื่อสันติภาพโลก (ประเทศไทย) ร่วมกับมูลนิธิเพื่อการพัฒนาและสันติ จัดการประชุมวิชาการ “ทิศทางและทางเลือกในการพัฒนาการอุดมศึกษาของชาติ โดยศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา บรรยายพิเศษ “ทิศทางและทางเลือกในการพัฒนาการอุดมศึกษาของชาติ” ว่า แก่นแท้ของมหาวิทยาลัย คือ สถานที่รวมตัวของปราชญ์ ที่จะมาถกเถียงทางปัญหาเพื่อแสวงหาความรู้ ความจริง และนำองค์ความรู้ไปให้สังคม กล่าวคือหน้าที่หลักของมหาวิทยาลัยคือการวิจัย ส่วนการผลิตบัณฑิตเป็นหน้าที่ที่ 2 ในการสืบต่อความรู้ไม่ให้สูญหาย และให้คนรุ่นใหม่ต่อยอดความรู้ที่มีอยู่เดิม แต่ปัจจุบันสถาบันอุดมศึกษากลับพยายามโต้เถียงกันแต่เรื่องจะจำแนกตัวเองเป็นมหาวิทยาลัยเน้นผลิตบัณฑิต หรือมหาวิทยาลัยวิจัย หลีกเลี่ยงการทำหน้าที่เติมเต็มปัญหาให้สังคม เป็นเพียงร่างทรงความรู้เดิมถ่ายทอดสู่ศิษย์ ไม่คิดค้นความรู้ใหม่ ทั้งนี้ จากผลการสำรวจจำนวนผลงานที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติที่เป็นที่ยอมรับพบว่า ในปีที่ผ่านมามหาวิทยาลัยไทยมีผลงานตีพิมพ์ 2,000 เรื่อง โดยกว่า 90 % มาจากมหาวิทยาลัยหลัก 8 แห่ง เท่ากับอีก 130 สถาบันผลิตผลงานเพียง 10% เท่านั้น หากคำนวณสัดส่วนผลงาน 90 % ดังกล่าวต่อจำนวนอาจารย์ใน 8 สถาบัน จะเท่ากับอาจารย์ 12 คนร่วมกันทำงานวิจัย 1 ชิ้น หากคิดผลงานตีพิมพ์ในวารสารมีความยาว 1 หน้ากระดาษหรือ 30 บรรทัด ก็เท่ากับอาจารย์ 1 คนพิมพ์ผลงานเพียง 3-4 บรรทัดต่อปีเท่านั้น (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 4 ก.ค. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





องคมนตรีแนะมหาวิทยาลัยยึดแอดมิสชั่นส์รับเด็กมากกว่ารับตรง

ศ.พิเศษ ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่าจากการหารือร่วมกับ ศ. นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ที่ทำเนียบองมนตรี เกี่ยวกับระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษาเข้าสถาบันอุดมศึกษา หรือแอดมิสชั่นส์ ซึ่งมี ศ. ดร.ปรัชญา เวสารัชช์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ศ. ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ รศ.วีระศักดิ์ อุดมกิจเดชา รองอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รศ. ดร.สุพล วุฒิเสน อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา รศ. ดร.นำยุทธ์ สงค์ธนาพิทักษ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และผู้แทนมหาวิทยาลัยเอกชนเข้าร่วมด้วย ศ. นพ.เกษม ฝากข้อคิดเกี่ยวกับการรับนักศึกษาเข้ามหาวิทยาลัย ว่า มหาวิทยาลัยควรร่วมมือกันดำเนินการเป็นระบบกลางให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สำหรับมหาวิทยาลัยที่รับตรง สามารถดำเนินการได้แต่ไม่ควรเกิน 2 รอบ โดยรอบแรกให้มหาวิทยาลัยเปิดรับตรง ยึดหลักการกระจายโอกาสให้เด็กโดยมหาวิทยาลัยควรประสานความร่วมมือกัน เพื่อไม่ให้เด็กเดือดร้อน และไม่ว่าด้วยเหตุผลพิเศษใด ๆ ก็ตาม การรับตรงของมหาวิทยาลัยก็ไม่ควรเกินร้อยละ 50 ของจำนวนรับทั้งหมดที่เหลือให้เป็นการรับโดยระบบกลาง ศ. นพ.เกษม เสนอว่าควรมีหน่วยงานกลางทำหน้าที่รับผิดชอบระบบแอดมิสชั่นส์โดยตรง ทำงานเต็มเวลา ต่อเนื่องและมีผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน จะอยู่ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ก็ได้ ซึ่ง สกอ.เสนอว่า น่าจะเป็นหน่วยงานอิสระที่ตั้งขึ้นในสกอ. ไม่ใช่หน่วยราชการและไม่ใช่องค์การมหาชน หรือที่เรียกว่า Service Delivery Unit (SDU) หากทุกฝ่ายเห็นด้วย สกอ.ก็จะหารือกับเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) ในวันที่ 12 ก.ค.นี้ นอกจากนี้องคมนตรียังเสนอด้วยว่า หากทุกฝ่ายได้ข้อตกลงเรื่องการรับนักศึกษาแล้ว ก็ควรทำอย่างเป็นทางการซึ่งตนเข้าใจว่า ควรเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อรับทราบต่อไป. (คมชัดลึก พุธที่ 5 ก.ค. 2549 http://www.komchadluek.net)





พิษโอเน็ต-เอเน็ตทำบอร์ดสทศ.ตบเท้าลาออกยกทีม

คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ รักษาการประธานคณะกรรมการบริหารสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ(สทศ.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการบอร์ดสทศ.เมื่อวันที่ 3 ก.ค. คณะกรรมการบริหารผู้ทรงคุณวุฒิ 4 ท่านได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากตำแหน่ง หลังจากที่ดร.วิเชียร เกตุสิงห์ คณะกรรมการบริหาร ผู้ทรงคุณวุฒิอีกคนหนึ่งได้ยื่นใบลาออกไปก่อนหน้านี้ ทำให้คณะกรรมการบริหาร ผู้ทรงคุณวุฒิได้ขอลาออกครบทั้ง 5 คน โดยให้เหตุผลว่าเพื่อให้มีการปรับโครงสร้างสถาบันใหม่ แต่ทุกคนยินดีจะทำหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีคณะกรรมการบอร์ดชุดใหม่มาสานงานแทน ซึ่งต้องขอให้นายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศธ.) เร่งตั้งกรรมการสรรหาประธานบริหารสทศ. เพื่อทำหน้าที่สรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้วยในคราวเดียวกัน รักษาการประธานกรรมการบริหารสทศ. กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังได้หารือถึงการเตรียมการจัดทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐานหรือโอเน็ต ประจำปี 2550 โดยกำหนดการประชุมเชิงปฏิบัติการคณะกรรมการออกข้อสอบในแต่ละภูมิภาค ซึ่งแต่ละศูนย์สอบจะเชิญครูมัธยมวิชาละ 10 คนและอาจารย์มหาวิทยาลัยวิชาละ 2 คน มาร่วมอบรมพัฒนาบุคลากรและออกข้อสอบไปพร้อมกัน รวมทั้งจัดประชุมผู้แทนศูนย์สอบในแต่ละภูมิภาคต่างๆ เพื่อทำความเข้าใจ กระบวนการจัดสอบทั้งหมด โดยแผนการดำเนินงานปีนี้จะกำหนดรายละเอียดชัดเจนทุกขั้นตอน และดำเนินการเร็วขึ้นเพื่อมีเวลาซักซ้อมทำความเข้าใจมากขึ้น (คมชัดลึก พุธที่ 5 ก.ค. 2549 http://www.komchadluek.net)





สทศ.ชี้คะแนนGPA กับ O-NET สวนทางกันได้

นางพรนิภา ลิมปพยอม เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า ตนยืนยันว่าไม่มีโรงเรียนใดปล่อยเกรดเฟ้อหรือกดเกรด ซึ่งการที่จีพีเอของโรงเรียนเพิ่มขึ้นเป็นเพราะในปี 2548 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ได้ปรับการคิดเกรดจาก 5 ระดับ เป็น 8 ระดับ จึงทำให้คะแนนจีพีเอสูงขึ้น โดยปี 2547 จีพีเอเฉลี่ยของโรงเรียนทั่วประเทศอยู่ที่ 2.55 แต่ในปี 2548 เพิ่มเป็น 2.80 และหากย้อนไปดูถึงปี 2541 ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตลอด โดยปี 2541 เฉลี่ย 2.19, ปี 2542 เฉลี่ย 2.23, ปี 2543 เฉลี่ย 2.25, ปี 2544 เฉลี่ย 2.30, ปี 2545 เฉลี่ย 2.35 และปี 2546 เฉลี่ย 2.35 นางอารีรัตน์ วัฒนสิน รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าวว่า การให้เกรดของโรงเรียนมีหลายองค์ประกอบ โดยไม่ได้คิดจากคะแนนสอบเพียงอย่างเดียว แต่จะดูในเรื่องอื่นด้วย เช่น คุณธรรมและจริยธรรม ในขณะที่คะแนนของโอเน็ตมาจากการสอบอย่างเดียว ด้าน รศ.ดร.คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ รักษาการประธานคณะกรรมการบริหาร สทศ. เปิดเผยภายหลังการประชุม สทศ. เมื่อวันที่ 3 ก.ค. ว่า ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้มีการเลื่อนการสอบโอเน็ตเร็วขึ้นจากเดิมที่กำหนดไว้สัปดาห์สุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ มาเป็นกลางเดือนคือ 17-18 ก.พ. เพราะอยากให้มีเวลาในการตรวจข้อสอบมากขึ้น ส่วนที่หลายฝ่ายเป็นห่วงว่าจะมีผลกระทบต่อการเรียนการสอนในโรงเรียนนั้น ตนอยากจะบอกว่าการสอบไม่ได้ เร็วเกินไปและการสอบโอเน็ตก็เป็นการสอบวิชาหลักที่เป็นวิชาพื้นฐานซึ่งเรียนในช่วง ม.4-ม.5 ก็เรียนกันจบแล้ว แต่อย่างไรก็ตามเรื่องวันสอบโอเน็ตจะต้องเสนอนายจาตุรนต์ พิจารณาอีกครั้ง (เดลินิวส์ พุธที่ 5 ก.ค. 2549 http://www.dailynews.co.th)





มธ.ปัดฝุ่นทุนช้างเผือก ทุ่ม16 ล.อุ้มนศ.ยากจน60คนเรียนฟรี

ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) แถลงข่าวว่า มธ.ร่วมกับสมาคมธรรมศาสตร์ในพระบรมราชูปถัมภ์จัดโครงการ “ทุนช้างเผือกธรรมศาสตร์ในหลวงครองราชย์ 60 ปี” เนื่องในโอกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ส่งเสริมให้นักศึกษาในชนบทที่เรียนดี ฐานะยากจน มีโอกาสได้รับการศึกษาในระดับอุดมศึกษาในคณะต่างๆ ของ มธ. และเรียนรู้แนวทางการพัฒนาประเทศตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง เป็นบัณฑิตกำลังสำคัญของชาติในการพัฒนาประเทศสืบไป รับนักศึกษา 20 คน ในโครงการทุนช้างเผือกธรรมศาสตร์ในหลวงครองราชย์ 60 ปี เป็นปีแรกในปีการศึกษา 2549 ปีการศึกษาถัดไปรับอีก 20 คน จนครบ 60 คน ใน 3 รุ่น โดย มธ.ให้ทุนการศึกษาจนจบปริญญาตรี 4 ปี คนละ 70,000 บาทต่อปี รวมตลอดหลักสูตรคนละ 240,000 บาท ใช้เงินทั้งสิ้น 16.8 ล้านบาท โดยไม่มีสัญญาผูกมัดใดๆ กับนักศึกษาที่รับทุนช้างเผือกธรรมศาสตร์ “มธ.จัดโครงการทุนช้างเผือกตั้งแต่ปี 2524 มีคณาจารย์ออกไปค้นหานักเรียนที่เรียนดี ฐานะยากจนในต่างจังหวัด สอบคัดเลือกเข้าโครงการทุนช้างเผือก รับปีละ 250 คน ในคณะต่างๆ แต่นักศึกษา 20 คน ในโครงการทุนช้างเผือกธรรมศาสตร์ในหลวงครองราชย์ 60 ปี พิเศษกว่านักศึกษาช้างเผือกคนอื่นๆ คือ ได้เข้าร่วมกิจกรรมกับมูลนิธิชัยพัฒนา กิจกรรมอื่นที่มหาวิทยาลัยจัดขึ้น เพื่อเรียนรู้แนวทางพัฒนาประเทศตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง ได้เข้าพบนายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้แทนพระองค์ปีละ 1 ครั้งด้วย และนักศึกษาในโครงการทั้ง 60 คน จะครอบคลุมทุกคณะของ มธ. ตั้งแต่แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ สื่อสารมวลชน" (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 6 ก.ค. 2549 http://www.komchadluek.net)





สพฐ.เปิดรับฟังความเห็นครู ก่อนยุบ600โรงเรียนขนาดเล็ก

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)กระทรวงศึกษาธิการ ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวกับ ร่างระเบียบและร่างประกาศ ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดตั้ง ยุบรวม ยุบเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ... และร่างประกาศคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการผ่อนผันให้เด็กเข้าเรียนก่อนหรือหลังอายุตามเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับ พ.ศ...ที่โรงแรมโฆษะ อ.เมือง จ.ขอนแก่น โดยมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ ของภาคอีสาน เข้ารับฟังกว่า 200 คน นายชินภัทร ภูมิรัตน รองเลขาธิการ สพฐ. เปิดเผยว่า ในประเทศไทยมีโรงเรียนทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาทั้งหมด 32,340 โรงเรียน โดยการจัดการศึกษาภาคบังคับ 12 ปี คือตั้งแต่ระดับประถมศึกษา จนถึงมัธยมศึกษาตอนปลายนั้น สพฐ.ไม่ใช่หน่วยงานเดียวที่ดำเนินการ แต่ยังร่วมกับภาครัฐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)ในพื้นที่ เด็กทุกคนที่อยู่ในเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับคือ ตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาตอนต้น จะต้องได้เรียนหนังสือ โดยตั้งเป้าตัวเลขเด็กเรียนในภาคบังคับม.ต้นและเข้าเรียนม.ปลายให้สูงขึ้น 100% ในปี 2551 นี้ สำหรับการยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กนั้นพบว่า ขณะนี้มีตัวเลขโรงเรียนขนาดเล็ก ที่มีเด็กนักเรียนต่ำกว่า 120 คน ทั่วประเทศอยู่ทั้งหมด 12,289 โรงเรียน และมีโรงเรียนที่คาดว่าจะถูกยกเลิกประมาณ 600 แห่ง ที่มีเด็กเรียนต่ำกว่าเกณฑ์ ไม่มีครู ขาดงบประมาณ อาคารเรียนชำรุด และอื่นๆ (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 6 ก.ค. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





ไอเอ็มดีลดอันดับไทย อยู่ที่ 32 ล้าหลังมาเลย์

สถาบัน International Institute for Management Development หรือ IMD ได้เผยแพร่ผลการประเมินและจัดอันดับความสามารถในการแข่งขัน ปี 2006 หรือ 2549 ซึ่งสะท้อนผลสัมฤทธิ์ในการจัดการศึกษาของประเทศนั้นๆ ผ่านทางเวบไซต์ของ IMD เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ที่ผ่านมา โดยมีประเทศเข้าร่วมการประเมินจัดอันดับทั้งหมด 61 ประเทศจากทั่วทุกมุมโลก ผลปรากฏว่า ประเทศไทยซึ่งเคยเข้าร่วมการประเมินในปี 2548 ด้วย ถูกลดอันดับลงถึง 5 ระดับ จากอันดับที่ 27 ในปี 2548 ลดมาเป็นอันดับที่ 32 ในปี 2549 ขณะที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งปี 2548 อยู่อันดับที่ 28 แต่กลับแซงหน้าขึ้นไปอยู่อันดับที่ 23 ในปี 2549 โดยเฉพาะประเทศจีน พัฒนาอย่างก้าวกระโดดถึง 12 ระดับ จากอับดับที่ 31 ในปี 2548 ขึ้นมาเป็นอันดับที่ 19 ในปีนี้ รวมทั้งประเทศอินเดีย ซึ่งได้อันดับที่ 39 ในปี 2548 กระโดดขึ้นมา 6 ระดับ อยู่อันดับ 33 ในปีนี้ อย่างไรก็ตาม 4 อันดับต้นๆ ของการจัดลำดับ ยังคงเป็นประเทศเดิมครองตำแหน่งเดิม คือ อับดับที่ 1 สหรัฐอเมริกา อันดับ 2 ฮ่องกง อันดับ 3 สิงคโปร์ อันดับ 4 ไอซ์แลนด์ ส่วนอันดับ 5 ในปี 2548 คือ ประเทศแคนาดา หล่นไปอยู่อันดับที่ 7 สลับกับประเทศเดนมาร์ก ซึ่งได้อันดับที่ 7 ในปี 2548 แต่ปี 2549 ขึ้นมาเป็นอันดับที่ 5 แทน ส่วนประเทศรั้งท้าย 2 ประเทศ คือ อินโดนีเซีย ได้อันดับที่ 60 ซึ้งเมื่อปี 2548 ได้อันดับที่ 59 และประเทศปิดท้าย คือ เวเนซุเอลา ซึ่งในปี 2548 อยู่ในอันดับที่ 60 ทั้งนี้ หากดูในภาพรวมทั้งหมด มีประเทศที่ได้อันดับดีขึ้น 25 ประเทศ ขึ้นมากที่สุด คือ จีน ประเทศที่แย่ลงมี 24 ประเทศ และคงอันดับเดิมมี 10 ประเทศ (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 7 ก.ค. 2549 http://www.komchadluek.net)





ขาดแรงงานนุ่งห่ม5หมื่น จี้อาชีวะผลิตเพิ่มปีละ5-8พันคน

นายยุทธนา ศิลป์สรรค์วิชช์ เลขานุการมูลนิธิพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย กล่าวว่า แม้ว่าขณะนี้ค่าเงินบาทจะแข็งตัว แต่อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทยยังมีตัวเลขการเติบโตประมาณ 7-8% ขณะที่รัฐบาลต้องการให้อุตสาหกรรมนี้เติบโตถึง 10-15% สำหรับการเติบโตในช่วงปลายปีจะต้องรอพิจารณาจากราคาน้ำมันและค่าเงินบาทอีกครั้งหนึ่ง จึงจะประมาณการได้ว่าอุตสาหกรรมนี้จะเติบโตขึ้นอีกเท่าไร ส่วนบุคลากรและแรงงานในอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มในประเทศไทย โดยเฉพาะแรงงานระดับล่างยังขาดแคลนอีกกว่า 5 หมื่นคน ขณะที่บุคลากรระดับกลาง เช่น ผู้จัดการ ขาดอีกกว่า 1,000 คน ซึ่งที่ผ่านมามูลนิธิพยายามเพิ่มจำนวนแรงงานในอุตสาหกรรมนี้ ด้วยการร่วมมือกับสถาบันอาชีวศึกษาทุกภูมิภาค ในการจัดทำหลักสูตรการศึกษาพิเศษ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม เพื่อใช้ในการผลิตบุคลากรด้านนี้เพิ่มขึ้นและให้มีลักษณะที่ตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการ การดำเนินการร่วมกับสถาบันอาชีวศึกษาดำเนินการมาได้ 6-7 เดือน จึงคาดว่าบุคลากรที่จะสำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรพิเศษรุ่นแรกทั่วประเทศจะมีประมาณ 1-2 พันคน ในขณะที่อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มมีความต้องการบุคลากรและแรงงานเฉลี่ยถึงปีละ 5-8 พันคน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจำนวนที่สถาบันการศึกษาผลิตได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงอยากให้มีการเพิ่มจำนวนการรับนักศึกษาในสาขาดังกล่าวอย่างน้อย ปีละ 5,000 คน เพื่อตอบสนองต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ในอนาคต (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 7 ก.ค. 2549 http://www.komchadluek.net)





แฉเยาวไทย’เมินหนังสือ’ติดฮัลโหลงอม

วันที่ 6 ก.ค. เวลา 10.30 น.ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ได้เปิดงาน “เทศกาลหนังสือสำหรับเด็กและเยาวชนครั้งที่ 4” โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสมาคมผู้จัดพิมพ์ และจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทยจัดขึ้น เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนรักการอ่าน และนำกิจกรรมเสริมสร้างพัฒนาการและสมอง มาให้เด็กๆ ได้เล่นฟรี ภายในงาน ผศ.ดร.วิลาสินี พิพิธกุล ผอ.สำนักรณรงค์และสื่อสาธารณะ สสส. ได้นำผลวิจัยเอแบคโพลล์ โครงการพฤติกรรมการอ่านหนังสือของเยาวชนระหว่างอายุ 12-23 ปี ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดหัวเมืองใหญ่ใน 4 ภูมิภาค ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น ชลบุรี และสงขลา โดยมีขนาดตัวอย่างทั้งสิ้น 4,920 ตัวอย่าง โดยผลสำรวจที่น่าสนใจ พบว่าเด็กและเยาวชน อายุ 12-23 ปี ส่วนใหญ่เป็นผู้อ่านหนังสือร้อยละ 91 และเป็นผู้ไม่อ่านหนังสือเพียงร้อยละ 9 เมื่อจำแนกพฤติกรรมการอ่านหนังสือของเด็กและเยาวชน ออกตามพื้นที่ในเขตเทศบาล นอกเขตเทศบาลและกรุงเทพมหานคร พบว่ามีพฤติกรรมการอ่านหนังสือที่สอดคล้องกันในแต่ละพื้นที่ คือมีผู้อ่านหนังสือคิดเป็นร้อยละ 93.1 ร้อยละ 91.0 และร้อยละ 90.2 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม เยาวชนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างเกินกว่าครึ่งหนึ่ง หรือร้อยละ 65.5 ระบุว่าชอบดูโทรทัศน์ วีซีดี มากกว่าการอ่านหนังสือ เมื่อแยกย่อยเปรียบเทียบการฟังวิทยุกับการอ่านหนังสือ พบว่ากลุ่มตัวอย่างร้อยละ 45 ตอบว่าฟังวิทยุมากกว่า ส่วนร้อยละ 31.8 ระบุว่าอ่านหนังสือมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบการคุยโทรศัพท์กับการอ่านหนังสือ พบว่าร้อยละ 43.3 คุยโทรศัพท์มากกว่า ส่วนร้อยละ 35.6 ระบุว่าอ่านหนังสือมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบการเล่นอินเตอร์เน็ตกับการอ่านหนังสือ พบว่ากลุ่มตัวอย่างร้อยละ 37.6 ระบุว่าอ่านหนังสือมากกว่า ขณะที่ร้อยละ 37.2 ระบุว่าเล่นอินเตอร์เน็ตมากว่า เมื่อเปรียบเทียบการเล่นเกมออนไลน์กับการอ่านหนังสือ พบว่าร้อยละ 57.6 อ่านหนังสือมากกว่า ส่วนอีกร้อยละ 22.5 เล่นเกมออนไลน์มากกว่า (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 7 ก.ค. 2549 http://www.dailynews.co.th/)





สกอ.-ทปอ.พร้อมรับฟังวิจารณ์กรณียกเลิกแอดมิชชั่นตรง

จากกรณีที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ได้มีการประชุมหาข้อสรุปเกี่ยวกับแนวทางการรับนิสิตนักศึกษาเข้าสู่สถาบันอุดมศึกษาประจำปีการศึกษา 2550 และมีมติให้ยกเลิกระบบแอดมิชชั่นตรง ให้เหลือแต่การรับนักศึกษาด้วยระบบแอดมิชชั่นกลางที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เป็นผู้ดำเนินการ และการรับตรงที่แต่ละมหาวิทยาลัยจะดำเนินการเอง รวมทั้งให้มีการกำหนดสัดส่วนการรับตรงจะต้องไม่มากกว่าปีที่ผ่านมา และไม่เกิน 50% ของจำนวนรับทั้งหมดด้วยนั้น ศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) กล่าวว่า มติดังกล่าวมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ดังนั้น ทปอ.จะร่วมกับ สกอ.เปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง จะต้องมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงระบบการรับนักศึกษาให้ดีที่สุด เลขาธิการ กกอ. กล่าวต่อไปว่า ข้อดีของการรับตรงจะทำให้มหาวิทยาลัยสามารถคัดเลือกเด็กได้ตามที่ต้องการ แต่อย่างไรก็ตามจากข้อมูลการรับตรงของปีที่ผ่านมาก็มีหลายประเด็นที่น่าสนใจ อาทิ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ที่เปิดรับตรงในจำนวนมากพอสมควร ในขณะเดียวกันก็รับจากระบบแอดมิชชั่นกลางด้วย แต่ปรากฏว่าการรับตรงไม่สามารถคัดเลือกนักเรียนได้ครบตามที่ต้องการ และยังมีปัญหาการสละสิทธิเป็นจำนวนมากด้วย ในขณะที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดรับตรงแค่ไม่เกินร้อยละ 20 ของจำนวนรับทั้งหมด ส่วนที่เหลือจะรับจากแอดมิชชั่นกลาง แต่ทางจุฬาฯกลับสามารถรับเด็กได้ตามเป้าหมายถึงกว่า 90% ดังนั้นแต่ละมหาวิทยาลัยจะตัดสินใจรับเด็กด้วยรูปแบบไหน ตนก็อยากให้ดูประโยชน์ที่เด็กและมหาวิทยาลัยจะได้รับให้มากที่สุด (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 7 ก.ค. 2549 http://www.dailynews.co.th/)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


เอเรี่ยนสเปซกับภารกิจส่งดาวเทียมสู่อวกาศ

“เอเรียนสเปซ” เป็นบริษัทหนึ่งที่เป็นผู้นำในการให้บริการส่งดาวเทียมพาณิชย์สู่ห้วงอวกาศ กว่า 60% ของดาวเทียมพาณิชย์ที่โคจรอยู่รอบโลก ถูกส่งขึ้นโดยเอเรี่ยนสเปซ รวมถึงการเป็นผู้ส่งดาวเทียมไทยคมของไทยตั้งแต่ ไทยคม 1 จนถึงไทยคม 5 ดาวเทียมดวงล่าสุดที่เพิ่งส่งขึ้นไปเมื่อ 28 พ.ค. ที่ผ่านมา ปัจจัยสำคัญของธุรกิจนี้ มร.ชอง อีฟส์ เลอกัล ประธานกรรมการบริหารของเอเรียนสเปซและสตาร์เซม บอกว่า คือการให้บริการส่งดาวเทียมที่แม่นยำและการดูแลที่ดีเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ปัจจุบันเอเรียสเปซมีฝูงบินอวกาศที่รองรับดาวเทียมได้หลายขนาด ล่าสุด จรวดเอเรี่ยน 5 เป็นจรวดที่สามารถส่งดาวเทียมที่มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากได้พร้อมกันถึง 2 ดวง สำหรับจรวด โซยูซ สามารถส่งดาวเทียมที่มีน้ำหนักประมาณ 3 ตันขึ้นสู่วงโคจร และจรวดเวก้า ซึ่งเป็นยานขนส่งขนาดเบาตระกูลใหม่ล่าสุดของยุโรป เหมาะสำหรับสัมภาระดาวเทียมขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ส่วนสถานที่ส่งนั้น อยู่ที่ศูนย์อวกาศกียาน่า เมืองคูรู จังหวัดโพ้นทะเล เฟร้น กียาน่า ประเทศฝรั่ง เศส ซึ่งเอเรียนสเปซบอกว่ามีข้อดีหลาย ๆ ด้านเนื่องจากตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอ่าวเม็กซิโกและทางเหนือของเส้นศูนย์สูตร ทำให้การทำงานง่ายขึ้นและปลอดภัยมากขึ้น ที่สำคัญดาวเทียมสามารถอยู่ในพิกัดวงโคจรโดยใช้เวลาน้อยลง การส่งดาวเทียมครั้งล่าสุดใช้เวลาเพียง 32 นาที ในการส่งดาวเทียม 2 ดวงจากที่ตั้งไว้ 45 นาที หลังจากส่งดาวเทียมไทยคม 5 และดาวเทียมแซทเม็ก 6 ของเม็กซิโก ขึ้นสู่วงโคจรเมื่อ วันที่ 28 พ.ค. 2549 แล้ว ภารกิจการส่งดาวเทียมดวงต่อไปของเอเชีย คือ JC-SAT 10 ของญี่ปุ่น ส่วนดาวเทียม Syracuse 3B ของฝรั่งเศสจะถูกส่งขึ้นวงโคจรในวันที่ 11 สิงหาคม ดาวเทียม Optus D1 ของออสเตรเลียในเดือนกันยายน ส่วนดาวเทียมของเวียดนามซึ่งเพิ่งเซ็นสัญญากันไปจะถูกส่งขึ้นสู่วงโคจรในปี 2551 สำหรับมุมมองเกี่ยวกับธุรกิจดาวเทียมในประเทศไทย ฟิลิปเป้ เบอร์เทอร์รอทเทียร์ ผู้บริหารของเอเรียนสเปซ มองว่าเป็นธุรกิจที่ใหญ่ และ มีช่องว่างในการพัฒนาอีกมาก และถือว่าเป็นตลาดที่เติบโตอย่างมากในเอเชีย เนื่องจากดาวเทียมไทยคม 4 หรือไอพีสตาร์เป็นดาวเทียมเชิงพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก พื้นที่ให้บริการครอบคลุมพื้นที่เอเชียและแปซิฟิก ให้บริการรับ-สัญญาณดิจิทัลความเร็วสูงในรูปแบบของอินเทอร์เน็ตโปรโตคอล ส่วนดาวเทียมไทยคม 5 มีซึ่งพื้นที่ครอบคลุมสี่ทวีป เน้นการให้บริการส่งสัญญาณโทรทัศน์ โดยเฉพาะบริการส่งสัญญาณโทรทัศน์แบบส่งตรงไปตามบ้าน และบริการส่งสัญญาณโทรทัศน์ประเภทความคมชัดสูง (HDTV) รวมบริการโทรคมนาคมอื่น ๆ (เดลินิวส์ อังคารที่ 4 ก.ค. 2549http://www.dailynews.co.th/)





วิศวกรสหรัฐเยือนไทยแนะ "วัคซีนเซลล์" สยบหวัดใหญ่

รศ.นพ.ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์ รองผู้อำนวยการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ศูนย์ไบโอเทค) เปิดเผยว่า ศูนย์ไบโอเทคได้เชิญ ศ.เฮนรี หวาง ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมโรงงานยาและวัคซีน จากวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมิชิแกน มาบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดทำโรงงานผลิตวัคซีน แก่เภสัชกรและนักวิจัยจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาคเอกชน องค์การเภสัชกรรม กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และสถาบันการศึกษาต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาผลิตยาไข้หวัดใหญ่ และการจัดตั้งโรงงานวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในไทย ซึ่งองค์ความรู้ในเรื่องนี้ของไทยค่อนข้างจำกัด ประกอบกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้รับมอบหมายภารกิจจากรัฐบาลให้ศึกษาและดำเนินการจัดตั้งต้นแบบโรงงานผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือการแพร่ะระบาดของโรค ในการดำเนินการนั้นได้จัดตั้งคณะกรรมการ ที่มาจากหน่วยงานต่างๆ รวมถึงไบโอเทค ทำหน้าที่พิจารณากำหนดรูปแบบลักษณะโรงงาน กิจกรรมภายใน การบริหารจัดการ รวมถึงเทคนิคหรือกระบวนการผลิตว่าควรจะเลือกวิธีใด จึงจะเหมาะสมกับประเทศไทย ระหว่างการผลิตวัคซีนที่ใช้ไข่เป็นวัตถุดิบ กับวัคซีนที่ใช้เซลล์เป็นวัตถุดิบ ข้อมูลจาก ศ.หวาง พบว่า วัคซีนไข้หวัดไหญ่จากไข่และวัคซีนจากเซลล์ ไม่มีความแตกต่างด้านเงินลงทุน ระยะเวลาการผลิตวัคซีนและการบริหารจัดการ แต่การผลิตวัคซีนจากไข่เป็นสิ่งที่ทั่วโลกดำเนินการและให้การยอมรับอยู่แล้ว ทั้งยังมีความพร้อมด้านข้อมูลและองค์ความรู้ ขณะที่วัคซีนจากเซลล์ถือเป็นเรื่องใหม่ และข้อมูลความรู้ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยพัฒนา แต่ถือเป็นเทรนด์ของโรงงานวัคซีนในอนาคตได้ (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 4 ก.ค. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





ทาวน์เฮ้าส์อยู่สบาย ต้นแบบแห่งแรกของภาคเหนือ

นางชนานัญ บัวเขียว ผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์พลังงานและพลังงานหมุนเวียน สำนักนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า สำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้เปิดตัวต้นแบบทาวน์เฮ้าส์ประหยัดงานจำนวน 3 หลังในพื้นที่อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งก่อสร้างตามแบบแปลนที่ชนะเลิศจากโครงการประกวดออกแบบบ้าน และถือเป็นทาวน์เฮ้าส์ประหยัดพลังงานต้นแบบแห่งแรกของภาคเหนือ โครงการประกวดและสร้างทาวน์เฮ้าส์ต้นแบบ ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานกว่า 6.6 ล้านบาท จัดขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2547 จนถึงมิถุนายน 2549 โดยผู้ที่อยู่อาศัยสามารถรับรู้ถึงภาวะน่าสบายได้คือ อยู่ในอุณหภูมิระหว่าง 22-27 องศาเซลเซียส และความชื้นระหว่าง 22-80% "ต้นแบบทาวน์เฮ้าส์ทั้ง 3 หลังที่ผ่านการคัดเลือก สร้างบนเนื้อที่ 18-22 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยไม่เกิน 80-100 ตารางเมตร แบ่งเป็นห้องนอน 2 ห้อง ห้องน้ำ 2 ห้อง พื้นที่อเนกประสงค์ใช้เป็นห้องรับแขกและห้องนั่งเล่น ห้องครัวและซักล้าง ที่จอดรถ 1 คัน โดยสามารถติดตั้งเครื่องปรับอากาศขนาด 9,000 บีทียู จำนวน 1 เครื่องต่อ 1 หลัง" (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 4 ก.ค. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





ประดิษฐ์เครื่องบินกระดาษกระพือปีกได้

พืชทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นหญ้า วัชพืช ไม้พุ่ม และต้นไม้ทุกชนิดอาศัยเซลลูโลสสำหรับตั้งลำต้น เซลลูโลสถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของมนุษย์มากมายตั้งแต่สารเคลือบยาไปจนถึงสิ่งทอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใช้แยกไฟเบอร์ออกจากเยื่อไม้ในการผลิตกระดาษ เซลลูโลสถือเป็นองค์ประกอบเชิงโครงสร้างของพืชใบสีเขียว กล่าวคือผนังเซลล์ปฐมภูมิของต้นไม้ส่วนใหญ่ทำจากเซลลูโลส ส่วนผนังเซลล์ทุติยภูมิประกอบด้วยเซลลูโลสที่มีลิกนินประกอบอยู่ในปริมาณที่หลากหลาย ลิกนินและเซลลูโลสเมื่ออยู่รวมกันจะเรียกว่า ลิกโคเซลลูโลส ซึ่งก็คือ ไม้ ที่เราเห็นกันนั่นเอง เซลลูโลสถูกนำมาใช้งานในชีวิตประจำวันหลายอย่าง ที่เห็นชัดเจนที่สุดคือ กระดาษ ซึ่งทำมาจากเยื่อไม้ ขณะที่ผ้าเรยองทำมาจากเซลลูโลสจากพืชเช่นกัน เซลลูโลสยังถูกนำไปใช้ทำเป็นสารย้อมสีเพื่อใช้งานในห้องแล็บ และใช้ผลิตสารไนโตรเซลลูโลส ซึ่งในอดีตใช้ทำดินปืนไร้ควัน สัตว์บางชนิดจำพวกสัตว์เคี้ยวเอื้องอย่างวัวควายมีจุลินทรีย์พิเศษอยู่ในกระเพาะอาหารจึงย่อยสลายเซลลูโลสได้เมื่อกินหญ้า แต่คนไม่สามารถย่อยสลายเซลลูโลสได้ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบมากว่า 50 ปีแล้วว่า ไม้จะงอตัวเมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน คุณสมบัติดังกล่าวมีคำเรียกว่า "เปียโซอิเล็กทริก" แต่มีงานวิจัยน้อยมากที่นำไปศึกษาเพิ่มเติม และไม่มีใครคิดที่จะทดสอบกับแผ่นเซลลูโลส ซึ่งเป็นวัสดุที่พบในผนังเซลล์ของพืชนี้จะมีคุณสมบัติในการโก่งงอเช่นกัน (คมชัดลึก พุธที่ 5 ก.ค. 2549 http://www.komchadluek.net)





แนะโลกหันมาใช้หลอดตะเกียบ ประหยัดกว่าพลังงานทางเลือก

นักวิเคราะห์ฝ่ายนโยายของไออีเอ กล่าวว่า หลอดไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ไฟฟ้าตัวสำคัญ โดยร้อยละ 19 ของกระแสไฟฟ้าที่ผลิตทั่วโลกถูกนำไปใช้เพื่อให้แสงสว่าง ซึ่งเป็นปริมาณที่มากกว่าไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และโรงไฟฟ้าพลังน้ำ และเป็นปริมาณที่เท่ากับการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ การใช้ปริมาณไฟฟ้าระดับดังกล่าวเพื่อจ่ายให้กับหลอดไฟแสงสว่างยังผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ คิดเป็นร้อยละ 70 ของคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยจากรถยนต์นั่ง และคิดเป็น 3 เท่าของคาร์บอนไดออกไซด์ที่มาจากเครื่องบิน หลอดกลมชนิดไส้ถูกคิดค้นขึ้นมานับร้อยกว่าปีแล้ว หลอดไฟชนิดนี้กินไฟสูง ขณะที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นแสงสว่างได้แค่ร้อยละ 5 เท่านั้น ส่วนหลอดไฟส่องสว่างที่ผู้บริโภคใช้กันมากที่สุด คือ หลอดฟลูออเรสเซนต์ หรือที่เรียกกันผิดๆ ว่า หลอดนีออน เป็นหลอดไฟส่องสว่างที่ใช้กระแสไฟฟ้าถึงร้อยละ 43 ของหลอดไฟส่องสว่างทั้งหมด ประสิทธิภาพในการให้แสงสว่างของหลอดฟลูออเรสเซนต์ เมื่อเทียบกับไฟฟ้าที่ใช้ค่อนข้างหลากหลาย กล่าวคือ อยู่ที่ร้อยละ 15-60 แต่ตัวที่ กินไฟมากแต่ให้แสงสว่างน้อย คือ หลอดฮาโลเจน แถมยังปล่อยพลังงานความร้อนออกมาในห้อง ส่งผลให้เครื่องปรับอากาศต้องทำงานหนักขึ้น สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ ยังแสดงความเป็นห่วงที่ยังมีประชากรโลกจำนวนมากไม่มีไฟฟ้าใช้ ทำให้คนเหล่านี้ใช้เชื้อเพลิงที่ได้จากการเผา เช่น ตะเกียง นอกจากสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายเนื่องจากน้ำมันที่ใช้เติมตะเกียงมีราคาแพงขึ้นแล้ว แสงไฟที่ได้ยังน้อยลง และทำให้เป็นโรคทางเดินหายใจด้วย ทางออกที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาดังกล่าว คือ การเปลี่ยนมาใช้หลอดประหยัดไฟ แต่กลับยังไม่ได้รับความนิยมมากพอ ดังนั้น หน่วยงานของรัฐจำเป็นต้องกำหนดนโยบายบังคับให้อาคารเปลี่ยนมาใช้หลอดประหยัดไฟมากขึ้น โดยเฉพาะหลอดตะเกียบ ที่สามารถใช้กับหลอดกลมได้ "เทียบอายุใช้งาน 10,000 ชั่วโมงแล้ว หลอดกลมต้องจ่าย 4,250 บาท แต่หลอดตะเกียบจ่ายเพียง 1,250 บาทเท่านั้น" (คมชัดลึก พุธที่ 5 ก.ค. 2549 http://www.komchadluek.net)





จุฬาฯคว้าสุดยอดซอฟต์แวร์ปั่นจักรยาน

บริษัทไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) ประกาศ ผลผู้ชนะโครงการ “Imagine Cup 2006” ที่ค้นหาสุดยอดเยาวชนนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งปีนี้มีหัวข้อการประกวดคือ “Imagine a world where technology enables us to live healthier lives” หรือการใช้เทคโน โลยีเว็บเซอร์วิส ช่วยให้คนเรามีสุขภาพที่ดีขึ้น ซึ่งมีผู้เข้าร่วมแข่งขันเกือบ 500 คนจาก 26 สถาบันทั่วประเทศ ผู้ชนะเลิศจะเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันในระดับโลก ผลการแข่งขัน Imagine Cup ในปีนี้ ทีม ผู้ชนะเลิศได้แก่ กลุ่มนิสิตตัวแทนจากจุฬาลงกรณ์มหา วิทยาลัยที่ได้พัฒนาแอพพลิเคชั่นซอฟต์แวร์ชื่อว่า “Arogya Web Services” ซึ่งสร้างแรงจูงใจให้คนออกกำลังกายโดยการเชื่อมโยงจักรยานออกกำลังกายเข้ากับเทคโนโลยี โดยสมาชิกของทีมผู้ชนะประกอบด้วย นายวินนาท มงคลมาลย์ นายวรวงษ์ รามางกูร นายกิตติพัฒน์ วิโรจน์ศิริ และนายปรัชญ์ ผลาภิรมย์ นายวินนาท มงคลมาลย์ หัวหน้าทีมกล่าวว่า สิ่งที่น่าตื่นเต้นอย่างหนึ่งของโครงการ Imagine Cup ของไมโครซอฟท์ก็คือเราได้นำเทคโนโลยีในปัจจุบันมาสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นไปได้ และพยายามนำโซลูชั่นซอฟต์แวร์มาใช้แก้ปัญหาในชีวิตจริง ซึ่งคุณสมบัติที่โดดเด่นของแอพพลิเคชั่น “Arogya Web Services” ก็คือการเชื่อมโยงผู้ปั่นจักรยานออกกำลังในประเทศไทยกับคนอื่น ๆ ทั่วโลกในลักษณะการแข่งขันเสมือนจริงออนไลน์ นอกจากนี้ ซอฟต์แวร์ Arogya ยังเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ปั่นจักรยานออกกำลัง ด้วยความสามารถในการเก็บข้อมูลการปั่นจักรยานในแต่ละวัน และเก็บไว้เป็นฐานข้อมูลที่สามารถเรียกดูพัฒนาการการออกกำลังกายของตนได้ สามารถวัดเวลา ระยะทาง และความเร็วในการปั่น รวมทั้งเก็บข้อมูลแบบออนไลน์โดยใช้เทคโนโลยี .NET ของไมโครซอฟท์ ผู้ปั่นจักรยานออกกำลังสามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั่วไป หรืออุปกรณ์การสื่อสารเคลื่อนที่ต่าง ๆ เช่น พ็อกเกต พีซี และสมาร์ทโฟนเพื่อบันทึกและเก็บข้อมูลการปั่นจักรยานออกกำลังของตนเอง (เดลินิวส์ พุธที่ 5 ก.ค. 2549 http://www.dailynews.co.th)





เฟ้นงานวิจัยไทยสู่อวกาศ ญี่ปุ่นหนุนสร้างความรู้ใหม่ เช่น ทำนาสุญญากาศ

ดร.สวัสดิ์ ตันติพันธ์วดี ผู้อำนวยการโครงการสมองไหลกลับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า องค์กรสำรวจการบินอวกาศญี่ปุ่น (จาซา) ให้โอกาสประเทศไทยส่งผลงานวิจัยร่วมทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติ หรือไอเอสเอส โดยส่งไปพร้อมกับยานอวกาศ “คิโบ” ของญี่ปุ่น ในปี 2551 โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือที่เกิดขึ้นหลังจาก ดร.โคอิชิ วาคาตะ นักบินอวกาศชาวญี่ปุ่น จากองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งสหรัฐ (นาซา) ที่ปฏิบัติการร่วมในยานอวกาศดิสคัฟเวอรี่ ได้เดินทางมาให้ความรู้กับเยาวชนไทยในงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เมื่อเดือนสิงหาคม ปีที่แล้ว จากการสนับสนุนขององค์กรจาซา และล่าสุด องค์กรจาซาได้เปิดโอกาสให้ประเทศไทย ได้มีส่วนร่วมในโครงการทดลองวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีอวกาศ โดยคัดเลือกโครงการวิจัยของนักวิจัยไทยเพียง 1 โครงการ ที่มีความเป็นไปได้สำหรับการทำวิจัยบนสถานีอวกาศนานาชาติ (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 6 ก.ค. 2549 http://www.komchadluek.net)





วิจัยไทยเตรียมทะยานสู่สถานีอวกาศนานาชาติ

ดร.สวัสดิ์ ตันติพันธ์วดี ผู้อำนวยการโครงการสมองไหลกลับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า องค์กรสำรวจการบินอวกาศญี่ปุ่น (Japan Aerospace Exploration Agency :JAXA) เปิดรับงานวิจัยจากประเทศไทย สำหรับนำไปทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติ หรือ ไอเอสเอส โดยจะส่งขึ้นไปพร้อมกับยานอวกาศ “คิโบ” (KIBO) ของประเทศญี่ปุ่น โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือที่เกิดขึ้น หลังจากที่ ดร.โคอิชิ วาคาตะ นักบินอวกาศชาวญี่ปุ่นจากองค์การบริหารการบินและอวกาศ (นาซา) ที่ร่วมปฏิบัติการร่วมในยานอวกาศดิสคัฟเวอรี่ และได้เดินทางมาให้ความรู้กับเยาวชนไทยในงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ที่ผ่านมา จากการสนับสนุนขององค์กรแจ็กซา ล่าสุดองค์กรแจ็กซาได้เปิดโอกาสให้ประเทศไทยมีส่วนร่วมในโครงการทดลองวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอวกาศ โดยคัดเลือกโครงการวิจัยไทยเพียง 1 โครงการ ที่มีความเป็นไปได้สำหรับการทำวิจัยบนสถานีอวกาศนานาชาติ ซึ่งแจ็กซาจะพิจารณาโครงการอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะส่งขึ้นสู่อวกาศไปกับยานอวกาศคิโบในปี 2551 (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 6 ก.ค. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





ติดระบบเสียงพูดในรถยนต์ บังคับขับเคลื่อนไปยังจุดหมาย

บริษัท ไพโอเนียร์ อิเล็คทรอนิกส์ (สหรัฐอเมริกา) จำกัด เลือกซอฟต์แวร์ Embedded ViaVoice ของไอบีเอ็ม ที่นำเสียงพูดมาใช้ในระบบขับเคลื่อนรถยนต์ ที่สามารถส่งมอบข้อมูล ความบันเทิง และความสะดวกให้กับผู้ขับขี่รถยนต์ ไอบีเอ็มระบุว่า ซอฟต์แวร์ Embedded ViaVoice ของไอบีเอ็ม สามารถจดจำเสียงพูดและใช้เทคโนโลยีแปลงข้อความเป็นเสียงพูด เพื่อที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่รถยนต์สามารถจดจ่อสายตาไปยังท้องถนน ในขณะเดียวกัน สามารถพิจารณาและกำหนดทิศทาง ข้อมูลและความบันเทิงต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง ไอบีเอ็มได้ใช้เทคโนโลยีด้านแปลงเสียงพูดโดยใช้รหัส คำพูดพิเศษที่สร้างขึ้นมาจากนักวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิจัยไอบีเอ็ม เพื่อที่จะทำให้ เทคโนโลยีที่ใช้ประโยชน์จากเสียงและเทคโนโลยีด้านรถยนต์มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งซอฟต์แวร์ที่เป็นระบบเปิดของไอบีเอ็ม จะช่วยเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างทันที ในอุปกรณ์เคลื่อนที่ต่างๆ เช่น สมาร์ทโฟน พีดีเอ และอุปกรณ์รถยนต์ ระบบ AVIC-Z1 ของไพโอเนียร์นั้น สามารถติดตั้งในยานพาหนะใดๆก็ได้ และเป็นระบบเดียวเท่านั้นที่มีจำหน่ายในตลาดของสหรัฐฯ ซึ่งเสนอจุดขายระบบจดจำด้วยเสียงสำหรับการ ขับเคลื่อนไปยังจุดหมายปลายทางที่ต้องการและระบบค้นหาด้วยเสียง รวมถึงการให้คำแนะนำเกี่ยวกับชื่อถนนต่างๆ (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 6 ก.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





ศึกษาดีเอ็นเอหมารักษาโรคคน หาทางแก้โรคของระบบภูมิคุ้มกัน

สุนัขซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่า เป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ที่สุดของมนุษย์ ถูกพบอีกว่ามีระบบภูมิคุ้มกันเหมือนกับคนเราที่สุด ขนาดที่นักวิทยาศาสตร์ต้องเอาดีเอ็นเอของมันมาใช้ศึกษา ในการค้นคว้าเพื่อหาทางรักษาโรคของระบบภูมิคุ้มกันของคน อย่างเช่น โรคเบาหวาน นักวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเมลเบิร์นในออสเตรเลีย ได้ประกาศบอกเจ้าของสุนัขที่ป่วยเป็นโรคของระบบภูมิคุ้มกัน ขอตัวอย่างเลือดของมัน ในปริมาณตัวละ 1 มิลลิลิตร เพื่อจะเอาไปค้นหาองค์ประกอบของยีน ที่ทำให้ สุนัขเจ็บป่วยเป็นโรคบางโรคบ่อยๆ ดร.สตีเวน โฮลโลเวย์ กล่าวบอกว่าเทคนิคการรักษาโรคของสุนัข ที่ค้นคิดอยู่นั้น อาจจะเอามาใช้กับคนได้ ด้วยเหตุว่าระบบภูมิคุ้มกันของมันดูคล้ายคลึงกับของคนมากทีเดียว “มันอาจจะเป็นได้ว่า การค้นคว้ากับสิ่งที่มีชีวิตชนิดหนึ่ง อาจพลอยทำให้มองเห็นลึกลงไปในโรคซึ่งเป็นอยู่กับสิ่งที่มีชีวิตอีกชนิดหนึ่งด้วย”. (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 6 ก.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





คิดยากันแมลงปราบยุงให้หายซ่า ยุงได้กลิ่นเหม็นจนบินหนีไปหมด

นักวิทยาศาสตร์กำลังคิดกำราบยุงให้หายซ่า ด้วยการเสาะหากลิ่นตัวของคนที่มันเกลียด ไม่ยอมเฉียดกรายเข้าใกล้เลย เพื่อจะเอามาสกัดทำยา ใช้ในการควบคุมป้องกันโรคที่ยุงเป็นพาหะนำโรคมาให้มนุษย์ เช่น โรคไข้จับสั่น ไข้เหลืองและไข้ส่า ศาสตราจารย์จอห์น พิคเกตต์ ที่ศูนย์วิจัยรอททัมสเตด องค์การกุศลทางวิทยาศาสตร์แห่งหนึ่งในอังกฤษ กล่าวเปิดเผยว่า “คนที่ยุงไม่กัด เป็นเพราะมีสารเคมีที่มีกลิ่นทำให้ยุงเหม็น ผมคิดว่ามันคงเหมือนกับไปเตือนบอกยุงว่า บุคคลผู้นั้นไม่ใช่เหยื่อของมัน” และเปิดเผยว่า “ผลงานมาถึงบัดนี้ ส่อว่ามีความหวัง จนถึงกับไม่ได้คิดจะทำกับยุงเท่านั้น หากยังรวมถึงสัตว์อื่น อย่างเห็บและแมลงที่เป็นพาหะนำโรคอย่างอื่นด้วย” ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังคิดส่วนผสมเพื่อให้ยาออกฤทธิ์อย่างแรงและคงทน แค่เพียงทาตามเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ อย่างเช่นที่ข้อมือเสื้อ หรือกางเกงก็พอแล้ว คาดว่าจะสามารถคิดสูตรเพื่อผลิตออกเป็นสินค้าได้ ภายในเวลา 2 ปีนี้. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 7 ก.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





งานแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศสีคืบ 90%

นายชัยวัฒน์ สิทธิบุศย์ อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาที่ดินร่วมกับกรมแผนที่ทหารและบริษัทเอกชน จัดทำข้อมูลแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศสี มาตราส่วน 1 ต่อ 4,000 ถือเป็นแผนที่ความละเอียดสูง และครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ สามารถใช้ประโยชน์ด้านการวางแผนแก้ปัญหาของประเทศ อาทิ การจัดการทรัพยากรของชาติ การวางแผนจัดการที่ดิน การแก้ไขปัญหาเอกสารสิทธิในเรื่องที่ดินทำกินของเกษตรกร การจัดการการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ป่า เป็นต้น แผนที่ภาพถ่ายทางอากาศที่ทำขึ้นนี้ ยังสามารถตอบสนองความต้องการของหน่วยงานราชการต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เมื่อเทียบกับแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศเดิม ที่ใช้มาตราส่วน 1 ต่อ 50,000 และ1 ต่อ 25,000 ซึ่งรายละเอียดที่ปรากฏยังไม่มากพอ และใช้ได้กับงานบางประเภทเท่านั้น (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 7 ก.ค. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





ข่าววิจัย/พัฒนา


GPS ระบุพิกัดรถยนต์ ระบบแสดงผลพลังงาน

จากการศึกษาและค้นคว้าการทำงานของระบบดาวเทียม โดยอาจารย์และนักศึกษา สาขาเทคโนโลยีโทรคมนาคม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตภาคใต้ ทำให้เกิดการคิดค้นประดิษฐ์โดยการนำระบบ GPS (Global Positioning System) ระบบดาวเทียมที่ยอมให้บุคคลทั่วไปหาตำแหน่งของ ตนเองตลอด 24 ชั่วโมง ในทุก ๆ สถานที่บนโลกนี้และทุกสภาพอากาศ มาใช้ในการหาตำแหน่งรถยนต์และสิ่งที่เคลื่อนที่ได้ทุกประเภท ผ่านการเขียนโปรแกรมควบคุม โดยการนำ GPS ติดกับเป้าหมายเพื่อให้ระบบค้นหาตำแหน่ง พร้อมส่งข้อมูลแสดงผลพิกัดและตำแหน่งบนแผนที่ทางจอภาพ สามารถระบุตำแหน่งได้ทั่วโลกตามความต้องการ ด้วยความสามารถของสัญญาณดาวเทียม ซึ่งใช้โปรแกรม Visual Basic ในการคำนวณหาตำแหน่งและยังสามารถบันทึกข้อมูลลงบนฐานข้อมูลได้ ไม่ว่าจะอยู่ในพิกัดตำแหน่งใดก็สามารถรู้ได้ทันที และประยุกต์ใช้กับงานด้านการคมนาคมขนส่ง การติดตามความเคลื่อนไหวของสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัว โดยในการประดิษฐ์ครั้งนี้ใช้ค่าใช้จ่ายประมาณ 3,000 บาทต่อเครื่องเท่านั้น และสามารถใช้งานกับพื้นที่ที่มีความต้องการได้จริง อีกผลงานหนึ่งที่เป็นของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย คือ ระบบแสดงผลการใช้พลังงานแบบไร้สาย ยุคประหยัดพลังงาน เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะปัจจุบัน จึงคิดค้นระบบแสดงผลการใช้พลังงานแบบไร้สายเพื่อพัฒนาศักยภาพ ในด้านการประหยัดพลังงานและสามารถนำมาใช้กับองค์กรทุกประเภท ตอบสนองการใช้งานทั้งองค์กรขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ระบบดังกล่าวจะแสดงผลการใช้พลังงานไฟฟ้าได้สูงสุด 255 จุด มีตัวแม่ข่ายเป็นวงจรแผงควบคุม ใช้ค่าใช้จ่ายไม่เกิน 2,000 บาท นำไปต่อพ่วงกับคอม พิวเตอร์ การออกแบบโปรแกรมหน้าจอแสดงผลการใช้พลังงาน การเขียนโปรแกรมติดต่อระบบโดยข่ายสาย เขียนโปรแกรมควบคุมงานด้วย Visual Basic และจะมีตัวลูกข่ายซึ่งนำไปฝังไว้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องการควบคุมผ่านคลื่นวิทยุความถี่สูง ชุดละ 500 บาท จากการออกแบบทั้งหมดพบว่าเมื่อมีการใช้พลังงานใน พื้นที่ต่าง ๆ ระบบแสดงผลการใช้พลังงานแบบไร้สายจะทำการแสดงผลได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และมีการ ทำงานที่ถูกต้องตามลักษณะการใช้พลังงาน รวมทั้งเวลา วันที่ เวลาที่เริ่มใช้พลังงาน เวลาที่หยุดใช้พลังงาน เวลารวมทั้งหมดที่มีการใช้พลังงานและเก็บผลต่าง ๆ ไว้เป็นข้อมูลเพื่อเรียกดูในครั้งต่อไป สนใจติดต่อ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ศรีวิชัย วิทยาเขตภาคใต้ (สงขลา) โทรศัพท์ 0-7432-3504-6 ต่อ 1997. (เดลินิวส์ อังคารที่ 4 ก.ค. 2549http://www.dailynews.co.th/)





ทับทิมต้านมะเร็งต่อมลูกหมาก ยับยั้งอาการโรคให้สะดุดหยุดยั้ง

นักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ได้พบว่า ผู้ป่วยที่ได้ดื่มน้ำทับทิมคั้นทุกวัน จะทำให้อาการป่วยคงตัวอยู่ได้นานกว่าปกติถึง 4 เท่า พวกเขาถึงกับกล่าวบอกด้วยความเชื่อมั่นว่า มันอาจจะช่วยให้ผู้ชายสูงอายุรอดตายด้วยโรคมะเร็งได้ ผู้ป่วยชายที่มีอายุระหว่าง 65-70 ปี จะมีช่วงชีวิตยืนยงอยู่ ได้อย่างปกติ โดยไม่ ต้องไปโหมการรักษาแต่ อย่างใด นักวิจัยของมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เคยแสดงให้เห็นในการศึกษาเมื่อปีกลายว่า น้ำผลทับทิมสามารถถ่วงอาการของโรคมะเร็งในหนูทดลองชะลอลงอย่างน่าทึ่ง แต่ผลการศึกษาครั้งใหม่นี้แสดงให้เห็นว่ามันให้คุณกับมนุษย์ด้วยเช่นเดียวกัน หัวหน้าคณะนักวิจัย ดร.อัลเลน แพนตัคกล่าวว่า ในคนไข้สูงอายุที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เราหวังว่าอาจจะให้กินน้ำผลทับทิมคั้น เพื่อช่วยยืดช่วงเวลาที่ต้องให้การรักษาแบบอื่นซ้ำออกไปได้ เพราะปกติแล้ว จำเป็นจะต้องรักษาด้วยฮอร์โมนหรือตัวยาเคมีต่ออีก ซึ่งล้วนแต่เกิดผลข้างเคียงที่อาจเป็นอันตรายทั้งสิ้น เป็นที่ทราบกันว่า ผลทับทิมมีตัวยาเคมีหลายชนิดที่มีสรรพคุณช่วยป้องกันภัยให้กับเซลล์ และอาจจะช่วยทำลายเซลล์มะเร็งด้วย นอกจากนั้นยังมีสรรพคุณป้องกันการอักเสบ กับเป็นตัวล้างพิษแรงสูง ช่วยปกป้องร่างกายจากสารอนุมูลอิสระ. (ไทยรัฐ อังคารที่ 4 ก.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





กินกระเทียมดิบลดคอเลสเทอรอล นักวิจัยศึกษาทดลองกับหนูได้ผล

นักวิจัยหลายคณะเคยศึกษารู้ว่ากระเทียมเป็นคุณกับหัวใจ หากแต่ยังไม่รู้แน่ชัดว่าควรจะกินกันมากสักเท่าใด ถึงจะดี นักวิจัยของคณะเคมีการแพทย์ มหาวิทยาลัยเฮบรูว์ ที่นครเยรูซาเลม ได้ศึกษากับหนูทดลองในห้องปฏิบัติการ ป้อนกระเทียมให้มันกินในปริมาณขนาดต่างๆ ระหว่างวันละ 500-1,000 มิลลิกรัม พร้อมกับขุนมันด้วยอาหารที่อุดมด้วยคอเลสเทอรอลไปด้วย เมื่อเลี้ยงนาน 1 เดือนพบว่า หนูตัวที่ได้กินกระเทียมวันละ 500 มิลลิกรัม สามารถจะทนกับพิษของอาหารที่อุดมด้วยคอเลสเทอรอลได้ดีที่สุด โดยเลือดของมันจะจับตัวเป็นก้อนช้าที่สุด ก้อนเลือดที่จับตัวจะไปอุดหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจและสมอง. (ไทยรัฐ อังคารที่ 4 ก.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





'ขับรถพูดโทรศัพท์' เท่า 'เมาแล้วขับ' เสนอให้ออกก.ม.จับกุมผู้กระทำผิด

คณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยยูทาห์ สหรัฐฯ ได้ศึกษากับอาสาสมัครให้ใช้เครื่องจำลองการขับรถ โดยให้ทุกคนพูดโทรศัพท์มือถือด้วย และได้รายงานผลการศึกษาในวารสารวิชาการ “ฮิวแมน แฟคเตอร์” ว่า เขาเหล่านั้น จะขับด้วยความเร็วต่ำกว่าปกติเล็กน้อย และจะตัดสินใจเหยียบเบรกช้าลงไป 9% กับใช้ความเร็วไม่สม่ำเสมอยิ่งกว่าผู้ขับรถธรรมดาทั่วไป ดร.เดวิด สแตรเยอร์ หัวหน้าคณะวิจัย เปิดเผยว่า ผลการศึกษาส่อว่าการขับรถพร้อมกับพูดโทรศัพท์ไปด้วย ทำให้ขับรถไม่ได้ดี “ขับเหมือนกับคนเมา” ราวกับขาดการเอาใจใส่ มืดบอดกับข้อมูลสำคัญต่างๆรอบๆ โดยไม่รู้สึกตัว ผลจากการศึกษาเป็นหลักฐานเพียงพอที่ ควรจะมีกฎหมายห้ามคนพูดโทรศัพท์ขณะขับรถเสีย โฆษกของราชสมาคมป้องกันอุบัติเหตุของอังกฤษ กล่าวว่า การศึกษาหนที่แล้วๆมา ก็แสดงว่า คนขับที่ใช้ โทรศัพท์เสี่ยงกับการขับรถชนสูงกว่าปกติถึง 4 เท่า “เพราะมัวพูดเพลิน จึงเอาใจใส่กับถนนข้างหน้าน้อยลงทุกที มักจะขับไปชิดคันหน้ามากเกินไป ใช้ความเร็วไม่สม่ำเสมอ สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ล่อแหลมกับการขับชนมากขึ้น”. (ไทยรัฐ อังคารที่ 4 ก.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





มจธ.คิดเครื่องตรวจระเบิดใต้ท้องรถ

รศ.ดร.ธำรงรัตน์ อมรรักษา อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) หัวหน้าทีมพัฒนาระบบตรวจค้นวัตถุระเบิดใต้ท้องรถขณะขับเคลื่อน เปิดเผยว่า ระบบดังกล่าวออกแบบมาสำหรับใช้งานในพื้นที่จริง ซึ่งช่วยในการตรวจสอบวัตถุระเบิดใต้ท้องรถให้มีความรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น ล่าสุด มจธ. ได้นำเครื่องต้นแบบที่พัฒนาเสร็จแล้วมาทดสอบประสิทธิภาพด้วยการค้นหาวัตถุระเบิดชนิด ซีโฟร์ และทีเอ็นที ร่วมกับกลุ่มงานเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด กองบัญชาการตำรวจนครบาล ระเบิดทั้ง 2 ชนิด เป็นระเบิดแสวงเครื่องที่ประกอบจากการเคมี ซึ่งผู้ก่อความไม่สงบนิยมใช้กัน ระบบที่พัฒนาขึ้นนี้สามารถตรวจจับวัตถุระเบิดใต้ท้องรถโดยไม่ต้องหยุดรถได้โดยใช้เวลาประมาณ 5- 8 วินาที ต่อคัน ระบบดังกล่าวประกอบด้วยอุปกรณ์หลัก 3 ชิ้น คือ พัดลมที่มีความแรงสูงซึ่งทำหน้าที่เป่าลมเข้าสู่บริเวณใต้ท้องรถเพื่อให้ไอระเหยของวัตถุระเบิดกระจายออกมา จนถูกดูดเข้าสู่พัดลมดูดอากาศและท่อลมที่เชื่อมต่อกับเครื่องตรวจค้นวัตถุระเบิดที่ใช้เทคโนโลยีการวิเคราะห์กลิ่นหรือไอระเหยของสารเคมีที่เป็นส่วนประกอบหลักของระเบิด เพื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พื้นที่สำหรับรถวิ่งผ่านจุดตรวจได้ทำให้เป็นลูกระนาด เพื่อให้ตัวรถเกิดการสั่นสะเทือนทำให้ไอระเหยของระเบิดเล็ดลอดออกมาได้ง่ายขึ้น ในกรณีที่มีการตรวจพบวัตถุต้องสงสัยอุปกรณ์ตรวจค้นวัตถุระเบิดจะทำงาน โดยส่งสัญญาณเตือนให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อทำการตรวจค้นอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งวิธีการดังกล่าวจะช่วยให้การตรวจสอบทำได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องหยุดรถ "ระบบนี้สามารถประยุกต์ใช้ร่วมกับระบบรักษาความปลอดภัยที่มีอยู่เดิม เพียงเพิ่มพัดลมและท่อลมเท่านั้น ซึ่งใช้งบประมาณน้อยมาก ส่วนจมูกอิเล็กทรอนิกส์เป็นอุปกรณ์มีใช้กันตามหน่วยงานตรวจสอบความปลอดภัยอยู่บ้างแล้ว โดยราคาขายอยู่ที่ 60,000-2 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพการใช้งาน ซึ่งในอนาคตมีแนวโน้มที่นักวิจัยไทยจะพัฒนาขึ้นเพื่อใช้เองได้ โดยจะทำให้ราคาค่าติดตั้งระบบถูกลง" (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 4 ก.ค. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





เปิดตัวรถหุ้มเกราะไทย กระสุนเจาะเกราะและลูกอาก้าไม่ระคายผิว

นายศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า ผลงานการพัฒนาต้นแบบยานยนต์หุ้มเกราะอเนกประสงค์ขนาดเบาทางยุทธวิธี ภายใต้ชื่อ “อัศวิน” เป็นงานวิจัยที่ทำร่วมกันระหว่างสำนักงานวิจัยพัฒนาการทหารกลาโหม กระทรวงกลาโหม กับกระทรวงวิทยาศาสตร์ ใช้ทุนพัฒนาทั้งสิ้น 6.94 แสนบาท ขณะนี้การออกแบบรถหุ้มเกราะดังกล่าวสำเร็จแล้ว ทั้งในส่วนของการพัฒนาโครงสร้างและตัวถังรถ ที่ดัดแปลงมาจากโครงของรถกระบะให้มีน้ำหนักเบา และทดสอบความเหมาะสมในการใช้งาน โดยสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ในส่วนของการพัฒนาเกราะกันกระสุน เป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่าง ภาควิชาวิศวกรรมเซรามิก คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี กับสำนักงานวิจัยพัฒนาการทหารกลาโหม เพื่อหาวัสดุที่มีความเหมาะสม จนกระทั่งได้วัสดุผสมระหว่างเซรามิกกับอลูมิเนียมออกไซด์ ที่มีประสิทธิภาพสำหรับใช้เป็นเกราะกันกระสุน โดยสามารถป้องกันกระสุนเอ็ม 16 แบบธรรมดา และกระสุนชนิดเจาะเกราะ รวมถึงกระสุนอาก้าที่มีประสิทธิภาพรุนแรงได้ (คมชัดลึก พุธที่ 5 ก.ค. 2549 http://www.komchadluek.net)





สหรัฐใกล้พบวิธีคืนชีพสมอง ปลุกชีวิตผู้ป่วยหลอดเลือดตีบ

นักวิจัยสหรัฐหาวิธีฟื้นสภาพสมองที่ได้รับความเสียหายของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบที่หมดสติให้ซ่อมแซมตัวเองขึ้นมาใหม่ โดยอาศัยเซลล์ต้นกำเนิดของตัวเองแทนการปลูกถ่ายเซลล์ใหม่ อย่างน้อยประสบความสำเร็จในหนูแล้ว นักวิจัยเชื่อกันว่า เนื้อเยื่อมากมายในร่างกายมีสเต็มเซลล์ที่สามารถแบ่งตัวเพื่อสร้างเนื้อเยื่อใหม่ได้ แต่ไม่ใช่จะทำได้ง่ายนัก และเนื้อเยื่อเหล่านี้โดยธรรมชาติแล้วจะไม่แบ่งตัวเพื่อซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ได้รับความเสียหายรุนแรง เช่น อาการเส้นเลือดสมองตีบ โรนัลด์ แมคเคย์ และทีมงานจากสถาบันความผิดปกติทางประสาทและหลอดเลือดสมองแห่งสหรัฐ พบว่าโปรตีนตัวหนึ่งที่เรียกว่า "น็อตช์" สามารถช่วยเพิ่มปริมาณสเต็มเซลล์สมองได้ ทีมวิจัยได้ศึกษาหนูที่สมองได้รับความเสียหายคล้ายกับโรคหลอดเลือดสมองตีบจนไม่สามารถขยับร่างกายได้ แต่หลังจากนักวิจัยได้ให้โมเลกุลที่กระตุ้นน็อตช์บริเวณสมองเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ หนูที่เป็นอัมพาตเริ่มขยับร่างกายได้ และยังตรวจพบมีกลุ่มเซลล์ใหม่ในสมองเพิ่มขึ้นด้วย อย่างไรก็ดี วิธีการเดียวกันนี้ไม่แน่ว่าจะใช้รักษาคนที่หมดสติจากเส้นโลหิตสมองตีบได้ เพราะการกระตุ้นน็อตช์อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงปรารถนาได้ แต่ก็ยังหวังว่ายาที่กระตุ้นน็อตช์ หรือโปรตีนที่เกี่ยวข้องอาจนำมาใช้เพิ่มสเต็มเซลล์ในสมอง หรือเนื้อเยื่ออื่นๆ เพื่อการใช้งานทางการแพทย์ได้ (คมชัดลึก พุธที่ 5 ก.ค. 2549 http://www.komchadluek.net)





กาแฟช่วยสกัดป้องกันเบาหวาน ซดวันละ 6 ถ้วยห่างโรค 33%

นักวิจัยโรงเรียนสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมินเนโซตาของอเมริกา ศึกษาพบว่า กาแฟที่ปลอดคาเฟอีนมีส่วนสัมพันธ์ กับโอกาสของการป่วยเป็นเบาหวานได้ยาก การศึกษาที่ได้ทำกับผู้หญิงชาติเดียวกัน จำนวน 28,000 คน พบว่าผู้ที่ดื่มกาแฟไร้คาเฟอีนวันละ 6 ถ้วย จะเสี่ยงกับการเป็นเบาหวานต่ำกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่ม 22% และหากเป็นผู้ที่ดื่มเกินวันละ 6 ถ้วยขึ้นไป จะหนีห่างได้มากถึง 33% นักวิจัยยังได้ พยายามศึกษาว่า อาจมีส่วนประกอบในกาแฟที่ไร้คาเฟอีนอย่างอื่น มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่หรือไม่ เพราะในกาแฟมีแร่ธาตุอื่นๆอีก เช่น แมกนีเซียม ซึ่งอาจจะช่วยส่งเสริมการควบคุมโลหิต แต่จากข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาทั้งหมด ก็ยังหาไม่พบว่าเกี่ยวพันอันใด กาแฟยังมีส่วนผสมของพฤกษเคมี พวกสารที่ทำให้เกิดการเปลี่ยน แปลงทางเคมีในพืชอีกหลายอย่าง ซึ่งดูเหมือนว่าล้วนแต่ทรงสรรพคุณในการล้างพิษสูง นักวิจัยกล่าวให้ ความเห็นว่า พวกเหล่านี้อาจจะช่วยคุ้มครองเซลล์ซึ่งผลิตอินซูลินในตับไม่ให้เป็นอันตราย เป็นการป้องกันหรือช่วยยับยั้งโรคเบาหวาน. (ไทยรัฐ พุธที่ 5 ก.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





พบยาปราบโรคมะเร็งในสวนผลไม้ ขัดขวางไม่ให้เลือดไปเลี้ยงเนื้อร้าย

นักวิจัยมหาวิทยาลัยเฮบรูว์ได้พบโปรตีนคล้ายกับโปรตีนที่กำลังค้นคว้าอยู่นั้น มีสรรพคุณสามารถขัดขวางเลือดไม่ให้ไปหล่อเลี้ยงเนื้อร้ายได้ “ถ้าสกัดไม่ให้มีเลือดไปเลี้ยงเนื้อร้าย เซลล์เนื้อร้ายก็จะเป็นง่อย ไม่มีแรงไหลลอยตัวไปตามกระแสโลหิต วิธีนี้ปรากฏว่าจะสกัดเซลล์เนื้อร้ายได้ โดยไม่กระทบกระเทือนกับเซลล์ปกติ และไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงร้ายแรง เหมือนอย่างการรักษาด้วยการฉายรังสีและตัวยาเคมีด้วย" หัวหน้าคณะนักวิจัย นายโอเด โชเซยอฟ กล่าวว่า คณะของเขาพบหนทางนี้เข้า ขณะที่ใช้ โปรตีนเพื่อให้ต้นลูกท้อลดออกผลให้น้อยลงอยู่ โดยการถ่วงเซลล์เกสรไว้ไม่ให้เจริญเติบโต ทางมหาวิทยาลัยได้อธิบายว่า คณะของโชเซยอฟได้ใช้เทคนิคการตัดแต่งยีน สร้างโปรตีน ซึ่งมีฤทธิ์ต่อต้านมะเร็งขึ้นหลายอย่าง “โดยที่ที่ประชุมทางวิทยาศาสตร์ระหว่างชาติ และวงการธุรกิจ ได้แสดงความสนใจในผลงานเหล่านี้เป็นอย่างยิ่ง” (ไทยรัฐ พุธที่ 5 ก.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





พริกแสดงอภินิหารดับข้ออักเสบ บำบัดอาการเจ็บปวดทรมานลง

นักวิจัยมหาวิทยาลัยคิง คอลเลจของลอนดอน กำลังปลุกปล้ำนำเอารสชาติ เผ็ดร้อนของพริก มาใช้ปราบโรคข้ออักเสบอยู่ ด้วยการใช้ความเผ็ดเข้าปราบอาการอักเสบบวม นักวิทยาศาสตร์ผู้ปฏิบัติกล่าวว่า แม้ว่าจะยังเป็นเพียงการทดลองระยะต้นๆเท่านั้น แต่ก็เชื่อมั่นว่าจะสามารถนำไปผลิตยาขึ้นได้ในที่สุด ด้วยความหวังว่าจะใช้มันบำบัดอาการเจ็บปวดทรมานจากโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ลงได้ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นโรคเนื่องมาจากการอักเสบ เนื่องจากระบบภูมิ คุ้มกันโรคในตัว กลับทำร้ายข้อต่างๆ ทำให้รู้สึกเจ็บปวด เกิดการอักเสบและเคลื่อนไหวติดขัด. (ไทยรัฐ พุธที่ 5 ก.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





หมอจุฬาฯ ทำผิวหนังเทียม ความหวังใหม่รักษาแผลไฟไหม้รุนแรง

น.พ.ถนอม บรรณประเสริฐ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ทีมวิจัยอยู่ระหว่างพัฒนาผิวหนังเทียม ที่มีคุณสมบัติในการเร่งให้บาดแผลสร้างเนื้อเยื่อใหม่ได้เร็วขึ้น และร่างกายไม่มีปฏิกิริยาต่อต้าน เพื่อรักษาผู้ป่วยที่บาดแผลลึกถึงขั้นสูญเสียผิวหนังชั้นใน ซึ่งผิวหนังชั้นดังกล่าวไม่สามารถงอกใหม่ โดยได้รับทุนวิจัยจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เมื่อปีที่แล้ว น.พ.ถนอม พร้อมทีมงาน ประสบความสำเร็จจากการเพาะเลี้ยงกระดูกอ่อนใบหูมนุษย์บนหลังหนู โดยใช้เทคโนโลยีวิศวกรรมเนื้อเยื่อ เช่นเดียวกับการวิจัยผิวหนังเทียม ที่ต้องอาศัยองค์ความรู้จากสาขาต่างๆ ประกอบเข้าด้วยกัน ทั้งวัสดุศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์รวมถึงแพทยศาสตร์ ทั้งยังได้รับความร่วมมือในการทดลองจากทีมแพทย์ของโรงพยาบาลศิริราช โดยคาดว่าต้นแบบผิวหนังเทียมที่พัฒนาสำเร็จ จะนำไปทดสอบใช้จริงกับผู้ป่วยราวสิ้นปีนี้ สำหรับความคืบหน้าของโครงการวิจัย อยู่ระหว่างพัฒนาวัสดุที่ใช้ทำผิวหนังเทียม โดยสามารถพัฒนาสารตั้งต้นชนิดคอลลาเจน ให้มีลักษณะเป็นรูพรุน เพื่อช่วยให้เซลล์ยึดเกาะและสร้างเนื้อใหม่ อีกทั้งได้ส่งตรวจสอบประสิทธิภาพกับสัตว์ทดลองพบว่า สารตั้งต้นดังกล่าวสามารถสร้างเนื้อใหม่ได้จริง จากนั้นจะต้องได้รับการปรับปรุงคุณสมบัติ โดยผนวกกับเจลาติน โปรตีนจากไหมและไคโตซาน ก่อนที่จะนำไปทดลองในมนุษย์ (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 7 ก.ค. 2549 http://www.komchadluek.net)





นร.แก่นนครเพิ่มค่าขยะเปลือกหอย

นางสาวชลธิชา สาหับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย จังหวัดขอนแก่น หนึ่งในนักเรียนทุนโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้ศึกษาการผลิตปูนขาวจากขยะเปลือกหอย เพื่อใช้ประโยชน์เป็นสารเพิ่มความกรอบในผลไม้ดอง โครงการมุ่งศึกษาวิธีการทำปูนขาวจากเปลือกหอยต่างชนิดกัน ได้แก่ เปลือกหอยแครง เปลือกหอยแมลงภู่ เปลือกหอยกาบและเปลือกหอยทราย เพื่อศึกษาหาปริมาณแคลเซียมไฮดรอกไซด์ที่มีอยู่ในปูนขาว และเปรียบเทียบประสิทธิภาพของปูนขาวจากเปลือกหอยกับปูนขาวจากท้องตลาด การทดลองเริ่มจากนำเปลือกหอยมาเผาจนได้เป็นปูนหอยเผา จากนั้นนำไปทำปฏิกิริยากับกรดชนิดหนึ่ง พบว่าแคลเซียมไฮดรอกไซด์ในปูนขาวจากเปลือกหอยแครง จะมีปริมาณมากกว่าปูนขาวจากเปลือกหอยทราย หอยกาบและหอยแมลงภู่ ตามลำดับ เนื่องจากหอยแครงเป็นหอยทะเล จึงมีสารประกอบของแคลเซียมมากกว่าหอยที่อาศัยอยู่บนบกและในน้ำจืด ส่วนหอยแมลงภู่ แม้จะเป็นหอยทะเล แต่ก็มีเปลือกส่วนที่เป็นสีเขียวอยู่มาก จึงมีปริมาณแคลเซียมน้อยกว่า นอกจากนั้นยังพบว่าปูนขาวจากเปลือกหอยแครง มีประสิทธิภาพในการเพิ่มความกรอบให้กับมะม่วงได้ดีกว่าปูนขาวจากท้องตลาด ทั้งนี้ ความรู้ได้สามารถประยุกต์ใช้ประโยชน์ ในการผลิตและถนอมอาหารโดยเฉพาะผลไม้ดอง ซึ่งในอนาคตอาจส่งเสริมให้ทำปูนขาวจากเปลือกหอยเป็นอุตสาหกรรม รวมทั้งยังเป็นการสร้างประโยชน์จากสิ่งเหลือใช้ เช่น เปลือกหอย อีกด้วย (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 7 ก.ค. 2549 http://www.komchadluek.net)





'ธัญบุรี' แชมป์หุ่นยนต์โปรกอล์ฟ

นายวิเชียร อูปแก้ว อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) เปิดเผยว่า นักศึกษา 3 คนในความดูแล ได้ร่วมกันพัฒนาหุ่นยนต์โปรกอล์ฟ และได้รับรางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันประดิษฐ์หุ่นยนต์โปรกอล์ฟ โดยใช้โปรแกรมพีแอลซี ชิงแชมป์ประเทศไทย 2549 ทีมนักศึกษาได้ออกแบบหุ่นยนต์ ให้สามารถทำงานต่อเนื่องแบบรวดเดียวจบ ทั้งเก็บลูก วางลูก และตีลูก ผ่านโปรแกรมพีแอลซีตามที่คณะกรรมการกำหนด ส่วนโปรแกรมดังกล่าวเป็นโปรแกรมควบคุมการทำงานในเทคโนโลยีอัตโนมัติ กำลังเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในภาคอุตสาหกรรมปัจจุบัน โดยใช้เวลาสร้างและประกอบหุ่นยนต์ประมาณ 3 สัปดาห์ จากนั้นใช้เวลา 1 สัปดาห์ในการฝึกซ้อมควบคู่กับการแก้ไขเมื่อพบข้อผิดพลาด หุ่นยนต์โปรกอล์ฟที่นักศึกษาพัฒนาขึ้น สร้างผลงานเป็นที่น่าพอใจ สามารถตีลูกกอล์ฟได้ 10 ลูกอย่างต่อเนื่อง มีความผิดพลาดตีไม่ลงหลุมเฉลี่ย 2 ใน 10 เท่านั้น โดยในการออกแบบ ทีมงานให้ความคำสัญกับการคำนวณเซ็ทหน้าไม้กอล์ฟ เซ็ทไลน์เคลื่อนที่ของลูกและระดับความแรงในการตี ควบคู่กับการเขียนโปรแกรมควบคุม ตำแหน่งจัดวางซีพียูมอเตอร์ รวมถึงการออกแบบแกนบรรจุลูก ส่วนวางลูกและส่วนตีลูก สำหรับทีมนักศึกษา ประกอบด้วย นายยุทธกิจ จันทร์ธิมา นายบุญส่ง โกสินทร และนายปรเมษธ์ คุณวัลลี เพิ่มเติมว่า ส่วนที่ทำให้หุ่นยนต์โปรกอล์ฟของพวกตนชนะทีมอื่น น่าจะเป็นความสามารถในการเก็บลูก วางลูก และตีลูก ซึ่งได้ออกแบบให้ทำงานต่อเนื่องกัน ขณะที่หุ่นยนต์จากคู่แข่งทำงานแยกหน้าที่กัน โดยตัวแรกจะใช้เก็บลูกและวางลูก อีกตัวหนึ่งใช้ตีลูก ทำให้เกิดความยุ่งยากในการจัดทำระบบ (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 7 ก.ค. 2549 http://www.komchadluek.net)





สร้างแขนขาเทียมบังคับด้วยสมอง ทดลองกับคนไข้เป็นผลสำเร็จแล้ว

นักวิจัยประกาศว่า จะสามารถสร้างแขนขาเทียมซึ่งมีกำลังหรือความสามารถพิเศษ ทำงานตามความคิดนึกของเจ้าของ จะสำเร็จออกมาได้ภายใน 5 ปีนี้ หนังสือพิมพ์รายวัน “เดอะ มิเร่อร์” ของอังกฤษ เสนอข่าวว่า ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังพัฒนาสิ่งปลูกฝังซึ่งจะเชื่อม เส้นประสาทกับแขนขาเทียมด้วยขั้วไฟฟ้าพิเศษคณะแพทย์ของโรงพยาบาลเขาเวอร์นอน ที่แคว้น มิดเดิลเซกซ์ ได้ทดลองอุปกรณ์ เหล่านี้กับคนไข้แขนขาด้วนไป 10 รายแล้ว อย่างเช่น คนไข้รายหนึ่งซึ่งไม่เคยใช้ปากกาเขียนหนังสือมา 15 ปีแล้ว ก็เพิ่งจะกลับใช้มันได้ ข่าวกล่าวว่าอุปกรณ์ทำด้วยโลหะชนิดพิเศษ ที่ปล่อยให้ผิวหนังงอกผ่านได้ และหุ้มทับแผลเอาไว้ ดร.แคทเธอรีน เปนเดกราสส์ผู้เชี่ยวชาญในคณะคนหนึ่งกล่าวว่า “เรากำลังจะทำให้ใช้ความคิดควบคุมมันได้ แต่ยังไปไม่ถึง อาจจะต้องใช้เวลาภายใน 5 ปีข้างหน้านี้”. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 7 ก.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





ญี่ปุ่นให้โอกาสไทยส่งงานวิจัยไปอวกาศ

ดร.ประวิช รัตนเพียร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในโครงการสมองไหลกลับ ร่วมกับองค์กรสำรวจการบินอวกาศญี่ปุ่น (JAXA) เปิดรับโครงงานวิจัย 2 ประเภท คือ โครงงานเกี่ยวกับการจำลองสภาพไร้น้ำหนักโดยใช้เครื่องบิน “The First Student Micro- Gravity Flight Experiment Contest” ของนักศึกษาระดับอุดมศึกษา ทีมละไม่เกิน 3 คน ศึกษาเกี่ยวกับสภาพแรงโน้มถ่วงต่ำ ผู้ชนะจะได้ไปญี่ปุ่นเพื่อร่วมทดสอบโครงงานวิจัยบนเครื่องบินจำลองสภาพไร้น้ำหนัก (Parabolic Flight) ส่วนโครงงาน “Research Proposal for KIBO” เป็นการประกวดโครงงานวิจัยเพื่อนำขึ้นไปทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติ ในส่วนพื้นที่ของประเทศญี่ปุ่น บนยาน KIBO หรือองค์กรอวกาศ JAXA ทั้งสองโครงงานกำหนดเปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ - 21 ส.ค.นี้ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.tmc. nstda.or.th/jaxa (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 7 ก.ค. 2549 http://www.dailynews.co.th/)





'หุ่นยนต์สื่ออารมณ์'เลียนแบบหน้า

พระจอมเกล้าธนบุรีออกแบบหุ่นยนต์สื่ออารมณ์ หวังปูทางสู่การพัฒนาหุ่นยนต์ต้อนรับแทนแรงงานคน เผยติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจจับน้ำเสียงคู่สนทนา พร้อมปรับอารมณ์ตามข้อมูลที่ได้รับ นายนาเซส พัชณีย์ นักศึกษาสาขาวิชาระบบควบคุมและเครื่องมือวัด คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เจ้าของ “หุ่นยนต์ต้นแบบแสดงอารมณ์” เปิดเผยถึงความสำเร็จในการออกแบบและพัฒนาหุ่นยนต์ ที่สามารถเลียนแบบพฤติกรรมอารมณ์ของมนุษย์ โดยหวังประยุกต์ใช้ทำหน้าที่พนักงานต้อนรับแทนแรงงานคน การพัฒนาหุ่นยนต์ดังกล่าว เกิดจากแนวคิดที่ต้องการศึกษาพฤติกรรมใบหน้ามนุษย์ ในลักษณะอารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป ตลอดจนออกแบบหุ่นยนต์เลียนแบบขึ้น เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพการใช้งาน รวมถึงโอกาสพัฒนาต่อยอดให้เป็นหุ่นยนต์ต้อนรับได้ในอนาคต (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 7 ก.ค. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





ฟิลิปส์เปิดตัวระบบทางไกลเฝ้าคนไข้

นายจูโก คาร์วิเนน ประธานกรรมการบริหารแผนกเครื่องมือแพทย์ฟิลิปส์ บริษัทรอยัล ฟิลิปส์ อิเล็กทรอนิกส์ เปิดเผยว่า ฟิลิปส์ร่วมกับศูนย์หัวใจแห่งชาติของสิงคโปร์ ได้พัฒนาระบบเฝ้าอาการผู้ป่วยระยะไกล (Telemonitoring) เพื่อดำเนินโครงการทดลองเฝ้าติดตามอาการผู้ป่วยโรคหัวใจอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะอยู่ที่โรงพยาบาลหรือบ้าน และโครงการดังกล่าวถือเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวสู่ "โรงพยาบาลแห่งอนาคต" ซึ่งนำเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ซับซ้อน มาใช้ในการดูแลและรักษาผู้ป่วยได้อย่างใกล้ชิด ระบบเฝ้าอาการผู้ป่วยระยะไกลพัฒนาขึ้นภายใต้โครงการ "Motiva" ซึ่งเป็นการเฝ้าอาการผู้ป่วยระยะไกลด้วยโทรทัศน์ ที่นอกจากการเฝ้าติดตามสัญญาณชีพแล้ว ยังรายงานสภาพของผู้ป่วยแต่ละรายทุกวัน ช่วยให้แพทย์และพยาบาลติดตามอาการของผู้ป่วยได้วันละหลายๆ คน พร้อมทั้งให้คำแนะนำการปฏิบัติตนในระยะยาว และยังประหยัดค่าใช้จ่าย ด้วยการดูแลรักษาสุขภาพอยู่ที่บ้าน (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 12 ก.ค. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





ข่าวทั่วไป


ยกย่องรำมวยจีนเป็นคุณผู้สูงอายุ ช่วยบำรุงทั้งร่าง กายรวมทั้งจิตใจ

นักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ได้กล่าวยกย่องการออกกำลังแบบโบราณของจีน อย่างการรำมวยจีนว่า ให้คุณกับผู้สูงอายุอย่างยิ่ง นักวิจัยกล่าวว่า เพราะการออกกำลังแบบนั้น ได้รวมเอาการเคลื่อนไหวแบบง่ายแต่สง่างามไว้เข้ากับการใช้สมาธิ เป็นชุดการออกกำลังที่เชื่อว่า ให้ผลทั้งความผ่อนคลายและสุขสบายต่อจิตใจและร่างกายของบุคคลอย่างไม่ต้องสงสัย ศาสตราจารย์ยัง ยัง อาจารย์วิชาวิทยาการเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของส่วนต่างๆของร่างกาย กล่าวชี้ว่า การออกกำลังแบบนี้ค่อนข้างง่ายๆ ปลอดภัยและแทบไม่ต้องเสียอะไรเลย ไม่ต้องใช้ อุปกรณ์อันใด ทำให้ผู้สูงอายุที่ร่างกายยังดีทำ ได้ง่าย ศาสตราจารย์ยังได้ร่วมกับนักวิจัยคนอื่น ศึกษาคุณประโยชน์ของการรำมวยจีนไท ชิ ทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพ โดยจัดให้อาสาสมัครผู้ สูงอายุที่ยังคงแข็งแรง ฝึกรำมวยจีนอาทิตย์ละ 3 หน เป็นเวลา 6 เดือน ได้พบว่าผู้ปฏิบัติเริ่มได้ ประโยชน์ หลังจากผ่านการฝึกมาได้เพียงแค่ 2 เดือนเท่านั้น เมื่อครบหลักสูตร ผู้ผ่านการฝึกได้แสดงให้เห็นในการทดสอบภายใต้การควบคุมในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ในด้านการทรงตัว ความแข็งแรงของร่างกายท่อนล่าง และช่วงก้าวเดินว่า เหนือกว่าเก่า พร้อมกับมีหลักฐานว่ายังช่วยให้นอนหลับ มีสมาธิ ความจำ การเคารพตัวเองและระดับพลังงานทั่วไปดีขึ้นอีกด้วย. (ไทยรัฐ อังคารที่ 4 ก.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์บริการเช็คเตาไมโครเวฟฟรี

นพ.ไพจิตร์ วราชิต อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่ากองรังสีและเครื่องมือแพทย์ร่วมกับศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์จัดทำโครงการตรวจสอบการรั่วของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากเตาอบไมโครเวฟให้แก่ประชาชนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อให้ผู้บริโภคใช้งานได้อย่างปลอดภัยที่สุด ทั้งนี้ เตาอบไมโครเวฟเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับประชาชนเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย การทำงานของเตาอบไมโครเวฟเป็นการปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่ 2,450 เมกะเฮิรตซ์ จากหลอดแมกนีตรอนให้เกิดการสะท้อนไปมาภายในเตาอบ ถ้าผนังหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของเตาอบมีรอยรั่วหรือไม่สามารถป้องกันการรั่วของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้เพียงพอ และผู้ใช้มีพฤติกรรมการใช้แบบไม่ระมัดระวังตัวหรือจำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับอุปกรณ์ชนิดนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็อาจได้รับอันตรายจากคลื่นรั่วจากเตาอบไมโครเวฟ อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้วเตาอบไมโครเวฟที่ได้มาตรฐาน มีเครื่องหมาย มอก.จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมจะมีความปลอดภัยสูง แต่อันตรายที่เกิดขึ้นได้นั้นมักจะเกิดจากเตาอบที่มีความเก่ามาก ๆ เป็นสนิมผุ วัสดุเคลือบลอก บานพับประตูชำรุด ประตูปิดไม่สนิท หรือกระจกแตกอาจมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารั่วออกมา ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยจึงไม่ควรเข้าใกล้เตาอบไมโครเวฟขณะเครื่องกำลังทำงาน เนื่องจากคลื่นไมโครเวฟไม่สามารถมองเห็นได้และไม่มีกลิ่น ต้องใช้เครื่องมือตรวจวัด ผู้ใช้ที่ไม่มั่นใจในความปลอดภัยเมื่อเตาอบไมโครเวฟมีสภาพเก่าหรือซื้อมานานแล้ว ควรหมั่นดูแลเตาอบไมโครเวฟว่าฝาเตาปิดสนิทและไม่มีรอยรั่ว สำหรับประชาชนที่สนใจจะตรวจสอบการรั่วของเตาอบไมโครเวฟ สามารถนำมาขอรับการตรวจได้ที่กองรังสีและเครื่องมือแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โทร. 02 589-0022 ต่อ 99770 ในเวลาราชการ หรือที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ในเขตต่าง ๆ ทั่วประเทศ ใช้เวลาตรวจเครื่องละประมาณ 15 นาที (กรุงเทพธุรกิจ อังคารที่ 4 ก.ค. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





คุณยายไฮเทค

คุณยายซึเนโกะ ฮาริกิ วัย 84 ปี และคุณยายกิโกะ โชบุ วัย 81 ปี ที่อาศัยอยู่ทางตะวันตกของญี่ปุ่น ทุกเช้าต้องเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ พร้อมใช้เมาส์ที่ทำขึ้นพิเศษ เพื่อเข้าเว็บไซต์เช็กราคาสินค้าล่าสุด ก่อนออกไปเก็บเกี่ยวพืชผลในไร่ โดยรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศว่าในเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ญี่ปุ่นมีผู้สูงอายุที่มีอายุมาก กว่า 65 ปี ถึง 1 ใน 5 ของประชากรในประเทศ และคาดอีก 10 ปี ข้างหน้าผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 4 ของประชากรในประเทศ (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 7 ก.ค. 2549 http://www.dailynews.co.th/)





ชี้ไทยจุดเสี่ยงศูนย์กลางหวัดใหญ่ระบาด

จากการสัมมนาวิชาการโรคไข้หวัดใหญ่ ปี 2549 เรื่อง Influenza Inter-Pandemic Preparedness Plan Episode IV ที่โรงแรมลองบีช พัทยา ศ.เกียรติคุณ น.พ.ประเสริฐ ทองเจริญ ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยา ประจำองค์การอนามัยโลก กล่าวว่า เป็นการประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าศูนย์กลางของโรคจะอยู่ในประเทศแถบเอเชีย รวมทั้งไทย พ.ญ.ประภาศรี จงสุขสันติกุล ผอ.สำนักโรคไข้ หวัดใหญ่ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า หากมีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ สิ่งที่ต้องเตรียมพร้อมคือ การรับมือใน รพ. การแยกผู้ป่วย ตลอดจนเตรียมสำรองยาต้านไวรัสให้ เพียงพอ ซึ่งขณะนี้ทั่วโลกต่างก็เตรียมกักตุนยาต้านไวรัสเกือบทุกประเทศ สำหรับประเทศไทยได้มีการพัฒนา การผลิตยาต้านไวรัสเองโดยซื้อวัตถุดิบจากอินเดียและจีน โดยให้องค์การเภสัชกรรมเป็นผู้ผลิต คาดว่าจะผลิตยาต้านไวรัสล็อตแรกประมาณ 1 ล้านเม็ดได้ในเดือน พ.ย.นี้ ด้าน รศ.พิเศษ น.พ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิระดับ 11 สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวว่า คำตอบสุดท้ายในการต่อสู้กับโรคไข้หวัดใหญ่ คือ ปัญหาการผลิตวัคซีน แม้จะมีวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่เป็นต้นแบบแล้วก็ตาม แต่ข่าวร้ายคือสามารถผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้เพียง 900 ล้านโดส ในขณะที่ประชากรทั่วโลกมีประมาณ 6 พันล้านคน เท่ากับว่ามีประชากรเพียง 12% ที่จะได้รับวัคซีน หากเกิดการระบาดจริงย่อมไม่มีวัคซีนเพียงพอ ทั้งนี้มีการคาดการณ์แนวโน้มการระบาดครั้งใหญ่ หลายฝ่ายเชื่อว่าจุดศูนย์กลางการระบาดจะเริ่มที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทยจึงถือว่าเป็นพื้นที่เสี่ยงและเหมาะสมในการทำการวิจัย ซึ่งจำเป็นต้องเตรียมพร้อมหาวัคซีนมารองรับ น.พ.สมชาย พีระปกรณ์ เจ้าหน้าที่องค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า โรคไข้หวัดนกเกี่ยวข้องกับการระบาดครั้งใหญ่ของโรคไข้หวัดใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ เพราะเชื้อยังฝังตัวอยู่ในสัตว์ปีก และมีโอกาสผสมพันธุ์ระหว่างเชื้อไข้หวัดใหญ่กับไข้หวัดนกจนทำให้เกิดการกลายพันธุ์ จนติดเชื้อจากคนสู่คน ความเสี่ยงที่องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ไว้อยู่ที่ระดับ 3 ดังนั้น ต้องคุมการระบาดของโรคไข้หวัดนกก่อนลามไปเป็นการระบาดครั้งใหญ่ของโรคไข้หวัดใหญ่ โดยทำแนวรบควบคุมโรคในสัตว์ปีกก่อน (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 7 ก.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





พระเทพฯโปรดพัฒนาที่ดิน ให้บันทึกแนวร่วมประ วัติศาสตร์

นายชัยวัฒน์ สิทธิบุศย์ อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน เผยว่า เมื่อครั้งที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จฯมาเป็นองค์ประธานเปิดงานนิทรรศการตามรอยพระบาทครองราชย์ 60 ปี ฟื้นฟูปฐพีไทย ซึ่งกรมฯได้จัดทำขึ้นเพื่อเฉลิม พระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรง ครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี และทอดพระเนตรนิทรรศการภาพ ถ่ายเฉลิมพระเกียรติพระเจ้าอยู่หัว กับการพัฒนาที่ดินที่ได้ รวบรวมพระบรมฉายาลักษณ์ในการทรงงานในพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาที่ดินตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจำนวน 99 ภาพ สมเด็จพระเทพรัตนราช สุดาฯ ทรงมีรับสั่งให้กรมฯจดบันทึกผู้ที่อยู่ในภาพถ่ายทั้งหมดเพื่อรวบ รวมไว้เป็นประวัติศาสตร์ของกรมพัฒนาที่ดินต่อไป นอกจากนี้ ทรงมีพระราชดำริให้กรมพัฒนาที่ดินเปิดบริการ ด้านวิเคราะห์ดินและจัดการดินที่เหมาะสมให้แก่ประชาชนที่ไม่ใช่ เกษตรกรให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินตามหลักวิชาการให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเกษตรกรมาใช้บริการวิเคราะห์ดิน และข้อแนะนำการจัดการที่ดิน ได้ตามปกติ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด กรมฯได้จัดทำพิพิธภัณฑ์ดินขึ้นมา เพื่อเป็นแหล่งความรู้ด้านดินแห่งแรกและแห่งเดียว ของประเทศไทยที่แสดงถึงวิวัฒนาการด้านการสำรวจจำแนกดิน การแสดงหน้าตัดชุดดินของไทยตามสภาพภูมิประเทศ อุปกรณ์การสำรวจดินตั้งแต่ยุคแรกๆจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งมีแบบจำลองการพัฒนาที่ดิน ซึ่งผู้สนใจสามารถเข้ามาชมได้ที่กรมพัฒนาที่ดิน เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 7 ก.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





จำนวนประชากรคนไทยเพิ่ม0.6% อีก30ปีคนแก่มากถึง25%

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ปัทมา ว่าพัฒนวงศ์ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล และ ศ. ปราโมทย์ ประสาทกุล สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เขียนบทวิจัยเรื่อง “ประชากรไทยในอนาคต” โดยซึ่งเผยแพร่ในการประชุมวิชาการ “ประชากรและสังคม 2549” จัดโดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวเมื่อกลางปี พ.ศ. 2548 ประเทศไทยมีประชากร 62.2 ล้านคน หนึ่งปีถัดไปประมาณได้ว่าประชากรไทย ณ กลางปี 2549 เพิ่มขึ้นเป็น 62.5 ล้านคน เท่ากับว่า 1 ปี มีคนเพิ่มขึ้น 300,000 คนเศษ คิดเป็นอัตราเพิ่มประชากรร้อยละ 0.6 ต่อปี การเพิ่มของประชากรไทยยังคงเพิ่มขึ้นต่อไปในอนาคต แต่เป็นการเพิ่มที่ช้าลง แต่ละปีอัตราเพิ่มประชากรค่อย ๆ ลดลง และในปี พ.ศ. 2565 จะเป็นปีที่ประชากรไทยถึงจุดอิ่มตัว อัตราเกิดจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับอัตราตาย ทำให้อัตราการเพิ่มของประชากรใกล้เคียงกับศูนย์ จำนวนเกิดในแต่ละปีพอ ๆ กับจำนวนตาย คาดว่าประชากรไทยจะถึงจุดอิ่มตัวที่จำนวนประมาณ 65 ล้านคน ในราวปี พ.ศ. 2565 หลังจากนั้น เป็นไปได้ว่าอัตราเพิ่มประชากรจะติดลบคือต่ำกว่าศูนย์บ้างเล็กน้อย ทำให้จำนวนประชากรแต่ละปีลดลง ในขณะที่จำนวนประชากรไทยกำลังเพิ่มช้าลงนั้น ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอายุของประชากรอย่างใหญ่หลวง เมื่ออัตราเกิดลดต่ำลงอย่างมากและผู้คนมีอายุยืนยาวนั้น สังคมไทยจึงกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว ในปี พ.ศ. 2548 ประเทศไทยมีผู้สูงอายุประมาณร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมด แต่ในอีก 30 ปีข้างหน้า ผู้สูงอายุจะเพิ่มเป็นร้อยละ 25 ของประชากรทั้งหมด หรือมีจำนวนมากถึง 16 ล้านคน เมื่อถึงเวลานั้นประชากรสูงอายุจะมีจำนวนมากกว่าประชากรวัยเด็กเสียอีก (กรุงเทพธุรกิจ พุธที่ 12 ก.ค. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215