หัวข้อข่าวปีที่ 7 ฉบับที่ 38 ประจำวันที่ 2006-09-18

ข่าวการศึกษา

สทศ. เปลี่ยนชื่อเว็บไซต์ใหม่เป็น www.niets.or.th
ตั้งธนาคารหลักสูตร รวมข้อมูลการสอน
“จาตุรนต์” จวกกยศ.โอนเงินไอซีแอลอืด
“เปรมประชา” แอ่นอกรับผิด กรอ.อืด-ชี้เหตุล่าช้า
สมศ.ลั่นประเมินร.ร.3.8หมื่นรอบแรก อีก2เดือนรู้ผล คาดจะไม่ผ่านประเมิน 70%
"ไพฑูรย์"ยุจุฬา-มธ.-มหิดลยุติร่วมมือ"สกอ." ช่วยมหาวิทยาลัยเล็กได้รับเกณฑ์จัดเป็นธรรม
"เลขาฯกกอ."เผยโฉม คณะทำงานจัดอันดับ
“อุทุมพร” ยัน สทศ.ไม่พร้อมจัดสอบเอเน็ต
ศธ.ชี้รัฐประหารไม่กระทบงานแต่เก้าอี้ผู้บริหารมีลุ้นสลับใหม่
คูปองส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต โอกาสทางการศึกษาที่ กศน. จัดให้
เสนอทปอ.ตั้งกรรมการ ผลักดันโครงการเรียนล่วงหน้า
ผุดเวบธนาคารหลักสูตร แหล่งความรู้นร.หัวกะทิ
โรงเรียนร้อยละ60 ยังขาดแคลนครูสอน

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

ขวดน้ำอัดลมปรับรสชาติตามสั่ง
นักประดิษฐ์พบวิธีชุบชีวิตแบตเสื่อม จัดระเบียบโมเลกุลไฟฟ้าใหม่ใช้งานได้เหมือนเดิม
ไอโรบอทเปิดตัวหุ่นยนต์ดูดฝุ่น
เปลี่ยนฟางข้าว-ขนไก่ทำเสื้อผ้านุ่งห่ม
คลอเดีย มิตเชลล์ "ไบโอนิก วูแมน!" สาว"แขนกลชีวะ"คนแรกของโลก
ซอฟต์แวร์แลกบัตรผ่านอัจฉริยะ
ออสเตรเลียทดลองใส่ “ตาอิเล็กทรอนิกส์” ในมนุษย์
อินเทลพัฒนาชิพเลเซอร์เร็วกระฉูด
สวทช.ติวเข้ม'ผู้ผลิตพลาสติก'ใช้เครื่องจักรถูกวิธี
เล่นกีฬาหักโหมกระดูกแก่เร็วตัวแคระ

ข่าววิจัย/พัฒนา

ไทยเยี่ยมผลิตชุดตรวจยีนปัญญาอ่อนสำเร็จ
จวกระบบราชการทำลายนักวิจัยไทย
สวมหมวกกันน็อกกลับยั่วรถยนต์ ให้ขับแซงเฉี่ยว รถจักรยานใกล้ขึ้น
ชาเขียวป้องกันรักษาโรคหัวใจ แต่ต้านทานโรค มะเร็งไม่ไหว
ใช้"มือถือ"มากยิ่งหงุดหงิดง่าย
หมอไทยพัฒนาชุดตรวจ โครโมโซมต้นตอ"ปัญญาอ่อน"
ประดิษฐ์ "ช้อนอิ่มอร่อย" ช่วยให้ผู้มีกล้ามเนื้อมือ อ่อนกินเองได้
เอดีบีให้ทุนดันไทยอัพเกรดความรู้ “ไบโอเซฟตี้” สู่ประเทศลุ่มน้ำโขงต่อกรเวทีโลก
อุปกรณ์จับผิดคนขับหลับใน ส่งเสียงปลุกทันทีหากพวงมาลัยไม่ขยับ
สจพ.คิดโปรแกรมคลังสินค้าอัจฉริยะ สินค้าจัดเก็บอยู่ที่ไหนใครรับผิดชอบรู้หมด

ข่าวทั่วไป

เปิดหลักสูตรให้คนเมาแล้วขับรถจะได้เลิกคิด “เมา แล้วขับ” อีกต่อไป
แผนเลิกใช้เบนซิน 95 มีสิทธิวืด
อาหารขยะกับเครื่องวีดิโอเกม ช่วยกันทำลายเด็กๆ ให้เสื่อมลง
ระดมอาจารย์ทั่วโลกทำตำราออนไลน์
ในที่สุดก็มาถึงจุดปฏิวัติ





ข่าวการศึกษา


สทศ. เปลี่ยนชื่อเว็บไซต์ใหม่เป็น www.niets.or.th

นายวิเชียร เกตุสิงห์ รักษาการผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ เปิดเผยว่า สทศ.จะเปลี่ยนแปลงชื่อเว็บไซต์ จากเดิม www.ntthailand.com เป็น www.niets.or.th ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2549 เป็นต้นไป เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเข้าใช้เว็บไซต์จากนักเรียนจำนวนมากในเวลาเดียวกัน โดยเว็บไซต์ใหม่จะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการทดสอบทางการศึกษาขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) และการทดสอบทางการศึกษาขั้นสูง (เอเน็ต) รวมถึงแนวข้อสอบ ศูนย์สอบ กำหนดการ และการเตรียมสอบ เป็นต้น ทั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ในการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานของเว็บไซต์ ซึ่งผู้เข้าใช้เว็บไซต์จะได้รับความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น. (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 18 ก.ย. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





ตั้งธนาคารหลักสูตร รวมข้อมูลการสอน

ดร.อำรุง จันทวานิช เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ได้ดำเนินการจัดทำโครงการวิจัยนำร่องพัฒนาเด็กและเยาวชนที่มีความสามารถ เพื่อค้นหารูปแบบและพัฒนาหลักสูตรการจัดการศึกษาสำหรับผู้ที่มีความสามารถในสาขาวิชาต่างๆ ทั้งระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา โดยพบว่า ขณะนี้มีโรงเรียนเครือข่ายที่สามารถจัดการศึกษาให้เด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษในระดับประถมและมัธยมทั้งภาครัฐและเอกชน จำนวน 34 แห่ง ใน 14 จังหวัดทั่วประเทศ มีนักเรียนเข้าร่วมโครงการ 5,000 คน ในสาขาวิชาต่างๆ รวมทั้งได้สืบค้นข้อมูลแผนการสอนและบทเรียนจากต่างประเทศมากกว่า 600 บทเรียน นำมารวบรวมจัดทำเป็นธนาคารหลักสูตร เผยแพร่บนอินเตอร์เน็ตผ่านทางเว็บไซต์ www.onec.go.th โดยมีสาระสำคัญ คือ คลังบทเรียนจากอินเตอร์เน็ต จากครูและผู้เชี่ยวชาญ ที่แยกตามมาตรฐานและสาระการเรียนรู้ระดับต่างๆ เพื่อช่วยครูที่สามารถเข้าไปเลือกบทเรียนได้ตรงความต้องการ และเหมาะสมกับศักยภาพของนักเรียน (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 18 ก.ย. 2549 http://www.thairath.co.th)





“จาตุรนต์” จวกกยศ.โอนเงินไอซีแอลอืด

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการอำนวยการปฏิรูประบบการเงิน เพื่อการอุดมศึกษา เมื่อเร็วๆนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาแผนการดำเนินงานของกองทุนเงินให้กู้ยืมที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) หรือไอซีแอลขั้นต่อไป โดยมอบหมายให้ฝ่ายต่างๆไปดำเนินการใน 10 เรื่องให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น คือ 1. การผลิตกำลังคนที่ตอบสนองกับความต้องการของประเทศ 2. การติดตามตรวจสอบและกำกับมาตรฐานหลักสูตร 3. การพัฒนาระบบรับส่งข้อมูล 4. การศึกษาวิเคราะห์ต้นทุนที่เหมาะสม 5. การจัดระบบงบประมาณ 6. การติดตามและชำระหนี้ 7. การติดตามตรวจสอบการดำเนินงาน 8. การพัฒนาระบบข้อมูลเชื่อมโยงด้านการงบประมาณ 9. การพัฒนาระบบข้อมูลเชื่อมโยงด้านการบริหารจัดการ และ 10. การกำหนดเพดานอัตราเงินกู้ที่เหมาะสมกับฐานะและความจำเป็น รมว.ศึกษาธิการกล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังได้ให้ความเห็นชอบแต่งตั้ง รศ.นพ.ธาดา มาร์ติน รอง ผอ.สำนักงานบริหารโครงการปฏิรูปการเงินเพื่อการอุดมศึกษา กองทุน กรอ. เป็น ผอ.สำนักบริหารโครงการฯ และอนุมัติให้นักศึกษาของสถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข ใน 3 หลักสูตร คือ ประกาศนียบัตรสาธารณสุขชุมชน ประกาศนียบัตรทันตสาธารณสุข และประกาศนียบัตรเทคนิคเภสัชกรรม ให้กู้ยืมเงินจากกองทุน กรอ.ได้ ทั้งนี้แม้วุฒิดังกล่าวจะไม่ใช่ระดับ ปวส. อนุปริญญา หรือปริญญาตรี แต่ก็สูงกว่ามัธยมศึกษาตอนปลาย และเห็นได้ชัดว่า เมื่อเรียนจบแล้วมีงานทำแน่ โดยจะให้กู้ยืมได้ตั้งแต่ปีการศึกษา 2549 คาดว่าจะมีนักศึกษาส่วนนี้มากู้ประมาณ 1,000 คน นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้รับทราบสถานการณ์การจ่ายเงิน กรอ. ซึ่งพบว่ามีการจ่ายเงินไปให้มหาวิทยาลัยแล้ว 54 แห่ง จากทั้งหมด 885 แห่ง รวมเป็นเงินที่จ่ายแล้ว 1,486 ล้านบาท แต่โดยรวมถือว่าช้ามากและสร้างความเดือดร้อนให้กับมหาวิทยาลัย และนักศึกษาจำนวนมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียใจและตนต้องขออภัยต่อนักศึกษาและผู้ปกครองทั่วประเทศ (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 18 ก.ย. 2549 http://www.thairath.co.th)





“เปรมประชา” แอ่นอกรับผิด กรอ.อืด-ชี้เหตุล่าช้า

ดร.เปรมประชา ศุภสมุทร ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) กล่าวกรณีนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ ติงการจัดสรรเงินกองทุนเงินกู้ยืมที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) ให้กับสถาบันการศึกษาล่าช้า ว่า ยอมรับว่าล่าช้าและหากเกิดผลกระทบอะไรตามมา ตนยินดีรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ทั้งนี้ความล่าช้ามีสาเหตุมาจากมีการนำระบบไอทีมาใช้เป็นปีแรกสถาบันการศึกษาไม่ชำนาญระบบอินเตอร์เน็ต สถาบันศึกษาขนาดเล็กในต่างจังหวัดไม่มีบุคลากรทำงาน ระยะเวลาในการตอบกลับจากสำนักทะเบียนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทยในการตรวจสอบความมีตัวตนของนักศึกษา รวมถึงประสานสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)ในการจับคู่หลักสูตรกับค่าเล่าเรียนมีความล่าช้า ซึ่งเรื่องนี้นอกเหนือจากการควบคุมของ กยศ. ดร.เปรมประชากล่าวอีกว่า ในการประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อการศึกษา ในวันที่ 25 ก.ย.นี้ ตนจะเสนอให้ที่ประชุมอนุโลมให้สถาบันที่มีปัญหาระบบไอที ส่งข้อมูลทางไปรษณีย์หรือส่งเอกสารได้ โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มที่เข้าระบบไอทีได้แต่ไม่อาจยืนยันข้อมูลการขอกู้ทางระบบไอทีได ประมาณ 100 กว่าสถาบัน กยศ.จะจัดสรรเงินให้ 100% กลุ่มที่ 2 ซึ่งมีปัญหาการเข้าระบบ ประมาณ 300 กว่าแห่ง จะจัดสรรให้ก่อน 50% คาดว่าจะจัดสรรเงินได้แล้วเสร็จเร็วๆนี้. (ไทยรัฐ อังคารที่ 19 ก.ย. 2549 http://www.thairath.co.th)





สมศ.ลั่นประเมินร.ร.3.8หมื่นรอบแรก อีก2เดือนรู้ผล คาดจะไม่ผ่านประเมิน 70%

ศ.กิตติคุณ ดร.สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) กล่าวในงานรวมพลังเพื่อพัฒนาคุณภาพ มาตรฐานการศึกษาไทยสู่อนาคตชาติ ที่มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ในอีก 2 เดือนข้างหน้านี้ สมศ.จะประกาศผลการประเมินคุณภาพนอกสถานศึกษาขั้นพื้นฐานรอบแรกทั้งสมบูรณ์ ครบทุกโรงเรียน คือ 3.8 หมื่นแห่ง คาดว่ามีถึง 70% ไม่ผ่านมาตรฐานขั้นต่ำของ สมศ. ศ.กิตติคุณ ดร.สมหวัง กล่าวต่อว่า การประเมินรอบแรกดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2542 ถึง 2548 ล่าสุด สมศ.ประเมินโรงเรียนไปแล้ว 30,010 แห่ง ซึ่งผลการประเมินตลอด 5 ปี พบว่าโรงเรียนส่วนใหญ่ไม่ผ่านมาตรฐานขั้นต่ำ ตั้งแต่เริ่มประเมินปีแรกที่นำร่อง 214 แห่ง มีโรงเรียนไม่ผ่านมาตรฐานเกือบครึ่ง มาถึงปีสุดท้าย (2548) ประเมิน 30,010 แห่ง ไม่ผ่านการประเมินถึง 15,000 โรงเรียน "โรงเรียน 3.8 หมื่นแห่ง คาดว่าไม่ผ่านประเมินรอบแรกถึง 70% ถือเป็นเรื่องสาหัสที่รัฐบาลต้องแก้ไข และรัฐบาลใหม่ควรประกาศเป็นนโยบายของชาติเพื่อแก้ปัญหาโรงเรียนที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะฉะนั้น ในช่วงเลือกตั้ง ต้องผลักดันให้ทุกพรรคการเมืองยอมรับเรื่องนี้" (คมชัดลึก อังคารที่ 19 ก.ย. 2549 http://www.komchadluek.net)





"ไพฑูรย์"ยุจุฬา-มธ.-มหิดลยุติร่วมมือ"สกอ." ช่วยมหาวิทยาลัยเล็กได้รับเกณฑ์จัดเป็นธรรม

นายไพฑูรย์ สินลารัตน์ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงการจัดอันดับมหาวิทยาลัยไทยของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) ซึ่งยังคงมีเสียงวิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม ว่า ถ้าจะเอาอย่างสากลตามที่ สกอ.อ้าง ก็ควรจะเอาแค่มหาวิทยาลัยหลักๆ มาจัดอันดับ เพราะถ้านำเกณฑ์แข่งขันนานาชาติไปจับมหาวิทยาลัยราชภัฏ และมหาวิทยาลัยราชมงคล แน่นอนว่ามหาวิทยาลัยเหล่านั้นเทียบไม่ได้อยู่แล้ว ที่สำคัญในต่างประเทศการจัดอันดับจะจัดเฉพาะมหาวิทยาลัยที่มีภารกิจเดียวกัน เช่น ดีเด่นด้านการเรียนการสอน ด้านสภาพแวดล้อม ซึ่งใช้เกณฑ์ต่างกัน แต่ของไทยกลับนำมหาวิทยาลัยทั้งหมดมาจับด้วยเกณฑ์เดียวกันทั้งที่มีความแตกต่างและหลากหลาย เหมือนพยายามจับให้มหาวิทยาลัยที่มีความพร้อมแตกต่างกันมาวิ่งลู่เดียวกันซึ่งไม่เป็นธรรมกับมหาวิทยาลัยเล็กๆ แล้ว สกอ.เองก็ไม่สามารถไปส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยเหล่านั้นวิ่งลู่เดียวกันได้ (มติชน อังคารที่ 19 ก.ย. 2549 http://www.matichon.co.th)





"เลขาฯกกอ."เผยโฉม คณะทำงานจัดอันดับ

นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) กล่าวถึงกรณีได้รับมอบหมายจากนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ ให้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากนักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิในมหาวิทยาลัย เพื่อปรับปรุงการจัดอันดับมหาวิทยาลัย ประจำปี 2548 ตามที่คณะวิจัยของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) จะเห็นสมควร ว่า ขณะนี้ได้เสนอรายชื่อคณะทำงานที่จะมาหารือเพื่อปรับปรุงแนวทางในการจัดอันดับให้ รมว.ศึกษาธิการ พิจารณา โดยคณะทำงานชุดดังกล่าวประกอบด้วยผู้แทน สกอ. ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.) ที่ประชุมสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย(ปอมท.) มหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล และผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเมื่อนายจาตุรนต์เห็นชอบ จะนำไปสู่การปรับปรุงดัชนีชี้วัดในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยไทยประจำปีการศึกษา 2549 นอกจากนั้นยังมีหน่วยงานที่สนใจเกี่ยวกับการจัดอันดับมหาวิทยาลัยไทย เช่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และกำลังมีการจัดอันดับมหาวิทยาลัยไทยด้านการวิจัย โดยของ สกว.มี ศ.ดร.ปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยชินวัตร เป็นประธาน รวมถึงศาสตราจารย์สโมสร ซึ่งเป็นสโมสรของศาสตราจารย์ทั่วประเทศ ก็จะเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยไทยในปีต่อไปด้วยว่าจะต้องปรับปรุงในเรื่องใดให้มีความเหมาะสมต่อไป (มติชน อังคารที่ 19 ก.ย. 2549 http://www.matichon.co.th)





“อุทุมพร” ยัน สทศ.ไม่พร้อมจัดสอบเอเน็ต

ศ.ดร.อุทุมพร จามรมาน ว่าที่ ผอ.สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยว่า ตนจะเข้ารับตำแหน่ง ผอ.สทศ.ในวันที่ 2 ต.ค.นี้ แต่ได้ขอข้อมูลเอกสารจาก สทศ.เพื่อนำมาศึกษาก่อนเข้ารับงานมีงานสำคัญๆ 5 เรื่อง ดังนี้ 1. แผนงานการเตรียมการอุดช่องโหว่จัดสอบแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐานหรือโอเน็ต 2. กรอบอัตรากำลังของ สทศ.เพื่อศึกษาว่าอัตราเพียงพอและได้บรรจุบุคลากรตรงกับความรู้ความสามารถหรือไม่ 3. สถานภาพทางการเงิน ค่าใช้จ่าย 4. รายงานการประเมินผลงานประจำปีของปีที่แล้ว และ 5. วัสดุครุภัณฑ์ที่มีการจัดซื้อมาว่าอยู่ในสภาพไหนและต้องซ่อมแซมหรือไม่ ส่วนกรณีที่ รศ.ดร. วิเชียร เกตุสิงห์ รักษาการ ผอ.สทศ. เสนอให้ดึงการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูงหรือเอเน็ต จากที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) มาดำเนินการเอง เพราะเห็นว่าการเข้ามารับตำแหน่งของตนจะกู้ศรัทธา สทศ.ให้กลับคืนมานั้น ขณะนี้ทราบว่า ทปอ. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เป็นผู้ดำเนินการ โดยให้ สทศ.เข้าไปร่วม ซึ่งตนไม่ทราบว่าจะให้ สทศ.เข้าไปร่วมแค่ไหนและอย่างไร แต่คิดว่าคงจะไม่ดึงเอเน็ตมาดำเนินการเองแน่นอน เพราะเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งและอีกไม่กี่เดือนก็จะสอบ ดังนั้นจะขอชะลอเรื่องนี้ไปก่อน แต่ก็พร้อมดำเนินการในปีหน้า ศ.ดร.อุทุมพรกล่าวด้วยว่า ทราบว่า สกอ.จะจัดสอบเอเน็ต โดยจะมีทั้งข้อสอบอัตนัยและปรนัย ซึ่งโดยส่วนตัวไม่ได้คัดค้านข้อสอบอัตนัย และเห็นด้วยว่าในอนาคตควรจะมีข้อสอบอัตนัยด้วย แต่ในเมื่อปัจจุบันยังไม่มีความพร้อม จึงยังไม่ควรจะมีข้อสอบอัตนัย แต่หากจำเป็นต้องมีจริงๆ ก็ควรจะมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะต้องมีความพร้อมอย่างมาก โดยต้องอบรมผู้ตรวจข้อสอบให้ดี ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาอย่างปีที่ผ่านมา (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 21 ก.ย. 2549 http://www.thairath.co.th)





ศธ.ชี้รัฐประหารไม่กระทบงานแต่เก้าอี้ผู้บริหารมีลุ้นสลับใหม่

คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการรายงานตัวและรับฟังคำชี้แจงจาก พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ว่า พล.อ.สนธิได้ชี้แจงเหตุผลในการทำรัฐประหาร พร้อมทั้งขอให้ปลัดกระทรวงทุกกระทรวงทำหน้าที่ดูแลงานในความรับผิดชอบของรัฐมนตรี โดยให้ช่วยดูแลการบริหารงานในกระทรวงไม่ให้สะดุด นอกจากนี้ได้ย้ำว่าจะต้องมีการปรับปรุงการศึกษาในภาพรวมให้มาก ซึ่งได้ยกตัวอย่างการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เข้าไม่ถึงประชาชนทำให้เกิดความเข้าใจผิด รวมทั้งยกตัวอย่างคุณภาพการศึกษาของทหารเกณฑ์ที่มีคุณภาพแตกต่างกัน ซึ่งตนเห็นว่าเมื่อหัวหน้าคณะปฏิรูปฯ เห็นและเข้าใจถึงปัญหาดังกล่าวก็เป็นเรื่องดีที่ ศธ.จะเสนอแผนงานไป (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 21 ก.ย. 2549 http://www.dailynews.co.th)





คูปองส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต โอกาสทางการศึกษาที่ กศน. จัดให้

“คูปองส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต” หนึ่งในยุทธศาสตร์ปฏิรูปการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของสำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) ที่สนองนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้มีการปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบและสอดคล้อง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ที่ระบุว่าการจัดการศึกษาต้องคำนึงถึงสิทธิ โอกาส และความเสมอภาคที่ประชาชนจะได้รับบริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพเสมอกัน กระจายอำนาจทางการศึกษาสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และทุกหน่วยงานเข้ามาร่วมการจัดการศึกษา อันจะนำไปสู่การสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ได้ในที่สุด คูปองส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตจึงถือว่าเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยเฉพาะกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ซึ่งจะมีโอกาสได้รับบริการการศึกษาอย่างกว้างขวาง และไม่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการเรียน เพียงแต่ผู้เรียนมีคูปองฯ ซึ่งหมายถึงบัตรประจำตัวผู้เรียนที่ใช้แทนเงินงบประมาณที่รัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายรายหัวก็สามารถนำไปแสดงต่อสถานศึกษาหรือหน่วยจัดการศึกษารูปแบบการศึกษานอกโรงเรียนและการศึกษาตามอัธยาศัยก็สามารถเข้าเรียนได้เลย ซึ่งจากจุดเริ่มต้นนี้เองตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1/2549 กศน.จึงได้เริ่มทดลองใช้ “คูปองส่งเสริมการ เรียนรู้ตลอดชีวิต” ใน 10 จังหวัดไปแล้ว ได้แก่กำแพงเพชร นครสวรรค์ เพชรบุรี สระบุรี อำนาจเจริญ อุบลราชธานี ปราจีนบุรี สระแก้ว ตรัง และยะลา โดยมีหน่วยจัดภาคี เครือข่ายทั้งสถานศึกษาของรัฐ หน่วยงานราชการและเอกชนเข้าร่วมหลายแห่ง นางทิพวัลย์ มาแสง หัวหน้าหน่วยศึกษานิเทศก์ กศน. ซึ่งได้ลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินงานในจังหวัดนครสวรรค์เมื่อเร็ว ๆ นี้ที่มณฑลทหารบกที่ 31 ค่ายจิรประวัติ, โรงแรมพิมาน, โรงเรียนชุมชนวัดมหาโพธิเหนือ, โรงเรียนบ้านหัวถนนเหนือ (รัฐประชาชนูทิศ) และ โรงเรียนศรีนภเขตวิทยา (โรงเรียนพระปริยัติธรรม) เล่าว่า ผลการทดลองค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ เพราะจากการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพของศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัด (ศนจ.) นครสวรรค์ ทำให้คูปองฯ สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างทั่วถึง และที่สำคัญสามารถประสานกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชนให้เข้าใจถึงความร่วมมือในการจัดการศึกษาได้เป็นอย่างดี (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 21 ก.ย. 2549 http://www.dailynews.co.th)





เสนอทปอ.ตั้งกรรมการ ผลักดันโครงการเรียนล่วงหน้า

ดร.กอปร กฤตยากีรณ ประธานคณะทำงานโครงการนำร่องโครงการเรียนล่วงหน้า กล่าวในการสัมมนา "โครงการเรียนล่วงหน้าสำหรับประเทศไทย ครั้งที่ 2 " ที่โรงแรมเอเชีย กทม. เมื่อเร็วๆ นี้ว่า โครงการเรียนล่วงหน้าจัดขึ้นโดยมูลนิธิบัณฑิตยสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (บวท.) มูลนิธิพัฒนาผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียน ม.ปลาย ได้เรียนวิชาปริญญาตรีชั้นปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัยโดยได้เครดิตหน่วยกิตวิชานั้นๆ เมื่อเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย เริ่มโครงการตั้งแต่ปี 2546 จนถึงปัจจุบัน เช่น คณะวิทยาศาสตร์ ม.มหิดลกับ ร.ร.มหิดลวิทยานุสรณ์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับ ร.ร.สาธิต จุฬาฯ ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา และ ร.ร.สาธิต มศว ปทุมวัน ทั้งนี้ โครงการตั้งเป้าระยะยาวจะมีระบบกลางของประเทศทั้งหลักสูตร วิธีการเรียน ประเมินผลที่มีมาตรฐานในทุกสาขาวิชา มีเกณฑ์ชี้วัดเด็กที่มีความสามารถพิเศษสูงก่อนเข้าโครงการ หลังเรียนจบแล้วก็มีเกณฑ์เป็นที่ยอมรับของมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อให้เด็กได้รับหน่วยกิต ดร.กอปร กล่าวอีกว่า จากการทำโครงการนำร่องพบมหาวิทยาลัยกับโรงเรียนร่วมมือกันเป็นคู่ๆ หรือหนึ่งมหาวิทยาลัยร่วมมือกับ 2-3 โรงเรียน และสอนวิชาชั้นปีที่ 1 ปริญญาตรี แต่เตรียมรับรองผลให้หน่วยกิตเฉพาะกับโรงเรียนที่ร่วมมือเท่านั้น รวมถึงเด็กเก่งที่เรียนล่วงหน้าจำนวนมากไม่ได้เรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่ร่วมมือกัน โดยเฉพาะเด็กจากโรงเรียนในภูมิภาค เด็กเรียนล่วงหน้าวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ แต่ไม่ได้เรียนต่อคณะวิทยาศาสตร์มาเรียนต่อในคณะวิศวะ แพทย์ บางรายไปเรียนต่อต่างประเทศ ทำให้ไม่ได้รับประโยชน์จากหน่วยกิตวิชาเรียนล่วงหน้า (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 21 ก.ย. 2549 http://www.komchadluek.net/)





ผุดเวบธนาคารหลักสูตร แหล่งความรู้นร.หัวกะทิ

ดร.อำรุง จันทวานิช เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ดำเนินการศึกษา ค้นคว้า รวบรวมองค์ความรู้ และจัดทำโครงการวิจัยนำร่องและพัฒนาเด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษมาตั้งแต่ปี 2543 เพื่อค้นหารูปแบบและพัฒนาหลักสูตรการจัดการศึกษาสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษในสาขาวิชาต่างๆ เช่น ภาษาไทย อังกฤษ คณิตศาสตร์ ทั้งระดับประถมและมัธยม ดร.อำรุง กล่าวอีกว่า สกศ.นำหลักสูตรและแผนการสอนที่ได้จากการวิจัยนำร่อง รวมทั้งสืบค้นข้อมูลแผนการสอนและบทเรียนจากต่างประเทศมากกว่า 600 บทเรียน นำมารวบรวมจัดทำเป็นธนาคารหลักสูตร เผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตผ่านเวบไซต์ www.onec.go.th, www.thaigifted.org หรือเวบไซต์ "ธนาคารหลักสูตร" ประกอบด้วยสาระสำคัญหลักๆ คือ คลังบทเรียนจากอินเทอร์เน็ต จากครูและผู้เชี่ยวชาญที่แยกตามมาตรฐานและสาระการเรียนรู้ระดับต่างๆ เพื่อช่วยครูให้สามารถเข้าไปเลือกบทเรียนตรงกับความต้องการและเหมาะกับศักยภาพของนักเรียน แถมยังมีแหล่งการเรียนรู้ที่มีประโยชน์จากทุกมุมโลก ตัวอย่างหลักสูตร หนังสือน่าอ่าน เวทีให้ครูและนักเรียนได้แสดงความคิดเห็น นำเสนอบทความ รวมทั้งการรับทราบข่าวสาร ข้อมูล ความเคลื่อนไหวต่างๆ (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 21 ก.ย. 2549 http://www.komchadluek.net/)





โรงเรียนร้อยละ60 ยังขาดแคลนครูสอน

ศ.กิตติคุณ ดร.สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) กล่าวในงานรวมพลังเพื่อ พัฒนาคุณภาพ มาตรฐานการศึกษาไทยสู่อนาคตชาติ “ที่ มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า สมศ.ได้เก็บ ข้อมูลเรื่องครูระหว่างลงพื้นที่ประเมินภายนอกสถานศึกษา 30,010 แห่ง เมื่อ ปี 2542 ถึง 2548 ที่ผ่านมา พบ ว่า โรงเรียนขั้นพื้นฐานจำนวนมากขาดแคลนครู ขณะที่โรงเรียนจำนวนหนึ่งมีครูเกิน ผอ.สมศ. สมหวัง กล่าวต่อว่า ถ้านำเกณฑ์จำนวนครูต่อนักเรียน ของคณะกรรมการข้าราชการครู (ก.ค.) คือ 1 ต่อ 25 มาใช้แล้ว จากข้อมูลพบว่า มี โรงเรียนเพียง 20 % เท่านั้น ที่มีจำนวนครูกับภาระงานพอดีกัน และมีโรงเรียนประมาณ 20 % เช่นกันที่มีครูเกิน รวมแล้วเกินประมาณ 17,000 คน ที่ เหลือ 60 % เป็นโรงเรียนที่ขาดแคลนครู โดยพบว่า จำนวนครูขาดทั้งหมด 90,000 คน (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 22 ก.ย. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


ขวดน้ำอัดลมปรับรสชาติตามสั่ง

บริษัทสหรัฐออกแบบขวดน้ำอัดลมใหม่ เสริมปุ่มกดปรับเปลี่ยนรสชาติตามที่ลูกค้าต้องการ ช่วยผู้ผลิตลดต้นทุนโรงงาน และร้านค้าเล็กสามารถวางจำหน่ายเครื่องดื่มได้หลากรสยิ่งขึ้น ขวดสั่งได้รุ่นนี้จะช่วยบริษัทผลิตเครื่องดื่ม สามารถลดต้นทุนโรงงาน โดยมีเพียงสายการผลิตเดียวสำหรับผลิตรสชาติหลัก เช่น โคล่า ส่วนกลิ่นหรือรสชาติต่างๆ จะผนึกอยู่ในปุ่มพลาสติกบริเวณปากขวด ถ้าลูกค้าอยากได้รสไหนก็กดปุ่ม เช่น โคล่ารสเชอร์รี ก็กดปุ่มเชอร์รีเพื่อบีบรสเชอร์รีเข้าไปผสม หากต้องการรสเชอร์รีวานิลลา ก็สามารถกดปุ่มเชอร์รีและวานิลลาพร้อมๆ กัน วิธีการดังกล่าว ยังสามารถนำไปใช้กับผลิตภัณฑ์อื่นได้ด้วย เช่น แชมพู น้ำหอมและสี ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกสี กลิ่น รส และสูตรผสมอื่นๆ เองได้ แนวคิดดังกล่าวมาจากการออกแบบซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า "เครื่องจักรนวัตกรรม" โปรแกรมจะดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลกลาง มาช่วยภาคอุตสาหกรรมปรับปรุงผลิตภัณฑ์เดิม หรือช่วยให้จุดประกายความคิดสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ยกตัวอย่าง บริษัทน้ำอัดลม และธุรกิจอาหาร สามารถนำโปรแกรมดังกล่าวมาพัฒนารสชาติต่างๆ ให้สินค้า เช่น ออกน้ำอัดลมที่มีรสชาติใหม่ โดยไม่ต้องเพิ่มสายการผลิตใหม่ ซึ่งต้องลงทุนอีกมหาศาล (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 18 ก.ย. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





นักประดิษฐ์พบวิธีชุบชีวิตแบตเสื่อม จัดระเบียบโมเลกุลไฟฟ้าใหม่ใช้งานได้เหมือนเดิม

นายปุญญพัฒน์ ห้วงพิทักษ์ชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรีนแบต จำกัด เปิดเผยว่า ได้คิดค้นอุปกรณ์ชุบชีวิตแบตเตอรี่มือถือให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีกครั้ง หลังจากที่แบตเตอรี่ก้อนเก่าเสื่อมสภาพ ชาร์จไฟไม่เข้า เนื่องจากหมดอายุการใช้งาน การชุบชีวิตแบตเตอรี่เสื่อมสภาพนั้น เริ่มจากการล้างทำความสะอาด สิ่งสกปรกที่ติดอยู่ภายในแบตเตอรี่แต่ละก้อน จากนั้นใช้วิธีการประจุไฟเข้าไปในแบตเตอรี่ก้อนนั้นอีกครั้ง โดยใช้วิธีเรียงประจุไฟฟ้า หรือโมเลกุลทางไฟฟ้าในแผงวงจรของแบตเตอรี่ ให้เหมือนกับแบตเตอรี่ก้อนใหม่ ด้วยหลักการดังกล่าวจะสามารถใช้แบตเตอรี่ก้อนเดิมได้อีกครั้ง โดยประสิทธิภาพใกล้เคียงกับแบตเตอรี่ก้อนใหม่ หลังจากค้นพบวิธีดังกล่าว และทดลองชุบชีวิตใหม่แบตเตอรี่ที่มีอยู่ในบ้านจำนวนหนึ่งจนประสบผลสำเร็จ เจ้าของผลงานได้พัฒนาเครื่องช่วยเรียงโมเลกุลทางไฟฟ้าขึ้น ช่วยให้ขั้นตอนการชุบชีวิตแบตเตอรี่เสื่อมสภาพทำได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น อุปกรณ์เรียงโมเลกุลทางไฟฟ้าในแบตเตอรี่นั้นคิดค้นโดยฝีมือของคนไทย สามารถใช้กับแบตเตอรี่แบบรีชาร์จได้ทุกยี่ห้อ ซึ่งระยะเวลาของการชุบชีวิต ขึ้นอยู่กับสภาพความเสื่อมของแบตเตอรี่แต่ละก้อน ทั้งนี้บริษัทกรีนแบต ได้จดสิทธิบัตรอุปกรณ์ดังกล่าวแล้ว (คมชัดลึก อังคารที่ 19 ก.ย. 2549 http://www.komchadluek.net)





ไอโรบอทเปิดตัวหุ่นยนต์ดูดฝุ่น

ไอโรบอท บริษัทผู้ผลิตหุ่นยนต์เพื่อใช้งานทั่วไป รวมถึงที่ใช้ทางการทหาร เปิดตัวหุ่นยนต์ใหม่ในชื่อ "เดิร์ท ด็อก เวิร์คชอป โรบอท" ตามหลัง "รูมบ้า" หุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่เปิดตัวเมื่อ 4 ปีก่อน และ "สคูบ้า" หุ่นยนต์ถูพื้นหินที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อปีที่ผ่านมา หุ่นยนต์ดูดฝุ่นทั้งสองรุ่น เมื่อเปิดเครื่องทำงาน หุ่นยนต์ดูดฝุ่นจะเคลื่อนตัวไปทั่วห้องเพื่อวัดขนาดห้อง และเริ่มภารกิจดูดฝุ่นจากพื้นและพรม เมื่อเดินชนขอบผนัง หรือโซฟา มันสามารถเปลี่ยนทิศทางหลบหลีกสิ่งกีดขวาง และมีเซ็นเซอร์ถอยหลังเมื่อพบว่าพื้นที่ข้างหน้าต่ำกว่าปกติ ซึ่งอาจหล่นลงไปได้ หุ่นดูดฝุ่นรูมบ้ายังสามารถกลับเข้าแท่นชาร์จไฟตัวเองได้โดยอัตโนมัติด้วย แมทท์ พาลม่า รองประธานฝ่ายขายและการตลาดบริษัท ไอโรบอท กล่าวว่า ความต้องการหุ่นยนต์ทำความสะอาดมีสูงมาก โดยเฉพาะหุ่นยนต์ที่มีสามารถเก็บเศษขยะชิ้นเล็กชิ้นน้อย อย่างพวกขี้เล็บ ขี้เลื่อย เศษกระดาษ หรืออื่นๆ โดยเฉพาะบริเวณโรงรถ หรือห้องปฏิบัติโครงงาน ซึ่งเจ้าของบ้านต้องการอุปกรณ์ทำความสะอาดที่มีประสิทธิภาพดีกว่าไม้กวาดทั่วไป สำหรับหุ่นยนต์ตัวใหม่ มีความสูง 4 นิ้ว และเส้นผ่าศูนย์กลางขนาด 13 นิ้ว คล้ายกับหุ่นยนต์รุ่นก่อน แต่ไม่ใช่เครื่องดูดฝุ่นเหมือน "รูมบ้า" และไม่มีแปรงที่จะทำความสะอาดพื้น เช่น สคูบ้า ความพิเศษของเดิร์ท ด็อก คือ แปรงแบบ 2 หัว ที่สามารถหมุนได้เกือบ 1,000 รอบต่อนาที คล้ายกับเครื่องกวาดถนนย่อส่วน ที่สามารถกวาดเศษขยะเข้าไว้ในถังด้านในเครื่อง มีขนาดใหญ่กว่าถังเก็บขยะในเครื่องรุ่นเก่าอย่างรูมบ้าที่ขายดีที่สุดกว่า 2 ล้านเครื่อง (คมชัดลึก อังคารที่ 19 ก.ย. 2549 http://www.komchadluek.net)





เปลี่ยนฟางข้าว-ขนไก่ทำเสื้อผ้านุ่งห่ม

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเนบราสกา คิดนำสิ่งเหลือใช้มาทำประโยชน์ โดยหันไปหาขนไก่และฟางข้าวเป็นล้านๆ ตันที่เหลือทิ้งอยู่ในฟาร์มจำนวนมากมาดัดแปลงโดยเริ่มจากฟางข้าว ที่ผ่านมา นักวิจัยได้ให้ความสนใจนำเอาฟางข้างกับขนนกที่เหลือทิ้งเป็นล้านๆ ตัน ราคาถูก และมีอยู่มากมายจากภาคเกษตรกรรมทั่วโลกมาทำเป็นใยผ้า เนื่องจากผลิตภัณฑ์เส้นใยจากสินค้าเกษตรเหล่านี้ย่อยสลายได้ไม่เหมือนกับใยสังเคราะห์ที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากปิโตรเคมี กรรมวิธีในการนำฟางข้าวมาปั่นเป็นเส้นใยมี 2 แนวทางที่นิยมใช้ ทั้งสองแนวทางใช้ฟางข้าวที่เหลือทิ้งหลังเกี่ยวข้าวแล้วมาทำ เฉพาะในสหรัฐมีฟางข้าวจำนวน 907 ล้านกิโลกรัมเหลือหลังจากเก็บเกี่ยว และถ้านับทั่วโลกแล้วมีปริมาณมากถึง 9 ล้านตันต่อปี ส่วนขนไก่ประกอบด้วยเคราติน ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดเดียวกับที่พบในพวกขนสัตว์ นักวิจัยสนใจโครงสร้างขนไก่ที่ทำให้ขนฟู และอาจให้สัมผัสนุ่มเหมือนกับใส่เสื้อขนสัตว์อย่างเช่นขนแกะ (คมชัดลึก อังคารที่ 19 ก.ย. 2549 http://www.komchadluek.net)





คลอเดีย มิตเชลล์ "ไบโอนิก วูแมน!" สาว"แขนกลชีวะ"คนแรกของโลก

สถาบันการแพทย์อาร์ไอซีในสหรัฐอเมริกา ผ่าตัดติดตั้ง "แขนหุ่นยนต์" หรือ "แขนกลชีวะ" ให้กับผู้หญิงคนแรกของโลกผ่านพ้นไปด้วยดี สามารถใช้ "สมอง" สั่งงานแขนกลให้เคลื่อนไหวดังใจนึก! "คลอเดีย มิตเชลล์" สาวอเมริกัน วัย 24 ปี ต้องเผชิญกับจุดเปลี่ยนผันครั้งสำคัญในชีวิต ภายหลังจากประสบอุบัติเหตุจักรยานยนต์คว่ำอย่างรุนแรง แพทย์ต้องตัดแขนซ้ายทิ้ง มิตเชลล์ลงมือค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม จนรู้ว่า แขนกลชีวะ เป็นเทคโนโลยีแขนเทียมไฮเทค ซึ่งคิดค้นโดย "สถาบันฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายชิคาโก" (อาร์ไอซี) ต้นแบบ แขนกลชีวะ เริ่มทดลองผ่าตัดใช้กับคนจริงๆ ตั้งแต่ปี 2545โดยมีนายเจสซี ซุลลิแวน ผู้สูญเสียแขนทั้งสองข้างจากอุบัติเหตุไฟฟ้าลัดวงจร เสนอตัวเป็นอาสาสมัครคนแรกของโลกที่เข้ารับการผ่าตัดผสาน แขนกลชีวะ เข้ากับระบบประสาทดร.ท็อดด์ ไคเค็น ผอ.ศูนย์วิศวกรรมระบบประสาทเพื่อแขนขาเทียมของอาร์ไอซี ผู้พัฒนา แขนกลชีวะ เสริมว่า เมื่อผ่านกระบวนการประเมินผลความพร้อมทางร่างกายและจิตใจ คณะแพทย์ตัดสินใจติดตั้ง แขนกลชีวะ เข้ากับไหล่ซ้ายของเธอ เวลาผ่านไปประมาณ 5 เดือน พบว่า เส้นประสาทสามารถทำงานเข้ากับระบบ "เซ็นเซอร์" ของ แขนกลชีวะ ช่วยให้มิตเชลล์บีบมือ กำมือ แบบมือ รวมถึงยกแขนขึ้นลงได้ (มติชน อังคารที่ 19 ก.ย. 2549 http://www.matichon.co.th)





ซอฟต์แวร์แลกบัตรผ่านอัจฉริยะ

บริษัท ไอที เวิร์คส์ จำกัด พัฒนาซอฟต์แวร์ และเทคโนโลยีการ ยืนยันตัวบุคคล (Identifications Technology) ระบบแลกบัตรผ่านเข้า-ออกอาคารอัจฉริยะ ภายใต้ชื่อ “Visitor Card System” เป็นระบบแลกบัตรผ่านเข้า-ออก ใช้บัตรประจำตัวประชาชนในการรูดเพื่อบันทึกข้อมูล โดยแห่งแรกที่เข้าทำการติดตั้ง และทดลองการใช้งาน ได้แก่ GEMS Tower แหล่งรวมด้านผลิตภัณฑ์เครื่องประดับ และอัญมณีสุดหรู ย่านเจริญกรุง หลักการทำงานของ “Visitor Card System” ใช้บัตรประจำตัวประชาชนรูดไปที่เครื่องอ่านบัตร โดยเครื่องจะทำการอ่านข้อมูลจากแถบแม่เหล็กทั้งหมด เช่น ชื่อ-สกุล ที่อยู่ ภาพถ่าย จากนั้นเจ้าหน้าที่สามารถคืนบัตรประจำตัวประชาชนให้กับผู้ติดต่อได้ทันที เพราะข้อมูลทั้งหมดได้ถูกเก็บไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์เรียบร้อย และหากมีปัญหาในด้านความปลอดภัยเกิดขึ้น ก็จะทำให้สามารถตรวจสอบ และค้นหาข้อมูล ผู้ที่เข้ามาติดต่อกับทางอาคารได้โดยง่าย หากเป็นชาวต่างชาติ ระบบสามารถสแกนจาก Passport หรือใบอนุญาตขับขี่ ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาไม่เกิน 2 นาที. (เดลินิวส์ พฤหัสบดีที่ 21 ก.ย. 2549 http://www.dailynews.co.th)





ออสเตรเลียทดลองใส่ “ตาอิเล็กทรอนิกส์” ในมนุษย์

ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมูลนิธิ "ไบโอนิกอาย" (Bionic Eye Foundation) แห่งโรงพยาบาลพริ้นซ์ออฟเวลส์ในซิดนีย์ (Sydney's Prince of Wales Hospital) ได้เริ่มทดลองใส่ดวงตาอิเล็กทรอนิกส์หรือไบโอนิกส์อาย (bionic eye) ให้มนุษย์ โดยใช้วิธีการเดียวกับการผ่าตัดหูชั้นในเทียม เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยได้ยินอีกครั้ง ศาสตราจารย์ไมนาส โคโรนีโอ (Minas Coroneo) หนึ่งในทีมวิจัยเผยว่าการทดลองนี้ทำได้ด้วยการวางขั้วกระตุ้นเล็กๆ ไว้บนดวงตา แล้วปล่อยกระแสไฟฟ้าไปกระตุ้นเรตินาหรือจอตา ซึ่งเป็นเยื่อเซลล์รับแสงที่อยู่ด้านหลังของลูกตา โดยผู้ป่วยจะต้องสวมแว่นตาที่มีกล้องวิดีโอติดอยู่ และกล้องนี้จะเป็นตัวเก็บภาพต่างๆ และส่งผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ไปยังขั้วกระตุ้น ให้ไปกระตุ้นเรตินาส่งสัญญาณภาพผ่านประสาทตาไปยังสมองส่วนที่รับรู้การมองเห็น ถึงแม้ว่าเครื่องมือนี้จะยังไม่สามารถทำให้เห็นทุกอย่างชัดเจน แต่โคโรนีโอก็กล่าวว่า สักวันหนึ่งเครื่องมือนี้อาจให้ "สายตาที่มีประสิทธิภาพ" ดีพอแก่คนตาบอด เพื่อให้พวกเขาเดินได้โดยไม่ชนวัตถุต่างๆ (ผู้จัดการ พฤหัสบดีที่ 21 ก.ย. 2549 http://www.manager.co.th)





อินเทลพัฒนาชิพเลเซอร์เร็วกระฉูด

อินเทลร่วมกับนักวิจัยมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย พัฒนาชิพรับส่งข้อมูลเร็วจี๋ด้วยแสงเลเซอร์ ปฏิวัติการใช้งานประมวลผลและการสื่อสาร เชื่อต้นทุนผลิตชิพรุ่นใหม่จะถูกลง และเปิดศักราชพัฒนาเครื่องพีซีใยแก้วนำแสงเร็วที่รับส่งข้อมูลเร็วกว่าส่งผ่านสายทองแดงหลายเท่าตัว ชิพรุ่นใหม่ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาให้เป็นจริงนี้ นักวิจัยได้นำสารกึ่งตัวนำสองตัวมาผสมกัน ได้แก่ อินเดียมฟอสไฟด์ ซึ่งมีคุณสมบัติในการเปล่งแสงเป็นจังหวะสม่ำเสมอมาผสมกับซิลิกอน สารกึ่งตัวนำไฟฟ้าที่รู้จักกันดีและถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มปริมาณและบังคับทิศทางแสง เมื่อนำวัสดุทั้งสองชนิดมาประกบกันเป็นชิ้นเดียวสามารถนำมาสร้างชิพเลเซอร์ด้วยเทคโนโลยีผลิตชิพปัจจุบันได้ ความสำเร็จดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่ง ชิพรุ่นใหม่จะช่วยให้ชิ้นส่วนประกอบต่างๆ ในคอมพิวเตอร์ อาทิ ฮาร์ดดิสก์ หน่วยความจำ เมนบอร์ด ซีดีรอม ฯลฯ สามารถรับส่งข้อมูลได้ทันกับความเร็วในการประมวลผลของชิพ นอกจากนี้ คอมพิวเตอร์ในอนาคตที่ใช้ใยแก้วนำแสงรับส่งข้อมูลจะมีราคาถูกลง และเปิดศักราชใหม่ให้การใช้งานคอมพิวเตอร์ประมวลผลความเร็วสูง (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 21 ก.ย. 2549 http://www.komchadluek.net/)





สวทช.ติวเข้ม'ผู้ผลิตพลาสติก'ใช้เครื่องจักรถูกวิธี

รศ.ดร.สมชาย ฉัตรรัตนา ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP) ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) สวทช. ตระหนักถึงปัญหาโรงงานฉีดพลาสติกขาดระบบการปรับตั้งพารามิเตอร์การฉีดที่เป็นมาตรฐาน หรือพนักงานใช้ประสบการณ์ส่วนตัวเป็นมาตรฐานปรับตั้งพารามิเตอร์ ทำให้คุณภาพชิ้นงานไม่คงที่ การควบคุมและแก้ไขปัญหาจึงเป็นไปได้ลำบาก ตลอดจนเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเพิ่มศักยภาพทางการค้า ด้วยเหตุนี้ จึงสัมมนาเชิงปฏิบัติการ "การปรับตั้งและการดูแลรักษาเครื่องฉีดพลาสติกอย่างมืออาชีพ ปี 2006" โดย ดร.พีระวัฒน์ สมนึก ผู้เชี่ยวชาญจากกรมวิทยาศาสตร์บริการ เป็นวิทยากร เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมฉีดพลาสติก สามารถใช้งานจากเครื่องจักรเครื่องมืออย่างถูกวิธี หรือปรับตั้งและบำรุงรักษาเครื่องฉีดพลาสติก/แม่พิมพ์ ที่มีมาตรฐานและเป็นระบบ ส่งผลให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง และที่สำคัญ คือเกิดการพัฒนาเทคโนโลยีผลิตชิ้นส่วนพลาสติกโดยผู้ประกอบการไทย ด้านนางวราภรณ์ สุเมธโชติเมธา ผู้จัดการฝ่ายผลิต บริษัท ไทยรุ่งเรืองอุตสาหกรรมพลาสติก จำกัด ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติก กล่าวว่า บริษัทประสบปัญหากระบวนการผลิตชิ้นงานเกิดของเสียจำนวนมาก ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการรีไซเคิลของเสียบ่อยๆ จนที่สุดกลับมีของเสียมากขึ้นกว่าเดิม บางกรณีที่ผลิตได้ชิ้นงานที่สวยงาม แต่เมื่อนำไปทดสอบพบว่าชิ้นงานมีปัญหา ซึ่งเป็นผลเนื่องมาจากบริษัทมีช่างปรับตั้งเครื่องหลายคน และแต่ละคนก็มีมาตรฐานของตัวเองที่ไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ ยังมีปัญหาต้นทุนค่าไฟฟ้าที่สูงมาก และการแข่งขันที่ดุเดือด ทำให้ราคาผลิตภัณฑ์ต่อหน่วยต่ำลงในขณะที่ต้นทุนตัวอื่นๆ สูงขึ้น ฉะนั้น จึงต้องเร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน รวมทั้งพัฒนาบุคลากรให้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง มีความเข้าใจในผลิตภัณฑ์มากขึ้น เพื่อลดปัญหาที่เกิดขึ้นให้ได้อย่างรวดเร็วที่สุด (กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ที่ 22 ก.ย. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





เล่นกีฬาหักโหมกระดูกแก่เร็วตัวแคระ

น.พ.สัญชัย เชื้อสีห์แก้ว แพทย์แผนกกุมารแพทย์เฉพาะทางโรคต่อมไร้ท่อในเด็ก กล่าวว่า การเล่นกีฬาบางประเภทอย่าง ยิมนาสติก หากฝึกฝนหนักเกินไปจะเร่งให้กระดูกมีพัฒนาการเร็ว หรือที่เรียกว่ากระดูกแก่เกินอายุ “การป้องกันไม่ให้กระดูกมีอายุที่แก่กว่าอายุจริงนั้นสามารถทำเองได้ที่บ้าน ด้วยการรับประทานอาหารให้ถูกโภชนาการ เน้นที่ประเภทโปรตีน เนื้อ นม ไข่ และไม่รับประทานอาหารขยะที่ไม่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกายวันละ 1-2 ชั่วโมง ไม่หักโหมจนมากเกินไปเพราะการออกกำลังกายมากเกินไปทำให้กระดูกใช้งานหนัก จนทำให้กระดูกมีอายุมากกว่าอายุจริงได้เช่นกัน อย่างเช่น บาสเกตบอล วอลเลย์บอล เป็นต้น” แพทย์ต่อมไร้ท่อ กล่าว โรคเตี้ยในเด็กเกิดจากหลายสาเหตุ ร้อยละ 90 เกิดจากกรรมพันธุ์ ส่วนที่เหลือจะเป็นสภาพแวดล้อมการเลี้ยงดู อาหารการกินในชีวิตประจำวัน ที่ทำให้กระดูกได้รับสารกระตุ้นส่งผลให้กระดูกมีอายุมากกว่าอายุจริงของเด็ก อาการของโรคเตี้ยยังไม่ปรากฏชัดเจนจนเข้าสู่วัย 14-15 ปี อาการจะเด่นชัดมากเนื่องจากจะมีส่วนสูงที่ต่างจากเพื่อนร่วมรุ่น แต่ไม่รุนแรงจนน่ากลัวเพราะสามารถป้องกันได้ด้วยตนเอง ในวิธีการรักษานั้น แพทย์ต้องตรวจอายุกระดูกของเด็กและนำไปวิเคราะห์ถึงสาเหตุของอาการและรักษาให้ถูกจุด สอบประวัติย้อนหลังถึงพ่อและแม่ว่ามีใครเป็นโรคเตี้ยมาก่อนหรือเปล่า หรือมีโรคแทรกซ้อน เช่น ธาลัสซีเมีย ดาวน์ซินโดมหรือไม่ ครอบครัวมีปัญหาหรือไม่ เพราะการเลี้ยงดูถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญของการเกิดโรคเช่นกัน เพราะจะนำมาซึ่งการบริโภคที่ผิดวิธี และไม่ถูกโภชนาการ (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 22 ก.ย. 2549 http://www.komchadluek.net)





ข่าววิจัย/พัฒนา


ไทยเยี่ยมผลิตชุดตรวจยีนปัญญาอ่อนสำเร็จ

ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ(ไบโอเทค) และกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงการถ่ายทอดเทคโนโลยีการพัฒนาชุดตรวจ “Subtelomeric FISH” เพื่อตรวจหาภาวะปัญญาอ่อนตั้งแต่กำเนิด โดยดูจากความผิดปกติของปลายโครโมโซม ผลงานจากโครงการวิจัยพัฒนา Human Multicolor Subelomeric Probes นายแพทย์วีรยุทธ ประพันธ์พจน์ หัวหน้าศูนย์วิจัยพันธุศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า จากการศึกษาความผิดปกติทางพันธุกรรม ที่เป็นสาเหตุของการเกิดภาวะปัญญาอ่อน แสดงให้เห็นว่า ส่วนหนึ่งเกิดจากความผิดปกติขนาดเล็ก ที่บริเวณส่วนปลายโครโมโซม ตรวจพบได้ 7-10% ซึ่งความผิดปกติของโครโมโซมลักษณะนี้ ไม่สามารถตรวจวิเคราะห์ด้วยวิธีทั่วไป จึงจำเป็นต้องหาเทคโนโลยีใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการตรวจวิเคราะห์ ด้วยเหตุนี้ ไบโอเทคจึงสนับสนุนทุนวิจัย 2.7 ล้านบาท ให้สถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต ในการพัฒนาชุดตรวจ “Subtelomeric FISH” เพื่อหาความผิดปกติของปลายโครโมโซมมนุษย์ ซึ่งมีจำนวน 41 ปลาย โดยใช้เทคนิค Fluorescence in situ Hybridization (FISH) ในการตรวจการเรืองแสงของสารเรืองแสง ที่ย้อมติดกับตัวตรวจจับดีเอ็นเอ ที่จำเพาะสำหรับแต่ละปลายโครโมโซม (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 18 ก.ย. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





จวกระบบราชการทำลายนักวิจัยไทย

ศ.ดร.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ศ.เกียรติคุณ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวในการปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ประสบการณ์ในการทำวิจัย” จัดโดยสถาบัน วิจัยพฤติกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ว่า การทำวิจัยคือการค้นหาความจริงหรือความน่าจะเป็น ตลอดจนองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์มาเผยแพร่ ต่อสังคม และจากที่ตนได้ทำวิจัยมายาวนาน ทำให้รู้ว่า ความเป็นอัจฉริยะของนักวิจัยนั้นไม่มีจริง แต่งานวิจัยต้องมาจากหยาดเหงื่อ แรงงาน ความทุ่มเทถึง 99 เปอร์เซ็นต์ ส่วนความเก่งหรือเป็นอัจฉริยะมีแค่ 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ขณะที่นักวิจัยไทยรุ่นใหม่ๆ ยังขาด ความทุ่มเท และมักยึดติดอยู่กับความสำเร็จที่ได้มาอย่างง่ายๆ ศ.ดร.ปุระชัยกล่าวต่อว่า นักวิจัยที่ดีจะต้องมีไฟ มีความใฝ่รู้ ที่สำคัญต้องไม่คิดว่าตนเองคือคนที่วิเศษกว่าคนอื่น ขณะเดียวกันผลงานวิจัย จะต้องจับต้องได้ และนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ ที่ผ่านมาประเทศไทยลงทุนด้วยการส่งนักวิจัยไปเรียนต่างประเทศจำนวนมาก แต่น่าเสียดายที่เมื่อจบการศึกษาแล้วส่วนใหญ่ มักจะไม่ได้กลับมาทำงานวิจัยตอบแทนรัฐ ซึ่งส่วนหนึ่งต้องโทษระบบราชการด้วย อย่างกรณีของตนจบปริญญาเอกด้วยเกรดเฉลี่ย 4.00 แต่กลับไม่มีตำแหน่งวิชาการให้ ต้องไปทำงานในหน้าที่ธุรการแทน เป็นต้น ระบบราชการไทยทำลายคนที่ตั้งใจทำงาน แต่จะดีสำหรับคนที่มีเส้นสาย เพราะเป็นระบบอุปถัมภ์ ศ.ดร.ปุระชัยกล่าวอีกว่า นอกจากนั้นค่าตอบแทนของนักวิจัยไทยน้อยมาก เมื่อเทียบกับนักวิจัยต่างประเทศ เวลาที่หน่วยงานราชการจ้างนักวิจัยไทยทำงาน ก็จะจ่ายค่าตอบแทนตามระบบราชการ แต่ถ้าจ้างนักวิจัยจากต่างประเทศ จะจ่ายค่าตอบแทนสูงมากทั้งที่เป็นงานเดียวกัน ดังนั้น จะต้องมีการแก้ไขเพื่อไม่ให้นักวิจัยไทยถูกเอาเปรียบ “ที่ผ่านมารัฐบาลให้ค่าตอบแทนนักวิจัยน้อยมาก แต่กลับไปใช้จ่ายในเรื่องไร้สาระมาก มีอยู่ปีหนึ่ง รัฐบาลจัดงานวันสงกรานต์ที่ถนนราชดำเนิน เชื่อหรือไม่ว่างานที่จัดระหว่างเวลา 14.00-16.00 น. แค่ 2 ชั่วโมง แต่ใช้เงินไปถึง 50 ล้านบาท” ศ.ดร.ปุระชัยกล่าวและว่า ตนอยากฝากว่านักวิจัยที่ดี จะต้องปกป้องเด็ก เยาวชน คนด้อยโอกาส ไม่ใช่ปกป้องแต่เรื่องของ ผลประโยชน์ ต้องมีจรรยาบรรณ ไม่รับใช้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ปัจจุบันมีคนแฝงมาในคราบนักวิจัยไม่น้อยเพื่อเข้ามาหาผลประโยชน์จากงานวิจัย ที่มีอยู่ตามกองทุนต่างๆ ดังนั้น ควรให้กองทุนที่เกี่ยวข้องกับการงานวิจัยไปอยู่ในมหาวิทยาลัยดีกว่าที่จะแยกออกมาเป็นหน่วยงานอิสระ (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 18 ก.ย. 2549 http://www.thairath.co.th)





สวมหมวกกันน็อกกลับยั่วรถยนต์ ให้ขับแซงเฉี่ยว รถจักรยานใกล้ขึ้น

ดร.เอียน วอคเกอร์ ผู้ทำการศึกษา ลงทุนปั่นจักรยาน 2 ล้อ โดยสวมหมวกรัดกุม แต่ปรากฏว่าเคยโดนรถเมล์และรถบรรทุกชนเอาถึง 2 หน ดีแต่ว่าไม่เจ็บ เปิดเผยว่า เหตุที่ผู้ขี่จักรยานผู้รอบคอบกลับต้องเสี่ยงอันตรายมากกว่า เพราะผู้ขับรถยนต์ที่แซงขึ้นไปจะแซงในระยะห่างหวุดหวิด ดร.เอียนซึ่งติดเครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องวัดระยะอัลตราโซนิกกับรถเอาไว้ เพื่อบันทึกเมื่อโดนถูกแซงไปทั้งหมด 2,500 ครั้ง พบว่า ผู้ขับ รถยนต์จะแซงรถจักรยาน ที่มีผู้ขี่สวมหมวกกัน น็อกไปในระยะเฉียดใกล้ๆ ห่างเฉลี่ยแค่ 3.3 นิ้วเท่านั้น แต่เมื่อเขาลอง สวมวิกผมยาวขี่ดูบ้าง กลับปรากฏว่ารถยนต์จะแซงระยะห่างมากขึ้น เฉลี่ย แล้วห่าง 5.5 นิ้ว ดร.เอียนผู้เป็นนักจิตวิทยาการจราจรของคณะ จิตวิทยามหาวิทยาลัยบาธ กล่าวสรุปว่า การศึกษาครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าผู้ขับรถยนต์จะกะระยะห่างเมื่อแซงรถจักรยาน เอาจากรูปร่างของผู้ขี่รถ และเสริมว่า “เรารู้ดีว่า หมวกกันน็อกจะเป็นประโยชน์ เมื่อรถล้มตอนไม่สู้เร็วสักเท่าไร และโดยเฉพาะกับเด็กๆ แต่มันจะช่วยป้องกันเมื่อตอนถูกรถยนต์ชนจริงๆได้หรือไม่ ยังเป็นปัญหาอยู่” เขาแสดงความเห็นว่า ทั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะผู้ขับรถยนต์อาจจะเห็นผู้ขี่รถจักรยานที่ใส่หมวก กันน็อก เป็น “นักรบในเสื้อเกราะ” เห็นเป็นภาพ ของนักขี่มืออาชีพที่แท้จริง เชื่อถือได้มากกว่า ผู้ที่ไม่สวมหมวกกันน็อก (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 18 ก.ย. 2549 http://www.thairath.co.th)





ชาเขียวป้องกันรักษาโรคหัวใจ แต่ต้านทานโรค มะเร็งไม่ไหว

วารสารสมาคมการแพทย์อเมริกัน เผยแพร่ผลการศึกษาในญี่ปุ่นว่า ผู้ดื่มชาเขียวมากมีอายุยืนขึ้น และพบว่าชาเขียวช่วยลดการเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจ แต่ไม่ลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็ง ดร.ชินนิจิ คูริยามา และทีมงานจากคณะนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยโตโฮกุ ศึกษากับชายและหญิงกว่า 40,000 คน อายุ 40-79 ปี ในพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ เป็นเขตที่ผู้คนดื่มชาเขียวกันมากถึงร้อยละ 80 และกว่าครึ่งดื่มไม่ต่ำกว่าวันละ 3 ถ้วย ผลการศึกษาสันนิษฐานว่า โพลีฟีนอล สาร ประกอบในพืชที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียว อาจเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ดื่มมีอายุยืนขึ้น (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 18 ก.ย. 2549 http://www.thairath.co.th)





ใช้"มือถือ"มากยิ่งหงุดหงิดง่าย

ดร.เดวิด เชฟฟิลด์ แห่งมหาวิทยาลัยสตาฟฟอร์ดไชร์ ประเทศอังกฤษ ศึกษาพบว่า เนื่องจากโทรศัพท์มือถือกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันของคนยุคปัจจุบัน ทำให้ผู้ใช้มือถือกลายเป็นคนเครียดและขี้หงุดหงิด ดร.เชฟฟิลด์ สรุปผลการศึกษาจากการสอบถามนักศึกษา 106 คน เกี่ยวกับปริมาณการใช้โทรศัพท์มือถือ พบว่า คนกลุ่มนี้ถึง 16 เปอร์เซ็นต์ มีปัญหาเรื่องพฤติกรรม ไม่ว่าจะเป็นการโกหกเกี่ยวกับปริมาณการใช้โทรศัพท์มือถือ ภาวะเครียดและขี้หงุดหงิด และติดอยู่กับโทรศัพท์มือถือนานเกินไป ขณะที่ผลจากการศึกษาอีกชิ้นหนึ่งพบว่าคนที่เลิกใช้โทรศัพท์มือถือมีระดับความดันโลหิตต่ำกว่า ดร.เชฟฟิลด์ บอกว่า ผลจากการศึกษาชี้ให้เห็นความเฟื่องฟูของตลาดโทรศัพท์มือถือในอังกฤษที่ปัจจุบันมีมูลค่าถึง 13,000 ล้านปอนด์ ขณะที่การใช้โทรศัพท์ในอังกฤษถึง 1 ใน 3 เป็นการโทรจากโทรศัพท์มือถือ (มติชน อังคารที่ 19 ก.ย. 2549 http://www.matichon.co.th)





หมอไทยพัฒนาชุดตรวจ โครโมโซมต้นตอ"ปัญญาอ่อน"

ผู้แทนศูนย์พันธุ์วิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงการถ่ายทอดเทคโนโลยีการพัฒนาชุดตรวจ "Subtelomeric FISH" เพื่อตรวจหาความผิดปกติของปลายโครโมโซมมนุษย์ภายหลังจากที่ได้ทำการวิจัยตามโครงการการพัฒนา "Human Multicolor Subtelomeric Probes" เพื่อประยุกต์ใช้ในบุคคลปัญญาอ่อน และผู้ที่มีความพิการตั้งแต่กำเนิด เป็นเวลา 3 ปีจึงประสบความสำเร็จ นพ.วีรยุทธ ประพันธ์พจน์ หัวหน้าศูนย์วิจัยพันธุศาสตร์การแพทย์สถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต ในฐานะนักวิจัย กล่าวว่า จากการศึกษาความผิดปกติทางพันธุกรรมที่เป็นสาเหตุของการเกิดภาวะปัญญาอ่อนแสดงให้เห็นว่า ส่วนหนึ่งเกิดจากความผิดปกติขนาดเล็กที่บริเวณส่วนปลายของโครโมโซม โดยตรวจพบได้ประมาณร้อยละ 7-10 ซึ่งความผิดปกติของโครโมโซมลักษณะนี้ตรวจวิเคราะห์โครโมโซมด้วยวิธีทั่วไปไม่ได้ จำเป็นต้องหาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจวิเคราะห์ ทางไบโอเทคจึงสนับสนุนสถาบันราชานุกูล พัฒนาชุดตรวจ "Subtelomeric FISH" เพื่อหาความผิดปกติของปลายโครโมโซมมนุษย์ ซึ่งมีจำนวน 41 ปลาย โดยใช้เทคนิค "Fluorescence in situ Hybridization" (FISH) ในการตรวจการเรืองแสงของสารเรืองแสงที่ย้อมติดกับตัวตรวจจับดีเอ็นเอที่จำเพาะสำหรับแต่ละปลายโครโมโซม เริ่มวิจัยตั้งแต่ปี 2546 ได้รับงบประมาณดำเนินการ 2.7 ล้านบาท บุคคลที่น่าจะได้รับประโยชน์จากการตรวจด้วยวิธีนี้ คือ บุคคลปัญญาอ่อนที่ไม่ทราบสาเหตุ ผู้มีความพิการหลายชนิดแต่กำเนิดแต่ไม่ทราบสาเหตุ แม่ที่แท้งบุตรบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ คู่สมรสที่มีบุตรยาก แม่และพ่อที่มีความเสี่ยงหรือสงสัยว่าเป็นพาหะของความผิดปกติของโครโมโซมชนิดนี้ ทารกในครรภ์ที่พ่อและแม่เป็นพาหะของความผิดปกติของโครโมโซมนี้ ซึ่งการตรวจวิเคราะห์ดังกล่าวจะนำมาใช้เป็นแนวทางการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสภาพให้เหมาะสำหรับเด็กที่มีความผิดปกติให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและใช้ในการวางแผนในกลุ่มพ่อแม่ที่เคยมีลูกเป็นภาวะปัญญาอ่อนมาก่อน เพื่อเป็นข้อมูลการตั้งครรภ์ปัจจุบัน (มติชน อังคารที่ 19 ก.ย. 2549 http://www.matichon.co.th)





ประดิษฐ์ "ช้อนอิ่มอร่อย" ช่วยให้ผู้มีกล้ามเนื้อมือ อ่อนกินเองได้

นางวิภา เต๋ทิ ผู้ช่วยเหลือคนไข้ รพ.บ้านตาก จังหวัดตาก ผู้คิดประดิษฐ์กล่าวว่า เพราะคนไข้ ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ที่มีปัญหากล้ามเนื้อมืออ่อนแรง ไม่สามารถรับ ประทานอาหารด้วยตนเองได้ หากรับประทานเองก็ทำให้อาหารตกหล่นเลอะเทอะ ทำให้ได้รับอาหารในปริมาณไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เป็นภาระให้ผู้ดูแลต้องป้อนอาหารให้ทุกมื้อ ไม่สามารถไปทำงานอย่างอื่นได้ “ช้อนอิ่มอร่อย” เป็นอุปกรณ์ให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้ ด้วยตนเอง มีวัสดุอุปกรณ์คือ ช้อนหรือส้อมยาว 1 ด้าม สายตีนตุ๊กแกยาง 40 ซม. 1 เส้น และขนาดยาว 8 ซม. อีก 1 อัน เข็มเย็บผ้า เศษผ้ากว้าง 2.5 ซม. ยาว 8 ซม. 1 ชิ้น และเหล็กรัดสาย 1 อัน งบค่าอุปกรณ์ทั้งสิ้น 55 บาท จากนั้น นำเศษผ้าเย็บติดกับตีนตุ๊กแก เว้นช่องไว้สำหรับสอดส้อม หรือช้อนยาว ใช้ช้อนหรือส้อมสอดเข้าช่องที่เว้นไว้ จะได้ช้อนอิ่มอร่อยมารัดเข้ากับมือของผู้ป่วย ใช้สายรัดผ่านง่ามนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ไปยังหลังมือ และด้ามช้อนอยู่ในอุ้งมือ ผู้ป่วยสามารถ ตักอาหารรับประทานได้ด้วยตนเอง ผลการทดลองใช้กับผู้ป่วย ผู้ป่วยต่างพึงพอใจที่ช่วยตนเองได้ หากนำช้อนอิ่มอร่อยไปประยุกต์ใช้ร่วมกับการให้ญาติฝึกทำกายภาพ บำบัด จะช่วยให้ผู้ป่วยช่วยเหลือตนเองได้มากขึ้น (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 21 ก.ย. 2549 http://www.thairath.co.th)





เอดีบีให้ทุนดันไทยอัพเกรดความรู้ “ไบโอเซฟตี้” สู่ประเทศลุ่มน้ำโขงต่อกรเวทีโลก

ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) ร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การประเมินความปลอดภัยของอาหารที่มีส่วนประกอบของพืชดัดแปลงพันธุกรรม” ขึ้น ระหว่างวันที่ 18-29 ก.ย. ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดยมีตัวแทนประเทศในลุ่มน้ำโขงเข้าร่วมโครงการประมาณ 50 คน ดร.รุจ วัลยะเสรี รองผู้อำนวยการด้านการวิจัย ศูนย์ไบโอเทค และที่ปรึกษาโครงการสร้างความสามารถและความร่วมมือระดับภูมิภาคด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตรขั้นสูงในลุ่มน้ำโขง กล่าวถึงโครงการความร่วมมือนี้ว่า เป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากเอดีบีทางด้านวิชาการและการเงินสนับสนุนจำนวน 50 ล้านบาท มีข้อตกลงร่วมกันกับประเทศไทยให้มาตั้งสำนักงานของโครงการ ณ อุทยานวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย เพื่อให้ช่วยอำนวยความสะดวกเรื่องสถานที่ ซึ่งไทยจะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของโครงการ เนื่องจากได้พิจารณาแล้วว่าไทยมีความก้าวหน้าในด้านสังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์มากที่สุดในบรรดาสมาชิก 6 ประเทศ ทั้งนี้ เอดีบีจะให้การอบรมพัฒนาบุคลากรของประเทศไทยโดยวิทยากรที่เอดีบีจัดสรรมาจากยุโรปและสหรัฐอมเริกาก่อน จากนั้นไทยจะเป็นแกนนำในการถ่ายทอดวิทยาการต่อไปยังประเทศลุ่มน้ำโขงอื่นๆ ที่เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ จีนตอนใต้บริเวณมณฑลยูนนาน เวียดนาม กัมพูชา พม่า และลาว (ผู้จัดการ พฤหัสบดีที่ 21 ก.ย. 2549 http://www.manager.co.th)





อุปกรณ์จับผิดคนขับหลับใน ส่งเสียงปลุกทันทีหากพวงมาลัยไม่ขยับ

นายพลชัย พันธุ์อำไพ วิศวกรอิสระจากสมาคมนักประดิษฐ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า อุปกรณ์ป้องกันหลับในเป็นสิ่งประดิษฐ์ป้องกันผู้ขับขี่จากภาวะหลับใน ที่มักก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงตามมา อุปกรณ์จะส่งสัญญาณเสียงเตือนผู้ขับขี่ ขณะเริ่มเหม่อหรือเริ่มเข้าสู่ภาวะหลับใน ให้รู้สึกตื่นตัวในทันที สิ่งประดิษฐ์นี้ได้ปรับปรุงจากรุ่นก่อนซึ่งใช้เซ็นเซอร์แสง เปลี่ยนเป็นเซ็นเซอร์แม่เหล็ก ซึ่งประสิทธิภาพการตรวจจับตำแหน่งพวงมาลัยแม่นยำกว่า อีกทั้งเซ็นเซอร์แสงทำงานไม่ดีในช่วงกลางวัน ซึ่งมีแสงสว่างจ้า เซ็นเซอร์จะติดตั้งไว้ 2 จุด คือ บริเวณด้านหน้าพวงมาลัย และบริเวณคันเร่ง โดยมีสายไฟเชื่อมต่อกันเพื่อวัดค่าความสัมพันธ์ ทันทีที่คนขับเหยียบคันเร่งออกรถ เครื่องจะบันทึกพฤติกรรมการขับรถ และลักษณะการจับ/หมุนพวงมาลัยของแต่ละบุคคลที่แตกต่างกัน จากนั้นนำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์ดูว่าผู้ขับขี่มีอาการเหม่อหรือไม่ (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 21 ก.ย. 2549 http://www.komchadluek.net/)





สจพ.คิดโปรแกรมคลังสินค้าอัจฉริยะ สินค้าจัดเก็บอยู่ที่ไหนใครรับผิดชอบรู้หมด

มนตรี ชันยากร และ ทัชชกร ประทุม นักศึกษาปีสุดท้ายจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ คว้ารางวัลรองชนะเลิศการประกวดซอฟต์แวร์เพื่องานอุตสาหกรรมในระดับนิสิตนักศึกษาครั้งที่ 4 ซึ่งกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมร่วมกับสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ จัดขึ้น เพื่อกระตุ้นให้นิสิตนักศึกษาเกิดการคิดค้นและพัฒนาโปรแกรมสำเร็จรูปใหม่ๆ ที่เหมาะสมกับอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย โปรแกรมคลังสินค้าอัจฉริยะเกิดขึ้นหลังจากเห็นจุดอ่อนของโปรแกรมบริหารทรัพยากรที่เรียกว่า อีอาร์พี ที่ยังไม่ครอบคลุมตามความต้องการต่างๆ ในการผลิตทั้งหมด จึงพัฒนาโปรแกรมโดยเฉพาะเพื่อลดและเพิ่มความสะดวกในการจัดการดูแลด้านวัสดุเป็นพิเศษ ในการใช้งานโปรแกรม ซึ่งทีมงานได้พัฒนาสำหรับใช้กับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและคอมพิวเตอร์พกพา (พีดีเอ) เจ้าหน้าที่คลังสินค้าจะต้องลงข้อมูลสินค้าและอุปกรณ์ต่างๆ ในคลังสินค้าลงฐานข้อมูลกลางก่อน โปรแกรมนี้จะแบ่งตามหมวดหมู่หน้าที่ในคลังสินค้า เช่น การรับสินค้า ผู้รับต้องกรอกข้อมูลของสินค้าลงไปในโปรแกรม โปรแกรมจะทราบว่ามีสินค้าที่รอการจัดเก็บอยู่ รู้รหัสสินค้า จำนวน แต่ยังไม่ทราบสถานที่จัดเก็บบริเวณไหน โดยโปรแกรมจะเป็นตัวกำหนดสถานจัดเก็บซึ่งจะเป็นไปตามเงื่อนไข สินค้าตัวไหนมาก่อนจะถูกนำมาใช้ก่อน เมื่อมีการรับสินค้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โปรแกรมจะแสดงข้อมูลของสินค้าที่รอการจัดเก็บ โดยแสดงรายละเอียดของสินค้าที่รอการจัดเก็บ สุดท้าย ข้อมูลที่ผ่านการกลั่นกรองแล้วจะปรากฏบนตัวโปรแกรม และพนักงานจะยืนยันการจัดเก็บสินค้าที่ต้องการโดยการเลือกว่าจะจัดเก็บสินค้าตัวไหน ปริมาณเท่าไร ในการจัดส่งสินค้า โปรแกรมจะทราบได้จากการกรอกข้อมูลของพนักงาน หรือการดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลภายในองค์กร แผนกต่างๆ มาใช้ หลังจากมีการทราบข้อมูลแล้ว โปรแกรมจะแสดงข้อมูลสินค้าที่จะทำการจัดส่งสินค้าว่าอยู่ในบริเวณไหน ปริมาณเท่าไร เก็บอยู่ที่ไหน แล้วพนักงานที่มีหน้าที่หยิบสินค้าทำการเลือกว่าจะหยิบสินค้ารหัสไหน พร้อมทั้งกรอกปริมาณจำนวนหยิบใช้ ทั้งนี้โปรแกรมดังกล่าว คณะกรรมการพิจารณารางวัลเห็นว่ามีศักยภาพสำหรับนำไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพให้อุตสาหกรรมต่างๆ (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 21 ก.ย. 2549 http://www.komchadluek.net/)





ข่าวทั่วไป


เปิดหลักสูตรให้คนเมาแล้วขับรถจะได้เลิกคิด “เมา แล้วขับ” อีกต่อไป

นายคาเรล บรุคฮุส มหาวิทยาลัยกรอนิงเกน อธิบายว่า การที่คิดเปิดหลักสูตรขับรถพิเศษนี้ก็เพื่อที่จะทำให้พวกสาวๆ ไม่กล้าไปประพฤติเมาแล้วขับจริงๆ ตามถนนอีกต่อไป ตามข่าวของหนังสือพิมพ์ในเมืองเอมเดนฉบับหนึ่งกล่าวว่า เขาได้ เปิดอบรมหลักสูตรขึ้นที่สนามแข่งรถ หนุ่มสาวคนที่อยากลองจะเปิดโอกาสให้กินเหล้าเบียร์กันอย่างเต็มคราบ และก่อนจะเมาจนถึงขับไม่ได้ก็จะให้ขับรถกันอย่างสนุกสนาน ไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยว มีที่ให้แวะจอดและหยุดกลางทางได้บ้าง เจ้าของหลักสูตร “เมาแล้วขับ” กล่าวแจ้งว่า ตั้งแต่เริ่มหลักสูตรมาเกือบ 10 ปีแล้ว ยังไม่เคยปรากฏว่ามีใครเคยผ่านการทดสอบ ได้สำเร็จสักรายเดียว แต่ขณะเดียวกัน พวกเขาก็จะสำนึกได้ว่าไม่มีวันที่เขาจะขับรถได้โดยปลอดภัย หากเมาเหล้า เด็กหนุ่มสาวที่ได้มาลอง “เมาแล้วขับ” จะไม่กล้าไปเมาแล้วขับในชีวิตของเขาอีกต่อไป (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 18 ก.ย. 2549 http://www.thairath.co.th)





แผนเลิกใช้เบนซิน 95 มีสิทธิวืด

นายชัยวัฒน์ ชูฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า นโยบายกระทรวงพลังงานที่กำหนดให้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2550 ผู้ค้าน้ำมันทุกรายต้องยกเลิกการจำหน่ายเบนซิน 95 และหันมาจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ 95 แทนนั้น ผู้ค้าน้ำมันยังมีความกังวลในเรื่องปริมาณเอทานอล ที่จะมารองรับกับการผลิตแก๊สโซฮอล์ เนื่องจากตามแผนการผลิตเอทานอลในช่วงปลายปีนี้จะต้องมีกำลังการผลิตเอทานอล เพิ่มขึ้นมาจากโรงงาน 3 แห่ง ซึ่งมีกำลังการผลิตรวม 350,000 ลิตรต่อวัน แต่เท่าที่ทราบมีโรงงานเพโทรกรีนของกลุ่มน้ำตาลมิตรผลเพียงรายเดียวที่น่าจะพร้อมเปิด สำหรับโรงงานเอทานอล อีก 2 แห่ง หากไม่พร้อมผลิตภายในปีนี้ อาจจะทำให้นโยบายยกเลิกจำหน่ายเบนซิน 95 ต้องเลื่อนออกไปเป็นเดือน เม.ย. 2550 แต่ขณะนี้ภาครัฐยังไม่มีการปรับเปลี่ยนหรือทบทวนแต่อย่างใด ซึ่งหากมีการพิจารณาในเรื่องดังกล่าวก็ควรแจ้งให้ผู้ค้าน้ำมันและโรงกลั่นน้ำมันทราบล่วงหน้าก่อนอย่างน้อย 2 เดือนเพื่อให้มีการวางแผนการผลิตน้ำมันได้ทัน “ในส่วนของ ปตท.พร้อมดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล หากยังยืนยันให้ยกเลิกเบนซิน 95 เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่แน่ใจกำลังการผลิตเอทานอลจะพอกับการผลิตแก๊สโซฮอล์ ได้แค่ไหน โดย ปตท.มีเอทานอลไว้เพียงพอกับปริมาณการขายแน่นอน โดยปัจจุบันมียอดขายแก๊สโซฮอล์เฉลี่ยเดือนละ 40-41 ล้านลิตร ถ้าปัšมน้ำมันทุกแห่งจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ 95 ก็ต้องเพิ่มจำนวนการใช้เอทานอลอีก 2.5 ล้านลิตรต่อเดือน” ด้านนายพรชัย รุจิประภา รองปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานยังไม่มีการทบทวนแผนการยกเลิกใช้เบนซิน 95 โดยยังกำหนดไปตามเป้าหมายเดิม แม้ว่าหลายฝ่ายกังวลเรื่องปริมาณเอทานอลที่จะนำมาผลิตแก๊สโซฮอล์ แต่จากการรายงานพบว่าโรงงานเอทานอล 3 แห่งใหม่ ที่คาดว่าจะสามารถผลิตได้ในช่วงปลายปีนี้ มีกำลังการผลิตรวม 350,000 ลิตรต่อวัน ประกอบด้วย โรงงานเพโทรกรีนจากกลุ่มน้ำตาลมิตรผล กำลังการผลิต 200,000 ลิตรต่อวัน โรงงานเอกรัฐพัฒนาจากกลุ่มเกษตรไทย กำลังการผลิต 100,000 ลิตรต่อวัน และการขยายกำลังการผลิตของโรงงานขอนแก่นแอลกอฮอล์จาก 100,000 ลิตรต่อวันเป็น 150,000 ลิตรต่อวัน. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 18 ก.ย. 2549 http://www.thairath.co.th)





อาหารขยะกับเครื่องวีดิโอเกม ช่วยกันทำลายเด็กๆ ให้เสื่อมลง

คณะบุคคลซึ่งประกอบด้วยนักจิตวิทยา และครูจำนวนรวม 110 คน ได้พากันร้องเรียนกับหนังสือพิมพ์ “เดลี่ เทเลกราฟ” อันเป็นหนังสือพิมพ์รายวันยักษ์ใหญ่ ในจำนวนบุคคลที่มีชื่อเสียง มีอย่างเช่น แจคเกอลีน วอลสัน ผู้เคยคว้ารางวัลโนเบิล ฟิลิป พูลล์แมน นักประพันธ์ บารอนเนสส์ซูซาน กรีนฟิล์ด ผู้ อำนวยการสถาบันหลวง และ ดร.พีนีโลป ลีช ผู้เชี่ยวชาญการเลี้ยงดูเด็ก กล่าว ว่า “พวกเราอยากจะเตือนว่า พวกเด็กกำลังถูกโลกปัจจุบันทำลายลงอย่างหนัก พวกเรารู้สึกเป็นทุกข์หนักกับเหตุการณ์ ความคับ แค้นของพวก เด็ก และสภาวะด้านการพัฒนาและพฤติกรรมของเด็กที่กำลังขยายตัวออกไป เพราะเหตุที่สมองของเด็กกำลังอยู่ในช่วงพัฒนา จึงไม่ อาจปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีและวัฒนธรรมอันรวดเร็ว เหมือน อย่างผู้ใหญ่ที่โตเต็มที่แล้วได้ทัน” เด็กๆต้องการอาหารที่แท้จริง ไม่ใช่อาหารขยะ การเล่นที่แท้จริง ต่างกับเกมคอมพิวเตอร์ ทีวี และดีวีดี และการสังสรรค์กับพ่อแม่ของตนเป็นประจำ นอกจากนั้นยังต้องการเวลา ภายใต้วัฒนธรรมของการแก่งแย่งแข่งดีที่ไหลล่วงไปอย่างรวดเร็ว เด็กทุกวันนี้ต้องชิงสุกก่อนห่าม กับที่ต้องเริ่มการเรียนอย่างเป็นทางการเร็วขึ้นกว่าแต่เดิม” (ไทยรัฐ อังคารที่ 19 ก.ย. 2549 http://www.thairath.co.th)





ระดมอาจารย์ทั่วโลกทำตำราออนไลน์

ริก วัตสัน จากมหาวิทยาลัยจอร์เจีย สหรัฐ เจ้าของความคิดจัดทำโครงการ กล่าวว่า ทั่วโลกมีอาจารย์มหาวิทยาลัยอยู่นับล้านคน และมีนักศึกษาเป็นสิบล้าน ทุกปีมีบทความวิชาการและรายงานนับไม่ถ้วนผลิตออกมาแต่สุดท้ายต้องลงไปอยู่ในถังขยะ เป็นแหล่งความรู้ที่ไม่มีใครหยิบมาใช้ได้เลย ดังนั้น แนวคิดในการจัดทำตำราวิชาการที่คนทั่วโลกช่วยกันทำจึงเกิดขึ้นมา และเปิดให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วม แต่ต่างกับสารานุกรมออนไลน์ของเวบไซต์วิกิพีเดีย (www.wikipedia.org) ตรงที่จะมีบรรณาธิการหนึ่งคนทำหน้าที่พิจารณาเรื่องที่ส่งมา ไม่เช่นนั้นโอกาสที่ตำราผิดพลาดจะเกิดขึ้นสูง หรือยากเกินไป เป้าหมายหลักของโครงการนี้คือ ผลิตตำราฟรีสำหรับนักเรียนในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อตำราเรียนทั่วไปมาใช้ นอกจากนี้ ตำราที่ขายกันอยู่ปัจจุบันมีลิขสิทธิ์ไม่อนุญาตให้ทำสำเนานำขึ้นเวบไซต์ ขณะที่ความรู้บางสาย เช่น คอมพิวเตอร์ ตำราที่พิมพ์ออกมาตกยุคเร็วมาก แม้ว่าปัจจุบันนักเรียนนักศึกษาสามารถแสวงหาความรู้จากอินเทอร์เน็ตได้ แต่ข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตมีอยู่มากมาย แต่จะหาตำราสักเล่มทำยาไม่ได้เ (คมชัดลึก พฤหัสบดีที่ 21 ก.ย. 2549 http://www.komchadluek.net/)





ในที่สุดก็มาถึงจุดปฏิวัติ

เมื่อเวลา 22.20 น.วันที่พุธที่ 19 ก.ย. 49 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีรักษาการ ได้อ่านแถลงการณ์จากมหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ผ่านทางโทรทัศน์ช่อง 9 ช่อง 11 และไอทีวี โดยประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตพื้นที่ กทม. ระบุว่า เนื่องด้วยมีกลุ่มบุคคลจะก่อการปฏิวัติรัฐประหาร มีคำสั่งเคลื่อนย้ายกำลังเพื่อโค่นล้มยึดอำนาจจากรัฐบาล ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความมั่นคงของรัฐ จึงจำเป็นต้องออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินปี 2548 ต่อจากนั้นได้มีแถลงการณ์ฉบับที่ 2 มีคำสั่งให้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. มาปฏิบัติราชการสำนักนายกฯ และแถลงการณ์ฉบับที่ 3 มีคำสั่งให้ พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรา-นนท์ ผบ.ทหารสูงสุด เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบและมีอำนาจในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน จากนั้น เมื่อเวลา 23.00 น. ได้มีประกาศททางหน้าจอสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจและสถานีวิทยุทั่วไปประกาศว่า เนื่องด้วยขณะนี้ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งประกอบด้วย ผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้เข้าควบคุมสถานการณ์ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลไว้ได้แล้ว และไม่มีการขัดขวาง เพื่อเป็นการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง จึงขอความร่วมมือประชาชนในการให้ความร่วมมือและขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้ด้วย (ไทยรัฐ พฤหัสบดีที่ 20 ก.ย. 49 http://www.thairath.co.th)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215